The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๔ (ฉบับสมบูรณ์)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tharaphan.prasan, 2022-08-14 08:28:40

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๔ (ฉบับสมบูรณ์)

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๔ (ฉบับสมบูรณ์)

พระราชประวตั ิ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
(ฉบบั สมบรู ณ)์

ผเู้ รยี บเรยี งนายประสาร ธาราพรรค์

พระมหากษัตริย์ในราชจักรีวงศ์ท้ัง 10 พระองค์ แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์ หากมีการศึกษาพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจโดย
ถอ่ งแท้ลึกซึง้ ทุกพระองค์ จะประสบพบวา่ พระมหากษตั รยิ พ์ ระองคห์ น่ึงที่
ผู้ศึกษาจะต้องรู้สึกแปลกใจ พิศวงสงสัย ประสบพบส่ิงท่ีคาดคิดไม่ถึง
หลากหลายประการ อาทิพระองค์เป็นผู้มีสิทธ์ิพร้อมสมบูรณ์ที่จะได้ข้ึน
ครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา แต่เม่ือถึงเวลากลับไม่ได้ข้ึนครองราชย์
ต้องหนีราชภัยไปผนวชถึง 27 ปี ตลอดเวลาทีทรงผนวชก็ไม่มีว่ีแวว
หนทางที่จะแสดงให้เห็นว่าพระองค์จะมีโอกาสได้กลับมาขึ้นครองราชย์
แต่ท้ายสุดยังได้กลับข้ึนครองราชย์ อีกทั้งพระองค์ยังทรงก่อให้เกิด

มหาราช 2 พระองคค์ ือ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช และ พระปิยมหาราช
อีกท้ังพระองค์ยังทรงเป็น พระมหากษัตริย์นักบวชผู้ก่อกาเนิด
ธรรมยุติกนิกาย ธารงศาสนาพุทธไว้ให้ม่ันคงแข็งแรงด้วยวัตรปฏิบัติ
เคร่งครัดสืบทอดพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองจนกระท่ังทุกวันนี้ และหาก
จะกล่าวถึงความรู้ความสามารถพระอัจฉริยภาพในทางวิชาการยุคใหม่
พระองคก์ ็ไมท่ รงดอ้ ยนอ้ ยหน้าใครโดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ ดารา
ศาสตร์ จนได้รับการยกย่องทรงเป็น “พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”
พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชประวัติแปลกพิสดาร พระราชกรณียกิจ
เปีย่ มพระอจั ฉริยภาพท่ีไดก้ ลา่ วไวข้ า้ งต้น พระมหากษตั ริยพ์ ระองค์น้นั คอื
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั รัชกาลท่ี 4 แหง่ ราชจกั รวี งศ์

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ จกั รวี งศ์
ชนพศิ วง พระราชประวัติ นา่ กลา่ วขาน
ออกผนวช หนรี าชภัย อย่างยาวนาน
ทรงสบื สาน การศาสนา 27 ปี
ทรงก่อเกดิ นกิ าย ธรรมยุติ
ศลี พสิ ทุ ธิ์ ตามพระธรรมวนิ ัย พสิ ษิ ฐศ์ รี
ทรงธุดงค์ เดนิ ทางไป ทั่วธาตรี
พระบารมี พบศลิ าจารึก พอ่ ขนุ รามฯ

ข้ึนครองราชย์ ทรงปกครอง แบบอารยประเทศ
พระทรงเดช เปล่ียนช่อื ชาติ เปน็ สยาม
เปลยี่ นธงชาติ เปน็ ชา้ งเผอื ก แสนงดงาม
ทกุ เขตคาม ปรบั ทนั สมยั ไทยมน่ั คง
ทรงคานวณ พยากรณ์ สุรยิ คราส
ธ ชาญฉลาด แสนแมน่ ยา สมประสงค์
ที่หวา้ กอ เมอื งประจวบ แดนไพรพง
เหตกุ ารณต์ รง ทรงพยากรณ์ เรอ่ื งอศั จรรย์

ทรงแตง่ ทตู เจรญิ พระราชไมตรี หลากหลายชาติ

คานอานาจ ชาตติ ะวนั ตก ไมแ่ ปรผนั
ทรงฝกึ ทหาร แบบยโุ รป พรอ้ มโรมรนั
คาประพันธ์ ทรงเสกสรร เลศิ วไิ ล
ตลุ าการ ทรงประยุกต์ใช้ แบบตะวนั ตก
เพ่อื พสก ทรงดแู ล และแกไ้ ข
พระอจั ฉรยิ ภาพ เลอ่ื งลอื ระบือไกล
นกิ รไทย เทดิ องคไ์ ท้ ไวน้ ิรนั ดร์
.................................................

ประสาร ธาราพรรค์ รอ้ ยกรอง

พระราชประวัติพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 เป็นพระราช
โอรสองค์ท่ี 43 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2
กับกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ทรงประสูติเม่ือวันที่
17 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ตรงกับข้ึน 14 ค่า เดือน 11 ปีชวด ฉศก จ.ศ.
1166 และมพี ระนามเรียกขานว่า “ทลู กระหม่อมฟ้าพระองค์ใหญ่”

การศกึ ษา

พระบาทสมเดจ็ พระพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย
เม่ือทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาหาความรู้ด้านอักขรภาษาไทย กับ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) แห่งวัดโมลีโลกยาราม นอกจากน้ัน
พระองคย์ ังได้ทรงศึกษาวิชาสาหรับกษัตริย์ อาทิ ตาราพิชัยสงคราม การ
ฝกึ หดั อาวุธ วชิ าคชกรรม วชิ าโหราศาตร์ อกี ทงั้ พระองคย์ งั ทรงสนพระทยั
ในการศึกษาภาษาต่างประเทศเปน็ อยา่ งยง่ิ
ในปี พ.ศ. 2355 เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา สมเด็จพระบรมชนก
นาถ พระบาทสมเด็จพระพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระราชประสงค์ที่
จะให้เป็นเกียรติอนั ยง่ิ ใหญ่ แกพ่ ระองคท์ ่ีทรงเป็นพระราชโอรสที่ทรงศกั ดิ์
เป็นเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่ โปรดให้ตั้งการพระราชพิธีมหาพิชัยมงคลสรง
สนานรบั พระปรมาภิไธย หรอื เรยี กย่อ ๆ วา่ “พระราชพธิ ีลงสรง” โดยจัด
ตามพระราชประเพณี ซึ่งเป็นการจัดอย่างถูกต้องครบถ้วนกระบวนพิธี

นับเป็นครั้งแรกท่ีจัดพิธีน้ีขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์ และพระองค์ได้รับ
พระราชทานนามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้ามงกุฎ สมมุติเทวาวงศ์ พงศอ์ ศิ วรกษัตริยข์ ัตติยราชกุมาร”

เสดจ็ ออกศกึ สงคราม

พ.ศ. 2358 สมิงสอดเบา และพวกมอญเมืองเมาะตาเลิม ก่อการ
กบฏต่อพม่า ได้พาครอบครัวเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถึง 40,000
คน สมเด็จพระบรมราชชนก รัชกาลท่ี 2 โปรดให้สมเด็จเจ้าฟ้า
มงกุฎ พระราชโอรส ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุ 11 พรรษา เป็นแม่ทัพคุม
กาลังไพร่พลไปรับครัวมอญ ท่ีด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี โดยมี
เจา้ ฟ้ากรมหลวงพิทกั ษ์มนตรีเป็นพระอภิบาล

