The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือรวมย่อข้อกฎหมายจากคำพิพากษาที่วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เล่ม ๒

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by iprd.pic, 2024-03-28 05:51:38

หนังสือรวมย่อข้อกฎหมายจากคำพิพากษาที่วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เล่ม ๒

หนังสือรวมย่อข้อกฎหมายจากคำพิพากษาที่วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เล่ม ๒

๙๗ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ทวงถามให้จําเลยทั้งสองชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระ พร้อมทั้งค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายจากการผิดสัญญาภายในกําหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากพ้นกําหนดแล้ว ไม่ชําระให้ถือเอาหนังสือฉบับนี้เป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันที เมื่อโจทก์มีหนังสือดังกล่าวส่งไปให้ แก่จําเลยทั้งสองและจําเลยทั้งสองได้รับแล้ว เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ แต่จําเลยทั้งสองมิได้ชําระ ค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระภายในกําหนด ถือได้ว่าจําเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาเพราะเหตุที่โจทก์ใช้สิทธิ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยมีหนังสือบอกกล่าวให้จําเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อทราบโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าซื้อ ระหว่างโจทก์กับจําเลยที่ ๑ จึงเลิกกันทันที นับแต่เมื่อครบกําหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่จําเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือ ผู้ให้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิริบเงินค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อชําระมาแล้วและกลับเข้าครอบครองรถ ที่เช่าซื้อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๔ วรรคหนึ่ง ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีสิทธิ เรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระและดอกเบี้ยได้ตามสัญญา คงเรียกได้เพียงค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ ที่เช่าซื้อในระหว่างที่ยังมิได้ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนและค่าขาดราคาจากการที่ผู้ให้เช่าซื้อนํารถที่เช่าซื้อ ออกประมูลขายทอดตลาดได้เงินน้อยกว่าจํานวนเงินที่ผู้ให้เช่าซื้อควรจะได้รับตามสัญญาเท่านั้น ดังนั้น หากมีค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาดังกล่าว จําเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดตามสัญญา เช่าซื้อ ข้อ ๑๔ ที่ระบุว่า เมื่อเจ้าของได้รถยนต์กลับคืนมา และนํารถยนต์ออกขายได้ราคาเกินกว่าจํานวน มูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญานี้ เจ้าของจะคืนเงินส่วนเกินนั้นให้แก่ผู้เช่าซื้อ แต่หากได้ราคาน้อยกว่า จํานวนมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ ผู้เช่าซื้อตกลงรับผิดชอบส่วนที่ขาดนั้น แม้จะได้ความว่า ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ก่อนจําเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือให้ชําระค่าเช่าซื้อและบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว จําเลยที่ ๑ ได้ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์พร้อมบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ แต่โจทก์ก็มีข้อโต้แย้ง ตามหนังสือโต้แย้งการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ซึ่งจําเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อ รับทราบแล้วว่า จําเลยที่ ๑ ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขเรื่องบอกเลิก สัญญาตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑๓ กล่าวคือ จําเลยที่ ๑ มิได้มีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ทราบล่วงหน้า ไม่น้อยกว่า ๗ วัน และส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์พร้อมกับชําระเงินทั้งปวงที่ถึงกําหนดชําระหรือเป็นหนี้ ตามสัญญาอยู่ในเวลาที่ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแต่อย่างใด การที่โจทก์รับเอารถที่เช่าซื้อไว้จากจําเลยที่ ๑ และนําออกขายทอดตลาด กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์และจําเลยที่ ๑ คู่สัญญาต่างสมัครใจเลิกสัญญากัน โดยปริยาย อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจเรียกค่าขาดราคารถที่เช่าซื้อได้ไม่ เมื่อโจทก์ขายรถที่เช่าซื้อ ให้แก่บุคคลอื่นได้ราคาน้อยกว่าหนี้ที่ค้างชําระตามสัญญา จําเลยที่ ๑ ย่อมต้องรับผิดในค่าขาดราคา ดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ค่าขาดราคานี้ถือเป็นการกําหนดค่าเสียหายล่วงหน้าทํานองเบี้ยปรับ การกําหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์จึงต้องคํานึงถึงความเสียหายที่แท้จริง เมื่อราคาเช่าซื้อเป็นราคา รวมของเงินลงทุนและผลประโยชน์ที่โจทก์คํานวณไว้ล่วงหน้าสําหรับการลงทุนเป็นเวลา ๘๔ เดือน การที่จะกําหนดให้จําเลยที่ ๑ ชําระค่าขาดราคาเท่ากับหนี้ค่าเช่าซื้อส่วนที่ขาดซึ่งรวมผลประโยชน์ สําหรับการลงทุนให้ครบตามจํานวนที่ตกลงไว้ ๘๔ เดือน ย่อมเป็นจํานวนเงินที่สูงเกินส่วน เมื่อคํานึงถึง ราคาเงินสดของรถที่เช่าซื้อ ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้รับชําระ และเงินที่ได้จากการขายรถที่เช่าซื้อแล้ว เห็นสมควรกําหนดค่าขาดราคาให้แก่โจทก์ เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ที่ศาลชั้นต้นไม่กําหนดค่าขาดราคา แก่โจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน


๙๘ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยที่ ๑ ชําระเงิน ๑๕๗,๕๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ ธนวรรธน์ พลศักดิ์ – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๙๙ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๕๗๙/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๙๑๗/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๕) ธนาคาร อ. โจทก์ นาย อ. กับพวก จําเลย ป.วิ.พ. แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ โจทก์บรรยายมาในคําฟ้องและมีคําขอท้ายฟ้องกับส่งเอกสารแทนการสืบพยานว่าจําเลยทั้งสอง ต้องร่วมกันชําระเงิน ๕๔๓,๔๕๔.๓๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ MLR บวก ๑.๑๕ ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับ ๖.๕๐๐ ต่อปี) ซึ่งเท่ากับ ๗.๖๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๕๓๘,๔๐๖.๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยคําฟ้องประกอบเอกสารที่โจทก์อ้าง ส่งต่อศาลแล้ว แต่คําพิพากษาศาลชั้นตันกลับระบุว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเงิน ๕๔๓,๔๕๔.๓๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕.๓ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๓๘,๔๐๖.๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ และพิพากษาให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเงิน ๕๔๓,๔๕๔.๓๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕.๓ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๓๘,๔๐๖.๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ เห็นได้ว่าศาลชั้นต้นทําคําพิพากษา ให้จําเลยทั้งสองรับผิดชําระดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง เห็นสมควรแก้ไขคําพิพากษาของศาลชั้นต้น ในส่วนของดอกเบี้ยให้ถูกต้อง อันเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ ------------------------------ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเงิน ๕๔๓,๔๕๔.๓๘ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ MLR บวก ๑.๑๕ ต่อปี (ซึ่งปัจจุบัน MLR เท่ากับ ๖.๕๐๐ ต่อปี) หรืออัตราร้อย ละ ๗.๖๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๓๘,๔๐๖.๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่ โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเงิน ๕๔๓,๔๕๔.๓๘ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕.๓ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๓๘,๔๐๖.๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐) กับให้จําเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนด ค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท คําขออื่นให้ยก โจทก์ยื่นคําร้อง ขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขคําพิพากษาเนื่องจากคําพิพากษาพิมพ์ผิดเป็นให้จําเลยทั้งสอง ร่วมกันชําระเงิน ๕๔๓,๔๕๔.๓๘ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕.๓ ต่อปี โดยขอให้แก้ไข


๑๐๐ อัตราดอกเบี้ยเป็นอัตราร้อยละ MLR บวก ๑.๑๕ ต่อปี ศาลชั้นต้นมีคําสั่งว่า ไม่อนุญาต ยกคําร้อง โจทก์ยื่นคําร้องฉบับลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๕ ขอแก้ไขคําพิพากษาในลักษณะเดียวกันอีก ศาลชั้นต้นมีคําสั่งว่า โจทก์เคยยื่นคําร้องขอแก้ไขคําพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ แล้ว ศาลมีคําสั่งไม่อนุญาต โจทก์มิได้อุทธรณ์คําสั่งดังกล่าว ให้ยกคําร้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า มีเหตุสมควรแก้ไขคําพิพากษาของศาลชั้นต้น ในส่วนดอกเบี้ยจากอัตราร้อยละ ๑๕.๓ ต่อปี เป็นร้อยละ MLR บวก ๑.๑๕ ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับ ๖.๕๐๐ ต่อปี) ซึ่งเท่ากับ ๗.๖๕ ต่อปี หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า โจทก์บรรยายมาในคําฟ้องและมีคําขอท้ายฟ้องกับส่งเอกสาร แทนการสืบพยานว่าจําเลยทั้งสองต้องร่วมกันชําระเงิน ๕๔๓,๔๕๔.๓๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ MLR บวก ๑.๑๕ ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับ ๖.๕๐๐ ต่อปี) ซึ่งเท่ากับ ๗.๖๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๕๓๘,๔๐๖.๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัย คําฟ้องประกอบเอกสารที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลดังกล่าวแล้ว แต่คําพิพากษาศาลชั้นต้นกลับระบุว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเงิน ๕๔๓,๔๕๔.๓๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕.๓ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๓๘,๔๐๖.๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ และพิพากษาให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเงิน ๕๔๓,๔๕๔.๓๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕.๓ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๓๘,๔๐๖.๗๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ จึงเห็นได้ว่า ศาลชั้นต้นทําคําพิพากษาให้จําเลยทั้งสองรับผิดชําระดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคเห็นสมควรแก้ไขคําพิพากษาของศาลชั้นต้นในส่วนของดอกเบี้ยให้ถูกต้อง อันเป็นการ แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่น ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ อุทธรณ์ ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ MLR บวก ๑.๑๕ ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับ ๖.๕๐๐ ต่อปี) ซึ่งเท่ากับ ๗.๖๕ ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษา ศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ ศิโรรัตน์ อินทฤทธิ์ – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๑๐๑ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๖๒๔/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๘๖๖/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๒๑/๒๕๖๕) นาย พ. โจทก์ บริษัท ก. ผู้ร้อง นาย อ. กับพวก จําเลย ป.วิ.พ. นําบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับคดีมาใช้แก่วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา การบังคับให้บุคคลภายนอก ชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง มาตรา ๒๕๙, ๓๒๑ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๑๒ (๙) พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ การที่ผู้ร้องต้องส่งเงินตามคําสั่งอายัดของศาลมิใช่หนี้ที่ผู้ร้องมีต่อเจ้าหนี้อื่น แต่เป็นการกระทํา ที่จําเป็นเพื่อให้การดําเนินการค้าตามปกติของผู้ร้องสามารถดําเนินต่อไปได้ ตามที่บัญญัติไว้ ใน พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๑๒ (๙) ตอนท้าย ดังนั้น การที่ผู้ร้องทราบคําสั่งอายัดของศาล แล้วไม่ดําเนินการส่งเงินตามคําสั่งอายัดของศาล จึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๓๒๑, ๒๕๙ ประกอบ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ ที่บัญญัติให้อํานาจไว้ โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ ตามคําพิพากษาอาจร้องขอให้ศาลบังคับแก่ผู้ร้องนั้นเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษาก็ได้ ------------------------------ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จําเลยที่ ๑ ในฐานะผู้กู้ และจําเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ําประกัน ชําระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ย พร้อมกับยื่นคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในเหตุฉุกเฉิน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคําสั่งให้อายัดเงินที่จําเลยที่ ๑ มีสิทธิได้รับจากบริษัท ก. เป็นจํานวนเงินไม่เกิน ๓๔๙,๖๐๐ บาท โดยให้บริษัท ก. นําเงินจํานวนดังกล่าวมาวางศาล ให้โจทก์วางเงินประกันค่าเสียหาย ๑๐,๐๐๐ บาท ก่อนออกหมาย ผู้ร้องยื่นคําร้องว่า จําเลยที่ ๑ อยู่ระหว่างถูกหักเงินเดือนส่งสหกรณ์ออมทรัพย์ พ. เพื่อชําระหนี้เงินกู้ ผู้ร้องจึงมีเหตุขัดข้องไม่สามารถส่งเงินของจําเลยที่ ๑ ตามคําสั่งศาลได้ ศาลชั้นต้นมีคําสั่งยกคําร้อง เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๔ ผู้ร้องอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นและวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคมีคําพิพากษายืนตามคําสั่งศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้บังคับคดีกับผู้ร้องเสมือนผู้ร้อง เป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๑ ประกอบมาตรา ๒๕๙ ผู้ร้องอุทธรณ์


