The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มหาราชพระองค์ที่ 4 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tharaphan.prasan, 2022-09-22 04:37:31

มหาราชพระองค์ที่ 4 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

มหาราชพระองค์ที่ 4 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

พระราชประวัติ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชพระราช

มหาราชพระองคท์ ี่ 4 (ฉบบั ปรบั ปรงุ )
ผเู้ รยี บเรยี งนายประสาร ธาราพรรค์

พระนเรศวร อกี พระนาม พระนเรศ
ธ ปกเกศ สรา้ งตานาน สุดสงู สง่
ก้เู อกราช พ้นพมา่ ชาตยิ ืนยง
ธ ดารง คงชาตไิ ทย ไดง้ ดงาม
ปีเถาะ พ.ศ. 2098 ทรงพระราชสมภพ
ไทยนอ้ มนบ ภบู ดนิ ทร์ ถนิ่ สยาม

ทรงประสตู ิ ทพ่ี ษิ ณโุ ลก เฉลมิ พระนาม
ทุกเขตคาม ลว้ นแซซ่ อ้ ง ก้องววิ ัฒน์
ราชโอรส ในสมเด็จพระมหาธรรมราชา
พระราชมารดา พระวสิ ุทธกิ ษตั รยิ ์
พระพนี่ าง พระสพุ รรณกลั ยา งามเดน่ ชัด
รว่ มรม่ ฉตั ร พระเอกาทศรถ เลือ่ งระบอื
พระมเหสี มพี ระนาม องคม์ ณจี นั ทร์
เร่อื งราวนนั้ มคี วามแปลก นา่ เชอ่ื ถอื
พระราชโอรส พระราชธดิ า ไร้นามชื่อ
ที่เลอ่ื งลอื พระราชประวัติ องคร์ าชา
2106 เกิดสงคราม เพราะชา้ งเผอื ก
หนทางเลอื ก ทางอยรู่ อด แกป้ ญั หา
แพส้ งคราม ให้บเุ รงนอง มากรธี า
หมดปญั ญา พลชี า้ งเผือก ไทยพน้ ภยั
พระมหาธรรมราชา เปน็ เจา้ เมอื ง พษิ ณโุ ลก
ไทยวปิ โยค ถูกพมา่ ยดึ ครองได้
ปี 2107 พระนเรศวร ต้องคลาไคล
เสดจ็ ไป หงสาวดี เปน็ ตวั ประกัน
ประวัตศิ าสตร์ กลา่ วขาน การตไี ก่
ทรงมชี ยั ไกช่ นะ การแขง่ ขนั

พระมหา อุปราชา แพพ้ นนั
ไกไ่ ทยนน้ั สรา้ งชอ่ื ไว้ ไทยชน่ื ชม
วนั อาทติ ย์ เดอื น 9 ปี 2112 อยุธยาแตก
ไทยตอ้ งแหลก กรงุ ยอ่ ยยับ สดุ ขนื่ ขม
พระมหินทราธริ าช หมดอานาจ ไทยทกุ ขต์ รม
ความรืน่ รมย์ หมดสนิ้ ไทย ไมก่ ลบั มา
บุเรงนอง ปรบั เปลยี่ นแปลง กษตั ริย์ใหม่
หวงั ทาให้ ประเทศไทย ไรก้ งั ขา
แตง่ ตง้ั ให้ พระมหา ธรรมราชา
ครองพารา อยุธยา สืบต่อไป
ทรงขอรอ้ ง บเุ รงนอง ไทค้ นื กลบั
โดยทรงปรบั เชลยใหม่ หวงั แกไ้ ข
ยกพระสพุ รรณ กลั ยา แลกเปลยี่ นไป
เพยี งหวงั ให้ ไดพ้ ระนเรศ คงกลบั คนื
พระนเรศวร อยพู่ มา่ ถงึ หกปี
เรียนวิถี เพอื่ เมอื งไทย จกั พลกิ ฟนื้
ทรงอดทน เพียงหวงั ไทย ชาตยิ ่งั ยืน
เอกราชคนื ผนื ดนิ ไทย ไดแ้ น่นอน
พระนเรศวร ทรงกลบั มา อยธุ ยา
แตท่ วา่ มีปญั หา มากซับซอ้ น

ศกึ เขมร มหี ลายครงั้ หลากหลายตอน
แกศ้ กึ ก่อน ตอ้ งผ่อนผนั ไทยมน่ั คง
พษิ ณโุ ลก เปน็ เมอื งขน้ึ ของพมา่
ทรงปรชี า สามารถ ดงั ประสงค์
ตีเมอื งคงั สาเรจ็ ได้ ดงั จานง
พระองคท์ รง มชี อ่ื เสียง เลอื่ งลอื ไกล
ศกึ ตอ่ มา รว่ มหงสา ตีองั วะ
ไทยพรอ้ มจะ เกณฑท์ ัพไป ไมห่ วนั่ ไหว
เดนิ ทพั ถงึ เมอื งแครง เรื่องรอ้ นใจ
ทรงทราบได้ เจา้ หงสา คิดรอนราญ
พระยาเกยี รติ พระยาราม บอกการศึก
หงสาตรกึ วางแผนการ จกั รา้ งผลาญ
จกั เขน่ ฆา่ องคน์ เรศ ตามแผนการ
ความคดิ อา่ น ทรงรบั รู้ แกไ้ ขพลนั
พระนเรศวร ทรงทราบถงึ เหตเุ รอ่ื งรา้ ย
ทรงม่ันหมาย แกไ้ ขไทย ให้สุขสนั ต์
ทรงประกาศ อิสรภาพ ไทยโดยพลนั
ทั่วเขตขณั ฑ์ ไทยเอกราช ชาติเปรมปรีดิ์
ตรงปวี อก เดอื นหก แรมสามคา่
พ้นเคราะห์กรรม เปน็ เมอื งขน้ึ ไรศ้ กั ดศ์ิ รี

26 เมษา 2127 ไทยยนิ ดี
ทุกชวี ี พ้นเปน็ ทาส ของมา่ นมอญ
องคน์ เรศวร กรธี าทพั ตีหงสา
พระอปุ ราชา ทรงปดิ เมอื ง เอาไวก้ อ่ น
ตีหงสา คงไมไ่ ด้ อยา่ งแนน่ อน
จาตอ้ งผอ่ น กองทัพไทย กลบั อยุธยา
เจา้ หงสา สงั่ สกุ รรมา ออกตามตี
หวงั ชวี ี ภบู ดี สนิ้ ชนั ษา
แมน่ า้ สะโตง องคร์ าชนั ขา้ มฟากมา
เพียงหวงั วา่ นาคนไทย พน้ เภทภยั
ใชพ้ ระแสงปนื ยิงสกุ รรมา ถงึ ชพี วาย
ผลสดุ ทา้ ย ศกึ สงบ เลกิ รบได้
ปี 2129 ศกึ พมา่ กลบั มาใหม่
หวงั ยึดได้ อยธุ ยา มาครอบครอง
พระนเรศวร ทรงคาบดาบ ปล้นคา่ ยพมา่
ทรงหาญกลา้ สรา้ งขวญั ไทย ใหผ้ ยอง
ถงึ แมไ้ ม่ ยดึ คา่ ยได้ ตามหมายปอง
ชนยกยอ่ ง เทิดองคไ์ ท้ ไวน้ ริ ันดร์
29 กรกฎา 2133 พระมหาธรรมราชา สวรรคต
พระทรงยศ ขึน้ ครองราชย์ ไทยสขุ สนั ต์

ครองอยธุ ยา เสรมิ กาลงั มนั่ โดยพลนั
ให้ไทยน้ัน พร้อมเข้มแขง็ แกรง่ มนั่ คง
ปี 2135 พระมหาอปุ ราชา มาราวี
หวงั โจมตี อยธุ ยา เปน็ ผยุ ผง
ทาลายไทย ให้พนิ าศ ไมด่ ารง
มงุ่ หมายปลง ใหห้ มดสนิ้ แผ่นดนิ ไทย
พระนเรศวร ทราบขา่ วศกึ ไมน่ กึ พรนั่
เตรียมปอ้ งกนั รบั ศกึ พมา่ อยา่ งยงิ่ ใหญ่
ทรงเดนิ ทพั จากอยธุ ยา โดยทนั ใด
มงุ่ หมายให้ ปะทัพพมา่ ทส่ี ุพรรณ
ตาบลมะขามหวาน ในคนื นนั้ ทรงสบุ นิ
ทุกท่วั ถนิ่ นา้ ไหลบา่ นิมติ ฝัน
ไดพ้ บเจอ จระเข้ ตอ่ สกู้ นั
ทรงหมายมนั่ ฆา่ จระเข้ ถงึ ชพี วาย
ทรงต่อสู้ มุง่ หวังชัย สุดเข้มแขง็
ทรงกลา้ แกรง่ ไมย่ อ่ ทอ้ มนั่ มงุ่ หมาย
ทรงเขน่ ฆา่ จระเข้ ลม้ มลาย
นา้ แห้งหาย โหรทานาย ธ โชคดี
พระบรมสารรี กิ ธาตุ ลอยรอบทัพ ไทยสามรอบ
ไทยนบนอบ สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ เสรมิ ศกั ดศิ์ รี

หนองสาหรา่ ย ทพั ประจญั พร้อมราวี
องคภ์ มู ี ทรงกลา้ หาญ เพื่อชาตไิ ทย
18 มกรา แรม 2 คา่ ปี 2135
องค์ราชา พรอ้ มทาศกึ ไมห่ ว่นั ไหว
ชา้ งทรงพา ทา่ มกลางพมา่ โดยทันใด
ทรงแกไ้ ข ยามคบั ขนั ใชป้ ญั ญา
ทรงไสชา้ ง ทา้ ชนชา้ ง กษัตริย์ตะเลง
มิกลวั เกรง ยุทธหตั ถี กอ้ งทวั่ หลา้
ทรงมชี ยั เหนอื องค์ มงั กะยอชวา
มอญพมา่ แตกพา่ ยแพ้ กลบั พกุ าม
ศกึ สดุ ทา้ ย ตอี งั วะ หวงั มชี ยั
ทรงหมายใจ ตพี ม่า ให้เขด็ ขาม
ถงึ เมืองหาง ทรงประชวร หลายชว่ั ยาม
โรคลกุ ลาม สดุ แกไ้ ข ไรช้ วี นั
25 เมษา 2148 ธ เสดจ็ สวรรคต
โศกสลด ทกุ ข์ทว่ั ไทย ใจโศกศลั ย์
จารพระคณุ ตดิ ตราตรงึ ไทยท่วั กัน
นจิ นริ นั ดร์ เทดิ องคไ์ ท้ ทกุ ใจเอย

.................................................................................

