The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือรวมย่อข้อกฎหมายจากคำพิพากษาที่วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เล่ม ๒

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by iprd.pic, 2024-03-28 05:51:38

หนังสือรวมย่อข้อกฎหมายจากคำพิพากษาที่วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เล่ม ๒

หนังสือรวมย่อข้อกฎหมายจากคำพิพากษาที่วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เล่ม ๒

คํานํา ตามที่สํานักงานศาลยุติธรรมได้จัดทําแผนยุทธศาสตร์ศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๖๕ – ๒๕๖๘ ซึ่งมียุทธศาสตร์ที่สําคัญ ๕ ยุทธศาสตร์ โดยมียุทธศาสตร์สําคัญซึ่งเกี่ยวข้องกับพันธกิจของ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ คือยุทธศาสตร์ T เชื่อมั่นศรัทธาการอํานวยความยุติธรรม (Trusted Justice) มีเป้าประสงค์ เพื่อให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในการอํานวยความยุติธรรมของ ศาลยุติธรรม ประกอบกับยุทธศาสตร์ S พัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainability) มีเป้าประสงค์ เพื่อให้ ศาลยุติธรรมมีระบบงานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์และผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างยั่งยืน นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ได้ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสําคัญของยุทธศาสตร์ดังกล่าว จึงได้ มอบนโยบายในการพัฒนางานย่อข้อกฎหมายจากคําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อย่างต่อเนื่อง โดยเห็นสมควรให้ส่วนนิติการดําเนินการจัดทําเป็นหนังสือรวมย่อข้อกฎหมายจากคําพิพากษาที่ วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เล่ม ๒ เพื่อพัฒนาต่อยอดงานย่อข้อกฎหมาย (ประชุมใหญ่) ให้เป็นตําราทางวิชาการที่ทรงคุณค่าให้เกิดความก้าวหน้าทางงานวิชาการ และเสริมสร้างองค์ความรู้ ที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลอุททธรณ์ภาค ๑ อันเป็นการส่งเสริมระบบงาน ตุลาการและระบบงานธุรการของศาลยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ ทั้งยังได้นํานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้เผยแพร่ความรู้และประชาสัมพันธ์งานย่อข้อกฎหมายในรูปแบบสิ่งตีพิมพ์และ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้เกิดความสะดวกในการปฏิบัติงานผ่านช่องทางไลน์ออฟฟิเชี่ยลแอคเคาท์ หรือไลน์ โอเอ (LINE Official Account/LINE OA) ประจําส่วนนิติการ ที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อการพัฒนา ที่ยั่งยืน สอดคล้องกับนโยบายประธานศาลฎีกา “ทันโลก” ศาลยุติธรรมเป็นผู้นําในการใช้เทคโนโลยี และองค์ความรู้ที่ทันสมัย ในการบริหารงานและการพิจารณาพิพากษาคดี การจัดทําหนังสือเล่มนี้ได้รับคําแนะนําจากนายนิติธร ศรีบุตร เลขานุการศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ที่รับเป็นที่ปรึกษาในการดําเนินงานย่อข้อกฎหมาย ซึ่งช่วยให้คณะผู้จัดทําดําเนินการสําเร็จลุล่วง ไปได้ด้วยดี จึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ นายเศกสิทธิ์ สุขใจ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีนาคม ๒๕๖๗


สารบัญ เรื่อง หน้า คํานํา ความเป็นมาของการย่อข้อกฎหมาย (ประชุมใหญ่) ของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ๑ ย่อข้อกฎหมายประชุมใหญ่ คดีอาญา พ.ศ. ๒๕๖๕ ๓ พ.ศ. ๒๕๖๖ ๓๑ คดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๖๕ ๕๕ พ.ศ. ๒๕๖๖ ๗๙ คดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๖๕ ๙๑ พ.ศ. ๒๕๖๖ ๑๐๗ คดีเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๖๕ ๑๒๙ คดีสิ่งแวดล้อม (อาญา) พ.ศ. ๒๕๖๖ ๑๓๕ คําสั่ง พ.ศ. ๒๕๖๕ ๑๓๙ ภาคผนวก ระเบียบศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ว่าด้วยการย่อข้อกฎหมายจากคําพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๑๔๕ ศูนย์วิชาการงานคดี ส่วนนิติการ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑


ความเป็นมาของการย่อข้อกฎหมายจากคําพิพากษาที่วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เล่ม ๒ ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ได้ออกระเบียบศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ว่าด้วยการย่อ ข้อกฎหมายจากคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พ.ศ. ๒๕๖๑ วางหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับ การย่อข้อกฎหมายจากคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เพื่อให้การย่อข้อกฎหมายจากคําพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีความถูกต้องครบถ้วน สําหรับการค้นคว้าอ้างอิงเพื่อประโยชน์ในการพิจารณา พิพากษาคดีและพัฒนาองค์ความรู้ทางกฎหมาย โดยดําเนินการย่อข้อกฎหมายมาตั้งแต่ปี ๒๕๖๑ ต่อเนื่องมา จนกระทั่งเมื่อปี ๒๕๖๕ จึงได้เริ่มย่อข้อกฎหมายในคดีที่วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่สําคัญในทางวิชาการ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๒ ถึง ๒๕๖๔ เพื่อให้เกิดการเผยแพร่ข้อกฎหมายที่สําคัญและพัฒนางานทางวิชาการอันจะเป็นประโยชน์ต่อการ อํานวยความยุติธรรมของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ทั้งยังเป็นการดําเนินการที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ – ๒๕๖๘ Action Plan ๒๐๒๒ - ๒๐๒๕ ตามยุทธศาสตร์ ศาลยุติธรรม ยุทธศาสตร์ S พัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainability) ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ ๒ ส่งเสริมและ เผยแพร่คําพิพากษาและการปฏิบัติงานอื่นของศาลยุติธรรม เพื่อแสดงความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ต่อสังคม ตามแนวทางการดําเนินการที่ ๒ ในการเผยแพร่คําพิพากษาของศาลและกฎหมายที่เป็น ประโยชน์ต่อการดํารงชีวิตของประชาชนเพื่อให้ศาลยุติธรรมมีระบบงานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์และ ผลประโยชน์ส่วนรวมอย่างยั่งยืน ปัจจุบันท่านเศกสิทธิ์ สุขใจ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ท่านได้ให้ความสําคัญ ต่องานทางวิชาการที่จะส่งเสริมให้การปฏิบัติงานของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการอํานวยความยุติธรรม และมีนโยบายให้ดําเนินการจัดทํารูปเล่ม คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ที่ผ่านการวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เพื่อให้สะดวกต่อการค้นคว้าอ้างอิงและปฏิบัติงานของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ต่อไป ส่วนนิติการจึงได้รับ นโยบายของท่านประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ดําเนินการจัดทําหนังสือรวมย่อข้อกฎหมาย ในคดีที่วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เล่ม ๒ ขึ้น โดยรวบรวมคดีที่ได้ผ่านการวินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่ของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตั้งแต่ปี ๒๕๖๕ – ๒๕๖๖ จํานวน ๔๖ เรื่อง เพื่อเป็นแหล่งความรู้ ในการสนับสนุนการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อีกทางหนึ่งโดยการนํานวัตกรรม ทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้กับการเผยแพร่ความรู้และประชาสัมพันธ์งานย่อข้อกฎหมาย ดังกล่าว ในรูปแบบสิ่งตีพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ให้เกิดความสะดวกในการใช้งานผ่านช่องทางไลน์ ออฟฟิเชี่ยลแอคเคาท์ หรือไลน์โอเอ (LINE Official Account/LINE OA) ประจําส่วนนิติการ โดยได้จัดทําเป็นรูปเล่มและรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) ตามที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เพื่อการพัฒนางานย่อข้อกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวเป็นการดําเนินการแบบต่อยอด ขยายผลและอํานวยความยุติธรรม ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสอดคล้องกับนโยบายประธานศาลฎีกา ข้อ ๔ ทันโลก ที่มีเป้าหมาย ให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้นําในการใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ทันสมัยในการบริหารงานและ


๒ การพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผสมผสาน กับการพัฒนาเอกสารทางวิชาการ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จึงได้มีการพัฒนางานย่อข้อกฎหมาย อย่างต่อเนื่องและใช้เป็นฐานข้อมูลคดีสําหรับเผยแพร่ความรู้ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนงานวิชการ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการอํานวยความยุติธรรมแก่ผู้มีอรรถคดี ของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ต่อไป ------------------------------


๓ คดีอาญา พ.ศ. ๒๕๖๕



๕ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๕๓๙/๒๕๖๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๓๒๗/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๕) นางสาว น. โจทก์ นาง ป. จําเลย ป.อ. หลายกรรมต่างกัน มาตรา ๙๑ จําเลยเป็นสมาชิกร่วมเล่นแชร์กับโจทก์และชนะการประมูลให้ดอกเบี้ยสูง จําเลยมีหน้าที่ส่งเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยรวมทั้งค่าบริหารวงแชร์แก่โจทก์ในฐานะนายวงแชร์ เพื่อให้โจทก์รวบรวมเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยของจําเลยและสมาชิกคนอื่นส่งมอบแก่สมาชิกผู้ชนะการประมูลครั้งต่อไป แต่จําเลย กลับโอนเงินให้แก่โจทก์เพียง ๐.๐๑ บาท แล้วแก้ไขสลิปการโอนเงินโดยแก้ไขตัวเลขจํานวนเงิน ให้ตรงตามจํานวนที่ต้องส่งมอบให้แก่โจทก์อันเป็นเท็จเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อว่าจําเลยโอนเงินเข้าบัญชี โจทก์เต็มตามจํานวนที่ปรากฏในสลิปการโอนเงินดังกล่าวรวม ๑๑ ครั้ง แม้จําเลยกระทําโดยวิธี และมีเจตนาประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกันก็ตาม แต่จําเลยกระทําความผิดแต่ละครั้งต่างวันต่างเวลา มิได้กระทําต่อเนื่องกัน จํานวนเงินที่ต้องโอนให้กับโจทก์กับจํานวนเงินที่จําเลยแก้ไขในสลิปโอนเงิน ก็แตกต่างกัน จําเลยโอนเงินและส่งสลิปที่แก้ไขให้โจทก์แต่ละครั้งบรรลุผลสมดังเจตนาแล้ว การกระทํา ของจําเลยแต่ละครั้งจึงแยกต่างหาจากกันเป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน ตาม ป.อ. มาตรา ๙๑ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐, ๙๑, ๓๔๑ พระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ วรรคสอง ให้จําเลยชดใช้ ค่าเสียหาย ๒๖,๗๙๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชําระ เสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จําเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ (๒) (ที่ ถูก (๑)) วรรคสอง การกระทําของจําเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีอัตราโทษที่เท่ากัน ให้ลงโทษฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จําคุก ๒ เดือน และปรับ ๖,๐๐๐ บาท จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จําคุก ๑ เดือน และปรับ ๓๓,๐๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้


๖ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ (ที่ถูก คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ) จําเลยที่ ๓ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การกระทํา ของจําเลยตามฟ้องเป็นควาผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า จําเลยเป็นสมาชิกร่วมเล่นแชร์กับโจทก์และชนะการประมูลให้ดอกเบี้ยสูง จําเลยมีหน้าที่ส่งเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยรวมทั้งค่าบริหารวงแชร์แก่โจทก์ในฐานะนายวงแชร์ เพื่อให้โจทก์รวบรวมเงินต้น พร้อมดอกเบี้ยของจําเลยและสมาชิกคนอื่นส่งมอบแก่สมาชิกผู้ชนะการประมูลครั้งต่อไป แต่จําเลย กลับโอนเงินให้แก่โจทก์เพียง ๐.๐๑ บาท แล้วแก้ไขสลิปการโอนเงินโดยแก้ไขตัวเลขจํานวนเงิน ให้ตรงตามจํานวนที่ต้องส่งมอบให้แก่โจทก์อันเป็นเท็จเพื่อให้โจทก์หลงเชื่อว่าจําเลยโอนเงินเข้าบัญชี โจทก์เต็มตามจํานวนที่ปรากฏในสลิปการโอนเงินดังกล่าวรวม ๑๑ ครั้ง แม้จําเลยกระทําโดยวิธี และมีเจตนาประสงค์ต่อผลอย่างเดียวกันก็ตาม แต่จําเลยกระทําความผิดแต่ละครั้งต่างวันต่างเวลา มิได้กระทําต่อเนื่องกัน จํานวนเงินที่ต้องโอนให้กับโจทก์กับจํานวนเงินที่จําเลยแก้ไขในสลิปโอนเงิน ก็แตกต่างกัน จําเลยโอนเงินและส่งสลิปที่แก้ไขให้โจทก์แต่ละครั้งบรรลุผลสมดังเจตนาแล้ว การกระทํา ของจําเลยแต่ละครั้งจึงแยกต่างหาจากกันเป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน ตาม ป.อ. มาตรา ๙๑ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง ความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จําคุกกระทงละ ๒ เดือน และปรับ ๖,๐๐๐ บาท รวม ๑๑ กระทง เป็นจําคุก ๒๒ เดือน และปรับ ๖๖,๐๐๐ บาท ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๑๑ เดือน และปรับ ๓,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ กวีศักดิ์ ก้องเวลา – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๗ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๙๔๓/๒๕๖๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๘๗๕/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๕) นางสาว อ. โจทก์ นาย ธ. จําเลย ป.อ. หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา อายุความร้องทุกข์ของความผิดอันยอมความได้ มาตรา ๓๒๘, ๙๖ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ การส่งข้อความหมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณาทางแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กเป็นความผิดต่อเนื่อง จนกว่าจะมีการลบข้อความดังกล่าวออกไป ซึ่งถือได้ว่าการกระทําอันเป็นมูลแห่งความผิด ฐานหมิ่นประมาทได้ยุติลง อายุความย่อมจะต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการลบข้อความออก จําเลย ส่งข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ก่อนวันที่โจทก์ร้องทุกข์เกิน ๓ เดือน แต่จนถึงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ จําเลยยังไม่ได้ลบข้อความดังกล่าวออก โจทก์ร้องทุกข์ในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๔ คดีจึงไม่ขาดอายุความ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐, ๙๑, ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๓๒, ๓๙๓ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ ให้จําเลย โฆษณาข้อความขอขมาและคําพิพากษาทั้งหมดลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่จําเลยใช้ในการกระทําผิด เป็นเวลา ๓๐ วัน ติดต่อกันโดยแสดงสถานะเป็นสาธารณะ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหาดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ให้ประทับฟ้อง ข้อหาอื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ จําเลยส่งข้อความลงในแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก โดยเขียนส่งข้อความแสดงความเห็นใต้ข้อความ ที่นาย ก. ลงข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ มีข้อความว่า “อีนรกโกงเพื่อนกูสะได้” และ “สร้างภาพ ให้ตัวเองดูดีไว้ก่อนไง จะได้โกงคนอื่นได้ต่อไป” โจทก์ฟ้องนาย ก. เป็นคดีอาญาในความผิดฐานหมิ่นประมาท และศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษนาย ก. แล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๘๒๖/๒๕๖๓ ของศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีโจทก์ที่ฟ้องจําเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า จําเลยส่งข้อความแสดงความเห็นใต้ข้อความที่นาย ก. ส่งข้อความหมิ่นประมาทโจทก์เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ และจําเลยไม่ได้ลบข้อความดังกล่าว จนถึงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ การกระทําของจําเลยจึงมีอยู่ต่อเนื่องตลอดเวลา อายุความร้องทุกข์ จึงยังไม่หยุดลงนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การส่งข้อความหมิ่นประมาทโจทก์


๘ โดยการโฆษณาทางแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กนั้น เป็นความผิดต่อเนื่องจนกว่าจะมีการลบข้อความดังกล่าว ออกไป ซึ่งถือได้ว่าการกระทําอันเป็นมูลแห่งความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ยุติลง อายุความย่อมจะต้อง เริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการลบข้อความออก ดังนั้น แม้จําเลยส่งข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ก่อนวันที่โจทก์ ร้องทุกข์เกิน ๓ เดือน แต่จนถึงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ จําเลยยังไม่ได้ลบข้อความดังกล่าวออก โจทก์ร้องทุกข์ในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๔ คดีจึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ ในความผิดข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาขาดอายุความนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น ------------------------------ อาภาพร เจริญมั่น – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๙ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๒๖๑/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๐๙๙/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๕) พนักงานอัยการคดีศาลแขวงนนทบุรี โจทก์ นางสาว ร. จําเลย ป.อ. เพิ่มโทษ เหตุยกเว้นการเพิ่มโทษ ขัดคําสั่งเจ้าพนักงาน มาตรา ๙๒, ๙๓, ๙๔, ๓๖๘ ป.วิ.อ. ขอให้เพิ่มโทษ มาตรา ๑๕๙ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลย ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๘ ซึ่งการกระทําของจําเลยที่โจทก์ขอให้ ลงโทษตามฟ้องนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัยที่ ๑/๒๕๖๕ ว่า ป.อ. มาตรา ๓๖๘ วรรคหนึ่ง ไม่ขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๒๘ วรรคหนึ่ง โดยมีเหตุผลในการวินิจฉัย และกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงในประเด็นการพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรมว่า การพิมพ์ลายนิ้วมือก็เพื่อใช้ตรวจสอบประวัติอาชญากร อันเป็นการตรวจสอบประวัติการกระทําความผิด เพื่อประกอบการพิจารณาเงื่อนไขในการเพิ่มโทษ ตาม ป.อ. มาตรา ๙๒ หรือมาตรา ๙๓ เพราะการให้เพิ่มโทษ จําเลยฐานไม่เข็ดหลาบให้กล่าวมาในฟ้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง และเป็นไปเพื่อประโยชน์ ในการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีตามมาตรา ๑๓๒ (๑) เมื่อผู้ต้องหาในคดีอาญาไม่ปฏิบัติตาม อาจมีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๘ วรรคหนึ่ง ได้ แต่ถ้าคําสั่งของเจ้าพนักงานดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับคดี หรือไม่เป็นประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในกรณีที่มีการกระทําความผิดอาญา เกิดขึ้นก็ไม่มีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา ๓๖๘ เมื่อคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๒ วรรคสาม การที่พนักงานสอบสวนมีคําสั่งให้จําเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหา ในคดีอาญาความผิดลหุโทษทําการพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรม กรณีจึงต้องด้วย คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว แต่เมื่อความผิดซึ่งจําเลยถูกกล่าวหาว่ากระทําเป็นความผิดลหุโทษ และ ป.อ. มาตรา ๙๔ บัญญัติว่า ความผิดอันได้กระทําโดยประมาท ความผิดลหุโทษ และความผิด ซึ่งผู้กระทําได้กระทําในขณะที่มีอายุต่ํากว่าสิบแปดปีนั้น ไม่ว่าจะได้กระทําในครั้งก่อนหรือครั้งหลัง ไม่ถือว่าเป็นความผิดเพื่อการเพิ่มโทษตามความในหมวดนี้ ตาม ป.อ. มาตรา ๙๒ และมาตรา ๙๓ กรณีจึงไม่อาจเพิ่มโทษจําเลยซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดลหุโทษ ตาม ป.อ. มาตรา ๙๒ และ มาตรา ๙๓ ได้ ดังนั้น คําสั่งของพนักงานสอบสวนที่ให้จําเลยซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดลหุโทษ พิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ย่อมไม่อาจถือได้ว่าพนักงานสอบสวนได้ทําไป เพื่อประโยชน์แห่งการรวบรวมพยานหลักฐานในคดี ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๓๒ (๑) พนักงานสอบสวน จึงไม่มีอํานาจสั่งให้จําเลยกระทําเช่นนั้นได้ เมื่อจําเลยฝ่าฝืนหามีความผิดตามฟ้องไม่ ------------------------------


๑๐ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘ และนับโทษจําเลย ต่อจากโทษจําคุกของจําเลยในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ ๘๒๒/๒๕๖๓ ของศาลชั้นต้น จําเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๘๖ วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา ๓๖๘ วรรคแรก) ปรับ ๕,๐๐๐ บาท ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจําเลยต่อจากโทษจําคุกของจําเลยในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ ๘๒๒/๒๕๖๓ ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีนี้ศาลลงโทษปรับจําเลยเพียงสถานเดียว จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ ให้ยกคําขอส่วนนี้ จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจําเลยว่า จําเลย มีความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ จําเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘ โดยบรรยายการกระทําที่อ้างว่าจําเลยได้กระทําผิด ว่าจําเลยไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของพนักงานสอบสวนซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีอํานาจ ในการจัดให้มีการพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหาในคดีอาญา ที่สั่งการให้จําเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ข้อหากระทําด้วยประการใด ๆ ต่อผู้อื่น อันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทําให้ได้รับความอับอาย หรือเดือดร้อนรําคาญ และข้อหาดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า ทําการพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อตรวจสอบประวัติ อาชญากรรม จําเลยทราบคําสั่งของเจ้าพนักงานแล้วไม่ปฏิบัติตามคําสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัว อันสมควร การกระทําของจําเลยที่โจทก์ขอให้ลงโทษตามฟ้องนั้น ศาลรัฐธรรมนูญมีคําวินิจฉัยที่ ๑/๒๕๖๕ ว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘ วรรคหนึ่ง ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๒๘ วรรคหนึ่ง โดยมีเหตุผลในการวินิจฉัยและกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิง ในประเด็นการพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรมว่า การพิมพ์ลายนิ้วมือก็เพื่อใช้ ตรวจสอบประวัติอาชญากรอันเป็นการตรวจสอบประวัติการกระทําความผิด เพื่อประกอบการพิจารณา เงื่อนไขในการเพิ่มโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ หรือมาตรา ๙๓ เพราะการให้เพิ่มโทษ จําเลยฐานไม่เข็ดหลาบให้กล่าวมาในฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง และเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานในคดี ตามมาตรา ๑๓๒ (๑) อันเป็นอํานาจที่กฎหมายให้แก่พนักงานสอบสวนสั่งการให้พิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ต้องหา เมื่อผู้ต้องหา ในคดีอาญาไม่ปฏิบัติตามอาจมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘ วรรคหนึ่ง ได้ อย่างไร ก็ตาม ถ้าคําสั่งของเจ้าพนักงานดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่เป็นประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานในกรณีที่มีการกระทําความผิดอาญาเกิดขึ้น ก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๓๖๘ เช่นนี้คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๒ วรรคสาม การที่พนักงานสอบสวนมีคําสั่งให้จําเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาในข้อหาความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๗ และมาตรา ๓๙๓ อันเป็นความผิดลหุโทษ ทําการพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรมนั้น กรณีจึงต้องด้วยคําวินิจฉัย ของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว แต่เมื่อความผิดซึ่งจําเลยถูกกล่าวหาว่ากระทําเป็นความผิดลหุโทษ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๔ บัญญัติว่า ความผิดอันได้กระทําโดยประมาท ความผิดลหุโทษ


๑๑ และความผิดซึ่งผู้กระทําได้กระทําในขณะที่มีอายุต่ํากว่าสิบแปดปีนั้น ไม่ว่าจะได้กระทําในครั้งก่อนหรือ ครั้งหลัง ไม่ถือว่าเป็นความผิดเพื่อการเพิ่มโทษตามความในหมวดนี้ ซึ่งหมายความว่า ความผิดลหุโทษไม่ถือ ว่าเป็นความผิดเพื่อการเพิ่มโทษในการกระทําความผิดอีก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ และ มาตรา ๙๓ กรณีจึงไม่อาจเพิ่มโทษจําเลยซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดลหุโทษ ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๙๒ และมาตรา ๙๓ ได้ ดังนั้น คําสั่งของพนักงานสอบสวนที่ให้จําเลยซึ่งถูกกล่าวหาว่า กระทําความผิดลหุโทษพิมพ์ลายนิ้วมือ เพื่อตรวจสอบประวัติอาชญากรรม ย่อมไม่อาจถือได้ว่าพนักงาน สอบสวนได้ทําไปเพื่อประโยชน์แห่งการรวบรวมพยานหลักฐานในคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา ๑๓๒ (๑) พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอํานาจสั่งให้จําเลยกระทําเช่นนั้นได้ เมื่อจําเลย ฝ่าฝืนหามีความผิดตามฟ้องไม่ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดและลงโทษจําเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจําเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ------------------------------ ธนวรรธน์ พลศักดิ์ – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๑๒ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๒๔๙/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๔๔๔/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๕) นางสาว น. โจทก์ นางสาว ร. กับพวก จําเลย ป.อ. หมิ่นประมาท มาตรา ๓๒๖ การแปลความหมายของถ้อยคําหรือข้อความใดว่าเป็นการใส่ความหรือไม่ ต้องพิจารณา จากข้อความทั้งหมด จะหยิบยกมาพิจารณาแต่เฉพาะคําหรือข้อความตอนใดตอนหนึ่งไม่ได้ เพราะข้อความทั้งหมดย่อมเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันที่จะแสดงให้เห็นความหนักเบาและความหมายอันแท้จริง ของข้อความดังกล่าว เมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมดในเฟซบุ๊กประกอบคําเบิกความของโจทก์แล้ว ข้อความของจําเลยที่ ๑ เป็นการระบายความรู้สึกไม่พอใจและเสียใจที่คาดหวังกับโจทก์ไว้มาก มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์นําสุนัขไปหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร แม้จําเลยที่ ๑ อาจใช้ข้อความที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะทําให้ผู้ที่อ่านข้อความแล้วเข้าใจว่า โจทก์เป็นคนหลอกลวงจําเลยที่ ๑ เพื่อหวังเอาผลประโยชน์จากสุนัขที่รับไปจากจําเลยที่ ๑ อันจะถือว่า เป็นการใส่ความโจทก์ ที่จะทําให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จึงไม่เป็นการ หมิ่นประมาทโจทก์ ส่วนความเห็นจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นการแสดงความคิดเห็นต่อเนื่องมาจากโพสต์ ของจําเลยที่ ๑ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะแสดงความเห็นใจต่อจําเลยที่ ๑ โดยใช้ถ้อยคําที่มีลักษณะเป็นการ เปรียบเทียบ ประชดประชัน และไม่สุภาพเท่านั้น แม้จะเป็นถ้อยคําที่รุนแรงไปบ้าง แต่จําเลยที่ ๒ และที่ ๓ ก็ไม่ได้กล่าวถ้อยคําเพิ่มเติมเสริมแต่งให้ผิดไปจากโพสต์ของจําเลยที่ ๑ ว่าโจทก์หากินกับสุนัข อย่างไร หรือเลวอย่างไร จึงยังถือไม่ได้ว่าจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีเจตนามุ่งหมายที่จะใส่ความโจทก์ อันจะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ การกระทําของจําเลยทั้งสามจึงไม่มีมูลความผิด ฐานหมิ่นประมาท ------------------------------ โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๓๒๖, ๓๒๘ ให้จําเลยที่ ๑ ชําระค่าเสียหาย ๓๐,๐๐๐ บาท ให้จําเลยที่ ๒ ชําระค่าเสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาท และให้จําเลยที่ ๓ ชําระค่าเสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จําเลยทั้งสามโพสต์ประกาศ ขอโทษโจทก์ลงในเฟซบุ๊กที่หน้าไทม์ไลน์ของจําเลยทั้งสาม และในกลุ่ม “กลุ่มรักหมาจัง” โดยตั้งข้อความ เป็นสาธารณะติดต่อกันเป็นเวลา ๗ วัน


