The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ฉบับปรับปรุง)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tharaphan.prasan, 2022-08-06 09:39:00

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ฉบับปรับปรุง)

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ฉบับปรับปรุง)

พระราชประวตั ิ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
(ฉบบั ปรบั ปรงุ )

ผเู้ รยี บเรยี งนายประสาร ธาราพรรค์

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระปิยมหาราช )
พระมหากษัตริย์ท่ีทรงเป็นท่ีเคารพรักยิ่งของทวยราษฎร์ ทรงเลิกทาส ให้
อิสรภาพแด่ปวงชนชาวไทย ทรงพัฒนาระบบบริหารราชการแผ่นดิน ทาให้
ประชาชนมีชีวิตอยูอ่ ยา่ งร่มเยน็ เปน็ สุข ทรงคงเอกราชนาชาติ ใหร้ อดพน้ ภยั จาก
การตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตก เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ที่
รกั ษาเอกราชของชาตไิ วไ้ ด้

พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ฉบับ
ปรับปรุง) เป็นการนาผลงานท่ีได้นาเสนอไปแล้วกลับมาจัดทาใหม่ เพิ่มเน้ือหา
ภาพประกอบ และเพมิ่ ขนาดตวั อักษรให้น่าสนใจ ย่ิงข้นึ

ผเู้ รยี บเรยี ง นายประสาร ธาราพรรค์
ขา้ ราชการบานาญวทิ ยาลยั เทคนคิ จันทบรุ ี

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ ฯ พระผา่ นเผา้ รกั ษช์ าตไิ ทย มศี กั ดศิ์ รี

ทรงเสริมสรา้ ง ไทยมน่ั คง สขุ เปรมปรดี ์ิ ทกุ ชวี ี สุขกายใจ ไทยพัฒนา

พระปรชี า สามารถ วางรากฐาน สรา้ งผลงาน สรา้ งชาตไิ ทย ใหก้ า้ วหนา้

ไดท้ ดั เทยี ม อารยประเทศ เหน็ ทนั ตา การศกึ ษา ปรบั เปลยี่ นใหม่ ไทยรงุ่ เรอื ง

การคมนาคม การสอื่ สาร ทรงแกไ้ ข การแพทยไ์ ทย สมยั ใหม่ พฒั นต์ อ่ เน่ือง

แกก้ ฎหมาย การยตุ ิธรรม ทรงปราดเปรอื่ ง ไทยฟงุ้ เฟอ่ื ง เลอ่ื งลอื ไกล ไปตา่ งแดน

การไฟฟ้า การไปรษณีย์ การสอื่ สาร ในทกุ งาน มรี ะบบ มแี บบแผน

การปกครอง ตง้ั กระทรวง สรา้ งปกึ แผน่ ความแรน้ แคน้ ทรงแกไ้ ข บรรเทาลง

ทรงเปลย่ี นแปลง ระบบเงนิ ตรา ใหท้ นั ยคุ ทรงลดทกุ ข์ ทรงเลกิ ทาส งานสงู สง่

เสด็จประพาสยโุ รป ทรงทาให้ ไทยมนั่ คง ไทยยนื ยง คงเอกราช ไดย้ นื นาน

พระราชกรณยี กจิ มากหลากหลาย ทรงกระทา ทรงมงุ่ นา ไทยกา้ วหนา้ สดุ กลา้ หาญ

ปวงชาวไทย เฉลิมพระบารมี เปน็ นิจกาล ไทยประสาน นอ้ มนาใจ ถวายพระองค์

.........................................................................

นอ้ มราลกึ ในพระมหากรุณาธคิ ณุ

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว

ข้าพระพทุ ธเจา้ นายประสาร ธาราพรรค์ ผูป้ ระพนั ธ์

พระราชประวตั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และ สมเด็จพระเทพศริ นิ ทราบรมราชนิ ี
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

เป็นพระมหากษัตริย์สยาม องค์ท่ี 5 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วัน
องั คาร เดือน 10 แรม 3 ค่า ปฉี ลู 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองคท์ ่ี 4
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว และเปน็ พระองค์แรกในพระองค์เจ้าราเพย
ภมราภิรมย์ (ในเวลาต่อมาทรงได้รับการสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศเป็น สมเด็จ
พระเทพ ศิรินทราบรมราชินี และสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระบรมราชชนนี
ตามลาดับ)

รชั กาลที่ 5 สมเดจ็ เจา้ ฟา้ จาตรุ น สมเดจ็ เจา้ ฟา้ ภาณุ ในชว่ งทรงพระเยาว์

ทรง ได้รับพระราชทานนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์
บดนิ ทรเทพมหามงกฎุ บรุ ษุ ยรัตนราชรวิวงศ์วรุตมพงศบรพิ ตั ร สิริวฒั นราชกมุ าร ซงึ่ คา
วา่ "จฬุ าลงกรณ์" นั้นแปลวา่ เครอ่ื งประดับผม อันหมายถึง "พระเกีย้ ว" ทม่ี รี ปู เปน็ สว่ น
ยอดของพระมหามงกุฎหรือยอดชฎา

พระองค์มพี ระขนิษฐาและพระอนุชารวม 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรม
วงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าจาตุรนตร์ ัศมี กรมพระจกั รพรรดพิ งศ์ และ สมเด็จพระราชปติ ลุ าบรมพงศาภิมขุ
เจา้ ฟา้ ภาณรุ งั ษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธวุ งศ์วรเดช

พระเจา้ อยั ยกิ าเธอ กรมหลวงวรเสรฐสดุ า แหม่มแอนนา ลโี อโนเวนส์

การศกึ ษา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสานัก
พระเจา้ อยั ยกิ าเธอ กรมหลวงวรเสรฐสุดา ทรงได้การศึกษาภาษาเขมรจากหลวงราชา
ภิรมย์ ภาษาอังกฤษทรงได้รับการศึกษาจาก นางแอนนา ลีโอโนเวนส์ ( Anna
Leonowens) หรือ แหม่มแอนนา มีช่ือจริงว่า แอนนา แฮร์เรียต เอ็มมา เอ็ดเวิดส์
แหม่มแอนนาเป็นท่ีรู้จักในฐานะเป็น "พระอาจารย์ฝร่ัง" ของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั รัชกาลท่ี 5

ทรงได้การศึกษาการยิงปืนไฟจากพระยาอภัยเพลิงศร วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.
2404 สมเด็จฯ เจา้ ฟา้ จุฬาลงกรณ์ ไดร้ บั การสถาปนาเป็นเจ้าฟา้ ต่างกรมที่ สมเด็จพระ
เจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และเม่ือ พ.ศ. 2409
พระองค์ผนวชตามราชประเพณี ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ภายหลังจากการผนวช
พระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยข้ึนเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า
จุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ เมื่อปี พ.ศ. 2410 โดยทรงกากับราชการกรม
มหาดเลก็ กรมพระคลังมหาสมบตั ิ และกรมทหารบกวงั หน้า

พระบรมราชาภเิ ษก

สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ์ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถ(รชั กาลท่ี 5)
วันท่ี 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ

สวรรคตภายหลังเสด็จออกทอดพระเนตรสุริยุปราคา โดยก่อนท่ีพระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าเจา้ อย่หู ัวจะสวรรคตน้นั ได้มีพระราชหัตถเลขาไวว้ า่ "พระราชดารทิ รงเหน็ วา่
เจา้ นายซึง่ จะสบื พระราชวงศ์ต่อไปภายหน้า พระเจา้ น้องยาเธอกไ็ ด้ พระเจา้ ลกู ยาเธอก็
ได้ พระเจ้าหลานเธอก็ได้ ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรึกษากันจงพร้อม สุดแล้วแต่จะเห็นดี
พร้อมกันเถิด ท่านผู้ใดมีปรีชาควรจะรักษาแผ่นดินได้ก็ให้เลือกดูตามสมควร" ดังน้ัน
เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต จึงได้มีการประชุมปรึกษา
เร่ืองการถวายสิริราชสมบัติแด่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ซ่ึงในที่ประชุมน้ัน
ประกอบดว้ ยพระบรมวงศานวุ งศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ โดยพระเจ้าน้อง
ยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วชั รินทร์ ไดเ้ สนอสมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้าจุฬาลงกรณ์

กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซ่ึงท่ีประชุมน้ันมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ ดังน้ัน
พระองค์จึงได้รับการทูลเชิญให้ขึ้นครองราชย์สมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา โดย
ในขณะนั้น มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ซึ่งการขึ้นครองราชย์ในขณะพระชนมายุ
น้อยนั้น ทาให้พระองค์มีพระราชหฤทัยกังวลอย่างยิ่ง ซ่ึงท้ายสุดทุกอย่างก็ผ่านพ้นไป
ด้วยดี

สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ (ชว่ ง บนุ นาค)
ต่อมาได้มีการแต่งต้ังสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็น
ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 - พ.ศ. 2416 มีอานาจสิทธิ์ขาดใน
ราชการแผน่ ดินท่วั ราชอาณาจักรจนกวา่ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะ
มีพระชนมพรรษาครบ 20 พรรษา อีกทั้งท่านยังมีบทบาทในการอัญเชิญ
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ข้ึนครองสิรริ าชสมบตั ิ

พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาจุฬาลงกรณฯ์ พระจฬุ าลงกรณเ์ กลา้ เจา้ อยหู่ วั

เม่ือวันท่ี 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ครั้งแรก โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา
จุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกลา้ เจ้าอย่หู ัว โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณ
บัฎว่า"พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาจฬุ าลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัต
นราชรวิวงศ วรุตมพงศบริพัตร์ วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันบรมมหาจักรพรรดิราช
สังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวรราชรามวรังกูร สุภาธิการ
รังสฤษด์ิ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล
ประสทิ ธสิ รรพศภุ ผลอดุ ม บรมสขุ มุ มาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกยี รตคิ ุณอดลุ ยวเิ ศษ
สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักด์ิสมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร
มูลมขุ ราชดลิ ก มหาปริวารนายกอนันต มหนั ตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรนิ ทร อเนกชน

นิกรสโมสรสมมติ ประสทิ ธ์วิ รยศมโหดมบรมราชสมบตั ิ นพปดลเศวตฉัตราดิฉตั ร สริ ริ ตั
โนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหสวริยมหาสวามิ
นทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตย
รตั นสรณารักษ์ อดุลยศักดิอ์ รรคนเรศราธิบดี เมตตากรณุ าสตี ลหฤทยั อโนปมยั บญุ การ
สกลไพศาล มหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระ
จุฬาลงกรณเ์ กลา้ เจ้าอยูห่ วั "
ผนวชและบรมราชาภเิ ษกครงั้ ท่ี 2

พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาจุฬาลงกรณฯ์
พระจุฬาลงกรณเ์ กล้าเจา้ อยหู่ วั ผนวช

เมอื่ พระองคม์ พี ระชนมายคุ รบ 20 พรรษาแลว้ เมอ่ื วนั ที่ 15 กนั ยายน พ.ศ. 2416
จึงผนวช ณ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม เปน็ พระภกิ ษุ แลว้ เสดจ็ ไปประทับ ณ วดั บวร
นิเวศวิหารเปน็ เวลา 15 วนั

พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาจุฬาลงกรณฯ์ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
บรมราชาภเิ ษกครง้ั ที่ 2

หลงั จากทรงลาสิกขาแลว้ ไดม้ ีการจดั พระราชพิธบี รมราชาภเิ ษกคร้งั ท่ี 2 ขึน้ เม่ือ
วันท่ี 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2416 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยในครั้งนี้ว่า
พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาจฬุ าลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว มีพระนาม
ตามจารึกในพระสบุ รรณบัฎวา่ "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์ วรุตมพงศบริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม
จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ

มหามงกุฎราชวรางกูร สุจริตมูลสุสาธิต อรรคอุกฤษฏไพบูลย์ บุรพาดูลย์
กฤษฎาภินิหาร สภุ าธิการรังสฤษด์ิ ธญั ลกั ษณวิจติ ร โสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางค
ประณต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตาร
ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ
เปรมกระมลขตั ิยราชประยูร มูลมุขมาตยาภิรมย์ อุดมเดชาธิการ บริบูรณ์คุณสารสยา
มาทนิ ครวรุตเมกราชดิลก มหาปรวิ ารนายกอนนั ตม์ หันตวรฤทธเิ ดช สรรพวเิ ศษสิรินธร
อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธ์ิวรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปฎลเศวตฉัตราดิ
ฉตั ร สริ ิรัตโนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหศวริยม
หาสวามนิ ทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิ
ไตรรัตนสรณารกั ษ์ อดลุ ยศักดอ์ิ รรคนเรศราธิบดี เมตตากรณุ าสีตลหฤทยั อโนปมยั บุญ
การ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว"

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ทรงมีพระอัครมเหสี มเหสแี ละ
เจา้ จอมรวม 153 พระองค์ มพี ระราชโอรส 32 พระองค์ พระราชธิดา 44
พระองค์

สาหรับอคั รมเหสี สาคญั 3 พระองคด์ งั นี้

สมเดจ็ พระนางเจา้ สนุ นั ทากมุ ารรี ตั นพระบรมราชเทวี
1. สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตนพระบรมราชเทวี (อัครมเหสีองค์แรก)
หรือ สมเด็จพระนางเรือล่ม อุบุติเหตุทางเรือท่ีเสด็จได้ล่มลง ทาให้ต้องส้ินพระชนม์
พร้อมกบั พระธิดา ทม่ี พี ระชนมายุเพยี ง 2 พรรษาเท่านน้ั ส่วน สมเด็จพระนางเจ้าสุนนั
ทากุมารีรัตน์พระบรมราชเทวี ก็มีพระชันษาย่างเข้า 21 พรรษา และก็กาลังทรงพระ
ครรภ์ 5 เดือน อยู่ดัวย อุบัติเหตุ เกิดที่ บางพูด อาเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เมื่อ
วนั จันทรท์ ี่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2423

สมเดจ็ พระนางเจา้ สวา่ งวัฒนาพระบรมราชเทวี

2. สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี (อัครมเหสีองค์ท่ี 2)
พระองค์ก็คือสมเด็จย่าของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในหลวง
รัชกาลปัจจุบัน ต่อมาได้เลื่อน พระยศเป็น สมเด็จพระศรีสวรินทราบรมราชเทวี พระ
พันวัสสาอัยยิกาเจ้า ส้ินพระชนม์เมื่อ วันจันทร์ ท่ี 17 ธันวาคม พ.ศ. 2499 มี
พระชนมายุ 93 พรรษา

สมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถ

3. สมเดจ็ พระศรพี ัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงเป็นพระชนนีในพระบาทสมเด็จ
พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงได้รับพระราชหฤทัยให้ ดารง
ตาแหน่งเป็นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ในช่วงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยหู่ วั ได้เสด็จประพาส ยุโรปเมือ่ ปี พ.ศ. 2440 (เสด็จครง้ั แรก) พระองคป์ ระสตู ิเมอื่
วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2406 สนิ้ พระชนมเ์ มอ่ื วนั พุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2462
มีพระชนมายุ 56 ปี

รายพระนามและรายนาม พระอคั รมเหสี พระมเหสี เจา้ จอมพระราชโอรสพระราชธดิ า
ในพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั

สมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถ และพระราชโอรส
1. สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี
พระบรมราชินีนาถ (พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี) รายพระนามพระ
ราชบุตร สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพาหุรัดมณีมัย สมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ สมเด็จเจ้า
ฟ้าชายตรีเพ็ชรุตม์ธารงสมเด็จเจ้าฟ้าชายจักรพงษ์ภูวนาถ สมเด็จเจ้าฟ้าชายศิริราช
กกุธภัณฑ์ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง (ไม่มีพระนาม) สมเด็จเจ้าฟ้าชายอัษฎางค์เดชาวุธ
สมเด็จเจ้าฟา้ ชายจฑุ าธุชธราดลิ ก สมเดจ็ เจ้าฟา้ ชายประชาธิปกศักดเิ ดชน์ (พระเจ้าลูก
เธอ พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี)
2. สมเด็จพระนางเจา้ สวา่ งวัฒนา พระบรมราชเทวี (พระเจา้ ลูกเธอ พระองคเ์ จ้า
สว่างวัฒนา) รายพระนามพระราชบุตร สมเดจ็ เจา้ ฟ้าชายมหาวชิรุณหิศ สมเด็จเจ้าฟ้า
ชายอิศริยาลงกรณ์ สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงวิจิตรจิรประภา สมเด็จเจ้าฟ้าชายสมมติวงศ์ว

โรทยั สมเด็จเจา้ ฟา้ หญิงวไลยอลงกรณ์ สมเดจ็ เจ้าฟา้ หญงิ ศิราภรณ์โสภณ สมเดจ็ เจา้ ฟา้
ชายมหดิ ลอดุลยเดช สมเด็จเจา้ ฟา้ หญงิ (ไม่มพี ระนาม)

3. สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี (พระเจ้าลูกเธอ
พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์) รายพระนามพระราชบุตร สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกรรณา
ภรณเ์ พชรรัตน์ สมเดจ็ เจ้าฟา้ (ไม่มพี ระนาม)