เม่ือพระองค์ เจริญพระชนมายุได้ 13 พรรษา สมเด็จพระราชบิดา
ทรงจัดให้มีพระราช พิธีโสกันต์พระองค์ข้ึนอย่างยิ่งใหญ่ มีเขาไกรลาศสูง
เจ็ดวา มีมณฑปยอดเขา และมีขบวนแห่ตามระบอบโบราณราช
ประเพณี และในปี พ.ศ.2360 พระองค์ทรงผนวชเป็นสามเณรโดยมี
สมเดจ็ พระญาณสังวรณเ์ ป็นพระอุปชั ฌาย์และประทับ ณ วดั มหาธาตเุ ปน็
เวลา 7 เดอื น และเม่ือทรงลาผนวชก็เสด็จประทับในพระราชวังฝ่ายหน้า
พระตาหนักอยู่หน้าพระท่ีน่ังดุสิตมหาปราสาท พระองค์ทรงมีพระหฤทัย
ใฝ่ในพระพุทธศาสนาทรงเสด็จไปศึกษาธรรมะท่ีวัดอรุณราชวรารามอยู่
เนือง ๆ ครั้นเมื่อพระชนมพรรษาควรแก่การรับราชการ สมเด็จพระบรม
ชนกนาถโปรดให้ทรงเข้ารับราชการในหน้าท่ีอธบิ ดีกรมมหาดเลก็

ทรงผนวช

ในช่วงปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
บรรดาโหราจารย์ได้ทานายทายทัก สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎโชคร้ายต้องราหู
อีกท้ังมีลางร้ายคือช้างเผือกคู่บุญบารมีรัชกาลท่ี 2 ล้ม เพ่ือแก้ลางร้าย
บรรดาพระญาติเชื้อพระวงศ์จึงอันเชิญให้สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎผนวชอีกท้ัง
พระชนมายุครบอุปสมบท ได้ทรงผนวช เม่ือ พ.ศ. 2367 ณ วัดพระศรี
รัตนศาสดาราม โดยมีพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุ เป็นพระ
อปุ ฌาย์ และพระองคม์ ีพระฉายาวา่ “วชิรญาณภกิ ขุ” ประทับวดั มหาธาตุ
3 วัน แลว้ เสดจ็ จาพรรษาท่วี ัดสมอราย (วดั ราชาธริ าช)

พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชได้ 2 สัปดาห์ สมเด็จพระบรมราช
ชนก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระประชวร
กะทนั หัน มพี ระอาการอ่อนซมึ มึนและเมอ่ื ยพระองค์ได้เสวยพระโอสถชอื่
ไนเพชรซ่ึงพระองค์เคยเสวย คร้ันเสวยแล้วเกิดพระอาการร้อนเป็นกาลัง
จึงเสวยพระโอสถอีกขนานชื่อทพิ ยโ์ อสถ พระอาการกไ็ มค่ ลาย เอย่ กระแส
พระราชดารัสไม่ได้ ยังมิทันมอบหมายราชสมบัติให้แก่ผู้ใดก็เสด็จ
สวรรคตเมื่อวันพุธ เดือน 8 แรม 11 ค่า เวลาย่าค่าแล้ว 5 บาท ปีวอก
จ.ศ. 1186 พ.ศ. 2367
พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจ้าอยู่หวั ขน้ึ ครองราชย์

พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อย่หู ัว

ในฐานะท่ีพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎทรงเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ใน
สมเด็จพระบรมราชินี ดังนั้น ราชบัลลังก์จึงสมควรเป็นของพระองค์ แต่
ในขณะนั้นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ พระราชโอรสองค์
ใหญ่ที่ประสูติจากพระสนมเจ้าจอมมารดาเรียม มีพระอานาจเหนือผู้ใด
ทาใหพ้ ระบรมวงศานุวงศแ์ ละขุนนางผใู้ หญต่ า่ งพากนั เหน็ วา่ พระเจา้ ลูกยา
เธอกรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์สมควรจะครองราชสมบัติรักษาแผ่นดินสืบ
บรมราชตระกูลต่อไป จึงอันเชิญเสด็จข้ึนเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงพระ
นามว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ช่วงการเปล่ียนแปลง
แผ่นดินพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎได้ถูกควบคุมพระองค์ไว้ในโบสถ์วัดพระศรี
รัตนศาสดาราม เมื่อเหตุการณ์สงบก็ได้รับการปล่อยตัวให้เสด็จกลับจา
พรรษาอยู่ท่ีวัดสมอรายตามเดิม รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3 พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎจึงครองเพศบรรพชิตตลอด
รัชกาล ซ่ึงกินเวลาถึง 27 ปี โดยจาพรรษาอยู่วัดมหาธาตุ วัดสมอราย
12 ปี 6 เดือน และทรงครองวัดบวรนเิ วศวิหารเป็นเวลา 14 ปี 3 เดอื น

วัดสมอรายหรือวดั ราชาธวิ าส

ในพรรษาแรกพระภิกษุสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎได้ทรงศึกษาทาง
สมถวิปัสสนาท่ีวัดสมอราย 1 ปี และในพรรษาต่อมาได้ศึกษาสมถวิปัส
สนาต่อท่ีวัดพลับ(วัดราชสิทธ์ิ) พระองค์ศึกษาได้รวดเร็วจน
แตกฉาน ตอ่ มาได้หนั มาศกึ ษาทางดา้ นคันถะธุระพระไตรปิฎก พระธรรม

วินัย พระปริยัติธรรม จากพระวิเชียรปรีชา (ภู่) เป็นเวลา 3 ปี จนมี
ความรแู้ ตกฉานและสามารถแปลพระปรยิ ตั ธิ รรมไดค้ ลอ่ งแคลว่ รวดเรว็ จน
กิตติศัพท์เล่าลือว่า พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ออกทรงผนวชได้เพียงไม่กี่
พรรษาก็สามารถแปลพระไตรปิฎกได้เช่ียวชาญแตกฉาน จนความทราบ
ไปถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์
ทรงปิติยินดีและโปรดให้พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเข้าแปลพระปริยัติธรรม
หน้าพระที่น่ังโดยพระราชาคณะผู้ใหญ่เป็นองค์คณะผู้สอบไล่พระปริยัติ
ธรรมซง่ึ ทรงแปลถึงประโยค 4 จึงทรงยตุ ิ เน่อื งจากทรงได้ยินเสยี งกระซิบ
แสดงความไม่พอพระทยั ในการแปลพระปรยิ ตั ิธรรมของพระองคจ์ ากกรม
หลวงรักษ์รณเรศ(หม่อมเจ้าไกรสร โอรสรัชกาลที่ 1 ) ในการแปลครั้งนี้
นับว่าเป็นครั้งแรกในประวิติศาสตร์ท่ีมีพระภิกษุที่เป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
เข้าแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระที่นั่งพระมหากษัตริย์ ต่อมา
พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หัว ไดท้ รงแตง่ ตงั้ พระภกิ ษเุ จา้ ฟา้ มงกฎุ
เป็นพระราชาคณะและเป็นคณะกรรมการผู้สอบไล่พระปริยัติธรรมของ
คณะสงฆ์ไทยด้วยพระองค์หน่ึง

วัดมหาธาตยุ วุ ราษฎรร์ งั สฤษฎ์ิ

ปีระกา พ.ศ. 2368 ทรงย้ายจากวัดสมอรายมาจาพรรษา ณ วัด
มหาธาตุ จากที่พระองคไ์ ด้ทรงศกึ ษาภาษามคธในพระคมั ภีร์พระไตรปฎิ ก
โดยละเอยี ดทุกฉบับทงั้ ทรงสอบสวนข้อธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา ทรง
พบว่าวินัยลัทธิที่พระสงฆ์ไทยประพฤติปฏิบัติกันอยู่โดยมากในเวลานั้น
คลาดเคลือ่ นจากพระพุทธบญั ญัติเปน็ อนั มาก พระองค์จงึ ทรงใคร่ครวญท่ี
จะหาผ้มู ีความรู้แตกฉานเชยี่ วชาญในพระธรรมวนิ ยั และไตรปฎิ กตามพระ
พุทธบัญญัติที่แท้จริง และต่อมาก็ทรงได้ทราบข่าวว่ามีพระมอญรูปหน่ึง
ชื่อ ชาย ซึ่งภาษาไทย แปลว่าผ้ึง มีฉายาทางพระว่า “พุทธวังโส” เป็น

