๔๗ ให้จําเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ ๔ ครั้ง ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติกําหนด ให้จําเลยละเว้นการประพฤติใดอันอาจนําไปสู่การกระทําผิดในทํานองเดียวกันนี้อีก กับให้จําเลย กระทํากิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร เป็นเวลา ๑๒ ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙, ๓๐ ------------------------------ ต้นบุญ โพธิ์ทอง – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ
๔๘ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๑๘๒๙/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๔๒๔/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๖) นาย ช. โจทก์ นาย น. จําเลย ป.อ. หมิ่นประมาท หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ดูหมิ่นซึ่งหน้า มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๙๓ การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ ถูกเกลียด และการดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา อันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทและฐานดูหมิ่นผู้อื่น ด้วยการโฆษณา ตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘ และมาตรา ๓๙๓ นั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความหรือ ดูหมิ่นดังกล่าวได้ระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ ผู้ถูกดูหมิ่น เป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความ ที่ถูกดูหมิ่น เป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความ ผู้ถูกดูหมิ่นโดยตรง ก็ต้องได้ความว่าหมายถึง บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ข้อความตามภาพถ่ายเฟซบุ๊กแม้ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าเป็นโจทก์ แต่ร้านจําหน่ายอะไหล่และอุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นอาคารพาณิชย์ติดกัน ๓ คูหา สีส้ม ติดป้ายชื่อ CHAI ON ROAD BIKE ตั้งอยู่ถนนลําลูกกาคลองสอง ซึ่งมีร้านของโจทก์เพียงร้านเดียวที่ จําหน่ายอะไหล่และอุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ Harley Davidson และโจทก์รู้จักกับจําเลยที่มา ติดต่อขอซื้ออุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ Harley Davidson เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่อ่านข้อความ เข้าใจได้ว่าบุคคลที่จําเลยกล่าวถึงคือโจทก์ เมื่อข้อความดังกล่าวอาจทําให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง คดีโจทก์จึงมีมูลเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการ โฆษณา ตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘ และมาตรา ๓๙๓ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๓๒, ๓๙๓ ให้จําเลยลบข้อความและภาพที่ดูหมิ่นและหมิ่นประมาทโจทก์ และโฆษณาข้อความขอขมาและ คําพิพากษาผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊กของจําเลย กับขอให้บังคับจําเลยชดใช้ค่าเสียหาย เป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ ของโจทก์ว่า คดีโจทก์มีมูลความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า การใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการ ที่น่าจะทําให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียด และการดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา อันจะเป็นความผิด ฐานหมิ่นประมาทและฐานดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘
๔๙ และมาตรา ๓๙๓ นั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความหรือดูหมิ่นดังกล่าวได้ระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ ผู้ถูกดูหมิ่น เป็นการยืนยันรู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความ ที่ถูกดูหมิ่น เป็นใคร หรือหากไม่ระบุ ถึงผู้ที่ถูกใส่ความ ผู้ถูกดูหมิ่นโดยตรง ก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่อพิจารณาข้อความตามภาพถ่ายเฟซบุ๊ก แม้ไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าเป็นโจทก์ แต่ร้านจําหน่าย อะไหล่และอุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ของโจทก์เป็นอาคารพาณิชย์ติดกัน ๓ คูหา สีส้ม ติดป้ายชื่อ CHAI ON ROAD BIKE ตั้งอยู่ถนนลําลูกกาคลองสอง ซึ่งมีร้านของโจทก์เพียงร้านเดียวที่จําหน่ายอะไหล่ และอุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ Harley Davidson และโจทก์รู้จักกับจําเลยที่มาติดต่อขอซื้อ อุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ Harley Davidson เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่อ่านข้อความเข้าใจได้ว่า บุคคลที่จําเลยกล่าวถึงคือโจทก์ เมื่อข้อความดังกล่าวอาจทําให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ ถูกเกลียดชัง คดีโจทก์จึงมีมูลเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘ และมาตรา ๓๙๓ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป ------------------------------ กันตณัฐ น้ําผึ้ง – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ
๕๐ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๒๐๖๖/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๐๒๕/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๖) นาย ณ. โจทก์ นางสาว ป. กับพวก จําเลย ป.อ. แสดงข้อคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต มาตรา ๓๒๙ แม้การกระทําของจําเลยที่ ๑ เป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามอันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยการโฆษณา แต่จําเลยที่ ๑ แสดงข้อความหมิ่นประมาทโดยสุจริตเพื่อป้องกันส่วนได้เสียตามคลองธรรม เนื่องจากพฤติการณ์แห่งคดี ย่อมมีมูลเหตุให้จําเลยที่ ๑ อาศัยข้อความที่จําเลยที่ ๑ เชื่อโดยสุจริต ว่าเป็นความจริง ทั้งนี้ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเป็นความจริงหรือความเท็จก็ตาม หากมีเหตุอันควรให้จําเลยที่ ๑ กระทําการเช่นนั้นได้ และเนื้อหาการใส่ความเช่นว่านั้นเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การให้บริการ ทางการแพทย์ภายในกรอบอันสมควร จําเลยที่ ๑ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๙ (๑) จําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ ยืนยันข้อความหมิ่นประมาทของจําเลยที่ ๑ โดยส่งต่อข้อความนั้น ถึงคนอื่น ๆ อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา แต่การกระทําของจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามสมควรแก่พฤติการณ์ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับการ วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการให้บริการทางการแพทย์ของโจทก์หรือสถานพยาบาลของโจทก์อันเป็นเรื่องที่ ประชาชนทั่วไปควรจะต้องสนใจ จําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ ย่อมมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นการกล่าวด้วยความ เข้าใจว่าถูกต้องและสมควรตามความรู้สึกของคนทั่วไป เมื่อไม่ปรากฏว่าจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ มีเจตนา บิดเบือน ตัดต่อหรือเสียดสีข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น และเป็นการติชมในเรื่องที่เป็นสาระมิใช่เรื่องส่วนตัวของ จําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ แล้ว ย่อมเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลอันเป็นวิสัยของประชาชนทั่วไป ย่อมกระทําได้ การกระทําของจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๙ (๓) ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๓๒๖, ๓๒๘ ให้จําเลยทั้งเจ็ด ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชําระเสร็จ ให้จําเลยทั้งเจ็ดร่วมกันประกาศขอโทษและเป็นประโยชน์ ต่อการประกอบธุรกิจต่อโจทก์โดยพิมพ์โฆษณาลงในโซเซียลเน็ตเวิร์กที่ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อความได้ โดยจําเลยทั้งเจ็ดเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด และให้จําเลยทั้งเจ็ดลบหรือทําลายข้อความหมิ่นประมาท ที่แชร์ลงในเว็บไซต์เฟซบุ๊กของจําเลยทั้งเจ็ดในระบบคอมพิวเตอร์
๕๑ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คงให้ดําเนินคดีส่วนแพ่งเฉพาะโจทก์กับจําเลยที่ ๑ ยกคําขอส่วนแพ่ง ระหว่างโจทก์กับจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในคดีส่วนแพ่งระหว่างโจทก์ กับจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ ให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีโจทก์มีมูลหรือไม่ โดยวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ข้อแรกว่า ศาลชั้นต้นพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ โดยไม่พิจารณาถึงเจตนาของจําเลยทั้งเจ็ดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ ที่ทําลายชื่อเสียง ของโจทก์ ทําให้โจทก์เสียหายนั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ ที่บัญญัติ ให้บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา การกระทําหรือกรรมจึงเป็นเครื่องชี้เจตนา ฉะนั้น การกระทําของจําเลยทั้งเจ็ดคือการเผยแพร่ข้อความตามที่โจทก์ฟ้องและนําสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องไว้ ซึ่งศาลชั้นต้นได้หยิบยกข้อความที่เผยแพร่นั้นมาพิจารณาโดยละเอียดและพิจารณาถึงการกระทํา ของจําเลยทั้งเจ็ดด้วยแล้ว จึงวินิจฉัยว่า กรณีของจําเลยที่ ๑ เป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา แต่จําเลยที่ ๑ แสดงข้อความหมิ่นประมาทโดยสุจริต เพื่อป้องกันส่วนได้เสียตามคลองธรรมเนื่องจากพฤติการณ์แห่งคดีย่อมมีมูลเหตุให้จําเลยที่ ๑ อาศัยข้อความที่จําเลยที่ ๑ เชื่อโดยสุจริตว่าเป็นความจริง ทั้งนี้ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะเป็นความจริงหรือความเท็จ ก็ตาม หากมีเหตุอันควรให้จําเลยที่ ๑ กระทําการเช่นนั้นได้ และเนื้อหาการใส่ความเช่นว่านั้น เป็นการวิพากษ์วิจารณ์การให้บริการทางการแพทย์ภายในกรอบอันสมควร การกระทําของจําเลยที่ ๑ จึง ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ (๑) และกรณีของจําเลยที่ ๒ ถึง ที่ ๗ ที่ยืนยันข้อความหมิ่นประมาทของจําเลยที่ ๑ โดยส่งต่อข้อความนั้นถึงคนอื่น ๆ อันเป็นความผิด ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา แต่การกระทําของจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ เป็นการแสดงความคิดเห็น โดยสุจริตตามสมควรแก่พฤติการณ์ซึ่งเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องการให้บริการ ทางการแพทย์ของโจทก์หรือสถานพยาบาลของโจทก์อันเป็นเรื่องที่ประชาชนทั่วไปควรจะต้องสนใจ โดยจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ ย่อมมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นการกล่าวด้วยความเข้าใจว่าถูกต้องและสมควร ตามความรู้สึกของคนทั่วไป เมื่อไม่ปรากฏว่าจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ มีเจตนาบิดเบือน ตัดต่อหรือเสียดสี ข้อเท็จจริงเช่นว่านั้น และเป็นการติชมในเรื่องที่เป็นสาระมิใช่เรื่องส่วนตัวของจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ แล้ว ย่อมเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลอันเป็นวิสัยของประชาชนทั่วไปย่อมกระทําได้ การกระทําของจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ จึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๙ (๓) ทั้งศาลชั้นต้นสรุปว่าเมื่อการกระทําของจําเลยทั้งเจ็ดไม่มีความผิดฐานร่วมกัน หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘ ประกอบมาตรา ๘๓ ตามฟ้อง คดีโจทก์จึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้องโจทก์ เท่ากับศาลชั้นต้นพิจารณาและวินิจฉัยถึงเจตนา ของจําเลยทั้งเจ็ดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ แล้ว ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ข้อต่อมาว่า การเผยแพร่ ข้อความของจําเลยทั้งเจ็ดมีพฤติการณ์ลักษณะจูงใจว่ามีสถานประกอบการใหม่ที่ดีกว่า สถานประกอบการของโจทก์ ทําให้ประชาชนหลงเชื่อจึงเป็นการหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ ทําให้โจทก์เสียหาย ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๑ และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ หรือไม่
๕๒ เห็นว่า อุทธรณ์ข้อนี้ โจทก์มิได้กล่าวไว้ในฟ้องและมิได้นําสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโดยประสงค์ให้ลงโทษ จําเลยทั้งเจ็ด ทั้งมิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่รับวินิจฉัย ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่น ๆ ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล และพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ------------------------------ ศิริพร คํามิ่ง – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ
๕๓ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ อ ๒๐๕๕/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๓๖๓๒/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๖) นาง บ. โจทก์ นาย พ. จําเลย ป.อ. หมิ่นประมาท มาตรา ๓๒๖ ป.วิ.อ. คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา มาตรา ๔๐ คดีนี้โจทก์ฟ้องในความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา ๓๒๖ และขอให้จําเลยชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนด้วย ซึ่งเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๔๐ แม้ว่า ในระหว่างพิจารณาจําเลยจะถึงแก่ความตายเป็นผลให้สิทธิในการนําคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๑) และศาลต้องจําหน่ายคดีอาญาออกเสียจากสารบบความก็ตาม แต่ผล ของการจําหน่ายคดีอาญาออกเสียจากสารบบความดังกล่าวหาได้ทําให้คดีในส่วนแพ่งระงับไปด้วยไม่ เพราะการพิจารณาคดีแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. กล่าวคือ สําหรับคดีในส่วนแพ่ง ศาลชั้นต้นต้องดําเนินการเลื่อนการพิจารณาคดีไปจนกว่าทายาทของจําเลยหรือผู้จัดการทรัพย์มรดก ของจําเลย หรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกไว้จะได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จําเลย ถ้าหากไม่มี บุคคลใดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนหรือเข้ามาตามหมายเรียกของศาลภายในกําหนดเวลา ๑ ปี จึงจะมีคําสั่งจําหน่ายคดีจากสารบบความได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๔๒ ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา ๔๐ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๓๒ ให้จําเลยประกาศ โฆษณาคําพิพากษาทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน และข่าวสด เป็นเวลา ๑๐ วัน ติดต่อกัน โดยจําเลยเป็นผู้ชําระค่าโฆษณา ให้จําเลยประกาศโฆษณาคําพิพากษาทั้งหมดทางสื่ออิเล็กทรอนิก ทุกช่องทาง เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ หรืออื่น ๆ เป็นเวลา ๑๐ วัน ติดต่อกัน โดยจําเลยเป็นผู้ชําระค่าใช้จ่ายเอง และให้จําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันกระทําละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ในวันนัดพร้อมเพื่อสอบคําให้การและกําหนดวันนัดสืบพยาน ทนายจําเลยยื่นคําร้องว่าจําเลย ถึงแก่ความตายตามสําเนามรณบัตร โจทก์แถลงรับว่าเป็นความจริง ศาลชั้นต้นมีคําสั่งว่า เมื่อจําเลย ถึงแก่ความตาย สิทธิในการนําคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา ๓๙ (๑) ให้จําหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ และการพิจารณาคดีแพ่ง จักทําให้การพิจารณาคดีอาญาติดขัด จึงให้แยกคดีแพ่งออกจากคดีอาญาตามประมวลกฎหมาย
