The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กฎหมายที่ประชาชนควรรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by samsungnov, 2022-08-28 00:26:41

กฎหมายที่ประชาชนควรรู้ ส32201

กฎหมายที่ประชาชนควรรู้

7. ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญ และคณะกรรมการตลุ าการ แตกตา งกนั หรือไม อยา งไร
ก.ไมแตกตางกัน เพราะมีองคคณะผูพิพากษาทําหนาท่ีคลายกนั
ข.ไมแ ตกตา งกัน เพราะเปนองคกรท่ีเกี่ยวของกับการตดั สินคดีความท่วั ไป
ค.ตา งกัน เพราะองคกรหน่งึ ขึ้นกับฝายบรหิ าร แตอีกองคก รขนึ้ กบั ฝายนติ ิบญั ญตั ิ
ง.ตางกนั เพราะองคกรหน่งึ ตัดสนิ คดีท่เี กีย่ วของกบั รัฐธรรมนญู แตอ กี องคก รแตง ตงั้ โยกยายให
คุณใหโ ทษผูพิพากษา
8.“คดีถึงที่สุด” หมายความวาอยางไร
ก.คดที ีศ่ าลมคี ําสง่ั ใหยกฟอง
ข.คดีท่จี าํ เลยถูกตัดสินประหารชวี ิต
ค.คดีท่คี ูความไมอุทธรณหรอื ฎกี าตอไป
ง.คดที ่ีคคู วามฝา ยใดฝายหนง่ึ ถึงแกความตาย
9. หนว ยงานใดของรฐั ที่มีอํานาจหนา ที่ในการควบคุม กักขัง และลงโทษจําเลยตามคําพิพากษาของศาล
ก.ศาล ข.ตาํ รวจ
ค.กรมบังคับคดี ง.กรมราชทัณฑ
10. ตุลาการศาลรฐั ธรรมนญู หมายถงึ อะไร
ก.คณะบคุ คลผูม ีอํานาจชีข้ าดวาการกระทาํ ใดเปน การขัดตอรัฐธรรมนญู หรือไม
ข.คณะบุคคลผมู ีอํานาจพจิ ารณาขอเสนอขอแกไขบทบัญญัตริ ัฐธรรมนูญ
ค.คณะผูพพิ ากษาผูพจิ ารณาคดตี าง ๆ วา มกี ารกระทําใดที่ขัดตอรฐั ธรรมนูญหรอื ไม
ง.คณะบุคคลซึง่ มอี ํานาจวนิ จิ ฉยั ชี้ขาด ในกรณที ่มี ีขอโตแ ยงวา กฎหมายใดมีขอความขัดหรือแยง
กับบทบญั ญัติในรัฐธรรมนูญหรอื ไม
11. ในคดใี ดตอไปนถี้ าพนักงานอัยการมีความเหน็ วา สมควรจะยกคดขี ้นึ วากลา วโดยเปน โจทกฟ องแทน
ผเู สยี หาย พนกั งานอัยการยอมทําไดตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ก.คดีมรดก
ข.คดอี ุทลุม
ค.คดีฟองหยา
ง.คดฟี องใหบดิ าหรือมารดารับผูเยาวเปน ทายาท
12. หนว ยงานใดของรัฐท่ีมีหนาทบ่ี งั คับคดีใหเ ปน ไปตามคําพพิ ากษาของศาลในคดแี พง เชน การบงั คับ
จํานอง การขายทอดตลาด เปนตน
ก.ศาล
ข.ตาํ รวจ
ค.กรมราชทณั ฑ
ง.กรมบังคับคดี
13. บุคคลใดตอไปนี้มีหนา ท่ใี ชก ฎหมายและบังคบั ใหเปน ไปตามกฎหมาย
ก.สายสบื ของตาํ รวจ
ข.คณะกรรมการตุลาการ
ค.สมาชกิ สภาผูแ ทนราษฎร
ง.เจาพนักงานฝา ยปกครอง

[46]

14. เพราะเหตุใดกฎหมายจารตี ประเพณีจงึ ไมอ าจตคี วามได
ก.เพราะเปน บรรทัดฐานท่ียอมรบั กันในสังคม
ข.เพราะขอ ความในกฎหมายจารีตประเพณไี มแนนอน
ค.เพราะการนํากฎหมายจารีตประเพณมี าบังคับใชไมแ นนอน
ง.เพราะมีประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 4 เปนหลักอยแู ลว

15. สถาบนั ใดไมมบี ทบาทในการตีความกฎหมายในปจจุบัน
ก.รฐั สภา
ข.ศาลยตุ ธิ รรม
ค.พระมหากษัตรยิ 
ง.สาํ นักงานอัยการสงู สุด

16. องคกรใดมีหนา ทใ่ี นการตีความกฎหมาย
ก.รฐั สภา
ข.พระมหากษัตรยิ 
ค.ประชาชนท่ีตองใชก ฎหมาย
ง.ทกุ องคกรมีหนาทีใ่ นการตคี วาม

17. ตามหลกั กฎหมายไทย นักกฎหมายจะใชกฎหมายใดทําการอุดชองวา งของกฎหมายทอ่ี าจจะเกิดขึ้น
ไดใ นภายหลงั

ก.หลกั กฎหมายทั่วไป
ข.กฎหมายรฐั ธรรมนญู
ค.ประมวลกฎหมายอาญา
ง.ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
18. กฎหมายใดทีจ่ ะนํามาใชอดุ ชอ งวา งแหงกฎหมายไดตามที่บัญญตั ิไวใ นประมวลกฎหมายแพงและ
พาณิชย มาตรา 4
ก.กฎหมายท่ัวไป
ข.กฎหมายอาญา
ค.กฎหมายปกครอง
ง.กฎหมายรฐั ธรรมนญู
19.ในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 4 ไดบ ัญญัตไิ วถ งึ กฎหมายทจี่ ะนํามาใชแ ทนกฎหมาย
ลายลักษณอักษรได คือกฎหมายใด
ก.กฎหมายอาญา
ข.กฎหมายปกครอง
ค.กฎหมายสารบญั ญตั ิ
ง.กฎหมายจารีตประเพณี
20. ขอใดถูกตอง
ก.กฎหมายลายลักษณอักษรของไทยมที ่ีมาจากกฎหมายจารีตประเพณี
ข.กฎหมายทีจ่ ะนํามาใชต ัดสินไดค ือกฎหมายจารีตประเพณีเฉพาะทองถิน่
ค.กฎหมายจารตี ประเพณนี ํามาใชแ ทนกฎหมายลายลกั ษณอ ักษรไดในบางกรณี
ง.กฎหมายจารีตประเพณีมีความสําคญั ทส่ี ดุ เพราะปฏิบัตสิ ืบตอ กันมาเปน เวลาชานาน

[47]

21. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญช้ีขาดวาพระราชบัญญตั ิฉบบั หน่ึงขดั แยง กบั รฐั ธรรมนญู ฉบับปจ จุบนั
พระราชบัญญตั ิฉบับนนั้ ก็ไมมีผลบังคับใชเ ปนกฎหมายอกี ตอไป กรณีดงั กลาวหมายถึงอะไร

ก.กฎหมายขดั กัน
ข.การยกเลกิ กฎหมายโดยปริยาย
ค.ลําดบั ศกั ด์ิของกฎหมายรฐั ธรรมนญู สูงกวาพระราชบญั ญัติ
ง.ตุลาการรัฐธรรมนูญ คอื ศาลพิเศษ มฐี านะใหญกวา ศาลธรรมดา
22. ขอใดเปนการยกเลกิ กฎหมายโดยปรยิ าย
ก.กฎหมายแมบทถูกยกเลิก
ข.กฎหมายเกา ท่ไี ดบัญญตั ไิ วนานแลว และไมมีโอกาสใชอีก
ค.การประกาศยกเลกิ กฎหมายฉบบั น้ัน ๆ โดยระบวุ นั เวลา ไวชดั เจน
ง.ทั้ง 3 ขอเปนการยกเลิกกฎหมายโดยปรยิ าย
23. ขอใดมิใชก ารยกเลกิ กฎหมายโดยปริยาย
ก.กฎหมายแมบทถูกยกเลิก
ข.กฎหมายใหมแ ละเกา มขี อความขัดแยงกนั
ค.กฎหมายท่ไี ดบัญญัติไวนานแลว และไมม โี อกาสไดใ ชอีกตอไป
ง.กฎหมายใหมและเกามบี ทบัญญัติในกรณหี นง่ึ ๆ อยา งเดียวกัน
24. มกี ารกลา วอางกนั เสมอวา กฎหมายบางฉบับมชี อ งวา ง กรณนี ้ี “ชองวางแหงกฎหมาย” นัน้ คอื อะไร
ก.กฎหมายมีขอความลาสมัย
ข.ไมมีกฎหมายที่จะนาํ มาปรับใชไ ด
ค.กรณที ี่กฎหมายขัดแยง กับรัฐธรรมนญู มีผลใหก ฎหมายนนั้ ใชบังคับไมได
ง.กรณที กี่ ฎหมายกอใหเกิดชองวางระหวา งคนรวยและคนจนมากขึน้ ในสังคม
25. ในกรณีท่ีกฎหมายมีถอ ยคาํ ทีไ่ มช ัดเจน ผทู จี่ ะนํากฎหมายมาใชบ ังคบั ควรปฏิบัตอิ ยา งไร
ก.ควรแกไขกฎหมายกอน
ข.ควรตีความกฎหมายกอน
ค.ควรอดุ ชอ งวางของกฎหมายกอน
ง.ควรยกเลิกการนํากฎหมายฉบับน้ันไปใชบงั คับ

[48]

บทที่ 7
กระบวนการยตุ ิธรรมทางคดอี าญาและคดีแพง

กระบวนการยุตธิ รรม หมายถึง การดําเนินการคดเี มื่อมีขอ พิพาทเกดิ ขึ้น ระหวา งผเู สียหายรอ ง
ทกุ ขต อเจา พนกั งานมีการสืบสวนหาขอเทจ็ จริงกับผูก ระทําผิดจนถึงการฟอ งรองตอศาล ทั้งในกรณีของ
คดีแพงและคดอี าญา
บุคคลและหนว ยงานทีเ่ กี่ยวของกับกระบวนการยุติธรรม

1. ประชาชน หมายถงึ ประชาชนผูเ ก่ียวของ ผูเ สยี หาย ผูตองหา จาํ เลย พยาน
2. พนักงานสอบสวนหรอื ตํารวจ ไดแ ก ผูใหญบ า น กํานนั ปลัดอําเภอ นายอําเภอ ผวู า
ราชการจังหวัด
3. พนกั งานอัยการ มีหนาทีฟ่ องคดีผูถูกกลาวหาตอศาล เปนทนายโจทกห รอื ทนายจําเลย หรอื
ทนายความของแผนดนิ
4. ทนายความ คือ ผูท่ดี าํ เนินคดีใหแกล ูกความในศาล
5. ศาล มอี ํานาจในการพิจารณาพิพากษาคดี
เจา พนักงานบงั คับคดแี ละพนกั งานราชทณั ฑ
คดีแพงจะเก่ยี วขอ งกับเจา พนักงานบงั คับคดี กรมบงั คบั คดี และ กระทรวงยตุ ธิ รรม สําหรับ
คดอี าญาเกย่ี วของกับเจาพนักงาน กรมราชทัณฑ กระทรวงมหาดไทย กระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญา
คดอี าญา คือ คดีท่ีมุงรักษาความสงบ และความเปน ระเบยี บของสงั คม
บุคคลทีเ่ ก่ียวของกบั คดีอาญา มี 7 ฝา ย คอื
1. ประชาชน หมายถงึ ผูไ ดร ับความเสียหาย หรือที่เรียกวา โจทก
2. พนกั งานจบั กมุ และสอบสวน
3. พนักงานอยั การ
4. ทนายความ
5. เจาหนา ที่ศาล หรอื จา ศาล
6. คณะผูพิพากษา
7. กรมราชทณั ฑ ผูค ุม
ขนั้ ตอนและการฟองคดอี าญา
1. เมือ่ มีผเู สียหายแจงความ รองทุกขกลาวโทษ ตอเจาพนักงานตาํ รวจเพอ่ื ใหดําเนนิ คดี
2. พนกั งานสบื สวนสอบสวนจะรวบรวมขอ เทจ็ จรงิ และพสิ จู นค วามจรงิ ของผกู ระทาํ ผิดมา
ดาํ เนินคดี
3. พนักงานสอบสวนทําสาํ นวนขอ กลา วหาเสนอตออยั การ
4. ในชน้ั ศาล ศาลจะประทับฟอ ง ถา ผเู สยี หายฟองศาลเองศาลจะไตสวนมลู ฟองวาคดีน้ันมีมูล
เพียงพอท่ีจะฟองหรือไม ถาเปน คดอี ุกฉกรรจศาลจะหาทนายความใหก ับจาํ เลยเพื่อความเปนธรรม
5. การสอบคําใหการของจาํ เลย

[49]

6. การสบื พยาน ใหโจทกส บื พยานกอนเพ่ือพิสจู นค วามผดิ
7. การพิพากษาตัดสินโดยศาลจะดจู ากพยานหลกั ฐานท้ังบุคคล เอกสาร พยานวัตถุ
8. การอุทธรณ ฎีกาตองทําภายใน 1 เดือน
9. การบังคับคดี เจา หนาทรี่ าชทณั ฑจ ะทําหนาท่ตี ามคาํ พิพากษานนั้ โทษทางอาญา
แบง ไดเ ปน
• การรบิ ทรพั ย
• ปรบั
• กักขัง
• จาํ คุก
• ประหารชีวติ (โทษสงู สุดของคดอี าญา)

กระบวนการยตุ ธิ รรมทางแพง
คดีแพง คอื คดรี ะหวา งเอกชนกับเอกชน เก่ียวกบั ทรัพยส ิน บคุ คลทเ่ี กี่ยวของกบั คดีแพง
ไดแ ก
1. โจทยและจําเลย
2. ทนายความ
3. พนกั งานอยั การ
4. ผูพ พิ ากษา
5. เจา พนักงานบังคับคดี
ข้นั ตอนและการฟองคดแี พง
1. โจทกฟ องคดีตอศาล โดยโจทกอ าจฟองคดีตอศาลเอง และแตงตั้งทนายความเขา
ดาํ เนินการวา ตางแทน สว นจาํ เลยก็มสี ทิ ธ์สิ ูคดีดวยการแตง ทนายไดเชน กนั
2. ศาลสง สาํ เนาคาํ ฟองตอจาํ เลย
3. จําเลยเมอ่ื ไดร บั คําฟองและหมายเรียกใหแกคดีใหย่ืนแกภายใน 8 วนั
4. ศาลตรวจดคู ําฟองทงั้ สองฝาย แลวกําหนดประเด็นขอ พิพาท
5. สบื พยานโจทกแ ละพยานจําเลย
6. ศาลพิพากษาคดี อาจมีการย่ืนอทุ ธรณ ฎีกาได
7. การบังคับคดี ผูแพต องปฏิบัตติ ามคาํ พิพากษา ผชู นะมีสิทธ์ิขอใหศาลออกหมายบงั คับคดี
ได เชน การยึดทรัพยส ิน การขายทอดตลาด เปนตน

[50]

แผนภูมกิ ระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญา

หลักกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา
ในการดาํ เนนิ คดีทางอาญาเพื่อเอาตวั ผกู ระทาํ ผิดมาฟองรองลงโทษนั้นอาจกระทําได 2 ทาง

คือ
1) กรณีผูเสียหายย่ืนฟองตอศาลดวยตนเอง ในกรณีน้ีเพ่ือปองกันการกล่ันแกลง

ฟองรองกันโดยปราศจากมลู ความผดิ อาญา กฎหมายจึงกําหนดใหศาลทําการไตสวนมูลฟอ งกอ น (ในช้ัน
ไตสวนมูลฟองศาลมีอํานาจไตสวนมูลฟองลบั หลังจําเลย โดยท่ีจําเลยจะมาศาลหรอื ไมก็ได) หากเห็นวา
คดีไมมีมูลก็ยกฟองไป แตถาศาลเห็นวาคดีมีมูลก็จะประทับรับฟองไวพิจารณาพิพากษาคดีตอไป
จากน้ันก็เปนการดําเนินคดีในขั้นพิจารณาของศาล ซึ่งการดําเนินการก็เชนเดียวกับกรณีที่พนักงาน
อัยการโจทกย ื่นฟอ ง ซง่ึ จะกลา วตอ ไปน้ี

2) กรณีผูเสียหายมอบคดีใหเจาพนักงานในกระบวนการยุติธรรมของรัฐฟองคดีแทน
ซ่ึงกค็ อื พนกั งานอัยการนนั่ เองฟอ งคดแี ทน มหี ลกั เกณฑและขนั้ ตอนปฏบิ ัติดังน้ี

(1) การรองทุกขและกลาวโทษ (การแจงความ) คือ ผูเสียหายตองไปรองทุกขตอ
พนักงานสอบสวนวา มีการกระทําความผิดอาญาเกิดข้ึน จะรูตัวผูกระทําผิดหรือไมก็ตาม ซ่ึงการรอง
ทกุ ขม ีความสําคัญ คอื ในกรณีท่ีเปน ความผิดตอสวนตัว (ความผิดที่ยอมความได) จะทําการสอบสวนได
ตอเมอื่ ไดรอ งทกุ ขตามระเบียบแลว หมายถงึ ถา คกู รณไี มเ อาเรื่อง รฐั จะดําเนนิ คดไี มไ ด

(2) การสืบสวนสอบสวน “การสืบสวน” คือ การแสวงหาขอเท็จจริงและหลักฐาน ซ่ึง
พนักงานฝายปกครองหรือตํารวจไดปฏิบัติไปตามอํานาจหนาท่ีเพ่ือรักษาความสงบเรียบรอยของ
ประชาชน และเพ่ือท่ีจะทราบรายละเอียดแหงความผิด สวน “การสอบสวน” คือ การรวบรวม
พยานหลักฐาน และดําเนินการท้ังหลายซ่ึงพนักงานสอบสวนไดทําไปเก่ียวกับความผิดท่ีกลาวหา
เพ่ือท่ีจะทราบขอเทจ็ จรงิ หรอื พิสจู นค วามผดิ และเพ่อื ทีจ่ ะเอาตัวผูกระทําความผิดมาฟองลงโทษ

[51]

(3) การสรุปสํานวนการสอบสวน เม่ือสอบสวนคดีเสร็จแลวพนักงานสอบสวนตองสรุป
สํานวนการสอบสวน(สํานวนคดี) และทําความเห็นวาควรส่ังฟองหรือควรส่ังไมฟองแนบไปดวยกับ
สํานวนการสอบสวนสง ไปยงั พนกั งานอยั การ

(4) การตรวจสํานวนการสอบสวนของพนักงานอัยการ เมื่อตรวจสํานวนแลวพนักงาน

อัยการมอี ํานาจดําเนนิ การดงั ตอไปนี้

- มีอํานาจสั่งใหพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนเพ่ิมเติมได ถาเห็นวาสํานวน
หลักฐานยังไมชัดเจนหรือยังเปนท่ีเคลือบแคลงสงสัยอยู ก็ใหพนักงานสอบสวนไปรวบรวม
พยานหลกั ฐานเพมิ่ เตมิ ได

- อํานาจในการสั่งไมฟอง ถาพนักงานอัยการเห็นวาหลักฐานไมเพียงพอท่ีจะพิสูจน
ความผิดของผูตองหาได หรือการกระทําของผูตองหาไมเปนความผิดตามกฎหมายอาญาก็ดี พนักงาน
อัยการก็จะมีคําส่ังไมฟองผูตองหาและปลอยตัวไป (ในกรณีเชนน้ีถาเหตุเกิดในกรุงเทพมหานคร ตอง
เสนอไปยังผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ ในตางจังหวัดสงใหผูวาราชการจังหวัด ถามีความเห็นแยงกับ
พนกั งานอัยการก็สงสํานวนไปใหอ ัยการสูงสดุ เปน ผูชขี้ าดตัดสนิ )

- อํานาจในการสั่งฟองและฟองผูกระทําผิดตอศาล ถาพนักงานอัยการเห็นวา
พยานหลักฐานพอท่ีจะพิสูจนความผิดของผูตองหาได พนักงานอัยการก็จะดําเนินการส่ังฟองและนํา
ผูกระทําผิดไปฟองตอศาล (กอนท่ีจะมีการฟองคดีตอศาลจะเรียกผูกลาวหากับผูตองหา เม่ือฟองคดีตอ
ศาลแลวพนักงานอัยการมีฐานะเปนโจทก สวนผูต อ งหามีฐานะเปน จําเลย)

(5) การพิจารณาพิพากษาคดีของศาล เม่ือศาลประทับฟองแลวศาลก็จะเร่ิมสอบ
คําใหการของจําเลยวาจําเลยกระทําผิดจริงหรือไม จะใหการตอสูหรือจะรับสารภาพ หากจําเลย
สารภาพ ศาลอาจจะตัดสินโดยไมตองสืบพยานเลยกไ็ ด เวน แตใ นความผิดซ่ึงมีอตั ราโทษกําหนดไวอยาง
ตํ่าใหจําคุก ตั้งแต 5 ปข้ึนไป แมจําเลยจะสารภาพ ศาลจะลงโทษทันทีไมไดตองสืบพยานตอไปจนกวา
จะแนใ จวา จําเลยกระทาํ ผิดจรงิ หากจําเลยใหการปฏิเสธตอสคู ดี ศาลกจ็ ะนดั สืบพยานโจทก จําเลย

เม่ือทั้งโจทกแ ละจําเลยนาํ พยานหลักฐานเขาสืบหมดแลว ศาลก็จะช่ังนํ้าหนกั พยานหลักฐาน
และวินิจฉัยช้ีขาดคดี การตดั สินคดีของศาลน้ันหากยังมีขอสงสัยวาจําเลยอาจมิไดกระทําผิดศาลตองยก
ประโยชนแ หง ความสงสยั ใหจ าํ เลย ตองยกฟองและปลอ ยจาํ เลยพนขอ หา
สรุป การพิจารณาคดีอาญาของศาล
1. จะตอ งมีการฟอ ง ศาลจงึ จะพิจารณาคดีได โดยจะมีจาํ เลยมาศาลหรือไมก็ได
2. การพจิ ารณาคดีตองกระทําโดยเปดเผย และตองมตี ัวจําเลยมาศาลในการนดั พิจารณาคดีครง้ั แรก
กรณีจําเลยไมมาศาล ศาลจะดาํ เนนิ การพิจารณาใหจาํ เลยจะตกเปน ผูขาดนดั ยน่ื คําใหการ
3. การพิจารณาคดตี องกระทําตอหนา จาํ เลย เวนแต คดีมอี ัตราโทษจาํ คุกอยา งสูงไมเ กิน 10 ป หรือคดี
ท่ีมจี าํ เลยหลายคน จาํ เลยจงึ รองขอใหศ าลพิจารณาลบั หลงั ได
4. ถาจาํ เลยไมมีทนายความ ศาลตองตั้งทนายให
5. ในประเดน็ หนึ่งๆ จะพจิ ารณาคดีไดครง้ั เดยี ว เวน แตจะมีหลักฐานเพมิ่

[52]

สรุป การพิพากษาคดีอาญาของศาล
1. จะตอ งพจิ ารณาจนหมดกระบวนความ ศาลจงึ จะพิพากษาไดแ มแ ตจ ะมีการรบั สารภาพ ยกเวน
อตั ราโทษจาํ คุกตํา่ กวา 5 ป
2. ผูพพิ ากษาตองระบุมาตราแหงความผิดจงึ จะลงโทษได
3. ตอ งลงโทษตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ไิ ว คือ 5 สถานเทานนั้
4. ตอ งพิพากษาลงโทษไมเกินกวาทโี่ จทกขอและตามที่บัญญัติในกฎหมาย จะเพ่ิมโทษไมได

(6) การอุทธรณ ฎีกา เม่อื ศาลอานคําพพิ ากษาแลว หากโจทกห รือจําเลยไมเ ห็นดวย ก็มี
สิทธิท่ีจะอุทธรณหรือฎีกาไดภายใตบังคับของกฎหมาย ภายในกําหนด 1 เดือนนับแตวันท่ีอานคํา
พพิ ากษา เมอ่ื ศาลฎีกาตดั สินช้ขี าดอยางใดแลว ถือวา คดถี ึงท่สี ดุ และตองยุติไปตามคําพิพากษาน้นั

สรุป การพิพากษาคดอี าญาของศาลสูง มีได 4 กรณี
1. พิพากษายนื หมายถึง ศาลสงู เห็นดว ยกับศาลช้นั ตน
2. พพิ ากษายก หมายถึง ใหย กคาํ พิพากษาของศาลชั้นตน เพราะเห็นวา ศาลชน้ั ตน ทําไม

ถูกตอง ------ > ใหศาลชัน้ ตนทาํ ใหถ ูกตอง
3. พพิ ากษาแก หมายถึง ศาลสงู เห็นดวยบางสว นและไมเห็นดวยบางสวน สวนทไ่ี มเ หน็

ดว ยใหแ ก
4. พิพากษากลับ หมายถึง ศาลสูงไมเ ห็นดว ยกับคําพิพากษาของศาลชัน้ ตน

(7) การบังคับคดี หากผลแหงคดีเม่ือถึงท่ีสุดเปนการพิพากษายกฟอง ก็จะไมมีข้ันตอนการ
บังคบั คดีตองปลอยจําเลยไป แตถา ผลแหง คดีเปนการพิพากษาลงโทษ ข้ันตอนตอไปกเ็ ปนการบังคบั คดี
ใหเปนไปตามคําพิพากษา ซ่ึงเปนหนาท่ีของเจาหนาท่ีฝายราชทัณฑ อันเปนเจาหนาท่ีในกระบวนการ
ยุติธรรมฝายสุดทาย กลาวคือ หากตองคําพิพากษาประหารชีวิต ก็ดําเนินการประหารชีวิตไปตามคํา
พิพากษา หากตองโทษจาํ คุกกค็ วบคมุ ตัวไวในเรอื นจํา จนกวา จะครบกาํ หนดตามคําพิพากษาตอไป
พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม

คือ กฎหมายท่ีวาดวยการจัดต้ังศาลและวาดวยอํานาจในการพิจารณาคดีของศาลและผู
พพิ ากษา ซ่งึ กฎหมายพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมของไทยในปจจุบัน คอื พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม พ.ศ.
2543 พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม มีสาระสาํ คัญดงั น้ี

ศาลยุตธิ รรม แบง ออกเปน 3 ช้นั ไดแ ก
(1) ศาลช้ันตน คดที ุกคดีตองเร่ิมที่ศาลช้ันตน ซ่งึ จะมีอยทู ว่ั ราชอาณาจกั ร แตละศาลกจ็ ะ

มีของเขตอํานาจ ซ่ึงการดําเนินการฟองคดีจะตองย่ืนฟองตอศาลท่ีมีเขตอํานาจเทาน้ันสําหรับในเขต
กรุงเทพฯ ศาลช้ันตน ไดแก ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลแขวงพระนครใต ศาลแขวงธนบุรี ศาลจังหวัด
มนี บุรี ศาลแพงธนบุรี ศาลอาญาธนบรุ ี ศาลแพง ศาลอาญา เปนตน สวนในเขตจังหวัดอ่ืน ๆ ศาลชั้นตน
ไดแ ก ศาลแขวงและศาลจังหวัด

