The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๔ (ฉบับสมบูรณ์)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tharaphan.prasan, 2022-08-14 08:28:40

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๔ (ฉบับสมบูรณ์)

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๔ (ฉบับสมบูรณ์)

ลาดบั รปู นาม
19.
20. เจา้ จอมปริก
21. เกดิ : พ.ศ. 2390
22. ถงึ แก่อสญั กรรม : ไมม่ ีข้อมูล
23.
เจ้าจอมเปลย่ี น
เกิด : ไม่มขี ้อมลู
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไม่มขี ้อมลู

เจ้าจอมเปา้
นามเดิม : เป้า (สกลุ เดิม ณ นคร)
เกิด : ไม่มีข้อมูล
ถงึ แก่อสญั กรรม : ไมม่ ีข้อมูล

เจา้ จอมเผือก
เกิด : พ.ศ. 2368
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไมม่ ขี ้อมลู

เจ้าจอมพรอ้ ม
นามเดมิ : พรอ้ ม (สกุลเดมิ บุณยรัตพันธ์ุ)
เกิด : ไม่มขี ้อมูล
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไม่มขี ้อมลู

ลาดบั รปู นาม
24.
25. เจ้าจอมนักพลอย
26. พระนามเดมิ : นกั พลอย
27. ประสตู ิ : ไม่มขี ้อมลู
สน้ิ พระชนม์ : ไมม่ ีขอ้ มลู
28.
เจา้ จอมพนั
เกิด : พ.ศ. 2391
ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มขี ้อมลู

เจา้ จอมพมุ่
เกดิ : พ.ศ. 2390
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไมม่ ีข้อมลู

เจ้าจอมรนุ
เกิด : ไม่มขี ้อมลู
ถึงแก่อสญั กรรม : ไม่มขี ้อมูล

เจ้าจอมเล็ก
เกดิ : ไมม่ ขี ้อมูล
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไมม่ ขี ้อมูล

ลาดับ รปู นาม
29.
30. เจา้ จอมหมอ่ มหลวงเลยี่ ม
31. นามเดมิ : หมอ่ มหลวงเลีย่ ม เทพหสั ดิน
32. เกดิ : พ.ศ. 2385
ถงึ แก่อสญั กรรม : ไมม่ ีข้อมูล
33.
เจ้าจอมเลย่ี ม
เกดิ : พ.ศ. 2391
ถงึ แก่อสญั กรรม : ไมม่ ีข้อมลู

เจ้าจอมวนั
นามเดมิ : วนั (สกุลเดิม บุนนาค)
เกิด : ไมม่ ีข้อมูล
ถึงแก่อสญั กรรม : ไมม่ ีข้อมูล

เจ้าจอมสงั วาล
เกิด : พ.ศ. 2388
ถึงแก่อสญั กรรม : ไม่มขี ้อมลู

เจ้าจอมสารภี
เกดิ : พ.ศ. 2391
ถงึ แก่อสญั กรรม : ไม่มีข้อมลู

ลาดบั รปู นาม
34.
35. เจ้าจอมตนกสู เุ บยี
36. พระนามเดิม : เตงิ กซู าฟยี ะฮ์ บินตี อัลมารฮ์ ุม ซุลตัน มูฮัมเมด มูอซั
37. ซัม ชะฮ์
38. ประสูติ : ไมม่ ีข้อมูล
สนิ้ พระชนม์ : 16 มกราคม พ.ศ. 2437

เจา้ จอมเสงยี่ ม
นามเดมิ : เสงีย่ ม (สกุลเดิม อมาตยกลุ )
เกดิ : ไม่มขี ้อมูล
ถงึ แก่อสญั กรรม : ไมม่ ีข้อมลู

เจา้ จอมแสง
เกิด : พ.ศ. 2367
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมูล

เจา้ จอมหนชู ี
นามเดิม : หนูชี (สกุลเดิม ณ นคร)
เกดิ : ไม่มีข้อมูล
ถึงแก่อสัญกรรม : ไมม่ ขี ้อมลู

เจา้ จอมหนสู ดุ
นามเดมิ : สุด (สกุลเดิม บนุ นาค)[35]
เกดิ : ไมม่ ีข้อมลู
ถึงแก่อสญั กรรม : ไมม่ ขี ้อมลู

ลาดบั รปู นาม
39.
40. เจา้ จอมหนุ่
41. เกดิ : พ.ศ. 2383
42. ถงึ แก่อสญั กรรม : ไม่มขี ้อมลู

43. เจ้าจอมเหลย่ี ม
เกดิ : ไมม่ ีข้อมลู
ถงึ แก่อสัญกรรม : ไมม่ ีข้อมูล

เจ้าจอมองนุ่
เกดิ : ไม่มีข้อมลู
ถึงแก่อสัญกรรม : ไม่มีข้อมลู

เจา้ จอมอรนุ่
ฉายา : อรุ่นบุษบา
เกดิ : พ.ศ. 2385
ถึงแก่อสญั กรรม : 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2467 (82 ปี)

เจา้ จอมอาพนั
นามเดมิ : อาพัน (สกุลเดิม ณ นคร)
เกิด : ไมม่ ขี ้อมูล
ถึงแก่อสญั กรรม : ไม่มขี ้อมลู

ลาดับ รปู นาม

เจ้าจอมอมิ่
44. นามเดมิ : อิ่ม (สกลุ เดมิ ณ นคร)

เกิด : ไม่มขี ้อมูล
ถงึ แก่อสญั กรรม : ไม่มีข้อมลู

เจ้าจอมเอยี่ ม
45. นามเดิม : เอย่ี ม (สกลุ เดมิ จาตุรงคกุล)

เกิด : ไม่มขี ้อมลู
ถึงแก่อสญั กรรม : ไมม่ ีข้อมลู

พระราชโอรส พระราชธดิ า ในรชั สมยั รัชกาลที่ 4
พระราชโอรส 39 พระองค์ พระราชธดิ า 43 พระองค์ และตก 2 พระองค์
รวม 84 พระองค์

พระราชธดิ าในสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

1 ช. เจา้ จอม 6 มนี าคม พ.ศ. 25 กรกฎาคม 44 ปี 141 วัน
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหม่ืน
มารดาน้อย 2366[1] ค.ศ. 2410

มเหศวร ศวิ วิลาส

2 ช. เจ้าจอม 26 พฤษภาคม 4 ธนั วาคม ค.ศ. 38 ปี 192 วนั
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหมื่น มารดาน้อย พ.ศ. 2367[1] 2405

วิษณนุ าถนภิ าธร

3 หมอ่ มยง่ิ ญ. เจา้ จอม 21 มกราคม 2 กนั ยายน ค.ศ. 34 ปี 224 วนั
มารดาแพ พ.ศ. 2395[1] 2429[2]

4 ช. เจา้ จอม 10 กรกฎาคม 10 มีนาคม ค.ศ. 0 ปี 244 วนั
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์ มารดาพ่งึ พ.ศ. 2395[1] ถึง 1 ปี 261 วั
2396 ถงึ 28 น
เจา้ ทักษิณาวฏั
มนี าคม ค.ศ.
2397[3]

สมเดจ็ พระ

5 ช. นางเจา้ 21 สงิ หาคม ในวนั ประสตู ิ 0 ปี 0 วัน
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้า โสมนสั พ.ศ. 2395[1]
วฒั นาวดี
ฟา้ โสมนสั

6 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. เจ้าจอม 18 กันยายน 13 กันยายน ค.ศ. 53 ปี 360 วัน
เจา้ ทกั ษิณชา นราธริ าชบุตรี มารดา พ.ศ. 2395[1] 2449
จนั ทร์

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

7 ญ. เจ้าจอม 19 พฤศจกิ ายน 5 พฤษภาคม 78 ปี 167 วนั
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง มารดาเท่ยี ง พ.ศ. 2395[1] ค.ศ. 2474

สมรรัตนศริ เิ ชฐ

8 ญ. เจา้ จอม 22 มนี าคม 29 มีนาคม ค.ศ. 0 ปี 7 วนั
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดาตลับ พ.ศ. 2396[1] 2396

เจ้า

สมเด็จ

9 ช. พระเทพศิ 20 กนั ยายน 23 ตลุ าคม ค.ศ. 57 ปี 33 วนั
พระบาทสมเดจ็ พระ รินทราบรม พ.ศ. 2396[1] 2453

จุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ราชินี

10 ญ. เจา้ จอม 30 พฤศจิกายน 8 มถิ ุนายน ค.ศ. 19 ปี 191 วัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดาเอีย่ ม พ.ศ. 2396[1] 2416
เจา้ ศรพี ัฒนา

11 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ ช. เจา้ จอม 5 พฤษภาคม 18 ธนั วาคม ค.ศ. 2 ปี 227 วนั
เจา้ เสวตรวรลาภ มารดาเที่ยง พ.ศ. 2397[1] 2399

12 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. เจ้าจอม 11 พฤษภาคม 29 มถิ ุนายน 72 ปี 49 วัน
เจา้ ประภัศร มารดาเกศ พ.ศ. 2397[1] ค.ศ. 2469

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

13 พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์ ญ. เจา้ จอม 25 ตลุ าคม 18 ตลุ าคม ค.ศ. 51 ปี 358 วนั
เจ้าพักตร์พมิ ลพรรณ มารดาแพ พ.ศ. 2397[1] 2449

14 ญ. เจ้าจอม 22 พฤศจิกายน 26 ตุลาคม ค.ศ. 30 ปี 339 วัน
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์ มารดา พ.ศ. 2397[1] 2428
จนั ทร์
เจา้ มัณยาภาธร

15 ช. เจา้ คณุ จอม 19 มนี าคม 19 พฤษภาคม 0 ปี 61 วนั
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดาสาลี พ.ศ. 2398[1] ค.ศ. 2398

เจา้ แดง

16 สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ ญ. สมเด็จ 14 พฤษภาคม 8 ปี 20 วนั
ฟา้ จนั ทรมณฑล โสภณภควดี ค.ศ. 2406
กรมหลวงวสิ ทุ ธกิ ระษัตริย์ พระเทพศิ 24 เมษายน
รินทราบรม พ.ศ. 2398[1]

ราชินี

17 พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระ ช. เจ้าจอม 7 พฤษภาคม 10 สงิ หาคม ค.ศ. 70 ปี 95 วัน
นเรศรวรฤทธ์ิ มารดากล่นิ พ.ศ. 2398[1] 2468

18 ช. เจา้ จอม 26 มิถนุ ายน 13 กรกฎาคม 2 ปี 17 วัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดาบัว พ.ศ. 2398[1] ค.ศ. 2400

เจ้าเฉลมิ ลกั ษณเลศิ

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

19 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. เจา้ จอม 14 กรกฎาคม 7 สิงหาคม ค.ศ. 58 ปี 24 วัน
เจา้ ศรีนาคสวาดิ มารดาเที่ยง พ.ศ. 2398[1] 2456

20 ช. เจ้าจอม 29 ตลุ าคม 11 มนี าคม ค.ศ. 54 ปี 133 วัน
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหลวง มารดาพ่ึง พ.ศ. 2398[1] 2453

พชิ ิตปรีชากร

21 ญ. พระสมั 13 พฤษภาคม 26 ปี 154 วัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรม ค.ศ. 2425
ขุนขัตตยิ กลั ยา พันธวงศ์เธอ 10 ธนั วาคม
พระองคเ์ จ้า พ.ศ. 2398[1]

พรรณราย

22 ญ. เจ้าจอม 5 กมุ ภาพนั ธ์ 6 กมุ ภาพันธ์ 0 ปี 1 วัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดามา พ.ศ. 2399[1] ค.ศ. 2399
ไลย
เจ้า

23 ช. เจ้าจอม 15 มีนาคม 16 เมษายน ค.ศ. 69 ปี 33 วนั
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวง มารดา พ.ศ. 2399[1] 2468
อดศิ รอดุ มเดช จันทร์

24 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหมื่น ช. เจา้ จอม 15 มีนาคม 8 ธนั วาคม ค.ศ. 41 ปี 268 วัน
ภธู เรศธารงศกั ด์ิ มารดาตลบั พ.ศ. 2399[1] 2440

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

25 ช. เจ้าจอม 5 เมษายน พ.ศ. 25 มกราคม ค.ศ. 68 ปี 295 วนั
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวง มารดา 2399[1] 2468
ประจกั ษ์ศิลปาคม สังวาลย์

26 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวง ช. เจ้าจอม 5 สิงหาคม 4 มกราคม ค.ศ. 68 ปี 139 วัน
พรหมวรานรุ กั ษ์ มารดาแพ พ.ศ. 2399[1] 2468

27 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหมื่น ช. เจ้าจอม 3 พฤศจิกายน 13 พฤศจิกายน 75 ปี 10 วัน
ราชศักดิส์ โมสร มารดาเท่ยี ง พ.ศ. 2399[1] ค.ศ. 2474

28 สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ ช. สมเดจ็ 11 เมษายน ค.ศ. 43 ปี 88 วัน
ฟ้าจาตุรนต์รศั มี กรมพระ 2443
จกั รพรรดิพงษ์ พระเทพศิ 13 มกราคม
รินทราบรม พ.ศ. 2400[1]

ราชนิ ี

สมเดจ็ พระ

29 ช. ปิยมาวดี ศรี 22 กุมภาพันธ์ 29 มนี าคม ค.ศ. 17 ปี 35 วัน
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์ พชั รนิ ทร พ.ศ. 2400[1] 2417

เจ้าอุณากรรณอนนั ตนรไชย มาตา

30 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหม่ืน ช. เจ้าจอม 17 สงิ หาคม 3 มกราคม ค.ศ. 58 ปี 139 วนั
ทิวากรวงศ์ประวัติ มารดา พ.ศ. 2400 2459
จนั ทร์

31 ญ. เจา้ คณุ จอม 21 สิงหาคม 22 สงิ หาคม ค.ศ. 0 ปี 1 วัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดาสาลี พ.ศ. 2400[1] 2400
เจา้ เขยี ว

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

32 ญ. เจา้ จอม 2 ตลุ าคม พ.ศ. 24 กมุ ภาพันธ์ 16 ปี 145 วัน
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์ มารดามา
เจา้ เสมอสมยั หรรษา ไลย 2400[1] ค.ศ. 2417

33 ช. เจา้ จอม 16 ตลุ าคม 11 มนี าคม ค.ศ. 53 ปี 146 วนั
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมขุนศิริ มารดาบัว พ.ศ. 2400[1] 2454
ธัชสงั กาศ

34 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวง ช. เจ้าจอม 17 ตลุ าคม 16 เมษายน ค.ศ. 61 ปี 181 วนั
สรรพสาตรศุภกจิ มารดา พ.ศ. 2400[1] 2462
สงั วาลย์

35 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. เจา้ จอม 18 พฤศจิกายน 22 มีนาคม ค.ศ. 26 ปี 124 วนั
เจ้าอนงค์นพคุณ มารดาเอม พ.ศ. 2400[1] 2427

36 ญ. เจา้ จอม 21 ธันวาคม 29 มถิ ุนายน 60 ปี 190 วัน
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดาเท่ยี ง พ.ศ. 2400[1] ค.ศ. 2461
เจ้ากนกวรรณเลขา

พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวง เจ้าจอม 29 ธันวาคม 3 เมษายน ค.ศ.
มารดาพ่งึ พ.ศ. 2400[1] 2465
37 สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ช. 64 ปี 95 วนั

38 ญ. เจ้าจอม 13 มกราคม 26 สงิ หาคม ค.ศ. 75 ปี 226 วนั
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์ มารดาหรุ่น พ.ศ. 2401[1] 2476
เจา้ อรณุ วดี

39 พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์ ญ. เจ้าจอม 27 มกราคม 25 มกราคม ค.ศ. 77 ปี 363 วัน
เจา้ วาณีรตั นกญั ญา มารดาแก้ว พ.ศ. 2401[1] 2479

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

40 ญ. เจ้าจอม 5 พฤษภาคม 2 มิถนุ ายน ค.ศ. 3 ปี 28 วนั
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์ มารดาโหมด พ.ศ. 2401[1] 2404
เจา้ มณฑานพรตั น์

41 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ ช. เจ้าจอม 10 พฤษภาคม 17 พฤษภาคม 21 ปี 7 วนั
เจ้ากาพย์กนกรตั น์ มารดาตลับ พ.ศ. 2401[1] ค.ศ. 2422

42 ช. สมเด็จพระ 64 ปี 213 วัน
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ ปยิ มาวดี ศรี 27 พฤศจิกายน 28 มถิ นุ ายน
พชั รนิ ทร พ.ศ. 2401[1] ค.ศ. 2466

มาตา

43 ญ. เจา้ จอม 18 กนั ยายน 4 เมษายน ค.ศ. 46 ปี 198 วนั
มารดาบวั พ.ศ. 2402[1] 2449
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์
เจา้ อรไทยเทพกัญญา

44 ญ. เจ้าจอม 30 พฤศจิกายน 7 ธนั วาคม ค.ศ. 0 ปี 7 วัน
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดาเทย่ี ง พ.ศ. 2402[1] 2402
เจ้า

45 สมเดจ็ พระราชปิตลุ า บรม ช. สมเด็จ 13 มถิ ุนายน 68 ปี 153 วัน
พงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณรุ ังษี ค.ศ. 2471
สว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ พระเทพศิ 11 มกราคม
วงศ์วรเดช รนิ ทราบรม พ.ศ. 2403[1]

ราชนิ ี

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

46 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. เจา้ คณุ จอม 1 มีนาคม 6 มิถนุ ายน ค.ศ. 16 ปี 97 วัน
เจา้ บษุ บงเบิกบาน มารดาสาลี พ.ศ. 2403[1] 2419

47 สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรม ช. เจ้าจอม 12 เมษายน 2 สงิ หาคม ค.ศ. 61 ปี 112 วัน
พระยาวชริ ญาณวโรรส มารดาแพ พ.ศ. 2403[1] 2464

48 ช. เจ้าจอม 21 สงิ หาคม 7 เมษายน ค.ศ. 3 ปี 229 วนั
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดา พ.ศ. 2403[1] ถงึ 4 ปี 218 วั
สงั วาลย์ 2407 ถงึ 26 น
เจา้ เจรญิ ร่งุ ราษี
มีนาคม ค.ศ.
2408[4]

ท้าวทรง

49 พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระ ช. กนั ดาล (เจา้ 7 กนั ยายน 21 เมษายน ค.ศ. 54 ปี 226 วัน
สมมตอมรพนั ธ์ุ จอมมารดา พ.ศ. 2403[1] 2458

หนุ่ )

50 ญ. สมเดจ็ พระปยิ 10 31 พฤษภาคม 19 ปี 202 วัน
สมเด็จพระนางเจ้าสนุ ันทา ค.ศ. 2423
มาวดี ศรพี ชั ริ พฤศจิกายน
นทรมาตา พ.ศ. 2403[1]

กมุ ารีรตั น์ พระบรมราชเทวี

51 พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหมื่น ช. เจา้ จอม 11 ธนั วาคม 10 ตุลาคม ค.ศ. 71 ปี 303 วนั
ววิ ธิ วรรณปรชี า มารดาโหมด พ.ศ. 2403[1] 2475

52 ญ. เจา้ คุณจอม 10 9 กรกฎาคม ค.ศ. 66 ปี 60 วนั
สมเดจ็ พระปิตจุ ฉาเจ้า สุขุมาล มารดาสาลี 2470
มารศรี พระอัครราชเทวี พฤษภาคม
พ.ศ. 2404[1]

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

53 พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์ ญ. เจา้ จอม 17 สงิ หาคม 16 มถิ นุ ายน 63 ปี 304 วัน
เจ้านารรี ัตนา มารดาดวงคา พ.ศ. 2404[1] ค.ศ. 2468

54 สมเดจ็ พระปยิ
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์ มาวดี ศรพี ัชริ ตกเม่ือ สิงหาคม พ.ศ. 2418
นทรมาตา
เจ้า

55 พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมื่น ช. เจา้ จอม 27 สงิ หาคม 28 มกราคม ค.ศ. 74 ปี 154 วนั
พงษาดิศรมหปิ มารดาเที่ยง พ.ศ. 2404[1] 2479

56 พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์ ญ. เจ้าจอม 5 พฤศจิกายน 13 กนั ยายน ค.ศ. 30 ปี 312 วนั
เจ้าบรรจบเบญจมา มารดาแพ พ.ศ. 2404[1] 2435

57 ช. เจา้ จอม 20 11 ตุลาคม ค.ศ. 69 ปี 325 วนั
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระ มารดาเขยี น 2474
นราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์ พฤศจิกายน
พ.ศ. 2404[1]

58 ช. เจา้ จอม 21 มถิ ุนายน 1 ธนั วาคม ค.ศ. 81 ปี 163 วัน
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ มารดาช่มุ พ.ศ. 2405[1] 2486

กรมพระยาดารงราชานุภาพ

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

59 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. เจ้าจอม 12 กรกฎาคม 20 พฤศจิกายน 69 ปี 131 วัน
เจ้านงคราญอดุ มดี มารดาเพ็ง พ.ศ. 2405[1] ค.ศ. 2474

60 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ ช. ทา้ วสมศกั ด์ิ 18 กรกฎาคม 11 ตลุ าคม ค.ศ. 27 ปี 85 วัน
เจ้าศรีเสาวภางค์ (เจา้ จอม พ.ศ. 2405[1] 2432
มารดาเหม)

61 สมเดจ็ พระศรีสวรินทริ าบรม ญ. สมเดจ็ พระ 17 ธันวาคม ค.ศ. 93 ปี 98 วัน
ราชเทวี พระพนั วสั สาอยั ยิกา 2498
เจา้ ปยิ มาวดี ศรี 10 กนั ยายน
พชั รนิ ทร พ.ศ. 2405[1]

มาตา

ทา้ ววร

62 พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรม ช. จันทร์ (เจา้ 1 เมษายน พ.ศ. 28 ตุลาคม ค.ศ. 50 ปี 210 วนั
ขุนพทิ ยลาภพฤฒธิ าดา จอมมารดา
2406[1] 2456

วาด)

63 ช. พระสมั 10 มนี าคม ค.ศ. 83 ปี 316 วัน
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจา้ 2490
ฟา้ กรมพระยานริศรานุวัดตวิ งศ์ พนั ธวงศ์เธอ 28 เมษายน
พระองคเ์ จา้ พ.ศ. 2406[1]

พรรณราย

64 พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมขนุ มรุ ช. เจ้าจอม 27 พฤษภาคม 5 เมษายน ค.ศ. 59 ปี 313 วัน
พงษ์ศริ ิพฒั น์ มารดาบัว พ.ศ. 2406[1] 2466

65 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. เจ้าจอม 8 มิถุนายน 21 กนั ยายน ค.ศ. 69 ปี 105 วัน
เจ้ากาญจนากร มารดา พ.ศ. 2406[1] 2475
สังวาลย์

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

66 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. เจา้ จอม 15 ตุลาคม 1 มิถนุ ายน ค.ศ. 75 ปี 229 วนั
เจ้าบุษบนั บัวผนั มารดาหว่ ง พ.ศ. 2406[1] 2482

67 สมเดจ็ พระศรีพัชรนิ ทราบรม ญ. สมเดจ็ พระ 20 ตลุ าคม ค.ศ. 55 ปี 292 วัน
ราชนิ ีนาถ พระบรมราชชนนี ปิยมาวดี ศรี 1 มกราคม 2462
พนั ปหี ลวง พชั รินทร พ.ศ. 2407[1]
มาตา

68 ญ. เจ้าจอม 11 มกราคม 19 สงิ หาคม ค.ศ. 65 ปี 221 วนั
มารดาเที่ยง พ.ศ. 2407[1] 2472
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์
เจ้าแขไขดวง

69 ญ. เจ้าคณุ จอม 13 พฤษภาคม 19 กรกฎาคม 94 ปี 67 วัน
มารดาสาลี พ.ศ. 2407[1] ค.ศ. 2501
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมหลวง
ทิพยรัตนกิริฏกุลนิ ี

70 ช. เจา้ จอม 14 มกราคม 10 มกราคม ค.ศ. 1 ปี 361 วัน
มารดาบวั พ.ศ. 2408[1] 2410
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์
เจา้ ดารงฤทธิ์

เจา้ จอม

71 พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. มารดา 3 มนี าคม พ.ศ. 4 กรกฎาคม ค.ศ. 42 ปี 123 วัน
เจ้าประสานศรีใส หมอ่ ม 2408[1] 2450

ราชวงศแ์ สง

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

73 ช. เจ้าจอม 23 พฤษภาคม 1 มิถนุ ายน ค.ศ. 0 ปี 9 วัน
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์ มารดาเที่ยง พ.ศ. 2408[1] 2408

เจา้ จรญู ฤทธเิ ดช

74 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ ญ. เจ้าจอม 25 พฤษภาคม 2 มนี าคม ค.ศ. 29 ปี 281 วนั
เจ้าเสาวภาคย์พรรณ มารดาหว้า พ.ศ. 2408[1] 2438

75 ญ. เจ้าจอม 19 กรกฎาคม 18 มนี าคม ค.ศ. 96 ปี 242 วัน
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์ มารดาดวง พ.ศ. 2408[1] 2505
คา
เจ้าประดิษฐาสารี

76 ช. สมเด็จพระ 10 ธันวาคม ค.ศ. 69 ปี 353 วัน
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรม 2478
ปิยมาวดี ศรี 22 ธนั วาคม
พระสวสั ดิวัดนวศิ ิษฎ์ พชั รนิ ทร พ.ศ. 2408[1]

มาตา

77 ช. เจา้ จอม 30 มกราคม 15 เมษายน ค.ศ. 41 ปี 75 วัน
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหมื่น มารดาห่วง พ.ศ. 2409[1] 2450

มหศิ รราชหฤทัย

78 ญ. เจ้าจอม 30 กันยายน 27 กุมภาพันธ์ 83 ปี 150 วัน
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์ มารดาเท่ยี ง พ.ศ. 2409[1] ค.ศ. 2493

เจ้าพวงสรอ้ ยสอางค์

ลำดบั พระรูปและพระนำม เพศ พระมำรดำ ประสตู ิ สนิ ้ พระชนม์ พระชนั ษำ

80 ญ. เจ้าจอม 24 พฤศจิกายน ในวันประสูติ 0 ปี 0 วัน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดาเชย พ.ศ. 2410[1]

เจ้า

81 ญ. เจ้าจอม 1 มกราคม 7 มนี าคม ค.ศ. 3 ปี 65 วนั
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ มารดาพุ่ม พ.ศ. 2411[1] 2414

เจ้าพุทธประดิษฐา

82 ญ. ท้าวศรีสจั จา 18 สงิ หาคม ในวนั ประสูติ 0 ปี 0 วัน
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์ (เจ้าจอม พ.ศ. 2411[1]
มารดาอ่ิม)
เจา้

สมเด็จพระ

83 ปิยมาวดี ศรี ตกในราว พ.ศ. 2411 - 2412
พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์ พัชรินทร

เจา้ มาตา

84 ญ.
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ พระองค์
เจา้ เจรญิ กมลสุขสวัสดิ์

พระราชกรณยี กิจพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว
ด้วยการตดิ ตอ่ กบั ชาตติ ะวันตก

สมเดจ็ พระเจ้านโปเลยี นที่ 3 แหง่ ฝรง่ั เศส ไดแ้ ตง่ ทตู มาแลกเปลยี่ น
หนงั สือสญั ญาทางพระราชไมตรเี มื่อ พ.ศ. 2406 และไดท้ ูลเกล้าถวาย
เคร่อื งราชอสิ รยิ าภรณเ์ ลยอง ดอนเนอร์ และพระบาทสมเด็จพระจอม

เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว รัชกาลท่ี 4 เสดจ็ ออก ณ พระทนี่ งั่ อนนั ตสมาคม
ในหมพู่ ระอภเิ นาวนเิ วศน์ ในพระบรมมหาราชวงั เมอื่ พ.ศ. 2410
เพ่ือทรงรบั ราชทตู ฝรั่งเศสอีกคณะหนง่ึ จึงทรงสายสะพายเลยอง

ดอนเนอร์พรอ้ มดารา เพอื่ เปน็ เกยี รตยิ ศแดช่ าวฝรงั่ เศส
(ภาพจากหนงั สอื สมุดภาพเหตกุ ารณส์ าคญั ของกรงุ รัตนโกสนิ ทร์)

การทตู ติดตอ่ ต่างประเทศ
เซอร์ จอห์น บาวรง่ิ เขา้ มาทาสัญญาให้องั กฤษ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ให้เซอร์จอหน์
เบารง่ิ อคั รราชทูตองั กฤษ เขา้ เฝา้ (ภาพจิตรกรรมเทดิ พระเกยี รตกิ ษตั รยิ ์

แหง่ พระบรมราชจักรวี งศ์ วาดโดย นคร หุราพนั ธ์
ปจั จบุ นั แขวนอยภู่ ายในอาคารรฐั สภา)