พระราชาคณะมอญ มีสมณศักดิ์ “พระสุเมธาจารย์” เป็นผู้เชี่ยวชาญลุ่ม
ลึกในพระธรรมวินัยพระไตรปิฎกย่ิงนัก โดยเข้ามาจาพรรษา ณ วัดบวร
มงคล ฝ่ังตรงข้ามกับวัดมหาธาตุ และเมื่อพระองค์ได้เสด็จไปหาแล้วทรง
ธรรมสากัจฉา ซักถามพระธรรมวินัย พระสุเมธาจารย์ก็ตอบได้อย่าง
ชัดเจนแจ่มแจ้งเป็นที่พอพระทัยยิ่งนัก บังเกิดความเลื่อมใสในลัทธิอย่าง
มอญ และทรงตั้งพระทัยที่จะทรงปฏิบัติพระธรรมวินัยในลัทธิของมอญ
ตัง้ แต่บดั น้ันเป็นต้นมา

วัดสมอราย วดั ราชาธวิ าสราชวรวิหาร

ในปี พ.ศ. 2372พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎได้ออกจากวัดมหาธาตุมา
ประทับจาพรรษาท่ีวัดสมอราย และได้ต้ังคณะธรรมยุติกนิกายข้ึนโดยมี
พระท่มี ารว่ มประพฤตวิ ินัยอยา่ งเครง่ ครัดเปน็ พระเถระผ้เู ปน็ ต้นวงศ์ธรรม
ยุติ 10 รูป อาทิ พระปัญญาอัคคเถระ คือสมเด็จพระสมณเจ้ากรมพระ
ยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร พระปุสสเถระ คือ สมเด็จ
พระสังฆราช (สา) วัดราชประดิษฐ์ พระพุทธสิริเถระ คือ สมเด็จพระวัน
รัต (ทับ) เป็นต้น อีกท้ังทรงให้การบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรที่ศรัทธา
เลื่อมใสและทรงสงเคราะห์คฤหัสถ์ด้วยธรรมกถาอนุสาสโนวาทในธรรม
วินัยสวนะ ทรงเปลี่ยนแปลงวธิ คี รองผ้าเปน็ ครองแหวกตามอยา่ งพระสงฆ์
รามัญ ทรงทานุบารุงการปฏิบัติของสงฆ์ให้ต้ังอยู่ในสังวร ไม่งมงายนา

ไสยศาสตร์มาเก่ียวข้อง ใช้ความตริตรองให้เห็นประโยชน์แห่งการปฏิบัติ
โดยเครง่ ครัดในธรรมวินยั

สงั ฆราชปัลเลกวั ส์(Pallegoiux)
ในคร้ังท่ีพระองค์ประทับอยู่ ณ วัดสมอราย ได้ทรงรู้จักกับท่าน
สังฆราชปัลเลกัวส์(Pallegoiux) ชาติฝรั่งเศส ท่านสังฆราชได้สอนภาษา
ลาตินให้กับพระองค์ โดยพระองค์ได้ทรงสอนภาษาบาลีเป็นการ
แลกเปลี่ยน อีกทั้งเม่ือประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศ พระองค์ได้ทรงติดต่อ
หมอสอนศาสนานิกายโปรแตสแตนท์ชาวอเมริกา คือด๊อกเตอร์คาสเวลล์
(Caswell) บรัดเล (Bradley)และเฮาซ์ (House) พระองค์ได้ศึกษา
ภาษาอังกฤษกับท่านเหล่าน้ี ได้ทรงเรียนพูดและเขียนได้อย่าง

คล่องแคล่ว นอกจากน้ันพวกหมอสอนศาสนาได้ช่วยเหลือพระองค์ใน
การศกึ ษาวิทยาการแผนใหม่ โดยเฉพาะอย่างย่ิงวิชาภูมิศาสตร์และดารา
ศาสตร์ซึ่งพระองคส์ นพระทัยเป็นอนั มาก

พระปฐมเจดยี ์
ปี พ.ศ. 2374 พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎได้เสด็จไปยังเมืองนครชัยศรี
(จังหวัดนครปฐม)นมัสการพระปฐมเจดีย์ ซ่ึงในสมัยนั้นเดินทางไป
ยากลาบากเพราะเป็นป่ารกชัฏ พระองคท์ รงเล่อื มใสและเชือ่ ถือวา่ คงเป็น
เจดีย์สถานของเก่า และใหญ่โตม่ันคงย่ิงกว่าพระเจดียฐานในเขตแดน

สยาม และทรงคาดว่าน่าจะมีพระบรมธาตุของสมเด็จผู้มีพระภาคเจ้า
ประดิษฐาน ณ เจดียแ์ ห่งน้ี

พระสมั พทุ ธพรรณี
พระองค์ได้ทรงอธิษฐานขอให้เทพยดาผู้ทรงรักษาพระมหาเจดีย์น้ี
จงมเี มตตากรณุ าแบ่งพระบรมธาตุ 2 องค์ เพ่ือนาไปบรรจุในพระพุทธรูป
ท่ีหล่อใหม่ มีพระนามว่า “พระสัมพุทธพรรณี” และบรรจุในพระเจดีย์
ทองเหลืองหุ้มเงินองค์หนึ่ง เพื่อไว้เป็นที่เคารพบูชาในกรุงเทพฯ ต่อไป
โดยตั้งพานแก้วไว้ในโพรงพระเจดียฐานด้านตะวันออก แต่เม่ือนาพาน

กลับมาก็หามีส่ิงใดไม่ ต่อเม่ือเสด็จนิวัติกลับกรุงเทพฯมาได้เดือนเศษ ณ
หอพระวัดมหาธาตุได้เกิดอัศจรรย์ ประมาณเวลา 5 ทุ่ม ขณะที่พระสงฆ์
สวดมนตรไ์ ดป้ รากฏควนั สีแดงคลุ้งขน้ึ และมกี ล่ินหอมเหมือนควนั ธปู เทยี น
บริเวณพระพุทธรูปประธานพระพุทธเนาวรัตน์ จนดูพระองค์เป็นสีแดง
เหมือนสีนาก วันรุ่งขึ้นพระสงฆ์ในวัดมหาธาตุได้นาความขึ้นกราบทูลให้
พระองค์ทรงทราบ พระองค์จึงเสด็จลงมาทอดพระเนตรพระพุทธ
เนาวรัตน์ทรงเห็นมีพระบรมสาริกธาตุที่บรรจุในองค์พระพุทธรูปน้ันมี
จานวนมากข้ึนกว่าเก่า 2 องค์ เป็นอัศจรรย์และเมื่อเสด็จดารงสิริราช
สมบัติแล้วจึงโปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์พระปฐมเจดีย์เป็นการใหญ่โดย
สร้างเป็นพระเจดียอ์ งคใ์ หญ่ครอบองค์เดมิ ไว้ท้ังองค์
เสดจ็ ธดุ งคส์ ุโขทยั พบพระแท่นมนงั คศลิ าบาตรและศลิ าจารกึ พ่อขนุ รามฯ

พระแทน่ มนงั คศลิ าบาตร

ในปี พ.ศ.2376 พระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎได้เสด็จธุดงค์ไปยังจังหวัด
สุโขทัย ได้เสด็จไปบริเวณเมืองเก่า ทรงพบแท่นศิลาอันใหญ่ต้ังอยู่ใกล้
ปราสาทเกา่ ซึง่ เป็นสิ่งทปี่ ระชาชนในแถบนนั้ นับถอื เปน็ ของศักดส์ิ ิทธ์