- ศาลแขวง เปนศาลท่ีจดั ตั้งข้นึ มาเพ่ือแบงเบาภาระของศาลชั้นตนอ่ืนๆ คือ มีอาํ นาจ
พิจารณาพิพากษาคดีเล็กๆ นอยๆ เชน ในคดีทางแพงน้ัน ศาลแขวงก็มีอํานาจพิจารณาคําพิพากษาคดี
แพง ที่มีราคาทรัพยส ินหรอื จํานวนทุนทรัพยที่พิพาทไมเกิน 300,000 บาท หรือในคดอี าญา ศาลแขวงก็
มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา ท่ีมีอัตราโทษอยางสูงตามกฎหมายกําหนดไวใหลงโทษจาํ คุกไมเกิน
3 ป หรือปรบั ไมเ กิน 60,000 บาท หรอื ท้ังจําท้ังปรบั เปนตน

[53]

- ศาลจังหวัด มีประจําอยูทุกจังหวัด ซ่ึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพงและ
คดอี าญาทัง้ ปวงนอกจากนีย้ ังมศี าลช้ันตนอนื่ ๆ ที่สงั กดั อยใู นกระทรวงยุตธิ รรม แตมิไดจัดตั้งข้ึนตามพระ
ธรรมนูญศาลยุติธรรม เปนศาลท่ีจัดต้ังข้ึนเปนพิเศษเฉพาะเร่ือง เชน ศาลแรงงาน ศาลภาษีอํากร ศาล
ทรัพยส ินทางปญ ญา ศาลเยาวชนและครอบครวั ศาลลม ละลาย เปน ตน

- ศาลแรงงาน มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแรงงานท่ีเปนขอขัดแยงระหวางนายจาง
กับลูกจางตามสัญญาจางแรงงานหรือเก่ียวกับสิทธิของนายจางและลูกจางตามกฎหมายวาดวยการ
คุมครองแรงงาน และกฎหมายวาดวยแรงงานสัมพันธ

- ศาลเยาวชนและครอบครัว มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีท่ีเก่ียวกับเด็กและ เยา
ชน ซ่งึ เปนผูทีม่ ีอายุเกนิ 7 ป แตยังไมถึง 18 ปบรบิ ูรณในวันท่กี ระทาํ ความผิด ทัง้ คดีแพงและคดีอาญา

(2) ศาลอุทธรณ มีอํานาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีท่ีอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส่ัง
ของศาลช้นั ตน และมีอํานาจวนิ ิจฉัยช้ีขาดคดีไดตามกฎหมายอ่ืน ปจจบุ ันตามพระธรรมนูญศาลยุตธิ รรม
ฉบบั ใหมไ ดเปลี่ยนจาก อธิบดีผพู ิพากษาศาลอุทธรณมาเปนประธานศาลอทุ ธรณ

(3) ศาลฎีกา เปนศาลสูงสุดของประเทศ มีอํานาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีท่ีอุทธรณ
คําพพิ ากษาหรอื คําสง่ั ของศาลอทุ ธรณและมีอํานาจวนิ ินจิ ฉัยชี้ขาดคดตี ามกฎหมายอ่ืนไดดว ย ศาลฎกี ามี
ศาลเดียว ต้ังอยูในกรุงเทพมหานคร ซ่ึงมีประธานศาลฎีกาเปนหัวหนาศาล องคคณะในศาลฎีกา
ประกอบดวยผูพ ิพากษาอยาง นอย 3 นาย

แผนภมู กิ ระบวนการยุติธรรมทางแพง

หลกั กฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง
ในการดาํ เนินคดีทางแพงแบง ได 2 กรณีคอื
กรณีท่ี 1 การดําเนินคดีมีขอพิพาท ซ่ึงเปนการดําเนินคดีในกรณีท่ีเกิดการโตแยงสิทธิกัน

ตามกฎหมายแพง โดยเปนการพิพาทในระหวางโจทกกับจําเลย เชน ดํากูยืมเงินแดง เม่ือครบกําหนด
ชาํ ระหน้ีแลวไมยอมใชเงินคืนแดง เปนการโตแยงสิทธิของนายแดงจึงดําเนินการฟองคดีตอศาล เปนคดี
ทีม่ ขี อพิพาทกันขึน้ ระหวา งโจทยก ับจําเลย ซึง่ มหี ลักเกณฑแ ละขัน้ ตอนสําคญั ดังนี้

1) การแตง ตง้ั ทนายความ การฟองรองคดีทางแพงน้ัน โจทก (ผเู สยี หาย) จะตองฟองคดี
ตอศาลเอง เพราะคดีแพงนั้นจะไมมีเจาหนาที่ของรฐั คือ พนักงานอัยการฟองคดีแทนเชนคดีอาญา แต

[54]

อยางไรก็ตามหากโจทกไมมีความรูทางกฎหมายก็สามารถแตงต้ังทนายความเพ่ือดําเนินคดีแทนได สา
หรับจาํ เลยผูถ ูกฟองหากประสงคจะสูคดกี ็ชอบท่จี ะแตงตง้ั ทนายความเขาแกตา งคดีแทนไดเชน กนั

2) การย่ืนฟอ งคดี โจทกจะตองทําคําฟองมายน่ื ตอ ศาลท่ีมีอํานาจชําระคดี โดยคาํ ฟองนั้น
จะตอ งแสดงโดยชัดแจง ซงึ่ สภาพแหงขอหาและคําขอบังคับ รวมทัง้ ขอ อางทั้งหลายท่ีอาศัยเปนหลักแหง
ขอหา ซ่ึงคําฟองคดีแพงน้ี ตัวโจทกจะลงช่ือเองหรือใหทนายความลงช่ือแทนใหก็ได แตขอสําคัญ ก็คือ
ตองเสียคาธรรมเนียมโดยปดแสตมปฤชาอากรมา ใหครบถวนดวย เวนแต จะไดรับอนุญาตจากศาลให
ดาํ เนนิ คดอี ยางคนอนาถา เพราะเปนผูยากไรไมม ีเงนิ พอเสยี คาธรรมเนียม

3) การสงสําเนาคําฟองใหแกจําเลย หลังจากท่ีศาลมีคําส่ังประทับรับฟองของโจทกไว
พิจารณาแลว โจทกม ีหนา ทที่ ่จี ะตองสงสําเนาคาํ ฟองและหมายเรียกใหจ าํ เลยมาแกคดี

4) การย่ืนคําใหการแกคดี หากจําเลยประสงคจะตอสูคดี จําเลยจะตองรีบทําคําใหการ
แกคดีย่ืนตอศาลภายในกําหนด 15 วัน คําใหการของจําเลยตองแสดงโดยชัดแจงวาจําเลยยอมรับหรือ
ปฏิเสธขออา งของโจทกท งั้ สนิ้ หรือแตบางสว น รวมท้ังเหตุแหง การนน้ั

5) การพิจารณาคดีของศาล เม่ือศาลไดตรวจคําฟองและคําใหการของโจทกและจําเลย
แลว หากศาลเห็นวาคดีไมมีประเด็นขอยุงยาก ศาลอาจจะกําหนดใหโจทกสืบพยานไปทันที แตถาศาล
เห็นวา คดมี ปี ระเดน็ ขอ ยุง ยาก ศาลอาจจะกาํ หนดใหโ จทกและจําเลยนาํ พยานหลกั ฐานเขาสบื ขอเทจ็ จริง

6) การพิพากษาคดีของศาล เม่ือโจทกจําเลยนําสืบพยานหลักฐานตาง ๆ จนหมดแลว
ศาลก็จะดําเนินการตรวจสํานวนพิเคราะหพยานหลักฐานตาง ๆ แลวนํามาวินิจฉัย ช่ังน้ําหนัก
พยานหลักฐานวาฝายใดมีนํ้าหนักนาเช่ือถือกวา ศาลก็จะพิพากษาใหฝายน้ันเปนผูชนะคดี และ
กาํ หนดใหฝ า ยท่ีแพค ดตี องชดใชคาฤชาธรรมเนยี ม และคาทนายความใหก ับคูค วามฝายท่ชี นะคดี

7) การอุทธรณ ฎีกา เม่ือศาลอานคําพิพากษาแลว หากคูความฝายใดไมเห็นดวยกับคํา
พพิ ากษาน้ันก็มีสทิ ธิท่ีจะย่ืนอุทธรณหรือยน่ื ฎีกาไดตอไปตามลําดับ และถาคดีน้ันไดย่ืนถงึ ศาลฎีกา หาก
ศาลฎีกาวนิ ิจฉยั อยางไรแลว กเ็ ปน อันยุตไิ ปตามคําพิพากษาของศาลฎีกาน้ัน ในการย่ืนอุทธรณและฎีกา
จะตองย่ืนภายในกําหนด 1 เดือน นับแตวันท่ีไดอานคําพิพากษา ถาไมมีคูความฝายใดย่ืนอุทธรณหรือ
ย่นื เม่ือพน กาํ หนดเวลาแลว ถอื วาคดถี งึ ท่ีสุดแลว

8) การบังคับคดี คูความฝายท่ีแพคดีจะตองปฏิบัติตามคําบังคับของศาล ภายใน
กําหนดเวลาท่ีศาลไดระบุไวหากไมยอมปฏิบัติตามคําบังคับน้ัน คูความฝายท่ีชนะคดียอมมีสิทธิขอให
ศาลออกหมายบงั คบั คดีใหเปนไปตามคําพิพากษาได เชน ขอใหศาลออกหมายบังคบั คดียดึ ทรพั ยสินของ
อีกฝา ยเพ่อื นาํ ออกขายตลาด และนําเงนิ มาชาระหน้ีตามคําพิพากษา เปนตน

[55]

คา ธรรมเนยี มศาลใหมมดี ังนี้

1. คดีมีทนุ ทรัพยอ นั อาจคํานวณเปน เงินได ใหคิดคาขึน้ ศาล ดังนี้
-ทุนทรพั ยท่เี รียกรอง ไมเกิน 300,000 บาท รอ ยละ 2 แตไมเกนิ 1,000 บาท (คดีศาลแขวง)
-ทนุ ทรพั ยท ่เี รยี กรอ ง เกิน 300,000 แตไมเ กนิ 50 ลา นบาท รอ ยละ 2 บาท แตเสยี ไมเกิน 200,000 บาท
สวนทุนทรัพยท เ่ี รยี กรอ งในสวนทีเ่ กิน 50 ลา นบาทแรก ใหเ สยี ในอตั รารอยละ 0.1 บาท
2. คํารองขอใหศาลบงั คบั ตามคาํ ช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศหรอื คํารองขอขอใหเพิกถอนคําชีข้ าด
อนุญาโตตุลาการในประเทศ ไมเ กิน 50 ลา นบาท รอ ยละ 0.5 บาท แตไ มเ กนิ 50,000 บาท สว นท่ีเกิน 50
ลา นบาท รอ ยละ 0.1
3. คํารอ งขอใหบ งั คบั ตามคาํ ช้ีขาดของอนุญาโตตลุ าการตา งประเทศ หรือใหเ พิกถอนคําช้ขี าดของ
อนญุ าโตตุลาการตางประเทศ ไมเ กิน 50 ลานบาท รอยละ 1 แตไมเ กนิ 100,000 บาท สวนทเ่ี กิน 50 ลาน
บาท รอ ยละ 0.1
4. ฟองขอใหบังคบั จาํ นองหรือบังคับเอาทรัพยส นิ จาํ นองหลุด ไมเกนิ 50 ลานบาท รอ ยละ 1 แตไมเกิน
100,000 บาท สว นทีเ่ กิน 50 ลา นบาทขน้ึ ไป รอยละ 0.1
5. คดีขอใหป ลดเปล้ืองทุกขท่ีไมอ าจคํานวณเปน เงินได รวมทงั้ คดีไมมีขอ พิพาท เสยี เร่ืองละ 200 บาท
6. คดขี อใหช ําระคาเสยี หาย คาอุปการะเลี้ยงดู คา เลยี้ งชีพ เงินป เงนิ เดอื น หรอื ทจ่ี ายมีกําหนดระยะเวลาใน
อนาคต นอกจากดอกเบยี้ คา เชา (คาขน้ึ ศาลในอนาคต) เสียคาขน้ึ ศาล 100 บาท
7. คาคํารอ งขอใหสืบพยานลวงหนาในกรณยี ังไมม ีคดีอยูใ นศาล เสยี 100 บาท
8. คารับรองเอกสาร โดยเจาพนกั งานศาล(ทุกชั้นศาล) หรือเจาพนักงานบังคบั คดี ฉบับละ 50 บาท
9. ใบสาํ คญั เพ่ือแสดงวาคดถี งึ ที่สุด ฉบบั ละ 50 บาท(ทุกชั้นศาล)
10. คํารองอนื่ ๆ คา คําขอ คา เอกสารเปน พยาน คา ใบแตง ทนายความ(กฎหมายไมกลา วถึง) จงึ ไดรบั การ
ยกเลิก คือไมตอ งเสีย

กรณีท่ี 2 การดําเนินคดีไมมีขอพิพาท เปนการดําเนินคดีในทางแพง ในกรณีที่ไมมีการ
โตแยงสิทธิพิพาทกัน แตเปนเร่ืองท่ีบุคคลใดบุคคลหน่ึงมีความจําเปนท่ีจะตองใชสิทธิทางศาล เชน
ประสงคจะขอใหศาลมีคําส่ังแสดงกรรมสิทธ์ิในท่ีดินท่ีไดมาโดยการครอบครองปรปกษ การขออนุญาต
ศาลเพ่ือทํานิติกรรมแทนผูเยาว หรือการขอเปนผูจัดการมรดก เปนตน บุคคลน้ันก็ชอบท่ีจะย่ืนคํารอง
ตอศาลเพ่อื ขอดาํ เนนิ คดไี มม ีขอพิพาทได

การดําเนินคดีไมมีขอพิพาทน้ันจะมีขั้นตอนสะดวกและงายกวาการดําเนินคดีมีขอพิพาท
กลาวคือ บุคคลท่ีจําเปนตองใชสิทธิทางศาลตองย่ืนคํารองตอศาลท่ีมีอํานาจ เม่ือศาลรับคํารองไว
พิจารณาแลว ศาลจะประกาศนัดไตสวนคํารองเพ่ือเปดโอกาสใหบุคคลท่ัวไปไดโตแยงคัดคาน หากมี
บุคคลใดเขามาโตแยงก็กลายเปนคดีมีขอพิพาทข้ึน ก็ตองกลับไปใชหลักเกณฑและข้ันตอนเชน คดีมีขอ
พิพาท แตหากครบกาํ หนดเวลาแลวไมมบี คุ คลใดโตแยง คัดคา นแลว ศาลก็จะทาํ การไตส วนคํารอง ผูรอง
ตองนําพยานหลักฐานตาง ๆ เขาสืบ เม่ือไตสวนคํารองเสร็จ ศาลก็จะมีคําส่ังคํารองดังกลาวตอไป ถาผู
รองยังไมพ อใจกบั คําสงั่ น้ันกม็ ีสทิ ธิที่จะอุทธรณฎ กี าตอไปไดภายใตบ ทบัญญัติของกฎหมาย

การฟองบคุ คลในคดลี มละลาย
บคุ คลที่จะถกู ฟองตองครบองคประกอบ 3 ประการ

[56]

1) มีหน้สี ินลน พนตัว หมายความวา มหี นสี้ นิ มากกวาทรัพยสิน
2) การมีหนีส้ ินนัน้ กาํ หนดจาํ นวนไดแ นนอน
3) ถาเปนบุคคลธรรมดา ตองมีหน้ีสินต้ังแต 1,000,000 บาทขึ้นไป ถาเปนนิติบุคคลตองมี
หนี้สินต้ังแต 2,000,000 บาทข้ึนไป บุคคลท่ีศาลพิพากษาใหเปนบุคคลลมละลาย การจัดการทรัพยสิน
และทางทํามาหาไดต อ งตกอยูภายใตการดูแลของ เจาพนกั งานพิทักษท รพั ย

คดแี พง เก่ียวเนือ่ งกบั คดีอาญา
เม่ือมีคดีความเกดิ ขึ้น ผเู สียหายอาจจะฟอ งรองตอศาลเปนคดแี พงหรือคดีอาญา กรณีท่ีมีการ
ฟองรองตอศาลทั้งคดีแพงและคดีอาญา ในความผิดกรรมเดียวกัน เรียกวา การฟองรองคดีแพง
เก่ียวเนือ่ งกบั คดีอาญา เมื่อเปน เชน นี้ ศาลตองพิจารณาคดีอาญากอน

ศาลประเทศไทยในปจ จุบัน
มีการจัดต้ังศาลปกครอง ซ่ึงมีหนาท่ี ดูแลในเร่ืองการปฏิบัติหนาท่ีของเจาหนาท่ีของรัฐกรณีท่ี
ประชาชนไมไดร ับความเปนธรรม จากการปฏิบัติหนาท่ีของเจาหนาท่ีของรัฐ ศาลท้ังหลายจะต้ังข้ึนไดก็
แตโดยการตราเปน พระราชบญั ญตั ิ
ศาลตามกฎหมายรัฐธรรมนญู มที ้ังหมด 4 ประเภท
1) ศาลยตุ ิธรรม 2) ศาลรฐั ธรรมนูญ
3) ศาลปกครอง 4) ศาลทหาร

ศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผูดํารงตําแหนง ทางการเมือง
รัฐธรรมนูญฉบับปจจุบัน (พ.ศ.2560) ไดกําหนดใหมีการจัดตั้งแผนกคดีอาญาของผูดํารง

ตําแหนงทางการเมืองในศาลฎีกา เพ่ือทําหนาท่ีในการพิจารณาตัดสินคดีท่ีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี
สมาชิกสภาผูแทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือขาราชการการเมืองอ่ืนถูกกลาวหาวารํ่ารวยผิดปกติ
กระทําความผิดตอ ตําแหนงหนาที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทําความผิดตอตําแหนง
หนาท่ีหรือทจุ รติ ตอหนาทก่ี ฎหมายอืน่ รวมท้งั กรณีบุคคลอ่ืนท่ีเปนตัวการ ผใู ช หรือผูสนับสนนุ ดวย

องคคณะผูพิพากษาจะประกอบดวยผูพิพากษาศาลฎีกาไมนอยกวา 5 คนแตไมเกิน จํานวน
9 คน ซ่ึงไดรับเลือกโดยท่ีประชุมใหญศาลฎีกา ข้ึนน่ังพิจารณาคดีเชนเดียวกับศาลช้ันตน แตการ
พิจารณาคดีจะเปนระบบไตสวน ซึ่งแตกตางจากวิธีพิจารณาท่ีใชในคดีทั่วไป ศาลมีอํานาจไตสวนหา
ขอเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมไดตามท่ีเห็นสมควร ตามวิธีพิจารณาคดีท่ีบัญญัติไวใน
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยวิธพี ิจารณาคดีอาญาของผดู ํารงตําแหนงทางการเมือง พ.ศ.
2542

คําพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผูดํารงตําแหนงทางการเมืองถือวาเปนท่ีสุด คือ
ไมส ามารถอุทธรณฎ ีกาตอศาลใดๆ ไดอ ีก เวน แตม ีหลักฐานใหม สามารถย่ืนอุทธรณไ ดภ ายใน 30 วัน

[57]

สรุป คดที ีเ่ ขา สกู ารพิจารณาพิพากษาของ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผดู ํารงตาํ แหนงทาง
การเมือง มีคดีใดบาง
1) ทุจรติ ตอตําแหนง หนา ทีร่ าชการ
2) กระทําความผดิ ตอ ตําแหนงหนา ทร่ี าชการ
3) ขอใหทรพั ยส ินตกเปน ของแผนดิน
4) เจา พนักงานรว มกันปฏิบัติหนาท่โี ดยมชิ อบ เพ่ือใหเ กดิ ความเสียหายแกผ ูหน่งึ ผใู ด
5) เปน เจา พนักงานใชอาํ นาจในตําแหนงโดยมิชอบ
6) เปนเจา พนักงาน พนักงานและผสู นบั สนุนเจา พนกั งานปฏิบตั หิ รอื ละเวน การปฏิบตั ิหนาท่โี ดยมิชอบ
เพ่ือใหเกดิ ความเสยี หายแกผ ูหนึ่งผใู ด หรอื ปฏบิ ตั หิ รือละเวน การปฏบิ ัตหิ นา ที่โดยทจุ รติ
7) จงใจไมย น่ื บัญชีแสดงรายการทรพั ยส นิ และหน้สี ินและเอกสารประกอบ
8) จงใจย่ืนบญั ชีแสดงรายการทรัพยสินและหนี้สินฯ ดว ยขอความอันเปน เท็จ ปกปดขอ ความจริงท่ีควร
แจงใหทราบ
9) เจาหนาทขี่ องรฐั เปนหนุ สว น หรอื ผถู อื หนุ ในหางหุนสวนหรือบริษทั ที่สมั ปทานหรือเขา เปนคูสัญญา
เขาไปมสี วนไดเ สยี เพ่ือประโยชนส าหรับตนเองหรอื ผูอ่ืน

ศาลรัฐธรรมนูญ

ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม (พ.ศ.2560) ศาลรัฐธรรมนูญไมมีอํานาจในการพิจารณาพิพากษา
คดีท่ัวไป แตมีอํานาจเฉพาะคดีท่ีเก่ียวของกับรัฐธรรมนูญซ่ึงเปนกฎหมายสูงสุดของประเทศ ศาล
รัฐธรรมนูญประกอบดวยประธานศาลรัฐธรรมนูญ 1 คน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่ืนอีก 8คน ซ่ึง
พระมหากษัตริยท รงแตง ต้งั ตามคาํ แนะนําของวฒุ ิสภา ตุลาการศาลรฐั ธรรมนญู ตอ งมาจาก

1. ผูพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งไดรับเลือกจากท่ปี ระชุมใหญศ าลฎีกาจาํ นวน 3 คน
2. ตุลาการในศาลปกครองสงู สดุ ซ่งึ ไดร ับเลอื กจากท่ปี ระชุมใหญศ าลปกครองสูงสดุ
จาํ นวน 2 คน
3. ผูทรงคุณวฒุ สิ าขานติ ศิ าสตรจาํ นวน 2 คน
4. ผูทรงคณุ วุฒสิ าขารัฐศาสตรจาํ นวน 2 คน
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดาํ รงตาํ แหนง 9 ป และดํารงตําแหนงไดเพียงวาระเดยี ว
อํานาจหนา ที่
1. หนาท่ีหลัก คือ ควบคุมกฎหมายมิใหขัดหรือแยงกับรัฐธรรมนูญ เพ่ือรักษาความเปน
กฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนูญฉบบั ใหมนน้ั การควบคุมกฎหมายมิใหขดั กับรัฐธรรมนูญ
ใชระบบการควบคุมท้ังกอนท่ีรางกฎหมายจะมีผลใชบังคับและการควบคุมภายหลังท่ีกฎหมายน้ันมีผล
ใชบ ังคบั แลว
2. หนา ที่อ่นื ๆ ไดแ ก

2.1 ตัดสินปญหาเก่ียวกับอํานาจหนาที่ขององคการตางๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซ่ึงผูมีสิทธิ
เสนอเรอื่ งใหศาลรฐั ธรรมนูญตีความ คือ ประธานรฐั สภาหรอื องคก ารนั้นๆ

[58]

2.2 ควบคุมพรรคการเมือง ไดแก ใหสมาชิกสภาผูแทนราษฎรซ่ึงเปนสมาชิกของพรรค
การเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรอื สมาชิกของพรรคการเมืองจํานวนหนึ่ง ซ่ึงเห็นวามติหรือ
ขอ บังคับของพรรคการเมืองนน้ั ขัดหรอื แยงตอรฐั ธรรมนูญ มีสิทธิขอใหศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวนิ ิจฉัย
เพื่อยกเลิกมตหิ รอื ขอ บังคบั กลา วได

2.3 วินจิ ฉยั วา กรรมการการเลอื กตงั้ พนจากตาํ แหนงหรือไม
2.4 วินิจฉัยการเปนสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผูแทนราษฎรและความส้ินสุดของ
คณะรัฐมนตรี คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใหถือเปนเด็ดขาดผูกพัน ทุกองคการของรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี ศาลทุกศาล นอกจากน้ันคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญท่ีวาพระราชบัญญัติใดหรือราง
พระราชบัญญัติใดขัดหรือแยงกับรัฐธรรมนูญ ถือวาพระราชบัญญัตินนั้ หรอื รางพระราชบัญญัตนิ ั้นตกไป
คือไมตองนําข้ึนทูลเกลาฯ ถวายพระมหากษัตริยเพ่ือลงพระปรมาภิไธย หรือหากเปนกฎหมายท่ี
ประกาศใชบงั คับแลวก็เปนกฎหมายไมไ ดต อไป

ศาลทหาร

ศาลทหารมีหนา ที่พจิ ารณาพิพากษาคดีอาญาทหารและคดีอื่นท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ

ศาลปกครอง

ศาลปกครองเปนองคการท่ีจัดต้ังข้ึนตามรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2540 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง ซึ่งเปนขอพิพาท
ระหวางเอกชนฝายหน่ึงกับหนวยงานทางปกครอง หรือเจาหนาท่ีรัฐอีกฝายหน่ึง หรือเปนขอพิพาท
ระหวางหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐดวยกัน อันเน่ืองมาจากการปฏิบัติหนาท่ี ท้ังน้ีเพ่ือ
คุมครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและปกปองประโยชนของสวนรวมใหไดดุลยภาพกันและเพ่ือวาง
บรรทัดฐานใหการปฏิบัติหนาท่ีของหนวยงานทางปกครองและเจาหนาท่ีของรัฐเปนไปโดยถูกตองตาม
กฎหมาย

โครงสรา งและเขตอํานาจของศาลปกครอง
ศาลปกครองแบงออกเปน 2 ชน้ั ศาล ไดแก ศาลปกครองสูงสุด กบั ศาลปกครองช้ันตน (ศาล
ปกครองกลางและศาลปกครองในภูมิภาค) ซึ่งแสดงใหเ หน็ ไดจ ากแผนภูมิดังตอไปนี้

ศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองช้นั ตน
ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองในภูมิภาค
ทั้งน้ีโดยศาลแตล ะศาลมที ่ีตง้ั และเขตอํานาจทางพนื้ ท่ี ศาลปกครองสูงสุดตั้งอยใู น
กรงุ เทพมหานคร มเี ขตอาํ นาจทั่วราชอาณาจักร

[59]

เงอ่ื นไขในการฟองคดี
เพ่ือใหการฟอ งคดเี ปน ระบบและสามารถแกไ ขความเดือดรอนของผปู ระสงคจะฟอ งคดีได
อยา งแทจ ริงกฎหมายไดก าํ หนดเงอื่ นไขในการฟองคดีเอาไว 4 ประการ คือ
1. ผูมีสิทธิฟองคดี ผูที่จะฟองคดีปกครองไดตองเปนผูท่ีไดรับความเดือดรอนเสียหายหรือ
อาจจะเดือดรอนเสียหาย โดยมิอาจหลกี เลีย่ งไดจากการกระทําหรืองดเวน การกระทาํ ของหนวยงานทาง
ปกครองหรือเจาหนาท่ีรัฐ หรือตองเปนผูที่มีขอโตแยงเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง หรือเปนผูที่มีขอ
โตแยงกรณอี ืน่ ทอี่ ยใู นอํานาจศาลปกครอง
2. ระยะเวลาการฟองคดี