พระนางเจา้ สุขมุ าลมารศรี พระราชเทวี
4. พระนางเจ้าสุขมุ าลมารศรี พระราชเทวี (พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าสุขุมาล
มารศรี)พระราชบตุ ร สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสุทธาทิพยรัตน์ สมเด็จเจ้าฟ้าชายบริพัตรสุขุม
พนั ธุ์
5. พระเจ้าพ่ีนางเธอ พระองค์เจ้าทักษิณชา นราธิราชบุตรี (พระเจ้าลูกเธอ
พระองคเ์ จ้าทักษณิ ชา นราธริ าชบตุ รี)รายพระนามพระราชบุตร สมเดจ็ เจา้ ฟ้าชาย (ไม่
มีพระนาม)
6. พระอรรคชายาเธอ พระองคเ์ จา้ เสาวภาคย์นารีรัตน์ (หม่อมเจ้าป๋ิว ลดาวัลย์)
รายพระนามพระราชบตุ ร สมเด็จเจา้ ฟา้ หญิงจันทราสรัทวาร

7. พระอรรคชายาเธอ พระองค์เจา้ อบุ ลรตั นนารีนาค กรมขุนอรรควรราชกัลยา
(หมอ่ มเจา้ บัว ลดาวัลย์) รายพระนามพระราชบตุ ร สมเดจ็ เจ้าฟา้ หญงิ เยาวมาลย์นฤมล

8. พระอรรคชายาเธอ พระองคเ์ จา้ สายสวลภี ริ มย์ กรมขนุ สทุ ธาสนิ นี าฏ(หมอ่ ม
เจ้าสาย ลดาวัลย์) รายพระนามพระราชบุตร สมเด็จเจ้าฟ้าชายยุคลฑิฆัมพร
เจ้าฟ้าหญิงนภาจรจารัสศรี สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงมาลินีนภดารา สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงนิภา
นภดล

9.เจา้ ดารารศั มี พระราชชายา (เจา้ ดารารศั มแี หง่ นครเชยี งใหม)่ รายพระนาม
พระราชบตุ ร พระองค์เจา้ หญงิ วมิ ลนาคนพสี ี

รายพระนามเจา้ จอมมารดาในพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั 27 พระองค์

เจา้ จอมมารดาสดุ
10. เจา้ จอมมารดาสดุ (สดุ สกุ มุ ลจันทร์) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองคเ์ จา้
หญงิ วรลกั ษณาวดี

เจา้ จอมมาดาแส
11. เจา้ จอมมารดาแส (แส โรจนดศิ ) รายพระนามพะราชบตุ ร พระองคเ์ จา้ ชาย
เขจรจริ ประดษิ ฐ พระองคเ์ จา้ หญงิ อพั ภนั ตรปี ชา พระองคเ์ จา้ หญงิ ทพิ ยาลงั การ

12. เจา้ จอมมารดาแสง (แสง กลั ยาณมติ ร)รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์
เจา้ ชายอศิ รวงศ์วรราชกมุ าร พระองคเ์ จา้ ชายนภางคน์ พิ ทั ธพงศ์ พระองคเ์ จา้ หญงิ บเี อ
ตรศิ ภทั รายวุ ดี พระองค์เจา้ หญงิ เจรญิ ศรี ชนมายุ

13. เจา้ จอมมารดาหมอ่ มราชวงศ์แข (หมอ่ มราชวงศแ์ ข พง่ึ บุญ) รายพระนาม
พระราชบตุ ร พระองค์เจา้ หญงิ ผอ่ ง

14. เจา้ จอมมารดาตลับ (ตลับ เกตทุ ตั ) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์เจา้
หญงิ อัจฉรพรรณีรชั กญั ญา พระองคเ์ จา้ ชายรพพี ฒั นศกั ด์ิ

15. เจา้ จอมมารดามรกฎ (มรกฎ เพญ็ กลุ ) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์
เจา้ หญงิ จฑุ ารตั นราชกมุ ารี,พระองคเ์ จา้ ชายเพญ็ พัฒนพงศ์

16. เจา้ จอมมารดาหมอ่ มราชวงศย์ อ้ ย (หม่อมราชวงศย์ อ้ ย อศิ รางกูร) รายพระ
นามพระราชบตุ ร พระองค์เจา้ หญงิ อรพนิ ทเ์ุ พญ็ ภาค

17. เจา้ จอมมารดาอว่ ม (อ่วม พศิ ลยบตุ ร) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์
เจา้ ชายกติ ยิ ากรวรลกั ษณ์

18. เจา้ จอมมารดาแชม่ (แชม่ กลั ยาณมติ ร) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์
เจา้ ชายประวติ รวฒั โนดม

19. เจา้ จอมมารดาทบั ทมิ (ทบั ทมิ โรจนดศิ ) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์
เจา้ ชายจริ ประวตั วิ รเดช พระองคเ์ จา้ หญงิ ประเวศวรสมยั พระองค์เจา้ ชายวุฒไิ ชยเฉลมิ
ลาภ

20. เจา้ จอมมารดาบวั รายพระนามพระราชบตุ ร พระองคเ์ จา้ หญงิ (ไมม่ พี ระ
นาม)

21. เจา้ จอมมารดาโหมด (โหมด บนุ นาค) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์
เจา้ ชายอาภากรเกยี รตวิ งศ์ พระองคเ์ จา้ หญิงอรองคอ์ รรคยพุ า พระองคเ์ จา้ ชายสรุ ยิ ง
ประยรุ พนั ธ์ุ

22. เจา้ จอมมารดาจนั ทร์ (จนั ทร์ สกุ มุ ลจนั ทร์) รายพระนามพระราชบตุ ร
พระองคเ์ จา้ หญงิ ศศพิ งศป์ ระไพ

เจา้ จอมมารดาเหม

23. . เจา้ จอมมารดาเหม (เหม อมาตยกลุ ) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์

เจา้ หญงิ มัณฑนาภาวดีภายหลงั เปลยี่ นพระนามเปน็ "เหมวดี"

24. เจา้ จอมมารดาเรอื น (เรอื น สนุ ทรศารทลู ) รายพระนามพระราชบตุ ร
พระองคเ์ จา้ หญงิ พิสมยั ฯ

25. เจา้ จอมมารดาวาด (วาด กลั ยาณมติ ร) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์
เจา้ ชายบรุ ฉตั รไชยากร

26. เจา้ จอมมารดาทพิ เกษร (เจา้ ทพิ เกษร ณ เชยี งใหม่) รายพระนามพระราช
บุตร พระองคเ์ จา้ ชายดลิ กนพรฐั

27. เจา้ จอมมารดาหม่อมราชวงศเ์ นอ่ื ง (หม่อมราชวงศเ์ นอื่ ง สนทิ วงศ์) พระราช
บตุ ร พระองคเ์ จา้ หญงิ เ าวภาพงศส์ นทิ พระองคเ์ จา้ ชายรงั สติ ประยรู ศกั ดิ์

28. เจา้ จอมมารดาออ่ น (ออ่ น บนุ นาค) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์เจา้
หญงิ อรประพนั ธร์ าไพ พระองค์เจา้ หญงิ อดสิ ยั สรุ ยิ าภา

29. เจา้ จอมมารดาพรอ้ ม รายพระนามพระราชบตุ ร พระองคเ์ จา้ หญงิ ประภา
พรรณพไิ ลย พระองคเ์ จา้ หญงิ ประไพพรรณพลิ าส พระองคเ์ จ้าชายสมยั วุฒวิ โรดม
พระองค์เจา้ หญงิ วาปบี ษุ บากร

30. เจา้ จอมมารดาวง (วง เนตรายน) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์เจา้
หญงิ โกมลเสาวมาลย์

31. เจ้าจอมมารดาแพ (แพ บนุ นาค) รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์เจา้
หญงิ ศรวี ไิ ลยลกั ษณ์ พระองค์เจา้ หญงิ สุวพกั ตร์วไิ ลยพรรณ พระองคเ์ จา้ หญงิ บัณฑวร
รณวโรภาส

32. เจา้ จอมมารดาหมอ่ มราชวงศเ์ กสร (หม่อมราชวงศ์เกสร สนทิ วงศ์) รายพระ
นามพระราชบตุ ร พระองค์เจา้ ชายอศิ รยิ าภรณ์ พระองค์เจา้ ชายอนสุ รสริ ปิ ระสาธน์

33. เจา้ จอมมารดาชมุ่ (ชุ่ม ไกรฤกษ)์ รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์เจา้
หญงิ อาทรทพิ ยนภิ า พระองคเ์ จา้ หญงิ สุจติ ราภรณี

34. เจา้ จอมมารดาเลอื่ น (เลอ่ื น นยิ ะวานนท์) รายพระนามพระราชบตุ ร
พระองคเ์ จา้ หญงิ ลวาดวรองค์ พระองค์เจา้ ชายอุรพุ งศร์ ชั สมโภช

35. เจา้ จอมมารดาหมอ่ มราชวงศจ์ วิ๋ (หมอ่ มราชวงศจ์ ว๋ิ กปติ ถา) รายพระนาม
พระราชบตุ ร พระองค์เจา้ หญงิ (ไม่มพี ระนาม)

36เจา้ จอมมารดาสาย (สาย สกุ มุ ลจนั ทร)์ รายพระนามพระราชบตุ ร พระองค์
เจา้ หญงิ (ไม่มพี ระนาม)

รายพระนามเจา้ จอมในพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว 117 พระองค์

เจ้าจอมสมยั รชั กาลท่ี 5
37. เจ้าจอมเขียน (เขียน กัลยาณมิตร) 38. เจ้าจอมโหมด (โหมด บุนนาค) 39.

