วินิจฉัยและทางานให้สาเร็จ และรัฐมนตรีสภา หรือ "ลูกขุน ณ ศาลาหลวง" ขึ้นเพ่ือ
ปรึกษาราชการแผ่นดินท่ีเกี่ยวกับกฎหมาย นอกจากน้ียังทรงจัดให้มี "การชุมนุม
เสนาบดี" อันเป็นการประชุมปรกึ ษาราชการทมี่ ขุ กระสนั พระทนี่ ั่งดุสิตมหาปราสาท
พระเจา้ นอ้ งยาเธอ กรมหมน่ื พทิ ยลาภพฤฒิธาดา
รัฐมนตรีสภาเปิดประชุมครั้งแรกเพื่อทาพิธีถือน้าพิพัฒน์สัตยาในวันท่ี 24
มกราคม พ.ศ. 2438 สมาชิกชุดแรกประกอบด้วยเจ้านายและขุนนางรวม 42
พระองค์/คน มีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหม่ืนพิทยลาภพฤฒิธาดา (พระยศขณะนั้น)
เปน็ สภานายก และพระยาเทเวศรวงษ์วิวัฒน์(ม.ร.ว.หลาน กุญชร) เป็นอุปนายกต่อมา
มกี ารแต่งตัง้ เพิ่มเติมข้ึนอกี โดยตลอดจนถึง พ.ศ. 2440 สภาน้ีไดพ้ ิจารณากฎหมายไป
ท้ังส้ิน 12 ฉบับ แต่นับจาก พ.ศ. 2441 การประชุมก็เริ่มขาดไป พระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัวจึงทรงให้มกี ารพิจารณาว่าจะเลิกสภาน้ีหรอื ไม่ นาไปสู่การแก้ไข
ระเบียบการประชุมใหม่ให้สอดคล้องกับภาระของบรรดารัฐมนตรีท่ีต้องทาการใน
หน้าที่อ่ืนๆ พร้อมกันไปด้วย ภายหลังงานพิจารณากฎหมายได้ถูกโอนไปขึ้นกับท่ี
ประชมุ เสนาบดี งานของรัฐมนตรสี ภาจงึ สิน้ สุดลง เทา่ กบั ถกู ยกเลกิ ไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีสภาที่ตั้งข้ึนมาคงอยู่ในพระราชดาริท่ีจะให้เป็นสถาบันที่มี
ความต่อเน่อื งมากกว่าจะเปน็ สถาบันชวั่ คราว ดงั ปรากฏว่าใน “ร่างพระราชกฤษฎีกาที่
1 ว่าด้วยราชประเพณกี รุงสยาม” กาหนดให้สภาน้เี ปน็ หนง่ึ ในราชูปสดมภ์หรือเสาหลกั
ค้าจุนกษตั รยิ ์และใหท้ าหน้าท่รี ว่ มกับสภาอ่ืนๆ
กระทรวงกลาโหม
เดิมเสนาบดีมีฐานะต่าง ๆ กัน แบ่งเป็น 3 คือ เสนาบดีมหาดไทยกับกลาโหมมี
ฐานะเป็นอัครมหาเสนาบดี เสนาบดีนครบาล พระคลังและเกษตราธิการ มีฐานะเป็น
จตุสดมภ์ เสนาบดีการต่างประเทศ ยุติธรรม ธรรมการและโยธาธิการ เรียกกันว่า
เสนาบดีตาแหน่งใหม่ ครั้นเมื่อมีประกาศ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 จึงเรียก
เสนาบดเี หมือนกนั หมด ไมเ่ รียกอคั รเสนาบดีและจตุสดมภอ์ ีกต่อไป
. กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงซึ่งมอี ย่ใู นตอนแรก ๆ เรม่ิ นั้นมเี พยี ง 6 กระทรวง คอื
1. กระทรวงมหาดไทย มหี น้าทป่ี กครองหวั เมอื งฝา่ ยเหนือ
2. กระทรวงกลาโหม มีหน้าท่ีปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ และการทหารบก
ทหารเรอื
3. กระทรวงนครบาล มีหน้าท่ีบังคับบัญชาการรักษาพระนคร คือปกครอง
มณฑลกรุงเทพ ฯ
4. กระทรวงวงั มีหน้าทบ่ี ังคับบญั ชาการในพระบรมมหาราชวัง
5. กระทรวงการคลัง มีหน้าที่จัดการอันเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และการ
พระคลงั
6. กระทรวงเกษตราธกิ าร มหี นา้ ที่จัดการไร่นา
เพ่ือให้เหมาะสมกับสมัย จึงได้เปลี่ยนแปลงหน้าท่ีของกระทรวงบางกระทรวง
และเพม่ิ อีก 4 กระทรวง รวมเปน็ 10 กระทรวง คอื
1. กระทรวงการต่างประเทศ แบ่งหน้าที่มาจากกระทรวงการคลงั เก่า มีหนา้ ทต่ี ้งั
ราชทูตไปประจาสานักต่างประเทศ เน่ืองจากเวลานั้นชาวยุโรปได้ตั้งกงสุลเข้ามา
ประจาอยู่ในกรุงเทพ ฯ บ้างแล้ว สมเด็จกรม พระยาเทววงศ์วโรปการ เป็น
เสนาบดีกระทรวงน้ีเป็นพระองค์แรก และใช้พระราชวังสราญรมย์เป็นสานักงาน เริ่ม
ระเบียบร่างเขียนและเก็บจดหมายราชการ ตลอดจนมีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยมา
ทางานตามเวลา ซ่งึ นบั เป็นแบบแผนใหก้ ระทรวงอ่ืน ๆ ทาตามตอ่ มา
2. กระทรวงยุติธรรมแต่ก่อนการพิจารณาพิพากษาคดีไม่ได้รวมอยู่ในกรม
เดียวกัน และไม่ได้รับคาส่ังจากผู้บังคับบัญชาคนเดียวกัน เป็นเหตุให้วิธีพิจารณา
พิพากษาไม่เหมือนกัน ต่างกระทรวงต่างตัดสิน จึง โปรด ฯ ให้รวมผู้พิพากษา ตั้ง
เป็นกระทรวงยตุ ธิ รรมขึน้
3. กระทรวงโยธาธิการรวบรวมการโยธาจากกระทรวงต่าง ๆ มาไว้ที่เดียวกัน
และให้กรมไปรษณยี โ์ ทรเลข และกรมรถไฟรวมอยูใ่ นกระทรวงนี้ด้วย
4. กระทรวงธรรมการแยกกรมธรรมการและสังฆการีจากกระทรวงมหาดไทย
เอามารวมกับกรมศึกษาธิการ ต้ังข้ึนเป็นกระทรวงธรรมการมีหน้าท่ีตั้งโรงเรียนฝึกหัด
อาจารย์ฝึกหดั บคุ คลให้เปน็ ครู สอนวชิ าตามวธิ ขี องชาวยุโรป เรียบเรยี งตาราเรยี น และ
ตั้งโรงเรียนขน้ึ ทัว่ ราชอาณาจักร
กระทรวงยตุ ธิ รรม
ด้วยความพอพระทัยในผลการดาเนินงานของกรมทั้งสิบสองที่ได้ทรงตั้งไว้เมื่อ
พ.ศ. 2431 แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงประกาศต้ัง
กระทรวงข้ึนอยา่ งเปน็ ทางการจานวน 12 กระทรวง เมื่อวันท่ี 1 เมษายน พ.ศ. 2435
อนั ประกอบดว้ ย
1. กระทรวงมหาดไทย รับผดิ ชอบงานทเี่ ดิมเปน็ ของสมุหนายก ดแู ลกจิ การพล
เรอื นทง้ั หมดและบงั คบั บัญชาหวั เมอื งฝา่ ยเหนอื และชายทะเลตะวันออก
2. กระทรวงนครบาล รบั ผดิ ชอบกิจการในพระนคร
3. กระทรวงโยธาธกิ าร รบั ผดิ ชอบการกอ่ สรา้ ง
4. กระทรวงธรรมการ ดแู ลการศาสนาและการศกึ ษา
5. กระทรวงเกษตรพานชิ การ รบั ผดิ ชอบงานทีใ่ นปัจจุบนั เปน็ ของกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์และกระทรวงพาณชิ ย์
6. กระทรวงยตุ ธิ รรม ดแู ลเรอื่ งตลุ าการ
7. กระทรวงมรธุ าธร ดแู ลเครอ่ื งราชูปโภคของพระมหากษตั รยิ ์
8. กระทรวงยทุ ธนาธกิ าร รับผดิ ชอบปฏบิ ตั กิ ารการทหารสมยั ใหมต่ ามแบบยุโรป
9. กระทรวงพระคลงั สมบัติ รบั ผดิ ชอบงานท่ใี นปจั จบุ นั เปน็ ของกระทรวงการคลงั
10. กระทรวงการตา่ งประเทศ (กรมทา่ ) รับผดิ ชอบการตา่ งประเทศ
11. กระทรวงกลาโหม รับผดิ ชอบกจิ การทหาร และบงั คับบัญชาหัวเมืองฝา่ ยใต้
12. กระทรวงวงั รับผดิ ชอบกจิ การพระมหากษตั รยิ ์
การเสยี ดนิ แดนของไทยในสมยั รตั นโกสนิ ทร์
การเสยี ดนิ แดนใหก้ ับชาตติ ะวนั ตก
การคุกคามของนักล่าอาณานิคมตะวันตก เริ่มต้นข้ึนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่มาในรูปของการติดต่อค้าขาย การเผยแผ่ศาสนา การ
คุกคามเริ่มชัดเจนจริงจังและรุนแรงขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ ัว โดยเฉพาะเมือ่ สองประเทศมหาอานาจ คือ อังกฤษและฝรั่งเศสเข้ายึดครอง
