The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ฉบับปรับปรุง)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tharaphan.prasan, 2022-08-06 09:39:00

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ฉบับปรับปรุง)

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ฉบับปรับปรุง)

บรมรูปทรงม้านี้ มีแผ่นโลหะจารึกข้อความเทิดพระเกียรติ พร้อมทั้งทูลเกล้าฯ ถวาย
พระสมัญญาวา่ “สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงปิยมหาราช”

พระปิยมหาราช มีความหมายว่า “มหาราชผู้ทรงเป็นท่ีรักย่ิง” เป็นพระนาม
พิเศษท่ีพสกนิกรต้ังถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระนามพิเศษน้ี
จารกึ ไวท้ ฐ่ี านพระบรมรปู ทรงม้า ไมเ่ คยมีพระมหากษตั ริยไ์ ทยพระองคใ์ ดเคยมีมาก่อน
ถือเป็นพระเกียรติสูงสุดที่พสกนิกรถวาย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักมีปรากฏใน
คมั ภีร์อรรถกถาของพระพุทธศาสนาด้วยกัน 2 พระองค์ คือ “ปิยทัสสี” เป็นพระนาม
หน่ึงของพระเจ้าอโศกมหาราช มีความหมายว่า “ผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดา”
เน่ืองจากพระองค์ทรงเป็นธรรมราชา อุปถัมภ์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาตลอดรัชสมัย
พระมหากษัตริย์อีกพระองค์ คือ “เทวานัมปิยะดิส” พระมหากษัตริย์แห่งศรีลังกาท่ี
น้อมรับพระพุทธศาสนาจากอินเดียมายังศรีลังกา พระนามนี้มีความหมายว่า “พระ
เจ้าดิสผู้เป็นที่รักของเทพยดา” จากนั้นก็ไม่มีหลักฐานใดปรากฏพระนามของ
พระมหากษัตริย์ท่ีมีความหมายว่าเป็นที่รักอีกเลยจนกระทั่งรัชกาลที่ 5 เสด็จสวรรค์
แล้วพสกนิกรถวายพระนามนี้แด่พระองค์ ด้วยว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวมหาราช รัชกาลท่ี 5 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ท่ีทรงสร้างคุณูปการ สร้าง
ความเจรญิ ร่งุ เรอื งให้ประเทศชาติมีความเทา่ เทียบกับนานาอารยประเทศ พสกนิกรจึง
พร้อมใจยกย่องพระองค์เป็นมหาราชผเู้ ป็นทรี่ กั

คาจารกึ ทป่ี ระดษิ ฐานใต้พระบรมรปู ทรงมา้

ทม่ี าของคาสมเดจ็ พระปยิ มหาราช

ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 25 หน้า 944-945 วันท่ี 29 พฤศจิกายน ร.ศ.127
หรือ พ.ศ. 2451 มีการบนั ทกึ โดยนา “คาจาฤกทป่ี ระดิษฐานพระบรมรูป” ซ่ึงกล่าวถึง
พระราชสมญั ญา “สมเด็จพระปยิ มหาราช” เปน็ พระราชสมญั ญาที่ได้รบั การถวาย โดย
สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ เปน็ ผู้ทรงคิดถวาย ซึง่ ปรากฏอยบู่ นจารึกใตฐ้ าน
ของพระบรมรูปทรงม้า (พ.ศ. 2451) พระนามนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงเขียนชมเชย สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ท่ีได้
คิดพระนามน้ีถวาย จากพระปาฐกถาในสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรง
แสดงท่ีสถานีวิทยุพญาไท ค่าวันท่ี 22 ต.ค. 2475 เนื่องในงานถวายบังคมพระบรม
รูปทรงม้าประจาปี ซ่ึงคัดจาก “ชุมนุมพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุ
ภาพ’” ที่ตีพิมพ์พระปาฐกถาน้ี บอกกล่าวท่ีมาเร่ืองพระราชสมัญญา “สมเด็จพระปิย
มหาราช” ไว้ชัดเจน “...และเงินสมโภชที่เหลือจากการสร้างพระบรมรูปน้ัน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ใช้เป็นทุนตั้งจุฬา ลงกรณ์

มหาวิทยาลัย เฉลิมพระเกยี รติสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงอีกอยา่ งหนึ่ง ซึ่งปรากฏอยู่ทุก
วนั นี้ เนอ่ื งต่อการถวายพระบรมรูปทรงมา้ ดังได้กลา่ วก็ยงั มขี อ้ สาคญั อกี อยา่ งหนงึ่ ซงึ่ ได้
ถวายพระนามพเิ ศษว่า ‘พระปิยมหาราช’ แดพ่ ระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ดังจารกึ ไว้
ที่ฐานพระบรมรูป การท่ถี วายพระนามพิเศษน้ันอนุโลมตามประเพณีโบราณ อันถือว่า
เป็นพระเกียรติยศสูงสุดซึ่งพสกนิกรจะพึงถวายได้... ...เมื่อถวายพระบรมรูปทรงม้า
ครั้งน้นั ปรกึ ษากันว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระเดชพระคุณ
แกป่ ระเทศสยามถงึ ช้นั พระมหากษตั รยิ ์ ซง่ึ ยกย่องท่พี งศาวดารว่าเป็นพระเจ้ามหาราช
ของประเทศ และการที่พสกนกิ รพรอ้ มใจกันเฉลิมพระเกียรติ ดว้ ยความรกั เห็นปานนนั้
ก็ไม่เคยมีมาในปางก่อน สมควรจะถวายพระนามพิเศษ จึงพร้อมกันถวายพระนาม
“ปิยมหาราช” เป็นพระนามพิเศษ พระบรมรูปทรงม้ากับพระนามปิยมหาราชจึงเป็น
อนุสรณ์สาคัญ ซึ่งเตือนใจให้ระลึกถึงพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั และท่ีชาวพระนครพากนั ถวายสักการบูชาทุกปมี ไิ ด้ขาด...”

“พระพทุ ธเจา้ หลวง” พระนามนม้ี ที มี่ าอยา่ งไร
พระพุทธเจ้าหลวง เป็นสมญนามท่ีใช้กับพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตแล้ว ดังใน

สมัยพระเจ้าปราสาทองแห่งกรุงศรีอยุธยาก็เรียกว่า “สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
ปราสาททอง” ต่อมานากลับมาใช้ในครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สวรรคตอีกคร้งั

ลาดับเหตกุ ารณส์ าคญั ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั

พ.ศ. 2396
20 กนั ยายน พระราชสมภพ พระนามเดมิ เจา้ ฟา้ จุฬาลงกรณ์

พ.ศ. 2404
เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ์ ทรงไดร้ ับการสถาปนาเปน็ กรมหมน่ื พฆิ เนศวรสรุ สงั กาศ

พ.ศ. 2409
ทรงผนวชเปน็ สามเณร

พ.ศ. 2410
กรมหมน่ื พฆิ เนศวรสรุ สงั กาศ ทรงไดร้ บั การสถาปนาเปน็ กรมขนุ พนิ ติ ประชานาถ

พ.ศ. 2411
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวเสดจ็ สวรรคต 11 พฤศจกิ ายน บรรดาเชอ้ื

พระวงศแ์ ละขนุ นางอญั เชญิ กรมขนุ พชิ ติ ประชานาถ ขนึ้ ครองราชยส์ มบตั เิ ปน็ รชั กาลที่
5 แหง่ ราชวงศ์จกั รี เฉลมิ พระนามว่า พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั

เนอ่ื งจากยงั ไมท่ รงบรรลนุ ติ ภิ าวะ ทปี่ ระชมุ จึงใหเ้ จ้าพระยาศรสี รุ ยิ วงศเ์ ปน็ ผสู้ าเรจ็
ราชการแทนจนถงึ พ.ศ. 2416

สถาปนาพระองคเ์ จา้ ยอดยงิ่ ยศ พระโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระปนิ่ เกลา้
เจา้ อยหู่ วั เปน็ กรมพระราชวงั บวรวไิ ชยชาญ พระมหาอุปราช
พ.ศ. 2412

พระเมรมุ าศถวายพระเพลงิ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั
พ.ศ. 2412มนี าคม พระราชพธิ ถี วายพระเพลงิ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระจอม
เกล้าเจา้ อยหู่ วั

โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งวดั ราชบพธิ สถติ มหาสมี ารามขน้ึ สาหรบั เปน็ วดั ประจารชั กาล

เสด็จประพาสอนิ เดยี
พ.ศ. 2413

เสดจ็ ประพาสสงิ คโปรแ์ ละชวาเปน็ ครงั้ แรก ยกเลกิ การไวผ้ มทรงมหาดไทย
เสด็จประพาส อนิ เดยี (ปลายปี พ.ศ. 2414 ตอ่ ปี พ.ศ. 2415)

พ.ศ. 2414
ตงั้ โรงเรยี นหลวงข้ึนในพระบรมมหาราชวงั สาหรับสอนบตุ รหลานของเจ้านายและ

ขนุ นาง
พ.ศ. 2415

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงฉลองพระองคเ์ ตม็ ยศของกรม
ทหารราบที่ 1 มหาดเลก็ รกั ษาพระองค์ ซงึ่ ไดเ้ รม่ิ การปรบั ปรงุ อยา่ งจรงิ จงั ในปี พ.ศ.
2414 เรม่ิ ปรับปรงุ การทหารครง้ั ใหญ่ เรมิ่ ใชเ้ สอ้ื ราชปะแตน
พ.ศ. 2416

ทรงมพี ระชนมายคุ รบ20 พรรษา สามารถปกครองแผน่ ดนิ โดยพระองค์เองทรง
ผนวช 16 ตลุ าคม พระราชพิธบี รมราชาภิเษกครงั้ ที่ 2 สถาปนา เจา้ พระยาศรีสรุ ยิ วงศ์
เปน็ สมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์

โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ลกิ ประเพณหี มอบคลาน เวลาเขา้ เฝา้
โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ง้ั หอรษั ฎากรพพิ ัฒน์
พ.ศ. 2417
โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ง้ั สภาทป่ี รกึ ษาราชการแผน่ ดนิ หรอื รัฐมนตรสี ภาและองคมนตรี
สภา
วนั ที่ 21 สงิ หาคม พ.ศ. 2417 ปจี อ ออกพระราชบญั ญตั พิ กิ ดั เกษยี ณอายลุ กู ทาส
ลกู ไท
กาเนดิ โรงเรยี นสตรีวงั หลงั ซงึ่ ปจั จุบนั คอื โรงเรยี นวฒั นาวทิ ยาลยั
ใชเ้ งนิ อฐั กระดาษ แทนเหรยี ญทองแดง
ตงั้ พพิ ิธภณั ฑสถาน
พ.ศ. 2418
สงครามปราบฮอ่ ครง้ั แรก
เรมิ่ การโทรเลขครง้ั แรกระหวา่ งกรงุ เทพ - สมทุ รปราการ
พ.ศ. 2424

สมโภชกรงุ รตั นโกสนิ ทรค์ รบ 100 ปี

พ.ศ. 2425
โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ง้ั โรงเรยี นสาหรบั เจา้ หลวง ขุนนาง และไพร่ ในวงั ทค่ี ลงั ศภุ รตั น

เรม่ิ แหง่ แรกทโี่ รงเรยี นพระตาหนกั สวนกหุ ลาบ(เดิม)

พ.ศ. 2426
รฐั บาลสยามไดจ้ ัดตง้ั กรมไปรษณยี ข์ นึ้ เมอื่ ปี พ.ศ. 2426ตงั้ กรมไปรษณยี ์ เร่ิมเปดิ

บรกิ ารไปรษณยี ค์ รง้ั แรกในพระนคร ตงั้ กรมโทรเลข
สงครามปราบฮอ่ ครงั้ ที่ 2

พ.ศ. 2427
โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ง้ั โรงเรยี นสาหรบั ราษฎรท่ัวไป ตามวดั ตา่ งๆ เรม่ิ แหง่ แรกทวี่ ดั

มหรรณพาราม
พ.ศ. 2429

โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ลกิ ตาแหนง่ พระมหาอปุ ราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ทรงประกาศตงั้ ตาแหนง่ สยามมกฎุ ราชกมุ าร ขน้ึ และทรงสถาปนาเจ้าฟา้ มหาวชิ

รุณหศิ เปน็ สยามมกฎุ ราชกุมารเป็นพระองคแ์ รก
สงครามปราบฮอ่ ครง้ั ที่ 3
ไทยสมัครเขา้ เปน็ ภาคสี หภาพไปรษณยี ส์ ากล

พ.ศ. 2430
ตงั้ กรมยทุ ธนาธกิ ารทหาร (กระทรวงกลาโหม) ตงั้ โรงเรยี นนายร้อยทหารบก ตงั้

กระทรวงธรรมการ
สงครามปราบฮอ่ ครงั้ ที่ 4 ทรงโปรดเกลา้ ใหต้ งั้ เมอื งขน้ึ ทต่ี าบลบางโพธิ์-ทา่ อฐิ

และพระราชทานนามวา่ อตุ รดษิ ฐ์ แปลวา่ ทา่ เรอื ดา้ นทศิ เหนือของสยามประเทศ
พ.ศ. 2431

แผนท่แี สดงการเสยี ดนิ แดนของไทยใหแ้ กช่ าตติ ะวนั ตกในสมยั รชั กาลที่ 5ทรงเรม่ิ
การทดลองจดั การปกครองสว่ นกลางแผนใหม่

เรมิ่ ดาเนนิ การพมิ พพ์ ระไตรปฎิ กเป็นครัง้ แรก สาเรจ็ ออกมา 39 เล่ม เมอื่ ปี พ.ศ.
2436

ใชร้ ตั นโกสนิ ทรศ์ ก (ร.ศ.) เปน็ ศกั ราชในราชการ
ตงั้ กรมพยาบาล เปดิ โรงพยาบาลศริ ริ าช
ตราพระราชบญั ญตั ิ เลกิ วธิ พี จิ ารณาโทษตามแบบจารตี นครบาล
เสยี ดนิ แดน แควน้ สิบสองจไุ ทใหฝ้ รง่ั เศส
พ.ศ. 2432
เรม่ิ ใชว้ นั ทางสรุ ยิ คตใิ นราชการ
พ.ศ. 2433
เสยี ฝงั่ ซา้ ยแมน่ า้ สาละวนิ ใหก้ บั ประเทศองั กฤษ เป็นการสญู เสยี ครง้ั ยง่ิ ใหญ่
ทางดา้ นรฐั ศาสตร์ เศรษฐกจิ และทรัพยากร อนั อดุ มดว้ ยดนิ แดนผนื ปา่ อนั อดุ มสมบรู ณ์
ยง่ิ