เจา้ จอมลนิ้ จี่40. เจา้ จอมนวล (นวล ณ นคร) 41. เจา้ จอมจัน 42. เจา้ จอมหม่อมหลวง
ถนอม (หม่อมหลวงถนอม เทพหัสดิน) 43. เจ้าจอมละม้าย(ละ ม้าย สุวรรณทัต) 44.
เจ้าจอมแจม่ (แจ่ม ไกรฤกษ์) 45. เจา้ จอมสวา่ ง (สว่าง ณ นคร) 46.เจ้าจอมเพมิ่ (เพ่มิ
รัตนทัศนยี ์) 47. เจ้าจอมจีน (จีน บุนนาค) 48. เจ้าจอมเน่ือง (เน่ือง บุณยรัตพันธุ์)49.
เจ้าจอมเพ่ิม (เพิ่ม ณ นคร) 50. เจ้าจอมเจริญ 51. เจ้าจอมอ้น (อ้น บุนนาค) 52. เจ้า
จอมเอม (เอม พิศลยบุตร) 53. เจ้าจอมช่วง (ช่วง พิศลยบุตร) 54. เจ้าจอมใย (ใย
บณุ ยรัตพันธ์ุ) 55. เจ้าจอมกลีบ (กลีบ เทพหัสดิน ณ อยุธยา) 56. เจ้าจอมล้ินจ่ี (ล้ินจ่ี
เทพหัสดิน ณ อยุธยา) 57. เจ้าจอมฟักเหลือง (ฟักเหลือง เทพหัสดิน ณ อยุธยา)

58. เจา้ จอมประคอง (ประคอง อมาตยกุล) 59. เจา้ จอมสังวาลย์ (สงั วาลย์ อมาตยกลุ )
60. เจ้าจอมอบ (อบ บุนนาค) 61. เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์แป้น (หม่อมราชวงศ์แป้น
มาลากุล) 62. เจ้าจอมเพ่ิม (เพ่ิม สุจริตกุล) 63. เจ้าจอมพิศว์ (พิศว์ บุนนาค) 64. เจ้า
จอมถนอม (ถนอม ภัทรนาวิก) 65. เจ้าจอมทับทิม 66. เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์เย้ือน
67. เจา้ จอมอม่ิ 68. เจ้าจอมเชอื้ 69. เจ้าจอมเอีย่ ม (เอย่ี ม บุนนาค) 70. เจ้าจอมหมอ่ ม
ราชวงศ์เฉียด (หม่อมราชวงศ์เฉียด ลดาวัลย์) 71.เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์ปั้ม (หม่อม
ราชวงศ์ปั้ม) 72. เจ้าจอมก้อนแก้ว (ก้อนแก้ว บุรณศิริ) 73. เจ้าจอมแฉ่ง 74. เจ้าจอม
ถนอม (ถนอม บรรจงเจริญ) 75. เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์ข้อ (หม่อมราชวงศ์ข้อ สนิท
วงศ์) 76. เจา้ จอมน้อม (น้อม โชตกิ เสถยี ร) 77. เจ้าจอมเจียน (เจยี น โชตกิ เสถียร) 78.
เจา้ จอมเยี่ยม (เย่ียม โชติกเถียร) 79. เจ้าจอมกิมเหรียญ(กิมเหรียญ โชติกเสถียร) 80.
เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์แปม้ (หม่อมราชวงศแ์ ป้ม มาลากุล) 81. เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์
ช่วง 82. เจ้าจอมเอิบ (เอิบ บุนนาค) 83. เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์แป้ว (หม่อมราชวงศ์
แป้ว มาลากุล) 84. เจ้าจอมเลียม (เลียม บุนนาค)85. เจ้าจอมอาบ (อาบ บุนนาค)
86. เจา้ จอมเออื้ น (เอ้ือน บุนนาค) 87. เจา้ จอมแส (แส บุนนาค)

88. เจ้าจอมสมบูรณ์หรือ สมบุญ (สมบูรณ์ มันประเสริฐ) 89. เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์
สดับ (หมอ่ มราชวงศส์ ดับ ลดาวลั ย์) 90. เจ้าจอมหมอ่ มราชวงศ์ละม้าย (หม่อมราชวงศ์
ละม้าย สงิ หรา) 91. เจ้าจอมแถม (แถม บนุ นาค) 92. เจ้าจอมอ่า (อ่า คุรุกุล) 93. เจ้า
จอมกิมเนียว 94. เจา้ จอมกลิน่ 95. เจา้ จอมแก้ว 96. เจา้ จอมเงิน (เงิน สนิ สขุ ) 97. เจ้า
จอมเงก็ 98. เจา้ จอมหม่อมราชวงศจ์ รวย (หมอ่ มราชวงศ์จรวย ปราโมช) 99. เจ้าจอม
จัน 100. เจา้ จอมจิ๋ว 101. เจ้าจอมเจิม 102. เจ้าจอมเจิม 103. เจ้าจอมเจิม (เจ้าจอม
เจิม ศรีเพ็ญ) 104. เจ้าจอมเจียม 105. เจ้าจอมจาเริญ 106. เจ้าจอมจาเริญ (จาเริญ
โชติกสวัสดิ์) 107. เจ้าจอมจาเริญ (จาเริญ สุวรรณทัต) 108. เจ้าจอมแฉ่ง (แฉ่ง พล
กนิษฐ์) 109. เจ้าจอมเชย (เชย บุนนาค)110. เจ้าจอมเช้ือ (เชื้อ พลกนิษฐ์) 111. เจ้า
จอมถนอม (ถนอม แสง-ชูโต) 112. เจ้าจอมทิพมณฑา113. เจ้าจอมทิพย์ (ทิพย์ ปาล
กะวงศ์ ณ อยุธยา) 114. เจ้าจอมทิพย์ (ทิพย์ ศกณุ ะสิงห์) 115. เจา้ จอมนว่ ม 116. เจา้
จอมนอม 117. เจ้าจอมน้อย 118. เจ้าจอมเน้ย 119. เจ้าจอมบ๋วย 120. เจ้าจอม
ประยงค์ (ประยงค์ อมาตยกลุ ) 121. เจ้าจอมปุก (ปุก บนุ นาค) 122. เจา้ จอมปยุ้ 123.
เจ้าจอมเปรม 124. เจา้ จอมเปล่ียน (เปล่ยี น ณ บางช้าง) 125. เจ้าจอมผาด (ผาด ทัน
ตานนท์) 126. เจา้ จอมพลบั (พลับ พัฒนเวชวงศ์127. เจ้าจอมพิณ (พิณ ณ นคร) 128.
เจ้าจอมพิพัฒน์ 129. เจ้าจอมหม่อมราชวงศ์มณี (หม่อมราชวงศ์มณี อิศรางกูร) 130.
เจ้าจอมมอญ 131. เจ้าจอมมิ (มิ จาตุรงคกุล) 132. เจ้าจอมเมขลา 133. เจ้าจอม
เยื้อน (เย้ือน บุนนาค) 134. เจ้าจอมเย้ือน (เย้ือน แสง-ชูโต) 135. เจ้าจอม
ละมา้ ย (ละมา้ ย อหะหมัดจุฬา)136. เจ้าจอมลิ้นจ่ี (ลิ้นจี่ จารุจินดา) 137. เจ้าจอมลูก
จนั ทร์ (ลกู จนั ทร์ จารจุ ินดา) 138. เจ้าจอมลกู จันทร์ (ลูกจันทร์ เอมะศิริ) 139. เจา้ จอม
วอน (วอน บุนนาค) 140. เจา้ จอมวงศ์ 141. เจา้ จอมสวน (สวน บณุ ยรัตพันธุ์)
142. เจา้ จอมสวาสดิ์ (สวาสด์ิ สาลักษณ์) 143. เจ้าจอมสว่าง 144. เจ้าจอมสาย 145.
เจ้าจอมสาล่ี (สาล่ี ศรเี พ็ญ) 146. เจา้ จอมสาอาง (สาอาง บณุ ยรัตพันธุ์) 147. เจ้าจอม
สิน (สิน ศรีเพ็ญ) 148. เจ้าจอมสิงหรา149. เจ้าจอมสุวรรณ (สุวรรณ ณ นคร) 150.