ประสาร ธาราพรรค์ รอ้ ยกรอง

สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช มหาวีรกษตั รยิ ์ ทรงกอบกเู้ อกราช
และประกาศอิสรภาพใหไ้ ทยพ้นจากการเสยี กรงุ ครง้ั ท่ี 1
ทรงประกอบพระราชกรณยี กจิ ทานบุ ารุงบา้ นเมืองใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื ง

พระราชประวัตสิ มเด็จพระนเรศวรมหาราช

พระบรมราชานสุ าวรียส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช จงั หวดั สระแกว้
พระราชประวตั ิ

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 2 เป็นกษัตริย์
องค์ที่ 19 แห่งอาณาจักรอยุธยา มีพระนามเดิมว่า พระองค์ดา เป็นพระราช
โอรสในสมเด็จพระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของ
สมเดจ็ พระศรีสรุ โิ ยทยั และสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) เสด็จพระราชสมภพเม่ือ
ปีเถาะ พ.ศ. 2098 ที่พระราชวงั จนั ทน์ เมืองพิษณุโลกมีพระเชษฐภคินีคือ พระ
สุพรรณกัลยา มีพระอนุชาคือ สมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์ขาว) และเป็นพระ
ราชนดั ดาของสมเด็จพระศรี สุริโยทัยพระองค์จงึ มีพระชาติ ทัง้ ราชวงศพ์ ระรว่ ง
แห่งกรงุ สโุ ขทยั ทางพระราชบดิ า และราชวงศ์อยุธยาทางพระราชมารดา

สมเดจ็ พระอัครมเหสีของสมเด็จพระนเรศ
แมพ้ ระราชพงศาวดารกรงุ ศรีอยุธยาจะมิได้กลา่ วถึง พระมเหสขี องสมเด็จ

พระนเรศไว้เลย แต่เรื่องราวของบรรดาพระมเหสีของสมเด็จพระนเรศกลับไป
ปรากฏอยู่ในเอกสารต่างชาติถึง 5 ฉบับ ซ่ึงได้แก่ จดหมายเหตุสเปน (History
of the Philippines and Other Kingdom) ของบาทหลวงมาร์เชโล เด ริ
บาเดเนย์รา (Marchelo de Ribadeneira, O.F.M), จดหมายเหตุวันวลิต
, พงศาวดารละแวก,คาให้การขุนหลวงหาวัด และพงศาวดารพม่าฉบับหอแก้ว
ซง่ึ ปรากฏพระนามพระมเหสี โดยมพี ระนามดังน้ี

องคม์ ณจี นั ทร์ วาดขน้ึ โดยพระอาจารยม์ หาฤทธิชยั กลั ปย์ าโณ
1. องค์มณีจันทร์ จากคาให้การจดหมายเหตุวันวลิต หลังจากการ
สวรรคตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเดจ็ พระเอกาทศรถได้เสด็จข้ึน
ครองราชยต์ ่อนั้น มเี หตกุ ารณ์ใน ทไ่ี ด้กล่าวถึง พระชายาม่ายของสมเดจ็

พระนเรศวร เจ้าขรัวมณีจันทร์ได้เสด็จออกบวชชี และเป็นเหตุให้บุคคลท่ัวไป
เรียกกันว่า เจ้าขรัว จนกระทั่งมีเหตุการณ์หน่ึงท่ีเสด็จไปช่วยพระราชโอรส
พระองคห์ นึ่งของสมเดจ็ พระเอกาทศรถ คอื “เจา้ ไล” หรอื ศรี ซงึ่ มเี หตุววิ าทกบั
พระยาออกนา จนตอ้ งพระราชอาญาจนถงึ ชีวติ ข้ารองพระบาทในพระองค์ไล
จึงได้ไปทูลขอพึ่งพระบารมีเจ้าขรัวมณีจันทร์ซ่ึงเป็นพระปิตุจฉา พระนางจึงรีบ
เสด็จเข้าเฝ้าสมเดจ็ พระเอกาทศรถ จนสมเด็จพระเอกาทศรถยินยอมด้วยความ
เกรงพระทัย (แต่ในจดหมายเหตุวันวลิตกล่าวว่า ถูกฟันด้วยพระแสงดาบและ
ถูกจาคุกเป็นเวลา 5 เดือน เจ้าขรัวมณีจันทร์จึงได้ขอพระราชทานอภัยโทษ)
โดยปรากฏในจดหมายเหตวุ ันวลติ ความวา่ “จนกระท่งั เจา้ ขรวั มณีจันทร์ ชายา
มา่ ยของพระเจ้าอยู่หวั ในพระโกศ คอื พระองคด์ า ได้ทูลขอจึงเปน็ ท่โี ปรดปราน
อกี ”

2. พระมณีรัตนา จากคาให้การชาวกรุงเก่าซึ่งเป็นเอกสารฉบับเดียวกับ
โยธยา สะเวง (พงศาวดาร อยุทธยา) ของพม่า ได้เล่าถึงเหตุการณ์เม่ือคร้ัง
สมเด็จพระนเรศวรเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติสืบต่อจากสมเด็จพระมหาธรรม
ราชาธิราชพระราชบิดาใน จ.ศ. 952 ปีขาลโทศก (พ.ศ. 2133) ความว่า“ส่วน
พระนเรศวรน้นั ก็เขา้ ไปกรงุ ศรี อยุทธยา ก็เสดจ็ เขา้ สูพ่ ระราชฐาน อันอัครมหา
เสนาบดีและมหาปโุ รหิตท้งั ปวง จึงทาการปราบดาภเิ ษกแลว้ เชอ้ื เชญิ ขน้ึ ใหเ้ สวย
ราชสมบัติ จึงถวายอาณาจักรเวนพิภพแล้วจึงถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์
ท้งั 5 และเคร่อื งมหาพิไชยสงครามท้งั 5 ทงั้ เครื่องราชปู โภคทัง้ ปวงอันครบครัน
แล้วจงึ ถวายพระนามใส่ในพระสุพรรณบัตรสมญา แล้วฝ่ายในกรมจึงถวายพระ
มเหษีพระนามชื่อพระมณีรัตนา แล้วถวายพระสนมกานัลทั้งส้ิน แล้วครอบ
ครองราชสมบัติเม่ือจุลศักราช 952 ปีขาลโทศก อันพระเอกาทศรถนั้นก็ เป
นทม่ี หาอุปราช” พระนาม มณีรัตนา กับพระนามของเจ้านายฝ่ายในสมัย
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิพระองค์หน่ึง ซ่ึงทรงมีพระนามว่า พระรัตน

มณีเนตร เจ้านายฝ่ายในพระองค์น้ี ทรงเป็นพระขนิษฐาต่างพระมารดาของ
พระวิสทุ ธิกษัตรีย์ และทรงมีพระนามท่รี ู้จกั กันท่ัวไปคือ พระแก้วฟ้า ด้วยความ
คล้ายคลึงระหว่างพระนาม“มณีรตั นา” และ“รตั นมณเี นตร” อาจจะเปน็ บุคคล
เดียวกับพระรัตนมณีเนตรหรือพระแก้วฟ้า การท่ี “พระมณีรัตนา” ใน
คาให้การขุนหลวงหาวัด มีพระนามคล้ายคลึงกับ “พระรัตนมณีเนตร” หรือ
พระแก้วฟ้าน้ันเอง คือนัยยะสาคัญที่อาจบ่งบอกว่า พระนางเป็นเจ้าหญิงผู้สูง
ศกั ด์ทิ ่สี บื เชอ้ื สายมาจากราชวงศ์เก่าของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และสมเด็จ
พระมหินทราธิราช คือ ราชวงศ์ละโว้สายสุพรรณภูมิ มากกว่าที่จะเป็นเจ้านาย
ฝ่ายเหนือ จากราชวงศ์สุโขทัย (พระร่วง) ด้วยกันกับสมเด็จพระนเรศวร
มหาราช)

โยธยามพี้ ระยา
3. โยธยามี้พระยา พระราชธิดาของ พระเจ้าเชียงใหม่นรธามังสอ หรือ
เจ้าฟ้าสาวถีนรตรามังซอศรี กับพระนางเชงพยูเชงเมดอ ปฐมวงศ์พม่าท่ี

ปกครองอาณาจักรล้านนา จากพงศาวดารพม่า พระเจ้านรธามังสอ เจ้าผู้ครอง
ล้านนาได้รับการช่วยเหลือจากกรงุ ศรอี ยธุ ยาเพอื่ จดั การปญั หาเมอื งขนึ้ แขง็ เมอื ง
และช่วยป้องกันการรุกรานข้าศึก ด้วยการเก้ือกูลกันดังกล่าว ได้สร้างสาย
สัมพันธ์ทางเครือญาติกับนรธามังสอและสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงยกพระราชธิดาให้สมรสกับเมงสาตุลองผู้ซ่ึง
เป็นพระราชโอรสในพระเจ้านรธามังสอ โดยพระเจ้านรธามังสอก็ได้ถวายพระ
ราชธดิ าให้เป็นพระมเหสขี องสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย โดยการมอบพระ
ราชธดิ าของพระเจา้ นรธามงั สอแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

4. พระเอกกษตั รีย์ พระราชธดิ าของ พระเจา้ ศรสี พุ รรณมาธิราช กษตั รยิ ์
เขมร จากพงศาวดารเขมร

พระราชโอรส พระราชธิดา ในสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
พระราชโอรส-ธิดา

นักพงศาวดารหลายท่านเช่ือว่า สมเด็จพระนเรศไม่มีพระราชโอรสธิดา
เพราะยึดตามพระวินิจฉัยของสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ และ
จดหมายเหตุปีเตอร์ ฟลอริส (Peter Williamson Floris) ลูกจ้างชาวฮอลันดา
ท่ีทางานให้กับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษประจาเมืองปัตตานี (ตั้งแต่
พ.ศ. 2155-58) ในต้นรัชกาลพระอินทราชา พระองค์ท่ี 3 (พระเจ้าทรงธรรม
ครองราชย์ พ.ศ. 2153-71) บันทึกว่า“กษัตริย์ผู้พิชิตพระองค์น้ี สวรรคตใน
ค.ศ. 1605 (พ.ศ. 2148) โดยปราศจากพระราชโอรสธิดาสืบสันตติวงศ์ ทิ้งราช
บัลลังกไ์ ว้ใหก้ ับพระอนุชา ซ่งึ มพี ระสมญั ญานามว่า พระองค์ขาว ผู้รักสันติและ
มนี ้าพระทยั อ่อนโยน”