ฝ่ า ย อั ง ก ฤ ษ เ ม่ื อ ไ ด้ ท ร า บ ว่ า พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ จ อ ม เ ก ล้ า
เจา้ อยูห่ วั ได้ทรงทราบซงึ้ และสดั ทัดภาษาองั กฤษมาแล้วเป็นอย่างดี อน่ึง
พระองค์ทรงมีพระทัยนิยมต่อการท่ีจะสมาคมกับฝรั่งอยู่แล้ว เข้าใจว่า
รัฐบาลไทยคงไม่ถือคติอย่างจีนเหมือนแต่ก่อน จึงเลือกได้เซอร์
ยอห์น บาวริง (Sir John Bowring) เจ้าเมืองฮ่องกงให้เป็นอัครราชทูต

เชิญพระราชสาสน์ของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียพร้อมด้วยเคร่ืองราช
บรรณาการเข้ามาเสร็จขอทาหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรดี ว้ ย

อังกฤษมาทาสัญญาคร้ังนี้มีท้ังผลดีและผลร้ายกล่าวคือถ้าไทยขัด
ขืนไม่ยอมอนุโลมแก้สัญญาให้ จะทาอย่างเม่ือเซอร์ เจมส์ บรุก เข้ามา
คราวทแี่ ลว้ ไทยจะต้องรบกับอังกฤษ แตถ่ ้าหากหวาดเกรงองั กฤษแลว้ กค็ ง
จะเสียเปรียบในกระบวนสัญญาเป็นผลร้ายต่อไป ทางท่ีจะได้ผลดีจึงต้อง
ให้เป็นการปรึกษาหารือปรองดองมีไมตรีต่อกันท้ัง 2 ฝ่าย ฉะนั้นการ
ที่ เซอร์ ยอห์น บาวริง มาครั้งนี้เห็นว่าทางฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเลือกได้คน
ที่เหมาะสมแล้ว เพราะท่านเซอร์ผู้น้ีก็เป็นคนท่ีฉลาดมีไหวพริบทั้งทาง
ปฏิภาณและพูด ฟังคาพูดคนอ่ืนได้ตั้ง 100 กว่าภาษา ส่วนตัวท่าน เซอร์
เองพูดได้กว่า 50 ภาษา และเป็นราชทูตอังกฤษคนแรกที่เข้ามา
เมืองไทย ครั้งน้ีผิดกับ ดร.ยอห์น ครอว์เฟอรดหรือกับตันเฮนรี เบอร
เนย์ ซ่ึงเป็นเพียงทูตของขุนนางผู้สาเร็จราชการอินเดียวส่งมา ส่วน
เซอร์ เจมส์ บรุกนั้นเป็นแต่ผู้ถือหนังสือของเสนาบดีกว่ากระทรวงการ
ต่างประเทศเท่าน้ัน หาใช่ราชทูตที่มาจากราชสานักของพระเจ้าแผ่นดิน
องั กฤษไม่ ดังน้ันจึงเปน็ หนา้ ท่ีของเจา้ ของเมอื ง จะตอ้ งใชค้ วามระมดั ระวงั
ให้มากเพราะถือกันว่าทูต ก็คือ ผู้แทนพระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศ ถ้า
เจ้าของเมืองไม่รับรองหรือประพฤติไม่สมแก่เกียรติยศแล้ว จะเป็นการ
หมิ่นประมาท ไม่นบั ถอื พระเจ้าแผ่นดนิ ของเขา ทางพระราชไมตรีอาจจะ
หมองหมางกนั ได้

สง่ ราชทตู ไปอังกฤษ

คณะราชทตู ไทยเขา้ เฝ้าสมเด็จพระนางวคิ ตอเรีย

วันท่ี 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2400 เวลา 15 น.เศษ พระบาทสมเด็จ

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้พระยามนตรีสุริ

ยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูต จม่ืนสรรเพธภักดีเป็นอุปทูต จมื่นมณ

เฑียรพิทักษ์เป็นตรีทูตหม่อมราโชทัย (กระต่าย) เป็นล่าม ไปเจริญทาง

พระราชไมตรียังประเทศอังกฤษ ถวายราชสาสน์ และเครื่องราช

บรรณาธิการแด่สมเด้จพระนางวิคตอเรีย ด้วย พระบาทสมเด็จพระ

เจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะเจริญสัมพันธไมตรีสนิทย่ิงข้ึนจึงเป็นเป็น

การสมควรที่จะแตง่ ราชทตู ออกไปเปน็ การตอบแทนบ้าง นับเป็นคร้ังแรก
ทรี่ าชทูตไทยไปทวปี ยุโรปในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ คณะทูตที่ไปนี้กลับมา
เม่ือ พ.ศ. 2401 พร้อมด้วยเคร่ืองจักรที่ให้ซื้อมาจัดสร้างโรงกษาปณ์ ทา
เงินเหรียญบาทสลงึ และเฟอ้ื งจาหนา่ ยแทนเงินพดดว้ ง

สญั ญาพระราชไมตรกี บั ประเทศตา่ ง ๆ ในรชั กาลท่ี 4 อาทิ

วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2399 มิสแฮร่ีเยเนราล กงสุลประเทศ
ญ่ีปุ่น ทูตอเมริกาได้เข้ามาทาหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วย
การค้าขาย, การเมอื ง, การพกิ ัดอตั ราภาษีและตั้งกลสุลในประเทศสยาม

วนั ท่ี 15 สงิ หาคม พ.ศ. 2399 มองซเิ ออร มองตคิ นี ทตู ฝร่ังเศสเข้า
มาทาหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ว่าด้วยการค้าการพิกัดอัตราภาษี
การเมืองและการต้ังกลสุลในประเทศสยาม ได้ทรงอนุญาต และให้สร้าง
วดั สรา้ งโรงสอนเดก็ ๆ และโรงรกั ษาคนป่วยไข้ กบั ให้คณะบาดหลวงสอน
ศาสนาไดอ้ ีกด้วย แตต่ ้องปฏิบัติตามกฎหมายสยาม

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศศ. 2401 ประเทศฉอนซเิ อตกิ เรปปุ บลกิ มาทา
หนงั สอื สญั ญาทางพระราชไมตรวี ่าด้วยการคา้ เมอื งการภาษาษแี ละตง้ั
ศาล อนญุ าตใหต้ ง้ั ได้

วันที่ 10 กมุ ภาพนั ธ์ พงศ. 2401 พเิ รนทรท์ ูตโปรตเุ กสมาทา
หนงั สอื สญั ญาทางพระราชไมตรวี า่ ด้วยการคา้ การเมืองการภาษแี ละขอตงั้
กงสลุ ณ ประเทศสยาม

วันท่ี 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2401 พระเจ้าเฟรเดริกท่ี 7 ประเทศ
เดนมาร์คส่งผู้แทนเป็นทูตเข้ามาทาหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ว่า
ดว้ ยการค้าขาย การเมอื ง พกิ ดั อัตราภาษาสนิ คา้ และให้ต้ังกงสลุ ได้

วนั ที่ 17 ธนั วาคม พ.ศ. 2403 โยนฮอน เกอรเ์ ชยี ดทตู เนเธอรแลนด์
เขา้ มาทาหนังสือ สญั ญาทางพระราชไมตรวี ่าด้วยการคา้ การพกิ ดั อตั รา
ภาษี ไดท้ รงอนญุ าตและให้ตง้ั กงสุลได้

วนั ที่ 7 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2405 คอลออย เลนเบอร์ต ทุตเยอรมันได้
เขา้ มาทาสัญญาเจริญ ทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขายการเมือง การ
พกิ ัดอตั ราภาษแี ละตง้ั กงสลุ ไดม้ ีพระบรมราชานุญาตใหต้ ั้งได้

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2405 ประเทศสวีเดนนอร์เวย์ ส่งผู้แทน
มาทาหนังสือสัญญาว่าถึงการค้าขาย การเมือง การภาษี และขอตั้งกงสุล
ในประเทศสยาม

วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2410 เบลเย่ียมส่งผู้แทนมาทาหนังสือ
สัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้า การภาษี การเมือง และการตั้ง
กงสลุ

ปรบั ขนบธรรมเนียมประเพณี
ในสมัยรชั กาลท่ี 4 ชาวตะวนั ตกได้รบั ความอนเุ คราะหใ์ ห้พานกั พกั

พงิ และเผยแผศ่ าสนาได้โดยเสรี ตามนโยบายเปดิ ประเทศของพระจอม
เกลา้ ฯ

กระบวนเสดจ็ รชั กาลที่ 4 ไปยงั วดั พระเชตพุ ลวมิ ลมงั คลาราม
มีพระบรมราชโองการใหท้ ุกคนสวมเสอื้ เขา้ เฝ้า

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงปฏิรูปหลายประการโดย ทรง
ยอมรับขนบธรรมเนยี มประเพณตี ะวนั ตกท่เี ปน็ การแสดงออกถงึ เกยี รตยิ ศ
ของชาติหรือแสดงให้เห็นถึงการสลัดทิ้งซ่ึงความป่าเถื่อน ประเพณี
ต่าง ๆ ท่ีทรงรับมาใช้คือประเพณีการสวมเสื้อเข้าเฝ้า มีพระบรมราช
โองการให้ทกุ คนสวมเสือ้ (เส้อื แรก ๆ นั้นตดั แบบพวกแขกบ้าบ๋า) เข้าเฝ้า

และพระราชทานพระบรมราชานญุ าตให้ชาวต่างประเทศยืนเฝา้ ไดใ้ นทอ้ ง
พระโรง โปรดใหท้ าเคร่อื งราชอสิ ริยาภรณต์ อบแทนกบั ชาวตา่ งประเทศมี
พระราชดาริให้มีพระราชพิธีฉัตรมงคลข้ึนให้เหมือนกับพระราชพิธีที่
กระทาในวนั เสวยราชย์ของพระมหากษัตรยิ ท์ างตะวนั ตก และโปรดใหท้ ูต
กับขุนนาง ผู้ใหญ่บ้านร่วมโต๊ะเสวยได้ เช่นในงานเฉลิมพระ
ชนมพรรษา การเข้าเฝ้าในขณะที่เสด็จประพาส ก็โปรดให้ราษฎรเข้าเฝ้า
ได้อย่างใกล้ชิด ซ่ึงแต่เดิมตามรายทางที่เสด็จผ่าน ราษฎรจะต้องปิด
หนา้ ตา่ งประตจู นหมดสิน้

รัชกาลท่ี 4 ทรงไม่เห็นชอบกับการไล่ราษฎรไม่ให้มารับเสด็จฯ
อย่างใกล้ชิด ดังพระราชดาริว่า “…ก็ไล่คนเสียมิให้อยู่ใกล้ทางเสด็จพระ
ราชดาเนนิ แลว้ ใหช้ าวบ้านปิดประตูโรงประตูร้าน ประตูหน้าถังเสียหมด
กม็ ไิ ดเ้ ปน็ การท่ีจะป้องกนั อันตรายอยา่ งไรอยา่ งหนง่ึ ได้ ไมเ่ หน็ เปน็ คณุ เลย
เหน็ เปน็ โทษเปน็ หลายประการ…” ทรงมีพระราชประสงค์ทอดพระเนตร
ราษฎรที่เคยเฝ้าหรือทรงรู้จักกันมาก่อน อีกทั้งทรงมีพระราชดาริว่า
ราษฎรทีเ่ ขา้ ไปอยใู่ นอาคารบ้านเรอื นตามเส้นทางเสดจ็ ฯ นัน้ จะเปน็ คนดี
หรอื คนเสยี จริตประการใดทีม่ าคอยแอบแฝงอยูก่ ไ็ ม่ทราบได้

ดังน้ัน รัชกาลท่ี 4 จึงออกประกาศ เร่ือง “ประกาศยกเลิกการยิง
กระสุนแลอนุญาตให้ราษฎรเฝ้าได้ในทางเสด็จพระราชดาเนิน” ณ วัน
อาทิตย์ เดือนแปด ขึ้น 7 ค่า ปีมะเส็ง นพศก (28 มิถุนายน พ.ศ. 2400)
สรปุ ว่า เมอื่ มกี ระบวนเสดจ็ พระราชดาเนินทางสถลมารคก็ดี ทางชลมารค
ก็ดี ห้ามไม่ให้เจ้าหน้าท่ีขับไล่ราษฎรไปไกล และอย่าให้ปิดประตูอาคาร
บ้านเรือนรวมถึงประตูแพ และให้ราษฎรออกมาเฝ้ารับเสด็จถวายบังคม
ใหท้ อดพระเนตร

ส่วนการถวายฎีกาก็ให้งดเว้นการเฆี่ยน 30 ที ที่มีมาแต่เดิม
เสีย พระองค์ท่านเสด็จออกรับการร้องทุกข์ทุกวันโกน เดือนละ 4 ครั้ง
และยังโปรดให้ถวายฎีกาแทนกันได้ ท่ีสาคัญคือการยกย่องฐานะสตรี
เทียบเท่าบุรุษ และขณะเดียวกันก็ยกย่องความเป็นคนของแต่ละบุคคล
ให้เสมอกัน ท้ังยังทรงลดพระราชอานาจที่เป็นสิทธิขาดของ
พระมหากษัตริย์ลงหลายประการ ประการที่สาคัญก็คือ ไม่ทรงถือว่า
พระมหากษัตรยิ ์จะเป็นเจา้ ของทดี่ นิ ในพระราช อาณาจกั รแต่เพียงผู้เดียว
หากมีพระราชประสงค์ท่ีดินตรงไหนของใครก็จะมีพระราชอานาจไปยึด
ครองที่ตรงน้ันได้ตามพระราชประสงค์ ทั้งนี้เพราะทรงเห็นว่ากฎหมาย
เช่นน้ีไม่ยุติธรรม ได้โปรดให้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาที่ดินเม่ือ
ปี พ.ศ. 2399 และปี พ.ศ. 2403 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าฯ ทรงครองราชย์พร้อมกับการเร่ิมนาการเปล่ียนแปลงเข้า
มา พระองค์จะต้องทาให้เห็นว่าลักษณะของพระมหากษัตริย์แบบนี้เป็น
แบบท่ีเหมาะสมกับสถานการณ์ ทรงพยายามปฏิบัติพระองค์เพ่ือให้ผู้อ่ืน
เห็นว่าทรงมีความสามารถใช้ชีวิตทางโลกได้ดีไม่ย่ิงหย่อนไปกว่าทาง
ธรรม ฉะน้ันจึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์ท่ียอมรับฟังความเห็นของคน
สว่ นใหญ่

ดา้ นการสร้างสถาปัตยกรรมฝรัง่ ในบางกอก

ภาพภายในพระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม ในพระอภิเนาวน์ เิ วศน์
(ภาพจาก สานักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

ในสมัยรัชกาลท่ี 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
ตระหนักถึงความจาเป็นที่จะต้องติดต่อและมีความสัมพันธ์กับชาติทาง
ตะวันตก ทั้งในด้านการค้าขาย การเมือง และการรับวิทยาการ
สมัยใหม่ เพื่อให้ต่างชาติเชื่อถือว่าสยามประเทศได้พัฒนาแล้วไปสู่ความ
เป็นอารยะ และมคี วามคดิ ก้าวหนา้ มใิ ช่ชาติลา้ หลังด้อยพฒั นา เพอ่ื เอาตวั
รอดจากการที่ฝรั่งใช้เปน็ ข้ออ้างในการล่าอาณานิคม และด้วยสาเหตุแห่ง
การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นชาติที่พัฒนาแล้วน่ีเอง ทาให้เมืองบางกอก
อันเป็นราชธานีของสยามประเทศจาเป็นต้องปรับปรุงเปล่ียนแปลงด้วย

การรับอารยธรรมจากตะวันตกในรูปแบบศิลปวัฒนธรรมสมัยใหม่ท่ีเป็น
แบบยุโรปกค็ ืบคลานเข้ามาใหเ้ หน็ อยา่ งรวดเรว็ ในเขตพระราชฐาน แม้แต่
ในห้องพระบรรทม ในพิพิธภัณฑ์ หรือการอบรมสั่งสอนแบบฝร่ังแก่ชาว
ราชสานักโดยครูแหม่ม

สิ่งกอ่ สร้างในพระบรมราชวงั สมัยรัชกาลที่ 4 เช่น การสร้างหมู่พระ
อภิเนาว์นิเวศน์เป็นภาพลักษณ์ใหม่แบบตะวันตกท่ีถูกรังสรรค์ขึ้นให้โดด
เด่นและแตกตา่ งจากท่ใี นร้วั ในวงั เคยมี เป็นข้อสังเกตและได้รับคาเยินยอ
จากราชทูตยุโรปท่ีถูกเชิญให้เข้าไปเยือนภายในอยู่เนืองๆ โดยในสมัย
รัชกาลที่ 4 ซ่งึ กรมขนุ ราชสีหวิกรมทรงรบั ราชการอยู่นี้ เป็นช่วงเวลาแห่ง
การเปลยี่ นผา่ นของการรับวัฒนธรรมจากภายนอกเข้าสู่สยามประเทศใน
หลายๆ ด้าน ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ด้านงานช่างของหลวงซ่ึงนายช่างย่อมต้อง
ปฏิบัติงานถวายให้ได้ต้องตามพระราชประสงค์ ดังปรากฏหลักฐาน
ว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ
โปรดเกลา้ ฯ ใหก้ ากบั ดูแลการก่อสรา้ งถาวรวตั ถทุ ส่ี าคญั ท้งั พระราชฐานที่
ป ร ะ ทั บ บ า ง แ ห่ ง ใ น พ ร ะ บ ร ม ม ห า ร า ช วั ง แ ล ะ พ ร ะ ร า ช นิ เ ว ศ น์ ใ น
ต่างจังหวัด รวมท้ังพระอารามสาคัญอีกหลายแห่งผลงานของ พระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมขุนราชสีหวิกรม จึงควรค่าแก่การศึกษาท้ังในส่วนของ
งานชา่ งท่ียงั คงรปู แบบศลิ ปะอย่างไทยประเพณีเพื่อให้สมพระเกียรติแห่ง
องค์พระมหากษัตริย์ และยังมีส่วนท่ีต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบเพ่ือให้สอด
รับกับการเปล่ียนแปลงของบ้านเมือง รวมท้ังพระราชนิยมในรัชกาล
ท่ี 4 ทม่ี พี ระราชประสงคใ์ หก้ ่อสร้างอาคารรูปแบบตะวนั ตก

ดา้ นโบราณคดีและประวตั ิศาสตร์

หลกั ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหง
พระปรีชาญาณท่ีควรจะกล่าวถึงอีกเร่ืองหนึ่ง คือการที่ทรงเป็น
นักศึกษาค้นคว้า ทั้งทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ผู้ศึกษาศิลา
จารึกน่าจะน้อมราลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณท่ีทรงเป็นธุระจัดการสืบ
คน้ หาศิลาจารึก สมยั สโุ ขทัยแลว้ นามาประดษิ ฐาน ในพิพธิ ภัณฑ์เก็บไวใ้ ห้
คนรุ่นหลงั มีโอกาสศกึ ษากนั มาจนทุกวนั นี้
สว่ นทางด้านประวตั ิศาสตร์ พระราชหตั ถเลขาฉบับนี้แสดงให้เห็น
ว่าเมื่อคราวโปรดให้แต่งพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาน้ัน ทรง
คานึงถึงความถูกต้อง มีการตรวจสอบเอกสารจากท่ีต่าง ๆ นับเป็น
คุณประโยชนต์ อ่ นกั ศึกษาประวตั ิศาสตร์ร่นุ ต่อมามใิ ชน่ ้อย