หลกั ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง
นอกจากแทน่ หินแล้วยังทรงพบหลักศิลาจารึกอีก 2 หลัก หลักหนึ่ง
จารึกเป็นอักษรขอม อีกหลักหนึ่งจารึกเป็นภาษาไทยโบราณ พระองค์
โปรดให้นาพระแท่นและหลักศิลาท้ัง 2 หลักลงมากรุงเทพฯ มา
ประดิษฐานไว้ท่ีวัดสมอราย ซ่ึงพระแท่นศิลาน้ันคือ พระแท่นมนังคศิลา
บาตรในสมัยพ่อขุนรามคาแหง ส่วนจารึกหลักท่ีเป็นอักษรขอมจารึกใน
สมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย ส่วนหลักศิลาจารึกอักษรไทยโบราณเป็น

หลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคาแหง ซ่ึงต่อมาเป็นหลักฐานสาคัญทาง
ประวัตศิ าสตรแ์ ละอกั ษรศาสตรใ์ นสมยั สุโขทัย ภายหลงั พอ่ ขนุ รามคาแหง
จึงได้รบั การยกย่องเปน็ “พ่อขุนรามคาแหงมหาราช” เนอ่ื งจากศลิ าจารกึ
ทพ่ี ระภกิ ษเุ จ้าฟ้ามงกฎุ นากลบั มาจากสโุ ขทยั น่นั เอง

พระราชวงั นารายณร์ าชนเิ วศน์ ลพบรุ ี
จากการเสด็จธุดงค์ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ได้ทรงค้นพบหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์ท่ีสาคัญหลายประการ และโบราณสถานทรงคุณค่า เมื่อ
พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แล้วกโ็ ปรดให้ซอ่ มแซมโบราณสถานในจังหวัดท่ี
เคยเสด็จธุดงค์ อาทิ ซ่อมแซมพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ท่ี
ลพบรุ ี พระพุทธบาทท่ีสระบรุ ี วิหารวัดพระพทุ ธชนิ ราชท่ีพิษณุโลก

วัดบวรนเิ วศวิหาร

เม่ือพระเทพโมลี (สิน) เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารลาสิกขาบท
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงอาราธนาพระภิกษุสมเด็จ
เจา้ ฟา้ มงกุฎ ซ่ึงผนวชประทับอยู่วดั สมอราย ใหเ้ สด็จมาครองวดั บวรนิเวศ
วิหาร และทรงสรา้ งพระตาหนักพระราชทาน คือ พระตาหนักป้ันหยาตึก
ฝรั่งพื้น 3 ชนั้ และพระองคเ์ สด็จมาอยูค่ รองวดั น้เี มอื่ วนั พุธที่ 11 มกราคม
2379 วัดบวรนิเวศซ่ึงคนท่ัวไปเรียกกันว่า “วัดบน” เมื่อเสด็จประทับจา
พรรษา ณ วัดแห่งนี้ทรงตั้งขนบธรรมเนียมไว้สาหรับวัดคือ ตั้งการ
นมัสการพระเป็นการทาวัตรทั้งเช้า ค่า ประจาวัน พระองค์ทรงแต่งคา
นมัสการขน้ึ ใหมเ่ ปน็ ภาษามคธ เปน็ คาร้อยแกว้ เปน็ พระคาถา และนิยมใช้
กันแพร่หลายต่อมาทั้งทรงต้ังการทาบูชาพิเศษในอภิลักขิตสมัยแห่ง
สมเดจ็ พระบรมศาสดา คอื ทามาฆบชู าในเพญ็ เดอื น 3 และวิสาขบูชาใน
เพ็ญเดือน 6 ทรงชักนาการบาเพ็ญกุศลต่าง ๆ อย่างอ่ืนอีกตามเทศกาล

อาทิ ถวายสลากภัตรหน้าผลไม้ ถวายผ้าจานาพรรษาเมื่อออก
พรรษา นอกจากนัน้ ยังทรงบารุงการเรยี นพระปริยตั ิธรรมใหร้ ุ่งเรือง

พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจา้ อยูห่ วั
ปี พ.ศ.2394 พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระ
ประชวร มีพระอาการปรากฏให้เห็นคือพระบังคลเบาขุ่นข้นเป็นตะกอน
พระวรกายกท็ รุดโทรม บรรทมไมห่ ลบั ให้ทรงคล่นื เหยี น เสวยพระกระยา
หารไม่ค่อยได้ ไม่สบายพระองค์ ถึงประชุมแพทย์พระโอสถอาการก็ไม่ดี
จึงเสด็จแปรพระราชฐานจากพระท่ีน่ังจักรพรรดิพิมานองค์ตะวันออกซ่ึง
เป็นท่ีบรรทมแต่เดิมมาประทับอยู่ ณ พระท่ีน่ังตะวันตก เม่ือพระอาการ
ทรุดหนักโดยลาดับใกล้สวรรคตพระองค์มิได้แต่งต้ังองค์รัชทายาทด้วย

พระองค์เองทั้ง ๆที่พระองค์มีพระราชโอรสและพระราชธิดา รวมท้ังส้ิน
51 พระองค์ โดยประสูติก่อนพระบรมราชาภิเษก 38 พระองค์ และ
ประสูติเม่ือบรมราชาภิเษกแล้ว 13 พระองค์ แต่กลับทรงพระราชทาน
พระบรมราชานุญาตให้พระบรมวงศานุวงศ์คณะเสนาบดีขุนนางผู้ใหญ่
เลอื กพระเจา้ แผน่ ดินตามเห็นสมควร

ครน้ั ถงึ วันพุธ เดือน 5 ปีกนุ โทศก จุลศกั ราช 1212 เวลา 8 ทุ่ม หา้
บาท ซ่ึงตรงกับ วันท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2394 พระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้า
เจา้ อย่หู ัวเสดจ็ สวรรคต
ขึ้นครองราชย์

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวขน้ึ ครองราชย์

พระภกิ ษเุ จ้าฟา้ มงกุฎ

เม่ือส้นิ รชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกล้าเจา้ อยหู่ วั พระบรมวงศา
นุวงศ์และคณะเสนาบดีได้ประชมุ พร้อมกันมมี ติใหอ้ ันเชญิ พระภกิ ษเุ จา้ ฟา้
มงกฎุ ขน้ึ ครองราชย์ วันรุง่ ขึ้นเจา้ พระยาพระคลัง (ดิส บุนนาค) ว่าท่ีสมุห
กลาโหม และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ได้ไปท่ีวัดบวรนิเวศน์เพื่ออันเชิญ
พระภกิ ษเุ จ้าฟ้ามงกุฎข้นึ ครองราชย์ พระองค์ทรงรับอาราธนาดว้ ยดุษณยี
ภาพยนิ ดีจะเป็นพระมหากษัตริย์จึงเสด็จออกจากวัดบวรนิเวศไปประทับ
อยูใ่ นวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม พระบรมมหาราชวังในคา่ วันนัน้ และวันที่
5 พฤษภาคม 2394 พระองค์ทรงลาผนวชต่อหน้าพระราชาคณะ
ฐานานุกรมเปรียญ 30 รูป อันเป็นพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย แล้วเสด็จไป
ประทับ ณ พลับพลา หน้าคลังศุภรัตน์ข้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พอ
ถึงวันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม 2394 พระองค์เสด็จสรงน้ามุรธาภิเษก

ในการพระราชพิธีบรมราชาภเิ ษก และเสดจ็ เฉลมิ พระราชมณเฑียรสถาน
ตามโบราณขัตติยราชประเพณี มีจารึกพระบรมนามาภิไธยในพระ
สุพรรณบัตรวา่

“พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ สุทธิสมมุติเทพยพง
ศวงศาดศิ รกษตั ริย์ วรขัตตยิ ราชนกิ โรดม จาตรุ นั ตบรมมหาจักรพรรดิราช
สังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธิเคราะหณีจักรีบรมนารถ อดิศวรราชรามวรัง
กูล สุจริตมูลสุสาธิตอุกฤษฐวิบูลย บุรพาดูลยกฤษฎาภินิหาร สุภาธิการ
รังสฤษดิ ธัญญลักษณ์ วิจิตรโสภาคสรรพางค์ มหาชนโนตมางค
ประนต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพสุภผลอุดม บรมสุขุมาลยมหา
บุรุษยรัตน ศึกษาพิพัฒนสรรพโกศล สุวิสุทธิวิมล ศุภศีลสมาจารย์ เพ็ช
รญาณประภาไพโรจน์ อเนกโกฏิสาธุคุณวิบูลยสันดาน ทิพยเทพาวตาร
ไพศาลเกียรติคุณอดุลยพิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์เอกอัครมหาบุรุษ สุต
พุทธมหากระวีตรี ปิฎกาทิโกศล วิมลปรีชามหาอุดมบันฑิต สุนทรวิจิตร
ป ฏิ ภ า ณ บ ริ บู ร ณ์ คุ ณ ส า รั ส ย า ม า ทิ โ ล ก ย ดิ ล ก ม ห า ป ริ ว า ร
นายก อนันต์ มหันตวรฤทธิเดช สรรพวิเศษสิรินทร มหาชนนิกรสโมสร
สมมติ ประสทิ ธิวรยศมโหดมบรมราชสมบตั ินพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริ
รตั โนปลกั ษณม์ หาบรมราชาภเิ ศกาภิษิต สรรพทศทศิ วิชัตชัย สกลมไหศว
ริยมหาสวามินทรมเหศวรมหนิ ทรมหาราชาธริ าชวโรดม บรมนารถชาตอิ า
ชาวศรยั พทุ ธาทไิ ตรรัตนสรณารกั ษ์ อุกฤษฐศกั ด์ิอคั รนเรศราธบิ ดี เมตตา
ก รุ ณ า สี ต ล ห ฤ ทั ย อ โ น ป มั ย บุ ญ ก า ร ส ก ล ไ พ ศ า ล ม ห า รั ษ ฎ า
ธิเบนทร ปรเมนทรธรรมิกมหาราชาธิราชบรมนารถบรมบพิตร พระจอม
เกลา้ เจ้าอยหู่ ัวฯเสดจ็ เถลงิ ถวัลราชย์ในพระบรมมหาราชวงั กรุงเทพฯ

กรมหลวงรกั ษรณเรศ (หม่อมเจ้าไกรสร)

การขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลท่ี 4 ใช่จะราบรื่นโดยง่ายดาย ได้มีผู้แสดงตนเป็นศตรูขัดขวางคือ
กรมหลวงรักษรณเรศ (หมอ่ มเจ้าไกรสร) พระโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระ
พุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 กับเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว ธิดาพระ
จักรีเมืองนครราช ศรีธรรมราช ซึ่งได้แสดงตนเป็นศตรูกับพระองค์ตั้งแต่
คราวที่เสด็จแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระที่น่ังรัชกาลที่ 3 เม่ือพระองค์
ได้รับความเห็นชอบจากพระบรมวาศานุวงศ์ให้ข้ึนครองราชย์ทาให้กรม
หลวงรักษรณเรศไมเ่ ห็นชอบไมพ่ อพระทยั จงึ นากาลงั ขดั ขวางทา้ ยสดุ กรม
หลวงรกั ษรณเรศก็ถูกจับและถกู ลงพระราชอาญาสาเร็จโทษ

ทรงแต่งตั้งเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระอนุชาให้ดารงพระยศเสมอ
ด้วยพระมหากษตั รยิ ์

พระบาทสมเด็จพระปิน่ เกลา้ เจา้ อยู่หวั
เมื่อพระองค์ได้ข้ึนครองราชย์แล้ว ทรงแต่งต้ังเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศ
รงั สรรค์ พระอนุชาให้ดารงพระยศเสมอด้วยพระมหากษัตริย์อีกพระองค์
หน่ึง ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว แทนท่ีจะ
แต่งต้ังให้ข้ึนเป็นสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯตามประเพณีสืบมาเพราะ
ทรงมีความรักใคร่ผูกพันเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาแต่ก่อน ท้ังทรงมีพระ
ป รี ช า ส า ม า ร ถ ร อ บ รู้ ก า ร ใ น พ ร ะ น ค ร แ ล ะ ก า ร ต่ า ง ป ร ะ เ ท ศ ท้ั ง
ขนบธรรมเนียมและศิลปศาสตร์เป็นอันมากทั้งพระบรมวงศานุวงศ์และ
เสนาบดนี ยิ มยินดนี ับถอื โดยท่วั กัน

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเสวยราชย์ เม่ือ
พ.ศ. 2394 ซ่งึ ในชว่ งแรกของการขน้ึ ครองราชยน์ ับวา่ เป็นระยะหวั เล้ยี ว
หัวต่อที่สาคัญย่ิงของประเทศ มหาอานาจในยุโรปแผ่อิทธิพลเข้า
ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ในทวีปเอเชีย พระองค์ทรงหาหนทาง
แก้ไขโดยทรงปรับเปล่ียนทัศนะในการปกครองประเทศโดยทรง
ผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออกคือพร้อมรับอารยธรรม
สมัยใหม่แบบตะวันตกท้ังวางพระองค์ประดุจดังบิดาของประชาชนแบบ
ตะวันออก พระองค์ทรงมีบุญคุณต่อประเทศชาติอย่างอเนกอนันต์ ทรง
เป็นอัจฉริยกษัตริย์นาประเทศชาติให้พ้นจากการเข้าครอบครองของนัก
ล่าอาณานคิ มตะวันตกอาทิ อังกฤษ ฝร่ังเศส

พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว

พระองค์เป็นกษัตริย์ในแถบเอเชียเพียงพระองค์เดียวที่สามารถนา
ประเทศชาติให้รอดพ้นจากบรรดานักล่าอาณานิคม ทรงรักษาอิสรภาพ
ของประเทศไทยไว้ได้โดยศึกษาบทเรียนจากประเทศอื่น ๆ ท่ีต้องตกเป็น
เมืองขึน้ อนั เนื่องจากมีวิเทโศบายท่ีผดิ พลาดปิดประเทศไม่ยอมรบั อทิ ธพิ ล
ของประเทศทางตะวันตก พระองค์ทรงคิดว่าวิธีเดียวท่ีประเทศไทยจะคง
อย่ไู ด้ก็คอื ต้องพยายามรบั เอาอทิ ธิพล ความรู้ การปกครองของตะวันตก
มาประยุกต์พัฒนาปรับปรุงประเทศชาติให้ทันสมัย พระองค์ทรง
ตระหนักดีถึงผลที่เกิดข้ึนในประเทศจีน เมื่อประเทศน้ันพยายามผลักดัน
ชาวตะวันตกออกไป ทรงทราบดีว่าประเทศจีนแพ้ในสงคราม
ฝิ่น ประเทศไทยต้องไม่ทาตามอย่างจีนต้องยกเลิกการอยู่อย่างโดด
เดีย่ ว อยา่ งทเี่ คยทากนั มา ตอ้ งยอมเปดิ ประเทศทาการคา้ กับตา่ งชาตแิ ละ

รับความคิดเห็นใหม่ ๆ แก้ไขเปลี่ยนแปลงประเพณีอันล้าสมัยของ
ตน ทั้งจาต้องศึกษาหาความรู้เข้าใจในวิชาการ ความคิด และการ
ปกครองบ้านเมืองแบบตะวันตก ด้วยการทรงวางนโยบายการปกครองที่
ฉลาดล้าลึกยากท่ีจะหาผู้ใดเสมอเหมือน นอกจากนี้พระองค์ยังทรง
ยอมรับฟงั ความคิดเห็นของคนสว่ นใหญท่ งั้ ไดท้ รงจดั ระบบการปกครองให้
ทันสมัยทัดเทียมกับอารยประเทศ และยังทรงเป็นผู้นาที่ก้าวหน้าทาง
วิทยาการแผนใหม่ ทาให้ชาติไทยเจริญก้าวหน้ารอดพ้นจากการตกเป็น
เมืองขนึ้ ของนักลา่ อาณานิคมตะวันตก

กระบวนเสด็จรชั กาลท่ี 4 เสดจ็ ไปยงั วดั พระเชตุพลวมิ ลมงั คลาราม

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ
เปน็ อเนกอนนั ต์หาทส่ี ุดมไิ ด้ ด้วยพระราชกรณียกิจใหญ่น้อยท้ังปวงท่ีทรง
กระทาอันแสดงถึงพระอัจฉริยะของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง
การทูต หรือทางด้านวิชาการ ซึ่งจะหามหากษัตริย์ท่ีพระปรีชาสามารถ
เทียบเท่าพระองค์ได้ยากยิ่งและพระราชกรณียกิจที่สาคัญอันทาให้
ป ระเ ทศ ชาติอยู่รอดป ลอดภัยป ร ะชาไ ทยป ระสบ สุข เ ป็นผลมา จา ก
หลกั ธรรมทางศาสนาประกอบกบั การใชช้ วี ิตในระหวา่ งที่ทรงผนวชท่ีต้อง
คลุกคลีกับสามัญชน จึงทาให้พระองค์ท่านทรงเมตตาต่อราษฎรของ
พระองคอ์ ย่างแทจ้ ริง ทรงเหน็ ว่าไมม่ ีประโยชน์ที่จะไปยึดตามโบราณราช
ประเพณีที่มุ่งจะรักษาความปลอดภัยโดยการห้ามราษฎรเฝ้าใกล้ชิดและ

มองดูพระมหากษัตริย์ของตน จึงมีพระราชดาริเปิดโอกาสให้แก้ไขตาม
ความเหมาะสม
พระราชลัญจกรรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว

พระราชลญั จกรประจารชั กาลท่ี 4
เรยี กวา่ พระราชลญั จกรพระมหามงกุฎ ลักษณะเป็นรูปกลมรี ลาย
กลางเป็นรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ อันเป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรม
นามาภไิ ธยวา่ "มงกุฎ" ซึ่งเป็นศิราภรณ์สาคัญของพระมหากษัตริย์ อยู่ใน
เครอื่ งเบญจราชกุธภณั ฑ์ มีฉตั รบรวิ ารต้ังขนาบข้างท่ีรมิ ขอบทั้งสองข้าง มี
พานทองสองช้ันวางพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหน่ึง สมุดตาราข้าง
หนึ่ง รูปพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรนี้มาจากฉายาเมื่อผนวชว่า "วชิร
ญาณ" ส่วนสมุดตารามาจากเหตุที่ได้ทรงศึกษาเช่ียวชาญในทางอักษร
ศาสตร์และดาราศาสตร์ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่
แนวนอน กว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 6.8 เซนตเิ มตร

พระบรมราชอสิ รยิ ยศ

 สมเดจ็ พระเจา้ หลานเธอ เจา้ ฟา้ (18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 - 8
มนี าคม พ.ศ. 2356)

 สมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอ เจ้าฟา้ มงกฎุ สมมตเิ ทววงศ์ พงศอ์ ศิ วร
กษัตรยิ ์ วรขตั ติยราชกมุ าร (8 มนี าคม พ.ศ. 2356 - 7 กรกฎาคม
พ.ศ. 2367)

 สมเดจ็ พระเจ้านอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ มกฎุ สมมตวิ งศ์ พระวชริ ญาณมหา
เถร (7 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 - 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2394)

 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎฯ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั
(15 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 - 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2459)

ภายหลงั การสวรรคต

 พระบาทสมเด็จพระรามาธบิ ดศี รสี ินทรมหามงกฎุ พระจอมเกลา้
เจา้ อยหู่ วั (11 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2459 - สมยั รชั กาลท่ี 7)

 พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหามงกฎุ ฯ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
(สมยั รชั กาลที่ 7 - 18 ตลุ าคม พ.ศ. 2562)

 พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรรามาธบิ ดศี รสี นิ ทรมหามงกฎุ พระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกฏุ วทิ ยมหาราช (18
ตลุ าคม พ.ศ. 2562 - ปัจจบุ นั )

เครือ่ งราชอิสรยิ าภรณ์
เครื่องราชอสิ รยิ าภรณไ์ ทย

 พ.ศ. 2404 – เครอ่ื งราชอิสริยาภรณอ์ นั เปน็ โบราณมงคล

นพรตั นราชวราภรณ์ (น.ร.) (ฝา่ ยหน้า)

 พ.ศ. 2404 – เครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณอ์ ันเปน็ ทเ่ี ชดิ ชยู งิ่

ช้างเผอื ก ชนั้ ที่ 1 ประถมาภรณช์ า้ งเผือก (ป.ช.)

 ดาราไอยราพต (เครือ่ งตน้ )

 ดาราไอยราพต (องคร์ อง)

เคร่ืองอิสรยิ าภรณต์ า่ งประเทศ

 ฝรง่ั เศส : เครอ่ื งอิสรยิ าภรณเ์ ลฌยี งดอเนอร์ ชน้ั

ประถมาภรณ์ (พ.ศ. 2406)

พระราชสมญั ญานาม

 พระบดิ าแห่งวทิ ยาศาสตรไ์ ทย
 พระสยามเทวมหามกฏุ วทิ ยมหาราช

ชนั้ ยศ

 จอมพล
 จอมพลเรอื
 จอมพลอากาศ

ธรรมเนยี มพระยศของ
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั

ธงประจาพระอสิ รยิ ยศ

ตราประจาพระองค์
การทลู ใตฝ้ า่ ละอองธุลพี ระบาท
การแทนตน ขา้ พระพทุ ธเจา้
การขานรบั พระพทุ ธเจา้ ขา้ ขอรบั /เพคะ

พระพทุ ธรปู ประจารัชกาลท่ี 4

พระชยั วัฒน์พระประจารชั กาลท่ี 4
และ พระชยั เนาวโลหะ(พระชยั นวโลหะเนอื้ สมั ฤทธเ์ิ หลอื ง)

วัดประจารชั กาลที่ 4

วดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี าราม
วดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี าราม เปน็ พระอารามหลวงชน้ั เอก ชนดิ
ราชวรวิหาร ท่ีพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ให้
สรา้ งขน้ึ ตามธรรมเนยี มประเพณโี บราณทวี่ า่ ในราชธานจี ะตอ้ งมวี ัด
สาคญั ประจา 3 วดั คอื วดั มหาธาตุ วดั ราชบรู ณะ และวดั ราชประดษิ ฐาน
เชน่ ท่ีสโุ ขทยั สวรรคโลก พษิ ณุโลก และพระนครศรอี ยธุ ยา แต่ในสมยั
รตั นโกสนิ ทร์ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท กรมพระราชวงั บวร
สถานมงคลในรชั กาลที่ 1 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนาวัดสลกั เปน็ วัด
นิพพานารามและเปลย่ี นเปน็ วดั พระศรีสรรเพชญ์ แตต่ อ่ มามพี ระราชดาริ

ว่า ในกรงุ เทพฯ ยงั ไมม่ ีวดั มหาธาตุ จงึ เปลยี่ นชอ่ื วัดพระศรีสรรเพชญเ์ ปน็
วดั มหาธาตุ และพระสมั พันธวงศเ์ ธอ กรมหลวงเทพหรริ กั ษ์ พระโอรสใน
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระศรสี ดุ ารกั ษ์ พระเชษฐภคนิ ีใน
รชั กาลท่ี 1 ทรงบูรณะวดั เลยี บ ต่อมา ไดน้ ามวา่ วดั ราชบรู ณะ ยงั คงขาด
แตว่ ัดราชประดษิ ฐฯ เทา่ นน้ั จงึ ทรงสรา้ งขน้ึ ใหม่เพื่อใหค้ รบตามโบราณ
ราชประเพณี และเพื่อพระอทุ ศิ ถวายแกพ่ ระสงฆฝ์ ่ายธรรมยตุ ิกนกิ าย
เพ่อื ท่พี ระองคเ์ องและเจ้านาย ขา้ ราชการ ทจี่ ะไปทาบญุ ทว่ี ดั ฝา่ ย
ธรรมยตุ ิกนกิ ายใกล้พระบรมมหาราชวงั ไดส้ ะดวก วดั ราชประดษิ ฐจงึ เปน็
วดั ฝา่ ยธรรมยตุ กิ นกิ ายวัดแรกท่ีสรา้ งขน้ึ เพอื่ พระสงฆ์ในนกิ ายน้ี เพราะวัด
อ่ืน ๆ ของฝ่ายธรรมยุตเิ ปน็ วดั ท่แี ปลงมาจากวดั ของมหานกิ าย

รายพระนามและรายนามพระภรรยาเจา้ เจ้าจอมมารดา เจ้าจอม
ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว มพี ระภรรยาเจา้ 3 พระองค์
เจ้าจอมมารดา เจา้ จอม 56 พระองค์ รวม 59 พระองค์

พระภรรยาเจา้ พระนาม

ลาดับ พระบรมฉายาลกั ษณ์ สมเดจ็ พระนางเธอ พระองคเ์ จา้ โสมนสั วฒั นาวดี
ในทส่ี มเดจ็ พระนางนาฏบรมอรรคราชเทวี
1. ตาแหนง่ : พระอคั รมเหสี
พระนามเดมิ : หมอ่ มเจา้ โสมนัส ในพระองค์เจา้ ลักขณานคุ ุณ
พระราชสมภพ : 21 ธนั วาคม พ.ศ. 2377
สวรรคต : 10 ตุลาคม พ.ศ. 2395 (17 พรรษา)

ลาดับ พระบรมฉายาลกั ษณ์ พระนาม
2.
3. สมเดจ็ พระนางเธอ พระองคเ์ จา้ ราเพยภมราภริ มย์
ในทส่ี มเดจ็ พระนางนาถราชเทวี
ตาแหนง่ : พระอัครมเหสี
พระนามเดิม: หมอ่ มเจ้าราเพย ในกรมหม่นื มาตยาพิทกั ษ์
พระราชสมภพ : 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2377
สวรรคต : 9 กนั ยายน พ.ศ. 2404 (27 พรรษา)

หมอ่ มเจา้ พรรณราย
พระนามเดมิ : หม่อมเจ้าแฉ่ ในกรมหมื่นมาตยาพิทกั ษ์
ประสูติ : 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2381
ส้ินพระชนม์ : 22 มถิ ุนายน พ.ศ. 2457 (76 ปี)

เจ้าจอมมารดา นาม

ลาดบั รปู เจา้ จอมมารดากลน่ิ
1. ตาแหนง่ : พระสนมเอก
นามเดมิ : กลน่ิ , ซอ่ นกลนิ่ (สกุลเดิม คชเสนี)
2. เกิด : พ.ศ. 2377
ถงึ แก่อสญั กรรม : 13 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2468 (91 ปี)

เจา้ จอมมารดาเกศ, เกษ
เกดิ : พ.ศ. 2362
ถงึ แก่อสญั กรรม : 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2458 (96 ปี)[11]

ลาดบั รปู นาม
3.
4. เจ้าจอมมารดาแกว้
5. นามเดิม: แก้ว (สกลุ เดิม บรุ ณศิริ) เกิด : ไม่มขี ้อมลู
6. ถึงแก่อสญั กรรม : 24 มกราคม พ.ศ. 2444
7.
เจ้าจอมมารดาเขยี น
นามเดิม: เขียน (สกุลเดิม สิรวิ ันต์)
ฉายา : เขยี นอิเหนา
เกิด : พ.ศ. 2385
ถงึ แก่อสญั กรรม : พ.ศ. 2484 (99 ปี)

เจา้ จอมมารดาจนั ทร์
ตาแหนง่ : พระสนมเอกนามเดิม: จันทร์ (สกลุ เดิม สุขสถติ )
เกิด : ไม่มขี ้อมลู
ถึงแก่อสญั กรรม : 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2448[13]

เจ้าจอมมารดาชมุ่
นามเดมิ : ช่มุ (สกุลเดิม โรจนดิศ)
เกิด : พ.ศ. 2387
ถงึ แก่อสญั กรรม : 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 (80 ป)ี

เจ้าจอมมารดาเชย
เกิด : ไมม่ ีข้อมูล
ถึงแก่อสัญกรรม : 17 ธนั วาคม พ.ศ. 2451[14]

ลาดบั รปู นาม
8.
เจ้าจอมมารดาดวงคา
9. นามเดมิ : เจ้าหนมู นั่ แห่งเวยี งจันทน์
10. ฉายา : มั่นดวงคา
11. เกิด : ไมม่ ขี ้อมลู
12. ถงึ แก่อสญั กรรม : 29 ตุลาคม พ.ศ. 2449

เจ้าจอมมารดาตลับ
ตาแหน่ง : พระสนมเอก
นามเดิม: ตลบั (สกุลเดิม บุณยรัตพันธ์ุ)
เกดิ : พ.ศ. 2375
ถึงแก่อสญั กรรม : พ.ศ. 2427 (52 ปี)

เจา้ จอมมารดาเทย่ี ง
ตาแหนง่ : พระสนมเอกนามเดิม: เที่ยง (สกุลเดิม โรจนดศิ )
เกิด : 27 ธันวาคม พ.ศ. 2374
ถงึ แก่อสัญกรรม : 24 มกราคม พ.ศ. 2456 (81 ปี)

เจา้ จอมมารดานอ้ ย
นามเดิม: คณุ หญิงนอ้ ย
เกิด : 24 ตุลาคม พ.ศ. 2348ถงึ แก่อสญั กรรม : พ.ศ. 2389–2400
(ราว 41–52 ปี)

เจา้ จอมมารดาบวั
นามเดมิ : บวั (สกุลเดิม ณ นคร)
เกดิ : ไม่มีข้อมลู
ถงึ แก่อสญั กรรม : 31 มีนาคม พ.ศ. 2441

ลาดับ รปู นาม
13.
14. เจา้ จอมมารดาเปยี่ ม
15. ตาแหน่ง : พระสนมเอก[19]
นามเดิม: เปยี่ ม (สกลุ เดิม สุจรติ กุล)
16. ประสูติ : 5 มีนาคม พ.ศ. 2381
17. พิราลัย : 13 เมษายน พ.ศ. 2447 (66 ปี)

เจา้ จอมมารดาพงึ่ , ผงึ้
ตาแหนง่ : พระสนมเอกนามเดมิ : เต่า (สกลุ เดมิ อนิ ทรวมิ ล)
เกดิ : ไมม่ ขี ้อมูล
ถงึ แก่อสัญกรรม : 9 มีนาคม พ.ศ. 2433 (53 ปี)[13]

เจา้ จอมมารดาพมุ่
นามเดิม: พมุ่ (สกุลเดิม ณ ราชสมี า)
เกดิ : ไม่มขี ้อมูล
ถึงแก่อสญั กรรม : ไมม่ ขี ้อมูล

เจา้ จอมมารดาเพง็
นามเดมิ : หุ่น
ฉายา : ห่นุ เมขลา
เกิด : พ.ศ. 2386
ถงึ แก่อสญั กรรม : 28 กนั ยายน พ.ศ. 2432[20]

เจา้ จอมมารดาแพ
ตาแหนง่ : พระสนมเอก[13]
นามเดิม: แพ (สกลุ เดิม ธรรมสโรช)
เกิด : ไมม่ ขี ้อมลู
ถงึ แก่อสัญกรรม : 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2404

