The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

129.นางสาวกมลวรรณ ลือหาญ-วิจัยในชั้นเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 129 กมลวรรณ ลือหาญ, 2024-01-20 23:03:29

129.นางสาวกมลวรรณ ลือหาญ-วิจัยในชั้นเรียน

129.นางสาวกมลวรรณ ลือหาญ-วิจัยในชั้นเรียน

41 อารีและเซเบิร์ก (Ali & Saberg, 2016: 98) ได้น าเสนอผลการใช้ห้องเรียนกลับด้านในชั้นเรียนเพื่อ การสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาที่สอง ซึ่งน าไปใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในประเทศสวีเดนตอนบนโดย ผลจากการน าไปใช้พบว่า ห้องเรียนกลับด้านท าให้นักเรียนกระตือรือร้นในการเรียนรู้และเป็นกระบวนการที่ เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางซึ่งมีความแตกต่างจากกระบวนการที่เน้นครูเป็นศูนย์กลางมาก และการน าเทคโนโลยี มาใช้ในห้องเรียนเป็นการตอบสนองความต้องการของนักเรียนในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ขั้นตอนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ผู้วิจัยได้น าขั้นตอนการสอนอ่านของไรซ์ (Rice, 2009: 97-107) และแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน จากแนวความคิดของ เบิร์กแมนและแซมส์ (Bergmann & Sams, 2012 :13-15) มาประยุกต์ใช้เป็น ขั้นตอน ในการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ น าเสนอการเปรียบเทียบขั้นตอนการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน โดยมีขั้นตอนการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของผู้วิจัย ดังที่แสดงในตารางที่ 2 ตารางที่2 การเปรียบเทียบขั้นตอนการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจของไรซ์ (Rice, 2009: 97-107) แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของ เบิร์กแมนและแซมส์ (Bergmann & Sams, 2012 :13-15) และขั้นตอนการ สอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของผู้วิจัย ขั้นตอนการสอนอ่าน แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ขั้นตอนการสอนอ่าน ของไรซ์ ของ เบิร์กแมนและแซมส์ ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ (Rice, 2009: 97-107) (Bergmann & Sams, 2012 :13-15) โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้านของผู้วิจัย 1. ศึกษาบทเรียนจากวิดีโอ 1. กิจกรรมที่บ้าน: การ มอบหมายงาน 1.1 ครูน าบทอ่านเผยแพร่ลงใน แอพพลิเคชั่น Facebook ที่ครู สร้างขึ้น โดยให้นักเรียนศึกษา ล่วงหน้าก่อนเข้าชั้นเรียน 3 วัน หลังจากนักเรียนอ่านบทอ่าน ใน Facebook แล้วให้นักเรียน ลงชื่อ ใต้บทอ่านเพื่อยืนยันการ เข้าถึงบท อ่านในแอพพลิเคชั่น ของนักเรียน 1.2 นักเรียนตั้งค าถามเกี่ยวกับ บทอ่านมาคนละ 1 ค าถาม โดยจดบันทึกค าถามและสรุป เนื้อหาลงใน สมุดบันทึกของ นักเรียน


42 ตารางที่2 การเปรียบเทียบขั้นตอนการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจของไรซ์ (Rice, 2009: 97-107) แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านของ เบิร์กแมนและแซมส์ (Bergmann & Sams, 2012 :13-15) และขั้นตอนการสอนอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของผู้วิจัย ขั้นตอนการสอนอ่าน แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ขั้นตอนการสอนอ่าน ของไรซ์ ของ เบิร์กแมนและแซมส์ ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ (Rice, 2009: 97-107) (Bergmann & Sams, 2012 :13-15) โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้านของผู้วิจัย 1. ขั้นก่อนการอ่าน 1. นักเรียนอภิปรายเกี่ยวกับ 2. กิจกรรมในห้องเรียน (Pre- reading Stage) วิดีโอที่ครูมอบหมายให้ศึกษามา 2.1 ขั้นก่อนการอ่าน 1.1 ก าหนดเป้าหมาย ก่อน (Pre-reading Stage) ในการอ่าน 2. นักเรียนจดบันทึกค าถามจาก 2.1.1 นักเรียนและครู 1.2 วิเคราะห์ถึงสิ่งที่จะได้ สิ่งที่ได้หลังจากดูวิดีโอ และสรุป ร่วมกันอภิปรายค าถาม จากเรื่องที่อ่าน หรือเชื่อมโยง เนื้อหาของสิ่งที่เรียน (10 นาที) และค าตอบ และการสรุป ประสบการณ์เดิมเข้ากับความรู้ เนื้อหาที่มอบหมายให้นักเรียน ด้านภาษาและเนื้อเรื่องที่อ่าน ท ามาจากบ้าน เพิ่มเติม 2.1.2 ครูสอนค าศัพท์ที่พบใน บทอ่านโดยแจกใบงานที่ 1 ให้นักเรียนจับคู่ค าศัพท์และ หาความหมายของค าศัพท์ให้ นักเรียนออกเสียงตามครูและ จดบันทึกค าศัพท์ลงในสมุด 2.1.3 ครูสอนโครงสร้าง ประโยคที่พบ ในบทอ่านโดย ยกตัวอย่างประโยคให้นักเรียน พูดประโยคตามครูและจด บันทึกลงสมุด


43 ตารางที่2 การเปรียบเทียบขั้นตอนการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจของไรซ์ (Rice, 2009: 97-107) แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านของ เบิร์กแมนและแซมส์ (Bergmann & Sams, 2012 :13-15) และขั้นตอนการสอนอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของผู้วิจัย ขั้นตอนการสอนอ่าน แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ขั้นตอนการสอนอ่าน ของไรซ์ ของ เบิร์กแมนและแซมส์ ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ (Rice, 2009: 97-107) (Bergmann & Sams, 2012 :13-15) โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้านของผู้วิจัย 2. ขั้นระหว่างอ่าน 3. นักเรียนท ากิจกรรมการ 2.2 ขั้นระหว่างอ่าน (While-reading Stage) เรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่า 1 กิจกรรม (While-reading Stage) 2.1 ขณะอ่าน ผู้เรียนต้องน า - การค้นคว้า 2.2.1 นักเรียนจับคู่กัน ความรู้และประสบการณ์เดิม - กิจกรรมการแก้ปัญหา และท างานเป็นคู่ ของผู้เรียนมาใช้ในการแก้ปัญหา - โครงงาน โดยครูแจก เกี่ยวกับความเข้าใจต่างๆ - การทดสอบ บทอ่านที่ตัดออกเป็นตอนๆ ที่เกิดขึ้น (Making Connection) (ใช้เวลา 75 นาที) และ ให้นักเรียนเรียงเนื้อหา ด้วยการตอบค าถามที่ถามถึง - นักเรียนเรียนรู้ร่วมกันและ ตามล าดับของเนื้อเรื่อง เป้าหมายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 2.2.2 ครูและนักเรียน กระจ่างยิ่งขึ้นของเรื่องที่อ่าน ร่วมกันเฉลยค าตอบและให้ และสาระส าคัญที่ผู้เขียน นักเรียนอ่านบทอ่านอีกครั้ง ต้องการสื่อ 2.2.3 นักเรียนแบ่งกลุ่ม 2.2 ตั้งสมมติฐานหรือคาดการณ์ กลุ่มละ 4 คน เพื่อร่วมกัน เนื้อหาของเรื่องที่อ่าน ค้นหาบทอ่านเพิ่มเติมจาก ไว้ล่วงหน้า หัวข้อที่ครูก าหนดให้จาก อินเทอร์เน็ต 2.2.4 นักเรียนท าใบงานที่ 2 โดยหาใจความส าคัญและ สรุป รายละเอียดจากเรื่องที่อ่าน และส่งตัวแทนกลุ่มออกมา น าเสนอหน้าชั้นเรียน


44 ตารางที่2 การเปรียบเทียบขั้นตอนการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจของไรซ์ (Rice, 2009: 97-107) แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านของ เบิร์กแมนและแซมส์ (Bergmann & Sams, 2012 :13-15) และขั้นตอนการสอนอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของผู้วิจัย ขั้นตอนการสอนอ่าน แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ขั้นตอนการสอนอ่าน ของไรซ์ ของ เบิร์กแมนและแซมส์ ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ (Rice, 2009: 97-107) (Bergmann & Sams, 2012 :13-15) โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้านของผู้วิจัย 3. ขั้นหลังการอ่าน 4. การประเมินผลนักเรียนด้วย 2.3 ขั้นหลังการอ่าน (Post-reading Stage) การสอบวัดผล (Post-reading Stage) สรุปสาระส าคัญของเนื้อเรื่อง 2.3.1 นักเรียนท า ที่อ่าน และตอบค าถามเพื่อ แบบทดสอบย่อย ตรวจสอบความเข้าใจ โดยให้ การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ ผู้เรียนกลับไปอ่านทบทวน ความเข้าใจใน มือถือโดยใช้ เนื้อเรื่อง เพื่อค้นหาประเด็น แอพพลิเคชั่น Quizziz ส าคัญและสร้างความเข้าใจ และคะแนนจะถูกบันทึกลง ที่คงทนมากยิ่งขึ้น ในระบบของแอพพลิเคชั่น โดยอัตโนมัติ 2.3.2 ครูและนักเรียนอภิปราย ค าตอบจากแบบทดสอบย่อย หลังจากนั้น ครูและนักเรียน ร่วมกันสรุป บทอ่านอีกครั้ง 2.3.3 ครูมอบหมายให้ นักเรียนอ่านบทอ่านในเนื้อหา ถัดไปใน Facebook ที่บ้าน ก่อน เข้าเรียนครั้งต่อไป