มีข้อมูลโต้แย้งเร่ืองพระราชโอรสพระราชธิดาในสมเด็จพระนเรศวร
มหาราชจากHistory of the Philippines and Other Kingdom เป็น
จดหมายเหตุสเปนที่บาทหลวงมาร์เซโล เด ริบาเดเนอิรา (Marcelo de
Ribadeneira, O.F.M.) เขียนขึ้นจากคาบอกเล่าของบาทหลวงนิกายฟรานซิส
กัน ท่ีเคยพานักอยู่ในพระนครศรีอยุทธยาระยะหนึ่ง ซึ่งพรรณนาถึงกรุงพระ

นครศรีอยุทธยาในห้วง พ.ศ. 2125 ปลายรัชกาลสมเด็จพระมหาธรรม
ราชาธิราช (ครองราชย์ พ.ศ. 2112-2133) และต้ังแต่ พ.ศ. 2139 ในตน้ รัชสมยั
สมเดจ็ พระนเรศ (ครองราชย์ พ.ศ. 2133-2148)

ภาพพิมพข์ นาด 13.2 x 17.1 นว้ิ ภาพนีช้ อ่ื “ทศั นยี ภาพสยาม (กรุงศรีอยุธยา)
และรวิ้ กระบวนพยุหยาตราชลมารค” (Vue de Siam, avec diverses Sortes
des Ballons, ou Vaisseaux Chinoises a Rame) โดย ฟรองซัวส์ ซาเวียร์
อาแบร์มันน์ (Francois Xavier Habermann) จิตรกรชาวเยอรมัน

เนื้อความตอนหน่ึงกล่าวถึงกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคของพระเจ้า
แผ่นดินสยาม ซึ่งมีสมเด็จพระอัครมเหสีและพระราชโอรสผู้ทรงพระเยาว์โดย
เสด็จมาด้วย จดหมายเหตุบาทหลวงมาร์เซโล เด ริบาเดเนอิรา เล่าว่า“…คร้ัง
หนึ่งบาทหลวงนกิ าย ฟรานซิสกนั ไดเ้ หน็ พระเจา้ แผ่นดินประทบั ในเรือพระที่น่ัง

ที่ตกแต่งประดับประดาแล้วล้วนไปด้วยพระปฏิมากร เพ่ือจะเสด็จพระราช
ดาเนินเยือนพระอารามแห่งหนึ่ง มีเรือสี่ลาแล่นล่วงหน้าไปก่อนเรือพระที่นั่ง
เพ่ือเป็นการค้าประกันความปลอดภัยของพระเจ้าแผ่นดิน เรือเหล่านี้บรรทุก
ผ้คู นเป่าแตรเงินเลก็ ๆ เพอ่ื ป่าวประกาศการเสด็จพระราชดาเนินถึง บรรดาเรือ
ล้วนมีรูปทรงวิจิตรพิสดารและแกะสลักอย่างน่าพิศวงด้วยรูปปฏิมาประดับ
ประดาอยา่ งหรหู รา ก่อเกดิ ความร้สู กึ ประทับใจถึงโขลงช้างที่ลอยเหนือน่านน้า
ด้วยเรือเหล่าน้ีลอยเลื่อนไปเบื้องหน้าและท้ายเรือโลดทะยานเรือส่ีลาเหล่านี้
หยุดที่พระอารามแห่งหนึ่งบนชายฝ่ัง เพราะพวกเขาคาดหมายว่า พระเจ้า
แผน่ ดนิ จะเสดจ็ พระราชดาเนินเพื่อทรงเจริญพระพทุ ธมนตแ์ ละทรงบาเพญ็ พระ
ราชกุศล ตามติดมาอยา่ งใกล้ชดิ เรือสล่ี านนั้ เป็นเรืออื่นๆ อีกหลายลาท่ีใหญ่กว่า
น้ัน แต่ละลาบรรทุกผู้คนมากมายท่ีแต่งกายด้วยเครื่องแบบประเภทต่างๆ เรือ
แต่ละลามีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แห่งราชสานัก 1 คน แล้วจากนั้นเป็นพระราช
กุมารพระองค์เยาว์ท่ีสุดในพระเจ้าแผ่นดินท่ีเสด็จปรากฏพระองค์ในเรือพระท่ี
นั่งที่ตกแต่งอย่างหรูหรามาก ตามติดมาเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีและสาวสรร
กานัลใน สมเด็จพระอัครมเหสีประทับแต่เพียงลาพังพระองค์ และบรรดานาง
กานลั นง่ั ในเรอื ลาอ่ืนที่ตกแต่งอย่างน่าอัศจรรย์ และก้ันด้วยม่านอย่างรอบคอบ
จนเป็นไปไดท้ ่จี ะสามารถมองผ่านมา่ นจากภายในออกมาสโู่ ลกภายนอกได้ โดย
ที่คนภายนอกไม่เห็นคนภายใน สุดท้ายท่ีมาถึงในกระบวนพยุหยาตราโดย
ชลมารคคอื องค์พระมหากษัตริย์ ประทับในเรือพระที่นั่งขนาดกว้างใหญ่ท่ีดูแต่
ไกลเหมือนนกกระยางตัวมหึมาที่แผ่ปีกอันกว้างใหญ่ออกมา เป็นเรือพระท่ีน่ัง
ปดิ ทองทง้ั องค์ และโดยทฝ่ี ีพายมีเป็นจานวนมาก อิริยาบถในการพายของพวก
เขาจงึ ดเู หมือนนกตัวใหญ่เหนิ ลมเหนือทา้ ยเรอื พระที่นง่ั พระเจ้าแผน่ ดนิ ประทับ
เหนอื พระราชบัลลังก์ เคียงข้างพระองคเ์ ปน็ สาวน้อยผเู้ ลอโฉมข้างละ 2 คนคอย

ถวายอยู่งานโบกพัด เพ่ือให้พระองค์ทรงสดช่ืนจากความร้อนระอุของดวง
อาทิตย์ ทันทีท่ีเรือพระท่ีนั่งหยุดลง ฝูงชนก็ผลักดันกันไปข้างหน่ึงและหมอบ
ราบลง และยกมือขึ้นประนมในลักษณาการศิโรราบจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดิน
เสด็จพระราชดาเนินผ่านไป แลว้ เรือพระที่น่ังของพระราชกุมารผู้ทรงพระเยาว์
กต็ ดิ ตามมาพรัง่ พร้อมด้วยเหล่าขนุ นางชน้ั สงู เม่ือพระเจา้ แผน่ ดนิ เสด็จพระราช
ดาเนินถึงพระอาราม พระองค์ได้รีบเสด็จไปถวายเคร่ืองราชสักการะแด่พระ
ปฏมิ ากรท้ังหลาย และหลงั จากน้นั พระองคไ์ ด้เสด็จลงสรงสนานกลางสระน้าใส
ในปริมณฑลของพระอาราม บรรดาเจา้ พนกั งานภษู ามาลาและชาวทีไ่ ดอ้ ญั เชิญ
น้าสรงปริมาณหนึ่งไว้เพ่ือสักการบูชา และพวกเขาได้อยู่งานถวายพระ
มรู ธาภิเษก จนกระทงั่ พระเจ้าแผ่นดินเสดจ็ พระราชดาเนนิ กลับสพู่ ระราชวงั ”

พระนามสมเด็จพระนเรศวรแทจ้ รงิ คอื อะไร?

“สมเด็จพระนเรศวร” เปน็ พระนามที่พระราชพงศาวดาร กรุงศรอี ยธุ ยา
กลุ่มฉบับความพิสดารใช้เรียกพระราชโอรสองค์ใหญ่ ในสมเด็จพระมหาธรรม
ราชาธิราชเจ้า กษัตริย์ศรีอยุธยา(พระยาลิไท) และทรงเป็นพระราชโอรส ของ
พระยาเลอไท พระมหากษัตริย์องค์ท่ี 5 แห่งกรุงสุโขทัย ตามประวัติศาสตร์
กล่าวว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชได้ทรงศึกษาวิชาชั้นต้นจากพระเถระ
ชาวลังกา ซ่ึงเข้ามาสอนหนังสือและเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และ
เมอ่ื ข้ึนครองราชย์ได้ 5 ปี กท็ รงอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เมื่อ
พ.ศ. 1904 โดยนิมนต์พระเถระจากลังกามาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาธรรม
ราชาลไิ ท ทรงเป็นนักปราชญ์ท่ีรอบรู้ท้ังด้านศาสนา ด้านการปกครองและด้าน
อักษรศาสตรเ์ ปน็ อยา่ งยิง่

สมเดจ็ พระนเรศวรขึ้นเสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาใน พ.ศ. 2133
พระนามของพระองค์แท้จริงแล้วพระนาม“สมเด็จพระนเรศวร” นี้หาใช่พระ
นามทางการของพระองค์ไม่กษัตริย์ศรีอยุธยาพระองค์นี้มีพระนามร่วมสมัยว่า
“พระนเรศ” หรือ “พระนริศ” (นร + อีศ) แปลว่า “พระราชา” แต่ภายหลัง ผู้
ชาระพระราชพงศาวดาร กลุ่มฉบับความพิสดาร อันมีพระราชพงศาวดารฯ
ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) เป็นพิมพ์เขียวต้นแบบ (สันนิฐานว่าเรียบเรียง
ขึน้ ในสมยั รัชกาลพระเจา้ อย่หู วั บรมโกศ) จดพระนามผดิ เพ้ยี นเปน็ “สมเดจ็ พระ
นเรศวร” (นร + อศี วร) หลงั จากลว่ งรชั กาลพระองคม์ าแล้ว 100 กวา่ ปี อนั เป็น
ผลมาจากการท่ีอาลักษณ์ผู้เรียบเรียงขาดแคลนเอกสารร่วมสมัยในการสอบ
ชาระ จึงเข้าใจผดิ ว่า “ราชาธิราช” เป็นสร้อยพระนามห้อยท้ายเหมือนกษัตริย์
ศรี อโยธยา (พ.ศ. 1893-2112) และกษตั รยิ ์อยธุ ยา (พ.ศ. 2112-2310) องค์อน่ื
จึงอ่านพระนาม “สมเด็จพระนเรศวรราชาธิราช” เป็น “สมเดดพระนะเรสวน
ราชาทริ าด” ไพล่เข้าใจไปว่า “สมเด็จพระนเรศวร” เป็นพระนามร่วมสมัยของ
พระองคแ์ ท้ที่จรงิ แล้วควรอ่านว่า “สมเดดพระนะเรดวอระราชาทิราด” ซง่ึ
คาว่า “วรราชาธิราช” นี้เป็นสร้อยพระนาม แปลว่า “พระราชาเหนือ
พระราชาผู้ประเสริฐ” สร้อยพระนาม “วรราชาธิราช” พบหลักฐานในศิลา
จารึกวัดพระธาตุศรีสองรัก 1 เรียกพระนามทางการของสมเด็จพระมหา
จกั รพรรดิเจ้า (พระเฑียรราชา) พระเจา้ ตาของสมเด็จพระนเรศวา่ “สมเด็จพระ
บรมมหาจกั รพรรดวิ าราชาธริ าช”

