โวรารงสาพรกยาราแพบทายล อุดรธานี
ปที่ 28 ฉบบั ที่ 1 มกราคม – เมษายน 2563
Udonthani Hospital Medical Journal IISSSSNN 20685987--64611382 ((OPrnilnint)e)
Vol.28 No.1 January – April 2020
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ่ี 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี
ความเปน็ มา กอํ ตงั้ ในปี พ.ศ.2536 ใช๎ช่ือวาํ วารสารการแพทย์กลุมํ เครือขาํ ย 6/2 (6/2 Region Medical Journal)
ISSN 0858 – 6632 ตอํ มาในปี พ.ศ.2547 ไดเ๎ ปลี่ยนช่อื เป็น วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอดุ รธานี (Udonthani Hospital
Medical Journal)
เจ้าของ โรงพยาบาลอดุ รธานี
ทปี่ รกึ ษา นพ.ณรงค์ ธาดาเดช ผ๎อู านวยการโรงพยาบาลอดุ รธานี
นพ.เทยี นชัย รศั มมี าสเมอื ง รองผอ๎ู านวยการกลมุํ ภารกจิ ดา๎ นพัฒนาระบบบรกิ ารฯ
บรรณาธิการ พญ.สกุ ัญญา ภยั หลกี ล้ี โรงพยาบาลอดุ รธานี
กองบรรณาธิการ พญ.ปิยรตั น์ โรจนส์ งาํ โรงพยาบาลอดุ รธานี
พญ.นษิ ฐา นภิ าวงศ์ โรงพยาบาลอุดรธานี
นพ.ศราวุธ ลอมศรี โรงพยาบาลอดุ รธานี
ทพญ.สิริรัตน์ วรี ะเศรษฐกุล โรงพยาบาลอุดรธานี
นางสาวจิราวรรณ ลีลาพฒั นาพาณชิ ย์ โรงพยาบาลอุดรธานี
นางเนาวนติ ย์ พลพนิ จิ โรงพยาบาลอุดรธานี
นางสาวพิมลรัตน์ พิมพด์ ี โรงพยาบาลอุดรธานี
นางสาววาสนา วงษศ์ ิลป์ โรงพยาบาลอุดรธานี
ดร. ชลการ ทรงศรี วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี
นางศุภลกั ษณ์ รายยวา ข๎าราชการบานาญ จงั หวดั อดุ รธานี
บรรณาธิการมีหน๎าท่ีดาเนินการให๎ตรงตามความประสงค์ของผ๎ูอํานและผ๎ูนิพนธ์ ทาการปรับปรุง
วารสารสม่าเสมอ รับรองคุณภาพของงานวิจัยท่ีได๎รับกรตีพิมพ์ สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น คงไว๎ซ่ึงความ
ถูกตอ๎ งของรายงานการศกึ ษา ปกปูองมาตรฐานทางปญั ญาจากความต๎องการทางธุรกิจ และช้ีแจงการแก๎ไขด๎วยความเต็มใจ
การทาใหเ๎ กดิ ความกระจําง การถอน และการขออภยั หากจาเปน็ ตาม Committee on Publication Ethics (COPE)
ฝา่ ยธุรการประสานงาน นางสาววจิ ติ รา ซยุ กระเด่อื ง โรงพยาบาลอุดรธานี
กาหนดออก ราย 4 เดือน (มกราคม – เมษายน, พฤษภาคม – สิงหาคม, กนั ยายน – ธันวาคม)
แจกจํายแกํ รพศ., รพท., รพช., และคณะแพทยศาสตร์ท่ัวประเทศ ในรปู แบบของซดี ี (CD)
ฉบับออนไลน์ https://www.tci-thaijo.org/index.php/udhhosmj/index ISSN 2697-4118 (Online)
สง่ ตน้ ฉบบั ท่ี นางสาววจิ ติ รา ซยุ กระเดือ่ ง
กลุมํ งานพฒั นาระบบบริการและสนบั สนนุ บรกิ ารสขุ ภาพ
33 ถ.เพาะนยิ ม ต.หมากแข๎ง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000
โทร. 042-245-555 (ตอํ 3419-21)
ความรับผิดชอบ
บทความทลี่ งตีพมิ พใ์ นวารสารการแพทย์โรงพยาบาลอดุ รธานี ถอื เป็นผลงานวชิ าการ งานวิจัย วเิ คราะห์ วจิ ารณ์
ตลอดจนเปน็ ความเห็นสวํ นตัวของผูน๎ พิ นธ์ กองบรรณาธิการไมจํ าเป็นตอ๎ งเห็นดว๎ ยเสมอไป และผู๎นพิ นธ์จะตอ๎ งรบั ผดิ ชอบ
ตอํ บทความของตนเอง
ออกแบบและจดั พมิ พ์ โรงพิมพบ์ า๎ นเหลาํ การพิมพ์
333 ถ.บา๎ นเหลาํ ต.หมากแข๎ง อ.เมอื ง จ.อุดรธานี 41000 โทร.042-325-938
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
คาแนะนาสาหรับผู้ลงบทความตีพมิ พ์
เอกสารอ้างอิง ใช๎ระบบ Vancouver โดยใสํหมายเลข
วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี เป็นวารสาร อาราบิค (Arabic) เอกสารอ๎างอิงไว๎บนไหลํบรรทัดด๎านขวาไมํ
การแพทยข์ องโรงพยาบาลอดุ รธานี จดั ทาข้ึนโดยมวี ตั ถุประสงค์ ต๎องใสํวงเล็บ เรียงตามลาดับและตรงกับท่ีอ๎างอิงไว๎ในเนื้อเร่ือง
เพื่อเผยแพรํผลงานการวิจัยและค๎นคว๎าวิชาการด๎านการแพทย์ ถ๎าต๎องการอ๎างอิงซ้าให๎ใช๎หมายเลขเดิม การอ๎างอิงผ๎ูเขียนใน
บทความฟ้ืนวิชาการ บรรยายพิเศษ รายงานผู๎ปุวยที่นําสนใจ บทความภาษาไทยให๎เรียงลาดับจากชื่อต๎นตามด๎วยนามสกุล
และบทความงานวิชาการอื่นๆ ทั้งทางด๎านวิทยาศาสตร์และ การอ๎างอิงผู๎เขียนในบทความภาษาอังกฤษให๎เรียงลาดับจาก
สังคมศาสตร์ วารสารการแพทย์โรงพยาบาลอุดรธานี ยินดีรับ นามสกลุ ผู๎เขียนตามดว๎ ยอักษรยอํ ของชื่อตน๎ และช่ือกลาง
พิจารณาบทความวิชาการทัง้ ภาษาไทยและภาษาอังกฤษท่ียังไมํ
เคยพิมพ์เผยแพรํที่ใดมากํอน ทั้งจากบุคลากรในโรงพยาบาล การอา้ งอิงเอกสาร ให๎ใชช๎ อ่ื เรียงตามรูปแบบของ In-
และบุคคลภายนอก ท้ังน้ี ต๎องผํานการพิจารณาด๎านจริยธรรม ternational Committee of Medical Journal Editors:
การวจิ ยั แลว๎ Uniform requirements for manuscripts submitted to
biomedical journals. Last updated: 15 July 2011 ที่
บทความทุกบทความจะไดร๎ บั การประเมินบทความจาก ตพี ิมพ์ใน Index Medicus ทุกปี หรือดูจาก Website http://
ผู๎ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ในสาขาที่เก่ียวข๎อง ผู๎ท่ีไมํมีสํวน www.nlm.nih.gov/bsd/uniform_requirements.html
ได๎สํวนเสียกับผู๎นิพนธ์ และตํางหนํวยงาน/ตํางสถาบัน อยําง
น๎อยจานวน 2 ทําน โดยผู๎ประเมินจะไมํทราบชื่อผู๎นิพนธ์ ผ๎นู พิ นธ์ตอ๎ งรับผดิ ชอบในความถูกตอ๎ งของเอกสารอ๎าง
บทความ องิ หรอื ใช๎ตามเอกสารน้ันๆ
ต้นฉบับ ตัวอยา่ งการเขียนเอกสารอ้างอิง
ต๎นฉบับให๎พิมพ์ด๎วยโปรแกรม Microsoft word พิมพ์ 1. การอ้างองิ จากวารสารวิชาการ
หน๎าเดียวกันด๎วยกระดาษ A4 คอลัมน์เดียว ตัวอักษร ลาดับท่ี. ชื่อผ๎ูนิพนธ์. ช่ือบทความ. ช่ือยํอวารสาร ปีท่ี
AngsanaUPC ขนาด 16 รวมแล๎วเอกสารไมํควรเกิน 10-12
หน๎า สํงต๎นฉบับ 2 ชุด พร๎อม handy drive หรือแผํน CD พิมพ์;ปที ่ี (Vol):หน๎าแรก–หน๎าสดุ ทา๎ ย