๑๐๒ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า คําสั่ง ของศาลชั้นต้นเป็นคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่ผู้ร้องต้องส่งเงินตามคําสั่งอายัดของศาลมิใช่หนี้ที่ผู้ร้องมีต่อเจ้าหนี้อื่น แต่เป็นการกระทํา ที่จําเป็นเพื่อให้การดําเนินการค้าตามปกติของผู้ร้องสามารถดําเนินต่อไปได้ตามที่บัญญัติไว้ ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๐/๑๒ (๙) ตอนท้าย ดังนั้น การที่ผู้ร้องทราบคําสั่งอายัด ของศาลแล้วไม่ดําเนินการส่งเงินตามคําสั่งอายัดของศาล จึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๑, ๒๕๙ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ ที่บัญญัติให้อํานาจไว้ โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจร้องขอให้ศาลบังคับแก่ผู้ร้องนั้น เสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษาก็ได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้บังคับคดีกับผู้ร้องเสมือนผู้ร้อง เป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษาจึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ ปัณณพร สมทบสุข – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๑๐๓ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๗๒๗/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๓๒๖๘/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๒๒/๒๕๖๕) บริษัท ก. โจทก์ นาย ศ. จําเลย ป.พ.พ. การนับอายุความ อายุความ มาตรา ๑๙๓/๑๒, ๑๙๓/๓๐ สัญญาเช่าซื้อกําหนดเงื่อนไขการบอกกล่าวทวงถามให้ชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระและบอกเลิกสัญญา ไว้โดยชัดเจนว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชําระเงินราคาเช่าซื้อรายงวด ๓ งวด ติด ๆ กัน และเจ้าของได้มีหนังสือ บอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ชําระเงินรายงวดที่ค้างชําระภายในเวลาอย่างน้อย ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ผู้เช่าซื้อ ได้รับหนังสือบอกกล่าว และผู้เช่าซื้อละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวนั้น ให้เจ้าของมีสิทธิ บอกเลิกสัญญานี้ได้ จากข้อความดังกล่าวย่อมแสดงว่าเมื่อผู้เช่าซื้อไม่ชําระค่าเช่าซื้อภายในกําหนด ๓๐ วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าว ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกัน เช่นนี้ สิทธิเรียกร้อง ของผู้ให้เช่าซื้อหรือโจทก์ย่อมบังคับให้ผู้เช่าซื้อรวมถึงจําเลยผู้ค้ําประกันให้รับผิดส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนกับหนี้ค่าขาดประโยชน์ได้ เมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุด ตามนัย ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๒ ซึ่งมีอายุความ ๑๐ ปี ตามมาตรา ๑๙๓/๓๐ หาใช่นับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อผิดนัด ชําระค่าเช่าซื้องวดแรกดังที่จําเลยให้การและศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้เช่าซื้อ ชําระหนี้และบอกเลิกสัญญาและผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือดังกล่าววันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ครบกําหนด ๓๐ วัน คือ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ เช่นนี้ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน นับแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ เมื่อนับจากวันดังกล่าวถึงวันฟ้องวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ จึงยังไม่เกิน ๑๐ ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ๑๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาแทนจนครบถ้วน กับให้จําเลยชําระค่าเสียหาย เป็นค่าใช้สอยรถยนต์โดยมิชอบนับแต่วันผิดนัดชําระค่าเช่าซื้อถึงวันฟ้อง เป็นเงิน ๑๗๕,๐๐๐ บาท พร้อม ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชําระเสร็จ และค่าเสียหาย ในลักษณะเดียวกันต่อไป เดือนละ ๗,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแก่โจทก์จนครบถ้วน จําเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์


๑๐๔ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า สัญญาเช่าซื้อกําหนดเงื่อนไขการบอกกล่าวทวงถามให้ชําระค่าเช่าซื้อ ที่ค้างชําระและบอกเลิกสัญญาไว้โดยชัดเจนว่าถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชําระเงินราคาเช่าซื้อรายงวด ๓ งวด ติด ๆ กัน และเจ้าของได้มีหนังสือบอกกล่าวผู้เช่าซื้อให้ชําระเงินรายงวดที่ค้างชําระภายในเวลาอย่างน้อย ๓๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือบอกกล่าวและผู้เช่าซื้อละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามหนังสือ บอกกล่าวนั้น ให้เจ้าของมีสิทธิบอกเลิกสัญญานี้ได้ จากข้อความดังกล่าวย่อมแสดงว่าเมื่อผู้เช่าซื้อ ไม่ชําระค่าเช่าซื้อภายในกําหนด ๓๐ วัน นับจากวันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวถือว่าสัญญาเช่าซื้อ เป็นอันเลิกกัน เช่นนี้ สิทธิเรียกร้องของผู้ให้เช่าซื้อหรือโจทก์ย่อมบังคับให้ผู้เช่าซื้อ รวมถึงจําเลย ผู้ค้ําประกันให้รับผิดส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนกับหนี้ค่าขาดประโยชน์ได้ เมื่อสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุด ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๒ ซึ่งมีอายุความ ๑๐ ปี ตามมาตรา ๑๙๓/๓๐ หาใช่นับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดชําระค่าเช่าซื้องวดแรก ดังที่จําเลยให้การ และศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้เช่าซื้อชําระหนี้และบอกเลิกสัญญา และผู้เช่าซื้อ ได้รับหนังสือดังกล่าววันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ครบกําหนด ๓๐ วัน คือ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ เช่นนี้ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน นับแต่วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๖ เมื่อนับจากวันดังกล่าวถึงวันฟ้อง วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๔ จึงยังไม่เกิน ๑๐ ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น สําหรับปัญหาว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องราคาใช้แทนรถที่เช่าซื้อได้เพียงใดนั้น เห็นว่า เมื่อสัญญา เช่าซื้อเลิกกัน คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจําต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม กล่าวโดยเฉพาะ ฝ่ายผู้เช่าซื้อจะต้องคืนรถที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ ในกรณีที่คืนรถไม่ได้จะต้องใช้ราคาแทน ซึ่งราคา ที่ใช้แทนนี้หมายถึงราคารถที่แท้จริง ดังนั้น หากจําเลยซึ่งเป็นผู้ค้ําประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม กับผู้เช่าซื้อไม่คืนรถที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์ จําเลยต้องใช้ราคารถที่เช่าซื้อแท้จริงแก่โจทก์เท่านั้น สําหรับการคํานวณราคาใช้แทนต้องพิจารณาจากเงินลงทุนของโจทก์หรือราคาเงินสดของรถที่เช่าซื้อ หักออกด้วยค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อชําระมาแล้ว โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและผลประโยชน์ตอบแทน ที่โจทก์มีสิทธิได้รับในระหว่างสัญญา เมื่อพิจารณาคําเสนอขอทําสัญญาเช่าซื้อช่องยอดจัดระบุจํานวนเงิน ๑๗๐,๐๐๐ บาท จึงถือได้ว่าโจทก์ใช้เงินลงทุนในการให้เช่าซื้อ ๑๗๐,๐๐๐ บาท เงินลงทุนจํานวนดังกล่าว ถือว่าเป็นราคาเงินสดของรถที่เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ อย่างไรก็ตาม ภายหลังทําสัญญาเช่าซื้อผู้เช่าซื้อ ชําระค่าเช่าซื้อให้โจทก์แล้ว ๒ งวด กรณีจึงต้องนําเงินค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อชําระมาแล้วโดยไม่รวมภาษี มูลค่าเพิ่มและผลประโยชน์ตอบแทนที่โจทก์มีสิทธิได้รับในระหว่างสัญญา หักออกจากเงินลงทุนของโจทก์ ราคารถชดใช้แทนคงเหลือเพียง ๑๖๐,๕๕๕ บาท หาใช่ ๑๗๐,๐๐๐ บาท ดังที่โจทก์ฟ้องและมีคําขอไม่ ปัญหาว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดประโยชน์ได้เพียงใดนั้น เห็นว่า โจทก์ไม่ได้ประกอบธุรกิจ ให้เช่ารถยนต์ แต่ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อก็เพื่อต้องการผลประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ทั้งการให้เช่ารถโดยปกติไม่เป็นการแน่ชัดว่าสามารถนํารถที่เช่าซื้อออกให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่า ในอัตราดังกล่าวทุกวัน เมื่อคํานึงถึงอัตราค่าเช่าเฉลี่ยต่อเดือน ทั้งวันที่มีผู้มาเช่าและวันที่อาจไม่มีผู้มาเช่า ซึ่งโจทก์จะไม่ได้ค่าเช่าในวันนั้นและประโยชน์ได้เสียของโจทก์ในการประกอบกิจการให้เช่าซื้อ กับทรัพย์สินที่เช่าซื้อเป็นรถยนต์ส่วนบุคคลรถใช้แล้ว ระยะทางที่ใช้แล้ว ๑๓๔,๕๒๑ กิโลเมตร เช่นนี้ ค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ขอมาเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท นั้น สูงเกินไป ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค เห็นสมควรกําหนดค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท


๑๐๕ นับจากวันผิดนัดถึงวันฟ้อง โจทก์ขอมาเพียง ๒๕ เดือน จึงกําหนดให้ตามขอ รวมเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่เช่าซื้อย่อมต้องเสื่อมสภาพไปตามปกติของการใช้ การที่โจทก์เรียกเอาค่าขาดประโยชน์ นับถัดจากวันฟ้องโดยไม่มีระยะเวลาสิ้นสุดย่อมเกินเลยผิดความจริง ไม่เป็นธรรมแก่ผู้เช่าซื้อและจําเลย ประกอบกับภายหลังผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ แต่โจทก์ ปล่อยเวลาผ่านไปเกือบสิบปีจึงฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ําประกัน โดยไม่ปรากฏ เหตุขัดข้อง พฤติการณ์ถือได้ว่าการใช้สิทธิของโจทก์ผู้ประกอบธุรกิจในการบังคับชําระหนี้ไม่ได้กระทํา ด้วยความสุจริตโดยคํานึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม ตามความ ในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ จึงเห็นควรไม่กําหนด ค่าขาดประโยชน์นับถัดจากวันฟ้องให้โจทก์โดยบทกฎหมายดังกล่าว อนึ่ง ดอกเบี้ยราคาใช้แทนรถเช่าซื้อและค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ขอมาอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องนั้น อัตราดอกเบี้ยที่โจทก์ขอมากรณีดังกล่าวไม่ต้องด้วยสัญญาเช่าซื้อและถือว่า หนี้เงินดังกล่าวมิได้กําหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดกันไว้โดยนิติกรรม จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) และดอกเบี้ยราคาใช้แทนรถที่เช่าซื้อนั้น ต้องคิดตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการประมาณราคา คือ วันที่อ่านคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคําพิพากษาตามความในมาตรา ๒๒๕ หาใช่คิดตั้งแต่วันฟ้องตามที่โจทก์ขอมาไม่ พิพากษากลับ ให้จําเลยส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ๑๖๐,๕๕๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ย ลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงการคลังอาจปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่ม ร้อยละ ๒ ต่อปี นับแต่วันที่อ่านคําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ กับให้จําเลยใช้ค่าขาดประโยชน์ ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ย ลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงการคลังอาจปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่ม ร้อยละ ๒ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยดังกล่าวข้างต้นทุกช่วงเวลาต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามคําขอของโจทก์ คําขออื่นให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ ------------------------------ ปัณณพร สมทบสุข – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๑๐๖