45 ขั้นตอนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยได้ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อพัฒนาความสามารถด้าน การอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 1.1 กิจกรรมที่บ้าน : การมอบหมายงาน 1.1.1 ครูน าบทอ่านเผยแพร่ลงในแอพพลิเคชั่น Facebook ที่ครูสร้างขึ้น โดยให้นักเรียน ศึกษาล่วงหน้าก่อนเขาชั้นเรียน 3 วัน หลังจากนักเรียนอ่านบทอ่านใน Facebook แล้ว ให้นักเรียน ลงชื่อใต้บทอ่านเพื่อยืนยันการเข้าถึงบทอ่านในแอพพลิเคชั่นของนักเรียน 1.1.2 นักเรียนตั้งค าถามเกี่ยวกับบทอ่านมาคนละ 1 ค าถาม โดยจดบันทึกค าถาม และสรุป เนื้อหาลงในสมุดบันทึกของนักเรียน 1.2 กิจกรรมในห้องเรียน 1.2.1 ขั้นก่อนการอ่าน (Pre-reading Stage) 1.2.1.1 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายค าถามและค าตอบ และการสรุปเนื้อหาที่ มอบหมายให้นักเรียนท ามาจากบ้าน 1.2.1.2 ครูสอนค าศัพท์ที่พบในบทอ่านโดยแจกใบงานที่ 1 ให้นักเรียนจับคู่ค าศัพท์ และหาความหมายของค าศัพท์ ให้นักเรียนออกเสียงตามครูและจดบันทึกค าศัพท์ลงในสมุด 1.2.1.3 ครูสอนโครงสร้างประโยคที่พบในบทอ่านโดยยกตัวอย่างประโยค ให้นักเรียน พูดประโยคตามครูและจดบันทึกลงสมุด 1.2.2 ขั้นระหว่างอ่าน (While-reading Stage) 1.2.2.1 นักเรียนจับคู่กันและท างานเป็นคู่ โดยครูแจกบทอ่านที่ตัดออกเป็นตอนๆ และ ให้นักเรียนเรียงเนื้อหาตามล าดับของเนื้อเรื่อง 1.2.2.2 ครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยค าตอบและให้นักเรียนอ่านบทอ่านอีกครั้ง 1.2.2.3 นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน เพื่อร่วมกันค้นหาบทอ่านเพิ่มเติมจาก หัวข้อ ที่ครูก าหนดให้จากอินเทอร์เน็ต 1.2.2.4 นักเรียนท าใบงานที่ 2 โดยหาใจความส าคัญและสรุปรายละเอียด จากเรื่องที่ อ่าน และส่งตัวแทนกลุ่มออกมาน าเสนอหน้าชั้นเรียน 1.2.3 ขั้นหลังการอ่าน (Post-reading Stage)


46 1.2.3.1 นักเรียนท าแบบทดสอบย่อยการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจใน มือถือ โดยใช้แอพพลิเคชั่น Quizziz และคะแนนจะถูกบันทึกลงในระบบของแอพพลิเคชั่นอัตโนมัติ 1.2.3.2 ครูและนักเรียนอภิปรายค าตอบจากแบบทดสอบย่อย หลังจากนั้นครูและ นักเรียนร่วมกันสรุปบทอ่านอีกครั้ง 1.2.3.3 ครูมอบหมายให้นักเรียนอ่านบทอ่านในเนื้อหาถัดไปใน Facebook ที่บ้าน ก่อนเข้าเรียนครั้งต่อไป


47 ภาพที่1 ขั้นตอนการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน


48 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย การใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ ในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ซึ่งผู้วิจัยได้ด าเนินการ ตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง รูปแบบของการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ ข้อมูล และสถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จ านวน 3 ห้อง จ านวน 125 คน 2. กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/6 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่เรียนภาษาอังกฤษภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 41 คน โดย วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) รูปแบบของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้ด าเนินการทดลองแบบกลุ่มเดียวโดยการวัดผลก่อนและหลังการ ทดลอง (One Group Pretest-Posttest Design) ล้วน สายยศและ อังคณา สายยศ (2543 : 106) โดย มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้แทนแบบแผนการวิจัย T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน X แทน การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน T2 แทน การทดสอบหลังเรียน


49 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ก าหนดลักษณะของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างและพัฒนา เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 1. ลักษณะของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับ ด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จ านวน 6 แผน 1.2 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เป็นข้อสอบก่อน เรียน และหลังเรียน (Pretest-Posttest) จ านวน 1 ฉบับ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นแบบทดสอบปรนัย (Multiple Choice) ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ 1.3 แบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ใช้วิธีวัดตามแบบของลิเคิร์ท (Likert's Scale) จ านวน 15 ข้อ 5 ระดับความคิดเห็น ได้แก่ เห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่แน่ใจ ไม่เห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง 2. วิธีการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 2.1 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียน กลับด้าน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 2.1.1 ศึกษาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ รายวิชาภาษาอังกฤษ ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎีในการจัดการ เรียนรู้การใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ และคัดเลือกเนื้อหา ในการจัดการเรียนรู้ โดยค้นคว้าความรู้จากต าราเรียน บทความ วารสาร อินเทอร์เน็ต และอื่นๆ และเลือกใช้ เนื้อหาที่มีความสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2.1.2 วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ ตัวชี้วัด เนื้อหา กิจกรรมการเรียน การ สอน และคัดเลือกบทอ่านที่มีความสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โดยเลือกเนื้อหาที่มีความทันสมัยและน่าสนใจ 2.1.3 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน จ านวน 4 แผน รวม 8 ชั่วโมง


50 2.1.4 น าแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษ จ านวน 3 ท่าน ตรวจสอบแผนการจัดการ เรียนรู้เพื่อพิจารณาในด้านเนื้อหาและความสอดคล้องของจุดประสงค์และกิจกรรมการเรียนรู้ โดย ผู้เชี่ยวชาญ ลงความเห็นและให้คะแนน ดังต่อไปนี้ (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543 : 250) +1 เมื่อแน่ใจว่า องค์ประกอบของแผน มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่า องค์ประกอบของแผน มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน -1 เมื่อแน่ใจว่า องค์ประกอบของแผน ไม่เหมาะสมและสอดคล้องกัน จากนั้น น าคะแนนที่ได้จากการพิจารณามาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1.00 ทุกแผน 2.1.5 น าแผนการจัดการเรียนรู้ไปปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญและ เสนอต่อ อาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง 2.1.6 น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้ว ไปทดลองใช้ (Try-out) กับนักเรียน ที่ไม่ใช่กลุ่ม ตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/6 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ พร้อมจดบันทึกปัญหา และอุปสรรค 2.1.7 น าปัญหาและอุปสรรคที่พบมาปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ให้สมบูรณ์และน า แผนการจัดการเรียนรู้ไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยมีขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ดังนี้


51 ภาพที่ 2 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ศึกษาหลักสูตรหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และศึกษาทฤษฎี ในการจัดการ เรียนรู้การใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษ คัดเลือกบทอ่านที่มีเนื้อหาเหมาะสมกับระดับความสามารถของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้าน จ านวน 4 แผน น าแผนการจัดการเรียนรู้ทั้ง 6 แผน น าเสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบและแก้ไข และ น าไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษ 3 ท่าน ตรวจสอบเนื้อหา โครงสร้างและการ วัดผล ประเมินผล แล้วน าคะแนนที่ได้ไปหาค่า IOC ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1.00 ทุกแผน ปรับปรุงและแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญและ เสนอต่อ อาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง น าแผนการจัดการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/6 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ เพื่อจดบันทึกปัญหาและอุปสรรค ระหว่างเรียน น าปัญหาและอุปสรรคที่พบมาแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ให้สมบูรณ์และด าเนินการทดลอง ใช้กับกลุ่มตัวอย่าง


