The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มหาราชพระองค์ที่ 4 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tharaphan.prasan, 2022-09-22 04:37:31

มหาราชพระองค์ที่ 4 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

มหาราชพระองค์ที่ 4 สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

เมืองเป็นอย่างมากความอ่อนแอของอยุธยาเปิดโอกาสให้กัมพูชาส่งกองทัพมา
รุกรานหัวเมืองชายทะเล ตั้งแต่แถบเมืองจันทบุรีจนถึงเพชรบุรี กัมพูชาได้ส่ง
กองทัพมาตีหวั เมืองชายทะเลดังกลา่ วถึง 6 คร้งั และกวาดตอ้ นประชากรไปเป็น
จานวนมาก สงครามไทย-กัมพูชานี้เป็นสงครามท่ีประทุในแถบชายแดนแถว
จันทบุรี และเป็นสงครามที่มีการปล้นสะดมประชากร สงครามในลักษณะ
ดังกล่าวมีมาตั้งแต่สมัยต้นอยุธยาหรือก่อนหน้านั้นด้วยซ้า พระนเรศวรทรงมี
ส่วนอย่างมากในการป้องกันอยุธยาในคร้ังนี้ การสงครามกับกัมพูชาในคร้ังนั้น
ทาให้อยุธยาสามารถใช้เป็นข้ออ้างในการท่ีสะสมกาลังคนโดยการโยกย้าย
ประชากรจากหัวเมืองเข้ามายังอยุธยาท้ังยังสามารถสร้างและซ่อมแซมกาแพง
เมืองตลอดจนป้อมปราการ และจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมโดยปราศจาก
ความสงสัยจากพม่า นอกเหนือจากภัยสงครามภายนอกแล้ว ในสมัยดังกล่าว
อยุธยากย็ งั เผชญิ กับปญั หาภายในคอื “ขบถไพร่ญาณพเิ ชียร”

การรบทเ่ี มืองรมุ เมอื งคงั

เมื่อพระเจ้าบุเรงนองแห่งหงสาวดีสิ้นพระชนม์ ทางหงสาวดีจึงมีการ
ผลัดเปล่ยี นแผ่นดนิ ใหม่ โดยพระเจ้านนั ทบุเรงไดข้ นึ้ ครองราชยส์ มบตั สิ บื ตอ่ จาก
พระเจา้ บุเรงนอง พระนเรศวรในขณะน้ันก็ได้คุมทัพและเครื่องราชบรรณาการ
ไปถวายแก่หงสาวดีตามราชประเพณีที่มีมา คือเมื่อหงสาวดีมีการผลัดเปลี่ยน
กษัตริย์ ประเทศราชจะต้องปฏิบัติเช่นน้ีทางด้านเจ้าฟ้าเมืองคัง ซึ่งเป็นเมือง
ออกของหงสาวดีแขง็ เมือง ไมย่ อมสง่ ราชบรรณาการไปถวายพระเจ้านันทบุเรง
ดังน้ันทางหงสาวดีจงึ จดั กองทัพข้นึ 3 กอง มีพระมหาอุปราชราชโอรสของพระ
เจ้านนั ทบเุ รง พระสงั ขฑตั โอรสเจ้าเมอื งตองอู ส่วนทัพที่ 3 คือกองทัพของพระ
นเรศวร แห่งกรุงศรีอยุธยาให้ยกไปปราบปรามเมืองคัง กองทัพของพระมหา
อุปราชบุกเข้าโจมตีเมืองคังก่อน แต่ปรากฏว่าตีไม่สาเร็จ ต่อมาจึงเป็นหน้าท่ี
ของกองทัพพระสังขฑัต แต่การโจมตีก็ต้องผิดหวังล่าถอยกลับมาอีกเช่นกัน
ดังนน้ั จงึ เป็นคราวที่พระนเรศวรจะเขา้ โจมตีเมอื งคงั บ้าง

สมเดจ็ พระนเรศวรตเี มอื งคงั

พระนเรศวรทรงพิจารณาเห็นว่าเมืองคังต้ังอยู่บนที่สูง พระองค์จึงวาง
แผนการยุทธจัดทัพใหม่ แบ่งกาลังส่วนหนึ่งเข้าโจมตีด้านหน้า กาลังส่วนนี้มีไม่
มากนัก แต่กาลังส่วนใหญ่ของพระองค์เปลี่ยนทิศทางโอบเข้าตีด้านหลัง
ประกอบกับพระองค์ทรงรูท้ างลับท่ีจะบุกเข้าสู่เมืองคังอีกด้วย จงึ สามารถโจมตี
เมืองคังแตกโดยไม่ยาก พระนเรศวรจับเจา้ ฟา้ เมอื งคงั ไปถวายพระเจา้ นนั ทบุเรง
ทีห่ งสาวดีเปน็ ผลสาเร็จ

พระมหาอปุ ราชา
ชัยชนะในการตีเมืองคังครั้งน้ันทาให้ฝ่ายพม่าเร่ิมรู้ว่าฝีมือทัพอยุธยา มี
ความเก่งกล้าสามารถน่าเกรงขามยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะพระสังขฑัต และ
พระมหาอุปราชารู้สึกมีความละอายมากในการทาศึกครั้งนี้ นอกจากนี้แล้ว
ตอ่ มาพวกเขมรยกทัพมากวาดตอ้ นผู้คนในเมืองนครราชสีมาและหัวเมืองช้ันใน
ก็ถูกกองทัพของพระนเรศวรโจมตีแตกกระเจิงและเลิกทัพถอยกลับไป ความ
เกง่ กลา้ สามารถของพระนเรศวรมีมากขึน้ เพยี งไร ความหวาดระแวงของหงสาว

ดีก็เพ่ิมทวีมากขึ้นเย่ียงน้ัน พระเจ้านันทบุเรงเริ่มไม่ไว้วางพระทัยพระนเรศวร
คอยจับจ้องดคู วามเปล่ียนแปลง และความสามารถของยอดนกั รบพระองคน์ อี้ ยู่
ตลอดเวลา คดิ วา่ หากมีโอกาสเม่อื ใดก็จะกาจดั ตดั ไฟแต่ต้นลม
ทรงประกาศอสิ รภาพ

พระบรมรปู สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
ณ บา้ นทา่ ดหี มี ตาบลเมอื งพาน อาเภอพาน จังหวดั เชยี งราย
เมอ่ื ปี พ.ศ. 2126 พระเจ้าอังวะเป็นกบฏ เน่อื งจากไมพ่ อใจทางกรงุ หงสาว
ดีอยหู่ ลายประการ จึงแขง็ เมืองพร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจ้าไทยใหญ่อีกหลายเมือง
ให้แข็งเมืองด้วย พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงยกทัพหลวงไปปราบ ในการณ์นี้
ได้ส่ังให้เจ้าเมืองแปรเจ้าเมืองตองอูและเจ้าเมืองเชียงใหม่ รวมท้ังทางกรุงศรี
อยุธยาด้วย ให้ยกทัพไปช่วยทางไทยสมเด็จพระมหาธรรมราชาโปรดให้สมเด็จ

พระนเรศวรยกทัพไปแทนสมเด็จพระนเรศวรยกทัพออกจากเมืองพิษณุโลก
เมือ่ วันแรม 6 ค่า เดือน 3 ปีมะแม พ.ศ. 2126 พระองค์ยกทัพไทยไปชา้ ๆ
เพ่ือให้การปราบปรามเจา้ องั วะเสรจ็ สนิ้ ไปก่อน ทาให้พระเจา้ หงสาวดนี นั ทบเุ รง
แคลงใจว่า ทางไทยคงจะถูกพระเจ้าอังวะชักชวนให้เข้าด้วย จึงสั่งให้พระมหา
อุปราชาคุมทัพรักษากรุงหงสาวดีไว้ถ้าทัพไทยยกมาถึงก็ให้ต้อนรับและหาทาง
กาจดั เสีย และพระองค์ได้สั่งให้พระยามอญสองคน คือ พระยาเกียรติและพระ
ยาราม ซึ่งมสี มัครพรรคพวกอยทู่ เี่ มอื งแครงมาก และทานองจะเป็นผู้คนุ้ เคยกับ
สมเด็จพระนเรศวรมาแต่ก่อน ลงมาคอยต้อนรับทัพไทยท่ีเมืองแครง อันเป็น
ชายแดนติดต่อกับไทย พระมหาอุปราชาได้ตรัสส่ังเป็นความลับว่า เม่ือสมเด็จ
พระนเรศวรยกกองทัพขึ้นไป ถ้าพระมหาอุปราชายกเข้าตีด้านหน้าเม่ือใด ให้
พระยาเกียรติและพระยารามคุมกาลังเข้าตีกระหนาบทางด้านหลัง ช่วยกัน
กาจัดสมเดจ็ พระนเรศวรเสยี ให้จงได้ พระยาเกยี รตกิ บั พระยารามเมอ่ื ไปถงึ เมอื ง
แครงแลว้ ได้ขยายความลับนแ้ี กพ่ ระมหาเถรคนั ฉ่องผเู้ ปน็ อาจารย์ของตน ทกุ คน
ไม่มใี ครเหน็ ดีด้วยกับแผนการของพระเจ้ากรงุ หงสาวดี

พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ตาบลท่าโพธ์ิ อาเภอเมืองพิษณุโลก พษิ ณุโลก

กองทัพไทยยกมาถึงเมืองแครง เมื่อวันข้ึน 1 ค่า เดือน 6 ปีวอก พ.ศ.
2127 โดยใชเ้ วลาเดินทพั เกอื บสองเดอื น (เมืองแครง เป็นช่ือเมืองที่ปรากฏอยู่
เฉพาะในพงศาวดารไทยว่า เป็นเมืองของชาวมอญท่ีสมเด็จพระนเรศวร
มหาราชประกาศเอกราชจากอาณาจักรตองอูเม่ือ พ.ศ. 2127 จากการค้นคว้า
ข้อมูลเพื่อสร้างภาพยนตร์เร่ือง ตานานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ของหม่อม
เจา้ ชาตรเี ฉลิม ยคุ ล และ ดร. สุเนตร ชุตินธรานนท์ ไดส้ นั นิษฐานว่า เมอื ง
แครงน่าจะต้ังอยู่ท่ีเมืองวอในประเทศพม่า มีท่ีต้ังอยู่ริมฝั่งแม่น้าสะโตง และ
ระยะทางเดินเท้าห่างจากเมืองหงสาวดีเปน็ เวลา 1 วนั )

