7. ตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญ และคณะกรรมการตลุ าการ แตกตา งกนั หรือไม อยา งไร
ก.ไมแตกตางกัน เพราะมีองคคณะผูพิพากษาทําหนาท่ีคลายกนั
ข.ไมแ ตกตา งกัน เพราะเปนองคกรท่ีเกี่ยวของกับการตดั สินคดีความท่วั ไป
ค.ตา งกัน เพราะองคกรหน่งึ ขึ้นกับฝายบรหิ าร แตอีกองคก รขนึ้ กบั ฝายนติ ิบญั ญตั ิ
ง.ตางกนั เพราะองคกรหน่งึ ตัดสนิ คดีท่เี กีย่ วของกบั รัฐธรรมนญู แตอ กี องคก รแตง ตงั้ โยกยายให
คุณใหโ ทษผูพิพากษา
8.“คดีถึงที่สุด” หมายความวาอยางไร
ก.คดที ีศ่ าลมคี ําสง่ั ใหยกฟอง
ข.คดีท่จี าํ เลยถูกตัดสินประหารชวี ิต
ค.คดีท่คี ูความไมอุทธรณหรอื ฎกี าตอไป
ง.คดที ่ีคคู วามฝา ยใดฝายหนง่ึ ถึงแกความตาย
9. หนว ยงานใดของรฐั ที่มีอํานาจหนา ที่ในการควบคุม กักขัง และลงโทษจําเลยตามคําพิพากษาของศาล
ก.ศาล ข.ตาํ รวจ
ค.กรมบังคับคดี ง.กรมราชทัณฑ
10. ตุลาการศาลรฐั ธรรมนญู หมายถงึ อะไร
ก.คณะบคุ คลผูม ีอํานาจชีข้ าดวาการกระทาํ ใดเปน การขัดตอรัฐธรรมนญู หรือไม
ข.คณะบุคคลผมู ีอํานาจพจิ ารณาขอเสนอขอแกไขบทบัญญัตริ ัฐธรรมนูญ
ค.คณะผูพพิ ากษาผูพจิ ารณาคดตี าง ๆ วา มกี ารกระทําใดที่ขัดตอรฐั ธรรมนูญหรอื ไม
ง.คณะบุคคลซึง่ มอี ํานาจวนิ จิ ฉยั ชี้ขาด ในกรณที ่มี ีขอโตแ ยงวา กฎหมายใดมีขอความขัดหรือแยง
กับบทบญั ญัติในรัฐธรรมนูญหรอื ไม
11. ในคดใี ดตอไปนถี้ าพนักงานอัยการมีความเหน็ วา สมควรจะยกคดขี ้นึ วากลา วโดยเปน โจทกฟ องแทน
ผเู สยี หาย พนกั งานอัยการยอมทําไดตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ก.คดีมรดก
ข.คดอี ุทลุม
ค.คดีฟองหยา
ง.คดฟี องใหบดิ าหรือมารดารับผูเยาวเปน ทายาท
12. หนว ยงานใดของรัฐท่ีมีหนาทบ่ี งั คับคดีใหเ ปน ไปตามคําพพิ ากษาของศาลในคดแี พง เชน การบงั คับ
จํานอง การขายทอดตลาด เปนตน
ก.ศาล
ข.ตาํ รวจ
ค.กรมราชทณั ฑ
ง.กรมบังคับคดี
13. บุคคลใดตอไปนี้มีหนา ท่ใี ชก ฎหมายและบังคบั ใหเปน ไปตามกฎหมาย
ก.สายสบื ของตาํ รวจ
ข.คณะกรรมการตุลาการ
ค.สมาชกิ สภาผูแ ทนราษฎร
ง.เจาพนักงานฝา ยปกครอง
[46]
14. เพราะเหตุใดกฎหมายจารตี ประเพณีจงึ ไมอ าจตคี วามได
ก.เพราะเปน บรรทัดฐานท่ียอมรบั กันในสังคม
ข.เพราะขอ ความในกฎหมายจารีตประเพณไี มแนนอน
ค.เพราะการนํากฎหมายจารีตประเพณมี าบังคับใชไมแ นนอน
ง.เพราะมีประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย มาตรา 4 เปนหลักอยแู ลว
15. สถาบนั ใดไมมบี ทบาทในการตีความกฎหมายในปจจุบัน
ก.รฐั สภา
ข.ศาลยตุ ธิ รรม
ค.พระมหากษัตรยิ
ง.สาํ นักงานอัยการสงู สุด
16. องคกรใดมีหนา ทใ่ี นการตีความกฎหมาย
ก.รฐั สภา
ข.พระมหากษัตรยิ
ค.ประชาชนท่ีตองใชก ฎหมาย
ง.ทกุ องคกรมีหนาทีใ่ นการตคี วาม
17. ตามหลกั กฎหมายไทย นักกฎหมายจะใชกฎหมายใดทําการอุดชองวา งของกฎหมายทอ่ี าจจะเกิดขึ้น
ไดใ นภายหลงั
ก.หลกั กฎหมายทั่วไป
ข.กฎหมายรฐั ธรรมนญู
ค.ประมวลกฎหมายอาญา
ง.ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
18. กฎหมายใดทีจ่ ะนํามาใชอดุ ชอ งวา งแหงกฎหมายไดตามที่บัญญตั ิไวใ นประมวลกฎหมายแพงและ
พาณิชย มาตรา 4
ก.กฎหมายท่ัวไป
ข.กฎหมายอาญา
ค.กฎหมายปกครอง
ง.กฎหมายรฐั ธรรมนญู
19.ในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 4 ไดบ ัญญัตไิ วถ งึ กฎหมายทจี่ ะนํามาใชแ ทนกฎหมาย
ลายลักษณอักษรได คือกฎหมายใด
ก.กฎหมายอาญา
ข.กฎหมายปกครอง
ค.กฎหมายสารบญั ญตั ิ
ง.กฎหมายจารีตประเพณี
20. ขอใดถูกตอง
ก.กฎหมายลายลักษณอักษรของไทยมที ่ีมาจากกฎหมายจารีตประเพณี
ข.กฎหมายทีจ่ ะนํามาใชต ัดสินไดค ือกฎหมายจารีตประเพณีเฉพาะทองถิน่
ค.กฎหมายจารตี ประเพณนี ํามาใชแ ทนกฎหมายลายลกั ษณอ ักษรไดในบางกรณี
ง.กฎหมายจารีตประเพณีมีความสําคญั ทส่ี ดุ เพราะปฏิบัตสิ ืบตอ กันมาเปน เวลาชานาน
[47]
21. ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญช้ีขาดวาพระราชบัญญตั ิฉบบั หน่ึงขดั แยง กบั รฐั ธรรมนญู ฉบับปจ จุบนั
พระราชบัญญตั ิฉบับนนั้ ก็ไมมีผลบังคับใชเ ปนกฎหมายอกี ตอไป กรณีดงั กลาวหมายถึงอะไร
ก.กฎหมายขดั กัน
ข.การยกเลกิ กฎหมายโดยปริยาย
ค.ลําดบั ศกั ด์ิของกฎหมายรฐั ธรรมนญู สูงกวาพระราชบญั ญัติ
ง.ตุลาการรัฐธรรมนูญ คอื ศาลพิเศษ มฐี านะใหญกวา ศาลธรรมดา
22. ขอใดเปนการยกเลกิ กฎหมายโดยปรยิ าย
ก.กฎหมายแมบทถูกยกเลิก
ข.กฎหมายเกา ท่ไี ดบัญญตั ไิ วนานแลว และไมมีโอกาสใชอีก
ค.การประกาศยกเลกิ กฎหมายฉบบั น้ัน ๆ โดยระบวุ นั เวลา ไวชดั เจน
ง.ทั้ง 3 ขอเปนการยกเลิกกฎหมายโดยปรยิ าย
23. ขอใดมิใชก ารยกเลกิ กฎหมายโดยปริยาย
ก.กฎหมายแมบทถูกยกเลิก
ข.กฎหมายใหมแ ละเกา มขี อความขัดแยงกนั
ค.กฎหมายท่ไี ดบัญญัติไวนานแลว และไมม โี อกาสไดใ ชอีกตอไป
ง.กฎหมายใหมและเกามบี ทบัญญัติในกรณหี นง่ึ ๆ อยา งเดียวกัน
24. มกี ารกลา วอางกนั เสมอวา กฎหมายบางฉบับมชี อ งวา ง กรณนี ้ี “ชองวางแหงกฎหมาย” นัน้ คอื อะไร
ก.กฎหมายมีขอความลาสมัย
ข.ไมมีกฎหมายที่จะนาํ มาปรับใชไ ด
ค.กรณที ี่กฎหมายขัดแยง กับรัฐธรรมนญู มีผลใหก ฎหมายนนั้ ใชบังคับไมได
ง.กรณที กี่ ฎหมายกอใหเกิดชองวางระหวา งคนรวยและคนจนมากขึน้ ในสังคม
25. ในกรณีท่ีกฎหมายมีถอ ยคาํ ทีไ่ มช ัดเจน ผทู จี่ ะนํากฎหมายมาใชบ ังคบั ควรปฏิบัตอิ ยา งไร
ก.ควรแกไขกฎหมายกอน
ข.ควรตีความกฎหมายกอน
ค.ควรอดุ ชอ งวางของกฎหมายกอน
ง.ควรยกเลิกการนํากฎหมายฉบับน้ันไปใชบงั คับ
[48]
บทที่ 7
กระบวนการยตุ ิธรรมทางคดอี าญาและคดีแพง
กระบวนการยุตธิ รรม หมายถึง การดําเนินการคดเี มื่อมีขอ พิพาทเกดิ ขึ้น ระหวา งผเู สียหายรอ ง
ทกุ ขต อเจา พนกั งานมีการสืบสวนหาขอเทจ็ จริงกับผูก ระทําผิดจนถึงการฟอ งรองตอศาล ทั้งในกรณีของ
คดีแพงและคดอี าญา
บุคคลและหนว ยงานทีเ่ กี่ยวของกับกระบวนการยุติธรรม
1. ประชาชน หมายถงึ ประชาชนผูเ ก่ียวของ ผูเ สยี หาย ผูตองหา จาํ เลย พยาน
2. พนักงานสอบสวนหรอื ตํารวจ ไดแ ก ผูใหญบ า น กํานนั ปลัดอําเภอ นายอําเภอ ผวู า
ราชการจังหวัด
3. พนกั งานอัยการ มีหนาทีฟ่ องคดีผูถูกกลาวหาตอศาล เปนทนายโจทกห รอื ทนายจําเลย หรอื
ทนายความของแผนดนิ
4. ทนายความ คือ ผูท่ดี าํ เนินคดีใหแกล ูกความในศาล
5. ศาล มอี ํานาจในการพิจารณาพิพากษาคดี
เจา พนักงานบงั คับคดแี ละพนกั งานราชทณั ฑ
คดีแพงจะเก่ยี วขอ งกับเจา พนักงานบงั คับคดี กรมบงั คบั คดี และ กระทรวงยตุ ธิ รรม สําหรับ
คดอี าญาเกย่ี วของกับเจาพนักงาน กรมราชทัณฑ กระทรวงมหาดไทย กระบวนการยตุ ธิ รรมทางอาญา
คดอี าญา คือ คดีท่ีมุงรักษาความสงบ และความเปน ระเบยี บของสงั คม
บุคคลทีเ่ ก่ียวของกบั คดีอาญา มี 7 ฝา ย คอื
1. ประชาชน หมายถงึ ผูไ ดร ับความเสียหาย หรือที่เรียกวา โจทก
2. พนกั งานจบั กมุ และสอบสวน
3. พนักงานอยั การ
4. ทนายความ
5. เจาหนา ที่ศาล หรอื จา ศาล
6. คณะผูพิพากษา
7. กรมราชทณั ฑ ผูค ุม
ขนั้ ตอนและการฟองคดอี าญา
1. เมือ่ มีผเู สียหายแจงความ รองทุกขกลาวโทษ ตอเจาพนักงานตาํ รวจเพอ่ื ใหดําเนนิ คดี
2. พนกั งานสบื สวนสอบสวนจะรวบรวมขอ เทจ็ จรงิ และพสิ จู นค วามจรงิ ของผกู ระทาํ ผิดมา
ดาํ เนินคดี
3. พนักงานสอบสวนทําสาํ นวนขอ กลา วหาเสนอตออยั การ
4. ในชน้ั ศาล ศาลจะประทับฟอ ง ถา ผเู สยี หายฟองศาลเองศาลจะไตสวนมลู ฟองวาคดีน้ันมีมูล
เพียงพอท่ีจะฟองหรือไม ถาเปน คดอี ุกฉกรรจศาลจะหาทนายความใหก ับจาํ เลยเพื่อความเปนธรรม
5. การสอบคําใหการของจาํ เลย
[49]
6. การสบื พยาน ใหโจทกส บื พยานกอนเพ่ือพิสจู นค วามผดิ
7. การพิพากษาตัดสินโดยศาลจะดจู ากพยานหลกั ฐานท้ังบุคคล เอกสาร พยานวัตถุ
8. การอุทธรณ ฎีกาตองทําภายใน 1 เดือน
9. การบังคับคดี เจา หนาทรี่ าชทณั ฑจ ะทําหนาท่ตี ามคาํ พิพากษานนั้ โทษทางอาญา
แบง ไดเ ปน
• การรบิ ทรพั ย
• ปรบั
• กักขัง
• จาํ คุก
• ประหารชีวติ (โทษสงู สุดของคดอี าญา)
กระบวนการยตุ ธิ รรมทางแพง
คดีแพง คอื คดรี ะหวา งเอกชนกับเอกชน เก่ียวกบั ทรัพยส ิน บคุ คลทเ่ี กี่ยวของกบั คดีแพง
ไดแ ก
1. โจทยและจําเลย
2. ทนายความ
3. พนกั งานอยั การ
4. ผูพ พิ ากษา
5. เจา พนักงานบังคับคดี
ข้นั ตอนและการฟองคดแี พง
1. โจทกฟ องคดีตอศาล โดยโจทกอ าจฟองคดีตอศาลเอง และแตงตั้งทนายความเขา
ดาํ เนินการวา ตางแทน สว นจาํ เลยก็มสี ทิ ธ์สิ ูคดีดวยการแตง ทนายไดเชน กนั
2. ศาลสง สาํ เนาคาํ ฟองตอจาํ เลย
3. จําเลยเมอ่ื ไดร บั คําฟองและหมายเรียกใหแกคดีใหย่ืนแกภายใน 8 วนั
4. ศาลตรวจดคู ําฟองทงั้ สองฝาย แลวกําหนดประเด็นขอ พิพาท
5. สบื พยานโจทกแ ละพยานจําเลย
6. ศาลพิพากษาคดี อาจมีการย่ืนอทุ ธรณ ฎีกาได
7. การบังคับคดี ผูแพต องปฏิบัตติ ามคาํ พิพากษา ผชู นะมีสิทธ์ิขอใหศาลออกหมายบงั คับคดี
ได เชน การยึดทรัพยส ิน การขายทอดตลาด เปนตน
[50]
แผนภูมกิ ระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญา
หลักกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา
ในการดาํ เนนิ คดีทางอาญาเพื่อเอาตวั ผกู ระทาํ ผิดมาฟองรองลงโทษนั้นอาจกระทําได 2 ทาง
คือ
1) กรณีผูเสียหายย่ืนฟองตอศาลดวยตนเอง ในกรณีน้ีเพ่ือปองกันการกล่ันแกลง
ฟองรองกันโดยปราศจากมลู ความผดิ อาญา กฎหมายจึงกําหนดใหศาลทําการไตสวนมูลฟอ งกอ น (ในช้ัน
ไตสวนมูลฟองศาลมีอํานาจไตสวนมูลฟองลบั หลังจําเลย โดยท่ีจําเลยจะมาศาลหรอื ไมก็ได) หากเห็นวา
คดีไมมีมูลก็ยกฟองไป แตถาศาลเห็นวาคดีมีมูลก็จะประทับรับฟองไวพิจารณาพิพากษาคดีตอไป
จากน้ันก็เปนการดําเนินคดีในขั้นพิจารณาของศาล ซึ่งการดําเนินการก็เชนเดียวกับกรณีที่พนักงาน
อัยการโจทกย ื่นฟอ ง ซง่ึ จะกลา วตอ ไปน้ี
2) กรณีผูเสียหายมอบคดีใหเจาพนักงานในกระบวนการยุติธรรมของรัฐฟองคดีแทน
ซ่ึงกค็ อื พนกั งานอัยการนนั่ เองฟอ งคดแี ทน มหี ลกั เกณฑและขนั้ ตอนปฏบิ ัติดังน้ี
(1) การรองทุกขและกลาวโทษ (การแจงความ) คือ ผูเสียหายตองไปรองทุกขตอ
พนักงานสอบสวนวา มีการกระทําความผิดอาญาเกิดข้ึน จะรูตัวผูกระทําผิดหรือไมก็ตาม ซ่ึงการรอง
ทกุ ขม ีความสําคัญ คอื ในกรณีท่ีเปน ความผิดตอสวนตัว (ความผิดที่ยอมความได) จะทําการสอบสวนได
ตอเมอื่ ไดรอ งทกุ ขตามระเบียบแลว หมายถงึ ถา คกู รณไี มเ อาเรื่อง รฐั จะดําเนนิ คดไี มไ ด
(2) การสืบสวนสอบสวน “การสืบสวน” คือ การแสวงหาขอเท็จจริงและหลักฐาน ซ่ึง
พนักงานฝายปกครองหรือตํารวจไดปฏิบัติไปตามอํานาจหนาท่ีเพ่ือรักษาความสงบเรียบรอยของ
ประชาชน และเพ่ือท่ีจะทราบรายละเอียดแหงความผิด สวน “การสอบสวน” คือ การรวบรวม
พยานหลักฐาน และดําเนินการท้ังหลายซ่ึงพนักงานสอบสวนไดทําไปเก่ียวกับความผิดท่ีกลาวหา
เพ่ือท่ีจะทราบขอเทจ็ จรงิ หรอื พิสจู นค วามผดิ และเพ่อื ทีจ่ ะเอาตัวผูกระทําความผิดมาฟองลงโทษ
[51]
(3) การสรุปสํานวนการสอบสวน เม่ือสอบสวนคดีเสร็จแลวพนักงานสอบสวนตองสรุป
สํานวนการสอบสวน(สํานวนคดี) และทําความเห็นวาควรส่ังฟองหรือควรส่ังไมฟองแนบไปดวยกับ
สํานวนการสอบสวนสง ไปยงั พนกั งานอยั การ
(4) การตรวจสํานวนการสอบสวนของพนักงานอัยการ เมื่อตรวจสํานวนแลวพนักงาน
อัยการมอี ํานาจดําเนนิ การดงั ตอไปนี้
- มีอํานาจสั่งใหพนักงานสอบสวนทําการสอบสวนเพ่ิมเติมได ถาเห็นวาสํานวน
หลักฐานยังไมชัดเจนหรือยังเปนท่ีเคลือบแคลงสงสัยอยู ก็ใหพนักงานสอบสวนไปรวบรวม
พยานหลกั ฐานเพมิ่ เตมิ ได
- อํานาจในการสั่งไมฟอง ถาพนักงานอัยการเห็นวาหลักฐานไมเพียงพอท่ีจะพิสูจน
ความผิดของผูตองหาได หรือการกระทําของผูตองหาไมเปนความผิดตามกฎหมายอาญาก็ดี พนักงาน
อัยการก็จะมีคําส่ังไมฟองผูตองหาและปลอยตัวไป (ในกรณีเชนน้ีถาเหตุเกิดในกรุงเทพมหานคร ตอง
เสนอไปยังผูบัญชาการตํารวจแหงชาติ ในตางจังหวัดสงใหผูวาราชการจังหวัด ถามีความเห็นแยงกับ
พนกั งานอัยการก็สงสํานวนไปใหอ ัยการสูงสดุ เปน ผูชขี้ าดตัดสนิ )
- อํานาจในการสั่งฟองและฟองผูกระทําผิดตอศาล ถาพนักงานอัยการเห็นวา
พยานหลักฐานพอท่ีจะพิสูจนความผิดของผูตองหาได พนักงานอัยการก็จะดําเนินการส่ังฟองและนํา
ผูกระทําผิดไปฟองตอศาล (กอนท่ีจะมีการฟองคดีตอศาลจะเรียกผูกลาวหากับผูตองหา เม่ือฟองคดีตอ
ศาลแลวพนักงานอัยการมีฐานะเปนโจทก สวนผูต อ งหามีฐานะเปน จําเลย)
(5) การพิจารณาพิพากษาคดีของศาล เม่ือศาลประทับฟองแลวศาลก็จะเร่ิมสอบ
คําใหการของจําเลยวาจําเลยกระทําผิดจริงหรือไม จะใหการตอสูหรือจะรับสารภาพ หากจําเลย
สารภาพ ศาลอาจจะตัดสินโดยไมตองสืบพยานเลยกไ็ ด เวน แตใ นความผิดซ่ึงมีอตั ราโทษกําหนดไวอยาง
ตํ่าใหจําคุก ตั้งแต 5 ปข้ึนไป แมจําเลยจะสารภาพ ศาลจะลงโทษทันทีไมไดตองสืบพยานตอไปจนกวา
จะแนใ จวา จําเลยกระทาํ ผิดจรงิ หากจําเลยใหการปฏิเสธตอสคู ดี ศาลกจ็ ะนดั สืบพยานโจทก จําเลย
เม่ือทั้งโจทกแ ละจําเลยนาํ พยานหลักฐานเขาสืบหมดแลว ศาลก็จะช่ังนํ้าหนกั พยานหลักฐาน
และวินิจฉัยช้ีขาดคดี การตดั สินคดีของศาลน้ันหากยังมีขอสงสัยวาจําเลยอาจมิไดกระทําผิดศาลตองยก
ประโยชนแ หง ความสงสยั ใหจ าํ เลย ตองยกฟองและปลอ ยจาํ เลยพนขอ หา
สรุป การพิจารณาคดีอาญาของศาล
1. จะตอ งมีการฟอ ง ศาลจงึ จะพิจารณาคดีได โดยจะมีจาํ เลยมาศาลหรือไมก็ได
2. การพจิ ารณาคดีตองกระทําโดยเปดเผย และตองมตี ัวจําเลยมาศาลในการนดั พิจารณาคดีครง้ั แรก
กรณีจําเลยไมมาศาล ศาลจะดาํ เนนิ การพิจารณาใหจาํ เลยจะตกเปน ผูขาดนดั ยน่ื คําใหการ
3. การพิจารณาคดตี องกระทําตอหนา จาํ เลย เวนแต คดีมอี ัตราโทษจาํ คุกอยา งสูงไมเ กิน 10 ป หรือคดี
ท่ีมจี าํ เลยหลายคน จาํ เลยจงึ รองขอใหศ าลพิจารณาลบั หลงั ได
4. ถาจาํ เลยไมมีทนายความ ศาลตองตั้งทนายให
5. ในประเดน็ หนึ่งๆ จะพจิ ารณาคดีไดครง้ั เดยี ว เวน แตจะมีหลักฐานเพมิ่
[52]
สรุป การพิพากษาคดีอาญาของศาล
1. จะตอ งพจิ ารณาจนหมดกระบวนความ ศาลจงึ จะพิพากษาไดแ มแ ตจ ะมีการรบั สารภาพ ยกเวน
อตั ราโทษจาํ คุกตํา่ กวา 5 ป
2. ผูพพิ ากษาตองระบุมาตราแหงความผิดจงึ จะลงโทษได
3. ตอ งลงโทษตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ไิ ว คือ 5 สถานเทานนั้
4. ตอ งพิพากษาลงโทษไมเกินกวาทโี่ จทกขอและตามที่บัญญัติในกฎหมาย จะเพ่ิมโทษไมได
(6) การอุทธรณ ฎีกา เม่อื ศาลอานคําพพิ ากษาแลว หากโจทกห รือจําเลยไมเ ห็นดวย ก็มี
สิทธิท่ีจะอุทธรณหรือฎีกาไดภายใตบังคับของกฎหมาย ภายในกําหนด 1 เดือนนับแตวันท่ีอานคํา
พพิ ากษา เมอ่ื ศาลฎีกาตดั สินช้ขี าดอยางใดแลว ถือวา คดถี ึงท่สี ดุ และตองยุติไปตามคําพิพากษาน้นั
สรุป การพิพากษาคดอี าญาของศาลสูง มีได 4 กรณี
1. พิพากษายนื หมายถึง ศาลสงู เห็นดว ยกับศาลช้นั ตน
2. พพิ ากษายก หมายถึง ใหย กคาํ พิพากษาของศาลชั้นตน เพราะเห็นวา ศาลชน้ั ตน ทําไม
ถูกตอง ------ > ใหศาลชัน้ ตนทาํ ใหถ ูกตอง
3. พพิ ากษาแก หมายถึง ศาลสงู เห็นดวยบางสว นและไมเห็นดวยบางสวน สวนทไ่ี มเ หน็
ดว ยใหแ ก
4. พิพากษากลับ หมายถึง ศาลสูงไมเ ห็นดว ยกับคําพิพากษาของศาลชัน้ ตน
(7) การบังคับคดี หากผลแหงคดีเม่ือถึงท่ีสุดเปนการพิพากษายกฟอง ก็จะไมมีข้ันตอนการ
บังคบั คดีตองปลอยจําเลยไป แตถา ผลแหง คดีเปนการพิพากษาลงโทษ ข้ันตอนตอไปกเ็ ปนการบังคบั คดี
ใหเปนไปตามคําพิพากษา ซ่ึงเปนหนาท่ีของเจาหนาท่ีฝายราชทัณฑ อันเปนเจาหนาท่ีในกระบวนการ
ยุติธรรมฝายสุดทาย กลาวคือ หากตองคําพิพากษาประหารชีวิต ก็ดําเนินการประหารชีวิตไปตามคํา
พิพากษา หากตองโทษจาํ คุกกค็ วบคมุ ตัวไวในเรอื นจํา จนกวา จะครบกาํ หนดตามคําพิพากษาตอไป
พระธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรม
คือ กฎหมายท่ีวาดวยการจัดต้ังศาลและวาดวยอํานาจในการพิจารณาคดีของศาลและผู
พพิ ากษา ซ่งึ กฎหมายพระธรรมนูญศาลยตุ ิธรรมของไทยในปจจุบัน คอื พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม พ.ศ.