๕๔ วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๑ หากโจทก์ประสงค์จะดําเนินคดีส่วนแพ่งกับทายาทจําเลยต่อไป ให้ฟ้องเข้ามาเป็นคดีใหม่ ในชั้นนี้ให้จําหน่ายคดีส่วนแพ่งออกจากสารบบความด้วย คืนค่าขึ้นศาลให้แก่โจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ ของโจทก์ว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้จําหน่ายคดีส่วนแพ่งออกจากสารบบความด้วยนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจําเลยฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖ และขอให้ จําเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนด้วย ซึ่งเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๐ แม้ว่าในระหว่างพิจารณาจําเลยจะถึงแก่ความตายเป็นผลให้สิทธิ ในการนําคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๑) และศาลต้องจําหน่ายคดีอาญาออกเสียจากสารบบความก็ตาม แต่ผลของการจําหน่าย คดีอาญาออกเสียจากสารบบความดังกล่าวหาได้ทําให้คดีในส่วนแพ่งระงับไปด้วยไม่ ทั้งนี้ เพราะการ พิจารณาคดีแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อข้อเท็จจริง ได้ความว่า จําเลยถึงแก่ความตายในระหว่างพิจารณาอันทําให้สิทธิในการนําคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ ระงับไป และศาลชั้นต้นต้องจําหน่ายคดีอาญาออกจากสารบบความ แต่สําหรับคดีในส่วนแพ่งศาลชั้นต้น ก็ต้องดําเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๒ ประกอบประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๐ กล่าวคือ ศาลชั้นต้นต้องเลื่อนการพิจารณาคดีไปจนกว่าทายาท ของจําเลยหรือผู้จัดการทรัพย์มรดกของจําเลย หรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกไว้จะได้เข้ามา เป็นคู่ความแทนที่จําเลย ถ้าหากไม่มีบุคคลใดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนหรือเข้ามาตามหมายเรียก ของศาลภายในกําหนดเวลา ๑ ปี จึงจะมีคําสั่งจําหน่ายคดีจากสารบบความได้ อีกทั้งการดําเนินคดี ส่วนแพ่งต่อไปก็มิได้ทําให้การพิจารณาคดีอาญาเนิ่นช้าหรือติดขัดตามนัยมาตรา ๔๑ แห่งประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เนื่องจากมีการจําหน่ายคดีส่วนอาญาไปทั้งคดีแล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้น มีคําสั่งให้จําหน่ายคดีส่วนแพ่งออกจากสารบบความและให้โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเข้ามาเป็นคดีใหม่นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษายกคําสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จําหน่ายคดีในส่วนแพ่งออกจากสารบบความ โดยให้ศาลชั้นต้น ดําเนินคดีในส่วนแพ่งต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๒ ประกอบประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๐ หากครบกําหนด ๑ ปี นับแต่จําเลยถึงแก่ความตายแล้ว ไม่มีบุคคลใดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนหรือเข้ามาตามหมายเรียกของศาลก็ให้จําหน่ายคดีออกจาก สารบบความได้ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ วัชระ สินจังหรีด – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ
๕๕ คดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๖๕
๕๖
๕๗ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๗๙๕/๒๕๖๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๓๘๖/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๕) ธนาคาร ก. โจทก์ บริษัท ก. กับพวก จําเลย ป.พ.พ. ผู้ค้ําประกันรับผิดเมื่อลูกหนี้ผิดนัด มาตรา ๖๘๖ จําเลยที่ ๑ ผิดนัดชําระหนี้ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัด ของจําเลยที่ ๑ ให้จําเลยที่ ๔ ทราบ โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ณ ที่ทําการไปรษณีย์ ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งยังไม่เกินกว่าระยะเวลา ๖๐ วัน นับแต่วันที่จําเลยที่ ๑ ผิดนัด แม้จําเลยที่ ๔ จะได้รับหนังสือบอกกล่าวในวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ เกินกว่าระยะเวลา ๖๐ วัน ก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความควบคุมและรู้เห็นตามสมควรของโจทก์ จําเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้ค้ําประกัน ย่อมไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพัน อันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนี้บรรดาที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นกําหนด ๖๐ วัน ------------------------------ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคําฟ้องขอให้บังคับจําเลยที่ ๑ ชําระเงิน ๗๔๑,๓๑๗.๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๘๕,๒๖๕.๕๕ บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ หากจําเลยที่ ๑ ไม่ชําระ ให้จําเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ชําระแทน หากจําเลยทั้งสี่ไม่ชําระหรือชําระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จํานองและทรัพย์สินอื่นของจําเลยทั้งสี่ ออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน จําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ขาดนัดยื่นคําให้การ จําเลยที่ ๔ ให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยที่ ๑ ชําระเงิน ๗๔๑,๓๑๗.๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๘๕,๒๖๕.๕๕ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป จนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ หากจําเลยที่ ๑ ไม่ชําระ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๖๕, ๕๑๔๒๔, ๕๑๔๒๕, ๕๑๔๒๖, ๕๑๔๒๗, ๕๑๔๒๘, ๕๑๔๒๙, ๕๑๔๓๐ และ ๕๑๙๙๑ พร้อมสิ่งปลูกสร้างนําเงินมาชําระหนี้ โจทก์จนครบ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ ออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้ โจทก์จนครบถ้วน หากจําเลยที่ ๑ ไม่ชําระหนี้ ให้จําเลยที่ ๒ และที่ ๓ ชําระเงิน ๗๔๑,๓๑๗.๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๘๕,๒๖๕.๕๕ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์แทนจําเลยที่ ๑ และให้จําเลยที่ ๔ ชําระเงิน
๕๘ ๖๙๒,๖๔๕.๖๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๒๒,๘๐๑.๙๕ บาท นับถัดจาก วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์แทนจําเลยที่ ๑ และของต้นเงิน ๑๖๒,๔๖๓.๖๐ บาท นับถัดจากวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์แทนจําเลยที่ ๑ แต่ดอกเบี้ย เมื่อคํานวณแล้วต้องไม่เกิน ๖๐ วัน กับให้จําเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จําเลยที่ ๔ ต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ มาตรา ๑๙ บัญญัติว่า ในกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ สิทธิและหน้าที่ของเจ้าหนี้และผู้ค้ําประกัน ให้เป็นไปตามมาตรา ๖๘๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมาตราดังกล่าวในวรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ําประกันภายในหกสิบวัน นับแต่วันที่ ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ําประกันชําระหนี้ก่อนที่หนังสือ บอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ําประกันมิได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ค้ําประกันที่จะชําระหนี้เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ และในวรรคสองบัญญัติว่า ในกรณีที่เจ้าหนี้มิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายในกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง ให้ผู้ค้ําประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพัน อันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้น บรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังจากพ้นกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง จําเลยที่ ๑ ผิดนัดชําระหนี้ในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวการผิดนัดของจําเลยที่ ๑ ให้จําเลยที่ ๔ ทราบโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ณ ที่ทําการไปรษณีย์ ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ตามใบไปรษณีย์ตอบรับ ซึ่งยังไม่เกินกว่าระยะเวลา ๖๐ วัน นับแต่วันที่จําเลยที่ ๑ ผิดนัด แม้จําเลยที่ ๔ จะได้รับหนังสือบอกกล่าวในวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ เกินกว่าระยะเวลา ๖๐ วัน ก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความควบคุมและรู้เห็นตามสมควรของโจทก์ จําเลยที่ ๔ ซึ่งเป็นผู้ค้ําประกัน ย่อมไม่หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพัน อันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนี้บรรดาที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นกําหนด ๖๐ วัน ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จําเลยที่ ๔ รับผิดในดอกเบี้ยคํานวณแล้วต้องไม่เกิน ๖๐ วัน นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการสุดท้ายว่า คําพิพากษาของศาลชั้นต้น กําหนดขั้นตอนการบังคับคดีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า จําเลยที่ ๑ ขอให้โจทก์ออกหนังสือ ค้ําประกันการชําระหนี้มีจําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ทําสัญญาค้ําประกัน และจําเลยที่ ๑ ยังนําทรัพย์สิน มาจํานองเป็นประกันหนี้ของตนเองดังกล่าวโดยมีข้อตกลงว่าหากบังคับจํานองได้เงินไม่พอชําระหนี้ จําเลยที่ ๑ ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ ออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้จนครบ โจทก์ จึงเป็นทั้งเจ้าหนี้สามัญผู้มีสิทธิได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินทั่วไปของลูกหนี้และเป็นเจ้าหนี้จํานอง ผู้มีสิทธิได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญโดยมีสิทธิได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินอื่น ที่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จํานองด้วย เมื่อโจทก์ฟ้องโดยใช้สิทธิทั้งสองประการดังกล่าวและมีคําขอท้ายฟ้องด้วย ว่า หากจําเลยทั้งสี่ไม่ชําระหนี้ ให้ยึดทรัพย์จํานองของจําเลยที่ ๑ และทรัพย์สินอื่นของจําเลยทั้งสี่ ออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยที่ ๑ ชําระหนี้ ตามฟ้อง หากจําเลยที่ ๑ ไม่ชําระ ให้ยึดทรัพย์สินที่จํานองออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้โจทก์
๕๙ จนครบ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ ออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้ จนครบถ้วน มีผลเป็นการกําหนดขั้นตอนในการบังคับคดีโดยให้โจทก์ต้องบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สิน ที่จํานองก่อน อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์มีสิทธิบังคับชําระหนี้น้อยกว่าสิ่งที่มีอยู่ ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีคําขอ ท้ายฟ้องมาแล้ว จึงเป็นการไม่ชอบ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยที่ ๑ ชําระเงิน ๗๔๑,๓๑๗.๙๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕๘๕,๒๖๕.๕๕ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป จนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ หากจําเลยที่ ๑ ไม่ชําระ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๖๖๕, ๕๑๔๒๔, ๕๑๔๒๕, ๕๑๔๒๖, ๕๑๔๒๗, ๕๑๔๒๘, ๕๑๔๒๙, ๕๑๔๓๐ และ ๕๑๙๙๑ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และทรัพย์สินอื่นของจําเลยที่ ๑ ออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้โจทก์จนครบ หากจําเลยที่ ๑ ไม่ชําระหรือชําระไม่ครบถ้วนให้จําเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ชําระเงินจํานวนดังกล่าวแทนจําเลยที่ ๑ นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ อาภาพร เจริญมั่น – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ
๖๐ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๖๖๐/๒๕๖๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๙๐๖/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๕/๒๕๖๕) นาย ณ. โจทก์ นางสาว น. กับพวก จําเลย ป.พ.พ. การส่งมอบขาดตกบกพร่อง มาตรา ๔๖๖ เมื่อพิจารณาจากข้อความตามหนังสือมัดจําประกอบกับข้อตกลงในสัญญาจะซื้อจะขาย ย่อมแปลเจตนาของคู่สัญญาได้ว่า เป็นการตกลงจะซื้อจะขายที่ดินจํานวนเนื้อที่ที่แน่นอนตามที่ระบุไว้ ในโฉนด เป็นการซื้อขายกันโดยถือเอาจํานวนเนื้อที่ดินเป็นสาระสําคัญอันเป็นการซื้อขายกัน โดยกําหนดจํานวนเนื้อที่ดิน ไม่ใช่การซื้อขายที่ดินโดยมีเจตนาซื้อขายกันทั้งแปลงโดยไม่คํานึงถึง จํานวนที่ดินและคิดราคาเหมา เมื่อการรังวัดที่ดินปรากฏว่าที่ดินพิพาทมีจํานวนขาดไปคิดเป็นอัตราส่วน ที่ขาดเกินกว่าร้อยละห้าของจํานวนที่ดินตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน กรณีจึงต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา ๔๖๖ วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ผู้จะซื้อจะปัดเสียหรือจะรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ เมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิรับเอาที่ดินพิพาทไว้โดยใช้ราคาตามส่วน และโจทก์เตรียมเงินมาพร้อมชําระค่าที่ดิน ส่วนที่เหลือตามสัดส่วนแล้ว แต่จําเลยทั้งหกไม่ยอมรับเงินตามส่วนและไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ให้โจทก์ จําเลยทั้งหกจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งหกรังวัดสอบเขตที่ดินเพื่อกําหนดเนื้อที่ดินในการส่งมอบ และชําระราคาซื้อขายในราคาตารางวาละ ๖๓,๐๐๐ บาท และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ให้แก่โจทก์ และให้รับเงินค่าที่ดินตามเนื้อที่ดินที่สามารถส่งมอบได้เฉพาะเงินส่วนที่เหลือหลังหักเงิน ค่าที่ดินที่โจทก์ชําระไปแล้ว โดยให้จําเลยทั้งหกรับผิดชอบชําระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน อากรแสตมป์ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการดําเนินการดังกล่าว หากจําเลยทั้งหกไม่ ปฏิบัติตามให้ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจําเลยทั้งหก จําเลยทั้งหกให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยทั้งหกโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๔๓๐ เลขที่ดิน ๙ โฉนดเลขที่ ๓๓๔๔ เลขที่ดิน ๑๐ และโฉนดเลขที่ ๓๓๔๕ เลขที่ดิน ๑๕ แก่โจทก์ โดยจําเลยทั้งหก เป็นผู้ชําระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการโอนทั้งหมด และให้โจทก์ชําระราคาค่าที่ดินดังกล่าว ตามเนื้อที่ในแผนที่พิพาทซึ่งรังวัดเมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ สารบาญอันดับที่ ๓๕ ในสํานวนคดีความ รวมเนื้อที่ ๒,๖๘๒.๖ ตารางวา ในราคาตารางวาละ ๖๓,๐๐๐ บาท โดยหักค่าที่ดินที่โจทก์ชําระไปแล้ว ๑๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท จึงเหลือเงินที่โจทก์จะต้องชําระให้แก่จําเลยทั้งหกอีก ๕๙,๐๐๓,๘๐๐ บาท
๖๑ เมื่อโจทก์ชําระเงินครบถ้วนแล้ว หากจําเลยทั้งหกไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ของจําเลยทั้งหก ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ จําเลยทั้งหกอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจําเลยทั้งหกว่า จําเลยทั้งหกเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทและต้องรับผิดแก่โจทก์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา หรือไม่ โดยจําเลยทั้งหกอุทธรณ์ในข้อที่เป็นสาระสําคัญว่า โจทก์กับจําเลยทั้งหกตกลงทําสัญญา จะซื้อจะขายที่ดินพิพาททั้งสามแปลงในลักษณะเป็นการซื้อขายแบบเหมา โดยคิดราคาที่ดินตามจํานวน เนื้อที่ดินซึ่งปรากฏอยู่ในโฉนดที่ดิน ไม่ใช่เป็นการซื้อขายตามเนื้อที่ดินจริงที่จะต้องมีการรังวัดสอบเขต เพื่อให้รู้จํานวนของเนื้อที่ดินก่อน เมื่อโจทก์ไม่ยอมชําระเงินค่าที่ดินตามกําหนดราคาที่ตกลงกันในสัญญา จําเลยทั้งหกจึงไม่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้ กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์ผิดสัญญา หาใช่จําเลยทั้งหกเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยกล่าวอ้างว่าโจทก์ตกลงทําสัญญาจะซื้อจะขาย ที่ดินพิพาทสามแปลงกับจําเลยทั้งหกตามเนื้อที่จริง เมื่อรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทแล้วได้เนื้อที่น้อยกว่า ที่ปรากฏในโฉนดที่ดินโจทก์ก็ต้องชําระค่าที่ดินตามนั้น วันนัดโอนกรรมสิทธิ์โจทก์นําแคชเชียร์เช็ค ไปพร้อมที่จะชําระค่าที่ดินแล้ว การที่จําเลยทั้งหกไม่ยอมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ให้แก่โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่จําเลยทั้งหกให้การปฏิเสธฟ้องโดยต่อสู้ว่าการทําสัญญาจะซื้อจะขาย ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นการตกลงจะซื้อจะขายที่ดินแบบเหมา หาใช่เป็นการจะซื้อจะขายตามเนื้อที่จริง ที่จะต้องสอบเขตรังวัดเนื้อที่ดินก่อน การที่โจทก์ไม่ชําระเงินค่าที่ดินตามที่กําหนดราคากันไว้ในสัญญา โจทก์ย่อมเป็นผู้ผิดสัญญา ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อพิจารณาสําเนาหนังสือ มัดจําการซื้อที่ดินแล้วได้ความจากหนังสือดังกล่าวว่าโจทก์กับจําเลยทั้งหกตกลงจะซื้อจะขายที่ดิน ทั้งสามโฉนด เนื้อที่รวมประมาณ ๗ ไร่ ๑ งาน ๙๔ ตารางวา ในราคาตารางวาละ ๖๓,๐๐๐ บาท โดยโจทก์วางเงินมัดจําไว้ให้แก่จําเลยทั้งหกก่อน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท และทั้งสองฝ่ายจะได้มาทําสัญญาจะ ซื้อจะขายที่ดินกันในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ หลังจากนั้นในวันดังกล่าวโจทก์กับจําเลยทั้งหก ก็ได้ทําสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกัน ตามสําเนาสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีข้อความดังนี้ ข้อ ๑. ที่ดินที่ซื้อขาย ผู้จะขายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน โฉนดเลขที่ ๒๔๒๐, ๓๓๔๔, ๓๓๔๕ เลขที่ดิน ๙, ๑๐, ๑๕ หน้าสํารวจ ๑๖๖๑, ๖๐, ๖๑ เนื้อที่ดินรวม ๗ ไร่ ๑ งาน ๙๔ ตารางวา และข้อ ๒. ราคาซื้อขาย ผู้จะขายตกลงขาย ผู้จะซื้อตกลงซื้อที่ดินตามที่ระบุไว้ในข้อ ๑. ในราคารวมทั้งสิ้น ๑๘๘,๖๒๒,๐๐๐ บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบแปดล้านหกแสนสองหมื่นสองพันบาทถ้วน) ราคาซื้อขายนี้เป็นการซื้อขายตามเนื้อที่ ที่ปรากฏในหน้าโฉนด โดยถือเป็นการขายยกแปลง เมื่อพิจารณาจากข้อความตามหนังสือมัดจํา ประกอบกับข้อตกลงในสัญญาจะซื้อจะขาย ย่อมแปลเจตนาของคู่สัญญาได้ว่าเป็นการตกลงจะซื้อจะขาย ที่ดินจํานวนเนื้อที่ที่แน่นอนตามที่ระบุไว้ในโฉนด คือ ๗ ไร่ ๑ งาน ๙๔ ตารางวา ในราคารวม ๑๘๘,๖๒๒,๐๐๐ บาท ซึ่งราคารวมดังกล่าวมีที่มาจากการคิดคํานวณตารางวาละ ๖๓,๐๐๐ บาท เป็นการซื้อขายกันโดยถือเอาจํานวนเนื้อที่ดินเป็นสาระสําคัญ อันเป็นการซื้อขายกันโดยกําหนดจํานวน เนื้อที่ดิน ไม่ใช่การซื้อขายที่ดินโดยมีเจตนาซื้อขายกันทั้งแปลงโดยไม่คํานึงถึงจํานวนที่ดินและคิดราคาเหมา ตามที่จําเลยทั้งหกอุทธรณ์ ดังนี้ เมื่อการรังวัดที่ดินปรากฏว่าที่ดินพิพาทมีจํานวนขาดไปคิดเป็นอัตราส่วน ที่ขาดเกินกว่าร้อยละห้าของจํานวนที่ดินตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน กรณีจึงต้องด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๖๖ วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ผู้จะซื้อจะปัดเสียหรือจะรับเอาไว้