ประเทศเพ่ือนบ้าน คืออังกฤษยึดได้พม่ามลายู ฝรั่งเศสยึดได้ญวนและกาลังขยาย
ขอบเขตมาสู่เขมรและลาว ซ่ึงเป็นประเทศราชของสยาม ฝร่ังเศสมีทีท่าคุกคามสยาม
อยา่ งหนักและเปิดเผยเพื่อจะไดค้ รอบครองเขมรและลาว โดยไม่ฟังเหตุผลหรือข้ออ้าง
ใดๆ มงุ่ แต่จะใชเ้ ล่ห์กลและอานาจเขา้ ยึดครอง
ไทยเสียดินแดนให้กบั ฝร่ังเศส
เสียดินแดนคร้ังแรก ใน พ.ศ. 2410 ไทยต้องเสียเขมรส่วนนอก เพราะหลังจาก
ฝร่ังเศสยึดดินแดนบางส่วนของญวนได้ก็ใช้ดินแดนนี้เป็นที่มั่นขยายอิทธิพลเข้าไปใน
เขมร ซ่ึงขณะนน้ั เป็นประเทศราชของไทย โดยอ้างว่าตนเป็นผู้สืบสิทธิญวนเหนือเขมร
เพราะฝร่ังเศสอ้างว่าเขมรเคยเป็นประเทศราชของญวนมาก่อน เม่ือฝร่ังเศสได้ญวน
ฝรั่งเศสจึงตอ้ งมสี ิทธิปกครองเขมรดว้ ย
เสยี ดนิ แดนครัง้ ที่ 2 ใน พ.ศ. 2431 ตอ้ งทรงยอมเสียแควน้ สิบสองจุไทให้ฝรั่งเศส
เพราะเมื่อฝร่ังเศสยึดญวนได้หมด ญวนอ้างว่าดินแดนแคว้นสิบสองจุไทและหัวพันห้า
ท้ังหกเคยเป็นของตนมาก่อน ฝร่ังเศสจึงถือเป็นข้ออ้างเข้ายึดแคว้นสิบสองจุไท ทั้งท่ี
ขณะนั้นแคว้นสิบสองจุไทเป็นหัวเมืองของลาว และลาวก็เป็นประเทศราชของไทย
ฝร่ังเศสก็ไม่ให้ความสนใจ ไทยจึงต้องเสียแคว้นสิบสองจุไท หัวพันห้าท้ังหก เมือง
พวน แคว้นหลวงพระบาง แคว้นเวยี งจันทน์ คาม่วน และแควน้ จาปาศกั ดฝ์ิ ง่ั ตะวนั ออก
(หัวเมืองลาวท้ังหมด) โดยยึดเอาดนิ แดนสิบสองจไุ ทย และได้อ้างว่าดินแดนหลวงพระ
บาง เวยี งจนั ทน์ และนครจาปาศกั ดิ์เคยเปน็ ประเทศราชของญวนและเขมรมาก่อน จึง
บีบบงั คบั เอาดินแดนเพิ่มอีก เน้ือทีป่ ระมาณ 321,000 ตารางกโิ ลเมตร
ตอ่ มาฝรัง่ เศสพยายามเกล้ียกลอ่ มและผูกมติ รกบั ชาวลาวทุกชน้ั ดว้ ยกลวิธตี า่ งๆ ใหช้ าว
ลาวยอมรบั อานาจการปกครองของฝร่ังเศส และเม่ือสยามพยายามท่ีจะปกป้องอาณา
เขตของตน ฝร่งั เศสก็กล่าวหาว่าการกระทาของสยาม เป็นการเตรียมที่จะทาสงคราม
กับฝร่ังเศส การคกุ คามของฝรั่งเศสเริ่มรุนแรงข้ึน ยง่ิ เม่อื ฝร่งั เศสคาดวา่ ลาวเต็มใจที่จะ
อยู่ในปกครองของตน ฝรั่งเศสก็ย่ิงคุกคามสยามหนักข้ึน แม้สยามจะเสนอให้มีการ
เจรจาเรื่องเขตแดนให้ชัดเจนเรียบร้อยก่อน แต่ฝรั่งเศสก็หลีกเล่ียงบ่ายเบี่ยงมาโดย
ตลอด
ความสัมพันธ์ระหว่างสยามกับฝร่ังเศสจึงอยู่ในภาวะตึงเครียด มีการปะทะกัน
ประปรายตามลาน้าโขง และยิ่งตึงเครียดข้ึนเมื่อฝรั่งเศสส่งกาลังทหารญวนและเขมร
คืบคลานเข้ายึดดินแดนฝ่ังซ้ายของแม่น้าโขง ซึ่งก็คือหัวเมืองลาวท้ังหมด สยาม
พยายามต่อสูก้ บั ฝรัง่ เศสด้วยวิธีสันติ เช่น ขอให้มีการเจรจาปักปันเขตแดนซ่ึงขณะน้ัน
ยงั ไมเ่ รียบร้อยตามมาตรฐานของอารยประเทศ เป็นการใช้วิธีทางการทูตนาการทหาร
ซง่ึ เป็นวิถีทางของประเทศท่เี ปน็ อารยะ แตฝ่ รั่งเศสก็ไมย่ อม คงบา่ ยเบ่ียงไม่ยอมเจรจา
ดว้ ย และส่งทหารญวนเขมรเข้ายดึ หัวเมอื งลาว
เรอื ปนื โกแมตของฝรงั่ เศส
เสยี ดินแดนครง้ั ที่ 3 ใน พ.ศ. 2436 ฝร่งั เศสยกกองทหารจากพนมเปญข้ึนมาทาง
แม่น้าโขงแล้วรุกเข้ามา ในเขตฝ่ังซ้ายของแม่น้า ปักธงชาติฝร่ังเศสขึ้น ท่ีทุ่งเชียงคา
เมืองคาม่วนคนไทยชักธงลงมาฉีกท้งิ เสีย ฝรง่ั เศสจับตวั พระยอดเมอื งขวางเจ้าเมืองคา
ม่วน และในขณะท่ีกองทพั สยามยกไปช่วยพระยอดเมืองขวาง ปรากฏว่า นาย โกรสกู
แรง (Grosgurin) นายทหารฝรงั่ เศสเกดิ เสียชีวติ ลง ฝรั่งเศสกล่าวหาว่านายโกรสกูแรง
ถกู ฆาตกรรมและเรียกรอ้ งให้ไทยลงโทษพระยอดเมืองขวางทั้งทูตฝรั่งเศสย่ืนบันทึกถึง
รัฐบาลไทยว่า เม่ือเกิดเร่ืองเช่นนี้ขึ้น ทาให้เหตุการณ์ทวีความตึงเครียดและคับขันขึ้น
ในขณะเดียวกันทั้งกระทรวงอาณานิคม ส่ือสารมวลชน และวงการศาสนาต่าง
สนบั สนุนรัฐบาลฝรงั่ เศสใหใ้ ช้มาตรการรุนแรงกับไทย
ปอ้ มพระจลุ จอมเกลา้
13 กรกฎาคม พ.ศ. 2463 ฝรง่ั เศสสง่ เรอื รบ 2 ลา พร้อมเรือนาร่อง ซ่ึงเรือธง 2
ลาช่ือเรือปืนแองกองสตอง (Inconstant) และเรือโกแมต (Comete) ทางป้อมพระ
จลุ จอมเกล้าได้ยิงเตอื นสง่ สัญญาณถาม เรอื รบฝรัง่ เศสไมต่ อบ และเรอื รบฝรงั่ เศสกม็ ไิ ด้
หยุดย้ัง เวลาน้ันพระยาชลยุทธโยธิน (อังเดร ดู เปลซิส เดอ ริเชอลิเออ Andre du
Plesis de Ri- chelieu ชาวเดนมาร์ก) เป็นผู้บญั ชาการทหารเรือไทยอยู่ทนี่ ่ันดว้ ย ทาง
ปอ้ มจึงยิงปืนยับย้ัง เกดิ การยิงโต้ตอบกันขนึ้ เรือนาร่องฝร่ังเศสถูกปืนเกยตื้น และเรือ
รบฝร่ังเศสยิงถูกเรือ "มกุฎราชกุมาร" ของไทยเสียหาย คร้ังน้ัน มีทหารบาดเจ็บ และ
เสียชีวิต นาย ออกุสต์ ปาวี ยื่นคาขาดต่อรัฐบาลหลายข้อให้ตอบภายใน 48 ชั่วโมง
รฐั บาลไทยโดยสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เสนาบดีกระทรวงตา่ งประเทศ เปน็
ผแู้ ทนตอบไปวา่ ขอ้ อน่ื ๆ เช่น ใหไ้ ทยชดใชค้ า่ เสียหายนั้น ไทยตกลง แต่ข้อท่ีว่า ให้ยก
ดินแดนฝ่ังซ้ายแม่น้าโขงให้แก่ฝรั่งเศสนั้น ฝร่ังเศสไม่มีหลักฐาน หรืออานาจอันชอบ
ธรรมอนั ใด ปาวถี ือว่า ไทยปฏิเสธจงึ นัง่ เรอื รบออกปากน้าไป แล้วประกาศปิดอ่าวไทย
ต้ังแต่วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2436 การปิดอ่าว ทาให้กระทบกระเทือนถึงเรือชาติ
อน่ื ๆ ด้วย และอังกฤษก็สงวนท่าที ไมแ่ สดงวา่ จะชว่ ยเหลอื ไทยอย่างใด ไทยเกรงชาติ
อ่ืนจะเข้าแทรกแซงจึงต้องยอมฝร่ังเศส ฝรั่งเศสเลิกปิดอ่าววันท่ี 3 สิงหาคม พ.ศ.
2436 และตกลงทาสัญญากัน เม่ือวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2436 โดย ให้ไทยเพิกถอน
สิทธิเหนือดินแดนฝ่ังซ้ายของแม่น้าโขงทั้งหมด ให้จัดการลงโทษเจ้าหน้าท่ีที่ยิงเรือปืน
ฝร่ังเศส พรอ้ มกับชดใชค้ า่ เสียหายให้ฝร่ังเศสเป็นเงิน 2 ล้าน ฟรังก์ และยังมีข้อกาชับ
ทิ้งท้ายว่า “—ถ้าถูกโจมตี จะทาลายกองทัพเรือไทย ตลอดจนป้อมปราการ—” ไทย
เสยี ดินแดนใหฝ้ รัง่ เศสคร้งั นี้ ประมาณ 140,000 ตารางกิโลเมตร ทั้งได้กาหนดให้ไทย
ตอ้ งถอนทพั จากฝ่งั แม่น้าโขงออกใหห้ มดและไมส่ รา้ งสถานทส่ี าหรบั การทหาร ในระยะ
25 กิโลเมตร และยึดเอาจังหวัดจันทบุรีกับจังหวัดตราดไว้ เพื่อบังคับให้ไทยทาตาม
และะฝรั่งเศสได้ยึดเอาจันทบุรีกับตราด ไว้ต่ออีก นานถึง 11 ปี (พ.ศ. 2436- พ.ศ.