1) โดยท่ัวไปตองฟองคดีภายใน 90 วนั นับแตวนั ท่ีรูหรอื ควรรูถึงเหตแุ หง การฟองคดี
2) แตถ า เปน คดีพพิ าทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองหรอื การละเมดิ ทางปกครองตองฟอง
คดภี ายใน 1 ป นับแตว ันท่ีรหู รือควรรูเ หตแุ หง การฟองคดแี ตไ มเกิน 10 ป
3) กรณีเปน คดเี กี่ยวกบั การคุมครองประโยชนสาธารณะหรือสถานะของบุคคล ผูฟ องคดี
จะยนื่ ฟองเมื่อไหรกไ็ ด
3. คําฟอง ไมมีแบบเฉพาะและไมจําเปน ตองใชแ บบฟอรมใดๆ ของศาล เพยี งแตต อง …
1) ทําเปนหนังสือใชถ อยคาํ สุภาพ
2) ระบุชือ่ ที่อยู พรอมทงั้ ลงลายมอื ชื่อของผูฟองคดี
3) ระบชุ ่อื หนว ยงานหรือเจาหนาที่ของรัฐท่ีเกี่ยวของ
4) ระบกุ ารกระทําอันเปนเหตุแหงการฟองคดใี หมีเน้ือหาทีเ่ ขา ใจไดวา ผูฟองเดอื ดรอน
เสยี หายจากเรื่องอะไรและอยางไร
5) ระบุคําขอวาตองการใหศ าลปกครองพิพากษาหรอื สั่งอยางไร
4. การขอใหแกไขเยียวยาความเดือดรอนในเบ้ืองตน หากเรื่องท่ีจะนํามาฟองมีกฎหมาย
กําหนดวาจะตองมีการแกไขความเดือดรอนในเร่ืองน้ันๆ ตามข้ันตอนหรือวิธีการใดก็จะตองดําเนินการ
ตามข้ันตอนหรือวิธีการดังกลาวใหเสร็จเสียกอน จึงสามารถมาฟองคดีตอศาลปกครองได เชน ตอง
อทุ ธรณค ําสง่ั กอ นทจ่ี ะมาฟอ งศาลปกครอง ถาไมทาํ ศาลปกครองจะไมรบั ไวพ จิ ารณา
การยนื่ คาํ ฟอง
การย่ืนคาํ ฟอ งมหี ลกั เกณฑงายๆ ดังนี้
�ถาเปนคดีท่ีอยูในเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันตน ถือหลักวาใหย่ืนฟองตอศาลท่ีผูฟองมีภูมิลําเนา
หรอื ตอ ศาลทมี่ ลู คดีเกิดขึน้ อยา งใดอยางหนึง่
�ถา เปน คดที ีอ่ ยูใ นเขตอํานาจของศาลปกครองสูงสดุ ใหย่ืนฟอ งโดยตรงตอ ศาลปกครองสูงสดุ
�อนึ่งในระหวา งที่ยงั ไมไ ดมีการจัดตัง้ ศาลปกครองในภูมิภาค ถาเปนคดที อี่ ยใู นเขตอํานาจของศาล
ปกครองช้ันตน ประชาชนสามารถยนื่ ฟอ งตอ ศาลปกครองกลางได
เม่ือจัดเตรียมคําฟองและเอกสารหลักฐานตางๆ พรอมแลว ผูประสงคจะฟองคดีสามารถย่ืน
คําฟอ งไดตอเจาหนาที่ของศาลหรอื จะสง ทางไปรษณยี ล งทะเบยี นกไ็ ด

[60]

สาํ นกั งานศาลปกครอง
สาํ นกั งานศาลปกครองเปน สวนราชการทเ่ี ปนหนว ยงานอิสระตามรฐั ธรรมนญู มฐี านะเปน นิติ
บุคคล โดยมีเลขาธิการสํานักงานศาลปกครองเปนผูบังคับบัญชาของขาราชการในสํานักงานศาล
ปกครอง
ศาลปกครองกลาง ตั้งอยูในกรุงเทพมหานคร มีเขตอํานาจตลอดทองท่ีกรุงเทพมหานคร
นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี ราชบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และจังหวัดอ่ืนๆ ท่ียัง
ไมไ ดมกี ารเปด ทําการของศาลปกครองในภูมิภาค
ศาลปกครองในภูมภิ าค มีเขตอํานาจกระจายครอบคลุมทองทห่ี ลายจังหวดั ตามท่ีกําหนดใน
กฎหมายโดยจะทยอยจดั ตั้งและเปดทําการเปน แหง ๆ ไปจนครบจาํ นวนท้ังสน้ิ 16 ศาล

อํานาจหนาที่ของศาลปกครอง
ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษา “คดีปกครอง” ซ่งึ ไดแ กคดีในลักษณะดังตอไปนี้
� - คดพี ิพาทเก่ียวกับการกระทําทางปกครอง อันไดแก กฎหรือคําสั่งไมช อบดว ยกฎหมาย
� - คดีพพิ าทเกี่ยวกบั สัญญาทางปกครอง เชน สญั ญาสมั ปทาน สัญญาจางกอสรา งถนนหรอื สะพาน
� - คดีพิพาทเกีย่ วกบั การละเลยตอ หนาที่ หรือปฏบิ ัตหิ นาทีล่ า ชา เกดิ สมควรของหนวยงานทาง
ปกครองหรอื เจาหนาที่ของรฐั
� - คดีพพิ าทเก่ยี วกบั การกระทําละเมิดทางปกครอง หรือความรบั ผดิ ชอบอยา งอน่ื ของหนว ยงานทาง
ปกครองหรอื เจา หนา ทข่ี องรฐั
� - คดีพิพาทอ่ืนๆ อันไดแก คดีท่ีกฎหมายกําหนดใหทางราชการตองฟองตอศาล หากประสงคจะ
บังคับใหบุคคลตองกระทําหรือละเวนกระทําการใด หรือคดีท่ีมีกฎหมายกําหนดไวเฉพาะใหอยูในเขต
อํานาจศาลปกครอง
คดีปกครองเหลาน้ีกฎหมายกําหนดใหอยูในอํานาจของศาลปกครองช้ันตน ซึ่งจะมีลักษณะ
เปนศาลทม่ี ีอาํ นาจทั่วไปและเปน ศาลแรกทจี่ ะมีการนําคดีมาฟอ ง
สาํ หรบั ศาลปกครองสูงสุด น้ัน จะเปนศาลสูงที่มอี าํ นาจ ...
1) ตรวจสอบคาํ พพิ ากษาหรือคาํ ส่ังของศาลชนั้ ตน
2) มีอํานาจโดยตรงในการพิจารณาพิพากษาคดีบางประเภท เชน คดีท่ีฟองวาพระราช
กฤษฎกี า กฎหรือบทบัญญัติอ่ืนใดทอ่ี อก โดยคณะรฐั มนตรหี รือโดยความเห็นชอบของคณะรฐั มนตรี ซ่ึง
มีผลบังคบั เปนการทว่ั ไปน้นั ไมช อบดว ยกฎหมาย
3) คดีทมี่ กี ฎหมายกาํ หนดไวเ ฉพาะใหอยูในอาํ นาจศาลปกครองสูงสุด

คา ธรรมเนยี มการฟอ งคดปี กครอง
ถอื หลักความสะดวกเรียบงาย และไมมีคาใชจา ยมากมายใหเปนภาระแกคูกรณี โดยการฟอง
คดสี วนใหญไมต องเสยี คาธรรมเนียมศาล (เวนแตใ นคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมดิ หรือความรับผิด
อยางอ่ืนของทางราชการหรอื คดีพิพาทเก่ียวกับสัญญาทางปกครอง จะมีคาธรรมเนียมศาลในอัตรารอ ย
ละ 2.5 ของทุนทรัพย แตไมเกิน 200,000 บาท นอกจากนั้นจะมที นายความดว ยหรือไมก ็ได

[61]

แบบฝกหัดท่ี 7
คาํ ส่งั ใหนกั เรยี นตอบคาํ ถามใหไดใ จความสมบรู ณ
1. กระบวนการยตุ ธิ รรม หมายถงึ ............................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.
...................................................................................................................................................................
2. บุคคลและหนวยงานใดบางทเ่ี กย่ี วของกับกระบวนการยุติธรรม ......................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
3. โทษทางอาญา ประกอบดวย ..............................................................................................................
4. คดีแพง คอื ..........................................................................................................................................
5. “การสืบสวน” คือ ...............................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
6. “การสอบสวน” ..................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
7. การอุทธรณ ฎกี า เมอ่ื ศาลอา นคําพพิ ากษาแลว หากโจทกหรือจําเลยไมเ ห็นดว ย ก็มสี ิทธิท่ีจะ
อุทธรณหรอื ฎีกาไดภายใตบังคับของกฎหมาย ภายในกาํ หนด ......................นบั แตว ันท่อี า นคําพิพากษา
8. ศาลฎกี าตดั สนิ ชีข้ าด อยางใดแลวถือวา..............................................................................................
9. คดีมีทนุ ทรพั ยทีเ่ รยี กรอง เกิน 300,000 แตไ มเ กนิ 50 ลานบาท ใหคิดคาขึน้ ศาล รอยละ .........บาท
แตเสยี ไมเ กนิ ......................................... บาท
10. คดศี าลแขวง ทุนทรัพยที่เรียกรอง ไมเ กิน 300,000 บาท ใหค ิดคาขึน้ ศาล รอยละ...................บาท
แตไมเกนิ ................................... บาท
11. ยกตัวอยา งคดไี มมีขอพิพาท ในการดําเนินคดีในทางแพง เชน ........................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
12. บคุ คลท่ศี าลพพิ ากษาใหเปน บคุ คลลมละลาย การจดั การทรัพยสินและทางทํามาหาไดตองตกอยู
ภายใตการดแู ลของ ..........................................................................................................................
13. คดีทเี่ ขา สกู ารพจิ ารณาพพิ ากษา ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผูด าํ รงตาํ แหนงทางการเมือง
ไดแก ...............................................................................................................................................
14. ศาลรฐั ธรรมนญู ประกอบดว ยประธานศาลรฐั ธรรมนญู .........คน และตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญอนื่
อีก...........คน
15. ระยะเวลาการฟองคดี ตอศาลปกครอง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………

[62]

แบบทดสอบที่ 7
คําชี้แจง เลือกคําตอบทีถ่ ูกตองที่สุดเพียงคําตอบเดยี ว
1.ขอใดแสดงใหเห็นถึงผมู ีสวนเก่ยี วของในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญา

ก.ผเู สยี หาย ศาล เจา พนักงานบังคบั คดี
ข.พนกั งานสอบสวน พนักงานอัยการ เจา พนักงานคมุ ประพฤติ
ค.พนักงานอยั การ ศาล เจา พนักงานบังคับคดี
ง.พนกั งานสอบสวน พนกั งานอยั การ เจา พนกั งานพทิ ักษทรัพย
2.ความหมายทวั่ ไปของกฎหมายคอื ขอใด
ก.ขอ บังคบั ของรัฐ
ข.บรรทดั ฐานในสงั คม
ค.จารีตประเพณี
ง.บรรทัดฐานทีศ่ าลใชใ นการตัดสินคดี
3.ขอ ใดเปน ปญหาทางดา นตัวบทกฎหมายในเรื่องการใชและการบังคบั ใชกฎหมายในสังคมไทย
ก.ขาดความสนใจจากประชาชน
ข.ขาดความเล่ือมใสจากประชาชน
ค.ขาดการเผยแพรกฎหมายใหป ระชาชนทราบ
ง.ขาดความรว มมือระหวางประชาชนกบั เจาพนักงาน
4.ขอใดเปน อาํ นาจหนา ท่ขี องพนักงานอยั การ
ก.ฟองคดีอาญาทผี่ เู สยี หายรองขอ
ข.ฟองคดีอาญาและเปน ทนายโจทยห รอื ทนายจาํ เลยใหส ว นราชการในคดแี พง
ค.ฟอ งคดีอาญาท่ีพนักงานสอบสวนสง สาํ นวนมาใหฟ อ ง
ง.เปน ท่ีปรกึ ษากําหมายของรฐั บาล
5.พนกั งานในขอใดเกยี่ วขอ งกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
ก.พนักงานราชทัณฑ
ข.พนักงานพิทักษทรัพย
ค.พนกั งานยึดทรพั ย
ง.พนกั งานรบิ ทรพั ย
6.การสบื สวนและการสอบสวนในคดอี าญาตางกนั อยางไร
ก.การสบื สวนเปน อาํ นาจหนาที่ของตาํ รวจ การสอบสวนเปนอํานาจหนาที่ของพนักงานอัยการ
ข.การสืบสวนคอื การแสวงหาขอ เทจ็ จรงิ หรือพยานหลกั ฐานเพ่ือหารายละเอยี ดแหง ความผิด

การสอบสวนคือการรวบรวมพยานหลักฐานในความผิดท่ีไดม กี ารกลา วหา
ค.การสืบสวนและการสอบสวนเปน อํานาจหนาที่ของตาํ รวจ
ง.การสบื สวนคือการจัดหาพยานหลกั ฐานตามความผิดทไ่ี ดมกี ารกลา วหา การสอบสวนคือการ
สอบพยานและขอเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเพ่ือหาหลกั ฐานเพอ่ื หารายละเอยี ดแหงความผดิ

[63]

7. ขอ ใดที่ไมไดจ ัดอยใู นข้นั ตอนที่เปนหนา ทีค่ วามรับผดิ ชอบของตํารวจในการดําเนนิ คดีอาญา
ก.สัง่ สอบสวนเพ่มิ เติม ข.สอบสวน
ค.การจับกมุ ผูกระทาํ ผดิ ง.ควบคุม
8. ขอใดเปนการเรียงลาํ ดบั โทษทางอาญาที่เรยี งจากโทษหนักมาหาเบาไดถ ูกตอง
ก.การจาํ คุก การรบิ ทรัพย การประหารชวี ติ การปรบั การกักขงั
ข.การประหารชีวิต การกักขัง การจาํ คกุ การรบิ ทรัพย การปรับ
ค.การจําคุก ประหารชวี ติ รบิ ทรัพยสิน การปรับ การกักขงั
ง.ประหารชวี ิต การจาํ คกุ การกกั ขัง การปรบั การริบทรัพยส ิน
9. ผทู ี่ทาํ หนา ทเ่ี ปนทนายแผน ดนิ ตามกระบวนการพิจารณาคดีความทางอาญาคือใคร
ก.ทนายความ ข.เจาพนกั งานอัยการ
ค.เจา พนกั งานฝายสอบสวน ง.เจาหนา ท่ีตาํ รวจ
10.การกระทําผดิ ในคดีอาญาในขอ ใดที่จะไดร บั โทษขน้ั สูงสุด
ก.การทํารา ยบุพการี ข.การคา ยาเสพติด
ค.การวง่ิ ราวทรพั ย ง.การฆา คนโดยไมเ จตนา
11.เมื่อคาํ พิพากษาของศาลถึงทส่ี ดุ แลวใหผ ูต องหาใดคดีอาญาตอ งรบั โทษเปน หนาที่ของเจา พนกั งาน
ฝา ยใดทจ่ี ะตองปฏบิ ัตใิ หเปน ไปตามคาํ พพิ ากษาของศาลน้ัน
ก.เจา หนาทพี่ ิทักษทรพั ย
ข.อัยการ
ค.เจาหนาที่กรมราชทัณฑ กระทรวงมหาดไทย
ง.เจาหนาทก่ี รมบังคบั คดี กระทรวงยตุ ธิ รรม
12.ในคดีอาญาเจาพนักงานของรัฐในขอใดมหี นาที่ฟองรองจําเลยตอ ศาล
ก.ตาํ รวจ ข.เจา หนาท่ีบังคบั คดี
ค.ผูพิพากษา ง.อัยการ
13.บุคคลท่เี ก่ียวขอ งกบั กระบวนการยุติธรรมทางอาญาคือขอใด
ก.ตาํ รวจ อัยการ ศาล พนักงานราชทัณฑ
ข.อยั การ พนักงานคมุ ประพฤติ ศาล พนักงานบงั คบั คดี
ค.ตํารวจ ทนายความ ศาล พนกั งานควบคุมประพฤติ
ง.ตํารวจ อยั การ พนกั งานควบคมุ ประพฤติ ศาล
14. ขอใดไมใชห นา ทข่ี องประชาชนท่ีมีตอ รฐั ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
ก. ชาํ ระภาษีอากรใหแกร ฐั
ข. เชอื่ ฟงคาํ ส่งั ของผูปกครองรัฐ
ค. เขา รบั การศึกษาตามทีร่ ฐั กําหนด
ง. ตรวจสอบการบรหิ ารงานของรฐั บาล
15. ขอใดไมส อดคลองกับหลักกฎหมายอาญา
ก. กฎหมายอาญาจดั อยใู นประเภทกฎหมายมหาชน
ข. กฎหมายอาญาไมมีผลยอนหลัง
ค. การที่ผูกระทําความผิดอาญาถึงแกค วามตายไมทาํ ใหค ดีอาญาระงับ
ง. การหามประกอบอาชพี บางอยางเปน สว นหน่ึงของกฎหมายอาญา

[64]

16. ขอ ใด ไมใ ช ศาลยตุ ิธรรมตามพระราชบัญญตั ิใหใ ชพระธรรมนญู ศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓
ก. ศาลช้นั ตน ข. ศาลอุทธรณ
ค. ศาลอาญา ง. ศาลฏีกา
17. ขอใดคือศาลอุทธรณ
ก. ศาลอุทธรณและศาลจังหวดั ข. ศาลอทุ ธรณภ าคและศาลจังหวดั
ค. ศาลอุทธรณและศาลแขวง ง. ศาลอทุ ธรณและศาลอุทธรณภาค
18. ใครมหี นาทีว่ างระเบียบราชการฝา ยตลุ าการของศาลยุติธรรม เพอื่ ใหกิจการของศาลยุตธิ รรม
ดาํ เนนิ ไปโดยเรยี บรอยและเปนระเบยี บเดยี วกัน
ก. เลขาธกิ ารสาํ นกั งานศาลยตุ ธิ รรม
ข. เลขาธิการสาํ นักงานศาลยตุ ธิ รรมโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหาร
ศาลยตุ ิธรรม
ค. ประธานศาลฎีกา
ง. รองประธานศาลฎกี า
19. ในศาลจงั หวัดหรอื ศาลแขวง มผี ูพิพากษาหวั หนาศาล ศาลละก่ีคน
ก. 1 คน ข. 3 คน
ค. 2 คน ง. 4 คน
20. ในกรณที ่มี ีความจําเปนตองเปล่ยี นแปลงเขตอํานาจศาลช้ันตนเพอื่ ประโยชนในการอํานวยความ
ยตุ ิธรรมแกป ระชาชน ใหต ราเปน กฎหมายใด
ก. พระราชบัญญตั ิ ข. ประกาศกระทรวง
ค. กฎกระทรวง ง. พระราชกฤษฎีกา
21. ศาลใดมอี าํ นาจพิจารณาพพิ ากษาคดแี พงและคดีอาญาทัง้ ปวงทีม่ ไิ ดอยูในอํานาจของศาลยตุ ิธรรมอืน่
ก. ศาลแขวง ข. ศาลแพง
ค. ศาลจังหวดั ง. ศาลอาญา
22. ศาลใดมีอาํ นาจพิจารณาพพิ ากษาบรรดาคดที ี่อทุ ธรณคําพิพากษาหรอื คาํ สั่งของศาลช้ันตน ตาม
บทบัญญัตแิ หง กฎหมายวา ดวยการอุทธรณและวา ดวยเขตอํานาจศาล
ก. ศาลแพงและศาลอุทธรณ
ข. ศาลอาญาและศาลแพง
ค. ศาลอุทธรณแ ละศาลอทุ ธรณภาค
ง. ศาลอาญาธนบุรีและศาลอุทธรณภาค
23. ศาลฎีกามอี ํานาจอยา งไร
ก. พิจารณาพิพากษาคดที ร่ี ัฐธรรมนญู หรือกฎหมายบญั ญัติใหเ สนอตอ ศาลฎกี าไดโดยตรง
ข. วนิ ิจฉยั ช้ขี าดคํารอ งคาํ ขอทย่ี ื่นตอศาลอุทธรณห รือศาลอุทธรณภาคตามกฎหมาย
ค. พิจารณาพิพากษาคดีอาญาทงั้ ปวงทีม่ ิไดอยูใ นอํานาจของศาลยตุ ธิ รรมอืน่
ง. พพิ ากษายนื ตาม แกไข กลบั หรอื ยกคําพิพากษาของศาลชั้นตนที่พพิ ากษาลงโทษ
ประหารชวี ิตหรือจําคกุ ตลอดชีวติ
24. ผทู จ่ี ะไดรบั แตง ต้งั เปนตลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ ตองมอี ายเุ ทาใด
ก. 35 ป ข. ไมตํ่ากวา 35 ป
ค. 45 ป ง. ไมตา่ํ กวา 45 ป

[65]

บทที่ 8
กฎหมายแพงและพาณชิ ย

บคุ คลตามกฎหมาย
บคุ คลตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย แบงออกเปน 2 ประเภทคือ
1. บุคคลธรรมดา
2. นติ บิ คุ คล

บคุ คลธรรมดา
สภาพบุคคล ป.พ.พ. บัญญัติไวในมาตรา 15 วรรคแรกวา “ สภาพบุคคลยอมเร่ิมแตเม่ือ

คลอดแลวอยรู อดเปน ทารกและส้นิ สดุ ลงเมื่อตาย ”
สว นการนบั อายุของบคุ คล ใหเริ่มนับแตวันเกดิ ในกรณีที่รูวาเกิดในเดือนใดแตไ มรวู ันเกดิ ให

นับ วันท่ีหน่ึงแหงเดือนน้ันเปนวันเกิด แตถาพนวสิ ัยท่ีจะหย่ังรเู ดือนและวนั เกิดของบุคคลใด ใหนับอายุ
บุคคล นั้นต้ังแตว นั ตนปป ฏทิ นิ ซ่งึ เปน ปท่ีบุคคลนนั้ เกิด
การเร่ิมตนแหง สภาพบคุ คล

1. มีการคลอด ซ่ึงการคลอดก็คือการท่ีทารกไดหลุดพนออกมาจากครรภมารดาจนหมดตัว
แลว โดยไมมีสวนใดสวนหน่งึ ของรางกายติดอยูก ับชองคลอด ไมวาดวยวิธีการใด และไมตองตัดรก หรือ
สายสะดือกอน เชน มารดาอาจคลอดดวยวทิ ยาการสมัยใหมท างการแพทยกต็ าม

2. มกี ารอยูรอดเปนทารก เม่ือมีการคลอดแลว ตอ งอยูร อดเปนทารก กลาวคือ ทารกไดมีการ
หายใจโดยใชปอดของตนเอง มีชวี ติ เปนอสิ ระจากมารดา การหายใจแมจะเปนเพียงระยะเวลาเลก็ นอยก็
เรียกวาทารกมีสภาพบุคคลแลว เชน ทารกคลอดมาหายใจไดไมกี่วินาทีแลวตาย ถือวาทารกนั้นมสี ภาพ
บุคคลแลว
ขอ ควรพจิ ารณา

1. การนับอายุของบุคคล เริ่มนบั ตั้งแตว นั ทีเ่ กิด
2. กรณีไมรวู นั ทเ่ี กดิ แตร ูเดือน –ป เกดิ ใหถือวา เกิดวันที่ 1 ของเดือนน้ัน
3. กรณีไมร ูวนั –เดือน ท่เี กิด ใหนับวันเกิดตนปป ฏทิ นิ ของปที่เกดิ
สทิ ธขิ องทารกในครรภม ารดา
ป.พ.พ. มาตรา 15 วรรคสองวา “ ทารกในครรภมารดาก็สามารถมีสทิ ธิตาง ๆ ได หากวา
ภายหลงั คลอดแลวอยรู อดเปนทารก ”
มาตรา 15 วรรค สองน้ีเปนขอยกเวนเพ่ือประโยชนของทารกในครรภมารดา มีเง่ือนไขเพียง
วา ภายหลังคลอดแลวอยรู อดเปนทารก กลาวคือ มีสิทธิยอ นหลังไปถึงเวลาที่ทารกยังอยูในครรภมารดา
เชน สิทธใิ นการรับทรัพยสนิ สทิ ธใิ นครอบครวั สิทธิในมรดก สทิ ธิในชวี ิต รวมตลอดถึงสิทธิฟองเรียกคา
สินไหมทดแทน ในกรณีละเมดิ ท่ที าํ ตอการน้นั หรือทาํ ใหท ารกตอ งขาดไรอ ุปการะตามกฎหมายดวย

[66]

ตัวอยา งเชน
ป.พ.พ. มาตรา 1604 บัญญัตวิ า “ บุคคลธรรมดาจะเปนทายาทไดตอเมื่อมสี ภาพบุคคลหรือ

สามารถมีสิทธิไดตามมาตรา 15 แหงประมวลกฎหมายน้ี ในเวลาท่ีเจามรดกถึงแกความตาย เพ่ือ
ประโยชนแหงมาตราน้ี ใหถือวาเด็กท่ีเกิดมารอดอยูภายใน 310 วัน นับแตเวลาท่ีเจามรดกถึงแกความ
ตายนั้น เปน ทารกในครรภมารดาอยูในเวลาทเ่ี จา มรดกถงึ แกความตาย ”

ป.พ.พ. มาตรา 1536 บัญญัติวา “ เด็กเกิดแตหญิงขณะเปนภริยาชายหรือภายใน 310 วัน
นบั แตว ัน ท่ีการสมรสสน้ิ สุดลง ใหสันนษิ ฐานไวก อนวา เปน บตุ รชอบดวยกฎหมายของชายผเู ปนสามหี รือ
เคยเปน สามีแลว แตก รณี ”

สวนประกอบของสภาพบคุ คล
1. ช่อื บคุ คล

ตาม พ.ร.บ.ช่ือบุคคล พ.ศ. 2505 ไดบัญญัติวา “ ผูมีสัญชาติไทยตองมีชื่อตัวและชื่อสกุล
และจะมีชื่อรองก็ได ” กลาวคือ กฎหมายบังคับใหทุกคนตองมีช่ือตัวและช่ือสกุล สวนช่ือรองน้ัน
กฎหมายมไิ ดบงั คบั จะมหี รอื ไมก็ได
ประเภทของชื่อบุคคล

1) ช่ือตัว คือ ช่อื ประจาํ ตัวบุคคล ซึ่งเปน ชอ่ื ทีจ่ าํ แนกบุคคลแตละคนในครอบครวั ทีใ่ ชช่ือ
สกุลเดยี วกนั ออกเปนรายบุคคลวา หมายถึงคนนัน้ คนน้ี

2) ช่ือสกลุ คือ ชอ่ื ประจาํ วงศสกลุ หรอื ประจาํ ครอบครวั สืบทอดกันมาตัง้ แตบรรพบุรุษ ซึ่ง
เม่ือผูใดเกดิ มายอมมสี ทิ ธติ ามกฎหมายทีจ่ ะใชน ามสกุลของบิดา เวน แตใ นกรณีที่ไมปรากฏตัวบิดากใ็ หใ ช
นามสกลุ ของมารดาได -----> ปจจุบันใชชื่อสกลุ ของบดิ าหรือมารดาก็ได

การต้ังช่ือตัว ช่อื สกุล นน้ั ทาํ ไดโดยจดทะเบียนตอนายทะเบียนทอ งท่ีท่ีตนมชี ่ือในทะเบียน
ราษฎร ซ่ึงการตง้ั ช่ือตัว ชื่อสกุลนน้ั จะตองลักษณะ ดงั น้ี