พร๎อมเอกสารทแี่ สดงวาํ ผํานการพจิ ารณาด๎านจริยธรรมการวิจัย ถ๎ามีผู๎แตํงไมํเกิน 6 คน ให๎ใสํช่ือผ๎ูแตํงทุกคน แตํถ๎ามี 7
(ถ๎ามี) และมีจดหมายเขียนถึงบรรณาธิการ เพื่อสํงต๎นฉบับลง
พมิ พแ์ ละจะตอ๎ งลงลายมอื ชื่อของผ๎ูนิพนธ์ทกุ คนในจดหมาย คนหรือเกนิ กวาํ นี้ ให๎ใสเํ พียง 6 ช่ือแรก และตามด๎วย et al
1. สนั ทิต บุญยสํง. สาเหตุการขาดอากาศของทารกแรก
การเตรยี มต้นฉบบั
ช่ือเรื่อง ควรกระชับและส่ือความหมายชัดเจนมีทั้ง คลอดในโรงพยาบาลศรีสังวาล. วารสารกรมการแพทย์
ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ช่ือผ๎ูนิพนธ์ใช๎ระบบชื่อ นามสกุล 2540;24:7-16
คณุ วุฒิ และสถานทที่ างานดว๎ ยท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
บทคัดย่อ ทง้ั ภาษาไทยและภาษาอังกฤษควรใช๎ภาษาท่ี 2 . Apgar. A Proposol for a new method of
รัดกุมและเป็นประโยคสมบูรณ์ ควรระบุเน้ือหาที่จาเป็น evaluation of the newborn infant. Anes Analog
วัตถุประสงค์ วิธีการศึกษา ผลการศึกษา สิ่งตรวจพบ หลักฐาน 1953;32:260
และผลสรุป และข๎อมูลทางสถิติท่ีสาคัญ ภาษาอังกฤษควรเป็น 2. การอ้างอิงจากหนังสอื ตารา หรือรายงาน
ประโยคอดีต จานวนคาไมํเกิน 300 ตัวอักษร ไมํควรมีคายํอ
ควรมีคาสาคัญ (Key word) สั้นๆ ไมํมีการอ๎างอิงเอกสารใน 2.1 หนงั สอื หรือตาราที่ผ้นู ิพนธ์เขียนท้ังเลม่
บทคัดยอํ ลาดับที่. ผู๎นิพนธ์/หนํวยงาน. ช่ือหนังสือ. ครั้งท่ีพิมพ์.
เน้ือเรื่อง ควรเสนอตามลาดับขั้นตอนคือ บทนา เมอื งทีพ่ ิมพ:์ สานกั พิมพ์; ปที ีพ่ ิมพ.์
วัตถุประสงค์ วัสดุและวิธีการศึกษา ผลการศึกษา วิจารณ์ และ 1. พรจันทร์ สุวรรณชาติ. กฎหมายกับการประกอบ
สรุปผลการศึกษา แผนภูมิหรือตารางนาเสนอตามหลังเน้ือหา วิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์. กรุงเทพมหานคร: เดอะ
(ถา๎ มี) เบสท์กราฟฟิคแอนดป์ ริ้นท์; 2542.
2. Jones KL. Smith’s recognizable patterns of
human malformation. 5th ed.Philadephia: WWB Saun-
der; 1997.
2.2 หนงั สือมบี รรณาธกิ าร
ลาดับที่. ผ๎ูนิพนธ์. ช่ือบทความ. ใน: ช่ือบรรณาธิการ.
ช่ือหนงั สือ. ครั้งท่ีพิมพ์. เมืองที่พิมพ:์ สานกั พมิ พ์; ปที พ่ี ิมพ.์
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ี่ 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
1. วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ, สุจริต สุนทรธรรม,
1 . Morse SS. Factors in the emergence of
บ ร ร ณ า ธิ ก า ร . อ า ชี ว เ ว ช ศ า ส ต ร์ ฉ บั บ พิ ษ วิ ท ย า . infectious disease. Emerg Infect Dis [serial online]
กรุงเทพมหานคร: ไซเบอรเ์ พรส; 2542. 1 9 9 5 ; Jan-Mara [cited 1 9 9 6 Jun 5 ]: 1 (1 ): [2 4
screens]. Available from: http://www.cdc.gov/
2. Norman IJ, Reddfern SJ, editers. Mental ncidod/EID/edi.htm.
health care for elderly people. New York: Churchill
Livingstone; 1996. 2 . Hemodynamics III: the ups and sown of
hemodynamics [computer program]. Version 2 .2
2.3 บทใดบทหนึง่ ในหนังสอื หรอื ตารา Orlando (FL): Computerized Educational systems:
ลาดับท่ี. ผ๎ูนิพนธ์. ชื่อเร่ือง. ใน: ชื่อบรรณาธิการ, 1993.
บรรณาธิการ. ช่ือหนังสือ. ครั้งท่ีพิมพ์. เมืองท่ีพิมพ์:
สานกั พมิ พ์, ปีพมิ พ์: หนา๎ แรก-หน๎าสุดทา๎ ย. 6. อ่นื ๆ
1. ธีระ ลีลานนั ทกิจ, ชทู ติ ย์ ปานปรีชา. นิเวศบาบัด 6.1 เอกสารอา้ งองิ ประเภทพจนานกุ รม
(Milieu Theraphy) ใน: เกษม ตันติผลาชีวะ, บรรณาธิการ. ลาดับที่. ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. เมืองท่ีพิมพ์:
ตาราจิตเวชศาสตร์ เลมํ 2. พิมพค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์ สานักพมิ พ์ (Publisher); ปี. คาศัพท;์ หนา๎ .
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, 2536:961-996. 1. พจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2535. พิมพ์
2 . Merril JA, Creasman WT. Lesions of คร้ังท่ี 5. กรงุ เทพมหานคร: อกั ษรเจรญิ ทศั น์; 2538. 545.
corpus uteri. In: DN, Scott JR, eds. Obsterics and 6.2 การอา้ งอิงบทความในหนงั สือพิมพ์
gynecology. 5 th ed. Philadelphia: JB Lippincott, ลาดับท่ี. ชื่อผ๎ูเขียน. ชื่อเรื่อง. ช่ือหนังสือพิมพ์. ปี
1986:0368-83. เดือน วนั ท่ี; สํวนที่: เลขหนา๎ (เลขคอลัมน์).
3. การอ้างอิงรายงานการประชุม /สัมมนา 1. ซี 12. ตุลาการศาล ปค, เข๎ารอบ. ไทยรัฐ. 2543
(Conference Proceedings) พ.ย. 20; ขําวการศึกษา ศาสนา-สาธารณสุข: 12 (คอลัมน์
ลาดับท่ี. ชื่อบรรณาธิการ, บรรณาธิการ. ชื่อเร่ือง. 1).
ชื่อการประชุม; วัน เดือน ปีที่ประชุม; สถานที่จัดประชุม. 2 . Lee G. Hospitalizations tied to ozone
เมืองท่ีพมิ พ:์ สานักพิมพ์; ปีพมิ พ.์ pollution; study estimates 5 0 ,0 0 0 admissions
1 . Kimura J, Shibasaki H, editors. Recent annually. The Washington Post. 1996 Jun 21; Sect.
advances in clinical neurophysiology. Proceedings A: 3 (col. 5).
of the 1 0 th International Congress of EMG and
Clinical Neurophysiology; 1995 Oct. 15-19; Kyoto, สาเนาพิมพ์ (Reprint)
Japan. Amsterdam: Elsevier; 1996. ผเ๎ู ขียนบทความทไี่ ด๎รบั การลงพมิ พ์ในวารสารจะไดร๎ บั
4. การอ้างองิ วิทยานิพนธ์ สาเนาพมิ พ์จานวน 2 ชุด
ลาดับที่. ช่ือผ๎ูเขียน. ชื่อเร่ือง [ประเภท/ระดับปริญญา]
ภาควชิ า, คณะ. เมอื งทพ่ี ิมพ์: มหาวิทยาลัย; ปี ที่ไดป๎ ริญญา.