การที่พระนาม สมเด็จพระนเรศนาเอาสรอ้ ย “วรราชาธริ าช” มาใส่ไว้ทา้ ย
พระนามของพระองค์อาจต้องการแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ทางเครือญาติท่ี
พระองคม์ ีตอ่ สมเด็จพระมหาจกั รพรรดเิ จา้ ท้งั นี้เพ่อื ยืนยนั ถึงสิทธิอันชอบธรรม
ในราชบลั ลังกศ์ รอี ยุธยาของพระองค์

“สมเด็จพระนเรศวร” จึงเป็นพระนามแปลกปลอมของ “สมเด็จพระ
นเรศ” ที่อาลักษณ์ผู้เรียบเรียงพระราชพงศาวดารฯ กลุ่มฉบับความพิสดารใน
สมัยหลังเรียกผิดเพ้ียนไปจากพระนามแท้จริงของพระองค์ อันเป็นผลมาจาก
การขาดแคลนเอกสารร่วมสมัยชั้นต้น สาหรับใช้ตรวจชาระประวัติศาสตร์สมัย
กรุงศรีอยุธยา

พงศาวดารฯ ฉบับวันวลิต (The Short History of the Kings of Siam)
ของเยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremias van Vliet) หัวหน้าสถานีการค้าบริษัท
อนิ เดยี ตะวนั ออก (The East India Company) ของฮอลนั ดา ซ่งึ เรียบเรียงขนึ้
ในรัชกาลพระเจ้าปราสาททอง เม่ือ พ.ศ. 2182 เรียกพระองค์ว่า “พระนริศ”
(Prae Naerih) และ “พระนริศราชาธริ าช” ตรงกับคาให้การชาวกรงุ เกา่ (โยทธ
ยา ยาสะเวง) จากการสอบปากคาเชลยศึกชาวศรีอยุธยาเมื่อคร้ังเสียกรุงใน
พ.ศ. 2310 เรยี กพระองค์ว่า “พระนริศ” และคัมภีร์สงั คตี ยิ วงศ์ของสมเด็จพระ
พนรัตน์ วัดพระเชตุพน (สมัยท่ียังดารงสมณศักด์ิพระพิมลธรรม) ซ่ึงรจนาเป็น
ภาษาบาลีใน พ.ศ.2332 เรียกพระองค์ว่า “พระนริสสราช” (นริสสราชา) อันมี
ความหมายเช่นเดียวกับพระนามว่า “สมเดจ็ พระนเรศ”

พระราชพงศาวดารฯ ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิต์ิ ที่สมเด็จพระ
รามาธิบดี พระองค์ท่ี 4 (สมเด็จพระนารายณ์) โปรดให้เรียบเรียงข้ึนใน พ.ศ.
2223 เรียกสมเด็จพระนเรศต่างออกไปว่า “สมเด็จพระนารายณ์บพิตรเป็น
เจ้า” แต่ด้วยสาเหตุท่ีพระองค์สวรรคตอย่างปัจจุบันทันด่วนท่ีเมืองหาง (ห้าง
หลวง) ระหว่างยกทัพข้ึนไปตีเมืองอังวะใน พ.ศ. 2148 ตานานพราหมณ์เมือง
นครศรีธรรมราช (สันนิษฐานว่าเขียนข้ึนในปลายสมัยศรีอยุธยา) เรียก
พระองค์ว่า “พระนารายณ์เมืองหาง” เพ่ือให้ต่างจาก “พระนารายณ์เมือง
ลพบรุ ี” คือ สมเด็จพระรามาธบิ ดี พระองค์ท่ี 4 พระนาม “สมเดจ็ พระนารายณ์
บพิตรเป็นเจ้า” นี้มีความหมายทานองเดียวกับ “สมเด็จพระรามาธิบดีเจ้า”
นน่ั เอง

ไทยเสยี เอกราชแกพ่ มา่ คร้ังที่ 1 มสี าเหตุขอ้ มลู ความเป็นมาหลากหลายดังนี้
มูลเหตจุ ากสงครามช้างเผือก

ส ง ค ร า ม ช้ า ง เ ผื อ ก เ ป็ น ส ง ค ร า ม ก่ อ น ก า ร เ สี ย ก รุ ง ศ รี อ ยุ ธ ย า ค รั้ ง ที่
หนึง่ สงครามมสี าเหตุมาจาก ในปี พ.ศ. 2106 พระเจ้าบุเรงนอง ทรงส่งเคร่ือง
ราชบรรณาการมาถวายสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเพื่อทูลขอช้างเผือก 2 เชือก
เนอื่ งจากกรงุ ศรีอยุธยาในขณะนน้ั มีชา้ งเผือกอยู่ทง้ั หมด 7 เชอื ก ฝ่ายขุนนางจึง
มีความเห็นเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต้องการให้ส่งช้างเผือกไปถวายแก่พระเจ้า
บุเรงนองเพื่อหลีกเล่ียงสงคราม ส่วนอีกฝ่ายอันได้แก่พระ ราเมศวร พระยา
จักรี พระสุนทรสงครามไม่เห็นด้วยกับการส่งช้างเผือกไป เนื่องจากจะเป็นการ

อ่อนข้อให้ หงสาวดีในที่สุดสมเด็จพระมหาจักรพรรดิก็ทรงมีพระบรมราช
โองการไม่ประทานช้างเผือก แล้วมีพระราชสาสน์ตอบกลบั ไปดงั นี้

"ชา้ งเผือกยอ่ มเกดิ สาหรับบญุ บารมีของพระเจา้ แผน่ ดินผู้เป็นเจา้ ของ เมอื่ พระ
เจ้าหงสาวดีได้บาเพ็ญธรรมให้ไพบูรณ์คงจะได้ช้างเผือกมาสู่บารมีเป็นมั่นคง
อย่าได้ทรงวติ กเลย" และรับส่งั ใหเ้ ตรียมไพร่พลพรอ้ มรบั ศึกอย่างเข้มแขง็

พระเจ้าบเุ รงนอง
พระเจ้าบุเรงนองได้ยกทัพรวมพลที่เมืองเมาะตะมะ จัดทัพใหญ่ออก เป็น
5 ทัพ มเี จ้าเมืองเชยี งใหมค่ วบคมุ กองเรือเสบยี งล่องลงมาถึงเมืองตาก รวมไพล่
พลเป็นจานวนประมาณ 500,000 คน ส่วนทางอยุธยาได้เตรียมพลพร้อมรบ
และเรอื รบจานวนมาก เพอ่ื ป้องกนั การโจมตีจากทพั หลวงของหงสาวดีทางดา่ น
เจดีย์สามองค์ แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังท่ีคาดไว้ กองทัพพม่ากลับยกทัพมาทาง

ด่านแมล่ ะเมา และเขา้ ตีกาแพงเพชรจนชนะ แล้วแยกทพั ไปตีสุโขทยั เน่ืองด้วย
ทางสุโขทัยมีกาลังน้อยกว่ามากแต่ก็สู้รบอย่างเต็มความสามารถ แต่ท้ายที่สุดก็
ถูกพม่ายึดเมืองได้สาเร็จ จากนั้นพม่าจึงล้อมเมืองพิษณุโลก พระมหาธรรม
ราชาก็ต่อสู้เต็มความสามารถเช่นกัน แต่เกิดไข้ทรพิษข้ึนในเมืองและเสบียง
อาหารก็หมดจงึ ยอมจานน หลงั จากทีพ่ ม่าได้หวั เมอื งฝ่ายเหนือแล้วจงึ
บังคับให้พระมหาธรรมราชาและเจ้าเมืองถือน้ากระทาสัตย์ให้อยู่ใต้บังคับของ
พมา่ จงึ ทาให้พิษณุโลกต้องแปรสภาพเปน็ เมอื งประเทศราชของหงสาวดีและไม่
ข้ึนต่อกรุงศรีอยุธยาพร้อมท้ังส่ังให้ยกทัพตามลงมาเพ่ือตีกรุงศรีอยุธยาด้วยใน
เวลาตอ่ มา
กองทพั พมา่ ก็ยกมาประชดิ เขตเมืองใกล้ท่งุ ลมุ พลี

แผนทีอ่ ยธุ ยาสมยั โบราณ

พระมหาจกั รพรรดิทรงให้กองทพั บก กองทัพเรือ ระดมยิงใสพ่ มา่ เปน็
สามารถ แต่สู่ไม่ได้จึงถอย ทางพม่าจึงยึดได้ป้อมพระยาจักรี (ทุ่งลุมพลี) ป้อม
จาปา ป้อมพระยามหาเสนา (ทุ่งหันตรา) แล้วล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่นาน พระ
มหาจักรพรรดิทรงเห็นว่าพม่ามีกาลังมาก การที่จะออกไปรบเพื่อเอาชัยคงจะ
ยากนัก จึงทรงส่ังให้เรือรบนาปืนใหญ่ล่องไปยิงทหารพม่าเป็นการถ่วงเวลาให้
เสบียงอาหารหมดหรือเข้าฤดูน้าหลากพม่าคงจะถอยไปเอง แต่พม่าได้เตรียม
เรือรบ และปืนใหญ่มาจานวนมากยิงใส่เรือรบไทยพังเสียหายหมด แล้วตั้งปืน
ใหญ่ยงิ เข้ามา ในพระนครทุกวนั ถกู ชาวบา้ นลม้ ตาย บ้านเรือน วดั เสยี หายมาก
ทางพระเจ้าบุเรงนองจึงมีพระราชสาสน์มาว่า จะรบต่อไปหรือยอมเป็นไมตรี
เน่ืองด้วยทางไทยเสยี เปรียบมาก พระมหาจกั รพรรดิจงึ ทรงยอมเปน็ ไมตรี ทาให้
ฝ่ายไทยตอ้ งเสียชา้ งเผือกจาก 2 เชือก เป็น 4 เชือก และทกุ ปตี ้องสง่ ช้างให้ 30
เชือก พร้อมเงิน 300 ชั่ง จับตัวพระยาจักรี พระราเมศวร และ พระ
สมุทรสงคราม ไปเป็นตัวประกันนอกจากนี้ยังจะขอเก็บภาษีอากรจากเมือง
มะรดิ ที่ขึ้นกับไทยอกี ดว้ ย ขณะนน้ั สมเด็จพระนเรศวรทรงทรงพระเยาว์ ทรงใช้
ชวี ติ อย่ใู นพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณโุ ลก

พระเจา้ บเุ รงนอง

พระเจ้าบุเรงนองทรงขอพระนเรศวรไปเป็นองค์ประกันท่ีหงสาวดีในปี
พ.ศ. 2107 ทาให้พระองคต์ ้องจากบ้านเกดิ เมืองนอนต้งั แตม่ พี ระชนม์มายุเพียง
9 พรรษา

พระนเรศวรทรงประทับอยใู่ นฐานะ “โอรสบุญธรรม” ของกษตั รยิ ์พม่าถงึ
7 ปีเน่ืองจากการท่ีพระองค์มีชีวิตอยู่ในฐานะองค์ประกันทาให้ทรงมีความ
กดดันสูงจาก มังกะยอชวา (พระราชโอรสในพระเจ้านันทบุเรง) จึงทรงมี
แรงผลักดันท่จี ะกอบกอู้ ิสรภาพใหก้ ับบ้านเมอื งของพระองค์ เช่น จากการชนไก่
ของพระองค์กับมังกะยอชวา เมอื งพษิ ณโุ ลก สมัยสมเด็จพระนเรศวร การตีไก่
เป็นกีฬาท่ีทรงโปรดมาแต่ทรงเยาว์วัย เม่ือเสด็จไปประทับท่ีพม่า...ก็ทรงนาไก่
ชนไปด้วย พม่าสมยั นัน้ การตีไกถ่ อื เป็นกฬี าในวงั บรรดาเชื้อพระวงศ์นิยมเล้ียง
ไกช่ นกันแทบทุกตาหนกั

ประยูร พศิ นาคะ พรรณนาการตีไก่ ระหว่างสมเดจ็ พระนเรศวรกบั ไกพ่ ระ
มหาอุปราชของพม่า ไว้ในหนังสือสมเด็จพระนเรศวร ฉบับออกอากาศ ว่า
“ขณะทไี่ กฟ่ าดแข้งกนั อย่างอตุ ลุดพลั วัน สายตาทกุ คู่ต่างก็เอาใจช่วย และแทบ
ว่าจะไปชนแทนไก่ก็ว่าได้ คล้ายกับว่าไก่ชนกันไม่ได้ดังใจตน เม่ือทั้งสองไก่
พัวพันกันอยู่พักหนึ่ง ไก่ของพระมหาอุปราชก็มีอันล้มกลิ้งไปต่อหน้าต่อตา ไก่
ของพระนเรศวรกระพอื ปีกอย่างทะนงและขันเสียงใส พระมหาอปุ ราชถึงสะอึก
สะกดพระทัยไว้ไม่ได้ ตรัสว่า “ไก่เชลยตัวนี้เก่งจริงหนอ”พระนเรศวรตรัสตอบ
“ไก่เชลยตัวน้ี อย่าว่าแต่จะตีกันอย่างกีฬาในวังเหมือนอย่างวันนี้เลย ตีพนัน
บา้ นเมืองกันก็ยงั ได้”

สมเด็จพระนเรศวรฯประทับอยู่ที่หงสาวดีได้ 6 พรรษา การท่ีได้เสด็จไป
ประทับอยู่หงสาวดถี งึ 6 ปนี นั้ กเ็ ป็นประโยชนย์ ิง่ เพราะทรงทราบทั้งภาษา นิสยั
ใจคอ ตลอดจนลว่ งร้คู วามสามารถของพม่า ซึ่งนับเป็นทนุ สาหรบั คดิ อา่ นเพอ่ื หา
หนทางในการตอ่ สกู้ ับพมา่

พระบรมราชานสุ าวรีย์ สมเดจ็ พระนเรศวร มหาราช
องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลลุมพลี ( อบต. ลุมพลี ) จ.พระนครศรอี ยธุ ยา

ทุ่งลุมพลี มีผู้คนมาอาศัยอยู่ต้ังแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โดย
สมยั นั้นมชี าวมุสลมิ ที่มเี ชอ้ื สายจากชาวเปอร์เซียได้มาอาศัยอยู่ และสร้างมัสยิด
ทบี่ า้ นสระบัวแห่งทงุ่ ลุมพลีแห่งนี้ ก่อนที่จะถูกข้าศึกเข้าตีเมืองพระนคร โดยตั้ง
กองทัพท่ีท่งุ ลมุ พลแี ห่งนี้ และหลงั จากเราเสยี กรุงศรอี ยธุ ยา ทงุ่ ลุมพลกี ็ได้ถกู ทงิ้
รกร้าง ตาบลลุมพลี แต่เดิมเรียกว่า "ทุ่งลุมพลี" เป็นพ้ืนท่ีราบลุ่มทุ่งนา ต้ังอยู่
บริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะเมืองกรุงศรีอยุธยา จึงเป็นสนามรบท่ี
สาคัญในการทาศึกสงครามสมัยประวัติศาสตร์ที่กรุงศรีอยุธยารบกับพม่า ใน
สมัยสมเด็จพระนเรศวรมีเหตุการณ์เรื่องการตัดไม้ข่มนามตามพระราช
พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิต์ิที่ชาระสมัยสมเด็จพระนารายณ์มีระบุ
ว่า พ.ศ.2135 ฟันไม้ข่มนามที่ตาบลหลมพลี(ลุมพลี) ก่อนเสด็จไปรับศึกพระ
มหาอุปราชาที่หนองสาหร่าย พ.ศ.2138 ตัดไม้ข่มนามที่ตาบลุมพลี ก่อนเสด็จ
ไปตีหงสาวดีครั้งที่ 1 พ.ศ.2142 ตัดไม้ข่มนามท่ีตาบลลุมพลี ก่อนเสด็จไปตี
หงสาวดคี รง้ั ที่ 2

การเสยี กรงุ ศรีอยุธยาคร้งั ท่ี 1 มูลเหตจุ ากพระมหาธรรมราชาแปรพกั ตร์

พระมหาธรรมราชา
พระมหาธรรมราชาเสดจ็ ไปเฝ้าพระเจ้าบุเรงนองในปี พ.ศ. 2108 โดยทรง
กล่าวโทษว่าอยุธยาวางแผนกาจัดพระองค์ พระเจ้าบุเรงนองจึงให้พระมหา
ธรรมราเป็นเจ้าเมืองประเทศราช ทรงพระนามว่า พระศรีสรรเพชญ์ เจ้าฟ้า
พิษณุโลก หรือ เจ้าฟ้าสองแคว อันอยู่ในฐานะกบฏต่ออาณาจักรอยุธยาพระ
มหาจักรพรรดิกับพระ มหินทร์เสด็จข้ึนไปเมืองพิษณุโลกในขณะที่พระมหา
ธรรมราชาเสดจ็ ไปหงสาวดีแลว้ นาพระวิสทุ ธกิ ษัตรพี ร้อมด้วยพระเอกาทศรถมา
อยู่ท่ีกรุงศรีอยุธยา เมื่อพระมหาธรรมราชาทราบเร่ืองจึงให้ไปเข้ากับหงสาวดี
อย่างเปิดเผย ถงึ แม้วา่ สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิจะทรงนาพระชายา พระโอรส
และพระธิดาของพระมหาธรรมราชาลงมายังอยุธยา โดยหวังว่าพระมหาธรรม
ราชาจะไมท่ รงกลา้ ดาเนนิ การใด ๆ ตอ่ กรงุ ศรีอยุธยา แตก่ ก็ ารณม์ ไิ ด้เปน็ เช่นนน้ั
เมือ่ พระมหาธรรมราชาเมื่อทราบว่าพระอัครชายาและโอรสธิดาถูกจับเป็นองค์

ประกันกท็ รงวิตกย่ิงนัก แลว้ รบี ส่งสาสนไ์ ปยังพระเจ้าหงสาวดใี ห้ยกทัพมาตีกรุง
ศรีอยุธยา ก่อนการเสียกรุง พ.ศ. 2112 พระมหาธรรมราชาได้ทรงส่งกองทัพ
มาร่วมล้อมกรุงศรีอยุธยาร่วมกับทัพใหญ่ของพระเจ้าบุเรงนองด้วย และได้
ปฏิบัติหน้าท่ีสาคัญในกองทัพพม่าด้วย และในปี พ.ศ. 2112 พระเจ้าไชย
เชษฐาธิราชท่ี 1 แห่งล้านช้างทรงส่งกองทัพเข้าช่วยเหลือกรุงศรีอยุธยา พระ
มหาธรรมราชาก็ทรงปลอมเอกสารลวงให้กองทัพล้านช้างนาทัพผ่านบริเวณที่
ทหารพมา่ คอยดกั อยู่ กองทพั ล้านช้างจงึ แตกพ่ายกลับไป

เจดยี ด์ า่ นแมล่ ะเมา สมยั สมเดจ็ พระนเรศวร
พระเจ้าบุเรงนองทรงนาทัพเข้ารุกรานกรุงศรีอยุธยาในเดือนตุลาคม
พ.ศ. 2111 ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา เมืองตาก รวมทั้งหมด 7 ทัพ
ประกอบด้วย พระมหา อุปราชา เจ้าเมืองแปร เจ้าเมืองตองอู เจ้าเมือง อัง
วะ เจ้าเมอื งเชียงใหม่ และเชยี งตงุ เข้ามาทางเมืองกาแพงเพชร โดยได้เกณฑห์ วั
เมืองทางเหนือรวมท้ังเมืองพิษณุโลกมาร่วมสงครามด้วย รวมจานวนได้กว่า

500,000 นาย ยกทัพลงมาถึงพระนครในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน โดยให้พระ
มหาธรรมราชาเป็นกองหลังดูแลคลังเสบียง ทัพพระเจ้าบุเรงนองก็ตั้งค่ายราย
ล้อมพระนครอยู่ไม่ห่าง การต้ังรับภายในพระนครส่งผลให้มีการระดมยิงปืน
ใหญข่ องขา้ ศกึ ทาลายอาคารบ้านเรือนอยู่ตลอด ทาใหไ้ ด้รบั ความ
เสียหายอย่างมากฝ่ายกรงุ ศรอี ยุธยาเมอ่ื ทราบว่าหวั เมอื งทางเหนือเปน็ ของพม่า
แล้ว จึงเตรียมรบอยู่ท่ีพระนคร นาปืนนารายณ์สังหารยิงไปยังกองทัพพระเจ้า
หงสาวดีที่ต้ังอยู่บริเวณทุ่งลุมพลี ถูกทหาร ช้าง ม้าล้มตายจานวนมาก พม่าจึง
ถอยทัพมาต้ังทบี่ า้ นพราหมณใ์ หพ้ ้นทางปนื แล้วพระเจา้ หงสาวดจี งึ เรยี กประชมุ
การศึก พระมหาอุปราชเห็นสมควรให้ยกทัพเข้าตีไทยทุกด้านเพราะมีกาลัง
มากกว่า แต่พระเจ้าหงสาวดีไม่เห็นด้วยเพราะกรุงศรีอยุธยามีทาเลดีมีน้า
ล้อมรอบ จึงสั่งให้ตีเฉพาะด้านตะวันออกเพราะคูเมืองแคบที่สุด พม่าพยายาม
จะทาสะพานข้ามคูเมืองโดยนาดินมาถมเป็นสะพาน พระมหาเทพนายกอง
รักษาด่านอยา่ งเต็มสามารถ โดยให้ทหารไทยใชป้ ืนยิงทหารพม่าทขี่ นดนิ ถมเปน็
สะพานเข้ามา ทาให้พม่าล้มตายจานวนมากจึงถอยข้ามคูกลับไป พระเจ้าบุเรง
นองทรงพยายยามโจมตีอยู่นานจนถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2112 ก็ยังไม่ได้กรุง
ศรีอยุธยา อีกท้ังยังสูญเสียกาลังพลเป็นจานวนมาก พระองค์ทรงพยายาม
เปล่ียนที่ตั้งค่ายอยู่หลายระยะ โดยในภายหลังทรงย้ายค่ายเข้าไปใกล้กาแพง
เมืองจนทาให้สูญเสียพลอย่างมาก ระหว่างการสงครามสมเด็จพระมหา
จักรพรรดปิ ระชวรและสวรรคตในเวลาตอ่ มา สมเดจ็ พระมหินทร์ขึ้นครองราชย์
และทรงบัญชาการรบแทน พระเจ้าบุเรงนองจึงถามพระมหาธรรมราชาว่าจะ
ทาอย่างไรใหช้ นะศึกโดยเร็ว พระมหาธรรมราชาทรงแนะว่าพระยารามเป็นแม่
ทัพสาคัญหากได้ตัวมาการยึดพระนครจักสาเร็จ จึงมีสาสน์มาถึงพระอัครชายา
ว่า "..................การศกึ เกดิ จากพระยารามท่ียุยงให้พ่ีน้องต้องทะเลาะกัน ถ้าส่ง

ตัวพระยารามมา ให้พระเจ้าหงสาวดีจะยอมเป็นไมตรี..." สมเด็จพระมหินทร์ฯ
ทรงอา่ นสาสน์แลว้ ปรกึ ษากับขา้ ราชการตา่ งๆจงึ เห็นสมควรสงบ
ศึกเพราะผู้คนล้มตายกันมากแล้ว สมเด็จพระมหินทร์ ฯมีรับส่ังให้ส่ง
พระสังฆราชออกไปเจรจาและส่งตัวพระยารามให้พระเจ้าบุเรงนองเพ่ือเป็น
ไมตรี แต่พระเจ้า บุเรงนองตบัตสัตย์ไม่ยอมเป็นไมตรี ทาให้สมเด็จพระมหิ
นทร์ฯทรงพิโรธโกรธแค้นในการกลับกลอกของพระเจ้าบุเรงนองอย่างมาก มี
รบั สงั่ ใหข้ ุนศกึ ทหารท้ังปวงรกั ษา พระนครอยา่ งเขม้ แขง็ พระเจา้ บุเรงนองเห็น
วา่ ยงั ไม่สามารถตีกรงุ ศรีอยธุ ยาไมไ่ ด้ จงึ สง่ พระมหาธรรมราชามาเกล้ยี กล่อมให้
ยอมแพ้แต่ถูกทหารไทยเอาปืนไล่ยิงจนตอ้ งหนีกลบั ไป

การเสียกรงุ ศรีอยุธยาครง้ั ท่ี 1 มูลเหตุจากพระยาจักรเี ปน็ ไส้ศกึ

พระเจ้าหงสาวดีจึงคิดอุบายจะใช้พระยาจักรีท่ีจับตัวได้เป็นประกั นเม่ือ
คร้ังสงครามช้างเผือกเป็นไส้ศกึ จงึ ใหพ้ ระมหาธรรมราชาทรงเกลย้ี กล่อมพระยา
จักรีให้เป็นไส้ศึกในกรุงศรีอยุธยา แล้วแกล้งปล่อยตัวออกมา รุ่งเช้าพม่าทาที
เปน็ ตามหาแตไ่ ม่พบเลยจบั ตัวผคู้ ุมมาตัดหัวเสียบไว้ริมแม่น้าเพ่ือให้ไทยหลงกล
สมเด็จพระมหินทร์ฯทรงดีพระทัยท่ีพระยาจักรีหนีมาได้จึงทรงแต่งตั้งให้เป็น
ผู้บังคับบัญชาการรบแทนที่พระยาราม คร้ันพระยาจักรีได้รับแต่งตั้งให้ดารง
ตาแหน่งรักษาพระนครแล้วจึงดาเนินการสับเปลี่ยนหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ
จนกระท่ังการป้องกันพระนครอ่อนแอลง พระยาจักรีได้ใส่ร้ายให้พระศรีสาว
ราชว่าเปน็ กบฏจงึ ถูกสาเรจ็ โทษ

การเสยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาแกพ่ มา่

กองทัพพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยาอยู่ได้ 9 เดือน ลุวันอาทิตย์ 7 สิงหาคม
แรม 11 ค่า เดือน 9 ปีมะเส็ง พ.ศ.2112 พระยาจักรีจึงให้สัญญาณแก่พม่า
เข้าตีกรุงศรีอยุธยาและเปิดประตูเมือง ทาให้ทัพ พม่าเข้ายึดพระนครสาเร็จ
กรุงศรอี ยุธยาจึงตกเปน็ เมืองขน้ึ ของพมา่

พระนางสพุ รรณกลั ยา

พระเจา้ บเุ รงนองประทบั อยู่ทกี่ รงุ ศรีอยธุ ยาจนกระทัง่ วนั ศกุ รข์ ้นึ หกคา่
เดือนสิบสอง ปมี ะเส็ง พ.ศ. 2112 ได้อภเิ ษกให้สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธิราช
ขึ้นเป็นกษตั รยิ ์ครองกรุงศรีอยุธยา ในฐานะประเทศราช ทรงพระนามวา่ สมเดจ็
พระสรรเพชญที่ 1 บางแหง่ เรยี ก ''พระสุธรรมราชา'' สมเด็จพระมหินทราธิราช
พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางน้อยใหญ่ ได้ถูกนาไปกรุงหงสาวดีด้วยแต่
สมเดจ็ พระมหินทร์ประชวรและสวรรคตระหว่างทางไปกรงุ หงสาวดี พมา่ เขา้ ยดึ
ทรัพย์สินและกวาดต้อนผู้คนกลับไปพม่าเป็นจานวนมาก โดยเหลือให้รักษา
เมืองเพียง 1,000 คน บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างท้ังหลายได้รับความเสียหาย
เป็นอันมาก และให้กองทัพหงสาวดีจานวนสามพันคนอยู่รักษาพระนคร เมื่อ

พระมหาธรรมราชาเสด็จข้ึนครองราชย์ แล้ว ทรงทูลขอพระนเรศวรฯ คืนจาก
พระเจ้าหงสาวดี เพื่อให้กลับมาช่วยราชการบ้านเมือง สถาปนาให้เป็น "พระ
นเรศวร" ตาแหน่งสมเด็จพระโอรสผู้เป็นมหาอุปราชหรือ “วังหน้า” โดยมีพระ
อนุชา (พระเอกาทศรถ) ในฐานะ “วังหลัง” ที่จะสืบราชสมบัติแทนและพระ
มหาธรรมราชาได้ส่งตัวพระราชธิดาพระนางสุพรรณกัลยา ไปเป็นตัวประกัน
แทนอยธุ ยาจึงตกเป็นเมอื งขึ้นของพม่าเป็นเวลานาน 15 ปี
การตกี รงุ ศรีอยธุ ยาของเขมร

ระหวา่ งทไ่ี ทยยังเป็นประเทศราชแก่พมา่ อยู่ และสมเด็จพระนเรศวรฯทรง
เป็นมหาอุปราชอยู่ เมืองพิษณุโลก ผู้คนพลเมืองของไทยถูกกวาดต้อนไปพม่า
เป็นจานวนมาก ฝ่ายเขมรซ่ึงเคยเป็น ประเทศราชของไทย เม่ือเห็น กรุงศรี
อยุธยาอ่อนแอ ในปี พ.ศ. 2113 พระยาละแวกหรือสมเด็จพระบรมราชา
กษัตริย์เขมร ซึ่งเคยเป็นเมอื งขึ้นของกรงุ ศรีอยุธยามากอ่ นต้ังแต่ครั้งสมเด็จพระ
รามาธิบดีท่ี 1 เห็นกรุงศรีอยุธยาบอบซ้าจากการทาสงครามกับพม่าจึงถือ