มหาเถรคนั ฉ่องทอี่ นสุ รณส์ ถานสมเดจ็ พระนเรศวร กาญจนบรุ ี

กองทัพไทยต้ังทัพอยู่นอกเมือง เจ้าเมืองแครงพร้อมท้ังพระยาเกียรติกับ
พระยารามไดม้ าเฝ้าฯ สมเด็จพระนเรศวร จากน้ันสมเด็จพระนเรศวรไดเ้ สดจ็ ไป
เยี่ยมพระมหาเถรคันฉ่องซ่ึงคุ้นเคยกันดีมาก่อน พระมหาเถรคันฉ่องมีใจจึง
กราบทูลถึงเรื่องการคิดร้ายของทางกรุงหงสาวดี แล้วให้พระยาเกียรติกับพระ
ยารามกราบทูลให้ทราบตามความเป็นจริง เมื่อพระองค์ได้ทราบความโดย
ตลอดแล้ว ก็มีพระราชดาริเห็นว่าการเป็นอริราชศัตรูกับกรุงหงสาวดีนั้น ถึง
กาลเวลาท่ีจะต้องเปิดเผยต่อไปแล้ว จึงได้มีรับส่ังให้เรียกประชุมแม่ทัพนาย
กอง กรมการเมืองเจ้าเมืองแครงรวมท้ังพระยาเกียรติพระยารามและทหาร
มอญมาประชุมพร้อมกัน แล้วนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่องและพระสงฆ์มาเป็น
สักขีพยาน ทรงแจ้งเรื่องให้คนทั้งปวงที่มาชุมนุม ณ ที่นั้นทราบว่า พระเจ้า
หงสาวดีคิดประทุษรา้ ยต่อพระองค์

ภาพเขยี นสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช ทรงประกาศอสิ รภาพ
(จติ รกรรมฝาผนงั ในวหิ ารวัดสุวรรณดาราราม)

วันนั้นตรงกับวันแรมสามค่า เดือนหก ปีวอก พุทธศักราช 2127 ครั้นได้
เวลายามพระสุริยาต้ังตรงศีรษะ ไม่มีเงาทอดห่างตัว ประทับยืนกลางแจ้งไร้สิ่ง
บดบัง เปลือยพระบาทแนบแนน่ กับพื้นธรณี ผินพระพักตร์สเู่ บอ้ื งทศิ บรู พา พระ
หัตถ์ขวาเหยียดตรงไปเบื้องหน้า แล้วจึงได้หล่ังอุทกธาราจากสุวรรณพิงคาร สู่
พ้ืนปฐพีต่อหน้ามุขมาตยาโยธาหารท้ังปวง ขณะเมื่ออุทกธารารดหล่ังลงสู่พื้น
พสุธานั้น ได้สารวมจิตอธิฐานโดยแน่วแน่ออกพระโอษฐ์ตรัส ประกาศแก่เทพย
ดาท้ังหลาย อันมีมหิทธิฤิทธ์ิและทิพจักขุทิพโสต ซึ่งสถิตอยู่ทุกทิศานุทิศท่ัวฟ้า
ดนิ จงเปน็ ทิพพยาน “เราหาความผดิ มไิ ด้ ซง่ึ พระเจ้าหงสาวดีคิดร้ายตอ่ เราก่อน
น้ัน อันแผ่นดินพระมหานครศรีอยุธยากับแผ่นดินเมืองหงสาวดีขาดจากทาง
พระราชไมตรีกันเพราะเป็นอกุศลกรรมนิยมสาหรับที่จะ ให้สมณพราหมณา
ประชาราษฎรไดค้ วามเดอื ดรอ้ น” เมอ่ื ตรสั แลว้ พระหตั ถข์ วาของพระองคท์ ท่ี รง
พระสุวรรณภิงคารอยู่ ได้หล่ังอุทกธาราลงเหนือพื้นพระสุธาดล และตรัสคา

ประกาศอิสรภาพออกไปว่า “เทพเจ้าท้ังหลาย อันมีมหิทธิฤทธิ์และที่ทิพจักขุ
ทิพโสต ซ่ึงสถิตอยู่ทุกทิศานุทิศจงเป็นทิพพยานด้วยพระเจ้าหงสาวดีมิได้ต้ังอยู่
โดยคลองสุจริตมิตรภาพขัตติยราชประเพณีเสียสามัคคีรสธรรมประพฤติพาล
ทุจรติ คิดจะทาภยนั ตรายแกเ่ รา ตง้ั แตว่ ันนี้ไป กรุพระมหานครศรียุธยากับเมือง
หงสาวดีมิได้เป็นสุวรรณปัฐพีเดียวดุจหนึ่งแต่ก่อน ขาดจากกันแต่วันนี้ไปตราบ
เท่ากัลปาวสาน” ครั้นเมื่อพระองค์ทรงหล่ังพระสุวรรณภิงคารสาเร็จแล้ว ก็ยัง
ได้ตรัสสั่งเหล่าพระยาเสนามุขมนตรีท้ังหลายว่า "เราจะยกทัพกลับลงไปพระ
นครคร้ังนี้ จะพาพระมหาเถรคันฉ่อง และญาติโยม กับพระยาเกียรติ พระยา
รามไป แล้วจะตีกวาดครอบครัวรามัญหัวเมืองรายทางไปด้วย” (พระราช
พรงศาวดารกรุงศรอี ยุธยาฉบับจันทนุมาศ (เจิม), 2553, น. 143 – 144)

พระราชวงั ของพระเจา้ ธมั มิกราชบเุ รงนอง หงสาวดี
จากนั้นพระองคไ์ ดต้ รัสถามชาวเมอื งแครงวา่ จะเขา้ ขา้ งฝา่ ยใด พวกมอญทง้ั
ปวงต่างเข้ากับฝ่ายไทย สมเด็จพระนเรศวรจึงให้จับเจ้าเมืองกรมการพม่าแล้ว

เอาเมืองแครงเป็นท่ีตั้งประชุมทัพ เม่ือจัดกองทัพเสร็จก็ทรงยกทัพจากเมือง
แครงไปยังเมือง หงสาวดีเมื่อวันแรม 3 ค่า เดือน 6 ฝ่ายพระมหาอุปราชาที่
อยู่รักษาเมืองหงสาวดี เม่ือทราบว่าพระยาเกียรติพระยารามกลับไปเข้ากับ
สมเด็จพระนเรศวร จึงได้แต่รักษาพระนครมั่นอยู่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยก
ทัพข้ามแม่น้าสะโตงไปใกล้ถึงเมืองหงสาวดี ได้ทราบความว่า พระเจ้ากรุงหง
สาวดีมีชัยชนะได้เมืองอังวะแล้ว กาลังจะยกทัพกลับคืนพระนคร พระองค์เห็น
ว่าสถานการณค์ รั้งนีไ้ ม่สมคะเน เห็นว่าจะตีเอาเมอื ง หงสาวดใี นคร้ังน้ียังไม่ได้
จึงให้กองทัพแยกย้ายกันเท่ียวบอกพวกครัวไทยที่พม่ากวาดต้อนไปแต่ก่อนให้
อพยพกลับบ้านเมือง ได้ผู้คนมาประมาณหม่ืนเศษให้ยกล่วงหน้าไปก่อน
พระองค์ทรงคมุ กองทพั ยกตามมาข้างหลัง
ทรงพระแสงปนื ขา้ มแมน่ ้าสะโตง

พระนเรศวรทรงพระแสงปนื ขา้ มแมน่ า้ สะโตงยงิ ถกู สกุ รรมาแมท่ ัพพมา่ เสยี ชวี ติ

ฝ่ายพระมหาอุปราชาทราบข่าวว่า สมเด็จพระนเรศวรกวาดต้อนคนไทย
กลับ จึงไดใ้ หส้ รุ กรรมาเปน็ กองหนา้ พระมหาอุปราชาเปน็ กองหลวง ยกติดตาม
กองทัพไทยมา กองหน้าของพม่าตามมาทันที่ริมฝั่งแม่น้าสะโตง ในขณะท่ีฝ่าย
ไทยไดข้ ้ามแมน่ า้ ไปแลว้ และคอยปอ้ งกนั มิให้ขา้ ศึกขา้ มตามมาได้ ได้มีการต่อสู้
กนั ทีร่ ิมฝ่ังแมน่ ้า

พระแสงปนื ตน้ ข้ามแมน่ า้ สะโตงจาลอง
ทพี่ ระบรมราชานุสาวรยี ส์ มเด็จพระ นเรศวรมหาราช ทงุ่ ภเู ขาทอง
สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้พระแสงปืนนกสับยาวเก้าคืบ ยิงถูกสุรกรรมา
แมท่ ัพหน้าพม่าตายบนคอช้าง กองทัพของพม่าเห็นแม่ทัพตาย ก็พากันเลิกทัพ

กลบั ไป เมื่อพระมหาอปุ ราชาแม่ทัพหลวงทรงทราบ จงึ ใหเ้ ลกิ ทัพกลบั ไปกรงุ หง
สาวดีพระแสงปืนที่ใช้ยิง สุรกรรมาตายบนคอช้างน้ีได้นามปรากฏต่อมาว่า
"พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้า สะโตง" นับเป็นพระแสงอัษฎาวุธ อันเป็นเคร่ือง
ราชูปโภค ยังปรากฏอยู่จนถึงทุกวันนี้เม่ือสมเด็จพระนเรศวรเสด็จกลับถึงเมือง
แครง ทรงดาริว่าพระมหาเถรคันฉ่องกับพระยาเกียรติพระยารามได้มีอุปการะ
มาก สมควรได้รับการตอบแทนให้สมแก่ความชอบ จึงทรงชักชวนให้มาอยู่ใน
กรุงศรีอยุธยา พระมหาเถรคันฉ่องกับพระยามอญ ทั้งสองก็มีความยินดี พา
พรรคพวกเข้ามาด้วยเป็นอันมาก ในการยกกาลังกลับครั้งนี้สมเด็จพระนเรศวร
ทรงเกรงว่า ข้าศึกอาจยกทัพตามมาอีก ถ้าเสด็จกลับทางด่านแม่ละเมา มี
กองทัพของนันทสูราชสังคราตั้งอยู่ท่ีเมืองกาแพงเพชร จะเป็นอุปสรรคต่อการ
เดินทาง พระองค์จึงรีบส่ังให้พระยาเกียรติ พระยาราม นาทัพเดินผ่านหัวเมือง
มอญลงมาทางใต้ มาเข้าทางดา่ นเจดียส์ ามองคเ์ มือ่ กลบั มาถงึ กรงุ ศรีอยธุ ยาแล้ว
สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็พระราชทานบาเหน็จรางวัลแก่พวกมอญที่
สวามิภักดิ์ ทรงต้ังพระมาหาเถร คันฉ่องเป็นพระสังฆราชาที่สมเด็จอริยวงศ์
และให้พระยาเกียรติ พระยารามมีตาแหน่งยศ ได้พระราชทานพานทอง
ควบคุมมอญที่เข้ามาด้วย ให้ตั้งบ้านเรือนที่ริมวัดขมิ้น และวัดขุนแสนใกล้วัง
จันทร์ของสมเด็จพระนเรศวร แล้วทรงมอบการทั้งปวงที่จะตระเตรียมต่อสู้
ขา้ ศกึ สมเดจ็ พระนเรศวรทรงบังคบั บัญชาสิทธิขาดแตน่ ั้นมา