๖๒ และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ เมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิรับเอาที่ดินพิพาทไว้โดยใช้ราคาตามส่วน และโจทก์ เตรียมเงินมาพร้อมชําระค่าที่ดินส่วนที่เหลือตามสัดส่วนแล้ว แต่จําเลยทั้งหกไม่ยอมรับเงินตามส่วน และไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ จําเลยทั้งหกจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ส่วนที่จําเลยทั้งหกอุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงในคดียังไม่ยุติว่าเนื้อที่ดินพิพาทขาดหายไปหรือไม่ นั้น เห็นว่า จําเลยทั้งหกไม่ได้อุทธรณ์ โต้แย้งว่าการรังวัดทําแผนที่พิพาทระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องอย่างไร การที่ศาลชั้นต้น ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทขาดจํานวนเนื้อที่ดินไป และมีจํานวนที่ดิน ๒,๖๘๒.๖ ตารางวา ตามที่เกิดจากการรังวัดจึงชอบแล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจําเลยทั้งหกฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ กฤษณะ สุขีวิก – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ
๖๓ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๗๗๘/๒๕๖๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๘๔๗/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๖/๒๕๖๕) นาง ส. โจทก์ บริษัท ป. กับพวก จําเลย ป.พ.พ. การใช้สิทธิที่จะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น การใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้าของ อสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย มาตรา ๔๒๑, ๑๓๓๗ ป.วิ.พ. ภาระการพิสูจน์ มาตรา ๘๔/๑ ในคดีละเมิด การใช้สิทธิเกินส่วนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือ เดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๑ และ มาตรา ๑๓๓๗ ปัญหาว่า การกระทําของจําเลยทั้งสามก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์จริงหรือไม่ เพียงใดนั้น โจทก์ต้องมีภาระ การพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการกระทําและผลว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับนั้นเป็นผลมาจาก การกระทําของจําเลยที่ ๒ ผู้รับจ้างถมดิน หากพิสูจน์ให้เห็นความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้ จําเลยทั้งสาม ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งสามร่วมกันชําระเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ จําเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จําเลยทั้งสาม กระทําให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้จําเลยที่ ๑ เจ้าของที่ดิน ชอบที่จะใช้สิทธิถมดินในที่ดินดังกล่าวของตนได้โดยชอบ ด้วยกฎหมาย และได้รับอนุญาตจากองค์การบริหารส่วนตําบลคลองข่อยให้ถมดินได้ ตามพระราชบัญญัติ การขุดดินและถมดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ ก็ตาม แต่การใช้สิทธิถมดินดังกล่าวจะต้องไม่เป็นเหตุให้เจ้าของ อสังหาริมทรัพย์อื่นได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ และเหตุอันควร ในเมื่อเอาสภาพและตําแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคํานึงประกอบตามนัย มาตรา ๑๓๓๗ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อีกทั้งหากกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ย่อมถือว่าการกระทํานั้นเป็นการกระทําละเมิดให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายต่อทรัพย์สินตามนัย มาตรา ๔๒๐ หรือเป็นการใช้สิทธิเกินส่วนตามนัยมาตรา ๔๒๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ด้วย
๖๔ โดยปัญหาว่าการกระทําของจําเลยทั้งสามดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์จริงหรือไม่ เพียงใด ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า โจทก์ต้องมีภาระการพิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง การกระทําและผลว่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับนั้นเป็นผลมาจากการกระทําของจําเลยที่ ๒ ผู้รับจ้าง ถมดิน หากพิสูจน์ให้เห็นความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่ได้ จําเลยทั้งสามก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อพิจารณา ข้อเท็จจริงที่ได้ความว่า ที่ดินของจําเลยที่ ๑ เป็นที่ดินผืนใหญ่ ในการถมดินจะต้องนําดินเข้ามาถม เป็นจํานวนมาก ปริมาณรถบรรทุกที่ใช้ในการขนดินที่แล่นผ่านเข้าออกที่ดินของจําเลยที่ ๑ ย่อมมี ปริมาณมากหรือวันละหลายเที่ยว นอกจากนี้ในการถมดินดังกล่าวยังต้องใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์อื่น ๆ ในการเกลี่ยดินและบดอัดดินเพื่อให้ถมดินได้ตามแบบแปลนถมดินที่ขออนุญาตไว้ ซึ่งการถมดิน ในลักษณะดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนทําให้เกิดคลื่นโยกผิวดินและคลื่นกระเพื่อมผิวดิน ไปยังที่ดินข้างเคียง อาจสร้างความกระทบกระเทือนเสียหายต่อโครงสร้างอาคารข้างเคียงได้ ดังนั้น เมื่อบ้านของโจทก์อยู่ห่างจากที่ดินของจําเลยที่ ๑ ประมาณ ๕๑ เมตร แรงสั่นสะเทือนจากกิจกรรม ถมดินของจําเลยที่ ๒ ย่อมส่งผลถึงโครงสร้างบ้านของโจทก์ได้ ดังจะเห็นได้จากภาพถ่ายเคลื่อนไหว จะเห็นความเคลื่อนไหวของวัตถุทรงกลมที่แขวนอยู่ที่เพดานบ้านของโจทก์ โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ความเคลื่อนไหวของวัตถุทรงกลมดังกล่าวเกิดจากแผ่นดินไหวหรือปัจจัยอื่นที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหว ในเบื้องต้นจึงสันนิษฐานได้ว่าเกิดจากการถมดินของจําเลยที่ ๒ ในที่ดินของจําเลยที่ ๑ นอกจากนี้ ได้ความจากนาย ย. พยานโจทก์ว่า พยานดูภาพถ่ายทางอากาศและวัดระยะทางจากที่ดินของจําเลยที่ ๑ กับบ้านของโจทก์ได้ความว่า ที่ดินของจําเลยที่ ๑ อยู่ห่างจากบ้านของโจทก์ ๕๑ เมตร จากการสํารวจ รอบตัวบ้านพบว่าพื้นดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่นาเดิม เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากกรมโยธาธิการและผังเมือง พบว่าที่ดินที่อยู่บริเวณใกล้กับบ้านของโจทก์มากที่สุดและอยู่ห่างกันประมาณ ๒ กิโลเมตร เป็นที่ดิน ที่เป็นดินเหนียวอ่อนมาก ดินดังกล่าวมีพฤติกรรมคล้ายของเหลว สามารถเคลื่อนตัวได้ง่าย เมื่อถูกกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อยก็สามารถทําให้ตัวบ้านเสียหายและเกิดรอยร้าวไปทั่วได้ พยาน จึงมีความเห็นว่า การถมดินเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิดรอยร้าวทั่วบริเวณบ้าน ตามรายงานผลการสํารวจ สภาพและความเสียหายของตัวบ้านโจทก์ พยานโจทก์ปากนี้จบการศึกษาในระดับปริญญาเอก ด้านวิศวกรรมโยธาและเป็นสามัญวิศวกร แม้จะเป็นผู้รับจ้างจากโจทก์สํารวจความเสียหายของบ้านโจทก์ ก็ตาม แต่น่าเชื่อว่าพยานเบิกความไปตามหลักวิชาชีพวิศวกร คําเบิกความของพยานจึงมีน้ําหนัก รับฟังได้ว่าการถมดินอาจก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนได้จริง ซึ่งในข้อนี้ได้ความตามคําให้การของจําเลยที่ ๒ ว่า เมื่อโจทก์ร้องเรียนการถมดินดังกล่าวต่อองค์การบริหารส่วนตําบลคลองข่อย จําเลยที่ ๒ ก็ได้ลดขนาดของเครื่องจักรที่ใช้ในการถมดิน ย่อมสนับสนุนให้เห็นว่า การถมดินที่ใช้เครื่องจักร ขนาดใหญ่อาจก่อให้เกิดความสั่นสะเทือนแก่บ้านของโจทก์ได้ แต่อย่างไรก็ตาม แรงสั่นสะเทือนดังกล่าว จะถึงขนาดส่งผลให้บ้านของโจทก์แตกร้าวหรือไม่นั้น ได้ความจากนาย ย. ตอบคําถามค้านทนายจําเลยที่ ๑ ว่า ในกรณีมีรถขนาดใหญ่ ๑ คัน ขับเคลื่อนบนที่ดินที่เป็นดินแข็งจะเกิดแรงสั่นสะเทือนไปไกล ๒๐ ถึง ๓๐ เมตร หากมีรถหลายคันแรงสั่นสะเทือนจะรับรู้ได้ไกลกว่านั้น หากเป็นดินอ่อนและมีพฤติกรรม คล้ายของเหลวแรงสั่นสะเทือนจะยิ่งไปได้ไกลกว่านั้น ตามคําเบิกความดังกล่าวจึงไม่แน่ชัดว่า แรงสั่นสะเทือนจากการถมดินของจําเลยที่ ๒ จะรุนแรงไปไกลถึงบ้านของโจทก์และส่งผลให้บ้าน ของโจทก์แตกร้าวได้ดังฟ้องหรือไม่ ส่วนที่พยานอ้างว่าดินอ่อนจะมีพฤติกรรมคล้ายของเหลวจะก่อให้เกิด แรงสั่นสะเทือนได้มากและไปไกลนั้น พยานก็ไม่ได้ทดสอบที่ดินในบริเวณบ้านของโจทก์ว่าเป็นดินอ่อน ต่อเนื่องมาจากที่ดินของจําเลยที่ ๑ จนถึงบ้านของโจทก์ อีกทั้งข้อเท็จจริงในเรื่องดินอ่อนและ
๖๕ มีพฤติกรรมคล้ายของเหลวตามความเห็นของพยานโจทก์ดังกล่าวเป็นเรื่องนอกเหนือวิสัย ที่ผู้ประกอบวิชาชีพถมดินทั่วไปจะคาดการณ์ได้ และหากสภาพของดินบริเวณดังกล่าวมีลักษณะ เป็นดินอ่อนและมีพฤติกรรมคล้ายของเหลว เมื่อถูกกระทบกระเทือนแล้วเกิดการสั่นสะเทือน ทําความเสียหายให้แก่สิ่งปลูกสร้างใกล้เคียงได้จริง ย่อมส่งผลให้บ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของโจทก์และบริเวณที่ถมดินได้รับความเสียหายมีรอยแตกร้าว ทํานองเดียวกันกับบ้านของโจทก์ด้วย แต่จากการนําสืบของจําเลยทั้งสามและการตรวจสอบ ของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก็ได้ความว่าบ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงที่ดิน ของจําเลยที่ ๑ ไม่ได้รับความเสียหายแตกร้าวอย่างบ้านของโจทก์ ดังนี้ พยานหลักฐานของโจทก์ ซึ่งมีภาระการพิสูจน์จึงมีน้ําหนักน้อยที่จะรับฟังว่าที่บ้านของโจทก์ได้รับความเสียหายแตกร้าวนั้น เป็นผลโดยตรงมาจากการถมดินของจําเลยที่ ๒ ในที่ดินของจําเลยที่ ๑ จําเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด ต่อโจทก์ จําเลยที่ ๑ เจ้าของที่ดิน และจําเลยที่ ๓ ผู้ออกแบบแปลนการถมดินย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ เช่นเดียวกัน ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ไม่ทําให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป ไม่จําต้องวินิจฉัย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ ชารินทร์ เจริญผล – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ
๖๖ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๙๕, ๑๔๐/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๙๕๘-๑๙๕๙/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๕) นาง ล. กับพวก โจทก์ นาย ส. จําเลย ป.พ.พ. จดทะเบียนทรัพยสิทธิ ครอบครองปรปักษ์ มาตรา ๑๒๙๙, ๑๓๘๒ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑๒ การที่โจทก์ทั้งสองจะยกการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้จําเลยได้หรือไม่นั้น ในการจะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากการนําสืบของคู่ความ ที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์ จากคําฟ้องและคําให้การแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองอ้างการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทอันเป็นการ ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แต่โจทก์ทั้งสองไม่ได้จดทะเบียนที่ดินพิพาท จึงห้ามยกขึ้นต่อสู้จําเลยบุคคลภายนอกซึ่งซื้อที่ดินพิพาทจากนาง ล. โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอํานาจฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้อง โดยไม่สืบพยานหลักฐานให้ได้ข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีเสียก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ ที่โจทก์ทั้งสองมีคําโต้แย้งมาในอุทธรณ์ว่า คําพิพากษาของศาลชั้นต้นละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ส่งคําโต้แย้งของโจทก์ทั้งสองให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑๒ เห็นว่า ที่โจทก์ทั้งสองโต้แย้งว่า คําพิพากษา ศาลชั้นต้นละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสองมิใช่เป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติของกฎหมายขัดหรือแย้ง ต่อรัฐธรรมนูญ มิใช่กรณีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑๒ จึงไม่จําต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๐๒ เนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๓ ตารางวา ให้จําเลยรื้อถอนรั้วลวดหนามออกไปจากที่ดินและห้ามมิให้จําเลยยุ่งเกี่ยวกับที่ดิน จําเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจําเลยให้เป็นพับ โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองโดยไม่ทําการสืบพยานเสียก่อนชอบหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท
๖๗ โดยการครอบครองปรปักษ์ กับให้บังคับจําเลยรื้อรั้วลวดหนามและห้ามยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท จําเลย ให้การว่าซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่า โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ หากฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสอง ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วย่อมมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จําเลยได้ที่ดินพิพาท มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตหรือไม่ และโจทก์ทั้งสอง จะยกการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้จําเลยได้หรือไม่ ซึ่งการจะวินิจฉัยประเด็น ดังกล่าวต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากการนําสืบของคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์จากคําฟ้องและ คําให้การแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสองอ้างการครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทอันเป็นการได้มา ซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แต่โจทก์ทั้งสองไม่ได้จดทะเบียนที่ดินพิพาท จึงห้ามยกขึ้นต่อสู้จําเลยบุคคลภายนอกซึ่งซื้อที่ดินพิพาทจากนาง ล. โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง โจทก์ ทั้งสองจึงไม่มีอํานาจฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้อง โดยไม่สืบพยานหลักฐานให้ได้ข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การ วินิจฉัยคดีเสียก่อน จึงเป็นการไม่ชอบ ให้ย้อนสํานวนให้ศาลชั้นต้นดําเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและ พิพากษาใหม่ตามรูปคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๒) อุทธรณ์ ของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น อนึ่ง ที่โจทก์ทั้งสองมีคําโต้แย้งมาในอุทธรณ์ว่า คําพิพากษาของศาลชั้นต้นละเมิดสิทธิ ของโจทก์ทั้งสอง ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ส่งคําโต้แย้งของโจทก์ทั้งสองให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑๒ เห็นว่า ที่โจทก์ทั้งสองโต้แย้งว่า คําพิพากษาศาลชั้นต้นละเมิดสิทธิของโจทก์ทั้งสอง มิใช่เป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติของกฎหมาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มิใช่กรณีตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑๒ จึงไม่จําต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์คําสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาของโจทก์ทั้งสองกับคืนค่าขึ้นศาล ๒๐๐ บาท แก่โจทก์ทั้งสอง และยกคําพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดําเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และมีคําพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้รวมสั่งเมื่อมีคําพิพากษาใหม่ ------------------------------ ชารินทร์ เจริญผล – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ
๖๘ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๑๖๒/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๔๔๒/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๕) นางสาว ก. โจทก์ นาย ส. จําเลย ป.พ.พ. ยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนายึดถือเพื่อตน ครอบครองปรปักษ์ มาตรา ๑๓๖๗, ๑๓๘๒ ป.วิ.พ. ภาระการพิสูจน์ ข้อที่มิได้ว่ากันมาในศาลชั้นต้น มาตรา ๘๔/๑, ๒๒๕ จากคําให้การและฟ้องแย้งของจําเลยที่ได้ยกข้อเท็จจริงขึ้นต่อสู้ในคําให้การและฟ้องแย้งแล้วว่า จําเลยได้เข้าครอบครองโดยปลูกไม้ผล ศาลชั้นต้นกําหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจําเลยได้กรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ และวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานจําเลยรับฟังไม่ได้ว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นระยะเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี การที่จําเลยอุทธรณ์ว่าจําเลยครอบครองที่ดินพิพาท โดยปลูกไม้ผล คือ ต้นมะรุม จึงเป็นการอุทธรณ์ในประเด็นที่จําเลยได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้และศาลชั้นต้น วินิจฉัยมาแล้ว มิใช่เป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจําเลย จึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย การครอบครองที่ดินอันทําให้ได้กรรมสิทธิ์นั้น ต้องเป็นการเข้ายึดถือโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตน ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๖๗ แต่สภาพที่ดินพิพาทมีลักษณะเป็นพื้นที่โล่งเตียน พื้นไม่เรียบ สูงบ้าง ต่ําบ้าง พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยหญ้าแห้งตาย ไม่มีอาณาเขตชัดเจน ยกเว้นด้านที่ติดกับสิ่งปลูกสร้างของผู้อื่น โดยเฉพาะด้านหน้าของที่ดินติดถนนมิตรภาพ ด้านข้างมีศาลาที่พักผู้โดยสาร ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าไป ในที่ดินได้ ไม่มีแนวเขตใด ๆ อันจะแสดงให้เห็นถึงเจตนาของผู้ยึดถือในการหวงกันไว้เพื่อประโยชน์แก่ตน หากจําเลยเข้ายึดถือโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตนจริงก็น่าจะต้องทําอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อแสดงการหวงกัน มิให้ผู้อื่นเข้าเกี่ยวข้องได้ ที่จําเลยอ้างว่าได้ครอบครองโดยปลูกไม้ผลเป็นต้นมะรุม แต่ก่อนถูกฟ้องคดีนี้ ได้ปรับพื้นที่เพื่อเตรียมปลูกสร้างบ้านให้แก่บุตรชาย จึงเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับสภาพที่ดินที่ปรากฏ ไม่น่าเชื่อถือ ส่วนพยานบุคคลที่จําเลยอ้างก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกโจทก์ฟ้องขับไล่ออกจากที่ดินเช่นเดียวกัน คําเบิกความของนาง ว. จึงมีน้ําหนักน้อย ทั้งเมื่อพิจารณาถ้อยคําของนาง ว. ที่เบิกความถึงการครอบครอง ที่ดินพิพาทนอกจากจะขัดแย้งกับสภาพที่ดินแล้ว ยังเป็นการเบิกความแบบกว้าง ๆ ไม่มีข้อเท็จจริง ที่เป็นรายละเอียด ทั้งที่ที่ดินพิพาทอยู่ติดที่ดินของตนเอง จึงไม่มีน้ําหนักให้น่าเชื่อว่าจะเป็นดังเช่น ที่เบิกความมาจริง สําหรับพยานปากอื่น ๆ ที่จําเลยอ้างเป็นพยาน ต่างก็เบิกความในลักษณะรับฟัง คําบอกเล่าจากบุคคลอื่นมาทั้งสิ้น มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินพิพาทของจําเลย ให้ชัดเจน เมื่อจําเลยกล่าวอ้างว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองจึงมีภาระการพิสูจน์ ให้รับฟังได้ตามภาระการพิสูจน์ของตน ------------------------------
๖๙ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน ของโจทก์ พร้อมปรับสภาพที่ดินให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย โดยให้จําเลยออกค่าใช้จ่าย กับให้จําเลยชําระเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ แก่โจทก์ กับให้จําเลยชําระค่าขาดประโยชน์เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจําเลย และบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ พร้อมปรับสภาพที่ดิน ให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย จําเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์และมีคําพิพากษาแสดงว่าจําเลยได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวโดยการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ห้ามโจทก์และบริวารเข้ามาเกี่ยวข้อง ให้โจทก์แบ่งแยกโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๔๘๔ ซึ่งจําเลย ครอบครองทั้งสองแปลงพร้อมใส่ชื่อจําเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ หากไม่ดําเนินการให้ถือเอาคําพิพากษา ของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จําเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๔๔๘๔ เนื้อที่ ๑ งาน ๒๓ ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ให้จําเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๕๓ ตารางวา กับให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เดือนละ ๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจําเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาท ในส่วนเนื้อที่ ๕๓ ตารางวา ดังกล่าว คําขออื่นตามฟ้องและฟ้องแย้งให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ และจําเลยให้เป็นพับ จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์จําเลยว่า จําเลยได้กรรมสิทธิ์ ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินบางส่วนอีกบริเวณหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๘๔ ของโจทก์เนื้อที่ ๕๓ ตารางวา ตรงกับที่ดินหมายเลข ๓ โดยการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามคําให้การและฟ้องแย้งของจําเลย จําเลยให้การต่อสู้และฟ้องแย้งว่าจําเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยเข้าปลูกไม้ผลโดยสงบ โดยเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง เป็นคดีพิพาท เกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ที่ดิน เข้าลักษณะเป็นคดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ การคิดทุนทรัพย์ถือตามราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ ๕๓ ตารางวา มีราคาประเมินตามที่คู่ความยอมรับกันในรายงานกระบวนพิจารณา ฉบับลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ ตารางวาละ ๒,๒๕๐ บาท คิดเป็นเงิน ๑๑๙,๒๕๐ บาท จึงมีทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ตามราคาทรัพย์สิน ที่พิพาทดังกล่าว ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และจากคําให้การและฟ้องแย้งของจําเลยที่ได้ ยกข้อเท็จจริงขึ้นต่อสู้ในคําให้การและฟ้องแย้งแล้วว่าจําเลยได้เข้าครอบครองโดยปลูกไม้ผล ศาลชั้นต้น กําหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจําเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ และ วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานจําเลยรับฟังไม่ได้ว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นระยะเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี การ ที่จําเลยอุทธรณ์ว่าจําเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปลูกไม้ผล คือต้นมะรุม จึงเป็นการอุทธรณ์ใน ประเด็นที่จําเลยได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้และศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้ว มิใช่เป็นอุทธรณ์ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่า กันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจําเลยจึงไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ส่วนปัญหาตามอุทธรณ์ ของจําเลยที่ว่า จําเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปลูกไม้ผลโดยความสงบ โดยเปิดเผยและด้วยเจตนา
๗๐ เป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปี หรือไม่ นั้น จําเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ที่ดินพิพาท เนื้อที่ ๕๓ ตารางวา ด้านทิศเหนือติดถนนมิตรภาพ ด้านทิศตะวันออกติดศาลาเอนกประสงค์ของชุมชน และเส้นทางสัญจรที่ใช้ร่วมกันของชาวบ้านในชุมชน ด้านทิศใต้ติดทางสัญจรร่วมกันของชุมชน และด้าน ทิศตะวันตกติดกับบ้านของนาง ว. จําเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยปลูกไม้ผลด้วยความสงบ เปิดเผย โดยมีเจตนาเป็นเจ้าของ และหวงกันไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องตั้งแต่ย้ายเข้ามาปี ๒๕๓๑จนถึงปัจจุบัน เป็นระยะเวลากว่า ๓๓ ปี แต่ก่อนถูกฟ้องคดีนี้จําเลยได้ปรับพื้นที่เพื่อเตรียมปลูกสร้างบ้านให้บุตรชาย เห็นว่า การครอบครองที่ดินอันทําให้ได้กรรมสิทธิ์นั้น ต้องเป็นการเข้ายึดถือโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ แต่สภาพที่ดินพิพาทมีลักษณะเป็นพื้นที่โล่งเตียน พื้นไม่เรียบ สูงบ้าง ต่ําบ้าง พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยหญ้าแห้งตาย ไม่มีอาณาเขตชัดเจน ยกเว้นด้านที่ ติดกับสิ่งปลูกสร้างของผู้อื่น โดยเฉพาะด้านหน้าของที่ดินติดถนนมิตรภาพ ด้านข้างมีศาลาที่พักผู้โดยสาร ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าไปในที่ดินได้ ไม่มีแนวเขตใด ๆ อันจะแสดงให้เห็นถึงเจตนาของผู้ยึดถือในการหวง กันไว้เพื่อประโยชน์แก่ตน หากจําเลยเข้ายึดถือโดยมีเจตนายึดถือเพื่อตนจริงก็น่าจะต้องทําอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงการหวงกันมิให้ผู้อื่นเข้าเกี่ยวข้องได้ ที่จําเลยอ้างว่าได้ครอบครองโดยปลูกไม้ผลเป็นต้นมะรุม แต่ก่อนถูกฟ้องคดีนี้ได้ปรับพื้นที่เพื่อเตรียมปลูกสร้างบ้านให้แก่บุตรชาย จึงเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับสภาพ ที่ดินที่ปรากฏไม่น่าเชื่อถือ ส่วนพยานบุคคลที่จําเลยอ้างเป็นพยานคือนาง ว. ซึ่งปลูกสร้างบ้านติดกับ ที่ดินพิพาท เบิกความสรุปได้ว่า จําเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปลูกไม้ผล ต่อมาได้จัดเตรียมหน้าดิน ทราบว่าจะปลูกสร้างบ้านให้แก่บุตร เห็นว่า นาง ว. พยานจําเลยก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ถูกโจทก์ฟ้องขับไล่ ออกจากที่ดินเช่นเดียวกัน คําเบิกความของนาง ว. จึงมีน้ําหนักน้อย ทั้งเมื่อพิจารณาถ้อยคําของนาง ว. ที่เบิกความถึงการครอบครองที่ดินพิพาทนอกจากจะขัดแย้งกับสภาพที่ดินแล้ว ยังเป็นการเบิกความแบบ กว้าง ๆ ไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียด ทั้งที่ที่ดินพิพาทอยู่ติดที่ดินของตนเอง จึงไม่มีน้ําหนักให้น่าเชื่อ ว่าจะเป็นดังเช่นที่เบิกความมาจริง สําหรับพยานปากอื่น ๆ ที่จําเลยอ้างเป็นพยาน ได้แก่ นาย บ. ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๕ ตําบลทับกวาง นาย ว. กํานันตําบลทับกวาง และนาย ป. อดีตเลขานุการ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองทับกวาง ต่างก็เบิกความในลักษณะรับฟังคําบอกเล่าจากบุคคลอื่นมาทั้งสิ้น มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินพิพาทของจําเลยให้ชัดเจน เมื่อจําเลยกล่าวอ้างว่าตน ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง จึงมีภาระการพิสูจน์ให้รับฟังได้ตามภาระการพิสูจน์ของ ตน แต่พยานหลักฐานที่นําสืบมามีข้อขัดแย้งต่อสภาพที่ปรากฏ และพยานบุคคลไม่มีน้ําหนักน่าเชื่อถือ จึงรับฟังไม่ได้ว่าจําเลยได้ครอบครองที่ดินพาทโดยความสงบ โดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็น เวลาเกินกว่า ๑๐ ปี จําเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ อุทธรณ์จําเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จําเลยออกจากที่ดินพิพาทและ ให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจําเลย และบริวารจะออกจากที่ดินพิพาทเป็นการพิพากษาเกินคําขอหรือไม่ จําเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องขับไล่ จําเลยและเรียกค่าเสียหายจากกรณีจําเลยเข้าปลูกสร้างโรงเรือนเลขที่ ๒๕/๒ ไม่ได้มีคําขอให้จําเลยชําระ ค่าเสียหายจากกรณีที่จําเลยครอบครองที่ดินพิพาท การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยและบริวารออก จากที่ดินพิพาทและกําหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาท จนกว่าจําเลยและบริวารจะออก จากที่ดินพิพาทเกินคําขอโจทก์ ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ วรรคหนึ่ง เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ บัญญัติว่า “คําพิพากษาหรือ
๗๑ คําสั่งของศาลที่ชี้ขาดต้องตัดสินตามข้อหาในคําฟ้องทุกข้อ แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือทําคําสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคําฟ้อง เว้นแต่ (๑) ในคดีฟ้องเรียกอสังหาริมทรัพย์ ให้พึงเข้าใจว่า เป็นประเภทเดียวกับฟ้องขอให้ขับไล่จําเลย ถ้าศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เมื่อศาลเห็นสมควรศาลจะ มีคําสั่งให้ขับไล่จําเลยก็ได้ คําสั่งเช่นว่านี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของจําเลยที่อยู่ บนอสังหาริมทรัพย์นั้น ซึ่งไม่สามารถแสดงอํานาจพิเศษให้ศาลเห็นได้ ...” คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จําเลยปลูก สร้างโรงเรือนเลขที่ ๒๕/๒ ในที่ดินโจทก์ ทําให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ขับไล่จําเลยและรื้อถอนสิ่ง ปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ กับให้ชดใช้ค่าเสียหาย เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขับไล่จําเลยออกไปจาก ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๘๔ ของโจทก์ทั้งแปลง และเรียกค่าเสียหายจากการทําละเมิดของจําเลย ซึ่งตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๑) ให้ถือว่าการฟ้องเรียกเอาอสังหาริมทรัพย์เป็น ประเภทเดียวกับฟ้องขับไล่จําเลย และหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี เมื่อศาลเห็นสมควรจะมีคําสั่ง ให้ขับไล่จําเลยก็ได้ ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีสําหรับที่ดินพิพาท การที่ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จําเลยออกจากที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๕๓ ตารางวา กับให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจําเลยและบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทในส่วนเนื้อที่ ๕๓ ตารางวา ดังกล่าวด้วย แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องถึงการบุกรุกที่ดินพิพาทของจําเลยและขอให้จําเลย ชดใช้ค่าเสียหายมาด้วย คงบรรยายฟ้องและเรียกค่าเสียหายเฉพาะกรณีจําเลยบุกรุกปลูกสร้างโรงเรือน เลขที่ ๒๕/๒ เท่านั้น แต่ที่ดินพิพาทและโรงเรือนเลขที่ ๒๕/๒ ก็อยู่บนที่ดินของโจทก์โฉนดเดียวกันกับที่ โจทก์ฟ้องขับไล่และมีคําขอให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหาย จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ ปรากฏในคําฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์จําเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง การสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๑ นั้น ศาลต้องสั่งให้ชัดแจ้งว่าเป็นค่าฤชาธรรมเนียมสําหรับฟ้องเดิมหรือฟ้องแย้งของจําเลย แต่ศาลชั้นต้นสั่งให้ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์และจําเลยให้เป็นพับยังไม่ชัดแจ้ง ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นสมควรสั่งให้ ถูกต้อง พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งทั้งสองศาลให้เป็นพับ ------------------------------ ธนวรรธน์ พลศักดิ์ – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ
๗๒ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๑๓๕/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๖๖๗/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๗/๒๕๖๕) ธนาคาร ก. โจทก์ นาย พ. ผู้ซื้อทรัพย์ นาย ว. จําเลย ป.วิ.พ. วิธีการบังคับคดี ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี การเพิกถอน/แก้ไขการบังคับคดีผิดระเบียบ การขายทอดตลาด มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘, ๒๙๕, ๓๓๑ แม้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาขอให้บังคับคดี ถ้าศาลเห็นว่าลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ทราบหรือถือว่าได้ทราบคําบังคับแล้ว ทั้งระยะเวลาที่กําหนดไว้ เพื่อให้ปฏิบัติตามคําบังคับนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว และคําขอได้ระบุข้อความไว้ครบถ้วน ให้ศาลกําหนด วิธีการบังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้และตามมาตรา ๒๑๓ แห่ง ป.พ.พ. ดังต่อไปนี้ (๑) ถ้าการบังคับคดีต้องทําโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงาน บังคับคดี และแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ เพื่อดําเนินการต่อไปตามที่กําหนดไว้ในหมายนั้น ...” มาตรา ๒๗๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อศาลได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจในฐานะเป็นเจ้าพนักงานศาลในการดําเนินการบังคับคดีให้เป็นไป ตามที่ศาลได้กําหนดไว้ในหมายบังคับคดีและตามบทบัญญัติในลักษณะ ๒ แห่งภาคนี้” ซึ่งมีความหมายว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น แม้จะเป็นเจ้าพนักงานในสังกัดกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตามที่บัญญัติไว้ ในมาตรา ๑ (๔) มิใช่เจ้าพนักงานในสังกัดของสํานักงานศาลยุติธรรมก็ตาม แต่กฎหมายให้ถือว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเจ้าพนักงานของศาล ซึ่งหมายถึงเป็นเจ้าพนักงานที่ได้รับอํานาจจากศาล ให้ดําเนินการบังคับคดีแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของศาลที่ออกหมายบังคับคดี ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่จะต้องดําเนินการตามคําสั่งศาลที่กําหนดไว้ในหมายบังคับคดี รวมทั้งต้องปฏิบัติ ตามบทบัญญัติต่าง ๆ ในลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของภาค ๔ แห่ง ป.วิ.พ. และ หากเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ศาลมีอํานาจสั่ง เพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคําสั่งกําหนด วิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๕ สําหรับ วิธีการขายทอดตลาดนั้น บทบัญญัติมาตรา ๓๓๑ วรรคหนึ่ง กําหนดให้เจ้าพนักงานบังคับคดี ต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. และกฎกระทรวงหรือตามที่ศาลมีคําสั่งกําหนด ดังนั้น นอกจากวิธีการที่กําหนด ไว้ใน ป.พ.พ. แล้ว หากได้มีการออกกฎกระทรวงกําหนดวิธีการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องทําเพิ่มเติม ไว้อย่างไร เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามนั้นด้วย มิฉะนั้น จะถือว่าเป็นการดําเนินการ ที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายและอาจถูกศาลสั่งเพิกถอนได้ ตามมาตรา ๒๙๕ ที่กล่าวถึงข้างต้น อย่างไรก็ตาม มาตรา ๓๓๑ วรรคหนึ่ง ยังให้ศาลมีอํานาจออกคําสั่งกําหนดวิธีการหรือคําสั่งอย่างใด ๆ เกี่ยวกับ