โอกาสยกกองทัพเข้ามาซ้าเติมโดยมีกาลังพล 20,000 นาย เข้ามาทางเมือง
นครนายก เม่ือมาถึงกรุงศรีอยุธยาได้ตั้งทัพอยู่ท่ีตาบลบ้านกระทุ่มแล้วเคล่ือน
พลเข้าประชิดพระนครและได้เข้ามายืนช้างบัญชาการรบอยู่ในวัดสามพิหาร
รวมท้ังวางกาลังพลรายเรียงเข้ามาถึงวัดโรงฆ้องต่อไปถึงวัดกุฎีทอง และนา
กาลังพล 5,000 นาย ช้าง 30 เชือก เข้ายึดแนวหน้าวัดพระเมรุราชิการาม
พรอ้ มกบั ให้ทหารลงเรือ 50 ลาแล่นเขา้ มาปล้นพระนครตรงมมุ เจ้าสนุก ในครั้ง
นั้นสมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จออกบัญชาการการรบป้องกันพระนครเป็น
สามารถ กองทัพเขมรพยายามยกพลเข้าปลน้ พระนครอยู่ 3 วัน แต่ไม่สาเร็จจึง
ยกกองทัพกลับไปและได้กวาดต้อนผู้คนชาวบ้านนาและนครนายกไปยัง
ประเทศเขมรเป็นจานวนมาก

วัดพนญั เชงิ อยธุ ยา

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2117 ในขณะที่กองทัพกรุงศรีอยุธยาภายใต้การบังคับ
บัญชาของสมเด็จพระธรรมราชาธิราชและพระนเรศวรได้ยกกองทพั ไปช่วยพระ
เจา้ หงสาวดีเพ่อื ตเี มอื งศรสี ัตนาคนหตุ พระยาละแวกได้ถือโอกาสยกกองทัพมา
ทางเรือเข้าตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหน่ึง แต่การศึกคร้ังนี้โชคดีเป็นของกรุงศรี
อยุธยา กล่าวคือขณะที่กองทัพกรุงศรีอยุธยายกไปถึงหนองบัวลาภู เมือง
อุดรธานี พระนเรศวรประชวรเป็นไข้ทรพิษ ดังน้ันพระเจ้าหงสาวดีจึงโปรดให้
กองทัพกรงุ ศรีอยุธยายกทพั กลบั ไป โดยกองทพั กรงุ ศรอี ยธุ ยากลบั มาไดท้ นั เวลา
ท่ีกรุงศรีอยธุ ยาถูกโจมตีจากกองทัพเรอื เขมรซงึ่ ขึ้นมาถึงกรุงศรอี ยุธยาเม่ือเดอื น
อ้าย พ.ศ. 2118 โดยได้ต้ังทัพชุมนุมพลอยู่ท่ีตาบลขนอนบางตะนาวและลอบ
แฝงเข้ามาอยู่ในวัดพนัญเชิง รวมท้ังใช้เรือ 3 ลาเข้าปล้นชาวเมืองที่ตาบลนาย
ก่าย ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาได้ใช้ปืนใหญ่ยิงไปยังป้อมค่ายนายก่ายถูกข้าศึกล้มตาย
เป็นอันมาก แล้วให้ทหารเรือเอาเรือไปท้าทายให้ข้าศึกออกมารบพุ่ง จากนั้นก็
หลอกล่อใหข้ า้ ศกึ รกุ ไล่เขา้ มาในพ้ืนทีก่ ารยิงหวังผลของปนื ใหญ่ เมอ่ื พรอ้ มแลว้ ก็
ระดมยิงปืนใหญ่ถูกทหารเขมรแตกพ่ายกลับไประหว่างถอยไปนั้นก็ปล้นสะดม
ไล่จบั ผูค้ นพลเมือง ทีธ่ นบรุ แี ละพระประแดงนาไปกมั พชู าด้วย

รบกบั เขมรทไี่ ชยบาดาล

ในปี พ.ศ. 2121 พระยาจนี จนั ตุ ขุนนางจนี ของกัมพชู า รบั อาสาพระสฎั ฐา

มาปล้นเมืองเพชรบุรี แต่ต้องพ่ายแพ้ตีเข้าเมืองไม่ได้จะกลับกัมพูชาก็เกรงว่า

จะต้องถูกลงโทษ จงึ พาสมัครพรรคพวกมาสวามิภักด์ิอยู่กับคนไทย โดยสมเด็จ

พระมหาธรรมราชาทรงชุบเลี้ยงไว้ ตอ่ มาไมน่ านก็ลงเรือสาเภาหนีออกไป

สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชเสด็จไลต่ ามจับตวั พระยาจนี จันตดุ ว้ ยพระองคเ์ อง

พระบรมราชานสุ าวรียส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ทชี่ ะอา
เวลานน้ั สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมพี ระชนมายุได้ 24 พรรษา ตระหนัก
ในพระทัยดีว่า พระยาจีนจันตุเป็นผู้สืบข่าวไปให้เขมร พระองค์จึงเสด็จลงเรือ

กราบกันยารีบตามไป เสด็จไปด้วยอีกลาหน่ึงตามไปทันกันเมื่อใกล้จะออก
ปากน้า พระยาจีนจนั ตยุ งิ ปนี ตอ่ สู้ สมเดจ็ พระนเรศวรจึงเรง่ เรือพระทน่ี งั่ ขนึ้ หนา้
เรอื ลาอ่ืนประทับยนื ทรงยิงพระแสงปนื นกสบั ทหี่ นา้ กนั ยาไลก่ ระชน้ั ชดิ เขา้ ไปจน
ข้าศึกยิงมา ถูกรางพระแสงปืนแตกอยู่กับพระหัตถ์ก็ไม่ยอมหลบ พระเอกาทศ
รถเกรงจะเป็นอันตราย จึงตรัสส่ังให้เรือที่ทรงเข้าไปบังเรือสมเด็จพระเชษฐาก็
พอดกี บั เรือทท่ี รงเข้าไปบังเรือสมเด็จพระเชษฐากพ็ อดกี ับเรือสาเภาของพระยา
จนี จนั ตไุ ดล้ มแลน่ ออกทะเลไป เน่ืองจากเรอื รบไทยเป็นเรือเล็กสู้คล่ืนลมไม่ไหว
จาต้องถอยขบวนกลับขึ้นมาตามลาน้าพบกับสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่คุม
กาลังทหารลงเรือหนุนตามมาท่ีเมืองพระประแดง ทรงกราบทูลเหตุการณ์ท่ี
เกดิ ข้นึ ให้ทรงทราบ แลว้ เคลื่อนขบวนกลับสูพ่ ระนคร

พระบรมราชานสุ าวรยี ส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
คา่ ยโสณบณั ฑติ ย์ แมฮ่ อ่ งสอน

การทาสงครามกบั เขมรก็ยังไม่จบสิ้น ทง้ั นี้เพราะเขมรยงั คงเชอื่ ว่าสยามยงั
อ่อนแอสามารถที่จะเข้ามาปล้นชิงได้อยู่ พ.ศ. 2123 กษัตริย์กัมพูชาได้ให้พระ
ทศราชาและพระสรุ ินทรร์ าชาคมุ กาลังประมาณ 5,000 ประกอบไปดว้ ยช้าง มา้
ลาดตระเวนเข้ามาในหัวเมืองด้านตะวันออก แล้วเคลื่อนต่อเข้ามายังเมือง
สระบรุ แี ละเมอื งอน่ื ๆ หมายจะปล้นทรัพย์จับผู้คนไปเป็นเชลยประจวบเหมาะ
กับพระนเรศวรเสดจ็ ลงมาประทับอย่ทู กี่ รงุ ศรีอยธุ ยาพอดี เมอ่ื ทรงทราบขา่ วศกึ
ก็ทรงทูลขอกาลังทหารประจาพระนคร 3,000 คน ท้ังท่ีมีกาลังพลน้อยกว่า
เขมรแต่สมเด็จพระนเรศวรก็สามารถวางกลศึกหลอกล่อ กระท่ังสามารถโจมตี
ทัพของเขมรให้แตกหนีกลับไปได้ในท่ีสุด ฝ่ายพระทศราชา และพระสุรินทร์
ราชาเห็นทัพหนา้ แตกยับเยนิ ไม่ทราบแนว่ า่ กองทพั ไทยมกี าลังมากนอ้ ยเพยี งใด
ก็รีบถอยหนีกลับไปทางนครราชสีมา ก็ได้ถูกทัพไทยที่ดักทางคอยอยู่ก่อนแล้ว
เข้าโจมตีซ้าเติมอีก กองทัพเขมรทั้งหมดจึงรีบถอยหนีกลับไปกรุงกัมพูชา การ
รบครงั้ นที้ าใหส้ มเด็จพระนเรศวรเปน็ ท่เี คารพยาเกรงแกบ่ รรดาแม่ทพั
นายกอง และบรรดาทหารท้ังปวงเป็นท่ียิ่ง กิตติศัพท์อันนี้เป็นท่ีเล่ืองลือไปถึง
กรุงหงสาวดี และผลจากการรบคร้งั นี้ทาให้เขมรไมก่ ล้าลอบมาโจมตไี ทยถึงพระ
นครอีกเลยพระปรีชาสามารถในการรบเป็นที่ประจักษ์หลายคร้ังหลายคราว
ครั้นย่ิงนานวันความกล้าแกร่งของพระนเรศวรยิ่งเพ่ิมข้ึนเป็นเงาตามตัว
ความสามารถในการเป็นผู้นาปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน จนกระทั่งได้รับความ
นับถือยกย่องโดยท่วั ไป

สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชตเี ขมรเมอื งละแวกครง้ั ท่ี 1

เมืองเขมรโบราณ
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิต์ิ กล่าวถึง
เหตกุ ารณ์ท่ีสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชยกทัพไปเมอื งละแวกครัง้ แรกในปี พ.ศ.
2129 ว่า ...ครั้งน้ันเสด็จออกไปชุมพลท้ังปวง ณ บางกระดาน ถึงวัน 5ฯ 3 ค่า
เวลาอุษาโยคเสด็จพยุหยาตราจากบางกระดานไปตั้งทัพชัย ณ ชายเคือง แล้ว
เสดจ็ ไปละแวก ครั้งนนั้ ไดช้ า้ งม้าผคู้ นมาก...”

