The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๔ (ฉบับสมบูรณ์)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tharaphan.prasan, 2022-08-14 08:28:40

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๔ (ฉบับสมบูรณ์)

พระราชประวัติ รัชกาลที่ ๔ (ฉบับสมบูรณ์)

ด้านการอนุรักษ์และฟนื้ ฟศู ลิ ปวฒั นธรรมไทย
ด้านการละครและการละเล่นโขน

การละเลน่ โขนในสมัยรัชกาลท่ี4
พระราชกรณียกิจที่สาคัญอันควรจะกล่าวถึงในเรื่องการอนุรักษ์
และฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างหนึ่ง คือการพระราชทานพระบรมรา
ชานุญาตให้หัดละครผู้หญิงกันได้ทั่วไป และพระราชทานพระบรมรา
ชานญุ าตให้นาบทประพนธไ์ ปเล่นได้ เปน็ เหตใุ ห้เกิดการเปล่ียนแปลงการ
เล่นละครซึ่งเดิมผู้ชายเล่นมาก่อนเป็นผู้หญิงเล่นกันท่ัวไปไม่จาเป็นต้อง
เป็นเฉพาะละครหลวงเทา่ นนั้ ครน้ั ละครผหู้ ญงิ แพรห่ ลายขน้ึ เปน็ ทถ่ี กู อก
ถูกใจคนดู เจ้าของงานท่ีประสงค์ให้งานของตนครึกครื้นหรือแม้กระทั่ง
เจ้าของโรงบ่อนท่ีต้องการให้คนเข้าบ่อนมาก ๆ ต่างก็หาละครผู้หญิงไป
แสดง ละครทีไ่ ด้รับงานบอ่ ย ๆ เจา้ ของโรงก็ไดร้ บั ผลประโยชนม์ าก จงึ

ด้านจติ รกรรมไทย

ขรัวอนิ โขง่
จิตรกรรมไทยในสมัยรัชกาลน้ีได้นาวิธีเขียนภาพแบบตะวันตกมา
ผสมผสานโดยใช้ กฎ เกณฑ์ทัศนียวิทยามีระยะใกล้ - ไกลแสดงความลึก
ในแบบ 3 มิติ ตลอดจนการจัดองค์ประกอบให้ บรรยากาศและสีสัน
ประสานสัมพันธ์กับรูปแบบตัวภาพเป็นจิตรกรรมไทยแนวใหม่แสดง
สักษณะศิลปะแบบอุดมคติและศิลปะแบบเรียลลิสท์ จิตรกรเอกในสมัย
รัชกาลนี้คือ พระอาจารย์อินโข่งหรือขรัวอินโข่ง ผู้นาเอาจิตรกรรมแบบ
ตะวันตกท่ีเก่ียวกับการจัดองค์ประกอบ ผู้คนการแต่งกาย ตึก บ้านเมือง
ทิวทัศน์ การใช้สี แสงเงาบรรยากาศท่ีให้ความรู้สึกในระยะและความลึก
มาใชอ้ ย่างสอดคลอ้ งกับเรือ่ งทใ่ี ช้แสดงออกเก่ยี วกับคตแิ ละปรศิ นาธรรม

บาทหลวง” ในภาพปรศิ นาธรรมฝมี ือขรวั อินโขง่ จติ รกรรมฝาผนงั
ภายในพระอโุ บสถวดั บวรนเิ วศวรวหิ าร

งานจิตรกรรมลักษณะนี้ศึกษาได้ที่พระ อุโบสถวัดบวรนิเวศน์วิหาร
หอราชกรมานุสรณ์ หอราชพงศานุสร นอกจากนี้ยังมีงานจิตกรรมอ่ืน ๆ
เช่น ภาพช้าง ตระกูล ต่าง ๆ ในหิมพานต์ที่หอไตรวัดพระเชตุพนวิมลมัง
คลาราม ภาพชีวิตชาวบ้านท่ีพระอุโบสถวัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา
ภาพสาวมอญ จิตรกรรมบนบานหน้าต่างอุโบสถวัดบางน้าผึ้งนอก พระ
ประแดง

ใช้ “สยาม” เป็นช่ือประเทศ

พ.ศ. 2398 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
พระราชดาริเห็นว่าการท่ีใช้คาว่า “กรุงศรีอยุธยา” น้ันเป็นพระนามของ
ราชธานีเกา่ ไม่ตรงกับนามของประเทศเวลานี้ อนึ่ง พระเจ้ากรุงสยามใน
รัชกาลกอ่ นนยิ มออกชอื่ ประเทศเป็นทางราชการทต่ี ดิ ต่อกบั ตา่ งประเทศก็
ว่า “กรุงศรีอยุธยา” ส่วนบรรดานานาประเทศเวลานี้นิยมเรียกอยู่ว่า
ประเทศสยามท่ัวกันแล้ว ดูเป็นการลักล่ัน มีช่ือไม่เป็นระเบียบท่ีแน่นอน
และสิ้นสุดลงได้ ประจวบกับเวลานี้อังกฤษได้ส่งทูตเข้ามาทาสัญญาทาง
พระราชไมตรีด้วย ครั้นจะใช้นามเดิมเป็นการไม่เหมาะสม จึงเห็นควรใช้
นามของประเทศวา่ “ประเทศสยาม” ตามนามทตี่ ่างประเทศเรียกกนั จึง
ได้มีประกาศให้ใช้คาว่า “สยาม” เป็นนามทางราชการตั้งแต่ พ.ศ. 2398
สืบไป

ด้านการเงนิ

เงนิ พดดว้ งสมยั รชั กาลท่ี 4
ส่วนทางด้านเงินตราซึ่งเป็นของคู่กันกับเร่ืองการค้าน้ัน แต่เดิมไทย
ใช้เงินเบ้ียซ่ึงเป็นเปลือกหอย และเงินพดด้วงที่เรียกว่าเงินบาท เมื่อ
ประกาศเปิดการคา้ เสรี การคา้ ขายในพระนครเจรญิ รวดเรว็ เกนิ คาดหมาย
เงินตราชาวต่างประเทศและทองคาก็เข้าประเทศมากขึ้นทุกปี เร่ืองน้ี
นับวา่ มีปัญหาในการคา้ ขาย กลา่ วคอื จะรับเงนิ ไทย ชาวตา่ งประเทศตอ้ ง
ให้กงสุลไปแลกเงินพดด้วงจากพระคลังหลวง เม่ือราษฎรได้เงินพดด้วง
มาแล้ว แทนที่จะใช้สอยหมุนเวียนกลับเก็บฝังดินไว้ ใช้เงินเหรียญ
ต่างประเทศจ่ายภาษีอากร ท้องพระคลังจึงมีแต่เงินตราต่างประเทศและ
ขาดแคลนเงินไทย ปัญหาน้ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงแก้ด้วย
การปรับปรุงระบบเงินตราของไทยให้ได้มาตรฐาน ประกาศพิกัดอัตรา

แลกเปลี่ยนเงิน ประกาศช้ีแจงให้ราษฎรเข้าใจและปรับตัวให้รู้จักใช้
เงินตรา

เหรียญเงนิ ตอกตราพระแสงจักร พระมหามงกฎุ พระเต้า ราคาสลงึ

การเปล่ียนแปลงเงินตรา ต้ังแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว โปรดให้ทาหนังสือสัญญากับชาวยุโรปแล้ว การค้าขายในพระ
นครเจริญรวดเร็วเกนิ ความคาดหมาย แต่กอ่ นมเี รือกาปัน่ ชาวยุโรปเขา้ มา
ค้าขายในพระนครเพียงปีละ 12 ลา แต่เม่ือทาหนังสือสัญญาแล้ว มีเรือ
กาป่ันเข้ามาค้าขายถึงปีละ 200 ลา พ่อค้าชาวยุโรปเอาเงินเหรียญ
ดอลลาร์ ซึ่งใช้ซ้ือขายทางเมืองจีน เข้ามาซ้ือสินค้าราษฎรไทยไม่
ยอมรับ ฝร่ังจึงต้องเอาเงินเหรียญดอลลาร์ มาขอแลกกับรัฐบาลเงินพด
ด้วงน้ันช่างหลวงทาท่ีพระคลังมหาสมบัติ เตาหน่ึงทาได้ราววันละ 140
บาท เพราะทาดว้ ยเครื่องมอื มใิ ชเ่ ครอ่ื งจกั ร เตาหลวงมี 10 เตา ระดมกัน
ทาแต่เงินพดดว้ ง ได้แคว่ นั ละ 1,400 บาท เปน็ อยา่ งมากไมพ่ อให้ฝรั่งแลก