รบกับพระยาพะสมิ

ด่านเจดยี ส์ ามองค์

ปี พ.ศ. 2127 หลังจากท่ีสมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพได้ 7
เดือน พระเจา้ หงสาวดี นนั ทบเุ รงจึงจดั ทพั สองทัพใหย้ กมาตไี ทย ทัพแรกมีพระ

ยาพสิม (เป็นพระเจ้าอาของพระเจ้าหงสาวดี) คุมกาลัง 30,000 โดยยกมาทาง
ดา่ นเจดยี ์สามองค์ ทัพทีส่ องมีเจา้ เมืองเชียงใหมช่ อ่ื มังนรธาชอ่ ราชอนุชา ยกทัพ
บกและเรือมา จากเชียงใหม่มีกาลังพล 100,000 กองทัพพระยาพสิมยกเข้า
มาถงึ เมืองกาญจนบรุ ี (ถึงก่อนทพั เจา้ เมืองเชียงใหม่) สมเดจ็ พระนเรศวรทรงให้
พระยาจกั รียกทพั เรือไปยิงปนื ใหญ่ดักข้าศึกแถว ๆ เมืองสพุ รรณบรุ ี ทัพพม่าถูก
ปืนใหญ่แตกพ่ายหนีไปอยู่บนเขาพระยาแมน เจ้าพระยาสุโขทัยยกทัพไปเขา
พระยาแมน เขา้ ตที พั พระยาพสิมแตกพ่ายหนกี ระเจงิ เจา้ พระยาสโุ ขทยั จงึ สงั่ ให้
ตามบดขยี้ข้าศึกจนถึงชายแดนเมืองกาญจนบุรี หลังจากทัพพระยาพสิมแตก
พ่ายหนีกลับไปได้สองอาทิตย์ กองทัพพระยาเชียงใหม่ได้เดินทัพมาถึงชัยนาท
โดยท่ีไม่ทราบข่าวการพ่ายแพ้ของพระยาพสิมจึงส่งแม่ทัพและทหารจานวน
หน่ึงมาต้ังค่ายที่ปากน้าบางพุทรา ทางสมเด็จพระนเศวรมีรับสั่งให้พระราชมนู
ยกทัพไปตีขา้ ศึกท่ีปากน้าบางพุทรา เมื่อไปถึงพระราชมนูเห็นว่ากาลังน้อยกว่า
มาก (พม่ามีอยู่ 15,000 ไทยมี 3,200 คน) จงึ แต่งกองโจรคอยดักฆา่ พม่าจนเสีย
ขวัญถอยกลบั ไปชยั นาท สดุ ทา้ ยทัพพม่าจึงถอยกลับไป

พระบรมราชานุสาวรยี ส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช จงั หวดั เชยี งใหม่

รบกบั พระเจา้ เชยี งใหมท่ บ่ี า้ นสระเกศ

เมื่อพระยาพสิมกับพระเจ้าเชียงใหม่ เสียทีแก่ไทยถอยทัพกลับไป
แล้ว พระเจา้ หงสาวดี นันทบุเรง ทรงขัดเคืองพระเจ้าเชียงใหม่ว่า เฉ่ือยช้า
ทาการไม่ทันกาหนดตามแผนการรบที่วางไว้ ทาให้พระยาพสิมเสียที จึงได้ให้
ข้าหลวงสามคน เข้ามากากับกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่ ซ่ึงถอยทัพไปตั้งอยู่ที่
เมืองกาแพงเพชร ให้ทาการแก้ตัวใหม่ จึงได้ยกทัพลงมาต้ังอยู่ท่ีเมือง
นครสวรรค์ เม่ือเดือน 4 ปีวอก พ.ศ. 2128 พร้อมกันน้ัน ก็ได้ให้พระมหาอุป
ราชา คุมกองทัพมีกาลังพล 50,000 คน เข้ามาต้ังอยู่ท่ีเมืองกาแพงเพชร เมื่อ
เดือน 5 ปีระกา พ.ศ. 2128 ให้ไพร่พลทานาอยู่ในท้องท่ีหัวเมืองเหนือ เพ่ือ
เตรียมเสบียงอาหารไว้สาหรับกองทัพใหญ่ ซึ่งพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจะ
เสดจ็ ยกมาเอง ในฤดแู ล้งปลายปีระกา พระเจ้าเชียงใหม่ได้รับมอบหมายให้ลง
มาขัดตาทัพ อยู่ท่ีเมืองชัยนาท เพ่ือคอยขัดขวางมิให้กองทัพกรุงศรีอยุธยา
ยกข้ึนไปขัดขวางการสะสมเสบียงอาหาร ของกองทัพกรุงหงสาวดีในหัวเมือง
ภาคเหนือ กองกาลังของพระเจ้าเชียงใหม่ ได้ยกลงมาถึงบ้านสระเกศ แขวง
เมืองวิเศษชยั ชาญ คอยรบกวนไมใ่ ห้ฝา่ ยไทยทาไรท่ านาได้ในปนี ้นั ใหเ้ จ้าเมอื ง
พะเยาคมุ กองทหารมา้ ลงมาเผาบา้ นเรือนราษฎร และไลจ่ ับผูค้ น

พระบรมราชานุสาวรียส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช อาเภอเกาะคา
จังหวัดลาปาง

ฝ่ายไทยเม่ือทราบข่าวข้าศึกยกลงมาทางเหนือ สมเด็จพระนเรศวรทรง
เห็นว่า ข้าศึกยกลงมาครั้งนี้เป็นทัพใหญ่ มีกาลังพลมากนัก การออกไปสกัด
ก้ันกลางทางจะทาได้ยาก จึงได้กวาดต้อนผู้คนเข้ามาไว้ในกรุงศรีอยุธยา
เตรยี มการรักษาพระนครไว้ให้เขม้ แข็ง เมอื่ พระองคท์ ราบการกระทาของขา้ ศกึ
ดังกล่าว จึงเสด็จคุมกาลังออกไปพร้อมกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เข้ารบพุ่ง
ข้าศึกถึงข้ันตะลุมบอน เจ้าเมืองพระเยาตายในที่รบ ไพร่พลที่เหลือก็พากัน
แตกหนไี ป พระองค์ทรงพระดาริเห็นวา่ จะตอ้ งตกี องทพั พระเจา้ เชยี งใหมท่ บ่ี า้ น
สระเกศให้แตกกลับไป จึงทรงรวบรวมรี้พลจัดกองทัพบกทัพเรือมีกาลังพล
80,000 คน ไปตั้งประชุมพลท่ีทุ่งลุมพลี ในห้วงเวลาน้ันได้ข่าวลงมาว่า มีกอง
กาลงั เมอื งเชียงใหม่ ยกมากวาดตอ้ นผ้คู นจนถึงบา้ นปา่ โมกพระองค์พร้อมด้วย
สมเด็จพระเอกาทศรถ ก็รีบเสด็จไปด้วยกระบวนเรือเร็ว ถึงตาบลป่าโมก

นอ้ ย กพ็ บกองทัพสะเรนันทสู ซง่ึ พระเจา้ เชียงใหม่ใหค้ ุมพล 5,000 ยกลงมาทา
ร้ายราษฎรทางเมืองวิเศษชัยชาญ จึงรับสั่งให้เทียบเรือเข้าข้างฝั่ง แลัวยกพล
เขา้ โจมตขี ้าศกึ พระองค์ทรงยงิ พระแสงปนื ถกู นายทัพฝา่ ยเชยี งใหมต่ าย ขา้ ศกึ
กแ็ ตกหนไี ปทางเหนือ พวกพลอาสาก็ติดตามข้ึนไป จนปะทะหน้าของพระเจ้า
เชียงใหม่ ซ่ึงมีพระยาเชียงแสนเป็นแม่ทัพ ฝ่ายไทย เมื่อเห็นว่าฝ่ายข้าศึกมี
กาลังมากกว่า ต้านทานไม่ไหวจึงล่าถอยลงมา พวกเชียงใหม่ก็ไล่ติดตาม
มา พระองค์จึงให้เล่ือนเรือพระท่ีนั่งพร้อมท้ังเรือท่ีอยู่ในกระบวนเสด็จ ข้ึนไป
รายลาอยู่ข้างเหนือปากคลองป่าโมกน้อย พอข้าศึกไล่ตามกองอาสามาถึงท่ี
นั้น ก็ให้เอาปืนใหญ่น้อยระดมยิงข้าศึกไปจากเรือ ได้มีการรบพุ่งกันในระยะ
ประชิด พอกองทัพทางบกจากกรุงตามข้ึนไปทัน จึงเข้าช่วยรบพุ่ง กองทัพ
พระยาเชียงแสน ก็ถอยหนขี น้ึ ไปทางเหนือ

อนสุ าวรียส์ มเดจ็ พระนเรศวรและสมเดจ็ พระเอกาทศรถ วดั ป่าโมกวรวิหาร

สมเด็จพระนเรศวรทรงให้รวบรวมกองทัพทั้งปวงไว้ท่ีตาบลป่าโมก ท่ี
บริเวณหลังตลาดป่าโมกตรงข้ามกับอาเภอป่าโมกในปัจจุบัน มีทุ่งใหญ่อยู่ทุ่ง
หนึ่งเรียกว่าทุ่งเอกราชคงจะได้ช่ือจากเหตุการณ์ในครั้งน้ัน ฝ่ายพระเจ้า
เชียงใหม่ต้ังอยู่ที่บ้าน สระเกศ เห็นกองทัพหน้าแตกกลับมา ก็คาดว่า
สมเด็จพระนเรศวรคงจะยกกองทัพตามข้ึนไป จงึ ปรึกษาแมท่ พั นายกองทง้ั ปวง
เห็นว่า ควรจะยกกาลังเป็นกองทัพใหญ่ ชิงเข้าตีกองทัพไทยเสียก่อน จึงได้
จัดแจงทัพให้พระยาเชียงแสนกับ สะเรนันทสู เป็นทัพหน้าคุมกาลัง
15,000 กองทัพหลวง ของพระเจ้าเชียงใหม่มีกาลัง 60,000 คน กาหนดจะ
ยกลงมาในวันแรม 2 คา่ เดอื น 5 ปีระกา พ.ศ. 2128

พระราชมนู
สมเด็จพระนเรศวรทรงพระดาริว่า กองทัพพระยาเชียงแสนท่ีถอยหนีไป
นนั้ น่าไปรวบรวมกาลงั เพ่ิมเตมิ แลว้ ยกกลบั มาอกี แตเ่ ม่ือรออยูห่ ลายวนั ก็ยังไม่

ยกลงมา นา่ จะคดิ ทาอบุ ายกลศึกอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงดารัสส่ังให้พระราชมนู
คุมกาลังพล10,000ยกข้ึนไปลาดตระเวนหย่งั กาลังขา้ ศึกสว่ นพระองคก์ บั สมเดจ็

พระเอกาทศรถ เสดจ็ ยกทพั หลวงมกี าลังพล 30,000 ตามขึน้ ไป กองทัพ
พระราช มนูยกข้ึน ไ ป ถึง บ า งแก้ว ก็ป ะทะกับ ทัพหน้าข อ งพระเ จ้ า
เชียงใหม่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จข้ึนไปถึงบ้านแห ได้ยินเสียงปืนใหญ่น้อย
จากการปะทะกนั หนาแนน่ ขน้ึ ทกุ ที จึงทรงพระดาริจะใช้กลยุทธเอาชนะข้าศึก
ในครั้งน้ี โดยให้หยุดกองทัพหลวง แล้วแปรกระบวนไปซุ่มอยู่ท่ีป่าจิกป่า
กระทุ่ม ข้างฝั่งตะวันตก แล้วให้ข้าหลวงขึ้นไปสั่งพระราชมนูให้ล่าถอยลง
มา ฝ่ายพระราชมนูไม่ทราบพระราชประสงค์ เห็นว่ากาลังร้ีพลไล่เล่ียกับ
กองทัพหน้าของข้าศึก พอจะต่อสู้รอกองทัพหลวงขึ้นไปถึงได้จึงไม่ถอยลง
มา พระองค์จึงให้จมื่นทิพรักษาขึ้นไปเร่งให้ถอยอีก พระราชมนูก็ส่ังให้มา
กราบทูลว่า กาลังรบพุ่งติดพันกับข้าศึกอยู่ ถ้าถอยลงมาเกรงจะเลยแตกพ่าย
เอาไวไ้ มอ่ ยู่ ครั้งน้พี ระองค์ทรงพิโรธ ดารสั สัง่ ให้จมนื่ ทิพรักษา คมุ ทหารมา้ เรว็
กลับไปสั่งพระราชมนูให้ถอย ถ้าไม่ถอยให้ตัดศีรษะพระราชมนูมาถวาย พระ
ราชมนจู งึ โบกธงให้สัญญาณถอยทัพ ขณะนั้นกองทพั หลวงพระเจา้ เชยี งใหมย่ ก
หนนุ มาถงึ สาคญั วา่ กองทพั ไทยแตกหนี ก็ยกทัพไล่ติดตามมาโดยประมาทไม่
เปน็ กระบวนศกึ จนถงึ พ้ืนทท่ี สี่ มเดจ็ พระนเรศวรซุ่มกองทัพหลวงไว้ พระองค์
เห็นข้าศึกเสียกลสมประสงค์ ก็ให้ยิงปืนโบกธงสัญญาณ ยกกองทัพหลวงเข้าตี
กลางกองทัพข้าศึก ฝ่ายพระราชมนูเห็นกองทัพหลวงเข้าตีโอบดังนั้น ก็ให้
กองทัพของตน กลับตีกระหนาบข้าศึกอีกทางหนึ่ง ได้รบพุ่งกันถึงขั้น
ตะลมุ บอน

พระบรมราชานสุ าวรียส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช จังหวดั เชยี งใหม่

กองทัพเชยี งใหม่ก็แตกพ่ายไปทั้งทัพหน้าและทัพหลวง ทัพเชียงใหม่เสีย
นายทหารชน้ั ผู้ใหญ่ถึง 7 คน คือ พระยาลอ พระยากาว พระยานคร พระยา
ราย พระยางิบ สมิงโยคราช และสะเรนันทสู กองทัพไทยยึดได้ช้างใหญ่ 20
เชือก ม้า 100 เศษ กับเครื่องศัตราวุธอีกเป็นอันมาก สมเด็จพระ
นเรศวร เห็นโอกาสที่จะไม่ให้ข้าศึกตั้งตัวติด จึงได้เสด็จยกทัพหลวงติดตาม
ข้าศึกไปจนพลบคา่ จงึ ให้พกั แรมท่ีบ้านชะไว แลว้ ยกทัพต่อไปแตก่ ลางดกึ ให้
ถงึ บา้ นสระเกศเขา้ ตคี ่ายพระเจา้ เชียงใหม่ตอนเช้าตรู่

พระนเรศวรเขา้ ตีคา่ ยพระเจ้าเชยี งใหม่ทบี่ า้ นสระเกศ

ฝ่ายพระเจ้าเชียงใหม่เม่ือถอยหนีกลับไปถึง บ้านสระเกศแล้ว ทราบว่า
กองทัพไทยยกติดตามขึ้นไป ก็รีบถอนทัพหนีกลับไปแต่ตอนกลางคืน เม่ือ
กองทัพไทยติดตามไปถงึ ตอนเชา้ พบขา้ ศกึ กาลงั ถอยหนีกันอลหม่าน กองทัพ
ไทยกย็ ึดคา่ ยพระเจา้ เชียงใหม่ได้จับได้พระยาเชียงแสน และร้ีพลเป็นเชลยรวม
10,000 คนเศษ กับช้าง 120 เชือก ม้า 100 เศษ เรือรบและเรือเสบียงรวม
400 ลา เครื่องศัตราวุธยุทธภัณฑ์และเสบียงอาหารเป็นอันมาก รวมท้ัง
ติดตามข้าศึกไปจนถึงเมืองนครสวรรค์ เม่ือทรงเห็นว่าพระเจ้าเชียงใหม่หนีไป
สมทบกับกองทัพพระมหาอุปราชา แล้วจะติดตามไปไม่ได้อีกจึงยกทัพ
กลับ ครั้งน้ัน สมเด็จพระมหาธรรมราชา ได้จัดกองทัพหลวงเสด็จโดยขบวน
เรือจากกรุงศรีอยุธยา กาลังหนุนข้ึนไปถึงปากน้าบางพุทรา เม่ือได้ทราบผล
การรบแล้ว จงึ มรี บั สงั่ ใหเ้ ลิกกองทพั กลบั กรงุ ศรอี ยุธยา สมเด็จพระนเรศวร

ทรงได้ชัยชนะอันย่ิงใหญ่ครั้งน้ี พระองค์ได้รับการยกย่องเทิดทูนจากมหาชน
อย่างกว้างขวาง พระองค์ทรงมุ่งท่ีจะขยายผลการได้ชัยชนะออกไปอีก เพ่ือ
กอบก้รู าชอาณาจกั รไทยให้ยงิ่ ใหญ่ แตส่ มเด็จพระราชบิดาทรงเห็นเหน็ วา่ เมอื่
ได้อิสรภาพคนื มากเ็ พียงพอแล้ว เพราะต้องการพืน้ ฟูบ้านเมอื ง ให้กลบั พืน้ คืนดี
บรบิ ูรณเ์ หมอื นแตก่ ่อน ดงั นน้ั หลังศึกพระเจา้ เชียงใหมแ่ ล้ว ทางกรงุ ศรอี ยธุ ยา
กไ็ ด้เร่งรดั การทานาในหัวเมอื งชัน้ ในที่ขึ้นตรงตอ่ พระนคร

เม่ือถึงฤดูฝนก็ให้เร่งทานาทุกพ้ืนที่ และเม่ือถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าว เม่ือได้
ข้าวมาแล้วก็ใหข้ นขา้ วมาสะสมไวใ้ นกรุง เพื่อไวใ้ ช้เป็นเสบียงอาหาร เม่ือมีศึก
มาล้อมศึก ข้าวท่ีเก่ียวได้ไม่ทันก็ให้เผาทาลายเสียมิให้ข้าศึกใช้ประโยชน์
ได้ นอกจากนั้นยังได้เร่งจัดหาสรรพวุธพาหนะและกาลังพล เพ่ือเตรียมต่อสู้
ข้าศึกที่ประมาณการณ์ว่า จะยกกาลังเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาอีกในอนาคตอัน
ใกล้ ส่วนบรรดาผู้คนท่ีอพยพหลบภัยข้าศึกกระจัดกระจายอยู่ตามป่าตามดง
นั้น พระองค์ก็ได้ทรงเลือกสรรบรรดาทหารที่ชานาญป่า จัดตั้งเป็นนายกอง

อาสา ออกไปเกล้ียกล่อมให้เกิดมีใจรักชาติ มีความมุ่งม่ันท่ีจะต่อสู้ข้าศึกศัตรู
ของชาติ แล้วจัดต้ังเป็นหน่วยกองโจรอยู่ตามป่า คอยทาสงครามแบบ
กองโจร ทาลายการสง่ เสบยี งอาหารของข้าศึก
พระเจา้ หงสาวดลี อ้ มกรงุ
พระแสงดาบคาบคา่ ย

ภาพปน้ั ทรงปนี คา่ ย ทพี่ ระบรมราชานสุ าวรยี ์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา

เดือนสิบสอง ปีจอ พ.ศ. 2129 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงสงครามยก
กองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาโดยจัดทัพเข้ามาถึงสามทัพ จัดเป็นทัพสามกษัตริย์
คือ ทัพพระเจ้าหงสาวดี ทัพพระมหาอุปราชา และทัพพระเจ้าตองอู โดยมี

ทัพพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงเป็นจอมทัพ มีกาลังพลทั้งสิ้น 250,000
คน กองทัพทั้งสามมาชุมนุมกันท่ีเมืองกาแพงเพชร ส่วนพระเจ้าเชียงใหม่
นั้น เนื่องจากรบแพ้ไทยไปครั้งก่อน จึงให้ทาหน้าท่ีขนเสบียงอาหาร เม่ือท้ัง
สามทัพพรอ้ มกันแล้ว กเ็ ดินทัพลงมาถงึ นครสวรรค์ โดยใหท้ พั พระมหาอุปราชา
เป็นปีกขวา พระเจ้าตองอูเปน็ ปกี ซ้าย เมอ่ื ยกลงมาถึงเมอื งนครสวรรค์ แล้วให้
กองทัพพระมหาอุปราชา ยกมาทางเมืองลพบุรี เมืองสระบุรี แล้วยกมา
บรรจบทัพหลวงท่ีกรุงศรีอยุธยาทัพพระเจ้าตองอู ให้ยกลงมาทางฝ่ังตะวันออก
ของแม่น้าเจ้าพระยา ทัพหลวงยกลงมาทางฝ่ังตะวันตกของแม่น้า
เจ้าพระยา ท้ังสองทัพยกลงมาถึงกรุงศรีอยุธยาเม่ือวันขึ้น 2 ค่า เดือนยี่ จัด
คา่ ยรายกันอยูท่ างดา้ นทิศเหนอื และทิศตะวนั ออกของพระนคร เน่อื งจากเป็น
ทางท่ีจะเข้าตีพระนครได้สะดวกกว่าด้านอ่ืน โดยท่ีกองทัพหลวงอยู่ทางด้าน
เหนือ ตั้งค่ายหลวงท่ีขนอนปากคูกองมังมอด ราชบุตรกับพระยารามต้ังที่
ตาบลมะขามหยอ่ ง กองพระยานครตั้งที่ตาบลพุทธเลา กองนันทสูต้ังท่ีขนอน
บางลาง กองทพั พระเจา้ ตองอูต้งั ท่ีทงุ่ ชายเคืองทางทิศตะวันออก เมื่อกองทัพ
พระมหาอุปราชามาถงึ ก็ใหต้ ัง้ ท่ที ุ่งชายเคืองตะวนั ออก ต่อจากกองทพั พระเจ้า
ตองอูลงมาทางบางตะนาว

ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยา ได้มีเวลาเตรียมการรักษาพระนครอยู่หลาย
เดือน เพราะทราบสถานการณ์มาก่อนแล้ว การเตรียมการดงั กล่าวได้แก่ การ
เตรยี มเสบยี ง กาลงั พล การรกั ษาเสน้ ทางคมนาคมทางน้า ท่ีติดต่อไปมาทาง
ทะเลโดยเรือใหญ่ได้สะดวก คือ เส้นทางเรือในแม่น้าเจ้าพระยาไปออกอ่าว
ไทย ส่วนข้างเหนือต้ังแต่เมืองวิเศษชัยชาญขึ้นไป เห็นว่าไม่คุ้มค่าท่ีจะรักษา
ไว้ ในชานพระนครไดเ้ ตรียมปนื ใหญ่ และกาลังทางบกและทางเรือไว้คอยต่อสู้
ป้องกัน มใิ หข้ ้าศกึ เขา้ มาตง้ั ปนื ใหญย่ ิงเข้ามาในพระนครได้ ขณะเม่ือกองทัพ
ข้าศึกยกลงมาถึงพระนครเม่ือต้นเดือนย่ี ข้าวในทุ่งหันตราซ่ึงอยู่นอกพระนคร
ดา้ นทิศตะวันออก ยังเกบ็ เกย่ี วไม่เสรจ็ เม่อื ทราบวา่ ข้าศึกยกลงมาใกล้ จึงโปรด
เกล้า ฯ ให้เจ้าเจ้าพระยากาแพงเพชร ซึ่งได้ว่าที่สมุหพระกลาโหมคุมกองทัพ
ออกไป คอยปอ้ งกนั การเกย่ี วข้าวทท่ี ่งุ หนั ตรา พอกองทัพของพระมหาอุปราชา
ยกลงมาถงึ ก็ให้กองทัพม้าเขา้ ตีกองทัพพระยากาแพงเพชร ฝา่ ยไทยสไู้ ม่ไดแ้ ตก
หนเี ขา้ มาในพระนคร สมเดจ็ พระนเรศวรกร้วิ เจา้ พระยากาแพงเพชรยง่ิ นกั ดว้ ย
รบกนั มาในช้ันน้ไี ทยยังไม่เคยเสียทแี กข่ า้ ศกึ เลย

สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จลงเรือพระที่น่ังลา
เดียวกัน ยกออกไปรบพุ่งกับข้าศึกท่ีทุ่งชายเคืองเป็นสามารถจนถึงเวลาพลบ
ค่า ข้าศึกจึงถอยไปจากค่ายของไทยที่ตีได้ จึงเสด็จกลับและมีดารัสสั่งให้
ประหารชีวิตเจ้าพระยากาแพงเพชรเสีย แต่สมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงขอ
ชีวิตไว้ รับส่ังว่าเจ้าพระยากาแพงเพชรเป็นพลเรือน เอาไปใช้รบเป็นทหารจึง
แพ้กลับมา เจ้าพระยากาแพงเพชรจึงรอดตาย แต่ถูกถอดจากตาแหน่งมิให้ว่า
การกลาโหมต่อไป กองทัพข้าศึกต้ังล้อมพระนครอยู่ห่าง ๆ ให้กองทัพเข้าตี
ปล้นพระนครหลายคร้งั ก็ไมเ่ ป็นผล ฝ่ายไทยต่อสู้ปอ้ งกนั อยา่ งเขม้ แขง็ จนพมา่
ต้องถอยกลับไปทุกครั้ง ฝ่ายไทยก็ส่งทหารจากพระนคร เข้าปล้นค่ายพม่าทั้ง
กลางวันกลางคืน มิให้อยู่เป็นปกติได้ บรรดาพวกกองโจรท่ีจัดตั้งไว้หลาย
หมวด หลายกอง ก็พากันเข้าโจมตีตัดการลาเลียงเสบียงอาหารของ
ขา้ ศกึ เกดิ ความขาดแคลนและความเจบ็ ไข้

สมเดจ็ พระนเรศวรทรงคาบพระแสงดาบขน้ึ ปลน้ คา่ ยพระเจา้ หงสาวดี

สมเด็จพระนเรศวรทรงนาทหารเสดจ็ ออกปลน้ คา่ ยขา้ ศกึ ด้วยพระองคเ์ อง
หลายคร้ัง ตีค่ายข้าศึกแตกไปสองแห่ง คือค่ายพระยานครที่ปากน้าพุทธ
เลา และค่ายทัพหน้าของพระเจ้าหงสาวดี พระองค์ตีค่ายน้ีแตกแล้ว ยังได้รุก
ไลต่ อ่ ไปจนถึงค่ายหลวงของพระเจา้ หงสาวดี พระองค์เสด็จลงจากม้าพระที่นั่ง
ถือพระแสงดาบเข้ารบกับข้าศึก เคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารของพระองค์ ทรง
คาบพระแสงดาบ นาทหารข้ึนปีนพะเนียดค่ายพระเจ้าหงสาวดี แต่ข้าศึกได้
ต่อสู้ป้องกันอย่างแข็งแรง พระองค์ถูกข้าศึกแทงตกลงมา เม่ือเห็นว่าจะตีหัก
เอาคา่ ยข้าศกึ ยังไม่ได้ จึงเสด็จกลบั คนื เข้าพระนคร พระแสงดาบนัน้ จงึ ได้นาม

ว่า พระแสงดาบคาบค่าย ยังเป็นช่ือพระแสงดาบองค์หนึ่งในจานวนพระแสง

ราชศาสตรามาจนถึงทุกวนั น้ี

พระนเรศวรทาศกึ กับลกั ไวทามู

การปฏิบัติการของสมเด็จพระนเรศวรคร้ังนี้ เม่ือพระเจ้าหงสาวดีทรง
ทราบเรอ่ื ง ถงึ กับออกพระโอษฐแก่เสนาบดีวา่ "พระนเรศวรออกมาทาการเป็น
อย่างพลทหารดงั น้ี เหมอื นกับเอาพิมเสนมาแลกกบั เกลอื ..... พระนเรศวรนท้ี า
ศึกอาจหาญนัก ถ้าออกมาอีกถึงจะเสียทหารสักเท่าใดก็ตาม จะแลกเอาตัว
พระนเรศวรให้จงได้" จากนัน้ พระเจา้ หงสาวดีจึงให้ลกั ไวทามู ซึง่ เปน็ นายทหาร
มีฝีมือ คัดเลือกทหาร 10,000 คน ไปรักษาค่ายกองหน้าและทรงกาชับไป
วา่ ถ้าพระนเรศวรออกมาอีกให้คิดอ่านจับเป็นให้จงได้ คร้ันถึงวัน แรม 10 ค่า
เดือน 4 สมเด็จพระนเรศวรทรงนาทัพไปซุ่มอยู่ที่ทุ่งลุมพลี หมายจะเข้าปล้น
คา่ ยพระเจา้ หงสาวดีอกี ลกั ไวทามูรดู้ งั น้ัน จึงให้ทหาร ทศคุมกาลังหน่วยหนึ่ง
รุกมารบ สมเด็จพระนเรศวรทรงนากาลังเข้ารบด้วยลาพังกระบวนม้า พวก
พม่ารบพลางถอยพลาง ไปจนถึงจุดท่ีลักไวทามูคุมกาลังซุ่มไว้ ข้าศึกก็กรูกัน
ออกมาล้อมไว้ ลักไวทามูขับม้าเข้ามาต่อสู้กับพระองค์ พระองค์ทรงแทงด้วย

พระแสงทวนถูกลักไวทามูตาย การต่อสู้ดาเนินไปกว่าช่ัวโมง กองทัพไทยจึง
ตามไปทนั ตีฝ่าวงล้อมขา้ ศึก แกไ้ ขสถานการณ์

แผนทอ่ี ยธุ ยาในอดตี
ครั้นถงึ วนั แรม 4 คา่ เดอื น 4 สมเด็จพระนเรศวรทรงนากาลงั ทางเรอื ยก
ไปตีทัพพระมหาอุปราชา ซ่ึงอยู่ท่ีขนอนบางตะนาวแตกพ่าย ต้องถอยทัพ
ออกไปตั้งอยทู่ ี่บางกระดาน กองทัพพมา่ ล้อมกรุงอยู่ได้ 5 เดือน ต้ังแต่เดือน
ยี่ ปีจอ จนถึงเดอื นหก ปกี ุน ก็ไม่สามารถตีกรงุ ศรอี ยุธยาได้ ไพรพ่ ลก็เจบ็ ป่วย
ล้มตายร่อยหลอลงทุกที เห็นว่าเข้าฤดูฝนไพร่พลจะลาบากย่ิงข้ึน เสบียง
อาหารก็ขาดแคลน จึงยกทัพถอยกลับไปในวันแรม 10 ค่า เดือน 6 โดยให้
กองทัพพระมหาอุปราชาถอยกลับไปก่อน ให้กองทัพพระเจ้าตองอูเป็นกอง
หลัง สมเด็จพระนเรศวรทรงนากาลังทางเรือ ลงไปที่บางกระดาน หมายจะตี
กองทพั พระมหาอปุ ราชาอกี เห็นพระมหาอุปราชากาลังถอยทัพกลับ และทรง
ทราบว่าพระเจ้าหงสาวดีจะถอยทัพ จึงเสด็จกลับเข้าพระนคร แล้วรีบทรง

กองทัพยกไปตั้งที่วัดเดช อยู่ริมน้าตรงภูเขาทอง เม่ือวัน ขึ้น 1 ค่า เดือน
7 ทรงให้เอาปืนขนาดใหญ่ลงเรือสาเภาหลายลา แล้วนาขึ้นไปยิงค่ายหลวง
พระเจ้าหงสาวดี ถูกผู้คนช้างม้าลมตายเป็นอันมาก พระเจ้าหงสาวดีต้องถอย
ทัพหลวงไปต้ังอยู่ท่ีป่าโมก สมเด็จพระนเรศวรทรงให้กาลังทางบกยกตามตี
ข้าศึกจนถึงทะเลมหาราชทางหน่ึง ส่วนพระองค์กับสมเด็จพระเอกาทศ
รถ เสด็จโดยทางเรือ ตามตีกองทัพหลวงของพระเจ้าหงสาวดีขึ้นไปจนถึงป่า
โมกอีกทางหนึ่ง แต่ข้าศึกมีกาลังมากกว่ามาก ไม่ทาให้แตกฉานไป
ได้ พระองคจ์ งึ เสด็จคืนสู่พระนคร พระเจ้าหงสาวดกี ใ็ หเ้ ลกิ ทพั กลบั ไป
การจดั การด้านเขมร

เมอื งเขมรโบราณ

ขณะทกี่ องทพั พระเจ้าหงสาวดี ยกลงมาลอ้ มกรุงศรีอยธุ ยา เมื่อปี พ.ศ.
2130 นั้น นักพระสัตถาเจ้ากรุงกัมพูชา ซึ่งเคยมาขออ่อนน้อมต่อกรุงศรี
อยุธยา เม่ือปี พ.ศ. 2127 คาดการณ์ว่าการศึกครั้งน้ีฝ่ายไทยคงจะเสียทีแก่
พม่า จึงได้ให้กองทัพเขมรยกมาตีเมืองปราจีนบุรี ซึ่งเป็นเมืองชายแดนไทย
ด้านเขมร ในห้วงเวลานั้นชาวเมืองปราจีนบุรี ถูกเกณฑ์มารักษา
พระนครศรีอยุธยา ไม่มีกาลังพอท่ีจะต่อสู้ป้องกันเมืองจากกองทัพเขมร
ได้ กองทัพเขมรจึงตเี มอื งปราจีนบุรไี ดโ้ ดยงา่ ย คร้งั เม่ือเสรจ็ พมา่ แล้ว สมเด็จ
พระนเรศวรทรงให้พระยาศรีไสยณรงค์ คุมกองทัพไปขับไล่เขมร
ออกไป กองทพั ทงั้ สองฝ่ายได้ปะทะกนั ที่เมืองนครนายก กองทพั ไทยตกี องทัพ
เขมรแตกพ่ายไป ครั้นถึงฤดูแล้ง ปี พ.ศ. 2130 สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยก
กองทัพออกไปตีกรุงกัมพูชา ตีได้เมืองพระตะบองและโพธิสัตว์ เม่ือกองทัพ
ส่วนใหญ่เข้าไปสู่แดนเขมร การดาเนินการส่งกาลังบารุงยากขึ้น เกิดขัดสน
เสบียงอาหาร ประกอบกับพระองค์ทรงห่วงว่าทางพม่าจะยกมารุกรานไทย
อกี จงึ ยกทัพกลับพระนคร

เสดจ็ ขนึ้ ครองราชย์

นับตั้งแตส่ มเดจ็ พระนเรศวรประกาศอสิ รภาพเป็นตน้ มา หงสาวดไี ดเ้ พยี ร
สง่ กองทัพเข้ามาหลาย ครัง้ แตก่ ถ็ ูกกองทัพกรุงศรีอยุธยาตีแตกพ่ายไปทุกครั้ง
เม่อื สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคตเม่ือปี พ.ศ.2133พระองค์ได้เสด็จ
ข้ึนครองราชย์เมื่อวันอาทิตย์ท่ี 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 เมื่อพระชนมายุได้
35 พรรษา ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระนเรศวร หรือ สมเด็จพระสรรเพชญ์ท่ี 2
และโปรดเกล้าฯ ให้พระเอกาทศรถ พระอนุชา ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช แต่มี
ศักดเ์ิ สมอพระมหากษตั รยิ อ์ กี พระองค์

พระมหาอปุ ราชายกทพั มาครง้ั แรก
สมเด็จพระนเรศวรเสวยราชย์ได้ 8 เดือนก็เกิดข้าศึกพม่าอีก เหตุที่จะ

เกดิ ศกึ คร้งั น้ีคอื เจ้าฟา้ ไทยใหญเ่ มืองคังตั้งแขง็ เมอื งขน้ึ อีก พระเจา้ หงสาวดตี รสั
ปรกึ ษาเสนาบดี เห็นกนั ว่าเปน็ เพราะเหตุทเ่ี จา้ เมืองคังได้ทราบว่าปราบกรุงศรี
อยธุ ยาไม่สาเร็จ จงึ ตัง้ แขง็ เมืองเอาอยา่ งบา้ งตราบใดท่ียงั ไมป่ ราบกรงุ ศรอี ยธุ ยา
ลงได้ ถึงแม้จะปราบเมืองคังได้ เมืองอ่ืนก็คงแข้งข้อเอาอย่าง แต่ในเวลานั้น
พระเจ้าหงสาวดีทรงอยู่ในวัยชราทุพพลภาพ ไม่ทรงสามารถจะไปทาสงคราม
เอาได้ดังแต่ก่อน จึงจัดกองทัพขึ้นสองทัพ ให้ราชบุตรองค์หนึ่งซึ่งได้เป็นพระ
เจ้าแปรข้ึนใหม่ ยกไปตเี มืองคงั ทพั หนง่ึ ให้ พระยาพสมิ พระยาพกุ ามเป็นกอง
หนา้ พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวงยกลงมาตีกรงุ ศรอี ยธุ ยาอกี ทัพหนง่ึ

กรงุ หงสาวดี
พระมหาอุปราชายกออกจากกรุงหงสาวดีเม่ือเดือน 12 พ.ศ. 2133 มา
เข้าทางด่านพระเจดีย์สามองค์ เพื่อตรงมาตีพระนครศรีอยุธยาทีเดียว ฝ่าย
ทางกรุงศรีอยุธยาครั้งน้ี รู้ตัวช้าจึงเกิดความลาบาก ไม่มีเวลาจะต้อนผู้คนเข้า
พระนครดังคราวก่อน สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่าจะคอยต่อสู้อยู่ในกรุง
อาจไม่เป็นผลดีเหมือนหนหลัง จึงรีบเสด็จยกกองทัพหลวงออกไปกับสมเด็จ
พระเอกาทศรถ ในเดอื นย่ี เมือเสดจ็ ไปถงึ เมอื งสุพรรณบุรีไดท้ รงทราบว่าข้าศึก
ยกลว่ งเมืองกาญจนบรุ เี ข้ามาแลว้ จงึ ใหต้ ้งั ทัพหลวงรบั ข้าศึกอยู่ท่ีลาน้าท่าคอย
พอกองทัพพม่ายกมาถึงก็รบกันอย่างตะลุมบอน พระยาพุกามแม่ทัพพม่าคน
หนึ่งตายในท่ีรบ กองทัพพม่าถูกไทยฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลือก็พากัน
พ่ายหนี ไทยไล่ติดตามไปจับพระยาพสิมได้ที่บ้านจระเข้สามพันอีกคนหนึ่ง

พระมหาอุปราชาเองก็หนีไปได้อย่างหวุดหวิด เมื่อกลับไปถึงหงสาวดีพวก แม่
ทัพนายกองก็ถูกลงอาญาไปตาม ๆ กัน พระมหาอุปราชาก็ถูกภาคทัณฑ์ให้แก้
ตวั ในภายหนา้
พระนเรศวรทรงพระสุบิน

ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้าหงสาวดี นันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา
นากองทัพทหารสองแสนสห่ี ม่นื คนมาตีกรุงศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้
สมเด็จพระนเรศวร ทรงทราบว่า พม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล
เดินทัพเตรียมรับศึก มีกาลังพลหนึ่งแสนคน ขณะเม่ือสมเด็จพระนเรศวร
ประทับอยู่ที่ค่ายหลวง ตาบลมะขามหวาน ก่อนวันท่ีจะเสด็จยกกองทัพไป
เมอื งสพุ รรณบรุ ี ในตอนกลางคืน พระองค์ทรงพระสุบินว่า มนี ้าทว่ มปา่ หลาก
มาแต่ทางทิศตะวนั ตก พระองค์เสด็จลุยนา้ ไปพบจรเข้ใหญต่ วั หนง่ึ ไดเ้ ข้าต่อสู้
กัน ทรงประหารจระเข้น้ันสิ้นชีวิตด้วยฝีพระหัตถ์ สายน้านั้นก็เหือดแห้ง

ไป ทรงมรี ับสง่ั ให้โหรทานายพระสุบินนัน้ พระยาโหราธบิ ดีกราบทลู พยากรณ์
ว่า เสด็จไปคราวนีจ้ ะไดร้ บพุ่งกบั ข้าศกึ เป็นมหายทุ ธสงคราม ถึงไดท้ ายทุ ธหตั ถี
และจะมีชยั ชนะข้าศึก

มีเรื่องของศุภนิมิตคร้ังที่สองท่ีได้กล่าวไว้ในที่บางแห่งว่า เมื่อใกล้ฤกษ์
ยกทพั สมเดจ็ พระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ เสดจ็ ไปยังเกยทรงช้าง
พระทีน่ ่ังตามพิชัยฤกษ์น้ัน พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุ
ขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยง ส่องแสงเรืองอร่าม ลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้ แล้ว
ลอยวนรอบกองทัพไทย เป็นทักษิณาวัตรสามรอบ จากนั้นจึงลอยขึ้นไปทาง
ทิศเหนือ สมเด็จพระนเรศวร และพระอนุชาทรงปิติยินดีตื้นตันพระราช
หฤทัยยิ่งนัก ทรงนมัสการและอธิษฐานให้ พระบรมสารีริกธาตุนั้น ปกป้อง
คุ้มครองกองทัพไทย ให้พ้นอันตรายจากผองภัยทั้งมวล และทรงเดินทัพไปยัง
เมืองกาญจนบุรี

สงครามยุทธหตั ถี

“สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชกระทายทุ ธหตั ถกี บั สมเด็จพระมหาอปุ ราชา”
จิตรกรรมฝาผนงั อนุสรณส์ ถานแหง่ ชาติ จงั หวดั ปทมุ ธานี

เช้าของวันจันทร์ แรม 2 ค่า เดือนย่ี ปีมะโรง จ.ศ.954 ตรงกับวันท่ี 18
มกราคม พ.ศ. 2135 (บางตาราว่า ปี พ.ศ.2136) ณ ดอนเจดยี ์ ตาบลพนมทวน
กาญจนบุรีสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรงเคร่ืองพิชัยยุทธ
สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจา้ พระยาไชยานภุ าพ สว่ นพระสมเดจ็ พระ
เอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของท้ังสอง
พระองค์น้ันเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้ว
หรือเคยผ่านสงครามชนช้าง ซ่ึงเป็นช้างที่กาลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่ง