เจ้าจอมเหลียน (เหลียน บุนนาค) 151. เจ้าจอมอิม (อิม โชติกเสถียร) 152. เจ้าจอม
อิม่ (อม่ิ คุรกุ ุล) 153. เจ้าจอมจนั ทร์ (จนั ทร์ แสง-ชูโต)
พระราชลัญจกรประจาพระองค์

พระราชลัญจกรประจาพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว เป็นตรา
งา ลักษณะกลมรี กว้าง 5.5 ซ.ม. ยาว 6.8 ซ.ม. โดยมีตรา พระเก้ียว หรือ พระจุล
มงกฏุ ซง่ึ ประดิษฐานบนพานแว่นฟา้ 2 ชั้น มฉี ตั รบริวารตั้งขนาบท้ัง 2 ข้าง ถัดออกไป
จะมีพานแว่นฟ้า 2 ช้ัน ทางด้านซ้ายวางสมุดตารา และทางด้านขวาวางพระแว่นสุริ
ยกานต์เพชร โดยพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวน้ัน
เป็นการเจริญรอยจาลองมาจากพระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวการสร้างพระลัญจกรประจาพระองค์น้ัน จะใช้แนวคิดจาก พระบรม
นามาภิไธยก่อนทรงราชย์ น่ันคือ "จุฬาลงกรณ์" ซึ่งแปลว่า เคร่ืองประดับศีรษะ หรือ
จุลมงกฎุ ดังน้นั จงึ เลือกใช้ พระเก้ยี ว หรือ จลุ มงกุฎ มาใชเ้ ปน็ พระราชลัญจกรประจา
พระองค์

พระพทุ ธรปู ประจาพระชนมวารรชั กาลที่ 5 (ปางหา้ มพระแกน่ จันทร์)
และพระพทุ ธรปู ประจารชั กาลท่ี 5 (ปางขดั สมาธเิ พชร)

พระพทุ ธรูปประจาพร พระพทุ ธรปู ประจารชั กาล

พระพุทธรูปประจาพระชนมวารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น
พระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ ซ่ึงโปรดให้สร้างข้ึนแทน ปางไสยาสน์เพราะทรง
พระราชสมภพวันอังคาร โดยทรงให้สร้างขึ้นในราวปี พ.ศ. 2466-2453 สร้างด้วย
ทองคา ความสูงรวมฐาน 34.60 เซนติเมตร พระพทุ ธรูปประจารชั กาลพระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระพุทธรูปปางขัดสมาธิเพชร พระเกตุมาลาเป็นเปลว
เพลิง เหนือพระเศียรกางก้ันด้วยฉัตรปรุทอง 3 ชั้น สร้างราว พ.ศ. 2453-2468 หน้า
ตกั กวา้ ง 7.2 นิ้ว สงู เฉพาะองคพ์ ระ 11.8 ซ.ม. สูงรวมฉตั ร 47.3 ซ.ม.

เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณ์

เครือ่ งขตั ตยิ ราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั มเี กยี รตคิ ณุ รงุ่ เรอื งยงิ่ มหาจกั รีบรม

ราชวงศ์

เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณ์อนั เปน็ โบราณมงคลนพรตั นราชวราภรณ์

เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณจ์ ลุ จอมเกล้า ชนั้ ท่ี 1 ปฐมจลุ จอมเกลา้ วิเศษ

เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั มศี กั ดร์ิ ามาธิบดี ชน้ั ท่ี 1 (เสนางคะบด)ี

เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั เปน็ ทีเ่ ชดิ ชยู ง่ิ ชา้ งเผอื ก ชน้ั มหาปรมาภรณ์

ชา้ งเผอื ก (ม.ป.ช.)

เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ์อนั มเี กยี รตยิ ศยงิ่ มงกฎุ ไทย ชน้ั มหาวชิรมงกฎุ (ม.ว.

ม.)

เหรยี ญดษุ ฎมี าลา เขม็ ราชการในพระองค์ และ เหรยี ญดษุ ฎมี าลา เขม็

ราชการแผน่ ดนิ

เหรยี ญจกั รมาลา เหรยี ญรตั นาภรณ์ รชั กาลที่ 4 ชนั้ ท่ี 1

เหรยี ญรตั นาภรณ์ รชั กาลท่ี 5 ชนั้ ท่ี 1

เหรยี ญราชรจุ ิ รชั กาลท่ี 5

ดอกไมโ้ ปรดของรัชกาลท่ี 5 กหุ ลาบสีชมพู
ดอกกหุ ลาบเปน็ ดอกไม้ทรงโปรดของรชั กาลที่ 5 ใครทต่ี ้องการบูชารชั กาลท่ี 5 ก็

จะใช้ดอกกุหลาบสีชมพูบูชา เพราะสีชมพูเป็นสีประจาวันพระราชสมภพ (วันอังคาร)
เหตทุ ่ีทราบวา่ พระองคท์ รงโปรดดอกไม้ชนิดนี้คงมาจากพระราชหตั ถเลขา (จดหมาย)ท่ี
พระองคท์ รงเขียนถงึ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอ เจ้าฟา้ นิภานภดลคร้ังเสดด็จประพาสยุโรป
ไดต้ รสั ถงึ ความงดงามของดอกกุหลาบไวห้ ลายตอนน่ันเอง

พระราชกรณียกจิ
พระราชกรณียกจิ ด้านเศรษฐกิจ

หอรษั ฎากรพพิ ัฒน์
1. การปรับปรุงระบบการคลงั แยกการคลงั ออกจากกรมทา่ ทรงตัง้ หอรัษฎากร
พิพัฒน์ ข้ึนเม่ือ พ.ศ. 2416 ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์เพ่ือเป็น สานักงานกลางเก็บ
ผลประโยชน์ รายได้ภาษีอากรของแผ่นดินมารวมไว้ที่แห่งเดียว ต่อมาได้ยกฐานะหอ
รัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นเป็น กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เม่ือ พ .ศ. 2435
2. ตรากฎหมายกวดขันภาษีอากร โปรด ฯ ให้ตราพระราชบัญญัติสาหรับ หอ
รัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นเมือ่ 4 มิถนุ ายน 2416 โดยวางหลักเกณฑ์การเรียกเก็บภาษีอากร
ใหท้ ันสมยั ตามแบบสากล
3. การปรบั ปรงุ ระบบภาษอี ากรแบบใหม่ พ.ศ. 2435 ทรงตง้ั ขา้ หลวงคลงั ไป
ประจาทกุ มณฑล เพอื่ ทาหนา้ ทเี่ ก็บภาษอี ากรจากราษฎรโดยตรง แลว้ รวบรวมสง่ ไปยงั
กระทรวงพระคลงั มหาสมบตั ิ

4. ยกเลกิ ระบบเจา้ ภาษนี ายอากร เปลย่ี นใหเ้ ทศาภิบาลเกบ็ ภาษเี องเหมอื นกัน
หมดทกุ มณฑล

5. จัดทางบประมาณแผน่ ดนิ ขึ้นเปน็ ครง้ั แรก เมอ่ื พ.ศ. 2439 ตงั้ พระคลงั ขา้ งท่ี
ข้ึนสาหรบั จดั การทรพั ยส์ นิ ส่วนพระมหากษตั รยิ ์ สาหรับรายไดภ้ าษอี ากร ของแผน่ ดนิ
ใหพ้ ระคลงั มหาสมบตั เิ ปน็ ผคู้ วบคมุ ดแู ล

เงนิ ในสมยั รชั กาลท่ี 5
6. จดั ระบบเงินตราใหม่ โดยยกเลิกระบบเงินพดด้วง หน่วยเงิน เฟื้อง ซีก เส้ียว
อัฐ โสลฬ ตาลงึ ช่งั โดยสรา้ งหนว่ ยเงนิ ขึ้นใหม่ ใหใ้ ช้ เหรียญบาท เหรียญสลึง เหรียญ
สตางค์ กาหนดให้ 100 สตางค์ เท่ากับ 1 บาท พร้อมทั้งผลิตเหรียญสตางค์ทาด้วย
ทองคาขาวมี 4 ราคา ได้แก่ 20 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางคแ์ ละ 2 สตางค์ครึ่ง
7. ตราพระราชบญั ญัตธิ นบัตร ร.ศ. 121 จัดพมิ พธ์ นบตั รรุ่นแรก มีราคา 5 บาท
10 บาท 20 บาท 100 บาทและ 1000 บาท ตอ่ มาเพมิ่ ชนิด 1 บาท
8. เปล่ียนมาตราฐานเงินมาเป็นมาตราฐานทองคา ร.ศ. 127 เมื่อ 11
พฤศจิกายน 2451 เพ่ือรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไทยให้สอดคล้องกับหลักสากล
ท่ัวไป

แบงคส์ ยามกมั มาจล

9. กาเนิดธนาคารแห่งแรก เดิมเรียกว่า บุคคลัภย์ Book Clup แล้วขอ
พระราชทานพระบราราชานุญาตจดทะเบยี นเปน็ บรษิ ทั ใหถ้ กู ตอ้ งตามกฎหมาย มชี อื่ วา่
บริษัท แบงค์สยามกัมมาจล ทุนจากัด ต่อมาได้เปล่ียนชื่อเป็น ธนาคารไทยพาณิชย์
จากัด เม่อื พ.ศ. 2482