รชั กาลท่ี 5 เปดิ เสน้ ทางรถไฟสาย กรงุ เทพฯ – นครราชสมี า
พ.ศ. 2434

ตงั้ กระทรวงยตุ ธิ รรม
ตง้ั กรมรถไฟ และเรม่ิ กอ่ สรา้ งทางรถไฟสายกรงุ เทพฯ - นครราชสมี า
พ.ศ. 2435
โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกาศตงั้ กระทรวงธรรมการขน้ึ เปน็ ทางการ เมอ่ื วนั ท่ี 1 เมษายน
พ.ศ. 2435
ตงั้ ศาลโปรสิ ภา (ศาลแขวง)
สง่ นกั เรยี นไปศกึ ษาวชิ าทหารในยโุ รป รนุ่ แรก
โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกาศตง้ั โรงเรยี นฝกึ หดั ครู ปัจจุบนั เปน็ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั
พระนครเมอื่ วนั ที่ 12 ตลุ าคม
พ.ศ. 2436
วกิ ฤตการณ์ ร.ศ. 112 - สยามกบั ฝรงั่ เศสเกดิ กรณีพพิ าทเรอ่ื งดนิ แดนฝง่ั ซา้ ยของ
แมน่ า้ โขง จนเกดิ การบตามแนวชายแดน ฝรง่ั เศสจึงนาเรอื รบเขา้ มายงั กรงุ เทพฯ (ใน
ภาพ) โดยฝา่ แนวตา้ นทานของฝา่ ยสยามทปี่ ากนา้ สมทุ รปราการได้ เพอ่ื บีบบงั คบั ให้
สยามตอ้ งยกดนิ แดนดงั กลา่ วใหแ้ กฝ่ รง่ั เศสใหเ้ อกชนเปดิ เดนิ รถไฟสายปากนา้ เมอ่ื 11

เมษายน พ.ศ. 2436
ฉลองพระไตรปฎิ กฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรก
ตงั้ มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั ตง้ั สภาอณุ าโลมแดง (สภากาชาดไทย)
เสยี ดนิ แดนฝง่ั ซา้ ยแมน่ า้ โขงใหฝ้ รง่ั เศส
ตงั้ โรงเรยี นวดั บวรนิเวศเมอ่ื 23 กมุ ภาพนั ธ์ 2436

รถรางไฟฟา้ สมยั รชั กาลท่ี 5
พ.ศ. 2437

ทรงสถาปนาเจา้ ฟา้ มหาวชริ าวธุ เป็นสยามมกฎุ ราชกมุ าร
เรมิ่ จดั ตง้ั มณฑลเทศาภบิ าล
ตงั้ โรงไฟฟา้ เรมิ่ กจิ การรถรางไฟฟา้ อยา่ งแท้จรงิ แม้จะไดเ้ รมิ่ การใชร้ ถรางไฟฟา้ เม่ือ
1 กมุ ภาพนั ธ์ ค.ศ. 1893 (นบั อยา่ งเกา่ ตอ้ ง ร.ศ. 111 หรอื พ.ศ. 2435) โดยที่เจา้ ฟา้
มหาวชริ ุณหศิ ไดเ้ สด็จพระราชดาเนนิ ทอดพระเนตรเมื่อ 22 กมุ ภาพนั ธ์ ร.ศ.111
พ.ศ. 2438
โปรดเกลา้ ฯ ใหข้ า้ หลวงพิเศษไปจดั การศาลตามหวั เมอื ง
จดั ทางบประมาณแผน่ ดนิ ครงั้ แรก
ตง้ั โรงเรยี นฝกึ หดั วชิ าแพทย์ และผดงุ ครรภ์

พ.ศ. 2439
โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกาศตงั้ โรงเรยี นราชวทิ ยาลยั ตามแบบโรงเรยี นประจาชาย

Public School ขององั กฤษ ข้นึ ปรากฏรายละเอยี ดในราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม 13 หนา้
269 ลงวนั ที่ 5 เมษายน 2439 (รศ. 115) (สมเดจ็ พระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี
พระบรมราชนิ นี าถ เสดจ็ เปิดโรงเรยี นในวนั ท่ี 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2440) ซงึ่ ปจั จบุ นั
คอื โรงเรยี น ภ.ป.ร. ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ ชอ่ื ในภาษาองั กฤษ King's
College
พ.ศ. 2440

การเสดจ็ ประพาสยุโรปครงั้ ที่ 1 - พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรง
ฉายพระบรมฉายาลกั ษณร์ ว่ มกบั พระเจา้ ซารน์ โิ คลสั ที่ 2 แหง่ จกั รวรรดริ สั เซยี เสดจ็
ประพาสยโุ รปครง้ั แรก ปีระกา

ตราขอ้ บังคบั ลกั ษณะปกครองหวั เมอื ง
ตง้ั โรงเรยี นสอนวชิ ากฎหมาย
เรม่ิ การสอบชงิ ทนุ เลา่ เรยี นหลวงไปเรยี นในยโุ รป ปลี ะ 2 ทนุ

เหรยี ญนกิ เกลิ้ ราคา 2 1/2 สตางค์ สมยั รชั กาลท่ี 5

พ.ศ. 2441
ตงั้ กรมเสนาธกิ ารทหารบก
รวมกรมไปรษณยี แ์ ละกรมโทรเลขเปน็ กรมเดยี วกนั
กาเนดิ เหรยี ญ "สตางค์" รนุ่ แรก โดยใชท้ องขาว (นกิ เกล้ิ ราคา 20 สตางค์ 10

สตางค์ 5 สตางค์ และ 2 1/2 สตางค์ แตไ่ ม่เปน็ ทนี่ ยิ มเพราะใชย้ าก
พ.ศ. 2442

เรม่ิ จดั ตง้ั กองทหารตามหวั เมอื ง
เรม่ิ สรา้ งวดั เบญจมบพติ ร
ไดพ้ ระบรมสารีรกิ ธาตจุ ากอนิ เดยี
ทาสนธสิ ญั ญากาหนดสทิ ธจิ ดทะเบยี นคนในบงั คับองั กฤษ
พ.ศ. 2443
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรงมพี ระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราช
กาเนดิ โรงเรยี นเบญจมบพติ ร หรอื โรงเรยี นมธั ยมวดั เบญจมบพติ รในปจั จบุ นั
พ.ศ. 2444
ตงั้ โรงเรยี นนายรอ้ ยตารวจทีน่ ครราชสมี า
เปดิ การเดนิ รถไฟหลวง สายกรงุ เทพ - นครราชสมี า เมอ่ื 21 ธันวาคม พ.ศ. 2443
หล่อพระพทุ ธชนิ ราชจาลอง
บรษิ ทั สยามไฟฟา้ ไดร้ บั สมั ปทานจาหนา่ ยไฟฟา้ เรมิ่ จดุ โคมไฟตามถนนหลวง
เกดิ กบฎเงย้ี วทเ่ี มอื งแพร่ กบฎผู้มีบญุ ทอ่ี บุ ลราชธานี และ กบฎแขก 7 หัวเมอื งท่ี
ปตั ตานี เพอื่ ตอ่ ตา้ นการปกครองแบบเทศาภิบาล
พ.ศ. 2445
ตง้ั กรมธนบตั ร เรม่ิ ใช้ธนบตั รครง้ั แรก ตราพระราชบัญญตั ธิ นบตั ร ร.ศ. 121
ตง้ั สามคั ยาจารย์สมาคม ตง้ั โอสถศาลา
ปราบกบฎเงย้ี วทเี่ มอื งแพร่ ปราบผบี ญุ อุบลราชธานี และ กบฎแขก 7 หัวเมอื ง
ปตั ตานี สาเรจ็ และไดม้ กี ารปลดเจา้ เมอื งแพร่ เจา้ เมอื งปตั ตานี หนองจกิ รามนั สาย
บรุ ี ยะลา ระแงะ ออกจากตาแหน่ง พรอ้ มสง่ ไปจองจาเจา้ เมอื งปตั ตานใี นหลมุ ที่

พิษณโุ ลก ภายหลงั ไดป้ ลอ่ ยตวั ออกไปตามแรงกดดนั ขององั กฤษ
เปดิ การเดนิ รถไฟหลวงสายใต้ ระหวา่ งกรงุ เทพ-เพชรบรุ ี เมอื่ 19 มถิ นุ ายน พ.ศ.