52 2.2 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 2.2.1 ศึกษาเอกสารและแนวทางการสร้างแบบทดสอบ การประเมินผลการเรียน การสอน ภาษาอังกฤษ 2.2.2 วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์ของการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้าน 2.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ให้ครอบคลุม เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ในรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบทดสอบ ปรนัยชนิดเลือกค าตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ วัดโดยใช้เกณฑ์วัดของ มิลเลอร์(Miller, 1990 : 4-7) 3 ระดับ คือ ระดับแปลความ ระดับตีความ และระดับวิเคราะห์สรุปความ 2.2.4 น าแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา 2.2.5 น าแบบทดสอบที่แก้ไขปรับปรุงแล้ว ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษ 3 ท่าน ตรวจสอบการใช้ค าถาม ตัวเลือก ความถูกต้อง และความเที่ยงตรง โดยพิจารณา ตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้ (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543 : 250) +1 เมื่อแน่ใจว่า ค าถามเหมาะสม และสอดคล้องกับจุดประสงค์ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่า ค าถามเหมาะสม และสอดคล้องกับจุดประสงค์ -1 เมื่อแน่ใจว่า ค าถามไม่เหมาะสม และไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์1 รวบรวมผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ มาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างค าถามกับ จุดประสงค์การเรียนรู้เป็นรายข้อ ซึ่งดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มีค่าเท่ากับ 1.00 ทุก ข้อ 2.2.6 น าแบบทดสอบที่ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา และตรวจสอบค่าดัชนีความสอดคล้องแล้ว ไปปรับปรุง แก้ไข แล้วน าไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/11 และ 2/12 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ านวน 84 คน 2.2.7 น าผลที่ได้จากการทดสอบมาวิเคราะห์หาค่าความเที่ยงตรงของแบบทดสอบ รายข้อ เพื่อ วิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.20-0.80 และค่าอ านาจจ าแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.20-1.00 ซึ่ง มีค่า และหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.70 ขึ้นไปของแบบทดสอบทั้งฉบับ โดยใช้สูตร KR20 ของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน 20 (Kuder Richardson)


53 2.2.8 น าแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ที่แก้ไข ปรับปรุง และสมบูรณ์แล้ว ไปใช้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 30 ข้อ วัดโดยใช้เกณฑ์ของ มิลเลอร์ (Miller, 1990 : 4-7) มี 3 ระดับ คือ ระดับแปลความ ระดับตีความ และระดับวิเคราะห์และสรุปความ โดยสรุป ขั้นตอนการสร้าง แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 2.3 การสร้างแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียน กลับด้าน 2.3.1 ศึกษาทฤษฎี เจตคติ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวัดเจตคติต่อการสอน อ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน เป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ โดยใช้การ วัดตามแบบวัดของลิเคิร์ท 2.3.2 สร้างแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับ ด้าน จ านวน 15 ข้อ โดยมีตัวเลือก 5 ระดับ ก าหนดเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ, 2543 : 90-96) 2.3.2.1 ข้อแสดงความคิดเห็นเชิงบวก 5 คะแนน หมายถึง เห็นด้วยอย่างยิ่ง 4 คะแนน หมายถึง เห็นด้วย 3 คะแนน หมายถึง ไม่แน่ใจ 2 คะแนน หมายถึง ไม่เห็นด้วย 1 คะแนน หมายถึง ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง 2.3.2.2 ข้อความที่แสดงจิตคติหรือความรู้สึกในทางลบ 1 คะแนน หมายถึง เห็นด้วยอย่างยิ่ง 2 คะแนน หมายถึง เห็นด้วย 3 คะแนน หมายถึง ไม่แน่ใจ 4 คะแนน หมายถึง ไม่เห็นด้วย 5 คะแนน หมายถึง ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง


54 2.3.4 น าแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับ ด้าน เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เพื่อตรวจสอบ แก้ไข 2.3.5 น าแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับ ด้าน ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษ จ านวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณา ความ เที่ยงตรงตามเนื้อหา และความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง ความชัดเจนทางภาษา เพื่อหาค่าดัชนีความ สอดคล้องของข้อค าถามและ จุดประสงค์ (IOC) โดยมีเกณฑ์ ดังนี้ (สมชาย วรกิจเกษมสกุล, 2552 : 261) +1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อค าถาม เหมาะสมและสอดคล้องกับเจตคติ 0 เมื่อไม่แน่ใจว่า ข้อค าถาม เหมาะสมและสอดคล้องกับเจตคติ -1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อค าถาม ไม่เหมาะสมและมาสอดคล้องกับเจตคติ 2.3.6 น าแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับ ด้าน ที่ได้วิเคราะห์ข้อมูล มาหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ 2.3.7 น าแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจฉบับสมบูรณ์ ไปใช้กับกลุ่ม ตัวอย่าง โดยสรุปขั้นตอนการสร้างแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดย ใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจโดย ใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยด าเนินการ เก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2566 มีรายละเอียดดังนี้ 1. ท าการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจ านวน 1 ฉบับ 30 ข้อ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง และบันทึกคะแนน เพื่อ ใช้เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียน 2. ด าเนินการทดลองโดยใช้แผนจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ที่สร้างขึ้นจ านวน 4 แผน รวมเวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง 3. ท าการทดสอบหลังเรียน (Posttest) กับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบ วัดความสามารถด้าน การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจฉบับเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน จ านวน 30 ข้อ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง


55 4. วัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน หลังจาก จัดกิจกรรมการเรียนการสอนครบทั้ง 4 แผนการจัดการเรียนรู้การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลคะแนนทดสอบวัดความสามารถด้านการ อ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย (x ) ร้อยละ (Percentage) ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 2. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยการวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความ เข้าใจ เมื่อทดสอบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ด้วยวิธีทดสอบทีแบบกลุ่มเดียวเทียบกับเกณฑ์(One Sample ttest) 3. วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อน าไปเปรียบเทียบผลคะแนนการทดสอบวัดความสามารถด้านการ อ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Samples) 4. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านของนักเรียน โดยหาค่าเฉลี่ย (x ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วน ามาแปล ผลตาม เกณฑ์การวัดเจตคติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (x ) ร้อยละ (Percentage) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใช้ โปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติส าหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) 2. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคุณภาพเครื่องมือ 2.1 การหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบวัด ความสามารถ ด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ และแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน โดยใช้ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถาม แต่ละข้อกับจุดประสงค์(IOC) โดยใช้สูตร (ล้วน สายยศและ อังคณา สายยศ, 2538)


56 IOC คือ หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามกับจุดประสงค์ ∑ คือ ผลรวมของคะแนนของผู้เชี่ยวชาญ N คือ จ านวนผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด 2.2 ดัชนีค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความ เข้าใจ ซึ่งค านวนจากโปรแกรมส าเร็จรูป TAP (Test Ananlysis Program) 2.3 ค านวณค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจ ซึ่งค านวณจากโปรแกรมส าเร็จรูป TAP (Test Ananlysis Program) 2.4 ค านวณค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของของแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการ อ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้วิธีการของคูเดอร์ - ริชารร์ดสัน 20 (Kuder-Richardson; KR 20) และใช้ โปรแกรมส าเร็จรูป TAP (Test Ananlysis Program) 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของคะแนน การท า แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนทั้งก่อนและ หลังเรียน โดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Samples) และทดสอบโดยเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยใช้การทดสอบทีแบบกลุ่มเดียวเทียบกับเกณฑ์ (One Sample t-test) โดยใช้โปรแกรม ส าเร็จรูปทาง สถิติส าหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS program for Windows) 4. เกณฑ์การแปลผลคะแนนแบบวัดเจตคติ การแปลความหมายโดยใช้คะแนนเฉลี่ยของเจตคติต่อการสอนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจ โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ซึ่งเบสและคาห์น (Best & Kahn, 2003 :199) ได้ก าหนด เกณฑ์ในการ พิจารณาคะแนนเฉลี่ยในแบบวัดเจตคติไว้ ดังนี้ เกณฑ์ค่าเฉลี่ย 4.50 - 5.00 แปลความว่า มีเจตคติระดับดีมาก เกณฑ์ค่าเฉลี่ย 3.50 - 4.49 แปลความว่า มีเจตคติระดับดี เกณฑ์ค่าเฉลี่ย 2.50 - 3.49 แปลความว่า มีเจตคติระดับปานกลาง


57 เกณฑ์ค่าเฉลี่ย 1.50 - 2.49 แปลความว่า มีเจตคติระดับค่อนข้างไม่ดี เกณฑ์ค่าเฉลี่ย 1.00 - 1.49 แปลความว่า มีเจตคติระดับไม่ดี