2543 พระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม มีสาระสาํ คัญดงั น้ี
ศาลยุตธิ รรม แบง ออกเปน 3 ช้นั ไดแ ก
(1) ศาลช้ันตน คดที ุกคดีตองเร่ิมที่ศาลช้ันตน ซ่งึ จะมีอยทู ว่ั ราชอาณาจกั ร แตละศาลกจ็ ะ
มีของเขตอํานาจ ซ่ึงการดําเนินการฟองคดีจะตองย่ืนฟองตอศาลท่ีมีเขตอํานาจเทาน้ันสําหรับในเขต
กรุงเทพฯ ศาลช้ันตน ไดแก ศาลแขวงพระนครเหนือ ศาลแขวงพระนครใต ศาลแขวงธนบุรี ศาลจังหวัด
มนี บุรี ศาลแพงธนบุรี ศาลอาญาธนบรุ ี ศาลแพง ศาลอาญา เปนตน สวนในเขตจังหวัดอ่ืน ๆ ศาลชั้นตน
ไดแ ก ศาลแขวงและศาลจังหวัด
- ศาลแขวง เปนศาลท่ีจดั ตั้งข้นึ มาเพ่ือแบงเบาภาระของศาลชั้นตนอ่ืนๆ คือ มีอาํ นาจ
พิจารณาพิพากษาคดีเล็กๆ นอยๆ เชน ในคดีทางแพงน้ัน ศาลแขวงก็มีอํานาจพิจารณาคําพิพากษาคดี
แพง ที่มีราคาทรัพยส ินหรอื จํานวนทุนทรัพยที่พิพาทไมเกิน 300,000 บาท หรือในคดอี าญา ศาลแขวงก็
มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา ท่ีมีอัตราโทษอยางสูงตามกฎหมายกําหนดไวใหลงโทษจาํ คุกไมเกิน
3 ป หรือปรบั ไมเ กิน 60,000 บาท หรอื ท้ังจําท้ังปรบั เปนตน
[53]
- ศาลจังหวัด มีประจําอยูทุกจังหวัด ซ่ึงมีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแพงและ
คดอี าญาทัง้ ปวงนอกจากนีย้ ังมศี าลช้ันตนอนื่ ๆ ที่สงั กดั อยใู นกระทรวงยุตธิ รรม แตมิไดจัดตั้งข้ึนตามพระ
ธรรมนูญศาลยุติธรรม เปนศาลท่ีจัดต้ังข้ึนเปนพิเศษเฉพาะเร่ือง เชน ศาลแรงงาน ศาลภาษีอํากร ศาล
ทรัพยส ินทางปญ ญา ศาลเยาวชนและครอบครวั ศาลลม ละลาย เปน ตน
- ศาลแรงงาน มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีแรงงานท่ีเปนขอขัดแยงระหวางนายจาง
กับลูกจางตามสัญญาจางแรงงานหรือเก่ียวกับสิทธิของนายจางและลูกจางตามกฎหมายวาดวยการ
คุมครองแรงงาน และกฎหมายวาดวยแรงงานสัมพันธ
- ศาลเยาวชนและครอบครัว มีอํานาจพิจารณาพิพากษาคดีท่ีเก่ียวกับเด็กและ เยา
ชน ซ่งึ เปนผูทีม่ ีอายุเกนิ 7 ป แตยังไมถึง 18 ปบรบิ ูรณในวันท่กี ระทาํ ความผิด ทัง้ คดีแพงและคดีอาญา
(2) ศาลอุทธรณ มีอํานาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีท่ีอุทธรณคําพิพากษาหรือคําส่ัง
ของศาลช้นั ตน และมีอํานาจวนิ ิจฉัยช้ีขาดคดีไดตามกฎหมายอ่ืน ปจจบุ ันตามพระธรรมนูญศาลยุตธิ รรม
ฉบบั ใหมไ ดเปลี่ยนจาก อธิบดีผพู ิพากษาศาลอุทธรณมาเปนประธานศาลอทุ ธรณ
(3) ศาลฎีกา เปนศาลสูงสุดของประเทศ มีอํานาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีท่ีอุทธรณ
คําพพิ ากษาหรอื คําสง่ั ของศาลอทุ ธรณและมีอํานาจวนิ ินจิ ฉัยชี้ขาดคดตี ามกฎหมายอ่ืนไดดว ย ศาลฎกี ามี
ศาลเดียว ต้ังอยูในกรุงเทพมหานคร ซ่ึงมีประธานศาลฎีกาเปนหัวหนาศาล องคคณะในศาลฎีกา
ประกอบดวยผูพ ิพากษาอยาง นอย 3 นาย
แผนภมู กิ ระบวนการยุติธรรมทางแพง
หลกั กฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง
ในการดาํ เนินคดีทางแพงแบง ได 2 กรณีคอื
กรณีท่ี 1 การดําเนินคดีมีขอพิพาท ซ่ึงเปนการดําเนินคดีในกรณีท่ีเกิดการโตแยงสิทธิกัน
ตามกฎหมายแพง โดยเปนการพิพาทในระหวางโจทกกับจําเลย เชน ดํากูยืมเงินแดง เม่ือครบกําหนด
ชาํ ระหน้ีแลวไมยอมใชเงินคืนแดง เปนการโตแยงสิทธิของนายแดงจึงดําเนินการฟองคดีตอศาล เปนคดี
ทีม่ ขี อพิพาทกันขึน้ ระหวา งโจทยก ับจําเลย ซึง่ มหี ลักเกณฑแ ละขัน้ ตอนสําคญั ดังนี้
1) การแตง ตง้ั ทนายความ การฟองรองคดีทางแพงน้ัน โจทก (ผเู สยี หาย) จะตองฟองคดี
ตอศาลเอง เพราะคดีแพงนั้นจะไมมีเจาหนาที่ของรฐั คือ พนักงานอัยการฟองคดีแทนเชนคดีอาญา แต
[54]
อยางไรก็ตามหากโจทกไมมีความรูทางกฎหมายก็สามารถแตงต้ังทนายความเพ่ือดําเนินคดีแทนได สา
หรับจาํ เลยผูถ ูกฟองหากประสงคจะสูคดกี ็ชอบท่จี ะแตงตง้ั ทนายความเขาแกตา งคดีแทนไดเชน กนั
2) การย่ืนฟอ งคดี โจทกจะตองทําคําฟองมายน่ื ตอ ศาลท่ีมีอํานาจชําระคดี โดยคาํ ฟองนั้น
จะตอ งแสดงโดยชัดแจง ซงึ่ สภาพแหงขอหาและคําขอบังคับ รวมทัง้ ขอ อางทั้งหลายท่ีอาศัยเปนหลักแหง
ขอหา ซ่ึงคําฟองคดีแพงน้ี ตัวโจทกจะลงช่ือเองหรือใหทนายความลงช่ือแทนใหก็ได แตขอสําคัญ ก็คือ
ตองเสียคาธรรมเนียมโดยปดแสตมปฤชาอากรมา ใหครบถวนดวย เวนแต จะไดรับอนุญาตจากศาลให
ดาํ เนนิ คดอี ยางคนอนาถา เพราะเปนผูยากไรไมม ีเงนิ พอเสยี คาธรรมเนียม
3) การสงสําเนาคําฟองใหแกจําเลย หลังจากท่ีศาลมีคําส่ังประทับรับฟองของโจทกไว
พิจารณาแลว โจทกม ีหนา ทที่ ่จี ะตองสงสําเนาคาํ ฟองและหมายเรียกใหจ าํ เลยมาแกคดี
4) การย่ืนคําใหการแกคดี หากจําเลยประสงคจะตอสูคดี จําเลยจะตองรีบทําคําใหการ
แกคดีย่ืนตอศาลภายในกําหนด 15 วัน คําใหการของจําเลยตองแสดงโดยชัดแจงวาจําเลยยอมรับหรือ
ปฏิเสธขออา งของโจทกท งั้ สนิ้ หรือแตบางสว น รวมท้ังเหตุแหง การนน้ั
5) การพิจารณาคดีของศาล เม่ือศาลไดตรวจคําฟองและคําใหการของโจทกและจําเลย
แลว หากศาลเห็นวาคดีไมมีประเด็นขอยุงยาก ศาลอาจจะกําหนดใหโจทกสืบพยานไปทันที แตถาศาล
เห็นวา คดมี ปี ระเดน็ ขอ ยุง ยาก ศาลอาจจะกาํ หนดใหโ จทกและจําเลยนาํ พยานหลกั ฐานเขาสบื ขอเทจ็ จริง
6) การพิพากษาคดีของศาล เม่ือโจทกจําเลยนําสืบพยานหลักฐานตาง ๆ จนหมดแลว
ศาลก็จะดําเนินการตรวจสํานวนพิเคราะหพยานหลักฐานตาง ๆ แลวนํามาวินิจฉัย ช่ังน้ําหนัก
พยานหลักฐานวาฝายใดมีนํ้าหนักนาเช่ือถือกวา ศาลก็จะพิพากษาใหฝายน้ันเปนผูชนะคดี และ
กาํ หนดใหฝ า ยท่ีแพค ดตี องชดใชคาฤชาธรรมเนยี ม และคาทนายความใหก ับคูค วามฝายท่ชี นะคดี
7) การอุทธรณ ฎีกา เม่ือศาลอานคําพิพากษาแลว หากคูความฝายใดไมเห็นดวยกับคํา
พพิ ากษาน้ันก็มีสทิ ธิท่ีจะย่ืนอุทธรณหรือยน่ื ฎีกาไดตอไปตามลําดับ และถาคดีน้ันไดย่ืนถงึ ศาลฎีกา หาก
ศาลฎีกาวนิ ิจฉยั อยางไรแลว กเ็ ปน อันยุตไิ ปตามคําพิพากษาของศาลฎีกาน้ัน ในการย่ืนอุทธรณและฎีกา
จะตองย่ืนภายในกําหนด 1 เดือน นับแตวันท่ีไดอานคําพิพากษา ถาไมมีคูความฝายใดย่ืนอุทธรณหรือ
ย่นื เม่ือพน กาํ หนดเวลาแลว ถอื วาคดถี งึ ท่ีสุดแลว
8) การบังคับคดี คูความฝายท่ีแพคดีจะตองปฏิบัติตามคําบังคับของศาล ภายใน
กําหนดเวลาท่ีศาลไดระบุไวหากไมยอมปฏิบัติตามคําบังคับน้ัน คูความฝายท่ีชนะคดียอมมีสิทธิขอให
ศาลออกหมายบงั คบั คดีใหเปนไปตามคําพิพากษาได เชน ขอใหศาลออกหมายบังคบั คดียดึ ทรพั ยสินของ
อีกฝา ยเพ่อื นาํ ออกขายตลาด และนําเงนิ มาชาระหน้ีตามคําพิพากษา เปนตน
[55]
คา ธรรมเนยี มศาลใหมมดี ังนี้
1. คดีมีทนุ ทรัพยอ นั อาจคํานวณเปน เงินได ใหคิดคาขึน้ ศาล ดังนี้
-ทุนทรพั ยท่เี รียกรอง ไมเกิน 300,000 บาท รอ ยละ 2 แตไมเกนิ 1,000 บาท (คดีศาลแขวง)
-ทนุ ทรพั ยท ่เี รยี กรอ ง เกิน 300,000 แตไมเ กนิ 50 ลา นบาท รอ ยละ 2 บาท แตเสยี ไมเกิน 200,000 บาท
สวนทุนทรัพยท เ่ี รยี กรอ งในสวนทีเ่ กิน 50 ลา นบาทแรก ใหเ สยี ในอตั รารอยละ 0.1 บาท
2. คํารองขอใหศาลบงั คบั ตามคาํ ช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศหรอื คํารองขอขอใหเพิกถอนคําชีข้ าด
อนุญาโตตุลาการในประเทศ ไมเ กิน 50 ลา นบาท รอ ยละ 0.5 บาท แตไ มเ กนิ 50,000 บาท สว นท่ีเกิน 50
ลา นบาท รอ ยละ 0.1
3. คํารอ งขอใหบ งั คบั ตามคาํ ช้ีขาดของอนุญาโตตลุ าการตา งประเทศ หรือใหเ พิกถอนคําช้ขี าดของ
อนญุ าโตตุลาการตางประเทศ ไมเ กิน 50 ลานบาท รอยละ 1 แตไมเ กนิ 100,000 บาท สวนทเ่ี กิน 50 ลาน
บาท รอ ยละ 0.1
4. ฟองขอใหบังคบั จาํ นองหรือบังคับเอาทรัพยส นิ จาํ นองหลุด ไมเกนิ 50 ลานบาท รอ ยละ 1 แตไมเกิน
100,000 บาท สว นทีเ่ กิน 50 ลา นบาทขน้ึ ไป รอยละ 0.1
5. คดีขอใหป ลดเปล้ืองทุกขท่ีไมอ าจคํานวณเปน เงินได รวมทงั้ คดีไมมีขอ พิพาท เสยี เร่ืองละ 200 บาท
6. คดขี อใหช ําระคาเสยี หาย คาอุปการะเลี้ยงดู คา เลยี้ งชีพ เงินป เงนิ เดอื น หรอื ทจ่ี ายมีกําหนดระยะเวลาใน
อนาคต นอกจากดอกเบยี้ คา เชา (คาขน้ึ ศาลในอนาคต) เสียคาขน้ึ ศาล 100 บาท
7. คาคํารอ งขอใหสืบพยานลวงหนาในกรณยี ังไมม ีคดีอยูใ นศาล เสยี 100 บาท
8. คารับรองเอกสาร โดยเจาพนกั งานศาล(ทุกชั้นศาล) หรือเจาพนักงานบังคบั คดี ฉบับละ 50 บาท
9. ใบสาํ คญั เพ่ือแสดงวาคดถี งึ ที่สุด ฉบบั ละ 50 บาท(ทุกชั้นศาล)
10. คํารองอนื่ ๆ คา คําขอ คา เอกสารเปน พยาน คา ใบแตง ทนายความ(กฎหมายไมกลา วถึง) จงึ ไดรบั การ
ยกเลิก คือไมตอ งเสีย
กรณีท่ี 2 การดําเนินคดีไมมีขอพิพาท เปนการดําเนินคดีในทางแพง ในกรณีที่ไมมีการ
โตแยงสิทธิพิพาทกัน แตเปนเร่ืองท่ีบุคคลใดบุคคลหน่ึงมีความจําเปนท่ีจะตองใชสิทธิทางศาล เชน
ประสงคจะขอใหศาลมีคําส่ังแสดงกรรมสิทธ์ิในท่ีดินท่ีไดมาโดยการครอบครองปรปกษ การขออนุญาต
ศาลเพ่ือทํานิติกรรมแทนผูเยาว หรือการขอเปนผูจัดการมรดก เปนตน บุคคลน้ันก็ชอบท่ีจะย่ืนคํารอง
ตอศาลเพ่อื ขอดาํ เนนิ คดไี มม ีขอพิพาทได
การดําเนินคดีไมมีขอพิพาทน้ันจะมีขั้นตอนสะดวกและงายกวาการดําเนินคดีมีขอพิพาท
กลาวคือ บุคคลท่ีจําเปนตองใชสิทธิทางศาลตองย่ืนคํารองตอศาลท่ีมีอํานาจ เม่ือศาลรับคํารองไว
พิจารณาแลว ศาลจะประกาศนัดไตสวนคํารองเพ่ือเปดโอกาสใหบุคคลท่ัวไปไดโตแยงคัดคาน หากมี
บุคคลใดเขามาโตแยงก็กลายเปนคดีมีขอพิพาทข้ึน ก็ตองกลับไปใชหลักเกณฑและข้ันตอนเชน คดีมีขอ
พิพาท แตหากครบกาํ หนดเวลาแลวไมมบี คุ คลใดโตแยง คัดคา นแลว ศาลก็จะทาํ การไตส วนคํารอง ผูรอง
ตองนําพยานหลักฐานตาง ๆ เขาสืบ เม่ือไตสวนคํารองเสร็จ ศาลก็จะมีคําส่ังคํารองดังกลาวตอไป ถาผู
รองยังไมพ อใจกบั คําสงั่ น้ันกม็ ีสทิ ธิที่จะอุทธรณฎ กี าตอไปไดภายใตบ ทบัญญัติของกฎหมาย
การฟองบคุ คลในคดลี มละลาย
บคุ คลที่จะถกู ฟองตองครบองคประกอบ 3 ประการ
[56]
1) มีหน้สี ินลน พนตัว หมายความวา มหี นสี้ นิ มากกวาทรัพยสิน
2) การมีหนีส้ ินนัน้ กาํ หนดจาํ นวนไดแ นนอน
3) ถาเปนบุคคลธรรมดา ตองมีหน้ีสินต้ังแต 1,000,000 บาทขึ้นไป ถาเปนนิติบุคคลตองมี
หนี้สินต้ังแต 2,000,000 บาทข้ึนไป บุคคลท่ีศาลพิพากษาใหเปนบุคคลลมละลาย การจัดการทรัพยสิน
และทางทํามาหาไดต อ งตกอยูภายใตการดูแลของ เจาพนกั งานพิทักษท รพั ย
คดแี พง เก่ียวเนือ่ งกบั คดีอาญา
เม่ือมีคดีความเกดิ ขึ้น ผเู สียหายอาจจะฟอ งรองตอศาลเปนคดแี พงหรือคดีอาญา กรณีท่ีมีการ
ฟองรองตอศาลทั้งคดีแพงและคดีอาญา ในความผิดกรรมเดียวกัน เรียกวา การฟองรองคดีแพง
เก่ียวเนือ่ งกบั คดีอาญา เมื่อเปน เชน นี้ ศาลตองพิจารณาคดีอาญากอน
ศาลประเทศไทยในปจ จุบัน
มีการจัดต้ังศาลปกครอง ซ่ึงมีหนาท่ี ดูแลในเร่ืองการปฏิบัติหนาท่ีของเจาหนาท่ีของรัฐกรณีท่ี
ประชาชนไมไดร ับความเปนธรรม จากการปฏิบัติหนาท่ีของเจาหนาท่ีของรัฐ ศาลท้ังหลายจะต้ังข้ึนไดก็
แตโดยการตราเปน พระราชบญั ญตั ิ
ศาลตามกฎหมายรัฐธรรมนญู มที ้ังหมด 4 ประเภท
1) ศาลยตุ ิธรรม 2) ศาลรฐั ธรรมนูญ
3) ศาลปกครอง 4) ศาลทหาร
ศาลฎีกาแผนกคดอี าญาของผูดํารงตําแหนง ทางการเมือง
รัฐธรรมนูญฉบับปจจุบัน (พ.ศ.2560) ไดกําหนดใหมีการจัดตั้งแผนกคดีอาญาของผูดํารง
ตําแหนงทางการเมืองในศาลฎีกา เพ่ือทําหนาท่ีในการพิจารณาตัดสินคดีท่ีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี
สมาชิกสภาผูแทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือขาราชการการเมืองอ่ืนถูกกลาวหาวารํ่ารวยผิดปกติ
กระทําความผิดตอ ตําแหนงหนาที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทําความผิดตอตําแหนง
หนาท่ีหรือทจุ รติ ตอหนาทก่ี ฎหมายอืน่ รวมท้งั กรณีบุคคลอ่ืนท่ีเปนตัวการ ผใู ช หรือผูสนับสนนุ ดวย
องคคณะผูพิพากษาจะประกอบดวยผูพิพากษาศาลฎีกาไมนอยกวา 5 คนแตไมเกิน จํานวน
9 คน ซ่ึงไดรับเลือกโดยท่ีประชุมใหญศาลฎีกา ข้ึนน่ังพิจารณาคดีเชนเดียวกับศาลช้ันตน แตการ
พิจารณาคดีจะเปนระบบไตสวน ซึ่งแตกตางจากวิธีพิจารณาท่ีใชในคดีทั่วไป ศาลมีอํานาจไตสวนหา
ขอเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมไดตามท่ีเห็นสมควร ตามวิธีพิจารณาคดีท่ีบัญญัติไวใน
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยวิธพี ิจารณาคดีอาญาของผดู ํารงตําแหนงทางการเมือง พ.ศ.
2542
คําพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผูดํารงตําแหนงทางการเมืองถือวาเปนท่ีสุด คือ
ไมส ามารถอุทธรณฎ ีกาตอศาลใดๆ ไดอ ีก เวน แตม ีหลักฐานใหม สามารถย่ืนอุทธรณไ ดภ ายใน 30 วัน
[57]
สรุป คดที ีเ่ ขา สกู ารพิจารณาพิพากษาของ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผดู ํารงตาํ แหนงทาง
การเมือง มีคดีใดบาง
1) ทุจรติ ตอตําแหนง หนา ทีร่ าชการ
2) กระทําความผดิ ตอ ตําแหนงหนา ทร่ี าชการ
3) ขอใหทรพั ยส ินตกเปน ของแผนดิน
4) เจา พนักงานรว มกันปฏิบัติหนาท่โี ดยมชิ อบ เพ่ือใหเ กดิ ความเสียหายแกผ ูหน่งึ ผใู ด
5) เปน เจา พนักงานใชอาํ นาจในตําแหนงโดยมิชอบ
6) เปนเจา พนักงาน พนักงานและผสู นบั สนุนเจา พนกั งานปฏิบตั หิ รอื ละเวน การปฏิบตั ิหนาท่โี ดยมิชอบ
เพ่ือใหเกดิ ความเสยี หายแกผ ูหนึ่งผใู ด หรอื ปฏบิ ตั หิ รือละเวน การปฏบิ ัตหิ นา ที่โดยทจุ รติ
7) จงใจไมย น่ื บัญชีแสดงรายการทรพั ยส นิ และหน้สี ินและเอกสารประกอบ
8) จงใจย่ืนบญั ชีแสดงรายการทรัพยสินและหนี้สินฯ ดว ยขอความอันเปน เท็จ ปกปดขอ ความจริงท่ีควร
แจงใหทราบ
9) เจาหนาทขี่ องรฐั เปนหนุ สว น หรอื ผถู อื หนุ ในหางหุนสวนหรือบริษทั ที่สมั ปทานหรือเขา เปนคูสัญญา
เขาไปมสี วนไดเ สยี เพ่ือประโยชนส าหรับตนเองหรอื ผูอ่ืน
ศาลรัฐธรรมนูญ
ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม (พ.ศ.2560) ศาลรัฐธรรมนูญไมมีอํานาจในการพิจารณาพิพากษา
คดีท่ัวไป แตมีอํานาจเฉพาะคดีท่ีเก่ียวของกับรัฐธรรมนูญซ่ึงเปนกฎหมายสูงสุดของประเทศ ศาล
รัฐธรรมนูญประกอบดวยประธานศาลรัฐธรรมนูญ 1 คน และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่ืนอีก 8คน ซ่ึง
พระมหากษัตริยท รงแตง ต้งั ตามคาํ แนะนําของวฒุ ิสภา ตุลาการศาลรฐั ธรรมนญู ตอ งมาจาก
1. ผูพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งไดรับเลือกจากท่ปี ระชุมใหญศ าลฎีกาจาํ นวน 3 คน
2. ตุลาการในศาลปกครองสงู สดุ ซ่งึ ไดร ับเลอื กจากท่ปี ระชุมใหญศ าลปกครองสูงสดุ
จาํ นวน 2 คน
3. ผูทรงคุณวฒุ สิ าขานติ ศิ าสตรจาํ นวน 2 คน
4. ผูทรงคณุ วุฒสิ าขารัฐศาสตรจาํ นวน 2 คน
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดาํ รงตาํ แหนง 9 ป และดํารงตําแหนงไดเพียงวาระเดยี ว
อํานาจหนา ที่
1. หนาท่ีหลัก คือ ควบคุมกฎหมายมิใหขัดหรือแยงกับรัฐธรรมนูญ เพ่ือรักษาความเปน
กฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนญู ตามรัฐธรรมนูญฉบบั ใหมนน้ั การควบคุมกฎหมายมิใหขดั กับรัฐธรรมนูญ
ใชระบบการควบคุมท้ังกอนท่ีรางกฎหมายจะมีผลใชบังคับและการควบคุมภายหลังท่ีกฎหมายน้ันมีผล
ใชบ ังคบั แลว
2. หนา ที่อ่นื ๆ ไดแ ก
2.1 ตัดสินปญหาเก่ียวกับอํานาจหนาที่ขององคการตางๆ ตามรัฐธรรมนูญ ซ่ึงผูมีสิทธิ
เสนอเรอื่ งใหศาลรฐั ธรรมนูญตีความ คือ ประธานรฐั สภาหรอื องคก ารนั้นๆ
[58]
2.2 ควบคุมพรรคการเมือง ไดแก ใหสมาชิกสภาผูแทนราษฎรซ่ึงเปนสมาชิกของพรรค
การเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรอื สมาชิกของพรรคการเมืองจํานวนหนึ่ง ซ่ึงเห็นวามติหรือ
ขอ บังคับของพรรคการเมืองนน้ั ขัดหรอื แยงตอรฐั ธรรมนูญ มีสิทธิขอใหศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวนิ ิจฉัย
เพื่อยกเลิกมตหิ รอื ขอ บังคบั กลา วได
2.3 วินจิ ฉยั วา กรรมการการเลอื กตงั้ พนจากตาํ แหนงหรือไม
2.4 วินิจฉัยการเปนสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผูแทนราษฎรและความส้ินสุดของ
คณะรัฐมนตรี คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใหถือเปนเด็ดขาดผูกพัน ทุกองคการของรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี ศาลทุกศาล นอกจากน้ันคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญท่ีวาพระราชบัญญัติใดหรือราง
พระราชบัญญัติใดขัดหรือแยงกับรัฐธรรมนูญ ถือวาพระราชบัญญัตินนั้ หรอื รางพระราชบัญญัตนิ ั้นตกไป
คือไมตองนําข้ึนทูลเกลาฯ ถวายพระมหากษัตริยเพ่ือลงพระปรมาภิไธย หรือหากเปนกฎหมายท่ี
ประกาศใชบงั คับแลวก็เปนกฎหมายไมไ ดต อไป
ศาลทหาร
ศาลทหารมีหนา ที่พจิ ารณาพิพากษาคดีอาญาทหารและคดีอื่นท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ
ศาลปกครอง
ศาลปกครองเปนองคการท่ีจัดต้ังข้ึนตามรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช
2540 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาพิพากษาคดีปกครอง ซึ่งเปนขอพิพาท
ระหวางเอกชนฝายหน่ึงกับหนวยงานทางปกครอง หรือเจาหนาท่ีรัฐอีกฝายหน่ึง หรือเปนขอพิพาท
ระหวางหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐดวยกัน อันเน่ืองมาจากการปฏิบัติหนาท่ี ท้ังน้ีเพ่ือ
คุมครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและปกปองประโยชนของสวนรวมใหไดดุลยภาพกันและเพ่ือวาง
บรรทัดฐานใหการปฏิบัติหนาท่ีของหนวยงานทางปกครองและเจาหนาท่ีของรัฐเปนไปโดยถูกตองตาม
กฎหมาย
โครงสรา งและเขตอํานาจของศาลปกครอง
ศาลปกครองแบงออกเปน 2 ชน้ั ศาล ไดแก ศาลปกครองสูงสุด กบั ศาลปกครองช้ันตน (ศาล
ปกครองกลางและศาลปกครองในภูมิภาค) ซึ่งแสดงใหเ หน็ ไดจ ากแผนภูมิดังตอไปนี้
ศาลปกครองสูงสุด
ศาลปกครองช้นั ตน
ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองในภูมิภาค
ทั้งน้ีโดยศาลแตล ะศาลมที ่ีตง้ั และเขตอํานาจทางพนื้ ท่ี ศาลปกครองสูงสุดตั้งอยใู น
กรงุ เทพมหานคร มเี ขตอาํ นาจทั่วราชอาณาจักร
[59]
เงอ่ื นไขในการฟองคดี
เพ่ือใหการฟอ งคดเี ปน ระบบและสามารถแกไ ขความเดือดรอนของผปู ระสงคจะฟอ งคดีได
อยา งแทจ ริงกฎหมายไดก าํ หนดเงอื่ นไขในการฟองคดีเอาไว 4 ประการ คือ
1. ผูมีสิทธิฟองคดี ผูที่จะฟองคดีปกครองไดตองเปนผูท่ีไดรับความเดือดรอนเสียหายหรือ
อาจจะเดือดรอนเสียหาย โดยมิอาจหลกี เลีย่ งไดจากการกระทําหรืองดเวน การกระทาํ ของหนวยงานทาง
ปกครองหรือเจาหนาท่ีรัฐ หรือตองเปนผูที่มีขอโตแยงเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง หรือเปนผูที่มีขอ
โตแยงกรณอี ืน่ ทอี่ ยใู นอํานาจศาลปกครอง
2. ระยะเวลาการฟองคดี
1) โดยท่ัวไปตองฟองคดีภายใน 90 วนั นับแตวนั ท่ีรูหรอื ควรรูถึงเหตแุ หง การฟองคดี
2) แตถ า เปน คดีพพิ าทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองหรอื การละเมดิ ทางปกครองตองฟอง
คดภี ายใน 1 ป นับแตว ันท่ีรหู รือควรรูเ หตแุ หง การฟองคดแี ตไ มเกิน 10 ป
3) กรณีเปน คดเี กี่ยวกบั การคุมครองประโยชนสาธารณะหรือสถานะของบุคคล ผูฟ องคดี
จะยนื่ ฟองเมื่อไหรกไ็ ด
3. คําฟอง ไมมีแบบเฉพาะและไมจําเปน ตองใชแ บบฟอรมใดๆ ของศาล เพยี งแตต อง …
1) ทําเปนหนังสือใชถ อยคาํ สุภาพ
2) ระบุชือ่ ที่อยู พรอมทงั้ ลงลายมอื ชื่อของผูฟองคดี
3) ระบชุ ่อื หนว ยงานหรือเจาหนาที่ของรัฐท่ีเกี่ยวของ
4) ระบกุ ารกระทําอันเปนเหตุแหงการฟองคดใี หมีเน้ือหาทีเ่ ขา ใจไดวา ผูฟองเดอื ดรอน
เสยี หายจากเรื่องอะไรและอยางไร
5) ระบุคําขอวาตองการใหศ าลปกครองพิพากษาหรอื สั่งอยางไร
4. การขอใหแกไขเยียวยาความเดือดรอนในเบ้ืองตน หากเรื่องท่ีจะนํามาฟองมีกฎหมาย
กําหนดวาจะตองมีการแกไขความเดือดรอนในเร่ืองน้ันๆ ตามข้ันตอนหรือวิธีการใดก็จะตองดําเนินการ
ตามข้ันตอนหรือวิธีการดังกลาวใหเสร็จเสียกอน จึงสามารถมาฟองคดีตอศาลปกครองได เชน ตอง
อทุ ธรณค ําสง่ั กอ นทจ่ี ะมาฟอ งศาลปกครอง ถาไมทาํ ศาลปกครองจะไมรบั ไวพ จิ ารณา
การยนื่ คาํ ฟอง
การย่ืนคาํ ฟอ งมหี ลกั เกณฑงายๆ ดังนี้
�ถาเปนคดีท่ีอยูในเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันตน ถือหลักวาใหย่ืนฟองตอศาลท่ีผูฟองมีภูมิลําเนา
หรอื ตอ ศาลทมี่ ลู คดีเกิดขึน้ อยา งใดอยางหนึง่
�ถา เปน คดที ีอ่ ยูใ นเขตอํานาจของศาลปกครองสูงสดุ ใหย่ืนฟอ งโดยตรงตอ ศาลปกครองสูงสดุ
�อนึ่งในระหวา งที่ยงั ไมไ ดมีการจัดตัง้ ศาลปกครองในภูมิภาค ถาเปนคดที อี่ ยใู นเขตอํานาจของศาล
ปกครองช้ันตน ประชาชนสามารถยนื่ ฟอ งตอ ศาลปกครองกลางได
เม่ือจัดเตรียมคําฟองและเอกสารหลักฐานตางๆ พรอมแลว ผูประสงคจะฟองคดีสามารถย่ืน
คําฟอ งไดตอเจาหนาที่ของศาลหรอื จะสง ทางไปรษณยี ล งทะเบยี นกไ็ ด
[60]
สาํ นกั งานศาลปกครอง
สาํ นกั งานศาลปกครองเปน สวนราชการทเ่ี ปนหนว ยงานอิสระตามรฐั ธรรมนญู มฐี านะเปน นิติ
บุคคล โดยมีเลขาธิการสํานักงานศาลปกครองเปนผูบังคับบัญชาของขาราชการในสํานักงานศาล
ปกครอง
ศาลปกครองกลาง ตั้งอยูในกรุงเทพมหานคร มีเขตอํานาจตลอดทองท่ีกรุงเทพมหานคร
นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี ราชบุรี สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร และจังหวัดอ่ืนๆ ท่ียัง
ไมไ ดมกี ารเปด ทําการของศาลปกครองในภูมิภาค
ศาลปกครองในภูมภิ าค มีเขตอํานาจกระจายครอบคลุมทองทห่ี ลายจังหวดั ตามท่ีกําหนดใน
กฎหมายโดยจะทยอยจดั ตั้งและเปดทําการเปน แหง ๆ ไปจนครบจาํ นวนท้ังสน้ิ 16 ศาล
อํานาจหนาที่ของศาลปกครอง
ศาลปกครองมีอํานาจพิจารณาพิพากษา “คดีปกครอง” ซ่งึ ไดแ กคดีในลักษณะดังตอไปนี้
� - คดพี ิพาทเก่ียวกับการกระทําทางปกครอง อันไดแก กฎหรือคําสั่งไมช อบดว ยกฎหมาย
� - คดีพพิ าทเกี่ยวกบั สัญญาทางปกครอง เชน สญั ญาสมั ปทาน สัญญาจางกอสรา งถนนหรอื สะพาน
� - คดีพิพาทเกีย่ วกบั การละเลยตอ หนาที่ หรือปฏบิ ัตหิ นาทีล่ า ชา เกดิ สมควรของหนวยงานทาง
ปกครองหรอื เจาหนาที่ของรฐั
� - คดีพพิ าทเก่ยี วกบั การกระทําละเมิดทางปกครอง หรือความรบั ผดิ ชอบอยา งอน่ื ของหนว ยงานทาง
ปกครองหรอื เจา หนา ทข่ี องรฐั
� - คดีพิพาทอ่ืนๆ อันไดแก คดีท่ีกฎหมายกําหนดใหทางราชการตองฟองตอศาล หากประสงคจะ
บังคับใหบุคคลตองกระทําหรือละเวนกระทําการใด หรือคดีท่ีมีกฎหมายกําหนดไวเฉพาะใหอยูในเขต
อํานาจศาลปกครอง
คดีปกครองเหลาน้ีกฎหมายกําหนดใหอยูในอํานาจของศาลปกครองช้ันตน ซึ่งจะมีลักษณะ
เปนศาลทม่ี ีอาํ นาจทั่วไปและเปน ศาลแรกทจี่ ะมีการนําคดีมาฟอ ง
สาํ หรบั ศาลปกครองสูงสุด น้ัน จะเปนศาลสูงที่มอี าํ นาจ ...