2446

ราชยานยนตค์ นั แรกในสมยั รชั กาลท่ี 5
พ.ศ. 2447

เสยี ดนิ แดนทางฝง่ั ขวาแมน่ า้ โขงใหฝ้ รงั่ เศส ตรงหัวเมอื งจาปาศกั ดิ์ (ตรงขา้ มเมอื ง
ปากเซ) และหวั เมอื งไชยบุรี - ปากลาย (ตรงขา้ มหลวงพระบาง)

เรม่ิ มรี ถยนต์ใชใ้ นสยาม
พ.ศ. 2448

เสด็จประพาสตน้ ครงั้ แรก
ทาอนสุ ญั ญากาหนดสทิ ธกิ ารจดทะเบยี นคนในบงั คบั ฝรงั่ เศส
ตราพระราชบญั ญตั ทิ าส รตั นโกสนิ ทรศ์ ก 124
ประกาศใหล้ กู ทาสเปน็ ไททง้ั หมด ดว้ ยพระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะทาส รตั นโกสนิ ทร์
ศก 130 ซงึ่ ตรงกับวันท่ี 11 มกราคม พ.ศ. 2454 ใหเ้ ปน็ วนั ทที่ าสหมดสนิ้ จาก
ราชอาณาจกั รไทย
ตงั้ หอสมดุ สาหรบั พระนคร ตราพระราชบญั ญตั ิเกณฑท์ หาร ฉบบั แรก

ทาอนสุ ัญญากาหนดสทิ ธกิ ารจดทะเบยี นคนในบงั คบั เดนมารก์ และอติ าลี
ทดลองจดั สขุ าภบิ าลทต่ี าบลทา่ ฉลอม จงั หวดั สมทุ รสาคร
พ.ศ. 2449
เสด็จประพาสตน้ คร้ังหลงั
เปดิ โรงเรยี นนายเรอื ทพี่ ระราชวงั เดมิ เมอื่ 20 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2449
เสยี มณฑลบรู พา (เสยี มราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ) ใหฝ้ รง่ั เศส เมอ่ื 23 มนี าคม
พ.ศ. 2449 เพ่อื แลกกับจันทบรุ แี ละดา่ นซา้ ยคนื มา
พ.ศ. 2450
เสด็จประพาสยโุ รปครง้ั ท่ี 2 ปมี ะแม เพอ่ื รกั ษาพระโรควกั กะพกิ าร
จดั ใหม้ กี ารประกวดพนั ธ์ุขา้ วครง้ั แรก
เปดิ การเดนิ รถไฟหลวง สายกรงุ เทพ - ฉะเชงิ เทรา เมอื่ 24 มกราคม พ.ศ. 2450
(นับอยา่ งใหมต่ อ้ ง พ.ศ. 2451)

พ.ศ. 2451
ประดษิ ฐาน พระบรมรปู ทรงมา้ ณ ลานพระราชวงั ดสุ ติ
จดั การสขุ าภบิ าลตามหวั เมอื งทว่ั ไป

ประกาศใชก้ ฎหมายลกั ษณะอาญา ร.ศ. 127
เลกิ ใชเ้ งนิ พดดว้ ง
ตราพระราชบญั ญตั ทิ องคา ร.ศ. 127 ใชท้ องคาเปน็ มาตรฐานเงนิ ตราแบบสากล

โดยใหจ้ า่ ยเงินตราตา่ งประเทศท่ีใชม้ าตรฐานทองคาแทนการออกเหรยี ญ 10 บาท
ทองคาตราครุฑ

สรา้ งพระบรมรูปทรงมา้ เนอ่ื งในโอกาสเถลงิ ถวัลยร์ าชสมบตั ิ 40 ปี วนั ที่ 11
พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2451 ตรงกับวนั พระราชพธิ รี ชั มงั คลาภเิ ษก โดยจา้ งชา่ งทก่ี รงุ ปารสี
ประเทศฝร่ังเศส เปน็ ผทู้ า หลอ่ ดว้ ยโลหะชนดิ ทองสมั ฤทธิ์นามา ตดิ กบั ทองสมั ฤทธ์ิ
เหมือนกนั หนาประมาณ 25 เซนตเิ มตร เป็น และไดป้ ระดษิ ฐานบนแท่นหนิ ออ่ น อนั
เปน็ แทน่ รอง สงู ประมาณ 6 เมตร กวา้ ง 2 เมตรครงึ่ ยาว 5 เมตร
พ.ศ. 2452

เลกิ ใชเ้ งนิ เฟอ้ื ง ซกี เสยี้ วอัฐ โสฬส เรม่ิ กจิ การประปา
พ.ศ. 2453

มกี ารแสดงกสิกรรมและพาณชิ ยก์ รรมเป็นครง้ั แรก
รชั กาลที่ 5 เสดจ็ สวรรคต

พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวเสดจ็ สวรรคต

พระทน่ี งั่ อัมพรสถาน
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประทับรักษาพระองค์จากการ
ทรงพระประชวรเรื่อยมาจนกระท่ังพระอาการมิสู้ดีนัก เร่ิมหนักขึ้นเรื่อยๆถึงกับหาย
พระทยั ดังยาวๆ และหายพระทยั ทางพระโอษฐ์(ทางปาก)แรงๆ สงั เกตดพู ระเนตรไมจ่ บั
ใครเสยี แลว้ ลมื พระเนตรคว้างอยู่อย่างนั้นเอง แต่พระกรรณยังได้ยิน สมเด็จพระนาง
เจ้าเสาวภาฯ ทรงกราบทูลว่า “ทรงเสวยน้ายังเพคะ”พระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงพยักหน้า
รับได้ และกราบทลู ตอ่ วา่ ”จะถวายพระโอสถแก้พระศอแห้ง ของพระองค์เจ้าสายฯเพ
คะ”พระเจ้าอยูห่ ัวก็ยังรับสงั่ ว่า "ฮือ" แล้วพระเจ้าอยหู่ วั ก็ทรงยกพระหัตถ์ขวาและซ้าย
ท่ีสนั่ ข้ึนเช็ดน้าพระเนตรของพระองคเ์ องคลา้ ยทรงพระกนั แสง แลว้ พระนางเจา้ สขุ มุ าล
ฯก็ใช้ผ้าข้ึนมาซับน้าพระเนตรถวาย ส่วนสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯทรงประทับ
อยู่ปลายพระแท่นถวายงานนวดอยู่มิคลาย ตั้งแต่เวลานี้ต่อไป หมอฝรั่งน่ังคอยจับ