1) ตอ งไมพอ งหรือมุงหมายใหคลายคลงึ กับพระปรมาภไิ ธย หรอื พระนามของพระราชนิ ี
2) ไมพองหรือมุงหมายใหคลา ยคลึงกับราชทินนาม และตองไมซ ํา้ กับชื่อสกุลของบุคคล
อน่ื ทีไ่ ดจ ดทะเบียนไวแ ลว
3) ไมมีคาํ หรือความหมายหยาบคาย
4) ชื่อสกลุ จะตองมพี ยญั ชนะไมเ กนิ กวา 10 ตัว เวนแตกรณีใชราชทินนามเปน ช่อื สกลุ
3) ชื่อรอง เปน ชอื่ ประกอบถัดไปจากชื่อตัวเพ่ือมุงหมายใหบงลกั ษณะหรือตวั บคุ คลชัดเจน
ยิ่งขน้ึ ซึ่งบคุ คลจะมีชื่อรองหรือไมก็ได กฎหมายมิไดบงั คบั

2. ภูมิลาํ เนา
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 37 บัญญัติไววา “ภูมลิ ําเนาของบุคคลธรรมดา ไดแก ถ่ินอันบุคคลน้ันมี

สถานท่ีอยูเปนหลักแหลงสําคัญ” กลาวคือ ภูมิลําเนาจะตองประกอบดวยหลักเกณฑท่ีสําคัญ 2
ประการ คอื

1) เปนสถานที่อยู หมายถึง เปน สถานท่ีซง่ึ บุคคลใชเ ปน สถานท่ีพักอาศัยกินอยูหลับนอน
อาจเปน บาน ตกึ แถว คอนโด อพารทเมนต เปน ตน

[67]

2) ตองเปน สถานท่ีอยูอันถอื วาเปน แหลงสาํ คัญ คือ เปน สถานท่ีซงึ่ บุคคลนน้ั ตั้งใจใชเปน ท่ี
อยอู าศัยตลอดไป มิใชเพียงพักอาศัยชว่ั คราวหรือเพื่อกิจธุระบางอยา งเทานั้น
ภูมิลาํ เนากรณพี เิ ศษ

1) มีถ่ินท่ีอยหู ลายแหง แตละแหงเปนแหลง สาํ คัญ ถา บุคคลธรรมดามีถิ่นที่อยูหลายแหงซึ่ง
อยูสับเปลี่ยนกันไป หรือมีหลักแหลงท่ีทําการงานเปนปกติหลายแหง ใหถือเอาแหงใดแหงหน่ึงเปน
ภมู ลิ ําเนาของบุคคลนน้ั (มาตรา 38) หรอื ทง้ั สองแหง

2) กรณีภมู ิลําเนาไมปรากฏ ใหถ ือวาถิ่นทอ่ี ยเู ปนภูมิลาํ เนา (มาตรา 39) เปนกรณีทท่ี ราบวา
ถิ่นที่อยูของบุคคลน้ันอยูท่ีใดแตไมทราบวาเปนแหลงสําคัญหรือไม เชน กรรมกรรับกอสรางไปตาม
จงั หวัดตา งๆ เสร็จจากทห่ี น่งึ กไ็ ปที่อื่นเรอ่ื ย ๆ ไป ซงึ่ กฎหมายถือเอาถิ่นท่ีอยู ในขณะนั้นเปนภมู ิลําเนา

3) กรณีไมมที ่ีอยูหรือไมมีท่ีทางานเปนหลกั แหลง บุคคลธรรมดาซง่ึ เปนผูไมม ีท่ีอยูปกติเปน
หลักแหลง หรือเปนผูค รองชีพในการเดนิ ทางไปมาปราศจากหลักแหลง ทีท่ ําการงาน พบตัวในถิ่นไหนให
ถือวาถ่ินน้ันเปนภูมิลําเนาของบุคคลน้ัน (มาตรา 40) เชน คนจรจัดหรือคนขอทาน พวกพอคาเร หรือ
พวกฉายหนังขายยาตามบานนอก กฎหมายถอื เอาท่ี ๆ พบตัวเปน ภูมลิ าํ เนาของบุคคลน้นั
บุคคลทีก่ ฎหมายกําหนดภมู ิลําเนาให ไดแ ก

1) ภูมลิ าํ เนาของสามแี ละภรยิ า ไดแ ก ถิน่ ทอี่ ยูท่สี ามแี ละภริยาอยกู นิ ดวยกนั ฉันสามภี รยิ า
เวนแตส ามีหรือภริยาไดแสดงเจตนาใหปรากฏวามีภูมิลาํ เนาแยกตางหากจากกนั (มาตรา 43) กฎหมาย
ไมไดบังคับวาสามีภรรยาตองมีภูมิลําเนาอยูท่ีเดียวกัน กฎหมายเปดโอกาสใหสามีภริยาสามารถเลือก
ภูมิลําเนาของตนเองได

2) ภูมิลําเนาของผูเยาว ไดแก ภูมิลําเนาของผูแทนโดยชอบธรรม ซ่ึงเปนผูใชอํานาจ
ปกครองหรือผูปกครอง ในกรณีท่ีผูเยาวอยูใตอํานาจปกครองของบิดามารดา ถาบิดาและมารดามี
ภูมิลําเนาแยกตางหากจากกัน ภูมิลําเนาของผูเยาวไดแกภูมิลําเนาของบิดาหรือมารดาซึ่งตนอยูดวย
(มาตรา 44)

3) ภูมิลาํ เนาของคนไรค วามสามารถ ไดแก ภมู ลิ าํ เนาของผูอนบุ าล (มาตรา 45)
4) ภมู ิลําเนาของขา ราชการ ไดแ ก ถ่ินอนั เปนท่ีทําการตามตาํ แหนงหนา ท่ี หากมิใชเปน
ตาํ แหนงหนาที่ชว่ั คราวช่วั ระยะเวลา หรือเปน เพยี งแตงต้ังไปเฉพาะการคร้ังเดยี วคราวเดยี ว (มาตรา 46)
5) ภูมลิ ําเนาของผทู ่ีถูกจาํ คุก ตามคําพพิ ากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคาํ สง่ั โดยชอบดว ย
กฎหมาย ไดแก เรือนจาํ หรือทัณฑสถานท่ถี ูกจาํ คุกอยูจ นกวา จะไดร บั การปลอยตัว (มาตรา 47)

ขอ สังเกต สว นคนเสมือนไรค วามสามารถนน้ั กฎหมายไมไดก าํ หนดภมู ิลําเนาใหจงึ มภี มู ิลําเนาตามทีต่ น
อยอู าศัย ไมถือตามภูมลิ ําเนาของผูพิทกั ษ

3. สัญชาติ
ตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 บุคคลจะไดสัญชาติไทยมาโดยตรง 2 ทางคือ
1. การไดสญั ชาติไทยโดยการเกดิ ซึ่งประเทศไทยใชห ลกั สืบสายโลหติ ควบคไู ปกับหลัก

ดนิ แดน กลาวคอื
1) หลกั สืบสายโลหิต บุคคลผูเกิดในหรอื นอกราชอาณาจักรไทย ยอมไดส ัญชาติไทย ถามี

บิดาหรอื มารดาเปนคนสญั ชาตไิ ทย
2) หลักดินแดน ถือวาบคุ คลใดเกดิ ในราชอาณาจักรไทย ยอมไดสญั ชาติไทยโดยการเกิด

ตามหลักแดน โดยไมคาํ นึงวา บิดาหรือมารดาจะมสี ัญชาติใด
[68]

2. การไดสัญชาตไิ ทยภายหลังการเกดิ เชน การแปลงสัญชาติ หรือ การไดสัญชาตโิ ดยการ
สมรส
ความสามารถของบุคคล

บุคคลจะมคี วามสามารถตามกฎหมายโดยสมบูรณเ ม่ือบรรลุนิตภิ าวะแลว การบรรลุนิตภิ าวะ
ของบุคคล ทําได 2 ทาง คือ

1) เมอ่ื อายุครบ 20 ปบ รบิ รู ณ
2) เมอื่ ไดมีการจดทะเบยี นสมรส
“ความสามารถ” หมายถึง บุคคลน้ันมีอํานาจในการใชสิทธิปฏิบัติหนาท่ี แตวา
ความสามารถในการใชสิทธิน้ันบุคคลทุกคนอาจจะไมมีความสามารถเทาเทียมกัน ท้ังน้ีอาจเปนเพราะ
ขอจํากัดโดยสภาพธรรมชาติหรือขอจํากัดในทางกฎหมายก็ได ซ่ึงบุคคลผูถูกจํากัดความสามารถในการ
ใชส ทิ ธิ เรยี กวา “ผหู ยอ นความสามารถ”
บคุ คลผหู ยอ นความสามารถในปจ จบุ นั มี 3 ประเภท คือ
1. ผูเ ยาว 2. คนไรค วามสามารถ 3. คนเสมือนไรความสามารถ
1. ผเู ยาว คอื บุคคลที่ยงั ไมบรรลุนิติภาวะ (ผูท ี่มีอายยุ งั ไมครบ 20 ปบ รบิ รู ณ)
ผเู ยาวเปนบคุ คลที่ออนอายุ ออนประสบการณ และขาดการควบคมุ สภาพจติ ใจ กฎหมายจงึ
ใหค วามคมุ ครองชว ยเหลอื จนกวาบุคคลน้ันจะบรรลนุ ิติภาวะ
การทํานติ กิ รรมของผูเยาว
มาตรา 21 “ผเู ยาวจะทํานิติกรรมใดๆ ตอ งไดรบั ความยินยอมของผแู ทนโดยชอบธรรมกอน
การใด ๆ ท่ีผูเยาวไดทําลงปราศจากความยนิ ยอมเชนวา น้นั เปนโมฆียะ เวนแตจะบัญญัติไวเ ปน อยา ง
อ่นื ”
ขอ สงั เกต
1. การกระทําของผเู ยาวถาไมใชน ิตกิ รรม แตเ ปนนติ เิ หตุ ไมเปนโมฆียะ เชน การทาํ ละเมดิ
2. นติ ิกรรมตองผูกพันผูเยาวหรือเพอื่ ผูเยาว ถาผเู ยาวทาํ นิติกรรมเพื่อบุคคลอ่นื ไมตองขอความ ยินยอม
เชน การมอบอาํ นาจใหผูเยาวไ ปจา ยคาน้ํา –คาไฟฟา การแจง ความรอ งทุกข การ จดั การงานนอกส่ัง
ผแู ทนโดยชอบธรรมของผเู ยาว ไดแ ก
1) ผูใชอํานาจปกครอง คือ บิดาและมารดาของผูเยาวน่ันเอง ซ่ึงเปนผูใชอํานาจปกครอง
รวมกัน แตในบางกรณีอํานาจปกครองอาจจะอยูกับบิดาหรือมารดาคนใดคนหน่ึงก็ได เชน บิดาหรือ
มารดาตาย หรือไมทราบวามีชีวิตอยหู รือไม หรือคนใดคนหน่ึงถูกศาลส่ังใหเปนคนไรค วามสามารถหรือ
คนเสมือนไรความสามารถ หรือศาลสง่ั ใหบดิ าหรือมารดาใชอํานาจปกครองคนเดียว เปน ตน
2) ผูปกครอง ในกรณีท่ีผูเยาวไมมีบิดามารดา เชน ตายหรือไมปรากฏบิดามารดา หรือบิดา
มารดาถกู ถอนอํานาจปกครอง ศาลก็จะตงั้ ผูท ี่เหมาะสมข้ึนเปนผปู กครองของผเู ยาว
ขอ สังเกต ในกรณีท่ผี ูเยาวเปน บุตรบญุ ธรรม อํานาจปกครองจะอยกู บั ผรู ับบตุ รบญุ ธรรม โดยบดิ ามารดา
ผูท่ีใหกําเนิดจะหมดอํานาจปกครอง นับแตวันท่ีเด็กเปนบุตรบุญธรรมแลว แตบุตรบุญธรรมมีสิทธิรับ
มรดกของบดิ ามารดาทแ่ี ทจริง

[69]

ในทางปฏิบตั ิแลว ผเู ยาวส ามารถทํานติ กิ รรมได 3 ทาง คือ
1) ขอความยินยอมจากผูแทนโดยธรรมกอ นแลว ผูเยาวจงึ ไปทํานิติกรรมเอง
2) ใหผูแทนโดยชอบธรรมเปนผูทําการแทนผูเยาว การใดท่ีผูแทนโดยชอบธรรมกระทําลง

ยอมผูกพันกับผูเยาว อยางไรก็ตามถาเปนกิจการท่ีเก่ียวกับทรัพยสินของผูเยาวบางอยางท่ีกฎหมายถือ
วามีความสําคญั ผแู ทนโดยชอบธรรมจะทําทันทเี ลยไมได จะทาํ ไดตอ เมื่อไดขออนญุ าตจากศาลกอน
กิจการทผี่ ูแทนโดยชอบธรรมตอ งขออนญุ าตจากศาลกอน (มาตรา 1574) เชน

1. นติ กิ รรมทีเ่ กยี่ วกับอสังหาริมทรพั ย เชน ขาย ขายฝาก จํานอง ปลดจาํ นองเปน ตน
2. นติ กิ รรมที่เกย่ี วกับสงั หาริมทรพั ยชนดิ พิเศษ
3. ใหเ ชา อสังหารมิ ทรัพยเ กิน 3 ป หรอื ใหเชา ซอ้ื อสังหารมิ ทรพั ย
4. ใหกูย มื เงนิ
5. นําทรพั ยส นิ ไปแสวงหาผลประโยชน
6. ใหโดยเสนห า เวน แต เปน การบริจาคเพือ่ การกุศล เพ่ือสงั คม
7. ประนปี ระนอมยอมความ
8. เขา เปนผคู าํ้ ประกนั ดว ยทรัพย คอื การเอาทรพั ยของผเู ยาวไ ปค้าํ ประกนั
3) นิติกรรมท่ีผเู ยาวกระทําไดเอง
1. นิติกรรมที่ทําใหไดไปซ่ึงสิทธิหรือทําใหหลุดพนจากหนาท่ีอันใดอันหน่ึง เรียกวา เปน
นิติกรรมท่ีผูเยาวมีแตไดฝายเดียว ไมไดเสียประโยชนอันใดเลย เชน รับการใหโดยเสนหา รับการปลด
หนี้ เปน ตน (ตามมาตรา 22)
2. ผูเยาวอาจทํานิติกรรมใด ๆ ไดท้ังส้ิน ซ่ึงเปนการตองทําเองเฉพาะตัว ถือเปนเร่ือง
เฉพาะตวั ของผูเ ยาวโดยแท เชน การที่ผูเยาวท ําการรับรองบุตรนอกสมรส เปน ตน (ตามาตรา 23)
3. ผูเยาวอาจทําการใดๆ ไดท้ังส้ิน ซ่ึงเปนการสมแกฐานานุรูปแหงตนและเปนการอัน
จําเปนเพ่ือเล้ียงชีพตามสมควรเชน การซื้ออาหาร ซื้อสมุดดินสอ ซื้อขาวของเคร่ืองใชที่จําเปน เปนตน
แตน ิตกิ รรมนั้นตองสมแกฐ านานุรูป โดยพจิ ารณาจากฐานะความเปนอยูของผูเ ยาว (ตามาตรา 24)
4. ผูเยาวอาจทําพินัยกรรมไดเม่ืออายุ 15 ปบริบูรณ หากผูเยาวอายุยังไมครบ 15 ป
บรบิ ูรณทําพินยั กรรมแมบ ดิ ามารดาจะใหค วามยินยอม พนิ ยั กรรมยอ มตกเปนโมฆะ (ตามาตรา 25)
5. ผูเยาวสามารถทําการจํานําไดเมื่อมีอายุครบ 15 ปบริบูรณ แตเปนการจํานําตาม
พ.ร.บ. โรงรบั จาํ นําเทานน้ั
2. คนไรค วามสามารถ (ตามาตรา 28 –31)
คอื บคุ คลวกิ ลจรติ ตามกฎหมายมี 2 ประเภท คือ
1. คนวิกลจริตท่ีศาลไดส ่ังใหเ ปน คนไรความสามารถแลว ในทางกฎหมายถือวาตองเปนถึง
ขนาดวาไมสามารถรสู ึกผิดชอบ ไมสามารถบงั คับตนเองได และตองเปนอยูประจํา เม่อื คูสมรส บุพการี
ผูสบื สันดาน ผูปกครอง หรอื ผพู ิทักษ หรือพนกั งานอยั การ ก็ดี ยื่นคํารอ งขอตอศาล เมอ่ื ศาลเหน็ สมควร
ก็จะส่งั ใหบคุ คลนั้นเปนคนไรค วามสามารถ และตองโฆษณาคําสง่ั นัน้ ในราชกิจจานเุ บกษา
ผลของการเปนคนไรความสามารถ
1) บคุ คลทีศ่ าลไดสั่งใหเ ปน คนไรความสามารถนน้ั ตองจัดใหอ ยใู นความอนุบาล ซึ่งถา คน
น้ัน สมรสแลวก็มักจะตั้งคูสมรสเปนผูอนุบาล ถายังไมไดสมรสก็ใหบิดามารดาหรือผูปกครองเปนผู
อนุบาล แตกรณที ่จี าํ เปนศาลอาจขอแตงตัง้ บุคคลอ่ืนเปนผูอนุบาลก็ได

[70]

2) การใด ๆ อันบคุ คลซ่งึ ศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถไดกระทําลง การนน้ั เปน โมฆยี ะ
โดยผูอนุบาลไมมีอํานาจใหความยินยอมเหมือนกับผูแทนโดยชอบธรรม แตมีอํานาจบอกลางได ยกเวน
นิติเหตุ

2. บุคคลวิกลจริต คือ คนวิกลจริตท่ีศาลยังไมไดส่ังใหเปนคนไรความสามารถ มาตรา 30
บัญญัติวา “ การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริต ซ่ึงศาลยังมิไดส่ังใหเปนคนไรความสามารถไดกระทําลง การ
นั้นจะเปน โมฆียะตอ เม่อื ไดกระทําในขณะท่บี ุคคลน้ันจริตวิกลอยู และคูกรณอี ีกฝายหนง่ึ ไดรอู ยูแ ลวดวย
วาผูกระทําเปน คนวิกลจรติ ”

กลาวคือ บคุ คลวิกลจริตทํานติ ิกรรมใด ๆ ยอมสมบรู ณ เวนแตจะตกเปนโมฆยี ะถาหากพิสูจน
ไดว า

1. นติ ิกรรมนัน้ ไดทําขน้ึ ในขณะทีผ่ ูน้ันวกิ ลจรติ อยู และ
2. คูกรณีอีกฝา ยหน่ึงไดรอู ยูว าผูนัน้ เปน คนวกิ ลจรติ
ขอ ควรพจิ ารณา
1. การทําพินยั กรรมของบุคคลวิกลจรติ จะเปนโมฆะตอเมื่อ ทําในขณะวกิ ลจรติ
2. คนไรค วามสามารถทําพนิ ยั กรรมจะตกเปน โมฆะ
3. คนเสมือนไรความสามารถทําพนิ ยั กรรม -----> สมบรู ณ

3. คนเสมือนไรค วามสามารถ
คนเสมือนไรความสามารถ หมายถึง บุคคลผูท่ีไมสามารถจะทําการงานของตนเองได เพราะ

รา งกายพกิ าร หรือจติ ฟน เฟอน ไมส มประกอบ หรอื ประพฤตสิ ุลุย สุรา ยเสเพลเปน อาจิณ หรือเปนคนติด
สุรายาเมา และศาลมีคําส่ังใหบุคคลผูน้ันเปนคนเสมือนไรความสามารถ ซ่ึงคําส่ังศาลน้ีจะตองเปน
โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา
หมายเหตุ ผรู องขอใหศาลสงั่ บุคคลเปน คนเสมือนไรค วามสามารถ เหมือนกบั ผรู องขอใหศาลส่ังบุคคล
เปนคนไรความสามารถ

คนเสมือนไรค วามสามารถยอมทํานิติกรรมไดต ามลําพัง เวนแต นิติกรรมดงั ตอไปนี้ตองไดรับ
ความยนิ ยอมจากผพู ทิ กั ษก อ นจงึ จะทําได มิฉะนัน้ นติ ิกรรมนัน้ ยอมตกเปนโมฆยี ะ (มาตรา 34)

1. นาํ ทรพั ยส นิ ไปลงทนุ
2. รับคืนทรัพยสินที่ไปลงทุน ตนเงนิ หรอื ทนุ อยางอ่นื
3. กูยืมหรือใหกูยมื เงนิ หรือใหย ืมสังหารมิ ทรัพยมคี า
4. รับประกนั โดยประการใด อันมีผลใหต นตองถูกบังคับชําระหน้ี
5. เชา หรอื ใหเชาสงั หาริมทรัพยมกี ําหนดระยะเวลาเกนิ กวา 6 เดอื น หรอื อสงั หารมิ ทรัพยม ี
กําหนดระยะเวลาเกนิ กวา 3 ป
6. ใหโ ดยเสนหา เวน แต การใหท่ีพอควรแกฐานานรุ ูป เพ่ือการกุศล การสงั คมหรือตาม
ธรรมจรรยา
7. รบั ภาระใหโดยเสนห าท่ีมีเงื่อนไขหรือคาภาระติดพัน หรอื ไมร ับภาระใหโ ดยเสนห า
8. ทําการอยา งหนง่ึ อยางใดเพอ่ื จะไดมาหรอื ปลอยไป ซ่ึงสทิ ธใิ นอสังหาริมทรพั ยห รือใน
สังหารมิ ทรัพยอนั มีคา
9. กอสรา งหรือดัดแปลงโรงเรือน หรือสิง่ ปลูกสรางอยางอื่น หรือซอ มแซมอยางใหญ

[71]

10. เสนอคดีตอศาลหรือดําเนนิ กระบวนพิจารณาใดๆ เวนแต การรองขอตอ ศาลเพื่ออนุญาต
ใหคนเสมือนไรความสามารถกระทําการอยางใดอยางหน่ึงโดยไมตองไดรับความยินยอมจากผูพิทักษ
หรอื กรณรี อ งขอถอนผูพิทกั ษ

11. ประนีประนอมยอมความ หรอื มอบขอพิพาทใหอนญุ าโตตุลาการวินจิ ฉัย
ถามีกรณีอ่ืนใดนอกจาก 11 ขอ ดังกลาว ซ่ึงคนเสมือนไรความสามารถอาจจัดการไปในทาง
เส่ือมเสียแกทรัพยส ินของตนเองหรอื ครอบครัว ศาลอาจจะส่ังใหผูพิทักษเปนผูมีอํานาจกระทําการแทน
คนเสมอื นไรค วามสามารถกไ็ ด
ในกรณีท่ีผูพิทักษไมยินยอมใหคนเสมือนไรความสามารถกระทําการอยางใดอยางหน่ึงตาม
มาตรา 34 โดยปราศจากเหตุผลสมควร คนเสมือนไรความสามารถรองขอตอศาลได ถาการน้ันเปน
คุณประโยชนแกคนเสมอื นไรความสามารถ โดยใหศาลสงั่ และไมต อ งขอความเหน็ ชอบจากผูพิทกั ษอ ีก

ขอแตกตางระหวา งคนไรค วามสามารถกบั คนเสมอื นไรค วามสามารถ
1. คนไรค วามสามารถถูกจํากัดความสามารถโดยส้นิ เชิง ทํานติ กิ รรมใดๆ ยอมตกเปนโมฆียะหมด แตคน
เสมือนไรความสามารถทํานิติกรรมใดๆ ไดตามปกติ มีผลสมบูรณ เวนแต นิติกรรมท่ีกําหนดไวใน
ป.พ.พ. มาตรา 34 ซ่งึ ตองขอความยนิ ยอมจากผพู ิทักษก อน
2. คนไรความสามารถนั้นเปนผูที่มีสภาพจิตใจผิดปกติ บาคล่ังเปนโรคจิต ไมรูสึกผิดชอบ บังคับการ
กระทําของตนเองไมไ ด เรียกวา บุคคลวิกลจริต สวนคนเสมอื นไรความสามารถมสี ภาพจิตใจฟน เฟอ นไม
สมประกอบคือ คนท่ีมสี ติฟนเฟอ น เปน โรคจติ หรือสมองพิการ แตย ังไมเขาข้ันคนวกิ ลจริต ยังมีสตริ ูสึก
ผิดชอบอยูม ากพอสมควร

การสิน้ สุดสภาพบุคคล
มาตรา 15 บัญญัติวา “ สภาพบุคคลยอมเริ่มแตเม่ือคลอดแลวอยูรอดเปนทารก ส้นิ สุดลง

เมื่อตาย ” ซ่ึงการตายน้ันมี 2 อยางคือ
1. การตายธรรมดา เปนการตายโดยธรรมดาตามธรรมชาติ ปจ จุบนั วงการแพทยถอื วา แกน

สมองตาย เปนการสิน้ สุดสภาพบุคคล เพราะทําใหอ วยั วะทุกสว นตายหมด
2. การตายโดยผลของกฎหมาย กลาวคือ บุคคลใดเม่ือถูกศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญแลว

กฎหมายถอื วา บคุ คลน้ันถงึ แกค วามตาย
หลักเกณฑข องการเปน คนสาบสูญ

1. เม่ือบุคคลน้ันไดไปจากภูมิลําเนาหรือถ่ินท่ีอยู โดยไมทราบขาวคราววาเปนตายรายดี
ประการใดเปนระยะเวลาดังน้คี อื

-ในกรณีธรรมดา 5 ป โดยนับต้ังแตวนั ที่ออกจากบานไป หรือวันท่ีสงขาวใหท ราบเปนคร้ัง
สดุ ทาย

-ในกรณีพิเศษ 2 ป ไดแก กรณีท่ีบุคคลน้ันอยแู ละหายไปในการรบหรอื สงครามนับแตแต
วันท่ีการรบหรือสงครามส้ินสุดลง หรือนับแตวันท่ียานพานะท่ีบุคคลน้ันเดินทางไดอับปาง ถูกทําลาย
หรือสูญหายไป หรือนับแตวันทเ่ี หตุอนั ตรายแกชีวติ ผา นพนไปแลว ถาบคุ คลนั้นตกอยใู นอันตรายเชน วา
น้ัน

2. เมื่อผมู สี ว นไดเสียหรือพนกั งานอยั การรอ งขอตอศาล เพื่อส่งั ใหบ ุคคลนั้นเปนคนสาบสูญ
เมื่อศาลไดม ีคําส่งั ใหเ ปน คนสาบสูญแลวใหโ ฆษณาคําส่งั นน้ั ในราชกิจจานุเบกษา

[72]

ผลของการเปน คนสาบสญู
เมอื่ ศาลไดสั่งใหบ ุคคลใดเปนคนสาบสญู แลว มผี ลดังน้ีคือ
1. ถือวาบุคคลน้ันถึงแกความตาย นับต้ังแตเม่ือครบกําหนดระยะเวลา 5 ป หรือ 2 ป

แลว แตก รณี (ตามมาตรา 62)
2. ถือวาบคุ คลนน้ั สิ้นสภาพบคุ คล ทรพั ยสนิ ทง้ั หลายเปน มรดกตกทอดแกทายาท
3. เวน แตในเรื่องการสมรส ซึ่งการสาบสูญไมท ําใหการสมรสสิ้นสุดลง เปนเพียงเหตุแหงการ