1) ตรวจสอบคาํ พพิ ากษาหรือคาํ ส่ังของศาลชนั้ ตน
2) มีอํานาจโดยตรงในการพิจารณาพิพากษาคดีบางประเภท เชน คดีท่ีฟองวาพระราช
กฤษฎกี า กฎหรือบทบัญญัติอ่ืนใดทอ่ี อก โดยคณะรฐั มนตรหี รือโดยความเห็นชอบของคณะรฐั มนตรี ซ่ึง
มีผลบังคบั เปนการทว่ั ไปน้นั ไมช อบดว ยกฎหมาย
3) คดีทมี่ กี ฎหมายกาํ หนดไวเ ฉพาะใหอยูในอาํ นาจศาลปกครองสูงสุด
คา ธรรมเนยี มการฟอ งคดปี กครอง
ถอื หลักความสะดวกเรียบงาย และไมมีคาใชจา ยมากมายใหเปนภาระแกคูกรณี โดยการฟอง
คดสี วนใหญไมต องเสยี คาธรรมเนียมศาล (เวนแตใ นคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมดิ หรือความรับผิด
อยางอ่ืนของทางราชการหรอื คดีพิพาทเก่ียวกับสัญญาทางปกครอง จะมีคาธรรมเนียมศาลในอัตรารอ ย
ละ 2.5 ของทุนทรัพย แตไมเกิน 200,000 บาท นอกจากนั้นจะมที นายความดว ยหรือไมก ็ได
[61]
แบบฝกหัดท่ี 7
คาํ ส่งั ใหนกั เรยี นตอบคาํ ถามใหไดใ จความสมบรู ณ
1. กระบวนการยตุ ธิ รรม หมายถงึ ............................................................................................................
.........................................................................................................................................................
.
...................................................................................................................................................................
2. บุคคลและหนวยงานใดบางทเ่ี กย่ี วของกับกระบวนการยุติธรรม ......................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
3. โทษทางอาญา ประกอบดวย ..............................................................................................................
4. คดีแพง คอื ..........................................................................................................................................
5. “การสืบสวน” คือ ...............................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
6. “การสอบสวน” ..................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
7. การอุทธรณ ฎกี า เมอ่ื ศาลอา นคําพพิ ากษาแลว หากโจทกหรือจําเลยไมเ ห็นดว ย ก็มสี ิทธิท่ีจะ
อุทธรณหรอื ฎีกาไดภายใตบังคับของกฎหมาย ภายในกาํ หนด ......................นบั แตว ันท่อี า นคําพิพากษา
8. ศาลฎกี าตดั สนิ ชีข้ าด อยางใดแลวถือวา..............................................................................................
9. คดีมีทนุ ทรพั ยทีเ่ รยี กรอง เกิน 300,000 แตไ มเ กนิ 50 ลานบาท ใหคิดคาขึน้ ศาล รอยละ .........บาท
แตเสยี ไมเ กนิ ......................................... บาท
10. คดศี าลแขวง ทุนทรัพยที่เรียกรอง ไมเ กิน 300,000 บาท ใหค ิดคาขึน้ ศาล รอยละ...................บาท
แตไมเกนิ ................................... บาท
11. ยกตัวอยา งคดไี มมีขอพิพาท ในการดําเนินคดีในทางแพง เชน ........................................................
...................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................
12. บคุ คลท่ศี าลพพิ ากษาใหเปน บคุ คลลมละลาย การจดั การทรัพยสินและทางทํามาหาไดตองตกอยู
ภายใตการดแู ลของ ..........................................................................................................................
13. คดีทเี่ ขา สกู ารพจิ ารณาพพิ ากษา ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผูด าํ รงตาํ แหนงทางการเมือง
ไดแก ...............................................................................................................................................
14. ศาลรฐั ธรรมนญู ประกอบดว ยประธานศาลรฐั ธรรมนญู .........คน และตลุ าการศาลรฐั ธรรมนูญอนื่
อีก...........คน
15. ระยะเวลาการฟองคดี ตอศาลปกครอง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
[62]
แบบทดสอบที่ 7
คําชี้แจง เลือกคําตอบทีถ่ ูกตองที่สุดเพียงคําตอบเดยี ว
1.ขอใดแสดงใหเห็นถึงผมู ีสวนเก่ยี วของในกระบวนการยตุ ิธรรมทางอาญา
ก.ผเู สยี หาย ศาล เจา พนักงานบังคบั คดี
ข.พนกั งานสอบสวน พนักงานอัยการ เจา พนักงานคมุ ประพฤติ
ค.พนักงานอยั การ ศาล เจา พนักงานบังคับคดี
ง.พนกั งานสอบสวน พนกั งานอยั การ เจา พนกั งานพทิ ักษทรัพย
2.ความหมายทวั่ ไปของกฎหมายคอื ขอใด
ก.ขอ บังคบั ของรัฐ
ข.บรรทดั ฐานในสงั คม
ค.จารีตประเพณี
ง.บรรทัดฐานทีศ่ าลใชใ นการตัดสินคดี
3.ขอ ใดเปน ปญหาทางดา นตัวบทกฎหมายในเรื่องการใชและการบังคบั ใชกฎหมายในสังคมไทย
ก.ขาดความสนใจจากประชาชน
ข.ขาดความเล่ือมใสจากประชาชน
ค.ขาดการเผยแพรกฎหมายใหป ระชาชนทราบ
ง.ขาดความรว มมือระหวางประชาชนกบั เจาพนักงาน
4.ขอใดเปน อาํ นาจหนา ท่ขี องพนักงานอยั การ
ก.ฟองคดีอาญาทผี่ เู สยี หายรองขอ
ข.ฟองคดีอาญาและเปน ทนายโจทยห รอื ทนายจาํ เลยใหส ว นราชการในคดแี พง
ค.ฟอ งคดีอาญาท่ีพนักงานสอบสวนสง สาํ นวนมาใหฟ อ ง
ง.เปน ท่ีปรกึ ษากําหมายของรฐั บาล
5.พนกั งานในขอใดเกยี่ วขอ งกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
ก.พนักงานราชทัณฑ
ข.พนักงานพิทักษทรัพย
ค.พนกั งานยึดทรพั ย
ง.พนกั งานรบิ ทรพั ย
6.การสบื สวนและการสอบสวนในคดอี าญาตางกนั อยางไร
ก.การสบื สวนเปน อาํ นาจหนาที่ของตาํ รวจ การสอบสวนเปนอํานาจหนาที่ของพนักงานอัยการ
ข.การสืบสวนคอื การแสวงหาขอ เทจ็ จรงิ หรือพยานหลกั ฐานเพ่ือหารายละเอยี ดแหง ความผิด
การสอบสวนคือการรวบรวมพยานหลักฐานในความผิดท่ีไดม กี ารกลา วหา
ค.การสืบสวนและการสอบสวนเปน อํานาจหนาที่ของตาํ รวจ
ง.การสบื สวนคือการจัดหาพยานหลกั ฐานตามความผิดทไ่ี ดมกี ารกลา วหา การสอบสวนคือการ
สอบพยานและขอเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเพ่ือหาหลกั ฐานเพอ่ื หารายละเอยี ดแหงความผดิ
[63]
7. ขอ ใดที่ไมไดจ ัดอยใู นข้นั ตอนที่เปนหนา ทีค่ วามรับผดิ ชอบของตํารวจในการดําเนนิ คดีอาญา
ก.สัง่ สอบสวนเพ่มิ เติม ข.สอบสวน
ค.การจับกมุ ผูกระทาํ ผดิ ง.ควบคุม
8. ขอใดเปนการเรียงลาํ ดบั โทษทางอาญาที่เรยี งจากโทษหนักมาหาเบาไดถ ูกตอง
ก.การจาํ คุก การรบิ ทรัพย การประหารชวี ติ การปรบั การกักขงั
ข.การประหารชีวิต การกักขัง การจาํ คกุ การรบิ ทรัพย การปรับ
ค.การจําคุก ประหารชวี ติ รบิ ทรัพยสิน การปรับ การกักขงั
ง.ประหารชวี ิต การจาํ คกุ การกกั ขัง การปรบั การริบทรัพยส ิน
9. ผทู ี่ทาํ หนา ทเ่ี ปนทนายแผน ดนิ ตามกระบวนการพิจารณาคดีความทางอาญาคือใคร
ก.ทนายความ ข.เจาพนกั งานอัยการ
ค.เจา พนกั งานฝายสอบสวน ง.เจาหนา ท่ีตาํ รวจ
10.การกระทําผดิ ในคดีอาญาในขอ ใดที่จะไดร บั โทษขน้ั สูงสุด
ก.การทํารา ยบุพการี ข.การคา ยาเสพติด
ค.การวง่ิ ราวทรพั ย ง.การฆา คนโดยไมเ จตนา
11.เมื่อคาํ พิพากษาของศาลถึงทส่ี ดุ แลวใหผ ูต องหาใดคดีอาญาตอ งรบั โทษเปน หนาที่ของเจา พนกั งาน
ฝา ยใดทจ่ี ะตองปฏบิ ัตใิ หเปน ไปตามคาํ พพิ ากษาของศาลน้ัน
ก.เจา หนาทพี่ ิทักษทรพั ย
ข.อัยการ
ค.เจาหนาที่กรมราชทัณฑ กระทรวงมหาดไทย
ง.เจาหนาทก่ี รมบังคบั คดี กระทรวงยตุ ธิ รรม
12.ในคดีอาญาเจาพนักงานของรัฐในขอใดมหี นาที่ฟองรองจําเลยตอ ศาล
ก.ตาํ รวจ ข.เจา หนาท่ีบังคบั คดี
ค.ผูพิพากษา ง.อัยการ
13.บุคคลท่เี ก่ียวขอ งกบั กระบวนการยุติธรรมทางอาญาคือขอใด
ก.ตาํ รวจ อัยการ ศาล พนักงานราชทัณฑ
ข.อยั การ พนักงานคมุ ประพฤติ ศาล พนักงานบงั คบั คดี
ค.ตํารวจ ทนายความ ศาล พนกั งานควบคุมประพฤติ
ง.ตํารวจ อยั การ พนกั งานควบคมุ ประพฤติ ศาล
14. ขอใดไมใชห นา ทข่ี องประชาชนท่ีมีตอ รฐั ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
ก. ชาํ ระภาษีอากรใหแกร ฐั
ข. เชอื่ ฟงคาํ ส่งั ของผูปกครองรัฐ
ค. เขา รบั การศึกษาตามทีร่ ฐั กําหนด
ง. ตรวจสอบการบรหิ ารงานของรฐั บาล
15. ขอใดไมส อดคลองกับหลักกฎหมายอาญา
ก. กฎหมายอาญาจดั อยใู นประเภทกฎหมายมหาชน
ข. กฎหมายอาญาไมมีผลยอนหลัง
ค. การที่ผูกระทําความผิดอาญาถึงแกค วามตายไมทาํ ใหค ดีอาญาระงับ
ง. การหามประกอบอาชพี บางอยางเปน สว นหน่ึงของกฎหมายอาญา
[64]
16. ขอ ใด ไมใ ช ศาลยตุ ิธรรมตามพระราชบัญญตั ิใหใ ชพระธรรมนญู ศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓
ก. ศาลช้นั ตน ข. ศาลอุทธรณ
ค. ศาลอาญา ง. ศาลฏีกา
17. ขอใดคือศาลอุทธรณ
ก. ศาลอุทธรณและศาลจังหวดั ข. ศาลอทุ ธรณภ าคและศาลจังหวดั
ค. ศาลอุทธรณและศาลแขวง ง. ศาลอทุ ธรณและศาลอุทธรณภาค
18. ใครมหี นาทีว่ างระเบียบราชการฝา ยตลุ าการของศาลยุติธรรม เพอื่ ใหกิจการของศาลยุตธิ รรม
ดาํ เนนิ ไปโดยเรยี บรอยและเปนระเบยี บเดยี วกัน
ก. เลขาธกิ ารสาํ นกั งานศาลยตุ ธิ รรม
ข. เลขาธิการสาํ นักงานศาลยตุ ธิ รรมโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหาร
ศาลยตุ ิธรรม
ค. ประธานศาลฎีกา
ง. รองประธานศาลฎกี า
19. ในศาลจงั หวัดหรอื ศาลแขวง มผี ูพิพากษาหวั หนาศาล ศาลละก่ีคน
ก. 1 คน ข. 3 คน
ค. 2 คน ง. 4 คน
20. ในกรณที ่มี ีความจําเปนตองเปล่ยี นแปลงเขตอํานาจศาลช้ันตนเพอื่ ประโยชนในการอํานวยความ
ยตุ ิธรรมแกป ระชาชน ใหต ราเปน กฎหมายใด
ก. พระราชบัญญตั ิ ข. ประกาศกระทรวง
ค. กฎกระทรวง ง. พระราชกฤษฎีกา
21. ศาลใดมอี าํ นาจพิจารณาพพิ ากษาคดแี พงและคดีอาญาทัง้ ปวงทีม่ ไิ ดอยูในอํานาจของศาลยตุ ิธรรมอืน่
ก. ศาลแขวง ข. ศาลแพง
ค. ศาลจังหวดั ง. ศาลอาญา
22. ศาลใดมีอาํ นาจพิจารณาพพิ ากษาบรรดาคดที ี่อทุ ธรณคําพิพากษาหรอื คาํ สั่งของศาลช้ันตน ตาม
บทบัญญัตแิ หง กฎหมายวา ดวยการอุทธรณและวา ดวยเขตอํานาจศาล
ก. ศาลแพงและศาลอุทธรณ
ข. ศาลอาญาและศาลแพง
ค. ศาลอุทธรณแ ละศาลอทุ ธรณภาค
ง. ศาลอาญาธนบุรีและศาลอุทธรณภาค
23. ศาลฎีกามอี ํานาจอยา งไร
ก. พิจารณาพิพากษาคดที ร่ี ัฐธรรมนญู หรือกฎหมายบญั ญัติใหเ สนอตอ ศาลฎกี าไดโดยตรง
ข. วนิ ิจฉยั ช้ขี าดคํารอ งคาํ ขอทย่ี ื่นตอศาลอุทธรณห รือศาลอุทธรณภาคตามกฎหมาย
ค. พิจารณาพิพากษาคดีอาญาทงั้ ปวงทีม่ ิไดอยูใ นอํานาจของศาลยตุ ธิ รรมอืน่
ง. พพิ ากษายนื ตาม แกไข กลบั หรอื ยกคําพิพากษาของศาลชั้นตนที่พพิ ากษาลงโทษ
ประหารชวี ิตหรือจําคกุ ตลอดชีวติ
24. ผทู จ่ี ะไดรบั แตง ต้งั เปนตลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ ตองมอี ายเุ ทาใด
ก. 35 ป ข. ไมตํ่ากวา 35 ป
ค. 45 ป ง. ไมตา่ํ กวา 45 ป
[65]
บทที่ 8
กฎหมายแพงและพาณชิ ย
บคุ คลตามกฎหมาย
บคุ คลตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย แบงออกเปน 2 ประเภทคือ
1. บุคคลธรรมดา
2. นติ บิ คุ คล
บคุ คลธรรมดา
สภาพบุคคล ป.พ.พ. บัญญัติไวในมาตรา 15 วรรคแรกวา “ สภาพบุคคลยอมเร่ิมแตเม่ือ
คลอดแลวอยรู อดเปน ทารกและส้นิ สดุ ลงเมื่อตาย ”
สว นการนบั อายุของบคุ คล ใหเริ่มนับแตวันเกดิ ในกรณีที่รูวาเกิดในเดือนใดแตไ มรวู ันเกดิ ให
นับ วันท่ีหน่ึงแหงเดือนน้ันเปนวันเกิด แตถาพนวสิ ัยท่ีจะหย่ังรเู ดือนและวนั เกิดของบุคคลใด ใหนับอายุ
บุคคล นั้นต้ังแตว นั ตนปป ฏทิ นิ ซ่งึ เปน ปท่ีบุคคลนนั้ เกิด
การเร่ิมตนแหง สภาพบคุ คล
1. มีการคลอด ซ่ึงการคลอดก็คือการท่ีทารกไดหลุดพนออกมาจากครรภมารดาจนหมดตัว
แลว โดยไมมีสวนใดสวนหน่งึ ของรางกายติดอยูก ับชองคลอด ไมวาดวยวิธีการใด และไมตองตัดรก หรือ
สายสะดือกอน เชน มารดาอาจคลอดดวยวทิ ยาการสมัยใหมท างการแพทยกต็ าม
2. มกี ารอยูรอดเปนทารก เม่ือมีการคลอดแลว ตอ งอยูร อดเปนทารก กลาวคือ ทารกไดมีการ
หายใจโดยใชปอดของตนเอง มีชวี ติ เปนอสิ ระจากมารดา การหายใจแมจะเปนเพียงระยะเวลาเลก็ นอยก็
เรียกวาทารกมีสภาพบุคคลแลว เชน ทารกคลอดมาหายใจไดไมกี่วินาทีแลวตาย ถือวาทารกนั้นมสี ภาพ
บุคคลแลว
ขอ ควรพจิ ารณา
1. การนับอายุของบุคคล เริ่มนบั ตั้งแตว นั ทีเ่ กิด
2. กรณีไมรวู นั ทเ่ี กดิ แตร ูเดือน –ป เกดิ ใหถือวา เกิดวันที่ 1 ของเดือนน้ัน
3. กรณีไมร ูวนั –เดือน ท่เี กิด ใหนับวันเกิดตนปป ฏทิ นิ ของปที่เกดิ
สทิ ธขิ องทารกในครรภม ารดา
ป.พ.พ. มาตรา 15 วรรคสองวา “ ทารกในครรภมารดาก็สามารถมีสทิ ธิตาง ๆ ได หากวา
ภายหลงั คลอดแลวอยรู อดเปนทารก ”
มาตรา 15 วรรค สองน้ีเปนขอยกเวนเพ่ือประโยชนของทารกในครรภมารดา มีเง่ือนไขเพียง
วา ภายหลังคลอดแลวอยรู อดเปนทารก กลาวคือ มีสิทธิยอ นหลังไปถึงเวลาที่ทารกยังอยูในครรภมารดา
เชน สิทธใิ นการรับทรัพยสนิ สทิ ธใิ นครอบครวั สิทธิในมรดก สทิ ธิในชวี ิต รวมตลอดถึงสิทธิฟองเรียกคา
สินไหมทดแทน ในกรณีละเมดิ ท่ที าํ ตอการน้นั หรือทาํ ใหท ารกตอ งขาดไรอ ุปการะตามกฎหมายดวย
[66]
ตัวอยา งเชน
ป.พ.พ. มาตรา 1604 บัญญัตวิ า “ บุคคลธรรมดาจะเปนทายาทไดตอเมื่อมสี ภาพบุคคลหรือ
สามารถมีสิทธิไดตามมาตรา 15 แหงประมวลกฎหมายน้ี ในเวลาท่ีเจามรดกถึงแกความตาย เพ่ือ
ประโยชนแหงมาตราน้ี ใหถือวาเด็กท่ีเกิดมารอดอยูภายใน 310 วัน นับแตเวลาท่ีเจามรดกถึงแกความ
ตายนั้น เปน ทารกในครรภมารดาอยูในเวลาทเ่ี จา มรดกถงึ แกความตาย ”
ป.พ.พ. มาตรา 1536 บัญญัติวา “ เด็กเกิดแตหญิงขณะเปนภริยาชายหรือภายใน 310 วัน
นบั แตว ัน ท่ีการสมรสสน้ิ สุดลง ใหสันนษิ ฐานไวก อนวา เปน บตุ รชอบดวยกฎหมายของชายผเู ปนสามหี รือ
เคยเปน สามีแลว แตก รณี ”
สวนประกอบของสภาพบคุ คล
1. ช่อื บคุ คล
ตาม พ.ร.บ.ช่ือบุคคล พ.ศ. 2505 ไดบัญญัติวา “ ผูมีสัญชาติไทยตองมีชื่อตัวและชื่อสกุล
และจะมีชื่อรองก็ได ” กลาวคือ กฎหมายบังคับใหทุกคนตองมีช่ือตัวและช่ือสกุล สวนช่ือรองน้ัน
กฎหมายมไิ ดบงั คบั จะมหี รอื ไมก็ได
ประเภทของชื่อบุคคล
1) ช่ือตัว คือ ช่อื ประจาํ ตัวบุคคล ซึ่งเปน ชอ่ื ทีจ่ าํ แนกบุคคลแตละคนในครอบครวั ทีใ่ ชช่ือ
สกุลเดยี วกนั ออกเปนรายบุคคลวา หมายถึงคนนัน้ คนน้ี
2) ช่ือสกลุ คือ ชอ่ื ประจาํ วงศสกลุ หรอื ประจาํ ครอบครวั สืบทอดกันมาตัง้ แตบรรพบุรุษ ซึ่ง
เม่ือผูใดเกดิ มายอมมสี ทิ ธติ ามกฎหมายทีจ่ ะใชน ามสกุลของบิดา เวน แตใ นกรณีที่ไมปรากฏตัวบิดากใ็ หใ ช
นามสกลุ ของมารดาได -----> ปจจุบันใชชื่อสกลุ ของบดิ าหรือมารดาก็ได
การต้ังช่ือตัว ช่อื สกุล นน้ั ทาํ ไดโดยจดทะเบียนตอนายทะเบียนทอ งท่ีท่ีตนมชี ่ือในทะเบียน
ราษฎร ซ่ึงการตง้ั ช่ือตัว ชื่อสกุลนน้ั จะตองลักษณะ ดงั น้ี
1) ตอ งไมพอ งหรือมุงหมายใหคลายคลงึ กับพระปรมาภไิ ธย หรอื พระนามของพระราชนิ ี
2) ไมพองหรือมุงหมายใหคลา ยคลึงกับราชทินนาม และตองไมซ ํา้ กับชื่อสกุลของบุคคล
อน่ื ทีไ่ ดจ ดทะเบียนไวแ ลว
3) ไมมีคาํ หรือความหมายหยาบคาย
4) ชื่อสกลุ จะตองมพี ยญั ชนะไมเ กนิ กวา 10 ตัว เวนแตกรณีใชราชทินนามเปน ช่อื สกลุ
3) ชื่อรอง เปน ชอื่ ประกอบถัดไปจากชื่อตัวเพ่ือมุงหมายใหบงลกั ษณะหรือตวั บคุ คลชัดเจน
ยิ่งขน้ึ ซึ่งบคุ คลจะมีชื่อรองหรือไมก็ได กฎหมายมิไดบงั คบั
2. ภูมิลาํ เนา
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 37 บัญญัติไววา “ภูมลิ ําเนาของบุคคลธรรมดา ไดแก ถ่ินอันบุคคลน้ันมี
สถานท่ีอยูเปนหลักแหลงสําคัญ” กลาวคือ ภูมิลําเนาจะตองประกอบดวยหลักเกณฑท่ีสําคัญ 2
ประการ คอื
1) เปนสถานที่อยู หมายถึง เปน สถานท่ีซง่ึ บุคคลใชเ ปน สถานท่ีพักอาศัยกินอยูหลับนอน
อาจเปน บาน ตกึ แถว คอนโด อพารทเมนต เปน ตน