ดา้ นการพระราชพิธี
พระราชพธิ ฉี ัตรมงคล

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2395 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง
พระราชดาริเห็นว่า พระมหากษัตริย์ในต่างประเทศได้นิยมวันเสวยราชย์
เป็นวันสาคัญวันหน่ึงโดยถือว่าวันนั้นเป็นวันสมโภช พระมหาเศวตฉัตร
ฉะนั้นจึงควรจัดให้มีการฉลองสาหรับวันนั้นขึ้น จะได้เป็นสวัสดิมงคลแก่
ราชสมบัติ และบา้ นเมอื ง พระองคจ์ งึ โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกอบพระราชพิธี
ขึ้นเป็นทางราชการและใหเ้ ป็นงานประจาปตี ลอดไป

ในรัชกาลก่อน ๆ ไม่เคยปรากฏว่า ได้มีพระราชพิธีสมโภชพระมหา
เศวตฉัตรเช่นนเี้ ลย พิธีน้นี ับวา่ เป็นคร้งั แรกท่ีมีขึ้นในรัชกาลท่ี 4 จากการ
ทพี่ ระองคท์ รงรู้ขนบธรรมเนียมและมีการติดต่อกับต่างประเทศ พระราช
พิธีนไี้ ด้ถอื เปน็ พระเพณตี ่อมา จนทกุ วนั นี้
ดา้ นการศาสนา

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัวเม่ือยงั ทรงผนวช
เปน็ พระวชิรญาณเถระเสดจ็ ธดุ งคไ์ ปตามหวั เมืองต่างๆ

ภาพเขยี นโดย นายวฒุ ชิ ยั พรมมะลา
พระองค์ทรงบารุงพระพุทธศาสนา คือกวดขันความประพฤติของ
ภิกษสุ ามเณรใหอ้ ยู่ในพระธรรมวนิ ยั และเปน็ ผนู้ าทางปญั ญาในสงั คมดว้ ย

การเป็นผู้อธิบายความหมายของหลกั ธรรมในพระพุทธศาสนา และชักจูง
ใหช้ าวบ้านปฏิบตั ติ ามหลกั ศีลธรรม

ในสมัยรัชกาลท่ี 3 เม่ือคร้ังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ยังทรง
เป็นวชริ ญาณภกิ ษอุ ยู่นนั้ ไดท้ รงตง้ั คณะสงฆ์นิกายธรรมยุติขึ้นอันผิดแผก
จากนกิ ายเดิมคอื มหานกิ ายหนา้ ท่สี าคัญของพระธรรมยุติคือจะตอ้ งศกึ ษา
หาความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับพระไตรปิฎก ฉะน้ันข้อประพฤติปฏิบัติท่ี
สาคัญของพระนิกายน้ี คือการศึกษาพระธรรม และไม่นาความเช่ือไสย
ศาสตรม์ าเก่ยี วข้องกบั พระพทุ ธศาสนา แตม่ ผี กู้ ลา่ วหาว่าการตั้งคณะสงฆ์
ธรรมยุติกนิกายทาให้เกิดความแตกแยกร้าวฉานขึ้นในวงการศาสนา น่า
คดิ เม่อื ไดศ้ กึ ษาพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ใน
เร่ืองความพยายามฟื้นฟู จริยธรรมในพระศาสนา ว่าทรงเห็นความเหลว
แหลกในวงการศาสนา ได้เห็นความประพฤติของสงฆ์ ได้เห็นศรัทธาใน
การนับถอื ศาสนาในทางท่ีผิด ธรรมยุติกนิกายจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุผลเช่นน้ี
มากกวา่ เหตุผลเพอ่ื สร้างความแตกแยกในวงการพระศาสนา

นอกจากการทรงทานุบารุงพระพุทธศาสนาแล้ว ยังได้ทรง
พระราชทานพระบรมราชูปถมั ภเ์ ผ่ือแผ่ไปถึงศาสนาอื่นด้วย เช่นทรงพระ
มหากรุณาธิคณุ โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานทีด่ นิ ริมแม่น้าเจ้าพระยาบริเวณ
ตอนใต้อู่บางกอกด๊อกให้ศาสนานิกชนคริสเตียนใช้เป็นที่สร้างโบสถ์ ทรง
ยกย่องพระญวนนิกายมหายานอย่างเป็นทางการ และทรงสร้างวัดอุภัย
ราช บารุงที่ตลาดน้อยให้เป็นราชพลี สิ่งหน่ึงท่ีมองข้ามไปไม่ได้คือทรงให้
เสรีภาพ ในการถือศาสนาแก่ประชาชนทุกคน และทรงแนะให้ใช้เหตุผล
ในการเลือกถือศาสนา

ทรงบารุงพระพทุ ธศาสนาบาเพญ็ พระราชกุศลเพ่ิมเตมิ ขึ้นกว่าธรรม
เนียมเดิมหลายประการ นอกจากจะทรงสร้าง บูรณปฏิสังขรณ์วัดและ
ปูชนียสถาน ทรงสรา้ งและจาลองพระพุทธรูปและทรงสง่ สมณทตู ไปลงั กา
แล้ว ยัง ท ร ง เ ป็น พ ระ มห า กษัตริย์ไ ท ยพ ระ อ งค์แร ก ที่ท รง น า
พระพุทธศาสนาเข้ามาเก่ียวข้องในการพระราชพิธีต่าง ๆ ซ่ึงแต่เดิมพระ
ราชพิธีทั้งหลายเหล่าน้ันเป็นเรื่องพิธีพราหมณ์เพียงอย่างเดียว อาทิ
เช่น พระบรมราชพิธีราชาภิเษก พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนา
ขวญั พระราชพิธีตรยี ัมปวาย พระราชพธิ ีโสกันต์ เปน็ ตน้ ยกตัวอย่างพระ
ราชพิธีจรดพระนังคัลนั้น โปรดฯ ให้ปลูกพลับพลาข้ึนหน้าท้อง
สนามหลวงซึ่งเป็นสถานที่ทาพระราชพิธี แล้วสร้างหอพระเป็นท่ีไว้พระ
คันธารราษฎร์ ก่อนท่ีพระนาแรกนาจะกราบถวายบังคมลาไปเข้าพิธีก็
โปรดใหพ้ ระยาแรกนาฟงั สวดเสียกอ่ น

สร้างภเู ขาทองวัดสระเกศ

พ.ศ. 2406 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
บูรณปฏิสังขรณ์ปชู นียสถานภเู ขาทองวดั สระเกศทสี่ รา้ งขึ้นในสมัยรัชกาล
ที่ 3 ยังไม่แล้วเสร็จ โปรดฯให้พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นมเหศวร
ศิววิลาศเป็นแม่กองจัดสร้าง ทาเป็นภูเขาใหญ่ สูง 1 เส้น 18 วา 2 ศอก
บนยอดให้ก่อเป็นองค์พระเจดีย์ บรรจุพระเขี้ยวแก้วและพระบรม
สารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไว้บนยอดแล้วพระราชทานนามว่า “บรม
บรรพต”

งานประตมิ ากรรมดา้ นปน้ั หลอ่ พระพทุ ธรปู

พระนิรนั ตราย
พระนริ ันตราย พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้
หล่อขน้ึ ดว้ ยทองคาเพื่อสวมทบั พระนิรันตรายองคเ์ ดมิ ซงึ่ ทรงไดม้ าจากดง
พระศรีมหาโพธิ เมืองปราจีนบุรี (ภาพจากหนังสือ “พระพุทธปฏิมาใน
พระบรมมหาราชวงั ”)
งานประตมิ ากรรมด้านปั้นหลอ่ พระพทุ ธรปู ในรัชกาลท่ี 4 ก่อกาเนิด
พุทธศิลป์แนวใหม่นิยมป้ันหล่อพระประทานเป็นพระพุทธรูปขนาด
เล็ก พุทธลกั ษณะพระพุทธรปู เป็นแบบเฉพาะมีลักษณะโดยรวมใกล้เคียง
ความเป็นมนุษย์มากขึน้ พระพุทธรูปท่ีงดงามในรัชกาลน้ีคือ พระพุทธรูป

นิรันตราย พระพุทธสิหิงค์ นอกจากยังมปี ระตมิ ากรรมท่สี าคญั อกี คือ องค์
พระสยามเทวาธริ าช เปน็ เทวรูปประทบั ยนื ขนาดเล็ก

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว เมอ่ื คร้ังยงั ยังทรงเปน็ พระว
ชิรญาณเถระได้ทรงค้นคว้าพระอรรถกถาบาลีเพื่อหาพุทธลักษณะและ
ขนาดพระวรกายของพระพุทธเจ้าท่ีแท้จริง ทาให้พระวชิรญาณเถระได้
ทรงสร้างพระพุทธปริตรจากไม้ไผ่สาน ซึ่งเช่ือกันว่ามีขนาดของพระ
วรกายที่คล้ายคลึงกับพระพุทธเจ้า และพระสัมพุทธพรรณีข้ึนในปีพ.ศ.
2373 ให้มีริ้วจีวรเป็นร้ิวผ้าตามธรรมชาติ ตามแนวคิดสัจนิยมอันได้รับ
อิทธิพลจากตะวันตกและที่สาคัญคือไม่มีพระเกตุมาลา แต่ก็ยังคงรักษา
มหาปุรสิ ลักษณะ 32 ประการไวอ้ ยา่ งครบถ้วน