1. พรทิพย์ อุํนโกมล. ปัจจัยที่มีผลตํอการปฏิบัติงาน
ตามบทบาทหนา๎ ทีข่ องหัวหน๎าฝุายสุขาภิบาลและปูองกันโรค
ในโรงพยาบาลชุมชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ
ประเทศไทย [วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต] สาขา
บ ริ ห า ร ส า ธ า ร ณ สุ ข , ค ณ ะ ส า ธ า ร ณ สุ ข ศ า ส ต ร์ .
กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลยั มหดิ ล; 2553.
5. การอ้างอิงจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์
ลาดับท่ี. ช่ือผู๎แตํง. ชื่อบทความ [ประเภทของสื่อ/วัสดุ]. ปี
พมิ พ์ [เข๎าถึงเม่ือ/cited ปี เดือน วนั ท่ี]. เข๎าถงึ ได๎จาก/ Avail-
able from: http://………….
Vol.28 No.1 January – April 2020 สารบัญ Udonthani Hospital Medical Journal
เร่อื ง หนา้
นพิ นธต์ ้นฉบับ
ปัจจัยที่มคี วามสัมพนั ธ์กบั การรบั รคู้ ุณภาพในการดแู ลผูส้ งู อายุท่ีเจ็บป่วยด้วยโรคเรอ้ื รงั ในชมุ ชน 1
ภาวณิ ี แพงสุข, ชลดา ก่ิงมาลา, เออ้ื จิต สุขพูล, กติ ตภิ มู ิ ภญิ โย, อติพร ทองหลํอ,
สุขสนิ เอกา
การศกึ ษาผลการปฏบิ ตั ิงานตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดงุ ครรภ์ 11
ของพยาบาลวชิ าชีพที่ดแู ลผู้รบั บรกิ ารตา่ งด้าว
ธวัชชัย ยนื ยาว, จฬุ ารัตน์ ห๎าวหาญ
แบบแผนการดาเนินชวี ิตของผปู้ ่วยเบาหวาน: การศกึ ษาเปรียบเทยี บกลุ่มท่คี วบคมุ ระดับ 20
นา้ ตาลในเลือดได้ดีและกลมุ่ ท่คี วบคมุ ระดับน้าตาลในเลอื ดไมไ่ ด้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ
ตาบลเชยี งยนื อาเภอเมือง จังหวดั อุดรธานี
กาญจนา ปญั ญาธร, เสาวลักษณ์ ทาแจ๎ง, วลั ภา ศรบี ุญพิมพส์ วย, ชลการ ทรงศรี
ผลของโปรแกรมการเสรมิ พลงั อานาจต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน 30
ศูนย์สขุ ภาพชมุ ชนเมอื งโรงพยาบาลอุดรธานี 2 อาเภอเมืองจังหวดั อดุ รธานี
สังวาลย์ พิพิธพร
ภาวะโลหติ จางในหญิงตั้งครรภ์ ทีม่ าฝากครรภ์ โรงพยาบาลหนองววั ซอ อาเภอหนองววั ซอ 43
จังหวดั อุดรธานี
ปารรัตน์ วฒุ เิ จรญิ วงศ์
ผลของการจดั การเรียนการสอนโดยใช้แพดเล็ต (Padlet) เพือ่ สง่ เสริมความสามารถในการ 52
เรียนรู้แบบนาตนเองและทักษะการมีปฏสิ มั พันธข์ องนกั ศึกษาพยาบาล ในรายวชิ าการพยาบาล
ผู้ใหญ่ 2 หัวข้อ การพยาบาลผปู้ ว่ ยที่มปี ญั หาระบบกระดกู
ปติ ณิ ัช ราชภักดี, พวงผกา อินทรเ์ อยี่ ม
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีท่ี 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
เรอ่ื ง สารบญั (ต่อ)
นิพนธ์ต้นฉบบั (ตอ่ )
หนา้
ศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของเจ้าหน้าท่ีโรงพยาบาลอุดรธานี ระหว่างก่อนและ 61
หลงั การใชโ้ ปรแกรมเสริมสรา้ งพลังอานาจดา้ นจติ ใจ
พมิ พร์ าไพ บุณย์ศุภา
ปจั จัยพยากรณ์ภาวะเยือ่ บุช่องท้องอักเสบท่ีไมต่ อบสนองต่อการรกั ษาในผู้ปว่ ยที่ได้รบั 71
การลา้ งไตทางช่องทอ้ ง
ปยิ รัตน์ โรจนส์ งาํ
การศึกษาแบบยอ้ นหลังในผู้ปว่ ยอบุ ัติเหตุทางตาโรงพยาบาลกุมภวาปี 83
เสาวภาคย์ ประธานธุรารักษ์
ความสมั พันธร์ ะหว่างประสิทธภิ าพการบรหิ ารงานบคุ คลและบรรยากาศองคก์ รของบุคลากร 91
ในสานกั งานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลาภู
ปรีชญาพร ลนุ วริ ัตน์
ผลของการใชเ้ ครื่องมือ TEDA4I ในเด็ก 0 – 5 ปี ท่ีมีพฒั นาการล่าช้า จังหวัดอดุ รธานี 101
เอกชยั ลลี าวงศก์ ิจ
รายงานผ้ปู ่วย 112
รายงานผลการศกึ ษาผ้ปู ว่ ยเร่อื ง: การบูรณะฟนั ในผปู้ ่วยที่มีการสญู เสียมิติแนวด่ิง ด้วยฟันเทียม
ชนิดตดิ แน่นรว่ มกบั ฟันเทียมชนิดถอดได้
ณรงคช์ ัย ดาเนินสวัสด์ิ
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กบั การรบั รูค้ ุณภาพในการดแู ลผ้สู ูงอายุทเ่ี จ็บป่วยด้วยโรคเร้ือรังในชมุ ชน
ภาวณิ ี แพงสขุ พยาบาลศาสตรมหาบณั ฑิต พยาบาลวชิ าชพี ปฏบิ ตั กิ าร วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรุ นิ ทร์
ชลดา กิง่ มาลา พยาบาลศาสตรมหาบณั ฑิต พยาบาลวิชาชีพปฏิบัตกิ าร วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์
เอ้อื จิต สขุ พูล วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต พยาบาลวชิ าชีพชานาญการพิเศษ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรุ ินทร์
กิตตภิ ูมิ ภิญโย ปรัชญาดุษฎีบัณฑติ (การพยาบาล) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกนํ
อติพร ทองหลํอ ปรัชญาดุษฎีบัณฑติ พยาบาลวชิ าชีพชานาญการพเิ ศษ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรนิ ทร์
สุขสิน เอกา พยาบาลศาสตรมหาบัณฑติ โรงพยาบาลสํงเสรมิ สุขภาพตาบลสาโรงโคกเพชร
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ เป็นวิจัยเชิงบรรยาย วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการรับร๎ูคุณภาพในการ
ดูแลผ๎ูสูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังในชุมชน คัดเลือกกลํุมตัวอยํางด๎วยวิธีการสุํมอยํางงําย กลํุมตัวอยํางคือ
ผ๎ูสูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรังในชุมชน ในตาบลทําสวํางท่ีอาศัยอยูํในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลสํงเสริม
สุขภาพตาบลสาโรงโคกเพชร อาเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ คานวณโดยใช๎โปรแกรม G*Power3.0.10 ได๎ขนาด
ตัวอยํางเทํากับ 136 คน เคร่ืองมือท่ีใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูล ประกอบด๎วย 3 สํวน คือ 1) แบบสอบถามข๎อมูล
ทั่วไป 2) แบบสอบถามปัจจัยในการดูแลผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังในชุมชน มีข๎อคาถามท้ังหมด 6 ด๎าน
ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาได๎คํา CVI=1 ตรวจความเที่ยงของแบบสอบถามได๎คําสัมประสิทธ์ิของครอนบาค
เทาํ กับ .91 และ 3) แบบสอบถามการรับรู๎คุณภาพในการดูแลผู๎สูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรังในชุมชนมีข๎อคาถาม
ทั้งหมด 4 ด๎าน ตรวจสอบความตรงของเนื้อหาได๎คํา CVI=1 ความเที่ยงของแบบสอบถามเทํากับ .90 เก็บรวบรวม
ข๎อมลู ในชํวงเดอื นมกราคม-มีนาคม 2561 โดยการสัมภาษณจ์ ากแบบสอบถาม วิเคราะห์ข๎อมลู ด๎วยสถิติบรรยายและ
หาความสัมพันธ์โดยใช๎สหสมั พนั ธแ์ บบเพียร์สนั
ผลการวิจัย พบวํา กลุํมตัวอยํางสํวนใหญํเป็นเพศหญิง ร๎อยละ 72.79 มีอายุอยํูในชํวง 60-70 ปี ร๎อยละ
62.50 สถานภาพสมรส ร๎อยละ 61 นับถือศาสนาพุทธ ร๎อยละ 98.52 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร๎อยละ 61.03
และมีรายได๎ของครอบครวั สํวนใหญํอยูํในชํวง 1,001-5,000 บาท/เดือน ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการรับรู๎
คุณภาพในการดแู ลผู๎สูงอายทุ ่ีเจบ็ ปวุ ยดว๎ ยโรคเร้ือรงั ในชมุ ชน ได๎แกํ ปัจจัยด๎านระบบสุขภาพ (r=.277, p<.01) ด๎าน
การออกแบบระบบการให๎บริการ (r=.479, p<.001) ดา๎ นการสนบั สนุนการตัดสินใจ (r=.301, p<.001) ด๎านข๎อมูล
ขําวสารทางคลินิก (r=.244, p<.01) และด๎านการสนับสนุนการจัดการดูแลตนเอง (r=.322, p<.001) ดังนั้น
พยาบาลควรนาเอาแนวคดิ การดูแลผปู๎ วุ ยโรคเร้อื รงั มาใชใ๎ นการออกแบบดูแลการใหบ๎ ริการเพอ่ื พัฒนาคุณภาพตํอไป
คาสาคญั : การรับรูค๎ ุณภาพในการดูแล, ผสู๎ งู อายุทเ่ี จบ็ ปวุ ยด๎วยโรคเร้ือรงั
Corresponding author: ภาวณิ ี แพงสุข โทรศพั ท์ 084-4299392 E-mail: [email protected]
วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรุ นิ ทร์ 320 ถ.หลกั เมือง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.สรุ นิ ทร์ 32000
1
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
Factors Related to Patient’s Perception of Quality of Care for elderly people with chronic
illness in the community
Pavinee Pangsuk, MSN., RN., Boromarajonani College of Nursing, Surin, Thailand
Chonlada Kingmala, MSN, RN., Boromarajonani College of Nursing, Surin, Thailand
Aurjit Sookpool, MS, RN., Boromarajonani College of Nursing, Surin, Thailand
Kittipoom Pinyo, PhD., RN., Faculty of Nursing, Khon Kaen University, Khonkean, Thailand
Atiporn Tonglor, PhD, RN., Boromarajonani College of Nursing, Surin, Thailand
Suksin Aga, MSN, Sumrongkokpet Tumbon Health Promotion Hospital
Abstract
The descriptive study aimed to examine to the factors related to patient’s perception of
quality of care for elderly people with chronic illness in the community. The study utilized simple
random sampling. The samples were elderly people with chronic illness in communities in Tha-
Sawang Subdistrict that calculated by the program G*Power3.0.10 and the sample size was 136
persons. Research tool included 1) Personal tool 2) factors related to elderly health care with
chronic illness in the community questionnaire included 6 component that had content validity
(CVI) equal to 1 and Cronbach's alpha coefficient equal to .91 and 3) Perception of Quality of
Care for elderly people with chronic illness in the community questionnaire included 4
component that had content validity (CVI) equal to 1 and Cronbach's alpha coefficient equal
to .90. Data collected by interview on January to March 2018. Data were analyzed by descriptive
statistics and Pearson product moment correlation were used to test the relationship.
The results showed the sample 76.7 percent were females, 62.50 percent were ages of 60-
70 years old, married 61 percent, Buddhism 98.52 percent, farmer 61.03 and family’s income
were 1,001 -5,000 bath/moth. Factors related to patient’s perception of quality of care for
elderly people with chronic illness in the community were health system (r=.277, p<.01), delivery
system design (r= .479, p<.001), Decision support (r= .301, p<.001), clinical information system
(r=.244, p<.01) and self-management support (r=.322, p<.001). The results suggest that in provide
health care for elderly people with chronic illness in community should integrate Chronic Care
Model for quality of care.
Keywords: Patient’s Perception of Quality of Care, elderly people with chronic illness
2
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
บทนา ท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรังในชุมชน จาเป็นต๎องได๎รับการ
โรคเรือ้ รงั หรือโรคไมํตดิ ตอํ เร้ือรงั เป็นภาวการณ์ ดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให๎มีคุณภาพชีวิตท่ี
ดี
เจ็บปุวยของโรคที่ต๎องใช๎ระยะเวลาที่ยาวนานในการ
ดูแลรักษาหรือฟื้นฟูสภาพอยํางตํอเน่ือง ไมํสามารถ การดูแลผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรังใน
รักษาใหห๎ ายไดใ๎ นทันที โดยเฉพาะในวัยผู๎สูงอายุ ซ่ึงเป็น ชุมชน ที่ผํานมาพบวํา มีการพัฒนารูปแบบการดูแล
วัยท่ีมีการเส่ือมถอยของรํางกายจากการที่มีอายุมากข้ึน ผ๎ูสูงอายุในชุมชนมากมาย เชํน รูปแบบการดูแล
สํงผลให๎การเจ็บปุวยมักจะเป็นภาวะเรื้อรัง1 โดยโรค ผู๎สูงอายุในชุมชนแบบองค์รวม3 รูปแบบการดูแล
เร้ือรังท่ีพบได๎บํอยในผู๎สูงอายุ ได๎แกํ โรคความดันโลหิต ผู๎สูงอายุแบบมีสํวนรํวม4 รูปแบบการบริการสุขภาพใน
สูง ไขมันในเลือดสูงคลอเลสเตอรอลสูง ร๎อยละ 17 การดูแล ผู๎สูงอายุ ท่ีมีภาวะพ่ึงพาโด ยการมีสํ วนรํวม 5
รองลงมาคือ โรคเบาหวาน ร๎อยละ 8 โรคเก๏าท์ รูมา รูปแบบการดูแลผ๎ูสูงอายุโดยการมีสํวนรํวมของชุมชน6
ตอยด์ ปวดเขํา ปวดหลัง ปวดคอเร้ือรัง ร๎อยละ 5 หรือรูปแบบการดูแลอยํางตํอเน่ืองแบบองค์รวมสาหรับ
โรคหัวใจ ร๎อยละ 2 และอัมพฤกษ์ อัมพาต ร๎อยละ 1 ผู๎สูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังในโรงพยาบาลศูนย์ 7
และเมื่อแยกความเจ็บปุวยตามเพศ พบวํา ผู๎สูงอายุเพศ เป็นต๎น ซึ่งรูปแบบท่ีพัฒนาดังกลําวยังคงพบปัญหาจาก
หญิงจะมีอาการของกลํุมโรคสาคัญ 5 อันดับแรก การดูแลท่ีสํงผลให๎คุณภาพของการดูแลผ๎ูสูงอายุที่
มากกวําผ๎ูสูงอายุเพศชาย2 การเจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรัง เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังน้ันดาเนินการไมํตํอเน่ือง เชํน
ดังกลําว สามารถเกิดผลกระทบท้ังตํอผ๎ูสูงอายุเองและ การขาดการกาหนดนโยบายในการดูแลผู๎สูงอายุที่
ตํอครอบครัว โดยผลกระทบที่มีตํอผู๎สูงอายุ ได๎แกํ ด๎าน เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังในชุมชนท่ีชัดเจน การขาดการ
รํางกาย โดยรํางกายของผู๎สูงอายุจะมีการสูญเสียหน๎าท่ี ไปรับการรักษาอยํางตํอเนื่องจากอุปสรรคการเดินทาง
การทางานและเกิดพยาธิสภาพตํางๆ ตํอด๎านรํางกาย และการสื่อสาร เป็นต๎น8 ซึ่งปัญหาดังกลําวจะสํงผล
สํงผลให๎เกิดการสูญเสียภาพลักษณ์และอาจเกิดความ กระทบถึงคุณภาพของการดูแลผ๎ูสูงอายุท่ีปุวยเป็นโรค
บกพรํองของอวัยวะนั้นๆ ซึ่งไมํสามารถรักษาให๎เป็น เรื้อรังในระยะยาวตํอไป ดังน้ัน หากพยาบาลต๎องการ
เหมือนเดิมได๎ ผลกระทบด๎านอารมณ์และจิตใจ จะทา ออกแบบรูปแบบการดูแลที่มีคุณภาพ จาเป็นต๎องมี
ให๎ผสู๎ ูงอายุมปี ญั หาด๎านจิตใจ มีความวิตกกังวล เครียด การศึกษาถึงการรับรู๎คุณภาพของการดูแลผู๎สูงอายุที่
คิดวําตนเองเป็นภาระของบุคคลอื่น เกิดคุณคําใน เจบ็ ปุวยดว๎ ยโรคเร้ือรังรวํ มด๎วย9
ตนเองลดลง สํงผลให๎มีพฤติกรรมที่ไมํเหมาะสม เชํน
การนอนไมํหลับ เบ่ืออาหาร การตอบสนองตํอ การรับรู๎คุณภาพของการดูแลของผู๎ปุว ย
ส่ิงแวดล๎อมลดลง เกิดความหมดหวังและอาจคิดฆําตัว (Patient’s perceptions of care quality) เป็นกระบวน
ตายได๎ในที่สุด ผลกระทบด๎านสังคม สํงผลให๎ผ๎ูสูงอายุ การที่ผ๎ูปุวยประมวลผลได๎จากการได๎รับการดูแลจาก
เกิดการเปล่ียนแปลงของบทบาทตํางๆ ในชีวิต อาจ พยาบาล โดยผลของการรับรู๎จะเป็นตัวสะท๎อนภาพของ
สํงผลให๎การทาหน๎าที่และบทบาทตํางๆได๎น๎อยลง เชํน การดูแลของพยาบาลวําสอดคล๎องกับสถานการณ์ความ
บทบาทในครอบครัว บทบาทด๎านอาชีพ บทบาทใน ต๎องการของผ๎ูปุวยหรือไมํ ซ่ึงการรับร๎ูคุณภาพของการ
สังคม ทาให๎สังคมไมํยอมรับ และขาดการติดตํอกับ ดูแลของผป๎ู ุวยจะเปน็ สิ่งสาคัญ ที่จะชํวยในการปรับปรุง
สังคมภายนอก สํงผลให๎เกิดการแยกตัวจากสังคมมาก คุณภาพของการดูแลผ๎ูปุวยให๎มีคุณภาพ10 และการ
ขึ้น และนอกจากนี้แล๎ว ยังมีผลกระทบตํอครอบครัว พัฒนาระบบการดูแลสุขภาพของผ๎ูปุวย ควรมาจาก
เชํนกัน เน่ืองจากต๎องรักษาดูแลผ๎ูสูงอายุที่เจ็บปุวยอยําง มุมมองการรับร๎ูของผ๎ูปุวยเอง11 จากการศึกษาที่ผํานมา
ตํอเนื่องและเป็นเวลายาวนาน จึงทาให๎ครอบครัวมี ยังไมพํ บวาํ มกี ารศึกษาถึงปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการ
คําใชจ๎ าํ ยสูงข้นึ 1 จากผลกระทบดงั กลําว ทาใหผ๎ ๎ูสูงอายุ รับร๎ูคุณภาพของการดูแลผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรค
เรื้อรังในชุมชนเกิดข้ึน วํามีปัจจัยใดบ๎างที่สัมพันธ์กับ
3
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
การรบั รู๎คณุ ภาพของการดแู ลผ๎ูสูงอายุทเ่ี จ็บปุวยด๎วยโรค รับผิดชอบข้ึน เพื่อให๎สามารถออกแบบรูปแบบการดูแล
เรื้อรัง ที่จะชํวยให๎พยาบาลมองเห็นปัจจัยที่จะชํวย ที่สอดคล๎องกับมุมมองการรับรู๎ของผ๎ูสูงอายุ ท้ังนี้เพ่ือ
พัฒนาคุณภาพการดูแลที่สัมพันธ์กับการรับร๎ูของ คุณภาพของการให๎บริการท่ีเกิดผลลัพธ์ท่ีดีตํอผ๎ูสูงอายุ
ผู๎สูงอายุ ดังนั้น ผ๎ูวิจัยจึงได๎ทาการศึกษาในเร่ืองน้ี โดย ตํอไป
ใช๎กรอบแนวคิดทฤษฎี The Chronic Care Model วัตถปุ ระสงค์
(CCM)12 มาเป็นแนวทางในการศึกษาปัจจัยท่ีมี
ความสมั พันธก์ บั การรับรค๎ู ุณภาพของการดแู ลผส๎ู ูงอายุที่ 1. เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการรับร๎ู
เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังในชุมชนข้ึน โดยศึกษาในปัจจัย คุณภาพในการดูแลผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังใน
6 ด๎าน ตามทฤษฎีได๎แกํ ด๎านระบบสุขภาพ ด๎านการ ชุมชน
ออกแบบระบบการให๎บริการ ด๎านการสนับสนุนการ คาถามงานวิจัย
ตัดสินใจ ด๎านข๎อมูลขําวสารทางคลินิก ด๎านการ
สนับสนุนการจดั การดูแลตนเอง และด๎านการมีสํวนรํวม 1. ปัจจัยด๎านระบบสุขภาพ ด๎านการออกแบบ
ของชุมชน ซึง่ เป็นกรอบแนวคิดท่ีใช๎ในการมองภาพรวม ระบบการให๎บริการ ด๎านการสนับสนุนการตัดสินใจ
ของการดูแลผ๎ูปุวยโรคเร้ือรังในชุมชนที่ครอบคลุมตาม ด๎านข๎อมูลขําวสารทางคลินิก ด๎านการสนับสนุนการ
บริบทของชุมชน อีกทั้งยังเน๎นผลลัพธ์ให๎เกิดคุณภาพ จัดการดูแลตนเอง และด๎านการมีสํวนรํวมของชุมชน
แบบเชิงรกุ อกี ด๎วย12 มีความสัมพันธ์กับการรับร๎ูคุณภาพในการดูแลผ๎ูสูงอายุ
ทเ่ี จบ็ ปุวยด๎วยโรคเรื้อรังในชุมชนหรอื ไมํ อยาํ งไร
โรงพยาบาลสงํ เสริมสขุ ภาพตาบลสาโรงโคกเพชร สมมติฐานการวจิ ยั
เป็นหนํวยบริการสุขภาพประชาชนในชุมชน โดยใน
ปี พ.ศ. พบผ๎ูสูงอายทุ ่เี จ็บปุวยดว๎ ยโรคเร้ือรัง ร๎อยละ 30 1. ปัจจัยด๎านระบบสุขภาพ ด๎านการออกแบบ
ของประชากรผ๎ูสูงอายุทั้งหมด โดยประกอบด๎วยโรค ระบบการให๎บริการ ด๎านการสนับสนุนการตัดสินใจ