๗๓ การขายทอดตลาดได้ด้วย ซึ่งอาจกําหนดเป็นการทั่วไปหรือเป็นรายคดีก็ได้ ดังนั้น หากศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดีเห็นว่ากําหนดระยะเวลาการวางเงินค่าซื้อทรัพย์ที่เหลือซึ่งเจ้าพนักงาน บังคับคดีกําหนดไว้ตามอํานาจหน้าที่ที่มีอยู่ยังไม่เหมาะสมแก่กรณีหรือไม่เพียงพอแก่เหตุผล และความจําเป็นโดยสุจริตของผู้ซื้อทรัพย์ ก็มีอํานาจที่จะออกคําสั่งกําหนดระยะเวลาที่เหมาะสม สําหรับการชําระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือได้ โดยไม่จําต้องให้ผู้ซื้อทรัพย์ไปยื่นคําร้องขอต่อเจ้าพนักงาน บังคับคดีเสียก่อน ศาลชั้นต้นจึงมีอํานาจรับคําร้องของผู้ซื้อทรัพย์ไว้ไต่สวนและมีอํานาจพิจารณา และมีคําสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือได้ ------------------------------ คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคําพิพากษาตามยอมและออกคําบังคับให้จําเลยชําระหนี้ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์ หากจําเลยผิดนัดให้ยึดทรัพย์จํานอง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๒๒๗๕ พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจําเลยออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชําระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ของจําเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินชําระหนี้แก่โจทก์จนครบ จําเลยไม่ปฏิบัติตามคําบังคับ โจทก์ขอให้ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีสํานักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรี ดําเนินการบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีทําการยึดทรัพย์จํานองออกขายทอดตลาด ผู้ซื้อทรัพย์ เป็นผู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวของจําเลยได้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ในราคา ๙,๙๐๐,๐๐๐ บาท โดยวางเงินมัดจําต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ในวันขายทอดตลาด ๖๐๐,๐๐๐ บาท และทําสัญญาซื้อขายตกลงจะชําระเงินส่วนที่เหลือ ๙,๓๐๐,๐๐๐ บาท แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันทําสัญญาซื้อขาย ในวันทําสัญญาซื้อขายนั้น ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคําร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือทั้งหมด ออกไปมีกําหนด ๓ เดือน นับแต่วันครบกําหนด ๑๕ วัน ตามสัญญาซื้อขาย โดยขอขยายถึงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๔ เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคําสั่งอนุญาตตามคําร้องขอของผู้ซื้อทรัพย์ ตามสําเนา ประกาศขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของเจ้าพนักงานบังคับคดี สําเนาหนังสือสัญญาซื้อขาย และสําเนาภาพถ่ายคําร้องที่ผู้ซื้อทรัพย์แนบมาท้ายคําร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคําร้องว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีสํานักงานบังคับคดี จังหวัดนนทบุรี อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือ ๙,๓๐๐,๐๐๐ บาท แก่ผู้ซื้อทรัพย์ตามคําขอของผู้ซื้อทรัพย์แล้วเป็นเวลา ๓ เดือน จะครบกําหนดในวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๔ แต่เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ระลอกที่สามส่งผลกระทบต่อธุรกิจของผู้ซื้อทรัพย์ ทําให้ไม่สามารถหาเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือมาชําระได้ทันตามวันที่จะครบกําหนดดังกล่าวได้ จึงขออนุญาตขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือออกไปอีก ๓ เดือน (นับแต่วันถัดจากวันที่ ครบกําหนดตามคําสั่งอนุญาตของเจ้าพนักงานบังคับคดี คือ นับแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๔) ศาลชั้นต้นสั่งคําร้องว่า นัดไต่สวนคําร้อง หมายแจ้งวันนัดให้โจทก์ จําเลยและ เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ โดยศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคําร้องวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๙ นาฬิกา โจทก์ยื่นคําร้องว่า โจทก์ไม่คัดค้านหากศาลจะอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ แต่ขอให้มีคําสั่งให้ผู้ซื้อทรัพย์วางเงินต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ศาลมีคําสั่ง ส่วนจําเลยไม่ยื่นคําคัดค้านคําร้อง ในวันนัดไต่สวนคําร้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่า นับถึงวันไต่สวน
๗๔ ล่วงเลยระยะเวลา ๓ เดือน ที่ผู้ซื้อทรัพย์ขอขยายแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะทําการไต่สวนคําร้องต่อไป จึงงดไต่สวนคําร้องแต่สอบถามผู้รับมอบอํานาจผู้ซื้อทรัพย์แล้วได้ความว่า เจ้าพนักงานบังคับคดี ยังไม่ได้นําทรัพย์จํานองออกขายทอดตลาดใหม่ ประกอบกับโจทก์ยื่นคําแถลงไม่คัดค้านคําร้อง หากศาลจะสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินแก่ผู้ซื้อทรัพย์ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงมีคําสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์แก่ผู้ซื้อทรัพย์อีก ๗ วัน นับแต่วันที่มีคําสั่ง ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์ว่า เหตุการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-๑๙ ทําให้ผู้ซื้อทรัพย์ซึ่งประกอบธุรกิจซื้อขายรถยนต์ใช้แล้ว ไม่สามารถเก็บเงินได้ตามเป้าหมาย จึงไม่อาจหาเงิน ค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือ ซึ่งเป็นเงินจํานวนมากมาชําระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทันภายในเวลา ที่ศาลชั้นต้นกําหนด ถือว่ามีเหตุผลจําเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้และเป็นเหตุสุดวิสัย ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือเป็นเวลา ๓ เดือน ตามคําร้องของผู้ซื้อทรัพย์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ (๔) จะบัญญัติให้การขายทอดตลาดหรือจําหน่ายโดยวิธีอื่นซึ่งทรัพย์สินที่ได้มาจากการยึด หรือการอายัดหรือสิทธิเรียกร้องที่ได้อายัดไว้ เป็นอํานาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีและถือได้ว่า การกําหนดระยะเวลาการชําระราคาค่าซื้อทรัพย์รวมถึงการอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการชําระเงิน ค่าซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดเป็นขั้นตอนหรือส่วนหนึ่งของกระบวนการขายทอดตลาด ของเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งอยู่ในอํานาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม แต่ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาขอให้บังคับคดี ถ้าศาลเห็นว่าลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ทราบหรือถือว่าได้ทราบคําบังคับแล้ว ทั้งระยะเวลาที่กําหนดไว้ เพื่อให้ปฏิบัติตามคําบังคับนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว และคําขอได้ระบุข้อความไว้ครบถ้วน ให้ศาลกําหนดวิธีการ บังคับคดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้และตามมาตรา ๒๑๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ ดังต่อไปนี้ (๑) ถ้าการบังคับคดีต้องทําโดยทางเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ศาลออกหมายบังคับคดี ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี และแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ เพื่อดําเนินการต่อไปตามที่กําหนดไว้ ในหมายนั้น ...” มาตรา ๒๗๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อศาลได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงาน บังคับคดีแล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีอํานาจในฐานะเป็นเจ้าพนักงานศาล ในการดําเนินการบังคับคดี ให้เป็นไปตามที่ศาลได้กําหนดไว้ในหมายบังคับคดีและตามบทบัญญัติในลักษณะ ๒ แห่งภาคนี้” ซึ่งมีความหมายว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น แม้จะเป็นเจ้าพนักงานในสังกัดกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑ (๔) มิใช่เจ้าพนักงานในสังกัดของสํานักงานศาลยุติธรรมก็ตาม แต่กฎหมาย ให้ถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเจ้าพนักงานของศาล ซึ่งหมายถึงเป็นเจ้าพนักงานที่ได้รับอํานาจจากศาล ให้ดําเนินการบังคับคดีแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของศาลที่ออกหมายบังคับคดี ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่จะต้องดําเนินการตามคําสั่งศาลที่กําหนดไว้ในหมายบังคับคดี รวมทั้งต้องปฏิบัติ ตามบทบัญญัติต่าง ๆ ในลักษณะ ๒ การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของภาค ๔ แห่งประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และหากเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการบังคับคดีบกพร่อง ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ศาลมีอํานาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆ โดยเฉพาะหรือมีคําสั่งกําหนดวิธีการอย่างใดแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ศาลเห็นสมควร ดังที่บัญญัติไว้ ในมาตรา ๒๙๕ สําหรับวิธีการขายทอดตลาดนั้น บทบัญญัติมาตรา ๓๓๑ วรรคหนึ่ง กําหนดให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และกฎกระทรวงหรือตามที่ศาล
๗๕ มีคําสั่งกําหนด ดังนั้น นอกจากวิธีการที่กําหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว หากได้มีการ ออกกฎกระทรวงกําหนดวิธีการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องทําเพิ่มเติมไว้อย่างไร เจ้าพนักงานบังคับคดี ก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามนั้นด้วย มิฉะนั้น จะถือว่าเป็นการดําเนินการที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายและ อาจถูกศาลสั่งเพิกถอนได้ ตามมาตรา ๒๙๕ ที่กล่าวถึงข้างต้น อย่างไรก็ตาม มาตรา ๓๓๑ วรรคหนึ่ง ยังให้ศาลมีอํานาจออกคําสั่งกําหนดวิธีการหรือคําสั่งอย่างใด ๆ เกี่ยวกับการขายทอดตลาดได้ด้วย ซึ่งอาจกําหนดเป็นการทั่วไปหรือเป็นรายคดีก็ได้ ดังนั้น หากศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดี เห็นว่ากําหนดระยะเวลาการวางเงินค่าซื้อทรัพย์ที่เหลือซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีกําหนดไว้ตามอํานาจหน้าที่ ที่มีอยู่ยังไม่เหมาะสมแก่กรณีหรือไม่เพียงพอแก่เหตุผลและความจําเป็นโดยสุจริตของผู้ซื้อทรัพย์ ก็มีอํานาจที่จะออกคําสั่งกําหนดระยะเวลาที่เหมาะสมสําหรับการชําระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือได้ โดยไม่จําต้องให้ผู้ซื้อทรัพย์ไปยื่นคําร้องขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเสียก่อน ศาลชั้นต้นจึงมีอํานาจ รับคําร้องของผู้ซื้อทรัพย์ไว้ไต่สวนและมีอํานาจพิจารณาและมีคําสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลา การวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือได้ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์ว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคําสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลา ชําระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือแก่ผู้ซื้อทรัพย์เพียง ๗ วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นตันมีคําสั่ง เป็นการกําหนด ระยะเวลาที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ เห็นว่า แม้เงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือเป็นจํานวน ๙,๓๐๐,๐๐๐ บาท ถือว่าเป็นเงินค่อนข้างมากก็ตาม แต่ก่อนจะเข้าประมูลสู้ราคาในการขายทอดตลาดทรัพย์ ของเจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้ซื้อทรัพย์ย่อมต้องทราบเงื่อนไขการชําระราคาค่าซื้อทรัพย์ ตามประกาศ ของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นอย่างดีว่าหากผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ประมูลได้จะต้องชําระราคาค่าซื้อทรัพย์ ส่วนที่เหลือร้อยละ ๗๕ ให้ครบถ้วน ภายในระยะเวลา ๑๕ วัน นับแต่วันทําสัญญาซื้อขาย ผู้ซื้อทรัพย์ น่าจะต้องวางแผนเตรียมการเรื่องเงินที่จะใช้ซื้อทรัพย์มาก่อนล่วงหน้าแล้ว และเมื่อครบกําหนด ๑๕ วัน นับแต่วันทําสัญญาซื้อขายกับเจ้าพนักงานบังคับคดี ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคําร้องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือออกไปมีกําหนด ๓ เดือน นับแต่วันครบกําหนด ๑๕ วัน ตามสัญญาซื้อขายโดยขอขยายถึงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๔ ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีก็มีคําสั่ง อนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินส่วนที่เหลือได้ตามคําร้องของผู้ซื้อทรัพย์ ต่อมาผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคําร้อง ต่อศาลชั้นต้นขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือต่อไปอีก ๓ เดือน นับถัดจากวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๔ คือ นับแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ซึ่งจะครบกําหนดระยะเวลา ๓ เดือน ตามคําร้องในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๖๔ แต่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคําร้องของผู้ซื้อทรัพย์ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ซึ่งเป็นเวลาล่วงเลยระยะเวลา ๓ เดือน ตามคําขอของผู้ร้องมาแล้วถึง ๗๔ วัน ในวันนัดไต่สวน คําร้อง ศาลชั้นต้นจึงมีคําสั่งให้งดไต่สวนคําร้องและมีคําสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาชําระเงิน แก่ผู้ซื้อทรัพย์มีกําหนด ๗ วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคําสั่ง จึงเท่ากับผู้ซื้อทรัพย์ได้รับอนุญาต ให้ขยายระยะเวลาชําระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือตามคําร้องเป็นเวลานานถึง ๓ เดือน ๘๑ วัน เกินกว่าความประสงค์ตามคําขอของผู้ซื้อทรัพย์ถึง ๘๑ วัน อยู่แล้ว เมื่อรวมกับระยะเวลา ๓ เดือน ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคําสั่งอนุญาตให้ขยายมาก่อนหน้านี้แล้วเป็นเวลายาวนานถึง ๖ เดือน ๘๑ วัน หรือเกือบ ๙ เดือน นับเป็นระยะเวลายาวนานมากเพียงพอแก่เหตุผลและความจําเป็นของผู้ซื้อทรัพย์ ที่อ้างว่ามีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่า ๒๐๑๙ หรือโควิด-๑๙ ทําให้ธุรกิจของผู้ซื้อทรัพย์ หยุดชะงักแล้ว แต่ผู้ซื้อทรัพย์ก็ยังไม่ได้นําเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือไปวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แม้เพียงบางส่วนกลับยังคงใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คําสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ต่อมาอีก จนถึงบัดนี้