58 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ซึ่ง ผู้วิจัยได้น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามหัวข้อดังต่อไปนี้ 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและ หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2. เพื่อศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ก่อนเรียน และหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 1. ผลการศึกษาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลัง เรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ผู้วิจัยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ จ านวน 30 ข้อ คะแนนเต็ม 30 คะแนน ซึ่งน าไปทดสอบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างก่อนท าการสอน และหลังจากที่ผู้วิจัยได้ท า การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นจ านวน 4 แผน เมื่อท าการสอนครบทั้งหมด 4 แผนแล้วจึงท าการทดสอบหลังเรียน ข้อมูลปรากฏดัง ตารางที่ 3


59 ตารางที่ 3 คะแนนและร้อยละของการทดสอบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน No. Pretest (30) Percent Posttest (30) Percent 1 8 26.50 18 60.00 2 14 46.50 21 70.00 3 13 43.00 23 76.50 4 18 60.00 27 90.00 5 17 56.50 22 73.00 6 13 43.00 21 70.00 7 13 43.00 23 76.50 8 2 06.50 19 63.00 9 12 40.00 26 86.50 10 20 66.50 27 90.00 11 14 46.50 25 83.00 12 14 46.50 27 90.00 13 18 60.00 24 80.00 14 17 56.50 23 76.50 15 20 66.50 22 73.00 16 4 13.00 24 80.00 17 8 26.50 23 76.50 18 20 66.50 26 86.50 19 11 36.50 24 80.00 20 15 50.00 26 86.50 21 13 43.00 26 86.50 22 15 50.00 23 76.50 23 16 53.00 24 80.00 24 8 26.50 16 53.00 25 14 46.50 23 76.50 26 14 46.50 22 73.00 27 15 50.00 21 70.00 28 16 53.00 24 80.00 29 16 53.00 21 70.00 30 20 66.50 25 83.00 31 10 33.00 21 70.00 32 13 43.00 22 73.00 33 8 26.50 18 60.00


60 No. Pretest (30) Percent Posttest (30) Percent 34 15 50.00 27 90.00 35 11 36.50 24 80.00 36 9 30.00 19 63.00 37 13 43.00 22 73.00 38 11 36.50 24 80.00 39 8 26.50 18 60.00 40 9 30.00 15 50.00 41 15 50.00 21 70.00 13.17 45.84 22.61 77.19 S.D. 4.21 - 2.99 - จากตารางที่3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า คะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักเรียนโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน จ านวน 41 คน มีค่าเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 13.17 คิดเป็นร้อยละ 45.84 และค่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 22.61 คิดเป็นร้อยละ 77.19 2. ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนเทียบกับ เกณฑ์ร้อยละ 70 หลังทดลอง ผู้วิจัยได้หาค่าเฉลี่ยและเปรียบเทียบคะแนนความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียน จากแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยน ามาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) ซึ่งผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้ แนวคิดห้องเรียนกลับด้านหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 หลังการทดลอง ผู้วิจัยได้หาค่าเฉลี่ยและ เปรียบเทียบคะแนนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยใช้การทดสอบทีแบบกลุ่มเดียวเทียบกับเกณฑ์(One sample t-test) ผลการศึกษาปรากฏ ดังตารางที่ 4 ตารางที่4 ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยกับเกณฑ์ร้อยละ 70 การทดสอบ คะแนนเต็ม คะแนนเกณฑ์ ร้อยละ70 S.D. T 30 21 22.61 2.99 16.92** **มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01


61 จากตารางที่ 4 พบว่า คะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน จ านวน 41 คน มีค่าเฉลี่ยของการทดสอบ หลังเรียน เท่ากับ 22.61 เมื่อทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยของคะแนน พบว่า คะแนนความสามารถ ด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 3. ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดย ใช้ แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน หลังการทดลองผู้วิจัยได้ใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจ โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านมาทดสอบนักเรียนกลุ่มตัวอย่างและน าผลคะแนนทดสอบก่อน เรียนและหลัง เรียนมาท าการวิเคราะห์โดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) ซึ่งผลการ วิเคราะห์ข้อมูลปรากฏดังตารางที่ 5 ตารางที่5 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีเปรียบเทียบระหว่างก่อนเรียนและ หลังเรียน การทดสอบ N S.D. T ก่อนเรียน 41 13.17 4.21 หลังเรียน 41 22.61 2.99 16.92** **มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 5 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า คะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อ ความเข้าใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน จ านวน 41 คน มีคะแนนเฉลี่ย การทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 13.17 และคะแนนเฉลี่ยการทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 22.61 เมื่อทดสอบความ แตกต่างของค่าเฉลี่ย พบว่า คะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01


62 ผลการศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 ผู้วิจัยใช้แบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน ที่มีรายการแสดงความคิดเห็นทั้งทางบวกและทางลบกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 15 ข้อค าถาม หลังจาก เสร็จการทดลอง และน ามาค านวณโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และแปลความผล การศึกษา ปรากฏผลดังตารางที่ 6 ตารางที่6 ผลการศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวัด N S.D. การแปลผล เจตคติต่อการสอนอ่าน ภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ โดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน 41 4.49 0.55 ระดับดี จากตารางที่ 6 ผลการศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน พบว่า นักเรียนมีเจตคติโดยเฉลี่ยเท่ากับ 4.49 แสดงว่านักเรียนมีเจตคติต่อการสอน อ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านอยู่ในระดับดี


63 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ซึ่งมีล าดับขั้นตอนของการวิจัยและการสรุปผล ดังต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ก าหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังต่อไปนี้ 1. เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 2. เพื่อศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน มีคะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 2. นักเรียนที่ได้รับการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน มีความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ต าบลหมาก แข้ง อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานีเขต 21 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 3 ห้องเรียน จ านวนนักเรียนทั้งหมด 125 คน


64 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/6 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีที่เรียนภาษาอังกฤษภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 41 คน โดยวิธีการ สุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จ านวน 4 แผนการจัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 8 ชั่วโมง ผ่านการตรวจสอบ แก้ไข ทดลองใช้และปรับปรุงแล้ว มีค่าดัชนีความ สอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกแผน 2.2 แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยเป็นข้อสอบ ก่อน เรียนและหลังเรียน (pretest-posttest) จ านวน 1 ฉบับ เป็นแบบทดสอบปรนัย (Multiple Choice) ชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 30 ข้อ คะแนนเต็ม 30 คะแนน มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อ ค าถาม และจุดประสงค์ (IOC) เท่ากับ 1.00 ทุกข้อ ค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.33-0.78 มีค่า อ านาจจ าแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.20-0.74 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.89 2.3 แบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน จ านวน 15 ข้อ มี5 ระดับความคิดเห็น โดยใช้การวัดตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert's Rating Scales) มีค่าดัชนี ความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามกับจุดประสงค์(IOC) เท่ากับ 1.00 ทุกข้อ 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน โดยด าเนินการ เก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2566 มีรายละเอียดดังนี้ 3.1 ท าการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจ านวน 1 ฉบับจ านวน 30 ข้อ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง และบันทึก คะแนนเพื่อใช้เปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียน 3.2 ด าเนินการทดลองโดยใช้แผนจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นจ านวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง รวมเวลา ทั้งหมด 8 ชั่วโมง 3.3 ท าการทดสอบหลังเรียน (Posttest) กับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบ วัดความสามารถด้าน การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจฉบับเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนเรียน จ านวน 30 ข้อ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 3.4 วัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน หลังจาก จัดกิจกรรมการเรียนการสอนครบทั้ง 4 แผนการจัดการเรียนรู้


65 3.5 ตรวจให้คะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และแปลค่าคะแนนวัดเจตคติต่อการ สอน อ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน แล้วน าผลคะแนนที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติ เพื่อใช้ในการสรุปและอภิปรายผลการทดลอง 4. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยน าคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจของ นักเรียน และคะแนนแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับ ด้าน มาวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ (SPSS program for Windows) ซึ่งได้ด าเนินการดังต่อไปนี้ 4.1 วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลคะแนนทดสอบวัดความสามารถด้านการ อ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้สถิติค่าเฉลี่ย (x ) ร้อยละ (Percentage) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 4.2 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยการวัดความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความ เข้าใจ เมื่อทดสอบเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ด้วยวิธีทดสอบทีแบบกลุ่มเดียวเทียบกับเกณฑ์(One Sample ttest) 4.3 วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อน าไปเปรียบเทียบผลคะแนนการทดสอบวัดความสามารถด้านการ อ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Samples) 4.4 วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านของนักเรียน โดยหาค่าเฉลี่ย (x ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วน ามาแปล ผลตาม เกณฑ์การวัดเจตคติ สรุปผลการวิจัย ผลการวิจัยในครั้งนี้สรุปจากการศึกษาและเปรียบเทียบคะแนนความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ก่อนเรียนและหลังเรียน และคะแนนจาก แบบ วัดเจตคติการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ซึ่งสรุป ผลการวิจัยดังนี้ 1. นักเรียนมีคะแนนความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนเฉลี่ย 13.17 คิดเป็นร้อยละ 45.84 และหลังเรียนเฉลี่ย 22.61 คิดเป็นร้อยละ 77.19 ซึ่งนักเรียนมีคะแนน ความสามารถ ด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าร้อยละ 70 และเมื่อทดสอบความ แตกต่างของ ค่าเฉลี่ยพบว่า ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมี นัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. นักเรียนมีเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านอยู่ ในระดับดี


66 การอภิปรายผล การวิจัยในครั้งนี้เป็นการทดลองเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน และศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความ เข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งผู้วิจัย ได้อภิปรายผลประเด็นต่างๆ ตามล าดับดังนี้ 1. ผลการศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรีราชินูทิศก่อนเรียนและหลังเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อ ความ เข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน 1.1 ผลการศึกษาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียนการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน พบว่า นักเรียนมีความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนเฉลี่ย 13.17 คิดเป็นร้อยละ 45.84 และคะแนนหลังเรียนเฉลี่ย 22.61 คิดเป็นร้อยละ 77.19 ซึ่งคะแนนหลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานในข้อที่ 1 มีสาเหตุมาจากการสอนอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านเป็นแนวทางการสอนที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนา ความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียน ผลคะแนนการทดลองแสดงให้เห็นว่าก่อนการสอนอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ความสามารถด้านการ อ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของ นักเรียนอยู่ในระดับที่ต่ ากว่าเกณฑ์สาเหตุมาจากนักเรียนมีปัญหา ด้านการอ่าน เช่น นักเรียนไม่รู้ความหมาย ของค าศัพท์ ไม่สามารถเข้าถึงแนวคิดหลักจากเนื้อเรื่องที่อ่าน และนักเรียนไม่สามารถแปลความ ตีความ และ วิเคราะห์สรุปความจากเนื้อเรื่องที่อ่านได้ ดังนั้นนักเรียน จึงไม่สามารถท าความเข้าใจบทอ่านและตอบค าถาม หลังการอ่านได้อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้เรียนการ อ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้าน 8 สัปดาห์แล้ว นักเรียนมีพัฒนาการ ด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ เนื่องจากนักเรียนมี เวลาในการศึกษา ค้นคว้า หาความหมาย และท าความเข้าใจบทอ่านได้จากที่บ้านผ่าน Facebook นักเรียนได้ ตั้งค าถาม และร่วมกันอภิปราย ค าถามค าตอบในชั้นเรียน ได้เรียนรู้ค าศัพท์อ่านบทอ่าน หาใจความส าคัญ และ สรุปบทอ่านผ่านกิจกรรม การเรียนรู้ในรูปแบบห้องเรียนกลับด้าน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า นักเรียนได้รับการ พัฒนาความสามารถด้าน การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับ ด้าน มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของ นักเรียน การใช้ แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเองจากสื่อ เทคโนโลยีนอกห้องเรียนหรือที่บ้าน และการเรียนในห้องเรียนปกตินั้นจะเป็นการสืบ ค้นหาความรู้ที่ได้รับ ร่วมกันกับเพื่อนร่วมชั้น โดยบทบาทหน้าที่ของครูเป็นผู้คอยให้ความช่วยเหลือ และ ชี้แนะ ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิดของแม็คแมน (Mcmahon, 2013 : 1-2) ที่กล่าวไว้ว่า ห้องเรียนกลับด้าน เป็นรูปแบบหนึ่งของการ เรียนการสอนที่ผู้เรียนมีการเรียนรู้จากการท าการบ้านซึ่งผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วย ตนเองจากสื่อเทคโนโลยีนอก ห้องเรียนหรือที่บ้าน และการเรียนในห้องเรียนปกติเป็นการเรียนแบบสืบค้น ความรู้ร่วมกับเพื่อในชั้นเรียน และบทบาทของครูคือเป็นผู้คอยช่วยเหลือและให้ค าแนะน า สอดคล้องกับ แนวคิดของฮัมเดท แม็คไนท์ และอราฟสตอร์ม (Hamdan, McKnight & Arfstorm, 2013 : 4) ที่กล่าวถึง รูปแบบการเรียนรู้ของห้องเรียน


67 กลับด้านไว้ว่า ห้องเรียนกลับด้านเป็นการเปลี่ยนจากการเรียนรู้แบบกลุ่ม เป็นการเรียนรู้ตามบุคคล โดยมีการ น าเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งครูจะใช้เทคโนโลยีใน การบันทึกเนื้อหาการเรียนการสอนผ่าน ทางรูปแบบวิดีโอหรือเว็บไซต์การเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนสามารถ เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลานอกเหนือจากห้องเรียน เพื่อให้นักเรียนได้เตรียมความรู้มาก่อนจะเข้าเรียนในชั้น เรียน โดยในห้องเรียนนั้นครูจะเน้นไปที่การบูรณาการ และประยุกต์ใช้ความรู้ของผู้เรียนผ่านกลยุทธ์การ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และครูสามารถตรวจสอบ ความเข้าใจของผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ด้วย และสอดคล้องกับแนวคิดของ วิจารณ์พานิช (2556 : 47) ที่กล่าว ว่า การจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับ ด้านมีส่วนกระตุ้นและสร้างความรับผิดชอบให้กับนักเรียน ในด้านการ ท างานของตนเอง การติดตามและก ากับตนเองในการส่งงาน รวมไปถึงความรับผิดชอบในการท างานกลุ่ม และ กิจกรรมที่เกิดขึ้นภายในชั้น เรียนจากการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน ส่งผลให้นักเรียน สามารถพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจในภาพรวม คะแนนเฉลี่ยสูงกว่า เกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนบางคนที่ได้คะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้เนื่องจากนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างบางคนเป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องด้านการเรียนรู้ ซึ่งมี พัฒนาการใน การเรียนรู้ที่ช้ากว่านักเรียนปกติในชั้นเรียน แต่การพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านสามารถช่วยให้นักเรียนกลุ่มดังกล่าวมีผลการ ทดสอบหลัง เรียนที่สูงกว่าการทดสอบก่อนเรียน ดังนั้นนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการสอนอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อ ความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน มีผลการทดสอบหลังเรียนเพิ่มขึ้นมากกว่าผลการทดสอบ ก่อนเรียน และผลคะแนนรวมหลังเรียนของนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ตามเกณฑ์ 1.2 ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไป ตาม สมมติฐานของการวิจัยข้อที่ 2 ซึ่งมีสาเหตุดังต่อไปนี้ ประการแรก หลังจากนักเรียนได้เรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้าน และผลการทดสอบหลังเรียนพบว่า นักเรียนมีการพัฒนาความสามารถด้านการ อ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจดีขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์ องค์ความรู้ด้วยตัวผู้เรียนเองตามทักษะ ความรู้ความสามารถทางการเรียนของแต่ ละคนเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ในการอ่าน ตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านของเบิร์กแมนและแซมส์(Bergmann & Sams, 2012 : 13-15) ซึ่ง ได้อธิบายเกี่ยวกับการใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านไว้ว่า แนวคิด ห้องเรียนกลับด้านเป็นการจัดการเรียนรู้ซึ่ง เปลี่ยนการใช้ช่วงเวลาของการบรรยายเนื้อหาในห้องเรียนเป็น การท ากิจกรรมต่างๆเพื่อสร้างความรู้ และ ประยุกต์ใช้ความรู้ โดยให้นักเรียนมีเวลาเรียนรู้แบบรู้จริงและ ลงมือปฏิบัติมากยิ่งขึ้น ส่วนการศึกษาเนื้อหา และบทเรียนจะใช้เวลาที่บ้านผ่านสื่อเทคโนโลยีที่ครูเป็นผู้เตรียมไว้ให้และผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับ ผลการวิจัยของชนากานต์โสจะยะพันธ์(2558 : 196) ที่ศึกษา การพัฒนารูปแบบห้องเรียนกลับด้าน เพื่อ เสริมสร้างความสามารถในการเรียนรู้ส าหรับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย พบว่า นักเรียนมี ความสามารถในการเรียนรู้เป็นทีมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติและสอดคล้องกับ ผลการวิจัยของ ณัฐกานต์เดียวตระกูล (2560 : 143) ที่ศึกษาการ ใช้รูปแบบห้องเรียนกลับด้านในการจัดการ เรียนการสอนภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษา พบว่า การเรียน การสอนภาษาอังกฤษในรูปแบบห้องเรียนกลับ ด้าน ท าให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจ มีความมุ่งมั่นต่อการเรียนภาษาอังกฤษ มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนและการสอน ภาษาอังกฤษ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้สอนและ ผู้เรียน รูปแบบการเรียนมีความทันสมัย ท าให้เกิดการเรียนรู้อย่าง