[67]
2) ตองเปน สถานท่ีอยูอันถอื วาเปน แหลงสาํ คัญ คือ เปน สถานท่ีซงึ่ บุคคลนน้ั ตั้งใจใชเปน ท่ี
อยอู าศัยตลอดไป มิใชเพียงพักอาศัยชว่ั คราวหรือเพื่อกิจธุระบางอยา งเทานั้น
ภูมิลาํ เนากรณพี เิ ศษ
1) มีถ่ินท่ีอยหู ลายแหง แตละแหงเปนแหลง สาํ คัญ ถา บุคคลธรรมดามีถิ่นที่อยูหลายแหงซึ่ง
อยูสับเปลี่ยนกันไป หรือมีหลักแหลงท่ีทําการงานเปนปกติหลายแหง ใหถือเอาแหงใดแหงหน่ึงเปน
ภมู ลิ ําเนาของบุคคลนน้ั (มาตรา 38) หรอื ทง้ั สองแหง
2) กรณีภมู ิลําเนาไมปรากฏ ใหถ ือวาถิ่นทอ่ี ยเู ปนภูมิลาํ เนา (มาตรา 39) เปนกรณีทท่ี ราบวา
ถิ่นที่อยูของบุคคลน้ันอยูท่ีใดแตไมทราบวาเปนแหลงสําคัญหรือไม เชน กรรมกรรับกอสรางไปตาม
จงั หวัดตา งๆ เสร็จจากทห่ี น่งึ กไ็ ปที่อื่นเรอ่ื ย ๆ ไป ซงึ่ กฎหมายถือเอาถิ่นท่ีอยู ในขณะนั้นเปนภมู ิลําเนา
3) กรณีไมมที ่ีอยูหรือไมมีท่ีทางานเปนหลกั แหลง บุคคลธรรมดาซง่ึ เปนผูไมม ีท่ีอยูปกติเปน
หลักแหลง หรือเปนผูค รองชีพในการเดนิ ทางไปมาปราศจากหลักแหลง ทีท่ ําการงาน พบตัวในถิ่นไหนให
ถือวาถ่ินน้ันเปนภูมิลําเนาของบุคคลน้ัน (มาตรา 40) เชน คนจรจัดหรือคนขอทาน พวกพอคาเร หรือ
พวกฉายหนังขายยาตามบานนอก กฎหมายถอื เอาท่ี ๆ พบตัวเปน ภูมลิ าํ เนาของบุคคลน้นั
บุคคลทีก่ ฎหมายกําหนดภมู ิลําเนาให ไดแ ก
1) ภูมลิ าํ เนาของสามแี ละภรยิ า ไดแ ก ถิน่ ทอี่ ยูท่สี ามแี ละภริยาอยกู นิ ดวยกนั ฉันสามภี รยิ า
เวนแตส ามีหรือภริยาไดแสดงเจตนาใหปรากฏวามีภูมิลาํ เนาแยกตางหากจากกนั (มาตรา 43) กฎหมาย
ไมไดบังคับวาสามีภรรยาตองมีภูมิลําเนาอยูท่ีเดียวกัน กฎหมายเปดโอกาสใหสามีภริยาสามารถเลือก
ภูมิลําเนาของตนเองได
2) ภูมิลําเนาของผูเยาว ไดแก ภูมิลําเนาของผูแทนโดยชอบธรรม ซ่ึงเปนผูใชอํานาจ
ปกครองหรือผูปกครอง ในกรณีท่ีผูเยาวอยูใตอํานาจปกครองของบิดามารดา ถาบิดาและมารดามี
ภูมิลําเนาแยกตางหากจากกัน ภูมิลําเนาของผูเยาวไดแกภูมิลําเนาของบิดาหรือมารดาซึ่งตนอยูดวย
(มาตรา 44)
3) ภูมิลาํ เนาของคนไรค วามสามารถ ไดแก ภมู ลิ าํ เนาของผูอนบุ าล (มาตรา 45)
4) ภมู ิลําเนาของขา ราชการ ไดแ ก ถ่ินอนั เปนท่ีทําการตามตาํ แหนงหนา ท่ี หากมิใชเปน
ตาํ แหนงหนาที่ชว่ั คราวช่วั ระยะเวลา หรือเปน เพยี งแตงต้ังไปเฉพาะการคร้ังเดยี วคราวเดยี ว (มาตรา 46)
5) ภูมลิ ําเนาของผทู ่ีถูกจาํ คุก ตามคําพพิ ากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคาํ สง่ั โดยชอบดว ย
กฎหมาย ไดแก เรือนจาํ หรือทัณฑสถานท่ถี ูกจาํ คุกอยูจ นกวา จะไดร บั การปลอยตัว (มาตรา 47)
ขอ สังเกต สว นคนเสมือนไรค วามสามารถนน้ั กฎหมายไมไดก าํ หนดภมู ิลําเนาใหจงึ มภี มู ิลําเนาตามทีต่ น
อยอู าศัย ไมถือตามภูมลิ ําเนาของผูพิทกั ษ
3. สัญชาติ
ตาม พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 บุคคลจะไดสัญชาติไทยมาโดยตรง 2 ทางคือ
1. การไดสญั ชาติไทยโดยการเกดิ ซึ่งประเทศไทยใชห ลกั สืบสายโลหติ ควบคไู ปกับหลัก
ดนิ แดน กลาวคอื
1) หลกั สืบสายโลหิต บุคคลผูเกิดในหรอื นอกราชอาณาจักรไทย ยอมไดส ัญชาติไทย ถามี
บิดาหรอื มารดาเปนคนสญั ชาตไิ ทย
2) หลักดินแดน ถือวาบคุ คลใดเกดิ ในราชอาณาจักรไทย ยอมไดสญั ชาติไทยโดยการเกิด
ตามหลักแดน โดยไมคาํ นึงวา บิดาหรือมารดาจะมสี ัญชาติใด
[68]
2. การไดสัญชาตไิ ทยภายหลังการเกดิ เชน การแปลงสัญชาติ หรือ การไดสัญชาตโิ ดยการ
สมรส
ความสามารถของบุคคล
บุคคลจะมคี วามสามารถตามกฎหมายโดยสมบูรณเ ม่ือบรรลุนิตภิ าวะแลว การบรรลุนิตภิ าวะ
ของบุคคล ทําได 2 ทาง คือ
1) เมอ่ื อายุครบ 20 ปบ รบิ รู ณ
2) เมอื่ ไดมีการจดทะเบยี นสมรส
“ความสามารถ” หมายถึง บุคคลน้ันมีอํานาจในการใชสิทธิปฏิบัติหนาท่ี แตวา
ความสามารถในการใชสิทธิน้ันบุคคลทุกคนอาจจะไมมีความสามารถเทาเทียมกัน ท้ังน้ีอาจเปนเพราะ
ขอจํากัดโดยสภาพธรรมชาติหรือขอจํากัดในทางกฎหมายก็ได ซ่ึงบุคคลผูถูกจํากัดความสามารถในการ
ใชส ทิ ธิ เรยี กวา “ผหู ยอ นความสามารถ”
บคุ คลผหู ยอ นความสามารถในปจ จบุ นั มี 3 ประเภท คือ
1. ผูเ ยาว 2. คนไรค วามสามารถ 3. คนเสมือนไรความสามารถ
1. ผเู ยาว คอื บุคคลที่ยงั ไมบรรลุนิติภาวะ (ผูท ี่มีอายยุ งั ไมครบ 20 ปบ รบิ รู ณ)
ผเู ยาวเปนบคุ คลที่ออนอายุ ออนประสบการณ และขาดการควบคมุ สภาพจติ ใจ กฎหมายจงึ
ใหค วามคมุ ครองชว ยเหลอื จนกวาบุคคลน้ันจะบรรลนุ ิติภาวะ
การทํานติ กิ รรมของผูเยาว
มาตรา 21 “ผเู ยาวจะทํานิติกรรมใดๆ ตอ งไดรบั ความยินยอมของผแู ทนโดยชอบธรรมกอน
การใด ๆ ท่ีผูเยาวไดทําลงปราศจากความยนิ ยอมเชนวา น้นั เปนโมฆียะ เวนแตจะบัญญัติไวเ ปน อยา ง
อ่นื ”
ขอ สงั เกต
1. การกระทําของผเู ยาวถาไมใชน ิตกิ รรม แตเ ปนนติ เิ หตุ ไมเปนโมฆียะ เชน การทาํ ละเมดิ
2. นติ ิกรรมตองผูกพันผูเยาวหรือเพอื่ ผูเยาว ถาผเู ยาวทาํ นิติกรรมเพื่อบุคคลอ่นื ไมตองขอความ ยินยอม
เชน การมอบอาํ นาจใหผูเยาวไ ปจา ยคาน้ํา –คาไฟฟา การแจง ความรอ งทุกข การ จดั การงานนอกส่ัง
ผแู ทนโดยชอบธรรมของผเู ยาว ไดแ ก
1) ผูใชอํานาจปกครอง คือ บิดาและมารดาของผูเยาวน่ันเอง ซ่ึงเปนผูใชอํานาจปกครอง
รวมกัน แตในบางกรณีอํานาจปกครองอาจจะอยูกับบิดาหรือมารดาคนใดคนหน่ึงก็ได เชน บิดาหรือ
มารดาตาย หรือไมทราบวามีชีวิตอยหู รือไม หรือคนใดคนหน่ึงถูกศาลส่ังใหเปนคนไรค วามสามารถหรือ
คนเสมือนไรความสามารถ หรือศาลสง่ั ใหบดิ าหรือมารดาใชอํานาจปกครองคนเดียว เปน ตน
2) ผูปกครอง ในกรณีท่ีผูเยาวไมมีบิดามารดา เชน ตายหรือไมปรากฏบิดามารดา หรือบิดา
มารดาถกู ถอนอํานาจปกครอง ศาลก็จะตงั้ ผูท ี่เหมาะสมข้ึนเปนผปู กครองของผเู ยาว
ขอ สังเกต ในกรณีท่ผี ูเยาวเปน บุตรบญุ ธรรม อํานาจปกครองจะอยกู บั ผรู ับบตุ รบญุ ธรรม โดยบดิ ามารดา
ผูท่ีใหกําเนิดจะหมดอํานาจปกครอง นับแตวันท่ีเด็กเปนบุตรบุญธรรมแลว แตบุตรบุญธรรมมีสิทธิรับ
มรดกของบดิ ามารดาทแ่ี ทจริง
[69]
ในทางปฏิบตั ิแลว ผเู ยาวส ามารถทํานติ กิ รรมได 3 ทาง คือ
1) ขอความยินยอมจากผูแทนโดยธรรมกอ นแลว ผูเยาวจงึ ไปทํานิติกรรมเอง
2) ใหผูแทนโดยชอบธรรมเปนผูทําการแทนผูเยาว การใดท่ีผูแทนโดยชอบธรรมกระทําลง
ยอมผูกพันกับผูเยาว อยางไรก็ตามถาเปนกิจการท่ีเก่ียวกับทรัพยสินของผูเยาวบางอยางท่ีกฎหมายถือ
วามีความสําคญั ผแู ทนโดยชอบธรรมจะทําทันทเี ลยไมได จะทาํ ไดตอ เมื่อไดขออนญุ าตจากศาลกอน
กิจการทผี่ ูแทนโดยชอบธรรมตอ งขออนญุ าตจากศาลกอน (มาตรา 1574) เชน
1. นติ กิ รรมทีเ่ กยี่ วกับอสังหาริมทรพั ย เชน ขาย ขายฝาก จํานอง ปลดจาํ นองเปน ตน
2. นติ กิ รรมที่เกย่ี วกับสงั หาริมทรพั ยชนดิ พิเศษ
3. ใหเ ชา อสังหารมิ ทรัพยเ กิน 3 ป หรอื ใหเชา ซอ้ื อสังหารมิ ทรพั ย
4. ใหกูย มื เงนิ
5. นําทรพั ยส นิ ไปแสวงหาผลประโยชน
6. ใหโดยเสนห า เวน แต เปน การบริจาคเพือ่ การกุศล เพ่ือสงั คม
7. ประนปี ระนอมยอมความ
8. เขา เปนผคู าํ้ ประกนั ดว ยทรัพย คอื การเอาทรพั ยของผเู ยาวไ ปค้าํ ประกนั
3) นิติกรรมท่ีผเู ยาวกระทําไดเอง
1. นิติกรรมที่ทําใหไดไปซ่ึงสิทธิหรือทําใหหลุดพนจากหนาท่ีอันใดอันหน่ึง เรียกวา เปน
นิติกรรมท่ีผูเยาวมีแตไดฝายเดียว ไมไดเสียประโยชนอันใดเลย เชน รับการใหโดยเสนหา รับการปลด
หนี้ เปน ตน (ตามมาตรา 22)
2. ผูเยาวอาจทํานิติกรรมใด ๆ ไดท้ังส้ิน ซ่ึงเปนการตองทําเองเฉพาะตัว ถือเปนเร่ือง
เฉพาะตวั ของผูเ ยาวโดยแท เชน การที่ผูเยาวท ําการรับรองบุตรนอกสมรส เปน ตน (ตามาตรา 23)
3. ผูเยาวอาจทําการใดๆ ไดท้ังส้ิน ซ่ึงเปนการสมแกฐานานุรูปแหงตนและเปนการอัน
จําเปนเพ่ือเล้ียงชีพตามสมควรเชน การซื้ออาหาร ซื้อสมุดดินสอ ซื้อขาวของเคร่ืองใชที่จําเปน เปนตน
แตน ิตกิ รรมนั้นตองสมแกฐ านานุรูป โดยพจิ ารณาจากฐานะความเปนอยูของผูเ ยาว (ตามาตรา 24)
4. ผูเยาวอาจทําพินัยกรรมไดเม่ืออายุ 15 ปบริบูรณ หากผูเยาวอายุยังไมครบ 15 ป
บรบิ ูรณทําพินยั กรรมแมบ ดิ ามารดาจะใหค วามยินยอม พนิ ยั กรรมยอ มตกเปนโมฆะ (ตามาตรา 25)
5. ผูเยาวสามารถทําการจํานําไดเมื่อมีอายุครบ 15 ปบริบูรณ แตเปนการจํานําตาม
พ.ร.บ. โรงรบั จาํ นําเทานน้ั
2. คนไรค วามสามารถ (ตามาตรา 28 –31)
คอื บคุ คลวกิ ลจรติ ตามกฎหมายมี 2 ประเภท คือ
1. คนวิกลจริตท่ีศาลไดส ่ังใหเ ปน คนไรความสามารถแลว ในทางกฎหมายถือวาตองเปนถึง
ขนาดวาไมสามารถรสู ึกผิดชอบ ไมสามารถบงั คับตนเองได และตองเปนอยูประจํา เม่อื คูสมรส บุพการี
ผูสบื สันดาน ผูปกครอง หรอื ผพู ิทักษ หรือพนกั งานอยั การ ก็ดี ยื่นคํารอ งขอตอศาล เมอ่ื ศาลเหน็ สมควร
ก็จะส่งั ใหบคุ คลนั้นเปนคนไรค วามสามารถ และตองโฆษณาคําสง่ั นัน้ ในราชกิจจานเุ บกษา
ผลของการเปนคนไรความสามารถ
1) บคุ คลทีศ่ าลไดสั่งใหเ ปน คนไรความสามารถนน้ั ตองจัดใหอ ยใู นความอนุบาล ซึ่งถา คน
น้ัน สมรสแลวก็มักจะตั้งคูสมรสเปนผูอนุบาล ถายังไมไดสมรสก็ใหบิดามารดาหรือผูปกครองเปนผู
อนุบาล แตกรณที ่จี าํ เปนศาลอาจขอแตงตัง้ บุคคลอ่ืนเปนผูอนุบาลก็ได
[70]
2) การใด ๆ อันบคุ คลซ่งึ ศาลสั่งใหเปนคนไรความสามารถไดกระทําลง การนน้ั เปน โมฆยี ะ
โดยผูอนุบาลไมมีอํานาจใหความยินยอมเหมือนกับผูแทนโดยชอบธรรม แตมีอํานาจบอกลางได ยกเวน
นิติเหตุ
2. บุคคลวิกลจริต คือ คนวิกลจริตท่ีศาลยังไมไดส่ังใหเปนคนไรความสามารถ มาตรา 30
บัญญัติวา “ การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริต ซ่ึงศาลยังมิไดส่ังใหเปนคนไรความสามารถไดกระทําลง การ
นั้นจะเปน โมฆียะตอ เม่อื ไดกระทําในขณะท่บี ุคคลน้ันจริตวิกลอยู และคูกรณอี ีกฝายหนง่ึ ไดรอู ยูแ ลวดวย
วาผูกระทําเปน คนวิกลจรติ ”
กลาวคือ บคุ คลวิกลจริตทํานติ ิกรรมใด ๆ ยอมสมบรู ณ เวนแตจะตกเปนโมฆยี ะถาหากพิสูจน
ไดว า
1. นติ ิกรรมนัน้ ไดทําขน้ึ ในขณะทีผ่ ูน้ันวกิ ลจรติ อยู และ
2. คูกรณีอีกฝา ยหน่ึงไดรอู ยูว าผูนัน้ เปน คนวกิ ลจรติ
ขอ ควรพจิ ารณา
1. การทําพินยั กรรมของบุคคลวิกลจรติ จะเปนโมฆะตอเมื่อ ทําในขณะวกิ ลจรติ
2. คนไรค วามสามารถทําพนิ ยั กรรมจะตกเปน โมฆะ
3. คนเสมือนไรความสามารถทําพนิ ยั กรรม -----> สมบรู ณ
3. คนเสมือนไรค วามสามารถ
คนเสมือนไรความสามารถ หมายถึง บุคคลผูท่ีไมสามารถจะทําการงานของตนเองได เพราะ
รา งกายพกิ าร หรือจติ ฟน เฟอน ไมส มประกอบ หรอื ประพฤตสิ ุลุย สุรา ยเสเพลเปน อาจิณ หรือเปนคนติด
สุรายาเมา และศาลมีคําส่ังใหบุคคลผูน้ันเปนคนเสมือนไรความสามารถ ซ่ึงคําส่ังศาลน้ีจะตองเปน
โฆษณาในราชกิจจานุเบกษา
หมายเหตุ ผรู องขอใหศาลสงั่ บุคคลเปน คนเสมือนไรค วามสามารถ เหมือนกบั ผรู องขอใหศาลส่ังบุคคล
เปนคนไรความสามารถ
คนเสมือนไรค วามสามารถยอมทํานิติกรรมไดต ามลําพัง เวนแต นิติกรรมดงั ตอไปนี้ตองไดรับ
ความยนิ ยอมจากผพู ทิ กั ษก อ นจงึ จะทําได มิฉะนัน้ นติ ิกรรมนัน้ ยอมตกเปนโมฆยี ะ (มาตรา 34)
1. นาํ ทรพั ยส นิ ไปลงทนุ
2. รับคืนทรัพยสินที่ไปลงทุน ตนเงนิ หรอื ทนุ อยางอ่นื
3. กูยืมหรือใหกูยมื เงนิ หรือใหย ืมสังหารมิ ทรัพยมคี า
4. รับประกนั โดยประการใด อันมีผลใหต นตองถูกบังคับชําระหน้ี
5. เชา หรอื ใหเชาสงั หาริมทรัพยมกี ําหนดระยะเวลาเกนิ กวา 6 เดอื น หรอื อสงั หารมิ ทรัพยม ี
กําหนดระยะเวลาเกนิ กวา 3 ป
6. ใหโ ดยเสนหา เวน แต การใหท่ีพอควรแกฐานานรุ ูป เพ่ือการกุศล การสงั คมหรือตาม
ธรรมจรรยา
7. รบั ภาระใหโดยเสนห าท่ีมีเงื่อนไขหรือคาภาระติดพัน หรอื ไมร ับภาระใหโ ดยเสนห า
8. ทําการอยา งหนง่ึ อยางใดเพอ่ื จะไดมาหรอื ปลอยไป ซ่ึงสทิ ธใิ นอสังหาริมทรพั ยห รือใน
สังหารมิ ทรัพยอนั มีคา
9. กอสรา งหรือดัดแปลงโรงเรือน หรือสิง่ ปลูกสรางอยางอื่น หรือซอ มแซมอยางใหญ
[71]
10. เสนอคดีตอศาลหรือดําเนนิ กระบวนพิจารณาใดๆ เวนแต การรองขอตอ ศาลเพื่ออนุญาต
ใหคนเสมือนไรความสามารถกระทําการอยางใดอยางหน่ึงโดยไมตองไดรับความยินยอมจากผูพิทักษ
หรอื กรณรี อ งขอถอนผูพิทกั ษ
11. ประนีประนอมยอมความ หรอื มอบขอพิพาทใหอนญุ าโตตุลาการวินจิ ฉัย
ถามีกรณีอ่ืนใดนอกจาก 11 ขอ ดังกลาว ซ่ึงคนเสมือนไรความสามารถอาจจัดการไปในทาง
เส่ือมเสียแกทรัพยส ินของตนเองหรอื ครอบครัว ศาลอาจจะส่ังใหผูพิทักษเปนผูมีอํานาจกระทําการแทน
คนเสมอื นไรค วามสามารถกไ็ ด
ในกรณีท่ีผูพิทักษไมยินยอมใหคนเสมือนไรความสามารถกระทําการอยางใดอยางหน่ึงตาม
มาตรา 34 โดยปราศจากเหตุผลสมควร คนเสมือนไรความสามารถรองขอตอศาลได ถาการน้ันเปน
คุณประโยชนแกคนเสมอื นไรความสามารถ โดยใหศาลสงั่ และไมต อ งขอความเหน็ ชอบจากผูพิทกั ษอ ีก
ขอแตกตางระหวา งคนไรค วามสามารถกบั คนเสมอื นไรค วามสามารถ
1. คนไรค วามสามารถถูกจํากัดความสามารถโดยส้นิ เชิง ทํานติ กิ รรมใดๆ ยอมตกเปนโมฆียะหมด แตคน
เสมือนไรความสามารถทํานิติกรรมใดๆ ไดตามปกติ มีผลสมบูรณ เวนแต นิติกรรมท่ีกําหนดไวใน
ป.พ.พ. มาตรา 34 ซ่งึ ตองขอความยนิ ยอมจากผพู ิทักษก อน
2. คนไรความสามารถนั้นเปนผูที่มีสภาพจิตใจผิดปกติ บาคล่ังเปนโรคจิต ไมรูสึกผิดชอบ บังคับการ
กระทําของตนเองไมไ ด เรียกวา บุคคลวิกลจริต สวนคนเสมอื นไรความสามารถมสี ภาพจิตใจฟน เฟอ นไม
สมประกอบคือ คนท่ีมสี ติฟนเฟอ น เปน โรคจติ หรือสมองพิการ แตย ังไมเขาข้ันคนวกิ ลจริต ยังมีสตริ ูสึก
ผิดชอบอยูม ากพอสมควร
การสิน้ สุดสภาพบุคคล
มาตรา 15 บัญญัติวา “ สภาพบุคคลยอมเริ่มแตเม่ือคลอดแลวอยูรอดเปนทารก ส้นิ สุดลง
เมื่อตาย ” ซ่ึงการตายน้ันมี 2 อยางคือ
1. การตายธรรมดา เปนการตายโดยธรรมดาตามธรรมชาติ ปจ จุบนั วงการแพทยถอื วา แกน
สมองตาย เปนการสิน้ สุดสภาพบุคคล เพราะทําใหอ วยั วะทุกสว นตายหมด
2. การตายโดยผลของกฎหมาย กลาวคือ บุคคลใดเม่ือถูกศาลสั่งใหเปนคนสาบสูญแลว
กฎหมายถอื วา บคุ คลน้ันถงึ แกค วามตาย
หลักเกณฑข องการเปน คนสาบสูญ
1. เม่ือบุคคลน้ันไดไปจากภูมิลําเนาหรือถ่ินท่ีอยู โดยไมทราบขาวคราววาเปนตายรายดี
ประการใดเปนระยะเวลาดังน้คี อื
-ในกรณีธรรมดา 5 ป โดยนับต้ังแตวนั ที่ออกจากบานไป หรือวันท่ีสงขาวใหท ราบเปนคร้ัง
สดุ ทาย
-ในกรณีพิเศษ 2 ป ไดแก กรณีท่ีบุคคลน้ันอยแู ละหายไปในการรบหรอื สงครามนับแตแต
วันท่ีการรบหรือสงครามส้ินสุดลง หรือนับแตวันท่ียานพานะท่ีบุคคลน้ันเดินทางไดอับปาง ถูกทําลาย
หรือสูญหายไป หรือนับแตวันทเ่ี หตุอนั ตรายแกชีวติ ผา นพนไปแลว ถาบคุ คลนั้นตกอยใู นอันตรายเชน วา
น้ัน
2. เมื่อผมู สี ว นไดเสียหรือพนกั งานอยั การรอ งขอตอศาล เพื่อส่งั ใหบ ุคคลนั้นเปนคนสาบสูญ
เมื่อศาลไดม ีคําส่งั ใหเ ปน คนสาบสูญแลวใหโ ฆษณาคําส่งั นน้ั ในราชกิจจานุเบกษา
[72]
ผลของการเปน คนสาบสญู
เมอื่ ศาลไดสั่งใหบ ุคคลใดเปนคนสาบสญู แลว มผี ลดังน้ีคือ
1. ถือวาบุคคลน้ันถึงแกความตาย นับต้ังแตเม่ือครบกําหนดระยะเวลา 5 ป หรือ 2 ป
แลว แตก รณี (ตามมาตรา 62)
2. ถือวาบคุ คลนน้ั สิ้นสภาพบคุ คล ทรพั ยสนิ ทง้ั หลายเปน มรดกตกทอดแกทายาท
3. เวน แตในเรื่องการสมรส ซึ่งการสาบสูญไมท ําใหการสมรสสิ้นสุดลง เปนเพียงเหตุแหงการ
ฟอ งหยา เทานั้น (มาตรา 1516(5)) จะสมรสใหมทนั ทีไมไ ด ตอ งฟองหยากอน
การถอนคาํ ส่งั แสดงการสาบสูญ
คนสาบสญู อาจพน สภาพจากการเปน คนสาบสูญไดต ามหลักเกณฑดังตอไปนค้ี ือ
1. ถา พสิ จู นไ ดวา บุคคลนัน้ ยงั มีชวี ิตอยู หรอื ตายในเวลาอนื่ ทีผ่ ิดไปจากระยะเวลาที่มกี ารรอง
ขอให ศาลส่งั เปนคนสาบสญู
2. เมื่อบุคคลนัน้ เอง หรือผมู สี วนไดเ สยี หรอื พนักงานอัยการรองขอ และ
3. ศาลมีคําสง่ั ถอนคําสัง่ ใหเปนคนสาบสญู ซึง่ ตอ งโฆษณาคําสง่ั ศาลในราชกจิ จานเุ บกษาดว ย