นอกจากน้ียังปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ
ความพิสดาร เช่น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์
(จาด) กล่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรยกทัพไปตีเมืองละแวกในปี จ.ศ. 945 ตรง
กับ พ.ศ. 2126 แม้ปีศักราชจะไม่ตรงกับพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวง
ประเสริฐอักษรนิต์ิ แต่ก็เป็นเหตุการณ์เดียวกันนั่นเอง เหตุการณ์ท่ีสมเด็จพระ
นเรศวรมหาราชทรงยกทพั ไปตีเมืองละแวกครัง้ น้ี ปรากฏหลักฐานในศิลาจารึก
วัดโรมโลก พบที่วัดอันโลกหรือโรมโลก จังหวัดตาแก้ว ประเทศกัมพูชา มี
ขอ้ ความกลา่ วถึงการทีส่ มเดจ็ พระนเรศวรยกทพั ไปตีเมอื งละแวก วา่ “..กาลเม่ือ
สรา้ งพระอารามนั้น กุนนกั ษตั ร ปี ศักราช 949 คราวศกึ พระนเรศ (ขสสฺ คบั ) มา
รบละแวกแตกกันคราน้ัน...”สงครามคร้ังน้ีไม่ปรากฏในพงศาวดารของกัมพูชา

แต่มีหลักฐานช้ันต้นคือ ศิลาจารึกวัดโรมโลกยืนยันว่าเกิดข้ึนจริง ประกอบกับ
ตานานเร่ืองสมเด็จพระนเรศวรตีเมืองละแวกในความทรงจาของชาวกัมพูชาท่ี
กลา่ วถึงสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชเสด็จมาตีเมืองละแวก 2 คร้ัง ซึ่งน่าจะเป็น
การแสดงให้เหน็ ชัดวา่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชน่าจะทรงยกทัพไปตีละแวก
ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2129
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ตเี ขมรเมอื งละแวกครงั้ ที่ 2

โบราณคดเี มอื งละแวก
แม้ว่าสงครามครงั้ แรกสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จะทรงถอยทัพกลับโดย
ไมส่ ามารถตีเมืองละแวกได้ แตค่ รั้นถึง พ.ศ. 2136 สมเด็จพระนเรศวร มหาราช
ได้ทรงยกทพั ตเี มืองละแวกได้สาเรจ็ ดงั ความท่ีปรากฏในพระราชพงศาวดารกรงุ
ศรอี ยุธยา ฉบบั หลวงประเสรฐิ นิติ์ วา่ “.. ณ วนั 6 ฯ 2 ค่า เพลา แล้ว 3 นาลกิ า

6 บาท เสด็จพยุบาดตราไปเอาเมืองละแวก แลต้ังทับไชยตาบลบางขวด เสด็จ
ไปคร้งั นน้ั ใด้ตวั พญาศรี สุพัรรณในวนั 1 ฯ 4 คาน้ัน...”หลงั จากตีเมืองละแวก
ได้แล้ว กองทัพไทยได้นาพระศรีสุริโยพรรณ และพระราชบุตรทั้งสอง คือพระ
ชัยเจษฎา (พระชนั ษาได้ 15 ปี) และพระอทุ ยั (พระชนั ษาได้ 9 ปี) รวมท้งั เชลย
เป็นจานวนมากกลับไปกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นการสิ้นสุดของการเป็นราชธานี
เขมรแตเ่ พียงเทา่ น้ัน

พงศาวดารละแวก
เร่ืองราวของพระยาละแวกมีบันทึกแตกต่างจากพงศาวดารไทยโดยมี
บันทึกจาก “พงศาวดารละแวก ฉะบับแปล จ.ศ. 1170” โดยย่อมีอยู่ว่า ที่
กัมพชู าสมยั หนง่ึ มกี ษัตริย์ 2 องค์เสวยราชยอ์ ยู่ ณ เมืองละแวก คือ สมเด็จพระ
ราชโองการ พระบรมราชารามาธิราชธิบดี (นักพระสัฏฐานั่นเอง แต่ใน

พงศาวดารนไี้ มไ่ ด้เรียกชื่อดงั กล่าวเลย) กบั พระอนุชา สมเดจ็ พระศรีสรุ โิ ยพรรณ
แล้วกล่าวถึงพระนามพระมเหสี พระราชบุตรพระราชธิดา อย่างยืดยาว แล้วก็
มากล่าวถึงทางกรุงศรีอยุธยาว่าจู่ๆ สมเด็จพระนเรศวรฯ ก็มีพระราชประสงค์
จะตีกมั พูชา กโ็ ปรดใหร้ าชบุรษุ 2 คนซง่ึ รูเ้ วทยม์ นตร์เดนิ ทางไปละแวกโดยบวช
เป็นพระเดินทางผ่านเมืองลาวย้อนกลับมาละแวก ท้ังสองไปอาศัยอยู่กับ
พระสังฆราชแล้วตั้งชื่อตัวเองว่า สุรปัญโญ กับ ติกปัญโญ จากน้ันได้ “วาง
กฤตยาคม” ให้พระบรมราชาธิบดีหรือพระยาละแวกเสียพระสติ เสพสุราบาน
ทั้งวันท้ังคนื ต่อมาเมอ่ื พระมเหสที รงพระประชวร พระยาละแวกก็ทรงเชื่อคายุ
ยงของ สุรปญั โญ กบั ตกิ ปญั โญ วา่ ให้รักษาดว้ ยการเผาพระพุทธรปู 4 พระองค์
ในพระวิหารจัตุรมุข จนกระทั่งเมื่อพระภิกษุทั้งสองเห็นว่าเป็นโอกาสแล้วจึงมี
หนังสือไปกราบทูลสมเดจ็ พระนเรศวรให้ยกทัพมาตีเมืองละแวก แรกๆ พระยา
ละแวกก็ไม่ได้คิดจะสู้รบเป็นเรื่องเป็นราวจนกระทั่งศึกมาประชิดเต็มทีแล้ว จึง
ได้ยกทพั ออกไปหมายจะกระทายทุ ธหัตถีกับสมเดจ็ พระนเรศวรฯ แต่ชา้ งพระที่
นั่งของพระยาละแวกกลับอาละวาดไล่แทงชา้ งมา้ ไพรพ่ ลทางฝ่ายเขมรเอง พระ
ยาละแวกจึงเสด็จหนีไปจนถึงอาณาจักรล้านชา้ ง

เมืองเขมรโบราณ

สมเด็จพระนเรศวรฯ ได้นาพระศรีสุริโยพรรณกับพระญาติของพระยา
ละแวกกลับไปกรุงศรีอยุธยา โปรดเกล้าฯ ให้พระมหามนตรีเป็นแม่ทัพคุมพล
หม่นื เศษรักษาเมืองอยู่ท่ีสระแก้ว ต่อมา พระรามาธิบดีญาติพระยาละแวกรวม
พลขับกองทัพพระมหามนตรีออกไปได้ แต่ยังเกิดเหตุวุ่นวายหลายอย่าง ทาง
เขมรจึงทลู ขอพระศรสี รุ โิ ยพรรณกลับไปครองราชย์ สมเดจ็ พระนเรศวรฯ กท็ รง
อนญุ าต พระศรีสรุ ิโยพรรณเสดจ็ กลับถงึ เมืองละแวกแลว้ ยงั ตอ้ งทรงปราบปราม
กบฏต่างๆ อยู่เป็นเวลานานกว่าจะสามารถปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ได้โดย
สมบรู ณ์

ภาพปรศิ นาพระยาละแวกถกู ประหารหรอื หนรี อดไปได้

ท้ั ง น้ี มี ข้ อ สั ง เ ก ต ว่ า พ ร ะ ร า ช พ ง ศ า ว ด า ร แ ป ล ฉ บั บ น้ี ไ ม่ ไ ด้ ก ล่ า ว ถึ ง
ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองละแวกกับกรุงศรีอยุธยาก่อนหน้าท่ีสมเด็จพระ
นเรศวรฯ จะเสด็จไปตเี มอื งละแวกเลย ทั้งในส่วนที่พระยาละแวกเคยแอบมาตี
เมืองต่างๆ ตอนไทยติดศึกพม่าและในตอนที่ส่งพระศรีสุพรรณฯ หรือพระศรี
สุริโยพรรณมาชว่ ยในศึกพระเจ้าเชียงใหม่ เลยเหมือนอยดู่ ๆี ไทยก็อยากตีเขมร
ข้ึนมาเฉยๆ

และการกล่าวว่าพระยาละแวกสามารถหนีไปได้ไม่ได้ถูกสังหารในพิธีปฐม
กรรมดังท่ีพงศาวดารไทยบางฉบับกล่าวอ้าง ซ่ึงในวงวิชาการของเราเองทราบ
กันมานานแล้วว่า พระยาละแวกหนีรอดไปได้โดยอ้างถึงเอกสารของชาวสเปน
ในยุคนั้นที่กลา่ วไวเ้ ช่นเดียวกบั หลักฐานของทางเขมร

พระเจา้ บเุ รงนองสวรรคต

อนสุ าวรยี บ์ เุ รงนอง หนา้ พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาตขิ องพมา่
ฉากหลงั เปน็ ทางเขา้ พระธาตุชเวมอดอ ในเมอื งพะโค หรือ หงสาวดี
ในปี พ.ศ. 2124 พระเจา้ บุเรงนอง สวรรคต และพม่าภายใต้ราชวงศ์ตอง
อกู ท็ าทา่ จะแตกสลายลง พระนเรศวรได้เสด็จไปยังเมืองพระโคเพ่ือไปงานพระ
ศพของกษัตริย์พม่า และน่าจะทรงทราบดีถึงเรื่องโอกาสท่ีอยุธยาจะได้เป็น
“เอกราช” ในขณะเดียวกนั พมา่ กท็ ราบดเี หมอื นกนั วา่ พระนเรศวรจะเอาใจออก
ห่างอยุธยานอกจากจะตกเป็นเมืองข้ึนของพม่าแล้ว (ท้ังอยุธยาและเชียงใหม่)
ภาคกลางของประเทศไทยได้รับความเสียหายมาก ประชากรจานวนมากถูก
กวาดต้อนไปพมา่ เมืองหลายเมืองถกู ทง้ิ ร้างเพราะขาดประชากร ส่วนท่ีอยุธยา
เองพม่าก็ตง้ั กองทัพของตนไว้ 3,000 คน ท้ังน้ีเพ่อื ควบคุมพระมหาธรรมราชามิ
ให้เอาใจออกห่าง ดังนั้นอยุธยาจึงอยู่ในสภาพที่อ่อนแอ และขาดทหารป้องกัน


Click to View FlipBook Version