ฟอ งหยา เทานั้น (มาตรา 1516(5)) จะสมรสใหมทนั ทีไมไ ด ตอ งฟองหยากอน
การถอนคาํ ส่งั แสดงการสาบสูญ

คนสาบสญู อาจพน สภาพจากการเปน คนสาบสูญไดต ามหลักเกณฑดังตอไปนค้ี ือ
1. ถา พสิ จู นไ ดวา บุคคลนัน้ ยงั มีชวี ิตอยู หรอื ตายในเวลาอนื่ ทีผ่ ิดไปจากระยะเวลาที่มกี ารรอง
ขอให ศาลส่งั เปนคนสาบสญู
2. เมื่อบุคคลนัน้ เอง หรือผมู สี วนไดเ สยี หรอื พนักงานอัยการรองขอ และ
3. ศาลมีคําสง่ั ถอนคําสัง่ ใหเปนคนสาบสญู ซึง่ ตอ งโฆษณาคําสง่ั ศาลในราชกจิ จานเุ บกษาดว ย
ผลของการถอนคาํ สงั่ แสดงการสาบสญู
การเพิกถอนคําส่ังแสดงการสาบสูญไมกระทบกระท่ังถึงความสมบูรณแหงการท้ังหลายท่ีได
กระทําลงโดยสุจริต ในระหวางเวลาตั้งแตศาลสงั่ แสดงการสาบสูญ แตต องเสียสิทธิของตนไปเพราะศาล
สงั่ ถอนคําส่ังและการสาบสญู นั้น จาํ ตอ งสง คนื ทรัพยสนิ แตเ พยี งเทา ท่ียังเปน ลาภอยแู กต น
นิติบคุ คล
นิติบุคคล คือบุคคลตามกฎหมายท่ีกฎหมายสมมุติข้ึน และรับรองใหมีสิทธิและหนาท่ี
เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เชน มีสิทธเิ ปนเจาของทรัพยสนิ เปนคสู ัญญาทํานิติกรรม เปนโจทกฟ องคดี
หรือถูกฟอ งเปนจาํ เลยก็ได เวนแต สทิ ธแิ์ ละหนาทีบ่ างอยางท่ีมไี ดเฉพาะบคุ คลธรรมดาเทาน้นั เชน สิทธิ
ในครอบครวั สทิ ธใิ นทางการเมอื ง เปน ตน
ประเภทของนติ บิ ุคคล
1. นติ ิบุคคลตามประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย ไดแก ทบวงการเมือง วัดวาอาราม หาง
หนุ สว นทีจ่ ดทะเบยี นแลว บริษทั จํากดั สมาคม มลู นิธิที่ไดรับอํานาจแลว
2. นิติบคุ คลตามกฎหมายอืน่ ๆ
สิทธิและหนา ทขี่ องนิตบิ ุคคล
1. สิทธิและหนาท่ีภายในขอบวัตถุท่ีประสงค ซึ่งยอมเปนไปตามท่ีไดกําหนดไวในกฎหมาย
หรือขอบังคับ หรือตราสารจัดตั้งของนิติบคุ คลนั้น จะทําการอน่ื ใดนอกจากขอบวัตถปุ ระสงคทก่ี ําหนดไว
ไมไ ด

[73]

2. สิทธิและหนาที่ซ่ึงเหมือนกบั บุคคลธรรมดา เวนแต สิทธแิ ละหนาท่ีซ่ึงโดยสภาพจะ พึง
มี พึงเปนไดเฉพาะแตบุคคลธรรมดาเทาน้ัน เชน ไมอาจทําการสมรสได ไมสามารถเปนผูอนุบาลหรือผู
พิทักษ ไมม ีหนา ทรี่ ับราชการทหาร ไมม สี ิทธทิ างการเมือง เปนตน
หมายเหตุ นติ บิ คุ คลกระทําความผดิ ทางอาญาไดหรือไม -----> ได
การลงโทษอยางไร -----> รบิ ทรพั ย หรอื ปรบั
การจดั การนิติบคุ คล

เน่ืองจากนิติบุคคลเปนสิ่งไมมีชีวิตจิตใจ จึงไมสามารถท่ีจะแสดงเจตนาหรือทําการใดโดย
ตนเองได ดังน้ัน ป.พ.พ. มาตรา 70 วรรคสอง จึงบัญญัติวา “ ความประสงคของนิติบุคคลยอม
แสดงออกโดยผแู ทนของนิติบุคคล ”

อํานาจของผแู ทนนิตบิ คุ คล โดยปกติจะมกี าํ หนดไวใ นกฎหมาย หรือในขอบงั คบั หรอื ในตรา
สารจัดต้ังนิติบุคคลน้ัน ในกรณีท่ีนิติบุคคลมีผูแทนหลายคน การดําเนินกิจการของนิติบุคคลใหเปนไป
ตามเสียงขา งมาก เวนแต จะไดมกี ารกาํ หนดไวเปน ประการอนื่

ความรับผิดของผูแทนนิติบุคคล (ตามมาตรา 76) ถาผูแทนนิติบุคคลหรือผูมีอํานาจทําการ
แทนนิติบุคคล ไดทําการตามหนาท่ีและทําใหเกิดความเสียหายแกบุคคลอ่ืน นิติบุคคลน้ันตองรับผิด
ชดใชคาสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายน้ัน แตมีสิทธิไลเบ้ียเอาแกผูท่ีเปนตนเหตุทําใหเกิดความ
เสียหายน้ันในภายหลังได แตถาความเสียหายน้ันเกิดจากการกระทําซ่ึงมิไดอยูภายในขอบวตั ถุประสงค
ของนิติบคุ คลแลว นติ ิบคุ คลไมตอ งรับผดิ ชอบในการกระทํานั้น แตผทู ่ีจะตองรบั ผิดชอบใชค าเสยี หายคือ
บรรดาผแู ทนท่ีไดอ อกเสยี งลงมตใิ หทําการเชนน้ัน รวมทัง้ บรรดาผูแทนท่ไี ดล งมอื กระทําการน้ัน
ภูมลิ ําเนาของนติ ิบุคคล (ตามมาตรา 68 –69 )

ภูมลิ ําเนาของนิตบิ ุคคลนัน้ สามารถแบงออกได 3 แหง คือ
1. ถน่ิ ทีส่ าํ นักงานแหงใหญต ง้ั อยูห รอื ที่ต้ังทท่ี ําการตัง้ อยู
2. ถิน่ ทเ่ี ลือกเอาเปนภมู ลิ าํ เนาเฉพาะการตามขอบงั คบั หรอื ตราสารจดั ต้งั
3. ถ่ินท่ีมีสาขาสานักงานอันควรจดั เปนภูมลิ าํ เนาเฉพาะในสวนกิจการอันไดกระทํา

ณ ที่นั้น
การสน้ิ สภาพนติ บิ ุคคล

นิติบคุ คลอาจสิน้ สภาพไปดว ยเหตใุ ดเหตหุ น่งึ ดังนี้คือ
1. ตามท่รี ะบุไวในขอบงั คับหรือตราสารจัดตัง้
2. โดยสมาชิกตกลงใหเ ลิกกัน
3. เลกิ โดยผลของกฎหมาย เชน นิติบุคคลลม ละลาย
4. โดยคําสงั่ ศาลใหเ ลกิ เชน นิติบุคคลทําผดิ กฎหมาย

[74]

ทรัพย
ทรัพย หมายความวา วัตถุมีรูปราง และวัตถุมีรูปรางน้ันจะตองเปนวัตถุท่ีอาจมีราคาและ

ถือเอาไดดวยเชน คล่ืนสัญญาณดาวเทียมในอากาศไมมีรูปรางจึงไมใชทรัพย หรือมนุษยท่ีมีชีวิตอยู แม
จะมีรูปรา งแตไมใชวัตถุ และไมสามารถกาํ หนดราคาและถือเอาได ไมส ามารถจะซื้อขายกันได มนุษยจึง
มิใชทรัพย แตอวัยวะท่ีไดแยกออกจากรางกายแลว เชน เลือดท่ีบริจาค หรือเสนผมท่ีตัดออกและนําไป
ขาย ยอมมีราคาและถือเอาได จึงถือวาเปน ทรพั ย

ทรัพยสิน หมายความรวมท้ังทรัพยและวัตถุไมมีรูปราง ซ่ึงอาจมีราคาและถือเอาได คําวา “
วัตถุไมมีรูปราง ” หมายถึง ไมสามารถมองเห็นหรือสัมผัสได เชน แกส กําลังแรงธรรมชาติ พลังงาน
รวมท้ังสทิ ธติ าง ๆ เชน ลขิ สทิ ธ์ิ สิทธบิ ตั ร กรรมสทิ ธ์ิ เปน ตน ซึง่ วัตถุไมม รี ูปรางเปน ทรัพยส นิ ไมใช
ทรพั ย
ประเภทของทรัพย กฎหมายแบง ไวดงั น้ี คอื
1. อสังหารมิ ทรพั ยแ ละสงั หาริมทรัพย
2. ทรัพยแบง ไดและทรพั ยแบงไมได
3. ทรพั ยน อกพาณชิ ย
อสังหารมิ ทรพั ยแ ละสังหาริมทรพั ย

อสังหาริมทรัพย หมายความวา ท่ีดินและทรัพยอันติดอยูกับท่ีดินมีลักษณะเปนการถาวร
หรือประกอบเปนอันเดียวกับท่ีดินน้ัน และหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอันเก่ียวกับท่ีดินหรือทรัพยอัน
ตดิ อยูก บั ที่ดนิ หรือประกอบเปนอนั เดยี วกับทีด่ นิ น้ันดว ย
ประเภทของอสังหาริมทรัพย แบงออกเปน 4 จําพวก ไดแ ก

1. ทด่ี ิน หมายถงึ พน้ื ผวิ ดินที่อยบู นพื้นโลก เชน ภเู ขา หบุ เขาหรือเกาะ เปน ตน ท่ีดินถือเปน
อสังหาริมทรัพย แตเม่ือถูกขุดขึ้นมาแลวดนิ นั้นก็กลายเปน สังหารมิ ทรัพย

2. ทรพั ยสินอันติดอยูกับท่ีดิน หมายถึง ทรัพยท่ีติดตรึงตราแนนหนากับท่ีดินและมีลักษณะ
เปนการถาวรดวย เชน โรงเรือน สะพาน อนุสาวรีย กําแพง ไมยืนตน เปนตน แตถาเพียงตั้งวางอยูบน
พน้ื ดิน เชน บา นทรงไทยที่ซอื้ ไปประกอบในทีด่ นิ ของตน แผงลอย โรงราน โรงลิเกตามงานวดั ไมไ ดป ลูก
ติดตรึงตราแนนหนาถาวรกบั ท่ีดนิ ยอมไมเปนอสงั หาริมทรพั ย

3. ทรัพยท่ีประกอบเปนอันเดียวกับท่ีดิน หมายถึง ส่ิงตาง ๆ ท่ีรวมสภาพตามธรรมชาติกับ
ดนิ เชน หิน กรวด ทราย แรธ าตตุ าง ๆ ท่ีอยูในดินและเกิดข้ึนตามธรรมชาติ แตทรัพยสินท่ีฝงจมอยูดิน
เชนเหรียญเงิน สรอยทองท่ีทําตก สมบัติท่ีฝงอยูในดิน แมจะนานเทาใดก็ไมกลายเปนทรัพยประกอบ
เปน อนั เดียวกับที่ดนิ ไปได

4. ทรัพยสิทธิอันเก่ียวกับท่ีดินหรือทรัพยอันติดอยูกับท่ีดินหรือประกอบเปนอันเดียวกับ
ท่ีดิน ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับท่ีดิน เชน กรรมสิทธิ์ในที่ดิน สิทธิครอบครอง สิทธิเก็บกิน สิทธิจํานอง
ภาระจํายอม สิทธิอาศัย เปนตน ทรัพยสิทธิในทรัพยอันติดกับท่ีดิน เชน กรรมสิทธ์ิในโรงเรือนหรือส่ิง
ปลูกสรา งตา ง ๆ เปนตน

สังหาริมทรัพย หมายความวา ทรัพยส ินอ่ืนนอกจากอสงั หาริมทรัพย และหมายความรวมถึง
สิทธิอันเก่ียวกับทรัพยสินน้ันดวย เชน บานท่ีซ้ือแบบร้ือไปประกอบท่ีอ่ืน สัตว รถยนต ปากกา หนังสือ
เสื้อผา แผงลอย โรงราน ไมลมลุก ธัญชาติตาง ๆ สิทธิครอบครอง สิทธิจํานา ลิขสิทธ์ิ สิทธิยึดหนวง
สิทธใิ นเครอื่ งหมายการคา เปนตน

[75]

ประเภทของสังหาริมทรัพย แบง ออกเปน 2 ประเภท ไดแก
1. สังหาริมทรัพยธรรมดา ทเ่ี ห็นโดยทัว่ ๆ ไป เชน รถยนต ทีวี เปน ตน
2. สังหารมิ ทรพั ยพเิ ศษ ไดแก เรือมีระวางตง้ั แตห า ตนั ข้นึ ไป แพ และ สัตวพาหนะ เชน ชาง

มา วัว ควาย ลา ลอ เปน ตน
3. สิทธิทั้งหลายอันเก่ียวกับสังหาริมทรัพย เชน ลิขสิทธ์ิในหนังสือท่ีเขียน สิทธิจํานา ใน

การทํานิติกรรมเกย่ี วกับสังหาริมทรัพยธรรมดาน้ัน กฎหมายไมไดกาํ หนดแบบไว จะทําเปนหนังสือหรือ
โดยกรยิ าอาการอยา งใดก็ได แตถาทรัพยนนั้ มีราคาต้ังแต 20,000 บาทขึน้ ไป ถาจะฟอ งรองบังคับคดกี ัน
แลวจะตองมีหลักฐานเปนหนังสือดวย สวนการทํานิติกรรมเก่ียวกับสังหาริมทรัพยพิเศษจะเหมือน
อสังหาริมทรัพย คือตองทําเปนหนังสือและจดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาที่ มิฉะนั้นนิติกรรมจะตก
เปนโมฆะ
ขอ แตกตา งระหวา อสังหาริมทรัพยแ ละสังหาริมทรัพย

1. อสังหาริมทรัพยมีเจาของเสมอ แมไมเปนของใครก็ตกเปนของแผนดิน แตสังหาริมทรัพย
อาจไมม ีเจาของได

2. ทรัพยส ิทธบิ างอยา ง เชน ภาระจํายอมสิทธิอาศยั สิทธเิ ก็บกนิ สทิ ธเิ หนอื พน้ื ดนิ และภาระ
ติดพนั ในอสังหาริมทรัพย จะกอใหเกิดข้ึนไดกแ็ ตใ นอสังหารมิ ทรัพยเทานั้น

3. การไดก รรมสิทธโ์ิ ดยการครอบปรปกษ สําหรบั อสังหาริมทรพั ยมีกําหนดระยะ เวลา
10 ป แตส งั หาริมทรัพยก ําหนดระยะเวลา 5 ปเ ทาน้นั
ขอ ควรพจิ ารณา องคป ระกอบการครอบครองปรปก ษ
1) เปนการครอบครองทรพั ยสนิ ของผอู น่ื และทรัพยนนั้ ตองมีกรรมสทิ ธิ์
2) การครอบครองโดยสุจรติ สงบ เปดเผยและมีเจตนาเปนเจาของ
3) ถาเปนอสงั หาริมทรัพยต องครอบครอง 10 ป สงั หาริมทรัพย 5 ป
4. นติ ิกรรมท่ีเกย่ี วกบั อสงั หาริมทรพั ยต องทําตามแบบทีก่ ฎหมายกําหนดไว มฉิ ะนนั้ จะตกเปนโมฆะ แต
สังหาริมทรพั ยโดยทวั่ ไปไมมีแบบ เวน แตสังหารมิ ทรพั ยพเิ ศษ
5. อสงั หาริมทรพั ยม แี ดนกรรมสิทธท์ิ ้งั เหนือและใตพื้นดิน แตส งั หารมิ ทรัพยจ ะไมม ีแดนกรรมสิทธ์ิ
ทรัพยแบงไดและทรพั ยแ บงไมไ ด

ทรัพยแบงได คือ ทรัพยท่ีสามารถแบงแยกออกจากกันได และสวนท่ีแยกออกมาน้ันไดรูป
สัดสวนบริบรู ณ ลําพงั ในตัวเอง เชน ทีด่ ิน ผา เปน พบั ๆ ขา ว น้ํามนั สรุ า เปนตน

ทรัพยแบงไมได คือ ทรัพยท่ีไมสามารถแบงแยกออกจากกันได นอกจากจะเปล่ียนแปลง
ภาวะของทรพั ย และหมายความรวมถึงทรัพยท ่มี ีกฎหมายบัญญตั ิวา แบง ไมไดดว ย

ทรพั ยแบงไมไ ด ไดแก ทรัพยอยา งใดอยา งหน่ึง ดงั นี้
1. ทรัพยท่ีแบงไมไดโดยสภาพ คือทรัพยซ่ึงเม่ือแบงแยกจากกันแลว จะทําใหเปล่ียนแปลง
ภาวะหรอื รูปลกั ษณะของทรัพยผดิ ไปจากเดิม เชน ตกึ รถยนต เสื้อกางเกง หนงั สอื ชาง โตะเกาอ้ี
2. ทรพั ยท ่แี บง ไมไดตามกฎหมาย คอื กฎหมายบญั ญตั หิ ามแบงออกไว แมวาโดยสภาพตัว
ทรพั ยน ัน้ อาจแบง แยกไดก ต็ าม เชน หนุ ของบรษิ ัทจากดั ทรพั ยสว นควบ ภาระจํายอมหรือสิทธจิ ํานอง

[76]

ทรัพยนอกพาณิชย
คือ ทรัพยท ี่ไมส ามารถถือเอาไดแ ละทรัพยท่ีโอนแกก นั มิไดโ ดยชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงแบงออก

ได 2 ชนิดดังนี้
1. ทรพั ยท่ีไมสามารถถือเอาได หมายถึง สงิ่ ที่ไมถอื เปนทรพั ยตามกฎหมาย ไมอาจนํามาเปน

วัตถุแหงสิทธิหรือนํามาจําหนายจายโอนไดน่ันเอง เชน ดวงจันทร ดวงดาว สายลม แสงแดด กอนเมฆ
น้าํ ทะเล (ทรัพยท ี่อยนู อกโลกทงั้ หลายเปน ทรัพยนอกพาณิชย)

2. ทรัพยซ่ึงไมสามารถโอนกันไดโดยชอบดวยกฎหมาย หมายถึง ทรัพยสินซ่ึงจะนํามา
จําหนายจายโอนดังเชนทรัพยสินท่ัว ๆ ไปมิได กลาวคือ เปนทรัพยท่ีเม่ือไหรจะมีการโอนแลวตองไป
ออกกฎหมายพิเศษ เชน พระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และจะตองเปนทรัพยท่ีมีกฎหมาย
บัญญัติหามโอนไวโดยตรง และหามโอนตลอดไปดวย เชน สาธารณสมบัติของแผนดิน ที่วดั และที่ธรณี
สงฆ
สวนควบ อปุ กรณ ดอกผล
สวนควบ

สวนควบของทรัพย หมายความวา สวนซ่ึงโดยสภาพแหงทรัพยหรือโดยจารีตประเพณีแหง
ทองถ่ินเปนสาระสําคัญในความเปนอยูของทรัพยน้ัน และไมอาจแยกจากกันได นอกจากจะทําลาย ทํา
ใหบุบสลายหรอื ทําใหทรพั ยน้ันเปล่ียนแปลงรูปทรงหรอื สภาพไป เจา ของทรพั ยยอมมีกรรมสิทธ์ิในสวน
ควบของทรพั ยน น้ั
สาระสําคญั ของสวนควบ

1. เปนสังหาริมทรัพยหรืออสังหาริมทรัพยต้ังแต 2 สิ่งข้ึนไปมารวมกัน ทรัพยท่ีนํามา
รวมกันนั้นจะมีรปู ลักษณะเหมือนกันหรือไมกไ็ ด แตจะตองมีสภาพแยกจากกันมากอนที่จะนํามารวมกัน
เชน อวยั วะของสัตว ซ่งึ เกดิ ขึ้นมาพรอ มกบั ตวั สตั ว ไมถ ือเปน สว นควบของสัตว
สรุปก็คือ ตองมีทรัพยป ระธาน แลวมที รัพยอ ืน่ มาประกอบและจะแยกจากกนั ไมไ ด

2. ตองเปนสาระสําคัญในความเปนอยูของทรัพยน้ัน กลาวคือ ถาปราศจากทรัพยท่ีเปน
สว นควบแลว ทรัพยน ั้นจะหมดสภาพความเปน ทรัพยท สี่ มบูรณไ ป เชน รถยนตตอ งมเี คร่อื งยนต มีลอ มี
พวงมาลัย ถาไมมีแลวก็ไมสามารถท่ีจะแลนได เรียกวา เปนสาระสําคัญในความเปนอยู แตวิทยุ
เคร่ืองปรับอากาศ กระจกสองขาง กระจกสองหลังน้ัน ไมเ ปนสาระสําคัญของรถยนต จงึ ไมเปนสวนควบ
ของรถยนต
สรุปกค็ อื ทรัพยท ่ีมาประกอบตองเปน สาระสําคัญและเปน ประโยชนแ กตัวทรพั ยประธาน

3. ผเู ปน เจาของทรพั ยประธาน ยอ มเปนเจาของสวนควบ
ประเภทของสวนควบ

1. สวนควบโดยธรรมชาติ คือ การไดกรรมสิทธิ์ใน “ที่งอกริมตลิ่ง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา
1308 บัญญัติวา “ท่ีดินแปลงใดเกิดที่งอกรมิ ตล่งิ ท่ีงอกยอ มเปนทรัพยสินของเจา ของทดี่ ินแปลงน้ัน” ที่
ชายตล่ิง คือ ท่ีๆ นํ้าทวมถึงในฤดูนํ้าหลาก ซ่ึงกฎหมายถือวาท่ีชายตล่ิงเปนสาธารณสมบัติของแผนดิน
ประชาชนใชป ระโยชนร ว มกนั ใครจะไปจบั จองถอื กรรมสทิ ธไ์ิ มไ ด

[77]

ที่งอกรมิ ตล่ิง คือ ที่ๆ ซึ่งตามปกติน้าํ ทว มไมถึง จะเกิดขนึ้ ไดมักจะเปนท่ซี ่งึ อยตู ดิ กบั แมนํ้า ลาํ
คลอง หรอื ทะเล อันเปนที่สาธารณะ(ท่ีชายตล่ิง) ซ่ึงนํา้ ทว มถงึ ตอ มาไดง อกเงยข้ึนจนนํ้าทวมไมถึง
กลายเปน ท่ีงอกริมตลิ่ง (เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ)

2. สวนควบโดยการปลกู สรา ง ไดแ ก
(1) การสรางโรงเรือนในท่ีดินของผูอ่ืนโดยสุจริต กฎหมายกําหนดใหเจาของท่ีดินเปน

เจาของโรงเรอื นนนั้ ๆ แตตองใชค าแหง ทีด่ นิ เพียงทเี่ พ่มิ ข้ึน เพราะการสรา งโรงเรือนนนั้ ใหแกผสู รา ง
(2) การสรางโรงเรือนในทีด่ นิ ของผูอนื่ โดยไมส ุจรติ กฎหมายกาํ หนดใหบ ุคคลนนั้ ตองทํา

ทีด่ นิ ใหเปน ตามเดมิ แลว สง คืนเจาของ เวน แตเ จา ของทด่ี นิ จะเลอื กใหสง คืนตามท่เี ปน อยู ในกรณเี ชน น้ี
เจาของท่ดี ินตองใชราคาโรงเรือนหรอื ใชค าแหงที่ดนิ เพยี งทเ่ี พ่มิ ขึน้ เพราะการสรางโรงเรือนนัน้ แลวแต
เจา ของท่ดี ินจะเลือก

(3) การสรางโรงเรือนรุกล้ําเขาไปในท่ีดินของผอู ื่นโดยสุจรติ กฎหมายกําหนดใหบคุ คลนั้น
เปนเจาของโรงเรือนท่ีสรา งข้ึน แตตอ งเสียเงนิ ใหแ กเจาของท่ีดินเปนคา ใชท่ีดินน้ัน และจดทะเบียนสิทธิ
เปนภาระจํายอมถาภายหลังโรงเรือนน้ันสลายไปท้ังหมด เจาของท่ีดินจะเรียกใหเพิกถอนการจด
ทะเบียนเสียกไ็ ด

(4) การสรางโรงเรือนรุกลาเขาไปในท่ีดินของผูอ่ืนโดยไมสุจริต กฎหมายกําหนดไววา
เจาของท่ดี ินจะเรยี กใหผ ูส รา งรอ้ื ถอนไป และทําทีด่ นิ ใหเ ปนตามเดมิ โดยผูสรางเปน ผอู อกคา ใชจ ายก็ได

(5) การสรางส่ิงอ่ืน ปลูกตนไม หรือธัญชาติในท่ีดินของผูอ่ืน ก็เปนไปตามหลักเกณฑของ
ขอ (1) ถึงขอ (4) ดวยเชนกัน เชน แดงสรางอนุสาวรีย สะพาน กําแพง รวมทั้งปลูกตนไมลงไปในท่ีดิน
ของดํา โดยคิดวาเปนท่ีดินของตน ตามกฎหมายดํายอมเปนเจาของส่ิงปลูกสรางเหลาน้ัน รวมท้ังตนไม
แตตองใชคาแหงท่ีดินเพียงท่ีเพิ่มข้ึนใหแกแดง นําเอาเร่ืองการสรางโรงเรือนลงในที่ดินของผูอื่นโดย
สุจริตตามขอ (1) มาปรบั ใช
ขอยกเวนของสวนควบ คือ ไมเ ปนสว นควบแตตอ งปฏิบตั เิ หมอื นสว นควบ ไดแก …

ขาวหรอื ธญั ชาติอยางอื่นอนั จะเกบ็ เก่ยี วรวงผลไดคราวหน่งึ หรอื หลายคราวตอป เจา ของทีด่ ิน
ตองยอมใหบุคคลผูทําการโดยสุจริต หรือผูเปนเจาของท่ีดินโดยมีเง่ือนไขซึ่งไดเพาะปลูกลงไวนั้น คง
ครองท่ีดินจนกวาจะเสร็จการเก็บเก่ียวโดยใชเงนิ คํานวณตามเกณฑคาเชาท่ีดินน้ัน หรือเจาของท่ีดินจะ
เขาครอบครองในทันทโี ดยใชคา ทดแทนใหแ กอ ีกฝา ยหนึง่ ก็ได
ขอยกเวน ทไี่ มเ ปน สวนควบ ไดแก

1. ไมลมลุกและธัญชาติอันจะเก็บเก่ียวรวงผลไดคราวหน่ึงหรือหลายคราวตอป เชน พืชผัก
ตา งๆ ขา วตางๆ (สว นไมย นื ตน เปน สวนควบกับท่ดี ินและเปนอสงั หารมิ ทรพั ย)

2. ทรพั ยซึ่งติดกบั ทีด่ ินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชว่ั คราว เชน แผงลอย , โรงรา น, โรงลิเก
3. โรงเรือนหรือส่ิงปลูกสรางอยางอ่ืนอันผูมีสิทธใิ นท่ีดินของผูอ่ืนใชสิทธิปลูกสรางทําลงไวใน
ท่ีดินน้ัน เชน ทําสัญญาเชาท่ีดินเพ่ือปลูกสรางบานโดยคูสัญญามีสัญญาตอกันท่ีจะปลูกสรา งบานลงบน
ทดี่ ิน ปลูกโรงเรอื นในทีด่ ินของผอู ื่นโดยเจาของท่ดี ินยินยอมใหป ลกู อาศยั เปน ตน