ตามความประสงค์ พวกชาวกรุงพากันร้องทุกข์ว่า เป็นการเสีย
ผลประโยชน์ชาวต่างประเทศทเี่ ข้ามาทาการค้าขาย พระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดาริจะเปลี่ยนเงินตราสยามเป็น
เหรียญให้ทาด้วยเครื่องจักร ในขณะที่กาลังรอเครื่องจักรอยู่น้ันโปรดให้
ประกาศพระบรมราชานุญาตพระราชทานให้ราษฎรรับเหรียญชาว
ต่างประเทศแล้วเอามาแลกเงินบาทท่ีพระคลังมหาสมบัติได้โดยอัตรา 3
เหรียญ ต่อ 5 บาท ราษฎรก็ยังไม่พอใจจะรับเงินดอลลาร์ จึงโปรดให้เอา
ตรามงกฎและตราจักร ซึ่งสาหรับตีเงินพดด้วง ตีลงเป็นสาคัญในเหรียญ
ดอลล่าร์ให้ใช้ไปพลางก่อน ก็ยังไม่มีใครพอใจ ครั้นถึงปี พ.ศ. 2403 การ
สร้างโรงกษาปณ์สาเร็จ ทาเงินตราสยามเป็นเหรียญตรามงกุฎกับฉัตรท้ัง
สองข้างด้านหน่ึง ตามช้างเผือกอยู่ในวงจักรด้านหน่ึง เป็นเหรียญ 4
ขนาด คือ บาทหนึ่ง ก่ึงหน่ึง สลึงหนึ่งเฟ้ืองหน่ึง และทาเหรียญทองคา
ราคาอันละ 10 สลึงด้วย อีกอย่างหน่ึง เม่ือประกาศใช้เงินตราอย่าง
เหรยี ญแล้ว เงินพดดว้ งกย็ ังโปรดอนญุ าตใหใ้ ชอ้ ยูแ่ ตไ่ ม่ทาเพมิ่

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดาริในการ
แก้ปญั หาวิกฤตการณ์เงินตราขาดแคลนในคร้งั นี้ ด้วยการโปรดเกล้าฯ ให้
จัดพิมพ์ “เงินกระดาษ” นาออกใช้หมุนเวียนในระบบเงินตราของ
ประเทศสยามเป็นคร้งั แรกใน พ.ศ. 2396 เรยี กวา่ “หมาย” หรือ “หมาย
แทนเงนิ ” โดยมีพระราชประสงคใ์ ห้ราษฎรใชห้ มายแทนการใชเ้ งนิ พดดว้ ง
แต่กลับไม่เป็นที่นิยมในหมู่ราษฎร ผู้ที่มีหมายในครอบครองมักรีบนาไป
ข้ึนเงินท่ีพระคลังมหาสมบัติในชั่วระยะเวลาเพียงไม่นานนัก เน่ืองจาก
ราษฎรยังไม่คุ้นเคยและไม่แลเห็นประโยชน์อันใดในการใช้เงินกระดาษ
แทนเงินพดด้วงท่เี ป็นเงนิ ตราหลักของประเทศสยามมาแต่กาลก่อน

ด้านการตัดถนน

ถนนเจรญิ กรงุ
การตัดถนน การคา้ ขายในรชั การนม้ี กี ิจการกวา้ งขวางกว่าเดิม และ
ผู้มาติดต่อค้าขายส่วนมากเป็นชาวยุโรป พวกนี้ได้เข้าช่ือกันทาเรื่องราว
ถวายว่า “ชาวยุโรปเคยขรี่ ถข่มี ้าเดินทางตามท้องถนน เมอื งไทยไม่มีถนน
ให้ใช้รถใช้ม้า” จึงโปรดสร้างถนนข้ึนเม่ือ พ.ศ. 2404 มีถนนเจริญกรุง
เปน็ สายแรก และต่อ ๆ มา ก็โปรดให้สรา้ งถนนบารงุ เมอื ง เฟอ่ื งนคร และ
ถนนพระราม 4

ดา้ นการขดุ คลอง

คลองดาเนนิ สะดวก ขุดคลองในสมยั รชั กาลท่ี 4
การขุดคลอง โปรดให้ขุดคลองเพิ่มขึ้นอีก ท้ังในกรุงและหัว
เมือง ซึ่งก็มีคลองผดุงกรุงเกษม คลองหัวลาโพง คลองภาษีเจริญ คลอง
ดาเนินสะดวก ฯลฯ

ออกราชกิจจานเุ บกษา

ก่อนหน้าท่ีออกหนังสือราชกิจจานุเบกษานั้นได้มีการเขียนข่าว
ทางราชการประกาศ (Coust) ประกาศก่อนแล้วโดยแจกจ่ายไปตาม
กระทรวงกรมต่าง ๆ แต่ยังไม่ทั่วถึงกันได้ ตามกระทรวงกรมต่าง ๆ ท่ีใบ
แถลงขา่ วราชการมไี ปไม่ถึงตอ้ งไปลอกคัดเอาเอง ณ หอหลวง ภายหลงั ได้
โปรด ฯ ใหส้ ร้างโรงพิมพห์ ลวงข้นึ ในพระราชวัง (อยตู่ รงราวพระท่นี ั่งภานุ
มาศจารญู ) เรยี กโรงพิมพ์นั้นวา่ “โรงอักษรพมิ พการ” ต้งั แต่นั้นไม่ต้องไป
คอยลอกคัดอย่างแต่ก่อน หนังสือราชกิจจานุเบกษา ที่ออกครั้ง
น้นั พ.ศ. 2400 โดยมากเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอม
เกลา้ เจ้าอยู่หัวฯ และมกี ารประกาศข่าว ตา่ ง ๆ ของราชการดว้ ย

การทตู ติดตอ่ ต่างประเทศ
เซอร์ จอห์น บาวรง่ิ เขา้ มาทาสญั ญาให้องั กฤษ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ ให้เซอร์จอหน์
เบารง่ิ อคั รราชทูตองั กฤษ เขา้ เฝ้า (ภาพจิตรกรรมเทดิ พระเกยี รตกิ ษตั รยิ ์

แหง่ พระบรมราชจกั รวี งศ์ วาดโดย นคร หุราพนั ธ์
ปจั จบุ นั แขวนอยภู่ ายในอาคารรฐั สภา)

ฝ่ า ย อั ง ก ฤ ษ เ ม่ื อ ไ ด้ ท ร า บ ว่ า พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ จ อ ม เ ก ล้ า
เจา้ อยูห่ วั ได้ทรงทราบซงึ้ และสดั ทดั ภาษาองั กฤษมาแล้วเป็นอย่างดี อน่ึง
พระองค์ทรงมีพระทัยนิยมต่อการที่จะสมาคมกับฝรั่งอยู่แล้ว เข้าใจว่า
รัฐบาลไทยคงไม่ถือคติอย่างจีนเหมือนแต่ก่อน จึงเลือกได้เซอร์
ยอห์น บาวริง (Sir John Bowring) เจ้าเมืองฮ่องกงให้เป็นอัครราชทูต

เชิญพระราชสาสน์ของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียพร้อมด้วยเครื่องราช
บรรณาการเขา้ มาเสรจ็ ขอทาหนงั สอื สัญญาทางพระราชไมตรดี ้วย

อังกฤษมาทาสัญญาครั้งน้ีมีท้ังผลดีและผลร้ายกล่าวคือถ้าไทยขัด
ขืนไม่ยอมอนุโลมแก้สัญญาให้ จะทาอย่างเมื่อเซอร์ เจมส์ บรุก เข้ามา
คราวทแี่ ล้วไทยจะต้องรบกบั องั กฤษ แตถ่ า้ หากหวาดเกรงอังกฤษแลว้ กค็ ง
จะเสียเปรียบในกระบวนสัญญาเป็นผลร้ายต่อไป ทางที่จะได้ผลดีจึงต้อง
ให้เป็นการปรึกษาหารือปรองดองมีไมตรีต่อกันทั้ง 2 ฝ่าย ฉะนั้นการ
ท่ี เซอร์ ยอห์น บาวริง มาครั้งน้ีเห็นว่าทางฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเลือกได้คน
ที่เหมาะสมแล้ว เพราะท่านเซอร์ผู้นี้ก็เป็นคนท่ีฉลาดมีไหวพริบทั้งทาง
ปฏิภาณและพูด ฟังคาพูดคนอื่นได้ตั้ง 100 กว่าภาษา ส่วนตัวท่าน เซอร์
เองพูดได้กว่า 50 ภาษา และเป็นราชทูตอังกฤษคนแรกท่ีเข้ามา
เมืองไทย คร้ังนี้ผิดกับ ดร.ยอห์น ครอว์เฟอรดหรือกับตันเฮนรี เบอร
เนย์ ซ่ึงเป็นเพียงทูตของขุนนางผู้สาเร็จราชการอินเดียวส่งมา ส่วน
เซอร์ เจมส์ บรุกน้ันเป็นแต่ผู้ถือหนังสือของเสนาบดีกว่ากระทรวงการ
ต่างประเทศเท่านั้น หาใช่ราชทูตที่มาจากราชสานักของพระเจ้าแผ่นดิน
อังกฤษไม่ ดงั นั้นจงึ เปน็ หนา้ ทข่ี องเจา้ ของเมอื ง จะตอ้ งใช้ความระมดั ระวงั
ให้มากเพราะถือกันว่าทูต ก็คือ ผู้แทนพระเจ้าแผ่นดินต่างประเทศ ถ้า
เจ้าของเมืองไม่รับรองหรือประพฤติไม่สมแก่เกียรติยศแล้ว จะเป็นการ
หมนิ่ ประมาท ไม่นบั ถอื พระเจา้ แผ่นดนิ ของเขา ทางพระราชไมตรีอาจจะ
หมองหมางกันได้

สง่ ราชทตู ไปอังกฤษ

คณะราชทตู ไทยเขา้ เฝ้าสมเด็จพระนางวคิ ตอเรีย

วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2400 เวลา 15 น.เศษ พระบาทสมเด็จ

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้า ฯ ให้พระยามนตรีสุริ

ยวงศ์ (ชุ่ม บุนนาค) เป็นราชทูต จม่ืนสรรเพธภักดีเป็นอุปทูต จมื่นมณ

เฑียรพิทักษ์เป็นตรีทูตหม่อมราโชทัย (กระต่าย) เป็นล่าม ไปเจริญทาง

พระราชไมตรียังประเทศอังกฤษ ถวายราชสาสน์ และเครื่องราช

บรรณาธิการแด่สมเด้จพระนางวิคตอเรีย ด้วย พระบาทสมเด็จพระ

เจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะเจริญสัมพันธไมตรีสนิทย่ิงข้ึนจึงเป็นเป็น

การสมควรที่จะแตง่ ราชทตู ออกไปเปน็ การตอบแทนบ้าง นับเป็นคร้ังแรก
ทรี่ าชทูตไทยไปทวปี ยุโรปในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ คณะทูตที่ไปน้ีกลับมา
เม่ือ พ.ศ. 2401 พร้อมด้วยเคร่ืองจักรท่ีให้ซื้อมาจัดสร้างโรงกษาปณ์ ทา
เงินเหรียญบาทสลงึ และเฟอ้ื งจาหน่ายแทนเงนิ พดดว้ ง

สญั ญาพระราชไมตรกี บั ประเทศตา่ ง ๆ ในรชั กาลท่ี 4 อาทิ

วันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2399 มิสแฮร่ีเยเนราล กงสุลประเทศ
ญ่ีปุ่น ทูตอเมริกาได้เข้ามาทาหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วย
การค้าขาย, การเมอื ง, การพกิ ัดอตั ราภาษีและตั้งกลสุลในประเทศสยาม

วนั ท่ี 15 สงิ หาคม พ.ศ. 2399 มองซิเออร มองตคิ นี ทตู ฝร่ังเศสเขา้
มาทาหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ว่าด้วยการค้าการพิกัดอัตราภาษี
การเมืองและการต้ังกลสุลในประเทศสยาม ได้ทรงอนุญาต และให้สร้าง
วดั สรา้ งโรงสอนเดก็ ๆ และโรงรกั ษาคนป่วยไข้ กบั ให้คณะบาดหลวงสอน
ศาสนาไดอ้ ีกด้วย แตต่ ้องปฏิบัติตามกฎหมายสยาม

วันที่ 25 ตุลาคม พ.ศศ. 2401 ประเทศฉอนซเิ อตกิ เรปปุ บลกิ มาทา
หนงั สอื สญั ญาทางพระราชไมตรวี ่าดว้ ยการคา้ เมอื งการภาษาษแี ละตง้ั
ศาล อนญุ าตใหต้ ง้ั ได้

วันที่ 10 กมุ ภาพนั ธ์ พงศ. 2401 พเิ รนทรท์ ูตโปรตเุ กสมาทา
หนงั สอื สญั ญาทางพระราชไมตรวี ่าดว้ ยการคา้ การเมืองการภาษแี ละขอตงั้
กงสลุ ณ ประเทศสยาม

วันท่ี 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2401 พระเจ้าเฟรเดริกท่ี 7 ประเทศ
เดนมาร์คส่งผู้แทนเป็นทูตเข้ามาทาหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรี ว่า
ดว้ ยการค้าขาย การเมอื ง พกิ ดั อัตราภาษาสนิ คา้ และให้ต้ังกงสลุ ได้

วนั ที่ 17 ธนั วาคม พ.ศ. 2403 โยนฮอน เกอรเ์ ชยี ดทตู เนเธอรแลนด์
เขา้ มาทาหนังสือ สญั ญาทางพระราชไมตรวี ่าด้วยการคา้ การพกิ ดั อตั รา
ภาษี ไดท้ รงอนญุ าตและให้ตง้ั กงสุลได้

วนั ที่ 7 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2405 คอลออย เลนเบอร์ต ทุตเยอรมันได้
เขา้ มาทาสัญญาเจริญ ทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขายการเมือง การ
พกิ ัดอตั ราภาษแี ละตง้ั กงสลุ ไดม้ ีพระบรมราชานุญาตใหต้ ั้งได้

วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2405 ประเทศสวีเดนนอร์เวย์ ส่งผู้แทน
มาทาหนังสือสัญญาว่าถึงการค้าขาย การเมือง การภาษี และขอตั้งกงสุล
ในประเทศสยาม

วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2410 เบลเย่ียมส่งผู้แทนมาทาหนังสือ
สัญญาทางพระราชไมตรีว่าด้วยการค้า การภาษี การเมือง และการตั้ง
กงสลุ

สง่ คณะทตู ไปฝรงั่ เศส

คณะทตู ไทยเฝา้ พระเจา้ นโปเลยี นที่ 3
เวลานั้นรัฐบาลฝร่ังเศสได้นาเรือกลไฟเข้ามาในประเทศสยาม มี
ความประสงคจ์ ะรับราชทตู ไทยไปประเทศฝร่ังเศส ไดใ้ หเ้ จ้าพนักงานไทย
นาความเข้ากราบทูลพระกรุณาให้ทรงทราบพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยในทางพระราชไมตรีอยู่แล้ว จึงได้มีพระบรม
ราชานุมัติโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีพิพัฒน์รัตน์ราชโกษาธิบดีเป็น
ราชทูต จม่ืนไวยวรนารถเป็นอุปทูต พระณรงค์วิชิตเป็นตรีทูต เชิญพระ
ราชสาสน์คุมเครื่องราชบรรณาธิการออกไปประเทศฝร่ังเศส เม่ือวันที่ 7

กุมภาพันธ์ เพ่ือถวายแก่พระเจ้านโปเลียนที่ 3 คณะทูตท่ีไปน้ีกลับถึง
กรุงเทพฯ วันที่ 10 ธนั วาคม พ.ศ. 2404

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมพี ระบรมราชโองการโปรดเกลา้
ฯ ให้เซอร์ จอหน์ บาวรงิ กงสลุ อังกฤษในราชสานักกรุงเทพฯ เป็นทูตไทย
ทาสัญญาพระราชไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ที่จะมาทากับกรุงสยาม เมื่อ
โปรดเกล้าฯ ตั้งใหเ้ ปน็ ทูตแล้วกม็ ปี ระเทศเยอรมนั , สวเี ดน, นอรเวย์, เบล
เย่ียมอิตาลี และสเปน ต่างขอทาหนังสือสัญญาพระราชไมตรี ซึ่งท่าน
เซอรไ์ ดร้ ับหนา้ ทท่ี ูลถวายพระราชพธิ ีจรดพระนังคัลแรกนาขวญั

ใน พ.ศ. 2401 ปีนี้เริ่มมีพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้
ประกาศให้ถือเป็นประเพณนี ยิ มตลอดไปทกุ ปีธรรมเนียมจับมืออย่างชาติ
ตะวันตกครง้ั แรก

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเร่ิมใช้ธรรมเนียม
ฝรั่ง โดยพระราชทานพระหัตถ์ ให้แก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทจับมือส่ัน
เป็นคร้ังแรก พ.ศ. 2409 และครั้งนั้นได้พระราชทานพระหัตถ์ให้เจ้ากา
วิโลรส เจ้าประเทศราชแห่งพระนครเชียงใหม่จบั เปน็ คนแรก ซงึ่ ขณะทไ่ี ด้
ลงมาเฝ้าทูลละออกธุลีพระบาท ภายหลังพระองค์จึงได้พระราชทานให้
โอกาสแก่ผู้อื่นจับพระหัตถ์สั่นเป็นลาดับไป ถือเป็นขนบธรรมเนียม
สบื เน่ืองใช้มาจนทุกวนั น้ี

ส่งคณะทตู ไปกรุงปักกง่ิ

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวรับสั่งให้แต่งทูตไปกรุงปักกิ่งแจ้งข่าวที่สมเด็จเชษฐาธิราชเสด็จ
สวรรคตพร้อมกับบ้านเมืองได้ผลัดแผ่นดินใหม่ เม่ือคณะทูตไปเมือง
กวางตุ้งได้มีหนังสือบอกเข้าไปที่เมืองปักก่ิง และได้รับหนังสือตอบจาก
เมืองจีนความว่า เป็นเวลาท่ีพระเจ้าเตากวางสวรรคตเช่นกัน พระเจ้าฮา
ฮองราชบุตรกาลังไว้ทุกข์จะออกมารับทูตไทยน้ันไม่ได้ คณะทูตที่ไปถือ
โอกาสคานับพระศพพระเจ้าเตากวาง จุดธูปเทียนของหอมท่ีมีอยู่น้ันท่ี
เมอื งกวางต้งุ สาเรจ็ แลว้ จงึ กลับ

พระเจ้าฮาฮองได้มีราชสาสน์ตอบเข้ามาถวายพระเจ้ากรุงสยาม
ดว้ ย ขณะทท่ี ูตเดนิ ทางถึงเมอื งเอยี งเชยี งกยุ ไดถ้ กู ผู้รา้ ยปลน้ เกบ็ ขนสงิ่ ของ
ไปจนสิ้น เม่ือถึงเมืองกว้างตุ้ง เรื่องราวทราบถึงเจ้าเมืองกรมการ ๆ จึง
จัดการชาระให้สืบหาตัวผู้รายแต่ไม่ได้ เม่ือคณะทูตถึงกรุงเทพฯ แล้ว
ตงั้ แตน่ นั้ มาไทยมิไดส้ ง่ ทูตไปเมืองจนี อีกเลย

สง่ สมณทตู ไทยไปลงั กา

ในแผน่ ดินพระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หล้าฯ และแผ่นดิน พระนัง่
เกล้าฯ รวมท้ัง 2 คร้ังด้วยกันที่กรุงสยามได้ยืมหนังสือบาลีเก่าทาง
พระพุทธศาสนามาจากลังกา และท้ัง 2 คร้ังน้ันชาวลังกาก็ได้ฝากส่ิงของ
มาทลู เกลา้ ฯ ถวายเปน็ หลายอย่าง ทางกรงุ สยามมิไดพ้ ระราชทานสิง่ ของ
ให้ไปเป็นการตอบแทนเลย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
เห็นว่าเวลานี้สมควรจะมีไปพระราชทานเป็นการตอบแทนบ้าง ดังนั้น
พ.ศ. 2395 จึงไดโ้ ปรดเกล้าฯ ใหส้ มณทตู ไทยไปลังกาคืนหนังสือบาลีเกา่ ท่ี
ยืมมาทั้ง 2 คราวพร้อมกับฝากสิ่งของไปพระราชทานแก่ชาวลังกา
ด้วย จนถึงพ.ศ. 2396 คณะสมณทตู ไทยจึงได้เดินทางกลบั

ด้านตลุ าการ

ด้านการตุลาการก็ทรงแก้ไขให้เป็นแบบตะวันตกโดยพระราชทาน
พระบรมราชานุญาตให้เจา้ นายและขนุ นางสามารถเลอื กสรรคนดมี คี วามรู้
มาเปน็ ตลุ าการชั้นสงู ตามแบบอารยธรรมตะวนั ตกทง้ั โปรดใหพ้ จิ ารณาคดี
ความได้เป็นไปอย่างยุติธรรมจริง ๆ แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นไปตาม
แบบเดิม คือศาลต่าง ๆ กระจัดกระจายอยู่ตามกรมกองต่าง ๆ มิได้
รวบรวมเปน็ กระทรวงเดียวกนั อกี ทั้งโปรดให้ตง้ั ศาลต่างประเทศ และใน
รัชกาลน้ีอีกเช่นกัน ท่ีมีศาลกงสุลเกิดข้ึนเป็นคร้ังแรกเพ่ือพิพากษา
คดีอาญาท่ีเกิดข้ึนระหว่างคนไทยกับคนในบังคับของต่างประเทศ ด้าน
กฎหมาย มีกฎหมายตราออกใช้ในรัชกาลนี้มาก ซ่ึงมีทั้งกฎหมายว่าด้วย
อาญาหลวง ครอบครวั ผวั เมีย มรดกทรพั ย์สิน วิธพี ิจารณาคดีความและมี
การประกาศต่าง ๆ ที่โปรดฯประกาศออกมาเพ่ือความสงบเรียบร้อยของ
ประชาชน เช่น ประกาศว่าด้วยอนุญาตให้ใช้ชาวกรุงรับจ้างฝรั่ง
ได้ ประกาศว่าด้วยละครผู้หญิงและอ่ืน ๆ ในด้านเศรษฐกิจพระองค์ก็
ทรงปรับปรุงหลายด้าน ด้วยการเลิกระบบการค้าแบบผูกขาด ซึ่งเป็น
ระบบการค้าแบบด้ังเดิมของไทย มีการผูกขาดสินค้าต้องห้ามหลาย
ชนิด โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ขา้ ว ระบบการค้าแบบใหม่นีเ้ รยี กว่าระบบการคา้
เสรี เพิ่มปริมาณผลผลิตข้าวที่ส่งออก พระองค์ทรงทาหน้าท่ีควบคุม
การผลิตและการค้าให้เป็นไปด้วยดี ทรงยึดหลักให้ประเทศมีข้าวบริโภค
อย่างเพียงพอเสยี ก่อนจงึ จะเปิดขายต่างประเทศ และทรงตกั เตอื นราษฎร
ล่วงหน้าถงึ สภาพดินฟ้าอากาศโดยผ่านประกาศต่าง ๆ และทรงแนะนาให้
ราษฎรทานาตามช่วงระยะเวลาทกี่ าหนดให้

ดา้ นการทหาร

โปรดให้มีการฝึกหัดแบบทหารยุโรป โดยจ้างร้อยเอกอิม
เปย์ นายทหารนอกราชการของกองทัพบกอังกฤษ ประเทศอนิ เดยี มาเปน็
ครูฝึกเม่ือปี พ.ศ. 2394 และจัดกองทหารประจาพระองค์ ออกเป็น 2
กอง ได้แก่ “กองทหารรักษาพระองค์ปืนปลายหอกข้าหลวงเดิม” และ
กองทหารหน้า” มีการแบ่งช้ันบังคับบัญชา เช่นเดียวกับทหารในปัจจุบัน
ทกุ อย่าง

ในปี พ.ศ. 2395 ร้อยเอก โทมัส ยอร์ช นอกส์ นายทหารนอก
ราชการชาวองั กฤษอกี คนหน่งึ กเ็ ดินทางเข้ามาเมืองไทยเพอ่ื สมคั รเปน็ ครู
หัดทหารบ้าง จงึ โปรดฯให้ไปฝึกทหารวงั หนา้

อย่างไรก็ดี ทหารที่ฝึกไว้ครั้งนั้น ก็เป็นแต่เพียงทหารรักษา
พระองค์ ส่วนทหารรบเป็นการป้องกันพระราชอาณาจักร ยังคงเป็นไป
ตามแบบโบราณอยู่ ทหารเรือ ทรงทานุบารุงกองทัพเรือ โดยสร้างเรือ
ชนิดที่ใช้เครื่องจักรกล โดยเร่ิมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2401 ทรงตั้งกรมอรสุม
พล เพือ่ อานวยการตอ่ เรือกาปั่น และบังคับบัญชาเรอื กลไฟของหลวง เรอื
ทต่ี ่อในรชั กาลน้ี ทสี่ าคญั ๆ มเี รอื สยามอรสมุ พล เรอื สงคราม ครรชิต เรอื
ศกั ด์สิ ิทธาวุธ เรือราญรุกไพรี เรอื ศรีอยธุ ยาเดช เรอื สยามูปสดัมภ์ ทรงตั้ง
กรมเรือกลไฟ เม่ือ พ.ศ. 2411 สาหรับลูกเรอื ก็ไดพ้ วกพอ้ งอาสาจาม และ
เกณฑ์มอญไพรห่ ลวงมาฝึกหดั เป็นทหารบรีน ส่วนกัปตันต้นหนก็ต้องจ้าง
ชาวต่างประเทศ ตารวจ ตารวจนครบาล มีขึ้นคร้ังแรกเมือปี พ.ศ.
2404 จุดประสงค์ก็เพ่ือฝึกคนไว้ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของชาวยุโรป
และมลายู สถานท่ีตารวจออกไปปฏิบัติงานเป็นคร้ังแรกนั้น ได้แก่ ตลาด

ท้องสาเพ็ง ส่วนครูฝึกก็เป็นชาวยุโรป และชาวมลายูท่ีเคยเป็นตารวจมา
กอ่ นนัน่ เอง
ตอ่ เรอื กลไฟหลวง

เรอื สยามอรสมุ พล
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จัดการต่อเรือกลไฟหลวง
สาหรับใช้เป็นประโยชน์แก่ประเทศ เรือที่ต่อสาเร็จเวลานั้น ช่ือสยาม
อรสุมพล มีจักรข้างยาว 75 ฟุต เฉพาะเครื่องจักร และกลไกน้ันส่ังมาแต่
ประเทศอังกฤษ ส่วนลาเรอื นั้นตอ่ ท่ีกรุงเทพฯ เมอ่ื ไดเ้ รอื สยามอรสมุ พลใช้
ในทางราชการเปน็ ท่ีสบพระราชหฤทัยแลว้ จึงได้โปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรี

สุริยวงศ์จัดการสร้างต่อไปอีกหลายลา ส่วนเรือใบที่เคยต่อและใช้อยู่แต่
ก่อนทรงมีพระราชดาริจะเลกิ เสียส่งคณะราชทตู ไปองั กฤษครงั้ แรก
สงครามกบั พมา่ คร้งั สดุ ทา้ ย

เมอื งเชยี งรงุ้
เมืองเชียงรุ้งได้มาเป็นเมืองขึ้นของไทยอีกและได้ทูลขออาสาจะตี
เมืองเชียงตุงมาถวายให้ด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรง
ปรึกษาเหล่าเสนาข้าราชการต่างก็กราบทูลถวายความเห็นว่าเป็นการ
สมควรที่จะตีเมืองเชียงตุงให้ได้ต่อไป แต่พระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้า ทรงเห็นข้อบกพร่องของกองทัพทางเมืองเหนือคราวที่
แล้ว ฉะน้ัน คราวน้ี พ.ศ. 2395 พระองค์จึงได้โปรดฯ ให้พระเจ้าน้องยา
เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทเป็นแม่ทัพใหญ่ พร้อมด้วยเจ้าพระยายม
ราช (นุช) เสนาบดีแผนกกรมเมือคมุ พลทางเมอื งเหนอื ในภาคใตแ้ ละภาค

กลางมีไพร่พลในกรุงเทพฯ ยกไปด้วยราว 6,488 คน และเกณฑ์ทัพใน
เมืองภาคพายัพอีก ได้ถึง 20,000 คน ให้เมืองหลวงพระบางเป็นกอง
ลาเลียงยกไปดว้ ย 3,000 คน ไปสมทบกบั กองทพั เมอื งเชียงใหมแ่ ละเมือง
เชียงแสนมไี พรพ่ ลทงั้ หมดราว 30,000 คน

เมอื งเชยี งตงุ ในอดตี
ครั้นยกไปถึงเมืองเชียงตุงแล้ว จึงตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ทุก
ด้าน กองทัพเมืองเชียงตุงยกออกประจันบานกับไทยเป็นสามารถ ตี
กองทัพไทยอยูห่ ลายครงั้ หาไม่ แม้กองทพั ไทยทีล่ ้อมอยูไ่ ดพ้ ยายามตีเมือง
เชียงตงุ หลายครั้ง กไ็ มแ่ ตกเชน่ เดียวกัน
ทัพหลวงวงศาธิราชสนิทยกไปถึงเมืองเชียงตุงนั้นเป็นเวลาฤดูมีฝน
ชุก ทัพเมืองเชียงตุงยกออกตีหลายคราวแต่ก็แตกกลับเข้าเมืองทุก
คราว ไทยต้ังล้อมเมืองอยู่ 21 วัน ก็ขาดเสบียงอาหารลงอีก สัตว์

พาหนะ เป็นโรคระบาด เห็นว่าทาการไม่สาเร็จแน่แล้วจะเสียทีแก่
ขา้ ศกึ จึงไดส้ ่งั ให้เลกิ ทัพ

ส่วนทัพเจ้าพระยายมราชยกไปยังไม่ทันถึงเมืองเชียงตุง ทราบ
ข่าวว่าทัพกรมหลวงวงศาธิราชสนิทกลับแล้ว เจ้าพระยายมราชจึงได้ยก
ทพั กลบั มาทีหลงั การตเี มอื งเชยี งตงุ ครง้ั นี้เมือ่ ไม่สาเร็จแล้วเมืองเชียงตุงก็
ต้องเสียให้แก่พม่าเข้ามีอานาจปกครองได้อีก แต่ถึงเช่นนั้นพวกพม่าและ
ชาวเมืองเชียงตุง ก็หวาดเกรงไทยอยู่มิใช่น้อย นับว่าเป็นการรบพม่าครั้ง
สดุ ท้ายของไทยด้วยตอ่ มาพม่าเสียเอกราชให้แกอ่ ังกฤษ
สรา้ งป้อมปอ้ งกนั พระนคร

พ.ศ. 2397 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรงโปรด เก
ล้าฯ ให้สร้างป้อมข้ึนไว้ 8ป้อมไว้ระยะห่างกันประมาณ 12 เส้น ดังน้ี
ปอ้ มป้องปจั จามติ ร อยฝู่ ่ังตะวนั ตกทปี่ ากคลองสาน ป้อมปดิ ปจั จนกึ อยทู่ ่ี
ปากคลองผดุงกรุงเกษมด้านใต้ ป้อมฮึกเห้ียมหาญ? (ยังหาที่ตั้งไม่ได้)
ปอ้ มผลาญไพรีราบ อยตู่ รงตลาด หัวลาโพง ปอ้ มปราบศัตรพู า่ ย อยรู่ มิ วดั
โศก (พลับพลาชัย) ป้อมทาลายแรงปรปักษ์ อยู่มุมถนนหลานหลวงป้อม
หกั กาลงั ดสั กร อยตู่ รงเชิงสะพานผา่ นฟ้าฯ ถนนราชดาเนนิ ป้อมพระนคร
รักษา อยู่ริมวดั นรนาถ

ต่อมาในรัชการท่ี 5 ทรงพิจารณาเห็นว่าป้อมเหล่าน้ีไม่ได้ประโยชน์
มากนัก จึงโปรดฯ ให้ร้ือและสร้างเป็นสถานท่ีต่าง ๆ ด้วยมีพระราช
ประสงค์จะขยายเขตพระนครให้กว้างออกไปอีก จึงเหลืออยู่เพียง 3
ปอ้ ม คือ ป้อมปอ้ งปัจจามิตร, ปอ้ มปดิ ปจั จนกึ , และปอ้ มหักกาลังดสั กร

ดา้ นโหราศาสตร์

เศษพระจอมเกล้า หรือ การพยากรณ์ตารา ตรีภพ เป็นแขนงหน่ึง
ของวชิ าโหราศาสตรไ์ ทยซ่ึงพระบาทสมเดจ็ พระจอมกล้าเจา้ อยหู่ ัว รชั กาล
ท่ี ๔ ทรงคิดค้นข้ึน และบรรดานักโหราศาสตร์ได้ใช้ในการพยากรณ์
เรื่อยมา จนถึงปัจจุบัน เพราะมีความแม่นยาและเป็นท่ียอมรับของผู้รับ
การพยากรณ์ จุดเด่นของวิชาน้ี คือ ไม่ต้องรู้เวลาตกฟาก ของผู้ท่ีมารับ
การพยากรณ์ ก็สามารถพยากรณไ์ ด้ การพยากรณต์ ารา ตรภี พ เปน็ วชิ าที่
มีประวัติความเป็นมาชัดเจน มีอายุเป็นร้อยปี เรียกได้ว่า บุคคลท่ีศึกษา
โหราศาสตร์ ไม่มีใครไม่รู้จกั วิชานี้ "เศษพระจอมเกล้า" ซ่ึงเป็นอีกหน่ึง
ตาราที่ได้รับการยอมรับว่าแม่นยา และทรงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติ
ว่าทรงเปน็ "พระบดิ าแหง่ โหราศาสตรไ์ ทย"

ด้านดาราศาสตร์

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัยใน
วิชาดาราศาสตร์มาก ทรงมคี วามเชยี่ วชาญทางดา้ นดาราศาสตรเ์ ทยี บเทา่
กับนักดาราศาสตร์สากล หนังสือของชาวต่างประเทศที่เขียนเกี่ยวกับ
พระองคท์ ่านในสมยั นน้ั มกั จะตอ้ งเขียนเก่ียวกบั เร่อื งการทดลองและการ
คานวณทางวิทยาศาสตร์ของพระองค์ท่านด้วย เช่นเขียนเก่ียวกับเร่ืองท่ี
ทรงวัดดาว ทรงวัดพระอาทิตย์ และทรงศึกษาแผนที่ ตลอดจนเขียน
บรรยายสภาพภายในเขตพระราชฐาน ว่าเต็มไปด้วยเคร่ืองมือ
วิทยาศาสตร์ เช่น เคร่ืองวัดความกดอากาศ กล้องส่องทางไกล กล้อง
จุลทรรศน์ แม้กระท่ังนาฬิกาตั้ง และนาฬิกาแขวน ซึ่งคนไทยในสมัยนั้น
ยังไม่คอ่ ยรู้จักกัน

อทุ ยานวทิ ยาศาสตรพ์ ระจอมเกลา้ ณ หวา้ กอ จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์

การคานวณทางวิทยาศาสตร์ท่ีทาให้มีพระราชหฤทัยยินดี และเป็น
เรอ่ื งท่แี สดงให้เหน็ ถึงพระปรชี าสามารถในทางวทิ ยาศาสตร์ กค็ อื เรอ่ื งการ
ที่ทรงคานวณสุริยุปราคาเต็มดวงในปี พ.ศ. 2411 ได้อย่างถูกต้อง
แม่นยา ก่อนท่จี ะมีการเลา่ ลอื กันทัง้ ในหมูค่ นไทยและคนต่างชาติ

ใ น ส มั ย นั้ น ค น ไ ท ย ส่ ว น ใ ห ญ่ มี ค ว า ม เ ช่ื อ ใ น เ รื่ อ ง
สุริยุปราคา จันทรุปราคาว่าเกิดขึ้นได้เพราะมียักษ์ใหญ่ช่ือพระราหู อม
พระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ คนที่พบเห็นสุริยุปราคาและจันทรุปราคา
จะต้องช่วยตีฆ้อง ตีกลอง จุดประทัด หรือยิงปืนให้เกิดเสียงดัง เพื่อให้
พระราหูตกใจ จะได้คายพระอาทิตย์และพระจันทร์ออกมา โลกจะได้
สว่างไสวเหมือนเดิม ยังไม่มีคนไทยคนใดแสดงตนว่ารู้สาเหตุการเกิด

สุริยุปราคาและจันทรุปราคาในทางวิทยาศาสตร์ และท่ียิ่งไปกว่าน้ันก็
คอื ในเรื่องการคานวณสรุ ยิ ปุ ราคาหมด ดวงเตม็ ดวงนน้ั ตาราโหราศาสตร์
ไทยไมเ่ ช่ือวา่ จะเป็นไปได้

พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ประทบั ณ เกยหนา้ พลบั พลา
ทปี่ ระทบั โปรดใหฉ้ ายพระรปู กบั คณะแขกเมอื ง ณ คา่ ยหลวงบา้ นหวา้ กอ

สรุ ยิ ปุ ราคาเต็มดวง

เกิดอาเพศเหมือนจะบอกเหตุว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะ
สวรรคต คอื เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2410 เลา 1.00 น. มีฝนตกหนัก
อสุนีบาตตกท่ีกรุงเทพฯ รวม 12 แห่ง แต่ละแห่งล้วนเป็นที่สาคัญ เช่น
พระอโุ บสถ พระทนี่ ง่ั ในพระบรมมหาราชวงั เปน็ ตน้

ตอ่ มาวนั ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ได้เกดิ สรุ ยิ ุปราคาเตม็ คราสเปน็
คร้ังแรก จะเป็นสุริยุปราคาน้ีได้ที่ตาบลหว้ากออยู่ใต้ตาบลคลอง
วาฬ เมอื งประจวบคีรขี ันธ์

ประเทศสยามไม่เคยมีสุริยุปราคาเต็มคราสมาตั้งแต่โบราณกาล
แล้ว มีแต่จนั ทรุปราคาเต็มคราสหลายคร้งั ตามประกาศดังน้ี

ประกาศสรุ ยิ ปุ ราคาหมดดวง

ณ วันพฤหัสบดี เดือน 9 แรม 3 ค่า ปีมะโรง สัมฤทธิศก มีพระ
บรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาท ให้ประกาศแก่ข้าราชการ
ผู้ใหญ่ ผู้น้อยแลพระสงฆ์สามเณร แลทวยราษฎร์ท้ังปวงในกรุงเทพฯ แล
หัวเมืองให้ทราบทั่วกันว่าสุริยุปราคาครั้งนี้ จะมีในวันอังคาร เดือน
10 ข้ึนค่า 1 ปีมะโรงสัมฤทธิศก จะจับในเวลาเช้า 4 โมงเศษไปจนเวลา
บ่ายโมงเศษ สรุ ิยุปราคาครง้ั น้ใี นกรุงเทพฯ นจี้ ะไมไ่ ดเ้ ห็นจบั หมดดวง จะ
เห็นดวงอาทิตย์เหลอื อยนู่ อ้ ยขา้ งเหนอื แรกจับจะจับทศิ พายพั คอ่ นอดุ ร ใน
เวลาเช้า 4 โมงกับบาทหนึ่ง แล้วหันคราธไปข้างใต้ จนถึงเวลา 5 โมง 7
บาท จะสิ้นดวงขา้ งทิศอาคเณ ครน้ั เวลา 5 โมง 8 บาทแลว้ พระอาทติ ย์จะ
ออกจากท่ีบังข้างทิศพายพั ครน้ั บา่ ยโมงกับ 6 บาท จะโมกษบริสุทธิ์หลุด
ขา้ งทศิ อาคเนย์ คาทายนีว้ ่าท่ีตาบลหวั วาน

แลการคานวณสุริยุปราคาท่ีว่าจะเป็นเช่นนี้ ได้ทรงด้วยพระองค์
ทราบเป็นแน่มานานก่อนความเล่าลือกันอ้ืออึงในคนต่างประเทศจะ
ทราบ เพราะคนตา่ งประเทศอ้ืออึงในเร็ว ๆ นี้ก็หาไม่ ได้ทรงกาหนดไว้ว่า
จะเสดจ็ พระราชดาเนินลงไปทอดพระเนตร บัดน้ีกาหนดนั้นถึงแล้วจึงจะ
เสด็จพระราชดาเนินออกไปเมืองประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยพระราช
วงศานุวงศ์บางพระองค์แลเสนาบดีบางท่าน ทอดพระเนตรสุริยุปราคาท่ี
ในอา่ วทะเลชอ่ื อา่ วแม่ราพึง แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์