พระราชกรณยี กจิ ดา้ นการสาธารณูปโภค

โรงพยาบาลศริ ิราช
กาเนิดโรงพยาบาลแห่งแรก ต้ังอยู่ บริเวณริมคลองบางกอกน้อย ฝั่งธนบุรี เดิม
เรยี ก โรงพยาบาลวงั หลัง ดาเนิน กจิ การเม่อื 26 เมษายน 2431 ตอ่ มาภายหลังเปลีย่ น
ช่ือเป็น โรงศิริราชพยาบาล แต่คนทั่วไปชอบเรียกกันว่า โรงพยาบาลศิริราช กาเนิด
โรงเรียนแพทย์ ในโรงพยาบาลศิริราช เม่ือ 2432 เรียกว่า โรงเรียนแพทยากร ต่อมา
เรียก ราชแพทยาลัย ภายหลังคือ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ของ
มหาวทิ ยาลยั มหิดลในปจั จุบนั
กาเนิดการไฟฟ้า โดยมี จอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) เป็นผู้
ริเริ่มจาหน่ายไฟฟา้ และขยายกจิ การมาเป็น การไฟฟ้านครหลวงในปจั จุบนั
กาเนิดการประปา ในเดือนกรกฎาคม 2452 ได้โปรดให้เร่ิมดาเนินการสร้าง
ประปาขึ้น โดยเก็บกักน้า ที่คลองเชียงราก จังหวัดปทุมธานี แล้วขุดคลองประปา

สาหรับส่งน้าเข้ามาจนถึงคลองสามเสน พร้อมท้ังฝังท่อเอกและอุปกรณ์อ่ืน ๆ เพื่อให้
ราษฎรมีน้าสะอาดใช้

สภาอุณาโลมแดง
ตัง้ สภาอุณาโลมแดง เนอื่ งจากกรณีพิพาทเรื่องพรมแดนระหว่างไทยกับฝร่ังเศส
ในวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 มีทหารไทยบาดเจ็บล้มตายเป็นจานวนมาก จึงจัดตั้ง สภา
อุณาโลแดงแห่งชาติสยาม ข้ึน เพื่อจัดหาทุนซ้ือยาและเคร่ืองเวชภัณฑ์ ส่งไปบรรเทา
ทกุ ข์ทหารทีบ่ าทเจ็บในสงครามครง้ั น้ี ตอ่ มาไดข้ ยายกจิ การชว่ ยเหลอื กวา้ งขวางออกไป
ถึงประชาชนท่ัวไปและภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น สภากาชาดสยาม และเปล่ียนเป็น
สภากาชาดไทย ในปัจจุบัน
ตงั้ กรมสุขาภบิ าล ขึน้ เมื่อ พ.ศ. 2440 เพอื่ ดูแลรักษาความสะอาด กาจดั กล่ินเหม็น
ควบคุมโรคติดต่อต่าง ๆ ให้ราษฎรมีสุขภาพอาณามัยท่ีดี แล้วขยายไปยังส่วนภูมิภาค

โดยทดลองจัดการสุขาภิบาลหัวเมืองขึ้นเป็นคร้ังแรก ท่ี ตาบลท่าฉลอม จังหวัด
สมุทรสาครเมื่อ พ.ศ. 2448 ครั้นกิจการสุขาภิบาลได้ผลดี เป็นที่น่าพอใจ ในปี พ.ศ.
2451 ได้จัดการสุขาภิบาลหัวเมืองขึ้นท่ัวไปมีอยู่ 2 ประเภทคือ สุขาภิบาลเมือง และ
สขุ าภิบาลตาบล ตอ่ มาได้กลายเป็นเทศบาล

จัดตง้ั โอสถศาลารฐั บาล เพื่อเปน็ สถานประกอบการและผลติ ยาสามัญประจาบา้ น
ส่งไปจาหน่ายแก่ราษฎร ชาวบ้านเรียกว่า ยาโอสถสภา ต่อมาเปลี่ยนมาเรียกว่า ยา
ตาราหลวง
พระราชกรณียกิจดา้ นการคมนาคมขนส่งและการส่อื สาร

คลองแสนแสบ

การคมนาคม ให้มกี ารขุดคลองหลายแห่ง เช่น คลองแสนแสบ คลองประเวศบุรี
รมย์ คลองสาโรง คลองนครเน่ืองเขต คลองรังสิตประยูรศักดิ์ คลองเปรมประชากร
และ คลองทววี ัฒนา ยงั ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองสง่ นา้ ประปา จากเชียงราก สู่สาม
เสน อาเภอดุสิต จงั หวัดพระนคร ซึง่ คลองนสี้ ง่ น้าจากแหล่งนา้ ดิบเชียงราก ผา่ นอาเภอ
สามโคก อาเภอเมืองปทุมธานี อาเภอคลองหลวง อาเภอธัญบุรีและอาเภอลาลูกกา
จงั หวดั ปทุมธานี,อาเภอปากเกร็ด และ อาเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี และ เขต
สายไหม เขตบางเขน เขตดอนเมือง เขตหลักส่ี เขตจตุจักร เขตบางซ่ือ เขตดุสิต เขต
พญาไท และ เขตราชเทวี กรงุ เทพมหานคร

กาเนิดการรถไฟ สร้างทางรถไฟหลวงสายแรก กรุงเทพฯ – อยุธยา เม่ือ 26
มีนาคม 2439และขยายกิจการไป ทั่วทุกภูมิภาคเริ่มกิจการรถรางในกรุงเทพฯ เม่ือ
พ.ศ. 2430

เริม่ กจิ การไปรษณยี ์ โปรดฯ ให้ต้งั กรมไปรษณยี ์ เมอ่ื 4 สงิ หาคม 2426
เริ่มกิจการโทรเลข โทรเลขสายแรกคือกรุงเทพฯ – สมุทรปราการ เมื่อ พ.ศ. 2412
ต่อมาได้รวมกิจการไปรษณีย์โทรเลขเข้าด้วยกัน เรียกว่า กรมไปรษณีย์โทรเลข เริ่ม
กิจการโทรศัพท์ เม่ือปี พ.ศ. 24241

พระราชกรณยี กจิ ดา้ นการเลกิ ทาส

พระราชกรณียกิจอันสาคัญยิ่ง ที่ทาให้พระองค์ทรงได้รับพ ระสมัญญาว่า
“สมเด็จพระปยิ มหาราช” ก็คือ “การเลกิ ทาส”สมยั ทพ่ี ระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้
ฯ เสด็จข้ึนเสวยราชสมบัติน้ัน ประเทศไทยมีทาสเป็นจานวนกว่าหนึ่งในสามของ
พลเมือง ของประเทศ เพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบ้ียได้มีสืบต่อกันเร่ือยมาไม่มีท่ี
ส้นิ สุด และเปน็ ทาสกนั ตลอดชีวติ พอ่ แม่เปน็ ทาสแล้ว ลูกท่ีเกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็
ตกเป็นทาสอกี ต่อ ๆ กนั เรอ่ื ยไป

กฎหมายท่ีใช้กันอยู่ในเวลาน้ัน ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย 14 ตาลึง หญิง
12 ตาลึง แล้วไม่มีการลด ต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมี
การลดบา้ ง คานวณการลดนี้ อายทุ าสถงึ 100 ปี กย็ งั มคี ่าตวั อยู่ คอื ชาย 1 ตาลงึ หญงิ
3 บาท แปลวา่ ผทู้ ่ีเกดิ ในเรือนเบยี้ ถ้าไม่มีเงินมาไถต่ วั เองแล้ว ก็ตอ้ งเป็นทาสไปตลอด
ชวี ิต

ในการนพ้ี ระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้า ฯ ไดต้ ราพระราชบัญญัติขึ้น เม่ือวันที่
21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ใหม้ ีผลยอ้ นหลังไปถึงปที ่ี พระองค์เสด็จขน้ึ เสวยราชสมบตั ิ จงึ
มีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเม่ือปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดย
กาหนดวา่ เมื่อแรกเกดิ ชายมคี ่าตัว 8 ตาลึง หญงิ มคี า่ ตัว 7 ตาลงึ เมื่อลดคา่ ตัวไปทกุ ปี
แล้ว พอครบอายุ 21 ปกี ็ใหข้ าดจากความเป็นทาสทงั้ ชายและหญงิ