๑๓ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง และยกคําขอส่วนแพ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีส่วนแพ่งให้ตกเป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์เฉพาะคดีส่วนอาญา ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า ตามทางไต่สวนมูลฟ้องโจทก์นําสืบว่า โจทก์ใช้ชื่อในเฟซบุ๊กว่า “N.” จําเลยที่ ๑ ใช้ชื่อในเฟซบุ๊กว่า “ห.” จําเลยที่ ๒ ใช้ชื่อในเฟซบุ๊กว่า “น.” และจําเลยที่ ๓ ใช้ชื่อในเฟซบุ๊กว่า “ว.” โจทก์และจําเลยที่ ๑ เป็นสมาชิกในเฟซบุ๊กชื่อ “กลุ่มรักหมาจัง” ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กเกี่ยวกับบุคคลที่รักสุนัข ให้ความช่วยเหลือ และพูดคุยเกี่ยวกับสุนัข เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๖๔ เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จําเลยที่ ๑ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กของจําเลยที่ ๑ และจําเลยทั้งสามเข้ามาแสดงความคิดเห็นตามภาพถ่ายข้อความในเฟซบุ๊ก และจําเลยที่ ๑ ยังได้โพสต์ ข้อความลงในกลุ่ม “กลุ่มรักหมาจัง” ตามภาพถ่ายข้อความในเฟซบุ๊ก ข้อความที่จําเลยทั้งสามโพสต์ ย่อมทําให้บุคคลที่พบเห็นเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนที่ไม่ดี เป็นคนเลว คดโกง และจําเลยที่ ๑ ถูกโจทก์ หลอกลวง เพราะเอาสุนัขให้โจทก์ไป กล่าวหาว่าโจทก์รับสุนัขไปดูแลเพื่อหวังผลประโยชน์โดยทุจริต และเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนโกหก อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณาในเฟซบุ๊ก ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า คดีโจทก์มีมูลหรือไม่ สําหรับจําเลยที่ ๑ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โพสต์ของจําเลยที่ ๑ ที่มีข้อความว่า “... เขาสร้างโปรไฟล์ไว้เริ่ดหรูทําให้คนหลงเชื่อ ...” และ ความคิดเห็นของจําเลยที่ ๑ ที่ว่า “... ถ้าเขาไม่หลอกว่าจะเอาไปเลี้ยง หนูไม่ให้ไปค่ะ ...” เป็นการยืนยัน แน่ชัดว่าโจทก์ไปหลอกลวงจําเลยที่ ๑ เพื่อหวังเอาผลประโยชน์จากสุนัขที่ไปรับจากจําเลยที่ ๑ นั้น เห็นว่า การแปลความหมายของถ้อยคําหรือข้อความใดว่าเป็นการใส่ความหรือไม่ ต้องพิจารณา จากข้อความทั้งหมด จะหยิบยกมาพิจารณาแต่เฉพาะคําหรือข้อความตอนใดตอนหนึ่งไม่ได้ เพราะข้อความทั้งหมดย่อมเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันที่จะแสดงให้เห็นความหนักเบาและความหมายอันแท้จริง ของข้อความดังกล่าว เมื่อพิจารณาข้อความทั้งหมดในเฟซบุ๊กประกอบคําเบิกความของโจทก์แล้ว ปรากฏ ว่ามูลเหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากจําเลยที่ ๑ โพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือสุนัขจรจัดในสวนยางชื่อ ต. หรือ ก. ในเฟซบุ๊กของจําเลยที่ ๑ และกลุ่มรักหมาจัง ต่อมาโจทก์ได้ติดต่อจําเลยที่ ๑ ขอรับสุนัขไป หลังจากโจทก์ได้รับสุนัขแล้ว จําเลยที่ ๑ ก็ขอสุนัขคืน แต่โจทก์ปฏิเสธ ไม่คืนให้ จําเลยที่ ๑ จึงได้โพสต์ ในเฟซบุ๊ก กลุ่มรักหมาจัง ว่า “... ขอคําปรึกษาค่ะ ความตั้งใจของคนโพสต์ คือ อยากให้น้องหมา ได้บ้านที่เป็นบ้านคนเลี้ยงหมาในบ้านค่ะ ไม่ใช่บ้านพักหมาหรือมูลนิธิ # คนโพสต์ไม่ได้มีปัญหาอะไร กับมูลนิธินะค่ะ ... แต่อยากให้น้องหมามีบ้านที่อบอุ่น ไม่ใช่ไปอยู่รวมกันเยอะ ๆ แบบนี้คะ ... # อยากได้หมาคืนค่ะ เพราะมีคนพร้อมจะดูแลน้องแบบบ้านค่ะ ... แต่คนเอาไปไม่ยอมคืนให้ค่ะ ทําไงดีค่ะ ... ยังไงก็ไม่ยอมท่าเดียวค่ะ # ล่าสุดบอกใช้เงินส่วนตัวแต่เอาคลิปที่น้อง ร. ถ่ายไปโพสต์ช่วยขายของ แบบนี้หมายความว่าไงค่ะ … ขอพิกัดที่น้องอยู่ก็ไม่ให้ พูดจาก็คนละเรื่องเลยกับตอนที่ยังไม่ได้หมาไป # สงสารน้องหมามาก ๆ ๆ ค่ะ ... รบกวนขอคําแนะนําจากเพื่อนในกลุ่มด้วยนะค่ะ ...” กับโพสต์ในเฟซบุ๊ก ของจําเลยที่ ๑ ว่า “ อภัยกูด้วยนะกี้ ... ถึงกูจะไม่ให้อภัยตัวเอง ... มึงอโหสิกรรมให้กูนะ ... เขาสร้างโปรไฟล์ ไว้เริ่ดหรูทําให้คนหลงเชื่อเขา ปิดหูปิดตากันหมดแล้ว ... กูพลาดเองกี้ ... อโหสิกรรมกูนะ ... # พักพวกอย่ามาวุ่นวาย เพราะคนที่พวกคุณยกยอออกหน้ารับแทน หลังไมค์เขาไม่ได้สวยหรู แบบที่พวกคุณเห็น # อภัยกูด้วยนะกี้” และจําเลยที่ ๑ แสดงความคิดเห็นว่า “ แล้วก็ทําแบบนี้


๑๔ หนูไม่ชอบ” พร้อมกับแนบรูปถ่ายโพสต์ของโจทก์และรูปภาพของโจทก์ ซึ่งหมายถึงโจทก์ และจําเลยที่ ๑ โพ สต์ตอบผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นว่า “ขอพิกัดที่น้องอยู่ เขาก็ไม่ให้ค่ะ ... หนูผิดพลาดใหญ่หลวงมาก ... แต่ถ้าเขาไม่หลอกว่าจะเอาไปเลี้ยง หนูไม่ให้ไปค่ะ” ดังนี้ เห็นได้ว่าข้อความของจําเลยที่ ๑ ดังกล่าวเป็น การระบายความรู้สึกไม่พอใจและเสียใจที่คาดหวังกับโจทก์ไว้มาก ตามที่เห็นในโพรไฟล์ของโจทก์ในเฟ ซบุ๊กว่าโจทก์จะสามารถดูแลสุนัขจรจัดที่รับไปจากจําเลยที่ ๑ ได้เป็นอย่างดี โดยจะรับเลี้ยงไว้เอง เมื่อไม่ เป็นดังที่จําเลยที่ ๑ หวังไว้ จึงขอสุนัขคืน แต่โจทก์ไม่คืนให้ นอกจากนี้โจทก์ยังเบิกความ ตอบคําถามค้านของทนายจําเลยที่ ๑ และที่ ๒ ว่า ได้มีการนําสุนัขไปฝากไว้ที่บ้านอุ่นรัก เพื่อรอหาบ้านใหม่ ทําให้จําเลยที่ ๑ เข้าใจว่าโจทก์จะยกสุนัขให้บ้านอุ่นรัก จากข้อเท็จจริงทั้งหมดย่อมมีเหตุให้จําเลยที่ ๑ เป็นห่วงสุนัขของตนเองและกลัวว่าสุนัขจะลําบาก ไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ตามที่จําเลยที่ ๑ ต้องการ จึงได้โพสต์เล่าเรื่องตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น พร้อมกับขอคําแนะนําจากสมาชิกในเฟซบุ๊ก โดยมิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าโจทก์นําสุนัขไปหาผลประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร แม้จําเลยที่ ๑ อาจใช้ข้อความที่ไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะทําให้ผู้ที่อ่านข้อความแล้วเข้าใจว่าโจทก์ เป็นคนหลอกลวงจําเลยที่ ๑ เพื่อหวังเอาผลประโยชน์จากสุนัขที่รับไปจากจําเลยที่ ๑ อันจะถือว่า เป็นการใส่ความโจทก์ ที่จะทําให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จึงไม่เป็นการ หมิ่นประมาทโจทก์ ส่วนจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การแสดงความคิดเห็นใต้โพสต์ ของจําเลยที่ ๑ โดยจําเลยที่ ๒ แสดงความคิดเห็นว่า “หือ ทําไมเขาทําแบบนี้นะ ไหนว่ารับไปเลี้ยงไง เลว จริง ๆ หากินกะหมาก็ได้ สงสารจังหมาสวนยาง” และจําเลยที่ ๓ แสดงความคิดเห็นว่า “มันหากินกับ หมาแสนรู้” ทําให้ผู้ที่อ่านเข้าใจว่าโจทก์เป็นคนเลว คนทุจริต คดโกงเพื่อหวังหาผลประโยชน์ จากเงินที่ได้จากการหลอกเอาสุนัขของจําเลยที่ ๑ ไป นั้น เห็นว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการแสดง ความคิดเห็นต่อเนื่องมาจากโพสต์ของจําเลยที่ ๑ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะแสดงความเห็นใจต่อจําเลยที่ ๑ โดยใช้ถ้อยคําที่มีลักษณะเป็นการเปรียบเทียบ ประชดประชัน และไม่สุภาพเท่านั้น แม้จะเป็นถ้อยคํา ที่รุนแรงไปบ้าง แต่จําเลยที่ ๒ และที่ ๓ ก็ไม่ได้กล่าวถ้อยคําเพิ่มเติม เสริมแต่ง ให้ผิดไปจากโพสต์ ของจําเลยที่ ๑ ว่าโจทก์หากินกับสุนัขอย่างไร หรือเลวอย่างไร จึงยังถือไม่ได้ว่าจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีเจตนามุ่งหมายที่จะใส่ความโจทก์ อันจะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ การกระทําของจําเลยทั้งสาม จึงไม่มีมูลความผิดฐานหมิ่นประมาท ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ------------------------------ เอกพจน์ สุดตานา – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๑๕ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๓๔๘/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๘๑/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๕) พนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี โจทก์ นางสาว ณ. จําเลย พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา เป็นกฎหมายพิเศษที่มีลักษณะเป็นกฎหมายลูกผสม โดยบัญญัติเรื่องการกู้ยืมเงินและดอกเบี้ยซึ่งเป็นเรื่องทางแพ่ง แต่หากฝ่าฝืนเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ที่กฎหมายกําหนดก็จะต้องรับโทษทางอาญา จําเลยจะอ้างว่าผู้เสียหายยินยอมพร้อมใจให้อัตราดอกเบี้ย เกินกว่าที่กฎหมายกําหนด แต่ถือได้ว่าเป็นการสมคบกันเลี่ยงกฎหมาย โดยการพิจารณาคดี ต่างจากการพิจารณาคดีการกู้ยืมเงินทั่วไปซึ่งยึดถือหนังสือสัญญากู้เป็นสําคัญ เมื่อโจทก์มีผู้เสียหาย มาเบิกความประกอบกับเอกสารสอดคล้องต้องกันสมเหตุผล ทั้งผู้เสียหายกับจําเลยต่างรู้จักไม่มีสาเหตุ โกรธเคืองกันมาก่อนไม่น่าจะเบิกความให้ผิดไปจากข้อเท็จจริง พยานหลักฐานโจทก์ที่นําสืบมามีน้ําหนัก มั่นคงเชื่อได้ว่าจําเลยให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ จึงมีความผิด ฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓, ๔ และพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔, ๕ จําเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ที่ถูก มาตรา ๓ (ก)), ๔ และพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔ (ที่ถูก มาตรา ๔ (๑)), ๕ จําคุก ๖ เดือน คําให้การของจําเลยในชั้นพิจารณา มีประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๔ เดือน จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจําเลยว่า จําเลย กระทําความผิดตามคําพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่า ในปี ๒๕๕๑ ได้กู้ยืมและรับเงินจากจําเลย ๓๐๐,๐๐๐ บาท คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๔ ต่อเดือน ตามสัญญากู้ยืมเงินและใบรับฝากเงิน แม้จําเลยจะโต้แย้งเกี่ยวกับจํานวนเงินกู้ แต่เมื่อพิจารณา ประกอบใบรับฝากเงินระบุรวมแล้วเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งจําเลยเองตอบโจทก์ถามค้านว่า