2447)
อาคารกองรกั ษาการณ์ทหารฝรงั่ เศส อาคารกองบัญชาการทหารฝร่ังเศส
คกุ ขีไ้ ก่ ตกึ แดง
เหตุท่ีฝรั่งเศสต้องการยึดเมืองจันทบุรีเพราะ ในมุมมองของฝร่ังเศสมองเห็นถึง
ความสาคัญของเมอื งจนั ทบรุ ี ในทางการเมืองจันทบุรีเป็นเสมือนเมืองหน้าด่านในการ
ติดต่อกับดินแดนเขมรซ่ึงเป็นดินแดนท่ีฝร่ังเศสหวังที่จะเข้าไปครอบครอง เป็นที่ท่ี
เหมาะสมในการตั้งม่ันกาลังพล มีพืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์เพียงพอที่จะเล้ียง
กองทหาร อีกทั้งฝรั่งเศสได้สร้างป้อมปราการและสิ่งก่อสร้างในรูปแบบของศูนย์
บัญชาการไว้เรียบร้อยแล้ว อีกท้ังจันทบุรียังเป็นเส้นทางกึ่งกลางระหว่างกรุงเทพกับ
ไซง่ ่อน หากฝรงั่ เศสคาดหวงั จะเข้ายดึ ครองดินแดนอินโดจีนการยึดเมืองจันทบุรีได้น้ัน
จะช่วยทาให้การควบคุมเมืองต่างๆ หรือการปกครองของฝรั่งเศสในอินโดจีนทาได้
สะดวกมากขึน้ ท่ีจนั ทบุรียงั มสี ิง่ กอ่ สร้างเหลอื คงอยู่ทีฝ่ ร่ังเศสสร้างไว้ อาทิ อาคารกอง
รกั ษาการณท์ หารฝร่ังเศส อาคารกองบญั ชาการทหารฝรง่ั เศส คุกขี้ไก่ตกึ แดง
พระองคเ์ จา้ จริ ประวตั วิ รเดช
กา ร เ สีย ดิน แด น ค ร้ัง นี้นับเ ป็น ค ว า ม ทุกข์โ ท ม นัส อ ย่ า ง ใ ห ญ่ห ล วง ใ น พ ร ะ อ ง ค์
ดินแดนในครอบครองที่ทรงต้องยอมเสียให้แก่ชาติตะวันตก ดังข้อความในพระ
ราชหัตถเลขาที่วา่ “—เป็นการจาเปน็ ทเี่ ราต้องละวางเขตรแดน อันเราได้ปกปักรักษา
มาแล้วช้านานนับด้วยร้อยปีเสียเป็นอันมาก โดยผู้ที่ต้องการไม่มีข้อใดจะยกข้ึนกล่าว
ทวงถามเอาโดยดี นอกจากใช้อานาจได้—” ท่ีทรงมีถึงพระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช
กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช พระราชโอรสซึ่งทรงกาลังศึกษาวิชาการทหารบกอยู่ ณ
ประเทศเดนมาร์ก เป็นพระราชปรารภถึงความทุกข์ในพระราชหฤทัยท่ีเกิดจากการ
คุกคามของฝร่งั เศส ซึง่ เป็นชาตมิ หาอานาจนักลา่ อาณานคิ มตะวนั ตก ซงึ่ มวี ตั ถปุ ระสงค์
สาคัญ คือการล่าเมืองขึ้น และเวลาน้ันประเทศเพ่ือนบ้านมี ลาว เขมร ได้ตกเป็น
เมืองขึ้นของฝร่ังเศสแล้ว แต่ฝร่ังเศสก็ยังไม่ยอมหยุดย้ังเพียงน้ันยังคงคุกคามท่ีจะเข้า
ครอบครองสยาม จนทาให้ตอ้ งยอมเสียดนิ แดนท่ีเคยเป็นของสยามไปจานวนหนึ่ง
เสียดินแดนคร้ังที่ 4 พ.ศ.2446 จากวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ทาให้ฝรั่งเศสยึด
ดินแดนจันทบุรี ซ่ึงนับว่าเป็นเมืองยุทธศาสตร์เมืองหนึ่งของไทย ไว้เป็นประกันถึง 10
ปี ตามพิธีสารฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2447 ทหารฝร่ังเศสจึงได้ถอนทหารออกไป
จากจันทบุรี จันทบุรีจึงกลับมาเป็นของไทยอีกคร้ังหน่ึงแต่น้ันมาไทยจึงหาทาง
แลกเปล่ียนโดยยอมยกเมืองมโนไพรและจาปาศักดิ์ ซ่ึงอยู่ตรงขา้ มกบั เมืองปากเซ และ
ดินแดนฝง่ั ขวาของแมน่ า้ โขง ตรงข้ามกบั เมอื งหลวงพระบางให้ใน พ.ศ. 2448 ฝรั่งเศส
จึงยอมถอนทหารออกจันทบรุ ี แต่กลับไปยึดเมอื งตราดไวแ้ ทน
เสียดินแดนครั้งท่ี 5 พ.ศ.2449 ไทยยอมทาสัญญายกมณฑลบูรพา ซ่ึง
ประกอบด้วยเมือง พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ (เขมรส่วนใน) ให้แก่ฝร่ังเศส เพ่ือ
แลกเปลี่ยนกับจังหวัดตราดและเกาะต่างๆ ที่อยู่ใต้แหลมสิงห์ ลงไปจนถึงเกาะกูดที่
ฝร่ังเศสยึดไว้ ไทยเสียเนื้อที่ประมาณ 66,555 ตารางกิโลเมตร ส่ิงสาคัญที่ไทยได้รับ
จากการลงนามในสัญญาน้ี เม่ือวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 คือ ฝรั่งเศสย่อมผ่อนผัน
ให้คนในบังคับฝร่ังเศสที่เป็นชาวเอเชีย ซ่ึงมาจดทะเบียนภายหลังวันลงนามในสัญญา
ให้ขนึ้ อยู่ในอานาจของศาลไทย แต่ศาลกงสุลของฝร่ังเศสก็ยังคงมีอานาจที่จะเรียกคดี
จากศาลไทยไปพจิ ารณาใหม่ได้ จนกวา่ ไทยจะประกาศใชป้ ระมวลกฎหมายครบถ้วน
ไทยเสยี ดนิ แดนใหก้ บั องั กฤษ
เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้าสาละวิน (5 เมืองเง้ียว และ 13 เมืองกะเหร่ียง) ให้
องั กฤษ เมื่อ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2435 วนั ท่ี 6 เมษายน พ.ศ. 2440 รัฐบาลได้ลงนามใน
อนุสัญญาลับร่วมกับอังกฤษ โดยตกลงว่ารัฐบาลไทยจะไม่ยินยอมให้ชาติหน่ึงชาติใด
เช่าซื้อหรือถือกรรมสิทธ์ิในดินแดนไทย ตั้งแต่บริเวณใต้ตาบลบางสะพาน จังหวัด
ประจวบคีรีขันธ์ลงไป โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลอังกฤษเป็นลายลักษณ์
อกั ษร สว่ นอังกฤษตกลงใหค้ วามคุม้ ครองทางทหารแก่ไทยกรณที ีถ่ กู ชาติอน่ื รกุ ราน ผล
ของอนุสัญญาฉบับน้ี ทาให้อังกฤษมีอิทธิพลทางด้านการเมืองและการค้าในดินแดน
ไทย ต้ังแต่ตาบลบางสะพานไปจนตลอดแหลมมลายู เพียงชาติเดียว ทาให้ไทย
เสียเปรียบมาก และเม่ือไทยถูกฝร่ังเศสบังคับให้ยกดินแดนฝั่งขวาของแม่น้าโขงให้
ฝรง่ั เศส องั กฤษก็ไมไ่ ด้ใหค้ วามช่วยเหลอื แต่อย่างใด และอนุสญั ญานี้ยังเปน็ การละเมิด
สิทธิประเทศอื่นๆ ท่ีมีไมตรีกับไทยอีก ทาให้รัฐบาลต้องพยายามหาวิถีทางจะยกเลิก
เสียโดยเร็ว
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว เสดจ็ ประพาสยโุ รป
เม่ือพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสด็จกลับจากประพาสยุโรปคร้ัง
ท่ี 2 นายเอ็ดเวิร์ด สโตรเบล ซ่ึงเป็นท่ีปรึกษาราชาแผ่นดินชาวอเมริกาเสนอให้ไทย
แลกดินแดนมลายกู บั การยกเลิกสทิ ธสิ ภาพนอกอาณาเขต ของคนในประเทศองั กฤษใน
ประเทศไทย ขอกู้เงนิ สร้างทางรถไฟสายใต้ และยกเลกิ อนุสญั ญาลับปี พ.ศ.2440 การ
ดาเนินงานนี้ประสบผลสาเรจ็ มีการลงนามในสนธสิ ญั ญา วันท่ี 10 มีนาคม พ.ศ.2451
มีใจความสาคัญ ดังต่อไปน้ี “รัฐบาลไทยยอมยกดินแดนรัฐมลายู คือ ไทรบุรี กลันตัน
ตรังกานู ปะลิส รวมท้ังเกาะใกล้เคียงให้องั กฤษ ฝ่ายองั กฤษยอมใหค้ นในบงั คบั องั กฤษ
ทั้งยุโรปและเอเชีย ซึ่งได้จดทะเบียนไว้กับกงสุลก่อนทาสัญญาน้ี ให้ไปขึ้นกับศาล
ต่างประเทศ ส่วนคนในบังคับอังกฤษที่จดทะเบียนหลังทาสนธิสัญญาฉบับน้ีให้ไปข้ึน
ศาลไทย แต่ขอให้มีที่ปรึกษาทางกฎหมายเป็นชาวยุโรปเข้าร่วมพิจารณาด้วย แต่ศาล
กงสุลของอังกฤษก็ยังมีสิทธิจะถอนคดีของคนในบังคับอังกฤษไปพิจารณาได้ ”และ
สนธสิ ัญญานีม้ ีผลกระท่งั ไทยประกาศใช้ประมวลกฎหมายใหค้ รบถว้ นเป็นเวลา 5 ปี ใน
สัญญานี้ให้ยกเลิกอนุสัญญาลับ พ.ศ.2440 ด้วย และการสร้างรถไฟสายใต้ รัฐบาล
อังกฤษจะให้รัฐบาลไทยกู้เงิน 5 ล้านปอนด์ ทองคาอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี มีเวลา
ชาระหนี้ 40 ปีแต่ต้องให้ชาวอังกฤษเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทางรถไฟสายน้ีเอง
เพราะองั กฤษต้องการใหบ้ รรจบกบั ทางรถไฟในมลายขู ององั กฤษ
เจา้ พระยาอภยั ราชา (โรลงั ยคั มินส)์
ท่ีปรกึ ษาชาวเบลเยยี่ ม
ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชาวต่างประเทศเข้ามา
ช่วยปรับปรุงบ้านเมือง และงานแขนงต่างๆ ให้เจริญข้ึน ตามแบบประเทศตะวันตก
โดยที่ปรึกษาราชการชาวต่างประเทศท่ีเข้ามารับราชการในประเทศไทย สมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีจานวนมาก เช่น ปรากฏว่า ใน พ .ศ.
๒๔๕๐ มถี ึง ๒๔๗ คน ในจานวนนีม้ ชี าวอังกฤษมากท่ีสุด ชาตอิ ่ืนๆ กม็ ี เช่น เดนมาร์ก
อิตาเลียน ฝรั่งเศส อเมริกัน โปรตุเกส เยอรมัน ฮอลันดา รุสเซีย เบลเยียม นอรเว
สเปน ชาติเหล่านี้ทาหน้าท่ีต่างกันไปตามถนัด เช่น ชาวอังกฤษ ทาหน้าท่ีรับผิดชอบ
ด้านการคลัง การค้า ภาษี มหาดไทย เกษตรกรรม ชลประทาน การศึกษา การรถไฟ
ชาวเดนมาร์ก รับผิดชอบเก่ียวกับการทหารเรือและตารวจ ชาวอิตาเลียนมุ่งไปทาง
สถาปัตยกรรมวิศวกรรม ดูแลงานสานักพระราชวัง ชาวฝรั่งเศส ส่วนใหญ่เช่ียวชาญ
ทางกฎหมายงานในหน้าท่ีของที่ปรึกษาราชการชาวต่างประเทศแบ่งออกเป็นหลาย
ตาแหนง่ ได้ แก่ตาแหน่งทป่ี รกึ ษาราชการทว่ั ไป ท่ีปรึกษาประจากระทรวง ประจากรม
กองตา่ งๆ และข้าราชการประจา สาหรบั ทป่ี รึกษาราชการแผ่นดนิ นนั้ มอี านาจสทิ ธขิ์ าด
มาก ควบ คุมประสานงานและแนะนากิจการท่ัวๆ ไปทุกหน่วยงาน ส่วนที่ปรึกษา