เม่อื ถงึ พ.ศ. 2448 ก็ทรงออก “พระราชบัญญัตเิ ลกิ ทาส ร.ศ. 124” ให้ลูกทาสทกุ
คนเป็นไทเม่ือวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 ส่วนทาสประเภทอื่นท่ีมิใช่ทาสในเรือน
เบ้ีย ทรงให้ลดค่าตัวเดือนละ 4 บาท นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2448 เป็นต้น
ไป นอกจากน้ียังมีบทบัญญัติป้องกันมิให้คนที่เป็นไทแล้วกลับไปเป็นทาสอีก และเม่ือ
ทาสจะเปล่ียนเจ้านายใหม่ ห้ามมิให้ข้ึนค่าตัว เป็นการยกเลิกระบบที่คนชั้นสูงตั้งขึ้น
เพ่ือกดขรี่ าษฎรใหท้ างานรบั ใชห้ รอื สง่ ทรัพยส์ นิ ให้โดยไมม่ ีกาหนดวา่ จะสน้ิ สดุ ลงเมอื่ ใด

พระราชกรณยี กจิ ดา้ นการศกึ ษา

พระยาศรสี นุ ทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยิ างกรู )
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดให้ขยายการศึกษาข้ึนเป็นอันมากใน
พ.ศ.2414 ได้โปรดให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงข้ึนในพระบรมมหาราชวัง แล้วมีหมาย
ประกาศชกั ชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการให้ส่งบุตรหลานเข้าเรียน โรงเรียน
ภาษาไทยนี้ โปรดให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่
ตอ่ มาต้งั โรงเรียนสอนภาษาองั กฤษข้ึนอกี โรงเรยี นหน่งึ ใหน้ ายยอร์ช แปตเตอรส์ นั เป็น
อาจารยใ์ หญ่ โรงเรียนท้ังสองนขี้ น้ึ อยู่ในกรมทหารมหาดเลก็

โรงเรยี นวดั มหรรณพาราม

ตอ่ มาโปรดฯให้ตั้งโรงเรยี นหลวงสาหรับราษฎรขน้ึ และจดั ตง้ั ขึ้นตามวัดตา่ งๆ ตาม
ประเพณีนิยมของราษฎร โรงเรยี นหลวงน้ไี ดจ้ ัดตั้งขึ้นที่ “วดั มหรรณพาราม” เป็นแห่ง
แรก แลว้ จึงแพร่หลายออกไปตามหวั เมืองทั่ว ๆ ไป โปรดให้ตั้งกรมศึกษาธกิ าร ข้ึนในปี
พ.ศ.2428 และจดั ใหม้ กี ารสอบไล่ครั้งแรกใน พ.ศ.2431

ต่อมาในปี พ.ศ.2433 ได้มีการปฏิวัติแบบเรียน โดยให้เลิกสอนตามแบบเรียน 6
กลมุ่ มมี ูลบทบรรพกิจเป็นตน้ ของพระยาศรีสุนทรโวหาร มาใช้แบบเรียนเร็วของกรม
พระยาดารงราชานุภาพแทน ในท่ีสุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการข้ึน จัด
การศึกษาและการศาสนาขึ้น เม่ือปี พ.ศ.2435 การศึกษาก็เจริญก้าวหน้าสืบมาโดย
ลาดับ

ศาลากระทรวงยตุ ธิ รรม

ศาลาการกระทรวงยุติธรรม เมื่อแรกสร้างในสมัยพระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ในการปฎิรูประบบกฎหมายและการศาลซ่ึงโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังกระทรวง
ยุติธรรมเมื่อ พ.ศ. 2438 เปน็ หน่วยงานทีร่ บั ผดิ ชอบดา้ นการยุติธรรมอยา่ งแทจ้ ริง และ
นับเป็นการแยกอานาจตุลาการออกจากฝ่ายบรหิ ารเป็นคร้งั แรก

พระราชกรณยี กจิ ดา้ นการศาสนาการศาสนา
วดั ประจารชั กาลท่ี 5 วดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี าราม ราชวรวหิ าร

วดั ราชบพิธสถติ มหาสีมาราม
พ.ศ.2412 รัชกาลที่ 5 โปรดใหส้ ร้างวัดราชบพิธสถติ มหาสีมาราม ขนึ้ เพ่อื เป็นวัด
ประจารัชกาลของพระองค์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร วรวิหาร
ความสาคัญของวดั ราชบพิธสถติ มหาสีมารามแห่งนี้คือเป็น วัดประจารัชกาลที่ 5 และ
รัชกาลที่ 7 แหง่ บรมราชจักรีวงศ์ ซ่ึงถือว่าเปน็ วดั แห่งเดียวของกรงุ รัตนโกสินทร์ ที่เป็น
วดั ประจารชั กาลของพระมหากษัตรยิ ถ์ ึง 2 พระองค์ เหนอื อ่นื ใด วัดแห่งน้ียังเคยเปน็ ที่
ประทับของสมเด็จพระสังฆราช องค์พระประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย 2 พระองค์
คอื พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ กรมหลวงชินวรสิรวิ ฒั น์ สมเด็จพระสังฆราชเจา้ (หมอ่ มเจ้า
ภุชงค์ ชมพูนุท สิริวฑฺฒโน) และ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช
(วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธฯนับเป็นพระอารามหลวงสุดท้าย ที่พระมหากษัตริย์ทรง
สร้างตามโบราณราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจารัชกาลเมื่อสร้างแล้วเสร็จในปี
พ.ศ.2413 ได้นิมนตพ์ ระสงฆ์จากวัดโสมนัสวรวหิ ารมาจาพรรษา พร้อมกับอัญเชิญพระ

พุทธนิรันตรายมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมา
ราม หมายถึง วดั ทพี่ ระมหากษตั ริย์ทรงสรา้ ง
ทรงบรู ณะวดั เบญจมบพติ ร

วดั เบญจมบพติ รขณะกอ่ สรา้ ง
วันที่ 1 มนี าคม พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระ
ราชดาเนินมายงั วัดเบญจมบพิตร ในการน้มี ีพระบรมราชโองการประกาศพระบรมราชู
ทิศถวายที่ดินให้เป็นเขตวิสุงคามสีมาของวัด พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัด
เบญจมบพิตร อันหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลท่ี 5 และเพ่ือแสดงลาดับ
รัชกาลในมหาจักรีบรมราชวงศ์ ต่อมา พระองค์ได้ถวายที่ดินซ่ึงพระองค์ขนานนามว่า
ดุสิตวนาราม ให้เป็นท่ีวิสุงคามสีมาเพิ่มเติมแก่วัดเบญจมบพิตร และโปรดฯ ให้เรียก
นามรวมกันว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม แล้วจาลองพระพุทธชินราชท่ีจังหวัด
พษิ ณุโลกมาประดษิ ฐานไว้ในวัดน้ี

วดั นเิ วศนธ์ รรมประวตั ิ

ทรงปฏิสงั ขรณ์วัดหลายวดั สร้างพระอารามหลายพระอาราม เช่น วัดราชบพิตร
วัดเทพศิรินทราวาส วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ (บางปะอิน) เป็นต้น ทั้งยังทรงเป็นองค์
ศาสนูปถัมภกโดยแท้จริงในด้านพระพุทธศาสนานั้น นอกจากจะทรงบรรพชาเป็น
สามเณรและทรงอุปสมบทด้วยแล้ว ยังให้ความอุปถัมภ์สงฆ์ 2 นิกาย ดังเช่น สมเด็จ
พระราชบิดา ในปี พ.ศ.2445 ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ เป็นการวาง
ระเบียบสงฆ์มณฑลให้เป็นระเบียบทั่วราชอาณาจักร ให้กระทรวงธรรมการมีหน้าที่
ควบคุมการศาสนา ทรงอาราธนาพระราชาคณะให้สังคายนาพระไตรปิฎก แล้วพิมพ์
เป็นอักษรไทยชุดละ 39 เล่ม จานวน 1,000 ชุด แจกไปตามพระอารามต่าง ๆ ถึง
ตา่ งประเทศดว้ ย ใน พ.ศ.2442 สว่ นศาสนาอื่น ก็ทรงใหค้ วามอุปถมั ภ์ตามสมควร

พระราชกรณยี กจิ ดา้ นการศาล

การดาเนนิ การพจิ ารณาคดีในศาลเปลย่ี นจากจารตี นครบาล
เปน็ พจิ ารณาหลกั ฐานพยาน

แต่เดมิ มากรมตา่ ง ๆ ต่างมศี าลของตนเองสาหรับพิจารณาคดี ทคี่ นในกรมของตน
เกิดกรณีพิพาทกันข้นึ แตศ่ าลนกี้ ็เป็นไปอยา่ งยงุ่ เหยิง ไม่เปน็ ระเบยี บ ใน พ.ศ.2434 จงึ
ได้ต้ังกระทรวงยุติธรรมข้ึน เพื่อรวบรวมศาลต่าง ๆ ให้มาข้ึนอยู่ในกระทรวงเดียวกัน
นอกจากน้ันในการพิจารณาสอบสวนคดี ก็ใช้วิธีจารีตนครบาล คือ ทาทารุณต่อ
ผ้ตู อ้ งหา เพื่อให้รับสารภาพ เช่น บีบขมับ ตอกเล็บ เฆ่ียนหลัง และทรมานแบบอ่ืน ๆ
เปน็ ธรรมดาอยเู่ องที่ผ้ตู ้องหาทนไม่ไหว กจ็ าตอ้ งสารภาพ จึงได้ตราพระราชบญั ญัติข้ึน
ใชว้ ิธพี ิจารณาหลกั ฐานจากพยานบคุ คลหรือเอกสาร ส่วนการสอบสวนแบบจารีตนคร
บาลน้นั ใหย้ กเลกิ