ลาดับ รปู นาม
18.
19. เจา้ จอมมารดามาไลย
เกดิ : ไม่มขี ้อมลู
20. ถงึ แก่อสัญกรรม : ไมม่ ขี ้อมูล
21.
เจา้ จอมมารดาวาด
ตาแหนง่ : พระสนมเอก
นามเดิม : แมว (สกุลเดมิ งามสมบัติ)
ฉายา : แมวอเิ หนา
เกิด : 11 มกราคม พ.ศ. 2384
ถงึ แก่อสัญกรรม : 25 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2482 (98 ปี)

เจ้าจอมมารดาสงั วาล
ตาแหน่ง : พระสนมโทนามเดิม: ปลอ้ ง (สกลุ เดิม ณ ราชสมี า)
สมญา : หนูสงั วาลย์
เกิด : พ.ศ. 2381
ถึงแก่อสัญกรรม : 8 กนั ยายน พ.ศ. 2456 (75 ปี)

เจ้าจอมมารดาสาลี
ตาแหนง่ : พระสนมเอกนามเดมิ : สาลี (สกุลเดมิ บุนนาค)
เกดิ : พ.ศ. 2378
ถงึ แก่อสัญกรรม : 21 มกราคม พ.ศ. 2443 (65 ป)ี

ลาดับ รปู นาม
22.
23. เจ้าจอมมารดาสนุ่
24. นามเดิม: ยสี่ ่นุ (สกุลเดมิ สกุ ุมลจนั ทร์)
25. เกดิ : ไมม่ ขี ้อมูล
26. ถงึ แก่อสญั กรรม : 3 กนั ยายน พ.ศ. 2443

เจา้ จอมมารดาหมอ่ มราชวงศแ์ สง
นามเดิม: หม่อมราชวงศ์แสง (สกุลเดิม ปาลกะวงศ์)
เกดิ : ไม่มีข้อมลู
ถึงแก่อสัญกรรม : ไมม่ ีข้อมูล

เจ้าจอมมารดาหรนุ่
นามเดิม : หรุ่น (สกลุ เดมิ ศภุ มติ ร)
เกิด : พ.ศ. 2384
ถึงแก่อสญั กรรม : 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472 (88 ป)ี

เจ้าจอมมารดาหว่ ง
เกดิ : ไมม่ ีข้อมูล
ถึงแก่อสญั กรรม : พ.ศ. 2463

เจ้าจอมมารดาหวา้
เกิด : ไมม่ ีข้อมลู
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไมม่ ขี ้อมูล

ลาดับ รปู นาม
27.
28. เจ้าจอมมารดาหนุ่
29. เกิด : พ.ศ. 2383[25]
30. ถงึ แก่อสญั กรรม : 16 มนี าคม พ.ศ. 2467
31.
เจา้ จอมมารดาเหม
ฉายา : แฝดเหม
เกิด : พ.ศ. 2382
ถึงแก่อสญั กรรม : 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2465 (83 ปี)[26]

เจ้าจอมมารดาโหมด
ตาแหน่ง : พระสนมโท นามเดมิ : โหมด (สกลุ เดิม อินทรวิมล)
เกิด : พ.ศ. 2381
ถงึ แก่อสัญกรรม : 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2462 (81 ปี)[12]

เจา้ จอมมารดาอม่ิ , อินทร์
เกดิ : ไมม่ ีข้อมลู
ถงึ แก่อสญั กรรม : 19 ตุลาคม พ.ศ. 2450[27]

เจ้าจอมมารดาเอม
นามเดิม: เอม (สกลุ เดิม นาครทรรพ)
เกดิ : พ.ศ. 2382
ถึงแก่อสญั กรรม : 5 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2456 (75 ปี)[28]

ลาดบั รปู นาม
32.
เจา้ จอมมารดาเอย่ี ม
เจา้ จอม เกิด : ไมม่ ีข้อมูล
ถงึ แก่อสญั กรรม : 3 ตุลาคม พ.ศ. 2443[29]
ลาดบั รปู
1. นาม

2. เจา้ จอมกลบี
เกิด : พ.ศ. 2391
3. ถึงแก่อสญั กรรม : ไมม่ ขี ้อมลู

เจ้าจอมพระองคเ์ จ้ากาโพชราชสดุ าดวง
พระนามเดิม : นกั เยย่ี ม
ประสูติ : พ.ศ. 2394
ส้ินพระชนม์ : ไมม่ ีข้อมูล

เจ้าจอมกหุ ลาบ
นามเดมิ : กหุ ลาบ (สกลุ เดิม ณ นคร)
เกิด : ไม่มีข้อมลู
ถึงแก่อสัญกรรม : ไมม่ ขี ้อมลู

ลาดบั รปู นาม
4.
5. เจา้ จอมกหุ ลาบ
6. นามเดมิ : กุหลาบ (สกลุ เดิม ณ สงขลา)
7. เกดิ : ไม่มีข้อมูล
8. ถงึ แก่อสญั กรรม : ไม่มขี ้อมูล

เจ้าจอมเกด
เกิด : ไมม่ ีข้อมูล
ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มขี ้อมลู

เจ้าจอมเกตุ
นามเดมิ : เกตุ (สกลุ เดิม ณ นคร)
เกิด : ไมม่ ีข้อมลู
ถึงแก่อสัญกรรม : ไมม่ ีข้อมูล

เจา้ จอมเขยี น
นามเดิม : เขียน (สกุลเดิม ณ นคร)
เกิด : ไมม่ ขี ้อมลู
ถึงแก่อสญั กรรม : ไม่มขี ้อมูล

เจา้ จอมจบั
นามเดิม : จบั (สกลุ เดิม ณ นคร)
เกิด : ไมม่ ีข้อมูล
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไม่มขี ้อมูล

ลาดบั รปู นาม
9.
10. เจา้ จอมชอ้ ย
11. นามเดมิ : ช้อย (สกลุ เดมิ โรจนดศิ )
12. เกิด : ไม่มีข้อมลู
13. ถงึ แก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมลู

เจ้าจอมตาด
เกิด : พ.ศ. 2369
ถงึ แก่อสญั กรรม : ไมม่ ขี ้อมูล

เจ้าจอมทองดี
เกดิ : ไมม่ ีข้อมูล
ถงึ แก่อสญั กรรม : ไมม่ ีข้อมลู

เจา้ จอมทบั ทมิ
นามเดิม : ทบั ทิม (สกลุ เดิม ณ นคร)
เกิด : ไม่มขี ้อมูล
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไมม่ ีข้อมูล

เจ้าจอมทบั ทมิ
นามเดมิ : ทับทิม (สกุลเดิม เพญ็ กลุ )
เกดิ : ไมม่ ีข้อมลู
ถึงแก่อสัญกรรม : ไมม่ ขี ้อมูล

ลาดับ รปู นาม
14.
15. เจ้าจอมทบั ทมิ
16. นามเดมิ : ทับทิม (สกุลเดิม วัชโรทัย)
17. เกิด : ไม่มขี ้อมลู
18. ถงึ แก่อสญั กรรม : ไม่มีข้อมูล

เจ้าจอมทบั ทมิ
นามเดมิ : ทบั ทมิ (สกุลเดมิ สุรคุปต์)
เกิด : ไมม่ ีข้อมูล
ถงึ แก่อสญั กรรม : ไมม่ ีข้อมลู

เจา้ จอมทพิ ย์
เกิด : ไม่มขี ้อมลู
ถึงแก่อสญั กรรม : ไม่มขี ้อมลู

เจ้าจอมบนุ นาค
เกดิ : ไม่มีข้อมลู
ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล

เจ้าจอมประทมุ
นามเดมิ : เจ้าประทุมแห่งเวยี งจันทน์
เกิด : ไม่มีข้อมูล
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไมม่ ขี ้อมูล


Click to View FlipBook Version