๑๖ เอกสารดังกล่าวจําเลยเป็นผู้จัดทําและมอบให้แก่ผู้เสียหายที่บ้าน จึงรับฟังได้ว่าผู้เสียหายกู้ยืมและรับเงิน จากจําเลยไปเพียง ๓๐๐,๐๐๐ บาท หลังจากนั้นผู้เสียหายมีการชําระต้นเงินและดอกเบี้ยตลอดเรื่อยมา ครั้งสุดท้ายชําระเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จํานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เมื่อพิจารณา ประกอบรายการคํานวณต้นเงินและดอกเบี้ย พบว่ามีการเรียกเก็บดอกเบี้ยทบต้นเพิ่มขึ้นตลอดมา จนกระทั่งผู้เสียหายทําหนังสือรับสภาพหนี้ เป็นเงินถึง ๑๖,๗๙๘,๙๒๙.๑๓ บาท หลังจากนั้นจําเลย และทนายจําเลยยังมีหนังสือทวงถามให้ผู้เสียหายชําระเงินตามหนังสือขอให้ชําระหนี้ ซึ่งพิจารณา ร่วมกับบันทึกคําให้การของผู้เสียหายเกี่ยวกับต้นเงินและดอกเบี้ยที่มีการผ่อนชําระ แสดงให้เห็นว่า การให้กู้ยืมเงินของจําเลยแก่ผู้เสียหายมีการเรียกดอกเบี้ยเงินกู้เกินกว่าที่กฎหมายกําหนด ย่อมมีความผิด ตามฟ้อง ส่วนที่จําเลยอุทธรณ์ว่า ไม่มีเจตนาที่จะเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราจากผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหาย เป็นผู้เสนออัตราดอกเบี้ยให้แก่จําเลยเองนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ เป็นกฎหมายพิเศษที่มีลักษณะเป็นกฎหมายลูกผสม คือ บัญญัติเรื่องการกู้ยืมเงินและดอกเบี้ย ซึ่งเป็นเรื่องทางแพ่ง แต่หากฝ่าฝืนเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดก็จะต้องรับโทษทางอาญา แม้จําเลยจะอ้างว่าผู้เสียหายยินยอมพร้อมใจให้อัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกําหนด แต่ถือได้ว่า เป็นการสมคบกันเลี่ยงกฎหมาย การพิจารณาคดีในลักษณะนี้จึงต่างจากการพิจารณาคดีการกู้ยืมเงิน ทั่วไปซึ่งยึดถือหนังสือสัญญากู้เป็นสําคัญ เมื่อโจทก์มีผู้เสียหายมาเบิกความประกอบกับเอกสาร สอดคล้องต้องกันสมเหตุผล ทั้งผู้เสียหายกับจําเลยต่างรู้จัก ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ไม่น่าจะเบิกความให้ผิดไปจากข้อเท็จจริง พยานหลักฐานโจทก์ที่นําสืบมามีน้ําหนักมั่นคงเชื่อได้ว่า จําเลยให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ จึงมีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ย เกินอัตรา ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจําเลยฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจําเลยประการต่อไปว่า มีเหตุลงโทษจําเลยสถานเบาหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ ระวางโทษจําคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือ ปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ คดีนี้ ศาลชั้นต้นวางโทษจําคุก ๖ เดือน ลดโทษให้ หนึ่งในสาม คงจําคุก ๔ เดือน นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์กระทําความผิดแล้ว ส่วนที่ขอให้ รอการลงโทษนั้น เห็นว่า มูลเหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้เสียหายกับจําเลยต่างรู้จักกันมาก่อน ต่อมา ผู้เสียหายกู้และรับเงินจากจําเลยหลายครั้ง ส่วนการคิดดอกเบี้ยแม้จะเกินไปกว่าที่กฎหมายกําหนด แต่ก็เกิดจากการสมยอมของทั้งผู้เสียหายและจําเลย จําเลยเองไม่ได้ประกอบอาชีพให้กู้ยืมเงิน แก่บุคคลทั่วไป ทั้งไม่ปรากฏว่าเคยกระทําความผิดในลักษณะเดียวกันกับคดีนี้มาก่อน กับมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง นิสัยและความประพฤติทั่วไปไม่มีข้อเสียหายร้ายแรง กรณีมีเหตุอันสมควรปรานีที่จะให้โอกาสจําเลย ได้แก้ไขปรับปรุงตนเองแทนที่จะลงโทษจําคุกไปเสียทีเดียว ซึ่งน่าจะเป็นผลดีแก่จําเลยและสังคมโดยรวม มากกว่า ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจําคุกโดยไม่รอการลงโทษนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อุทธรณ์ของจําเลยฟังขึ้น แต่เพื่อให้จําเลยหลาบจําจึงให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง กับให้คุมความประพฤติ ของจําเลยไว้ด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจําเลย ๙๐๐ บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงปรับ ๖๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด ๒ ปี และคุมความ ประพฤติของจําเลยไว้มีกําหนด ๑ ปี นับแต่วันที่อ่านคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ให้จําเลยฟัง โดยให้จําเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ๔ ครั้ง ตามเงื่อนไขและกําหนดเวลา ที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร กับให้จําเลยกระทํากิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่


๑๗ พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร มีกําหนด ๒๐ ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชําระ ค่าปรับให้จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ อาภาพร เจริญมั่น – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๑๘ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๙๑/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๗๑/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๕) บริษัท ก. โจทก์ นาย ธ. กับพวก จําเลย ป.วิ.พ. อํานาจฟ้อง มาตรา ๕๕ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗, ๑๒ การฟ้องคดีของโจทก์ที่อ้างสิทธิเรียกร้องค่าขาดราคาโดยให้บังคับตามบันทึกการชําระหนี้ ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๒ ที่บัญญัติว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชําระหนี้ก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจ ต้องกระทําด้วยความสุจริต โดยคํานึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม” โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้องขอให้ศาลบังคับจําเลยที่ ๑ จําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ชําระหนี้ตามบันทึก การชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ คณะกรรมการสินเชื่อของโจทก์อนุมัติการทําบันทึกการชําระหนี้ ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์เพื่อผ่อนชําระหนี้ส่วนขาดหลังขายทอดตลาดทรัพย์ที่เช่าซื้อ โดยจําเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ เป็นผู้ค้ําประกันระหว่างกันเองทุกสัญญา และจําเลยที่ ๖ และที่ ๗ เป็นผู้ค้ําประกัน ทั้งยี่สิบสัญญา เพื่อค้ําประกันการผ่อนชําระหนี้ส่วนขาดหลังขายทอดตลาดทรัพย์ที่เช่าซื้อ โดยยกเว้น การลงนามรับทราบการค้ําประกันของผู้ค้ําประกันเดิม ซึ่งไม่มีข้อตกลงให้จําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ค้ําประกันการชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ อีกทั้งสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วก่อนที่จําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ จะทําสัญญาค้ําประกัน จึงไม่มีสัญญาเช่าซื้อที่เป็นสัญญาประธาน เป็นเหตุให้สัญญาค้ําประกัน ที่เป็นสัญญาอุปกรณ์ของสัญญาเช่าซื้อไม่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนจําเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นผู้ค้ําประกัน หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับบันทึกการชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้องจําเลยที่ ๒ ให้ชําระหนี้ตามบันทึกการชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ และไม่มีอํานาจฟ้องจําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ให้ชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชําระค่าขาดราคาตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งยังขาดอยู่อีก ๕๐๖,๐๔๒.๖๒ บาท ค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ระหว่างที่จําเลยที่ ๑ ครอบครองรถหลังจากผิดนัด เท่ากับค่าเช่าที่โจทก์อาจนํารถออกให้เช่าได้ เดือนละ ๘๖,๐๐๐ บาท ตั้งแต่งวดเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เป็นเวลา ๑๗ เดือน เป็นเงิน ๑,๔๖๒,๐๐๐ บาท ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่โจทก์ทดรองจ่ายแทนจําเลยที่ ๑ ไปก่อน ๓๑,๐๘๓.๓๐ บาท และค่าปรับฐานผิดนัด ๙๔๗,๖๘๔.๕๘ บาท


๑๙ รวมเป็นเงิน ๒,๙๔๖,๘๑๐.๕๐บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชําระเสร็จ ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคําร้องขอถอนฟ้องจําเลยที่ ๖ ศาลชั้นต้นมีคําสั่งอนุญาต จําหน่ายคดี เฉพาะจําเลยที่ ๖ ออกจากสารบบความ จําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง จําเลยที่ ๗ ให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งของจําเลยที่ ๗ ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ร่วมกันชําระเงิน ๑๒๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓) จนกว่าจะชําระเสร็จ แก่โจทก์ ให้จําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนด ค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ให้ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า การฟ้องคดีของโจทก์ที่อ้างสิทธิเรียกร้อง ค่าขาดราคาโดยให้บังคับตามบันทึกการชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๑๒ ที่บัญญัติว่า “ในการใช้สิทธิ แห่งตนก็ดี ในการชําระหนี้ก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจต้องกระทําด้วยความสุจริต โดยคํานึงถึงมาตรฐาน ทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม” โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้อง ขอให้ศาลบังคับจําเลยที่ ๑ จําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ชําระหนี้ตามบันทึกการชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ คณะกรรมการ สินเชื่อของโจทก์อนุมัติการทําบันทึกการชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ เพื่อผ่อนชําระหนี้ส่วนขาด หลังขายทอดตลาดทรัพย์ที่เช่าซื้อ โดยจําเลยที่ ๑ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ เป็นผู้ค้ําประกันระหว่างกันเอง ทุกสัญญา และจําเลยที่ ๖ และที่ ๗ เป็นผู้ค้ําประกันทั้งยี่สิบสัญญา เพื่อค้ําประกันการผ่อนชําระหนี้ ส่วนขาดหลังขายทอดตลาดทรัพย์ที่เช่าซื้อ โดยยกเว้นการลงนามรับทราบการค้ําประกันของผู้ค้ําประกันเดิม ซึ่งไม่มีข้อตกลงให้จําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ค้ําประกันการชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ อีกทั้งสัญญาเช่า ซื้อเลิกกันแล้วก่อนที่จําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ จะทําสัญญาค้ําประกัน จึงไม่มีสัญญาเช่าซื้อ ที่เป็นสัญญาประธาน เป็นเหตุให้สัญญาค้ําประกันที่เป็นสัญญาอุปกรณ์ของสัญญาเช่าซื้อไม่อาจเกิดขึ้นได้ ส่วนจําเลยที่ ๒ ไม่ได้เป็นผู้ค้ําประกันหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับบันทึกการชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้องจําเลยที่ ๒ ให้ชําระหนี้ตามบันทึกการชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อทรัพย์ และไม่มีอํานาจฟ้องจําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ให้ชําระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ ด้วยเหตุไม่มีข้อโต้แย้ง สิทธิของโจทก์เกิดขึ้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ประเด็นเรื่องอํานาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคมีอํานาจยกขึ้นวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ชําระค่าขาดราคาแก่โจทก์ และให้จําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ ร่วมรับผิดกับจําเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชําระหนี้ในมูลหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคไม่เห็นพ้องด้วย


๒๐ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประการสุดท้ายว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย ในต้นเงินของค่าขาดประโยชน์และเบี้ยปรับที่ศาลชั้นต้นกําหนดให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์อุทธรณ์ว่า การคิดดอกเบี้ยของโจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เป็นดอกผลนิตินัยที่โจทก์พึงได้รับ ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘ วรรคสาม จึงไม่ถือว่าเป็นเบี้ยปรับ เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑๖ กําหนดว่า “กรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อตามกําหนด ผู้เช่าซื้อตกลงชําระเบี้ยปรับ ของค่าเช่าซื้อที่ผิดนัดนับแต่วันถึงกําหนดชําระค่าเช่าซื้อจนถึงวันชําระ และหากเจ้าของต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าธรรมเนียม ค่าภาษีหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ แทนในนามผู้เช่าหรือนามเจ้าของ ซึ่งผู้เช่า ต้องชําระตามกฎหมายหรือตามสัญญา ผู้เช่าจะต้องชําระคืนให้แก่เจ้าของพร้อมเบี้ยปรับในต้นเงิน จํานวนที่เจ้าของได้จ่ายไป นับแต่วันที่เจ้าของได้จ่ายแต่ละรายการเป็นต้นไปจนถึงวันชําระ ในกรณีที่เจ้าของ ได้รับความเสียหายใด ๆ เนื่องจากผู้เช่าไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา ผู้เช่าตกลงชดใช้ค่าเสียหาย ให้แก่เจ้าของ โดยชําระเต็มจํานวนพร้อมเบี้ยปรับนับแต่วันที่เจ้าของได้รับความเสียหายจนถึงวันที่ผู้เช่า ชดใช้ค่าเสียหายนั้น เบี้ยปรับตามที่ระบุไว้ในสัญญานี้ ผู้เช่าตกลงชําระให้แก่เจ้าของอัตราร้อยละ เท่ากับเอ็มอาร์อาร์ บวก ๑๐ ต่อปี หมายถึง อัตราดอกเบี้ยสําหรับลูกค้าชั้นดีรายย่อยของธนาคาร ก. ข้อสัญญาดังกล่าวที่ให้โจทก์มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับเท่ากับอัตราร้อยละเอ็มอาร์อาร์ บวก ๑๐ ต่อปี ของธนาคาร ก. เป็นการกําหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้า อันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ หากสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจํานวนพอสมควรก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ วรรคหนึ่ง แต่ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อ ๕๑,๐๐๐ บาท มิใช่เงินใด ๆ ที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชําระ ให้แก่เจ้าของตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑๖ ที่กําหนดให้ผู้เช่าซื้อต้องชําระเงินดังกล่าวพร้อมเบี้ยปรับ โดยค่าขาดประโยชน์เป็นค่าใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว และเป็นหนี้เงินที่โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยลดลง หรือเพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ส่วนเบี้ยปรับ ๕๐,๐๐๐ บาท มิใช่เงินใด ๆ แต่เป็นเบี้ยปรับของเงินใด ๆ ที่ผู้เช่าซื้อต้องชําระให้แก่เจ้าของพร้อมเงินใด ๆ ตามข้อสัญญาดังกล่าว จึงไม่อาจกําหนดให้ชําระดอกเบี้ยที่เป็นเบี้ยปรับของต้นเงินเบี้ยปรับนี้ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ชําระค่าขาดประโยชน์และเบี้ยปรับพร้อมเบี้ยปรับเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคมีอํานาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณา คดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชําระเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยน โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๑,๐๐๐ บาท นับถัดจาก วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ย