68 ยั่งยืน และสามารถน าไปใช้ในการเรียน การสอนในรายวิชาอื่นๆได้และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ปิยะพจน์ แรมจบก (2562 : 285) ที่ได้ศึกษาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลวิธีการ สอนแบบห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า การใช้กลวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับ ด้าน ท าให้นักเรียนมีความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและ นักเรียนมีเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านอยู่ ในระดับดีจากผลการวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านสามารถพัฒนา ความสามารถด้าน การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประการที่สอง ในการจัดกิจกรรมการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียน กลับด้าน มีขั้นตอน กระบวนการ และเป้าหมายอย่างชัดเจน ผู้วิจัยได้ประยุกต์ขั้นตอนการสอน อ่านของไรซ์ (Rice, 2009 : 97-107) ซึ่งมี3 ขั้นตอน คือ ขั้นก่อนการอ่าน (Pre-reading Stage) ขั้นระหว่างอ่าน (Whilereading Stage) และ ขั้นหลังการอ่าน (Post-reading Stage) และขั้นตอนการ สอนโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้านของ เบิร์กแมนและแซมส์(Bergmann & Sams, 2012 :13-15) ซึ่ง ประกอบไปด้วย 1) ศึกษา บทเรียนจากวิดีโอ 2) นักเรียนจดบันทึกค าถาม และสรุปเนื้อหาของสิ่งที่เรียน 3) นักเรียนท ากิจกรรมการ เรียนรู้ด้วยตนเอง และ 4. การประเมินผลนักเรียนด้วยการสอบวัดผล ซึ่งผู้วิจัยได้น ามาประยุกต์ใช้เป็นขั้นตอน การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของผู้วิจัย มีขั้นตอน ดังนี้กิจกรรม ที่บ้าน ครูมอบหมายบทอ่านใน Facebook ให้นักเรียนศึกษาล่วงหน้า ก่อนเข้าชั้นเรียน 3 วัน พร้อมทั้งให้ตั้ง ค าถามเกี่ยวกับบทอ่านมาคนละ 1 ค าถามและจดบันทึกลงในสมุด กิจกรรมในห้องเรียน 1.ขั้นก่อนการอ่าน นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายค าถามและค าตอบ จากนั้นครูสอนค าศัพท์และให้นักเรียนจับคู่ค าศัพท์และหา ความหมาย ในใบงานที่ 1 และครูเฉลยค าตอบและสอน โครงสร้างประโยคที่พบในบทอ่านพร้อมยกตัวอย่าง ประโยค 2. ขั้นระหว่างอ่าน นักเรียนจับคู่กันและเรียง เนื้อหาตามล าดับของเนื้อเรื่อง เมื่อเสร็จครูเฉลยค าตอบ จากนั้นนักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน เพื่อ ค้นหาบทอ่านในหัวข้อที่ครูก าหนดให้จากอินเทอร์เน็ต และท าใบ งานที่ 2 คือ หาใจความส าคัญและสรุป รายละเอียดจากเรื่องที่อ่าน และออกมาน าเสนอหน้าชั้นเรียน 3. ขั้น หลังการอ่าน นักเรียนท า แบบทดสอบย่อยการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แอพพลิเคชั่น Quizziz และครูเฉลย แบบทดสอบ ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปบทอ่านอีกครั้ง ก่อนมอบหมายบทอ่านในเนื้อหาถัดไปใน Facebook ก่อนเข้าเรียนครั้งต่อไป จากผลการวิจัยจะเห็นได้ว่า การใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านมีขั้นตอนการสอนที่ชัดเจน ท า ให้ นักเรียนเกิดการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น 2. ผลการศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาพรวมอยู่ในระดับดีโดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.49 ทั้งนี้เนื่องมาจาก การ สอนอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านสามารถกระตุ้นความสนใจในการ อ่านของนักเรียน ซึ่ง การที่ครูน าบทอ่านเผยแพร่ลงในแอพพลิเคชั่น Facebook ให้นักเรียนอ่านก่อนเข้า เรียน 3 วันช่วยกระตุ้น ความพร้อมก่อนการเรียนในชั้นเรียน รวมไปถึงกิจกรรมการจับคู่ค าศัพท์และ ความหมายช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ ความหมายของค าศัพท์ในบทอ่านมากขึ้น และการที่นักเรียนท า แบบทดสอบย่อยผ่านแอพพลิเคชั่น Quizziz เป็นกิจกรรมที่แปลกใหม่ น่าสนใจ และท าให้การสอนไม่น่า เบื่อ เพราะการใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเป็น การส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และได้ลงมือท าด้วย ตนเอง นักเรียนจึงเกิดความชื่นชอบและสนใจที่จะ เรียนวิชาภาษาอังกฤษ มีความกระตือรือร้นในการท า กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน


69 โดยเฉพาะกิจกรรมจับคู่ค าศัพท์และความหมาย และ กิจกรรมการเรียงเนื้อหาตามล าดับของเนื้อเรื่องที่ช่วยให้ นักเรียนได้ทบทวนบทอ่านและช่วยให้เกิดความ เข้าใจในบทอ่านมากยิ่งขึ้น กิจกรรมการจับกลุ่มเพื่อค้นหาบท อ่านจากอินเทอร์เน็ตที่ท าให้นักเรียนเกิด ปฏิสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างเพื่อนร่วมห้อง และการท า แบบทดสอบผ่านแอพพลิเคชั่น Quizziz ที่ ท าให้นักเรียนเกิดความสนุกสนาน ตื่นเต้น และท้าทาย ซึ่ง สอดคล้องกับแนวคิดของคราเชน (Krashen, 1981 : 97-101) ทีกล่าวว่า เจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาที่สอง ส่งผลต่อการเรียนภาษา เนื่องจากเป็นการ กระตุ้นให้ผู้เรียนอยากรู้ข้อมูลและประสบการณ์ใหม่ๆ นอกจากนี้ยัง ท าให้ผู้เรียนรับรู้สิ่งที่ป้อนให้เร็วยิ่งขึ้น หากผู้เรียนเกิดความวิตกกังวลเนื่องมาจากความเครียดหรือขาดแรงจูงใจ อาจจะท าให้การรับรู้ภาษาไม่ ได้ผลเต็มที่ แต่ถ้าผู้เรียนไม่เกิดความวิตกกังวลเพราะมีเจตคติที่ดี เกิดแรงจูงใจ และรู้สึกผ่อนคลายก็จะท า ให้การรับรู้ภาษามีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับแนวคิดของกิบสัน (Gibson, 2000 : 75) ที่กล่าวว่า เจตคติคือตัวตัดสินพฤติกรรมที่เป็นความรู้สึกเชิงบวกเชิงลบ เป็นสภาวะจิตใจที่พร้อม จะส่งผลกระทบต่อ การตอบสนองของบุคคลต่อบุคคล ต่อสิ่งของหรือสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเจตคตินั้นสามารถรู้ และจัดการได้โดยอาศัยประสบการณ์ ผลการศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านของผู้วิจัย สอดคล้องกับผลการศึกษาเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้กลวิธีการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านของปิยะพจน์ แรมจบก (2562) ที่พบว่านักเรียนมีเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อ ความเข้าใจโดยใช้กลวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านอยู่ในระดับดีจากผลการวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านมีประโยชน์ต่อการพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของผู้เรียน เห็นได้จากแบบสอบถามแบบวัดเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียน กลับด้าน ที่แสดงให้เห็นว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับ ด้าน จึงอาจสรุปได้ว่า การใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อพัฒนาความสามารถด้าน การอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจของนักเรียน และเจตคติของนักเรียนต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจโดยใช้ แนวคิดห้องเรียนกลับด้านอยู่ในระดับดี ข้อเสนอแนะในการวิจัย จากศึกษาเกี่ยวกับการใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะจากการวิจัย ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1.ข้อเสนอแนะจากการน าผลการวิจัยไปใช้ 1.1 จากผลการวิจัยพบว่า การใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ช่วยพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจของนักเรียนได้ เนื่องจาก นักเรียนมีเวลาศึกษาบทเรียนและเตรียม ค าถามด้วย ตนเองจากที่บ้าน และนักเรียนได้ท ากิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการน าเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ท าให้นักเรียน สามารถแปลความ ตีความ และวิเคราะห์ สรุปความ เนื้อเรื่องที่อ่านได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นครูผู้สอน ภาษาอังกฤษ ควรน าการใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านไปใช้เพื่อพัฒนาให้นักเรียนเกิดความสามารถด้าน การอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ 1.2 จากผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีเจตคติต่อการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดย ใช้ แนวคิดห้องเรียนกลับด้านอยู่ในระดับดี เนื่องจากนักเรียนมีความพร้อมในการศึกษาบทเรียนและเตรียม