๑๐๗ คดีผ ู ้บริโภค พ.ศ. ๒๕๖๖


๑๐๘


๑๐๙ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๙๐๒/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๗๕๖/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๖) ธนาคาร อ. โจทก์ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ก. ผู้ร้อง ผู้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาแทนที่โจทก์ นาย ส. กับพวก จําเลย ป.วิ.พ. การขอบังคับคดี มาตรา ๒๗๔ แม้การบังคับคดีตามคําพิพากษาจะต้องบังคับเอาแก่ทรัพย์จํานองก่อน หากไม่ครบจํานวนหนี้ จึงจะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นได้ก็ตาม แต่เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาทรัพย์จํานองเป็นเงิน ๑,๐๗๑,๐๐๐ บาท หากขายทอดตลาดที่ดินทรัพย์จํานองไปตามราคาดังกล่าวก็ยังคงเหลือหนี้ ตามคําพิพากษาอีกมากพอสมควร และหากต้องรอให้มีการขายทอดตลาดทรัพย์จํานองเสร็จก่อน ถึงจะกลับมายึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอื่นได้ก็อาจจะเกินระยะเวลาบังคับคดี เป็นเหตุให้ผู้ร้อง อาจเสียสิทธิในการบังคับคดี อีกทั้งโจทก์ในคดีอื่นเป็นผู้นํายึดทรัพย์จํานองไว้อยู่ระหว่างรอประกาศ ขายทอดตลาดจากเจ้าพนักงานบังคับคดี การที่ยังขายทอดตลาดทรัพย์จํานองไม่ได้ จึงมิใช่เกิดจาก ความผิดของผู้ร้องแต่อย่างใด การยึดที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ ไว้ก่อนแต่ยังไม่ต้องนําออกขาย จนกว่าจะมีการขายทอดตลาดที่ดินทรัพย์จํานองเสร็จสิ้นและได้เงินไม่พอชําระหนี้ จึงค่อยนําที่ดิน ดังกล่าวออกขายทอดตลาดก็ไม่ขัดต่อขั้นตอนการบังคับคดีและก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย กรณีจึงมีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องยึดทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ เพิ่มเติมได้ ------------------------------ คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ให้จําเลยทั้งสองร่วมกัน ชําระเงิน ๑,๕๓๗,๗๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๔๔,๘๖๕.๕๗ บาท นับแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ และของต้นเงิน ๕๙๓,๖๓๙.๘๔ บาท นับแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ หากจําเลยทั้งสองไม่ชําระหนี้หรือชําระหนี้ไม่ครบให้ยึดทรัพย์ จํานองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๗๖๑๙ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้ หากได้เงิน ไม่พอชําระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจําเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จําเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก แต่จําเลยทั้งสอง ไม่ชําระหนี้ตามคําพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๘ ต่อมา


๑๑๐ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๒ ผู้ร้องยื่นคําร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาแทนที่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคําสั่งอนุญาตเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๒ ผู้ร้องยื่นคําร้องขอให้ศาลมีคําสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ตามคําขอของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้ยกคําร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ ในเบื้องต้นว่า ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเงิน ๑,๕๓๗,๗๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๔๔,๘๖๕.๕๗ บาท นับแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ และของต้นเงิน ๕๙๓,๖๓๙.๘๔ บาท นับแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ แก่โจทก์ หากจําเลยทั้งสองไม่ชําระหนี้หรือชําระหนี้ไม่ครบให้ยึดทรัพย์จํานองที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๗๖๑๙ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้ หากได้เงินไม่พอชําระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจําเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้แก่โจทก์จนครบ แต่จําเลยทั้งสอง ไม่ชําระหนี้ตามคําพิพากษาแก่โจทก์ โจทก์ในคดีอื่นนําเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จํานองดังกล่าว ไว้แล้วก่อนที่จําเลยทั้งสองถูกฟ้องเป็นคดีนี้ แต่ยังขายทอดตลาดไม่ได้ ผู้ร้องซึ่งศาลชั้นตันมีคําสั่งอนุญาต ให้เข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาแทนโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๔๒๑๐ ที่จําเลยที่ ๑ ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุคคลอื่น เพิ่มเติมไว้ก่อน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า กรณีมีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้ผู้ร้อง ยึดทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ เพิ่มเติมไว้รอการบังคับจํานองก่อนหรือไม่ เห็นว่า ในคดีนี้ จําเลยทั้งสอง มีหนี้ต้องชําระ ๑,๕๓๗,๗๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๔๔,๘๖๕.๕๗ บาท นับแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๕ และของต้นเงิน ๕๙๓,๖๓๙.๘๔ บาท นับแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ และเมื่อคิดคํานวณถึงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ มียอดหนี้ค้างชําระรวม ๒,๔๕๐,๕๐๓.๑๗ บาท แม้การบังคับคดีตามคําพิพากษาจะต้องบังคับเอาแก่ทรัพย์จํานองก่อน หากไม่ครบจํานวนหนี้จึงจะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นได้ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เจ้าพนักงาน บังคับคดีประเมินราคาทรัพย์จํานอง เป็นเงิน ๑,๐๗๑,๐๐๐ บาท หากขายทอดตลาดที่ดินทรัพย์จํานอง ไปตามราคาดังกล่าวก็ยังคงเหลือหนี้ตามคําพิพากษาอีกมากพอสมควร และหากต้องรอให้มีการขาย ทอดตลาดทรัพย์จํานองเสร็จก่อนถึงจะกลับมายึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอื่นได้ก็อาจจะเกินระยะเวลา บังคับคดี เป็นเหตุให้ผู้ร้องอาจเสียสิทธิในการบังคับคดี อีกทั้งโจทก์ในคดีอื่นเป็นผู้นํายึดทรัพย์จํานองไว้ อยู่ระหว่างรอประกาศขายทอดตลาดจากเจ้าพนักงานบังคับคดี การที่ยังขายทอดตลาดทรัพย์จํานอง ไม่ได้ จึงมิใช่เกิดจากความผิดของผู้ร้องแต่อย่างใด การยึดที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ ไว้ก่อน แต่ยังไม่ต้องนําออกขายจนกว่าจะมีการขายทอดตลาดที่ดินทรัพย์จํานองเสร็จสิ้นและได้เงินไม่พอชําระหนี้ จึงค่อยนําที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดก็ไม่ขัดต่อขั้นตอนการบังคับคดีและก่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ทุกฝ่าย เห็นว่า กรณีมีเหตุอันสมควรที่จะอนุญาตให้ผู้ร้องยึดทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ เพิ่มเติมได้ ที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ผู้ร้องยึดทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ เพิ่มเติมไว้ก่อนนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น อนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคําสั่งโดยไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องด้วย


๑๑๑ พิพากษากลับว่า ให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๔๒๑๐ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ของจําเลยที่ ๑ และให้รอการขายไว้ก่อนจนกว่าการขายทรัพย์จํานองเสร็จสิ้นและได้เงินไม่พอชําระหนี้ จึงอนุญาตให้นําที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ยึดไว้ดังกล่าวออกขาย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลในชั้นนี้ ให้เป็นพับ ------------------------------ กฤษณะ สุขีวิก – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๑๑๒ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๑๐๒๙/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๙๙/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๖/๒๕๖๖) นาง ร. โจทก์ นางสาว ข. จําเลย พ.ร.บ. คุ้มครองประชาชนในการทําสัญญาขายฝากที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๙ โจทก์ทําสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่จําเลยในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ โดยมีข้อตกลงเงื่อนไข จะขายที่ดินคืนให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ โจทก์กับจําเลย จึงทําบันทึกข้อตกลงที่ระบุว่า จําเลยตกลงจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ อันเป็นการยืนยันความมีอยู่ ของข้อตกลงเงื่อนไขจะขายที่ดินคืนข้างต้น ซึ่งตาม พ.ร.บ. คุ้มครองประชาชนในการทําสัญญาขายฝาก ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๙ บัญญัติว่า “สัญญาซื้อขายที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยที่มีเงื่อนไขจะขายคืน มีคํามั่นว่าจะขาย หรือมีสัญญาจะขายคืน หรือ เงื่อนไขอื่นในทํานองเดียวกัน ให้ถือว่าเป็นสัญญาขายฝากตามพระราชบัญญัตินี้ และตกอยู่ภายใต้บังคับ แห่งพระราชบัญญัตินี้” ดังนี้ ต้องถือว่าสัญญาขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจําเลยเป็นสัญญาขายฝาก โดยไม่มีกรณีที่จะต้องวินิจฉัยว่า สัญญาขายที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรมอําพรางสัญญาขายฝาก หรือสัญญา ขายที่ดินเป็นโมฆะเพราะเป็นนิติกรรมอําพรางหรือไม่ เนื่องจากสัญญาขายที่ดินพิพาทถือเป็นสัญญา ขายฝากโดยผลแห่งกฎหมายเสียแล้ว เมื่อปรากฏว่าสัญญาขายที่ดินพิพาทได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมต้องถือว่าสัญญาขายฝากได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกัน สัญญาขายฝากจึงไม่เป็นโมฆะและมีผลผูกพันให้คู่สัญญาต้องปฏิบัติตาม ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้จําเลยรับเงิน ๖๕๘,๙๕๐ บาท จากโจทก์ และจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๙๓๙๘ ดังกล่าวคืนแก่โจทก์ หากจําเลยไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์นําเงินจํานวนดังกล่าวมาวางที่ศาล แล้วมีสิทธินําคําพิพากษาไปดําเนินการแทนการแสดงเจตนาของจําเลยในการจดทะเบียนโอนที่ดิน แปลงดังกล่าวคืนโจทก์ จําเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์ และขอให้ศาลมีคําสั่งให้โจทก์ขนย้ายทรัพย์สินและ บริวารออกจากที่ดินพิพาท และห้ามโจทก์และบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว และ ให้โจทก์ชําระค่าเสียหายให้แก่จําเลย เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์ จะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท


๑๑๓ โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้งจําเลย และพิพากษาบังคับจําเลยให้ปฏิบัติตามคําขอ ท้ายฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยรับเงินจากโจทก์ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และจดทะเบียนโอนที่ดิน โฉนดเลขที่ ๔๙๓๙๘ คืนแก่โจทก์ โดยให้จําเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการโอน หากจําเลยไม่ปฏิบัติ ก็ให้โจทก์นําเงินจํานวนดังกล่าวมาวางต่อศาลแล้วมีสิทธินําคําพิพากษาไปดําเนินการแทนการแสดงเจตนา ของจําเลย ค่าฤชาธรรมเนียม (ที่ถูกต้องระบุว่า ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งในส่วนฟ้องโจทก์และ ฟ้องแย้ง) ให้เป็นพับ โจทก์และจําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัย ตามอุทธรณ์ของโจทก์และจําเลยในประการแรกว่า ต้องใช้สัญญาขายที่ดินหรือสัญญาขายฝากบังคับแก่โจทก์ และจําเลย โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า ในการทําสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจําเลยมีข้อตกลง ให้โจทก์ไถ่ทรัพย์คืนได้ สัญญาซื้อขายจึงเป็นนิติกรรมอําพรางการขายฝาก ต้องบังคับตามสัญญาขายฝาก จําเลยจึงต้องรับชําระเงินค่าสินไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากจากโจทก์ ในขณะที่จําเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ และจําเลยมีเจตนาซื้อขายที่ดินโดยไม่ได้มีข้อตกลงให้มีการไถ่ทรัพย์คืนตามสัญญาขายฝาก สัญญา ซื้อขายที่ดินจึงมิใช่นิติกรรมอําพรางการขายฝาก ต้องบังคับตามสัญญาขายที่ดิน จําเลยจึงไม่ต้องรับชําระเงิน เป็นค่าสินไถ่ทรัพย์จากโจทก์ เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในทํานองเดียวกันจากทางนําสืบของคู่ความ ทั้งสองฝ่ายว่า หลังจากโจทก์จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่จําเลยแล้ว ไม่ปรากฏว่าจําเลยเข้าไปอยู่ ในที่ดินแปลงดังกล่าว ทั้งโจทก์ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านบนที่ดินนั้นตลอดมา โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์อาศัยอยู่ โดยอาศัยสิทธิใด และเหตุใดจําเลยจึงยินยอมเช่นนั้น แม้จําเลยจะนําสืบว่าเคยบอกกล่าวให้โจทก์ออกไป จากที่ดินนั้น แต่ก็เป็นการนําสืบลอย ๆ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์เคยมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ ออกจากที่ดินนั้นแต่อย่างใด กรณีจึงผิดวิสัยของคู่สัญญาที่ซื้อขายที่ดินกันเสร็จเด็ดขาดตามที่จําเลย กล่าวอ้าง น่าเชื่อว่าโจทก์และจําเลยตกลงเงื่อนไขจะขายที่ดินนั้นคืนแก่โจทก์ตั้งแต่เวลาที่จดทะเบียน ขายที่ดินให้กันเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ แล้ว และที่ดินพิพาทเป็นที่ตั้งบ้านพักของโจทก์ ย่อมเป็นที่อยู่อาศัย ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทําสัญญาขายฝากที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๔ ที่ระบุว่า “ที่อยู่อาศัย หมายความว่า อาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างและหรือที่ดินที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือที่เกี่ยวเนื่องกับการอยู่อาศัยหรือเพื่อประโยชน์ ในการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะได้ใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจการงานด้วยหรือไม่ก็ตาม” ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คดีนี้โจทก์ทําสัญญาขายที่ดินพิพาทตามหนังสือสัญญาขายให้แก่จําเลยในวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ โดยมีข้อตกลงเงื่อนไขจะขายที่ดินคืนให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ โจทก์ กับจําเลยจึงทําบันทึกข้อตกลงที่ระบุว่า จําเลยตกลงจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ อันเป็นการยืนยันความมีอยู่ ของข้อตกลงเงื่อนไขจะขายที่ดินคืนข้างต้น ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ในมาตรา ๙ บัญญัติว่า “สัญญาซื้อขายที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัยที่มีเงื่อนไขจะขายคืน มีคํามั่นว่าจะขาย หรือมีสัญญา จะขายคืน หรือเงื่อนไขอื่นในทํานองเดียวกัน ให้ถือว่าเป็นสัญญาขายฝากตามพระราชบัญญัตินี้ และตกอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้” ดังนี้ ต้องถือว่าสัญญาขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์ กับจําเลยเป็นสัญญาขายฝาก โดยไม่มีกรณีที่จะต้องวินิจฉัยว่าสัญญาขายที่ดินพิพาทเป็นนิติกรรม อําพรางสัญญาขายฝาก หรือสัญญาขายที่ดินเป็นโมฆะเพราะเป็นนิติกรรมอําพรางหรือไม่ เนื่องจาก สัญญาขายที่ดินพิพาทถือเป็นสัญญาขายฝากโดยผลแห่งกฎหมายเสียแล้ว เมื่อปรากฏว่าสัญญาขายที่ดิน


๑๑๔ พิพาทได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมต้องถือว่าสัญญาขายฝากได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นกัน สัญญาขายฝากจึงไม่เป็นโมฆะและมีผลผูกพันให้คู่สัญญา ต้องปฏิบัติตาม กรณีมิใช่เป็นเรื่องที่คู่สัญญาต้องผูกพันตามสัญญาขายที่ดินและโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ได้นําเงินค่าซื้อที่ดินมาชําระภายในกําหนดเวลาให้ขายทรัพย์คืนตามที่จําเลยกล่าวอ้าง ที่ศาลชั้นต้น วินิจฉัยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ ฟังขึ้น อุทธรณ์ของจําเลยฟังไม่ขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประการต่อไปว่า จําเลยต้องรับชําระเงิน เป็นค่าสินไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝากไว้จากโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ในการทําสัญญาขายที่ดินพิพาท ระหว่างโจทก์กับจําเลยมีข้อตกลงให้โจทก์ซื้อทรัพย์คืนได้ในราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยราคาดังกล่าว เป็นยอดรวมของหนี้ต้นเงินกู้ที่โจทก์มีต่อจําเลยกับดอกเบี้ยที่จําเลยคิดจากโจทก์ภายในกําหนดเวลา ๑ ปี เท่ากับโจทก์ขายฝากที่ดินพิพาทในราคา ๕๗๓,๐๐๐ บาท และคิดสินไถ่ เป็นเงิน ๔๒๗,๐๐๐ บาท ส่วนสินไถ่ที่กําหนดในบันทึกข้อตกลงเป็นราคาของที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไม่อาจนํามาใช้คํานวณ เป็นสินไถ่สําหรับที่ดินพิพาทได้ สินไถ่ที่จําเลยเรียกจากโจทก์จึงเกินกว่าอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ต้องลดลง เหลือร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทําสัญญาขายฝากที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๘ วรรคสาม คํานวณจากราคาขายฝาก จําเลย คงเรียกสินไถ่จากโจทก์ได้เพียง ๘๕,๙๕๐ บาท โจทก์จึงต้องชําระเงินเพื่อไถ่ที่ดินพิพาท เป็นเงิน ๖๕๘,๙๕๐ บาท เมื่อไม่ปรากฏว่าก่อนครบกําหนดเวลาไถ่ไม่น้อยกว่าสามเดือนแต่ไม่มากกว่าหกเดือน จําเลยผู้ซื้อฝากแจ้งเป็นหนังสือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปยังโจทก์ผู้ขายฝาก เพื่อให้โจทก์ ทราบกําหนดเวลาไถ่และจํานวนสินไถ่ โจทก์ย่อมมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินได้ภายในเวลาหกเดือนนับแต่วันครบ กําหนดเวลาไถ่ที่ระบุไว้ในสัญญา ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองประชาชนในการทําสัญญาขายฝากที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมหรือที่อยู่อาศัย พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๑๗ วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ ยังอยู่ภายในกําหนดหกเดือนนับแต่วันครบกําหนดเวลาไถ่ ถือว่าโจทก์ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินที่ขายฝาก ภายในกําหนดเวลาตามกฎหมายแล้ว จําเลยจึงต้องรับสินไถ่ไว้จากโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค อุทธรณ์ของจําเลยฟังไม่ขึ้น สําหรับอุทธรณ์ของจําเลยในข้ออื่นไม่ทําให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ไม่จําต้องวินิจฉัย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยรับเงินจากโจทก์ ๖๕๘,๙๕๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คําพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ทั้งในส่วนฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจําเลย ให้เป็นพับ ------------------------------ กฤษณะ สุขีวิก – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๑๑๕ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๑๓๐๒/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๔๒๕/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๙/๒๕๖๖) บริษัท ง. โจทก์ นาง ด. จําเลย ป.พ.พ. เบี้ยปรับ มาตรา ๓๗๙ สัญญากู้ยืมเงินข้อ ๒ กําหนดว่า ผู้กู้จะชําระดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียมใด ๆ (ไม่รวมค่าทวงถาม) ในอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) และข้อ ๓ กําหนดว่า ส่วนลดดอกเบี้ยพิเศษ ผู้กู้ทราบว่า หากผู้กู้ผ่อนชําระเงินกู้ตรงเวลาอย่างเคร่งครัด ผู้ให้กู้ตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้จากอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) ดังกล่าวให้เหลืออัตราร้อยละ ๒๑.๙๑ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) ซึ่งเทียบเท่ากับอัตรา ดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๐๙ ต่อเดือน โดยประมาณ (คํานวณแบบเงินต้นคงที่) โดยหากผู้กู้ผิดนัดชําระหนี้แล้ว ส่วนลดดอกเบี้ยพิเศษนี้จะสิ้นสุดลงตั้งแต่วันแรกของงวดที่ผิดนัดครั้งแรกและผู้กู้จะต้องจ่ายดอกเบี้ย ในอัตราปกติตามที่ระบุในสัญญาข้อ ๒ ตั้งแต่วันที่ส่วนลดดอกเบี้ยพิเศษสิ้นสุดลงไปจนกว่าจะชําระหนี้ ตามสัญญานี้เสร็จสิ้น ย่อมแสดงว่าหากจําเลยชําระหนี้แก่โจทก์ตรงตามกําหนดโดยไม่ผิดนัด โจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจําเลยตลอดอายุสัญญาเท่ากับอัตราร้อยละ ๒๑.๙๑ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) แต่เมื่อจําเลยผิดนัดไม่ชําระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญา จึงคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) อัตราดอกเบี้ยที่โจทก์ขอคิดมาตามฟ้องจึงอาศัยเหตุที่จําเลยผิดนัดผิดเงื่อนไขชําระหนี้ ดอกเบี้ย ส่วนที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นเบี้ยปรับ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๗๙ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยชําระเงิน ๒๘๕,๓๑๕.๒๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๖๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ จําเลยขาดนัดยื่นคําให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยชําระเงิน ๒๘๕,๓๑๕.๒๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๖๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระ เสร็จแก่โจทก์ กับให้จําเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัย ตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้อัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ และดอกเบี้ยนั้นถือเป็นเบี้ยปรับที่ศาลปรับลดลงได้หรือไม่


๑๑๖ เพียงใด เห็นว่า ตามสัญญากู้ยืมเงินข้อ ๒ กําหนดว่า ผู้กู้จะชําระดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียมใด ๆ (ไม่รวมค่าทวงถาม) ในอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) และข้อ ๓ กําหนดว่า ส่วนลดดอกเบี้ยพิเศษ ผู้กู้ทราบว่าหากผู้กู้ผ่อนชําระเงินกู้ตรงเวลาอย่างเคร่งครัด ผู้ให้กู้ตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้จากอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) ดังกล่าวให้เหลืออัตราร้อยละ ๒๑.๙๑ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) ซึ่งเทียบเท่ากับ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๑.๐๙ ต่อเดือน โดยประมาณ (คํานวณแบบเงินต้นคงที่) โดยหากผู้กู้ผิดนัด ชําระหนี้แล้วส่วนลดดอกเบี้ยพิเศษนี้จะสิ้นสุดลงตั้งแต่วันแรกของงวดที่ผิดนัดครั้งแรกและผู้กู้จะต้องจ่าย ดอกเบี้ยในอัตราปกติตามที่ระบุในสัญญาข้อ ๒ ตั้งแต่วันที่ส่วนลดดอกเบี้ยพิเศษสิ้นสุดลงไปจนกว่า จะชําระหนี้ตามสัญญานี้เสร็จสิ้น ย่อมแสดงว่าหากจําเลยชําระหนี้แก่โจทก์ตรงตามกําหนดโดยไม่ผิดนัด โจทก์จะคิดดอกเบี้ยจากจําเลยตลอดอายุสัญญาเท่ากับอัตราร้อยละ ๒๑.๙๑ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) แต่เมื่อจําเลยผิดนัดไม่ชําระหนี้ให้โจทก์ตามสัญญา จึงคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี (ลดต้นลดดอก) อัตราดอกเบี้ยที่โจทก์ขอคิดมาตามฟ้อง จึงอาศัยเหตุที่จําเลยผิดนัดผิดเงื่อนไขชําระหนี้ ดอกเบี้ย ส่วนที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นเบี้ยปรับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๙ ซึ่งอยู่ในบังคับ มาตรา ๓๘๓ วรรคหนึ่ง ที่กําหนดว่า ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจํานวนพอสมควร ก็ได้ ในการที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคจะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้น ท่านให้พิเคราะห์ ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน อันเป็นเจตนารมณ์แห่งกฎหมายที่ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าเบี้ยปรับตามสัญญาเหมาะสมและเป็นธรรม แก่กรณีหรือไม่ หากเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินสมควร ศาลย่อมใช้ดุลพินิจลดจํานวนเบี้ยปรับลงได้ เมื่อพิจารณาข้อสัญญาพิพาทที่โจทก์จัดทําขึ้นประกอบกับการไม่ชําระหนี้ของจําเลยในคดีนี้ เห็นว่า เบี้ยปรับที่โจทก์คิดในอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี สูงเกินไป ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคเห็นควร กําหนดดอกเบี้ยแก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องในอัตราร้อยละ ๒๓.๕ ต่อปี ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยชําระเงิน ๒๘๕,๓๑๕.๒๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๓.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๖๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไปจนกว่า จะชําระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียม ชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ ชารินทร์ เจริญผล – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๑๑๗ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๑๒๑๖/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๔๒๖/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๙/๒๕๖๖) บริษัท ง. โจทก์ นางสาว ร. จําเลย ป.พ.พ. ดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด มาตรา ๒๒๔ ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ บัญญัติว่า “หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กําหนด ตามมาตรา ๗ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น” เมื่อตามสัญญากู้เอกสาร ท้ายคําฟ้อง กําหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ร้อยละ ๒๔ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่โจทก์มีสิทธิเรียกได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวได้ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยชําระเงิน ๒๖๖,๕๒๒.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๓๗,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ จําเลยขาดนัดยื่นคําให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยชําระเงิน ๒๖๖,๕๒๒.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๓๗,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระ เสร็จแก่โจทก์ กับให้จําเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัย ตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้อัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์หรือไม่ และดอกเบี้ยนั้นถือเป็นเบี้ยปรับที่ศาลปรับลดลงได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ บัญญัติว่า “หนี้เงินนั้น ให้คิดดอกเบี้ย ในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราที่กําหนดตามมาตรา ๗ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี ถ้าเจ้าหนี้ อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไป ตามนั้น” เมื่อตามสัญญากู้เอกสารท้ายคําฟ้อง กําหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ร้อยละ ๒๔ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตรา ที่โจทก์มีสิทธิเรียกได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวได้ การที่ศาลชั้นต้น ปรับลดดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องลงเหลือในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี จึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลชั้นต้น พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น