ชพี จร ตรวจพระอาการผลดั เปลีย่ นกนั จากน้นั การหายพระทยั ของพระองคก์ ค็ อ่ ยๆเบา
ลงทุกที พระอาการกระวนกระวายอย่างหน่ึงอย่างใดก็ไม่มีเลย ยังคงบรรทมหลับอยู่
อย่างเดิม สักพักหมอจึงทูลกับเจ้านายทุกพระองค์ว่า เสด็จสวรรคตเสียแล้วเจ้านาย
พระราชโอรสพระราชธิดาท้ังฝ่ายหน้าและฝ่ายในสนมเจ้าจอมท่ีเฝ้าอยู่ตามเฉลียง
บันได พื้นพระท่ีน่ังต่างก็แย่งกันกรูเข้าไปดูร่างพระบรมศพแล้วก็พากันล้มลงกับพื้น
ร้องไห้คร่าครวญอยู่ระงมเซ้งแซ่ และโดยเฉพาะพระราชธิดาที่ทอดกายนอนกรรแสง
เป็นลมกันยกใหญ่ ณ เวลานั้นประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ถูกลมพายุพัดต้นและก่ิงก้านหักล้น
ราบ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระวักกะ (ไต)
เมื่อ เม่ือวันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 5 ค่า ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
เมื่อเวลา 2 ยาม 45 นาที (0 นาฬิกา 45 นาที) ท่ีพระท่ีน่ังอัมพรสถาน พระราชวัง
ดุสติ นายแพทย์วิบลู วิจติ รวาทการ นกั เขียนเชงิ ประวตั ศิ าสตร์ ไดใ้ ห้ความเห็นระบโุ รค
ท่ีเป็นไปได้ คือ โรคน่ิวในไต, โรคไตอักเสบ จากการติดเชื้อ และโรคไตชนิด Chronic

Glomerulonephritis อันเกิดจากต่อมทอนซิลอักเสบฉับพลัน ด้วยพระโรควักกะ
พิการซ่งึ แสดงอาการเม่อื พ.ศ. 2447 - 2448 เมื่อพระองค์สวรรคตมีพระชนมายไุ ด้ 58
พรรษา รวมครองราชย์สมบตั ิ 42 ปี

สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาฯก็ทรงประชวรพระวาโย(เป็นลม)มีอาการชักกระตุก
ตามมาและหมดสติ หมอต้องรบี ถวายยาฉดี จากน้นั พนักงานไดท้ ูลเชิญข้นึ บนพระเกา้ อ้ี
แล้วหามกลับพระตาหนักสวนสี่ฤดู สาหรับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาก็ทรงพระ
ประชวรพระวาโยล้มลงพระกรรแสงยกใหญม่ ิไดส้ ติ ข้าหลวงต้องเชิญขน้ึ พระเกา้ อี้หาม
กลับตาหนักสวนหงส์ เห็นจะมีพระนางเจ้าสุขุมาลฯที่ยังทรงคลุมพระสติได้แต่ยังพระ
กรรแสงนั่งเปน็ ประธานอยปู่ ลายพระแทน่ พระบรมศพ เจ้าจอมมารดาชมุ่ และพระธิดา
ท้ังสองฟุบลงกับพื้นร้องไห้เสียงระงม เจ้าจอมเอิบคนโปรดมาอยู่ข้างพระแท่นเบื้อง
ขวา-องพระบรมศพ พระอรรคชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลี ก็ทรงพระกรรแสง
ประทบั ราบเกาะพระแท่นจบั พระหตั พระเจา้ อย่หู ัวโดยตลอด

สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟา้ กรมขนุ นครสวรรคฯ์

ขอ้ ความตอ่ ไปน้ี คือสว่ นหนึ่งของคาบอกเลา่ โดย นายจา่ ยวด (นพ ไกรฤกษ์) ซง่ึ
เป็นมหาดเล็กอยู่งานปลายพระแท่นบรรทมในช่วงวันใกล้วันสวรรคต จนถึงนาที
สุดทา้ ย

“วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม เวลาเช้า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุน
นครสวรรค์ฯ และหมอฝร่ัง 3 คน ขึ้นไปเฝ้าตรวจอาการ ข้าพเจ้าก็ข้ึนไปด้วยตามเคย
เมือ่ กลับลงมาเห็นกิริยาท่าทางของหมอและเจ้านายไม่สู้ดี ได้ความว่าพระอาการหนัก
มาก พระบังคนเบาที่คาดว่าจะมีก็ไม่มี พิษของพระบังคนเบาซึมไปตามเส้นพระโลหิต
ท่วั พระองค์ จึงทาให้เป็นพิษเซ่ืองซึม บรรทมหลับอยู่เสมอ หมอต้ังพระโอสถถวายเร่ง
ใหม้ ีพระบังคนเบาแรงขึ้นทุกทีพวกหมอฝรั่งประชุมกันเขียนรายงานพระอาการ่ยื่นต่อ
เจา้ นาย เสนาบดี ว่าพระอาการมากเหลือกาลงั ของหมอที่จะถวายการรักษาแล้ว
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระเจา้ ลกู ยาเธอ เจา้ ฟ้ากรมขุนพิษณุโลกประชา
นารถ และพระบรมวงศานุวงศ์ เสด็จมาแต่เช้าได้ทอดพระเนตรรายงานพระอาการท่ี
หมอทาไว้ ทรงปรึกษาหารือเห็นพร้อมกันว่าควรให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า

สายสนิทวงศ์มาเฝ้าตรวจพระอาการดูด้วย ข้าพเจ้าจึงให้นายฉัน หุ้มแพร
(ทติ ย์ ณ สงขลา) รบี เอารถยนต์ไปรบั มาทนั ที

พระวรวงศเ์ ธอพระองค์เจา้ สายสนทิ วงศ์(พระองค์เจา้ สายฯ)
พระองค์เจ้าสายฯ ขึ้นไปเฝ้าตรวจพระอาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวน้า
พระเนตรไหล แต่ไมต่ รัสวา่ อะไร พระองค์เจา้ สายฯ กลับลงมา ยืนยันว่าพระอาการยัง
ไม่เป็นอะไร เช่ือว่ามีบรรทมหลับเซ่ืองซึมอยู่น้ันเป็นตัวฤทธิ์พระโอสถต่างๆ พอฤทธิ์
พระโอสถหมดแลว้ ก็คงจะทรงสบายขึน้ เพราะพระชีพจรกย็ งั เตน้ เปน็ ปรกติดี
พระองค์เจ้าสายฯ กลับไปนาพระโอสถมาตั้งถวายแก้ทางพระศอแห้ง ข้ึนไปเฝ้าตรวจ
พระอาการอกี ครั้งหนงึ่
ครัง้ นี้ตรสั ว่า ‘หมอมาหรอื ’ ได้เท่าน้นั แล้วกไ็ มไ่ ดร้ ับส่งั อะไรอีกต่อไป
พระอาการตั้งแต่เช้าไปจนเย็น ไม่มีพระบังคนหนักและเบาเลย พระหฤทัยอ่อนลงมา
ยังบรรทมหลบั เซื่องซมึ อยเู่ สมอ
เวลาย่าคา่ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขนุ นครสวรรค์ฯ และหมอฝรั่งข้ึน
ไปเฝ้าตรวจพระอาการ ข้าพเจ้าได้ข้ึนไปด้วย และเห็นหายพระทัยดังยาวๆ และหาย

พระทัยทางพระโอษฐ์ พน่ แรงๆ จนเหน็ พระมสั สไุ ด้แต่ไกล สงั เกตดพู ระเนตรไมจ่ ับใคร
เสยี แลว้ ลืมพระเนตรควา้ งอยอู่ ย่างนนั้ เอง แตพ่ ระกรรณยังได้ยิน

สมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถ
สมเดจ็ พระราชินนี าถกราบทลู วา่ เสวยน้า ยงั ทรงพยกั พระพักตรร์ ับได้ และกราบ
ทูลว่าพระโอสถแก้พระศอแห้งพระองค์เจ้าสาย ก็ยังรับส่ังว่า “ฮือ”แล้วยกพระหัตถ์
ขวาและซ้ายท่ีส่นั ขึ้นเชด็ นา้ พระเนตร คลา้ ยทรงพระกนั แสง พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี
พระราชเทวีซับเช็ดพระเนตรดว้ ยผ้าซบั พระพักตร์ชุบน้าถวาย หมอฉีดพระโอสถถวาย
ช่วยบารุงพระหฤทัยใหแ้ รงข้นึ
ต้ังแต่เวลานี้ต่อไป หมอฝรั่งน่ังประจาคอยจับพระชีพจร ตรวจพระอาการ
ผลัดเปลี่ยนกันประจาอยู่ท่ีพระองค์ การหายพระทัยค่อยๆเบาลงทุกที พระอาการ
กระวนกระวายอย่างหน่งึ อยา่ งใดไม่มีเลย คงบรรทมหลับอยู่เสมอ เจ้านายจะขึน้ ไปเฝ้า
อกี คร้ัง กพ็ อหมอรีบลงมาทูลว่า เสดจ็ สวรรคตเสียแล้วด้วยพระอาการสงบ เมือ่ เวลา 2
ยาม 45 นาที

สมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถและพระราชโอรส

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าลูกยาเธอ สมเด็จ
พระเจ้าน้องยาเธอ และพระเจ้าน้องยาเธอ พร้อมกันเสด็จขึ้นไปเฝ้ากราบถวายบังคม
ดว้ ยความเศรา้ โศกอาลัย ทรงกันแสงคร่าครวญสอึกสอ้ืนท่ัวกัน ข้าพเจ้าก็อยู่ท่ีน่ันด้วย
กราบถวายบงั คมมีความเศรา้ โศกอาลยั แสนสาหสั ร่าร้องมิได้หยุดหย่อยเลย

ในทพ่ี ระบรรทมและตามเฉลยี งเต็มไปดว้ ยฝา่ ยในและฝ่ายหน้า รอ้ งไห้ครา่ ครวญ
อยูร่ ะงมเซ็งแซ่และทมุ่ ทอดกายทั่วไป ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ถกู ลมพายุใหญพ่ ดั ต้นและกงิ่
กา้ นหักล้มราบไปฉนั ใด บรรดาฝ่ายในและฝา่ ยหน้าทั้งหมดลม้ กลง้ิ เป็นลมไปตามกนั ฉนั
นัน้ ดว้ ยความเศร้าโศกาดูรเปน็ อยา่ งลน้ เหลอื ท่ีจะราพนั ให้ส่ินสดุ ได้”

พระบรมโอรสาธริ าชฯ(พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยหู่ วั )ขนึ้ ครองราชย์

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุฯเชิญเสด็จสมเด็จพระบรม
โอรสาธิราชฯ ใหเ้ สดจ็ กลับลงไปชนั้ ล่าง ประทบั หอ้ งแปะ๊ ต๋ง พรอ้ มด้วยพระบรมวงศานุ
วงศ์ฝ่ายหน้าโดยมเี สนาบดผี ใู้ หญ่ องคมนตรขี ้าราชการผูใ้ หญ่ ผ้นู อ้ ย รอเฝ้ารบั เสดจ็ อยู่
ณ ทีน่ ัน้ จากนน้ั สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมพระภาณุพันธุฯ ทรงคุกพระชงฆ์
(คุกเข้า)ลงกราบถวายบังคมแทบพระบาทสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ อัญเชิญ ขึ้น
เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ป็นพระเจ้าแผ่นดินองคต์ อ่ ไป

พระบรมโกศพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
ณ พระทน่ี งั่ ดสุ ติ มหาปราสาท

มีการอัญเชิญพระศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นประดิษฐาน
บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง และนิมนต์พระสงฆ์ข้ึน
สดบั ปกรณต์ ามประเพณี พระราชาคณะชน้ั ผใู้ หญก่ ไ็ มส่ ามารถกลนั้ ความเศรา้ โศกอาลยั
ไว้ได้ ตามท่ีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์ไว้ใน
หนังสือ “ประวัติตน้ รัชกาลที่ 6” ความวา่ “สมเดจ็ พระมหาสมณะเจา้ (ซง่ึ เวลานนั้ ดารง
พระยศเปนกรมหลวงวชิรญาณวโรรส) ตรัสกับฉันพระสุรเสียงเครือและสอ้ืน, เสด็จ
กรมหมื่นชนิ วรสิรวิ ฒั น์ (ซ่ึงเวลาน้ันดารงพระยศเปนพระองคเ์ จา้ พระสถาพรพิริยพรต)

ทรงสวดไมใ่ ครจ่ ะออก, สมเดจ็ พระวนั รตั น (ฑติ ) วดั มหาธาตุ, เสียงเครอื จวนๆ จะเอา
ไมอ่ ยู่, สมเด็จพระพทุ ธโฆษาจารย์ (ฤทธ์ิ) วัดอรณุ สวดพลางน้าตาไหลพลาง, และสอ้ืน
ด้วย, และสมเด็จพระวันรัตน (จ่าย, เวลานั้นเปนพระธรรมวโรดม) วัดเบญจมบพิตร์,
ร้องไหอ้ ยา่ งคนๆ ทเี ดยี ว”

หลังจากน้ันมีการอัญเชิญพระบรมโกศประดิษฐานการ แล้วจัดให้มีการพระราช
พิธี บาเพ็ญพระราชกุศลเป็นประจาทุกวัน บนพระท่ีน่ังดุสิตมหาประสาทภายใน
พระบรมมหาราชวัง โดยมีพระบรมวงศ์เสด็จมาบาเพ็ญพระกุศล แต่ละวันจะมีการ
สวดพระอภธิ รรม จากพระอารามหลวง

การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ
พระเมรุท้องสนามหลวง เดือนมีนาคม รัตนโกสินทรศก 129 (พ.ศ.2453) มี ขั้นตอน
ดงั น้ี

พระราชพธิ อี ญั เชญิ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
ประดษิ ฐานบนพระยานมาศสามลาคานทห่ี นา้ พระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท

ขั้นตอนที่หน่ึง เริ่มจากเชิญพระบรมศพลงจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ออก
ประตศู รีสุนทร ประตู เทวาภริ มยไ์ ปตามถนนมหาราช เล้ยี วถนนเชตุพน เล้ียวข้ึนถนน
สนามไชย ไปทรงพระมหาพชิ ัยราชรถ ซ่ึงประทับคอยอยู่หน้าพลับพลาวัดพระเชตุพน
กระบวนน้ี พระบรมศพทรงพระยานมาศสามลาคาน ปักนพปฎลเศวตรฉัตร มีสมเด็จ
พระเจา้ นอ้ งยาเธอทรงประคองพระบรมโกศและทรงพระราชยานกงทรงโยงทรงโปรย
กับพระสงฆ์นา พร้อมด้วยกระบวนพระราชอิสริยยศ เครื่องสูง สังข์ แตร กลองชนะ
มโหระทึก และคูแ่ ห่ราชการ นายทหารบกทหารเรือตารวจมหาดเล็กนาและกรมทหาร
ราบท่ี 1 รักษาพระองค์ (ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ตามแซง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดาเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ใน
กระบวนน้ีโดยมีทหารบกยิงปืนใหญ่นาทีละนัด จนกระบวนถึงพระบรมมหาราชวัง
ระหว่างอัญเชิญพระบรมศพน้ันฝนตกลงมาตลอด "... พวกราษฎรเอาเสื่อไปปูน่ังกิน
เปน็ แถวตลอดสองข้างทาง จะหาหน้าใครที่มีแม้แต่ยิ้มก็ไม่มีสักผู้เดียว ทุกคนมีแต่เค้า
นา้ ตาไหลอยา่ งตกอกตกใจด้วยไมเ่ คยรรู้ ส อากาศมืดครมึ้ มีหมอกขาวลงจัดเกือบถงึ หวั
คนเดินท่ัวไป ผู้ใหญ่เขาบอกว่า นี่แหละคือหมอกชุมเกตุ ที่ในตาราเขากล่าวถึงว่า
มักจะมีในเวลาที่มเี หตุใหญๆ่ เกิดขน้ึ ไม่ช้าก็ไดย้ ินเสียงป่ีในกระบวน เสียงเย็นใสจับใจ
มาแต่ไกลๆ แลว้ ได้ยนิ เสยี งกลองรบั เปน็ จังหวะใกล้เข้ามาๆ ในความมดื เงียบสงัด ทีม่ ดื
เพราะต้องตัดสายไฟฟ้าบางตอนให้พระบรมโกศผ่านได้ และท่ีเงียบก็เพราะไม่มีใคร
พูดจากนั ว่ากระไร ......

การประกอบพระโกศทองใหญพ่ ระบรมศพ
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
บนยานมาศสามลาคานที่หนา้ พระทนี่ ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท

ขั้นตอนท่ีสอง พระยานมาศสามลาคาน เทียบกับเกรินบันไดนาค เชิญพระบรม
ศพขึ้นทรงพระมหาพิชัยราชรถ มีพระสงฆ์ทรงราชรถนาพร้อมด้วยกระบวนราช
อิสริยยศเช่นกระบวนที่ 1 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดาเนินพร้อม
ด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ตามเหมือนกัน แต่มีเสนาบดี เจ้าผู้ครองประเทศราช ราชทูต
ผแู้ ทนรัฐบาลตา่ งประเทศกบั ขา้ ราชการผู้ใหญผ่ ู้นอ้ ยสมทบตามเสด็จด้วยกระบวนหน้า
เพ่ิมกระบวนทหารบกนา กระบวนหลังเพ่ิมกระบวนทหารเรือแซงตาม ต่อกรมทหาร
ราบท่ี 1 รักษาพระองค์ และเดินตามเป็นตอนหมู่ข้าราชการในท่ีสุดเดินกระบวนจาก
หน้าวัดพระเชตุพนไปตามถนนสนามไชย เลี้ยวถนนราชดาเนินใน ประทับพระมหา
พิชยั ราชรถหนา้ พระเมรุด้านตะวันออก

กระบวนแหพ่ ระโกศพระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ประดษิ ฐาน
บนพระมหาพิชยั ราชรถประกอบดว้ ยเคร่อื งสูงเตม็ ยศกระบวนแห่ 4 สาย

ข้ันตอนท่ีสาม เชิญพระบรมศพจากพระมหาพิชัยราชรถเข้าแห่เวียนพระเมรุ 3
รอบ กระบวนนี้ พระบรมศพทรงพระยานมาศสามลาคาน ปักนพปฎลเศวตรฉัตร มี
สมเด็จพระเจา้ น้องยาเธอทรงประคองพระบรมโกศและทรงพระยานกงโยง โปรย กับ
พระสงฆน์ าพร้อมด้วยกระบวนพระราชอสิ รยิ ยศเหมอื นกระบวนที่ 1 แตแ่ บง่ ใหน้ อ้ ยพอ
จุที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดาเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์
ไม่มีข้าราชการตามในกระบวนนี้

พระเมรุมาศใน พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั

ขนั้ ตอนที่ 4 ถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระเมรุมาศใน พระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั รชั กาลท่ี 5 เปน็ ตน้ แบบพระเมรุมาศแบบใหม่ครั้งแรกของ กรุง
รัตนโกสินทร์ โดยขณะท่ที รงดารงพระชนมอ์ ยู่ ได้พระราชทานพระราชกระแสรบั สั่งถงึ
การพระบรมศพของพระองค์ไว้ว่า“แต่ก่อนมา ถ้าพระเจ้าแผ่นดินสวรรคตลง ก็ต้อง
ปลูกเมรุใหญ่ซึ่งคนไม่เคยเห็นแล้วจะนึกเดาไม่ถูกว่าโตใหญ่เพียงไร เปลืองทั้งแรงคน
และเปลืองท้ังพระราชทรัพย์ ถ้าจะทาในเวลาน้ีดูไม่สมกับการท่ีเปลี่ยนแปลงของ
บา้ นเมอื ง ไม่เปน็ เกียรติยศยืดยาวไปไดเ้ ท่าใด ไมเ่ ป็นประโยชน์แก่คนท้ังปวง กลับเป็น
ความเดือดรอ้ น ถ้าเปน็ การศพทา่ นผ้มู ีพระคุณ หรอื ผมู้ ีบรรดาศกั ดใิ์ หญ่ อันควรจะได้มี
เกียรติยศ ฉันกไ็ ม่อาจจะลดทอน ด้วยเกรงวา่ คนจะไมเ่ ขา้ ใจวา่ เพราะผู้น้นั ประพฤติไม่

ดีอย่างหนึ่งอย่างใด จึงไม่ทาการศพให้สมเกียรติยศซึ่งควรจะได้ แต่เมื่อตัวฉันเองแล้ว
เห็นวา่ ไมม่ ขี ้อขัดขอ้ งอันใด เปน็ ถ้อยคาทีจ่ ะพดู ได้ถนดั จงึ ขอใหย้ กเลกิ งานพระเมรใุ หญ่
น้ันเสีย ปลูกแต่ท่ีเผาอันพอสมควร ณ ท้องสนามหลวง แล้วแต่จะเห็นสมควรกัน
ตอ่ ไป”
ทาไมถงึ มกี ารถวายพระเพลงิ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั 2
คร้งั

พธิ ถี วายพระเพลงิ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั
พิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งมหาราชวงศ์จักรี ณ ท้องสนามหลวง เมื่อ
วันที่ 16 มีนาคม 2453 และถวายพระเพลิงพระบรมศพจริงในเวลา 01.00 น.วนั ที่ 17
มีนาคม 2453 เรียกวา่ งานออกพระเมรุ
นนทพร อยู่ม่ังมี เคยยกพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัว (ร.6) ที่ทรงบันทึกเกี่ยวกับที่มาและความแพร่หลายของพิธีนี้มาเขียนไว้ใน