ได้จัดต้ังศาลโปริสภาข้ึนเมื่อ พ.ศ.2435 ต่อมาได้จัดต้ังศาลมณฑลขึ้น โดยตั้งที่
มณฑลอยุธยาเป็นมณฑลแรก และขยายต่อไปครบทกุ มณฑล26 มีนาคม 2439

พระราชกรณยี กิจด้านวรรณคดี

ในด้านวรรณคดีนน้ั ในรัชกาลนี้กม็ กี ารเปลยี่ นแปลงไปจากเดิมราวกบั ปฏิวัติ คือ
ประชาชนหนั มานิยมการประพนั ธแ์ บบร้อยแกว้ ส่วนคาประพันธ์แบบโคลงฉันท์กาพย์
กลอนนั้น เสื่อมความนิยมลงไป หนังสือต่าง ๆ ก็ได้รับการเผยแพร่ย่ิงกว่าสมัยก่อน
เพราะเนื่องจากมีโรงพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่ง ๆ ได้จานวนมาก ไม่ต้องคัดลอกเหมือน
สมัยกอ่ น ๆ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงเป็นนักประพันธ์ ซ่ึงมีความชานาญทั้ง
ทางรอ้ ยแกว้ และร้อยกรอง เช่น ไกลบา้ น เงาะป่า นิทราชาคริตกาพย์เห่เรือ คาเจรจา

ละครเร่ืองอเิ หนา ตาราทากับข้าวฝร่ังพระราชวิจารณ์จดหมายเหตุความทรงจาของ
กรมหลวงนรนิ ทรเทวี โคลงบรรยายภาพรามเกียรติ์ โคลงสุภาษิตนฤทุมนาการ พระ
ราชพิธีสิบสองเดือน เป็นต้น พระราชนิพนธ์เล่มหลังน้ี ได้รับการยกย่องจากวรรณคดี
สโมสรว่า เปน็ ยอดความเรยี งประเภทคาอธิบาย
พระราชกรณยี กจิ ดา้ นการปอ้ งกนั ภยั คกุ คามจากตะวนั ตก

เจา้ นายและเชอื้ พระวงศ์ ใน สภาทปี่ รกึ ษาราชการแผน่ ดนิ
และสภาทีป่ รกึ ษาในพระองค์

เมอ่ื พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวทรงขึ้นครองราชย์ใน พ.ศ. 2411
เป็นชว่ งเวลาทีป่ ระเทศถกู ดงึ เขา้ สรู่ ะบบเศรษฐกจิ โลกแบบยุโรปหลังการทาสนธสิ ญั ญา
เบาว์ริงใน พ.ศ. 2398 สยามต้องเข้าไปอยู่ในระเบียบโลกแบบใหม่ที่มียุโรปเป็น
ศูนย์กลาง ความศิวิไลซ์หรืออารยธรรมกลายเป็นเป้าหมายท่ีต้องบรรลุให้ได้
ขณะเดยี วกัน สภาวะกึง่ อาณานิคมโดยเฉพาะจากการสญู เสยี สทิ ธิสภาพนอกอาณาเขต

ก็กาลงั จะกลายเปน็ ปญั หาใหญ่ในอกี ไมก่ ีท่ ศวรรษใหห้ ลงั รวมถงึ จะมีปัญหาพพิ าทและ
ถูกแทรกแซงจากมหาอานาจด้วย ทสี่ าคัญ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงตระหนักถึงการคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตกที่มีต่อประเทศในแถบเอเชีย
โดยมักอา้ งความชอบธรรมในการเข้ายดึ ครองดินแดนแถบน้ีว่าเป็นการทาให้บ้านเมือง
เจรญิ ก้าวหนา้ อันเป็น "ภาระของคนขาว" ทาให้ต้องทรงปฏริ ปู บา้ นเมอื งใหท้ นั สมยั โดย
พระราชกรณยี กจิ ดงั กล่าวเรม่ิ ขึ้นตงั้ แต่ พ.ศ. 2416

ประการแรก ในปี พ.ศ. 2417 ทรงต้ังสภาท่ีปรึกษาขึ้นมาสองสภา ได้แก่ สภาท่ี
ปรึกษาราชการแผ่นดิน (เคานซ์ ลิ ออฟสเตต) และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ (ปรีวีเคาน์
ซิล) สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินนี้เป็นกลไกในการบริหารและการออกกฎหมายที่
จะนาไปสู่การสถาปนารัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในเวลาต่อมา สมาชิกของสภานี้ถูก
กาหนดใหม้ ีสถานะเปน็ รองจากเสนาบดี และทรงตั้งขุนนางระดับพระยา 12 นาย
เป็น "เคาน์ซิลลอร์" มีบทบาทสาคัญในการสนับสนุนพระบรมราโชบายที่จะปฏิรูป
ระบบการคลังของประเทศดว้ ยการรวมศนู ย์การบรหิ ารรายไดแ้ ละรายจา่ ยของรฐั ทง้ั ให้
มีอานาจขัดขวางหรือคัดค้านพระราชดาริได้ และทรงตั้งพระราชวงศานุวงศ์ 13
พระองค์ และขนุ นางอีก 36 นาย ช่วยถวายความคดิ เห็นหรือเปน็ กรรมการดาเนินการ
ต่างๆ รวมถึงการปฏิรูประบบกาลังคนด้วยการยกเลิกทาสอย่างช้าๆ ซ่ึงการปฏิรูป
นาไปสู่การลดอานาจของกลุ่มอนุรักษนิยมลงน้ันได้นามาซ่ึงแรงต่อต้านอย่างหนัก ๆ
แต่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ขุนนางตระกูลบุนนาค และกรมพระราชวัง
บวรวิไชยชาญ เห็นว่าสภาที่ปรึกษามีความพยายามดึงพระราชอานาจของ
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึง ต้ อ ง ท ร ง ป ร ะ นี ป ร ะ น อ ม ด้ ว ย ก า ร อ นุ ญ า ต ใ ห้ ส ม เ ด็ จ เ จ้ า พ ร ะ ย า บ ร ม ม ห า ศ รี สุ ริ
ยวงศ์ (ช่วง_บนุ นาค) มีอานาจจัดเกบ็ ภาษีฝิน่ ต่อไปไดต้ ามเดิม

ต่อมาเกิดปัญหาใหญ่ท่ีสุดท่ีตามมาหลังความพยายามปฏิรูประยะแรก ซึ่ง
เรียกว่าวิกฤตการณ์วังหน้ากล่าวคือนอกจากเกือบจะเกิดการปะทะกันด้วยกาลัง
ระหว่างฝ่ายพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กบั ฝา่ ยกรมพระราชวงั บวรวไิ ชย

ชาญแล้ว ยังนาไปสู่การดึงมหาอานาจอย่างอังกฤษและฝร่ังเศสให้เข้ามาแทรกแซง
ปัญหาด้วย ขณะเดียวกัน ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ซึ่งไม่พอใจ
บทบาทของสภาท่ีตั้งข้ึนก็พยายามดึงดุลอานาจให้มาอยู่กับตนเองมากข้ึนด้วย หลัง
วิกฤตการณ์คล่ีคลายลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องทรง
ดาเนินการปฏิรูปอยา่ งค่อยเป็นค่อยไป และบทบาทของสภาทป่ี รกึ ษาราชการแผน่ ดนิ ก็
ลดลง

พระองคเ์ จา้ ปฤษฎางค์
พ.ศ. 2427 ทรงปรึกษากับพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ อคั รราชทตู ไทยประจาองั กฤษ
ซ่ึงพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ พร้อมเจ้านายและข้าราชการ 11 นาย ได้กราบทูลเสนอให้
เปลี่ยนแปลงการปกครองเปน็ แบบราชาธิปไตยภายใต้รฐั ธรรมนูญ แต่พระองคท์ รงเหน็
ว่ายงั ไม่พร้อม แตก่ ็โปรดให้ทรงศึกษารูปแบบการปกครองแบบประเทศตะวันตก และ
พ.ศ. 2431 ทรงเริ่มทดลองแบ่งงานการปกครองออกเป็น 12 กรม (เทียบเท่า
กระทรวง)
พ.ศ. 2431 ทรงตั้ง "เสนาบดีสภา" หรือ "ลูกขุน ณ ศาลา" ขึ้นเป็นฝ่ายบริหาร
ต่อมา ใน พ.ศ. 2435 ได้ต้ังองคมนตรีสภา เดิมเรียกสภาที่ปรึกษาในพระองค์ เพื่อ


Click to View FlipBook Version