ราชการอน่ื ๆ ส่วนใหญเ่ ป็นท่ีปรึกษาประจากระทรวง หรอื เป็นเจ้ากรม อธิบดีตามกรม
กองตา่ งๆ คอย ช่วยเหลือแนะนาหรอื บริหารกจิ การงานเมอื ง ทั้งสว่ นที่ปรบั ปรุง และที่
จัดตั้งข้ึนใหม่ ตามแบบแผนในเมืองยุโรป ซึ่งคนไทยยังไม่มีความรู้ความชานาญพอจะ
จดั การดว้ ยตนเองได้ พรอ้ มกนั นัน้ ก็ไดช้ ว่ ยฝกึ งาน ให้คนไทยไว้รับช่วงกิจการต่อไป ท่ี
ปรึกษาราชการชาวต่างประเทศท่ีทาคุณประโยชน์ให้แก่ไทยในด้านต่างๆ ใน รัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั มีอาทิ
เจา้ พระยาอภยั ราชา (โรลงั จคั แมง็ ส)์ (Rolyn Jacquemins) ชาวเบลเยยี ม เป็น
ที่ ปรกึ ษาราชการทวั่ ไป เชย่ี วชาญทางกฎหมายระหวา่ งประเทศ
นายเอด็ เวริ ด์ สโตรเบล (Edward Strobel) ชาวอเมรกิ นั ทปี่ รกึ ษาราชการ
ทวั่ ไป
พระยากลั ยาณไมตรี (เจนส์ ไอเวอรส์ นั เวสเตนการด์ ) (Jens Iverson
Westengard) ชาวอเมรกิ นั ทป่ี รกึ ษาราชการท่ัวไป
นายเฮนรี อาลาบาสเตอร์ (Henry Alabaster) ชาวองั กฤษ เปน็ ท่ีปรกึ ษา
กฎหมาย
พระยาชลยทุ ธโยธนิ (องั เดร ดู เปลซสิ เดอ รเิ ชอลิเออ) (André du plésis de
Richelieu) ชาวเดนมารก์ ไดช้ ว่ ยวางรากฐานกองทพั เรอื ไทย
พลตรพี ระยาวาสเุ ทพ (จี เชา) (G. Schau) ชาวเดนมารก์ ชว่ ยจดั ระเบยี บกรม
ตารวจ
ศาสนาจารย์ เอส จี แมคฟารแ์ ลนด์ (S.G. Mcfarland) ชาวอเมรกิ นั อาจารย์
ใหญโ่ รงเรยี นสอนภาษาองั กฤษ
พระราชกรณยี กจิ เสดจ็ ประพาสตา่ งประเทศ
รชั กาลท่ี 5 คณะผตู้ ามเสดจ็ เสดจ็ อนิ โดนเี ซยี
การเสด็จประพาสต่างประเทศครั้งแรก ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เ จ ้า อ ยู ่ห ัว ร ัช ก า ล ที ่ 5 เ ก ิด ขึ ้น ใ น ว ัน ที ่ 9 ม ีน า ค ม พ .ศ .2413 ถ ึง
วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2413 โดยเสด็จทางเรือพระที่นั่ง “พิทธยัมรณยุทธ” และ
ประเทศท่ีเสด็จเยือน หาใช่ยุโรปตามความเข้าใจของคนไทยอีกหลายคนไม่ แต่เป็น
เพื่อนบ้านอย่าง สิงคโปร์ บาตาเวีย หรือปัจจุบันคือกรุงจาการ์ตา และสมารัง เมือง
หลวงและเมืองท่าที่สาคัญตั้งอยู่ทางด้านเหนือเกาะชวากลาง นั่นเอง
การเสด็จต่างประเทศครั้งที่ 2 รัชกาลที่ 5 ทรงเร่ิมต้นการเดินทางในวันที่ 15
ธันวาคม พ.ศ. 2414 (ค.ศ. 1871) โดยกระบวนเรือได้เดินทางออกจากแม่น้า
เจ้าพระยา แวะที่สิงคโปร์ ปีนัง มะละแหม่ง และย่างกุ้ง ก่อนจะถึงท่าเรือกัลกัตตาใน
วนั ท่ี 13 มกราคม พ.ศ. 2415 (ค.ศ. 1872) โดยมีผู้ติดตามชาวอังกฤษ 2 คน คือ พัน
ตรี อี.บี. สเลเดน ซง่ึ เคยเป็นตัวแทนอังกฤษท่ีเมอื งมณั ฑะเลย์ และ โธมัส จอรช์ น็อกซ์
กงสลุ ใหญ่ของอังกฤษประจาสยาม โดยคนหลังทาหน้าท่ีเป็นล่ามถวายพระองค์ตลอด
การเดินทางดว้ ย
รชั กาลที่ 5 คณะผตู้ ามเสดจ็ เสดจ็ อนิ เดยี
เมืองต่างๆ ทที่ างอังกฤษจดั ใหเ้ สด็จพระราชดาเนิน เร่ิมจากทิศตะวันออกไล่ไปยัง
ทิศตะวันตกของประเทศ ประกอบด้วยกัลกัตตา บาร์รักปอร์ เดลี อักรา คอนปอร์
(หรือคานปูร์ในปัจจุบัน) ลัคเนาว์ จุบบุลปูร์ (หรือจาบัลเปอร์ในปัจจุบัน) บอมเบย์
(หรือมุมไบในปัจจุบัน) และพาราณสี ตามลาดับเพื่อดูแบบอย่างการปกครองท่ีชาว
ยุโรป นามาใชใ้ นเมอื งข้ึน เพือ่ นามาแก้ไขดัดแปลงใชใ้ นประเทศของเราบา้ ง และการก็
เป็นไปสมดังท่ีพระองค์ได้ทรงคาดการณ์ไว้ เพราะได้นาเอาวิธีการปกครองในดินแดน
น้นั ๆ มาใช้ปรับปรุงระเบยี บการบริหารอันเกา่ แก่ล้าสมยั ของเรา ซงึ่ ใชก้ ันมาตง้ั 400 ปี
เศษแลว้
เสด็จประพาสยโุ รปครงั้ แรก
เสดจ็ ประพาสยโุ รปครงั้ แรกทรงพบบสิ มารก์ ณ เมอื งฟรดี รชิ รหู ์
ในการเสด็จประพาสทวีปยุโรปคร้ังแรก เม่ือ พ.ศ.2440 ได้มีกระแสพระราช
ปรารภมีข้อความตอนหนึ่งว่า พระองค์ได้เสด็จไปนอกพระราชอาณาเขตหลายคร้ังคือ
เสด็จประพาสอินเดีย พม่ารามญั ชวาและแหลมมลายู หลายคร้ัง ได้ทรงเลือกสรรเอา
แบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงในประเทศให้เจริญข้ึน
แลว้ หลายอย่าง แม้เมืองเหล่านั้นเปน็ เพยี งแตเ่ มืองข้ึนของมหาประเทศในทวปี ยโุ รป ถา้
ได้เสด็จถึงมหาประเทศเหล่าน้ันเองประโยชน์ย่อมจะมีข้ึนอีกหลายเท่า ทั้งจะได้ทรง
วิสาสะคนุ้ เคยกบั พระมหากษตั รยิ ์ และรฐั บาลของประเทศน้อยใหญ่ใน ยโุ รปดว้ ย เป็น
ทางส่งเสรมิ ทางไมตรีใหด้ ีข้นึ กว่าแตก่ ่อน จงึ ได้ทรงกาหนดเสด็จพระราชดาเนินในวนั ท่ี
7 เมษายน ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) มกี าหนดเวลาประมาณ 9 เดือน
สมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชเทวี ผสู้ าเรจ็ ราชการแผน่ ดนิ
การเสด็จประพาสต่างประเทศ ในขณะท่ีเสวยราชสมบัติระยะไกลเป็นเวลา
เชน่ นัน้ นับเป็นครัง้ แรกจึงได้ทรงออกพระราชกาหนด ตัง้ ผสู้ าเรจ็ ราชการแผน่ ดนิ รกั ษา
พระนคร ซงึ่ ผู้สาเร็จราชการแผน่ ดนิ ครง้ั แรกน้ี ได้แกส่ มเด็จพระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี
พระบรมราชนิ นี าถ (ซงึ่ ต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเดจ็ พระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี)
ซึ่งครั้งน้ันทรงเป็นพระราชชนนีของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร
(พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6) กับทรงต้ังที่ปรึกษาล้วนแต่เป็นสมเด็จพระเจ้า
น้องยาเธอชั้นผู้ใหญ่ 4 พระองค์ คือพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระ
จักรพรรดิพงศ์ 1 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุ-รังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุ
พันธุวงศ์วรเดช 1 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ 1 พระเจ้าน้องยา
เธอ กรมหมื่นดารงราชานภุ าพ 1 กับมขี า้ ราชการชาวต่างประเทศ ซึง่ จา้ งมารับราชการ
ในประเทศไทยคร้ังนั้น คือ โรลังยัคมินส์ ชาวเบลเย่ียม ซึ่งได้บรรดาศักด์ิเป็น
เจ้าพระยาอภยั ราชา ร่วมด้วยอีก 1 ทา่ น
ในการเสด็จประพาสครั้งแรกนี้ เป็นไปเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง ได้เสด็จฯ
เพ่ือทาความเข้าใจร่วมกันกับชาติที่คุกคามไทย ดังการเจรจาโดยตรงกับผู้นาฝรั่งเศส
เพ่ือยุติปัญหาความขัดแย้งในกรณีวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ.2436) ซึ่งนามาสู่
ข้อตกลงในสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.122 (พ.ศ.2446) รวมทั้งเพื่อแสวงหาชาติ
พนั ธมิตร มาช่วยเสริมสรา้ งความมน่ั คงของประเทศไปในตวั ด้วย
รชั กาลที่ 5 เสดจ็ ประพาสยโุ รปครงั้ แรกใน ร.ศ. 116 หรอื พ.ศ. 2440 พระองค์
เสด็จออกจากประเทศไทย เมอ่ื วันที่ 7 เมษายน พทุ ธศกั ราช 2440 ถงึ วันท่ี 16
ธันวาคม พทุ ธศกั ราช 2440 ใชเ้ วลา ประมาณ 9 เดอื น ตง้ั แตเ่ ดอื น เมษายน - ตน้
เดอื นธนั วาคม ทรงเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั นานาประเทศกวา่ 10 ประเทศ ไดแ้ ก่ อติ าลี
ออสเตรยี สวติ เซอรแ์ ลนด์ ฝรง่ั เศส เบลเยย่ี ม ฮอลแลนด์ องั กฤษ เยอรมนี รสั เซีย
สวเี ดน เดนมารก์ สเปน และโปรตเุ กส ในการเสดจ็ ประพาสครง้ั น้นั ไดส้ องมหามติ รที่
สาคัญคอื รสั เซยี และเยอรมนี
การเสดจ็ ประพาสยโุ รปครงั้ แรกนนั้ ไดร้ ับผลทางการเมอื งเปน็ รูปธรรมบ้าง แตไ่ ม่
ชดั เจนทนั ทที ่ีจะขจดั ปญั หาการรกุ รานได้ แตป่ ระสบความสาเรจ็ อยา่ งยงิ่ ในดา้ น
นามธรรมหรอื ดา้ นจติ วทิ ยาทท่ี าใหย้ โุ รป ประจักษใ์ นความศวิ ไิ ลซข์ องพระมหากษตั รยิ ์
แหง่ สยามและชาวสยาม โดยราชสานกั ยโุ รปไดย้ กยอ่ งนบั ถอื พระบาทสมเดจ็ พระ
จลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ในฐานะพระมหากษตั รยิ แ์ หง่ เอเชยี ท่ี "เทา่ เทยี ม" ตา่ งจาก
กษตั รยิ จ์ ากเอเชยี หลายพระองคท์ เ่ี คยเสดจ็ เยอื นยุโรปกอ่ นหนา้ น้นั ซง่ึ ไปเยอื นโดยไม่
พยายามทาความเขา้ ใจในวธิ คี ดิ ของคนยโุ รป แตร่ ชั กาลท่ี 5 เสดจ็ ฯ ไปยงั ประเทศตา่ งๆ
อยา่ งอสิ ระ ไมพ่ ง่ึ พาใคร มเี รอื พระทน่ี งั่ (เรอื พระทน่ี ง่ั มหาจกั ร)ี ไปเอง หากรฐั บาลใด