๗๖ เป็นเวลายาวนานถึง ๑ ปี ๓ เดือนเศษ นับแต่วันทําสัญญาซื้อขายกับเจ้าพนักงานบังคับคดี พฤติการณ์ ของผู้ซื้อทรัพย์ส่อว่ายื่นคําร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือต่อศาลชั้นต้น และยื่นอุทธรณ์คําสั่งศาลชั้นต้นโดยมีเจตนาประวิงการชําระเงินค่าซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาด ให้นานที่สุด จนเมื่อผู้ซื้อทรัพย์ไม่วางเงินตามที่ศาลชั้นต้นกําหนดและตกเป็นผู้ผิดสัญญาซื้อขาย จะเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องนําที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ยึดไว้ออกขายทอดตลาดใหม่ เป็นครั้งที่ ๒ เห็นได้ว่า เป็นการกระทําโดยมีเจตนาประวิงการบังคับคดีให้ติดขัดล่าช้า ที่ศาลชั้นต้น เห็นว่า ในวันไต่สวนคําร้องล่วงพ้นระยะเวลา ๓ เดือน ตามที่ผู้ซื้อทรัพย์ร้องขอแล้ว แต่เพื่อประโยชน์ แห่งความยุติธรรมจึงใช้ดุลพินิจสั่งขยายระยะเวลาชําระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือแก่ผู้ซื้อทรัพย์ เพียง ๗ วัน นับแต่วันที่ศาลมีคําสั่งจึงเหมาะสมแก่คดีแล้ว ไม่มีเหตุผลสมควรที่จะขยายระยะเวลา ชําระเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือแก่ผู้ซื้อทรัพย์ให้มากกว่าที่ศาลชั้นต้นกําหนด อุทธรณ์ของผู้ซื้อทรัพย์ ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ศาลชั้นต้นยังมิได้มีคําสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นสมควรแก้ไข ให้ถูกต้อง พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ ------------------------------ เอกพจน์ สุดตานา – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ
๗๗ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๑๘๘/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๖๗๕/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๕) นาง ว. โจทก์ บริษัท อ. จําเลย ป.พ.พ. ทางจําเป็น มาตรา ๑๓๔๙ วรรคหนึ่ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๔๙ วรรคหนึ่ง ที่ระบุให้ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ เห็นได้ว่ากฎหมายมิได้บัญญัติว่าทางจําเป็นต้องเชื่อมต่อหรือติดกับทางสาธารณะเสมอไปไม่ ความมุ่งหมายที่สําคัญคือให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่นั้นมีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้น กรณีแห่งคดีนี้ ข้อเท็จจริงได้ความว่าหากโจทก์ผ่านทางพิพาทในที่ดินของจําเลย โจทก์สามารถไปตามทางจนในที่สุดถึง ทางสาธารณะได้ ดังนี้ ที่ดินของจําเลยย่อมเป็นทางจําเป็นตามความมุ่งหมายแห่งบทบัญญัติของกฎหมาย มาตราดังกล่าว แม้จะฟังว่าโจทก์ผ่านทางพิพาทในที่ดินของจําเลยตามที่โจทก์ฟ้องขอเปิดทางจําเป็น แล้วโจทก์จะต้องผ่านถนนคอนกรีตซึ่งเป็นถนนส่วนบุคคลของจําเลยก็ตาม และเมื่อได้ความว่า จําเลยอนุญาตให้ชาวบ้านละแวกนั้นใช้เส้นทางถนนคอนกรีตส่วนบุคคลดังกล่าวและหากเดินตามทาง ไปในที่สุดจะถึงถนนพหลโยธินซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ เช่นนี้ เมื่อที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออก สู่ทางสาธารณะได้และหากโจทก์ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจําเลยตามที่โจทก์ขอเปิดทางจําเป็นเข้าออก สู่ถนนคอนกรีตส่วนบุคคลของจําเลย โจทก์สามารถออกไปสู่ถนนพหลโยธินซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ ทางพิพาทย่อมเป็นทางจําเป็นตามบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิตามกฎหมาย ขอเปิดทางจําเป็นในที่ดินของจําเลยได้ ------------------------------ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคําฟ้องขอให้บังคับจําเลยเปิดทางจําเป็นในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๒๘๕ ของจําเลยที่ติดกับที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ ๔๒๐๘๓ ยาวตามแนวเขตที่ดินทางทิศตะวันตก มีความกว้าง ๖ เมตร ยาว ๒๔ เมตร เพื่อใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินโจทก์สู่ทางสาธารณะ รวมทั้ง สาธารณูปโภคที่จําเป็น ซึ่งโจทก์ต้องทําในทางจําเป็น เช่น ถนน ท่อน้ําประปา ท่อระบายน้ํา และปักเสา พาดสายไฟฟ้าในทางจําเป็นดังกล่าวด้วย จําเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยเปิดทาง กว้าง ๔ เมตร ยาว ๒๔ เมตร ในที่ดินของจําเลย โฉนดเลขที่ ๓๔๒๘๕ จากขอบที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ ๔๒๐๘๓ จรดขอบถนนคอนกรีตในที่ดิน ของจําเลย ให้โจทก์มีหน้าที่ในการปรับทางดังกล่าวให้เป็นทางเดินหรือถนนด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง
๗๘ โดยกําหนดค่าทดแทนที่โจทก์ต้องชําระแก่จําเลยปีละ ๓,๐๐๐ บาท ชําระภายในทุกสิ้นปีของทุกปี จนกว่าทางดังกล่าวจะสิ้นสภาพความจําเป็น ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คําขอนอกจากนี้ให้ยก จําเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๐๘๓ และเลขที่ ๙๑๓๗ ส่วนจําเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๔๒๘๕ ตามสําเนาโฉนดที่ดิน ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของผู้อื่นและที่ดินของจําเลยปิดล้อมทั้งสี่ทิศไม่มีทางออก สู่ทางสาธารณะ ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจําเลยมีว่า จําเลยต้องเปิดทางจําเป็นให้โจทก์หรือไม่ โดยจําเลยอุทธรณ์ว่า ถนนคอนกรีตบนที่ดินของจําเลยเป็นถนนส่วนบุคคล มิใช่ทางสาธารณะ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยเปิดทางในที่ดินของจําเลยโฉนดเลขที่ ๓๔๒๘๕ จากขอบที่ดินของโจทก์ โฉนดเลขที่ ๔๒๐๘๓ จรดขอบถนนคอนกรีตส่วนบุคคลในที่ดินของจําเลย เท่ากับบังคับให้จําเลย เปิดทางในที่ดินของจําเลยไปจรดถนนคอนกรีตส่วนบุคคล หาใช่จรดถึงทางสาธารณะแต่อย่างใด ขัดกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มุ่งหมายให้ที่ดินที่ถูกล้อมมีทางออกถึงทางสาธารณะเท่านั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๔๙ วรรคหนึ่ง ที่ระบุให้ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ เจ้าของที่ดิน แปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ เห็นได้ว่ากฎหมายมิได้บัญญัติว่าทางจําเป็น ต้องเชื่อมต่อหรือติดกับทางสาธารณะเสมอไปไม่ ความมุ่งหมายที่สําคัญคือให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่นั้น มีทางออกถึงทางสาธารณะได้เท่านั้น กรณีแห่งคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าหากโจทก์ผ่านทางพิพาท ในที่ดินของจําเลย โจทก์สามารถไปตามทางจนในที่สุดถึงทางสาธารณะได้ ดังนี้ ที่ดินของจําเลย ย่อมเป็นทางจําเป็นตามความมุ่งหมายแห่งบทบัญญัติของกฎหมายมาตราดังกล่าว แม้จะฟังว่าเมื่อโจทก์ ผ่านทางพิพาทในที่ดินของจําเลยตามที่โจทก์ฟ้องขอเปิดทางจําเป็นแล้วโจทก์จะต้องผ่านถนนคอนกรีต ซึ่งเป็นถนนส่วนบุคคลของจําเลยก็ตาม แต่ได้ความจากคําเบิกความตอบคําถามค้านของนาย ด. พยานจําเลยว่าจําเลยอนุญาตให้ชาวบ้านละแวกนั้นใช้เส้นทางถนนคอนกรีตส่วนบุคคลดังกล่าวและ หากเดินตามทางไปในที่สุดจะถึงถนนพหลโยธินซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ เช่นนี้ เมื่อที่ดินของโจทก์ ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้และหากโจทก์ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจําเลยตามที่โจทก์ฟ้อง ขอเปิดทางจําเป็นเข้าออกสู่ถนนคอนกรีตส่วนบุคคลของจําเลย โจทก์สามารถออกไปสู่ถนนพหลโยธิน ซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ ทางพิพาทย่อมเป็นทางจําเป็นตามบทบัญญัติของกฎหมายแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิ ตามกฎหมายขอเปิดทางจําเป็นในที่ดินของจําเลยได้ หาใช่เป็นการบังคับให้จําเลยเปิดทางจําเป็น ในที่ดินของจําเลยไปจรดถนนส่วนบุคคลขัดกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังที่จําเลยอุทธรณ์โต้แย้งมา อุทธรณ์ของจําเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ เอกพจน์ สุดตานา – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ
๗๙ คดีแพ่ง พ.ศ. ๒๕๖๖
๘๐
๘๑ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๔๕๗/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๐๑/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๖) นาย ท. โจทก์ นาย บ. กับพวก จําเลย ป.พ.พ. ค่าสินไหมทดแทน มาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง ค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) คือค่าเสียหายทางแพ่งที่ถูกกําหนดขึ้นเพิ่มเติม จากค่าเสียหายที่แท้จริงที่ผู้ถูกกระทําละเมิดจะพึงได้รับ มีความมุ่งหมายเพื่อลงโทษผู้กระทําละเมิด ให้เกิดความเข็ดหลาบ ไม่กล้ากระทําละเมิดเช่นนั้นอีก รวมถึงป้องปรามบุคคลอื่นให้เกิดความเกรงกลัว ไม่กล้ากระทําละเมิดในลักษณะนั้นในอนาคต ซึ่งมีกฎหมายบางฉบับ อาทิเช่น พ.ร.บ. ความลับทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ พ.ร.บ. ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น จากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๑ ฯลฯ ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้นมีบทบัญญัติให้ศาล กําหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ แต่โจทก์ฟ้องดําเนินคดีแก่จําเลยทั้งสองในข้อหาหรือฐานความผิดละเมิด ซึ่งเป็นคดีแพ่งทั่วไปไม่ใช่คดีผู้บริโภคหรือคดีตามกฎหมายอื่นที่กําหนดไว้ที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้อง ค่าเสียหายเชิงลงโทษได้แต่อย่างใด ส่วนข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่ามีบทความทางวิชาการที่มีนักวิชาการหรือ นักกฎหมายมีความคิดเห็นสนับสนุนว่าการกระทําละเมิดอย่างร้ายแรงและต่อเนื่อง น่าจะกําหนด ค่าเสียหายในเชิงลงโทษแก่ผู้กระทําละเมิด แต่นั่นก็ยังเป็นความคิดเห็นในทางวิชาการซึ่งเป็นความคิดเห็น ส่วนบุคคล ยังมิได้มีการแก้ไขกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง หรือบทบัญญัติ ลักษณะ ๕ ละเมิด หมวด ๒ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิด ให้ศาลกําหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษแก่ผู้กระทํา ละเมิดได้ การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลกําหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษนั้น จึงมิอาจพิจารณาพิพากษา กําหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ได้ ------------------------------ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคําฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งสองร่วมกันชําระค่ารักษาพยาบาลและ ค่าเสียหายต่อจิตใจ เป็นเงิน ๖๕,๐๐๐ บาท ร่วมกันชําระค่าเสียหายเชิงลงโทษ เป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินจํานวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระ เสร็จแก่โจทก์ และร่วมกันชําระค่าเสียหายรายวัน ๆ ละ ๓,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนถึงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นวันที่จําเลยทั้งสองขนย้ายสุนัขออกไปจากบ้านเสร็จสิ้น จําเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคําให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชําระเงิน ๕๑,๔๕๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินจํานวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕)
๘๒ เป็นต้นไปจนกว่าจําเลยทั้งสองจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้น ตามพระราชกฤษฎีกา ซึ่งออกตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ บวกด้วย อัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ และให้จําเลยทั้งสอง ร่วมกันชําระค่าเสียหายรายวัน วันละ ๑,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๕ กับให้จําเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีให้เป็นพับ คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ ของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่กําหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษให้แก่โจทก์ชอบหรือไม่ เห็นว่า ค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) คือค่าเสียหายทางแพ่งที่ถูกกําหนดขึ้นเพิ่มเติม จากค่าเสียหายที่แท้จริงที่ผู้ถูกกระทําละเมิดจะพึงได้รับ มีความมุ่งหมายเพื่อลงโทษผู้กระทําละเมิด ให้เกิดความเข็ดหลาบ ไม่กล้ากระทําละเมิดเช่นนั้นอีก รวมถึงป้องปรามบุคคลอื่นให้เกิดความเกรงกลัวไม่ กล้ากระทําละเมิดในลักษณะนั้นในอนาคต ซึ่งมีกฎหมายบางฉบับ อาทิเช่น พระราชบัญญัติ ความลับทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๕ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัติ ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๑ ฯลฯ ซึ่งตามพระราชบัญญัติ ดังกล่าวนั้นมีบทบัญญัติให้ศาลกําหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษได้ แต่โจทก์ฟ้องดําเนินคดีแก่จําเลยทั้งสอง ในข้อหาหรือฐานความผิดละเมิด ซึ่งเป็นคดีแพ่งทั่วไปไม่ใช่คดีผู้บริโภคหรือคดีตามกฎหมายอื่นที่กําหนดไว้ ที่โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเชิงลงโทษได้แต่อย่างใด ส่วนข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่า มีบทความ ทางวิชาการที่มีนักวิชาการหรือนักกฎหมายมีความคิดเห็นสนับสนุนว่าการกระทําละเมิดอย่างร้ายแรง และต่อเนื่อง น่าจะกําหนดค่าเสียหายในเชิงลงโทษแก่ผู้กระทําละเมิด แต่นั่นก็ยังเป็นความคิดเห็น ในทางวิชาการซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ยังมิได้มีการแก้ไขกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง หรือบทบัญญัติ ลักษณะ ๕ ละเมิด หมวด ๒ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อ การละเมิด ให้ศาลกําหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษแก่ผู้กระทําละเมิดได้ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลกําหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษนั้น จึงมิอาจ พิจารณาพิพากษากําหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ได้ ที่ศาลชั้นต้นไม่กําหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษ แก่โจทก์นั้น ชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยทั้งสองร่วมกันชําระค่าเสียหายรายวัน วันละ ๑,๐๐๐ บาท นับจาก วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๕ นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ ธนวรรธน์ พลศักดิ์ – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ
๘๓ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๖๘๙/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๕๑๗/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๖) ธนาคาร อ. โจทก์ นิติบุคคลอาคารชุด อ. จําเลย ป.พ.พ. สิทธิเรียกร้องขาดอายุความ อายุความ มาตรา ๑๙๓/๑๐, ๑๙๓/๓๓ (๔) พ.ร.บ. อาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๘ วรรคสอง, ๒๙ วรรคสอง, ๒๙ วรรคสาม ตาม พ.ร.บ. อาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๘ วรรคสอง บัญญัติให้เจ้าของร่วมต้องร่วมกัน ออกค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้บริการส่วนรวม และที่เกิดจากเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนสิ่งอํานวย ความสะดวกที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษา และการ ดําเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลาง ตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง ตามมาตรา ๑๔ หรือตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุด ทั้งนี้ตามที่กําหนดในข้อบังคับของนิติบุคคล อาคารชุด หากเจ้าของร่วมผิดนัดต้องรับผิดชําระเบี้ยปรับ ดังนั้น เจ้าของร่วมจึงต้องมีส่วนรับผิดชอบ ในค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเบี้ยปรับตามบทกฎหมายและข้อบังคับเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย และ การขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุด มาตรา ๒๙ วรรคสอง บัญญัติว่า พนักงาน เจ้าหน้าที่จะรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้เมื่อห้องชุดดังกล่าวปลอดจากหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่าย ตามมาตรา ๑๘ โดยต้องมีหนังสือรับรองการปลอดหนี้คราวที่สุดจากนิติบุคคลอาคารชุดมาแสดง ในข้อนี้ได้ความจากหนังสือลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่อง ขอให้จดทะเบียนระงับการจํานอง แล้วโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้แก่ผู้ซื้อว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อห้องชุดพิพาทได้จากการขายทอดตลาดในราคา ๑๕๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ชําระราคาครบถ้วนแล้ว แสดงว่า กรรมสิทธิ์ในห้องชุดย่อมตกแก่โจทก์ อย่างช้าในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ส่วนที่โจทก์ยังไม่ได้ดําเนินการเปลี่ยนชื่อในหนังสือกรรมสิทธิ์ ห้องชุดก็ไม่ทําให้จําเลยยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดแต่อย่างใด โจทก์จึงมีฐานะเป็นเจ้าของร่วม ตาม พ.ร.บ. อาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๘ วรรคสอง หนี้ค่าส่วนกลางค้างชําระและค่าปรับตั้งแต่ ปี ๒๕๕๔ ถึงปี ๒๕๖๔ รวมเป็นเงิน ๓๕,๙๗๐ บาท จึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่โจทก์เป็นเจ้าของร่วม ทั้งสิ้น แม้หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชําระถือเป็นเงินค้างจ่ายซึ่งมีกําหนดอายุความ ๕ ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๔) แต่หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มที่เกินเวลา ๕ ปี ก็ไม่ระงับ เพราะสิทธิ เรียกร้องที่ขาดอายุความนั้นมีผลให้ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้เท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๑๐ โจทก์จะร้องขอให้จําเลยออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ได้ก็ต่อเมื่อ จําเลยได้รับชําระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางครบถ้วนแล้ว ตาม พ.ร.บ. อาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๙