๑๑๘ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยชําระเงิน ๒๖๖,๕๒๒.๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๓๗,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระ เสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ ให้เป็นพับ ------------------------------ ชารินทร์ เจริญผล – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๑๑๙ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๔๕/๒๕๖๖ คดีหมายเลขแดงที่ ๓๐๕๗/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๖) นางสาว ส. กับพวก โจทก์ นาง ฉ. จําเลย พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๔๒ จําเลยทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองโดยให้โจทก์ทั้งสองผ่อนชําระค่าที่ดินได้ จําเลยย่อมรู้อยู่แล้วว่าหากโจทก์ทั้งสองผ่อนชําระค่าที่ดินครบถ้วน จําเลยมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียน โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง แต่ปรากฏว่า หลังจากทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท จําเลยนําที่ดินพิพาทไปขายฝากและไถ่ถอนการขายฝาก รวม ๒ ครั้ง หลังจากนั้นจําเลยนําที่ดินพิพาท ไปจํานองแก่บุคคลอื่น ครั้นเมื่อโจทก์ทั้งสองนัดหมายให้จําเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จําเลย กลับบ่ายเบี่ยง และเพิกเฉยไม่ไปโอนกรรมสิทธิ์ตามกําหนดนัดซึ่งจําเลยเป็นผู้นัดไว้เอง นอกจากนี้ จําเลย ไม่เคยแจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบว่าจําเลยนําที่ดินพิพาทไปจํานองไว้แก่บุคคลอื่นแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์ ทั้งสองปลูกสร้างบ้านขึ้นในที่ดินพิพาท เพราะเชื่อว่าจําเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้ พฤติการณ์ ชี้ชัดว่าจําเลยมุ่งเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตนโดยมิได้นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค ซึ่งความเสียหายดังกล่าวรับฟังเป็นที่ยุติตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งจําเลยมิได้แก้อุทธรณ์ว่า นอกจาก โจทก์ทั้งสองจะไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองยังไม่มีบ้านพักอาศัย และยังไม่ได้รับเงินคืนจากจําเลย ไม่อาจไปหาซื้อที่ดินแห่งใหม่ ทั้งไม่แน่ว่าโจทก์ทั้งสองจะหาซื้อที่ดิน แห่งใหม่ได้หรือไม่ เมื่อจําเลยเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ซึ่งควรกระทํา ด้วยความสุจริตโดยคํานึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม กรณีมีเหตุสมควรให้จําเลยจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากค่าเสียหายที่แท้จริงทั้งสองจํานวน ตามวินิจฉัยแล้วข้างต้น ตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๔๒ อีกหนึ่งเท่า ------------------------------ โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจําเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง โดยปลอดภาระผูกพันใด ๆ และรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ ๑๙,๐๐๐ บาท จากโจทก์ที่ ๑ และให้จําเลย ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง หากจําเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนา แต่หากจําเลยไม่สามารถปฏิบัติตามได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้จําเลยชําระเงิน ๕๓๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๑ และชําระเงิน ๕๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ และหากโจทก์ทั้งสองไม่สามารถครอบครองและใช้ประโยชน์


๑๒๐ ในบ้านที่โจทก์ทั้งสองสร้างขึ้นในที่ดินพิพาท ให้จําเลยชดใช้ราคาบ้านแก่โจทก์ทั้งสองคนละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ แก่โจทก์ทั้งสอง และให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นสองเท่าของค่าเสียหายที่โจทก์ เรียกร้อง จําเลยขาดนัดยื่นคําให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โดยติดจํานองแก่โจทก์ทั้งสอง แล้วให้จําเลยรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลืออีก ๑๙,๐๐๐ บาท จากโจทก์ที่ ๑ หากจําเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากจําเลยโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ ให้จําเลย ชําระเงิน ๕๓๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๕) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๑ และให้จําเลยชําระเงิน ๕๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า จะชําระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๒ กับให้จําเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกําหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีให้เป็นพับ สําหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ทั้งสองได้รับยกเว้น ให้จําเลยนํามาชําระต่อศาลในนามของโจทก์ทั้งสอง คําขออื่นให้ยก โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัย ตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่า สมควรกําหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจําเลยหรือไม่ เห็นว่า จําเลยทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองโดยให้โจทก์ทั้งสองผ่อนชําระค่าที่ดินได้ จําเลยย่อมรู้อยู่แล้วว่าหากโจทก์ทั้งสองผ่อนชําระค่าที่ดินครบถ้วน จําเลยมีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียน โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง แต่ปรากฏว่า หลังจากทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท จําเลย นําที่ดินพิพาทไปขายฝากและไถ่ถอนการขายฝาก รวม ๒ ครั้ง หลังจากนั้นจําเลยนําที่ดินพิพาท ไปจํานองแก่บุคคลอื่น ครั้นเมื่อโจทก์ทั้งสองนัดหมายให้จําเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จําเลยกลับบ่ายเบี่ยง และเพิกเฉยไม่ไปโอนกรรมสิทธิ์ตามกําหนดนัดซึ่งจําเลยเป็นผู้นัดไว้เอง นอกจากนี้ จําเลยไม่เคยแจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบว่าจําเลยนําที่ดินพิพาทไปจํานองไว้แก่บุคคลอื่นแล้ว เป็นเหตุให้ โจทก์ทั้งสองปลูกสร้างบ้านขึ้นในที่ดินพิพาท เพราะเชื่อว่าจําเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้ พฤติการณ์ชี้ชัดว่าจําเลยมุ่งเอาแต่ผลประโยชน์ส่วนตนโดยมิได้นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิด แก่ผู้บริโภค ซึ่งความเสียหายดังกล่าวรับฟังเป็นที่ยุติตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองซึ่งจําเลยมิได้ แก้อุทธรณ์ว่า นอกจากโจทก์ทั้งสองจะไม่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท โจทก์ทั้งสองยังไม่มี บ้านพักอาศัย และยังไม่ได้รับเงินคืนจากจําเลย ไม่อาจไปหาซื้อที่ดินแห่งใหม่ ทั้งไม่แน่ว่าโจทก์ทั้งสอง จะหาซื้อที่ดินแห่งใหม่ได้หรือไม่ เมื่อจําเลยเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ซึ่งควรกระทําด้วยความสุจริตโดยคํานึงถึงมาตรฐานทางการค้าที่เหมาะสมภายใต้ระบบธุรกิจที่เป็นธรรม กรณีมีเหตุสมควรให้จําเลยจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากค่าเสียหายที่แท้จริงทั้งสองจํานวน ตามวินิจฉัยแล้วข้างต้น ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๔๒ อีกหนึ่งเท่า ที่ศาลชั้นต้นไม่กําหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษให้นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองข้อนี้ฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสองโดยปลอดจํานอง หากจําเลยโอนที่ดินโดยปลอดจํานองไม่ได้ให้จําเลยชําระเงิน ๘๓๑,๐๐๐ บาท และ ๘๕๐,๐๐๐ บาท


๑๒๑ แก่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ตามลําดับ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ ที่กระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ ๕ ต่อปี ตามคําขอของโจทก์ และให้จําเลยจ่ายค่าเสียหาย เพื่อการลงโทษแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงินอีก ๘๓๑,๐๐๐ บาท และแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงินอีก ๘๕๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ ธนวรรธน์ พลศักดิ์ – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๑๒๒ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๕๐๗/๒๕๖๖ คดีหมายเลขแดงที่ ๔๑๐๖/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๖) นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ห. โจทก์ นาย ก. จําเลย ป.พ.พ. อายุความ มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๔) พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๙ พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อ ที่ดินจัดสรร ให้นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ... (๕) จัดให้มีบริการสาธารณะ เพื่อสวัสดิการของสมาชิก หรือจัดสรรเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสาธารณประโยชน์” และวรรคท้ายบัญญัติว่า “การดําเนินการตาม (๑) (๒) และ (๕) จะต้องได้รับความเห็นชอบจากมติที่ประชุมใหญ่ของสมาชิก” สําหรับการก่อสร้างเขื่อนและกําแพงป้องกันน้ําท่วมอันเป็นมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์ มีหน้าที่บํารุงรักษาและจัดให้มีบริการสาธารณะเพื่อสวัสดิการของสมาชิกเกี่ยวกับความปลอดภัยและ การอยู่อาศัยด้วยความสงบสุขอันเป็นประโยชน์ร่วมกันของสมาชิกทุกคนในหมู่บ้านรวมทั้งจําเลย ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) จึงเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ซึ่งมิใช่ค่าใช้จ่ายในการ บํารุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคที่โจทก์จัดเก็บเป็นรายเดือนตามปกติตามมาตรา ๔๙ แต่กรณีนี้ โจทก์มีความจําเป็นต้องสร้างเขื่อนและกําแพงป้องกันน้ําท่วมและค่าใช้จ่ายที่เก็บจากสมาชิกตามปกติ เป็นรายเดือนไม่เพียงพอจึงจําเป็นต้องกําหนดและเรียกเก็บค่าใช้จ่ายดังกล่าวเพิ่มตามความจําเป็น เฉพาะกิจ อันเป็นการกระทําที่อยู่ในวัตถุประสงค์และอํานาจหน้าที่ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งผู้ที่เป็นสมาชิกสามารถเข้าร่วมประชุมใหญ่เพื่อพิจารณาและลงมติได้ตาม พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง (๕) และวรรคท้าย เมื่อคู่ความไม่ได้โต้แย้งว่ามติที่ประชุมใหญ่ ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรโจทก์ดังกล่าวเป็นไปโดยมิชอบ โจทก์จึงมีอํานาจฟ้องเรียกค่าบริการ ส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) จากจําเลยได้ ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๓ บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกําหนดอายุความห้าปี ... (๔) เงินค้างจ่าย คือ เงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ ค่าอุปการะเลี้ยงดูและเงินอื่น ๆ ในลักษณะ ทํานองเดียวกับที่มีการกําหนดจ่ายเป็นระยะเวลา ...” จากบทบัญญัติดังกล่าวเงินอื่น ๆ ในลักษณะ ทํานองเดียวกับที่มีการกําหนดจ่ายเป็นระยะเวลา อันจะถือว่าเป็นเงินค้างจ่ายนั้น ย่อมจะต้องเป็นเงิน ที่มีกําหนดจ่ายเป็นระยะเวลาทํานองเดียวกับเงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ หรือค่าอุปการะเลี้ยงดู ซึ่งมีกําหนดจ่ายเป็นงวด ๆ ตามระยะเวลาด้วย แม้ พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๙ จะบัญญัติให้จัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเป็นรายเดือนและข้อบังคับ ของโจทก์ ข้อ ๒๗ จะกําหนดให้สมาชิกนิติบุคคลโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบริหารการจัดการ ดูแลบํารุงรักษาสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะเป็นรายเดือนก็ตาม แต่ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ


๑๒๓ (ค่าสร้างเขื่อน) ตามฟ้องเป็นค่าใช้จ่ายที่นําไปใช้ดําเนินการสร้างเขื่อนและกําแพงป้องกันน้ําท่วม ตามมติที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกนิติบุคคลโจทก์ โดยที่ประชุมมีมติให้เรียกเก็บจากสมาชิกทุกคน เป็นคราวเดียว ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) จึงมิใช่เงินที่มีกําหนดจ่ายเป็นงวด ๆ ตามระยะเวลาทํานองเดียวกับเงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ หรือค่าอุปการะเลี้ยงดู จึงหาใช่เงินค้างจ่าย อันมีอายุความ ๕ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๔) ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยชําระเงิน ๕๕,๙๕๔.๒๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๒,๖๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชําระเสร็จแก่โจทก์ จําเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยชําระเงิน ๓๒,๖๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับย้อนหลังจากวันฟ้องขึ้นไปไม่เกิน ๕ ปี (ฟ้องวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕) และนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จําเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนด ค่าทนายความ ๔,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จําเลยใช้แทนตามจํานวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีให้เป็นพับ จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เรียกเก็บ ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) จากจําเลยได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อที่ดินจัดสรร ให้นิติบุคคลหมู่บ้าน จัดสรรมีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ... (๕) จัดให้มีบริการสาธารณะเพื่อสวัสดิการของสมาชิก หรือจัดสรรเงิน หรือทรัพย์สินเพื่อสาธารณประโยชน์” และวรรคท้ายบัญญัติว่า “การดําเนินการตาม (๑) (๒) และ (๕) จะต้อง ได้รับความเห็นชอบจากมติที่ประชุมใหญ่ของสมาชิก” สําหรับการก่อสร้างเขื่อนและกําแพงป้องกัน น้ําท่วมอันเป็นมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ เป็นเรื่องที่โจทก์มีหน้าที่บํารุงรักษาและจัดให้มีบริการสาธารณะ เพื่อสวัสดิการของสมาชิกเกี่ยวกับความปลอดภัยและการอยู่อาศัยด้วยความสงบสุขอันเป็นประโยชน์ร่วมกัน ของสมาชิกทุกคนในหมู่บ้านรวมทั้งจําเลย ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) จึงเป็นค่าใช้จ่าย ในการก่อสร้าง ซึ่งมิใช่ค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคที่โจทก์จัดเก็บเป็นรายเดือน ตามปกติตามมาตรา ๔๙ แต่กรณีนี้โจทก์มีความจําเป็นต้องสร้างเขื่อนและกําแพงป้องกันน้ําท่วมและ ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากสมาชิกตามปกติเป็นรายเดือนไม่เพียงพอจึงจําเป็นต้องกําหนดและเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ดังกล่าวเพิ่มตามความจําเป็นเฉพาะกิจ อันเป็นการกระทําที่อยู่ในวัตถุประสงค์และอํานาจหน้าที่ ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรซึ่งผู้ที่เป็นสมาชิกสามารถเข้าร่วมประชุมใหญ่เพื่อพิจารณาและลงมติได้ ตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง (๕) และวรรคท้าย เมื่อคู่ความ ไม่ได้โต้แย้งว่ามติที่ประชุมใหญ่ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรโจทก์ดังกล่าวเป็นไปโดยมิชอบ โจทก์จึงมีอํานาจ ฟ้องเรียกค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) จากจําเลยได้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจําเลยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๓ บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกําหนด อายุความห้าปี ... (๔) เงินค้างจ่าย คือ เงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ ค่าอุปการะเลี้ยงดูและเงินอื่น ๆ


๑๒๔ ในลักษณะทํานองเดียวกับที่มีการกําหนดจ่ายเป็นระยะเวลา ...” จากบทบัญญัติดังกล่าวเงินอื่น ๆ ในลักษณะทํานองเดียวกับที่มีการกําหนดจ่ายเป็นระยะเวลา อันจะถือว่าเป็นเงินค้างจ่ายนั้น ย่อมจะต้อง เป็นเงินที่มีกําหนดจ่ายเป็นระยะเวลาทํานองเดียวกับเงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ หรือค่าอุปการะเลี้ยงดู ซึ่งมีกําหนดจ่ายเป็นงวด ๆ ตามระยะเวลาด้วย แม้พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๙ จะบัญญัติให้จัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเป็นรายเดือน และข้อบังคับของโจทก์ ข้อ ๒๗ จะกําหนดให้สมาชิกนิติบุคคลโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ในการบริหารการจัดการดูแลบํารุงรักษาสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะเป็นรายเดือนก็ตาม แต่ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) ตามฟ้องเป็นค่าใช้จ่ายที่นําไปใช้ดําเนินการสร้างเขื่อน และกําแพงป้องกันน้ําท่วมตามมติที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกนิติบุคคลโจทก์ โดยที่ประชุมมีมติให้เรียกเก็บ จากสมาชิกทุกคนเป็นคราวเดียว ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) จึงมิใช่เงินที่มีกําหนดจ่าย เป็นงวด ๆ ตามระยะเวลาทํานองเดียวกับเงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ หรือค่าอุปการะเลี้ยงดู จึงหาใช่เงิน ค้างจ่าย อันมีอายุความ ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๔) ดังที่จําเลย อุทธรณ์ไม่ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสิทธิเรียกร้องค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) ของโจทก์ มีกําหนดอายุความ ๑๐ ปี นั้น ชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ ของจําเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ตามระเบียบของโจทก์มิได้กําหนดเบี้ยปรับในการชําระหนี้ค่าบริการ ส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) ล่าช้าไว้ โจทก์จึงไม่อาจคิดดอกเบี้ยจากจําเลยตามข้อบังคับหรือระเบียบ ของโจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นปรับลดดอกเบี้ยนั้นลง โดยวินิจฉัยว่าเป็นเบี้ยปรับจึงไม่ถูกต้อง แต่หนี้ ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน ตามมาตรา ๒๒๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ มีการประกาศให้ใช้พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ โดยมาตรา ๓ และมาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗ และมาตรา ๒๒๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัด ปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี เป็นร้อยละ ๓ ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยลดลงหรือเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังอาจปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคมีอํานาจยกขึ้นวินิจฉัยและกําหนดอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้อง กับเนื้อความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ และมาตรา ๒๒๔ ที่แก้ไขใหม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คําพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค จึงไม่อาจพิพากษาให้จําเลยรับผิดเกินกว่าคําพิพากษาศาลชั้นต้นได้ และคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาท ในศาลชั้นต้น ๕๕,๙๕๔.๒๘ บาท การกําหนดค่าทนายความในศาลชั้นต้น จึงต้องกําหนดไม่ต่ํากว่า ๓,๐๐๐ บาท และไม่เกินกว่าร้อยละ ๕ ของจํานวนทุนทรัพย์ การที่ศาลชั้นต้นกําหนดค่าทนายความ ให้ ๔,๐๐๐ บาท เป็นการกําหนดค่าทนายความเกินกว่าร้อยละ ๕ ของจํานวนทุนทรัพย์ อันเป็นการ ไม่ชอบตามตาราง ๖ ค่าทนายความ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบ เรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคมีอํานาจหยิบยกขึ้น วินิจฉัยและแก้ไขได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗


๑๒๕ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยชําระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยลดลงหรือ เพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงการคลังอาจปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่ม ร้อยละ ๒ ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๒,๖๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จําเลยใช้ค่าทนายความ ในศาลชั้นต้น ๓,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียม ชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ ศิริพร คํามิ่ง – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๑๒๖ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๕๖๕/๒๕๖๖ คดีหมายเลขแดงที่ ๔๑๐๗/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๖) นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ห. โจทก์ นาง ป. จําเลย ป.พ.พ. อายุความ มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๔) พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๙ ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๓ บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกําหนดอายุความห้าปี ... (๔) เงินค้างจ่าย คือ เงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ ค่าอุปการะเลี้ยงดูและเงินอื่น ๆ ในลักษณะทํานองเดียวกับ ที่มีการกําหนดจ่ายเป็นระยะเวลา ...” แต่ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) เป็นค่าใช้จ่าย ที่นําไปใช้ดําเนินการสร้างเขื่อนและกําแพงป้องกันน้ําท่วมตามมติที่ประชุมใหญ่โดยนิติบุคคลโจทก์มีมติ ให้เรียกเก็บจากสมาชิกทุกคนเป็นคราวเดียว อันเป็นไปตาม พ.ร.บ. การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ วรรคหนึ่ง (๕) และวรรคท้าย ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) มิใช่เงินที่มีกําหนดจ่ายเป็นงวด ๆ ตามระยะเวลาทํานองเดียวกับเงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ หรือค่าอุปการะเลี้ยงดู จึงหาใช่เงินค้างจ่าย อันมีอายุความ ๕ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๔) แต่มีอายุความ ๑๐ ปี ------------------------------ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคําฟ้องขอให้บังคับจําเลยชําระเงิน ๔๐,๕๐๖.๗๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๕.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๓,๖๐๐ บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ จําเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จําเลยแถลงสละประเด็นข้อต่อสู้เรื่องอื่นตามคําให้การ คงต่อสู้เพียงประเด็นเดียวว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเท่านั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จําเลยชําระเงิน ๒๓,๖๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับย้อนหลังนับแต่วันฟ้องขึ้นไปไม่เกิน ๕ ปี (ฟ้องวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕) และนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จําเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนด ค่าทนายความให้ ๔,๐๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จําเลยใช้แทนตามจํานวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ส่วนคําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีให้ตกเป็นพับ จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัย ตามอุทธรณ์ของจําเลยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๓ บัญญัติว่า “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกําหนดอายุความห้าปี ... (๔) เงินค้างจ่าย