หนงั สอื “ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย” ตอนหนึ่งว่า“แท้จริงเปนความ
คิดของพวกเจ้าพนักงานเผาศพหลวงในตอนปลาย ๆ รัชกาลท่ี 5 เพื่อมิให้ผู้ท่ีไป
ช่วยงานเผาศพเดือดร้อนราคาญเพราะกล่ินแห่งการเผาศพ ในเวลาท่ีทาพิธี
พระราชทานเพลิงจ่ึงปิดก้นโกษฐ์หรือหีบไว้เสีย และคอยระวังถอนธูปเทียนออกเสีย
จากภายใต้เพื่อมิให้ไฟไหม้ขึ้นไปถึง ต่อตอนดึกเมื่อผู้คนที่ไปช่วยงานกลับกันหมดแล้ว
จง่ึ เปิดไฟและทาการเผาศพจรงิ ๆ ในเวลาที่เผาจรงิ ๆ เช่นวา่ นี้ มักมีพวกเจ้าภาพอยู่ที่
เมรุบ้าง จ่ึงเกิดนึกเอาผ้าทอดให้พระสดัปกรณบ้างตามศรัทธา ดังนี้จึ่งเกิดเปนธรรม
เนียมข้ึนว่า ผู้ท่ีมิใช่ญาติสนิธให้เผาในเวลาพระราชทานเพลิง ญาติสนิธเผาอีกคร้ัง 1
เม่ือเปิดเพลิง กรมนเรศร์เปนผู้ที่ทาให้ธรรมเนียมน้ีเฟ่ืองฟูข้ึน และเปนผู้ตั้งศัพท์ ‘เผา
พิธี’ และ ‘เผาจริง’ ข้ึน เลยเกิดถอื กนั วา่ ผู้ท่ีเปนญาติและมติ ร์จริงของผู้ตายถ้าไมไ่ ด้เผา
จริงเปนการเสียไป และการเผาศพจึ่งกลายเปนเผา 2 ครั้ง”ทั้งนี้ งานพระบรมศพ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี 5) เป็นงานระดับ
พระมหากษัตรยิ ์พระองค์แรกทีไ่ ดร้ บั การถวายพระเพลิงตามธรรมเนียมน้ี

กระบวนแหพ่ ระบรมอฐั พิ ระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว

ขน้ั ตอนท่ีห้า กระบวนน้ี พระบรมอฐั ิทรงพระทนี่ ง่ั ราเชนทรยาน แต่พระเมรุมาศ
มาประทับเกยหน้าพระท่ีนั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท พระอังคารทรงพระที่น่ัง
ราเชนทรยานน้อย องค์รองมาประทับเกยพลับพลาเปล้ืองเคร่ืองหลังวัดพระศรีรัตน
ศาสดาราม มีกระบวนพระอิสริยยศเตม็ ทอ่ี ยา่ งกระบวนท่ี 1 แตไ่ ม่มีนาลวิ ันและพระยา
ม้าต้น เสด็จพระราชดาเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ตามในกระบวนนี้ แล้วพระ
บรมอฐั ิทรงพระราชยานผกู 4 แต่เกยหลังพระทน่ี ่ังอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ไปประทับ
ทห่ี นา้ อฒั จนั ทรพ์ ระที่น่งั ดสุ ิตมหาปราสาทดา้ นตะวนั ออกมขุ เหนอื พระองั คารทรงพระ
ราชยานผูก 4 แต่เกยหลังวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าไป ณ พุทธปรางค์ปราสาท
(ปราสาทพระเทพบดิ ร)

ขั้นตอนทหี่ ก เชิญพระบรมอฐั ิแตพ่ ระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาททางเกยพระที่นงั่
อาภรณพ์ ิโมกข์ปราสาทไปตามหนา้ หอ้ งกรมพระอาลกั ษณ์ ไปประทบั เกยตรงอฒั จันทร์
พระทน่ี ง่ั จกั รมี หาปราสาททางตะวนั ออก เชญิ พระบรมอฐั ขิ น้ึ ประดษิ ฐานที่พระท่ีนง่ั
จกั รมี หาปราสาทนน้ั

ขั้นตอนทเ่ี จด็ เชญิ พระองั คารแตว่ ดั พระศรรี ตั นศาสดารามออกประตวู เิ ศษไชยศรี
เลยี้ วถนนหนา้ พระลาน ถนนราชดาเนนิ ใน ถนนราชดาเนนิ กลาง ถนนราชดาเนินนอก
ถนนเบญมาศ ถนนดวงตะวนั (ถนนศรอี ยธุ ยา) ถงึ หนา้ วดั เบญจมบพติ ร เชญิ พระ
องั คารบรรจฐุ านพระพทุ ธชนิ ราชในพระอุโบสถ

“ถา้ ความเปนเอกราชของกรงุ สยามไดส้ ดุ สน้ิ ไปเมอื่ ใด ชวี ติ ฉนั กค็ งจะสดุ ส้นิ ไปเมอ่ื นน้ั ”
พระราชหตั ถเลขาในหลวงรชั กาลที่ 5

...............................................................................................................

ธ ยอมสญู เสยี สน้ิ แมศ้ กั ดศิ์ รี
ธ ยอมพลี ผนื ภพ จบหมน่ื แสน
ธ ยอมสน้ิ แทบทกุ ถน่ิ ซ่งึ ดนิ แดน
ธ หวงแหน เอกราชไว้ ให้พวกเรา

ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ มขอเดชะ
ขา้ พระพทุ ธเจา้ นายประสาร ธาราพรรค์ รอ้ ยกรอง

...................................................................

แหลง่ ขอ้ มลู อา้ งองิ

จดหมายเหตคุ วามทรงจา กรมหลวงนรนิ ทรเทว.ี พรนคร: องคก์ ารค้าครุ สุ ภา,2516.
จิรวัฒน์ อตุ ตมะกลุ , สมเดจ็ พระภรรยาเจา้ และสมเดจ็ เจา้ ฟา้ ในรชั กาลท่ี 5,
สานกั พมิ พ์มตชิ น, 2546 ,

ทพิ ยากรณ.์ เจา้ พระยา.พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์.พระนคร: หอสมดุ แหง่ ชาติ
,2506.

พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา, กรงุ เทพฯ : สานกั วรรณกรรมและ
ประวตั ศิ าสตร์ กรมศลิ ปากร, 2548.

พระราชพิธสี มโภชกรงุ รตั น์โกสนิ ทรค์ รบ 200 ปี และพระราชพิธสี มโภชหลกั เมอื ง,
สานกั งานสง่ เสริมสรา้ ง เอกลกั ษณข์ องชาต,ิ 2554.

พลาดศิ ยั สทิ ธธิ ญั กจิ .พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาจฬุ าลงกรณ์ พระจุลจอมเกลา้
เจา้ อย่หู วั .MBA. กรงุ เทพมหานคร.2536

ราชกจิ จานุเบกษา, ขา่ วสวรรคต พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , เล่ม 27,
2453.

วุฒชิ ยั มลู ศลิ ป์ และคณะ, พระมหากษตั รยิ แ์ หง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์, อลั ฟา่ มเิ ลน็ เนยี ม
เสท้ือน ศภุ โศภณ. ประวตั ิศาสตรไ์ ทย ฉบบั พฒั นาการ. พระนคร: อกั ษรเจรญิ ทศั น์

,2506.
วิกพิ เิ ดยี สารานกุ รมเสรี
www.google.com
www.moe.go.th
www.rimkhobfabooks.com
www.rungnapa-astro.com
www.thailaws.com
www.tungsong.com
https://www.baanjomyut.com

https://www.cdti.ac.th
https://www.facebook.com
https://www.newtv.co.th
ttps://www.rabbittoday.com
http://www.rungnapa-astro.com
https://www.sac.or.th
https://www.sanook.com
http://www.siamlottery.com
https://www.silpa-mag.com
https://www.thairath.co.th
https://www.tnews.co.th
https://www.youtube.co
https://kingchulalongkorn.car.chula.ac.th
https://sites.google.com
https://teen.mthai.com
https://scoop.mthai.com
https://th.wikipedia.org
https://goodlifeupdate.com

ขอขอบคณุ เนื้อหาและภาพจากเวบ็ ไซตต์ า่ งๆ

...............................................................


Click to View FlipBook Version