[78]

อุปกรณ
ลกั ษณะของอปุ กรณ จะตองมีองคป ระกอบดังนี้

1. ตองเปนสงั หาริมทรัพย เชน รถยนตเปนทรัพยที่เปนประธาน แมแ รง ยางรถยนตและลอ
อะไหล ซ่ึงเปน สังหาริมทรพั ยยอมเปนอุปกรณของรถยนต แตโ รงรถซง่ึ เปนอสังหาริมทรัพยไมถือวาเปน
อุปกรณ

2. ตองมีทรัพยประธานเสมอ หมายถึง มีทรัพยเปนประธานอยู แลวจึงนําอุปกรณมาสู
ทรัพยประธาน หรืออาจจะไดทรัพยเปนประธานและอุปกรณมาพรอมกัน โดยอุปกรณติดมากับทรัพย
เปนประธานก็ได หรืออาจเปนกรณีท่ีผูอ่ืนนํามาใหเจาของทรัพยเปนประธานก็ได ไมจําเปนท่ีเจาของ
ทรัพยเ ปนประธานจะตองนํามาสูทรัพยดว ยตนเอง เชน มนี กอยแู ลว ตอมาเจาของนกซื้อกรงนกมาหรือ
คนอ่ืนนํามาให กรงนกยอมเปนอุปกรณของนก แตถา มกี รงนกอยแู ลวตอ มาไปซื้อนกมาเลี้ยงในกรง ดังน้ี
นกยอมไมใชอุปกรณของกรงนก

3. เจาของทรัพยประธานนํามาติดตอ หรือปรับเขาไว หรือทําโดยประการอ่ืนใดในฐานะ
เปนของใชประกอบกับทรัพยท่ีเปนประธาน ไมถึงกับตองรวมสภาพเหมือนอยางสวนควบ เพียงแต
เจาของทรัพยนาํ เขามาติดตอ หรอื ปรบั เขาไวก ็พอแลว

4. ใชประจําอยกู ับทรัพยเ ปนประธานนัน้ เปนอาจิณ เพอ่ื ประโยชนแกก ารดูแลหรือใชสอย
หรือรักษาทรัพยที่เปนประธาน เชน กรงนกมีไวเพื่อประโยชนในการดูแลรักษานก ปลอกคอสุนัขเพื่อใช
สอยกับสุนัข ปลอกแวนตาเพื่อรักษาแวนตา ผาใบคลุมรถยนตเพื่อรักษารถยนต แตท่ีสําคัญคือ เพื่อ
ประโยชนกบั ตัวทรัพยเ ปนประธานเทานน้ั ไมใชเ พื่อประโยชนข องเจา ของทรัพย เชน วิทยุ แอร ไมถือวา
เปนอุปกรณของรถยนต หรือเครอ่ื งเรือนภายในบานมิไดม ไี วเ พื่อประโยชนของตวั บาน จึงไมใชอ ุปกรณ

5. ใครเปนเจาของทรพั ยประธาน จะเปนเจาของเคร่ืองอปุ กรณ
ดอกผล

ดอกผลของทรัพย คือ ส่ิงท่ีเพ่ิมพูนงอกเงยข้ึนจากตัวทรัพย มี 2 ประเภท คือ ดอกผล
ธรรมดา และดอกผลนติ นิ ัย (มาตรา 148)
1. ดอกผลธรรมดา

หมายถึง สงิ่ ทเ่ี กิดข้ึนตามธรรมชาตขิ องทรัพย ซึ่งไดมาจากตัวทรัพยโ ดยการมีหรือใชท รัพย
นนั้ ตามปกตนิ ยิ ม และสามารถถอื เอาไดเม่ือขาดจากทรัพยน้นั เชน ผลไม นํา้ นมสัตว ขนสตั ว ลกู สัตว
หนอ ไม เห็ด เปน ตน
2. ดอกผลนติ ินัย

หมายถึง ทรัพยหรือประโยชนอยางอ่ืนท่ีไดมาเปนคร้ังคราวแกเจาของทรัพย จากผูอ่ืนเพ่ือ
การที่ไดใชทรพั ยนน้ั สามารถคํานวณและถอื เอาไดเ ปน รายวนั หรอื ตามระยะเวลาท่ีกาํ หนดไว เปน ดอก
ผลทสี่ มมตุ ขิ ึน้ มาตามกฎหมาย เลน ดอกเบ้ยี กาํ ไร คาเชา เงินปน ผล ลาภหรือรายไดอยางอน่ื ๆ เปนตน

[79]

บุคคลสทิ ธิและทรพั ยสทิ ธิ
บุคคลสิทธิ

บุคคลสิทธิ คือ สิทธิท่ีมีอยูเหนือบุคคล ซ่ึงมีวัตถุแหงสิทธิท่ีเปนบังคับใหกระทําการหรืองด
เวนกระทําการอยางใดอยางหน่ึงหรือสงมอบทรัพยสินให ซ่ึงอยูในรูปของสิทธิเรียกรองตางๆ เชน สิทธิ
ของเจาหนต้ี ามสัญญากู สิทธิเรียกคาสินไหมทดแทนในทางละเมดิ เปนตน สทิ ธิเรยี กรองเหลา น้เี ปนสทิ ธิ
ที่จะบังคับเอากับลูกหน้ีเทาน้ัน จะบังคับเอากับตัวทรัพยไมได และเปนสิทธิที่ไมอาจใชยันแกบุคคล
ทวั่ ไปได จะบังคับไดเฉพาะตัวลกู หน้ี ทายาท หรือผูสบื สิทธิของลูกหน้ีเทาน้นั
ทรัพยสิทธิ

ทรัพยสิทธิ คือ สิทธิของบุคคลท่ีมีอยูเหนือทรพั ยสินโดยตรง ซง่ึ มีวัตถุแหงสทิ ธิเปน ทรัพยสิน
เชน กรรมสิทธ สิทธิครอบครอง สิทธิจํานองสทิ ธิจํานาํ สิทธิยดึ หนว ง ภาระจาํ ยอมเปน ตน ซง่ึ ทรัพยสทิ ธิ
อาจมีวัตถุแหงสิทธิเปนทรัพยสินท่ีไมมีรูปรางก็ได เชน ลิขสิทธ์ิ สิทธิบัตร เปนตน และบุคคลหน่ึงอาจมี
สิทธิในทรพั ยส นิ ของผอู ่ืนได เชน สทิ ธอิ าศยั สิทธเิ กบ็ กิน สทิ ธิเหนือพ้นื ดนิ เปนตน
ทรพั ยสิทธจิ ะกอ ตั้งขน้ึ ไดก โ็ ดยอาศัยอํานาจของกฎหมายเทา น้ัน และใชย นั แกบ คุ คลไดท ั่วไปไมจาํ กัด

ขอ แตกตางระหวา งบคุ คลสิทธแิ ละทรัพยสทิ ธิ
บุคคลสทิ ธิ ทรัพยสิทธิ
1. มวี ตั ถุแหง สิทธเิ ปน การกระทําหรอื งดเวน กระทํา 1. มวี ตั ถุแหง สทิ ธเิ ปนทรัพยส ิน (ท้งั มรี ูปรางและไม
การ มีรูปรา ง)
2. เกิดขึ้นไดโดยนติ ิกรรมหรือโดยนติ ิเหตุ 2. เกดิ ขึ้นไดโดยอาศยั อาํ นาจของกฎหมายเทานน้ั
3. ใชบ งั คับไดระหวา งคูสญั ญาเทานั้น 3. ใชยันแกบคุ คลทั่วไปไดไมจํากัด
4. กอ ใหเ กิดหนา ท่แี กบคุ คลโดยเฉพาะเจาะจง 4. กอใหเ กิดหนาท่ีแกบคุ คลทั่วไป ท่ีจะตองเคารพ
เทา น้นั (เปน หนาท่ีของลูกหนี้) สิทธขิ องเจา ของทรพั ยส ิน
5. มีลักษณะไมถ าวร และยอมสิ้นไปถาไมใ ชส ทิ ธินี้ 5. มลี ักษณะคงทนถาวร และไมห มดสิ้นไปโดยการ
ภายในเวลาทก่ี ฎหมายกําหนดไว ไมใช

การไดม าซึ่งทรัพยสทิ ธิ
ทรัพยสิทธอิ าจไดม าโดย 2 ทางคือ

1. การไดมาซึ่งทรัพยสิทธิโดยผลของนิติกรรม นิติกรรมท่ีกอใหเกิดทรัพยสิทธินั้นตองมี
กฎหมายบัญญัตถิ ึงทรัพยสิทธิน้ันไวโดยเฉพาะเปนเร่ืองๆ ไป เชน การทําสัญญาซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให
สทิ ธิอาศัย สทิ ธิเก็บกิน จะไดมาก็แตโ ดยนิตกิ รรมเทาน้ัน

2. การไดมาซึ่งทรัพยสทิ ธิโดยทางอ่ืนนอกจากนิตกิ รรมหรือโดยผลของกฎหมาย เชน การ
ไดมาโดยทางมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมหรือผูรับพินัยกรรม โดยการครอบครองปรปกษ โดยคํา
พิพากษาของศาล การไดตามหลกั สวนควบ การไดที่งอกรมิ ตล่ิง สิทธิในเคร่อื งหมายการคา ตามกฎหมาย
เปนตน

ประเภทของทรัพยสิทธิ
ทรัพยสิทธิแบงออกเปน 7 ประเภท ไดแก กรรมสิทธ์ิ สิทธิครอบครอง ภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิ
เหนอื พ้ืนดิน สิทธิเกบ็ กนิ และภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย

[80]

1. กรรมสิทธ์ิและการใชกรรมสิทธ์ิ
ก. กรรมสิทธิ์ ในทรพั ยสิทธิท้ังหลาย “ กรรมสิทธิ์ ” เปนสิทธทิ ี่สําคัญท่สี ดุ กรรมสิทธนิ น้ั อาจ

ไดม าโดยผลของนติ กิ รรมหรือผลของกฎหมาย ดังน้ี
1. การไดกรรมสิทธิมาโดยอาศัยหลักสวนควบ กลาวคือ ผูเปนเจาของทรัพยใดยอมเปน

เจาของสวนควบดวย เชน ผูซ้ือท่ีดินแมไมไดซ้ือบานท่ีปลูกบนท่ีดินน้ันก็ยอมเปนเจาของบานน้ันดวย
หรอื ที่งอกริมตลิง่ ยอ มเปนทรัพยสินของเจาของทดี่ ินแปลงนัน้

2. การไดกรรมสิทธิมาโดยเขาถือครองเอาสังหาริมทรัพยไมมีเจาของ สังหาริมทรัพยท่ีไมมี
เจา ของ อาจเปน เพราะ

1) เจา ของเดิมสละกรรมสิทธิ เชน ของท่ีเขาทิง้ แลว สตั วทีเ่ ขานํามาปลอ ย
2) เปนทรัพยท ี่ไมเคยมีเจาของมากอน เชน ของปา สัตวปา สตั วน า้ํ ในทะเล เวนแตก ารถือ
ครองจะตองหามตามกฎหมาย เชน การจับสัตวปาบางประเภทตาม พ.ร.บ. สัตวปาสงวนและการ
คมุ ครองสตั วป า
ขอสงั เกต กรณเี ปน ทรัพยส นิ หาย ผูเก็บไดจะไดกรรมสทิ ธิหรือไม หรือจะตองทําอยางไร
1) เกบ็ ทรัพยได ใหสง มอบเจา ของหรือมอบใหแกตาํ รวจหรอื เจา พนักงานภายใน ......... วนั
2) ผเู กบ็ ไดและสงมอบแกเ จาของทรพั ย ---> 30,000 บาท แรก ได 10% สวนทเ่ี กิน ได 5%
3) ผูเก็บทรัพยไดและสงมอบแกต าํ รวจหรอื เจา พนกั งาน ---> เจาของทรัพยตองเสียคา ธรรมเนียม 2.5%
4) เจา ของไมเ รยี กรองทรัพยค ืนภายใน 1 ปนบั แตว นั เกบ็ ทรัพยไ ด ---> เปน กรรมสิทธขิ์ องผเู กบ็
5) สังหารมิ ทรัพยม ีคาซง่ึ ซอนหรอื ฝงไวแ ละไมมีเจาของ ---> กรรมสิทธ์ิตกแกแผน ดินผเู กบ็ ไดรับ 1/3
6) จากขอ 5. ถา เปนวตั ถโุ บราณ ผเู ก็บไดร บั 10% ของคาทรพั ยสนิ นน้ั
3. การไดกรรมสทิ ธมิ าโดยสุจรติ ในพฤติการณพ ิเศษ กลา วคอื สิทธขิ องผูท่ีไดทรพั ยมาโดย
สุจริตและเสียคาตอบแทนยอมไมเสียไป แมวาผูโอนทรัพยสินจะไดทรัพยสินมาโดยนิติกรรมท่ีเปน
โมฆียะหรือโมฆะ การซ้ือทรัพยสินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคําส่ังศาลหรือตามทองตลาด
แมวาทรัพยส นิ น้ันไมใชข องผทู ถ่ี กู นํามาขายทอดตลาดก็ตาม
4. การไดก รรมสทิ ธมิ าโดยการครอบครองปรปกษ กลา วคือ การเขาครอบครองทรัพยส นิ ที่
เปนกรรมสิทธิของผูอ่ืนไวโดยสงบและเปดเผย ดวยเจตนาเปนเจาของ ถาเปนอสังหาริมทรัพย ได
ครอบครองติดตอกันเปนเวลา 10 ป หรือถาเปนอสังหาริมทรัพยไดครอบครองติดตอกันเปนเวลา 5 ป
บุคคลนนั้ ยอมไดกรรมสทิ ธิ
ข. การใชกรรมสิทธิ ผูมีกรรมสิทธิในทรัพยสินใดยอมมีสิทธิท่ีจะใชสอยทรัพยสินน้ัน หรือ
จําหนาย หรือติดตามเอาคืนจากผูไมมีสิทธิจะยึดถือไว หรือขัดขวางไมใหผูใดเขามาเกี่ยวของกับ
ทรัพยสินโดยมิชอบดวยกฎหมาย อยางไรก็ตามการใชกรรมสิทธิดังกลาวอาจถูกจํากัดโดยกฎหมายได
เชน
1. เจาของบานจะทําหลงั คําหรอื สง่ิ ปลกู สรางอยา งอน่ื ซ่งึ ทําใหน ้าํ ฝนตกลงยงั ทรัพยส นิ ของ
ผอู ่นื ซง่ึ อยูติดตอกนั ไมไ ด
2. จะขุดบอ หรือหลุมรบั ส่งิ โสโครกในระยะ 2 เมตร จากแนวเขตทด่ี ินไมได
3. จะถมท่ีดนิ ของตนจนสูงทําใหน้ําไหลทว มท่ีขางเคยี งไมไ ด
4. การถูกจํากดั สิทธเิ พราะ “ ทางจาํ เปน ” หรือ “ ภาระจาํ ยอม”

[81]

2. สทิ ธิครอบครอง
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 1367 บัญญัติวา “บุคคลใดยึดถือทรัพยสินโดย

เจตนาจะยึดถอื เพือ่ ตน ทา นวาบคุ คลน้ันไดซึง่ สิทธิครอบครอง”
สิทธิครอบครองเปนทรัพยสิทธิชนิดหน่ึงท่ีไดมาตามขอเท็จจริงอาจมีไดท้ังในสังหาริมทรัพย

และอสังหาริมทรัพย เปนสิทธิท่ีมีอยูไดตราบเทาท่ีครอบครองและอาจอยูไดโดยลําพังหรือแทรกอยูใน
สิทธิอ่ืนๆ ก็ไดท้ังนี้โดยผูทรงสิทธิอาจเปนเจาของหรือมิใชเจาของทรัพยก็ได สิทธิน้ีอาจไดมาโดยการ
ยดึ ถือดวยตนเอง ผูอน่ื ยดึ ถอื ไวใ หห รือไดมาโดยการเปลยี่ นลักษณะแหง การยึดถือก็ได สิทธิครอบครองนี้
อาจสน้ิ สุดไปไดโ ดยการถูกแยง การครอบครอง การสละเจตนาครอบครอง หรอื การโอนการครอบครองก็
ได
3. ภาระจํายอม

ภาระจํายอม คือ ทรัพยสิทธิชนิดหน่ึงท่ีตัดทอนอํานาจกรรมสิทธ์ิโดยทําใหเจาของ
อสังหารมิ ทรัพยอันหน่ึงซึ่งเรียกวา ภารยทรพั ย ตองรบั กรรมบางอยางซ่ึงกระทบกระเทือนทรัพยส ินของ
ตนน้ัน หรอื ทําใหเ จาของอสังหาริมทรพั ยตองงดเวน การใชสิทธิบางอยางเก่ียวกับกรรมสิทธ์ิในทรัพยสิน
นนั้ เพ่อื ประโยชนข องอสงั หารมิ ทรัพยอ ืน่ เรยี กวา สามยทรัพย
การไดม าซง่ึ ภาระจํายอมมี 3 กรณี คือ

1. โดยนติ ิกรรมสญั ญา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 คือ ตองทําเปน หนงั สอื และจดทะเบียน
การไดมาซ่งึ ภาระจํายอมอันกอใหเ กดิ ทรพั ยสทิ ธิทีส่ มบรู ณใชย นั บคุ คลภายนอกได

2. โดยอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 คือ การครอบครองปรปกษโดยความสงบและ
เปดเผยดวยเจตนาเปนเจาของและไดครอบครองติดตอ กันเปนเวลา 10 ปแลว และการไดภาระ จํา
ยอม น้ีอาจนําเอามาตรา 1382 มาใชบ ังคบั ได

3. โดยผลแหงกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 ใหผูปลูกสรางโรงเรือนรุกลาโดยสุจริตมี
สิทธิจดทะเบียนภาระจํายอมเหนือท่ีดินท่ีรุกลํ้าน้ัน ตามมาตรา 1352 เจาของท่ีดินยอมใหผูอ่ืน วางทอ
น้ํา สายไฟฟา หรือส่ิงอื่นใดอันมีลักษณะคลายกัน ผานท่ีดินเพื่อประโยชนแกที่ดินที่ติดตอ เม่ือไดรับ
คาตอบแทนพอสมควร
4. สิทธอิ าศัย

สทิ ธอิ าศยั คือ ทรพั ยสิทธิอยางหนงึ่ ซงึ่ ผูท รงสิทธมิ ีสิทธทิ ่ีจะอยูอาศัยในโรงเรือนของผูอื่นโดย
ไมต องเสียคาเชา
สาระสาํ คัญเพิ่มเตมิ

1) สทิ ธิอาศัยนน้ั จะกอ ใหเกดิ โดยมกี ําหนดเวลาหรือตลอดชีวติ ของผูอาศัยก็ได
2) ถาไมมีกําหนดเวลาไว สิทธิน้ันจะเลิกเสยี ในเวลาใด ๆ ก็ไดแตตองบอกลวงหนาแกผูอาศัย
ตามสมควร
3) ถาใหสิทธิอาศัยโดยมีกําหนดเวลา กําหนดน้ันตองไมเกินสามสิบป ถากําหนดไวนานกวา
นนั้ ใหลดลงมาเปนสามสิบป การใหสิทธิอาศัยจะตออายุก็ได แตตองกําหนดเวลาไมเกินสามสิบปนบั แต
วนั ทําตอ
4) สิทธิอาศัยจะจดทะเบียนไดเฉพาะในโรงเรือนเทานั้น จะจดทะเบียนสิทธิอาศัยในที่ดิน
ไมได
5) สทิ ธิอาศัยโอนกันไมไ ดแ มโดยทางมรดก

[82]

5. สทิ ธเิ หนอื พื้นดิน
สิทธิเหนอื พืน้ ดิน เปนทรัพยสิทธปิ ระเภทหนึ่ง โดยเปนสิทธทิ บี่ ุคคลจะเปนเจาของโรงเรือน

สง่ิ ปลกู สรา ง หรอื ส่งิ เพาะปลูก บนทด่ี นิ ของผอู น่ื หรือใตพ้ืนดนิ แหง ท่ดี นิ ของผูอน่ื บุคคลผูมสี ิทธิเชน น้ี
เรยี ก "ผทู รงสทิ ธเิ หนอื พื้นดิน"
6. สิทธิเกบ็ กิน

สิทธิเก็บกิน เปนทรัพยสิทธิประเภทหน่ึง โดยเปนสิทธิท่ีบุคคลสามารถครอบครอง ใช และ
ถือเอาซ่ึงประโยชนจากอสังหารมิ ทรัพยของบุคคลอ่ืน เปนตนวา เจาของท่ีนามีสิทธิใชท่ีนาโดยประการ
ตางๆ ผูทรงสิทธิเก็บกินในท่ีนาน้ันก็ใชท่ีนาทํานาได หรือจะนําที่นาน้ันออกใหเชาเพื่อเก็บคาเชาก็ได
เสมอกับเปนเจาของเองทีเดียว เพียงแตกรรมสิทธ์ิในท่ีนาดังกลาวยังอยูท่ีเจาของ บุคคลผูมีสิทธิเชนน้ี
เรยี ก "ผูทรงสทิ ธเิ ก็บกิน" และสิทธเิ กบ็ กนิ จะมไี ดก ็แตในอสงั หารมิ ทรัพยเ ทา น้ัน ไมม ใี นสังหาริมทรพั ย
7. ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย

ภาระติดพันในอสังหาริมทรพั ย เปนทรพั ยสิทธอิ ยางหน่ึง อสงั หารมิ ทรัพยอ าจจะตองตกอยู
ในภาระติดพันอันเปนเหตุใหผูไดรับประโยชน มีสิทธิไดรับการชําระหน้ีจากอสังหาริมทรัพยน้ันเปน
คราวๆ หรือไดใ ชแ ละถอื เอาประโยชนจ ากอสงั หารมิ ทรัพยนัน้ ตามท่รี ะบุไว
สาระสาํ คัญเพมิ่ เติม
1. ภาระตดิ พนั ในอสังหารมิ ทรพั ยจ ะกอ ใหเ กดิ โดยมีกําหนดเวลา (หา มเกนิ 30 ป) หรือตลอดชีวติ แหง
ผูรบั ประโยชนก ไ็ ด ถา ไมมีกําหนดเวลาใหสนั นิษฐานไวกอ นวา ภาระติดพนั ในอสงั หารมิ ทรพั ยม ีอยูตลอด
ชีวติ ของผรู บั ประโยชน
2. ภาระติดพันในอสังหารมิ ทรัพยโอนกนั ไมไดแ มโ ดยทางมรดก

นิตกิ รรม
“นติ ิกรรม” หมายความวา การใด ๆ อันทําลงโดยชอบดวยกฎหมายและดว ยใจสมัคร มงุ

โดยตรงตอการผูกนิติสัมพนั ธขึน้ ระหวางบุคคล เพ่ือจะกอ เปล่ยี นแปลง โอน สงวน หรอื ระงบั ซ่งึ สทิ ธิ
องคประกอบของนติ ิกรรม มีดงั น้ีคอื
1. นิติกรรมจะเกิดข้ึนไดตอเม่ือมีการแสดงเจตนา กลาวคือ แสดงความตองการใหปรากฏออกมาวา
ตอ งการอะไร ซ่ึงการแสดงเจตนาทํานิติกรรมมีหลายวธิ ีการ อาจแสดงเจตนาเปนลายลักษณอักษร ดวย
วาจาหรือจากกิริยาอาการอยา งหนงึ่ อยางใดก็ได

สาํ หรับการน่ิงน้ันโดยหลักไมถือวาเปนการแสดงเจตนา เวนแตตามกฎหมายวาดวย เชา
ทรัพย มาตรา 570 กลาววา ในกรณีครบกําหนดสัญญาเชาแลว แตผูเชายังคงครองทรัพยสินที่เชานั้นอยู
ตอไป ผูใหเชารูแลวก็มิไดทักทวงประการใดกลับน่ิงเฉยเสีย กฎหมายถือวาการท่ีผูใหเชาน่ิงเฉยน้ัน
เทากับแสดงเจตนายินยอมใหผูเชาไดเชาทรัพยสินน้ันตอไปโดยไมมีกําหนดเวลา ซ่ึงเปนขอยกเวนจาก
หลักทั่วไป
2. การแสดงเจตนาทํานิติกรรมตองกระทําดวยใจสมัคร กลาวคือ ผูกระทําไดมีความสมัครใจในการ
แสดงความตองการหรือแสดงเจตนาใหปรากฏ มิไดเกิดข้ึนเพราะการสําคัญผิด ถูกขมขู หรือถูก
หลอกลวงใดๆ ท้งั สิ้น

[83]

3. ตองเปนการกระทําอันชอบดวยกฎหมาย กลาวคือ การกระทําน้ันไมเปนการตองหามโดยชัดแจง
ตามกฎหมาย ซ่ึงดูไดจากวัตถุประสงคของนิติกรรมน้ันวาชอบดวยกฎหมายหรือไม เชน สัญญาจางฆา
คน สัญญาซือ้ ขายยาบา จะเหน็ วา มวี ัตถปุ ระสงคขัดตอกฎหมายจึงไมถือวา เปนนติ กิ รรม
4. มุงโดยตรงตอการผูกนิติสัมพันธข้ึนระหวางบุคคล กลาวคือ ตองเปนการกระทําที่ผูกระทําไดทําลง
โดยมเี จตนาใหเกิดผลผูกพันในทางกฎหมาย ซึ่งจะทําใหเ กดิ สิทธิและหนาท่ีระหวางบุคคล ดวยเหตุนี้นิติ
กรรมจึงแตกตางจากเหตุการณหรือการกระทําตางๆ ในชีวิตประจําวัน เชน การทักทายพูดคุยกัน การ
เลนกีฬา นัดเพื่อนไปดูหนัง การเชิญชวนรับประทานอาหาร ซ่ึงผูกระทําไมไดมีประสงคจะใหเกิดผล
ในทางกฎหมาย จงึ ไมเ กิดเปน นิตกิ รรม
5. ทําใหเ กดิ การเคลือ่ นไหวในสิทธิ ซึง่ อาจจะเปนการกอสทิ ธิ เปล่ยี นแปลงสทิ ธิ โอนสทิ ธิ สงวนสิทธิ
หรือระงบั สทิ ธิก็ได เชน การนําเงนิ ไปชําระหน้ี ทําใหห นร้ี ะงับลง เปนตน
ชนดิ ของนติ กิ รรม แบงไดหลายแบบ เชน
1. นติ ิกรรมฝายเดียว เปนนิตกิ รรรมที่เกิดขนึ้ โดยการแสดงเจตนาของบคุ คลเพยี งฝา ยเดียว แบงยอ ย
ออกเปน

(1) นิตกิ รรมฝา ยเดยี วโดยเครงครดั กลาวคือ เม่อื แสดงเจตนาออกมากม็ ผี ลเปน นติ ิกรรม
ทันที เชน พนิ ยั กรรมหรอื การกอต้งั มูลนธิ ิ เปน ตน