ยนิ ดตี อ้ นรบั กจ็ ะตอบรบั นา้ ใจนัน้ เมอื่ เสดจ็ ฯ ไปทใ่ี ดกจ็ ะพระราชทานเงนิ ใหก้ บั คน
จน โดยจดุ แรกทที่ าใหท้ รงไดร้ บั การตอบรบั อยา่ งดจี ากเจา้ บา้ นคอื การทที่ รงปรากฏ
พระองคใ์ นลกั ษณะทไี่ มแ่ ปลกแยก ทรงฉลองพระองคแ์ บบยโุ รป และทรงตรสั
ภาษาองั กฤษไดอ้ ยา่ งคลอ่ งแคล่ว สงิ่ สาคญั ทท่ี าใหท้ รงไดร้ บั การยอมรบั วา่ เทา่ เทยี ม คอื
ทรงมพี ระราชจรยิ วตั รทอี่ อ่ นโยน นมุ่ นวล วางพระองคอ์ ยา่ ง สงา่ งาม รกั ษาพระ
เกยี รตยิ ศแหง่ พระมหากษตั รยิ แ์ หง่ สยาม รวมทงั้ ยงั ทรงปฏบิ ตั พิ ระองคแ์ ละโตต้ อบชาว
ยโุ รปไดอ้ ยา่ งเฉยี บคมและทนั เหตกุ ารณ์ ทรงมคี วามรอบรู้ในวฒั นธรรมยโุ รปอยา่ ง
กวา้ งขวาง ลกึ ซง้ึ เปน็ ทยี่ อมรับของพระราชสานกั ยโุ รปทกุ แหง่ ทาให้มผี ลทางการเมอื ง
และวฒั นธรรมอนั มี นยั สาคญั ตอ่ ความอยรู่ อดของสยามในระยะยาวตอ่ มา (ภายหลงั
จากการเสด็จประพาสยโุ รปแลว้ พระเจ้าแผน่ ดนิ และผแู้ ทนของประเทศตา่ งๆ ได้
เสด็จมาเยยี่ มเยอื นประเทศไทย เปน็ การตอบแทน และกระชบั สมั พนั ธไมตรีให้
แน่นแฟน้ และยงั่ ยนื )
ภาพประวตั ิศาสตร์ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
และพระเจา้ ซารน์ โิ คลสั ที่ 2 ณ พระราชวงั ปีเตอรฮ์ อลฟ์
การเสด็จรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ก่อเกิด
ประโยชน์มหาศาลกับประเทศไทยอันส่งดีต่อการรักษาเอกราชของชาติไทย เพราะ
รัสเซยี ในยคุ นัน้ สมั พนั ธไมตรกี ับอักฤษและฝรงั่ เศสเกดิ ปญั หาความไมพ่ อใจแกก่ นั หลาย
ด้านหลายประการ และการท่ีไทยเรามีมิตรสหายอย่างรัสเซียทาให้ท้ัง 2 ชาติ คือ
องั กฤษและฝร่ังเศสไมก่ ลา้ ยึดครองชาติไทย
พระเจา้ ซารน์ โิ คลสั ท่ี 2
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีความสนิมสนมคุ้นเคยกับพระเจ้า
ซารน์ โิ คลัสที่ 2 ตั้งแต่พระองค์ทรงเปน็ มงกุฎราชกมุ าร ทรงเคยเสด็จประพาสประเทศ
ไทย ระหว่างวันท่ี 20-24 มีนาคม พ.ศ. 2434 รวมเป็นเวลา 5 วัน ซ่ึงพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้การต้อนรับดุจราชอาคันตุกะอันทรงเกียรติ ย่ิงใหญ่
ทั้งท่ีกรุงเทพฯ และบางปะอิน เม่ือรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จรัสเซีย พระเจ้าซาร์นิโคลัสท่ี
2 จงึ ได้จัดการรบั เสด็จฯ สมเด็จพระพทุ ธเจา้ หลวงอย่างสมพระเกียรติ ดังที่สยามเคย
จัดการรับรองพระองค์อย่าง ทรงถือว่าล้นเกล้าฯ รัชกาลท่ี 5 น้ันเป็นด่ังผู้คนใน
ครอบครวั ดงั ปรากฏพระราชหตั ถเลขา พระราชทานสมเด็จพระนางเจา้ เสาวภาผอ่ งศรี
พระบรมราชินีนาถ ผู้สาเร็จราชการแผ่นดินในคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งท่ี 1 ลง
วันท่ี 13 กรกฎาคม ร.ศ.116 เล่าถึงความสนิมชิดเชื้อของทั้งสองราชวงศ์ ถึงขนาด
ท่ี “เอมเปรสส์” หรอื สมเดจ็ พระราชชนนีของพระเจา้ ซาร์ รับพระองคเ์ ปน็ ลูก ดังได้คัด
มาตอนหน่ึงน้ีว่า“เอมเปรสส์เกือบจะทรงกรรแสง สั่งแล้วส่ังเล่า รับปวารณากันว่าจะ
คดิ ว่าฉนเปนลกู ฉนั ก็จะคิดว่าเปนแมต่ ้งั แต่นไี้ ป ทุกวนั เปน็ แต่จูบฉนั วันนต้ี กเปนแม่ลกู
กนั แล้ว เอยี งพระปรางให้ฉันจูบ บรรดาลูกทั้งผู้หญิงผู้ชายนับว่าเปนพี่น้องกัน ต่างคน
ต่างจูบกันกปั ฉันทุกคน...” ความสนิทชิดเช้ือกันของท้ังสองพระราชวงศ์นี้ เป็นเหตุผล
สาคัญท่ีทาให้ฝร่ังเศสต้องเปลี่ยนทิศทางความสัมพันธ์ต่อไทย (รัชกาลท่ี 5 เสด็จฯ
รัสเซีย ก่อนฝร่ังเศส) เพราะนอกจากบทบาทของรัสเซียซึ่งเป็นมหาอานาจยุโรปแล้ว
ฝรัง่ เศสกับรสั เซยี ยังมสี นธิสัญญาพนั ธมติ รตอ่ กนั ซึ่งสนธสิ ัญญาฉบบั น้ีมคี วามสาคัญตอ่
ฝร่ังเศสมาก หลังจากเยอรมนีปล่อยให้ฝร่ังเศสโดดเดี่ยวอยู่หลายปี และด้วยท่าทีของ
รสั เซยี ทีไ่ ด้ถือเอาเอกราชของสยามเป็นเร่ืองสาคัญทีส่ ุด ดงั ความปรากฏในพระราชโทร
เลข ส่งจากเมืองปีเอตร์ฮอฟ ลงวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 1897 ถึงพระเจ้าน้องยาเธอ
พระองคเ์ จา้ เทวัญอไุ ทยวงศ์ กรมหลวงเทวะวงศว์ โรปการ (พระยศในขณะนน้ั ) เสนาบดี
กระทรวงต่างประเทศความว่า“ฉันได้พูดกับเอมเปรอ แลภายหลังกับเคาน์มูราวิฟ ใน
เรื่องที่เรามีความลาบากกบั ฝรงั่ เศส ไมเ่ ฉพาะแตเ่ รือ่ งคนโทษทงั้ 2 ไดพ้ ูดตลอดถึงเร่ือง
ริยิศเตรชั่นด้วย ท่านท้ังสอง เหนความลาบากของเราเหมือนกับท่ีเราเหนทุกประการ
รับจะช่วยโดยทางไมตรี เพ่ือจะชี้แจงให้ฝรั่งเศสเห็นทางปรโยชแลใช้ปรโยชโดยกว้าง
คอื การท่ฝี ร่งั เศสทาอยู่กบั เราเด๋ยี วน้ีใช่ว่าเปนประโยชน์ตอ่ ฝร่งั เศสเลย เปนแตท่ าใหก้ บั
องั กฤษท้ังส้นิ แตจ่ ะรบั เปนแนว่ ่าฝรงั่ เศสจะทาตามฤาไม่ยังไมไ่ ด้ จะเรียกทูตฝร่งั เสศมา
พูด แลให้ร่างหนังสือ ถึงมองซิเออ ฮาโนโตมาให้ดูจะให้เราทราบเมื่อกลับจากมอสโก
การท่รี ัสเซยี รับแขงแรงนี้เพราะฮาโนโตให้ทตู มาพดู กบั เสนาบดวี า่ การตา่ งประเทศ เพอ่ื
จะให้ชว่ ยจดั การให้ตกลงกันสาหรบั เราจะได้ไปปารศิ แต่มีโกหกในนั้นเปนอันมาก ทีน่ ่ี
เขาเตรยี มอยูก่ ่อนแล้ว ทจ่ี ะจดั การให้เราดีกับฝรัง่ เสศ ก่อนเวลาทีเ่ รามาถึง เข้าใจว่าคง
จะเปน็ ผลดมี าก แต่เราไมไ่ ด้ขอให้รสั เซยี ช่วยตัดสนิ เลย เราไว้ท่า เปนแต่เพื่อนคนหน่ึง
จะชว่ ยชีแ้ จงให้เพ่อื น 2 คนดกี นั เทา่ นั้น”
การรับรองให้ความช่วยเหลือของรัสเซียในครั้งน้ี นับว่าได้ปลดเปล้ืองความขุ่น
ขอ้ งหมองพระทัยอันเกดิ จากภาวะสุ่มเสย่ี งในเอกราชของสยาม ดังพระราชโทรเลขถึง
สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผอ่ งศรฯี ผู้สาเร็จราชการแผ่นดิน จากเมืองบาเดน-บาเดน
ลงวันที่ 8 ตุลาคม ร.ศ. 116 ซ่ึงทรงได้พบกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 อีกคร้ังหลังจาก
ทรงเจรจาความกับฝร่ังเศสที่ปารีสแล้ว ความตอนหนึ่งว่า“...เอมเปอเรอทรงรับท่ีจะ
ชว่ ยโดยแขงแรง แกรนด์ดกุ ก็อดุ หนนุ รบั รองฉันเหมอื นกัน บัดน้ีฉนั เหนไดแ้ ลว้ ว่า การท่ี
ฉันมาน้ี เปนประโยชนแ์ ก่กรุงสยามโดยแท้จรงิ ...”
การแสดงออกเปน็ รูปธรรมในการใหค้ วามช่วยเหลอื ของรสั เซยี โดย พระเจา้ ซารน์ ิ
โคลัสท่ี 2 อีกประการหนง่ึ ก็คือ การส่งพระบรมฉายาลักษณ์ประวัติศาสตร์ของทั้งสอง
กษัตริย์ ณ พระราชวังปีเตอร์ฮอล์ฟ ไปยังประเทศต่างๆ ทั่วยุโรปและที่สาคัญคือการ
ตีพิมพล์ งในหนังสือพมิ พ์ L’Illustration ของฝร่ังเศส ซ่ึงเป็นท่ีกล่าวถึงในฝรั่งเศสเป็น
อย่างมากเป็นการตอกย้าจดุ ยืนของรัสเซีย และมีผลใหฝ้ รั่งเศสมที า่ ทที ่ีเปล่ยี นแปลงต่อ
ไทย
การเสดจ็ ประพาสยโุ รปครงั้ ที่ 2
การเสด็จประพาสยุโรปครั้งท่ี 2 นั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จกลับแล้ว
จงึ ทรงเป็นผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ โดยประเทศที่ได้เสด็จประพาส คือ ประเทศ
อังกฤษ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สวีเดน เบลเยี่ยม อิตาลี ออสเตรเลีย ฮังการี สเปน
เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ อียิปต์และเยอรมัน การเสด็จประพาสของพระองค์ใน
ครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่และ
สมพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ไทย
เสด็จประพาสประเทศเยอรมนี
เสด็จประพาสยุโรปครั้งท่ี 2 เป็นการเสด็จประพาสแบบส่วนพระองค์ของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. 2450 เพ่ือรักษาพระวรกาย
แบบสปาบาบัดตามคาแนะนาของแพทย์ส่วนพระองค์ชาวต่างชาติท่ีเมือง บาเดิน-บา
เดินและบาทฮอ็ มบวรค์ ประเทศเยอรมนี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดาเนินออกจากพระ
นครพร้อมด้วยผู้ตามเสด็จเมื่อวันท่ี 27 มีนาคม พ.ศ. 2450 ท่ีท่าราชวรดิฐและเสด็จ
ประพาสประเทศในยุโรปถึง 10 ประเทศ ใช้เวลานานถึง 7 เดือน รวมทั้งสิ้น 225 วัน
ก่อนจะเสดจ็ นิวตั ิพระนครเมือ่ วนั ท่ี 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2450
พระองคเ์ สดจ็ ประพาสยุโรปครงั้ น้ีเพอ่ื ทรงลงพระนามเปน็ สตั ยาบนั ในสนธิสัญญา