70 ค าถามด้วยตนเองจากที่บ้าน นักเรียนรู้สึกชอบ สนุกสนาน และตื่นเต้น เมื่อได้ใช้เทคโนโลยีใน การท า กิจกรรม กลุ่ม และการท าแบบทดสอบผ่านแอพพลิเคชั่น Quizziz ท าให้นักเรียนมีความสุขในการเรียน ดังนั้นครูผู้สอน ภาษาอังกฤษควรน าการใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านไปใช้ในการสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ ความเข้าใจในชั้น เรียน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจและชอบที่จะเรียนวิชาภาษาอังกฤษ มากยิ่งขึ้น 2. ข้อเสนอแนะในการท าวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการวิจัยเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แนวคิด ห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนระดับชั้นอื่นๆ 2.2 ควรมีการวิจัยการใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านในการพัฒนาทักษะด้านอื่นๆ เช่น ทักษะการฟัง ทักษะการพูด และทักษะการเขียน 2.3 ควรมีการวิจัยการใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านกับกลุ่มสาระอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอ่าน


71 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2548). การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การ ศาสนา กรมการศาสนา. กระทรวงศึกษาธิการ, ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2549). เอกสารและแนวทางการด าเนินงาน ปฏิรูปการเรียนการสอนตามเจตนารมณ์กระทรวงศึกษาธิการ 2549 ปีแห่งการปฏิรูปการเรียนการ สอน กรุงเทพฯ: กระทรวงศึกษาธิการ. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. _______. (2554). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2554. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การรับส่ง สินค้าและพัสดุภัณฑ์(ร.ส.พ.). กิตติพร ปัญญาภิญโญผล. (2545). เครื่องมือวัดเจตคติ: เอกสารประกอบการสอนรายวิชาจิตวิทยา การศึกษา. เชียงใหม่ : นันทพันธ์พริ้นติ้ง. เกรียงไกร สกุลประเสริฐศรี. (2557). ผลของการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านที่มีต่อความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและแรงจูงใจ ในการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย. วิทยานิพนธ์ปริญญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ชนากานต์โสจะยะพันธ์. (2558). การพัฒนารูปแบบห้องเรียนกลับด้านด้วยวิธีการเรียนแบบกลุ่มสืบ สอบออนไลน์เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการเรียนรู้เป็นทีมส าหรับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนปลาย. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสาขาวิชา เทคโนโลยี และสื่อสารการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ณัฐกานต์ เดียวตระกูล. (2560). การใช้รูปแบบห้องเรียนกลับทางในการจัดการเรียนการสอนดังนั้น ครูผู้สอนภาษาอังกฤษควรน าการใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้านไปใช้เพื่อพัฒนาให้นักเรียนเกิด


72 ความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีปทุม. ดวงเดือน พันธุมนาวิน. (2530). การวัดและการวิจัยเจตคติที่เหมาะสมตามหลักวิชาการ. ในเอกสาร ประกอบการบรรยายพิเศษในวิชาสัมมนาสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ ประสานมิตร. บันลือ พฤกษะวัน. (2545). แนวพัฒนาการอ่านเร็ว คิดเป็น. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. บุญส่ง นิลแก้ว. (2541). เครื่องมือวัดเจตคติ. เชียงใหม่: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. (2544). จิตวิทยาบริหารงานบุคคล. กรุงเทพฯ: ศูนย์สื่อเสริม กรุงเทพมหานคร. ปิยะพจน์ แรมจบก. (2562). การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้ กลวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา การสอนภาษาอังกฤษส าหรับผู้พูดภาษาอื่น มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. พิมพ์ประภา พาลพ่าย. (2557). การใช้สื่อสังคมตามแนวคิดห้องเรียนกลับด้านเรื่องภาษาเพื่อการ สื่อสารเพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2543. เทคนิคการวิจัยทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. วิจารณ์ พานิช. (2556). ครูเพื่อศิษย์สร้างห้องเรียนกลับทาง. กรุงเทพฯ: เอสอาร์พริ้นติ้งแมสโปรดักส์. วิสาข์ จัติวัตร์. (2541). การสอนอ่านภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2556). ผลการประเมิน PISA 2018 : บทสรุป ส าหรับผู้บริหาร. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ. สมคิด สร้อยน้ า. (2555). หลักการสอน. อุดรธานี: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี.


73 สมชาย วรกิจเกษมสกุล. (2553). ระเบียบวิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์.อุดรธานี: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. สมุทร เซ็นเชาวนิช. (2551). เทคนิคการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ. พิมพ์ครั้งที่ 12 กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด _______. (2562). เด็กไทยพูดภาษาอังกฤษได้ "English for all". วารสารวิชาการ, 22 (3), 72-80. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2561). รายงานการศึกษาไทย พ.ศ. 2561. กรุงเทพฯ: พริกหวาน กราฟฟิค. สุมิตรา อังวัฒนกุล. (2540). วิธีสอนภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุรางค์ โค้วตระกูล. (2545). จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ: ด่านสุทธาการพิมพ์. อรพรรณ เด่นประภัสร์. (2559). การใช้การสอนแบบห้องเรียนกลับด้านเพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ และทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์ปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการพัฒนาวิชาชีพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. Alderson, C. J. (2000). Assessing reading. Cambridge: Cambridge University Press. Ali, Y., Saberg, M. (2016) The effects of 'flipping' a classroom with the focus on teaching English as a second language. Department of Culture & Communication. Linkoping: Linkoping University. Anderson, N.J. (1999). Explore second language reading: Issues and strategies. Boston, MA.: Heinle and Heinle Publishers. Bergmann, J., & Sams, A. (2012). Flip your classroom: Reach every student in every class every day. Eugene, OR: International Society for Technology in Education.


74 Best & James, V. Kahn. (2006). Research in education. Boston, MA.: Allyn and Bacon. Brame, C., & Director, C.A. (2 0 1 3 ) . Flipped the classroom. Nashville, TN: Vanderbilt University: Center for teaching. Coady, J. (1979). Psycholinguistic model ESL reader in reading a second language. Boston, MA.: Newbery House. Dallman, M.T.I.,Roger, Y.C., Chan & John, J.D. (1974). The teaching of reading instruction. New York, NY: Holt, Rinehart and Winston. Day, R.R., & Bamford, J. (1998). Extensive reading in the second language classroom. Cambridge: Cambridge University Press. EDUCAUSE Learning Initiative. (2 0 1 2 ) . 7 things you should know about flipped classroom. Washington, DC: EDUCASE Creative Commons. Finocchairo, M., & Sako, S. (1983). Foreign language testing: A practical approach. New York, NY : Regents Publishing Co. Gardner, R.C., & Lambert, W.E. (1972). Attitude and motivation in second language Learning. Rowley, MA.: Newbury House. Gibson, J.L. (2000). Organizations behavior. Boston, MA.: Irwin. Goodman, K.S. (1988). The reading process. Cambridge: Cambridge University Press. Grabe, W. (2004). Using discourse patterns to improve reading comprehension. Tokyo: JALT Publications. Hamdan, N., McKnight, P., McKnight, K., & Arfstrom, K.M. (2013). A Review of flipped learning. Retrieved 29 November 2020 from http://www.flippedlearning.org /review.