ประสาร ธาราพรรค์ รอ้ ยกรอง

18 สงิ หา วนั วทิ ยาศาสตรแ์ หง่ ชาติ
ทงั้ รฐั ราษฎร์ เฉลมิ พระเกยี รติ ทว่ั แหลง่ หลา้
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ ฯ องค์ราชา
พระบดิ า แหง่ วทิ ยาศาสตรไ์ ทย
ทรงคานวณ พยากรณ์ สุรยิ คราส
ธ ชาญฉลาด แสนแมน่ ยา สน้ิ สงสยั
ที่หวา้ กอ เมอื งประจวบ ถิ่นแดนไพร
เหตกุ ารณไ์ ด้ บงั เกดิ ตรง ทรงพยากรณ์

พระอจั ฉรยิ ภาพ วทิ ยาศาสตร์ ดาราศาสตร์
ทง้ั รฐั ราษฎร์ ล้วนยกยอ่ ง องคม์ หิศร
ทรงนาชาติ พฒั นก์ า้ วหนา้ มีขนั้ ตอน
ธ ทรงสอน ปวงชาวไทย ปรบั เปลี่ยนตน
วทิ ยาศาสตร์ คอื ความรู้ ตรงความจรงิ
ลว้ นเป็นสงิ่ พสิ จู นไ์ ด้ ทุกแหง่ หน
มีกฎเกณฑ์ สรปุ ได้ เปน็ สากล
มีเหตผุ ล แกป้ ญั หา ตามหลกั การ
วทิ ยาศาสตร์ สาคญั ย่งิ ดารงชวี ิต
สง่ิ ประดิษฐ์ มีมากมาย เกนิ กลา่ วขาน
เสรมิ ชวี ติ มปี ระสทิ ธิภาพ สขุ สราญ
แทบทุกงาน วทิ ยาศาสตร์ มกั เกยี่ วพนั
ปจั จบุ นั โลกวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี
ชว่ ยใหม้ ี สงิ่ ประดิษฐ์ คดิ สรา้ งสรรค์
ประยุกตใ์ ช้ ก่อประโยชน์ สุดราพนั
คณุ อนนั ต์ โลกกา้ วลา้ สุขยืนยง

..........................................................

พระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์
องคเ์ ดียวของไทยท่ีมคี วามรู้ภาษาบาลีแตกฉานถึงขนาดสามารถพระราช
นิพนธผ์ ลงานดว้ ยภาษาน้ีไวเ้ ป็นจานวนมาก เท่าทปี่ ระมวลไดม้ ีดังนี้

1. จารกึ ท่ีศาลาเลก็ วัดบวรนิเวศวิหาร กลา่ วถงึ การซอ่ มแซมศาลาใน
วดั บวรนิเวศฯ ให้เป็นท่ีพักของพระภิกษุท่ีเดินทางมาจากท่ีไกล เพ่ืออุทิศ
ส่วนกศุ ลให้พระราชเทวี บุญรอด พระพนั ปีหลวง

2. จารกึ วดั ราชประดษิ ฐ์ 10 หลกั เป็นประกาศกาหนดเขตสีมาของ
วดั ราชประดษิ ฐ์แกพ่ ระสงฆฝ์ ่ายธรรมยุติ

3. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์สังเขป ว่าด้วยพระราช
ประวัติ และพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ 1 จนถึง สมัยของพระองค์
เนือ้ หาสว่ นใหญ่เนน้ พิสจู นส์ ทิ ธิอันชอบธรรมของการเสด็จเถลิงถวัลยราช
สมบัติของพระองค์ภายหลักสมัยรัชกาลท่ี 3 และหน้าท่ีท่ีพระองค์ทรง
กระทาโดยธรรมเพอื่ ความผาสกุ ร่มเย็นของบ้านเมือง

4. ตานานพระแกว้ มรกต

5. ตานานพระสายน์ แสดงประวัตพิ ระพทุ ธรูปทสี่ าคญั ในสมยั นั้น มี
วิธกี ารเสนอด้วยการใชห้ ลักฐานและวธิ ีการวิเคราะห์วจิ ารณ์ ตามลักษณะ
การศกึ ษาสมัยใหม่ มไิ ด้เป็นผลงานเชงิ ศรทั ธา เหมอื นอยา่ งตานานบาลีรนุ่
ก่อน ๆ

6. อุตตรทิสาคมนมคโค บันทึกการเสด็จประพาสเหนือ เป็นบันทึก
สั้น ๆ ว่า วันใดเสด็จไปที่ใดบ้าง ความเด่นอยู่ท่ีการณ์สร้างศัพย์ภาษา
บาลเี รียกชื่อสถานที่ต่าง ๆ

7. จดหมายเหตุการณ์ปฏิบัติชอบและไม่ชอบของพระโสภิตะ ทรง
วิจารณ์ความประพฤติของพระโสภิตะ ส่งออกไปให้พระภิกษุสงฆ์ที่
เกี่ยวข้องพจิ ารณา เพอื่ จะไดม้ ีมผี ทู้ าตามอย่างผิด ๆ นัน้ ตอ่ ไป

8. คาถาพระราชทานนามพระราชโอรสธดิ า ทรงพระราชนพิ นธเ์ พอื่
ความเปน็ สริ ิมงคลแกพ่ ระราชโอรสธิดาทุกพระองค์มีหลักฐานเหลือมาถึง
ปจั จุบนั 42 ฉบับ จากที่ควรจะมี 80 ฉบบั

9. สาส์นติดต่อกับพระสงฆ์ในลังกาและพม่า เท่าที่พบต้นฉบับใน
เวลาน้ี 12 ฉบับ

10. คาถาสวดพระราชพธิ ีพชื มงคล
11. วสิ าขบชู าคาถา
12. อฎั ฐมบี ชู าคาถา เปน็ บทสวดในพระราชพธิ แี ละวนั สาคญั ทาง
ศาสนา

13. บทละครเรื่องรามเกยี รต์ิ ตอนพระรามเดินดง เปน็ พระบรมราช
นพิ นธใ์ นรชั กาลที่ 4 เพอ่ื เลน่ ละครใน

คาถาขอขมาลาพระสงฆ์

นอกจากผลงาน 13 ชุด ข้างต้น ยังมีผลงานอีกชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นพระ
ราชนพิ นธช์ ิน้ สุดท้ายพระองค์ของ คือ “คาถาขอขมาลาพระสงฆ์” ทรง
พระราชนิพนธ์ในเวลาเย็นของวันพุธที่ 30 กันยายน 2411 (วันพุธ เดือน
11 ข้นึ 14 ค่า)

ก า ร เ ต รี ย ม พ ร ะ อ ง ค์ เ อ ง ใ น ช่ ว ง ท่ี ท ร ง รู้ ว่ า พ ร ะ อ ง ค์ ใ ก ล้
สิ้นพระชนม์ เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก ทรงมีความทุกข์ทรมานพระวรกาย
กระสับกระส่ายตามแรงแห่งอาการโรค แต่ทรงยืนยันว่า จิตใจของ
พระองค์มิได้หว่ันไหวกระสับกระส่ายตาม ทรงตั้งเจตนาสังวรใจกายให้
ดารงมัน่ ในศีล 5 แล้ว กระทากรรมฐาน เฝ้าตามรู้พิจารณาธรรมชาติแห่ง
ชีวิตของพระองค์เอง ทรงมีความเข้าใจชัดเจนว่า ภาวะชีวิตเป็น
อนตั ตา “ใชต่ วั ใช่ตน ยอ่ มเป็นไปตามปจั จยั ของนั้นใช่ของเรา ส่วนน้ันใช่
เรา ไม่เป็นเรา ส่วนนั้นไม่เป็นแก่นสาร ใช่ตัวใช่ตน” และเพราะพระ
ปัญญาญาณเช่นนั้น จึงทรงเผชิญมรณภาวะด้วยพระอาการสงบ ทรงมี
ปญั ญาว่า “ความตายใด ๆ ของสัตวท์ ัง้ หลายไมเ่ ป็นของอัศจรรย์”