๘๔ วรรคสาม ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่ชําระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มให้แก่จําเลยจนครบถ้วน จําเลยก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามที่โจทก์ร้องขอ โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้อง ขอให้บังคับจําเลยออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ห้องชุดเลขที่ ๑๑๒/๓๓๗ ตั้งอยู่บนที่ดิน โฉนดเลขที่ ๒๓๘๕, ๓๓๗๐๗–๓๓๗๑๐ แก่โจทก์ โดยโจทก์ขอชําระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางที่ค้างชําระ ตามอัตราส่วนที่กําหนดในข้อบังคับ นับแต่วันฟ้องย้อนหลังกลับไปเป็นเวลา ๕ ปี และให้จําเลย ยกเลิกการระงับการให้บริการส่วนรวมและการใช้ทรัพย์ส่วนกลาง และการออกเสียงในการประชุมใหญ่ ของโจทก์ หากจําเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคําพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจําเลย จําเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ ของโจทก์ว่า จําเลยต้องออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ห้องชุดพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๘ วรรคสอง บัญญัติให้เจ้าของร่วมต้องร่วมกัน ออกค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้บริการส่วนรวม และที่เกิดจากเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนสิ่งอํานวย ความสะดวกที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษา และ การดําเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลาง ตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ ส่วนกลางตามมาตรา ๑๔ หรือตามส่วนแห่งประโยชน์ที่มีต่อห้องชุด ทั้งนี้ตามที่กําหนดในข้อบังคับ ของนิติบุคคลอาคารชุด หากเจ้าของร่วมผิดนัดต้องรับผิดชําระเบี้ยปรับ ดังนั้น เจ้าของร่วมจึงต้องมีส่วน รับผิดชอบในค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเบี้ยปรับ ตามบทกฎหมายและข้อบังคับเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย และการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุด มาตรา ๒๙ วรรคสอง บัญญัติว่า พนักงานเจ้าหน้าที่จะรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้เมื่อห้องชุดดังกล่าวปลอดจากหนี้อันเกิดจาก ค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๑๘ โดยต้องมีหนังสือรับรองการปลอดหนี้คราวที่สุดจากนิติบุคคลอาคารชุด มาแสดง ในข้อนี้ได้ความจากหนังสือลงวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่อง ขอให้จดทะเบียนระงับการจํานอง แล้วโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้แก่ผู้ซื้อว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อห้องชุดพิพาทได้จากการขายทอดตลาดในราคา ๑๕๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ชําระราคาครบถ้วนแล้ว แสดงว่า กรรมสิทธิ์ในห้องชุดย่อมตกแก่โจทก์ อย่างช้าในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ส่วนที่โจทก์ยังไม่ได้ดําเนินการเปลี่ยนชื่อในหนังสือกรรมสิทธิ์ ห้องชุดก็ไม่ทําให้จําเลยยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดแต่อย่างใด โจทก์จึงมีฐานะเป็นเจ้าของร่วม ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๘ วรรคสอง หนี้ค่าส่วนกลางค้างชําระและค่าปรับ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ ถึงปี ๒๕๖๔ รวมเป็นเงิน ๓๕,๙๗๐ บาท จึงเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่โจทก์ เป็นเจ้าของร่วมทั้งสิ้น แม้หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางค้างชําระถือเป็นเงินค้างจ่ายซึ่งมีกําหนดอายุความ ๕ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๓ (๔) แต่หนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่ม ที่เกินเวลา ๕ ปี ก็ไม่ระงับ เพราะสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้นมีผลให้ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธ การชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้เท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๑๐
๘๕ โจทก์จะร้องขอให้จําเลยออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ได้ก็ต่อเมื่อจําเลยได้รับชําระหนี้ค่าใช้จ่าย ส่วนกลางครบถ้วนแล้ว ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๒๙ วรรคสาม ดังนั้น เมื่อโจทก์ยังไม่ชําระหนี้ค่าใช้จ่ายส่วนกลางและเงินเพิ่มให้แก่จําเลยจนครบถ้วน จําเลยก็มีสิทธิ ที่จะปฏิเสธการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตามที่โจทก์ร้องขอ โจทก์จึงไม่มีอํานาจฟ้องขอให้บังคับจําเลย ออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ เอกพจน์ สุดตานา – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ
๘๖ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๖๕๒/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๓๒๓๙/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๑๔/๒๕๖๖) นางสาว ว. โจทก์ นางสาว ป. กับพวก จําเลย ป.พ.พ. ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน มาตรา ๔๓๘ วรรคแรก, ๔๔๖ วรรคแรก การที่โจทก์ต้องทนอยู่กับกลิ่นเหม็น อันเป็นที่ทราบกันดีว่ากลิ่นเหม็นส่งผลต่อการใช้ชีวิต อย่างปกติสุข และน้ําเน่าโสโครกยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงอันเป็นพาหะของเชื้อโรค ย่อมทําให้สุขภาพ ของโจทก์เสี่ยงอันตรายมากกว่าปกติ ถือได้ว่าโจทก์ได้รับอันตรายต่อสุขภาพอนามัยแล้ว ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา ๔๔๖ วรรคแรก บัญญัติว่า “ในกรณีทําให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ... ผู้ต้องเสียหาย จะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้ ...” ความเสียหาย สําหรับสุขอนามัยของโจทก์ที่ต้องทนอยู่กับกลิ่นเหม็นนับแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ ย่อมเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในกรณีดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม ศาลจําต้องกําหนดค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นตัวเงิน โดยวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรง แห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๓๘ วรรคแรก ------------------------------ โจทก์ฟ้องและแก้ไขคําฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันดําเนินการแก้ไข มิให้น้ําโสโครกไหลเข้าสู่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๒๖๘ ของโจทก์ ให้จําเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชําระเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ แก่โจทก์ และให้จําเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชําระเงินเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจําเลยทั้งสามจะได้ดําเนินการแก้ไขมิให้น้ําโสโครกไหลเข้าสู่ที่ดินของโจทก์ดังกล่าว ระหว่างการพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจําเลยที่ ๓ ศาลอนุญาตและให้จําหน่ายคดีเฉพาะจําเลยที่ ๓ ออกเสียจากสารบบความ จําเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขาดนัดยื่นคําให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันหรือแทนกันชําระเป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป จนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จําเลยที่ ๑ และที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกําหนด ค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีให้เป็นพับ คําขออื่นให้ยก โจทก์อุทธรณ์
๘๗ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ว่า ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับมีเพียงใด เห็นว่า แหล่งน้ําเน่าย่อมเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคและเป็นแหล่งที่มีแมลง อันเป็นพาหะนําโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มาสู่บุคคล การที่โจทก์ต้องทนอยู่กับกลิ่นเหม็น อันเป็นที่ทราบกันดี ว่ากลิ่นเหม็นส่งผลต่อการใช้ชีวิตอย่างปกติสุข และน้ําเน่าโสโครกยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลง อันเป็นพาหะของเชื้อโรค ย่อมทําให้สุขภาพของโจทก์เสี่ยงอันตรายมากกว่าปกติ ถือได้ว่าโจทก์ได้รับ อันตรายต่อสุขภาพอนามัยแล้ว ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๖ วรรคแรก บัญญัติว่า “ในกรณีทําให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ... ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทน เพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้ ...” ความเสียหายสําหรับสุขอนามัยของโจทก์ที่ต้อง ทนอยู่กับกลิ่นเหม็นนับแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ ย่อมเป็นค่าเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในกรณีดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม ศาลจําต้องกําหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ เป็นตัวเงิน โดยวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา ๔๓๘ วรรคแรก เมื่อพิจารณาแล้วคงเป็นสภาวะจากมลพิษทางกลิ่นและความเสี่ยง ที่จะเกิดโรคทางเดินหายใจมากขึ้นกว่าปกติ เห็นควรกําหนดให้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์อุทธรณ์ขอค่าเสียหายส่วนนี้เพิ่มมาเพียง ๔๐,๐๐๐ บาท เป็นผลดีแก่จําเลยที่ ๑ และที่ ๒ แล้ว เห็นควรกําหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ตามที่โจทก์อุทธรณ์ขอมา ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ขอมาสําหรับ ค่าขาดรายได้จากการให้เช่า โจทก์ไม่นําสืบให้เห็นว่า โจทก์มีห้องให้เช่ากี่ห้อง สัญญาเช่าของผู้เช่าเดิม คิดอัตราค่าเช่าอย่างไรก่อนหน้าที่เกิดเหตุคดีนี้โจทก์มีรายได้จากการเช่าเพียงไร และหลังเกิดเหตุแล้ว มีผู้ใดมาติดต่อขอเช่าแต่ไม่เช่า เพราะสภาพปัญหาของกลิ่นจริงหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นไม่ให้ค่าเสียหาย ในส่วนนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย สําหรับค่าเสียหายจากการเดินทางไปร้องเรียนเทศบาลเมือง ไทรม้าและค่าใช้จ่ายในการติดต่อทนายความนั้น เห็นว่า ค่าเดินทางไปร้องเรียนและค่าใช้จ่ายในการ ติดต่อทนายความเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากเหตุละเมิดในคดีนี้โดยตรง แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐาน มานําสืบให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโจทก์ได้ชําระเงินจํานวนดังกล่าว เห็นควรกําหนดให้ตามสมควร จํานวน ๑๐,๐๐๐ บาท อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จําเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชําระเงินแก่โจทก์จํานวน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป จนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้น ตามพระราชกฤษฎีกา ซึ่งตราขึ้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลชั้นต้น คืน ค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน ๕๐๐ บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืน ให้เป็นพับ ------------------------------ เอกพจน์ สุดตานา – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ
๘๘ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ พ ๓๒๑/๒๕๖๖ คดีหมายเลขแดงที่ ๔๑๓๓/๒๕๖๖ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๘/๒๕๖๖) นาย พ. โจทก์ นาย ส. ผู้ร้อง นาย ว. ผู้จัดการมรดกของจําเลย กับพวก ผู้คัดค้าน นางสาว ว. จําเลย ป.วิ.พ. สิทธิของผู้มีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินและการบังคับคดีเอากับทรัพย์สินที่มีบุริมสิทธิ มาตรา ๓๒๔ พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๖ และมาตรา ๙๖ ผู้ร้องเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องต่าง ๆ ที่เจ้าหนี้เดิมมีต่อจําเลย หาใช่เป็นเพียงรับโอนสิทธิ เรียกร้องในหนี้ตามสัญญากู้ของเจ้าหนี้เดิมเท่านั้นและเมื่อผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินพิพาทได้ ผู้ร้อง จึงเป็นบุคคลที่มีสิทธิที่จะได้รับชําระหนี้โดยอาศัยอํานาจแห่งทรัพยสิทธิซึ่งบุคคลนั้นมีอยู่เหนือทรัพย์สิน หรืออาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นตามกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา ๓๒๔ (๑) (ข) ได้ เมื่อสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้เดิมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจํานองรวมอยู่ด้วย และผู้ร้อง ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องนั้นมาจากเจ้าหนี้เดิมโดยชอบ สิทธิของผู้ร้องจึงเป็นสิทธิของเจ้าหนี้มีประกัน ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคําขอรับชําระหนี้ในคดีล้มละลายแล้ว ผู้ร้องจึงมีสิทธิดังที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๖ และมาตรา ๙๖ ที่ศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชําระหนี้จํานอง ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นจึงชอบแล้ว ------------------------------ คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จําเลยชําระเงิน ๑๔,๑๖๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ภายในเวลา ๒ ปี นับแต่วันทําสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่จําเลยไม่ชําระหนี้ตามคําพิพากษา โจทก์จึงนําเจ้าพนักงาน บังคับคดียึดที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๒๗๗๐ ออกขายทอดตลาดนําเงินมาชําระหนี้แก่โจทก์ตามคดี ของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ ๗๖๘/๒๕๔๒ ผู้ร้องยื่นคําร้องขอศาลมีคําสั่งให้ผู้ร้องได้รับชําระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดินพิพาท ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นเป็นเงิน ๒๔๒,๑๗๗,๖๔๓.๘๒ บาท โดยให้นําเงินที่ผู้ร้องต้องชําระจากการเป็นผู้ซื้อ ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวในราคา ๑๖๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท ไปหักกลบลบหนี้กับเงินที่ผู้ร้อง มีสิทธิได้รับชําระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นดังกล่าว ระหว่างพิจารณา โจทก์และจําเลยถึงแก่ความตาย โดยโจทก์มีนาง ส. เป็นผู้จัดการมรดก จําเลย มีนาย ว. เป็นผู้จัดการมรดกและผู้ร้องยื่นคําร้องว่าเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ ศาลล้มละลายกลาง