75 Hedge, T. (2007). Teaching and learning in the language classroom. New York, NY :Cambridge University Press. Heaton, J.B. (1 9 9 0 ) . Classroom testing – (Longman keys to language teaching). London: Longman Group UK Limited. Hogg, Michael A. (1998). Social psychology : Structure and function of attitudes. London: Mathematical Composition Setters Ltd. Krashen. S.D. (1981). Second language acquisition and second language learning. Oxford: Pergamon Press. Krashen, D.D. (1985). Inquiries & insights: Second language teaching immersion & bilingual education literacy. Hayward, CA.: Alemany Press. Lefton, L.A., & Laura V. (1986). Mastering psychology. Boston, MA.: Allyn and Bacon Inc. Likert. (1970). New patterns of management. New York, NY: McGraw-Hill. Miller, W. H. (1 9 9 0 ) . Reading comprehension kit. Norwich: The center for applied Research in Education. Millrood, R. (2001). Communicative language teaching. Modular course in ELT methodology. Oxford: Oxford University Press. Newsom, D. & Carrell, B. (1995). The basic process of attitude formation. Belmont, CA: Wadsworth. Oller, J.W. (1 9 7 9 ) . Language test at school : A pragmatic approach. London: Longman Inc. Raygor, A.L., & Robin D. Raygor.(1985). Effective reading: Improving reading rates and comprehension. New York, NY.: Mc Graw-Hill Inc. Rice, M. (2 0 0 9 ) . Making connections reading comprehension and strategies:


76 Research-based reading comprehension. Washington, DC: Editors Publishing Service. Rubin, D. (1991). Diagnosis and correction in reading instruction. Boston, MA.: Allyn and Bacon. Ruddell, R.B. & Ruddell, M.R. (1997). Teaching children to read and write : Becoming influential teacher. Boston, MA.: ALLYN & Bacon. Ryder, R.J., & Graves, M.F. (1994). Reading and learning in content areas. New York, NY: Macmillan College. Savignon, S.J. (1983). Communicative competence : Theory and classroom practice reading. Boston, MA.: Addison-Wesley. Snow, C. (2 0 0 2 ) . Reading for understanding: Towards R & D program in reading comprehension. Washington, DC: RAND Reading Study Group. Sroinam, R. (2005). English reading comprehension of Thai undergraduates: L1/L2 usage, texts, strategies and problems. Doctor of philosophy Thesis in Education, Edith Cowan University. Strange, D. (1998). Double take : Reading and writing. London: Oxford University Press. Valette, R. (1977). Modern language testing. Boston, MA.: Harcourt Brace Jovanovich Inc. Widdowson, H.G. (1997). Reading in language classroom. London: Macmillan. Williams, E. (1994). Reading in the language classroom. London: MacMillan Publishers. Wolman, B. B. (1973). Dictionary of behavioral science. London: Litton Educational.


77 ภาคผนวก


78 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย


79 แผนการจัดการเรียนรู้การสอนอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้แนวคิดห้องเรียนกลับด้าน


80 Lesson Plan 1 English Subject (อ22102) Satri Rachinuthit School Topic: Herbal Medicines Time: 2 hour Level: Matthayomsuksa 2 Teacher: Ms. Kamonwan Luehan Date: 26 Oct 2023, 14.00-14.55 27 Oct 2023, 14.00-14.55 1. STANDARD Standard F1.1: Understanding of and capacity to interpret what has been heard and read from various types of media, and ability to express opinions with proper reasoning. Standard F1.3: Ability to present data, information, concepts and views about various matters through speaking and writing. Standard FL3.1: Using foreign languages to link knowledge with other learning areas, as foundation for further development, seeking knowledge and broadening one’s world view. Standard F4.2: Using foreign languages as basic tools for further education, livelihood and exchange of learning with the world community. 2. GRADE-LEVEL INDICATOR Indicator 1.1 Grade 8/4: Choose the topic and the main idea, tell the supporting details and express the opinions about what has been heard and read, as well as provide the justifications and the simple examples for illustrations. Indicator 1.3 Grade 8/2: Speak and write to summarise the main idea, theme and topic identified from analysis of matters/ news/incidents of interest to the society. Indicator 3.1 Grade 8/1: Search for, collect and summarise the information/ facts related to other learning areas from learning sources, and present them through speaking/ writing.


81 Indicator 4.2 Grade 8/1: Use foreign languages in conducting the research, collecting and summarizing knowledge/various information from the media and different learning sources for further education and livelihood. 3. CONCEPT In this lesson, students are going to read the passage of reading for homework, on page 61 of New World 2 book. Students are going to extract information and use the information to answer questions. Lastly, the students will convey the information about most popular herb of each country and make use of their understanding to present by making a group. 4. OBJECTIVE 1. Students will be able to identify vocabulary from reading accurately. (K) 2. Students will be able to answer to the question using information from reading correctly. (P) 3. Students will pay attention to the lesson deliberately. (A) 5. CONTENT 5.1 Vocabulary: anesthetic, capsule, cholesterol, diarrhea, laryngitis, cough, flu, allergies 5.2 Structure: Present Simple Tense (S+V1) 5.3 Skills: speaking, reading and writing 5.4 Function: answering the questions from reading 6. INSTRUCTIONAL ACTIVITIES 1. Homework: Assignment 1.1 The teacher posts the reading text “Herbal Medicines” on Facebook 3 days before starting the class. The students who already read the reading text must write their names under the post for verify their accessing.


82 1.2 Each student answer about the reading 1 question and the conclusion about the reading text in their notebooks. 2. In class 2.1 Pre-reading Stage 2.1.1 The teacher and the students discuss the questions, answers and conclusion that the students did from home. 2.1.2 The teacher teaches the students the vocabulary by showing the vocabulary in Worksheet 1 and hands out the Worksheet 1 “Matching” to the students. The students have to match the words with the definitions then repeat the vocabulary after the teacher. 2.1.3 The teacher teaches the structures “Present Simple Tense” in the reading text. 2.2 While-reading Stage 2.2.1 The students complete about the reading by answer true or false. 2.2.2 The teacher and the students check the answer together. After that the students read the reading text “Herbal Medicines” again. 2.2.3 The students were divided into 4 groups to search the about “10 most popular herbs” that the teacher assigns from the internet together. 2.2.4 The teacher hands out the Worksheet 2 “Main idea and summary” and the students find the main idea and write summary of the reading text “Herbal Medicines”. After finishing, the group volunteer presents their worksheets in front of the class. 2.3 Post-reading Stage 2.3.1 The students take an English reading comprehension quiz in Quizziz and the score will be recorded in the application automatically. 2.3.2 The teacher discusses with the students the correct answers then the teacher and the students summarize the lesson together.


83 2.3.3 The teacher assigns the students to read the reading text "What Can You Do in Amsterdam?" on Facebook before starting the next class for preparing their questions.


84 7. ASSESSMENT AND EVALUATION Knowledge (K) Task Measurement Material Evaluation Criteria Students will be able to identify vocabulary from reading accurately. - Completing New World book page 61 - Worksheet 1 “Matching” - Notebook - Worksheet 1 validity at least 70 percent Practice (P) Task Measurement Material Evaluation Criteria Students will be able to answer to the question using information from reading correctly. - Worksheet 2 “Main idea and summary” - English reading comprehension quiz - Worksheet 2 - Quizziz validity at least 70 percent Affective (A) Task Measurement Material Evaluation Criteria Students will participate in classroom activity enthusiastically. - Observe students’ behaviors as they are learning and doing the activity. - Observation Format •Pass 80 percent 8. INSTRUCTIONAL MATERIALS 1. New World 2 book (p.61) 2. Worksheet 1 “Matching” 3. Worksheet 2 4. Quizziz 5. Observation Form


85 9. INSTRUCTIONAL REPORT What happened during my lesson? - Students can able to identify vocabulary from reading and they can answer to the question using information from reading correctly. How will I improve my lesson next time? - Teacher should give some example about main idea for students. Signature Kamonwan (Ms.Kamonwan Luehan) Student Teacher 27 /Oct/ 2023 10. TRAINER’S COMMENT AND SUGGESTION - Lesson plan corresponds with the objectives. There are many interesting activity that is suitable for age of students. Signature (Mrs. Sirirudtana Pansawad) Trainer Teacher 25/ Oct/2023


86 11. THE ADMINISTRATOR’S COMMENT AND SUGGESTION - This lesson plan can explain about teaching to clearly and match the objectives correspond with curriculum. Signature………………………………………. (Mrs. Maneerat Srijun) Deputy Director of Academic Affair 25/ Oct/2023


87 Observation Form Lesson plan: 1 Date: 27 Oct 2023 Class: M.2/6 Statement 5 4 3 2 1 Learners pay attention in class. / Learners on the task/engaged in their work. / The lesson link to previous teaching or learning. / The materials distributed were helpful. / Activity/assignment/discussion connected to daily routine. / Active exchange of ideas. / Teacher connecting with student prior knowledge. / Learners’ ownership and responsibility. / Learners working collaboratively. / Provides feedback. / Rating Scale 5 = excellent 4 = good 3 = satisfactory 2 = needs improvement 1 = poor Signature Kamonwan (Miss Kamonwan Luehan) Student Teacher 27 Oct 2023


88 Appendix


89 Worksheet 1: Matching Directions: Match the words on the left with its definitions on the right. ………1. anesthetic a. a particular style of cooking. ………2. capsule b. a drug that stops pain and that is used during medical operations. ………3. cholesterol c. an infection of the throat that make speaking painful. ………4. diarrhea d. a fatty substance in the body and blood. ………5. laryngitis e. a small flat object, often with medicine inside. ………6. cuisine f. a plant like a small onion, used in cooking to give a strong taste. ………7. garlic g. a small plant that is used to improve the taste of food or to make medicine. ………8. pain h. an illness in which the body’s solid waste keeps flowing out. ………9. herb i. the feeling you have when part of your body hurts. ………10. remedy j. a treatment, medicine that cures or relieves a disease or pain. Worksheet 2: Main idea and summary


90 Directions: Write the name of the reading text and determine the main idea and make a summary


Click to View FlipBook Version