๒๑ ทุกช่วงเวลาต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ ให้เพิกถอนคําสั่งรับฟ้องแย้งของจําเลยที่ ๗ และคําให้การแก้ฟ้องแย้ง ยกฟ้องโจทก์สําหรับจําเลยที่ ๓ ถึงที่ ๕ และที่ ๗ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คําพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ ------------------------------ กฤษณะ สุขีวิก – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๒๒ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๕๔๑/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๔๓/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๕) พนักงานอัยการจังหวัดชัยบาดาล โจทก์ นาง ส. กับพวก จําเลย ป.อ. หลายกรรมต่างกัน มาตรา ๙๑ จําเลยที่ ๑ เป็นเจ้าบ้านจัดให้มีการเล่นพนันขึ้น เพื่อนํามาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนกรณีหนึ่ง และจําเลยที่ ๑ เข้าร่วมเล่นการพนันกับจําเลยอื่นอีกกรณีหนึ่ง จึงเป็นที่เห็นได้โดยแจ้งชัดว่า ตามลักษณะหรือสภาพแห่งการกระทําทั้งสองกรณีนั้นสามารถแยกออกจากกันได้ เป็นการกระทําต่างฐานกัน และมีเจตนาคนละอัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๔, ๕, ๖, ๑๐, ๑๒, ๑๕ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓, ๘๓, ๙๑ พระราชกําหนดการบริหารราชการ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๔, ๕, ๗, ๙, ๑๘, ๑๙ ริบของกลาง และจ่ายสินบนนําจับ ตามกฎหมาย จําเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๔ (ที่ถูก มาตรา ๔ วรรคสอง), ๕, ๖, ๑๐, ๑๒ (ที่ถูก มาตรา ๑๒ (๒)), ๑๕, พระราชกําหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ มาตรา ๔, ๕, ๗, ๙ (ที่ถูก มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒)), ๑๘, ๑๙ (ที่ถูก ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓) การกระทําของจําเลยทั้งสามเป็นความผิด หลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานจัดให้มีการเล่นพนัน จําคุกจําเลยที่ ๑ มีกําหนด ๖ เดือน และปรับ ๒,๐๐๐ บาท ฐานร่วมกัน เล่นการพนัน ปรับจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ คนละ ๒,๐๐๐ บาท ฐานร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ปรับคนละ ๒,๐๐๐ บาท จําเลยทั้งสาม ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ฐานจัดให้มีการเล่นพนัน คงจําคุกจําเลยที่ ๑ มีกําหนด ๓ เดือน และปรับ ๑,๐๐๐ บาท ฐานร่วมกันเล่นการพนัน คงปรับจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ คนละ ๑,๐๐๐ บาท ฐานร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตามพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ คงปรับคนละ ๑,๐๐๐ บาท รวมจําคุกจําเลยที่ ๑ มีกําหนด ๓ เดือน และปรับ ๒,๐๐๐ บาท ปรับจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ คนละ ๒,๐๐๐ บาท โทษจําคุกของจําเลยที่ ๑ ให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด ๑ ปี


๒๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ริบของกลาง ให้จําเลยทั้งสามจ่ายสินบนนําจับคนละกึ่งหนึ่งของค่าปรับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จําเลยที่ ๑ มีความผิดฐานเป็นผู้ร่วมเล่นการพนันอีกกระทงหนึ่งหรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องว่า จําเลยทั้งสามร่วมกันเล่นการพนันไพ่กบดํากบแดง อันเป็นการพนันไพ่ต่าง ๆ ตามที่ระบุไว้ในบัญชี ข. อันดับที่ ๒๑ ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ โดยจําเลยที่ ๑ เป็นเจ้าบ้านจัดให้มีการเล่นพนัน อันนํามาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนและเข้าร่วมเล่นการพนัน ส่วนจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นผู้เข้าร่วมเล่นการพนัน แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจําเลยที่ ๑ ฐานเป็นผู้จัดให้มีการเล่นพนันเพียงกระทงเดียว ไม่ได้ลงโทษ ฐานเป็นผู้ร่วมเล่นด้วยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า จําเลยที่ ๑ เป็นเจ้าบ้าน จัดให้มีการเล่นพนันอันนํามาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน และร่วมเล่นการพนันกับจําเลยที่ ๒ และที่ ๓ ด้วย เมื่อจําเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ดังที่โจทก์ฟ้องว่า จําเลยที่ ๑ เป็นเจ้าบ้าน จัดให้มีการเล่นพนันขึ้นเพื่อนํามาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนกรณีหนึ่ง และจําเลยที่ ๑ เข้าร่วมเล่นการพนัน กับจําเลยอื่นอีกกรณีหนึ่ง จึงเป็นที่เห็นได้โดยแจ้งชัดว่าตามลักษณะหรือสภาพแห่งการกระทํา ทั้งสองกรณีนั้นสามารถแยกออกจากกันได้ เป็นการกระทําต่างฐานกันและมีเจตนาคนละอัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจําเลยที่ ๑ ฐานเป็นเจ้าบ้าน จัดให้มีการเล่นพนันเพียงกระทงเดียว ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจําเลยที่ ๑ ฐานร่วมกันเล่นการพนันอีกกระทงหนึ่ง ปรับ ๒,๐๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงปรับ ๑,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับโทษ ในความผิดฐานจัดให้มีการเล่นพนันและฐานร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ ตามพระราชกําหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ตามคําพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจําคุกจําเลยที่ ๑ มีกําหนด ๓ เดือน และปรับ ๓,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ กฤษณะ สุขีวิก – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๒๔ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๕๐๐/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๒๓๕/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๕) นางสาว ว. โจทก์ นางสาว ร. จําเลย ป.วิ.อ. ผู้เสียหาย ผู้มีอํานาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล มาตรา ๒ (๔), ๒๘ (๒) การที่จําเลยชักชวนให้โจทก์นําเงินมาให้จําเลยโดยอ้างว่าจําเลยจะนําเงินนั้นไปลงทุนในธุรกิจ ต่าง ๆ ของจําเลย โดยเสนอผลตอบแทนแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อเดือน หรือร้อยละ ๑๒๐ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงผิดปกติ ในระยะแรกจําเลยคืนเงินและผลตอบแทนในอัตราสูงแก่โจทก์ตามข้อตกลง ทําให้โจทก์เกิดความเชื่อถือไว้วางใจว่าจําเลยนําเงินไปลงทุนประกอบธุรกิจได้ผลตอบแทนสูง จนสามารถจ่ายผลตอบแทนแก่โจทก์ในอัตราที่ตกลงกันได้จริง เมื่อจําเลยชักชวนให้โจทก์ลงทุนต่อ ในลักษณะเดิมโดยขยายระยะเวลาการลงทุนออกไป โจทก์จึงนําเงินมาให้จําเลยเพื่อให้จําเลยไปใช้ลงทุน บ่อยครั้งขึ้นและเป็นจํานวนเพิ่มมากขึ้นรวมจํานวนตามฟ้อง ต่อมาจําเลยหลบหนีไป โดยไม่ปรากฏว่า จําเลยนําเงินที่ได้จากโจทก์ไปลงทุนตามที่จําเลยรับรองไว้ต่อโจทก์ น่าเชื่อว่าเหตุที่โจทก์มอบเงินให้จําเลย เพราะจําเลยหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อและ ทําให้จําเลยได้เงินไปจากโจทก์ การกระทําของจําเลยจึงมีมูลเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ในชั้นนี้ยังไม่พอฟังว่า โจทก์มอบเงินให้จําเลยเป็นการให้จําเลยกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย อีกทั้งคดีนี้ โจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยในความผิด ตาม พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ หากแต่ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งโจทก์มิได้มีส่วนร่วมกระทําความผิดกับจําเลยด้วย โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่มีอํานาจฟ้องจําเลยในความผิดฐานนี้ได้ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๔๑ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคําพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) ประกอบมาตรา ๒๘ (๒) มีอํานาจฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยเป็นคดีนี้หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติ ที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่จําเลยชักชวนให้โจทก์นําเงินมาให้จําเลยโดยอ้างว่าจําเลยจะนําเงินนั้น ไปลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ของจําเลย โดยเสนอผลตอบแทนแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อเดือน หรือ


๒๕ ร้อยละ ๑๒๐ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงผิดปกติ ในระยะแรกจําเลยคืนเงินและผลตอบแทนในอัตราสูง แก่โจทก์ตามข้อตกลง ทําให้โจทก์เกิดความเชื่อถือไว้วางใจว่าจําเลยนําเงินไปลงทุนประกอบธุรกิจ ได้ผลตอบแทนสูงจนสามารถจ่ายผลตอบแทนแก่โจทก์ในอัตราที่ตกลงกันได้จริง เมื่อจําเลยชักชวน ให้โจทก์ลงทุนต่อในลักษณะเดิมโดยขยายระยะเวลาการลงทุนออกไป โจทก์จึงนําเงินมาให้จําเลย เพื่อให้จําเลยไปใช้ลงทุนบ่อยครั้งขึ้นและเป็นจํานวนเพิ่มมากขึ้นรวมจํานวนตามฟ้อง ต่อมาจําเลย หลบหนีไป โดยไม่ปรากฏว่าจําเลยนําเงินที่ได้จากโจทก์ไปลงทุนตามที่จําเลยรับรองไว้ต่อโจทก์ ข้อเท็จจริงเบื้องต้นน่าเชื่อว่าเหตุที่โจทก์มอบเงินให้จําเลยเพราะจําเลยหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดง ข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อและทําให้จําเลยได้เงินไปจากโจทก์ การกระทํา ของจําเลยจึงมีมูลเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ในชั้นนี้ยังไม่พอฟังว่าโจทก์มอบเงินให้จําเลยเป็นการให้จําเลย กู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา อีกทั้งคดีนี้โจทก์มิได้ฟ้อง ขอให้ลงโทษจําเลยในความผิด ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ หากแต่ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งโจทก์มิได้มีส่วนร่วมกระทําความผิดกับจําเลยด้วย โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่มีอํานาจฟ้องจําเลยในความผิดฐานนี้ได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย ตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) ประกอบมาตรา ๒๘ (๒) ไม่มีอํานาจฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยเป็นคดีนี้ คดีโจทก์จึงไม่มีมูล และพิพากษา ยกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้อง ------------------------------ ชารินทร์ เจริญผล – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๒๖ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๒๔๒/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๓๓๒๖/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๒๓/๒๕๖๕) พนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์ นาย ส. จําเลย ป.อ. กฎหมายยกเลิกความผิด เพิ่มโทษกรณีทั่วไป มาตรา ๒ วรรคสอง, ๙๒ จําเลยในคดีนี้เคยต้องคําพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจําคุก ๔ เดือน ๑๕ วัน ฐานผลิตยาเสพติด ให้โทษในประเภท ๕ (พืชกระท่อม) ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๙๔๑/๒๕๕๙ ของศาลจังหวัดอ่างทอง ภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษจําเลยกระทําความผิดคดีนี้ ซึ่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ ใช้บังคับในวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความใน (๕) ของวรรคหนึ่ง ของมาตรา ๗ แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ ถึงมาตรา ๘ ให้ยกเลิกมาตรา ๕๘/๒, วรรคสาม ของมาตรา ๗๕, วรรคสอง ของมาตรา ๗๖, วรรคสาม และวรรคสี่ ของมาตรา ๗๖/๑ และ วรรคสอง ของมาตรา ๙๒ ตามลําดับ ซึ่งมีผลให้การผลิตพืชกระท่อมเพื่อจําหน่ายไม่เป็นความผิด อันเป็นกรณีบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทําเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้ที่ได้กระทําการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทําความผิด ตาม ป.อ. มาตรา ๒ วรรคสอง จําเลย จึงไม่มีความผิดฐานผลิตพืชกระท่อมเพื่อจําหน่าย แม้ต่อมามี พ.ร.บ. ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๔ มาตรา ๔ (๑๒) ให้ยกเลิก พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ แต่ไม่มีผล ต่อการบังคับใช้ พ.ร.บ. ฉบับนี้อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดใช้บังคับ ดังนั้น กรณีจึงไม่อาจ นําความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ (พืชกระท่อม) ตามคําฟ้องมาเป็นเหตุเพิ่มโทษจําเลยได้ ที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจําเลยมานั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓, ๘๐, ๙๑, ๙๒, ๒๘๘, ๓๗๑, ๓๗๖ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๔, ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ ริบลูกกระสุนปืนออโตเมติกของกลางและเพิ่มโทษจําเลยตาม กฎหมาย จําเลยให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และข้อหายิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ


๒๗ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ (ที่ถูก มาตรา ๒๙๗ (๘)), ๓๗๑, ๓๗๖ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ วรรคสาม, ๗๒ ทวิ วรรคสอง การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับอันตรายสาหัส และฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน เป็นการกระทํากรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับอันตรายสาหัส ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จําคุก ๖ ปี ฐานมีอาวุธปืน ที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จําคุก ๖ เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรเป็นการกระทํากรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมาย หลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จําคุก ๖ เดือน เพิ่มโทษจําเลยหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ ฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับอันตรายสาหัส เป็นจําคุก ๘ ปี ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นจําคุก ๘ เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นจําคุก ๘ เดือน จําเลยให้การรับสารภาพฐานมี และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรเป็น ประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจําคุก ๔ เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือ ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจําคุก ๔ เดือน รวม ๓ กระทง จําคุก ๘ ปี ๘ เดือน ริบลูกกระสุนปืนออโตเมติกของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก จําเลยอุทธรณ์ขอให้ลดโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้นกําหนดโทษและลดโทษให้แก่จําเลยกึ่งหนึ่ง ในความผิดฐานมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นับว่าเหมาะสมและปรานีแก่จําเลยมากแล้ว ส่วนความผิดฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้าย รับอันตรายสาหัส เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งคดีแล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นกําหนดโทษ ให้จําคุก ๖ ปี ก่อนเพิ่มโทษหนักเกินไป ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นควรแก้ไขให้เหมาะสมแก่รูปคดี อุทธรณ์ของจําเลยฟังขึ้นบางส่วน อนึ่ง คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๙ จําเลยเคยต้องคําพิพากษา ถึงที่สุดให้ลงโทษจําคุก ๔ เดือน ๑๕ วัน ฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ (พืชกระท่อม) ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๙๔๑/๒๕๕๙ ของศาลจังหวัดอ่างทอง จําเลยพ้นโทษวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ ภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จําเลยกระทําความผิดคดีนี้ ขอให้เพิ่มโทษจําเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ และศาลชั้นต้นได้เพิ่มโทษจําเลยตามขอ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งใช้บังคับวันที่


๒๘ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๔ มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความใน (๕) ของวรรคหนึ่ง ของมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔ ถึงมาตรา ๘ ให้ยกเลิกมาตรา ๕๘/๒, วรรคสาม ของมาตรา ๗๕, วรรคสอง ของมาตรา ๗๖, วรรคสาม และวรรคสี่ ของมาตรา ๗๖/๑ และวรรคสอง ของมาตรา ๙๒ ตามลําดับ ซึ่งมีผลให้การผลิตพืชกระท่อมเพื่อจําหน่ายไม่เป็นความผิด อันเป็นกรณีบทบัญญัติ ของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระทําเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้ที่ได้กระทําการนั้น พ้นจากการเป็นผู้กระทําความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคสอง จําเลย จึงไม่มีความผิดฐานผลิตพืชกระท่อมเพื่อจําหน่าย แม้ต่อมามีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมาย ยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๖๔ มาตรา ๔ (๑๒) ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๔ แต่ไม่มีผลต่อการบังคับใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้อยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายยาเสพติด ใช้บังคับ ดังนั้น กรณีจึงไม่อาจนําความผิดฐานผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ (พืชกระท่อม) ตามคําฟ้องมาเป็นเหตุเพิ่มโทษจําเลยได้ ที่ศาลชั้นต้นเพิ่มโทษจําเลยมานั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีอํานาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย และแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษสําหรับความผิดฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้าย รับอันตรายสาหัส จําคุก ๓ ปี ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จําคุก ๖ เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จําคุก ๖ เดือน จําเลยให้การรับสารภาพฐานมีและพา อาวุธปืน ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่น ซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจําคุก ๓ เดือน ฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจําคุก ๓ เดือน รวม ๓ กระทง คงจําคุก ๓ ปี ๖ เดือน ยกคําขอให้เพิ่มโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ วัชระ สินจังหรีด – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๒๙ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๒๕๑/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๕๑/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๒๔/๒๕๖๕) พนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โจทก์ นางสาว ก. กับพวก จําเลย ป.อ. นับโทษจําคุกต่อจากคดีอื่น มาตรา ๒๒ ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น จําเลยที่ ๒ ยอมรับข้อเท็จจริงในเรื่องที่ว่าจําเลยที่ ๒ เป็นบุคคล คนเดียวกับจําเลยในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ ๒๒๐/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้น ทั้งความปรากฏ ในชั้นอุทธรณ์ตามอุทธรณ์ของโจทก์ ซึ่งสอดคล้องกับสําเนาคําพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวว่า คดีอาญาหมายเลขดําที่ อ ๒๒๐/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้นนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเป็นคดีอาญา หมายเลขแดงที่ อ ๓๐๙/๒๕๖๕ ให้ลงโทษจําคุกจําเลยมีกําหนด ๓ ปี เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏ ต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ กรณีจึงชอบที่จะนับโทษจําคุกของจําเลยที่ ๒ ในคดีนี้ต่อจากโทษจําคุก ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๓๐๙/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้น ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ ให้นับโทษ จําเลยที่ ๑ ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๕๗๔/๒๕๖๔, อ ๖๗๐/๒๕๖๔, อ ๖๗๑/๒๕๖๔ ของศาลชั้นต้น และคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ ๓๑๘/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้น และให้นับโทษจําเลยที่ ๒ ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ ๒๒๐/๒๕๖๕, อ ๓๒๐/๒๕๖๕, อ ๓๒๑/๒๕๖๕, อ ๓๒๒/๒๕๖๕ และ อ ๓๑๘/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้น ให้จําเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน ๗๓,๙๗๐.๗๒ บาท แก่ผู้เสียหาย จําเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลยในคดีที่โจทก์ ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) (๗) วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ, ๘๓ จําคุกคนละ ๕ ปี จําเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุกคนละ ๒ ปี ๖ เดือน ให้นับโทษจําคุกจําเลยที่ ๑ คดีนี้ ต่อจากโทษจําคุกจําเลยที่ ๑ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๕๗๗/๒๕๖๔ (ที่ถูก อ ๕๗๔/๒๕๖๔) คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๖๗๐/๒๕๖๔ และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๓๒๒/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้น และให้นับโทษจําคุกจําเลยที่ ๒ ต่อจากโทษจําคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๓๒๒/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้น และให้จําเลยทั้งสอง ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน ๗๓,๙๗๐.๗๒ บาท แก่ผู้เสียหาย


๓๐ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ว่า ในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ ๒๒๐/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้น นั้น ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาแล้วในวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๕ ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๓๐๙/๒๕๖๕ จึงต้องนับโทษจําเลยที่ ๒ คดีนี้ ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น จําเลยที่ ๒ ยอมรับข้อเท็จจริง ในเรื่องที่ว่าจําเลยที่ ๒ เป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลยในคดีอาญาหมายเลขดําที่ อ ๒๒๐/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้นทั้งความปรากฏในชั้นอุทธรณ์ตามอุทธรณ์ของโจทก์ ซึ่งสอดคล้องกับสําเนาคําพิพากษา ของศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวตามหนังสือที่ ศย ๓๐๑.๐๑๖/(ค) ๑๔๕๕๒ ว่า คดีอาญาหมายเลขดําที่ อ ๒๒๐/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้นนั้น ศาลชั้นต้นได้มีคําพิพากษาเป็นคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๓๐๙/๒๕๖๕ ให้ลงโทษจําคุกจําเลยมีกําหนด ๓ ปี เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ กรณีจึงชอบ ที่จะนับโทษจําคุกของจําเลยที่ ๒ ในคดีนี้ต่อจากโทษจําคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๓๐๙/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น อนึ่ง สําหรับคดีอาญาอื่นตามฟ้องที่โจทก์มีคําขอให้นับโทษต่อด้วย แต่ศาลชั้นต้นไม่ให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นต้องมีคําสั่งส่วนนี้ให้ครบถ้วน เมื่อไม่มีคําสั่งจึงเป็นการไม่ชอบและเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง พิพากษาแก้เป็นว่า นับโทษจําคุกของจําเลยที่ ๒ ต่อจากโทษจําคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ ๓๐๙/๒๕๖๕ ของศาลชั้นต้น ให้ยกคําขอของโจทก์ในคดีที่ศาลชั้นต้นไม่นับโทษต่อ นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ วัชระ สินจังหรีด – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๓๑ คดีอาญา พ.ศ. ๒๕๖๖


๓๒


๓๓ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๒๗๘/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๕๐/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๖) พนักงานอัยการจังหวัดสระบุรี โจทก์ นาย จ. จําเลย ป.อ. ลดโทษ (เพิ่มโทษ) รอการลงโทษ มาตรา ๕๕, ๕๖ ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของจําเลยระบุว่าจําเลยเคยต้องโทษจําคุกมาก่อน ซึ่งจําเลย มิได้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจดังกล่าวว่า คดีที่จําเลยกระทําความผิดมาก่อนนั้นศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจําคุกจําเลยเกินกว่า ๖ เดือน สําหรับการกระทําความผิดที่ไม่ใช่การกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ และพ้นโทษมา ยังไม่เกินกว่า ๕ ปี ในขณะที่กระทําความผิดในคดีนี้ จึงไม่อาจรอการลงโทษจําคุกให้จําเลยได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ในขณะเกิดเหตุคดีนี้ฝนตกถนนย่อมมีความลื่น ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ ตามหลังรถแทรกเตอร์ที่จําเลยขับมาและชนท้ายรถแทรกเตอร์ที่จําเลยขับ แรงกระแทกของรถทั้งสองคัน ในลักษณะที่ตามกันมาเช่นนี้ย่อมน้อยกว่าแรงกระแทกที่เกิดจากการขับรถสวนทางกัน และความเร็ว ของรถคันหลังย่อมต้องมากกว่ารถคันหน้าจึงทําให้รถคันหลังตามทันและชนกับท้ายรถคันหน้า ทั้งภายหลังเกิดเหตุจําเลยก็พยายามหาเงินมาชดใช้แก่ทายาทของผู้ตาย เพื่อบรรเทาผลร้ายตามกําลัง ของจําเลยอย่างเต็มที่ ประกอบกับจําเลยประกอบอาชีพโดยสุจริต ไม่เคยมีพฤติกรรมเป็นนักเลงอันธพาล การลงโทษจําคุกจําเลยที่หนักเกินไปย่อมไม่มีประโยชน์และอาจส่งผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อการ ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของสังคมต่อไป จึงให้ลงโทษจําคุกจําเลย ๖ เดือน และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อลดโทษจําคุกให้จําเลยกึ่งหนึ่ง ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ แล้ว คงจําคุก ๓ เดือน และปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท กรณีจึงต้องด้วย ป.อ. มาตรา ๕๕ ที่บัญญัติว่า ถ้าโทษจําคุกที่ผู้กระทําความผิดจะต้องรับ มีกําหนดเวลา เพียงสามเดือนหรือน้อยกว่า ... และมีโทษปรับด้วย ... ศาลจะกําหนดโทษจําคุกให้น้อยลง หรือจะยกโทษ จําคุกเสียคงให้ปรับแต่อย่างเดียวก็ได้ เห็นควรยกโทษจําคุก คงให้ลงโทษปรับเพียงอย่างเดียว ตาม ป.อ. มาตรา ๕๕ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๑, ๑๕, ๔๓, ๑๔๘, ๑๕๒, ๑๕๗ จําเลยให้การรับสารภาพ


๓๔ ระหว่างพิจารณานาย พ. บิดาผู้ตาย และนางสาว ล. ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิง บ. ผู้เยาว์ ยื่นคําร้องขอให้บังคับจําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๓,๖๑๘,๐๐๐ บาท และ ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามลําดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ จําเลยไม่ได้ให้การในส่วนแพ่ง ต่อมาผู้ร้องทั้งสองขอถอนคําร้อง ศาลชั้นต้นมีคําสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ พระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๑, ๑๕ วรรคหนึ่ง, ๔๓ (๔), ๑๔๘ (ที่ถูก มาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง), ๑๕๒, ๑๕๗ การกระทําของจําเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จําคุก ๓ ปี จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๑ ปี ๖ เดือน จําเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จําเลย เคยต้องโทษจําคุกและไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจําคุก ศาลจะยกโทษจําคุกให้จําเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๕ ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของจําเลย ระบุว่าจําเลยเคยต้องโทษจําคุกมาก่อน ซึ่งจําเลยมิได้ปฏิเสธความถูกต้องแท้จริงจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจดังกล่าวว่า คดีที่จําเลยกระทําความผิดมาก่อนนั้นศาลชั้นต้นพิพากษา ลงโทษจําคุกจําเลยเกินกว่า ๖ เดือน สําหรับการกระทําความผิดที่ไม่ใช่การกระทําโดยประมาทหรือ ความผิดลหุโทษ และพ้นโทษมายังไม่เกินกว่า ๕ ปี ในขณะที่กระทําความผิดในคดีนี้ จึงไม่อาจรอการลงโทษ จําคุกให้จําเลยได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ในขณะเกิดเหตุคดีนี้ฝนตกถนนย่อมมี ความลื่น ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ตามหลังรถแทรกเตอร์ที่จําเลยขับมาและชนท้ายรถแทรกเตอร์ ที่จําเลยขับ แรงกระแทกของรถทั้งสองคันในลักษณะที่ตามกันมาเช่นนี้ย่อมน้อยกว่าแรงกระแทก ที่เกิดจากการขับรถสวนทางกัน และความเร็วของรถคันหลังย่อมต้องมากกว่ารถคันหน้าจึงทําให้รถคันหลัง ตามทันและชนกับท้ายรถคันหน้า ทั้งภายหลังเกิดเหตุจําเลยก็พยายามหาเงินมาชดใช้แก่ทายาท ของผู้ตาย เพื่อบรรเทาผลร้ายตามกําลังของจําเลยอย่างเต็มที่ ประกอบกับจําเลยประกอบอาชีพโดยสุจริต ไม่เคยมีพฤติกรรมเป็นนักเลงอันธพาล การลงโทษจําคุกจําเลยที่หนักเกินไปย่อมไม่มีประโยชน์ และอาจส่งผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ต่อการปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีของสังคมต่อไป จึงให้ลงโทษจําคุก จําเลย ๖ เดือน และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท เมื่อลดโทษจําคุกให้จําเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แล้ว คงจําคุก ๓ เดือน และปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๕ ที่บัญญัติว่า ถ้าโทษจําคุกที่ผู้กระทําความผิดจะต้องรับ มีกําหนดเวลาเพียงสามเดือน หรือน้อยกว่า ... และมีโทษปรับด้วย ... ศาลจะกําหนดโทษจําคุกให้น้อยลง หรือจะยกโทษจําคุกเสีย คงให้ปรับแต่อย่างเดียวก็ได้ เห็นควรยกโทษจําคุก คงให้ลงโทษปรับเพียงอย่างเดียวตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๕๕