ฉบับ พ.ศ. 2450 กับฝร่ังเศสท่ีกรุงปารีสเมื่อวันศุกร์ท่ี 21 มิถุนายน พ.ศ. 2450 เพื่อ
แลกเปลี่ยนดินแดนจันทบุรีและตราดกับพระตะบอง เสียมราฐและศรีโสภณ เพราะ
ดนิ แดนที่ต้องเสียใหแ้ กฝ่ รั่งเศสไปนน้ั เปน็ ดนิ แดนท่ีพระบาทสมเดจ็ พระสสี วุ ตั ถิ์ กษตั รยิ ์
กัมพูชาซง่ึ ทรงอยูภ่ ายใต้การปกครองของฝรงั่ เศสมพี ระประสงคใ์ หม้ าขน้ึ อยกู่ บั พระองค์
เน่อื งจากเมอื งดงั กลา่ วมชี าวเขมรอาศัยเป็นจานวนมาก และเพอ่ื ทรงติดต่อโรงหล่อซุส
แฟร์เพือ่ หลอ่ พระบรมรูปทรงมา้ ต่อจากน้ันได้เสด็จประพาสอังกฤษในการเจรจาเรื่อง
การกู้เงนิ เพอ่ื ก่อสร้างทางรถไฟจากประจวบคีรขี ันธ์ไปยังหัวเมืองมลายู หลังจากน้ันได้
เสด็จประพาสเพ่ือเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของชาวยุโรปและเพื่อทอดพระเนตรสถานที่
สาคัญและศลิ ปวัฒนธรรม
โรงหล่อ ซสุ แฟร์
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรงได้ลงพระนามและประทับเพือ่ เปน็
แบบให้โรงหล่อ ซุส แฟร์ หล่อพระบรมรูปทรงม้า ณ กรุงปารีสแล้ว ได้เสด็จฯ ไป
อังกฤษเพื่อเจรจากู้เงินเพื่อก่อสร้างทางรถไฟจากประจวบคีรีขันธ์ไปยังหัวเมืองมลายู
จากนั้นได้เสด็จประพาสเพ่ือเยี่ยมชมความเป็นอยู่ของชาวยุโรปและทอดพระเนตร
สถานทส่ี าคัญ ศิลปวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนการเกษตรในแต่ละท่ี เพ่ือเป็น
ต้นแบบในการพัฒนา นอกจากนี้การเสด็จพระราชดาเนินไปยุโรปแต่ละคร้ังน้ันได้ทรง
ส่งพระราชโอรสไปศึกษาต่อ ณ ประเทศยุโรปด้วยเสมอ เพื่อท่ีจะได้นาความรู้และ
วิทยาการความก้าวหน้าของประเทศเหล่านั้นกลับมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญ
ทัดเทียมกบั นานาประเทศโดยการส่งพระราชโอรสไปเรียนตอ่ ต่างประเทศในแตล่ ะครง้ั
นน้ั เปรียบเสมือนทรงนาพาสยามไปเรียนตอ่ ดว้ ยนนั่ เอง
สมเด็จพระเจา้ ลกู เธอ เจ้าฟา้ นิภานภดล กรมขุนอทู่ องเขตขัตติยนารี
ตลอด 225 วันพระองค์ไดท้ รงมีพระราชหัตถเลขาถงึ สมเดจ็ พระเจา้ ลูกเธอ เจา้ ฟา้
นิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี พระราชธิดาซ่ึงทรงทาหน้าที่เป็นราชเลขา
นุการิณีจานวนท้ังส้ิน 43 ฉบับซ่ึงต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นาพระ
ราชหตั ถเลขาท้งั หมดไปตีพิมพ์โดยโปรดเกล้าฯ ให้ใชช้ ่ือว่า ไกลบา้ น
ทาไมพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั จงึ ตอ้ งเสดจ็ ประพาสยโุ รป
การเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวท้ังสอง
คร้ังนั้น เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวิเทโศบายในการรักษาเอกราชของชาติ เพราะใน
ขณะนน้ั บ้านเมอื งกาลังตกอยูใ่ นภาวะคบั ขนั อันเน่ืองมาจากแรงกดดนั ของอิทธพิ ลลัทธิ
จักรวรรดินิยมตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษกับฝรั่งเศส การเสด็จฯ ครั้งนี้ยังมี
วัตถุประสงค์สาคัญเพื่อเผยแพร่ความเป็นไทยให้นานาประเทศได้รู้จัก เจริญ
สัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ในภาคพื้นยุโรป ในฐานะพระประมุขของประเทศที่มี
สถานะเทา่ เทียมกนั อนั เป็นหนทางไปสู่การเจรจาแก้ไขสนธิสัญญา และข้อตกลงต่างๆ
อย่างมีความเสมอภาค ไม่ถูกดูหม่ินว่าชาวสยามเป็นชนชาติท่ีล้าหลังดังข้ออ้างในการ
เข้ายึดครองอาณานิคมของประเทศมหาอานาจต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญในการท่ีจะ
ช่วยรกั ษาเอกราชของชาติไว้ได้
เรอื พระทนี่ งั่ มหาจกั รี
วถิ ที างการเสดจ็ ประพาสยโุ รป
การเสด็จประพาสยโุ รปครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2440 นน้ั รัชกาลที่ 5 เสดจ็ ฯ จากท่า
ราชวรดษิ ฐ์ โดยเรอื พระทีน่ ่ังมหาจกั รี (ลาท่ี 1) ซ่งึ ไดม้ กี ารเปล่ียนเรือพระทน่ี ั่งเป็นการ
ชวั่ คราวอยู่บา้ ง เนอ่ื งจากเรือพระท่ีนง่ั มหาจักรีซ่ึงเสียและส่งซ่อมอยู่ท่ีประเทศอังกฤษ
ดังความปรากฏในพระราชโทรเลข จากเมืองปีเตอร์ฮอฟ ลงวันที่ 11 กรกฎาคม ร.ศ.
116 ว่า สมเด็จพระเจ้าซาร์นิโคลัสท่ี 2 ได้พระราชทานเรือยอชต์พระท่ีนั่งในพระองค์
ชื่อ โกลดต์ า (ดาวทอง) ให้ทรงใช้เป็นเรือพระท่นี ัง่ เสด็จฯ ไปเมอื งสตอกโฮล์ม เปน็ การ
เสด็จฯอย่างเป็นทางการ นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พระองคแ์ รกท่ีเสด็จประพาสยโุ รป ซงึ่ ในการเสด็จประพาสยุโรปในรอบแรกนี้พระองค์
ได้ทรงมี พระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ
(พระยศในขณะน้ัน) ผู้สาเร็จราชการแทนพระองคอ์ กี ดว้ ย
การเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2450 เสด็จฯ โดยเรือพระท่ีนั่งมหา
จักรี (ลาท่ี 1) และไปเปลี่ยนเรือพระท่ีน่ังเป็นเรือนอทเยอรมันลอยด์ ช่ือ “ซักเซน” ที่
ปนี งั เพ่อื เสดจ็ ฯ ตอ่ ไปยุโรป และไดม้ กี ารเปล่ยี นเรือพระทน่ี ัง่ ชือ่ “พมา่ ” ในการเสดจ็ ฯ
คร้งั น้ดี ว้ ย ในการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 น้ี พระองค์ได้ทรงมี พระราชหัตถเลขา
ถึงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้านิภานภดล วิมลประภาวดี (พระยศในขณะน้ัน)
ราชเลขานุการณิ ีในพระองค์ อนั เปน็ ตน้ กาเนิดของพระราชนพิ นธเ์ ร่ืองไกลบ้านอีกด้วย
เสดจ็ ประพาสตน้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะเสด็จ
ประพาสหวั เมอื งใหญ่ ในพระราชอาณาเขต เพอ่ื สาราญพระราชอิริยาบถ ท้งั ยังเป็นสิ่ง
ท่ีทาให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน ในการสอดส่องทุกข์สุขของ
ราษฎรโดยมิไดม้ ีหมายกาหนดการ บางคราวทรงปลอมแปลงพระองคเ์ ป็นสามญั ชนเขา้
ไปปะปนกับราษฎร เพอื่ ท่ีจะได้ประจักษใ์ นความเป็นอยู่ของราษฎรของพระองค์อย่าง
ใกล้ชิดทาให้พระองค์ได้พบความจริงต่างๆ และทรงนาไปแก้ไขในทุกๆ เรื่อง เพื่อ
ประโยชน์สุขแห่งราษฎรสยาม พระองค์จะไม่ทรงโปรดฯ ให้มีการจัดรับเสด็จเป็น
ทางการ แตท่ รงโปรดฯ ใหจ้ ัดการทเ่ี สด็จใหเ้ ป็นไปโดยงา่ ยเพ่ือสาราญพระราชอริ ิยาบถ
อย่างสามัญ โดยมิให้มีท้องตรา ส่ังหัวเมืองให้จัดทาท่ีประทับแรม ณ ที่ใดๆ สุดแต่จะ
พอพระราชหฤทัย บางครากท็ รงเรอื เลก็ หรอื เสด็จโดยสาร รถไฟไปไม่ให้ใครรู้จัก เรยี ก
กนั ว่า “เสด็จประพาสต้น”
เหตุท่ีเรียกเสด็จประพาสต้นน้ี สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ- กรมพระยาดารงรา
ชานุภาพทรงอธิบายว่า เกิดแต่เม่ือคร้ังเสด็จคราวแรก เพราะมีพระราชประสงค์มิให้
ใครได้รู้ ว่าเสด็จไปทรงเรือมาดเก๋ง 4 แจวลาหน่ึง เรือนั้นไม่พอบรรทุกเครื่องครัว จึง
ทรงซ้ือเรือมาดประทุน 4 แจว ที่แม่น้าอ้อม ท่ีแขวงราชบุรี และโปรดฯ ให้เจ้าหมื่น
เสมอใจราช (อน้ ) เปน็ ผคู้ ุมเคร่ืองครัว ทรงพระราชดารสั เรือลานี้ว่า “เรือตาอ้น” เรยี ก
เร็วๆ เสียงจะกลายเป็น “เรือต้น” เหมือนบทเห่ซ่ึงกล่าวว่า “พระเสด็จโดยแดนชล
ทรงเรือต้นงามเฉิดฉาย” ซ่ึงฟังดูไพเราะ แต่เรือประทุนลานั้นใช้การได้อยู่ไม่มาก จึง
เปล่ยี นมาเปน็ เรอื มาด 4 แจว กบั อกี ลาหนง่ึ และโปรดฯ ให้เอาเรือตน้ มาใชเ้ พอื่ เปน็ เรือ
พระทนี่ ่ัง โดยมีพระราชประสงค์จะมิใหผ้ ใู้ ดทราบว่า เสด็จไปเป็นสาคัญ และเรียกการ
ประพาสเช่นน้ีว่า “ประพาสตน้ ” ซ่ึงพระองค์ไดเ้ สดจ็ 3 คร้ัง
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสด็จประพาสมณฑลราชบรุ ี
การเสด็จประพาส คร้ังที่ 1 การเสด็จประพาสต้นเม่ือ พ.ศ. 2447 เสด็จ
สมทุ รสาคร ดาเนินสะดวก สมุทรสงคราม, มณฑลราชบรุ ี ,เพชรบรุ ี ฯลฯ รายการเสด็จ
ประพาสตน้ คร้ังน้ี ได้รบั การบันทกึ ไวเ้ ปน็ งานพระราชนิพนธ์ในสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์
เธอ- กรมพระยาดารงราชานุภาพ เป็นจดหมายเหตุ 8 ฉบบั เพ่อื บันทึกรายละเอยี ดใน
การเสด็จประพาสตน้ โดยใช้พระนามแฝงว่า นายทรงอานุภาพหุ้มแพร มหาดเล็กที่ได้
ตามเสด็จ เขียนเล่าเร่ืองประพาสต้นไว้โดยพิสดาร มีถึงมิตรคนหน่ึงช่ือ นายประดิษฐ์
หรือ สมเดจ็ ฯ เจ้าฟา้ กรมพระยา- นริศรานุวตั ติ วิ งศ์