(2) นิติกรรมฝายเดียวซ่ึงตองมีผูรับการแสดงเจตนา กลาวคือ การแสดงเจตนาน้ันจะเปน
นิติกรรมไดจะตองกระทําตอบุคคลหน่ึง เชน การบอกเลิกสัญญา การหักกลบลบหน้ี การปลดหน้ี การ
บอกเลกิ คําม่ัน เปน ตน
2. นิติกรรมสองฝาย เปนนิติกรรมท่ีเกิดข้ึนโดยการแสดงเจตนาของบุคคลต้ังแตสองฝายข้นึ ไป ซ่ึงไดแก
สญั ญาตาง ๆ เชน สัญญาซ้ือขาย มผี ซู ้ือกับผูขาย สญั ญาเชา มผี เู ชา กบั ผใู หเ ชา เปนตน
โมฆะกรรม

โมฆะกรรม หมายถึง นิติกรรมท่ีตกเปนอันเสียเปลาใชบังคับไมได เสมือนหน่ึงวาไมมีการทํา
นิติกรรมข้ึนเลย จึงไมมีผลผูกพันใดๆ ในทางกฎหมายและโมฆะกรรมน้ันไมอาจจะใหสัตยาบันแกกันได
กลาวคือ ไมอาจใหค ํารับรองหรือใหสัตยาบันเพ่ือใหน ิติกรรมท่ีเสียไปน้ันกลับคืนดีได เพียงแตผมู ีสวนได
เสียคนใดคนหน่ึงสามารถยกเอาโมฆะกรรมน้ันข้ึนกลาวอางไดเสมอทุกเวลา (โมฆะกรรมน้ันไมตองบอก
ลา งอีก เพราะเชื่อวา ตกเปน อนั เสียเปลา โดยทนั ท)ี
เหตุทที่ ําใหนติ กิ รรมตกเปน โมฆะ ไดแก
1. นิติกรรมท่ีมวี ัตถุประสงคไมช อบดว ยกฎหมาย แบงออกเปน

1) นติ กิ รรมทีม่ ีวัตถุประสงคเปนการตองหามชัดแจงโดยกฎหมาย เชน ซ้ือขายยาบา ซือ้
ธนบตั รปลอม จางฆาคน จา งทํารายผอู ืน่ กูยืมเงนิ เพอื่ เอาไปคายาเสพตดิ เหลา นี้ตกเปน โมฆะท้ังสิ้น

2) นติ ิกรรมทม่ี ีวตั ถุประสงคเ ปน การพน วิสยั
3) นติ ิกรรมทีม่ วี ตั ถุประสงคข ัดตอ ความสงบเรยี บรอ ยหรือศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน
เชน จางใหสามีภริยาหยาขาดจากกนั ใหเงนิ ตอบแทนในการที่หญิงมาเปนเมียนอย สามีภรยิ าทําสัญญา
จะไมห ลบั นอนดว ยกนั เปนตน

[84]

2. นิติกรรมที่ทําไมถ กู ตอ งตามแบบที่กฎหมายกําหนดไว นติ ิกรรมนนั้ ยอมตกเปน โมฆะ เชน สญั ญา
เชา ซอ้ื กฎหมายท่ีกําหนดแบบไวใ หต องทําเปนหนังสือ มฉิ ะนัน้ ยอ มตกเปนโมฆะ เปนตน
แบบของนิติกรรม หมายถงึ วิธกี ารทีก่ ฎหมายกําหนดไวเปนพเิ ศษเพื่อเปนหลกั บงั คับใหผูทํานิตกิ รรม
ตองทําใหครบถวน กลาวคือ

ก. นิตกิ รรมจะสมบรู ณเ มื่อมีการสง มอบทรัพย เชน สญั ญาให ยืมใชคงรูป ยมื ใชส้ินเปลอื ง
ฝากทรัพย จาํ นํา

ข. นติ กิ รรมจะสมบรู ณเ ม่ือมีการทําเปน หนงั สือ เชน สญั ญาเชาซอ้ื พินัยกรรม (ยกเวนทําดว ย
วาจา)

ค. นติ กิ รรมจะสมบรู ณเ ม่ือมีการจดทะเบียนตอพนกั งานเจาหนาที่ ไดแ ก การสมรส รบั รอง
บตุ ร การจัดตั้งบริษัท เปน ตน

ง. นิตกิ รรมจะสมบรู ณเ มื่อทําเปน หนังสือและจดทะเบยี นตอพนกั งานเจาหนา ท่ี สว นใหญ
เกีย่ วกับอสังหาริมทรัพย หรอื สงั หาริมทรัพยพเิ ศษ
3. นติ กิ รรมทีเ่ กดิ ขึ้นเพราะความบกพรอ งเก่ียวกบั การแสดงเจตนา ไดแก

1) “เจตนาซอนเรน” เปนนิติกรรมท่ีเกิดข้ึนดวยการแสดงเจตนาออกมาไมตรงกับเจตนาท่ี
แทจริงซ่ึงซอนอยูในใจ โดยคูกรณีอีกฝายหน่ึงไดรูถึงเจตนาท่ีซอนอยูในใจดวย แตถาคูกรณีอีกฝายหน่ึง
มิไดรถู งึ เจตนาที่ซอนอยใู นใจแลว นิติกรรมทแ่ี สดงปรากฏออกมาถอื วามีผลสมบูรณ

2) “เจตนาลวง” คือ เปนนิติกรรมท่ีบุคคลสองฝายสมคบกันเพ่ือลวงบุคคลท่ีสาม ผลของ
การแสดง เจตนาลวงน้ี จะเปนโมฆะ แตจะยกขน้ึ เปนขอตอสูบุคคลภายนอกผูทําการโดยสุจริตจากการ
แสดงเจตนาลวงนนั้ ไมไ ด

3) “นิติกรรมอําพราง” เปนการทํานิติกรรมข้ึนมา 2 นิติกรรม คือ มีนิติกรรมที่ตรงกับใจ
จริงน้ันปกปดไว เรียกวา นิติกรรมที่ถกู อําพราง แตมีนิติกรรมอีกอันหนึ่งทําข้ึนโดยเปดเผย แตทําไปเพ่ือ
อําพราง
4. นติ ิกรรมทเี่ กิดข้ึนดวยการสาํ คัญผิดในสิ่งซึง่ เปนสาระสําคัญแหง นิตกิ รรม เชน

1) สําคัญผิดในตัวบคุ คลซึ่งเปนคกู รณแี หงนิติกรรม เชน สัญญาใหจ ะสมบรู ณเมื่อมีการสง
มอบ แตสงมอบใหผ ดิ ตวั

2) สําคัญผดิ ในลกั ษณะของนติ กิ รรม เชน ตอ งการทําสัญญาจาํ นองแตก ลบั ไปทําสัญญา
ขายฝาก โดยสําคัญผดิ ผลคือ สัญญาขายฝากเปน โมฆะ

3) สําคัญผดิ ในทรัพยสนิ ซ่ึงเปนวตั ถุแหงนติ ิกรรม

โมฆียะกรรม
โมฆียะกรรม หมายถึง นิติกรรมท่ียังมีผลใชบังคับกันไดตามกฎหมาย กลาวคือ มีผลสมบูรณ

จนกวาจะถูกบอกลาง สาเหตุท่ีทําใหเปนโมฆียะกรรมน้ันเพราะมีเหตุบกพรองบางประการตามท่ี
กฎหมายกําหนดไว แตไมถึงขนาดที่จะสญู เสียเปลาดังเชนโมฆะกรรม จงึ มผี ลในทางกฎหมาย 2 ทาง ซึ่ง
ข้ึนอยูก บั ผูม สี วนไดเสยี วาจะเลอื กทางใดทางหน่งึ ดังน้ี คือ
1. บอกลางได เน่ืองจากนิติกรรมน้ันมีความบกพรอ ง ผูมีสวนไดเสียอาจปฏิเสธหรือไมยอมรับ นิติ
กรรมน้ันก็ชอบท่ีจะใชสิทธิบอกลางนิติกรรมน้ัน ซ่ึงจะมีผลทําใหนิติกรรมท่ีตกเปนโมฆียะน้ันกลายเปน
โมฆะมาแตเริม่ แรก จึงไมมผี ลบงั คบั ไดต อไป

[85]

2. ใหสัตยาบันได กลาวคือ ผูมีสวนไดเสียนั้นไมใชสิทธิบอกลางภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด
หรืออาจจะยอมรับนิติกรรมน้ัน ซ่ึงเรียกวา “ใหสัตยาบัน” ก็จะทําใหนิติกรรมท่ีตกเปนโมฆียะน้ันมีผล
สมบูรณมาแตเ ร่ิมแรก บงั คับไดต ลอดไป
เหตุทที่ ําใหน ิติกรรมตกเปนโมฆยี ะ ไดแ ก
1. เหตุบกพรองในเรื่องความสามารถ ตามมาตรา 153 บัญญัติวา “การใดมิไดเปนไปตามบทบัญญัติ
ของกฎหมายวา ดวยความสามารถของบุคคล การน้ันเปนโมฆียะ” เชน ผูเยาว คนไรความสามารถ หรือ
คนเสมือนไรความสามารถ ทํานิติกรรมไปโดยฝาฝนบทบัญญัติของกฎหมายวาดวยความสามารถ นิติ
กรรมดังกลาวยอมตกเปน โมฆยี ะ
2. เหตบุ กพรองในเรอ่ื งการแสดงเจตนา การแสดงเจตนาทที่ ําใหน ติ ิกรรมตกเปน โมฆยี ะ ไดแ ก

1) การแสดงเจตนาทํานติ ิกรรมโดยสําคัญผิดในคุณสมบตั ิของบุคคลหรอื ทรัพยส นิ
2) การแสดงเจตนาทํานิติกรรมเพราะถูกกลฉอฉล
3) การแสดงเจตนาทํานิติกรรมเพราะถูกขมขู
การบอกลา งโมฆยี กรรม แบงออกเปน 2 ชวง
1. กฎหมายกําหนดใหใชส ิทธิบอกลางภายใน 1 ป นับแตเวลาท่อี าจใหสตั ยาบันได
2. หามมิใหบอกลางเม่ือพนเวลา 10 ป นับแตไ ดทํานิติกรรม กลา วคือ เมื่อเกิน 10 ปแลวแม
จะเพิง่ รูวา นิตกิ รรมเปน โมฆยี ะก็ไมสามารถบอกลางได
การใหส ัตยาบนั แกโมฆียะกรรม
คือ การแสดงเจตนายอมรับหรือการรับรองโมฆียะกรรม เพื่อใหมผี ลบงั คบั ไดโ ดยสมบรู ณ
ตอ ไป และมีผลทําใหส มบรู ณมาแตเ ร่ิมแรก
วิธีการใหสัตยาบนั
1. การใหสตั ยาบันโดยชัดแจง อาจเปนโดยลายลกั ษณอกั ษรหรือดว ยวาจาก็ได
2. การใหสัตยาบันโดยปริยาย กลาวคือ ถามีขอเท็จจริงอยางหน่ึงอยางใดดังตอไปน้ีเกิดข้ึน
ภายหลังเวลาอนั พึงใหสัตยาบันได กฎหมายถอื วา เปน การใหสัตยาบันโดยปรยิ าย ไดแก

1) ไดปฏิบตั ิการชําระหน้แี ลว ทั้งหมดหรอื แตบ างสวน
2) ไดมีการเรยี กใหชําระหน้ีแลว
3) ไดมีการแปลงหนี้ใหม
4) ไดมกี ารใหป ระกันเพอ่ื หนีน้ นั้
5) ไดม กี ารโอนสิทธิหรอื ความรับผดิ ชอบท้งั หมดหรือแตบ างสว น
6) ไดม ีการกระทําอยา งอนื่ อันแสดงไดวาเปนการใหส ัตยาบนั เชน การไมทักทว ง
ผูมสี ทิ ธิบอกลา งหรือใหสัตยาบนั แกโ มฆียะกรรม ไดแก
1. บุคคลผูเปนคูกรณีในการทํานิติกรรมน้ันๆ เอง ซ่ึงไดแก บุคคลท่ีบกพรองในเร่ืองความสามารถ คือ
ผูเยาว คนไรความสามารถ คนเสมือนไรความสามารถ คนวิกลจริต และบุคคลท่ีบกพรองในเร่ืองการ
แสดงเจตนา คือ บุคคลท่ีแสดงเจตนาเพราะสําคัญผิดหรือถูกกลฉอฉล หรือถูกขมขู รวมทั้งคูกรณีอีก
ฝา ยหนงึ่ ท่ไี มม คี วามบกพรอ งอะไร
2. ผูคมุ ครองประโยชนข องผูไรค วามสามารถ ซึ่งไดแก ผแู ทนโดยชอบธรรม ผอู นบุ าลหรอื ผพู ทิ ักษ
3. ทายาทของบุคคลผูทํานิตกิ รรมอนั เปน โมฆียะ ถา บุคคลผทู ํานิติกรรมอนั มีผลเปน โมฆียะตายกอนทจี่ ะ
มีการบอกลา งโมฆียะ

[86]

การไดสิทธโิ ดยนติ เิ หตุหรือโดยผลแหง กฎหมาย
มีไดใ นกรณีดงั ตอ ไปน้ีคือ
1. สทิ ธิอนั ไดมาจากพฤติการณต ามธรรมชาติ ไดแก

1) การเกิด ซึง่ ทําใหไดส ิทธิในฐานะเปนบคุ คล
2) การตาย ซ่ึงเมื่อบคุ คลใดตาย ทายาทของบุคคลนน้ั ยอ มมสี ิทธไิ ดรบั มรดก เปน ตน
2. สิทธอิ นั ไดม าจากการกระทําของบคุ คลโดยปราศจากเจตนามุง ผลในทางกฎหมาย ไดแ ก
1) การจัดการงานนอกสั่ง คือ การท่บี คุ คลคนหนึ่งไดเ ขาทํากิจการแทนผูอืน่ โดยเจา ของเขา
มิไดวาขานวานหรือใชใหทํา หากการจัดงานน้ันเปนไปในทางสมประโยชนแกผูเปนตัวการแลว ผูที่
จัดการงานนอกส่ังน้ันยอมมีสิทธิท่ีจะเรียกรองใหเจาของกิจการชําระคาใชจายหรือหน้ีอันเกิดจากการ
จดั การน้ันใหแกตนได
2) ลาภมิควรได คือ การท่ีบุคคลใดไดม าซึ่งทรพั ยสินส่งิ ใด เพราะการทบี่ ุคคลอกี คนหนงึ่
กระทําการเพ่ือชําระหน้ีหรือไดมาดวยประการอ่ืนใดโดยปราศจากมูลอันจะอางกฎหมายได และเปน
ทางใหบุคคลอกี คนหนึ่งเสียเปรียบ ก็จะตองสงคืนทรพั ยส นิ น้นั ใหแ กเ ขาไป
3) ละเมิด คือ การท่ีบุคคลใดจงใจหรือประมาทเลินเลอกระทําตอบุคคลอ่ืนโดยผิดกฎหมาย
เปนเหตุใหผูอื่นเสียหายถึงแกชีวิต รางกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพยสิน หรือสิทธิอยางใดอยางหน่ึง
ผูก ระทําละเมิดจําตอ งชดใชคาสนิ ไหมทดแทนใหแกบ ุคคลผตู อ งไดรับความเสียหายนนั้
3. สิทธิอันไดมาตามกฎหมายลักษณะทรัพยสิน ไดแก การไดกรรมสิทธิ์โดยหลักสวนควบตามหลัก
กฎหมายวา “เจา ของทรัพยยอ มมกี รรมสทิ ธใิ์ นสวนควบของทรัพยน น้ั ”
4. การไดสิทธิโดยสุจริตในกรณีท่ีกฎหมายกําหนดใหเปนพิเศษ ซ่ึงถือวาเปนขอยกเวนของหลัก
กฎหมายท่ีวา “ผูรับโอนไมม ีสิทธดิ ีกวาผูโอน” นัน่ เอง ไดแก การไดสิทธใิ นทรัพยสนิ ดังตอไปนี้
1) ไดมาเพราะนติ ิกรรมอนั เปนโมฆียะ กลา วคือ บุคคลผูไดม าซึ่งทรัพยส นิ โดยมีคาตอบแทน
และโดยสจุ รติ นั้น สทิ ธินั้นยอมไมเสียไป ถงึ แมวาผูโอนทรัพยส นิ ใหจ ะไดทรพั ยส ินนั้นมาโดยนิตกิ รรมเปน
โมฆียะ และนิตกิ รรมไดถ ูกบอกลา งภายหลงั
2) ไดมาเพราะซ้อื ทรัพยสินโดยสจุ ริต เชน

-กรณีท่ีเปนการซ้ือทรัพยสินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด (เปนการขายทอดตลาด
โดยเอกชน) หรือในทองตลาด หรือจากพอคาซง่ึ ขายของชนดิ น้ัน ไมจําตอ งคืนใหแกเจาของแทจรงิ เวน
แตเ จาของจะชดใชร าคาทซี่ ือ้ มา (ไมไ ดใหสทิ ธแิ กผูซอ้ื ทจ่ี ะไดส ทิ ธไิ ปเด็ดขาด)

- สิทธิของบุคคลผูไดเงินตรามาโดยสุจริต ยอมไมเสียไป ถึงแมภายหลังจะพิสูจนไดวาเงิน
นนั้ มใิ ชข องบุคคลซึ่งไดโ อนใหม า (ตอ งเปน เงินตราของไทยเทา น้ัน)

- การซ้ือทรัพยสินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคําส่ังศาล หรือคําส่ังเจาพนักงาน
รักษาทรัพยในคดีลมละลาย สิทธิของผูซ้ือโดยสุจริตมิเสียไป ถึงแมภายหลังจะพิสูจนไดวาทรัพยสินน้ัน
มิใชของจําเลยหรือลูกหน้ีตามคําพิพากษาหรือผูลมละลาย (ผูซ้ือทรัพยสินโดยสุจริตไดกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพยสนิ นน้ั เดด็ ขาด เจาของจะเรียกคืนไมได)

[87]

สัญญา
สัญญา คือ นิติกรรมอยางหน่ึง (เปนนิติกรรมสองฝาย) เกิดข้ึนโดยมีคูกรณีต้ังแตสองฝายข้ึน

ไป แสดงเจตนาตกลงกันเพ่ือกอใหเกิดหน้ีระหวางกัน โดยท่ีคูกรณีฝายหน่ึงจะแสดงเจตนาเปนคําเสนอ
และอีกฝา ยหนึง่ แสดงเจตนาเปน คําสนองรบั
การกอ ใหเ กดิ สัญญา

สัญญาจะเกิดข้ึนไดตอเม่ือมีการแสดงเจตนาของบุคคล 2 ฝาย โดยฝายหน่ึงจะแสดงเจตนา
เปนคําเสนอและอีกฝายหน่ึงแสดงเจตนาเปนคําสนอง ซึ่งเม่ือคําเสนอและคําสนองถูกตองตรงกัน
สัญญาจึงเกิดข้ึน และเม่ือสัญญาเกิดข้ึนแลวยอมกอใหเกิดหน้ีผูกมัดคูสัญญาในอันท่ีจะตองปฏิบัติตาม
หนน้ี ั้น
ประเภทของสัญญา แบงออกได ดงั น้ี
1. สญั ญาท่มี คี า ตอบแทนกบั สัญญาทีไ่ มมคี าตอบแทน

- สัญญาท่ีมีคาตอบแทน คือ สัญญาซ่ึงคูสัญญาตางใหผลประโยชนเปนการแลกเปล่ียนตอบ
แทนซง่ึ กนั และกัน เชน สัญญาซ้อื ขาย ผูซ อ้ื ไดท รพั ยสนิ ผูขายก็ไดเ งิน เปน ตน

- สญั ญาที่ไมมีคาตอบแทน คือ สญั ญาซงึ่ คูสัญญาฝา ยหน่ึงไดประโยชนแตฝา ยเดียว โดยท่ีอีก
ฝายหน่ึงนั้นไมไดรับผลประโยชนตอบแทนเลย เชน สัญญาใหโดยเสนหา สัญญาฝากทรัพยโดยไมมี
บาํ เหนจ็ สัญญายมื ใชค งรปู เปน ตน
2. สญั ญาตางตอบแทนกับสัญญาไมต างตอบแทน

- สัญญาตางตอบแทน คือ สัญญาท่ีคูสัญญาตางมีหนาที่ปฏิบัติตอกันและกัน มีหนี้ผูกพัน
คูส ญั ญาทงั้ 2 ฝาย เชน สัญญาซื้อขาย เปนตน

- สัญญาไมตางตอบแทน คือ สัญญาท่ีมีหน้ีผูกพันคูสัญญาแตเพียงฝายเดียว เชน สัญญายืม
ใชคงรูป เปน ตน
3. สัญญาเพ่อื ประโยชนแกบุคคลภายนอก คือ สัญญาทผี่ ลประโยชนจะไดแกบุคคลภายนอกมิใชผ ูเปน
คสู ญั ญา เชน สญั ญาประกนั ภยั สัญญาประกันชีวติ เปน ตน
การเลิกสญั ญา
เหตุแหงการเลกิ สัญญามีดังนี้
1. เลิกสัญญาโดยผลแหงขอตกลงหรือขอสัญญา เชน ในสัญญามีขอความวาถาคูสัญญาฝายหน่ึงผิด
สัญญาขอหน่ึงขอใด ยอมใหคูสัญญาอีกฝายหน่ึงบอกเลิกสัญญาได หรืออาจตกลงกันวา ถามีเหตุการณ
อยางใดอยา งหน่ึงเกิดข้ึน ยอมใหฝ ายนนั้ เลกิ สัญญาได เปน ตน
ตัวอยาง ก. ให ข. เชาบา น 1 หลงั ในสัญญาเชากาํ หนดกนั ไวว า ถา ก. ตอ งการรอื้ บา นหลัง นเี้ พือ่ สราง
บา นหลังใหมแ ทนท่ี ก. จะเลิกให ข. เชา ดงั นเี้ มื่อ ก. ตอ งการรอื้ บา นหลงั นเี้ พ่ือสรางบานหลังใหมแทนที่
ก. กม็ ีสทิ ธิบอกเลกิ สญั ญาเชา ได
2. เลิกสัญญาโดยบทบัญญัติแหงกฎหมาย แยกพิจารณาไดด ังน้ี

1) เลิกสัญญาเพราะลูกหน้ีไมชําระหน้ีโดยตองบอกกลาวใหลูกหน้ีรูตัวกอน กรณีนี้ถา
เจา หนี้ประสงคจะเลิกสัญญา เจา หนี้จะตอ งบอกกลา วใหลูกหนช้ี ําระหนเ้ี สยี ภายในระยะเวลาพอสมควร
ถาลูกหน้ีไมชําระหน้ีภายในเวลาท่ีกําหนดไวในคําบอกกลาว เจาหนี้ยอมมีสิทธิเลิกสัญญาได (มาตรา
387)

[88]

ตัวอยาง ก. ให ข. เชาบานโดยคิดคาเชา เดือนละ 2,000 บาท กําหนดชําระคาเชาทุกวนั สิ้นเดือน เชนนี้
ถา ข. ไมช ําระคาเชา ก. ตองบอกกลาวให ข.นําคา เชามาชาํ ระภายในเวลาที่กาํ หนดไว โดยบอกกลา วให
ทราบลวงหนาไมนอยกวา 15 วันในกรณีชําระคาเชาเปนรายเดือน ถา ข. ไมชําระคาเชาภายในเวลาท่ี
กาํ หนดไว ก. ยอมเลกิ สัญญาเสยี ได

2) เลิกสัญญาเพราะลูกหน้ีไมชําระหนี้เม่ือหนี้ไดกําหนดเวลาชําระหน้ีไวแนนอน โดย
คํานึงถึงสภาพของสัญญา หรือโดยเจตนาท่ีคูสัญญาไดแสดงไว ถาไมชําระหนี้ภายในกําหนดเวลา
ดังกลาว เจา หน้ยี อมเลกิ สัญญาเสยี ได โดยไมต องบอกกลาวลวงหนา (มาตรา 388)
ตัวอยาง ก. จาง ข. ตัดชุดสากล เพ่ือจะเดินทางไปตางประเทศในวันท่ี 1 ตุลาคม 2547 เม่ือถึงวันท่ี 1
ตุลาคม 2547 แลว ข. ก็ยังตัดไมเสร็จ เชนน้ี ก.บอกเลิกสัญญาไดโดยไมตองบอกกลาวลวงหนา เพราะ
ถือวา ระยะเวลาเปนสาระสําคญั แหง การชําระหนี้

3) เลกิ สัญญาเพราะการชําระหน้กี ลายเปน พนวิสัยท้ังหมดหรือแตบ างสวนเพราะเหตุ
อยา งใดอยา งหนึง่ อนั จะโทษลูกหน้ไี ด (มาตรา 389)
ตัวอยาง ก. จาง ข. พิมพหนังสือจํานวน 1,000 เลม เม่ือ ข. พิมพหนังสือเสร็จแลวกอนสงมอบหนังสือ
ให ก. ข. กระทําโดยประมาททําใหเกิดไฟไหมโรงพิมพ หนังสือท่ี ก. ส่ังพิมพก็ไหมไปหมดเชนน้ีถือวา
การชําระหน้กี ลายเปน พนวิสัย เพราะเหตุอันจะโทษ ข. ได ก. ยอมเลิกสญั ญาเสยี ได
ผลของการเลกิ สัญญา

ผลของการเลิกสัญญาน้ัน ทําใหสิทธิท่ีมีอยูตามสัญญาระงับไป และกอใหเกิดสิทธิใหมตาม
กฎหมายอนั วาดว ยผลแหง การบอกเลิกสัญญา ดังบัญญัติไวในมาตรา 391 ซ่งึ แยกพจิ ารณาไดดังน้ี
1. เมื่อคูสัญญาฝายหน่งึ ไดใชส ิทธิเลิกสญั ญาแลว คสู ญั ญาแตล ะฝายจาตองใหอีกฝา ยหน่ึงกลับคืนสฐู านะ
ดงั ทเ่ี ปน อยเู ดมิ
ตัวอยาง ก. ให ข. เชา บา นหลงั หน่ึงมกี าํ หนดระยะเวลา 3 ป เมอ่ื ครบกําหนด 3 ปแ ลว ก. บอกเลิก
สัญญา ข. ตองคนื บานใหแ ก ก.
2. การกลบั คืนสูฐ านะเดิมน้ีจะทําใหเ ปนท่ีเสือ่ มเสยี แกส ิทธิของบุคคลภายนอกไมไ ด
ตัวอยาง ก.ขายรถยนตหน่ึงคันให ข.โดยมีขอสัญญาวากรรมสิทธ์ิในรถยนตยังไมโอนไปจนกวา ข. จะ
ชาํ ระราคาใหเสร็จส้ินภายในวันท่ี 31 ธันวาคม 2553 ตอมาวนั ท่ี 1 ธันวาคม 2553 ข.ไดข ายรถยนตคัน
นีใ้ ห ค. คร้ันถึงวันท่ี 31 ธนั วาคม 2553 ข.กไ็ มชาํ ระหนี้ที่เหลอื ก.จึงบอกเลิกสัญญา ก.จะเอารถยนตคืน
จาก ค.ไมไ ด เพราะการกลับคืนสฐู านะเดิมน้ันจะทําใหเปนทีเ่ ส่อื มเสียแกส ทิ ธิของบุคคลภายนอกไมได

[89]