จ น เ มื่ อ พ ร ะ ว ชิ ร ญ า ณ เ ถ ร ะ ท ร ง ข้ึ น เ ถ ลิ ง ร า ช ส ม บั ติ เ ป็ น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ได้ทรงสร้าง
พระพทุ ธรูปในธรรมยตุ ิกนกิ ายอกี หลายองค์ แตอ่ งคท์ เ่ี ปน็ ทร่ี จู้ กั กนั อยา่ งดี
ท่สี ดุ คือ พระนิรันตราย อันทรงสร้างครอบพระกรง่ิ ทองคาทที่ รงไดม้ าจาก
ดงพระศรีมหาโพธิ เมืองปราจีนบุรี ซึ่งเป็นการปรับแก้พุทธลักษณะใน
ธรรมยุติกนิกายคร้ังสุดท้ายในช่วงพระชนมชีพของพระองค์ กล่าวคือ
ปลายพระกรรณของพระพทุ ธองคเ์ รม่ิ สน้ั เท่ามนุษย์ปกติ และจวี รยังดเู ปน็
ธรรมชาติมากกว่าท่ีปรากฏในพระพุทธสัมพรรณีแต่จะถือว่าพุทธศิลป์ใน
ธรรมยุติกนิกายน้ันได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตกทั้งหมดเลยมิได้ เพราะ
มหาปุริสลักษณะ อันเป็นความเชื่อของอินเดียท่ีว่าด้วยลักษณะของมหา
บรุ ษุ นั้นก็ยังคงอยู่

สรา้ งพระสยามเทวาธริ าช

พระสยามเทวาธริ าช
พ.ศ. 2410 พระองคท์ รงโปรดฯให้ พระองค์เจา้ ประดษิ วรการ นาย
ช่างกรมช่างสิบหมู่ ป้นั รปู พระสยามเทวาธิราชเทวดาแล้วหล่อดว้ ยทองคา
ทั้งพระองค์ ทรงเคร่ืองกษัตริย์ประทับยนื หัตถ์ขวาถอื พระขรรค์ พระหัตถ์
ซ้ายยกเสมอพระอุระในท่าประทานพร มีขนาดสูง 8 นิ้วฟุต เพื่อทรง
สักการะในฐานะท่ีเปน็ เทพยดาผคู้ มุ้ ครองพทิ กั ษร์ กั ษาบา้ นเมอื งใหผ้ า่ นพน้
เหตรุ ้ายให้รอดพน้ ได้เสมอ

ทรงกาหนดวนั มาฆบชู าเปน็ วันสาคญั ทางศาสนา

ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชดาริเห็นว่าวันมาฆบูชา เป็นวันสาคัญทางพุทธ
ศาสนาวันหน่ึง ซ่ึงมีในวันเพ็ญกลางเดือน 3 เช่นเดียวกับวันวิสาขบูชา ท่ี
จัดให้มีข้ึนในรัชกาลท่ี 2 เหมือนกันฉันนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้มีข้ึนในวัด
พระศรีรัตนศาสดารามเป็นครั้งแรกและให้ถือเป็นกาหนดในทางราชการ
เป็นงานหลวงตลอดไป ต่อมาวัดอ่ืน ๆ ทั่วพระราชอาณาจักรได้จัดให้
มี และถือเป็นประเพณีสบื มา

ทรงถวายผา้ จานาพรรษา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภถึงพระอัฐแห่ง
พระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ตามพระอารามหลวงหลายพระ
อารามต่าง ๆ กัน เพอื่ ท่จี ะทรงบาเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายตามควรแก่
โอกาส ดังน้นั พระองค์จงึ ไดโ้ ปรดเกล้าฯ ให้จัดการเรี่ยไรเงนิ จากพระบรม
วงศานุวงศ์ พร้อมกับผ้าขาวและเครื่องไทยทานท้ังปวง มามอบถวาย
เป็นของกลางไว้ที่วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) และวัดราชโอรสา
ราม (วัดจอมทอง) ซึง่ เปน็ พระอารามหลวงแหง่ แรกทพี่ ระองคท์ รงกาหนด
ในคร้ังนั้น เม่ือทอดผ้าตามพระอัฐพระบรมวงศานุวงศ์ เสร็จแล้วภิกษุ
สงฆ์ชักผ้าบังสุกุล แล้วถวายอนุโมทนา ต่อจากนั้นมาก็เลยเป็นประเทศ
เพณีท่ีพุทธศานิกชนนิยมถวายผ้าจานาพรรษาตามอย่างสืบมา แต่การ

ถวายผ้าจานาพรรษานั้นจะต้องทาในเขตจีวรกาลกาหนดต้ังแต่วันแรม 1
คา่ เดือน 11 จนถงึ วนั ขึน้ 15 ค่า เดอื น 4 การบาเพ็ญกศุ ลเช่นนี้ ไมไ่ ด้ทา
กันเป็นงานใหญ่เหมือนการกุศลอ่ืน ๆ เป็นแต่เพียงทากันเงียบ ๆ เพราะ
ไม่ได้กาหนดเหมือนวันวิสาขะหรือมาฆบูชา ซึ่งเป็นประเพณีสาคัญทาง
พระพุทธศาสนา เป็นต้น

พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั พระราชทานธรรมเทศนาให้
กรมการฝา่ ยในฟงั ในวนั วสิ าขบชู า (ภาพจากหนงั สือ “ประชมุ ภาพ
ประวัตศิ าสตรแ์ ผน่ ดินพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ”)

นับวา่ พระองคท์ รงเป็นองคเ์ อกอคั รศาสนูปถมั ภก ทค่ี วรจะไดร้ าลึก
ถึงพระกรุณาคุณแผ่เมตตาจิตถวาย เป็นการแสดงกตัญญูกตเวทิตา
ธรรม แด่ผ้ทู รงพระกรุณาธิคุณแหง่ พระพุทธศาสนาในประเทศอย่างยงิ่

ด้านสง่ เสรมิ ภาษาไทย

พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ ฯ
พระองค์ทรงใส่พระทัยในเรือ่ งการใชภ้ าษาไทยของคนไทยท้ังหลาย
เป็นอันมาก ส่อให้เห็นว่ามิได้สนพระทัยแต่เรื่องความทันสมัยเท่าน้ัน ได้
พระราชทานพระราชกระแสทักท้วง แนะนา ตักเตือนคนทุกระดับขั้น
ต้ังแต่ขุนนางข้าราชการไปจนถึงชาวบ้านท่ัวไปทั้งเรื่องการเขียน การ
อ่าน การพูดและการใช้ภาษาไทย ยิ่งเป็นผู้รู้ก็จะยิ่งทรงกวดขันเป็น
พเิ ศษ เน่ืองดว้ ยคนเหลา่ น้นั จะเปน็ ตวั อย่างแก่คนอื่น ๆ อีกมากมาย และ
จะกร้ิวที่มีการพลิกแพลงการใช้คามากเกินไป ยกตัวอย่างคาราชา

ศัพท์ คาราชาศัพท์น้ีแต่เดิมมาน้ันอาลักษณ์และมหาดเล็กจะจดจาคา
เพ็ดทูลของข้าราชการท่ีรู้แบบแผนมาแต่เดิมบ้างใช้ภาษามคธแทน
บ้าง เลี่ยงคาหยาบคายและคาผวนเสียบา้ ง เมอื่ กราบทูลขนึ้ ไปโปรดว่าดีก็
จดไว้เป็นหลักฐานนามาใช้เทียบเคียงกับคาอ่ืน ๆ ท่ีคล้ายกัน การเลี่ยง
หรือการพลิกแพลงมากจนเกินไปอาจทาให้ภาษาเสียได้ ยกตัวอย่างเคย
กริ้วเม่ือมีผู้เรียกดอกนมแมวว่าดอกถันวิฬาร์ เรียกช้างว่าสัตว์โต มีรับสั่ง
ว่าพวกน้ีเปน็ พวก ใจกระดกุ กระดกิ คิดพเิ รนทร์

สาหรับผู้ใช้ภาษาไทยผิด ๆ น้ันทรงมีวิธีการลงโทษเพื่อให้จดจาได้
หลายวิธีด้วยกันนับต้ังแต่ “ทรงแช่งไว้ว่าให้ศีรษะคนนั้นล้านเหมือนหลวง
ตาในวันโกนเป็นนิจนิรันดร์ไป” “โปรดให้อาลักษณ์ปรับเสียคนละ
เฟื้อง” จนกระทั่ง “ให้กวาดชานหมากและล้างน้าหมาก ทั้งใน ท้ังนอก
ท้องพระโรพระบรมมหาราชวงั ”ดงั นี้ เป็นตน้

พระอัจฉริยะทางภาษาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ คงจะ
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป เพราะตราบจนทุกวันนี้หนังสือหลักภาษาไทยยัง
บรรจุการสอนเร่ืองกับ แก่ แต่ ต่อ ซึ่งนามาจากพระบรมราชาธิบายของ
พระองค์ทา่ น

“อริยกะ” อกั ษรทร่ี ชั กาลท่ี 4 “ทรงประดษิ ฐ”์

พระราชหตั ถลเขา รัชกาลท่ี 4 ทรงอักษร อรยิ กะ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะ
นนั้ สาหรบั ชว่ งเวลาไม่ปรากฏชดั เจน สันนิษฐานกันว่าน่าจะทรงประดิษฐ์
ขึ้นหลังจากได้เสด็จมาครองวัดบวรนิเวศวิหารแล้ว เพราะในเวลานั้นมีผู้
มาถวายตัวเป็นศิษย์เพ่ือประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระองค์เป็นจานวน
มากและเพื่อให้การศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยเป็นไปโดยสะดวกจึง
นา่ จะทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะขน้ึ สาหรบั ใชแ้ ทน “อักษรขอม” ทแ่ี ตเ่ ดมิ
ถือเป็น “อักษรศักดิ์สิทธ์ิ” สาหรับเขียนเร่ืองราวท่ีเก่ียวกับ
พระพุทธศาสนาทั้งที่เป็นภาษาบาลี (เรียกว่า “อักษรขอมบาลี”) และ
ภาษาไทย (เรียกว่า “อักษรขอมไทย”)รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้มีความรู้ด้านการพิมพ์ ทรงรู้ปัญหาในการหล่อ