เหตุที่เสดจ็ ประพาสตน้ ในคราว พ.ศ.2447 นนั้ กลา่ ววา่ เป็นเพราะ เมือ่ ครง้ั กอ่ นที่
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะเสด็จมาบางปะอินไม่ใคร่จะทรงสบาย
ทรงมีพระราชกังวล และ พระราชกิจมาก หาเวลาพักไม่ใคร่ได้ และบรรทมไม่หลับ
เสวยไม่ได้ ทั้งสองประการนี้ หมอลงความเห็นว่า จะต้องเสด็จประพาสเท่ียวไปให้พ้น
จากพระราชกิจ กอปรกับเจ้านายผู้ใหญ่ที่มาตามเสด็จพร้อมกันกราบบังคมทูล ขอให้
ทรงระงับพระราชธุระ และเสด็จประพาสตามคาแนะนาของหมอพระองค์ทรง
พระราชดาริเห็นชอบดว้ ย จึงเสดจ็ ไปประพาสลาน้าด้วยกระบวนเรอื ปคิ นกิ พ่วงเรอื ไฟ
ไปจากบางปะอนิ แลว้ แต่พระราชหฤทัยจะเสด็จท่ีใด ได้ตามพระราชประสงค์ และให้
การเสดจ็ ไปอยา่ งเงียบๆ คณะเดินทางที่ตามเสด็จในครั้งน้ีที่ระบุในจดหมาย มีท้ังพระ
บรมวงศานุวงศ์ เจ้านายฝ่ายในหลายพระองค์ และข้าราชบริพารท่ีรับใช้ใต้เบ้ืองพระ
ยคุ ลบาทหลายคน ดว้ ยกนั อาทิ สมเด็จเจ้าฟา้ อษั ฎางคเ์ ดชาวุธ กรมหลวงนครราชสมี า
สมด็จ ฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ เจ้าฟ้าพระยาสุรวงศ์วัฒนศักดิ์ (โต บุนนาค)
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมพระสมมตอมรพันธ์ พระนางเจ้า
สุขุมาลมารศรี สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวง
นครสวรรค์วรพินิจ พระยาบุรุษรตั นราชพลั ลภ กรมหลวงสรรพสาตรศภุ กิจ
การเสด็จประพาส ครั้งที่ 2 การเสด็จประพาสต้นเมื่อ พ.ศ. 2449 ระหว่างวันท่ี
27 กรกฎาคม ถึง 29 สิงหาคม 2449 โดยเสด็จออกจากสวนดุสิต ลงเรือท่ีตาหนักแพ
วังหน้า โดยเสด็จผ่านเมืองนครสวรรค์ ซ่ึงในการเสด็จครั้งน้ี พระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั โดยทรงมี พระราชดารัสให้สมเดจ็ พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้านิภา
นภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี (สมเด็จหญิงน้อย) ให้ทรงบันทึกการเสด็จของ
พระองค์ ซ่ึงในขณะสมเด็จหญิงน้อยยังทรงดารงตาแหน่งราชเลขาธิการฝ่ายใน การ
เสด็จประพาสต้น คร้ังที่ 2 น้ี พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฏ พระชนนี ทรง
พระปรารภใคร่จะจัดพิมพ์เป็นหนังสือ ประทานตอบแทนผู้ถวายรดน้าสงกรานต์ จึง
ตรัสปรึกษาให้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้านิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี
(สมเด็จหญิงน้อย) พระธิดา จึงได้ทรงเก็บรวบรวมและพบสาเนาจดหมายเสด็จ
ประพาสตน้ คร้งั ทส่ี อง ซึง่ สมเด็จพระพทุ ธเจ้าหลวงได้ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ถงึ 7 ปแี ล้ว
จงึ ประทานสาเนา มายังหอพระสมุดวชริ ญาณ สาหรบั พระนครในการเสดจ็ ประพาสหวั
เมืองภายในพระราชอาณาจกั ร
การเสด็จประพาสครั้งที่ 3 พ.ศ.2451 เสด็จโดยทางรถไฟจนถึงเมืองนครสวรรค์
แล้วทรงเรือพระที่น่ังล่องน้าลงมาเข้าปากน้ามะขามเฒ่า ประพาสทางลาน้าเมือง
สพุ รรณบรุ ี
ในการเสด็จประพาสต้น นอกจากนยี้ ังได้ทรงเห็นการปกครองของเจา้ หนา้ ทที่ ที่ รง
แต่งต้ังให้ออกไปปกครองต่างพระเนตรพระกรรณว่า ได้กดข่ีราษฎรเดือดร้อนหรือไม่
อยา่ งไร หรอื ปกครองไดเ้ รยี บร้อยดสี มดงั ทไ่ี ว้วางพระราชหฤทยั เพยี งใด เมื่อเจ้าหน้าท่ี
ผู้ใดประพฤติมิชอบก็ทรงติเตียนลงโทษ หรือทรงปรับแนะและเปล่ียนแปลงใหม่ เป็น
เหตุใหเ้ จา้ หน้าทบี่ ้านเมือง ทัง้ หลายเครง่ ครัดซอ่ื ตรงต่อการงานยงิ่ ขน้ึ ตลอดจนเมอื่ ทรง
เห็นราษฎรเจ็บป่วย ไม่ได้รับการเยียวยารักษาตามอันควร ก็เป็นเหตุให้ได้ทรงพระ
กรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้นายแพทย์คิดประกอบและจัดทาโอสถสภา รวมท้ังมอบให้เป็น
ธุระ ของเจ้าหน้าทท่ี ่ีจะให้ประโยชน์แก่พสกนกิ รของพระองคอ์ ยา่ งท่วั ถงึ กนั
เสด็จประพาสเมืองจนั ทบรุ ี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสเมืองจันทบุรีถึง 12
ครง้ั ดงั ปรากฏในจดหมายเหตสุ มเดจ็ ประพาสหวั เมืองตะวันออก และทรงพอพระราช
หฤทัยในธรรมชาติทีน่ า้ ตกพลวิ้ เป็นอย่างมาก จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างอนสุ รณเ์ ปน็ เจดีย์
ทรงลงั กาไวเ้ มือ่ ปี พ.ศ.2419 พระราชทานนามว่า อลงกรณ์เจดยี ์ และในปี พ.ศ. 2424
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอนุสาวรีย์ท่ีระลึกความรักแด่พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระ
บรมราชเทวี ซ่ึงเคยเสด็จประพาสตน้ ณ ทน่ี ี้ เม่ือ พ.ศ. 2417 สรา้ งเป็นพีระมิดใกล้กับ
อลงกรณเ์ จดียภ์ ายในพีระมิดนีไ้ ดบ้ รรจพุ รองั คารของสมเด็จพระนางเจ้าพระองคน์ ด้ี ว้ ย
จันทบุรีเป็นเมืองสาคัญทางชายฝ่ังตะวันออกของประเทศไทยมาหลายยุคหลายสมัย
ต้ังแต่สมัยปลายอยุธยา พระเจ้าตากสินก็ทรงเลือกเมืองจันทบุรีเป็นฐานท่ีม่ันหลักใน
การสะสมไพร่พลเพ่ือกู้กรุงคืน คร้ันมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองจันทบุรีก็ปรากฏ
ความสาคัญอีกครั้งหนึ่งในคราวถูกยึดตกเป็นของนักล่าอาณานิคมชาวฝร่ังเศส ใน
วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112เมื่อจันทบุรีกลับคืนสู่สยาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดาเนินเยือนเมืองจันทบุรีเมื่อ พ.ศ. 2450 ทรงมี
พระราชดารสั ตอบแด่ชาวเมืองในคราวนั้น ซ่ึงสะท้อนถึงความสาคัญของเมืองจันทบุรี
ต่อประเทศชาติและต่อพระองค์เอง ซ่ึงเป็นเมืองอัน “เป็นท่ีรัก” ของรัชกาลท่ี 5 ดัง
ความว่าพระราชดารสั ตอบประชาชนเมืองจันทบุรี ในการท่ีเสด็จพระราชดาเนินเยี่ยม
เมืองจันทบุรี เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน รัตนโกสินทรศก 126 (พ.ศ. 2450)ดูกร
ประชาชนอันเป็นท่ีรักของเรา ถ้อยคาอันไพเราะซึ่งได้กล่าวต้อนรับแลอานวยพร อัน
เจ้าทัง้ หลายไดใ้ ห้ฉนั ทะมากล่าวเฉพาะหน้าเราเวลาน้ี เป็นที่พอใจแลจับใจเป็นอันมาก
เมืองจนั ทบรุ นี ้แี ตเ่ ดมิ มาย่อมเป็นท่เี ราไปมาเย่ียมเยียนอยู่เป็นนิตย์ ได้รู้สึกว่าเป็นเมือง
หนึ่งซ่ึงอาจจะบาบัดโรค แลให้ความสาราญใจสาราญกาย เพราะได้มาอยู่ในที่น้ีเป็น
หลายคราว จึงเป็นท่ีรัก มุ่งหมายจะบารุงให้มีความจาเริญย่ิงขึ้น ความคุ้นเคยต่อ
ประชาชนในทน่ี ี้ยอ่ มมเี ป็นอนั มากดุจเจา้ ท้ังหลายระลึกได้ ถึงว่าเราต้องห่างเหินไป ไม่
ได้มาเย่ียมเมืองนี้ถึง 14-15 ปีด้วยความจาเป็น แต่มิได้ละเลยความผูกพันในใจที่จะ
บารุงเมืองนี้ให้อยู่เย็นเป็นสุข แลมีใจระลึกถึงประชาชนท้ังหลายอันเป็นที่รักที่คุ้นเคย
กนั แลได้ฟังขา่ วสขุ ทุกขข์ องเจา้ ทัง้ หลายอยเู่ ปน็ นติ ยเ์ มื่อเปน็ โอกาสซ่ึงจะได้มายังเมือง
น้ีในคร้งั แรก ซึง่ ไดเ้ ลิกล้างไปชา้ นาน จงึ มีความยินดตี ักเตอื นใจอยูเ่ สมอที่จะใครเ่ หน็ ภมู ิ
ประเทศแลราษฎรอันเป็นที่รักของเรา ผลแห่งความมุ่งหมายอันแรงกล้าน้ี ได้สาเร็จ
เป็นอันดี เป็นเหตุให้เกิดความช่ืนชมโสมนัสในใจว่า บ้านเมืองมิได้เส่ือมทรามไป มี
ความสุขสมบูรณ์อยู่ สมดังความปรารถนา ทั้งได้เห็นหน้าพวกเจ้าท้ังหลายเบิกบาน
แสดงความช่ืนชมยนิ ดี สอ่ ให้เห็นความจงรกั ภักดีมไิ ดเ้ สือ่ มคลาย สมกับคาทีก่ ล่าววา่ มี
มิตรจิตแลมิตรใจในระหว่างตัวเราแลเจา้ ทงั้ หลาย ความรูส้ กึ อนั นี้ยอ่ มมแี ต่ความชื่นชม
ยินดีทวีข้ึนบัดน้ีเมืองจันทบุรีได้เป็นเมืองใหญ่ในมณฑลฝ่ังทะเลตะวันออก ซึ่งรัฐบาล
ของเราได้คิดจะบารุงใหเ้ จรญิ ดียงิ่ ขนึ้ เราขอเตอื นเจ้าทั้งหลายใหต้ ้ังหน้าทามาหากนิ แล
ประพฤติตนให้สมควรแก่ความชอบธรรมซึ่งควรประพฤติ แลขอให้มีความไว้วางใจใน
ตัวเราว่า จะเป็นผู้ช่ืนชมยินดีในเวลาท่ีเจ้ามีความสุขสมบูรณ์มั่งค่ัง แลจะเป็นผู้
เดอื ดร้อนกระวนกระวายในเวลาที่เจ้าทั้งหลายต้องภัยได้ทุกข์โดยอันใช่เหตุ ในเวลานี้
เราขอแสดงความไว้วางใจ ว่าขา้ ราชการทั้งหลายคงจะได้ทาหนา้ ที่เพือ่ จะทานุบารุงให้
เจา้ ทั้งหลายมีความสุขสมดังความปรารถนาของเรา ขออานวยพรให้เจ้าทั้งหลายได้รับ
ความเจรญิ สุขสวสั ดทิ์ ามาคา้ ขายได้ผลเป็นสขุ สมบูรณ์ทัว่ กนั ทุกคน เทอญ.