ผลของการถอนคาํ สงั่ แสดงการสาบสญู
การเพิกถอนคําส่ังแสดงการสาบสูญไมกระทบกระท่ังถึงความสมบูรณแหงการท้ังหลายท่ีได
กระทําลงโดยสุจริต ในระหวางเวลาตั้งแตศาลสงั่ แสดงการสาบสูญ แตต องเสียสิทธิของตนไปเพราะศาล
สงั่ ถอนคําส่ังและการสาบสญู นั้น จาํ ตอ งสง คนื ทรัพยสนิ แตเ พยี งเทา ท่ียังเปน ลาภอยแู กต น
นิติบคุ คล
นิติบุคคล คือบุคคลตามกฎหมายท่ีกฎหมายสมมุติข้ึน และรับรองใหมีสิทธิและหนาท่ี
เชนเดียวกับบุคคลธรรมดา เชน มีสิทธเิ ปนเจาของทรัพยสนิ เปนคสู ัญญาทํานิติกรรม เปนโจทกฟ องคดี
หรือถูกฟอ งเปนจาํ เลยก็ได เวนแต สทิ ธแิ์ ละหนาทีบ่ างอยางท่ีมไี ดเฉพาะบคุ คลธรรมดาเทาน้นั เชน สิทธิ
ในครอบครวั สทิ ธใิ นทางการเมอื ง เปน ตน
ประเภทของนติ บิ ุคคล
1. นติ ิบุคคลตามประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย ไดแก ทบวงการเมือง วัดวาอาราม หาง
หนุ สว นทีจ่ ดทะเบยี นแลว บริษทั จํากดั สมาคม มลู นิธิที่ไดรับอํานาจแลว
2. นิติบคุ คลตามกฎหมายอืน่ ๆ
สิทธิและหนา ทขี่ องนิตบิ ุคคล
1. สิทธิและหนาท่ีภายในขอบวัตถุท่ีประสงค ซึ่งยอมเปนไปตามท่ีไดกําหนดไวในกฎหมาย
หรือขอบังคับ หรือตราสารจัดตั้งของนิติบคุ คลนั้น จะทําการอน่ื ใดนอกจากขอบวัตถปุ ระสงคทก่ี ําหนดไว
ไมไ ด
[73]
2. สิทธิและหนาที่ซ่ึงเหมือนกบั บุคคลธรรมดา เวนแต สิทธแิ ละหนาท่ีซ่ึงโดยสภาพจะ พึง
มี พึงเปนไดเฉพาะแตบุคคลธรรมดาเทาน้ัน เชน ไมอาจทําการสมรสได ไมสามารถเปนผูอนุบาลหรือผู
พิทักษ ไมม ีหนา ทรี่ ับราชการทหาร ไมม สี ิทธทิ างการเมือง เปนตน
หมายเหตุ นติ บิ คุ คลกระทําความผดิ ทางอาญาไดหรือไม -----> ได
การลงโทษอยางไร -----> รบิ ทรพั ย หรอื ปรบั
การจดั การนิติบคุ คล
เน่ืองจากนิติบุคคลเปนสิ่งไมมีชีวิตจิตใจ จึงไมสามารถท่ีจะแสดงเจตนาหรือทําการใดโดย
ตนเองได ดังน้ัน ป.พ.พ. มาตรา 70 วรรคสอง จึงบัญญัติวา “ ความประสงคของนิติบุคคลยอม
แสดงออกโดยผแู ทนของนิติบุคคล ”
อํานาจของผแู ทนนิตบิ คุ คล โดยปกติจะมกี าํ หนดไวใ นกฎหมาย หรือในขอบงั คบั หรอื ในตรา
สารจัดต้ังนิติบุคคลน้ัน ในกรณีท่ีนิติบุคคลมีผูแทนหลายคน การดําเนินกิจการของนิติบุคคลใหเปนไป
ตามเสียงขา งมาก เวนแต จะไดมกี ารกาํ หนดไวเปน ประการอนื่
ความรับผิดของผูแทนนิติบุคคล (ตามมาตรา 76) ถาผูแทนนิติบุคคลหรือผูมีอํานาจทําการ
แทนนิติบุคคล ไดทําการตามหนาท่ีและทําใหเกิดความเสียหายแกบุคคลอ่ืน นิติบุคคลน้ันตองรับผิด
ชดใชคาสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายน้ัน แตมีสิทธิไลเบ้ียเอาแกผูท่ีเปนตนเหตุทําใหเกิดความ
เสียหายน้ันในภายหลังได แตถาความเสียหายน้ันเกิดจากการกระทําซ่ึงมิไดอยูภายในขอบวตั ถุประสงค
ของนิติบคุ คลแลว นติ ิบคุ คลไมตอ งรับผดิ ชอบในการกระทํานั้น แตผทู ่ีจะตองรบั ผิดชอบใชค าเสยี หายคือ
บรรดาผแู ทนท่ีไดอ อกเสยี งลงมตใิ หทําการเชนน้ัน รวมทัง้ บรรดาผูแทนท่ไี ดล งมอื กระทําการน้ัน
ภูมลิ ําเนาของนติ ิบุคคล (ตามมาตรา 68 –69 )
ภูมลิ ําเนาของนิตบิ ุคคลนัน้ สามารถแบงออกได 3 แหง คือ
1. ถน่ิ ทีส่ าํ นักงานแหงใหญต ง้ั อยูห รอื ที่ต้ังทท่ี ําการตัง้ อยู
2. ถิน่ ทเ่ี ลือกเอาเปนภมู ลิ าํ เนาเฉพาะการตามขอบงั คบั หรอื ตราสารจดั ต้งั
3. ถ่ินท่ีมีสาขาสานักงานอันควรจดั เปนภูมลิ าํ เนาเฉพาะในสวนกิจการอันไดกระทํา
ณ ที่นั้น
การสน้ิ สภาพนติ บิ ุคคล
นิติบคุ คลอาจสิน้ สภาพไปดว ยเหตใุ ดเหตหุ น่งึ ดังนี้คือ
1. ตามท่รี ะบุไวในขอบงั คับหรือตราสารจัดตัง้
2. โดยสมาชิกตกลงใหเ ลิกกัน
3. เลกิ โดยผลของกฎหมาย เชน นิติบุคคลลม ละลาย
4. โดยคําสงั่ ศาลใหเ ลกิ เชน นิติบุคคลทําผดิ กฎหมาย
[74]
ทรัพย
ทรัพย หมายความวา วัตถุมีรูปราง และวัตถุมีรูปรางน้ันจะตองเปนวัตถุท่ีอาจมีราคาและ
ถือเอาไดดวยเชน คล่ืนสัญญาณดาวเทียมในอากาศไมมีรูปรางจึงไมใชทรัพย หรือมนุษยท่ีมีชีวิตอยู แม
จะมีรูปรา งแตไมใชวัตถุ และไมสามารถกาํ หนดราคาและถือเอาได ไมส ามารถจะซื้อขายกันได มนุษยจึง
มิใชทรัพย แตอวัยวะท่ีไดแยกออกจากรางกายแลว เชน เลือดท่ีบริจาค หรือเสนผมท่ีตัดออกและนําไป
ขาย ยอมมีราคาและถือเอาได จึงถือวาเปน ทรพั ย
ทรัพยสิน หมายความรวมท้ังทรัพยและวัตถุไมมีรูปราง ซ่ึงอาจมีราคาและถือเอาได คําวา “
วัตถุไมมีรูปราง ” หมายถึง ไมสามารถมองเห็นหรือสัมผัสได เชน แกส กําลังแรงธรรมชาติ พลังงาน
รวมท้ังสทิ ธติ าง ๆ เชน ลขิ สทิ ธ์ิ สิทธบิ ตั ร กรรมสทิ ธ์ิ เปน ตน ซึง่ วัตถุไมม รี ูปรางเปน ทรัพยส นิ ไมใช
ทรพั ย
ประเภทของทรัพย กฎหมายแบง ไวดงั น้ี คอื
1. อสังหารมิ ทรพั ยแ ละสงั หาริมทรัพย
2. ทรัพยแบง ไดและทรพั ยแบงไมได
3. ทรพั ยน อกพาณชิ ย
อสังหารมิ ทรพั ยแ ละสังหาริมทรพั ย
อสังหาริมทรัพย หมายความวา ท่ีดินและทรัพยอันติดอยูกับท่ีดินมีลักษณะเปนการถาวร
หรือประกอบเปนอันเดียวกับท่ีดินน้ัน และหมายความรวมถึงทรัพยสิทธิอันเก่ียวกับท่ีดินหรือทรัพยอัน
ตดิ อยูก บั ที่ดนิ หรือประกอบเปนอนั เดยี วกับทีด่ นิ น้ันดว ย
ประเภทของอสังหาริมทรัพย แบงออกเปน 4 จําพวก ไดแ ก
1. ทด่ี ิน หมายถงึ พน้ื ผวิ ดินที่อยบู นพื้นโลก เชน ภเู ขา หบุ เขาหรือเกาะ เปน ตน ท่ีดินถือเปน
อสังหาริมทรัพย แตเม่ือถูกขุดขึ้นมาแลวดนิ นั้นก็กลายเปน สังหารมิ ทรัพย
2. ทรพั ยสินอันติดอยูกับท่ีดิน หมายถึง ทรัพยท่ีติดตรึงตราแนนหนากับท่ีดินและมีลักษณะ
เปนการถาวรดวย เชน โรงเรือน สะพาน อนุสาวรีย กําแพง ไมยืนตน เปนตน แตถาเพียงตั้งวางอยูบน
พน้ื ดิน เชน บา นทรงไทยที่ซอื้ ไปประกอบในทีด่ นิ ของตน แผงลอย โรงราน โรงลิเกตามงานวดั ไมไ ดป ลูก
ติดตรึงตราแนนหนาถาวรกบั ท่ีดนิ ยอมไมเปนอสงั หาริมทรพั ย
3. ทรัพยท่ีประกอบเปนอันเดียวกับท่ีดิน หมายถึง ส่ิงตาง ๆ ท่ีรวมสภาพตามธรรมชาติกับ
ดนิ เชน หิน กรวด ทราย แรธ าตตุ าง ๆ ท่ีอยูในดินและเกิดข้ึนตามธรรมชาติ แตทรัพยสินท่ีฝงจมอยูดิน
เชนเหรียญเงิน สรอยทองท่ีทําตก สมบัติท่ีฝงอยูในดิน แมจะนานเทาใดก็ไมกลายเปนทรัพยประกอบ
เปน อนั เดียวกับที่ดนิ ไปได
4. ทรัพยสิทธิอันเก่ียวกับท่ีดินหรือทรัพยอันติดอยูกับท่ีดินหรือประกอบเปนอันเดียวกับ
ท่ีดิน ทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับท่ีดิน เชน กรรมสิทธิ์ในที่ดิน สิทธิครอบครอง สิทธิเก็บกิน สิทธิจํานอง
ภาระจํายอม สิทธิอาศัย เปนตน ทรัพยสิทธิในทรัพยอันติดกับท่ีดิน เชน กรรมสิทธ์ิในโรงเรือนหรือส่ิง
ปลูกสรา งตา ง ๆ เปนตน
สังหาริมทรัพย หมายความวา ทรัพยส ินอ่ืนนอกจากอสงั หาริมทรัพย และหมายความรวมถึง
สิทธิอันเก่ียวกับทรัพยสินน้ันดวย เชน บานท่ีซ้ือแบบร้ือไปประกอบท่ีอ่ืน สัตว รถยนต ปากกา หนังสือ
เสื้อผา แผงลอย โรงราน ไมลมลุก ธัญชาติตาง ๆ สิทธิครอบครอง สิทธิจํานา ลิขสิทธ์ิ สิทธิยึดหนวง
สิทธใิ นเครอื่ งหมายการคา เปนตน
[75]
ประเภทของสังหาริมทรัพย แบง ออกเปน 2 ประเภท ไดแก
1. สังหาริมทรัพยธรรมดา ทเ่ี ห็นโดยทัว่ ๆ ไป เชน รถยนต ทีวี เปน ตน
2. สังหารมิ ทรพั ยพเิ ศษ ไดแก เรือมีระวางตง้ั แตห า ตนั ข้นึ ไป แพ และ สัตวพาหนะ เชน ชาง
มา วัว ควาย ลา ลอ เปน ตน
3. สิทธิทั้งหลายอันเก่ียวกับสังหาริมทรัพย เชน ลิขสิทธ์ิในหนังสือท่ีเขียน สิทธิจํานา ใน
การทํานิติกรรมเกย่ี วกับสังหาริมทรัพยธรรมดาน้ัน กฎหมายไมไดกาํ หนดแบบไว จะทําเปนหนังสือหรือ
โดยกรยิ าอาการอยา งใดก็ได แตถาทรัพยนนั้ มีราคาต้ังแต 20,000 บาทขึน้ ไป ถาจะฟอ งรองบังคับคดกี ัน
แลวจะตองมีหลักฐานเปนหนังสือดวย สวนการทํานิติกรรมเก่ียวกับสังหาริมทรัพยพิเศษจะเหมือน
อสังหาริมทรัพย คือตองทําเปนหนังสือและจดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาที่ มิฉะนั้นนิติกรรมจะตก
เปนโมฆะ
ขอ แตกตา งระหวา อสังหาริมทรัพยแ ละสังหาริมทรัพย
1. อสังหาริมทรัพยมีเจาของเสมอ แมไมเปนของใครก็ตกเปนของแผนดิน แตสังหาริมทรัพย
อาจไมม ีเจาของได
2. ทรัพยส ิทธบิ างอยา ง เชน ภาระจํายอมสิทธิอาศยั สิทธเิ ก็บกนิ สทิ ธเิ หนอื พน้ื ดนิ และภาระ
ติดพนั ในอสังหาริมทรัพย จะกอใหเกิดข้ึนไดกแ็ ตใ นอสังหารมิ ทรัพยเทานั้น
3. การไดก รรมสิทธโ์ิ ดยการครอบปรปกษ สําหรบั อสังหาริมทรพั ยมีกําหนดระยะ เวลา
10 ป แตส งั หาริมทรัพยก ําหนดระยะเวลา 5 ปเ ทาน้นั
ขอ ควรพจิ ารณา องคป ระกอบการครอบครองปรปก ษ
1) เปนการครอบครองทรพั ยสนิ ของผอู น่ื และทรัพยนนั้ ตองมีกรรมสทิ ธิ์
2) การครอบครองโดยสุจรติ สงบ เปดเผยและมีเจตนาเปนเจาของ
3) ถาเปนอสงั หาริมทรัพยต องครอบครอง 10 ป สงั หาริมทรัพย 5 ป
4. นติ ิกรรมท่ีเกย่ี วกบั อสงั หาริมทรพั ยต องทําตามแบบทีก่ ฎหมายกําหนดไว มฉิ ะนนั้ จะตกเปนโมฆะ แต
สังหาริมทรพั ยโดยทวั่ ไปไมมีแบบ เวน แตสังหารมิ ทรพั ยพเิ ศษ
5. อสงั หาริมทรพั ยม แี ดนกรรมสิทธท์ิ ้งั เหนือและใตพื้นดิน แตส งั หารมิ ทรัพยจ ะไมม ีแดนกรรมสิทธ์ิ
ทรัพยแบงไดและทรพั ยแ บงไมไ ด
ทรัพยแบงได คือ ทรัพยท่ีสามารถแบงแยกออกจากกันได และสวนท่ีแยกออกมาน้ันไดรูป
สัดสวนบริบรู ณ ลําพงั ในตัวเอง เชน ทีด่ ิน ผา เปน พบั ๆ ขา ว น้ํามนั สรุ า เปนตน
ทรัพยแบงไมได คือ ทรัพยท่ีไมสามารถแบงแยกออกจากกันได นอกจากจะเปล่ียนแปลง
ภาวะของทรพั ย และหมายความรวมถึงทรัพยท ่มี ีกฎหมายบัญญตั ิวา แบง ไมไดดว ย
ทรพั ยแบงไมไ ด ไดแก ทรัพยอยา งใดอยา งหน่ึง ดงั นี้
1. ทรัพยท่ีแบงไมไดโดยสภาพ คือทรัพยซ่ึงเม่ือแบงแยกจากกันแลว จะทําใหเปล่ียนแปลง
ภาวะหรอื รูปลกั ษณะของทรัพยผดิ ไปจากเดิม เชน ตกึ รถยนต เสื้อกางเกง หนงั สอื ชาง โตะเกาอ้ี
2. ทรพั ยท ่แี บง ไมไดตามกฎหมาย คอื กฎหมายบญั ญตั หิ ามแบงออกไว แมวาโดยสภาพตัว
ทรพั ยน ัน้ อาจแบง แยกไดก ต็ าม เชน หนุ ของบรษิ ัทจากดั ทรพั ยสว นควบ ภาระจํายอมหรือสิทธจิ ํานอง
[76]
ทรัพยนอกพาณิชย
คือ ทรัพยท ี่ไมส ามารถถือเอาไดแ ละทรัพยท่ีโอนแกก นั มิไดโ ดยชอบดวยกฎหมาย ซ่ึงแบงออก
ได 2 ชนิดดังนี้
1. ทรพั ยท่ีไมสามารถถือเอาได หมายถึง สงิ่ ที่ไมถอื เปนทรพั ยตามกฎหมาย ไมอาจนํามาเปน
วัตถุแหงสิทธิหรือนํามาจําหนายจายโอนไดน่ันเอง เชน ดวงจันทร ดวงดาว สายลม แสงแดด กอนเมฆ
น้าํ ทะเล (ทรัพยท ี่อยนู อกโลกทงั้ หลายเปน ทรัพยนอกพาณิชย)
2. ทรัพยซ่ึงไมสามารถโอนกันไดโดยชอบดวยกฎหมาย หมายถึง ทรัพยสินซ่ึงจะนํามา
จําหนายจายโอนดังเชนทรัพยสินท่ัว ๆ ไปมิได กลาวคือ เปนทรัพยท่ีเม่ือไหรจะมีการโอนแลวตองไป
ออกกฎหมายพิเศษ เชน พระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา และจะตองเปนทรัพยท่ีมีกฎหมาย
บัญญัติหามโอนไวโดยตรง และหามโอนตลอดไปดวย เชน สาธารณสมบัติของแผนดิน ที่วดั และที่ธรณี
สงฆ
สวนควบ อปุ กรณ ดอกผล
สวนควบ
สวนควบของทรัพย หมายความวา สวนซ่ึงโดยสภาพแหงทรัพยหรือโดยจารีตประเพณีแหง
ทองถ่ินเปนสาระสําคัญในความเปนอยูของทรัพยน้ัน และไมอาจแยกจากกันได นอกจากจะทําลาย ทํา
ใหบุบสลายหรอื ทําใหทรพั ยน้ันเปล่ียนแปลงรูปทรงหรอื สภาพไป เจา ของทรพั ยยอมมีกรรมสิทธ์ิในสวน
ควบของทรพั ยน น้ั
สาระสําคญั ของสวนควบ
1. เปนสังหาริมทรัพยหรืออสังหาริมทรัพยต้ังแต 2 สิ่งข้ึนไปมารวมกัน ทรัพยท่ีนํามา
รวมกันนั้นจะมีรปู ลักษณะเหมือนกันหรือไมกไ็ ด แตจะตองมีสภาพแยกจากกันมากอนที่จะนํามารวมกัน
เชน อวยั วะของสัตว ซ่งึ เกดิ ขึ้นมาพรอ มกบั ตวั สตั ว ไมถ ือเปน สว นควบของสัตว
สรุปก็คือ ตองมีทรัพยป ระธาน แลวมที รัพยอ ืน่ มาประกอบและจะแยกจากกนั ไมไ ด
2. ตองเปนสาระสําคัญในความเปนอยูของทรัพยน้ัน กลาวคือ ถาปราศจากทรัพยท่ีเปน
สว นควบแลว ทรัพยน ั้นจะหมดสภาพความเปน ทรัพยท สี่ มบูรณไ ป เชน รถยนตตอ งมเี คร่อื งยนต มีลอ มี
พวงมาลัย ถาไมมีแลวก็ไมสามารถท่ีจะแลนได เรียกวา เปนสาระสําคัญในความเปนอยู แตวิทยุ
เคร่ืองปรับอากาศ กระจกสองขาง กระจกสองหลังน้ัน ไมเ ปนสาระสําคัญของรถยนต จงึ ไมเปนสวนควบ
ของรถยนต
สรุปกค็ อื ทรัพยท ่ีมาประกอบตองเปน สาระสําคัญและเปน ประโยชนแ กตัวทรพั ยประธาน
3. ผเู ปน เจาของทรพั ยประธาน ยอ มเปนเจาของสวนควบ
ประเภทของสวนควบ
1. สวนควบโดยธรรมชาติ คือ การไดกรรมสิทธิ์ใน “ที่งอกริมตลิ่ง” ตาม ป.พ.พ. มาตรา
1308 บัญญัติวา “ท่ีดินแปลงใดเกิดที่งอกรมิ ตล่งิ ท่ีงอกยอ มเปนทรัพยสินของเจา ของทดี่ ินแปลงน้ัน” ที่
ชายตล่ิง คือ ท่ีๆ นํ้าทวมถึงในฤดูนํ้าหลาก ซ่ึงกฎหมายถือวาท่ีชายตล่ิงเปนสาธารณสมบัติของแผนดิน
ประชาชนใชป ระโยชนร ว มกนั ใครจะไปจบั จองถอื กรรมสทิ ธไ์ิ มไ ด
[77]
ที่งอกรมิ ตล่ิง คือ ที่ๆ ซึ่งตามปกติน้าํ ทว มไมถึง จะเกิดขนึ้ ไดมักจะเปนท่ซี ่งึ อยตู ดิ กบั แมนํ้า ลาํ
คลอง หรอื ทะเล อันเปนที่สาธารณะ(ท่ีชายตล่ิง) ซ่ึงนํา้ ทว มถงึ ตอ มาไดง อกเงยข้ึนจนนํ้าทวมไมถึง
กลายเปน ท่ีงอกริมตลิ่ง (เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ)
2. สวนควบโดยการปลกู สรา ง ไดแ ก
(1) การสรางโรงเรือนในท่ีดินของผูอ่ืนโดยสุจริต กฎหมายกําหนดใหเจาของท่ีดินเปน
เจาของโรงเรอื นนนั้ ๆ แตตองใชค าแหง ทีด่ นิ เพียงทเี่ พ่มิ ข้ึน เพราะการสรา งโรงเรือนนนั้ ใหแกผสู รา ง
(2) การสรางโรงเรือนในทีด่ นิ ของผูอนื่ โดยไมส ุจรติ กฎหมายกาํ หนดใหบ ุคคลนนั้ ตองทํา
ทีด่ นิ ใหเปน ตามเดมิ แลว สง คืนเจาของ เวน แตเ จา ของทด่ี นิ จะเลอื กใหสง คืนตามท่เี ปน อยู ในกรณเี ชน น้ี
เจาของท่ดี ินตองใชราคาโรงเรือนหรอื ใชค าแหงที่ดนิ เพยี งทเ่ี พ่มิ ขึน้ เพราะการสรางโรงเรือนนัน้ แลวแต
เจา ของท่ดี ินจะเลือก
(3) การสรางโรงเรือนรุกล้ําเขาไปในท่ีดินของผอู ื่นโดยสุจรติ กฎหมายกําหนดใหบคุ คลนั้น
เปนเจาของโรงเรือนท่ีสรา งข้ึน แตตอ งเสียเงนิ ใหแ กเจาของท่ีดินเปนคา ใชท่ีดินน้ัน และจดทะเบียนสิทธิ
เปนภาระจํายอมถาภายหลังโรงเรือนน้ันสลายไปท้ังหมด เจาของท่ีดินจะเรียกใหเพิกถอนการจด
ทะเบียนเสียกไ็ ด
(4) การสรางโรงเรือนรุกลาเขาไปในท่ีดินของผูอ่ืนโดยไมสุจริต กฎหมายกําหนดไววา
เจาของท่ดี ินจะเรยี กใหผ ูส รา งรอ้ื ถอนไป และทําทีด่ นิ ใหเ ปนตามเดมิ โดยผูสรางเปน ผอู อกคา ใชจ ายก็ได
(5) การสรางส่ิงอ่ืน ปลูกตนไม หรือธัญชาติในท่ีดินของผูอ่ืน ก็เปนไปตามหลักเกณฑของ
ขอ (1) ถึงขอ (4) ดวยเชนกัน เชน แดงสรางอนุสาวรีย สะพาน กําแพง รวมทั้งปลูกตนไมลงไปในท่ีดิน
ของดํา โดยคิดวาเปนท่ีดินของตน ตามกฎหมายดํายอมเปนเจาของส่ิงปลูกสรางเหลาน้ัน รวมท้ังตนไม
แตตองใชคาแหงท่ีดินเพียงท่ีเพิ่มข้ึนใหแกแดง นําเอาเร่ืองการสรางโรงเรือนลงในที่ดินของผูอื่นโดย
สุจริตตามขอ (1) มาปรบั ใช
ขอยกเวนของสวนควบ คือ ไมเ ปนสว นควบแตตอ งปฏิบตั เิ หมอื นสว นควบ ไดแก …
ขาวหรอื ธญั ชาติอยางอื่นอนั จะเกบ็ เก่ยี วรวงผลไดคราวหน่งึ หรอื หลายคราวตอป เจา ของทีด่ ิน
ตองยอมใหบุคคลผูทําการโดยสุจริต หรือผูเปนเจาของท่ีดินโดยมีเง่ือนไขซึ่งไดเพาะปลูกลงไวนั้น คง
ครองท่ีดินจนกวาจะเสร็จการเก็บเก่ียวโดยใชเงนิ คํานวณตามเกณฑคาเชาท่ีดินน้ัน หรือเจาของท่ีดินจะ
เขาครอบครองในทันทโี ดยใชคา ทดแทนใหแ กอ ีกฝา ยหนึง่ ก็ได
ขอยกเวน ทไี่ มเ ปน สวนควบ ไดแก
1. ไมลมลุกและธัญชาติอันจะเก็บเก่ียวรวงผลไดคราวหน่ึงหรือหลายคราวตอป เชน พืชผัก
ตา งๆ ขา วตางๆ (สว นไมย นื ตน เปน สวนควบกับท่ดี ินและเปนอสงั หารมิ ทรพั ย)
2. ทรพั ยซึ่งติดกบั ทีด่ ินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชว่ั คราว เชน แผงลอย , โรงรา น, โรงลิเก
3. โรงเรือนหรือส่ิงปลูกสรางอยางอ่ืนอันผูมีสิทธใิ นท่ีดินของผูอ่ืนใชสิทธิปลูกสรางทําลงไวใน