ไลต่ ามพม่าหลงเข้าไปในแดนพมา่ มีเพยี งทหารรักษาพระองค์และจาตุรงค์บาท
เทา่ น้นั ท่ตี ดิ ตามไปทัน

สมเดจ็ พระนเรศวรทรงทายทุ ธหัตถี
สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเหน็ พระมหาอปุ ราชาทรงพระคชสารอยู่
ในร่มไมก้ ับเหลา่ เทา้ พระยา จงึ ทราบไดว้ ่าชา้ งทรงของสองพระองคห์ ลงถลาเข้า
มาถงึ กลางกองทัพ และตกอยู่ในวงลอ้ มขา้ ศกึ แล้ว แตด่ ้วยพระปฏิภาณไหวพริบ
ของสมเดจ็ พระนเรศวร ทรงเห็นว่าเปน็ การเสียเปรยี บขา้ ศกึ จงึ ไสชา้ งเข้าไปใกล้

แล้วตรัสถามดว้ ยคุ้นเคยมากอ่ นแต่วัยเยาว์ว่า "พระเจา้ พเ่ี ราจะยืนอยใู่ ยในรม่ ไม้
เลา่ เชญิ ออกมาทายุทธหตั ถีดว้ ยกัน ใหเ้ ปน็ เกียรตยิ ศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้า
ไปไม่มพี ระเจา้ แผ่นดนิ ทจ่ี ะได้ยุทธหัตถแี ลว้ "พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไส

ช้างนามว่า พลายพัทธกอเข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหาอุป

ราชาทรงฟันสมเดจ็ พระนเรศวรดว้ ยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรง
เบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชน
พลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระ
มหาอปุ ราชาเขา้ ทีอ่ งั สะขวา สิ้นพระชนม์อยบู่ นคอชา้ ง

สว่ นสมเดจ็ พระเอกาทศรถทรงฟนั เจ้าเมืองจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหาร
พม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิงใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ
ทันใดน้ัน ทพั หลวงไทยตามมาชว่ ยทัน จึงรับท้ังสองพระองค์กลับพระนคร พม่า
จงึ ยกทพั กลบั กรุง หงสาวดีไป นบั แตน่ ้ันมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ากราย
กรุงศรีอยธุ ยาอีกเปน็ ระยะเวลาอกี ยาวนาน

แต่ในมหายาชะเวงหรือพงศาวดารของพม่า ระบุว่า การยุทธหัตถีครั้งน้ี
ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรบุกเข้าไปในวงล้อมของฝ่ายพม่า ฝ่ายพม่าก็มี
การยืนช้างเรียงเป็นหน้ากระดาน มีทั้งช้างของพระมหาอุปราชา ช้างของเจ้า
เมอื งชามะโรง ทหารฝ่ายสมเด็จพระนเรศวรก็ระดมยิงปืนใส่ฝ่ายพม่า เจ้าเมือง
ชามะโรงส่ังเปดิ ผ้าหน้าราหูช้างของตน เพอ่ื ไสชา้ งเขา้ กระทายทุ ธหตั ถกี บั สมเดจ็
พระนเรศวรเพ่ือป้องกันพระมหาอุปราชา แต่ปรากฏว่าช้างของเจ้าของชา
มะโรงเกิดวิ่งเข้าใส่ช้างของพระมหาอุปราชาเกิดชุลมุนวุ่นวาย กระสุนปืนลูก
หน่งึ ของทหารฝา่ ยสมเด็จพระนเรศวรกย็ ิงถกู พระมหาอปุ ราชาสิ้นพระชนม์

เจดยี ย์ ทุ ธหตั ถี อยทู่ ใ่ี ดกันแน่ ดอนเจดยี ์ สุพรรณบรุ ีหรือ ตระพงั ตรุ กาญจนบรุ ี

ซากเจดยี ย์ ทุ ธหัตถเี ดมิ ตาบล ดอนเจดยี ์ จังหวดั สพุ รรณบรุ ี
(ภาพจากหนงั สือ โบราณวตั ถสุ ถานทว่ั พระราชอาณาจักร

จัดพมิ พโ์ ดยกรมศลิ ปากร, พ.ศ. 2500)

เจดยี ย์ ทุ ธหตั ถี สรา้ งใหมค่ รอบองคเ์ ดมิ
ตาบล ดอนเจดีย์ จงั หวดั สพุ รรณบุรี

นักประวัติศาสตร์มีการถกเถียงกันว่า เจดีย์ยุทธหัตถีจะอยู่ที่สุพรรณบุรี
หรอื กาญจนบรุ ี ซ่งึ เราทราบกันดีว่าทส่ี พุ รรณบุรนี น้ั มเี จดียย์ ทุ ธหตั ถีมานานแล้ว
แต่ตอนนี้ที่กาญจนบุรีก็มีเหมือนกัน เลยไม่แน่ใจว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงชน
ชา้ งกับพระมหา อุปราชาที่ไหนกันแน่?พงศาวดารหลายฉบับบันทึกไว้ตรงกัน
ว่า เมื่อวันจันทร์ แรม 2 ค่า เดือนย่ี ปีมะโรง พุทธศักราช 2135 สมเด็จพระ
นเรศวรได้ทรงทายุทธหัตถี ใช้พระแสงของ้าวฟันพระมหาอุปราชาแห่งกรุงหง
สาวดีขาดคาคอช้างแล้ว“ตรัสให้ก่อพระเจดีย์สถานสวมพระศพพระมหาอุป
ราชาไว้ ณ ตาบลตะพังตรุ”แม้พงศาวดารพม่าจะแย้งว่า เม่ือพระมหาอุปราชา
ส้ินพระชนม์แล้ว ทัพพม่าก็เข้ากันพระศพแล้วนากลับไปกรุงหงสาวดี ไม่ได้ถูก
ครอบไว้ในพระเจดีย์อย่างพงศาวดารไทยว่า แต่ก็เป็นท่ีแน่ชัดว่า หลังจากทรง
ทายทุ ธหัตถีมีชัยต่อพระมหาอุปราชาแลว้ สมเด็จพระนเรศวรโปรดใหส้ รา้ งพระ
เจดีย์ขึ้นท่ีบริเวณชนช้างองค์หน่ึง แล้วกลับไปสร้างเจดีย์ใหญ่อีกองค์ท่ีวัด

เจ้าพระยาไทยหรือวัดป่าแก้ว ขนานนามว่า “พระเจดีย์ชัยมงคล” ซ่ึงก็คือพระ
เจดยี ์องคใ์ หญท่ วี่ ัด ชัยมงคลในปจั จบุ ันนนั่ เอง แต่เจดยี ท์ ส่ี รา้ งขึน้ ตรงท่ีทรงทา
ยทุ ธหัตถนี ้นั ถกู ทอดทิง้ อยูใ่ นป่ามาเป็นนานจนหาไม่พบ

ในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการร้ือฟื้นที่จะหาเจดีย์ยุทธหัตถีข้ึนมาอีก
โดยสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ได้รับส่ังให้พระยา
กาญจนบุรี (นุช) ไปค้นหาเจดีย์เก่าแถวบ้านตะพังตรุ แต่ก็ไม่พบเจดีย์ที่มี
ลักษณะน่าจะเปน็ เจดยี ์ยทุ ธหัตถี

พระยาปรยิ ตั ธิ รรมธาดา (แพ ตาละลกั ษณ์)
ตอ่ มาในสมัยรชั กาลที่ 6 พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์) เมื่อ
คร้ังยังเป็นหลวงประเสริฐอักษรนิติ ได้นาสมุดเก่าเล่มหนึ่งมาถวายกรมพระยา
ดารงฯ อ้างว่าไปพบขณะยายแก่คนหน่ึงกาลังนากระดาษเก่าๆ ใส่กระชุจะเอา
ไปเผา เมื่อขอคน้ ดกู ็พบสมดุ เล่มนซี้ ง่ึ บนั ทึกเหตกุ ารณส์ าคญั ในประวัติศาสตร์ไว้

ตอ่ มากรมพระยาดารงฯ ให้เรียกสมุดเล่มนี้ว่า “พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ
ฯ” ซึ่งนอกจากพงศาวดารเล่มนี้จะจารึกวันเดือนปีของเหตุการณ์ต่างๆได้
แม่นยานา่ เชือ่ ถือกว่าพงศาวดารฉบบั อน่ื ๆแลว้ ยังระบวุ า่ พระมหาอปุ ราชามาตงั้
ทัพท่ตี าบลตะพงั ตรุ แลว้ มาทายทุ ธหัตถที ีห่ นองสาหร่าย ขณะทพ่ี งศาวดารฉบบั
อ่ืนๆระบุไว้ตรงกันว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงทายุทธหัตถีท่ีตะพังตรุ ซึ่งทาให้
นกั ประวัติศาสตรบ์ างคนเช่ือว่าพงศาวดารฉบับนท้ี าขนึ้ มาใหม่ เพ่อื หวงั ผลอะไร
บางอยา่ ง

กรมพระยาดารงราชานภุ าพ

เม่ือมีการระบุว่าทรงทายุทธหัตถีท่ีหนองสาหร่าย กรมพระยาดารงฯ จึง
รบั สง่ั ใหพ้ ระยาสพุ รรณบุรี (อ้ี กรรณสูต) ไปสืบดูว่าสุพรรณบุรีมีตาบลช่ือหนอง
สาหร่ายหรือไม่ ถ้ามีก็ให้ออกค้นหาเจดีย์ที่มีลักษณะน่าจะเป็นเจดีย์ยุทธหัตถี
ไม่ถึงเดือนพระยาสุพรรณบุรีรายงานเข้ามาว่า พบเจดีย์โบราณอยู่ในป่าที่เรียก
กันว่า “ดอนเจดีย์” ทางตะวันตกของตัวเมือง ซ่อนอยู่ในป่ารกทึบ ชาวบ้านได้
ถางทางเข้าไปให้ พร้อมทั้งถ่ายรูปมาถวาย ซ่ึงกรมพระยาดารงฯนิพนธ์ไว้ใน
หนังสือ “โบราณคดี” ว่า“พอฉันเห็นรายงานกับรูปฉายที่พระยาสุพรรณบุรีส่ง