3. สาํ หรับการคืนเงินนัน้ ใหบ วกดอกเบ้ียเขาดว ย คิดต้ังแตเวลาทไ่ี ดร ับเงินนั้นไว
ตวั อยาง ก. ตกลงซ้ือทดี่ ินจาก ข. กําหนดสงมอบและโอนโฉนดกันในวันที่ 1 กุมภาพันธ 2554 ก. ไดใ ห
มัดจาํ ไวแก ข. เปนเงนิ 100,000 บาท ตง้ั แตวนั ท่ี 1 กันยายน 2553 อันเปน วันทําสญั ญาซื้อขาย ครัน้ ถึง
วันท่ี 1 กุมภาพนั ธ 2554 ข. ก็ไมสามารถสงมอบและโอนโฉนดให ก. ได ก. ยอมมีสิทธิเลิกสัญญา เรียก
มัดจํา 100,000 บาท คืน และเรียกดอกเบ้ียในอัตรารอยละเจ็ดคร่ึงตอป (ในกรณีท่ีไมไดกําหนดอัตรา
ดอกเบ้ียกันไว กฎหมายใหคิดไดในอัตรารอยละเจ็ดคร่ึงตอป) โดยคิดดอกเบ้ียไดต้ังแตวันท่ี 1 กันยายน
2553
4. การใชส ทิ ธเิ ลิกสัญญานั้น ไมก ระทบกระท่ังถึงสทิ ธิเรียกคาเสียหาย
ตวั อยา ง ก. ตกลงขายที่ดินให ข. 1 แปลงในราคา 500,000 บาท กําหนดจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธ์ิกัน
ในวันท่ี 1 ตุลาคม 2553 เม่ือถึงวันท่ี 1 ตุลาคม 2553 ก.ไมยอมไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธให ข. ข.
ยอมมีสทิ ธิเลิกสญั ญาได และในวนั ที่ 1 ตุลาคม 2553 ที่ดนิ แปลงนม้ี ีราคาสูงถึง 800,000 บาท เชนนี้ ข.
ยอมเรยี กคา เสยี หายเพราะการทท่ี ด่ี นิ มรี าคาสูงขน้ึ ได
5. ในการเลิกสัญญาน้ัน สวนท่ีเปนการงานอันไดกระทําใหและเปนการยอมใหใชทรัพยนั้น การที่จะ
ชดใชคืน ใหทําไดดวยใชเงินตามควรคาแหงการน้ัน ๆ หรือถาในสัญญามีกําหนดวาใหใชเงินตอบแทนก็
ใหใชต ามนั้น
ตัวอยาง ก. จาง ข. ทําถนน แต ข. ทํางานไมแ ลว เสรจ็ ตามลาํ ดับงวดของงาน ก. จึงบอกเลกิ สัญญา อนั
เปนผลใหคูส ญั ญาตางกลับคืนสฐู านะท่ีเปนอยูเดมิ หมดพันธะผูกพนั ในอนั ที่จะตองปฏบิ ัตติ อกัน สวนที่
เปน การงานที่ ข. ไดกระทําและยอมให ก. ไดใ ชท รัพยน ัน้ แมต ามสัญญาระหวาง ก. และ ข.จะไมม ี
ขอกําหนดใหช ดใชเงนิ ตอบแทนในเรอื่ งน้ีไว ข. กม็ สี ทิ ธิที่จะไดร ับการชดใชค นื ดว ยการใชเปนเงนิ ตาม
ควรคา ของผลงานที่ทํา (ฎีกาที่ 2014/2523)

กฎหมายลักษณะหนี้
ลักษณะสาํ คัญของหนี้ ตองประกอบดว ย
1. การมีนติ สิ มั พันธ (ความผกู พันกันในทางกฎหมาย)
2. การมีเจาหนแี้ ละลูกหน้ี (สทิ ธิเหนอื บคุ คล)
3. ตอ งมวี ตั ถุแหงหนี้ (การกระทํา / งดเวนกระทําการ / สง มอบทรัพยส นิ )
บอ เกิดแหง หนี้
1. นติ ิกรรม – สญั ญา
2. นิติเหตุ หมายถึง เหตุที่มิไดเกิดข้ึนจากการแสดงเจตนาเขาผูกพันตนเพ่ือกอหนี้ แตกฎหมายเปน
กาํ หนด ซึ่งอาจเปนเหตุธรรมชาติ หรือ อาจเปนเหตุท่ีกอขนึ้ โดยการกระทําของบุคคล โดยเขามิไดมุง ให
มีผลในกฎหมาย แตกฎหมายก็กําหนดใหตองมีหน้ีหรือหนาท่ีตอบุคคลอ่ืน ไดแก ละเมิด (ม.420)
จดั การงานนอกส่งั (ม.395, 401) ลาภมิควรได (ม.406)
3. ตามบทบัญญตั ิแหงกฎหมาย เชน บุตรจาํ ตองอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (ม.1563)

[90]

การบงั คบั ชําระหนี้
1. กําหนดชําระหนี้ ถา เปน กรณที ่ีคูกรณไี มไ ดตกลงกาํ หนดเวลาชําระหนไี้ วแนน อนแลว กฎหมาย ถอื วา
หนน้ี ัน้ ถงึ กําหนดชําระโดยพลัน (ม. 203)
2. การผิดนดั ของลูกหน้ี

2.1 เม่ือหน้ีถึงกําหนดชําระแลว และภายหลังแตน้ัน เจาหน้ีไดใหคําเตือนลูกหนี้แลว ลูกหนี้
ยังไมชาํ ระหนี้ ลูกหนไ้ี ดช อ่ื วา ผิดนัด เพราะเขาเตอื นแลว (ม. 204 วรรคหนง่ึ )

2.2 เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระตามวันแหงปฏิทินแลว และลูกหน้ีมิไดชําระหน้ีตามกําหนด
ลกู หนไ้ี ดช ื่อวา ตกเปนผูผดิ นดั แลว โดยมติ องเตอื นกอ นเลย (ม. 204)

2.3 ถาเปน หนอี้ ันเกิดแตม ลู ละเมิด ลกู หน้ีไดช ื่อวาผิดนดั มาแตเ วลาท่ที ําละเมดิ (ม. 206)
ผลของการท่ีลกู หนี้ผิดนัด
1. เจาหนม้ี ีสิทธิเรยี กคา สินไหมทดแทนเพอ่ื ความเสียหายอันเกิดจากการน้ันได (ม.215)
2. ถาโดยเหตุท่ีผิดนัดน้ัน ทําใหการชําระหน้ีกลายเปนอันไรประโยชนแกเจาหน้ี เจาหน้ีมีสิทธิท่ีจะบอก
ปด ไมรับการชาํ ระหน้ีนั้น และมสี ิทธเิ รียกคา สนิ ไหมทดแทนเพอื่ การไมชาํ ระหนี้ได (ม. 216)
3. ลูกหนีจ้ ะตองรบั ผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแตความประมาทเลินเลอในระหวา งท่ีตน ผิด
นัด ท้ังจะตองรับผิดชอบในการท่ีการชําระหน้ีกลายเปนพนวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดข้ึนในระหวางผิด
นัด ดวย เวนแต ความเสียหายนั้นถึงอยา งไรก็จะเกิดมขี ้ึนอยูดีถงึ แมวาตนจะไดชาํ ระหน้ีทันกําหนดเวลา
(ม.217)
4. ในระหวางผิดนัด ถาไมม ีการกาํ หนดไวเ ปนอยางอ่ืน ในกรณีของหน้ีเงินใหคิดดอกเบ้ียรอ ยละเจ็ดคร่ึง
ตอ ป (ม. 224)
5. ขอแกตัวของลูกหน้ี ถาการชําระหนี้น้ันยังมิไดกระทําลง เพราะพฤติการณอันใดอันหน่ึงซ่ึงลูกหน้ีไม
ตองรับผิดชอบ ลูกหน้ีก็ยงั หาไดชือ่ วา เปน ผผู ิดนดั ไม (ม.205)
การผิดนดั ของเจาหน้ี
1. ถาลูกหนี้ไดขอปฏิบัติการชําระหน้ี และเจาหน้ีไมรับชําระหน้ีน้ัน โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอาง
กฎหมายได เจา หน้ตี กเปน ผผู ิดนดั (ม.207)
2. ในกรณีของสัญญาตางตอบแทน ซ่ึงลูกหน้ีจะตองชําระหน้ีสวนของตนตอเม่ือเจาหน้ีชําระหนี้ตอบ
แทนดวยนนั้ ถึงแมว าเจาหน้ีจะไดเตรียมพรอมที่จะรับชําระหน้ีตามท่ีลกู หนี้ขอปฏิบัตกิ ารชําระหนี้ก็ตาม
แตถาเจาหน้ีไมเสนอท่ีจะทําการชําระหน้ีตอบแทนตามท่ีพึงตองทําแลว เจาหน้ีก็เปนอันไดช่ือวาผิดนัด
(ม.210)
ผลของการทีเ่ จาหนผี้ ิดนัด
1. ปลดเปลอ้ื งความรับผิดในอันท่จี ะตองใชค า สินไหมทดแทน เพราะเหตชุ าํ ระหนี้ลา ชา
2. ปลดเปล้ืองความรบั ผดิ ในกรณที ก่ี ารชําระหนน้ี น้ั กลายเปนอนั ไรป ระโยชนแ กเจา หน้ี
3. ปลดเปล้อื งความรับผิดในความเสยี หายอยางใดๆ ท่ีเกิดแกต ัวทรัพยอันเปน วตั ถุแหงหน้นี นั้
4. ปลดเปล้ืองความรบั ผิดในดอกเบ้ียสาํ หรบั กรณีที่เปนหน้ีเงิน

[91]

การชําระหนก้ี ลายเปนพนวสิ ัย
1. ถาการชําระหน้ีกลายเปนพนวิสัยท่ีจะทําได เพราะพฤติการณอันใดอันหน่ึงซ่ึงลูกหน้ีตองรับผิดชอบ
ลูกหน้ีจะตองใชคาสินไหมทดแทนใหแกเจาหน้ีเพ่ือคาเสียหายอยางใด ๆ อันเกิดแตการไมชําระหน้ีน้ัน
(ม.218)

กรณีที่การชําระหน้ีกลายเปนพนวิสยั แตเพียงบางสวน และสว นท่ียงั เปนวสิ ัยจะทําไดน้ันเปน
อันไรประโยชนแกเจาหน้ีแลว เจาหน้ีจะไมยอมรับชําระหน้ีน้ัน และเรียกคาสินไหมทดแทนเพ่ือการไม
ชาํ ระหน้ีเสยี ท้ังหมดทเี ดยี วกไ็ ด (ม.218 วรรคสอง)
2. ถาการชําระหน้ีกลายเปนพนวิสัย เพราะพฤติการณอันใดอันหน่ึงซ่ึงลูกหนี้ไมตองรับผิดชอบแลว
ลกู หนีเ้ ปน อนั หลุดพน จากการชาํ ระหนน้ี น้ั (ม. 219 วรรคสอง)

ถาภายหลังท่ีไดกอหน้ีข้ึนแลวน้ัน ลูกหน้ีกลายเปนคนไมสามารถจะชําระหน้ีได ก็ใหถือ
เสมอื นวาเปน พฤติการณท ีท่ ําใหการชําระหน้ตี กเปน อันพน วิสยั (ม.219 วรรคสอง)
สทิ ธขิ องเจาหน้ีท่จี ะบังคบั ชาํ ระหนจ้ี ากทรัพยสินของลูกหนี้

ดวยอํานาจแหงมลู หน้ี เจาหนม้ี ีสทิ ธิเรยี กรองใหล ูกหนี้ชาํ ระหน้ไี ด หากลูกหนี้ไมชําระ เจาหนี้
ชอบท่ีจะฟองรองตอศาลขอใหศาลบังคับคดีให โดยการบังคับชําระหนี้เอาจากทรัพยสินของลูกหน้ีจน
สิ้นเชิง รวมท้ังเงนิ และทรพั ยสินอื่น ๆ ซง่ึ บุคคลภายนอกคางชําระแกลูกหนีด้ ว ย (ม.214)
ลูกหน้แี ละเจาหนห้ี ลายคน
ผลแหง การเปน ลกู หนร้ี วม มีดงั นี้
1. เจาหน้มี สี ิทธิเรียกใหล ูกหนีค้ นใดคนหน่ึงชาํ ระหน้ไี ดสน้ิ เชงิ (ม.291)
2. การท่ลี กู หน้รี ว มคนหนึง่ ชําระหน้ี ยอมไดประโยชนแ กลูกหน้อี ื่นๆ ดว ย (ม.292)
3. การปลดหน้ีใหแกลูกหน้ีรวมคนใด ยอมเปนประโยชนแกลูกหน้ีรวมคนอ่ืนๆ เพียงเทาสวนของลกู หน้ี
ท่ีไดปลดหน้ีให (ม.293)
4. การทเ่ี จา หนี้ผดิ นัดตอ ลูกหนร้ี วมคนหน่งึ นัน้ ยอมไดประโยชนแ กลูกหนค้ี นอนื่ ๆ ดวย (ม.295)
5. การอันเปนคุณหรือเปนโทษเฉพาะตัวลูกหน้ีรวม ยอมไมมีผลไปถึงลูกหน้ีรวมคนอ่ืน (ม.295 วรรค
หนึง่ )
6. ในระหวางลูกหนี้รวมกันท้ังหลายนั้น ตางคนตางตองรบั ผิดเปนสวนเทาๆ กัน เวนแตจะไดก ําหนดไว
เปนอยางอื่น (ม.296)
ผลแหงการเปนเจาหนีร้ วม มีดงั น้ี
1. การที่เจาหน้รี วมคนหนง่ึ ผิดนดั น้ัน ยอมเปน โทษแกเ จาหนีค้ นอน่ื ๆ ดว ย (ม.299 วรรคหนง่ึ )
2. ถา สทิ ธเิ รียกรองและหนี้สนิ เปน อนั เกลอื่ นกลืนกันไปในเจาหน้ีรว มกันคนหน่ึง สิทธิของเจาหนี้คนอ่ืนๆ
อนั มตี อ ลกู หน้ีกย็ อ มเปนอันระงบั สน้ิ ไป (ม.299 วรรคสอง)
3. เม่ือลูกหน้ีชําระหน้ีหรือปฏิบัติการอยางอ่ืนตอเจาหน้ีรวมคนใดคนหน่ึงอันมีผลใหหน้ีระงับส้ินไปแลว
ลกู หนี้ยอมหลุดพน จากหนีน้ นั้ ไป (ม.299 วรรคสาม)
4. เม่ือเจาหน้ีรวมคนใดคนหน่ึงปลดหน้ีใหแกลูกหน้ีแลว ยอมเปนโทษแกเจาหน้ีรวมคนอ่ืนเทาสวนท่ีได
ปลดหน้ใี หน ้นั (ม.299 วรรคสาม)
5. ในระหวางเจาหน้ีรวมกันน้ัน เจาหน้ีแตละคนชอบท่ีจะไดรับชําระหน้ีเปนสวนเทาๆ กัน เวนแตจะได
กาํ หนดไวเปน อยางอนื่ (ม.300)

[92]

ความระงับแหงหนี้
1. การชําระหนี้
2. การปลดหน้ี คือ การท่ีเจาหน้ียอมสละสทิ ธิเรียกรองอนั มีตอลูกหน้ีใหแ กลกู หนไ้ี ปโดยเสนหา ซ่ึงมีผล
ทําใหห น้ีนัน้ ระงับลง (ม.340) ถาหากหนีน้ ั้นมหี นงั สือเปนหลักฐาน การปลดหน้กี ็ตองทําเปนหนังสอื ดวย
หรือตองเวนคืนเอกสารอันเปนหลักฐานแหงหน้ีใหแกลูกหน้ี หรือขีดฆาเอกสารน้ันเสีย (ม.340 วรรค
2)
3. การหักกลบลบหนี้ (ม.341) มีหลกั ดงั น้ี

3.1 การหักกลบลบหนีเ้ ปน กรณีท่บี ุคคลสองคนตางมคี วามผกู พันซึ่งกนั และกนั โดยมลู หนี้
3.2 มลู หน้ตี อ งมวี ัตถเุ ปนอยางเดียวกัน
3.3 หนี้ทั้งสองรายนนั้ ถงึ กาํ หนดชาํ ระหน้แี ลว และท้งั สภาพแหงหน้ีก็เปด ชอ งใหหกั กลบลบ
หน้ีกันได
4. การแปลงหน้ีใหม คือ การท่ีคูกรณีท่ีเก่ียวของไดทําสัญญาเปล่ียนส่ิงซ่ึงเปนสาระสําคัญแหงหน้ีกัน
หนี้นั้นเปน อันระงบั ไปดว ย “แปลงหนี้ใหม” (ม.349) เชน การเปลย่ี นวัตถแุ หงหนี้
5. หนี้เกล่ือนกลืนกัน ถาสิทธิและความรับผิดในหน้ีรายใด ตกอยูแกบุคคลคนเดียวกันแลว หน้ีน้ันเปน
อนั ระงบั ไปดว ยหนเี้ กลื่อนกลนื กัน (ม.353)
ตัวอยาง นาย ก. และนาย ข. เปนพี่นองรวมบิดามารดาเดียวกัน ก.กูเงิน ข.มา 100,000บาท เมื่อ ก.
ตาย ข.เปนทายาทท่ีเหลืออยูคนเดียวของ ก. ยอมรับไปท้ังสิทธิและหนาท่ีของ ก. นาย ข.ตองชําระหน้ี
เงินกขู อง ก. 100,000 บาท ซงึ่ ข.เองเปนเจา หน้อี ยดู ว ย หน้จี งึ เกลือ่ นกลืนกันไป ทําใหหน้รี ะงบั

[93]

กฎหมายกับความสัมพันธภายในครอบครัว
การหมั้น

การหม้ัน คอื การที่ชายและหญิงทําสัญญาตกลงวา จะสมรสอยูกินดวยกันฉันสามีภริยา การ
หม้ันถือเปนสัญญาอยางหน่ึงท่ีมีวัตถุประสงคคือมีการสมรสในอนาคต แตการหม้ันเปนสัญญาซ่ึง
แตกตา งจากสัญญาอืน่ ๆ กลาวคือ หากฝายใดฝายหน่ึงผิดสัญญาหม้ัน ไมยอมทําการสมรส อีกฝายหน่ึง
ไมอาจฟองตอศาลบังคับใหสมรสได และถาไดมีขอตกลงกันไววาจะใหเบ้ียปรับในเมื่อผิดสัญญาหม้ัน
ขอ ตกลงนัน้ เปน โมฆะ
การสมรสจําตอ งมกี ารหม้ันหรือไม

ปกติการสมรสไมจําเปนตองมกี ารหม้นั เพราะไมม ีบทกฎหมายใดบังคบั ไวว าการสมรสจะตอ ง
มีการหม้ันจึงจะสมรสได ชายหญิงท่ีรักชอบกันอาจตกลงจะสมรสกันแลวพากนั ไปจดทะเบียนสมรสเลย
โดยไมม กี ารหมน้ั กอ น ก็ถือวาเปน การสมรสทีส่ มบรู ณแ ละชอบดว ยกฎหมายแลว
เงือ่ นไขของการหมัน้
1. อายุของคูหม้นั กลา วคือ การหมั้นจะทําไดตอ เมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปบริบูรณ การหม้ันท่ี ฝา
ฝนเง่ือนไขน้ีเปนโมฆะ เชนอายุยังไมครบ 17 ปบริบูรณ ทําการหม้ัน แมบิดามารดาจะใหความยินยอม
การหม้ันยอมตกเปนโมฆะ
2. ความยินยอมของบิดามารดาหรือผูปกครอง บคุ คลที่บรรลนุ ิตภิ าวะแลวยอมมีอํานาจทําการหมั้นได
โดยลําพังตนเอง ไมจําเปนตองขอความยินยอมจากบิดามารดา แตถายังเปนผูเยาวอยู นอกจากตองมี
อายุครบ 17 ปบ ริบูรณแลว ยังตองขอความยินยอมจากผทู ่ีมีอํานาจใหความยินยอมดวย ถาทําการหมั้น
โดยไมไดรบั ความยินยอมดงั กลาวแลว การหมัน้ ยอ มตกเปนโมฆียะ (บุคคลผใู หความยินยอมในการหมั้น
ของผเู ยาว ไดแก บดิ าและมารดา ผูรับบุตรบญุ ธรรม หรือผูปกครอง แลว แตก รณี)
ความสมบรู ณข องสญั ญาหม้ัน

มาตรา 1437 บัญญัติวา “การหม้ันจะสมบูรณเม่ือฝายชายไดสงมอบหรือโอนทรัพยสินอัน
เปนของหม้ันใหแกหญิง เพ่ือเปนหลักฐานวาจะสมรสกับหญิงน้ัน” สิ่งแรกตองดูกอนวา ทรัพยสินน้ันมี
ลกั ษณะเปน ของหม้นั หรอื ไม ถาไมใ ชข องหมนั้ แลว ถึงมกี ารสง มอบกนั ไป กไ็ มถ ือวามสี ญั ญาหมัน้ เกดิ ข้นึ
ลกั ษณะของของหม้นั
1. ของหมั้นตองเปน ทรพั ยส ิน (จะมีราคามากนอยเทาใดไมสําคัญ)
2. ตองเปนทรัพยสนิ ทฝ่ี า ยชายสงมอบหรือโอนใหแ กหญิงคูหม้นั ถา มอบใหแกบ ิดามารดาของฝายหญิง
ไมถือวาเปนของหมัน้ แตอ าจเปน สนิ สอดไป
3. เพื่อเปน หลักฐานวา จะสมรสกบั หญิงน้ัน ฉะน้ันของหมนั้ ตอ งไดใ หไ วใ นเวลาทําสญั ญาหมั้น
4. ตองมีเจตนาใหเปน ของหมั้น การใหใ นลักษณะอื่น เชน เปนการขอขมา หรือใหโ ดยเสนห า ไมใชของ
หมั้น
5. ชายหญงิ นั้นตองมีเจตนาท่ีจะสมรสกันตามกฎหมายดวย
ขอสังเกต การหม้ันดวยทรัพยสินอันเปนสังหาริมทรัพยน้ัน จะถือวาเปนการสงมอบตอเม่ือหญิงไดเขา
ครอบครองแลว แตถาเปนอสังหาริมทรัพย เชน บาน ท่ีดิน จะถือเปนการสงมอบตอเม่ือไดมีการโอน
กรรมสิทธิ์ทางทะเบยี นแลว

[94]

กรรมสิทธิ์ในของหม้ัน
เม่ือมีสัญญาหม้ันเกิดข้ึนแลว ของหม้ันตกเปนสิทธิแกหญิง และเปนสินสวนตัวของหญิงน้ัน

หญงิ มีสทิ ธจิ ะจัดการแกข องหมน้ั ไดท กุ กรณีโดยไมจ าํ ตองไดรับความยนิ ยอมจากสามี
การผดิ สัญญาหมั้น

เม่ือมีการหม้ันแลว ถาฝายใดผิดสัญญาหม้ัน ไมยอมทําการสมรส อีกฝายหน่ึงไมอาจฟองตอ
ศาลบังคับใหสมรสได และถาไดมีขอตกลงกันไววา จะใหเบ้ียปรับในเม่ือผิดสัญญาหม้ัน ขอตกลงน้ันเปน
โมฆะ แตอีกฝายหน่ึงมีสิทธิเรยี กใหรับผิดใชคาทดแทนได ในกรณีท่ีฝายหญิงเปนฝายผิดสัญญาหม้ัน ให
คนื ของหม้นั แกฝ ายชายดว ย (ป.พ.พ.มาตรา 1439)
คา ทดแทนทจี่ ะเรียกได มีอะไรบา ง
คาทดแทนที่อาจเรียกกันไดมีดงั นี้
1. คา ทดแทนความเสียหายตอกายหรือชอื่ เสียงแหงชายหรือหญิงนน้ั
2. คาทดแทนความเสียหาย ในการท่คี หู มนั้ บดิ า มารดา หรอื ผปู กครองไดใ ชจา ยหรอื ตองตกเปน ลูกหน้ี
ในการเตรียมการสมรสโดยสุจรติ และตามควร
3. คาทดแทนความเสียหาย เน่ืองจากการท่ีคูหม้ันไดจัดการทรัพยสินหรือธุรกิจของตนไปตามสมควร
โดยคาดหมายวาจะไดมีการสมรส เชน หญงิ ขายบานและท่ีดินของตนไปในราคาตํ่ากวาราคาตลาด หรือ
ขายกจิ การธุรกจิ ของตนไปในราคาต่ํากวาปกติ ดวยคาดหวังวาเม่อื ไดท ําการสมรสกับชายแลวจะตดิ ตาม
สามีไปอยูในตา งประเทศ แตฝายชายผิดสญั ญาหม้ันไมยอมสมรสดว ย ฝา ยหญิงจงึ เรยี กคาทดแทนสว นน้ี
ได
คาทดแทนกําหนดกันอยางไร เรยี กคาทดแทนจากใครไดบ าง
1. ก็แลวแตจะตกลงกัน ถาตกลงกันไดก็ใหเปนไปตามท่ีท้ังสองฝายตกลงกัน แตถาตกลงกันไมไดก็ตอง
นําคดีข้ึนสศู าลเพอ่ื ใหศาลเปน ผวู ินจิ ฉยั แตในกรณีท่ีฝายหญงิ เปนผเู สยี หาย ซึ่งหญิงมีสิทธไิ ดร บั ของหมั้น
อยูแลว ถาพิจารณาราคาของหม้ันแลวยังทวมคาเสียหายอยู ศาลอาจพิจารณาวาของหมั้นมีราคา
เพียงพอกับความเสียหายแลว เชน ของหม้ันเปนแหวนเพชร ราคา 150,000 บาท แตฝายหญิงไดรับ
ความเสียหายเพียง 30,000 บาท ศาลอาจถือวาของหม้ันมีราคาเพียงพอกับความเสียหายแลว ชายไม
จําเปน ตองจา ยคาทดแทนอีกกไ็ ด
2. ถาหม้ันกันแลว ฝายหน่ึงตายกอนสมรสอีกฝายจะเรียกคาทดแทนกันไมได สวนของหม้ันไมวาชาย
หรอื หญิงตาย หญงิ หรือฝา ยหญงิ ไมตอ งคนื ใหแกฝ า ยชาย (ป.พ.พ. มาตรา 1441)
3. เม่อื หมนั้ กนั แลว หญงิ คูห มั้นไปรวมประเวณีกับชายอ่ืน ชายคูหมนั้ จะมสี ทิ ธติ ามกฎหมาย ดงั น้ี

1) บอกเลิกสญั ญาหม้นั กบั หญงิ คหู มั้นและเรียกรองใหหญิงคืนของหมน้ั ได
2) เรียกคาทดแทนจากชายอ่ืนหรือหญงิ อื่นซงึ่ ไดร วมประเวณกี ับหญิงคหู ม้นั หรอื ชายคูหมั้น
ของตนโดยท่ีรูหรือควรจะรวู า หญงิ ไดห มั้นกบั ชายคหู มัน้ แลว (ป.พ.พ.มาตรา 1445)
3. กรณมี กี ารหมัน้ กนั แลว หญิงคหู มัน้ ถูกขมขืนกระทําชําเราจากชายอนื่ ชายคหู ม้นั จะมีสิทธิ
เรยี กคา ทดแทนจากชายอน่ื ท่ีขมขนื กระทําชาํ เราหรือพยามยามขม ขืนกระทําชาํ เราหญงิ คูหม้ันโดยรหู รือ
ควรจะรูวา หญิงไดหมัน้ แลว ไดโดยไมจ ําตองบอกเลิกสัญญาหม้นั (ป.พ.พ. มาตรา 1446)

[95]


Click to View FlipBook Version