๓๕ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจําคุก ๖ เดือน และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๓ เดือน และปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท ให้ยกโทษจําคุกเสีย คงปรับจําเลยแต่อย่างเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๕ ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ ศิโรรัตน์ อินทฤทธิ์ – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๓๖ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๓๙๘/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๗๙๘/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๖) พนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรี โจทก์ นาย อ. จําเลย ป.อ. ความผิดหลายบท หลายกรรมต่างกัน มาตรา ๙๐, ๙๑ การพิจารณาว่าการกระทําเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันนั้น มิใช่จะพิจารณาแต่เพียง ถ้าเป็นการกระทําความผิดหลายฐานในครั้งเดียวคราวเดียวแล้วจะต้องเป็นกรรมเดียวเสมอไป การกระทําความผิดหลายฐานในครั้งเดียวคราวเดียวอาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้หากผู้กระทํามีเจตนา ที่จะให้เกิดผลต่างกันหรือประสงค์ให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐาน ดังนั้น เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จําเลยโดยมีอาวุธมีดปลายแหลมบุกรุกเข้าไปภายในหอพัก อันเป็นเคหสถาน ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายที่ ๑ โดยไม่มีเหตุอันสมควร และทําให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหายที่ ๑ แล้ว จําเลยโดยมีอาวุธมีดดังกล่าวบุกรุกเข้าไปภายในห้องพักหมายเลข ๗ ของหอพักเดียวกัน อันเป็นเคหสถาน ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายที่ ๒ โดยไม่มีเหตุอันสมควร แล้วทําให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหายที่ ๒ กับทําร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ ๒ ได้รับอันตรายแก่กาย และผู้เสียหาย ที่ ๓ ได้รับอันตรายสาหัส เห็นได้ว่าการที่จําเลยโดยมีอาวุธมีดปลายแหลมบุกรุกเข้าไปในหอพักซึ่งเป็น เคหสถานของผู้เสียหายที่ ๑ แล้วทําให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหายที่ ๑ ถือได้ว่าเป็นความผิดสําเร็จไปแล้ว การที่ต่อมาจําเลยโดยมีอาวุธมีดดังกล่าวบุกรุกเข้าไปภายในห้องพักหมายเลข ๗ ซึ่งเป็นเคหสถาน ของผู้เสียหายที่ ๒ แล้วทําให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหายที่ ๒ อีก กับทําร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๒ และที่ ๓ ถือได้ว่าจําเลยมีเจตนากระทําความผิดแยกต่างหากจากเจตนาบุกรุกและทําให้เสียทรัพย์ในตอนแรกได้ การกระทําของจําเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๙๒, ๒๙๕, ๒๙๗, ๓๕๘, ๓๖๔, ๓๖๕, ๓๗๑ และเพิ่มโทษจําเลยหนึ่งในสาม จําเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจําเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕, ๒๙๗ (๘), ๓๕๘, ๓๖๕ (๑) (๒) (๓) ประกอบมาตรา ๓๖๔, ๓๗๑ การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ ๑,๐๐๐ บาท ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ ฐานทําให้เสียทรัพย์ ฐานทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ กับฐานทําร้าย


๓๗ ร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับอันตรายสาหัส เป็นการกระทํากรรมเดียวเป็นความผิด ต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับอันตรายสาหัส ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จําคุก ๒ ปี เพิ่มโทษ หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ เป็น จําคุก ๒ ปี ๘ เดือน จําเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๑ ปี ๔ เดือน และปรับ ๕๐๐ บาท หากไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า การพิจารณาว่าการกระทํา เป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันนั้น มิใช่จะพิจารณาแต่เพียงถ้าเป็นการกระทําความผิดหลายฐาน ในครั้งเดียวคราวเดียวแล้วจะต้องเป็นกรรมเดียวเสมอไป การกระทําความผิดหลายฐานในครั้งเดียว คราวเดียวอาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้หากผู้กระทํามีเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกันหรือประสงค์ให้เกิดผล เป็นความผิดหลายฐาน ดังนั้น เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จําเลยโดยมีอาวุธมีด ปลายแหลมบุกรุกเข้าไปภายในหอพัก อันเป็นเคหสถานซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายที่ ๑ โดยไม่มีเหตุ อันสมควร และทําให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหายที่ ๑ แล้วจําเลยโดยมีอาวุธมีดดังกล่าวบุกรุกเข้าไปภายในห้องพัก หมายเลข ๗ ของหอพักเดียวกัน อันเป็นเคหสถานซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายที่ ๒ โดยไม่มีเหตุ อันสมควร แล้วทําให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหายที่ ๒ กับทําร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเหตุให้ ผู้เสียหายที่ ๒ ได้รับอันตรายแก่กาย และผู้เสียหายที่ ๓ ได้รับอันตรายสาหัส เห็นได้ว่าการที่จําเลย โดยมีอาวุธมีดปลายแหลมบุกรุกเข้าไปในหอพักซึ่งเป็นเคหสถานของผู้เสียหายที่ ๑ แล้วทําให้เสียทรัพย์ ของผู้เสียหายที่ ๑ ถือได้ว่าเป็นความผิดสําเร็จไปแล้ว การที่ต่อมาจําเลยโดยมีอาวุธมีดดังกล่าวบุกรุก เข้าไปภายในห้องพักหมายเลข ๗ ซึ่งเป็นเคหสถานของผู้เสียหายที่ ๒ แล้วทําให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหาย ที่ ๒ อีก กับทําร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๒ และที่ ๓ ถือได้ว่าจําเลยมีเจตนากระทําความผิดแยกต่างหาก จากเจตนาบุกรุกและทําให้เสียทรัพย์ในตอนแรกได้ การกระทําของจําเลยจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ตามคําฟ้องข้อ ๑.๒ ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและ ฐานทําให้เสียทรัพย์เป็นการกระทํากรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานบุกรุก เคหสถานในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จําคุก ๖ เดือน ตามคําฟ้องข้อ ๑.๓ ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กําลัง ประทุษร้ายโดยมีอาวุธ ฐานทําให้เสียทรัพย์ ฐานทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับอันตรายสาหัสเป็นการกระทํากรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้าย รับอันตรายสาหัส ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จําคุก ๒ ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ เป็นจําคุก ๘ เดือน ฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับอันตรายสาหัส เป็นจําคุก ๒ ปี ๘ เดือน ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ฐานบุกรุก เคหสถานในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ คงจําคุก ๔ เดือน ฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้าย


๓๘ รับอันตรายสาหัส คงจําคุก ๑ ปี ๔ เดือน รวมจําคุก ๑ ปี ๘ เดือน เมื่อรวมกับโทษฐานพาอาวุธมีด ไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น คงจําคุก ๑ ปี ๘ เดือน และปรับ ๕๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ ปัณณพร สมทบสุข – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๓๙ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๓๘๔/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๙๙๕/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๖) พนักงานอัยการจังหวัดธัญบุรี โจทก์ นาย ส. จําเลย พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๒ (๒), ๑๖๐ ตรี วรรคหนึ่ง แม้จําเลยในคดีนี้ยังไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ แต่เคยมีใบอนุญาตขับรถยนต์และ ขาดต่อใบอนุญาต เมื่อกระทําความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๒ (๒) ศาลก็ สามารถสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับรถหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๖๐ ตรี วรรคหนึ่ง ได้ ซึ่งการที่มาตรา ๑๖๐ ตรี วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับ ขี่ผู้นั้นมีกําหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ก็เพื่อให้มีผลถึงคุณสมบัติของจําเลยใน การขอใบอนุญาตขับขี่ และเห็นควรให้สั่งอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะต่างก็มีผลถึงคุณสมบัติในการขอ ใบอนุญาตขับขี่รถของจําเลยดังกล่าว เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีการที่จําเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ ในขณะเมาสุราอาจก่อให้เกิดภยันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่นซึ่งเป็นพฤติการณ์ ที่ขาดความรับผิดชอบต่อสาธารณชน จึงเห็นควรให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๒), ๑๖๐ ตรี พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๒, ๖๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ และสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ของจําเลยมีกําหนดไม่น้อยกว่า ๖ เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ รถยนต์ของจําเลย จําเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๒), ๑๖๐ ตรี วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๒ (ที่ถูก มาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง), ๖๔ การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทง ความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ปรับ ๑,๐๐๐ บาท ฐานขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น จําคุก ๔ เดือน และปรับ ๘,๐๐๐ บาท รวมจําคุก ๔ เดือน ปรับ ๙,๐๐๐ บาท จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๒ เดือน ปรับ ๔,๕๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกําหนด ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ให้คุมความประพฤติจําเลยมีกําหนด ๑ ปี


๔๐ ระยะเวลาคุมความประพฤติให้จําเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ๔ ครั้ง และทํางานบริการ สังคม ๑๒ ชั่วโมง หากจําเลยไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า การขอใบอนุญาตขับรถทุกประเภท ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๖ และมาตรา ๔๗ กล่าวคือ บุคคลใด จะขอใบอนุญาตขับรถจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๔๗ ประกอบมาตรา ๔๖ แห่งพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งลักษณะต้องห้ามประการหนึ่งคือต้องไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่าง ถูกยึดหรือพักใช้ใบอนุญาตขับรถตามมาตรา ๔๖ (๘) และไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ ตามมาตรา ๔๖ (๙) แสดงว่าบุคคลที่ยังไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถและขอมีใบอนุญาตขับรถ เป็นครั้งแรกก็อาจเป็นบุคคลที่ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ได้ หรืออาจเป็นบุคคลที่เคยได้รับอนุญาต ขับรถแต่ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับรถได้ ซึ่งจะกลายเป็นบุคคลที่ต้องห้ามมิให้ได้รับใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมาย ดังนั้น แม้จําเลยในคดีนี้ยังไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ แต่เคยมีใบอนุญาต ขับรถยนต์และขาดต่อใบอนุญาต เมื่อกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๒ (๒) ศาลก็สามารถสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับรถหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถตามพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๖๐ ตรี วรรคหนึ่ง ได้ ซึ่งการที่มาตรา ๑๖๐ ตรี วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ผู้นั้นมีกําหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ก็เพื่อให้มีผลถึงคุณสมบัติของจําเลยในการขอใบอนุญาตขับขี่ และมติของที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นควรให้สั่งอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะต่างก็มีผลถึงคุณสมบัติในการขอใบอนุญาตขับขี่รถของจําเลย ดังกล่าว เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีการที่จําเลยขับขี่รถจักรยานยนต์ในขณะเมาสุราอาจก่อให้เกิด ภยันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินทั้งต่อตนเองและบุคคลอื่นซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ขาดความรับผิดชอบ ต่อสาธารณชน จึงเห็นควรให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ที่ศาลชั้นต้นไม่พักใช้ใบอนุญาตขับขี่หรือเพิกถอน ใบอนุญาตขับขี่ของจําเลยนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจําเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ ปัณณพร สมทบสุข – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๔๑ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๕๔๘/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๕๕๗/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๗/๒๕๖๖) พนักงานอัยการคดีศาลแขวงสระบุรี โจทก์ นาย ท. จําเลย ป.อ. ดูหมิ่นซึ่งหน้า มาตรา ๓๙๓ ป.วิ.อ. ผู้เสียหาย มาตรา ๒ (๔) ข้อความที่ว่า “ตอนเปิดศูนย์พักคอยถ่ายรูปเอาหน้ากันเพียบ ตอนปิดไม่เห็นมีหมาตัวไหนมาเก็บ วันออกพรรษา วันทอดกฐิน แทนที่ชาวบ้านจะได้ทําบุญศาลาใหญ่ เค้าบอกว่าเอาไว้รอละลอกใหม่ มันเป็นความคิดที่โคตรเฮงซวยที่สุด คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว” ประกอบภาพถ่ายศาลาการเปรียญ วัด ต. และภาพถ่ายศูนย์พักคอยผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาหรือโควิด ๑๙ ตําบล ต. และภาพถ่ายคณะบุคคล ประกอบข้อความว่า “ศูนย์พักคอยตําบล ต. ขอขอบพระคุณทุกท่าน ทุกหน่วยงาน ที่ให้การสนับสนุน น้ําดื่มให้กับศูนย์พักคอยตําบล ต. เพื่อรองรับและช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด ๑๙ (สีเขียว) ที่ต้องมาพัก ณ ศูนย์พักคอยตําบล ต. เพื่อที่จะรอรับการบริการเตียงจากโรงพ ...” เป็นข้อความและรูปภาพ ที่ล้วนสื่อความหมายถึงตัวบุคคล มิได้สื่อความหมายถึงองค์การบริหารส่วนตําบล ต. ผู้เสียหาย แม้จะมีข้อความเกี่ยวกับศูนย์พักคอยผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาหรือโควิด ๑๙ ตําบล ต. ก็ตาม ก็ยังรับฟังไม่ได้ ว่าองค์การบริหารส่วนตําบล ต. เป็นผู้เสียหาย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒ (๔) โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้อง ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ จําเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ ของโจทก์ว่า จําเลยกระทําความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณาหรือไม่ เห็นว่า ข้อความที่ว่า “ตอนเปิดศูนย์พักคอยถ่ายรูปเอาหน้ากันเพียบ ตอนปิดไม่เห็นมีหมาตัวไหนมาเก็บ วันออกพรรษา วันทอดกฐิน แทนที่ชาวบ้านจะได้ทําบุญศาลาใหญ่ เค้าบอกว่าเอาไว้รอละลอกใหม่ มันเป็นความคิด ที่โคตรเฮงซวยที่สุด คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว” ประกอบภาพถ่ายศาลาการเปรียญวัด ต. และ ภาพถ่ายศูนย์พักคอยผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาหรือโควิด ๑๙ ตําบล ต. และภาพถ่ายคณะบุคคล ประกอบข้อความว่า “ศูนย์พักคอยตําบล ต. ขอขอบพระคุณทุกท่าน ทุกหน่วยงาน ที่ให้การสนับสนุนน้ําดื่ม


๔๒ ให้กับศูนย์พักคอยตําบล ต. เพื่อรองรับและช่วยเหลือผู้ติดเชื้อโควิด ๑๙ (สีเขียว) ที่ต้องมาพัก ณ ศูนย์พักคอยตําบล ต. เพื่อที่จะรอรับการบริการเตียงจากโรงพ ...” เป็นข้อความและรูปภาพ ที่ล้วนสื่อความหมายถึงตัวบุคคล มิได้สื่อความหมายถึงองค์การบริหารส่วนตําบล ต. ผู้เสียหาย แม้จะมีข้อความเกี่ยวกับศูนย์พักคอยผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาหรือโควิด ๑๙ ตําบล ต. ก็ตาม พยานหลักฐาน ที่โจทก์นําสืบมาจึงยังไม่พอฟังว่าองค์การบริหารส่วนตําบล ต. เป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ------------------------------ วัชระ สินจังหรีด – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๔๓ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๘๗๘/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๖๗๙/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๘/๒๕๖๖) พนักงานอัยการจังหวัดสระบุรี โจทก์ นาย ส. จําเลย ป.อ. ลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ มาตรา ๙๑, ๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ คําว่า “ยานพาหนะ” มีความหมายว่า วัตถุที่เป็นเครื่องนําไป เครื่องขับขี่ สัตว์สําหรับขี่บรรทุกหรือลากเข็น ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการนําไปหรือ เคลื่อนย้ายไปจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นทั้งคนหรือสิ่งของ โดยไม่จํากัดเฉพาะเจาะจงว่า การเคลื่อนที่ การย้าย หรือเครื่องที่นําไปนั้นใช้พลังงานแบบใด การที่จําเลยนํารถเข็นมาใช้ในที่เกิดเหตุ ขณะที่จําเลยลักเอาป้ายเป้าสะท้อนแสง ๑๐ แผ่น ที่ติดตั้งอยู่กับราวสะพานริมถนน โดยจําเลยนําป้ายเป้า สะท้อนแสงของกลางใส่บรรทุกลงในรถเข็นนั้น จําเลยนํารถเข็นมาใช้โดยมีวัตถุประสงค์ที่ใช้รถเข็น บรรทุกนําพาป้ายเป้าสะท้อนแสงของกลางเคลื่อนย้ายไปจากที่เกิดเหตุ ถือว่ารถเข็นเป็นเครื่องนําทรัพย์ ของกลางออกจากที่เกิดเหตุ เป็นเครื่องใช้ในการเคลื่อนย้ายสิ่งของ จึงถือว่ารถเข็นเป็นยานพาหนะ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๖ ทวิ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ ประมวล กฎหมายยาเสพติด มาตรา ๑๐๔, ๑๖๒ จําเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๐) วรรคแรก ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา ๑๐๔, ๑๖๒ การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานลักทรัพย์ที่ใช้หรือ มีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ จําคุก ๑ ปี และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จําคุก ๒ เดือน และปรับ ๔,๐๐๐ บาท จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๗ เดือน และปรับ ๑๒,๐๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด ๒ ปี และคุมความประพฤติของจําเลยไว้ ๑ ปี ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์


๔๔ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การกระทําของจําเลย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖ ทวิ หรือไม่ เห็นว่า ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ คําว่า “ยานพาหนะ” หมายความว่า ยานต่าง ๆ มีรถและเรือ เป็นต้น คําว่า “ยาน” หมายความว่า เครื่องนําไป, พาหนะต่าง ๆ เช่น รถ เกวียน เรือ มักใช้เข้าคู่ กับคําว่า “พาหนะ” เป็น “ยานพาหนะ” ส่วนคําว่า “พาหนะ” ให้หมายความว่า เครื่องนําไป, เครื่องขับขี่, สัตว์สําหรับขี่บรรทุกหรือลากเข็นมี ช้าง ม้า โค กระบือเป็นต้น เรียกว่า สัตว์พาหนะ ยานต่าง ๆ มีรถ และเรือ เป็นต้น เรียกว่า “ยานพาหนะ” ไม่ได้มีการระบุว่าลักษณะของยานพาหนะจะต้องเป็นวัตถุที่สร้างขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการอํานวยความสะดวกในการเคลื่อนที่ของคนหรือสิ่งของด้วยตัวของวัตถุนั้นเอง โดยต้องมีกลไกเพื่ออํานวยความสะดวกในการเคลื่อนที่ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แต่อย่างใด คําว่า “ยานพาหนะ” จึงมีความหมายว่า วัตถุที่เป็นเครื่องนําไป เครื่องขับขี่ สัตว์สําหรับขี่บรรทุกหรือลากเข็น ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการนําไปหรือเคลื่อนย้ายไปจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นทั้งคนหรือสิ่งของ โดยไม่จํากัดเฉพาะเจาะจงว่าการเคลื่อนที่ การย้าย หรือเครื่องที่นําไปนั้นใช้พลังงานแบบใด จึงต้องถือว่า รถเข็นที่จําเลยนํามาใช้ในที่เกิดเหตุขณะที่จําเลยลักเอาป้ายเป้าสะท้อนแสง ๑๐ แผ่น ที่ติดตั้ง อยู่กับราวสะพานริมถนน โดยจําเลยนําป้ายเป้าสะท้อนแสงของกลางใส่บรรทุกลงในรถเข็นนั้น จําเลยนํารถเข็น มาใช้โดยมีวัตถุประสงค์ที่ใช้รถเข็นบรรทุกนําพาป้ายเป้าสะท้อนแสงของกลางเคลื่อนย้ายไปจากที่เกิดเหตุ ถือว่ารถเข็นเป็นเครื่องนําทรัพย์ของกลางออกจากที่เกิดเหตุ เป็นเครื่องใช้ในการเคลื่อนย้ายสิ่งของ จึงถือว่า รถเข็นเป็นยานพาหนะ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๖ ทวิ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๐) วรรคแรก, ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา ๑๐๔, ๑๖๒ ฐานลักทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้ เพื่อสาธารณประโยชน์ จําคุก ๑ ปี ๖ เดือน และปรับ ๓๐,๐๐๐ บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่งแล้ว คงจําคุก ๙ เดือน และปรับ ๑๕,๐๐๐ บาท เมื่อรวมกับโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีน ตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นจําคุก ๑๐ เดือน และปรับ ๑๗,๐๐๐ บาท การรอการลงโทษและ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ ศรัญญา เมณกูล – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๔๕ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๘๓๔/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๖๘๐/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๘/๒๕๖๖) พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี โจทก์ นาย ส. จําเลย ป.อ. ลักทรัพย์โดยมีเหตุฉกรรจ์ มาตรา ๓๓๕ ป.วิ.พ. ข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้น มาตรา ๒๒๕ วรรคแรก ป.วิ.อ. นําบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาใช้ มาตรา ๑๕ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจําเลยสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นการกระทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็น หรือจําหน้าได้อันเป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ และจําเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนั้นที่จําเลยอุทธรณ์ว่า การที่จําเลยสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นการกระทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็น หรือจําหน้าได้อันเป็นความผิด ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ (๕) หรือไม่นั้น จึงไม่อาจอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริง เป็นอย่างอื่นให้ขัดกับคําให้การรับสารภาพได้ อุทธรณ์ของจําเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ ในศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจําเลยในข้อนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๓๕ จําเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) (๕) วรรคสอง และมาตรา ๓๓๕ (๕) วรรคแรก การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม เป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและกระทํา ด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจําหน้าได้ จําคุก ๑ ปี ฐานลักทรัพย์โดยกระทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็น หรือจําหน้าได้ จําคุก ๖ เดือน รวมจําคุก ๑ ปี ๖ เดือน จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ให้กึ่งหนึ่ง คงจําคุก ๙ เดือน จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจําเลยในประการแรกว่า การที่จําเลยสวมใส่หน้ากากอนามัยเป็นการกระทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจําหน้าได้ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๕) หรือไม่นั้น เห็นว่า คดีนี้จําเลยให้การ รับสารภาพตามฟ้อง จึงไม่อาจอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นให้ขัดกับคําให้การรับสารภาพได้ อุทธรณ์ของจําเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจําเลย


๔๖ ในข้อนี้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่รับวินิจฉัย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจําเลยประการที่สองว่า กรณีมีเหตุสมควรลงโทษสถานเบา กว่าที่ศาลชั้นต้นกําหนดหรือไม่ เห็นว่า ความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและกระทําด้วยประการอื่น เพื่อไม่ให้เห็นหรือจําหน้าได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) (๕) วรรคสอง ระวางโทษจําคุก ตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท ที่ศาลชั้นต้นวางโทษ ก่อนลดโทษจําคุก ๑ ปี เป็นขั้นต่ําสุดตามที่กฎหมายกําหนดแล้ว ส่วนอีกความผิดฐานหนึ่งศาลชั้นต้น วางโทษจําคุก ๖ เดือน ไม่มีเหตุที่จะลดโทษได้อีก อุทธรณ์ของจําเลยฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจําเลยในประการสุดท้ายว่า มีเหตุสมควรที่จะรอการกําหนดโทษ หรือรอการลงโทษจําคุกให้แก่จําเลยหรือไม่ เห็นว่า ทรัพย์ที่จําเลยลักเอาไปนั้นเป็นเพียงน้ํามันพืช รวมมูลค่าความเสียหาย เป็นเงิน ๙๕๕ บาท ประกอบกับผู้เสียหายได้ทรัพย์คืนไปทั้งหมดโดยไม่ปรากฏ ความเสียหายอื่น ทั้งขณะเกิดเหตุอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) กําลังระบาดอย่างหนักอาจทําให้ประชาชนเกิดความยากลําบากในการทํามาหากิน ไม่ปรากฏว่าจําเลยมีพฤติการณ์ที่จะนําไปสู่การกระทําความผิดอื่น ทั้งจําเลยไม่เคยได้รับโทษจําคุกมาก่อน ประกอบกับได้ความจากอุทธรณ์ของจําเลยโดยโจทก์มิได้โต้แย้งว่าปัจจุบันจําเลยประกอบอาชีพสุจริต มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งและเป็นกําลังหลักของครอบครัว โทษตามคําพิพากษาศาลชั้นต้นก็เป็นโทษจําคุก ระยะสั้นนอกจากจะไม่เกิดผลในการแก้ไขฟื้นฟูจําเลยแล้ว ยังส่งผลให้จําเลยต้องมีประวัติเสื่อมเสีย เมื่อพ้นโทษแล้วยากที่จะประกอบสัมมาชีพโดยสุจริตต่อไปได้ย่อมส่งผลต่อสังคมโดยรวม การให้โอกาส จําเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษจําคุกไว้น่าจะเป็นผลดีแก่จําเลยและสังคมส่วนรวมมากกว่า ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจําคุกให้แก่จําเลยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อุทธรณ์ของจําเลยฟังขึ้น แต่เพื่อให้จําเลยหลาบจําจึงให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง และเพื่อให้มั่นใจ ว่าจําเลยจะสามารถแก้ไขฟื้นฟูตนเองได้โดยไม่หวนกลับไปกระทําความผิดอีก จึงให้คุมความประพฤติ ของจําเลยไว้ด้วย อนึ่ง ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๕) วรรคแรก ระวางโทษจําคุก ตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท ที่ศาลชั้นต้นวางโทษก่อนลดโทษ ให้จําคุก ๖ เดือน เป็นการวางโทษที่ต่ํากว่ากฎหมายกําหนด แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จึงไม่อาจแก้ไขโทษให้ถูกต้องได้เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจําเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๒ พิพากษาแก้เป็นว่า จําเลยมีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) (๕) วรรคสอง และมาตรา ๓๓๕ (๕) วรรคแรก การกระทําของจําเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษ ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และกระทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจําหน้าได้ จําคุก ๑ ปี และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท ฐานลักทรัพย์โดยกระทําด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจําหน้าได้ จําคุก ๖ เดือน และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท รวมจําคุก ๑ ปี ๖ เดือน และปรับ ๔๐,๐๐๐ บาท จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจําคุก ๙ เดือน และปรับ ๒๐,๐๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด ๒ ปี คุมความประพฤติจําเลยไว้มีกําหนด ๒ ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ให้จําเลยฟัง


Click to View FlipBook Version