พระราชนิพนธ์ช้นิ นีจ้ ึงมคี ณุ คา่ มาก โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นบันทึก
ของคนทใ่ี กลจ้ ะตาย และมสี ตสิ ัมปชัญญะรูท้ ันตอ่ ภาวะชวี ติ ตามความเปน็
จริง ใช้เวลาช่วยสุดท้ายของชีวิตพัฒนาจิตให้ดารงอยู่ในศีลธรรม และ
พยายามกระทาสิ่งที่เห็นว่าพึงกระทาเพ่ือการลด ละ กรรมที่จักมีผล
ภายหลังความตาย การดารงอยู่ในสมณเพศเป็นเวลา 27 ปี ของ
พระองค์ จะด้วยเหตใุ ดก็ตามยอ่ มคุ้มค่าสาหรบั ชีวติ ของพระองค์เอง และ
เกนิ กว่าความคุม้ ใด ๆ ที่บคุ คลพงึ หาได้ในโลก





เหตุการณ์สาคัญในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว
พ.ศ. 2394

โปรดเกล้าฯ ใหข้ นุ นางสวมเสอื้ เวลาเขา้ เฝา้
ร้อยเอกอมิ เปญ์ เขา้ มาฝึกทหารแบบยโุ รป
คณะมชิ ชนั นารี สอนภาษาองั กฤษ ในพระบรมมหาราชวงั
ร้อยเอกน๊อกซ์ เขา้ มาเปน็ ครฝู ึกทหารวงั หน้า
คณะมชิ ชนั นารอี เมริกนั เขา้ มาสอนภาษา
กองทพั ไทยไปตเี มืองเชยี งตงุ
ทรงพระราชศรทั ธาปฏสิ งั ขรวัดใหม่ขน้ึ หลายวดั เชน่ วดั ปทมุ วนา
ราม วดั โสมนสั วหิ าร วัดมกฎุ กษตั รยิ าราม วัดราชประดษิ ฐสถติ มหา

สีมาราม และวดั ราชบพติ ร เปน็ ตน้ ตลอดจนบรู ณะวัดตา่ ง ๆ อีกมาก
โปรดเกลา้ ฯใหม้ พี ระราชพิธี "มาฆบชู า" ขนึ้ เปน็ ครง้ั แรก ใน พ.ศ.

2394 ณ ทว่ี ดั พระศรรี ัตนศาสดาราม จนไดถ้ อื ปฏบิ ตั สิ บื มาจนถงึ ทกุ วันน้ี
โปรดเกลา้ ฯใหม้ กี ารสงั คายนาพระไตรปฎิ ก

ทรงตงั้ คณะธรรมยตุ ินกิ ายและวางรากฐานพระวนิ ยั ทาใหพ้ ทุ ธ
ศาสนาหย่งั ยนื ทกุ วนั น้ี

โปรดเกลา้ ฯใหข้ ยายพระนคร โดยขดุ คลองผดงุ กรงุ เกษมเปน็ คพู ระ
นครช้ันนอก

โปรดเกล้าฯ ใหเ้ ปลยี่ นธงชาตเิ ปน็ รปู ชา้ งเผือกอยกู่ ลางธงพน้ื สแี ดง
พ.ศ. 2395

โปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งปอ้ มตามแนวคลองผดงุ กรงุ เกษมขนึ้ 8 ปอ้ ม
สง่ ราชทตู อัญเชญิ พระราชสาสน์ และเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระ
เจ้าฮาฮอง จกั รพรรดจิ นี
สง่ คณะสงฆไ์ ปลงั กา

พระปฐมเจดยี ์
พ.ศ. 2396

โปรดเกล้าฯ ใหบ้ รู ณะปฏสิ งั ขรณ์พระปฐมเจดยี ์
โปรดเกลา้ ฯ ให้ราษฎรทไี่ ดร้ บั เดือดรอ้ นถวายฎกี าแกพ่ ระองคไ์ ด้
โปรดเกล้าฯ ใหใ้ ช้ "หมาย" แทนเงนิ ตรา
ไทยรบพมา่ ทเ่ี มืองเชยี งตงุ (เปน็ สงครามครงั้ สดุ ทา้ ยระหว่าง ไทย-
พมา่ )

พ.ศ. 2398
เซอร์ จอหน์ เบารงิ ขอเขา้ มาเจรญิ พระราชไมตรี ทาสนธสิ ญั ญา

ใหม่กบั องั กฤษ
พ.ศ. 2399

ไทยทาสนธสิ ญั ญาทางการทตู กบั อเมรกิ าและฝรง่ั เศส

พ.ศ. 2400
โปรดเกล้าฯ ให้สง่ คณะทตู ไปเจรญิ ทางพระราชไมตรกี บั สมเด็จพระ

ราชนิ วี กิ ตอเรียแห่งอังกฤษ
โปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งเคร่อื งราชอสิ รยิ าภรณไ์ ทย ขนึ้ เปน็ คร้ังแรก
โปรดเกลา้ ฯ ใหข้ ดุ คลองมหาสวสั ดแิ์ ละคลองถนนตรง

เริม่ สรา้ งกาปน่ั เรอื กลไฟ

ทรงประกาศใหพ้ สกนกิ รเขา้ เฝา้ ขา้ งทางขบวนเสดจ็ พระราชดาเนนิ
ได้
พ.ศ. 2401

ทาสนธสิ ญั ญาทางการคา้ กบั โปรตเุ กส
โปรดเกล้าฯ ใหป้ ฏสิ งั ขรณพ์ ระนารายณร์ าชนเิ วศน์ ลพบรุ ี
โปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศราชการทเ่ี รียกวา่ หนงั สอื ราชกิจจา
นเุ บกษา
พ.ศ. 2402

โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระนครคีรี (เขาวงั ) ขนึ้ บนยอดเขาทเ่ี พชรบรุ ี
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระทนี่ งั่ ประพาสพิพธิ ภณั ฑ์

พ.ศ. 2403
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงกษาปณผ์ ลิตเหรยี ญ

พ.ศ. 2404
โปรดเกล้าฯ ใหส้ ง่ ทตู ไปเจรญิ ทางพระราชไมตรกี บั ประเทศฝรง่ั เศส

เริ่มมตี ารวจนครบาลเปน็ ครงั้ แรก

เรม่ิ สรา้ งถนนเจรญิ กรงุ
พ.ศ. 2405
นางแอนนา ลีโอโนเวนส์ เขา้ มารบั ราชการเปน็ ครสู อนภาษาองั กฤษใน
พระราชสานกั
พ.ศ. 2406
สรา้ งถนนบารงุ เมอื ง ถนนเฟ่อื งนคร
สรา้ งพระบรมบรรพต (ภเู ขาทอง)

พ.ศ. 2407
โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างวดั ราชประดษิ ฐ์
พ.ศ. 2408
พระบาทสมเด็จพระป่นิ เกล้าเจา้ อยหู่ ัวเสดจ็ สวรรคต
พ.ศ. 2411
โปรดเกล้าฯ ใหต้ ง้ั กรมเรือกลไฟ

ทรงคานวณวา่ จะเกดิ สรุ ิยปุ ราคาเตม็ ดวงที่ตาบลหวา้ กอ
จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธไ์ ดอ้ ยา่ งถกู ต้องแมน่ ยา

เสดจ็ สวรรคต

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์เป็น
ระยะเวลา 18 ปีทรงสถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพ
มหามงกุฎ บุรุษยรตั นราชรววิ งศ์ วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร ใน
สมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์เป็นองค์รัชทายาท รวมสมเด็จพระเจ้าลูก
เธอ พระเจ้าลูกเธอ ในรัชการท่ี 4 รวมท้ังส้ิน 82 องค์ซึ่งประสูติจากอัคร
ชายาและเจา้ จอมมารดา 36 พระองค์ โดย ประสูติกอ่ นบรมราชาภิเษก 2
พระองค์ ประสตู เิ ม่อื บรมราชาภิเษกแล้ว 80 พระองค์ เป็นพระราชโอรส
39 องค์ พระราชธิดา 42 องค์ ตกพระโลหิตเสียองค์หนึ่ง รวมพระอัคร
มเหสี พระมเหสี เจ้าจอมมารดา และเจา้ จอมในพระองค์ท้งั ส้ิน 47 องค์


Click to View FlipBook Version