และการเรยี งพมิ พ์ ดว้ ยเหตุที่ทรงรู้ภาษาอังกฤษและภาษาละตินจึงน่าจะ
ทรงดัดแปลงอักษรไทยและวิธีการเขียนโดยอาศัยแบบอย่างจาก “อักษร
โรมัน” เป็นแม่แบบท้ังนี้เพราะลักษณะการวางรูปสระในระบบการเขียน
ของอุษาคเนย์ เช่น อกั ษรขอม หรืออักษรไทย นยิ มวางสระไว้ทง้ั ด้านหน้า
ด้านบน ดา้ นลา่ ง และดา้ นหลังพยญั ชนะ ซ่ึงจะเกิดปญั หามากสาหรับการ
เขียนหรอื การพิมพใ์ นระบบการเขียน “อกั ษรขอม” แล้วยงิ่ มคี วามยุง่ ยาก
โดยเฉพาะระบบอักษรที่มีท้ัง “พยัญชนะตัวเต็ม” และ “พยัญชนะตัว
เชงิ ”

ด้วยเหตุนี้เมื่อพระวชิรญาณเถระ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว) ทรงประดิษฐ์อักษรอริยกะขึ้น จึงน่าจะทรงพยายามที่จะตัด
ความยุ่งยากในระบบการเขียนในอกั ษรขอมและอกั ษรไทยออกไปทง้ั หมด
และใช้ตามระบบการเขียนอกั ษร “โรมัน” ซึง่ งา่ ยกวา่ ทง้ั ในด้านการเรียง
พยัญชนะและสระ (ซึ่งเขยี นเรียงไว้หลังพยญั ชนะท้ังหมด) ดังน้ัน “อักษร
อริยกะ” จึงเป็นอักษรท่ีได้รับอิทธิพลทางรูปแบบตัวอักษรและอิทธิพล
ทางดา้ นอกั ขรวิธีในการเขยี นจาก “อักษรโรมัน” นั่นเอง

การที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์อักษร
แบบใหม่ขึ้นแล้วพระราชทานนามว่า “อักษรอริยะ” อาจเนื่องมาจาก
ต้องการแสดงให้เห็นว่าอักษรประเภทน้ีเป็นอักษรของ “ผู้เป็นอารยชน”
ซึ่งอาจมีความหมายเป็นนัยยะท่ีแสดงถึงการปรับตัวเข้าหาความเป็น
“อริยะ” หรือ “อารยะ” (อาจหมายถึงประเทศตะวันตก)

ดังนั้นการที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์
อักษร “อริยกะ” ขึ้นใช้ นอกจากจะเพื่อความสะดวกในการศึกษาเล่า
เรยี นแทนอกั ษรขอมแลว้ (ซง่ึ โดยความเป็นจรงิ อาจยุ่งยากกว่าเพราะต้อง
ปรับกระบวนการเรียนรู้ใหม่ท้ังหมด) ยังอาจมีนัยยะถึงการปรับเปล่ียน
เขา้ หาความเปน็ อารยะ (ความเปน็ ตะวนั ตก) อีกด้วย
ความแพรห่ ลายและความเสือ่ มของอักษร “อรยิ กะ”

จารกึ อกั ษรอรยิ กะ บรรทดั ที่ 1 ของจารึกวดั ราชประดษิ ฐ์
กรงุ เทพมหานคร

หลักฐานเกี่ยวกับความแพร่หลายของอักษรอริยกะมีไม่มากนัก
ทราบเพียงวา่ มกี ารนามาใช้พมิ พ์บทสวดมนต์บ้าง พิมพ์หนังสือปาฏิโมกข์
บ้าง และพิมพ์หนังสืออ่ืนๆ บ้าง และใช้แทนหนังสือใบลานที่เคย
แพร่หลายมาแต่เดิม แต่ความแพร่หลายน้ีก็จากัดวงอยู่เฉพาะในวัดบวร
นิเวศวิหารเท่าน้ันจารึกอักษรอริยกะท่ีมีใช้ให้เห็นอยู่อย่างชัดเจนใน
ปัจจุบันคือ จารึกวัดราชประดิษฐ์ ซ่ึงเป็นจารึกข้อความบนแผ่นหินอ่อน

พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวถึงการสร้าง
วัดราชประดษิ ฐ์ ขอ้ ความทจ่ี ารกึ ดว้ ยอักษรอรยิ กะ คือข้อความในบรรทัด
ที่ 1 เป็นอักษรอริยกะ ภาษาบาลี เช่นเดียวกับบรรทัดท่ี 40-42 ที่จารึก
ต่อจากข้อความอักษรขอมภาษาบาลี และในข้อความตอนท้ายบรรทัดท่ี
77-78 ของจารึกก็จารึกด้วยอักษรอริยกะเช่นเดียวกันต่อมาเม่ือ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลาผนวชข้ึนเสวยราชสมบัติ
แล้ว การใช้อักษรอริยกะก็เส่ือมไปในที่สุด ท้ังนี้อาจเนื่องมาจากมีรูปร่าง
และระบบอักขรวิธีแตกต่างจากอักษรไทยมากจึงไม่ได้รับความนิยมและ
คอ่ ยๆ เลกิ ใชไ้ ปตอ่ มาในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
ทรงไดน้ ารปู อกั ษรไทยมาใช้เขยี นภาษาบาลีได้ ความจาเป็นที่จะใช้อักษร
อรยิ กะเขยี นแทนอักษรขอมก็หมดลงในท่ีสุด

ด้านภาษาตา่ งประเทศ

แหมม่ แอนนาครสู อนภาษาต่างประเทศในสมยั รชั กาลที่4
ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ พระราชกรณียกิจที่
สาคัญย่ิงคือการปรับประเทศให้ทันสมัย ซึ่งมีจุดมุ่งหมายอยู่ท่ี “รู้จักและ
ส้องเสพย์กฎหมายและอย่างธรรมเนียมอันดี ๆ ในบ้านเมือง” ทรงเห็น
ตัวอย่างของประเทศเพ่ือนบ้าน เช่น อินเดีย พม่า ลาว เขมร มลายู และ
จีนท่ีดาเนินนโยบายผิดพลาดแข็งกร้าวกับประเทศจักรวรรดินิยมและใน
ที่สุดแล้วย่อมหนีเภทภัยไม่พ้น การติดต่อกับประเทศจักรวรรดินิยมใน
สมัยนั้นมิใช่เร่ืองง่าย ๆ โดยเฉพาะเม่ือชาติไทยถูกจัดเป็นชาติไทยป่า
เถ่ือน ไม่ไดเ้ ป็นชาตอิ ารยะ ตราบนนั้ ชาติไทย จะถูกเบียดเบียนจนสูญสิ้น
อิสรภาพ ดงั นนั้ ดว้ ยปรชี าญาณของพระองคใ์ นการหย่งั รทู้ ่าทแี ละทศั นคติ
ของมหาอานาจได้เปลี่ยนแปลงพัฒนาแก้ไข จนสามารถนาชาติไทยให้

รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมได้ โดยการเปล่ียนแปลงประเทศให้
ทนั สมัยพรองคท์ รงดาเนนิ การเปน็ ไปใน 2 ลกั ษณะ ควบคู่กนั ไปคอื รบั เอา
ความเจริญแบบตะวนั ตกมาใชใ้ นสังคมไทย และปรบั ปรงุ ของเดมิ ทม่ี อี ยใู่ ห้
เหมาะสมกบั สถานการณท์ จ่ี ะเปลี่ยนแปลง

ขัน้ ตอนแรกทีท่ รงดาเนินการคอื การเรยี นรภู้ าษาองั กฤษ เพอื่ จะเปน็
ส่ือในการแลกเปลี่ยนเอาความทันสมัย ลาพังพระองค์เองทรงศึกษา
ภาษาองั กฤษอย่กู บั มร. คาสเวลล์ หมอสอนศาสนา เปน็ เวลา 6 ปี ทรง
สนับสนุนโรงเรียนของหมอสอนศาสนาที่เข้ามาเปิดในประเทศไทยเพื่อ
อบรมส่ังสอนให้คนไทยมีความรู้ในภาษา วรรณคดี และวิทยาการของ
ตะวันตกทรงส่งเสริมให้เจ้าจอม พระราชโอรสธิดา ได้รับการศึกษา
ภาษาองั กฤษ เมื่อทรงครองราชยแ์ ล้วประมาณ 3 เดอื น ไดโ้ ปรดใหภ้ รรยา
ของหมอสอนศาสนา เช่น นางบรัดเล นางแมททูน เข้าไปสอน
ภาษาอังกฤษในพระบรมมหาราชวัง และต่อมาได้ทรงจ้างแหม่ม
แอนนา เลียวโนเวนส์ เป็นครูในพระบรมมหาราชวังอย่างเป็นทางการ
นอกจากการเรียนรู้ภาษาอังกฤษแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ยัง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯส่งข้าราชการระดับบริหารไปศึกษางานที่
จาเปน็ สาหรับราชการไทย ณ ตา่ งประเทศดว้ ย เชน่ สง่ ขนุ มหาสทิ ธโิ วหาร
ออกไปดกู ารพมิ พ์ ณ ตา่ งประเทศ ในปี พ.ศ. 2404 และส่งหมนื่ จกั รวิจิตร
ไปเรียนแก้นาฬิกา


Click to View FlipBook Version