๘๙ มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจําเลย และพิพากษาให้จําเลยเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตามคดีหมายเลขแดงที่ ล ๙๘๕๐/๒๕๕๒ ศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้ส่งสําเนาคําร้องแก่นาง ส. ผู้จัดการมรดกของโจทก์ นาย ว. ผู้จัดการมรดก ของจําเลยซึ่งเป็นผู้คัดค้านที่ ๑ เจ้าพนักงานบังคับคดีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเป็นผู้คัดค้านที่ ๒ นาง ส. ผู้จัดการมรดกของโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับสําเนาคําร้องแล้วไม่คัดค้าน ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคําคัดค้าน ขอให้ยกคําร้อง ศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้ผู้ร้องได้รับชําระหนี้จํานองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น คําขออื่นให้ยกและยกคําคัดค้าน ของผู้คัดค้านที่ ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ ๑ ว่า ผู้คัดค้านที่ ๑ มีสิทธิยื่นคําคัดค้านหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ และมาตรา ๒๔ ได้กล่าวไว้ชัดแจ้งว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว ห้ามมิให้ลูกหนี้กระทํา การใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน ไม่ว่าในชั้นพิจารณาหรือชั้นบังคับคดีการคัดค้านคําร้อง ของผู้ร้องที่ขอให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้ร้องได้รับชําระหนี้ที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จํานองก่อนเจ้าหนี้ รายอื่นเป็นการต่อสู้คดีใด ๆ หรือกระทําการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้อย่างหนึ่ง อันเป็นอํานาจ ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อจําเลยถูกศาลล้มละลายกลางมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและ พิพากษาให้ล้มละลายแล้ว ผู้คัดค้านที่ ๑ จึงไม่มีอํานาจยื่นคําคัดค้านได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมานั้น ชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น ปัญหาตามอุทธรณ์ ของผู้คัดค้านที่ ๑ ในข้ออื่นจึงไม่จําต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทําให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ ๒ ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้มีประกันและมีสิทธิ ยื่นคําร้องคดีนี้หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องได้รับโอนสิทธิเรียกร้อง จากกองทุนรวม บ. ตามคําพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้กองทุนรวม บ. กับพวกจดทะเบียนโอนสิทธิ เรียกร้องของหลักประกันที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๗๗๐ อันเป็นสิทธิเรียกร้องพิพาทในคดีนี้ให้แก่ผู้ร้อง ซึ่งผู้ร้อง ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องการรับจํานองที่ดินที่สํานักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี ตามบันทึกถ้อยคํา ข้อตกลง เรื่องโอนสิทธิการรับจํานอง ผู้ร้องจึงเป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องต่าง ๆ ที่เจ้าหนี้เดิมมีต่อจําเลย มาหาใช่เป็นเพียงรับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามสัญญากู้ของเจ้าหนี้เดิมมาเท่านั้น เมื่อผู้ร้องเป็นผู้ประมูล ซื้อที่ดินพิพาทในคดีนี้ได้ ผู้ร้องจึงเป็นบุคคลที่มีสิทธิที่จะได้รับชําระหนี้โดยอาศัยอํานาจแห่งทรัพยสิทธิ ซึ่งบุคคลนั้นมีอยู่เหนือทรัพย์สินหรืออาจร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นตามกฎหมายดังที่บัญญัติ ไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๔ (๑) (ข) ได้ เมื่อสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้เดิม มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจํานองรวมอยู่ด้วย และผู้ร้องได้รับโอนสิทธิเรียกร้องนั้นมาจาก เจ้าหนี้เดิมโดยชอบ สิทธิของผู้ร้องจึงเป็นสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคําขอรับชําระหนี้ ในคดีล้มละลายแล้ว ผู้ร้องจึงมีสิทธิดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๖ และมาตรา ๙๖ การที่ผู้ร้องนําสืบพยานหลักฐานได้ความตามคําร้อง แต่ผู้คัดค้านที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ติดใจ สืบพยานหลักฐานโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงเป็นไปตามคําร้องของผู้ร้อง ที่ศาลชั้นต้น มีคําสั่งให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับชําระหนี้จํานองก่อนเจ้าหนี้รายอื่นจึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของผู้คัดค้านที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
๙๐ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ------------------------------ ต้นบุญ โพธิ์ทอง – ย่อ นิติธร ศรีบุตร – ตรวจ
๙๑ คดีผ ู ้บริโภค พ.ศ. ๒๕๖๕
๙๒
๙๓ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๗๘๑/๒๕๖๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๙๙๙/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ ๗/๒๕๖๕) ธนาคาร อ. โจทก์ นางสาว ร. จําเลย ป.พ.พ. ตัวแทน มาตรา ๘๐๘ บทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา ๘๐๘ บัญญัติว่า “ตัวแทนต้องทําการด้วยตนเอง เว้นแต่ จะมีอํานาจใช้ตัวแทนช่วงทําการได้” โจทก์มีนาย ว. ผู้อํานวยการธนาคาร อ. เป็นผู้มีอํานาจกระทําการ แทนโจทก์ นาย ว. มอบอํานาจให้นาย น. ผู้อํานวยการฝ่ายบริหารคดีฟ้องคดีแทนโจทก์ นาย น. มอบอํานาจช่วงให้นาย ม. นาย ม. มอบอํานาจช่วงให้นาย ก. และนาย ก. มอบอํานาจช่วงให้นาย ศ. และบุคคลอื่น ๆ อีก รวม ๑๗ คน มีอํานาจฟ้องคดีแทนโจทก์ โดยหนังสือมอบอํานาจที่นาย ว. มอบอํานาจให้นาย น. และที่นาย น. มอบอํานาจช่วงให้นาย ม. ได้มีการระบุไว้ในหนังสือมอบอํานาจว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจสามารถมอบอํานาจช่วงและให้ผู้รับมอบอํานาจช่วงสามารถมอบอํานาจช่วงต่อไปได้ ส่วนหนังสือมอบอํานาจที่นาย ม. มอบอํานาจช่วงให้นาย ก. ได้มีการระบุไว้ในหนังสือมอบอํานาจ เพียงว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจสามารถมอบอํานาจช่วงเท่านั้น ส่วนหนังสือมอบอํานาจที่นาย ก. มอบอํานาจช่วงให้นาย ศ. และบุคคลอื่น ๆ อีก รวม ๑๗ คน นั้น ระบุเพียงว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจ มีอํานาจแต่งตั้งทนายความเพื่อว่าต่างแก้ต่างคดีได้เท่านั้น การที่โจทก์ได้มีการระบุไว้ในหนังสือ มอบอํานาจฉบับที่นาย ว. มอบอํานาจให้นาย น. และนาย น. มอบอํานาจช่วงให้นาย ม. แล้วว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจช่วงสามารถมอบอํานาจช่วงต่อไปได้ และหนังสือมอบอํานาจช่วงที่นาย ม. มอบอํานาจช่วงให้นาย ก. ได้มีการระบุว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจช่วงสามารถมอบอํานาจช่วงได้ จึงฟังได้ว่า หนังสือมอบอํานาจได้มีการระบุให้อํานาจผู้รับมอบอํานาจช่วงแต่ละช่วงมีอํานาจมอบอํานาจช่วงต่อไปได้ ตามความหมายในมาตรา ๘๐๘ ป.พ.พ. แล้ว ยกเว้นแต่นาย ศ. ผู้รับมอบอํานาจช่วงสุดท้ายไม่มีอํานาจ มอบอํานางช่วงอีกต่อไป มีเพียงอํานาจฟ้องคดีนี้หรือแต่งตั้งทนายความฟ้องคดีนี้แทนโจทก์เท่านั้น เมื่อนาย ศ. ได้ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ จึงมีอํานาจกระทําได้ ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยชําระหนี้บัตรเครดิต ๓๕,๒๒๔.๑๘ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๙,๘๑๓.๑๘ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ และให้จําเลยชําระหนี้สินเชื่อบุคคลบัตรพรีม่า คาร์ด ๓๕,๙๔๘.๘๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๙ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๙,๔๙๔.๒๙ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ จําเลยขาดนัดยื่นคําให้การ
๙๔ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ ของโจทก์ว่า นาย ศ. มีอํานาจฟ้องคดีนี้แทนโจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๐๘ บัญญัติว่า “ตัวแทนต้องทําการ ด้วยตนเอง เว้นแต่จะมีอํานาจใช้ตัวแทนช่วงทําการได้” โจทก์มีนาย ว. ผู้อํานวยการธนาคาร อ. เป็นผู้มีอํานาจกระทําการแทนโจทก์ นาย ว. มอบอํานาจให้นาย น. ผู้อํานวยการฝ่ายบริหารคดีฟ้องคดี แทนโจทก์ นาย น. มอบอํานาจช่วงให้นาย ม. นาย ม. มอบอํานาจช่วงให้นาย ก. และนาย ก. มอบอํานาจช่วงให้นาย ศ. และบุคคลอื่น ๆ อีก รวม ๑๗ คน มีอํานาจฟ้องคดีแทนโจทก์ โดยหนังสือ มอบอํานาจที่นาย ว. มอบอํานาจให้นาย น. และที่นาย น. มอบอํานาจช่วงให้นาย ม. ได้มีการระบุไว้ ในหนังสือมอบอํานาจว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจสามารถมอบอํานาจช่วงและให้ผู้รับมอบอํานาจช่วง สามารถมอบอํานาจช่วงต่อไปได้ ส่วนหนังสือมอบอํานาจที่นาย ม. มอบอํานาจช่วงให้นาย ก. ได้มีการระบุไว้ในหนังสือมอบอํานาจเพียงว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจสามารถมอบอํานาจช่วงเท่านั้น ส่วนหนังสือมอบอํานาจที่นาย ก. มอบอํานาจช่วงให้นาย ศ. และบุคคลอื่น ๆ อีก รวม ๑๗ คนนั้น ระบุเพียงว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจมีอํานาจแต่งตั้งทนายความเพื่อว่าต่างแก้ต่างคดีได้เท่านั้น การที่โจทก์ ได้มีการระบุไว้ในหนังสือมอบอํานาจฉบับที่นาย ว. มอบอํานาจให้นาย น. และนาย น. มอบอํานาจช่วง ให้นาย ม. แล้วว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจช่วงสามารถมอบอํานาจช่วงต่อไปได้ และหนังสือมอบอํานาจช่วง ที่นาย ม. มอบอํานาจช่วงให้นาย ก. ได้มีการระบุว่า ให้ผู้รับมอบอํานาจช่วงสามารถมอบอํานาจช่วงได้ จึงฟังได้ว่า หนังสือมอบอํานาจได้มีการระบุให้อํานาจผู้รับมอบอํานาจช่วงแต่ละช่วงมีอํานาจ มอบอํานาจช่วงต่อไปได้ตามความหมายในมาตรา ๘๐๘ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ยกเว้นแต่นาย ศ. ผู้รับมอบอํานาจช่วงสุดท้ายไม่มีอํานาจมอบอํานาจช่วงอีกต่อไป มีเพียงอํานาจ ฟ้องคดีนี้หรือแต่งตั้งทนายความฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ตามสําเนาหนังสือมอบอํานาจเท่านั้น เมื่อนาย ศ. ได้ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ จึงมีอํานาจกระทําได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น พิพากษายกคําพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นอื่นต่อไปแล้วมีคําพิพากษาใหม่ ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ ------------------------------ ชารินทร์ เจริญผล – ย่อ ปรีชา ปีติโกศล – ตรวจ
๙๕ คําพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ตัดสินเกี่ยวกับปัญหาข้อกฎหมาย คดีหมายเลขดําที่ ผบ ๒๔๘/๒๕๖๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๑๖/๒๕๖๕ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๕) บริษัท ล. โจทก์ นาย ด. กับพวก จําเลย ป.พ.พ. ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญา มาตรา ๕๗๔ วรรคหนึ่ง ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑๐ (ก) กําหนดขั้นตอนการบอกเลิกสัญญาของผู้ให้เช่าซื้อว่า หากผู้เช่าซื้อ ผิดนัดชําระค่าเช่าซื้อ ๓ งวดติด ๆ กัน และเจ้าของได้มีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้เช่าซื้อชําระค่าเช่าซื้อ ที่ผิดนัดชําระภายในเวลาไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ แต่ผู้เช่าซื้อยังคงเพิกเฉย ไม่ชําระค่าเช่าซื้อที่ผิดนัดชําระให้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กําหนด ... ให้เจ้าของมีสิทธิบอกเลิกสัญญานี้ ได้โดยทันที เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ภายหลังทําสัญญาจําเลยที่ ๑ ชําระค่าเช่าซื้อเพียง ๓ งวด แล้วผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์อีกเลย เป็นเวลาเกินกว่า ๓ งวด ติดกันและโจทก์ได้มีหนังสือ บอกกล่าว ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ทวงถามให้จําเลยทั้งสองชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระ พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายจากการผิดสัญญาภายในกําหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากพ้นกําหนดแล้วไม่ชําระให้ถือเอาหนังสือฉบับนี้เป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันที เมื่อโจทก์ มีหนังสือดังกล่าวส่งไปให้แก่จําเลยทั้งสองและจําเลยทั้งสองได้รับแล้ว เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ แต่จําเลยทั้งสองมิได้ชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระภายในกําหนด ถือได้ว่าจําเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดนัด ผิดสัญญา เพราะเหตุที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยมีหนังสือบอกกล่าวให้จําเลยที่ ๑ ผู้เช่าซื้อ ทราบโดยชอบแล้ว สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจําเลยที่ ๑ จึงเลิกกันทันที นับแต่เมื่อครบกําหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่จําเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือ ผู้ให้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิริบเงินค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อชําระมาแล้ว และกลับเข้าครอบครองรถที่เช่าซื้อ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๔ วรรคหนึ่ง ผู้ให้เช่าซื้อไม่มีสิทธิ เรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระและดอกเบี้ยได้ตามสัญญา คงเรียกได้เพียงค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ ที่เช่าซื้อในระหว่างที่ยังมิได้ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืน และค่าขาดราคาจากการที่ผู้ให้เช่าซื้อนํารถที่เช่าซื้อ ออกประมูลขายทอดตลาดได้เงินน้อยกว่าจํานวนเงินที่ผู้ให้เช่าซื้อควรจะได้รับตามสัญญาเท่านั้น ดังนั้น หากมีค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาดังกล่าว จําเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดตามสัญญา เช่าซื้อ ข้อ ๑๔ ที่ระบุว่า เมื่อเจ้าของได้รถยนต์กลับคืนมาและนํารถยนต์ออกขายได้ราคาเกินกว่าจํานวน มูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญานี้ เจ้าของจะคืนเงินส่วนเกินนั้นให้แก่ผู้เช่าซื้อ แต่หากได้ราคาน้อยกว่า จํานวนมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ ผู้เช่าซื้อตกลงรับผิดชอบส่วนที่ขาดนั้น แม้จะได้ความว่า ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ก่อนจําเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือให้ชําระค่าเช่าซื้อและบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว จําเลยที่ ๑ ได้ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์พร้อมบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ แต่โจทก์
๙๖ ก็มีข้อโต้แย้งตามหนังสือโต้แย้งการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ซึ่งจําเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อรับทราบแล้วว่าจําเลยที่ ๑ ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาไม่ชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข เรื่องบอกเลิกสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑๓ กล่าวคือ จําเลยที่ ๑ มิได้มีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วัน และส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์พร้อมกับชําระเงินทั้งปวงที่ถึงกําหนด ชําระหรือเป็นหนี้ตามสัญญาอยู่ในเวลาที่ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนแต่อย่างใด การที่โจทก์รับเอารถที่เช่าซื้อไว้ จากจําเลยที่ ๑ และนําออกขายทอดตลาด กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์และจําเลยที่ ๑ คู่สัญญา ต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจเรียกค่าขาดราคารถที่เช่าซื้อได้ไม่ เมื่อโจทก์ขายรถที่เช่าซื้อให้แก่บุคคลอื่นได้ราคาน้อยกว่าหนี้ที่ค้างชําระตามสัญญา จําเลยที่ ๑ ย่อมต้องรับผิดในค่าขาดราคาดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม ค่าขาดราคานี้ถือเป็นการกําหนดค่าเสียหาย ล่วงหน้าทํานองเบี้ยปรับ การกําหนดค่าเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์จึงต้องคํานึงถึงความเสียหายที่แท้จริง เมื่อราคาเช่าซื้อเป็นราคารวมของเงินลงทุนและผลประโยชน์ที่โจทก์คํานวณไว้ล่วงหน้าสําหรับการลงทุน เป็นเวลา ๘๔ เดือน การที่จะกําหนดให้จําเลยที่ ๑ ชําระค่าขาดราคาเท่ากับหนี้ค่าเช่าซื้อส่วนที่ขาด ซึ่งรวมผลประโยชน์สําหรับการลงทุนให้ครบตามจํานวนที่ตกลงไว้ ๘๔ เดือน ย่อมเป็นจํานวนเงิน ที่สูงเกินส่วน เมื่อคํานึงถึงราคาเงินสดของรถที่เช่าซื้อ ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้รับชําระ และเงินที่ได้จากการขายรถ ที่เช่าซื้อแล้ว เห็นสมควรกําหนดค่าขาดราคาให้แก่โจทก์ เป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ที่ศาลชั้นต้น ไม่กําหนดค่าขาดราคาแก่โจทก์นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคไม่เห็นพ้องด้วย ------------------------------ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจําเลยทั้งสองชําระเงิน ๒๙๒,๑๕๑.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่โจทก์ จําเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคําให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จําเลยที่ ๑ ชําระค่าขาดประโยชน์ ๗,๕๙๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จ หากจําเลยที่ ๑ ไม่ชําระให้จําเลยที่ ๒ ชําระค่าขาดประโยชน์ ๖,๖๐๐ บาท แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คําขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภค วินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าขาดราคารถที่เช่าซื้อหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๑๐ (ก) กําหนดขั้นตอนการบอกเลิกสัญญาของผู้ให้เช่าซื้อว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัด ชําระค่าเช่าซื้อ ๓ งวดติด ๆ กัน และเจ้าของได้มีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้เช่าซื้อชําระค่าเช่าซื้อที่ผิดนัด ชําระภายในเวลาไม่น้อยกว่า ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ แต่ผู้เช่าซื้อยังคงเพิกเฉยไม่ชําระค่าเช่าซื้อ ที่ผิดนัดชําระให้เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กําหนด ... ให้เจ้าของมีสิทธิบอกเลิกสัญญานี้ได้โดยทันที เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ภายหลังทําสัญญาจําเลยที่ ๑ ชําระค่าเช่าซื้อเพียง ๓ งวด แล้วผิดนัดไม่ชําระ ค่าเช่าซื้อแก่โจทก์อีกเลย เป็นเวลาเกินกว่า ๓ งวด ติดกันและโจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวลงวันที่