The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมโภชสมณศักดิ์ "พระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (ละเอียด สุทนฺตมหาเถร)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sriparat, 2023-07-25 09:59:30

สมโภชสมณศักดิ์ "พระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (ละเอียด สุทนฺตมหาเถร)

สมโภชสมณศักดิ์ "พระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (ละเอียด สุทนฺตมหาเถร)

Keywords: สมโภชสมณศักดิ์ "พระธรรมวชิรสิทธาจารย์ (ละเอียด สุทนฺตมหาเถร),พระธรรมวชิรสิทธาจารย์,ละเอียด สุทนฺตมหาเถร

30  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสธรรมไว้เป็นคู่กัน ให้มีทั้งอามิสสงเคราะห์ และธรรมสงเคราะห์ ถ้าพ่อแม่เลี้ยงลูกถูกต้อง โดยให้ทั้งอามิส สงเคราะห์ และธรรมสงเคราะห์อย่างนี้แล้ว ธรรมสงเคราะห์ ก็จะมาจัด อามิสสงเคราะห์ให้เกิดขึ้นและพอดีอีกทีหนึ่ง เช่นอย่างลูกๆ นี้ ได้ธรรม สงเคราะห์จากพ่อแม่แล้ว ลูกๆ มีธรรมก็มีความรักใคร่กัน มีความสามัคคี ปรองดองกัน พอได้อามิสจากพ่อแม่ก็เอาอามิสวัตถุสิ่งของที่ได้นั้น มาเผื่อแผ่แบ่งปันกัน ทำ ให้พี่น้องรักกัน มีความสามัคคีกันยิ่งขึ้นไปอีก แล้วก็อยู่ร่วมกันด้วยความสุข ไม่ทะเลาะ วิวาทกัน และลูกแต่ละคนน้นั ก็มีทุนดีทางจิตใจและทางปัญญา ที่จะดำเนินชีวิตให้เจริญก้าวหน้าเป็น ประโยชน์ต่อไปในสังคม ต่อแต่นั้น จากการที่มีอามิสสงเคราะห์ และธรรมสงเคราะห์ใน ครอบครัวระหวางพี ่ ่นอ้ง กข็ยายออกไปสู่ญาติมิตรเพื่อนบ้านและวงสังคม ชุมชน ทำ ให้มีการสงเคราะห์กันกว้างขวางออกไป เพราะการสงเคราะห์ ด้วยอามิสวัตถุสิ่งของ และการสงเคราะห์ด้วยธรรม ที่มีดุลยภาพ เป็นไป อย่างสมดุลต่อกัน จะไม่ขัดขวางทำลายกัน แต่จะเสริมกันขยายวงกว้าง ขวางออกไปสู่ความไพบูลย์ แล้วก็จะทำ ให้สังคมร่มเย็นสุขสันต์กัน โดยทั่ว การสงเคราะห์ที่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ในบ้านของเรา จากการตั้งต้น ของพ่อแม่ก็แผ่ขยายไปกว้างขวางทั่วทั้งสังคม ด้วยการดำรงอยใู่นฐานะของผ้ใหู้กำเนดิ พร้อมทัง้บำ เพ็ญคุณธรรม และปฏิบัติตามหลักการที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คุณพ่อ
คุณแม่จึงได้ชื่อว่า เป็นปูชนียบุคคลของลูก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงยกย่องไว้ในตำแหน่งสำคัญ ๓ อย่างคือ


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 31 ๑. เป็นพระพรหม ของลูก โดยเป็นผู้ให้กำเนิด ทำ ให้ลูกได้ชีวิตนี้ มาดูและเป็นอยู่ในโลก พร้อมทั้งบำ รุงเลี้ยงให้เจริญเติบโตทั้งกายและใจ ด้วยพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และ สังคหวัตถุ ๔ อย่าง คือ ทานปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตตา ๒. เป็นบูรพาจารย์ ของลูก โดยเป็นอาจารย์คนแรก หรือ
ครูต้น ผู้อบรมสั่งสอนให้รู้จักวิธีการที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกตั้งแต่ขั้น
พื้นฐาน เริ่มแต่วิธีกินอยู่ หลับนอนขับถ่าย หัดยืน หัดเดิน หัดพูดจาปราศรัย รู้วิธี สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้อื่น นำลูกเข้าสู่สังคมของมนุษย์ ตลอดจนสอนวิธี ดำเนินชีวิตที่ดีงาม ฝึกฝนความคิดและคุณธรรม ก่อนอาจารย์ใดอื่น ๓. เป็นอาหุไนยบุคคล ของลูก โดยเป็นดุจพระอรหันต์ ที่มีจิตใจ บริสุทธิ์สะอาด ซื่อตรง ไม่มีภัยอันตราย เข้าใกล้และอยู่ด้วยได้
อย่างไว้ วางใจ และสนิทใจโดยสมบูรณ์ เป็นผู้พร้อมที่จะให้อภัย และปลอบขวัญ ยามมีภัย ควรแก่การกราบไหว้เคารพบูชาของลูกตลอดกาล พ่อแมเ่ปน็หลักโดยเปน็ผนู้ ำหรือผู้ปกครองสูงสดุและเปนศูน็ ย์กลาง การบริหารในบ้าน ครอบครัวเป็นสังคมพื้นฐาน บ้านเป็นโลกเริ่มแรกของ ลูกๆ เมอื่พ่อแมทำ ่ หน้าที่สมบูรณ์ดี และลูกๆ
ดำเนนิเข้าสู่วิถีชีวิตทีถู่กต้อง ครอบครัวมีความสุขเจริญงอกงาม 
ความดีงามและความสุขสันติ์ก็แผ่ ขยายออกไปในสังคมตามหลัก
อามิสสงเคราะห์และธรรมสงเคราะห์ ดังได้กล่าวมา ทำ ให้โลกอยู่ดีมีสันติสุข แม้ในทางพระศาสนาก็เหมือนกัน การที่ญาติโยมถวายปัจจัย ๔ และไทยธรรมตางๆ แ่ ก่พระสงฆ์ ในแงห่ นึ่งก็เปนอ็ ามิสสงเคราะห์เหมือนกนั แต่เป็นเรื่องของบุญกุศลที่มีความหมายเลยต่อไปถึงการบำ รุงรักษา


32  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล พระพุทธศาสนา ในเวลาเดียวกนนั ั้น พระสงฆ์กจ็ะสงเคราะห์ญาติโยมด้วย ธรรมสงเคราะห์ คือสงเคราะห์ด้วยธรรมเพื่อให้โลกนี้อยู่ในภาวะที่สมดุล หรือให้มีดุลยภาพเกดขึ้น ิ คือให้มี
อามิสและธรรม ๒ อยาง่ คู่กนัไป โดยเอา ธรรมมาช่วยเสริม ตรึง และนำทางแก่อามิส แต่ต้องยอมรับว่าโดยทั่วไป ความสมดุลอย่างนี้หาไม่ค่อยได้ เพราะคนมักทำ ไม่ครบถ้วน สังคมจึงมี ปัญหาอยู่เรื่อย อย่างน้อยก็รักษาความเจริญไว้ไม่ได้ พอสังคมหนักไปทาง อามิส
ด้านเดียวก็เกิดปัญหาทุกที มีปัญหาอย่างไร เจริญแต่วัตถุ ธรรมเจริญไม่ทัน ความเสื่อมจะตามมาเร็วพลัน ขอพูดถึงภาวะที่เป็นคู่กันอีกชุดหนึ่ง คือ ไพบูลย์ ๒ ไพบูลย์ คือ ความเจริญพรั่งพร้อม หรือความดาษดื่นแพร่หลาย ไพบูลย์ก็มี ๒ อย่าง เหมือนกันคือ ๑. อามิสไพบูลย์ ความเจริญพรั่งพร้อมทางวัตถุ มีสิ่งบริโภคใช้สอย แพร่หลายดาษดื่น ๒. ธรรมไพบูลย์ความเจริญพรั่งพร้อมทางธรรม มีความดีงาม ความชอบธรรม และความเป็นธรรมแพร่หลายทั่วถึงกัน ในสังคมมักจะมีปัญหาความไม่สมดุลระหว่างไพบูลย์ ๒ อย่างนี้อยู่ เสมอ ถ้าเราพัฒนาบ้านเมืองไปในทางวัตถุมาก เราก็จะมีอามิสไพบูลย์ คือ มีวัตถุสิ่งของเครื่องใช้พรั่งพร้อมจนกระทั่งถึงขั้นฟุ้งเฟ้อ ผู้คนชอบเป็นอยู่ หรูหราฟุ่มเฟือยและไม่รู้จักประมาณ จนกลายเป็นหมกมุ่นมัวเมา ถ้าไม่มี ธรรมไพบูลย์มาช่วยตรึงไว้และนำ ไปในทางที่ถูกต้อง คนเหล่านี้ก็จะเสื่อม


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 33 จากธรรม เช่นหมดความขยันหมั่นเพียรอดทน และขาดความสามัคคี เป็นต้น ทั้งๆ ที่ว่าธรรมเหล่านี้แหละได้ทำ ให้เขาสร้างไพบูลย์ขึี้นมาได้ เมื่อ ขาดธรรมเหล่านี้แล้ว เขาก็จะรักษาแม้แต่อามิสไพบูลย์ไว้ไม่ได้ นอกจาก นั้น เขากจ็ะแยง่ชิงกนั เบียดเบียนและเอารัดเอาเปรียบข่มเหงกนั ทำ ให้เกดิ ความไม่ปกติสุข สังคมเดือดร้อนระส่ำระสาย ในที่สุดอามิสไพบูลย์ก็ต้อง สูญสลายไป เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงเน้นว่าให้มีธรรมไพบูลย์ด้วย แต่โลกนี้ยากนักหนา เพราะว่า ในเวลาที่มีอามิสไพบูลย์แล้ว ก็มักจะเกิด ความประมาท ความพรั่งพร้อมสะดวกสบายมักชวนให้หลง ชวนให้มัวเมา พอหลงมัวเมาแล้วก็ละทิ้งธรรมไพบูลย์ เอาแต่อามิสไม่คิดถึงธรรม ฉะนั้นจะต้องระลึกไว้ โดยเฉพาะในหมู่ชาวพุทธจะต้องเตือนตนเอง และเตือนกนอัยเู่สมอวา ไม ่ว่า่จะทำอะไรจะต้องให้เกดิไพบูลย์ทัง้สองอยาง่ คู่กันไปเสมอ หลักพระพุทธศาสนาสอนไว้แล้วว่า อามิสทานต้องมีธรรม ทานควบคู่อามิสสงเคราะห์ต้องมีธรรม
สงเคราะห์ควบคู่อามิสไพบูลย์ต้อง มีธรรมไพบูลย์ควบคู่ พอมีครบคู่แล้วไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว อามิสไพบูลย์ จะไมเ่สียหาย เพราะอามิสไพบูลย์ทีมาพร้่อมกบธั รรมไพบูลย์ จะเปน็ ไปใน ทางเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือกัน และทำ ให้เกิดการสร้างสรรค์ที่ถูกทาง ทำ ให้มีความสุขมากยิ่งขึ้น แม้แตใ่นวงการพระศาสนาเราก็ต้องคอยตรวจสอบเหมือนกนั เพราะ ถ้ามีอามิสไพบูลย์แล้วไม่ระวังให้ดีก็ทำ ให้เกิดโทษมากเหมือนกัน ในวงการพระศาสนาปจจับุนนั เี้ปน็ทีร่กู้นอัยวู่า่ ประชาชนในเมืองไทย เราบำรุงพระสงฆ์กันมาก ประชาชนมีศรัทธาถวายทานแก่พระสงฆ์ ทั้ง ปาฏิบุคลิกทานคือถวายเจาะจงเฉพาะองค์ และสังฆทานคือถวายแก่สงฆ์


34  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล เป็นส่วนรวม เรามีพิธีทำบุญถวายทานประเภทต่างๆ มากมาย ทั้งกฐินทาน ทั้งทอดผ้าป่า ทั้งงานพิธีตามบ้าน ตามสถานที่ทางธุรกิจและราชการ มีงาน วัดและพิธีต่างๆ ไม่รู้ปีละกี่ครั้ง ทำบุญกันมากมายเหลือเกิน จนกระทั่ง พูดได้ว่า วงการพระศาสนาในเมืองไทยนี้มีอามิสไพบูลย์ แต่พอมีอามิสไพบูลย์ขึ้นแล้ว ถ้าไม่ระวังก็จะเกิดความประมาทขึ้น ทันที แล้วก็จะเกิดความหลง เกิดความมัวเมา อย่าว่าแต่ญาติโยมเลย พระสงฆ์เองก็มัวเมาเกิดความประมาทได้ เมื่อประมาทแล้วก็ไม่เอาใจใส่ ในธรรม มุ่งแต่จะหาวัตถุปรนเปรอตัวเองให้อยู่สุขสบาย เสร็จแล้วความ เสื่อมก็คืบคลานเข้ามา มองให้ถูก พระไม่ดี หรือคนร้ายมาทำ ลายศาสนา สภาพความเสื่อมนี้ในปัจจุบันญาติโยมพูดกันมาก เพราะมีข่าวร้าย ตางๆ มา่กมาย เรื่องอยาง่นพระี้สงฆ์กค็วรจะเอามาพูดบ้าง ไมงั่ ้นญาติโยม พูดฝ่ายเดียวจะกลายเป็นนินทาพระ แต่ถ้าพระเอามาพูดบ้างในฐานะ ทีเ่ปน็ผ้รู้เรูื่องทางธรรม พูดในทางแนะนำและหาทางแกป้ัญหา กจ็ะได้มีทาง ช่วยกันให้รู้จักวางใจได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เมื่อเรื่องร้ายๆ และปัญหา เกิดขึ้น พระจำเป็นต้องเอามาพูดให้โยมรู้ว่า ความเสื่อมเกิดขึ้นได้อย่างไร มีทางแก้ไขอย่างไร เราจะได้ช่วยกันป้องกัน และที่จริงนั้นตัวเราเองก็มี หน้าที่ด้วย เพราะว่า ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนเรามีหน้าที่ช่วยกัน ป้องกันพระศาสนา อย่างวันสองวันนี้ก็ได้ข่าวอีกแล้วรายใหม่อาตมาเองก็ไม่ได้อ่าน หนังสือพิมพ์ แต่ท่านมหาและหลวงลุงท่านก็อ่านและท่านเล่าให้ฟังว่า มีพระองค์หนึ่งไปหลอกร้านค้าเพชร เอาเพชรไปแล้วไม่จ่ายเงินให้แก่เขา


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 35 จำนวนเป็นล้านๆ บาท และขอประทานอภัยก็ไปทำศิวลึงค์นำ ไปแจกใน ต่างประเทศ พอฟังหรืออ่านข่าวพระประพฤติอย่างนี้แล้วโยมก็อาจจะ พูดว่า พระไม่ดี พระเสียหาย พระหลอกลวง พระเหลวไหล ไม่น่านับถือ จากพระไม่ดี ก็เลยพาลพาโลต่อไปว่าพระพุทธศาสนาไม่ดี แล้วก็จะไม่ นับถือพระ จะเลิกนับถือพระพุทธศาสนา ที่จริงนั้น พระพุทธศาสนาเป็นของเรา ไม่ใช่เป็นของพระองค์นั้น เพราะว่าคนที่จะมีสิทธิเป็นเจ้าของพระพุทธศาสนานั้นจะต้องเป็น พุทธบริษัท พุทธบริษัทก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ของชาวพุทธอย่างถูกต้อง ถ้าเป็น พระก็ต้องเป็นพระที่ประพฤติปฏิบัติและทำหน้าที่ของพระอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เป็นคฤหัสถ์ที่ทำหน้าที่ของชาวบ้านอย่างถูกต้อง ถ้าเราทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนถูกต้อง เราเองนี่แหละเป็นเจ้าของ พระพุทธศาสนา ในทางตรงข้าม พระก็ตาม ญาติโยมก็ตาม แม้จะประกาศตนเป็น ชาวพุทธ แตถ้า่ ปฏิบัติตนไมถู่กต้อง ทำตัวเหลวไหล ก็ไมมี่สิทธิเปน็เจ้าของ พระพุทธศาสนา ควรจะระแวงว่าเป็นคนร้ายที่แฝงซ่อนเข้ามาหาประโยชน์ จากพระศาสนา ที่เรียกกันว่าเข้ามาปล้นศาสนา เพราะฉะนั้น พระที่ประพฤติเลวทรามเหล่านั้นเราไม่ถือว่าเป็น เจ้าของพระพุทธศาสนา โยมจะต้องไม่มองว่าเป็นพระประพฤติชั่ว โยมจะต้องมองว่าคนชั่วเข้ามาทำลายพระศาสนา ถ้าเราวางใจให้ถูกต้อง อย่างนี้แล้วพระศาสนาก็จะดีขึ้น เราจะต้องมีความรับผิดชอบ ต่อพระ ศาสนา อย่าถือธุระไม่ใช่อย่ายกสมบัติของเราให้เขาไป อาตมาเคยเปรียบเทียบบ่อยๆ ว่า ถ้ามีโจรเข้ามาปล้นบ้านแล้ว เรา ยกสมบัติให้โจรไปเลย อย่างนี้ถือว่าวิปริตใช่ไหม ที่ถูกนั้นเราก็ต้องรักษา


36  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ทรัพย์สมบัติของเรา แต่ที่เป็นกันเวลานี้เราก็ทำ วิปริตกันอยู่โดยไม่รู้ตัว คือ ทั้งๆ ที่พระศาสนานี้เป็นของเรา แต่พอมีโจรคือคนที่แฝงตัวมาในเพศ ของพระประพฤติไม่ดี ทำ เสียหาย เปน็ โจรปล้นศาสนา พอมีโจรเข้ามาปล้น พระศาสนาของเราอย่างนี้ แทนที่เราจะช่วยกันรักษาพระศาสนาของเราๆ กลับยกศาสนาให้โจรไปเสียนี่อย่างนี้เขาเรียกว่ายกสมบัติให้โจร เพราะ ฉะนั้นอยาทำ ่อยาง่น เราี้กำลังทำผิดพลาด ต้องทำ ใจให้ถูกต้อง เราต้องรักษา พระพุทธศาสนาของเรา ดูให้ดี ปัญหาอยู่ที่คนร้าย หรืออยู่ที่ตัวเรา พระพุทธเจ้าทรงระวังมากในเรื่องอามิสไพบูลย์ และธรรมไพบูลย์ ทรงเตือนให้เตรียมสร้างธรรมไพบูลย์ไว้ให้พร้อม และให้ไม่ประมาทในเวลา มีอามิสไพบูลย์ เช่น ก่อนที่จะปรินิพพานพระองค์ ก็ได้ทรงวางเงื่อนไข ไว้ว่า ต้องให้พุทธบริษัททุกฝ่ายมีคุณสมบัติอย่างน้อย ๓ ประการ จะเป็น พระคือภิกษุหรือภิกษุณีก็ตาม เป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ตาม ทุกคนควร จะมีคุณสมบัติ ๓ ประการต่อไปนี้จึงจะถือว่ามีธรรมไพบูลย์ที่จะทำ ให้ พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ยืนยาวได้ พระพุทธเจ้าทรงวางเงื่อนไข ๓ ประการนี้ไว้ในตอนจะรับอาราธนา ปรินิพพาน มีเรื่องว่ามารมาอาราธนาพระพุทธเจ้าปรินิพพาน พระองค์ ตรัสว่าจะยังไม่ปรินิพพาน และพระองค์ก็ทรงวางเงื่อนไขไว้สามประการ ต่อมาครั้งสุดท้ายมารก็มาอาราธนาอีกโดยทวงว่าเงื่อนไขที่พระองค์ได้ทรง วางไว้นั้นสมบูรณ์แล้ว ขอนิมนต์ปรินิพพานได้ พระพุทธเจ้าก็ทรงสำรวจดู ปรากฏวาเง่ ื่อนไขทีพระ่องค์ทรงกำหนดไว้ ๓ ประการ ครบแล้วจริง พระองค์ ก็เลยรับอาราธนาปรินิพพานแล้วทรงปลงพระชนมายุสังขาร คือตกลง


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 37 พระทัยว่าจะปรินิพพาน ในที่นี้สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าการปลงพระชนมายุ สังขาร ก็คือเงื่อนไข ๓ ประการนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ว่า พุทธบริษัททุกประเภท คือทั้ง ๔ พวก จะต้องมีความสามารถที่จะ ดำรงพระศาสนาได้ พระองค์จึงจะปรินิพพาน มิฉะนั้นพระองค์ก็จะต้อง ทำหน้าที่ของพระศาสดาต่อไป หมายความว่าพระองค์ทรงฝากพระศาสนา ไว้กับบริษัท ๔ ที่มีความสามารถ ๓ ประการ ความสามารถ ๓ ประการนี้ มีอะไรบ้าง ๑. ภิกษุ ภิกษุณี อบุาสกอบุาสกิาจะต้องรู้หลักธรรม เข้าใจคสำงั่สอน ของพระองค์แล้วนำ ไปปฏิบัติได้ถูกต้อง พูดสั้นๆ ว่า รู้คำสอนและปฏิบัติ ได้ถูกต้อง ๒. ให้สามารถยิ่งกว่านั้นอีก คือ นอกจากรู้เข้าใจปฏิบัติได้ถูกต้อง ด้วยตนเองแล้ว ยังนำ ไปบอกกล่าวชี้แจงสั่งสอนคนอื่นได้ด้วย คนที่จะไป บอกกล่าวแนะนำสั่งสอนชี้แจงคนอื่นได้นั้น (๑) จะต้องมีความสามารถที่จะแนะนำสั่งสอน และ (๒) ต้องมีนํ้ำ ใจประกอบด้วย เมตตากรุณา บางคนถึงจะมีความ สามารถแตไม่ มี่ นํ้ำ ใจกรุณา ก็ไมใ่ ส่ใจที่จะสอนก็ไมไ่ด้ผลเหมือนกนั จึงต้อง มีทั้งนํ้ำ ใจ ต้องมีทั้งความสามารถ แล้วก็เอาธรรมไปแนะนำสั่งสอนแก่คน อื่นต่อไป ๓. ข้อสุดท้ายว่า ถ้ามีการจาบจ้วง คำว่าจาบจ้วงนี่เป็นภาษาโบราณ หมายความว่ามีการกล่าวร้ายต่อพระศาสนา หรือมีการสั่งสอนลัทธิที่ผิด จากธรรมผิดจากพระวินัยขึ้น ก็สามารถกล่าวแก้ชี้แจงกำราบได้ เรียกว่า กำราบปรัปวาทได้


38  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล เงื่อนไขคุณสมบัติของพุทธบริษัท ๓ ประการนี้เราจะต้องเอามาใช้ เปน็เกณฑ์มาตรฐานสำหรับสำรวจตรวจสอบพุทธศาสนกชนิวา ่จะสามารถ รักษาพระศาสนาได้หรือไม เพราะว่าเม่ ื่อตรัสหลักการ ๓ ประการนี้ก็เทา่กบั วา พระพุท่ธเจ้าก่อนจะปรินิพพาน ได้ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้แก่เราแล้ว ถ้าพุทธศาสนิกชนไม่มีคุณสมบัติ ๓ ประการนี้แล้วก็จะรักษาศาสนาของ พระพุทธเจ้าไว้ไม่ได้ พระ พุทธศาสนาก็ต้องเสื่อมแน่นอน เราไม่ต้องไปคำนึงมากนัก เรื่องพระที่ประพฤติเสียหายอะไรนั้น เป็นเรื่องรองลงไป คุณสมบัติ ๓ อย่างของตัวเราเองนี้แหละสำคัญกว่า เรื่องพระประพฤติเสียหายทำ ไม่ดีนั้น ถ้ามีขึ้นมาเราถือว่าเป็นโจร เป็น คนร้ายเข้ามาทำลายพระศาสนา เราก็ต้องช่วยกันรักษาพระศาสนา เพราะ พระศาสนานเี้ปนส็มบัติส่วนรวมของเรา แตถ้าเราไม ่ มี่คุณสมบัติ ๓ อยาง่นั้น โจรจะเข้ามาหรือไม่ เราก็จะรักษาพระศาสนาไว้ไม่ได้ ดีร้ายตัวเราอาจจะ กลายเปน็ โจรไปเสียเอง แตถ้าเรามี ่คุณสมบัติสามประการนแล้วเรา ี้ก็รักษา พระศาสนาของเราไว้ได้ ขอทวนอีกครั้ง ๑. รู้เข้าใจธรรมวินัย และปฏิบัติได้ถูกต้องด้วยตนเอง ๒. มีความสามารถและเอาใจใส่ที่จะบอกกล่าว ชี้แจงสั่งสอนธรรม แก่ผู้อื่น ๓. เมื่อมีลัทธิคำสอนที่ผิดพลาดแปลกปลอมขึ้นมาก็สามารถกล่าว ชี้แจงกำราบได้ สามประการนี้แหละเป็นธรรมไพบูลย์ ซึ่งจะทำ ให้พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรือง เพียงแต่เราปฏิบัติถูกต้อง ธรรมก็ไพบูลย์อยู่ในตัวเราแล้ว เมื่อเราเอาไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่นให้รู้และปฏิบัติกันกว้างขวางยิ่งขึ้น ธรรม ก็ไพบูลย์กว้างขวางออกไปทุกที แม้จะมีคำสอนอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นมา ก็ชี้แจงแก้ไขได้ อุปสรรคก็หมดไป
นี่แหละเป็นธรรมไพบูลย์ที่แท้จริง


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 39 ถ้าธรรมไพบูลย์นำ หน้า อามิสไพบูลย์ก็พาสู่สันติสุข ฉะนั้น ตามหลักทีถู่กต้อง เมื่อมีอามิสไพบูลย์ก็ต้องให้อามิสไพบูลย์ นั้นเปน็พื้นฐานแก่ธรรมไพบูลย์ เวลานใี้นบ้านเมืองของเราทีเ่คยมีเศรษฐกจิ ดีพอสมควร สถานการณ์ก็เปลีย่นไปคนทียา่กจนก็มากคนทีมั่งมี่ก็ตกยาก พบความทุกข์กันอย่างทั่วถึง ซึ่งจะต้องเข้มแข็งมีกำลังใจแก้ไขปัญหากัน ต่อไป แต่อยาง่นอ้ยเราก็ไดส่ ้วนหนึ่ง เพราะถ้าเทียบกบบัางประเทศประเทศ เราก็มีฐานะเศรษฐกิจดีไม่น้อย คนไทยเราเคยอยู่กันสุขสำราญ ถึงขนาด ทีว่า่ ฟุ้งเฟอฟ้ ุ่มเฟอืยเลยเถิดไป พอตกต ํ่ำลงมา ทังที้ยัง่ดกีวาหลาย่ ประเทศ ก็รู้สึกเป็นทุกข์หนัก ปัญหาอยู่ที่ว่า ในยามที่พรั่งพร้อมสุขสบาย เราเอา สภาพอามิสไพบูลย์ ทีมี่ความพรังพร้่อมทางวัตถุนั้นมาเปน็ฐานให้แก่ธรรม หรือเปล่า หรือเกิดความหลงละเลิงมัวเมาไปในทางตรงข้าม อันนี้เป็น จุดแยกที่สำคัญ ถ้ามีความพรั่งพร้อมทางวัตถุแล้ว ความพรั่งพร้อมของวัตถุกลาย เป็นปัจจัยให้เราเกิดความประมาทมัวเมา อันนั้นก็เป็นทางเสื่อม แต่ถ้าเอา อามิสไพบูลย์ที่มีวัตถุพรั่งพร้อมนั้นมาเป็นอุปกรณ์เสริมธรรม สร้างสรรค์ ความดีงามทำประโยชน์ให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข มีความสามัคคีกัน ก็กลายเป็นความเจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปอีก
การกระทำอย่างนี้ก็เหมือน อย่างพระเจ้าอโศกมหาราชตอนที่พระองค์มีอำนาจและกลับพระทัยหันมา ประพฤติธรรมแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ตอนแรกพระองค์ก็เป็นราชาที่เหี้ยมโหด เรียกวา พระเ่จ้าจัณฑาโศก แปลวา่อโศกผดู้ ุร้าย คือคดิแต่จะแสวงหาความ ยิ่งใหญ่และการบำรุงบำเรอความสุขของตน ยกกองทัพไปรุกรานรบรา


40  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ฆา่ ฟนปัระเทศอื่น เพื่อตัวจะได้เปน็ ใหญ และแย่ง่ชิงทรัพย์สมบัติของคนอื่น พอปราบเขาได้ตนเองก็เป็นใหญ่สมปรารถนา แต่เมื่อพระองค์ได้มา สดับธรรมก็เปลี่ยนพระทัยกลับใจใหม่ แลเห็นว่าเราจะแสวงหาทรัพย์ สมบัติหาความยิ่งใหญ่ไปทำ ไม ไม่มีสาระแท้จริง แล้วยังก่อความทุกข์ยาก เดือดร้อนแก่คนมากมาย แต่ก่อนนหาทรัพย์ ี้สมบัติมาเพื่อบำรุงบำเรอปรนเปรอตนเอง และไป ปราบปรามเขาเพื่อตัวจะได้เปน็ ใหญ แต่ต่อนนเห็ ี้นวาทรัพย์และ ่อนำาจไมมี่ ความหมาย มองเห็นว่าเป็นการไม่ถูกต้องชอบธรรมที่จะไปแย่งชิงเงินทอง เขาและไปปราบปรามเบียดเบียนเขา ทีนี้ พระเจ้าอโศกจะทำอย่างไร ลองทายกันดู พระเจ้าอโศกจะสละ ทรัพย์สมบัติและสละความยิ่งใหญ่นั้นทั้งหมด หรืออย่างไร พระเจ้าอโศก คิดออกว่าไม่จำเป็น ไม่ต้องสละโภคทรัพย์และความยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ เปลี่ยนใหม่ เอาทรัพย์สมบัติและอำนาจความยิ่งใหญ่มาเป็นอุปกรณ์ของ ธรรม แต่ก่อนนี้ ใช้ทรัพย์และอำนาจเป็นเครื่องมือหาสิ่งบำเรอความสุข สำราญของตนและแสดงความยิ่งใหญ่ แต่คราวนี้เอาทรัพย์และอำนาจนั้น มาใช้ในแนวทางใหม่ให้เป็นเครื่องมือแผ่ขยายธรรม สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม และประโยชน์สุข แก่ประชาชนและโลกทั้งหมด การปฏิบัติของพระเจ้าอโศกนี้ เป็นคติสำคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติ ธรรมในเรื่องทรัพย์สมบัติและยศศกดั ิ์อนำาจคนบางคนมีความคดดิ ี มีสติ ปัญญาความสามารถ แต่ไม่มีทรัพย์สินเงินทอง ไม่มีอำนาจ จะทำอะไร ก็ทำ ได้นิดเดียวและสำ เร็จยาก เพราะไม่มีเครื่องมือในการทำ งาน ไม่มีคน เชื่อฟัง แต่ในทางตรงข้าม ถ้ามีทรัพย์และอำนาจ พอมีความคิดดีๆ ก็เอา


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 41 ทรัพย์และอำนาจนั้นมาใช้ในทางทำความดีและทำการสร้างสรรค์ ก็ออก เป็นงานเป็นการได้ผลดีอย่างกว้างขวางและสำ เร็จทันทีเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเรารู้จักใช้ คือเอามาเป็นเครื่องมือของธรรม หรือรับใช้ธรรม ทรัพย์สิน เงินทองและอำนาจก็กลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ พระเจ้าอโศกก็ได้เปลี่ยนทันทีว่า ต่อไปนี้จะเอาทรัพย์สมบัติและ อำนาจมาใช้เป็นอุปกรณ์เผยแผ่ธรรม ขยายความดีงามและประโยชน์สุข ออกไปในโลก ทรงประกาศไว้ในศิลาจารึกมีสาระสำคัญ ว่า ยศ (ความ ยิ่งใหญ่อำนาจ ตลอดจนทรัพย์สมบัติ) ไม่มีความหมาย ถ้ามันไม่เป็นไป เพื่อช่วยให้คนประพฤติธรรม เพราะฉะนั้น พระองค์ก็เลยส่งเสริมการ เผยแผ่ธรรม สนับสนุนการประกาศพระศาสนาเป็นการใหญ่การที่เราได้ พบเห็นพระพุทธศาสนาในประเทศไทย 
ก็เป็นผลมาจากการปฏิบัติธรรม ของพระเจ้าอโศก ที่ได้ทรงใช้ทรัพย์สมบัติและยศอำนาจในทางที่ถูกต้อง ตามหลักธรรม คือใช้เป็นอุปกรณ์เผยแพร่ธรรม ทดแทนไม่สิ้น คือพระคุณพ่อแม่ จะตอบแทนให้แน่ ต้องเลี้ยงทั้งกายและใจของท่าน ตามทีไ่ด้พูดมาทังหม้ดนี้ก็เพื่อให้เห็นวา ่คนเราจะอยู่กนัในโลก ไดด้ี ก็ต้องอยู่ด้วยการสงเคราะห์ ๒ ประการ คือ อามิสสงเคราะห์โดยมีธรรม สงเคราะห์ด้วยสำหรับอามิสสงเคราะห์นั้นในแต่ละครอบครัวก็เริ่มมาจาก บิดามารดา คือคุณพ่อคุณแม่ของเรา และถ้าท่านให้ธรรมสงเคราะห์ด้วย ในบ้านเรือนในครอบครัวก็อยู่เย็นเป็นสุข ลูกหลานก็มีความสามัคคีกัน ลูกหลานนั้นก็จะเอาอามิสสงเคราะห์และธรรมสงเคราะห์ออกไปเผยแผ่


42  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ขยายกว้างขวางออกไปด้วย เมื่อแต่ละครอบครัวปฏิบัติได้ตามหลัก อย่างนี้ประชาชนทั่วทั้งสังคมก็จะอยู่กันร่มเย็นเป็นสุข คุณพ่อคุณแม่ ท่านได้ริเริ่มไว้แล้ว คือท่านได้ให้ทั้งอามิสสงเคราะห์ และธรรมสงเคราะห์แก่ลูกหลาน ก็หวังว่าลูกหลานจะได้นำเอาอามิส สงเคราะห์ และธรรมสงเคราะห์นั้นไปเผยแพร่ให้ขยายกว้างขวางออกไป เพื่อความสุขความร่มเย็นทั้งในครอบครัวของเรา และในชุมชนตลอดจน สังคมทั้งหมดด้วย โดยเฉพาะก็เริ่มอามิสสงเคราะห์และธรรมสงเคราะห์นั้น ที่ในบ้าน หรือในครอบครัวของเรานี่แหละ คือทำการเลี้ยงดูตอบแทนพระคุณ ของพ่อแม่ วิธีตอบแทนพระคุณพ่อแม่นั้น ทำ ได้หลาย
ขั้นหลายทาง แต่ อย่างน้อยที่สุดก็ให้ได้ข้อปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ในหลัก การไหว้ทิศเบื้องหน้า ๕ ประการ คือ ๑. ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบ ๒. ช่วยทำกิจธุระการงานของท่าน ๓. ดำรงวงศ์สกุล ๔. ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน เมื่อว่าโดยสาระสำคัญ ก็คือเอาใจใส่ให้ท่านมีความสุข โดยเฉพาะ ด้วยการรู้จักรักษานํ้ำ ใจของท่าน ให้ท่านได้ความสุขจากลูก เพราะพ่อแม่ นั้น ทา่นรักลูกเปน็ที่สดุ ทา่ นจึงฝากความสขุไว้ทีลู่กอยางมา่ก ทา่นอยากให้ ลูกมีความสุขความเจริญงอกงาม เมื่อลูกมีความสุขความเจริญงอกงาม


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 43 ท่านก็มีความสุข เพราะฉะนั้น ถ้าลูกตั้งใจประพฤติตัวดี ขยันหมั่นเพียร เลาเรีย ่ นศึกษา ตังใ้จทำการงาน
ให้ก้าวหน้า ทา่นก็พลอยดีใจปลมใื้ จมีความ สขุ แตถ้าล ่ ูกประพฤติตัวไม่ดี ทำความชวเั่ สื่อมเสียหาย ไมเ่อาใจใส่ทำหน้าที่ ของตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าเรียนศึกษา หรือการทำการงาน หรือการเป็น อยทัู่ วไ่ปกจ็ะทำ ให้ทา่นหนกัใจหดหหู่ ่อเหียวใ ่จกระทบกระเทือนใจ เสียใจ เป็นการทำ ร้ายท่านแม้โดยไม่ได้ตั้งใจ ฉะนั้นลูกๆ จึงจะต้องตั้งใจทำตัว ให้ดี โดยคิดว่า เราจะทำ ให้พ่อแม่ของเรามีความสุข
เอิบอิ่มปลาบปล ื้มใจ ลูกทำ ได้อย่างที่ว่ามานี้ก็ดีอย่างยิ่งแล้ว แต่ยังมีทางทำ ให้ดียิ่งกว่านี้ อีกคือ ตอบแทนคุณพ่อแม่ในขั้นสูงสุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถึงแม้ว่าลูกจะรักพ่อแม่มาก ตั้งใจทะนุถนอม เลียงท้า่นด้วยทรัพย์สนิเงินทองวัตถุบำรุงบำเรอให้พรังพร้่อมสะดวกสบาย อยาง่บริบูรณ์ที่สดุ ไมให้ท ่า่นต้องลำบากเหนด็เหนื่อยกระทบกระเทือนเลย แม้แต่นดิเดียว ก็ยังไม่ชื่อวาต่อบแทนคุณพ่อแมไ่ดจ้ริง แตเม่ ื่อใดลูกหาทาง ทำ พ่อแม่ที่ไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธา ทำ พ่อแม่ที่ไม่มีศีล ให้มีศีล ทำ พ่อแม่ที่ ไม่มีจาคะ ให้มีจาคะ ทำ พ่อแม่ที่ไม่มีปัญญา ให้มีปัญญาได้ เมื่อนั้นแหละ ลูกจึงจะชื่อว่าตอบแทนคุณพ่อแม่ได้แท้จริง เพราะฉะนั้น ลูกจึงควรหาทางช่วยให้พ่อแมไ่ด้เจริญพัฒนาชีวิตจิตใจ ของทา่นมากๆ ขึ้นช่วยจดัแจงขวนขวายเพื่อให้ทา่นเจริญด้วยศรัทธา ด้วย ศีล ด้วยสุตะคือความรู้ด้วยจาคะคือความเสียสละทำประโยชน์ และด้วย ปัญญา พูดงายๆ ว่าเ่จริญด้วยบุญกศุล 
ช่วยทำทางข้างหน้าของทา่นให้เปน็ ทางแหง่สวรรค์ และอมฤตนิพพาน ให้ทา่นมีจิตใจดีงามไม่ข่นุมัวเศร้าหมอง มีแต่ความสดชื่น ร่าเริง เบิกบาน ผ่องใส ถ้าลูกทำ ได้ถึงขั้นนี้ก็เรียกว่าเป็น


44  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล บุตรธิดาที่ประเสริฐ เลิศล ํ้า เพราะได้ช่วยให้พ่อแม่ได้สิ่งที่มีคุณค่าแท้จริง แก่ชีวิตของท่าน วันนทุี้กทา่นตังใ้จเปนบ็ุญเปนก็ศุล ประกอบด้วยศรัทธาและเมตตา สำหรับลูกหลานเองก็ประกอบด้วยศรัทธาในพระศาสนา จึงทำบุญทำกุศล และประกอบด้วยกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อคุณพ่อคุณแม่ ส่วนญาติมิตร ก็มาด้วยเมตตาและไมตรีธรรม โดยมีความรักความปรารถนาดีต่อลูกหลาน และส่วนมากก็เป็นญาติมิตรกันทั้งนั้น เมื่อท่านได้ทำสิ่งดีงามเหล่านี้เป็นบุญกุศลแล้ว ก็ขอให้มีใจบันเทิง ยินดีว่าเราได้ทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง และทำจิตใจให้เบิกบานสงบผ่องใส จึงขอเชิญชวนลูกหลานและญาติมิตรไดป้ฏิบัติดังที่กลาวมา ่ ในการ ที่จะตั้งใจนำเอาหลักธรรม ทั้งส่วนอามิสสงเคราะห์ และธรรมสงเคราะห์ ไปปฏิบัติเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของครอบครัววงศ์ตระกูลและสังคม สืบต่อไป สุดท้ายนี้ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัยอวยชัยให้พร รตนตฺตยานุ- ภาเวน รตนตฺตยเตชสา ด้วยเดชานุภาพคุณพระพุทธเจ้า 
คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ พร้อมทัง้บุญกศุลทีไ่ดบ้ ำ เพ็ญแล้ว 
ขอให้คุณโยมเจ้าของ วันเกิด มีกำลังแข็งแรงพร้อมด้วยสุขภาพพลานามัย มีจิตใจเอิ่มอิ่มผ่องใส ด้วยกำลังแหง่บุญกศุล ประสบ
สิริสวัสดิพิพัฒนมงคลชัย เปน็มิง่ขวัญและ กำลังใจของลูกหลาน
ทั้งหลาย อย่างยั่งยืนนาน และขอให้ลูกหลานและ ญาติมิตรทั้งหลาย มีความเจริญงอกงาม ในการดำเนินชีวิตและปฏิบัติกิจ หน้าที่การงานให้ประสบความสำ เร็จก้าวหน้า และมีความรมเย็ ่นเปนส็ขุใน พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทัว่กนัทุกทา่นตลอดกาลยังย่ืนนาน


พ่อแม่สมบูรณ์แบบ และบุตรที่ประเสริฐที่สุด พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย, การบรรยายประจำ วันเสาร์ แห่งภาควิสาขบูชา เป็นครั้งที่ ๑๐ ใน วันนี้อาตมาก็จะได้กล่าวถึง 
สิ่งสำคัญที่พากันมองข้าม ต่อไปตามเดิม; เฉพาะในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า พ่อแม่สมบูรณ์แบบ. โลกยังขาดพ่อแม่สมบูรณ์แบบ. นี้หมายถึง พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบยังเป็นสิ่งท ี่เราพากันมองข้าม ว่า เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับความอยู่รอดของมนุษย์ คือเป็นสิ่งสำคัญ ในการที่ มนุษย์จะมีความปลอดภัย มีความเป็นอยู่ประกอบไปด้วยสันติภาพหรือ สันติสุข. เหมือนทุกๆ เรื่องที่แล้วมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ถ้าเราพากัน มอง ข้ามสิ่งเหล่านี้แล้ว มันก็ดับทุกข์ได้ยาก หรือมัน จะก่อปัญหาแห่งความ ทุกข์ ให้เกดขึ้น ิ ไมมีที ่ ่สิ้นสดุ หรือวา่จะริเริม่ก่อปัญหาขึ้นมา ก็แล้วแต่กรณี. การที่มนุษย์เราในโลกนี้ ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ก็มีเหตุ ปัจจัยหลายอย่าง แต่อย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมาก ก็คือ ยังขาดพ่อแม่สมบูรณ์ แบบคือขาดบดิามารดาทถูก ี่ ต้องตามแบบแห่งพระธรรม หรือถูกต้องตาม หลักของพระธรรม. * พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) บรรยายเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๒๒ ณ วัดธารนํ้ำ ไหล (สวนโมกข์) อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี


46  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ข้อนี้จะต้องพูดกันเสียก่อนว่า ไม่ใช่ว่าอาตมาจะโทษใคร หรือจะให้ ชวนกันถือว่า เป็นความผิดของใคร แต่มันเป็นสิ่งที่เป็นไปตามเหตุตาม ปจจั ัยอยใู่ นโลกในเวลานทีี้ว่ าโล่กขาดบดิามารดาที่สมบูรณ์แบบ เหตปุัจจัย ท ี่ทำ ให้โลกเราขาดบิดามารดาที่สมบูรณ์แบบนั้นสก็มีอยู่มากเหมือนกัน มีเหตุปจจั ัยหลายๆ อยาง : ่อยางว่า่สงติ่างๆ มั ่นเปน็มา ในลักษณะที่ซบซัอน้ ยุ่งเหยิงมากขึ้น หรือว่า การอบรมสั่งสอนในขั้นพื้นฐานนั้นไม่พอ. เช่นว่า การศึกษาไม่พอที่จะทำให้มนุษย์รู้ว่า ตัวเองเกิดมาทำไม? ควรจะได้อะไร? โดยวิธีใด? อย่างนี้มันก็ไม่พอ, มันไม่มี, คนเหล่านั้นเป็น บิดามารดาขึ้นมาก็ไม่อาจจะสอนให้ลูกเด็กๆ รู้ว่า เกิดมาทำ ไม? ควรจะได้ อะไร? และโดยวิธีใด? ดังนี้เป็นต้น, เพราะการศึกษามันไม่พอ. การศึกษาไม่พอ นี้ก็ไม่รู้จะไปโทษใครอีกเหมือนกัน, เพราะว่าไม่มี ใครอาจจะรับผิดชอบได้, เพราะว่าสิ่งทั้งหลาย มันก็เป็นไปตามเหตุตาม ปัจจัย บ้านเมืองของเรา, บุคคลของเรา, การงานของเรา, ก็เป็นไปตามเหตุ ตามปจจั ัย; ไมมีใ ่ครที่จะควบคุมบังคบัไว้ได้ มันจึงไมมี่ความสมบูรณ์แบบ. เราจึงมีการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์แบบ, มีการงานการกระทำ ไม่สมบูรณ์แบบ, กระทั่งมีครอบครัวมีบิดามารดา คนแก่คนชรา ล้วนแต่ไม่สมบูรณ์แบบ; มันขาดตกบกพร่องอยาง่นั้นอยาง่นไี้ปตามเรื่อง โลกมนษุย์มันก็เปนอ็ยาง่น.ี้ ปัญหาต่างๆ มีขึ้นเพราะขาดความเชื่อฟัง. ทีนี้อาตมาก็มองเห็นไปในทางที่ว่า ถ้าเรามีบิดามารดาสมบูรณ์แบบ ปัญหาเหลา่นี้กจ็ะไมเ่กดขึ้น ิ. เราควรจะได้พิจารณากนดูั ให้ดีถงึสงที ิ่เรีย่กวา ่ บิดามารดาสมบูรณ์แบบ แม้วา่จะ ไม่ใช่สงิ่ทจะี่ทำเอาได้เดี๋ยวนี้ หรือจะหวัง


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 47 ได้โดยง่ายก็ตาม; เราก็ควรจะนึกถึง และเอามาพิจารณากันดู ให้เป็นที่ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง. ถ้าบดิามารดาสมบูรณ์แบบ ลูกเด็กๆ ก็จะเป็นมนุษย์ทเริ ี่ มจะ่สมบูรณ์ แบบมาแต่เล็ก, แล้วก็จะสมบูรณ์แบบได้ ในที่สุดมนุษย์ก็ไม่มีปัญหา. เดี๋ยวนมี้นษุย์มีแต่ปัญหา พูดกนัไมรู่้เรื่อง สอนกนัไมไ่ด้ จนกระทังว่า่ ยุคนี้ไม่มีบิดามารดา ที่บุตรจะเชื่อฟัง, ไม่มีครูบาอาจารย์ ที่ศิษย์จะเชื่อฟัง กระทังว่ าไม่ มีรัฐ ่บาลที่ประชาชนรักใครยิ่นดีรวมม่ ือด้วยอยางเต็มที ่ ่อยาง่นี้ เป็นต้น. บิดามารดาเป็นได้ ๒ ความหมาย คือทางกายและวิญญาณ. คำว่า พ่อแม่ หรือ บิดามารดา นี้ขอให้ทำความเข้าใจกันให้ถึงที่สุด วามี ่อย ๒ ู่ ความหมายคือบิดามารดาในทางกายทีให้ ่กำเนดิมาในทางกาย, แล้วก็บิดามารดาในทางจิตทางวิญญาณ ที่ให้เกิดความรู้ แสงสว่างอัน ถูกต้อง ทางจิตทางวิญญาณขึ้นมา ซึ่งกลายเป็นการเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือ เกิดโดยธรรมะ, เกิดโดยแสงสว่างของพระธรรม. ท่านลองสังเกตดูให้ดีว่า คนเรานี้จะมีการเกิด ๒ หน อย่างนี้ เสมอไป : เกิดมาจากบิดามารดาก็เสร็จไปแล้ว, ทุกคนก็เกิดเสร็จแล้ว; แต่ทีนี้การที่จะเกิดโดยทางจิตใจเป็นมนุษย์ที่ดี ที่ถูกต้อง ตามความหมาย แห่งความเป็นมนุษย์นั้นบางคนยังไม่ได้เกิดด้วยซ้ำ ไป, บางคนก็เกิดผิดๆ ไปเป็นมนุษย์ที่เลว คือไม่ใช่มนุษย์เสียก็มี. การเกิดครั้งท ี่ ๒ น ี้ จะเรียกว่า การเกิดในทางวิญญาณ.


48  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล เมื่อ การเกิดมี ๒ ชนิด อย่างนี้บิดามารดาก็ต้องมี ๒ ชนิดไป ด้วยกันคือบิดามารดาในทางกายและบิดามารดาในทางวิญญาณ. บิดามารดาทางร่างกาย ก็รู้กันอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบาย ว่า ใครเป็น ลูกของพ่อแม่คนไหน ก็มีพ่อแม่นั้นเป็นบิดามารดา; ส่วนการเกิดทาง วิญญาณนมี้องเห็นยาก ไมรู่้วาเ่กดิเมื่อไร, เกดิโดยใคร; เพราะเปน็เรื่องทาง จิตใจ ไม่เห็นตัว ต้องสังเกตเอาเองว่า เรามีแสงสว่างอันถูกต้องเกิดขึ้น ในใจสำหรับความเป็นมนุษย์ของเรานี้ เมื่อไร โดยใคร ที่ไหนก็ขอให้ลอง คิดดู. พระพุทธเจ้าทรงเป็นบิดาทางวิญญาณด้วย. ทีนี้ยังมี การเกิดอย่างพิธีรีตอง เช่นว่า มาบวชพระบวชเณร นี้ก็ ถือว่าเกิดเหมือนกัน, เกิดอีกแบบหนึ่ง; อาจจะไม่ใช่เกิดทางวิญญาณก็ได้ เพราะว่า บวชกันอย่างหลับหูหลับตา ตามขนบธรรมเนียมประเพณี มันก็ เป็นการเกิดอีกชนิดหนึ่ง เกิดมาเป็นภิกษุสามเณรสักว่าโดยลักษณะ โดย วรรณะภายนอก. อันนี้ก็แล้วแต่ว่า การบวชของคนนั้นเป็นอย่างไร; ถ้าเป็นเรื่อง บวช ตามธรรมเนียม มันก็ เป็นเรื่องภายนอก ก็สงเคราะห์ไว้ เหมือนกับว่าการ เกิดทางกายก็ยังได้, ทางรูปร่างภายนอก. แตถ้าว ่าเ่ขาได้ เป็นพระเป็นเณร ท ี่แท้จริง สมตามความหมายของการบรรพชาแล้ว ก็เรียกว่า เกิดในทาง วิญญาณก็ได้; ก็มีพระพุทธเจ้าเป็นบิดาให้เกิดในทางวิญญาณ. ในบรรดา การเกิดทางวิญญาณกันนี้ เราจะต้องถือว่า พระพุทธองค์เป็นบิดาในขั้น สูงสุด.


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 49 มีคำกล่าวที่เข้าใจยากได้ยินว่า เป็นพุทธภาษิต ด้วยเหมือนกัน ว่า พระสารีบุตรเป็นผู้ให้เกิด พระโมคคัลลานะเป็นผู้เลี้ยง. นี้อาตมาก็ยัง เข้าใจไม่ได้เหมือนกัน; แต่สันนิษฐานว่า การที่ให้เกิดวิชาความรู้ แสงสว่าง ในหมู่สงฆ์นี้ เป็นหน้าที่ของพระสารีบุตร; ส่วนการควบคุมให้ปลอดภัยนี้ เป็นหน้าทของี่พระโมคคัลลานะ. ทา่ นจึงตรัสวา่สพระสารีบุตรเปน็ผู้ให้เกดิ, พระโมคคัลลานะเป็นผู้เลี้ยง ก็หมายความว่าทำความปลอดภัย ทั้งทาง ภายในและทั้งทางภายนอกอยู่นั่นเอง แม้ว่าจะเป็นเรื่องในทางวิญญาณ. ลักษณะของบิดามารดาฝ่ายกาย. เอาละ, ทีนี้มา พูดกันให้ละเอียด หรือพิสดารสักหน่อย ในเรื่อง การ เกิด ท ี่ มีพ่อแม่สมบูรณ์แบบ พ่อแม่สมบูรณ์แบบ สำหรับจะมีการเกิดกันในทางร่างกาย อย่างที่ เกดิๆ กนอัยทัู่ วๆ ไ ่ปนแหละ; เรามาพิ ี่จารณากนดูั ให้ดีวา ถ้า ่ พ่อแม่สมบูรณ์ แบบดีแล้วจะเกิดลูกดีได้อย่างไร? แม้ในทางร่างกายทางธรรมดาสามัญนี้ ในทางร่างกายนี้ก็ยังต้องแยกออกเป็น
ตอนๆ ได้หลายตอน ได้แก่ :- ข้อแรกที่สดุกจ็ะต้องหมายถง ึกรรมพันธุ์ที่ดีคือผู้ทีเ่ปนบ็ดิามารดา นั้นเป็นมนุษย์ที่ดี ไม่วิปริตทางกาย ทางจิต ทางระบบประสาท ไม่ใช่บ้าๆ บอๆ หรือไม่มีอะไรที่บกพร่องนั่นแหละ. เป็นบิดามารดาที่มีกรรมพันธุ์ดี มาหลายชั่วคนแล้ว เราจะหาได้ไหม? มันจะเผอิญมาตรงกันได้ไหมว่ามีทั้ง พ่อและแม่ที่มีกรรมพันธุ์ดีปรกติถึงที่สุด. ทีนี้การตั้งครรภ์ ในบิดามารดาที่ดีโดยกรรมพันธุ์ นี้ ลูกก็ต้องมี กรรมพันธุ์ที่ดีมาแต่ในท้อง พ่อแม่ดี หมายความว่ามีอนามัยดี ลูกก็จะมี


50  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล อนามัยดีมาตงแั้ต่ในท้อง; เพราะว่าบดิามารดาที่ดี เอาใจใสต่ ัวเองดี, เอาใจ ใส่ลูกในครรภ์ดี; ลูกในครรภ์ก็มีอนามัยดีมาแต่ในท้อง, ออกมาไม่มีอะไร วิปริต. นเรียี่กวามี ่จิตดี หรือพืชพันธุ์แหง่จิตใจดี อาศัยอยใู่ นกรรมพันธุ์ที่ดี ในร่างกายที่ดีของบิดามารดา, เป็นทารก ตั้งครรภ์ขึ้นมาจนกว่าจะคลอด เป็นเด็กในครรภ์ที่ดี เพราะบิดามารดาดี. ทีนี้ก็มาถึงขั้นที่เรียกว่าคลอด ก็มีการคลอดดีถูกต้อง ไม่มีความ ผิดพลาดอะไรๆ เกี่ยวกับการคลอดของเด็กนั้น; เด็กนั้นก็คลอดมาดี ไม่ใช่ว่าจะมีเหตุหรืออุบัติเหตุ หรือเชื้อโรค หรืออะไรติดมา จนเป็นเด็ก ทีพิ่การ หรือวา่คลอดกนอัยางโง ่เ่ขลา ทำ ให้เกดกิ ารพิกลพิการ นถ้าพ ี่ ่อแม่ดี ก็มีการคลอดดี. ทีนี้การคลอดดีแล้ว ก็ มีการอบรมดีตั้งแต่นาทีที่เกิดมา : ประคบประหงมลูกในทางที่ถูกต้อง เด็กก็เป็นลูกทารกที่ดีเจริญขึ้นมาดี, นเรียี่กวาเ่กดิมาแล้วก็เลียง้ดี อบรมดี ไปทุกสงทุิ่กอยาง ใ ่นทางราง่กายของ ทารกนั้นก็สมบูรณ์ดี. เขาก็มีอนามัยดีต่อมา เป็นทารกที่มีอนามัยดี; หมายความว่า มีร่างกายที่ดีสำหรับจะเป็นพื้นฐาน สำหรับจิตใจที่ดี ต่อไปข้างหน้า. เดก็ทารก ได้รับการอบรมดี ก็มมรรียาทดี. คำวา ่มรรยาทนี้หมายถึง การประพฤติกระทำทุกสงิ่ทุกอย่างที่จะต้องทำกนัวันหนึ่งๆ : การพูด
การจา การยืน เดินนั่ง นอนการกินอาหาร การถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ อะไรก็ตาม แม้แต่ว่าจะแต่งเนื้อแต่งตัว ก็ดีโดยมรรยาทไปเสียทั้งนั้น แล้วก็ศึกษา เล่าเรียนดี เด็กก็มีความรู้ดี ให้การศึกษาตลอดไป.


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 51 นี่หมายความว่า พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ ต้องจัดให้ลูกมีการศึกษาดี เป็นเหตุให้มีสมรรถภาพดีคือมีความสามารถ มีคุณสมบัติ มีสมรรถนะที่ดี ทีนี้พ่อแม่ก็ ดูแลให้ลูกมีสังคมดีอย่าให้ไปคบพวกอันธพาล. ข้อนี้ คงจะยากมาก ที่จะกวดขันเด็กๆ ให้สังคมกันแต่ในคนที่ดี; แต่ก็เป็นสิ่งที่ จำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบจะต้องรู้จักกระทำ ให้ลูกมีสังคมดีนี้ เรียกว่า เป็นเด็กที่ มีความรู้ดี มีความประพฤติดี มีการคบหาสมาคมดีมี คนรักใคร่อยู่ทั่วๆ ไปก็เสร็จไปตอนหนึ่ง. ทีนี้พ่อแม่ก็ จัดให้มีคู่ครองที่ดี. ตามธรรมเนียมโบราณนั้น เป็น หน้าที่ ของบิดามารดาโดยตรง ท ี่จะทำให้ลูกได้มีคู่ครองที่ดี; แต่เด็กเดี๋ยว นี้เขาแหวกแนว เขาไม่อยากจะให้บิดามารดามาเกี่ยวข้อง เด็กได้รับการ ศึกษามาผิดๆ คือได้รับ การศึกษาชนิดแบบสุนัขหางด้วนมา ก็ อยากจะ เลือกคู่ครองของตนเอง ไม่ให้บิดามารดาเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ คงยาก อยู่สักหน่อย ที่บิดามารดาสมัยน ี้จะจัดให้ลูกมีคู่ครอง ที่ดีแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปรากฏว่ามีคนทำ ได้อยู่มากเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเขา จะยอมแพ้ไปเสียทังหม้ด; ยังมีบดิามารดาที่สามารถจดกั ารในเรื่องนไี้ด้เปน็ ที่น่าพอใจ คือไม่ให้ลูกแหวกแนวนั้นทำอะไรแหวกแนวได้. ช่วยดูช่วยแล กันไปทุกอย่างทุกทาง ให้ลูกมีคู่ครองที่ดี. คำวา ่ ดี นี้ไม่ได้หมายความว่าสวยหรือรวยหรืออะไร ไปเสียทัง้นั้น; แต่ให้ดีสำหรับจะเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง, เป็นมนุษย์ที่ไม่มีปัญหา. ครั้นมีคู่ครองดีบิดามารดาก็ให้ทรัพย ์สมบัติเป็นการลงทุนตาม ท ี่จะให้ได้เป็นอย่างดี; นี้เรียกว่าลงทุนให้ดี. ทรัพย์สมบัติอะไรที่ควรจะ มอบให้ ก็มอบให้อย่างดีอย่างฉลาดอย่างที่จะเอาไปทำ เสียหายไม่ได้.


52  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล แล้วต่อไปจากนั้นก เ็ป็นที่ปรึกษาที่ดีลูกหลานมีเหย้ามีเรือนไปแล้ว บิดามารดาก็ยังเป็นที่ปรึกษาที่ดี เพราะลูกคลอดออกมาจากบิดามารดา บิดามารดารู้จักดี รู้เรื่องดี ก็ควรจะเป็นที่ปรึกษาได้ดี. ดังนั้น ลูกที่ดีก็ยัง เชื่อฟังบิดามารดา จนกระทั่งว่าออกเรือนไปแล้วนี้บิดามารดาก็มีโอกาส เป็นที่ปรึกษาที่ดี เรื่อยๆ ไปจนตลอดชีวิต. แม้บิดามารดาจะแก่ชรา เป็นปู่ เปน็ตา เปน็ยา เ่ ปน็ยาย ไปแล้ว ก็ยังเปน็ทีเ่คารพนบัถือเชื่อฟังของลูก
เดก็ๆ อยู่ เป็นที่ปรึกษาที่ดี. ทำ ไมคนแก่หง่อมเหลา่นี้จึง เป็นที่ปรึกษาที่ดีได้? ก็เพราะว่าเขาเคย เป็นบดิามารดาที่ดีมาตังแต้แร่กเริมเ่ดิมที มา โดยกรรมพันธุ์ หลายชวั่อายุ คนแล้ว. ฉะนั้น จึงมีความรู้ถูกต้อง ไม่มีทางที่จะผิดพลาด, แม้ว่าจะไม่ได้ เล่าเรียนมาก เหมือนสมัยลูกเด็กๆ แต่เขาก็มีความรู้อย่างอื่นซึ่งจำเป็น กว่านั้น. เด็กๆ ก็เรียนมาแต่เรื่องทำมาหากิน, เรื่องเฉลียวฉลาดในการทำมา หากิน, แต่ไม่มความรู้ ีผดชิอบชวั่ดีควรไม่ควร ตสู ํ่ำงอยางไรมั ่นไมรู่้. ฉะนั้น คนแก่รู้, คนแก่นี้รู้มาก เพราะว่าอยู่นาน นั่นเอง; ความที่มีอายุมากมีอายุ นานนั่นแหละ ก็เป็นผู้ที่สามารถจะเป็นที่ปรึกษา ของคนที่ยังมีอายุน้อย. ฉะนั้น เด็กๆ จงเคารพต่อบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย; แล้วก็ไม่มี ทางท ี่ จะผิดพลาด, ไม่มีทางที่จะต้องมานั่งเช็ดนํ้ำตาสหรือไปฆ่าตัวตาย ไปกระโดดนํ้ำตายไปกินยาตาย เหมือนเด็กสมัยนี้โดยมาก. นี้เรียกว่า บิดามารดา หรือพ่อแม่สมบูรณ์แบบให้กำ เนิดทางกาย มาอย่างดี ถูกต้อง สมบูรณ์แบบ คือว่า มันถูกต้องไปทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มี อะไรที่ผิดพลาดในทางฝ่ายที่เรียกว่าฝ่ายกาย เป็นสายกันมา. บิดามารดา


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 53 มีกรรมพันธดุ์ ี มาหลายชวั่คนแล้ว ตั้งครรภ์ดี เด็กมีอนามยัดี มาแตใ่นท้อง มีจิตใจสมประกอบคลอดออกมาดี ปลอดภัย เลี้ยงดูดี อบรมดี มีอนามัยดี มีมรรยาทดี มีความรู้ดี มีความสามารถดี มีการสังคมดี มีคู่ครองดี ได้รับ การลงทุนให้เป็นอย่างดี มีที่ปรึกษาไปจนตลอดชีวิต. นี้เรียกว่า พ่อแม่สมบูรณ์แบบ สำคัญหรือไม่สำคัญ? ท่านทั้งหลาย ลองคดดูิ, จำเปน็หรือไม่จำเปน็ ทา่นทังหลายล้องคดดูิ ? และถ้า ไปเกิดมอง ข้ามสิ่งน ี้ เสียมันจะเป็นอย่างไร? มันโง่หรือฉลาด ที่ไปมองข้ามสิ่งนี้เสียว่า เราจะต้องมีบิดามารดาที่สมบูรณ์แบบ แม้ในทางฝ่ายร่างกาย. ลักษณะของบิดามารดาฝ่ายวิญญาณ. เอ้า, ทีนี้ก็มาถึง บิดามารดาฝ่ายวิญญาณ. การเกิดทางวิญญาณได้ กล่าวมาแล้วว่า เป็นการเกิดแห่งจิตใจ คือจิตใจที่มันเหมือนกับหุบอยู่นั้น มันบานออกมา จิตใจทีม่ืดมนอยมีู่ ความสวางไ ่สวขึ้น. การเกดิทางวิญญาณ นี้; ผู้ช่วยให้มีความเกิดทางวิญญาณนี้ ก็จะเป็นบิดามารดาเอง ก็ได้, เป็น ครูบาอาจารย์ ก็ได้, เป็นพระเจ้าพระสงฆ์ ก็ได้. บิดามารดาให้กำ เนิดทางกาย มาทีหนึ่งแล้ว เสร็จไปตอนหนึ่งแล้ว; แต่ถ้าสามารถจะให้การเกิดทางวิญญาณได้ก็ยิ่งดี ได้แก่บิดามารดา ที่ได้ ศึกษาพระธรรมหรือหลักพระศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ที่ดีที่งาม ทุกสิ่งทุกอย่าง; เป็นผู้รู้เป็นผู้แตกฉานในเรื่องอย่างนี้, แล้วบิดา มารดานี้ยังสามารถจะให้กำ เนิดในทางวิญญาณ อีกทีหนึ่งด้วย หรือว่า จะให้มาพร้อมๆ กัน คู่กันมากับการอบรม ให้เจริญก้าวหน้าในทางฝ่าย ร่างกาย


54  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล เห็นได้ง่ายๆ ว่า บิดามารดาเลี้ยงลูกมา ให้เจริญทางร่างกาย แล้วก็ อบรมมา ให้เจริญในทางจิตใจ; อย่างนี้เราเรียกว่า บิดามารดานั้นได้ช่วย ให้เด็กนั้นเจริญขึ้นมา ทั้งทางฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณ ก็เป็นพ่อแม่ ทั้งทางฝ่ายร่างกาย และฝ่ายวิญญาณ. ใน ฝ่ายวิญญาณ นี้ เราจะเล็งถึงการที่ท่านสามารถชักนำให้มีศีล ธรรมดีนี้อย่างหนึ่ง ชักนำให้มีหลักพระธรรมดี และถูกต้องนี้อย่างหนึ่ง. หลักธรรมแบ่งเป็นขั้นธรรมดาและโลกุตตระ ขอแบ่งพระธรรมออกเปน็ ๒ ตอน : ในตอนศลธรรม คือหลักธรรมะ ี พื้นฐาน ทั่วไป นี้อย่างหนึ่ง, หลักพระธรรมชั้นสูง คือเรื่องอันเกี่ยวกับ โลกุตตระเหนือโลกหรือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ นี้ตอนหนึ่ง. เรื่องที่ดีๆ สำหรับไปตามโลก เป็นไปตามวิสัยโลก นี้เราเรียกว่า ศีลธรรม ต้องทำ ให้ดีเหมือนกัน. ทีนี้เรื่องที่ทำให้จิตใจอยู่เหนือโลก เหนือ วิสัยโลก เหนือความบีบคั้นของโลก เหนือปัญหานานาชนิดในโลกนี่อย่าง นี้เรียกว่า โลกุตตระ. การให้ เกิดในทางวิญญาณ นั้น หมายถึงการชักนำให้มีศีลธรรมดี และ ให้มีโลกุตตรธรรมดี. พูดกันอย่างง่ายๆ ก็พูดอย่างนี้ก็แล้วกัน. เอ้า, ใคร ชักนำให้อยู่ในโลกได้อย่างดีนี้ตอนหนึ่ง, แล้ว ชักนำให้อยู่เหนือโลก ไปเสียเลย นี้อีกอย่างหนึ่ง. หมายความวา ่สอนให้รู้จักดำรงชีวิตอยู่ไปตามประสาโลก ทนิี่ ยมกัน ว่าดี : เป็นเด็กดี เป็นผัวดี เมียดี เป็นบิดาดี เป็นมารดาดี เป็นอะไรดี อยู่กนัไปในโลกตามวิสัยโลก. นี้ก็เรียกวา ่ เรืองทางวิญญาณ่ด้วย เหมือนกนั แต่ยังเกี่ยวอยู่กับโลก.


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 55 ทีนี้มันยังมีดีไปกว่านั้นได้ คือว่า อยู่ในโลก นี้ถึงอย่างไร, จะดีเท่าไร มันก็ ยังมความทุกข์แน่นอน. ีคนรอู้ยางโล ่กๆ น ไมี้ทำ ่จิตใจให้สูงเหนือโลก ไปได้ มันก็เที่ยวรักนั่น โกรธนี่ เกลียดนี่กลัวโน้นอยู่ ไม่มีที่สิ้นสุดแหละ; อยู่ในโลกมันเป็นอย่างนั้นเอง ก็เรียกว่าใช้ได้ แต่อย่างเป็นโลกๆ ยังไม่พอ ยังไม่สูงสุด. นี้ก็มา สอนกันให้รู้ถึงเรืองโลก ว่ามันเ ่ป็นอย่างนันเอง, ้ เรื่องโลกแล้ว มันก็ต้องเป็นโลกอย่างนั้นเองคือมัน จะต้องมีความทุกข์ นั่นแหละ. พูด ง่ายๆ ถ้าไม่มีความทุกข์เพราะทำชั่วทำ เลว มันก็ยังมีความทุกข์ เพราะว่า สิ่งต่างๆ มันเป็นไปตามธรรมชาติ. เช่นวา เราไม ่ ไ่ด้ไปทำอะไรทีไห่นขโมยก็มาขโมยเงินของเราไปหมด; อยาง่นเราี้จะมานงร้ ั่องไห้ให้โง่อยทำ ู่ ไม. แต่คนธรรมดาทนไม่ได้, ถูกขโมย เงินไปสักแสนสองแสน ล้านสองล้าน ก็มานั่งร้องไห้อยู่คนธรรมดาก็เป็น อย่างนี้. หรือเป็นเรื่องธรรมดายิ่งขึ้นไปอีกว่าสามีตาย ภรรยาตาย เขา ก็มานั่งร้องไห้อยู่เพราะไม่สามารถ
จะทำอะไรให้ดีกว่านั้นได้; แม้ลูกตาย อย่างนี้ก็อยากจะตายด้วยอย่างนี้เพราะว่ายัง มีความรู้สึกในระดับโลก. ถ้ามความรู้ท ี เหนือโลก ก็ไม่ ี่ ต้องมานังเ่ป็นทุกข์อยู่ เพราะสงเหลิ่า่น. ี้ จะมีอะไรได้ จะมีอะไรเสีย มีอะไรเปน็ มีอะไรตาย มีอะไรขาดทุน มีอะไรได้ กำ ไร มีอะไรแพ้ มีอะไรชนะ เขาก็ ไม่เห็นว่าประหลาดอะไรเป็นของธรรมดา ไปทั้งนั้น. เพราะว่าเขา มีหลักที่ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาคือบทท ี่ว่ามัน อย่างนันเอง, มันอ้ย่างนันเอง ้ทีเรีย่กวา ่ตถตา แปลวา ่มันเป็นอย่างนั้นเอง. มันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมดาอย่างน้นัเอง เรียกว่าธัมมนิยามตา


56  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล หรือที่ละเอียดก็เป็น อิทัปปัจจยตา มันมีเหตุปัจจัยของมันอย่างนั้น, มันก็ เป็นอย่างนั้น, มันมีเหตุปัจจัยของมันอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น. มองดู เห็นอยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีความทุกข์ร้อนอะไร; แต่พร้อมกันนั้นก็ไม่มีความโง่ ไปยินดี หลงใหล หัวเราะร่าเริง คือปรกติอยู่ได้. คนธรรมดา เมือไ่ด้กำไรก็กระโดดโลดเต้น, เมือขา่ดทุนก็นังร้องไห้ ่ อยู่; แต่คนที่มีความรู้พระธรรมอันสูงสุดแล้ว ไม่เป็นอย่างนั้น ได้กำ ไร ก็ว่าอย่างนั้นเอง; จะทำต่อไปก็ได้ ไม่ทำต่อไปก็ได้แล้วแต่เหตุผลของตน. เมื่อขาดทุนก็ไมร้่องไห้อย เพราะเห็ ู่ นวา่อยาง่นั้นเอง จะทำต่อไปก็ทำ ให้มันดี ทำ เสียใหม่ให้ถูกต้อง มันก็ไม่ขาดทุน. นี้เรียกว่า ไม่มีอะไรที่มาทำให้จิตใจ หวั่นไหวแปรปรวน ยินดียินร้าย และไม่มีความทุกข์เพราะสิ่งใดในโลก. นี่การเกิดในทางวิญญาณนั่น มันไปได้ไกลอย่างนี้. การเกิดทางร่างกาย มันก็ หยุดอยู่เพียงแค่ได้เป็นคน : เป็นคนดี เท่านั้นเอง คนที่สมมติกันว่าดี; อย่างนี้เรียกว่าดี ยิ่งสวย ยิ่งรวย ยิ่งอะไร ด้วย ก็ยินดี แล้วมันกด็ ีได้เพียงเทา่นั้น; ยังจะต้องหัวเราะ ยังจะต้องร้องไห้ สลับกันไปตามความเปลี่ยนแปลงในโลก. เกิดในทางฝ่ายกายมันได้เพียง เท่านี้. ทีนี้ เกิดในทางฝ่ายจิต มัน ไปไกลกว่านั้น คือจิตมันสูงขึ้นไป. 
จิต มันวิวัฒนาสูงขึ้นไปๆ จนเป็นจิตที่ไม่รู้จักทุกข์. ทุกข์ไม่เป็น. ทุกข์ไม่ได้ อีกต่อไป. การเกิดทางวิญญาณมันดีอย่างนี้.


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 57 พระพุทธเจ้าทรงเป็นบิดาทางวิญญาณจนถึงขั้นสุด. พระพุทธเจ้าทรงเป็นบดิา ให้มการเกิ ีดทางวิญญาณ หรือวา่ สืบพันธุ์ ใช้คำหยาบคายสักหน่อย; ขออภัยว่า สืบพันธุ์ต่อๆ กันมา โดยพระสาวก; ให้มีการเกิดทางวิญญาณอยู่เรื่อยๆ อย่าให้รู้จักขาดตอนได้ในโลกนี้, ให้ มนุษย์ในโลกนี้มีการเกิดทางวิญญาณ อย่างถูกต้องกันเรื่อยๆ ไป, ให้โลก นี้มันเป็นโลกของมนุษย์ที่สมชื่อคือมนุษย์แปลว่าผู้มีจิตใจสูง. เกิดทางกายแล้วให้ได้เกิดทางวิญญาณด้วย. ขอให้คนในโลกนี้เป็นมนุษย์ โดยความมีจิตใจสูง อยู่เหนือความ ทุกข์เหนือกิเลส อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์กันต่อๆ ไปเถิด. อย่าให้การเกิดใน แบบนี้มันสูญหายไปเสีย ให้มันยังคงมีอยู่ตลอดไป. ส่วนการ เกิดทางร่างกายนัน เ้ป็นเพียงพืนฐาน้สำหรับให้ตงอั้ยู่เพือ่ การเกิดทางวิญญาณ; ฉะนั้นเมื่อมีการเกิดทางร่างกายมาอย่างดีแล้ว ก็ให้ ตั้งอยู่สำหรับเป็นพื้นฐานสำหรับการเกิดในทางวิญญาณอีกต่อไป. ขอให้ทุกคนมีความรู้ความเข้าใจ มองเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง อย่างนี้ ว่าเรามีการเกิดมาโดยทางร่างกายแล้วเสร็จไปแล้ว เสร็จอยู่แล้ว ก็ขอให้ได้มีการเกิดในทางวิญญาณ ทางจิตใจต่อไปอีก; ให้จิตใจสว่าง ไสวแจ่มแจ้ง ดำ เนินไปอย่างถูกต้องตามคลองของพระธรรม จะเรียกว่า ตั้งต้นใหม่ทางจิตใจ แล้วก็เบิกบานออกไป จนกว่าจะถึงที่สุดของการเกิด ทางวิญญาณ. ขอให้ทา่นทังหลายทุ้กคนจงอย่าได้เสียททีไี่ ด้เกิดมา เมือเกิ่ดมาทาง กายแล้ว ให้ได้เกิดในทางจิตในทางวิญญาณต่อไปอีก จนถึงขั้นสุดท้าย;


58  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล มีจิตใจสูงอยู่เหนือปัญหาทุกอย่าง, อยู่เหนือความทุกข์ทุกอย่าง; เรียกว่า มีราง่กายกบจั ิตใจที่บริสุทธ ไมิ์ระ่คนอยู่ด้วยกิเลสและความทุกขอ์กีต่อไป, ก็เรียกว่า ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดท ี่ มนุษย์ควรจะได้รับ. นเราเี่กดิมา เพือ่ประพฤติกระทำ ฝึกฝน อบรม ทุกอยางๆ ่เรื่อยๆไป จนถึงขั้นท ี่ว่า มีร่างกายและจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ระคนอยู่ด้วยกิเลส ไม่ระคนอยู่ด้วยความทุกข์อีกต่อไป; ไปได้ถึงที่นั่นแหละ เรียกว่าถึงที่สุด คือสิ่งที่ดีที่สุด ท ี่ มนุษย์ควรจะได้รับ. มนุษย์เก่ง แต่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำ ไม. เดี๋ยวนี้คนในโลกนี้มิได้รู้ เขาให้เล่าให้เรียนกันมากมาย มันก็ไม่รู้. มนษุย์ได้รับการศึกษาอบรมเก่งกล้าสามารถ จะไปเหาะเหินเดนอิากาศ ไป ใต้มหาสมุทรหรือจะทำอะไรก็ได้ ไปเหยียบพระจันทร์เล่นก็ได้ หรือทำกัน เรียกวาเหล่ ือที่จะคาดคดิได้มนษุย์ก็เก่งถงึอยาง่น. ี้อาตมาเปรียบวา ม่นษุย์ สมัยนเี้ก่งกวาพระวิ ่ษณุกรรมในเรื่องนิยาย ทีเราเ่คยได้ยินไดฟ้ ังมาเสียอกี. ครั้นถามว่า มนุษย์เก่งอย่างนี้แล้ว จะไปที่ไหนกันเว้ย? มนุษย์ตอบ ว่า ไม่รู้เว้ย; ไปถามคอมพิวเตอร์. จึงถามว่า อะไรที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้? เขาก็บอกว่า ไม่รู้เว้ย ไปถามคอมพิวเตอร์. ถ้าแกมัวไมร่อู้ยู่อยาง่น แี้กจะเดนอิยาง่นให้มั ี้นถูกเรื่องถูกราว ไปหา ที่ที่ควรจะไปได้อย่างไร? เขาก็บอกว่า ไม่รู้เว้ย ไปถามคอมพิวเตอร์. มนุษย์สมัยนี้ไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม? จะไปที่ไหน? จะได้อะไร? เขายัง ไม่ได้ถามคอมพิวเตอร์. ถ้าใครไปถามเขา เขาก็บอกว่า ไปถามคอมพิวเตอร์.


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 59 อาตมาไม่ใช่จะอวดดี; อยากจะอวดสักหน่อยเถอะไม่ใช่อวดดี ว่า ไม่อยากไปเมืองนอก, ไม่อยากไปเทียวเม่ืองนอก. ถงแม้ใ ึครจะลงทุนให้ไป ก็ไม่ไป เพราะกลัวจะไปพบคำตอบว่า ไปถามคอมพิวเตอร์. ไปที่ไหนๆ ก็มัวแต่ไปถามคอมพิวเตอร์ แล้วเราก็โง่กลับมา เพราะฉะนั้น ไม่อยากไป เมืองนอกกับเขาดอกกลัวจะได้รับคำตอบว่าไปถามคอมพิวเตอร์. มนุษย์เราไม่รู้ว่า จะเกิดมาทำ ไม? จะได้อะไร? ได้โดยวิธีใด? พอ ไม่รู้ก็ให้ไปถามคอมพิวเตอร์; นี่บ้ากันกี่มากน้อย. มนุษย์เกิดมา สร้าง คอมพิวเตอร์ แล้วก็ ไปถามคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์เป็นผู้บัญชา ว่า มนุษย์จะต้องทำอย่างไร; อย่างนี้มันก็ไม่มีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่ที่ตรง ไหน? ขอให้ไปคิดดูให้ดีๆ. เอาละ ขอให้สรุปความกันให้ได้ว่า พ่อแม่สมบูรณ์แบบนั้น คือพ่อ แม่ที่ให้การเกิดทางร่างกายที่ดีที่สุด. ครั้นมีการเกิดทางร่างกายที่ดีที่สุด แล้ว ก็ให้มีการเกิดในทางวิญญาณที่ดีที่สุด อีกระยะหนึ่ง อีกตอนหนึ่ง หรืออีกขั้นหนึ่ง, แล้วเรื่องมันก็จบเท่านี้แหละ มันไม่มีอะไรอีกแล้ว เพราะ ไปถึงจุดสูงสุด ที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ. ขอร้องให้ทบทวนดูอีกครั้งหนึ่งว่า พ่อแม่สมบูรณ์แบบ ทั้งการเกิด ฝ่ายร่างกาย และการเกิดฝ่ายวิญญาณนี้สำคัญไหม? สำคัญกี่มากน้อย? ทำ ไมไม่สนใจ? ทำ ไมมองข้าม ทำ ไมไม่รู้ไม่ชี้ ว่าจะต้องมีกันอย่างไร? จึง ขอฝากไว้ในฐานะเป็นสิ่งสำคัญที่พากันมองข้าม. บุตรเป็นวัตถุของมนุษย์. ทีนี้กจ็ะพูดถงึสงที ิ่เรีย่กกนัวาลู่ก พ่อแม่ก็ต้องมีลูก มีลูกก็ต้องมีพ่อ แม; ถ้าไม ่ มีลู่กก็ไมมี่ความเปน็พ่อแม หร่ ือวาลู่กมันจะมีโดยไมมี่พ่อแม่นั้น


60  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ก็ไม่ได้. ดังนั้น พ่อแม่กับลูก ก็เป็นสิ่งที่ต้องมีคู่กันไปเสมอ เหมือนฝากับ ตัวนี้ต้องมีเป็นคู่กัน. จะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้; ก็เพราะว่ามีลูกที่ดี; ถ้าทำ ให้มีลูกที่ดีไม่ได้ ก็เป็นพ่อแม่ที่ดีไม่ได้. ฉะนั้น ลูกที่ดีเหมือนกัน จะต้องอาศัยพ่อแม่ที่ดี; ไมมีพ่ ่อแมที่ ่ดีลูกกด็ ีไปไมไ่ด้. นหมายถี่งพึ ่อแมที่ ให้ ่ความเกดอิยางถู่กต้อง ทั้งทางกายและทางวิญญาณ อย่างที่กล่าวมาแล้ว. มีพระบาลี ซึ่งจำ ได้ว่า จะเป็นพระพุทธภาษิตด้วยซํ้ำ ไปว่า ปุตฺตา วตฺถุ มนุสฺสานํคือมีผู้มาถามพระพุทธเจ้าว่า อะไรเป็นวัตถุของหมู่มนุษย์? ท่านว่า ปุตฺตา วตฺถุ มนุสฺสานํ-บุตรเป็นวัตถุของมนุษย์. นี้คำวา ่ วัตถุ น เี้ดี๋ยวน เราใ ี้ชส้ำหรับสงิ่ทไี่มม่ ีชีวิตวิญญาณ เช่น
กอนอ้ ิฐ ก้อนดิน ก้อนหิน อะไรต่างๆ นี้เป็นวัตถุ? ถ้าเข้าใจอย่างนี้
แล้วก็ผิดเรื่อง ผิดราวไปหมด เข้าใจกันไม่ได้. วัตถุ ในที่นี้มันแปลว่า สิ่งท ี่เพ่งเล็ง. เรา เพ่งเล็งไปยังสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นวัตถุ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งการ เพ่งเล็ง. นี่วัตถุ มีความหมายนี้. ทีนี้อกขีอ้หนึ่ง อกความหมาียหนึง่วัตถุ นแี้ปลวา่ที่ตั้งทอาศั ี่ย, วัตถุ แปลว่า ที่ตั้งที่อาศัย; ไม่มีวัตถุที่ตั้งที่อาศัยแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ ที่แท้มันก็เกือบจะเป็นสิ่งเดียวกันแหละ ถ้าอะไรมันเป็นที่ตั้งที่อาศัยได้ คนก็ไปเพ่งเล็งที่นั่น; เมื่อไปเพ่งเล็งที่นั่นจนแจ่มแจ้งมันก็ใช้เป็นที่ตั้งที่ อาศัยได้. อย่างว่า ทำกรรมฐาน ก็มีอารมณ์สำหรับกรรมฐาน; อารมณ์ของ กรรมฐานนั่นแหละ คือวัตถุสำหรับเพ่งเล็ง. ต้องเพ่งจิตไปที่นั่น ที่วัตถุนั่น


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 61 แล้ววัตถุนั้นมันเป็นที่ตั้งที่อาศัยของการกระทำกรรมฐาน; ฉะนั้นอารมณ์ ของกรรมฐานจึงเปน็วัตถุทีเพ่งเล็ง และเ ่ ปน็ทีตั่งที้ ่อาศัยของการทำกรรมฐาน นี่เป็นตัวอย่าง. บุตรเป็นวัตถุของมนุษย์อย่างไร. ทีน เราี้ก็มาดูกนัวา่บตุร คือลูก หลาน เหลน นี้เป็นวัตถุของมนุษย ์ อย่างไร? นัยท ี่ ๑ เป็นที่เพ่งเล็ง ก็หมายความว่า บุตรนี้เป็นที่เพ่งเล็งของ พ่อแม่. พ่อแม่ที่ยังไม่เคยมีบุตร ก็เพ่งเล็งที่จะมีบุตร ความอยากมีบุตร นั่นแหละ ก็คือเพ่งเล็งที่จะมีบุตร; ฉะนั้นบุตรจึงเป็นวัตถุที่เพ่งเล็งของคน ที่จะเปน็พ่อแม. ่บุตรในความหมายนเี้ปน็ทีเพ่งเล็ง. ม ่นษุย์ทังหลายเพ้งเล็ง ่ ที่จะไดบุ้ตร อยากที่จะไดบุ้ตร สำหรับจะสืบสกุลก็ตามใจสำหรับจะเลียง้ดู เมื่อตนแก่เฒ่าก็ได้หรือสำหรับจะเป็นประโยชน์อย่างอื่นก็ได้. สามีภรรยานั้นเขาเพ่งเล็งที่จะได้บุตร ฉะนั้นบุตรจึงเป็นที่เพ่งเล็ง ของมนุษย์ ซึ่งเป็นโดยธรรมชาติที่สามีภรรยาเขาเพ่งเล็งที่จะได้บุตร หรือ จะเป็นโดยสติปัญญาเหตุผลอะไร ก็ยังได้เหมือนกัน ได้อีกชั้นหนึ่ง ว่าเขา ควรจะมีบุตร เขาก็เพงเล็งใ ่นการที่จะมีบุตร บุตรจึงเปน็ทีเพ่งเล็ง ่ของมนษุย์. ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดามารดามาแล้ว ก็ไปนึกทบทวนดู ว่าเราเคยมี ความประสงค์มุ่งหมายเพ่งเล็งอย่างนี้หรือเปล่า? แล้วก็รู้ได้เองว่า บุตรนี้ เป็นที่เพ่งเล็งอย่างไร? ทีนี้นัยท ี่ ๒ คือ บุตรเป็นวัตถุที่ตั้งอาศัยของหมู่มนุษย์, นี้เห็น ได้ง่ายเหลือเกินว่า ถ้าไม่มีบุตร มนุษย์ก็สูญพันธุ์; ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก


62  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ถ้าไม่มีบุตรออกมามนุษย์ก็สูญพันธุ์แล้ว ไม่ได้มานั่งมาพูดกันอยู่ที่นี่. ฉะนั้นทีตั่งที้ ่อาศัยสำหรับจะให้มนษุย์ยังคงอยู่กคือบ ็ุตรนั้นเอง. การมีบุตร กคือก ็ารสร้างทีตั่งที้ ่อาศัยสำหรับมนษุย์ให้ยังคงยืนอยตู่ ่อไปอยาให้ม ่นษุย์ สูญพันธุ์, ก็นับว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง ตามความหมายนี้ในระดับนี้. ถ้าไม่มีบุตร มนุษย์ก็สูญพันธ์; โลกนี้ก็ไม่มีความหมายอะไร ถ้าไม่มี มนษุย์อยู่อาศัยในโลก; เหมือนกบัทีเราพู่ดกนัเดี๋ยวนวี้า่ อนาคตนี้ฝากๆ ไว้ กับยุวชน คือเด็กๆ. เดี๋ยวนี้ก็พูดกันว่า เด็กๆ นั้น คืออนาคตของชาติ หรือ อนาคตของโลก, บุตรจึงมีความสำคัญ ถึงขนาดที่ว่า จะอยู่หรือจะหมดสิ้น ก็เพราะบุตร เพราะยุวชน. ทีนี้ก็มาดูถึง ปัญหาที่เนื่องกันอยู่ว่า เราจะมีบุตรชนิดไหนกัน ที่ จะ เป็นที่ตงทั้อาศั ี่ ยของมนุษย์ได้? แล้วเรากค็วรจะเพงเล็ง ่บุตรชนดนิ ั้นแหละ. เรามาศึกษากันให้เข้าใจกันเสียก่อน ว่าเราจะมีบุตรชนิดไหน มนุษย์จะ อยู่รอด ไม่สูญพันธุ์ และเป็นโลกมนุษย์ที่ดี ที่น่าอยู่. ทีนี้เราก็เพ่งเล็งบุตร ชนิดนั้น. ฉะนั้นเราอย่าถือกันง่ายๆ ว่า มันเป็นเรื่องตามธรรมชาติ หมู หมา กา ไก่ มันก็ทำของมันได้, มันก็มีบุตรของมันได้. นั้นก็เปน็เรื่องของหม หมา ู กา ไก่; แต่ คนไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น. คนควรจะมีการเพ่งเล็งเลือกเอา อยาง่นั้นอยาง่น ตามที ี้ ่ควรจะเปน็. ฉะนั้น เราจึงมีจดุ มุงหมายที ่ว่า ่จะมีบุตร กันอย่างไร จึงจะเป็นที่ตั้งที่อาศัยของมนุษยชาติ คือความมีอยู่ของมนุษย์ นั้นเอง? เราได้พบเห็นบุตรที่เลวๆ เขาก็มีค่าเป็นของสกปรกชิ้นหนึ่ง ดุ้นหนึ่ง ออกมาจากท้องของบิดามารดาเขามีความหมายเพียงเท่านั้น; อย่างนี้ ก็จะไม่เรียกว่าบุตร, เรียกว่า ก้อนสกปรกก้อนหนึ่ง ออกมาจากบิดามารดา


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 63 เสียมากกวา; ่ต้องเป็นบตุร คือเป็นที่ตงของมนุั้ษย์ เป็นทพึง ี่ ปรารถนาของ บิดามารดา. แตถ่งึอยางไร ่กด็ ี ขอน้ มัี้นก็ ขึนอ้ยู่กับบดิามารดาอยางที ่ ไ่ดก้ลาวมา่ แล้ว คือวามั ่นเป็นการยาก ที่บตุรเขาจะสร้างตัวเองขึนมาไ ้ด้; เพราะวาเ่ขา เป็นทารกหรือว่าก่อนทารก เขาก็คิดนึกอะไรไม่ได้ เขามีเจตนาอะไรไม่ได้. ฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กบบัดิามารดา ที่จะทำ ให้เขาเกดิมาอยางไร? แล้วเ ่กดิมาแล้ว จะอบรมกนอัยางไร ่ จึงจะเปนบ็ ุตรที่ดี? หน้าทของ ี่ บตุรจึงมเพี ียงอย่างเดียว คือเชื่อฟังบิดามารดา. บุตรที่ดีที่สุด คือบุตรที่เชื่อฟัง. นี่ขอพูดกับผู้ที่เป็นบุตรทั้งหลาย ในโลกนี้ ในปัจจุบันนี้ว่า บุตรที่ดี ที่สุดนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คือ บุตรท ี่ เชื่อฟัง ไม่ใช่บุตรที่สวย ท ี่ รวย ท ี่ เรียนเก่ง, ที่อะไรๆ เก่งกาจสามารถไปหมด เก่งกว่าบิดามารดา; อยาง่น ที้า่นก็ไมเรีย่กวา่บุตรที่ดี. เพราะเขาไมเ่ชื่อฟังบดิามารดา เขาจองหอง พองขน เขาเนรคุณบิดามารดาเมื่อไรก็ได้; อย่างที่ปรากฏมากขึ้นทุกที ใน หนังสือข่าวในปัจจุบันนี้ ในยุคนี้ที่มีการศึกษาชนิดเป็นสุนัขหางด้วน ก็มี บุตรที่ฆ่าบิดามารดาปรากฏออกมาให้เห็นมากขึ้นทุกทีๆ ดังที่เป็น
ข่าวนั้น มันถึงขนาดฆ่า. ทีนี้ยังมีบุตรอีกประเภทหนึ่ง ท ี่ทำให้บิดามารดาร้อนใจ เหมือนกับ จับใส่ลงไปในนรกนี้มีมากกว่ามาก, มันมากกว่ามาก. บุตรที่ถึงกับฆ่าบิดา มารดาเลยนั้นมันยังนอ้ย, บุตรทีทำ่ ให้บดิามารดาร้อนใจเหมือนกบัหมกอยู่ ในนรกนี้ มันยังมีมากกำลังมาก และมีมากอยู่ในโลกนี้ก็ไม่ใช่บุตร ไม่ตรง ตามความหมายของคำว่า บุตร คือผู้ที่ยกบิดามารดาขึ้นมาเสยีจากนรก คือ ความร้อนใจ.


64  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ฉะนั้นขอให้เรามองให้เห็นวา ่คำวา ่บตุรดีที่สดุคือบตุรทเ ี่ ชอฟัง. ื่ถ้า บิดามารดาเขามคีวามเห็นไม่เหมือนเรา เขาต้องการเป็นอย่างอืน บุ่ตรก็ควร จะเป็นฝ่ายยินยอมให้เปน็ ไปตามประสงคขอ์งมารดา, โดยถือ เสียว่า ชีวิต ของเราทั้งหมดน ี้ ได้มาจากบิดามารดา มันควรจะเป็นของบิดามารดา : ฉะนั้นก็ยอมให้บิดามารดาไปหมดเลย. ส่วนข้อที่ต้องการไม่เหมือนกันนั้น ค่อยพูดจากันได้ ปรับปรุงกัน ได้ ทำความเข้าใจกันได้จนในที่สุดมันก็จะพอไปกันได้กับความประสงค์ ของบิดามารดา, เพราะว่าบิดามารดานั้นรักลูกเหลือประมาณ ไม่มีใคร จะรักเราเท่าบิดามารดา; ฉะนั้นจึงเป็นที่ไว้ใจได้ว่า ไม่มีความหวังร้าย ไม่มีเจตนาร้าย ความต้องการของบิดามารดา; ฉะนั้นจึงเป็นที่ไว้ใจได้ว่า ไม่มีความหวังร้าย ไม่มีเจตนาร้าย ความต้องการของบิดามารดา ล้วนแต่ ต้องการความสุขสวัสดีแก่บุตรทั้งนั้นเลย. ฉะนั้นเราแน่ใจ ที่จะยกมอบ ชีวิตน ให้เ ี้ปน็ ไปตามความประสงคขอ์งบดิามารดา จะทำมาหากนกินอัยางไร ่ จะมีอะไรต่อไป มันก็เป็นเรื่องที่ปรึกษากันได้. นี่บุตรชนิดนี้แหละ เป็นวัตถุที่ตั้งที่อาศัยของมนุษย์ เป็นสิ่งที่ มนุษย์ปรารถนา และหวังจะได้อยู่ จึงคิดว่า เป็นเรื่องที่ควรจะมอง ไม่ควรจะมองข้าม คือมันเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรจะพากันมองข้าม. การอบรมบุตรสำ คัญไม่ควรมองข้าม. เดี๋ยวนี้มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่พากันมองข้ามหรือไม่เห็นว่าเป็นสิ่ง สำคัญ จึงพากันมองข้าม. บิดามารดามักจะเห็นแก่ความสุขส่วนตัวไม่เอา ใจใส่ต่อบุตรให้ดีที่สุด ไม่อบรมเขาให้ดีที่สุด; โตขึ้นมาบุตรก็สนองคุณ โดยการทีไม่รั่บรคู้วามเปนบ็ดิามารดา เนรคุณบดิามารดา เรื่องมันกจ็ะเปน็ เท่านั้นเอง.


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 65 ถ้าเราอยาเห็ ่นเปนขอ็ งเล็กนอ้ย วา ่บดิามารดาที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ เรืองเล็กน้อ ่ย. ต้องมี ต้องทำ ต้องจดขึ้น ั มาให้ได้ ปรับปรุงตัวเองให้เป็นพ่อ แม่สมบูรณ์แบบ และ ถ้าเราเป็นลูก ก็พยายามทจะเ ี่ ป็นลูกที่สมบูรณ์แบบ; เพราะวาเรา่จะต้องเปน็ลูกของบดิามารดาเรื่อยๆ ไปจนกวา่จะเข้าโลง. ไมใ่ ช่ ว่าเป็นลูกของบิดามารดาเฉพาะแต่เมื่อเล็กๆ อยู่. เราก็เป็นลูกของบิดามาร ดาเรื่อยๆ ไป จนกว่าจะเข้าโลงตามบิดามารดาไป ก็เป็นลูกสมบูรณ์แบบ สมกับที่ว่า พ่อแม่ก็เป็นพ่อแม่สมบูรณ์แบบ. ถ้าในโลกนี้ มีพ่อแม่สมบูรณ์แบบ และ มีลูกสมบูรณ์แบบ แล้วก็ หมดปัญหา ไม่มีปัญหาเลวร้าย หรือวิกฤตการณ์ต่างๆ นานา อย่างที่กำลัง อยู่ในบ้านเมืองเรา ในชาติประเทศของเรา หรือในโลกทั้งปวง. โลกไม่มีสันติสุข เพราะขาดหลักธรรม. โลกทัง้ปวงไม่มีสันตภิาพ ไม่มีสันตสิุข มันเนืองมาจากมนุ่ษย ์ไม่เป็น มนุษย์, มนษุย์ไมเ่ปน็มนษุย์เพราะขาดพ่อแม่สมบูรณ์แบบ และ ขาดความ เป็นลูกที่สมบูรณ์แบบ; ฉะนั้นจะให้เรียนอะไรกันอย่างไร เก่งกล้า สามารถเท่าไร ก็ไม่ทำ โลกนี้ให้มีสันติภาพได้. นี่ก็น่าเศร้า ที่ว่า การศึกษาแห่งยุคปัจจุบันนี้ เขาให้เรียนแต่หนังสือ กับวิชาชีพ ไม่ให้เรียนหลักพระธรรม มันก็ขาดส่วนสำคัญไป. ถ้าขืนเป็น อยู่อยาง่นไมี้มีหวังที ่ว่ าโล่กนี้จะเปน็ โลกมนษุย์ได้; เว้นไว้เสียแตว่า่ผจู้ดกัาร ศึกษาในโลกนี้ เขาจัดการศึกษาให้สมบูรณ์แบบขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คือ ให้ เรียนหนังสือ ให้เรียนอาชีพแล้วก็ให้เรียนหลักธรรมะ สำหรับความเป็น มนุษย์ที่ ถูกต้อง. เมื่อเช้านี้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง รู้สึกยินดีมากที่รัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ ท่านยอมรับว่า การศึกษาของประเทศไทยนั้น ยังเป็น


66  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล แบบสุนัขหางด้วน. นี่ไปอ่านสยามรัฐฉบับวานนี้ดู มีเรื่องนี้: การที่นักเรียน ตีกันอะไรโกลาหลวุ่นวายในโรงเรียนนั้น เพราะว่าระบบการศึกษาของเรา ยังเป็นสุนัขหางด้วน. ท่านรัฐมนตรีท่านยอมรับอย่างนี้ ที่ชื่นใจก็คือว่า มัน มีหวังวา ใ่นอนาคตทา่นจะจดกัารศึกษาให้มันสมบูรณ์แบบไมเ่ปน็แบบสนุขั หางด้วน แล้วก็พอดีกับที่อาตมาก็กำลังพูดเรื่องนี้อยู่. ต้องช่วยกันให้การศึกษาทางศาสนา. ฉะนั้น จึงขอให้พ่อแม่ทั้งหลายน ี้ช่วยสนใจเป็นพิเศษ อบรมลูก หลานของเราเอง ให้ได้รับการศึกษาส่วนที่ยังขาดอยู่ หมายความว่า ถ้า รัฐบาล หรือกระทรวงศึกษาธิการ เขายังจัดให้ไม่ทัน,การศึกษาส่วนที่ ๓ ที่ยังขาดอยู่ เขายังจัดให้ไม่ทัน; แล้วก็เรานี่แหละ พ่อแม่นี่ แหละ ช่วยกัน จัดให้ลูกๆ ให้สนใจมากเป็นพิเศษ, ช่วยจดกัารศึกษาส่วนที ๓ ให้แ ่ก่ลูกๆ ของเรา ลูกของเราได้รับการศึกษามา ๒ ชนิด จากโรงเรียน แล้วได้รับ อีกชนิดหนึ่งที่บ้าน โดยเรา; แล้วลูกของเราก็มีการศึกษาสมบูรณ์แบบ ไม่เป็นเหมือนสุนัขหางด้วน มันก็จะรอดตัวไปได้. พระเจ้าพระสงฆ์ ก็เหมือนกัน จะช่วยให้การอบรมศึกษาสั่งสอน ในส่วนนี้ ให้เต็มขึ้นมาเร็วๆ, สอนหลักธรรมะสำหรับความเป็นมนุษย์นี้ ให้มันเต็มขึ้นมาเร็วๆ ชดเชยกับท ี่ว่า รัฐบาล หรือ กระทรวงศึกษาธิการ เขายังทำไม่ทัน. เรื่องมันมากอย่าไปโทษเขาเลย ทั้งโลกมันเป็นอย่างนั้น แหละ. เอามาเปน็ภาระหน้าที่ของบดิามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ ทำ เป็นส่วนตัว. ให้ลูกเด็กๆ ของเรามีความรู้เรื่องพระธรรมสำหรับความ เป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง. นี้ก็เป็นเรื่อง ให้กำ เนิดในทางวิญญาณ ด้วยเหมือนกัน, ให้การเกิด ทางวิญญาณ ให้มีขึ้นมา ให้เจริญเติบโต จนเขาเป็นมนุษย์ที่เจริญสูงสุด


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 67 ทั้งฝ่ายร่างกายและทั้งฝ่ายวิญญาณ นับว่า เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรพากัน มองข้าม. พูดสั้นๆ ก็พูดว่ามาช่วยกันเร็วๆ, ช่วยทำความสว่างไสว แจ่มแจ้ง ให้แก่ลูกเด็กๆ ในส่วนการศึกษาท ี่ ๓ คือหลักพระธรรมของพระศาสนา ที่ทำ ให้เขามีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์. เราก็จะได้มีมนุษย์อยู่กันในโลก อย่างของมนุษย์ มันไม่เดือดร้อน ไม่ยุ่งยาก ไม่ลำบาก ไม่ระส่ำระสาย มิฉะนั้นแล้วก็จะเหมือนกับว่าอยู่ในนรก. โลกนี้ จะกลายเป็นนรก เมื่อคนมีความเห็นแก่ตัว มีความร ํ่ำรวย มากจากความเห็นแก่ตัว คอยจ้องแต่จะเอาประโยชน์ จะกอบโกย; ไม่มี ธรรมะ มันก็เป็นโลกนรก ต้องทนอยู่ในนรก. โลกนี้ก็เป็นโลกที่ไม่น่าอยู่ อาศัยยิ่งขึ้น; แต่ก็ต้องจำ ใจทนอาศัยอยู่โลกที่ไม่น่าอยู่เพราะการศึกษา ไม่สมบูรณ์ ดังที่กล่าวแล้ว. อาตมาเห็นว่า การบรรยายในวันนี้สมควรแก่เวลา จึงขอร้องให้ท่าน ผู้ฟังทั้งหลาย สรุปเอาใจความ ไปพินิจพิจารณา เพื่อความเป็น พ่อแม่ สมบูรณ์ เป็นบุตรสมบูรณ์ ในฐานะเป็นสิ่งไม่มองข้ามเป็นอันขาด, เป็น สิ่งสำคัญที่ไม่อาจจะพากันมองข้าม, แล้วก็ได้รับประโยชน์ โดยสมควรแก่ ฐานะ สถานะ ของตนจงทุกๆ คนเถิด. ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ ให้พระคุณเจ้าทั้งหลาย ได้ สวดบทคณสาธยายส่งเสริมกำลังใจในการปฏิบัติธรรมะ ตามที่มุ่งปรารถนา กันสืบไป.


ความสำ คัญของพ่อแม่ พระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจนมหาเถร) บัดนี้จักได้แสดงพระธรรมเทศนาเรื่องความสำคัญของพ่อแม่ การที่นำเรื่องนี้มาแสดงก็เพื่อจะได้เป็นเครื่องเตือนใจ ให้สติแก่พ่อแม่ ทังหลายว้า ท่า่นอยใู่ นฐานะบคคุลสคำ ัญของลูกๆ จะไดป้ฏิบัติตนให้สมกบั ที่เขาเทิดทูนท่านว่าเป็นคนสำคัญ และอีกประการหนึ่ง จะได้เป็นเครื่อง เตือนสติให้ลูกๆ ทังหลายม้องเห็นความสคำ ัญของพ่อแม แล้ว ่จะได้เพิมพู่น ความกตัญญูต่อพ่อแม่ให้มากยิ่งขึ้น จะได้รักพ่อรักแม่ให้มากยิ่งขึ้น ผลก็คือ จะทำ ให้ครอบครัวนั้นๆ มีความร่มเย็นเป็นสุข เรียกว่า ได้เสวย สวรรค์ทั้งเป็นกันทีเดียว ทำ ไมทา่ นจึงยกย่องพ่อแมว่าเ่ ปนคนส็คำ ัญ ก็เพราะพ่อแมเ่ปนบ็คคุล ที่หาได้ยาก ด้วยว่าเราจะมีพ่อได้เพียงคนเดียว มีแม่ได้เพียงคนเดียว ซึ่งหมายถึงพ่อแม่บังเกิดเกล้า เมื่อท่านล้มหายตายจากไปแล้ว จะหามา แทนใหม่อีกไม่ได้ ไม่มีอะไหล่เหมือนของอย่างอื่น จึงต้องกลายเป็นคน กำ พร้า ที่จริงควรจะเรียกว่ากำพราก เพราะกรรมมาพรากให้จากพ่อจาก แม่ แต่เราเรียกกันมาช้านานจนกลายเป็นคำที่ถูกต้องไป บางท่านอาจจะนึกค้านในใจว่า พ่อแม่นั้นมีอยู่ทั่วไปเต็มบ้าน เต็มเมือง ทำ ไมจึงว่าหายาก ข้อนี้อธิบายว่า นั่นเป็นพ่อแม่ของคนอื่นเขา ไม่ใช่พ่อแม่ของเรา ของเราแท้ๆ นั้นก็มีเพียง ๒ คนเท่านั้น พ่อคนหนึ่ง แม่คนหนึ่ง 
จึงว่าหายากจริงๆ ซื้อหาทองยังง่ายกว่า มีเงินเสียอย่างเดียว


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 69 จะซื้ออะไรก็ได้อย่างที่ว่า มีเงินมีทองเจรจาได้ แต่พ่อแม่ไม่มีที่ซื้อที่ขาย มีจำกัดเพียงอย่างละคนเดียวเท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง ที่ว่าพ่อแม่เป็นคนสำคัญนั้น ก็เพราะท่านมีพระคุณ มาก อย่างที่เรียกกันว่า ล้นฟ้ามหาสมุทรทีเดียว นักปราชญ์ท่านเทิดทูน พระคุณของพ่อแม่ไว้ด้วยเชิงอุปมาอย่างน่าฟังว่า จะเอาแผ่นฟ้าอากาศ มาเป็นใบลาน จะเอาเขาพระสุเมรุมาเป็นปากกา จะเอาแผ่นดินมาเป็น แท่งหมึก จะเอานํ้ำ ในมหาสมุทรมาเป็นนํ้ำ
ละลายหมึก จดจารจารึก พระคุณของท่านทั้ง ๒ จนกระทั่งภูเขาหมดไป แผ่นดินหมดไป นํ้ำ ใน มหาสมุทรหมดไป แผ่นฟ้าอากาศเต็มไปด้วยตัวอักษร ซึ่งพรรณนาถึง พระคุณของพ่อแม่ ถึงกระนั้นก็ยังจาระไนพระคุณของท่านไม่หมด อนึ่ง ที่จัดว่าท่านเป็นคนสำคัญ ก็เพราะท่านมีคุณสมบัติถึง ๔ ประการ คือ ท่านเป็นผู้สร้าง เป็นผู้เสริม เป็นผู้ส่ง และเป็นผู้เสีย ที่ว่า ท่านเป็นผู้สร้างนั้น ก็เพราะท่านอยู่ในฐานะที่สร้างลูกให้เกิดมาเป็นผู้เป็น คน ถ้าไม่ได้ท่านแล้ว เราก็เกิดมาไม่ได้ ไม่เหมือนเทวดาหรือสัตว์นรก เพราะเทวดาหรือสัตว์นรกนั้นไม่มีพ่อแม่ เกิดเป็นตัวใหญ่เลยทีเดียว ทั้งนี้ เพื่อให้ได้รับผลบุญและผลบาปทันตาเห็น ท่านจึงเรียกสัตว์ประเภทนี้ ว่า โอปปาติกะกำเนิด แต่คนเราเป็นชลาพุชะ คือ เกิดจากครรภ์ ต้องอาศัย พ่อแม่นอกจากนั้น ท่านยังเป็นผู้เสริม คือ คอยแนะนำ พร ํ่ าสอน เพื่อให้ ลูกเป็นคนดี บางรายสอนยาก ถึงกับเรียกกันว่า ปากเปียกปากแฉะทีเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อมุ่งหวังให้ลูกเป็นคนดี เพราะ มีลูกดีก็เป็นศรีสง่าหน้า ญาติวงศ์พงศาก็ผ่องใส


70  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ถึงเพื่อนญาติมิตรสหายที่ใกล้ไกล ก็พอใจสรรเสริญเจริญพร ความสัมพันธ์ของพ่อแม่กับลูกนั้น เกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด เพราะ พ่อแม่แบ่งภาคมาเป็นลูก ลูกก็แบ่งภาคมาจากพ่อแม่ด้วยเหตุนี้ ลูก จึงนับว่าเป็นตัวแทนของพ่อแม่ เมื่อลูกไปทำดี ความดีนั้นก็ไปถึงพ่อแม่ หากไปทำชั่ว ความชั่วก็ไปถึงพ่อแม่ ใครทำ ร้ายพ่อแม่ก็เดือดร้อนถึงลูก ใครทำร้ายลูกก็เดือดร้อนไปถึงพ่อแม่อย่างที่เรียกกันว่า หยิกเล็บเจ็บเนื้อ นั่นแหละ นอกจากน ที้า่นยังเปน็ผสู่้ง คือส่งไปยังโรงเรียนดีๆ ครูดีๆ มีชื่อเสียง บางทีเมืองไทยไม่พอ อุตส่าห์ส่งไปต่างประเทศ ข้ามนํ้ำข้ามทะเล หมด เท่าไรไม่ว่า เสียเท่าไรไม่คำนึง ขอให้ลูกมีวิชาความรู้ทันเทียมลูกชาวบ้าน เขาเป็นใช้ได้ ใช่แต่เท่านั้น ท่านยังเป็นผู้เสีย คือเสียสละ พูดถึงยอดนักเสียสละ ขั้นแนวหน้าของลูกไม่มีใครเกินพ่อแม่ ท่านให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ให้โดยไม่ได้ หวังตอบแทนอะไรเลยให้แม้กระทั่งชีวิต เล่ากันมาว่า สองผัวเมียไปตัดไม้ในป่า นำลูกเล็กๆ สองคนไปด้วย ในขณะที่เพลินตัดไม้อยู่นั่นเอง ก็มีเสือโคร่งตัวหนึ่ง เสือขนาดใหญ่ ลาย พาดกลอน เรียกว่าเสือโคร่งมาคาบเอาลูกคนเล็กไปกิน ลูกก็ร้องเสียงลั่น เพราะมันเจ็บนี่ ทั้งผัวทั้งเมียวิ่งไล่ตามเสือ แม่วิ่งไปทันเสือก่อน ไม่ฟัง อีร้าค้าอีรมละ ตรงเข้าไปแย่งลูกจากเสือ เสือก็ปล่อยลูก มาตะปบเอาแม่ สู้กันไปสู้กันมา ถูกเสือกัดตาย พ่อตามไปถึง เอาขวานฟันเสือตาย ณ ที่นั้น มี ๓ ศพ ศพแม่ศพลูก และก็ศพเสือ นี่คือความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก สละแม้กระทัง่ชีวิต มีใครบ้างไหมทีเ่ขาจะมานงั่สละชีวิตให้แก่เราเทาพ่ ่อแม่


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 71 ดังนั้น ลูกทั้งหลาย จงรักพ่อรักแม่กตัญญูต่อพ่อแม่อุตส่าห์ถนอม กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูท่าน เพราะท่านเลี้ยงเรามากว่าจะโต ต้องลำบากยาก แค้นแสนสาหัสแค่ไหน ท่านลองนึกย้อนหลังไปดูเถิด ก็จะเห็นคุณค่า ของท่านชัดเจนขึ้น ยิ่งเมื่อท่านอยู่ในวัยชรา ก็ต้องดูแลท่านอย่างใกล้ชิด เป็นพิเศษ สุนทรภู่ รัตนกวีเอกของไทยได้สอนไว้ว่า เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่า ชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ อกอียางห่ นึ่ง ต้องช่วยแบ่งเบาภาระการงานตางๆ ่ของทา่น และช่วย ดำรงวงศ์ตระกูลไว้ให้ดี อันนี้หมายถึงวงศ์ตระกูลที่ดีที่เรียกว่า ธรรมวงศ์ ส่วนวงศ์ที่ไม่ดีที่เรียกว่า อธรรมวงศ์ ไม่ต้องดำ รง พร้อมทั้งปฏิบัติตน ให้ดี ให้เป็นที่ไว้ใจของท่านให้ท่านภูมิใจได้ว่า ”มีลูกหญิงก็พึ่งได้ มีลูกชาย ก็ดีทุกคน„ ครั้นเมื่อถึงคราวที่ท่านล่วงลับจากไปแล้ว ควรจัดการงานศพ ของท่านให้สมศักดิ์ศรี สมกับเป็นคนสำคัญของลูกเพราะเรามีพ่อ คนเดียว มีแม่คนเดียว แล้วท่านก็ตายครั้งเดียว มิได้ตายบ่อยๆ เพราะมี บางราย เห็นแล้วน่าสงสารเจ้าภาพ ที่ทำศพให้พ่อแม่เหมือนกับทำ ให้กับ ศพคนใช้ ซังกระตาย ทำ ไปอย่างนั้นเอง พอให้เสร็จๆ ไป ท่านว่ากรรมเป็น เครื่องส่อเจตนา หมายความว่า เราจะทราบว่า คนนี้มีกตัญญูต่อพ่อแม่ มากน้อยแค่ไหน เราดูกิจที่เขากระทำก็รู้ได้ คนกตัญญูต่อพ่อแม่ก็เท่ากับเราสอนลูกให้กตัญญูต่อเรา คือ เราทำอย่างไรกับพ่อแม่ ลูกก็จะจำเป็นตัวอย่างทำ ให้แก่เราบ้าง เขาเล่าว่า เด็กคนหนึ่ง นั่งขัดกะลามะพร้าวอยู่ พ่อเห็นเข้าถามว่า ไอ้หนูทำอะไร ลูกตอบว่า ขัดกะลามะพร้าว ถามว่า ขัดทำ ไม ลูกตอบว่า ขัดเอาไว้สำหรับ ใส่ข้าวให้พ่อกนิตอนทีพ่ ่อแก่แล้ว พ่อท้วงวา ่อ้าว ทำ ไมหนูจึงทำอยาง่นั้นละ ่


72  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ลูกตอบว่า ก็ฉันเห็นพ่อเอาข้าวใส่กะลาให้ปู่กินนี่ ฉันจำ ได้ ฉันก็จะเอา อย่างพ่อบ้าง ลูกๆ ทั้งหลาย อย่าลืมคำที่โบราณท่านว่าไว้ว่า กงเกวียน กำเกวียน หมายความว่า ใครทำอย่างไร ต้องได้อย่างนั้นตอบแทนเสมอ เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็จะขอยกตัวอย่าง ยอดหญิงผู้ยิ่งด้วยกตัญญู เพื่อให้ลูกๆ ทั้งหลายยึดถือเป็นแบบฉบับ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ในปัจจุบันนี้ เธอผู้นั้นชื่อ คุณกาญจนา สาตรพันธุ์ เธอเฝ้าปฏิบัติคุณแม่ ซึ่งนอนเจ็บ ไปไหนไม่ได้ ดูแลอย่างใกล้ชิด ด้วยความรักคุณแม่ ห่วงใย คุณแม่ ถึงกับลาออกจากงาน ซึ่งมีอัตราเงินเดือนสูงมาก แต่เธอก็ไม่ห่วง เพราะเธอห่วงคุณแม่มากกว่า ทั้งนี้เพื่อจะได้ดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิด ตลอดเวลา บดนั ี้คุณแม่ของเธอไดจ้ากไปแล้วได้ ๘ ปี เธอก็ไดบ้ ำ เพ็ญกศุล ให้กับคุณแม่และญาติๆ เสมอมาทุกปี โดยไม่ขาดสาย เฉพาะปีนี้ก็ได้ นำปัจจัยมาบำรุงพระพุทธศาสนา ๑๐,๐๐๐ บาท เพื่ออุทิศให้กับคุณแม่ ซึ่งตรงกับวันถึงแก่กรรมของท่าน ด้วยกุศลผลบุญอันนี้จึงสนองตอบให้ เธอได้รับเลือกเป็น „ลูกกตัญญูดีเด่น„ จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ ผลแห่งคุณธรรมอันประเสริฐของเธอนี้ ทำ ให้ชื่อเสียงของเธอโด่งดัง เป็นที่ยกย่องสรรเสริญของบัณฑิตทั้งหลายโดยทั่วไป และก็เป็นที่เชื่อ แน่ว่า อนาคตของเธอจักต้องสู่สรวงสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย สมดัง นัยธรรมภาษิตที่พระโพธิสัตว์สุวรรณสามได้กล่าวสอนพระเจ้ากบิลยักษ์ ราชา ซึ่งปรากฏอยู่ ณ ข้างต้นว่า โย มาตรํปิตรํ วา มจฺโจธมฺเมน โปสติ อิเธว นํปสํสนฺติ เปจฺจสคฺเคปโมทติ ฯ


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 73 แปลว่า ผู้ใด ย่อมเลี้ยงมารดาบิดาโดยธรรม บัณฑิตย่อมสรรเสริญ ผู้นั้นในโลกนี้ เมื่อเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงเริงรมย์ในโลกสวรรค์ ดังนี้ อนึ่ง การที่จะทำ ให้ลูกๆ กตัญญูต่อพ่อแม่นั้น พ่อแม่จักต้องปฏิบัติ ตัวเองให้ดี ให้น่าเคารพบูชาด้วย เพราะมีพ่อแม่บางคนทำตนไม่ดี กินเหล้า เมายา เกเร เกะกะ ขี้บ่น ขี้ว่า ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ลูกๆ ก็เสื่อมศรัทธา เลยขาดความเคารพความรัก อันเป็นเหตุทำลายความ กตัญญูของลูกๆ เข้าทำนองที่ว่า „พ่อแม่รังแกฉัน„ นั่นเอง ดังนั้น พ่อแม่ที่สามารถจะเรียกร้องความกตัญญูจากลูกได้นั้น จักต้องสร้างดีให้ได้ครบ ๓ ดี คือ รู้ดี สามารถดี และประพฤติดี คือให้ ครบวงจรใน ๓ ดีนี้ ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่พ่อแม่ต้องประพฤติดี สรุปใจความว่า การที่นำเรื่องความสำคัญของพ่อแม่มาแสดงไว้ ในวันนี้ก็เพื่อเตือนใจ ให้สติแก่ลูกๆ ทั้งหลาย ให้มีกตัญญูต่อพ่อแม่ให้ มากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกัน ก็เพื่อเตือนใจพ่อแม่ทั้งหลายให้ตั้งตน ให้ดี ให้เป็นที่เคารพบูชาของลูกๆ และนี่แหละคือวิถีทางแห่งสันติสุข ที่ทุกคนปรารถนา รับประทานวิสัชนาพระธรรมเทศนาเรื่องความสำคัญของพ่อแม่มา ตามกาลนิยมสมควรแก่เวลา จึงขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียง เท่านี้ เอวํก็มีด้วยประการฉะนี้.


อิตถีคุณกถา ว่าด้วยคุณค่าของสตรี* พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ อิตฺถีปิหิเอกจฺจิยา เสยฺยา โปส ชนาธิปาติ ฯ (สํ.ส. ๑๕/๓๗๗/๑๒๕) ณ บัดนี้ จักรับประทานแสดงพระธรรมเทศนาในอิตถีคุณกถา ว่าด้วยคุณค่าของสตรีเพื่อเป็นเครื่องประคับประคองฉลองศรัทธา ประดับปัญญาบารมี อนุโมทนากุศลบุญราศีของญาติโยมพุทธศาสนิกชน ทั้งหลาย ผู้ขวนขวายมาบำ เพ็ญกุศลมีการถวายทานรักษศีล ฟังพระธรรมเทศนา เป็นต้น ในวันพระนี้ใกล้กับวันแม่แห่งชาติ๑๒ สิงหามหาราชินี เป็นโอกาสที่เหล่าพสกนิกรจะได้ทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชหฤทัยใฝ่ ในการพัฒนาสตรีไทยมีโครงการหลายโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนา ความรู้ความสามารถให้กับสตรีไทยทรงประกาศให้วันที่ ๑ สิงหาคม * พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต มีฤกษ์ ป.ธ.๙, Ph.D.) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแสดง ณ พระอุโบสถวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 75 เป็นวันสตรีแห่งชาติเพื่อให้คนไทยตระหนักสนใจในการพัฒนาสตรี อันเป็นเพศแม่ และรักษาเอกลักษณ์ของความเป็นสตรีไทย การพัฒนาให้สตรีมีความรู้ความสามารถเป็นสิ่งจำเป็นต่อการ พัฒนาเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้สตรีหรือแม่รู้จักนำ หลักธรรมพระพุทธศาสนาไปอบรมสั่งสอนลูกหลาน พอถึงวันสำคัญทาง ศาสนาพาลูกหลานไปวัดไปไหว้พระ เวียนเทียนวันมาฆบูชา วิสาขบูชา หรือ อบรมขัดเกลาให้ลูกหลานรู้จักกราบไหว้บูชาพระ น่าเป็นห่วงที่ทุกวันนี้ว่าการอบรมสั่งสอนศีลธรรมแก่เด็กและเยาชน ส่วนใหญ่เป็นภาระของครูในโรงเรียน แต่ถ้าเด็กและเยาวชนประพฤติ ไม่ดีพ่อแม่ก็ต้องถูกตำหนิด้วยดังคำประพันธ์ที่ว่า ลูกฉาวโฉดเขาโทษพ่อโทษแม่ ศิษย์ฉาวโฉดเขาโทษครูสอน ถ้าฟ้าดินฉาวโฉดเขาโทษพระภูธร ถ้าปวงนิกรฉาวโฉดเขาโทษเจ้ากู ลูกไม่ดีเขาโทษว่าพ่อแม่ไม่สั่งสอน ศิษย์ไม่ดีเขาโทษว่าครูไม่สั่งสอน ฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาลเขาโทษพระราชามหากษัตริย์ ประชาชนไม่อยู่ ในศีลในธรรมเขาโทษว่าเจ้ากูคือพระสงฆ์ไม่เทศนาสั่งสอน ถ้าพ่อแม่มา ฟังเทศน์ที่วัดประยูรฯ กลับบ้านไปก็เล่าเรื่องที่ได้ฟังมาให้ลูกหลานฟัง ก็จะเป็นการปลูกฝังศีลธรรมแก่เด็กและเยาวชน ฉะนั้นพระพุทธศาสนา จึงให้ความสำคัญแก่สถาบันครอบครัว และโดยเฉพาะบทบาทแม่ซึ่งอยู่ ใกล้ชิดกับลูก 


76  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล สมัยหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาแห่งแคว้นโกศล เสด็จ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า มีพระราชหฤทัย เบิกบานเพราะว่าวันนั้นพระมเหสีคือพระนางมัลลิกาเทวี จะมีพระประสูติ- กาล แต่ไม่รู้จะเป็นพระโอรสหรือพระธิดา จะรู้ว่าเป็นพระโอรสหรือ พระธิดาก็ต่อเมื่อประสูติออกมา ไม่เหมือนกับสมัยปัจจุบันที่สามารถจะรู้ เพศของเด็กด้วยระบบอัลตร้าซาวด์มาตรวจสอบ ขณะที่พระเจ้าปเสนทิ- โกศลกำลังสำราญพระราชหฤทัย มหาดเล็กนำข่าวมากราบทูลว่าพระนาง มัลลิกาประสูติแล้ว มหาดเล็กกราบทูลว่าประสูติพระธิดา เมื่อทรงทราบ ข่าวนั้นมีพระพักตร์เปลี่ยนสีพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า มหาบพิตร ไม่สบายพระทัยเพราะเหตุไร พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสตอบว่า ข่าวร้าย พระมเหสีประสูติพระธิดา ศาสนาพราหมณ์ถือว่าการได้ลูกสาวเป็นเรื่องที่สร้างความผิดหวัง ให้แก่ครอบครัวตามคติความเชื่อในอินเดียที่ว่าสังคมประกอบด้วย ๔ วรรณะหรือ ๔ ชนชั้น คือ กษัตริย์ พราหมณ์แพศย ์ศูทร วรรณะพราหมณ์เป็นวรรณะสูง เพราะพระพรหมสร้างพราหมณ์ จากพระโอฐของพระองค์วรรณะพราหมณ์จึงมีหน้าที่ในการเรียนและ สอนคัมภีร์พระเวทอันเป็นคัมภีร์ศาสนาของพราหมณ์ วรรณะกษัตริย ์ พระพรหมสร้างกษัตริย์จากแขนของพระองค์ มีหน้าที่ปกครองปกป้องคุ้มครองประชาชน ไม่มีสิทธิในการสอนพระเวทย์ แต่มีสิทธิในการฟังหรือเรียนคัมภีร์พระเวทย์ วรรณะแพศย ์ พระพรหมสร้างแพศย์จากโคนขา มีหน้าที่ในการ ทำนาทำ ไร่ ค้าขายเรียนพระเวทย์ได้แต่สอนไม่ได้


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 77 วรรณะศูทร พระพรหมสร้างศูทรจากเท้ามีหน้าที่อย่างเดียวคือ รับใช้วรรณะทั้งสามข้างต้น เป็นคนรับใช้เป็นทาสของพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์วรรณะศูทรห้ามฟังหรือเรียนคัมภีร์พระเวทย์ไม่มีสิทธิแม้จะ เข้าไปในโบสถ์พราหมณ์ เรียกว่าเป็นคนใช้ตลอดชาติ ปัจจุบันวรรณะ ศูทรในประเทศอินเดียดีกว่าเดิมคือสามารถเรียนหนังสือได้ ปัจจุบัน ประเทศอินเดียยังมีระบบชั้นวรรณะ คนไหนเป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์เป็นแพศย์ เป็นศูทร ประชากรอินเดียประมาณหนึ่งพัน ล้านคน การจะรู้ว่าแต่ละคนอยู่วรรณะไหนเขาจะรู้จากนามสกุล นามสกุลจะตั้งเองไม่ได้แต่งงานกับใครได้นามสกุลอะไรต้องใช้อย่างนั้น  นามสกุลเป็นเครื่องบ่งบอกวรรณะ เมื่อพบคนแปลกหน้า คนอินเดียจะ ถามนามสกุลก่อนเพื่อปฏิบัติได้ถูกต้องตามวรรณะนั้นๆ ถ้าคนในวรรณะ พราหมณ์หรือวรรณะกษัตริย์รู้ว่าคนที่มาพบเป็นวรรณะศูทรเขาจะไม่ให้ เข้าบ้าน หรือแม้แต่ภาชนะจะไม่ใช้ร่วมกัน คนวรรณะสูงจะดื่มชาถ้วย เดียวกับคนวรรณะต่ำ ไม่ได้เสียราศี คนอินเดียทุกวันนี้ที่เคร่งศาสนาไป ภัตตาคารใช้ช้อนใช้จานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ภัตตาคารชั้นหนึ่งในภาคใต้ ของอินเดียเข้าไปแล้วไม่มีช้อนไม่มีจาน เขารับประทานอาหารกันโดย ใช้ใบตองสดใส่อาหาร ใช้แล้วทิ้งเลย  ประเทศอินเดียสมัยโบราณถือว่าผู้หญิงไม่ว่าเกิดในวรรณะไหน  มีค่าเท่ากับศูทรคือคนรับใช้เพราะฉะนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลจึง เสียพระทัย ได้ลูกเป็นผู้หญิงเท่ากับวรรณะศูทร ผู้หญิงไม่มีสิทธิฟัง หรือเรียนพระเวทย์มีหน้าที่เดียวคือรับใช้ อยู่ในบ้านก็รับใช้คุณพ่อ คุณแม่ แต่งงานก็รับใช้สามี สามีตายก็รับใช้ลูก สรุปแล้วทั้งชาติเป็น


78  คุณบิดามารดา สุดพรรณนามหาศาล ผู้รับใช้ห้ามอยู่โดยลำ พัง เป็นเด็กต้องอยู่กับคุณพ่อ แต่งงานแล้วต้อง ขึ้นตรงกับสามีสามีตายต้องอยู่ภายใต้การปกครองของลูกชาย เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทราบข่าวว่าพระมเหสีประสูติพระธิดา จึงเศร้าพระทัย พระพุทธเจ้าได้ปลอบพระทัยพระเจ้าปเสนทิโกศล ด้วย พุทธพจน์ที่อาตมภาพได้ยกขึ้นเป็นนิกเขปบทเบื้องต้นว่า อิตฺถีปิหิ เอกจฺจิยา เสยฺยา โปส ชนาธิป แปลความว่า มหาบพิตรผู้เป็นใหญ่ของ ปวงชน แม้ผู้หญิงบางคนก็ประเสริฐกว่าบุรุษ พระพุทธเจ้าตรัสแนะนำว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลจงชุบเลี้ยงพระราชธิดาของพระองค์ผู้หญิงมีศีล มีปัญญา ปฏิบัติพ่อผัวแม่ผัวดังเทวดา บุตรที่เกิดจากผู้หญิงนั้นแกล้วกล้า ชนะไปทั่วทุกทิศ ครอบครองแผ่นดิน นี้ได้เรียกว่าผู้หญิงฉลาดกว่าผู้ชายก็มี ไม่ใช่ไปกดขี่ให้ผู้หญิงตกต ํ่ าเท่ากับ วรรณะศูทร พระพุทธเจ้าตรัสยกย่องว่าผู้หญิงที่ทำหน้าที่แม่ ทำหน้าที่ ลูกสะใภ้ถ้ามีปัญญา มีศีล ก็ดีทั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลพอได้ฟัง พระพุทธดำรัสนี้ก็มีพระทัยสดชื่นขึ้น  พระพุทธเจ้าสอนหลักการปฏิบัติต่อปัจฉิมทิศ คือทิศเบื้องหลัง หมายถึงภรรยาไว้ดังนี้  ๑. ยกย่องนับถือว่าเป็นภรรยา ๒. ไม่ดูหมิ่น ๓. ไม่ประพฤตินอกใจ ๔. มอบความเป็นใหญให้ ๕. ให้เครื่องแต่งตัว


รวมคำ สอนเรื่องแม่และปาฐกถาของ ๔ ปราชญ์ร่วมสมัย 79 มีเรื่องเล่าว่าภิกษุณีรูปหนึ่ง ชื่อกุลฑลเกสีเถรี ก่อนบวชเป็นลูกสาว เศรษฐี อายุ๑๖ ปี อยู่วัยกำ ลังสวยงาม พ่อแม่ให้ลูกสาวอาศัยอยู่บน ปราสาทชั้น ๗ ไม่ให้ลงมาดูกิจการงานข้างนอก มองแต่ทางหน้าต่าง วันหนึ่งลูกสาวเห็นโจรที่ทางราชการมัดอกแอ่นกำ ลังพาไปสู่ที่ประหาร ก็เกิดความรักโจร เธอรีบไปบอกพ่อแม่ว่ารักโจรคนนี้มาก ถ้าไม่ได้ แต่งงานกับโจรคนนี้จะอดข้าวตาย แล้วเธอก็อดข้าวจริงๆ จนพ่อแม่ต้อง ไปติดสินบนไถ่เอาชีวิตโจรให้มาอยู่กับลูกสาว โจรไม่เคยอยู่ปราสาทจึงเกิดความเบื่อหน่าย สันดานโจรคือ ไม่กตัญญู นึกในใจว่าอยากจะหนี ออกอุบายกับภรรยาสาวว่า ที่พี่รอด ชีวิตเพราะบนบานกับเทวดาที่ชะง่อนเขาอันเป็นที่ทิ้งโจร ว่าถ้ารอดชีวิตจะ ไปทำ พลีกรรม คือเอาของไปเซ่นไหว้ตอนนี้พี่มาอยู่กับเธอเพราะอำนาจ เทวดา เราจะต้องไปทำ พิธีบวงสรวงเซ่นไหว้เทวดาบนเขาที่ทิ้งโจร น้องจง แต่งตัวใส่เครื่องประดับให้ครบเครื่อง เอาของเซ่นไหว้ไปด้วย ฝ่ายภรรยาหลงเชื่อโจรก็แต่งชุดเต็มยศประดับเพชรนิลจินดา ขึ้นเขา คนใช้หาบหามของตามไป พอจะไปขึ้นยอดเขาสามีออกอุบายว่า พี่บนไว้เฉพาะเราสองคน ไม่มีคนใช้ให้คนอื่นเข้าไปจะเสียพิธีหมด  น้องกับพี่ขึ้นไปสองคน เดี๋ยวพี่ยกของบูชาขึ้นไปเองว่าแล้วก็พากันขึ้นไป บนยอดเขาสูงเป็นชะง่อนผา พอขึ้นไปแล้ว อยู่กันตามลำ พังสองคน สันดานโจรก็ปรากฏออกมา โจรบอกภรรยาให้ถอดสร้อยแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา ภรรยาถามว่าจะเอาไปบูชาเทวดาหรือ โจรบอกว่า ไม่ใช่  เราจะเอาไปขาย และจะฆ่าเธอเพื่อเซ่นไหว้เทวดา


Click to View FlipBook Version