ความดันโลหิตสูง ร๎อยละ 54.50 โรคเบาหวานและ ด๎านข๎อมูลขําวสารทางคลินิก ด๎านการสนับสนุนการ
ความดันโลหิตสูง ร๎อยละ 26.49 โรคเบาหวาน ร๎อยละ จัดการดูแลตนเอง และด๎านการมีสํวนรํวมของชุมชน
17.57 โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตวายเรื้อรัง ร๎อยละ มีความสัมพันธ์กับการรับร๎ูคุณภาพในการดูแลผ๎ูสูงอายุ
0.44 และโรคข๎อเขําเสื่อม เก๏าท์ ตับแข็ง มะเร็ง ทเี่ จ็บปุวยดว๎ ยโรคเร้ือรังในชมุ ชน
โรคหัวใจ ร๎อยละ 0.0913 ซึ่งโรงพยาบาลสํงเสริม กรอบแนวคดิ การวจิ ยั
สุขภาพตาบลสาโรงโคกเพชร มีรูปแบบในการให๎การ
ดูแลผูส๎ งู อายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรังเหลํานั้นอยํางเป็น ในการวิจัยครั้งน้ี ใช๎กรอบแนวคิดทฤษฎี The
รูปธรรม คือ มีคลินิกในการการดูแลผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวย Chronic Care Model (CCM)12 มาเป็นกรอบแนวคิด
ด๎วยโรคเร้อื รัง ซ่ึงจะดูแลเดือนละ 1 คร้ัง และออกเย่ียม การวิจยั โดยทฤษฎนี ้ี ไดก๎ ลําวถึงระบบในการดแู ลผู๎ปุวย
บ๎านผ๎ูสูงอายุที่มาภาวะแทรกซ๎อนของโรค แตํยังคงพบ โรคเรื้อรังใน 6 ด๎าน ได๎แกํ ด๎านระบบสุขภาพ ด๎านการ
ปัญหาผู๎สูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรัง มีภาวะแทรก ออกแบบระบบการให๎บริการ ด๎านการสนับสนุนการ
ซ๎อนของโรคถึงร๎อยละ 18.1213 หากผ๎ูสูงอายุเกิด ตัดสินใจ ด๎านข๎อมูลขําวสารทางคลินิก ด๎านการ
ภาวะแทรกซ๎อนขึ้น จะสํงผลกระทบให๎ผ๎ูสูงอายุ ไมํ สนับสนนุ การจัดการดูแลตนเอง และด๎านการมีสํวนรํวม
สามารถควบคุมภาวะสุขภาพของตนเอง ได๎สํงผลตํอ ของชุมชน ซึ่งเป็นระบบที่มงุํ เนน๎ การให๎เกิดผลลัพธ์และ
คุณภาพชีวิตที่ไมํดีตํอไป14 ดังน้ัน ผ๎ูวิจัยจึงต๎องการ คุณภาพในการดูแลเชิงรุกให๎กับผู๎รับบริการ15 ผู๎วิจัยจึง
ศึกษาเรื่องปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการรับร๎ูคุณภาพ ได๎นาเอาทฤษฎีน้ีมาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยเพ่ือ
ของการดูแลผ๎ูสูงอายุทีเ่ จ็บปุวยดว๎ ยโรคเรื้อรังในชุมชนที่ ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยท้ัง 6 ด๎านกับการรับรู๎
คุณภาพในการดูแลผู๎สูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังใน
ชุมชน ดังภาพ 1
4
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
- ปัจจยั ดา๎ นระบบสขุ ภาพ การรบั รูค๎ ุณภาพในการดูแล
- ปัจจัยดา๎ นการออกแบบระบบการใหบ๎ รกิ าร ผู๎สูงอายุทีเ่ จ็บปวุ ยด๎วยโรคเร้อื รังใน
- ปัจจัยดา๎ นการสนบั สนนุ การตัดสินใจ
- ปจั จัยด๎านข๎อมูลขําวสารทางคลนิ ิก ชมุ ชน
- ปจั จยั ดา๎ นการสนบั สนุนการจัดการดแู ลตนเอง
- ปจั จัยดา๎ นการมีสํวนรํวมของชมุ ชน
ภาพ 1 กรอบแนวคิดการวิจยั
วสั ดุและวธิ กี ารศึกษา ตอนที่ 2 แบบสอบถามปัจจัยในการการดูแล
เ ป็ น ก า ร วิ จั ย แ บ บ เ ชิ ง ห า ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ผู้สูงอายุท่ีเจ็บป่วยด้วยโรคเร้ือรังในชุมชน ซึ่งผ๎ูวิจัย
สรา๎ งขึน้ เองจากการทบทวนวรรณกรรม แบบสอบถามมี
(Correlational Research) จานวน 37 ข๎อ เป็นแบบ Likert scale มีข๎อคาถาม
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ท้ังหมด มี 6 ด๎าน ได๎แกํ ด๎านระบบสุขภาพ ด๎านการ
ออกแบบระบบการให๎บริการ ด๎านการสนับสนุนการ
ป ร ะ ช า ก ร (Population) คื อ ผู๎ สู ง อ า ยุ ที่ ตัดสินใจ ด๎านข๎อมูลขําวสารทางคลินิก ด๎านการ
เจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรัง ท่ีอาศัยอยูํในเขตรับผิดชอบของ สนบั สนนุ การจดั การดแู ลตนเอง และด๎านการมีสํวนรํวม
โรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบลสาโรงโคกเพชร ของชุมชน แบบสอบถามมี 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก
จานวน 171 คน ปานกลาง น๎อย และ น๎อยที่สุด คะแนนสูงสุด 148
คะแนน คะแนนต่าสุด 0 คะแนน มีเกณฑ์ในการให๎
กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู๎สูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรค คะแนน ได๎แกํ 99-148 คะแนน หมายถึง รับร๎ูระบบ
เร้ือรัง ที่อาศัยอยํูในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาล การดูแลในระดับมาก คะแนน 50–98 คะแนน รับร๎ู
สํงเสริมสุขภาพตาบลสาโรงโคกเพชร จานวน 136 คน ระบบการดูแลในระดับปานกลาง และ 0–49 คะแนน
จากการคัดเลือกกลุํมตัวอยํางแบบอยํางงําย (Simple รับรู๎ระบบการดูแลในระดับน๎อย แบบสอบถามได๎ผําน
Random sampling) โดยวิธีการจับฉลาก ตามรายชื่อ ผู๎เชี่ยวชาญตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหาได๎คํา CVI=1
ของกลุํมตัวอยํางท่ีมีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข๎า คือ มี และตรวจสอบความเท่ียงของแบบสอบถาม ได๎คําสัม
อายุ 60 ปีขึ้นไปและได๎รับการวินิจฉัยจากแพทย์วําเป็น ประสิทธ์แอลฟาของครอนบาค เทํากับ 0.91 หลังจาก
โรคเรื้อรังตอ๎ งไดร๎ บั การรกั ษาอยํางตํอเนอื่ ง ใช๎แบบสอบถามกับกลํุมตัวอยํางนี้ ได๎คําสัมประสิทธ์
แอลฟาของครอนบาค เทํากบั 0.91
ขนาดของกลมุ่ ตวั อยา่ ง
การวิเคราะห์ความสัมพนั ธใ์ นครง้ั น้ี ผว๎ู ิจยั กาหนด ตอนท่ี 3 แบบสอบถามการรับรู้คุณภาพในการ
ระดับความเช่ือมั่น (α) ท่ี 0.05 อานาจการทดสอบ ดูแลของผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรคเร้ือรังในชุมชน
(Power of test) เทํากับ 0.8 และขนาดอิทธิพล ซ่ึ ง ผ๎ู วิ จั ย ส ร๎ า ง ข้ึ น เ อ ง จ า ก ก า ร ท บ ท ว น ว ร ร ณ ก ร ร ม
(Effect size) เทํากับ 0.21 ซ่ึงได๎มาจากงานวิจัยของ แบบสอบถามมีจานวน 29 ข๎อ เป็นแบบ Likert scale
Kvist T. et al.9 แล๎วนามาคานวณโดยใช๎โปรแกรม มีข๎อคาถามทั้งหมด มี 4 ด๎าน ได๎แกํ ด๎านรํางกาย ด๎าน
G*Power3.0.10 ได๎ขนาดตวั อยาํ งเทาํ กับ 136 คน จิตใจและอารมณ์ ด๎านสังคม และด๎านจิตวิญญาณ
เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ัย แบบสอบถามมี 4 ระดับ คือ เป็นประจา บํอยครั้ง
เคร่ืองมือทีใ่ ช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูล มีท้ังหมด บางครั้ง ไมํเคยได๎รับเลย คะแนนสูงสุด 87 คะแนน
6 ตอน ดงั นี้ คะแนนต่าสุด 0 คะแนน มีเกณฑ์ในการให๎คะแนน
ตอนท่ี 1 แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป ได๎แกํ เพศ ได๎แกํ 59-87 คะแนน หมายถึง รับร๎ูคุณภาพในการ
หญิง อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส ศาสนา
อาชีพ และรายได๎ของครอบครวั เปน็ ต๎น
5
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ่ี 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
ดูแลใน ระดับมาก คะแนน 30–58 คะแนน รับร๎ู 3. ในวันเก็บรวบรวมข๎อมูล ผู๎วิจัยแนะนาตัวกับ
คุณภาพในการดูแลในระดับปานกลาง และ 0–29 กลุํมตัวอยําง สร๎างสัมพันธภาพและชี้แจงวัตถุประสงค์
คะแนน รับร๎ูคุณภ าพในการดูแลในระดับน๎อย ในการทาวิจัย พร๎อมสอบถามความยินยอมในการเข๎า
แบบสอบถามไดผ๎ าํ นผ๎ูเช่ียวชาญตรวจสอบความตรงเชิง รํวมการวิจัย เม่ือกลุํมตัวอยํางให๎ความยินยอมในการ
เน้ือหาได๎คํา CVI=1และตรวจสอบความเท่ียงของ เข๎ารํวมวิจัยให๎กลํุมตัวอยํางเซ็นช่ือยินยอมในใบยินยอม
แบบสอบถาม ได๎คําสัมประสิทธ์แอลฟาของครอนบาค เขา๎ รวํ มการวจิ ัย
เทํากับ .87 หลังจากใช๎แบบสอบถามกับกลุํมตัวอยํางนี้
ได๎คําสัมประสทิ ธแ์ อลฟาของครอนบาค เทาํ กบั 0.90 4. ผู๎วิจัย อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับแบบ
จริยธรรมในการวจิ ัย สอบถามให๎กลํุมตัวอยํางทราบ จากนั้นดาเนินการ
สัมภาษณ์กลํุมตัวอยํางจากแบบสอบถาม เวลาที่ใช๎ใน
ผู๎วิจัยดาเนินการพิทักษ์สิทธิของกลํุมตัวอยําง การตอบแบบสอบถามประมาณ 20 นาทตี อํ ราย
ตามหลักจริยธรรมวิจัย โดยผํานการพิจารณาจริยธรรม
ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ รหัส P-EC 5. ผู๎วิจัยตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบ
12-10-60 และได๎ดาเนินการกับกลํุมตัวอยําง ได๎แกํ สอบถามและกลําวขอบคุณกลุํมตัวอยําง เมื่อเสร็จสิ้น
1.หลักผลประโยชน์ (Principle of Beneficence) โดย การเก็บรวบรวมข๎อมูล ผู๎วิจัยทาการประมวลข๎อมูลและ
การขออนุญาตกลํุมตัวอยํางกํอนทาวิจัย 2.หลักการ วิเคราะห์ขอ๎ มลู
เคารพความเป็นบุคคล (Principle of Respect of การวิเคราะหข์ ้อมลู
human dignity) โดยการให๎กลํุมตัวอยํางเซ็นชื่อ
ยินยอมในใบยินยอมเข๎ารํวมการวิจัยทุกราย ไมํบีบ ในการศึกษาครั้งน้ี ใช๎โปรแกรมคอมพิวเตอร์
บังคับ ไมํละเมิดสิทธิสํวนบุคคลของกลํุมตัวอยําง และ สาเรจ็ รปู ในการวเิ คราะหข์ ๎อมลู ดังน้ี
เปิดโอกาสให๎กลํุมตัวอยํางได๎ซักถามข๎อสงสัย และ 3.
หลักความยุติธรรม (Principle of Justice) โดยการ 1. ข๎อมูลทั่วไปของกลุํมตัวอยําง วิเคราะห์โดยใช๎
แจ๎งให๎กลุํมตัวอยํางทราบเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และ สถิติพรรณนา (Descriptive statistics) ประกอบด๎วย
ขั้นตอนการเก็บรวบรวมข๎อมูลทุกคร้ังโดยไมํปิดบัง ความถ่ี ร๎อยละ พิสยั คาํ เฉล่ยี และคาํ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน
ข๎อมูล ไมํเปิดเผยชื่อกลุํมตัวอยําง เก็บรักษาข๎อมูลทุก
อยาํ งอยํางเป็นความลบั 2. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ โดยใช๎สถิติอ๎างอิง
การเก็บรวบรวมขอ้ มลู (Inferential statistics) คือสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน
(Pearson Correlation) และทดสอบข๎อตกลงเบื้องต๎น
ผู๎วิจัยเก็บรวบรวมข๎อมูลในชํวงเดือนมกราคม– กอํ นใช๎สถติ ิ
มนี าคม 2561 โดยมขี ั้นตอนดังน้ี ผลการศึกษา
1. ผ๎วู จิ ัยขอความรํวมมือจากโรงพยาบาลสํงเสริม สว่ นที่ 1 ข้อมูลท่วั ไป
สุขภาพตาบลสาโรงโคกเพชร เพื่อขอรายช่ือประชากร กลุํมตัวอยํางสํวนใหญํเป็นเพศหญิง ร๎อยละ
ในพื้นท่ีท่ีมีคุณสมบัติตามเกณฑ์คัดเข๎า เม่ือได๎รายชื่อ 72.79 มอี ายุอยํูในชํวง 60-70 ปี ร๎อยละ 62.50 ระดับ
ผู๎วิจัยและผ๎ูชํวยนักวิจัยจะดาเนินการสุํมกลุํมตัวอยําง การศึกษาสูงสุดชั้นประถมศึกษา ร๎อยละ 91.91
อยํางํายโดยวิธีการจับฉลาก ให๎ได๎กลํุมตัวอยํางตามที่ สถานภาพสมรส ร๎อยละ 61 นับถือศาสนาพุทธ ร๎อยละ
กาหนด 98.52 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมร๎อยละ 61.03 และ
มีรายได๎ของครอบครัวสํวนใหญํอยํูในชํวง 1,001-5,000
2. ผ๎ูวิจัยดาเนินการนัดหมายกลํุมตัวอยํางตาม บาท/เดือน รอ๎ ยละ 55.15 ดังตาราง 1
รายช่อื ลวํ งหนา๎ กํอนวนั ดาเนนิ การเก็บรวบรวมขอ๎ มลู
6
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ตาราง 1 ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง ส่วนที่ 2 ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการรับรู้
คุณภาพในการดูแลผู้สูงอายุท่ีเจ็บป่วยด้วยโรค
ขอ้ มูลทั่วไป จานวน รอ้ ยละ เรอื้ รงั ในชมุ ชน
ของกลมุ่ ตัวอย่าง
เพศ 37 27.21 ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช๎สถิติ
ชาย 99 72.79 ส ห สั ม พั น ธ์ แ บ บ เ พี ย ร์ สั น พ บ วํ า ปั จ จั ย ท่ี มี
หญงิ ความสัมพันธ์ทางบวกกับการรับรู๎คุณภาพในการดูแล
ผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรังในชุมชน ได๎แกํ
อายุ (ปี) 85 62.50 ปัจจัยด๎านระบบสุขภาพ (r=.277, p<.01) ด๎านการ
60 – 70 ปี 39 28.67 ออกแบบระบบการให๎บริการ (r=.479, p <.001)
71 – 80 ปี 11 8.09 ด๎านการสนับสนุนการตัดสินใจ (r=.301, p<.001)
81 – 90 ปี ด๎านข๎อมูลขําวสารทางคลินิก (r=.244, p<.01) และ
ด๎านการสนับสนุนการจัดการดูแลตนเอง (r=.322,