ท่ีดินน้ัน เชน ทําสัญญาเชาท่ีดินเพ่ือปลูกสรางบานโดยคูสัญญามีสัญญาตอกันท่ีจะปลูกสรา งบานลงบน
ทดี่ ิน ปลูกโรงเรอื นในทีด่ ินของผอู ื่นโดยเจาของท่ดี ินยินยอมใหป ลกู อาศยั เปน ตน
[78]
อุปกรณ
ลกั ษณะของอปุ กรณ จะตองมีองคป ระกอบดังนี้
1. ตองเปนสงั หาริมทรัพย เชน รถยนตเปนทรัพยที่เปนประธาน แมแ รง ยางรถยนตและลอ
อะไหล ซ่ึงเปน สังหาริมทรพั ยยอมเปนอุปกรณของรถยนต แตโ รงรถซง่ึ เปนอสังหาริมทรัพยไมถือวาเปน
อุปกรณ
2. ตองมีทรัพยประธานเสมอ หมายถึง มีทรัพยเปนประธานอยู แลวจึงนําอุปกรณมาสู
ทรัพยประธาน หรืออาจจะไดทรัพยเปนประธานและอุปกรณมาพรอมกัน โดยอุปกรณติดมากับทรัพย
เปนประธานก็ได หรืออาจเปนกรณีท่ีผูอ่ืนนํามาใหเจาของทรัพยเปนประธานก็ได ไมจําเปนท่ีเจาของ
ทรัพยเ ปนประธานจะตองนํามาสูทรัพยดว ยตนเอง เชน มนี กอยแู ลว ตอมาเจาของนกซื้อกรงนกมาหรือ
คนอ่ืนนํามาให กรงนกยอมเปนอุปกรณของนก แตถา มกี รงนกอยแู ลวตอ มาไปซื้อนกมาเลี้ยงในกรง ดังน้ี
นกยอมไมใชอุปกรณของกรงนก
3. เจาของทรัพยประธานนํามาติดตอ หรือปรับเขาไว หรือทําโดยประการอ่ืนใดในฐานะ
เปนของใชประกอบกับทรัพยท่ีเปนประธาน ไมถึงกับตองรวมสภาพเหมือนอยางสวนควบ เพียงแต
เจาของทรัพยนาํ เขามาติดตอ หรอื ปรบั เขาไวก ็พอแลว
4. ใชประจําอยกู ับทรัพยเ ปนประธานนัน้ เปนอาจิณ เพอ่ื ประโยชนแกก ารดูแลหรือใชสอย
หรือรักษาทรัพยที่เปนประธาน เชน กรงนกมีไวเพื่อประโยชนในการดูแลรักษานก ปลอกคอสุนัขเพื่อใช
สอยกับสุนัข ปลอกแวนตาเพื่อรักษาแวนตา ผาใบคลุมรถยนตเพื่อรักษารถยนต แตท่ีสําคัญคือ เพื่อ
ประโยชนกบั ตัวทรัพยเ ปนประธานเทานน้ั ไมใชเ พื่อประโยชนข องเจา ของทรัพย เชน วิทยุ แอร ไมถือวา
เปนอุปกรณของรถยนต หรือเครอ่ื งเรือนภายในบานมิไดม ไี วเ พื่อประโยชนของตวั บาน จึงไมใชอ ุปกรณ
5. ใครเปนเจาของทรพั ยประธาน จะเปนเจาของเคร่ืองอปุ กรณ
ดอกผล
ดอกผลของทรัพย คือ ส่ิงท่ีเพ่ิมพูนงอกเงยข้ึนจากตัวทรัพย มี 2 ประเภท คือ ดอกผล
ธรรมดา และดอกผลนติ นิ ัย (มาตรา 148)
1. ดอกผลธรรมดา
หมายถึง สงิ่ ทเ่ี กิดข้ึนตามธรรมชาตขิ องทรัพย ซึ่งไดมาจากตัวทรัพยโ ดยการมีหรือใชท รัพย
นนั้ ตามปกตนิ ยิ ม และสามารถถอื เอาไดเม่ือขาดจากทรัพยน้นั เชน ผลไม นํา้ นมสัตว ขนสตั ว ลกู สัตว
หนอ ไม เห็ด เปน ตน
2. ดอกผลนติ ินัย
หมายถึง ทรัพยหรือประโยชนอยางอ่ืนท่ีไดมาเปนคร้ังคราวแกเจาของทรัพย จากผูอ่ืนเพ่ือ
การที่ไดใชทรพั ยนน้ั สามารถคํานวณและถอื เอาไดเ ปน รายวนั หรอื ตามระยะเวลาท่ีกาํ หนดไว เปน ดอก
ผลทสี่ มมตุ ขิ ึน้ มาตามกฎหมาย เลน ดอกเบ้ยี กาํ ไร คาเชา เงินปน ผล ลาภหรือรายไดอยางอน่ื ๆ เปนตน
[79]
บุคคลสทิ ธิและทรพั ยสทิ ธิ
บุคคลสิทธิ
บุคคลสิทธิ คือ สิทธิท่ีมีอยูเหนือบุคคล ซ่ึงมีวัตถุแหงสิทธิท่ีเปนบังคับใหกระทําการหรืองด
เวนกระทําการอยางใดอยางหน่ึงหรือสงมอบทรัพยสินให ซ่ึงอยูในรูปของสิทธิเรียกรองตางๆ เชน สิทธิ
ของเจาหนต้ี ามสัญญากู สิทธิเรียกคาสินไหมทดแทนในทางละเมดิ เปนตน สทิ ธิเรยี กรองเหลา น้เี ปนสทิ ธิ
ที่จะบังคับเอากับลูกหน้ีเทาน้ัน จะบังคับเอากับตัวทรัพยไมได และเปนสิทธิที่ไมอาจใชยันแกบุคคล
ทวั่ ไปได จะบังคับไดเฉพาะตัวลกู หน้ี ทายาท หรือผูสบื สิทธิของลูกหน้ีเทาน้นั
ทรัพยสิทธิ
ทรัพยสิทธิ คือ สิทธิของบุคคลท่ีมีอยูเหนือทรพั ยสินโดยตรง ซง่ึ มีวัตถุแหงสทิ ธิเปน ทรัพยสิน
เชน กรรมสิทธ สิทธิครอบครอง สิทธิจํานองสทิ ธิจํานาํ สิทธิยดึ หนว ง ภาระจาํ ยอมเปน ตน ซง่ึ ทรัพยสทิ ธิ
อาจมีวัตถุแหงสิทธิเปนทรัพยสินท่ีไมมีรูปรางก็ได เชน ลิขสิทธ์ิ สิทธิบัตร เปนตน และบุคคลหน่ึงอาจมี
สิทธิในทรพั ยส นิ ของผอู ่ืนได เชน สทิ ธอิ าศยั สิทธเิ กบ็ กิน สทิ ธิเหนือพ้นื ดนิ เปนตน
ทรพั ยสิทธจิ ะกอ ตั้งขน้ึ ไดก โ็ ดยอาศัยอํานาจของกฎหมายเทา น้ัน และใชย นั แกบ คุ คลไดท ั่วไปไมจาํ กัด
ขอ แตกตางระหวา งบคุ คลสิทธแิ ละทรัพยสทิ ธิ
บุคคลสทิ ธิ ทรัพยสิทธิ
1. มวี ตั ถุแหง สิทธเิ ปน การกระทําหรอื งดเวน กระทํา 1. มวี ตั ถุแหง สทิ ธเิ ปนทรัพยส ิน (ท้งั มรี ูปรางและไม
การ มีรูปรา ง)
2. เกิดขึ้นไดโดยนติ ิกรรมหรือโดยนติ ิเหตุ 2. เกดิ ขึ้นไดโดยอาศยั อาํ นาจของกฎหมายเทานน้ั
3. ใชบ งั คับไดระหวา งคูสญั ญาเทานั้น 3. ใชยันแกบคุ คลทั่วไปไดไมจํากัด
4. กอ ใหเ กิดหนา ท่แี กบคุ คลโดยเฉพาะเจาะจง 4. กอใหเ กิดหนาท่ีแกบคุ คลทั่วไป ท่ีจะตองเคารพ
เทา น้นั (เปน หนาท่ีของลูกหนี้) สิทธขิ องเจา ของทรพั ยส ิน
5. มีลักษณะไมถ าวร และยอมสิ้นไปถาไมใ ชส ทิ ธินี้ 5. มลี ักษณะคงทนถาวร และไมห มดสิ้นไปโดยการ
ภายในเวลาทก่ี ฎหมายกําหนดไว ไมใช
การไดม าซึ่งทรัพยสทิ ธิ
ทรัพยสิทธอิ าจไดม าโดย 2 ทางคือ
1. การไดมาซึ่งทรัพยสิทธิโดยผลของนิติกรรม นิติกรรมท่ีกอใหเกิดทรัพยสิทธินั้นตองมี
กฎหมายบัญญัตถิ ึงทรัพยสิทธิน้ันไวโดยเฉพาะเปนเร่ืองๆ ไป เชน การทําสัญญาซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให
สทิ ธิอาศัย สทิ ธิเก็บกิน จะไดมาก็แตโ ดยนิตกิ รรมเทาน้ัน
2. การไดมาซึ่งทรัพยสทิ ธิโดยทางอ่ืนนอกจากนิตกิ รรมหรือโดยผลของกฎหมาย เชน การ
ไดมาโดยทางมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมหรือผูรับพินัยกรรม โดยการครอบครองปรปกษ โดยคํา
พิพากษาของศาล การไดตามหลกั สวนควบ การไดที่งอกรมิ ตล่ิง สิทธิในเคร่อื งหมายการคา ตามกฎหมาย
เปนตน
ประเภทของทรัพยสิทธิ
ทรัพยสิทธิแบงออกเปน 7 ประเภท ไดแก กรรมสิทธ์ิ สิทธิครอบครอง ภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิ
เหนอื พ้ืนดิน สิทธิเกบ็ กนิ และภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย
[80]
1. กรรมสิทธ์ิและการใชกรรมสิทธ์ิ
ก. กรรมสิทธิ์ ในทรพั ยสิทธิท้ังหลาย “ กรรมสิทธิ์ ” เปนสิทธทิ ี่สําคัญท่สี ดุ กรรมสิทธนิ น้ั อาจ
ไดม าโดยผลของนติ กิ รรมหรือผลของกฎหมาย ดังน้ี
1. การไดกรรมสิทธิมาโดยอาศัยหลักสวนควบ กลาวคือ ผูเปนเจาของทรัพยใดยอมเปน
เจาของสวนควบดวย เชน ผูซ้ือท่ีดินแมไมไดซ้ือบานท่ีปลูกบนท่ีดินน้ันก็ยอมเปนเจาของบานน้ันดวย
หรอื ที่งอกริมตลิง่ ยอ มเปนทรัพยสินของเจาของทดี่ ินแปลงนัน้
2. การไดกรรมสิทธิมาโดยเขาถือครองเอาสังหาริมทรัพยไมมีเจาของ สังหาริมทรัพยท่ีไมมี
เจา ของ อาจเปน เพราะ
1) เจา ของเดิมสละกรรมสิทธิ เชน ของท่ีเขาทิง้ แลว สตั วทีเ่ ขานํามาปลอ ย
2) เปนทรัพยท ี่ไมเคยมีเจาของมากอน เชน ของปา สัตวปา สตั วน า้ํ ในทะเล เวนแตก ารถือ
ครองจะตองหามตามกฎหมาย เชน การจับสัตวปาบางประเภทตาม พ.ร.บ. สัตวปาสงวนและการ
คมุ ครองสตั วป า
ขอสงั เกต กรณเี ปน ทรัพยส นิ หาย ผูเก็บไดจะไดกรรมสทิ ธิหรือไม หรือจะตองทําอยางไร
1) เกบ็ ทรัพยได ใหสง มอบเจา ของหรือมอบใหแกตาํ รวจหรอื เจา พนักงานภายใน ......... วนั
2) ผเู กบ็ ไดและสงมอบแกเ จาของทรพั ย ---> 30,000 บาท แรก ได 10% สวนทเ่ี กิน ได 5%
3) ผูเก็บทรัพยไดและสงมอบแกต าํ รวจหรอื เจา พนกั งาน ---> เจาของทรัพยตองเสียคา ธรรมเนียม 2.5%
4) เจา ของไมเ รยี กรองทรัพยค ืนภายใน 1 ปนบั แตว นั เกบ็ ทรัพยไ ด ---> เปน กรรมสิทธขิ์ องผเู กบ็
5) สังหารมิ ทรัพยม ีคาซง่ึ ซอนหรอื ฝงไวแ ละไมมีเจาของ ---> กรรมสิทธ์ิตกแกแผน ดินผเู กบ็ ไดรับ 1/3
6) จากขอ 5. ถา เปนวตั ถโุ บราณ ผเู ก็บไดร บั 10% ของคาทรพั ยสนิ นน้ั
3. การไดกรรมสทิ ธมิ าโดยสุจรติ ในพฤติการณพ ิเศษ กลา วคอื สิทธขิ องผูท่ีไดทรพั ยมาโดย
สุจริตและเสียคาตอบแทนยอมไมเสียไป แมวาผูโอนทรัพยสินจะไดทรัพยสินมาโดยนิติกรรมท่ีเปน
โมฆียะหรือโมฆะ การซ้ือทรัพยสินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคําส่ังศาลหรือตามทองตลาด
แมวาทรัพยส นิ น้ันไมใชข องผทู ถ่ี กู นํามาขายทอดตลาดก็ตาม
4. การไดก รรมสทิ ธมิ าโดยการครอบครองปรปกษ กลา วคือ การเขาครอบครองทรัพยส นิ ที่
เปนกรรมสิทธิของผูอ่ืนไวโดยสงบและเปดเผย ดวยเจตนาเปนเจาของ ถาเปนอสังหาริมทรัพย ได
ครอบครองติดตอกันเปนเวลา 10 ป หรือถาเปนอสังหาริมทรัพยไดครอบครองติดตอกันเปนเวลา 5 ป
บุคคลนนั้ ยอมไดกรรมสทิ ธิ
ข. การใชกรรมสิทธิ ผูมีกรรมสิทธิในทรัพยสินใดยอมมีสิทธิท่ีจะใชสอยทรัพยสินน้ัน หรือ
จําหนาย หรือติดตามเอาคืนจากผูไมมีสิทธิจะยึดถือไว หรือขัดขวางไมใหผูใดเขามาเกี่ยวของกับ
ทรัพยสินโดยมิชอบดวยกฎหมาย อยางไรก็ตามการใชกรรมสิทธิดังกลาวอาจถูกจํากัดโดยกฎหมายได
เชน
1. เจาของบานจะทําหลงั คําหรอื สง่ิ ปลกู สรางอยา งอน่ื ซ่งึ ทําใหน ้าํ ฝนตกลงยงั ทรัพยส นิ ของ
ผอู ่นื ซง่ึ อยูติดตอกนั ไมไ ด
2. จะขุดบอ หรือหลุมรบั ส่งิ โสโครกในระยะ 2 เมตร จากแนวเขตทด่ี ินไมได
3. จะถมท่ีดนิ ของตนจนสูงทําใหน้ําไหลทว มท่ีขางเคยี งไมไ ด
4. การถูกจํากดั สิทธเิ พราะ “ ทางจาํ เปน ” หรือ “ ภาระจาํ ยอม”
[81]
2. สทิ ธิครอบครอง
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 1367 บัญญัติวา “บุคคลใดยึดถือทรัพยสินโดย
เจตนาจะยึดถอื เพือ่ ตน ทา นวาบคุ คลน้ันไดซึง่ สิทธิครอบครอง”
สิทธิครอบครองเปนทรัพยสิทธิชนิดหน่ึงท่ีไดมาตามขอเท็จจริงอาจมีไดท้ังในสังหาริมทรัพย
และอสังหาริมทรัพย เปนสิทธิท่ีมีอยูไดตราบเทาท่ีครอบครองและอาจอยูไดโดยลําพังหรือแทรกอยูใน
สิทธิอ่ืนๆ ก็ไดท้ังนี้โดยผูทรงสิทธิอาจเปนเจาของหรือมิใชเจาของทรัพยก็ได สิทธิน้ีอาจไดมาโดยการ
ยดึ ถือดวยตนเอง ผูอน่ื ยดึ ถอื ไวใ หห รือไดมาโดยการเปลยี่ นลักษณะแหง การยึดถือก็ได สิทธิครอบครองนี้
อาจสน้ิ สุดไปไดโ ดยการถูกแยง การครอบครอง การสละเจตนาครอบครอง หรอื การโอนการครอบครองก็
ได
3. ภาระจํายอม
ภาระจํายอม คือ ทรัพยสิทธิชนิดหน่ึงท่ีตัดทอนอํานาจกรรมสิทธ์ิโดยทําใหเจาของ
อสังหารมิ ทรัพยอันหน่ึงซึ่งเรียกวา ภารยทรพั ย ตองรบั กรรมบางอยางซ่ึงกระทบกระเทือนทรัพยส ินของ
ตนน้ัน หรอื ทําใหเ จาของอสังหาริมทรพั ยตองงดเวน การใชสิทธิบางอยางเก่ียวกับกรรมสิทธ์ิในทรัพยสิน
นนั้ เพ่อื ประโยชนข องอสงั หารมิ ทรัพยอ ืน่ เรยี กวา สามยทรัพย
การไดม าซง่ึ ภาระจํายอมมี 3 กรณี คือ
1. โดยนติ ิกรรมสญั ญา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 คือ ตองทําเปน หนงั สอื และจดทะเบียน
การไดมาซ่งึ ภาระจํายอมอันกอใหเ กดิ ทรพั ยสทิ ธิทีส่ มบรู ณใชย นั บคุ คลภายนอกได
2. โดยอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 คือ การครอบครองปรปกษโดยความสงบและ
เปดเผยดวยเจตนาเปนเจาของและไดครอบครองติดตอ กันเปนเวลา 10 ปแลว และการไดภาระ จํา
ยอม น้ีอาจนําเอามาตรา 1382 มาใชบ ังคบั ได
3. โดยผลแหงกฎหมาย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1312 ใหผูปลูกสรางโรงเรือนรุกลาโดยสุจริตมี
สิทธิจดทะเบียนภาระจํายอมเหนือท่ีดินท่ีรุกลํ้าน้ัน ตามมาตรา 1352 เจาของท่ีดินยอมใหผูอ่ืน วางทอ
น้ํา สายไฟฟา หรือส่ิงอื่นใดอันมีลักษณะคลายกัน ผานท่ีดินเพื่อประโยชนแกที่ดินที่ติดตอ เม่ือไดรับ
คาตอบแทนพอสมควร
4. สิทธอิ าศัย
สทิ ธอิ าศยั คือ ทรพั ยสิทธิอยางหนงึ่ ซงึ่ ผูท รงสิทธมิ ีสิทธทิ ่ีจะอยูอาศัยในโรงเรือนของผูอื่นโดย
ไมต องเสียคาเชา
สาระสาํ คัญเพิ่มเตมิ
1) สทิ ธิอาศัยนน้ั จะกอ ใหเกดิ โดยมกี ําหนดเวลาหรือตลอดชีวติ ของผูอาศัยก็ได
2) ถาไมมีกําหนดเวลาไว สิทธิน้ันจะเลิกเสยี ในเวลาใด ๆ ก็ไดแตตองบอกลวงหนาแกผูอาศัย
ตามสมควร
3) ถาใหสิทธิอาศัยโดยมีกําหนดเวลา กําหนดน้ันตองไมเกินสามสิบป ถากําหนดไวนานกวา
นนั้ ใหลดลงมาเปนสามสิบป การใหสิทธิอาศัยจะตออายุก็ได แตตองกําหนดเวลาไมเกินสามสิบปนบั แต
วนั ทําตอ
4) สิทธิอาศัยจะจดทะเบียนไดเฉพาะในโรงเรือนเทานั้น จะจดทะเบียนสิทธิอาศัยในที่ดิน
ไมได
5) สทิ ธิอาศัยโอนกันไมไ ดแ มโดยทางมรดก
[82]
5. สทิ ธเิ หนอื พื้นดิน
สิทธิเหนอื พืน้ ดิน เปนทรัพยสิทธปิ ระเภทหนึ่ง โดยเปนสิทธทิ บี่ ุคคลจะเปนเจาของโรงเรือน
สง่ิ ปลกู สรา ง หรอื ส่งิ เพาะปลูก บนทด่ี นิ ของผอู น่ื หรือใตพ้ืนดนิ แหง ท่ดี นิ ของผูอน่ื บุคคลผูมสี ิทธิเชน น้ี
เรยี ก "ผทู รงสทิ ธเิ หนอื พื้นดิน"
6. สิทธิเกบ็ กิน
สิทธิเก็บกิน เปนทรัพยสิทธิประเภทหน่ึง โดยเปนสิทธิท่ีบุคคลสามารถครอบครอง ใช และ
ถือเอาซ่ึงประโยชนจากอสังหารมิ ทรัพยของบุคคลอ่ืน เปนตนวา เจาของท่ีนามีสิทธิใชท่ีนาโดยประการ
ตางๆ ผูทรงสิทธิเก็บกินในท่ีนาน้ันก็ใชท่ีนาทํานาได หรือจะนําที่นาน้ันออกใหเชาเพื่อเก็บคาเชาก็ได
เสมอกับเปนเจาของเองทีเดียว เพียงแตกรรมสิทธ์ิในท่ีนาดังกลาวยังอยูท่ีเจาของ บุคคลผูมีสิทธิเชนน้ี
เรยี ก "ผูทรงสทิ ธเิ ก็บกิน" และสิทธเิ กบ็ กนิ จะมไี ดก ็แตในอสงั หารมิ ทรัพยเ ทา น้ัน ไมม ใี นสังหาริมทรพั ย
7. ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย
ภาระติดพันในอสังหาริมทรพั ย เปนทรพั ยสิทธอิ ยางหน่ึง อสงั หารมิ ทรัพยอ าจจะตองตกอยู
ในภาระติดพันอันเปนเหตุใหผูไดรับประโยชน มีสิทธิไดรับการชําระหน้ีจากอสังหาริมทรัพยน้ันเปน
คราวๆ หรือไดใ ชแ ละถอื เอาประโยชนจ ากอสงั หารมิ ทรัพยนัน้ ตามท่รี ะบุไว
สาระสาํ คัญเพมิ่ เติม
1. ภาระตดิ พนั ในอสังหารมิ ทรพั ยจ ะกอ ใหเ กดิ โดยมีกําหนดเวลา (หา มเกนิ 30 ป) หรือตลอดชีวติ แหง
ผูรบั ประโยชนก ไ็ ด ถา ไมมีกําหนดเวลาใหสนั นิษฐานไวกอ นวา ภาระติดพนั ในอสงั หารมิ ทรพั ยม ีอยูตลอด
ชีวติ ของผรู บั ประโยชน
2. ภาระติดพันในอสังหารมิ ทรัพยโอนกนั ไมไดแ มโ ดยทางมรดก
นิตกิ รรม
“นติ ิกรรม” หมายความวา การใด ๆ อันทําลงโดยชอบดวยกฎหมายและดว ยใจสมัคร มงุ
โดยตรงตอการผูกนิติสัมพนั ธขึน้ ระหวางบุคคล เพ่ือจะกอ เปล่ยี นแปลง โอน สงวน หรอื ระงบั ซ่งึ สทิ ธิ
องคประกอบของนติ ิกรรม มีดงั น้ีคอื
1. นิติกรรมจะเกิดข้ึนไดตอเม่ือมีการแสดงเจตนา กลาวคือ แสดงความตองการใหปรากฏออกมาวา
ตอ งการอะไร ซ่ึงการแสดงเจตนาทํานิติกรรมมีหลายวธิ ีการ อาจแสดงเจตนาเปนลายลักษณอักษร ดวย
วาจาหรือจากกิริยาอาการอยา งหนงึ่ อยางใดก็ได
สาํ หรับการน่ิงน้ันโดยหลักไมถือวาเปนการแสดงเจตนา เวนแตตามกฎหมายวาดวย เชา
ทรัพย มาตรา 570 กลาววา ในกรณีครบกําหนดสัญญาเชาแลว แตผูเชายังคงครองทรัพยสินที่เชานั้นอยู
ตอไป ผูใหเชารูแลวก็มิไดทักทวงประการใดกลับน่ิงเฉยเสีย กฎหมายถือวาการท่ีผูใหเชาน่ิงเฉยน้ัน
เทากับแสดงเจตนายินยอมใหผูเชาไดเชาทรัพยสินน้ันตอไปโดยไมมีกําหนดเวลา ซ่ึงเปนขอยกเวนจาก
หลักทั่วไป
2. การแสดงเจตนาทํานิติกรรมตองกระทําดวยใจสมัคร กลาวคือ ผูกระทําไดมีความสมัครใจในการ
แสดงความตองการหรือแสดงเจตนาใหปรากฏ มิไดเกิดข้ึนเพราะการสําคัญผิด ถูกขมขู หรือถูก
หลอกลวงใดๆ ท้งั สิ้น
[83]
3. ตองเปนการกระทําอันชอบดวยกฎหมาย กลาวคือ การกระทําน้ันไมเปนการตองหามโดยชัดแจง
ตามกฎหมาย ซ่ึงดูไดจากวัตถุประสงคของนิติกรรมน้ันวาชอบดวยกฎหมายหรือไม เชน สัญญาจางฆา
คน สัญญาซือ้ ขายยาบา จะเหน็ วา มวี ัตถปุ ระสงคขัดตอกฎหมายจึงไมถือวา เปนนติ กิ รรม
4. มุงโดยตรงตอการผูกนิติสัมพันธข้ึนระหวางบุคคล กลาวคือ ตองเปนการกระทําที่ผูกระทําไดทําลง
โดยมเี จตนาใหเกิดผลผูกพันในทางกฎหมาย ซึ่งจะทําใหเ กดิ สิทธิและหนาท่ีระหวางบุคคล ดวยเหตุนี้นิติ
กรรมจึงแตกตางจากเหตุการณหรือการกระทําตางๆ ในชีวิตประจําวัน เชน การทักทายพูดคุยกัน การ
เลนกีฬา นัดเพื่อนไปดูหนัง การเชิญชวนรับประทานอาหาร ซ่ึงผูกระทําไมไดมีประสงคจะใหเกิดผล
ในทางกฎหมาย จงึ ไมเ กิดเปน นิตกิ รรม
5. ทําใหเ กดิ การเคลือ่ นไหวในสิทธิ ซึง่ อาจจะเปนการกอสทิ ธิ เปล่ยี นแปลงสทิ ธิ โอนสทิ ธิ สงวนสิทธิ