มาให้ก็สิ้นสงสัย รู้ว่าพบพระเจดีย์ยุทธหัตถีเป็นแน่แล้ว มีความยินดีแทบเน้ือ
เตน้ รีบนาความกราบบงั คมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจ้าอยู่หวั ”
รัชกาลที่ 6 ทรงยกขบวนเสือป่ากองพลหลวงรักษาพระองค์พร้อมทหาร
มหาดเลก็ รอนแรมจากพระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม เมือ่ วันท่ี 20 มกราคม
2456 ถึงพระเจดีย์ในวันที่ 27 มกราคม ทรงพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณ
สมเด็จพระนเรศวรในวันรุ่งข้ึน ทรงดาริจะเสริมองค์พระเจดีย์ข้ึนใหม่ แต่
เศรษฐกิจยามนั้นตกต่ามาก ต่อมาสงครามโลกคร้ังท่ี 1 ก็เร่ิมข้ึนในยุโรป ทาให้
โครงการกอ่ สร้างต้องระงบั ไว้

เจดีย์ยุทธหัตถีถูกร้ือฟ้ืนกันใหม่ในปลายยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดย
เร่ียไรจากประชาชนและนาเงินกองทพั มาสนับสนุน สร้างเจดีย์ใหญ่ครอบเจดีย์
เดิม แล้วเสร็จในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

รัชกาลท่ี 9 ทรงเสด็จพระราชดาเนินเปิดพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ได้ใน
วันท่ี 25 มกราคม 2502 เจดีย์ยุทธหัตถีจึงปรากฏอยู่ที่ตาบลดอนเจดีย์ อาเภอ
ดอนเจดีย์ จังหวดั สพุ รรณบุรี ซง่ึ แต่เดมิ เป็นตาบลบางงาม อาเภอศรปี ระจนั ต์

ซากเจดยี ส์ มยั กรงุ ศรีอยุธยา บา้ นดอนเจดยี ์
อาเภอพนมทวน จงั หวัดกาญจนบุรี

แม้ทางราชการและกรมศิลปากรจะสรุปยืนยันแล้วว่า เจดีย์ยุทธหัตถีท่ี
จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นของแท้แน่นอน แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็มี
ความเห็นว่า “สรุปง่ายเกินไป” ยังมีเจดีย์โบราณที่ทรุดโทรมสึกกร่อน เอียง
คดงอ อีกองค์หนึ่ง อยู่ที่ตาบลดอนเจดีย์ อาเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี

ชาวบ้านในย่านนัน้ มคี วามเชอ่ื กนั วา่ เจดยี ์แหง่ น้ีเป็นเจดยี ย์ ทุ ธหตั ถที ส่ี มเดจ็ พระ
นเรศวรทรงสร้างไวบ้ ริเวณชนชา้ ง เพราะมสี ภาพแวดลอ้ มหลกั ฐานหลายอย่างที่
นา่ เชอื่ ถอื

ในปี 2515 หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า พบพระเจดีย์ยุทธหัตถีองค์จริงอยู่ท่ี
พนมทวน กาญจนบุรี สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาและเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ได้
เสดจ็ ไปทอดพระเนตรพระเจดยี แ์ ละพระปรางค์ทอ่ี ยหู่ ่างไปราว 200-300 เมตร
เมือ่ วนั ที่ 20 สิงหาคม 2515

ต่อมาวันท่ี 6 ธันวาคม 2516 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ
พระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาและ
เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ได้เสด็จมาแวะขณะกลับจากพระราชกรณียกิจท่ีอาเภอ
บ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี “หลังจากน้ัน ตอนท่ีในหลวงท่านมาประทับท่ี
เข่ือนวชิราลงกรณ์ (เขื่อนแม่กลองในปัจจุบัน) ท่านก็ขับรถมาด้วยพระองค์เอง
ไม่มีใครติดตามมาเลย”มนูญ เสริมสุข ชายวัยราว 40 คนพื้นท่ี ซ่ึงตอนนั้นมา
เปิดซุ้มโคคาโคล่าขายเคร่ืองดื่มและไอศกรีมอยู่ข้างวงเวียนเจดีย์ ให้ข้อมูลกับ
ผเู้ ขยี นเม่ือปี 2542 และรายงานข่าวพเิ ศษท่ี นสพ.ไมไ่ ดร้ ายงานว่า“ท่านมาจอด
รถถามคนท่ีทงุ่ สมอว่า เจดีย์ยุทธหัตถีไปทางไหน เขาก็ชี้ทางให้ พอท่านไปแล้ว
ไอค้ นที่ถูกถามก็มองตามไปอยา่ งงงๆ ว่าหน้าเหมือนในแบงก์ ท่านมาถึงก็เดินดู
พระเจดยี ์และคุยกบั เด็กที่เล้ียงควายอยูแ่ ถวนน้ั คุยกนั ซกั พักพอไอห้ มอนน่ั จาได้
ว่าเป็นในหลวง ก็ทรุดลงนั่งพูดอะไรไม่ออกเลย ตอนน้ีเด็กเลี้ยงควายนั่นเป็น
ผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่นี่”ท่านผู้เฒ่า 2 คนซ่ึงอยู่บนศาลสมเด็จพระนเรศวร ข้างวง
เวียน ได้เล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่ก่ีปีมานี้เอง แถวนี้ยังเต็มไปด้วยกองกระดูกท้ังคน
ช้าง ม้า เกลื่อนอยู่บนดิน เหมือนไม่มีการฝัง ตายก็ปล่อยให้เน่าเป่ือยอยู่อย่าง
นน้ั และทพ่ี ระปรางค์ซึ่งอยูห่ า่ งออกไปทางหลังศาล ก็มีกระดูกกองใหญ่เหมือน
รวบรวมเอามาไว้ท่ีนัน่ ไดจ้ านวนหน่งึ ในดินนอกจากขุดพบกระดูกช้าง ม้า และ

กระดูกคนมากมายแล้ว ยังพบเครื่องศตั ราวุธและเครื่องช้างศกึ ม้าศึก เช่น หอก
ดาบ ยอดฉัตร โกลนม้า ขอสับช้าง โซ่ล่ามช้าง แป้นครุฑจับนาค แป้นครุฑขี่
สิงห์จับนาค ซ่ึงแสดงว่าสถานท่ีน้ีต้องเป็นท่ีทาสงครามคร้ังใหญ่นอกจากน้ียังมี
เหตุผลอีกหลายอย่างที่อ้างว่า เจดีย์ยุทธหัตถีของอาเภอพนมทวนเป็นของแท้
อย่างเช่นบรรดาช่อื ตาบลตา่ งๆ ท่ีปรากฏอย่ใู นพงศาวดารเกย่ี วกับยทุ ธหตั ถคี รั้ง
นี้ ล้วนแต่มีอยู่ในอาเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรีท้ังน้ัน อย่างเช่น หนอง
สาหร่าย ตะพังตรุ โดยเฉพาะพงศาวดารหลายฉบบั ระบชุ ดั ว่าชนช้างกันที่ตะพัง
ตรุ มีแต่พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ ฉบับเดียวบอกว่าชนช้างที่หนอง
สาหรา่ ย

พระบรมราชานสุ าวรียส์ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
จงั หวัดกาญจนบุรี

พงศาวดารฉบับอื่นๆ ระบุว่าสมเด็จพระนเรศวรต้ังทัพท่ีหนองสาหร่าย
แลว้ ทรงทายทุ ธหตั ถที ่ีตะพังตรุ ซง่ึ หนองสาหร่ายทพี่ นมทวนหา่ งจากองคเ์ จดยี ท์ ่ี
พนมทวนราว 16-17 กิโลเมตร ซ่ึงเป็นไปได้ท่ีช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร
กาลังตกมนั จะได้กล่นิ ชา้ งของพระมหาอุปราชาแล้วพงุ่ เขา้ ไปหา แตถ่ า้ พระมหา
อุปราชามาชุมนุมพลที่ตะพังตรุ อาเภอพนมทวน แล้วไปชนช้างกับสมเด็จพระ
นเรศวรที่หนองสาหร่าย สุพรรณบุรี ซึ่งห่างไป 90 กิโลเมตร ตามท่ีพงศาวดาร
ฉบบั หลวงประเสรฐิ ฯวา่ ไมน่ ่าจะเปน็ ไปได้ หลังจากสมเด็จพระนเรศวรฟันพระ
มหาอปุ ราชาขาดคาคอชา้ งแลว้ พงศาวดารว่ากองทัพไทยตามไปทันพอดี จึงไล่
ฆา่ ฟนั ทหารพม่าอย่างมันมอื ไปถึงเมืองกาญจน์ ตายไป 20,000 คน จบั ช้างใหญ่
สงู 6 ศอกได้ 300 เชอื ก ชา้ งพลายพงั 500 เชือก มา้ อกี 2,000 เศษ ระยะทาง
จากดอนเจดีย์ พนมทวน ไปถึงเมืองกาญจนป์ ระมาณ 17 กิโลเมตร ไล่ล่ากันใน
วันเดียวจงึ เปน็ ไปได้ แต่ถ้าไล่ลา่ กนั จากเจดยี ์ยุทธหตั ถที ีส่ ุพรรณบรุ ถี ึงเมือง
กาญจนก์ ว่า 100 กโิ ลเมตร กวี่ นั จะถงึ เส้นทางเดินทพั ทง้ั ของพม่าและของไทยท่ี
เขา้ ออกทางดา่ นเจดยี ส์ ามองค์ จะตอ้ งผา่ นมาทางทงุ่ ลาดหญา้ เขาชนไก่ (เมอื ง
กาญจนเ์ กา่ ) ปากแพรก พนมทวน (บา้ นทวน) อู่ทอง สพุ รรณบรุ ี ปา่ โมก
อยธุ ยา ไฉนจะไปชนชา้ งกนั ทศี่ รปี ระจนั ตน์ อกเสน้ ทาง

พงศาวดารฉบบั วนั วลติ
ในพงศาวดารฉบบั “วนั วลติ ” ชาวฮอลนั ดาที่เข้ามาในแผน่ ดนิ สมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงทายุทธหัตถีกับพระ
มหา อุปราชาท่ีใกล้วัดร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งท่ีพนมทวนห่างพระเจดีย์ไป 1.5
กิโลเมตร ก็มีโบสถ์เก่า เจดีย์เก่าอยู่ที่วัดน้อยในปัจจุบัน อีกท้ังพ้ืนท่ีเจดีย์ยุทธ
หัตถีพนมทวนเป็นที่ดอนดินทราย หมู่บ้านที่ติดกับองค์เจดีย์ก็มีช่ือว่าหมู่บ้าน
หลมุ ทราย บริเวณแถบนี้ลว้ นเป็นดนิ ทราย จึงเกดิ ฝ่นุ ผงคลดี นิ ฟุ้งกระจายจนมดื
มิดตามบรรยากาศในวันทรงทายุทธหัตถีได้ เหตุผลเหล่านี้เป็นส่วนหน่ึงที่ทาให้
คนจานวนหน่ึงเชื่อว่า สถานที่ทรงทายุทธหัตถีอยู่ท่ีดอนเจดีย์ พนมทวน เมือง
กาญจนบรุ ี


Click to View FlipBook Version