๑๒๗ คือ เงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ ค่าอุปการะเลี้ยงดูและเงินอื่น ๆ ในลักษณะทํานองเดียวกับที่มีการ กําหนดจ่ายเป็นระยะเวลา ...” จากบทบัญญัติดังกล่าวเงินอื่น ๆ ในลักษณะทํานองเดียวกับที่มีการกําหนด จ่ายเป็นระยะเวลา อันจะถือว่าเป็นเงินค้างจ่ายนั้น ย่อมจะต้องเป็นเงินที่มีกําหนดจ่าย เป็นระยะเวลาทํานองเดียวกับเงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ หรือ ค่าอุปการะเลี้ยงดู ซึ่งมีกําหนดจ่าย เป็นงวด ๆ ตามระยะเวลาด้วย แม้พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ มาตรา ๔๙ จะบัญญัติ ให้จัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเป็นรายเดือน และข้อบังคับของโจทก์ ข้อ ๒๗ จะกําหนดให้สมาชิกนิติบุคคลโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบริหาร การจัดการดูแล บํารุงรักษาสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะเป็นรายเดือนก็ตาม แต่ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) ตามฟ้องเป็นค่าใช้จ่ายที่นําไปใช้ดําเนินการสร้างเขื่อนและกําแพงป้องกันน้ําท่วมตามมติ ที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกนิติบุคคลโจทก์ โดยที่ประชุมมีมติให้เรียกเก็บจากสมาชิกทุกคนเป็นคราวเดียว อันเป็นไปตามพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ วรรคหนึ่ง (๕) และวรรคท้าย ค่าบริการ ส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) มิใช่เงินที่มีกําหนดจ่ายเป็นงวด ๆ ตามระยะเวลาทํานองเดียวกับ เงินเดือน เงินปี เงินบํานาญ หรือค่าอุปการะเลี้ยงดู จึงหาใช่เงินค้างจ่าย อันมีอายุความ ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๔) ไม่ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสิทธิเรียกร้อง ค่าบริการส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) ของโจทก์มีกําหนดอายุความ ๑๐ ปีนั้น ชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจําเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ตามระเบียบของโจทก์มิได้กําหนดเบี้ยปรับในการชําระหนี้ค่าบริการ ส่วนกลางพิเศษ (ค่าสร้างเขื่อน) ล่าช้าไว้ โจทก์จึงไม่อาจคิดดอกเบี้ยจากจําเลยตามข้อบังคับหรือระเบียบ ของโจทก์ได้ การที่ศาลชั้นต้นปรับลดดอกเบี้ยนั้นลง โดยวินิจฉัยว่าเป็นเบี้ยปรับจึงไม่ถูกต้อง แต่หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงินตามมาตรา ๒๒๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ มีการประกาศให้ใช้พระราชกําหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ โดยมาตรา ๓ และมาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๗ และมาตรา ๒๒๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัด ปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี เป็นร้อยละ ๓ ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยลดลงหรือเพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังอาจปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคมีอํานาจยกขึ้นวินิจฉัยและกําหนดอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้อง กับเนื้อความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ และมาตรา ๒๒๔ ที่แก้ไขใหม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์คําพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค จึงไม่อาจพิพากษาให้จําเลยรับผิดเกินกว่าคําพิพากษาศาลชั้นต้นได้ และคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาท ในศาลชั้นต้น ๔๐,๕๐๖.๗๘ บาท การกําหนดค่าทนายความในศาลชั้นต้นจึงต้องกําหนดไม่ต่ํากว่า ๓,๐๐๐ บาท และไม่เกินกว่าร้อยละ ๕ ของจํานวนทุนทรัพย์ การที่ศาลชั้นต้นกําหนดค่าทนายความให้ ๔,๐๐๐ บาท เป็นการกําหนดค่าทนายความเกินกว่าร้อยละ ๕ ของจํานวนทุนทรัพย์ อันเป็นการไม่ชอบตามตาราง ๖ ค่าทนายความ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดี ผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๗ ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคมีอํานาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขได้ ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑


๑๒๘ มาตรา ๗ นอกจากนี้ยังปรากฏว่า ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนในคดีนี้มีเพียง ๕,๐๔๐ บาท แต่จําเลยชําระมา ๕,๒๖๐ บาท เกินมา ๒๒๐ บาท จึงต้องคืนค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนส่วนที่เกินแก่จําเลยด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยชําระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยลดลง หรือเพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงการคลังอาจปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อย ละ ๒ ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๓,๖๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จําเลยใช้ค่าทนายความ ในศาลชั้นต้น ๓,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทน ๒๒๐ บาท แก่จําเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ ------------------------------ ศรัญญา เมณกูล – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๑๒๙ คดีเลือกตัง fi พ.ศ. ๒๕๖๕


๑๓๐


๑๓๑ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ลต ทม ๑/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๙๗๙/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๒๐/๒๕๖๕) คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ร้อง นาย ณ. กับพวก ผู้คัดค้าน พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๖๕ (๕), ๑๐๘ วรรคสอง ผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้ซ่อมแซมถนนพิพาทตั้งแต่เป็นถนนหินคลุก ถนนลาดยาง และได้เจรจา กับบริษัทเจ้าของที่ดินจนกระทั่งมีการก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตได้สําเร็จ ย่อมถือว่าผู้คัดค้านที่ ๑ มีส่วนผลักดันให้เกิดถนนคอนกรีตพิพาทขึ้น อันนับว่าเป็นผลงานของผู้คัดค้านที่ ๑ ด้วย การที่ผู้คัดค้านที่ ๑ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนคอนกรีตพิพาทว่าเป็นผลงานที่ผ่านมาของผู้คัดค้านที่ ๑ และกลุ่ม ร. จึงหาใช่เป็นการกล่าวอ้างที่เกินเลยต่อความเป็นจริงไม่ ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ ๑ โพสต์ข้อความ เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยใช้ถ้อยคําว่า “ใช้งบส่วนตัวทั้งสิ้น” นั้น ผู้คัดค้านที่ ๑ เบิกความ อธิบายว่าหมายถึง เป็นการใช้งบของเอกชน มิใช่งบประมาณของทางราชการ สอดคล้องกับที่ผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมถนนหินคลุกและทําถนนลาดยางและบริษัท อ. เจ้าของที่ดิน เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างถนนคอนกรีต นอกจากนี้ในการจัดทําป้ายแสดงการขอบคุณบริษัท ม. ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการดําเนินการทําถนนคอนกรีตตามเอกสารนั้น ก็มิได้ระบุว่าผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ซึ่งแตกต่างจากป้ายประชาสัมพันธ์การก่อสร้างถนนลาดยางที่ระบุว่า กลุ่ม ร. โดยคุณ ณ. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย จึงน่าเชื่อได้ว่าการที่ผู้คัดค้านที่ ๑ โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยใช้ถ้อยคําว่า “ใช้งบส่วนตัวทั้งสิ้น” นั้น มิได้มีเจตนาหลอกลวงหรือจูงใจ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เข้าใจผิดว่าผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างถนนคอนกรีตพิพาท การกระทําของผู้คัดค้านทั้งสิบเก้าจึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการหลอกลวงหรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ของผู้สมัครใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น อันจะเป็นเหตุ ให้ผลการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๖๕ (๕), ๑๐๘ วรรคสอง ------------------------------ ผู้ร้องยื่นคําร้องและแก้ไขคําร้องขอให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้วใหม่ แทนผู้คัดค้านที่ ๑ ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองบางแก้ว เขตเลือกตั้งที่ ๑ ใหม่แทนผู้คัดค้าน ที่ ๒ ถึงที่ ๖ ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองบางแก้ว เขตเลือกตั้งที่ ๒ ใหม่แทนผู้คัดค้านที่ ๘ ถึงที่ ๑๓ ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเมืองบางแก้ว เขตเลือกตั้งที่ ๓ ใหม่แทนผู้คัดค้านที่ ๑๔ ถึง


๑๓๒ ที่ ๑๙ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสิบเก้ากับให้ผู้คัดค้าน ทั้งสิบเก้ารับผิดในค่าใช้จ่ายสําหรับการเลือกตั้ง เป็นเงิน ๔,๖๗๘,๑๕๓.๒๔ บาท ผู้คัดค้านที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ และที่ ๑๕ ถึงที่ ๑๙ ยื่นคําคัดค้านและแก้ไขคําคัดค้าน ขอให้ยกคําร้อง ผู้คัดค้านที่ ๑๔ ยื่นคําคัดค้านและแก้ไขคําคัดค้าน ขอให้ยกคําร้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การที่ผู้คัดค้านที่ ๑ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กบัญชีส่วนตัวชื่อ “ณ.” และเฟซบุ๊กบัญชีชื่อ “กลุ่ม ร.” ตามภาพถ่ายเฟซบุ๊กและจัดทําแผ่นพับหาเสียง โดยลงรูปภาพ ถนนคอนกรีต วัดคลองปลัดเปรียง บางนา-ตราด และข้อความในทํานองว่าเป็นผลงานที่ผ่านมา ของผู้คัดค้านที่ ๑ นั้น เป็นการหลอกลวงหรือจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าใจผิดว่าผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างถนนคอนกรีตวัดคลองปลัดเปรียง บางนา-ตราด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ เลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสิบเก้า อันเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๖๕ (๕) เป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้ง นายกเทศมนตรีเมืองบางแก้วและสมาชิกสภาเทศบาลเมืองบางแก้ว เขตเลือกตั้งที่ ๑ ถึงเขตเลือกตั้งที่ ๓ มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ได้ความตามทางนําสืบของผู้คัดค้านที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ และที่ ๑๕ ถึงที่ ๑๙ โดยผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า เมื่อปี ๒๕๕๙ ถนนพิพาทมีลักษณะหักมุมเป็นรูปตัว L ตามแนวเขตที่ดิน สภาพเป็นถนนดิน ขณะนั้น ผู้คัดค้านที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างและเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตําบลบางแก้ว ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าถนนมีสภาพชํารุดเป็นหลุมเป็นบ่อไม่สะดวกแก่การสัญจรไปมา แต่เนื่องจากถนนดังกล่าวอยู่ในที่ดินของเอกชน ไม่สามารถใช้งบประมาณขององค์การบริหารส่วนตําบล บางแก้วในการซ่อมแซมได้ ผู้คัดค้านที่ ๑ จึงใช้เงินส่วนตัวทําการซ่อมแซมถนนโดยการนําหินคลุก มาปรับแต่งหลายครั้งตามภาพถ่าย ต่อมาผู้คัดค้านที่ ๑ ได้ขออนุญาตบริษัท อ. เจ้าของที่ดินก่อสร้าง เป็นถนนลาดยาง ซึ่งผู้คัดค้านที่ ๑ ใช้เงินส่วนตัวในการก่อสร้างไปประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ บาท แต่เมื่อถึงฤดูฝนถนนได้รับความเสียหายมาก ผู้คัดค้านที่ ๑ ประสงค์ที่จะก่อสร้างถนนให้ประชาชน สามารถใช้สัญจรได้อย่างถาวร อีกทั้งพยานผู้ร้อง นาย ผ. ผู้ช่วยผู้อํานวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ของบริษัท ม. ก็เบิกความเจือสมกับคําเบิกความของผู้คัดค้านที่ ๑ ว่า เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๐ ผู้คัดค้านที่ ๑ ได้ขออนุญาตผู้บริหารของบริษัท อ. ก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตโดยเปลี่ยนแนวถนนเป็นรูปตัว S ที่มีความโค้งน้อยกว่า ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการจราจร ตามภาพถ่าย แต่เนื่องจากถนนดังกล่าว เป็นทางภาระจํายอมของที่ดินแปลงอื่นบริษัทเจ้าของที่ดินเกรงจะมีปัญหาทางด้านกฎหมาย จึงขอเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง โดยให้บริษัท ด. ซึ่งเป็นของผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้รับจ้างก่อสร้าง ในราคาต้นทุนเป็นเงิน ๓,๓๑๘,๔๑๒.๗๓ บาท ตามใบสั่งซื้อได้ความจากนาย ธ. หัวหน้าฝ่ายควบคุมอาคาร กองช่าง สํานักงานเทศบาลเมืองบางแก้ว พยานผู้ร้องเบิกความตอบทนายผู้คัดค้าน ๑ ถึงที่ ๑๓ และที่ ๑๕ ถึงที่ ๑๙ ว่า ค่าก่อสร้างถนนคอนกรีตดังกล่าวคํานวณตามหลักวิชาการโดยอิงราคา ขององค์การบริหารส่วนตําบลบางแก้วและราคาในท้องตลาดแล้วจะเป็นราคา ๔,๙๑๑,๐๐๐ บาท ตามสรุปผลการประมาณราคาก่อสร้าง เช่นนี้ต้องถือว่าผู้คัดค้านที่ ๑ มีส่วนร่วมในการออกค่าใช้จ่าย ในการก่อสร้างถนนคอนกรีตพิพาท เป็นเงิน ๑,๖๐๐,๒๘๗.๒๗ บาท นอกจากนี้ในปี ๒๕๖๓ ผู้คัดค้านที่ ๑ ยังได้ออกค่าใช้จ่ายในการตีเส้นจราจรบนถนนคอนกรีต เป็นเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท อีกด้วย ที่นาย ภ. พยานผู้ร้องเบิกความว่า การซ่อมแซมถนนโดยทําเป็นถนนหินคลุกและถนนลาดยางได้มีการเรี่ยไรเงิน จากชาวบ้านเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างนั้น ก็ได้ความจากนาย ช. พยานผู้ร้อง เบิกความตอบ