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั เสดจ็ ประพาสจันทบรุ ี 12 ครั้ง
นา้ ตกพลว้ิ จนั ทบรุ ี
คร้งั ที่ 1 พ.ศ. 2416 เสดจ็ นา้ ตกพล้ิวพรอ้ มด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารี
รัตน์
ป้อมไพรพี นิ าศ จนั ทบุรี
ครัง้ ท่ี 2 พ.ศ. 2419
เสด็จฯ ทอดพระเนตรปอ้ มไพรพี ินาศและพระเจดยี ท์ แ่ี หลมสงิ ห์
เสด็จฯ เขาพลอยแหวน และบา้ นบางกะจะ
เสดจ็ ฯ นา้ ตกคลองพลิ้ว และมพี ระราชดาริจะสรา้ งพระเจดยี ์ “อลงั
กรณเจดยี ”์
เสด็จฯ น้าตกคลองนารายณ์ เขาสระบาป
เสด็จฯ ตวั เมอื งจนั ทบรุ ี
คร้ังท่ี 3 พ.ศ. 2423
เสด็จฯ ปากอา่ วเมืองจนั ทบรุ ี
ครงั้ ที่ 4 พ.ศ. 2424
เสดจ็ ฯ ผา่ นนา่ นนา้ ของเมอื งจนั ทบรุ เี พอื่ ไปเมอื งตราดแตไ่ มไ่ ดท้ รงแวะ
แหลมสงิ ห์ จนั ทบรุ ี
ครั้งที่ 5 พ.ศ. 2425
เสดจ็ ฯ แหลมสงิ ห์ และข้ึนเทย่ี วเมอื งเกา่
ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2426
เสด็จฯ บา้ นแหลมทองหลาง และบา้ นทงุ่ ยายมนั ครงั้ ท่ี 1เสดจ็ ฯ เมอื ง
ขลงุ และเกาะจกิ
เสดจ็ ฯ ปากอา่ วเมอื งจันทบุรี และบา้ นทงุ่ ยายมนั ครงั้ ที่ 2
ปริ ามดิ สมเด็จพระนางเจา้ สนุ นั ทากมุ ารรี ตั น์
โรงทหารฝรง่ั เศสทแ่ี หลมสงิ ห์ (ตกึ แดง)
ครั้งท่ี 7 พ.ศ. 2427
เสด็จฯ ทอดพระเนตรโรงทหารทแ่ี หลมสงิ ห์และเขาแหลมสงิ ห์ เสดจ็ ฯ เขาชำ
หา้ น
เสดจ็ ฯ นา้ ตกพลวิ้ ข้นึ ทท่ี า่ วดั ทา่ เรอื คลองยายดา ทอดพระเนตร “สนุ นั ทา
นสุ าวรยี ”์ และ พระเจดยี ท์ ี่ เคยพระราชดาริใหส้ รา้ ง พระราชทานนามใหมว่ า่
“จุลศริ จุมพฏเจดยี ”์
เสด็จฯ เมอื งใหม่ ตลาดบางกะจะและศรพี ระยา
คร้งั ท่ี 8 พ.ศ. 2430
เสดจ็ ฯ พระราชทานผา้ พระกฐนิ วดั ชาหา้ น และวดั ปากนา้ เสดจ็ ฯ แหลมสงิ ห์
ครงั้ ท่ี 9 พ.ศ. 2432
เสด็จฯ บ้านหวั ลาแพน เมอื งเกา่ จนั ทบรุ ี บา้ นลุ่ม และแหลมสงิ ห์
เสดจ็ ฯ คลองยายดา นา้ ตกพลวิ้ ทอดพระเนตรปริ ามดิ และพระเจดยี ศ์ ลิ า แลง
“จลุ ศริ จุมภฏเจดยี เ์ สดจ็ ฯ ขึ้นตน้ นา้ จารกึ อกั ษรพระนาม .ป.ร. 95 ,103, 108
ครั้งที่ 10 พ.ศ. 2443
เสดจ็ ฯ ผา่ นนา่ นนา้ ของเมอื งจนั ทบรุ เี พอื่ ไปเมอื งตราดแตไ่ มไ่ ดท้ รงแวะ
เนอ่ื งจากขณะนน้ั เมอื งจนั ทบุรี ตกเปน็ ของฝรงั่ เศส
ครั้งที่ 11 พ.ศ. 2444
เสดจ็ ฯ ผา่ นนา่ นนา้ ของเมอื งจนั ทบรุ เี พอื่ ไปเมอื งตราดแตไ่ มไ่ ดท้ รงแวะ
เนอื่ งจากขณะนน้ั เมอื งจนั ทบรุ ี ตกเปน็ ของฝรง่ั เศส
ครง้ั ท่ี 12 พ.ศ. 2450
เสดจ็ ฯ แหลมสงิ ห์
เสดจ็ ฯ ตัวเมอื งจนั ทบุรี และทวี่ า่ การมณฑล พระราชทานพระแสงสาหรบั
เมอื ง เสดจ็ ฯ บา้ นแหลม ประดู่
จากการเสดจ็ เมอื งจนั ทบรุ ที ้งั 12 คราวของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวน้ีสามารถจาแนกได้เป็นการเสด็จท่ีทรงแวะเมืองจันทบุรี 9 คร้ัง กับการ
เสด็จทม่ี ไิ ดท้ รงแวะเมืองจันทบุรี 3 คร้ัง และในส่วนท่ีทรงแวะเมืองจันทบุรี 9 คร้ัง
นั้น ได้เสดจ็ ประพาสตวั เมอื งเพียง 2 คร้ัง โดยมากมักเสด็จที่ปากน้าแหลมสิงห์
เน่ืองด้วยการเสด็จในทุกครั้งเป็นการเสด็จพระราชดาเนินทางชลมารค การแวะท่ี
ปากน้าแหลมสิงห์ถือว่าใกล้กับทางเสด็จซ่ึงสะดวกต่อการแวะเยี่ยม เยียนราษฎร
การเสด็จประพาสเมอื งจันทบุรที ้งั ทเ่ี ป็นพระราชนพิ นธ์ และทีโ่ ปรดเกล้าฯใหบ้ นั ทกึ
ว่า เอกสารเหล่าน้ีได้บนั ทกึ ชีวิตความเป็นอยู่ อาชีพ เศรษฐกจิ กลุ่มชาติพนั ธ์ุ สภาพ
ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี รวมถึงข้อมูลทางคติชนวิทยา ไว้อย่าง
ละเอียด สะทอ้ นให้เหน็ ถึงการ เขา้ ใจ “รฐั ” ในปกครองของพระองค์อยา่ งถอ่ งแท้
เสด็จประพาสปตั ตานี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเป็นทางการและส่วนพระองค์
ทรงเสด็จท่ัวประเทศถึง 44 จังหวัด อาทิเสด็จประพาสสารวจลาน้ามะขามเฒ่า
สมณฑลอยุธยา ชายฝ่ังทะเลตะวันออก ไทรโยค แหลมมาลายู มณฑลฝ่ายเหนือ
มณฑลราชบรุ มี ณฑลปราจนี จันทบุรี ตราด ปัตตานี และมีวัดท่ีพระองค์เสด็จพระราช
ดาเนินมากถงึ 171 แห่ง
พระบรมรปู ทรงมา้
การสร้าง "พระบรมรูปทรงม้า” น้ัน สืบเนื่องมาจาก 2 กรณี คือ เวลานั้น
พระองค์ทรงคิดแผนผังสนามขนาดใหญ่เพ่ือเช่ือมถนนราชดาเนินท่ีสร้างเสร็จแล้วกับ
พระท่ีน่ังอนันตสมาคมท่ีกาลังสร้าง อีกกรณีคือ สร้างเน่ืองในโอกาสเถลิงถวัลย์ราช
สมบัติ 40 ปี วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2451 ตรงกับวันพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก
ซึ่งพระองค์จะทรงครองราชย์ยืนนานยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ใน
ประวัติศาสตร์ไทยในขณะน้ัน จึงควรจะมีการสมโภชเป็นงานใหญ่ และได้ดารัสส่ังให้
สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช (พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ วั ) ซงึ่ ขณะนน้ั เปน็
ผูส้ าเร็จราชการรกั ษาพระนคร เป็นประธานในการจัดงานสมโภช เนอ่ื งจากพระองคย์ ัง
ทรงอยู่ระหว่างการเสด็จประพาสยุโรป พระบรมรูปทรงม้า สร้างข้ึนโดยนาแบบอย่าง
มาจากพระบรมรปู ของพระเจา้ หลุยส์ที่ 14 แหง่ ฝรัง่ เศส ที่กรุงปารสี (มขี อ้ มลู อน่ื แยง้ วา่
พระบรมรูปทรงม้าน่าจะได้แบบอย่างจากพระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าอัลฟอนโซที่
12 แห่งสเปนได้หล่อข้ึนเม่ือปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) ซ่ึงปัจจุบันพระบรมรูปทรงม้า
ดังกล่าวต้ังอยู่ในสวนสาธารณะบวนเรตีโร (Buen Retiro) ณ กรุงมาดริด ประเทศ
สเปน)
พระบรมรูปทรงม้าราคาสร้างพระบรมรูปราว 200,000 บาท สร้างโดยนายช่าง
ชาวฝร่ังเศส บริษัท ซุซ แฟรส์ ฟองเดอร์ (Susse Frères Fondeur) ในโอกาสท่ี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งท่ี 2 เมื่อ พ.ศ.
2450 พระองค์เสด็จประทับ ให้ช่างปั้นชื่อ จอร์จ เซาโล (Georges Saulo) ป้ัน เม่ือ
วันท่ี 22 สิงหาคม 2450 หล่อด้วยโลหะชนิดทองสัมฤทธ์ินามา ติดกับทองสัมฤทธิ์
เหมือนกันหนาประมาณ 25 เซนติเมตร ซ่ึงพระรูปมีขนาดโตเท่าพระองค์จริง เสด็จ
ประทับอยู่บนหลังม้าพระท่ีนั่ง พระบรมรูปสาเร็จเรียบร้อยส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เม่ือ
วันพุธท่ี 11 พฤศจิกายน 2451 อันเป็น เวลาพอดีกับงานพระราชพิธีรัชมังคลา
ภิเษก เจ้าพนักงานได้อัญเชิญพระบรมรูปทรงม้าข้ึนประดิษฐานบนแท่นรองหน้า
พระราชวังดุสิต และได้ประดิษฐาน บนแท่นหินอ่อน สูงประมาณ 6 เมตร กว้าง 2
เมตรครง่ึ ยาว 5 เมตร ประการสาคัญพระบรมรปู ทรงมา้ สร้างขึ้นดว้ ยเงนิ ท่ีประชาชน
ไดเ้ รีย่ ไรสมทบทุน ตามปรกติอนุสาวรีย์ของบุคคลนั้น มักจะสร้างภายหลังที่บุคคลน้ัน
สิ้นชีวิตไปแล้ว ยกเว้นพระบรมรูปทรงม้าแห่งเดียวเท่านั้น อีกทั้งยังได้เสด็จพระราช
ดาเนินเปน็ ประธานเปิดพระบรมรูปด้วยพระองค์เอง รชั กาลที่ 6 โปรดให้นาจานวนเงิน
ท่ีเหลือจากการสร้างพระบรมรูปทรงม้า รัชกาลที่ 5 ใช้เป็นทุนสาหรับก่อตั้ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ เพ่ือเป็นการเฉลิมพระ
เกยี รตริ ชั กาลท่ี 5
พระราชสมญั ญานามสมเดจ็ พระปยิ มหาราช
การเริ่มทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” ต่อท้ายพระนาม
พระมหากษตั รยิ น์ ้ันสันนิษฐานว่าเร่ิมมีข้ึนในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ประมาณรัชกาลท่ี 5
เนื่องจากเป็นสมัยที่เริ่มมีการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของชาติและบรรพบุรุษมาก
ข้ึน ทาใหป้ ระจักษ์ถงึ วรี กรรมและพระราชอัจฉรยิ ภาพของพระมหากษัตรยิ ใ์ นสมยั นน้ั ๆ
จึงไดม้ กี ารยกย่องพระมหากษตั รยิ บ์ างพระองค์ทที่ รงมีพระเกยี รตคิ ุณเดน่ กวา่ พระองค์
อื่นขึน้ เปน็ “มหาราช”
สาหรับ “สมเด็จพระปิยมหาราช” เป็นพระราชสมัญญาท่ีเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
เม่อื สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ าร (พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้
เจ้าอยู่หัว) ทรงเป็นประธานจัดงานสมโภช โดยทรงเชิญชวนพระบรมวงศานุวงศ์
ขา้ ราชการ และประชาชน รว่ มกันสรา้ งพระบรมราชานสุ าวรีย์ คือ พระบรมรูปทรงม้า
ซึ่งประดิษฐาน ณ ลานหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม กรุงเทพมหานคร ที่ฐานของพระ