หรือระงบั สทิ ธิก็ได เชน การนําเงนิ ไปชําระหน้ี ทําใหห นร้ี ะงับลง เปนตน
ชนดิ ของนติ กิ รรม แบงไดหลายแบบ เชน
1. นติ ิกรรมฝายเดียว เปนนิตกิ รรรมที่เกิดขนึ้ โดยการแสดงเจตนาของบคุ คลเพยี งฝา ยเดียว แบงยอ ย
ออกเปน
(1) นิตกิ รรมฝา ยเดยี วโดยเครงครดั กลาวคือ เม่อื แสดงเจตนาออกมากม็ ผี ลเปน นติ ิกรรม
ทันที เชน พนิ ยั กรรมหรอื การกอต้งั มูลนธิ ิ เปน ตน
(2) นิติกรรมฝายเดียวซ่ึงตองมีผูรับการแสดงเจตนา กลาวคือ การแสดงเจตนาน้ันจะเปน
นิติกรรมไดจะตองกระทําตอบุคคลหน่ึง เชน การบอกเลิกสัญญา การหักกลบลบหน้ี การปลดหน้ี การ
บอกเลกิ คําม่ัน เปน ตน
2. นิติกรรมสองฝาย เปนนิติกรรมท่ีเกิดข้ึนโดยการแสดงเจตนาของบุคคลต้ังแตสองฝายข้นึ ไป ซ่ึงไดแก
สญั ญาตาง ๆ เชน สัญญาซ้ือขาย มผี ซู ้ือกับผูขาย สญั ญาเชา มผี เู ชา กบั ผใู หเ ชา เปนตน
โมฆะกรรม
โมฆะกรรม หมายถึง นิติกรรมท่ีตกเปนอันเสียเปลาใชบังคับไมได เสมือนหน่ึงวาไมมีการทํา
นิติกรรมข้ึนเลย จึงไมมีผลผูกพันใดๆ ในทางกฎหมายและโมฆะกรรมน้ันไมอาจจะใหสัตยาบันแกกันได
กลาวคือ ไมอาจใหค ํารับรองหรือใหสัตยาบันเพ่ือใหน ิติกรรมท่ีเสียไปน้ันกลับคืนดีได เพียงแตผมู ีสวนได
เสียคนใดคนหน่ึงสามารถยกเอาโมฆะกรรมน้ันข้ึนกลาวอางไดเสมอทุกเวลา (โมฆะกรรมน้ันไมตองบอก
ลา งอีก เพราะเชื่อวา ตกเปน อนั เสียเปลา โดยทนั ท)ี
เหตุทที่ ําใหนติ กิ รรมตกเปน โมฆะ ไดแก
1. นิติกรรมท่ีมวี ัตถุประสงคไมช อบดว ยกฎหมาย แบงออกเปน
1) นติ กิ รรมทีม่ ีวัตถุประสงคเปนการตองหามชัดแจงโดยกฎหมาย เชน ซ้ือขายยาบา ซือ้
ธนบตั รปลอม จางฆาคน จา งทํารายผอู ืน่ กูยืมเงนิ เพอื่ เอาไปคายาเสพตดิ เหลา นี้ตกเปน โมฆะท้ังสิ้น
2) นติ ิกรรมทม่ี ีวตั ถุประสงคเ ปน การพน วิสยั
3) นติ ิกรรมทีม่ วี ตั ถุประสงคข ัดตอ ความสงบเรยี บรอ ยหรือศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน
เชน จางใหสามีภริยาหยาขาดจากกนั ใหเงนิ ตอบแทนในการที่หญิงมาเปนเมียนอย สามีภรยิ าทําสัญญา
จะไมห ลบั นอนดว ยกนั เปนตน
[84]
2. นิติกรรมที่ทําไมถ กู ตอ งตามแบบที่กฎหมายกําหนดไว นติ ิกรรมนนั้ ยอมตกเปน โมฆะ เชน สญั ญา
เชา ซอ้ื กฎหมายท่ีกําหนดแบบไวใ หต องทําเปนหนังสือ มฉิ ะนัน้ ยอ มตกเปนโมฆะ เปนตน
แบบของนิติกรรม หมายถงึ วิธกี ารทีก่ ฎหมายกําหนดไวเปนพเิ ศษเพื่อเปนหลกั บงั คับใหผูทํานิตกิ รรม
ตองทําใหครบถวน กลาวคือ
ก. นิตกิ รรมจะสมบรู ณเ มื่อมีการสง มอบทรัพย เชน สญั ญาให ยืมใชคงรูป ยมื ใชส้ินเปลอื ง
ฝากทรัพย จาํ นํา
ข. นติ กิ รรมจะสมบรู ณเ ม่ือมีการทําเปน หนงั สือ เชน สญั ญาเชาซอ้ื พินัยกรรม (ยกเวนทําดว ย
วาจา)
ค. นติ กิ รรมจะสมบรู ณเ ม่ือมีการจดทะเบียนตอพนกั งานเจาหนาที่ ไดแ ก การสมรส รบั รอง
บตุ ร การจัดตั้งบริษัท เปน ตน
ง. นิตกิ รรมจะสมบรู ณเ มื่อทําเปน หนังสือและจดทะเบยี นตอพนกั งานเจาหนา ท่ี สว นใหญ
เกีย่ วกับอสังหาริมทรัพย หรอื สงั หาริมทรัพยพเิ ศษ
3. นติ กิ รรมทีเ่ กดิ ขึ้นเพราะความบกพรอ งเก่ียวกบั การแสดงเจตนา ไดแก
1) “เจตนาซอนเรน” เปนนิติกรรมท่ีเกิดข้ึนดวยการแสดงเจตนาออกมาไมตรงกับเจตนาท่ี
แทจริงซ่ึงซอนอยูในใจ โดยคูกรณีอีกฝายหน่ึงไดรูถึงเจตนาท่ีซอนอยูในใจดวย แตถาคูกรณีอีกฝายหน่ึง
มิไดรถู งึ เจตนาที่ซอนอยใู นใจแลว นิติกรรมทแ่ี สดงปรากฏออกมาถอื วามีผลสมบูรณ
2) “เจตนาลวง” คือ เปนนิติกรรมท่ีบุคคลสองฝายสมคบกันเพ่ือลวงบุคคลท่ีสาม ผลของ
การแสดง เจตนาลวงน้ี จะเปนโมฆะ แตจะยกขน้ึ เปนขอตอสูบุคคลภายนอกผูทําการโดยสุจริตจากการ
แสดงเจตนาลวงนนั้ ไมไ ด
3) “นิติกรรมอําพราง” เปนการทํานิติกรรมข้ึนมา 2 นิติกรรม คือ มีนิติกรรมที่ตรงกับใจ
จริงน้ันปกปดไว เรียกวา นิติกรรมที่ถกู อําพราง แตมีนิติกรรมอีกอันหนึ่งทําข้ึนโดยเปดเผย แตทําไปเพ่ือ
อําพราง
4. นติ ิกรรมทเี่ กิดข้ึนดวยการสาํ คัญผิดในสิ่งซึง่ เปนสาระสําคัญแหง นิตกิ รรม เชน
1) สําคัญผิดในตัวบคุ คลซึ่งเปนคกู รณแี หงนิติกรรม เชน สัญญาใหจ ะสมบรู ณเมื่อมีการสง
มอบ แตสงมอบใหผ ดิ ตวั
2) สําคัญผดิ ในลกั ษณะของนติ กิ รรม เชน ตอ งการทําสัญญาจาํ นองแตก ลบั ไปทําสัญญา
ขายฝาก โดยสําคัญผดิ ผลคือ สัญญาขายฝากเปน โมฆะ
3) สําคัญผดิ ในทรัพยสนิ ซ่ึงเปนวตั ถุแหงนติ ิกรรม
โมฆียะกรรม
โมฆียะกรรม หมายถึง นิติกรรมท่ียังมีผลใชบังคับกันไดตามกฎหมาย กลาวคือ มีผลสมบูรณ
จนกวาจะถูกบอกลาง สาเหตุท่ีทําใหเปนโมฆียะกรรมน้ันเพราะมีเหตุบกพรองบางประการตามท่ี
กฎหมายกําหนดไว แตไมถึงขนาดที่จะสญู เสียเปลาดังเชนโมฆะกรรม จงึ มผี ลในทางกฎหมาย 2 ทาง ซึ่ง
ข้ึนอยูก บั ผูม สี วนไดเสยี วาจะเลอื กทางใดทางหน่งึ ดังน้ี คือ
1. บอกลางได เน่ืองจากนิติกรรมน้ันมีความบกพรอ ง ผูมีสวนไดเสียอาจปฏิเสธหรือไมยอมรับ นิติ
กรรมน้ันก็ชอบท่ีจะใชสิทธิบอกลางนิติกรรมน้ัน ซ่ึงจะมีผลทําใหนิติกรรมท่ีตกเปนโมฆียะน้ันกลายเปน
โมฆะมาแตเริม่ แรก จึงไมมผี ลบงั คบั ไดต อไป
[85]
2. ใหสัตยาบันได กลาวคือ ผูมีสวนไดเสียนั้นไมใชสิทธิบอกลางภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด
หรืออาจจะยอมรับนิติกรรมน้ัน ซ่ึงเรียกวา “ใหสัตยาบัน” ก็จะทําใหนิติกรรมท่ีตกเปนโมฆียะน้ันมีผล
สมบูรณมาแตเ ร่ิมแรก บงั คับไดต ลอดไป
เหตุทที่ ําใหน ิติกรรมตกเปนโมฆยี ะ ไดแ ก
1. เหตุบกพรองในเรื่องความสามารถ ตามมาตรา 153 บัญญัติวา “การใดมิไดเปนไปตามบทบัญญัติ
ของกฎหมายวา ดวยความสามารถของบุคคล การน้ันเปนโมฆียะ” เชน ผูเยาว คนไรความสามารถ หรือ
คนเสมือนไรความสามารถ ทํานิติกรรมไปโดยฝาฝนบทบัญญัติของกฎหมายวาดวยความสามารถ นิติ
กรรมดังกลาวยอมตกเปน โมฆยี ะ
2. เหตบุ กพรองในเรอ่ื งการแสดงเจตนา การแสดงเจตนาทที่ ําใหน ติ ิกรรมตกเปน โมฆยี ะ ไดแ ก
1) การแสดงเจตนาทํานติ ิกรรมโดยสําคัญผิดในคุณสมบตั ิของบุคคลหรอื ทรัพยส นิ
2) การแสดงเจตนาทํานิติกรรมเพราะถูกกลฉอฉล
3) การแสดงเจตนาทํานิติกรรมเพราะถูกขมขู
การบอกลา งโมฆยี กรรม แบงออกเปน 2 ชวง
1. กฎหมายกําหนดใหใชส ิทธิบอกลางภายใน 1 ป นับแตเวลาท่อี าจใหสตั ยาบันได
2. หามมิใหบอกลางเม่ือพนเวลา 10 ป นับแตไ ดทํานิติกรรม กลา วคือ เมื่อเกิน 10 ปแลวแม
จะเพิง่ รูวา นิตกิ รรมเปน โมฆยี ะก็ไมสามารถบอกลางได
การใหส ัตยาบนั แกโมฆียะกรรม
คือ การแสดงเจตนายอมรับหรือการรับรองโมฆียะกรรม เพื่อใหมผี ลบงั คบั ไดโ ดยสมบรู ณ
ตอ ไป และมีผลทําใหส มบรู ณมาแตเ ร่ิมแรก
วิธีการใหสัตยาบนั
1. การใหสตั ยาบันโดยชัดแจง อาจเปนโดยลายลกั ษณอกั ษรหรือดว ยวาจาก็ได
2. การใหสัตยาบันโดยปริยาย กลาวคือ ถามีขอเท็จจริงอยางหน่ึงอยางใดดังตอไปน้ีเกิดข้ึน
ภายหลังเวลาอนั พึงใหสัตยาบันได กฎหมายถอื วา เปน การใหสัตยาบันโดยปรยิ าย ไดแก
1) ไดปฏิบตั ิการชําระหน้แี ลว ทั้งหมดหรอื แตบ างสวน
2) ไดมีการเรยี กใหชําระหน้ีแลว
3) ไดมีการแปลงหนี้ใหม
4) ไดมกี ารใหป ระกันเพอ่ื หนีน้ นั้
5) ไดม กี ารโอนสิทธิหรอื ความรับผดิ ชอบท้งั หมดหรือแตบ างสว น
6) ไดม ีการกระทําอยา งอนื่ อันแสดงไดวาเปนการใหส ัตยาบนั เชน การไมทักทว ง
ผูมสี ทิ ธิบอกลา งหรือใหสัตยาบนั แกโ มฆียะกรรม ไดแก
1. บุคคลผูเปนคูกรณีในการทํานิติกรรมน้ันๆ เอง ซ่ึงไดแก บุคคลท่ีบกพรองในเร่ืองความสามารถ คือ
ผูเยาว คนไรความสามารถ คนเสมือนไรความสามารถ คนวิกลจริต และบุคคลท่ีบกพรองในเร่ืองการ
แสดงเจตนา คือ บุคคลท่ีแสดงเจตนาเพราะสําคัญผิดหรือถูกกลฉอฉล หรือถูกขมขู รวมทั้งคูกรณีอีก
ฝา ยหนงึ่ ท่ไี มม คี วามบกพรอ งอะไร
2. ผูคมุ ครองประโยชนข องผูไรค วามสามารถ ซึ่งไดแก ผแู ทนโดยชอบธรรม ผอู นบุ าลหรอื ผพู ทิ ักษ
3. ทายาทของบุคคลผูทํานิตกิ รรมอนั เปน โมฆียะ ถา บุคคลผทู ํานิติกรรมอนั มีผลเปน โมฆียะตายกอนทจี่ ะ
มีการบอกลา งโมฆียะ
[86]
การไดสิทธโิ ดยนติ เิ หตุหรือโดยผลแหง กฎหมาย
มีไดใ นกรณีดงั ตอ ไปน้ีคือ
1. สทิ ธิอนั ไดมาจากพฤติการณต ามธรรมชาติ ไดแก
1) การเกิด ซึง่ ทําใหไดส ิทธิในฐานะเปนบคุ คล
2) การตาย ซ่ึงเมื่อบคุ คลใดตาย ทายาทของบุคคลนน้ั ยอ มมสี ิทธไิ ดรบั มรดก เปน ตน
2. สิทธอิ นั ไดม าจากการกระทําของบคุ คลโดยปราศจากเจตนามุง ผลในทางกฎหมาย ไดแ ก
1) การจัดการงานนอกสั่ง คือ การท่บี คุ คลคนหนึ่งไดเ ขาทํากิจการแทนผูอืน่ โดยเจา ของเขา
มิไดวาขานวานหรือใชใหทํา หากการจัดงานน้ันเปนไปในทางสมประโยชนแกผูเปนตัวการแลว ผูที่
จัดการงานนอกส่ังน้ันยอมมีสิทธิท่ีจะเรียกรองใหเจาของกิจการชําระคาใชจายหรือหน้ีอันเกิดจากการ
จดั การน้ันใหแกตนได
2) ลาภมิควรได คือ การท่ีบุคคลใดไดม าซึ่งทรพั ยสินส่งิ ใด เพราะการทบี่ ุคคลอกี คนหนงึ่
กระทําการเพ่ือชําระหน้ีหรือไดมาดวยประการอ่ืนใดโดยปราศจากมูลอันจะอางกฎหมายได และเปน
ทางใหบุคคลอกี คนหนึ่งเสียเปรียบ ก็จะตองสงคืนทรพั ยส นิ น้นั ใหแ กเ ขาไป
3) ละเมิด คือ การท่ีบุคคลใดจงใจหรือประมาทเลินเลอกระทําตอบุคคลอ่ืนโดยผิดกฎหมาย
เปนเหตุใหผูอื่นเสียหายถึงแกชีวิต รางกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพยสิน หรือสิทธิอยางใดอยางหน่ึง
ผูก ระทําละเมิดจําตอ งชดใชคาสนิ ไหมทดแทนใหแกบ ุคคลผตู อ งไดรับความเสียหายนนั้
3. สิทธิอันไดมาตามกฎหมายลักษณะทรัพยสิน ไดแก การไดกรรมสิทธิ์โดยหลักสวนควบตามหลัก
กฎหมายวา “เจา ของทรัพยยอ มมกี รรมสทิ ธใิ์ นสวนควบของทรัพยน น้ั ”
4. การไดสิทธิโดยสุจริตในกรณีท่ีกฎหมายกําหนดใหเปนพิเศษ ซ่ึงถือวาเปนขอยกเวนของหลัก
กฎหมายท่ีวา “ผูรับโอนไมม ีสิทธดิ ีกวาผูโอน” นัน่ เอง ไดแก การไดสิทธใิ นทรัพยสนิ ดังตอไปนี้
1) ไดมาเพราะนติ ิกรรมอนั เปนโมฆียะ กลา วคือ บุคคลผูไดม าซึ่งทรัพยส นิ โดยมีคาตอบแทน
และโดยสจุ รติ นั้น สทิ ธินั้นยอมไมเสียไป ถงึ แมวาผูโอนทรัพยส นิ ใหจ ะไดทรพั ยส ินนั้นมาโดยนิตกิ รรมเปน
โมฆียะ และนิตกิ รรมไดถ ูกบอกลา งภายหลงั
2) ไดมาเพราะซ้อื ทรัพยสินโดยสจุ ริต เชน
-กรณีท่ีเปนการซ้ือทรัพยสินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด (เปนการขายทอดตลาด
โดยเอกชน) หรือในทองตลาด หรือจากพอคาซง่ึ ขายของชนดิ น้ัน ไมจําตอ งคืนใหแกเจาของแทจรงิ เวน
แตเ จาของจะชดใชร าคาทซี่ ือ้ มา (ไมไ ดใหสทิ ธแิ กผูซอ้ื ทจ่ี ะไดส ทิ ธไิ ปเด็ดขาด)
- สิทธิของบุคคลผูไดเงินตรามาโดยสุจริต ยอมไมเสียไป ถึงแมภายหลังจะพิสูจนไดวาเงิน
นนั้ มใิ ชข องบุคคลซึ่งไดโ อนใหม า (ตอ งเปน เงินตราของไทยเทา น้ัน)
- การซ้ือทรัพยสินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคําส่ังศาล หรือคําส่ังเจาพนักงาน
รักษาทรัพยในคดีลมละลาย สิทธิของผูซ้ือโดยสุจริตมิเสียไป ถึงแมภายหลังจะพิสูจนไดวาทรัพยสินน้ัน
มิใชของจําเลยหรือลูกหน้ีตามคําพิพากษาหรือผูลมละลาย (ผูซ้ือทรัพยสินโดยสุจริตไดกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพยสนิ นน้ั เดด็ ขาด เจาของจะเรียกคืนไมได)
[87]
สัญญา
สัญญา คือ นิติกรรมอยางหน่ึง (เปนนิติกรรมสองฝาย) เกิดข้ึนโดยมีคูกรณีต้ังแตสองฝายข้ึน
ไป แสดงเจตนาตกลงกันเพ่ือกอใหเกิดหน้ีระหวางกัน โดยท่ีคูกรณีฝายหน่ึงจะแสดงเจตนาเปนคําเสนอ
และอีกฝา ยหนึง่ แสดงเจตนาเปน คําสนองรบั
การกอ ใหเ กดิ สัญญา
สัญญาจะเกิดข้ึนไดตอเม่ือมีการแสดงเจตนาของบุคคล 2 ฝาย โดยฝายหน่ึงจะแสดงเจตนา
เปนคําเสนอและอีกฝายหน่ึงแสดงเจตนาเปนคําสนอง ซึ่งเม่ือคําเสนอและคําสนองถูกตองตรงกัน
สัญญาจึงเกิดข้ึน และเม่ือสัญญาเกิดข้ึนแลวยอมกอใหเกิดหน้ีผูกมัดคูสัญญาในอันท่ีจะตองปฏิบัติตาม
หนน้ี ั้น
ประเภทของสัญญา แบงออกได ดงั น้ี
1. สญั ญาท่มี คี า ตอบแทนกบั สัญญาทีไ่ มมคี าตอบแทน
- สัญญาท่ีมีคาตอบแทน คือ สัญญาซ่ึงคูสัญญาตางใหผลประโยชนเปนการแลกเปล่ียนตอบ
แทนซง่ึ กนั และกัน เชน สัญญาซ้อื ขาย ผูซ อ้ื ไดท รพั ยสนิ ผูขายก็ไดเ งิน เปน ตน
- สญั ญาที่ไมมีคาตอบแทน คือ สญั ญาซงึ่ คูสัญญาฝา ยหน่ึงไดประโยชนแตฝา ยเดียว โดยท่ีอีก
ฝายหน่ึงนั้นไมไดรับผลประโยชนตอบแทนเลย เชน สัญญาใหโดยเสนหา สัญญาฝากทรัพยโดยไมมี
บาํ เหนจ็ สัญญายมื ใชค งรปู เปน ตน
2. สญั ญาตางตอบแทนกับสัญญาไมต างตอบแทน
- สัญญาตางตอบแทน คือ สัญญาท่ีคูสัญญาตางมีหนาที่ปฏิบัติตอกันและกัน มีหนี้ผูกพัน
คูส ญั ญาทงั้ 2 ฝาย เชน สัญญาซื้อขาย เปนตน
- สัญญาไมตางตอบแทน คือ สัญญาท่ีมีหน้ีผูกพันคูสัญญาแตเพียงฝายเดียว เชน สัญญายืม
ใชคงรูป เปน ตน
3. สัญญาเพ่อื ประโยชนแกบุคคลภายนอก คือ สัญญาทผี่ ลประโยชนจะไดแกบุคคลภายนอกมิใชผ ูเปน
คสู ญั ญา เชน สญั ญาประกนั ภยั สัญญาประกันชีวติ เปน ตน
การเลิกสญั ญา
เหตุแหงการเลกิ สัญญามีดังนี้
1. เลิกสัญญาโดยผลแหงขอตกลงหรือขอสัญญา เชน ในสัญญามีขอความวาถาคูสัญญาฝายหน่ึงผิด
สัญญาขอหน่ึงขอใด ยอมใหคูสัญญาอีกฝายหน่ึงบอกเลิกสัญญาได หรืออาจตกลงกันวา ถามีเหตุการณ
อยางใดอยา งหน่ึงเกิดข้ึน ยอมใหฝ ายนนั้ เลกิ สัญญาได เปน ตน
ตัวอยาง ก. ให ข. เชาบา น 1 หลงั ในสัญญาเชากาํ หนดกนั ไวว า ถา ก. ตอ งการรอื้ บา นหลัง นเี้ พือ่ สราง
บา นหลังใหมแ ทนท่ี ก. จะเลิกให ข. เชา ดงั นเี้ มื่อ ก. ตอ งการรอื้ บา นหลงั นเี้ พ่ือสรางบานหลังใหมแทนที่
ก. กม็ ีสทิ ธิบอกเลกิ สญั ญาเชา ได
2. เลิกสัญญาโดยบทบัญญัติแหงกฎหมาย แยกพิจารณาไดด ังน้ี
1) เลิกสัญญาเพราะลูกหน้ีไมชําระหน้ีโดยตองบอกกลาวใหลูกหน้ีรูตัวกอน กรณีนี้ถา
เจา หนี้ประสงคจะเลิกสัญญา เจา หนี้จะตอ งบอกกลา วใหลูกหนช้ี ําระหนเ้ี สยี ภายในระยะเวลาพอสมควร
ถาลูกหน้ีไมชําระหน้ีภายในเวลาท่ีกําหนดไวในคําบอกกลาว เจาหนี้ยอมมีสิทธิเลิกสัญญาได (มาตรา
387)
[88]
ตัวอยาง ก. ให ข. เชาบานโดยคิดคาเชา เดือนละ 2,000 บาท กําหนดชําระคาเชาทุกวนั สิ้นเดือน เชนนี้
ถา ข. ไมช ําระคาเชา ก. ตองบอกกลาวให ข.นําคา เชามาชาํ ระภายในเวลาที่กาํ หนดไว โดยบอกกลา วให
ทราบลวงหนาไมนอยกวา 15 วันในกรณีชําระคาเชาเปนรายเดือน ถา ข. ไมชําระคาเชาภายในเวลาท่ี
กาํ หนดไว ก. ยอมเลกิ สัญญาเสยี ได
2) เลิกสัญญาเพราะลูกหน้ีไมชําระหนี้เม่ือหนี้ไดกําหนดเวลาชําระหน้ีไวแนนอน โดย
คํานึงถึงสภาพของสัญญา หรือโดยเจตนาท่ีคูสัญญาไดแสดงไว ถาไมชําระหนี้ภายในกําหนดเวลา
ดังกลาว เจา หน้ยี อมเลกิ สัญญาเสยี ได โดยไมต องบอกกลาวลวงหนา (มาตรา 388)
ตัวอยาง ก. จาง ข. ตัดชุดสากล เพ่ือจะเดินทางไปตางประเทศในวันท่ี 1 ตุลาคม 2547 เม่ือถึงวันท่ี 1
ตุลาคม 2547 แลว ข. ก็ยังตัดไมเสร็จ เชนน้ี ก.บอกเลิกสัญญาไดโดยไมตองบอกกลาวลวงหนา เพราะ
ถือวา ระยะเวลาเปนสาระสําคญั แหง การชําระหนี้
3) เลกิ สัญญาเพราะการชําระหน้กี ลายเปน พนวิสัยท้ังหมดหรือแตบ างสวนเพราะเหตุ
อยา งใดอยา งหนึง่ อนั จะโทษลูกหน้ไี ด (มาตรา 389)
ตัวอยาง ก. จาง ข. พิมพหนังสือจํานวน 1,000 เลม เม่ือ ข. พิมพหนังสือเสร็จแลวกอนสงมอบหนังสือ
ให ก. ข. กระทําโดยประมาททําใหเกิดไฟไหมโรงพิมพ หนังสือท่ี ก. ส่ังพิมพก็ไหมไปหมดเชนน้ีถือวา
การชําระหน้กี ลายเปน พนวิสัย เพราะเหตุอันจะโทษ ข. ได ก. ยอมเลิกสญั ญาเสยี ได
ผลของการเลกิ สัญญา
ผลของการเลิกสัญญาน้ัน ทําใหสิทธิท่ีมีอยูตามสัญญาระงับไป และกอใหเกิดสิทธิใหมตาม
กฎหมายอนั วาดว ยผลแหง การบอกเลิกสัญญา ดังบัญญัติไวในมาตรา 391 ซ่งึ แยกพจิ ารณาไดดังน้ี
1. เมื่อคูสัญญาฝายหน่งึ ไดใชส ิทธิเลิกสญั ญาแลว คสู ญั ญาแตล ะฝายจาตองใหอีกฝา ยหน่ึงกลับคืนสฐู านะ
ดงั ทเ่ี ปน อยเู ดมิ
ตัวอยาง ก. ให ข. เชา บา นหลงั หน่ึงมกี าํ หนดระยะเวลา 3 ป เมอ่ื ครบกําหนด 3 ปแ ลว ก. บอกเลิก
สัญญา ข. ตองคนื บานใหแ ก ก.