๑๓๓ ทนายผู้คัดค้านที่ ๑ ถึงที่ ๑๓ และที่ ๑๕ ถึงที่ ๑๙ ว่า ได้รับเงินบริจาคจากเจ้าอาวาสวัดคลองปลัดเปรียง จํานวน ๒๐,๐๐๐ บาท และจากชาวบ้าน จํานวน ๓๓,๔๕๓.๕๐ บาท สําหรับเงินบริจาคจากเจ้าอาวาสนั้น ได้นําไปใช้ในการซ่อมแซมถนนหินคลุกหมดแล้ว แต่การซ่อมแซมถนนหินคลุกมีการทํากันหลายครั้ง ซึ่งในครั้งอื่น ๆ ผู้คัดค้านที่ ๑ จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ส่วนเงินที่ได้รับบริจาคจากชาวบ้านจํานวน ๓๓,๔๕๓.๕๐ บาท นั้น ไม่เพียงพอที่จะทําถนนลาดยางจึงเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากของพยาน เพื่อใช้ในโอกาสต่อไป ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้ซ่อมแซมถนนพิพาทตั้งแต่เป็นถนนหินคลุก ถนนลาดยาง และได้เจรจากับบริษัทเจ้าของที่ดิน จนกระทั่งมีการก่อสร้างเป็นถนนคอนกรีตได้สําเร็จ ย่อมถือว่าผู้คัดค้านที่ ๑ มีส่วนผลักดันให้เกิดถนนคอนกรีตพิพาทขึ้น อันนับว่าเป็นผลงาน ของผู้คัดค้านที่ ๑ ด้วย การที่ผู้คัดค้านที่ ๑ โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนคอนกรีตพิพาทว่า เป็นผลงานที่ผ่านมาของผู้คัดค้านที่ ๑ และกลุ่ม ร. จึงหาใช่เป็นการกล่าวอ้างที่เกินเลยต่อความเป็นจริงไม่ ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ ๑ โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยใช้ถ้อยคําว่า “ใช้งบส่วนตัวทั้งสิ้น” นั้น ผู้คัดค้านที่ ๑ ความอธิบายว่าหมายถึง เป็นการใช้งบของเอกชนมิใช่งบประมาณของทางราชการ สอดคล้องกับที่ผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมถนนหินคลุกและทําถนนลาดยาง และบริษัท อ. เจ้าของที่ดินเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างถนนคอนกรีต นอกจากนี้ในการจัดทําป้าย แสดงการขอบคุณบริษัท ม. ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการดําเนินการทําถนนคอนกรีตตามเอกสารนั้น ก็มิได้ระบุว่าผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างซึ่งแตกต่างจากป้ายประชาสัมพันธ์ การก่อสร้างถนนลาดยาง ที่ระบุว่า กลุ่ม ร. โดยคุณ ณ. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย จึงน่าเชื่อได้ว่าการที่ ผู้คัดค้านที่ ๑ โพสต์ข้อความเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยใช้ถ้อยคําว่า “ใช้งบส่วนตัวทั้งสิ้น” นั้น มิได้มีเจตนาหลอกลวงหรือจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เข้าใจผิดว่าผู้คัดค้านที่ ๑ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ในการก่อสร้างถนนคอนกรีตพิพาท การกระทําของผู้คัดค้านทั้งสิบเก้าจึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครใด เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น อันจะเป็นเหตุให้ผลการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๖๕ (๕), ๑๐๘ วรรคสอง พิพากษายกคําร้อง ------------------------------ อาภาพร เจริญมั่น – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๑๓๔


๑๓๕ คดีสิ ! งแวดล้อม (อาญา) พ.ศ. ๒๕๖๖


๑๓๖


๑๓๗ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ สว (อ) ๒/๒๕๖๖ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๗๙๙/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๖) พนักงานอัยการคดีศาลแขวงสระบุรี โจทก์ นาย ธ. จําเลย ป.อ. ริบทรัพย์สิน มาตรา ๓๒, ๓๓ พ.ร.บ. ควบคุมน้ํามันเชื่อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒ แม้การกระทําของจําเลยจะเป็นความผิดฐานประกอบกิจการควบคุมประเภทที่ ๒ โดยไม่ปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในกฎกระทรวงดังที่โจทก์ฟ้อง อันเป็นการฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ. ควบคุมน้ํามัน เชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ พ.ร.บ. ควบคุมน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒ มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะให้ริบ ถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวส่วนที่เกินกว่าปริมาณที่ผู้ประกอบกิจการแจ้ง นอกจากนี้ความผิดของจําเลย หาใช่เกิดจากถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้ม ๔๖ ถัง ของกลางตามที่จําเลยทําการเก็บรักษาไว้โดยตรงไม่ ทั้งถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้ม ๔๖ ถัง ของกลางไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทําหรือมีไว้ เป็นความผิด และไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทําความผิดที่จะริบได้ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๓ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบถังบรรจุก๊าซหุงต้ม ๔๖ ถัง ของกลางจึงไม่ชอบ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๕, ๗, ๑๗, ๑๙, ๖๓ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ และริบถังบรรจุก๊าซหุงต้มของกลาง จําเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๗, ๑๗, ๑๘, ๖๒ (ที่ถูก มาตรา ๗, ๑๗, ๑๙, ๖๓) จําคุก ๒ เดือน และปรับ ๑๕,๐๐๐ บาท จําเลย ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจําคุก ๑ เดือน และปรับ ๗,๕๐๐ บาท โทษจําคุก ให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ และริบถังบรรจุก๊าซหุงต้ม ๔๖ ถัง ของกลาง จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีสิ่งแวดล้อม วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ที่ศาลชั้นต้น มีคําพิพากษาให้ริบถังบรรจุก๊าซหุงต้ม ๔๖ ถัง ของกลางนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้การกระทําของจําเลยจะเป็นความผิดฐานประกอบกิจการควบคุม ประเภทที่ ๒ โดยไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในกฎกระทรวงดังที่โจทก์ฟ้อง อันเป็นการฝ่าฝืน


๑๓๘ ต่อพระราชบัญญัติควบคุมน้ํามันเชื่อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่พระราชบัญญัติควบคุมน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒ มิได้มีเจตนารมณ์ที่จะให้ริบถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวส่วนที่เกินกว่าปริมาณที่ผู้ประกอบ กิจการแจ้ง นอกจากนี้ความผิดของจําเลยหาใช่เกิดจากถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้ม ๔๖ ถัง ของกลาง ตามที่จําเลยทําการเก็บรักษาไว้โดยตรงไม่ ทั้งถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้ม ๔๖ ถัง ของกลาง ไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทําหรือมีไว้เป็นความผิด และไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ ในการกระทําความผิดที่จะริบได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๓ ที่ศาลชั้นต้น พิพากษาให้ริบถังบรรจุก๊าซหุงต้ม ๔๖ ถัง ของกลางจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีสิ่งแวดล้อมมีอํานาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธี พิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ กรณีไม่จําต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจําเลยอีกต่อไป พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบถังบรรจุก๊าซหุงต้ม ๔๖ ถัง ของกลางโดยให้คืนแก่เจ้าของ นอกจาก ที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ------------------------------ ศิโรรัตน์ อินทฤทธิ์ – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ


๑๓๙ คําสั ! ง


๑๔๐


๑๔๑ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คําร้องที่ คผบ ๑๓๐/๒๕๖๔ คําสั่งที่ คร ๑๐๘/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕) บริษัท ม. โจทก์ นาย ส. จําเลย ป.วิ.พ. การไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง มาตรา ๒๐ ตรี ในคดีที่คู่ความประสงค์ทําสัญญาประนีประนอมยอมความหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาแล้ว เมื่อยังไม่มีการอุทธรณ์เพื่อให้คดีขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิจารณาพิพากษา จึงไม่อยู่ในอํานาจ ของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ที่จะพิพากษาตามยอมให้ได้ ------------------------------ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จําเลยชําระเงิน ๓๘๒,๗๔๑.๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๗๔,๙๖๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยชําระเงิน ๔,๙๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียม ให้เป็นพับคําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์ยื่นคําร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์รวม ๓ ครั้ง ครั้งที่ ๓ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยาย ถึงวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๖๔ ต่อมาวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๔ โจทก์ยื่นคําร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ศาลออกนั่งพิจารณาคดี เพื่อทําสัญญาประนีประนอมยอมความหลังศาลมีคําพิพากษา โดยยื่นมาพร้อมกับสัญญาประนีประนอม ยอมความ ศาลชั้นต้นได้อธิบายคําพิพากษาศาลชั้นต้นให้จําเลยฟัง จําเลยยืนยันประสงค์ทําสัญญา ประนีประนอมยอมความ ศาลตรวจสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว เห็นว่า ไม่ขัดต่อกฎหมาย จึงให้คู่ความทั้งสองฝ่ายลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาล และศาล ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยคู่ความทั้งสองฝ่ายขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคําพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นให้รวบรวมถ้อยคําสํานวนพร้อมสัญญาประนีประนอมยอมความส่งมายังศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เพื่อพิจารณาและพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คดีนี้ยังไม่มีการอุทธรณ์เพื่อให้คดี ขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิจารณาพิพากษา จึงไม่อยู่ในอํานาจของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ที่จะพิพากษา ตามยอมให้ได้


๑๔๒ จึงมีคําสั่งให้ยกคําร้องของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ ------------------------------ กวีศักดิ์ ก้องเวลา – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๑๔๓ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คําร้องที่ คผบ ๔๑/๒๕๖๕ คําสั่งที่ คร ๔๕๗/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๙/๒๕๖๕) ธนาคาร ท. โจทก์ นาย ก. กับพวก จําเลย พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๔๗, ๔๘ วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวผิดนัดไปยังจําเลยที่ ๒ ผู้ค้ําประกันภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่จําเลยที่ ๑ ผิดนัดแล้ว จําเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดเสมอหรือเท่ากับจําเลยที่ ๑ แม้เป็นอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๔๗ กรณีไม่จําต้อง ขออนุญาตอุทธรณ์ตามมาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง ------------------------------ คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยที่ ๑ ชําระเงิน ๗๑,๗๕๘.๘๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๐.๑๒๗๑๙ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๕,๗๙๘.๕๘ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ แก่โจทก์ หากจําเลยที่ ๑ ไม่ชําระ ให้จําเลยที่ ๒ ชําระแทน จําเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคําให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยที่ ๑ ชําระเงิน ๕๕,๗๙๘.๕๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปี ของต้นเงินจํานวนดังกล่าว นับถัดจากวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ แก่โจทก์ หากจําเลยที่ ๑ ไม่ชําระหรือชําระไม่ครบถ้วน ให้จําเลยที่ ๒ ชําระหนี้แทนเพียง ๕๖,๗๑๕.๙๘ บาท โดยไม่มีดอกเบี้ย กับให้จําเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีให้เป็นพับ คําขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์พร้อมกับยื่นคําร้องขออนุญาตอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคําสั่ง ให้ส่งอุทธรณ์พร้อมคําขออนุญาตอุทธรณ์และสํานวนคดีนี้มายังศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า ดอกเบี้ยที่ศาลชั้นต้น ปรับลดจากอัตราร้อยละ ๒๐.๑๒๗๑๙ ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ ๑๐ ต่อปี เป็นเบี้ยปรับหรือไม่นั้น เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๔๗ กรณีไม่จําต้องขออนุญาตอุทธรณ์ตามมาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวผิดนัดไปยังจําเลยที่ ๒ ผู้ค้ําประกัน ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่จําเลยที่ ๑ ผิดนัดแล้ว จําเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดเสมอหรือเท่ากับจําเลยที่ ๑ แม้เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคํานวณเป็นราคาเงินได้


๑๔๔ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๔๗ กรณีไม่จําต้องขออนุญาตอุทธรณ์ตามมาตรา ๔๘ วรรคหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้สั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ จึงมีคําสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณา ให้ศาลชั้นต้นอ่านคําสั่งให้คู่ความฟังและดําเนินการต่อไป ------------------------------ เอกพจน์ สุดตานา – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ


๑๔๕


๑๔๖


Click to View FlipBook Version