2. การกลบั คืนสูฐ านะเดิมน้ีจะทําใหเ ปนท่ีเสือ่ มเสยี แกส ิทธิของบุคคลภายนอกไมไ ด
ตัวอยาง ก.ขายรถยนตหน่ึงคันให ข.โดยมีขอสัญญาวากรรมสิทธ์ิในรถยนตยังไมโอนไปจนกวา ข. จะ
ชาํ ระราคาใหเสร็จส้ินภายในวันท่ี 31 ธันวาคม 2553 ตอมาวนั ท่ี 1 ธันวาคม 2553 ข.ไดข ายรถยนตคัน
นีใ้ ห ค. คร้ันถึงวันท่ี 31 ธนั วาคม 2553 ข.กไ็ มชาํ ระหนี้ที่เหลอื ก.จึงบอกเลิกสัญญา ก.จะเอารถยนตคืน
จาก ค.ไมไ ด เพราะการกลับคืนสฐู านะเดิมน้ันจะทําใหเปนทีเ่ ส่อื มเสียแกส ทิ ธิของบุคคลภายนอกไมได
[89]
3. สาํ หรับการคืนเงินนัน้ ใหบ วกดอกเบ้ียเขาดว ย คิดต้ังแตเวลาทไ่ี ดร ับเงินนั้นไว
ตวั อยาง ก. ตกลงซ้ือทดี่ ินจาก ข. กําหนดสงมอบและโอนโฉนดกันในวันที่ 1 กุมภาพันธ 2554 ก. ไดใ ห
มัดจาํ ไวแก ข. เปนเงนิ 100,000 บาท ตง้ั แตวนั ท่ี 1 กันยายน 2553 อันเปน วันทําสญั ญาซื้อขาย ครัน้ ถึง
วันท่ี 1 กุมภาพนั ธ 2554 ข. ก็ไมสามารถสงมอบและโอนโฉนดให ก. ได ก. ยอมมีสิทธิเลิกสัญญา เรียก
มัดจํา 100,000 บาท คืน และเรียกดอกเบ้ียในอัตรารอยละเจ็ดคร่ึงตอป (ในกรณีท่ีไมไดกําหนดอัตรา
ดอกเบ้ียกันไว กฎหมายใหคิดไดในอัตรารอยละเจ็ดคร่ึงตอป) โดยคิดดอกเบ้ียไดต้ังแตวันท่ี 1 กันยายน
2553
4. การใชส ทิ ธเิ ลิกสัญญานั้น ไมก ระทบกระท่ังถึงสทิ ธิเรียกคาเสียหาย
ตวั อยา ง ก. ตกลงขายที่ดินให ข. 1 แปลงในราคา 500,000 บาท กําหนดจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธ์ิกัน
ในวันท่ี 1 ตุลาคม 2553 เม่ือถึงวันท่ี 1 ตุลาคม 2553 ก.ไมยอมไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธให ข. ข.
ยอมมีสทิ ธิเลิกสญั ญาได และในวนั ที่ 1 ตุลาคม 2553 ที่ดนิ แปลงนม้ี ีราคาสูงถึง 800,000 บาท เชนนี้ ข.
ยอมเรยี กคา เสยี หายเพราะการทท่ี ด่ี นิ มรี าคาสูงขน้ึ ได
5. ในการเลิกสัญญาน้ัน สวนท่ีเปนการงานอันไดกระทําใหและเปนการยอมใหใชทรัพยนั้น การที่จะ
ชดใชคืน ใหทําไดดวยใชเงินตามควรคาแหงการน้ัน ๆ หรือถาในสัญญามีกําหนดวาใหใชเงินตอบแทนก็
ใหใชต ามนั้น
ตัวอยาง ก. จาง ข. ทําถนน แต ข. ทํางานไมแ ลว เสรจ็ ตามลาํ ดับงวดของงาน ก. จึงบอกเลกิ สัญญา อนั
เปนผลใหคูส ญั ญาตางกลับคืนสฐู านะท่ีเปนอยูเดมิ หมดพันธะผูกพนั ในอนั ที่จะตองปฏบิ ัตติ อกัน สวนที่
เปน การงานที่ ข. ไดกระทําและยอมให ก. ไดใ ชท รัพยน ัน้ แมต ามสัญญาระหวาง ก. และ ข.จะไมม ี
ขอกําหนดใหช ดใชเงนิ ตอบแทนในเรอื่ งน้ีไว ข. กม็ สี ทิ ธิที่จะไดร ับการชดใชค นื ดว ยการใชเปนเงนิ ตาม
ควรคา ของผลงานที่ทํา (ฎีกาที่ 2014/2523)
กฎหมายลักษณะหนี้
ลักษณะสาํ คัญของหนี้ ตองประกอบดว ย
1. การมีนติ สิ มั พันธ (ความผกู พันกันในทางกฎหมาย)
2. การมีเจาหนแี้ ละลูกหน้ี (สทิ ธิเหนอื บคุ คล)
3. ตอ งมวี ตั ถุแหงหนี้ (การกระทํา / งดเวนกระทําการ / สง มอบทรัพยส นิ )
บอ เกิดแหง หนี้
1. นติ ิกรรม – สญั ญา
2. นิติเหตุ หมายถึง เหตุที่มิไดเกิดข้ึนจากการแสดงเจตนาเขาผูกพันตนเพ่ือกอหนี้ แตกฎหมายเปน
กาํ หนด ซึ่งอาจเปนเหตุธรรมชาติ หรือ อาจเปนเหตุท่ีกอขนึ้ โดยการกระทําของบุคคล โดยเขามิไดมุง ให
มีผลในกฎหมาย แตกฎหมายก็กําหนดใหตองมีหน้ีหรือหนาท่ีตอบุคคลอ่ืน ไดแก ละเมิด (ม.420)
จดั การงานนอกส่งั (ม.395, 401) ลาภมิควรได (ม.406)
3. ตามบทบัญญตั ิแหงกฎหมาย เชน บุตรจาํ ตองอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา (ม.1563)
[90]
การบงั คบั ชําระหนี้
1. กําหนดชําระหนี้ ถา เปน กรณที ่ีคูกรณไี มไ ดตกลงกาํ หนดเวลาชําระหนไี้ วแนน อนแลว กฎหมาย ถอื วา
หนน้ี ัน้ ถงึ กําหนดชําระโดยพลัน (ม. 203)
2. การผิดนดั ของลูกหน้ี
2.1 เม่ือหน้ีถึงกําหนดชําระแลว และภายหลังแตน้ัน เจาหน้ีไดใหคําเตือนลูกหนี้แลว ลูกหนี้
ยังไมชาํ ระหนี้ ลูกหนไ้ี ดช อ่ื วา ผิดนัด เพราะเขาเตอื นแลว (ม. 204 วรรคหนง่ึ )
2.2 เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระตามวันแหงปฏิทินแลว และลูกหน้ีมิไดชําระหน้ีตามกําหนด
ลกู หนไ้ี ดช ื่อวา ตกเปนผูผดิ นดั แลว โดยมติ องเตอื นกอ นเลย (ม. 204)
2.3 ถาเปน หนอี้ ันเกิดแตม ลู ละเมิด ลกู หน้ีไดช ื่อวาผิดนดั มาแตเ วลาท่ที ําละเมดิ (ม. 206)
ผลของการท่ีลกู หนี้ผิดนัด
1. เจาหนม้ี ีสิทธิเรยี กคา สินไหมทดแทนเพอ่ื ความเสียหายอันเกิดจากการน้ันได (ม.215)
2. ถาโดยเหตุท่ีผิดนัดน้ัน ทําใหการชําระหน้ีกลายเปนอันไรประโยชนแกเจาหน้ี เจาหน้ีมีสิทธิท่ีจะบอก
ปด ไมรับการชาํ ระหน้ีนั้น และมสี ิทธเิ รียกคา สนิ ไหมทดแทนเพอื่ การไมชาํ ระหนี้ได (ม. 216)
3. ลูกหนีจ้ ะตองรบั ผิดชอบในความเสียหายบรรดาที่เกิดแตความประมาทเลินเลอในระหวา งท่ีตน ผิด
นัด ท้ังจะตองรับผิดชอบในการท่ีการชําระหน้ีกลายเปนพนวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดข้ึนในระหวางผิด
นัด ดวย เวนแต ความเสียหายนั้นถึงอยา งไรก็จะเกิดมขี ้ึนอยูดีถงึ แมวาตนจะไดชาํ ระหน้ีทันกําหนดเวลา
(ม.217)
4. ในระหวางผิดนัด ถาไมม ีการกาํ หนดไวเ ปนอยางอ่ืน ในกรณีของหน้ีเงินใหคิดดอกเบ้ียรอ ยละเจ็ดคร่ึง
ตอ ป (ม. 224)
5. ขอแกตัวของลูกหน้ี ถาการชําระหนี้น้ันยังมิไดกระทําลง เพราะพฤติการณอันใดอันหน่ึงซ่ึงลูกหน้ีไม
ตองรับผิดชอบ ลูกหน้ีก็ยงั หาไดชือ่ วา เปน ผผู ิดนดั ไม (ม.205)
การผิดนดั ของเจาหน้ี
1. ถาลูกหนี้ไดขอปฏิบัติการชําระหน้ี และเจาหน้ีไมรับชําระหน้ีน้ัน โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอาง
กฎหมายได เจา หน้ตี กเปน ผผู ิดนดั (ม.207)
2. ในกรณีของสัญญาตางตอบแทน ซ่ึงลูกหน้ีจะตองชําระหน้ีสวนของตนตอเม่ือเจาหน้ีชําระหนี้ตอบ
แทนดวยนนั้ ถึงแมว าเจาหน้ีจะไดเตรียมพรอมที่จะรับชําระหน้ีตามท่ีลกู หนี้ขอปฏิบัตกิ ารชําระหนี้ก็ตาม
แตถาเจาหน้ีไมเสนอท่ีจะทําการชําระหน้ีตอบแทนตามท่ีพึงตองทําแลว เจาหน้ีก็เปนอันไดช่ือวาผิดนัด
(ม.210)
ผลของการทีเ่ จาหนผี้ ิดนัด
1. ปลดเปลอ้ื งความรับผิดในอันท่จี ะตองใชค า สินไหมทดแทน เพราะเหตชุ าํ ระหนี้ลา ชา
2. ปลดเปล้ืองความรบั ผดิ ในกรณที ก่ี ารชําระหนน้ี น้ั กลายเปนอนั ไรป ระโยชนแ กเจา หน้ี
3. ปลดเปล้อื งความรับผิดในความเสยี หายอยางใดๆ ท่ีเกิดแกต ัวทรัพยอันเปน วตั ถุแหงหน้นี นั้
4. ปลดเปล้ืองความรบั ผิดในดอกเบ้ียสาํ หรบั กรณีที่เปนหน้ีเงิน
[91]
การชําระหนก้ี ลายเปนพนวสิ ัย
1. ถาการชําระหน้ีกลายเปนพนวิสัยท่ีจะทําได เพราะพฤติการณอันใดอันหน่ึงซ่ึงลูกหน้ีตองรับผิดชอบ
ลูกหน้ีจะตองใชคาสินไหมทดแทนใหแกเจาหน้ีเพ่ือคาเสียหายอยางใด ๆ อันเกิดแตการไมชําระหน้ีน้ัน
(ม.218)
กรณีที่การชําระหน้ีกลายเปนพนวิสยั แตเพียงบางสวน และสว นท่ียงั เปนวสิ ัยจะทําไดน้ันเปน
อันไรประโยชนแกเจาหน้ีแลว เจาหน้ีจะไมยอมรับชําระหน้ีน้ัน และเรียกคาสินไหมทดแทนเพ่ือการไม
ชาํ ระหน้ีเสยี ท้ังหมดทเี ดยี วกไ็ ด (ม.218 วรรคสอง)
2. ถาการชําระหน้ีกลายเปนพนวิสัย เพราะพฤติการณอันใดอันหน่ึงซ่ึงลูกหนี้ไมตองรับผิดชอบแลว
ลกู หนีเ้ ปน อนั หลุดพน จากการชาํ ระหนน้ี น้ั (ม. 219 วรรคสอง)
ถาภายหลังท่ีไดกอหน้ีข้ึนแลวน้ัน ลูกหน้ีกลายเปนคนไมสามารถจะชําระหน้ีได ก็ใหถือ
เสมอื นวาเปน พฤติการณท ีท่ ําใหการชําระหน้ตี กเปน อันพน วิสยั (ม.219 วรรคสอง)
สทิ ธขิ องเจาหน้ีท่จี ะบังคบั ชาํ ระหนจ้ี ากทรัพยสินของลูกหนี้
ดวยอํานาจแหงมลู หน้ี เจาหนม้ี ีสทิ ธิเรยี กรองใหล ูกหนี้ชาํ ระหน้ไี ด หากลูกหนี้ไมชําระ เจาหนี้
ชอบท่ีจะฟองรองตอศาลขอใหศาลบังคับคดีให โดยการบังคับชําระหนี้เอาจากทรัพยสินของลูกหน้ีจน
สิ้นเชิง รวมท้ังเงนิ และทรพั ยสินอื่น ๆ ซง่ึ บุคคลภายนอกคางชําระแกลูกหนีด้ ว ย (ม.214)
ลูกหน้แี ละเจาหนห้ี ลายคน
ผลแหง การเปน ลกู หนร้ี วม มีดงั นี้
1. เจาหน้มี สี ิทธิเรียกใหล ูกหนีค้ นใดคนหน่ึงชาํ ระหน้ไี ดสน้ิ เชงิ (ม.291)
2. การท่ลี กู หน้รี ว มคนหนึง่ ชําระหน้ี ยอมไดประโยชนแ กลูกหน้อี ื่นๆ ดว ย (ม.292)
3. การปลดหน้ีใหแกลูกหน้ีรวมคนใด ยอมเปนประโยชนแกลูกหน้ีรวมคนอ่ืนๆ เพียงเทาสวนของลกู หน้ี
ท่ีไดปลดหน้ีให (ม.293)
4. การทเ่ี จา หนี้ผดิ นัดตอ ลูกหนร้ี วมคนหน่งึ นัน้ ยอมไดประโยชนแ กลูกหนค้ี นอนื่ ๆ ดวย (ม.295)
5. การอันเปนคุณหรือเปนโทษเฉพาะตัวลูกหน้ีรวม ยอมไมมีผลไปถึงลูกหน้ีรวมคนอ่ืน (ม.295 วรรค
หนึง่ )
6. ในระหวางลูกหนี้รวมกันท้ังหลายนั้น ตางคนตางตองรบั ผิดเปนสวนเทาๆ กัน เวนแตจะไดก ําหนดไว
เปนอยางอื่น (ม.296)
ผลแหงการเปนเจาหนีร้ วม มีดงั น้ี
1. การที่เจาหน้รี วมคนหนง่ึ ผิดนดั น้ัน ยอมเปน โทษแกเ จาหนีค้ นอน่ื ๆ ดว ย (ม.299 วรรคหนง่ึ )
2. ถา สทิ ธเิ รียกรองและหนี้สนิ เปน อนั เกลอื่ นกลืนกันไปในเจาหน้ีรว มกันคนหน่ึง สิทธิของเจาหนี้คนอ่ืนๆ
อนั มตี อ ลกู หน้ีกย็ อ มเปนอันระงบั สน้ิ ไป (ม.299 วรรคสอง)
3. เม่ือลูกหน้ีชําระหน้ีหรือปฏิบัติการอยางอ่ืนตอเจาหน้ีรวมคนใดคนหน่ึงอันมีผลใหหน้ีระงับส้ินไปแลว
ลกู หนี้ยอมหลุดพน จากหนีน้ นั้ ไป (ม.299 วรรคสาม)
4. เม่ือเจาหน้ีรวมคนใดคนหน่ึงปลดหน้ีใหแกลูกหน้ีแลว ยอมเปนโทษแกเจาหน้ีรวมคนอ่ืนเทาสวนท่ีได
ปลดหน้ใี หน ้นั (ม.299 วรรคสาม)
5. ในระหวางเจาหน้ีรวมกันน้ัน เจาหน้ีแตละคนชอบท่ีจะไดรับชําระหน้ีเปนสวนเทาๆ กัน เวนแตจะได
กาํ หนดไวเปน อยางอนื่ (ม.300)
[92]
ความระงับแหงหนี้
1. การชําระหนี้
2. การปลดหน้ี คือ การท่ีเจาหน้ียอมสละสทิ ธิเรียกรองอนั มีตอลูกหน้ีใหแ กลกู หนไ้ี ปโดยเสนหา ซ่ึงมีผล
ทําใหห น้ีนัน้ ระงับลง (ม.340) ถาหากหนีน้ ั้นมหี นงั สือเปนหลักฐาน การปลดหน้กี ็ตองทําเปนหนังสอื ดวย
หรือตองเวนคืนเอกสารอันเปนหลักฐานแหงหน้ีใหแกลูกหน้ี หรือขีดฆาเอกสารน้ันเสีย (ม.340 วรรค
2)
3. การหักกลบลบหนี้ (ม.341) มีหลกั ดงั น้ี
3.1 การหักกลบลบหนีเ้ ปน กรณีท่บี ุคคลสองคนตางมคี วามผกู พันซึ่งกนั และกนั โดยมลู หนี้
3.2 มลู หน้ตี อ งมวี ัตถเุ ปนอยางเดียวกัน
3.3 หนี้ทั้งสองรายนนั้ ถงึ กาํ หนดชาํ ระหน้แี ลว และท้งั สภาพแหงหน้ีก็เปด ชอ งใหหกั กลบลบ
หน้ีกันได
4. การแปลงหน้ีใหม คือ การท่ีคูกรณีท่ีเก่ียวของไดทําสัญญาเปล่ียนส่ิงซ่ึงเปนสาระสําคัญแหงหน้ีกัน
หนี้นั้นเปน อันระงบั ไปดว ย “แปลงหนี้ใหม” (ม.349) เชน การเปลย่ี นวัตถแุ หงหนี้
5. หนี้เกล่ือนกลืนกัน ถาสิทธิและความรับผิดในหน้ีรายใด ตกอยูแกบุคคลคนเดียวกันแลว หน้ีน้ันเปน
อนั ระงบั ไปดว ยหนเี้ กลื่อนกลนื กัน (ม.353)
ตัวอยาง นาย ก. และนาย ข. เปนพี่นองรวมบิดามารดาเดียวกัน ก.กูเงิน ข.มา 100,000บาท เมื่อ ก.
ตาย ข.เปนทายาทท่ีเหลืออยูคนเดียวของ ก. ยอมรับไปท้ังสิทธิและหนาท่ีของ ก. นาย ข.ตองชําระหน้ี
เงินกขู อง ก. 100,000 บาท ซงึ่ ข.เองเปนเจา หน้อี ยดู ว ย หน้จี งึ เกลือ่ นกลืนกันไป ทําใหหน้รี ะงบั
[93]
กฎหมายกับความสัมพันธภายในครอบครัว
การหมั้น
การหม้ัน คอื การที่ชายและหญิงทําสัญญาตกลงวา จะสมรสอยูกินดวยกันฉันสามีภริยา การ
หม้ันถือเปนสัญญาอยางหน่ึงท่ีมีวัตถุประสงคคือมีการสมรสในอนาคต แตการหม้ันเปนสัญญาซ่ึง
แตกตา งจากสัญญาอืน่ ๆ กลาวคือ หากฝายใดฝายหน่ึงผิดสัญญาหม้ัน ไมยอมทําการสมรส อีกฝายหน่ึง
ไมอาจฟองตอศาลบังคับใหสมรสได และถาไดมีขอตกลงกันไววาจะใหเบ้ียปรับในเมื่อผิดสัญญาหม้ัน
ขอ ตกลงนัน้ เปน โมฆะ
การสมรสจําตอ งมกี ารหม้ันหรือไม
ปกติการสมรสไมจําเปนตองมกี ารหม้นั เพราะไมม ีบทกฎหมายใดบังคบั ไวว าการสมรสจะตอ ง
มีการหม้ันจึงจะสมรสได ชายหญิงท่ีรักชอบกันอาจตกลงจะสมรสกันแลวพากนั ไปจดทะเบียนสมรสเลย
โดยไมม กี ารหมน้ั กอ น ก็ถือวาเปน การสมรสทีส่ มบรู ณแ ละชอบดว ยกฎหมายแลว
เงือ่ นไขของการหมัน้
1. อายุของคูหม้นั กลา วคือ การหมั้นจะทําไดตอ เมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปบริบูรณ การหม้ันท่ี ฝา
ฝนเง่ือนไขน้ีเปนโมฆะ เชนอายุยังไมครบ 17 ปบริบูรณ ทําการหม้ัน แมบิดามารดาจะใหความยินยอม
การหม้ันยอมตกเปนโมฆะ
2. ความยินยอมของบิดามารดาหรือผูปกครอง บคุ คลที่บรรลนุ ิตภิ าวะแลวยอมมีอํานาจทําการหมั้นได
โดยลําพังตนเอง ไมจําเปนตองขอความยินยอมจากบิดามารดา แตถายังเปนผูเยาวอยู นอกจากตองมี
อายุครบ 17 ปบ ริบูรณแลว ยังตองขอความยินยอมจากผทู ่ีมีอํานาจใหความยินยอมดวย ถาทําการหมั้น
โดยไมไดรบั ความยินยอมดงั กลาวแลว การหมัน้ ยอ มตกเปนโมฆียะ (บุคคลผใู หความยินยอมในการหมั้น
ของผเู ยาว ไดแก บดิ าและมารดา ผูรับบุตรบญุ ธรรม หรือผูปกครอง แลว แตก รณี)
ความสมบรู ณข องสญั ญาหม้ัน
มาตรา 1437 บัญญัติวา “การหม้ันจะสมบูรณเม่ือฝายชายไดสงมอบหรือโอนทรัพยสินอัน
เปนของหม้ันใหแกหญิง เพ่ือเปนหลักฐานวาจะสมรสกับหญิงน้ัน” สิ่งแรกตองดูกอนวา ทรัพยสินน้ันมี
ลกั ษณะเปน ของหม้นั หรอื ไม ถาไมใ ชข องหมนั้ แลว ถึงมกี ารสง มอบกนั ไป กไ็ มถ ือวามสี ญั ญาหมัน้ เกดิ ข้นึ
ลกั ษณะของของหม้นั
1. ของหมั้นตองเปน ทรพั ยส ิน (จะมีราคามากนอยเทาใดไมสําคัญ)
2. ตองเปนทรัพยสนิ ทฝ่ี า ยชายสงมอบหรือโอนใหแ กหญิงคูหม้นั ถา มอบใหแกบ ิดามารดาของฝายหญิง
ไมถือวาเปนของหมัน้ แตอ าจเปน สนิ สอดไป
3. เพื่อเปน หลักฐานวา จะสมรสกบั หญิงน้ัน ฉะน้ันของหมนั้ ตอ งไดใ หไ วใ นเวลาทําสญั ญาหมั้น
4. ตองมีเจตนาใหเปน ของหมั้น การใหใ นลักษณะอื่น เชน เปนการขอขมา หรือใหโ ดยเสนห า ไมใชของ
หมั้น
5. ชายหญงิ นั้นตองมีเจตนาท่ีจะสมรสกันตามกฎหมายดวย
ขอสังเกต การหม้ันดวยทรัพยสินอันเปนสังหาริมทรัพยน้ัน จะถือวาเปนการสงมอบตอเม่ือหญิงไดเขา
ครอบครองแลว แตถาเปนอสังหาริมทรัพย เชน บาน ท่ีดิน จะถือเปนการสงมอบตอเม่ือไดมีการโอน
กรรมสิทธิ์ทางทะเบยี นแลว
[94]
กรรมสิทธิ์ในของหม้ัน
เม่ือมีสัญญาหม้ันเกิดข้ึนแลว ของหม้ันตกเปนสิทธิแกหญิง และเปนสินสวนตัวของหญิงน้ัน
หญงิ มีสทิ ธจิ ะจัดการแกข องหมน้ั ไดท กุ กรณีโดยไมจ าํ ตองไดรับความยนิ ยอมจากสามี
การผดิ สัญญาหมั้น
เม่ือมีการหม้ันแลว ถาฝายใดผิดสัญญาหม้ัน ไมยอมทําการสมรส อีกฝายหน่ึงไมอาจฟองตอ
ศาลบังคับใหสมรสได และถาไดมีขอตกลงกันไววา จะใหเบ้ียปรับในเม่ือผิดสัญญาหม้ัน ขอตกลงน้ันเปน
โมฆะ แตอีกฝายหน่ึงมีสิทธิเรยี กใหรับผิดใชคาทดแทนได ในกรณีท่ีฝายหญิงเปนฝายผิดสัญญาหม้ัน ให
คนื ของหม้นั แกฝ ายชายดว ย (ป.พ.พ.มาตรา 1439)
คา ทดแทนทจี่ ะเรียกได มีอะไรบา ง
คาทดแทนที่อาจเรียกกันไดมีดงั นี้
1. คา ทดแทนความเสียหายตอกายหรือชอื่ เสียงแหงชายหรือหญิงนน้ั
2. คาทดแทนความเสียหาย ในการท่คี หู มนั้ บดิ า มารดา หรอื ผปู กครองไดใ ชจา ยหรอื ตองตกเปน ลูกหน้ี
ในการเตรียมการสมรสโดยสุจรติ และตามควร
3. คาทดแทนความเสียหาย เน่ืองจากการท่ีคูหม้ันไดจัดการทรัพยสินหรือธุรกิจของตนไปตามสมควร
โดยคาดหมายวาจะไดมีการสมรส เชน หญงิ ขายบานและท่ีดินของตนไปในราคาตํ่ากวาราคาตลาด หรือ
ขายกจิ การธุรกจิ ของตนไปในราคาต่ํากวาปกติ ดวยคาดหวังวาเม่อื ไดท ําการสมรสกับชายแลวจะตดิ ตาม
สามีไปอยูในตา งประเทศ แตฝายชายผิดสญั ญาหม้ันไมยอมสมรสดว ย ฝา ยหญิงจงึ เรยี กคาทดแทนสว นน้ี
ได
คาทดแทนกําหนดกันอยางไร เรยี กคาทดแทนจากใครไดบ าง
1. ก็แลวแตจะตกลงกัน ถาตกลงกันไดก็ใหเปนไปตามท่ีท้ังสองฝายตกลงกัน แตถาตกลงกันไมไดก็ตอง
นําคดีข้ึนสศู าลเพอ่ื ใหศาลเปน ผวู ินจิ ฉยั แตในกรณีท่ีฝายหญงิ เปนผเู สยี หาย ซึ่งหญิงมีสิทธไิ ดร บั ของหมั้น
อยูแลว ถาพิจารณาราคาของหม้ันแลวยังทวมคาเสียหายอยู ศาลอาจพิจารณาวาของหมั้นมีราคา
เพียงพอกับความเสียหายแลว เชน ของหม้ันเปนแหวนเพชร ราคา 150,000 บาท แตฝายหญิงไดรับ
ความเสียหายเพียง 30,000 บาท ศาลอาจถือวาของหม้ันมีราคาเพียงพอกับความเสียหายแลว ชายไม
จําเปน ตองจา ยคาทดแทนอีกกไ็ ด
2. ถาหม้ันกันแลว ฝายหน่ึงตายกอนสมรสอีกฝายจะเรียกคาทดแทนกันไมได สวนของหม้ันไมวาชาย
หรอื หญิงตาย หญงิ หรือฝา ยหญงิ ไมตอ งคนื ใหแกฝ า ยชาย (ป.พ.พ. มาตรา 1441)
3. เม่อื หมนั้ กนั แลว หญงิ คูห มั้นไปรวมประเวณีกับชายอ่ืน ชายคูหมนั้ จะมสี ทิ ธติ ามกฎหมาย ดงั น้ี
1) บอกเลิกสญั ญาหม้นั กบั หญงิ คหู มั้นและเรียกรองใหหญิงคืนของหมน้ั ได
2) เรียกคาทดแทนจากชายอ่ืนหรือหญงิ อื่นซงึ่ ไดร วมประเวณกี ับหญิงคหู ม้นั หรอื ชายคูหมั้น
ของตนโดยท่ีรูหรือควรจะรวู า หญงิ ไดห มั้นกบั ชายคหู มัน้ แลว (ป.พ.พ.มาตรา 1445)
3. กรณมี กี ารหมัน้ กนั แลว หญิงคหู มัน้ ถูกขมขืนกระทําชําเราจากชายอนื่ ชายคหู ม้นั จะมีสิทธิ
เรยี กคา ทดแทนจากชายอน่ื ท่ีขมขนื กระทําชาํ เราหรือพยามยามขม ขืนกระทําชาํ เราหญงิ คูหม้ันโดยรหู รือ
ควรจะรูวา หญิงไดหมัน้ แลว ไดโดยไมจ ําตองบอกเลิกสัญญาหม้นั (ป.พ.พ. มาตรา 1446)
[95]