91 ปีขึ้นไป 1 0.74 p<.001) และปัจจัยที่ไมํมีความสัมพันธ์กับการรับรู๎
5.15 คุณภาพในการดูแลผ๎ูสูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรัง
(Min=60, Max=91, Mean =69.74, S.D.=7.13) ในชมุ ชน คอื ด๎านการมสี วํ นรํวมของชมุ ชน (r=-.137,
p=.112) ดังตาราง 2
ระดับการศึกษา 7
ไมไํ ด๎เรยี น
ประถมศึกษาตอนตน๎ 125 91.91
มธั ยมศกึ ษา 4 2.94 ตาราง 2 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้
สถานภาพสมรส 8 5.9 คุณภาพในการดูแลผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยด้วยโรค
เรอื้ รังในชุมชน
โสด
สมรส 83 61
หม๎าย 45 33.1 การรบั รู้คุณภาพใน
การดแู ลผสู้ งู อายทุ ่ี
อาชพี เกษตรกรรม 83 61.03 ตวั แปรปัจจยั เจบ็ ปว่ ยดว้ ยโรค p-value
ด๎านระบบสขุ ภาพ เรือ้ รงั ในชมุ ชน
คา๎ ขาย 1 0.74 .001
.277* .000
ไมไํ ดป๎ ระกอบอาชพี 52 38.23 .000
.004
ศาสนา ด๎านการออกแบบระบบ .479** .000
การใหบ๎ ริการ .301** .112
พุทธ 134 98.52 ดา๎ นการสนบั สนุนการ .244*
ตดั สนิ ใจ .322**
ครสิ ต์ 1 0.74 ด๎านขอ๎ มลู ขาํ วสารทาง .137
อิสลาม 1 0.74 คลนิ กิ
รายได้ของครอบครัว ดา๎ นการสนบั สนุนการ
501-1,000 45 33.09 จัดการดูแลตนเอง
ด๎านการมสี วํ นรวํ มของ
1,001-5,000 75 55.15 ชมุ ชน
5,001-10,000 8 5.87 * = p < .01, ** = P < .001
10,001-20,000 7 5.15
20,001-50,000 1 0.74
(Min=600, Max=40,000, Mean=3585.29,
S.D.=4612.76)
7
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปีที่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
วขจิ ําาวรสณา์รที่สอดคล๎องกับลักษณะพื้นที่ ให๎ความสาคัญกับกปารัจสจ่ือัยสดา๎ารนในกดา๎ารนสรนะับบสบนสุนุขกภาารพตขัดอสงหินนใจํวยซงึ่งารนะรบวบมกถาึงร
ผลงานวิจัย พบวาํ ปัจจยั ทีม่ คี วามสมั พันธ์กับการ สนับสนุนการตัดสินใจ เป็นระบบท่ีพยาบาลให๎การ
รับรู๎คุณภาพในการดูแลผู๎สูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรค บริการกับผู๎สูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรัง โดยใช๎
เรื้อรังในชุมชน ได๎แกํ ปัจจัยด๎านระบบสุขภาพ ด๎าน หลักฐานทางวิชาการและหลักฐานเชิงประจักษ์มาใช๎
การออกแบบระบบการให๎บริการ ด๎านการสนับสนุน อ๎างอิงในการดูแลผ๎ูสูงอายุ เพ่ือให๎ผ๎ูสูงอายุที่เจ็บปุวย
การตัดสินใจ ด๎านข๎อมูลขําวสารทางคลินิก และด๎าน ด๎วยโรคเร้ือรังได๎เกิดความมั่นใจในการทางานของ
การสนับสนุนการจัดการดูแลตนเอง มีความสัมพันธ์ พยาบาล และทาให๎รับร๎ูถึงคุณภาพในการดูแลได๎16
ทางบวกกับการรับรู๎คุณภาพในการดูแลผู๎สูงอายุท่ี สอดคล๎องกับการศึกษาของ Porat et al.20 ท่ีพบวํา
เจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรัง โดยพบวําปัจจัยด๎านการ ระบบการสนับสนุนการตัดสินใจชํวยให๎พยาบาลเกิด
ออกแบบระบบการให๎บริการมีขนาดของความสัมพันธ์ ความม่ันใจในการปฏิบัติงานและทาให๎ผ๎ูรับบริการรับรู๎
มากที่สดุ ซง่ึ การออกแบบระบบการให๎บริการที่ดี จะทา ถึงคุณภาพในการดูแลได๎ ปัจจัยที่มีขนาดของ
ให๎ผ๎ูสูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรัง สามารถรับรู๎ถึง ความสัมพันธ์ถัดมา คือ ปัจจัยด๎านระบบสุขภาพ
คุณภาพในการดูแลได๎ เนื่องจากการที่มีระบบและกลไก เน่ืองจากพื้นท่ีมีหนํวยงานและบุคลากรที่ชัดเจนในการ
การทางานเพ่ือดูแลที่มีประสิทธิภาพแกํผู๎รับบริการ ดูแลสุขภาพของผ๎ูสูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรัง และ
ตั้งแตํกระบวนการการวางแผน การออกแบบระบบและ สามารถเขา๎ ถึงได๎งําย จึงทาให๎ผู๎สูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วย
การประเมินระบบการให๎บริการอยํางตํอเนื่องและ โรคเรื้อรังรับรู๎ถึงระบบสุขภาพของพ้ืนท่ีของตนเองได๎
สม่าเสมอ ซ่ึงทุกกระบวนการของระบบจะเน๎นการ อยํางชัดเจน นาไปสํูการรับรู๎คุณภาพในการดูแลได๎16
ปฏิบัติโดยตรงตํอผู๎สูงอายุ สํงผลให๎ผู๎สูงอายุที่เจ็บปุวย สอดคล๎องกับการศึกษาที่ผํานมาที่พบวํา บุคลากรทาง
ด๎วยโรคเร้ือรังเกิดการรับรู๎ถึงคุณภาพของการดูแลได๎16 สุขภาพมีความสัมพันธ์กับการรับร๎ูคุณภาพของการดูแล
ปัจจัยที่มีขนาดของความสัมพันธ์รองลงมา คือ ด๎วย19
ปัจจัยด๎านการสนับสนุนการจัดการดูแลตนเอง ซึ่งการ ปัจจัยที่มีขนาดของความสัมพันธ์น๎อยที่สุด คือ
สนับสนนุ การจดั การดูแลตนเองให๎กับผ๎ูสูงอายุ จะทาให๎ ปัจจัยด๎านข๎อมูลขําวสารทางคลินิก ซ่ึงเป็นระบบที่
ผ๎ูสูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรัง สามารถรับร๎ูถึง บริหารจัดการข๎อมูลเกีย่ วกับการดูแลผู๎สูงอายุที่เจ็บปุวย
คุณภาพในการดูแลได๎ เน่ืองจากเป็นระบบที่ให๎ผ๎ูสูงอายุ ด๎วยโรคเรื้อรัง ผํานเทคโนโลยีที่สามารถใช๎งานได๎
ที่เจ็บปวุ ยด๎วยโรคเร้ือรังมีบทบาทที่สาคัญในการจัดการ สะดวกและประเมินผลได๎อยํางมีประสิทธิภาพ ทาให๎
สุขภาพของตนเอง ผํานกระบวนการกาหนดเปูาหมาย ผู๎สูงอายุสามารถรับรู๎ได๎ถึงถึงคุณภาพในการดูแลจาก
วางแผน แก๎ไขปัญหาและติดตามผล รวมถึงการ การใชบ๎ ริการทางสุขภาพจริง16 สอดคล๎องกับการศึกษา
ประสานความรวํ มมือในชมุ ชน เพอื่ ให๎ผสู๎ ูงอายุได๎จัดการ ของ Ward et al.21 ที่พบวํา การมีระบบข๎อมูล
ดูแลตนเองอยํางตํอเนื่อง จึงทาให๎ผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวย สารสนเทศหรือข๎อมูลขําวสารทางคลินิกชํวยให๎การ
ด๎วยโรคเร้ือรังรับรู๎ถึงคุณภาพของการดูแลได๎ 16 พัฒนาปรับปรุงคุณภาพของการให๎การดูแลผ๎ูรับบริการ
สอดคล๎องกับความต๎องการของผู๎สูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วย นาไปสูกํ ารรบั รค๎ู ณุ ภาพของการดูแลตํอไป
โรคเร้ือรัง ท่ีต๎องการได๎รับการสนับสนุนในการดูแล
ตนเองจากหนวํ ยงานทางสุขภาพรํวมด๎วย8 และงานวิจัย สรุปผลการศึกษา
นี้ยังสอดคล๎องกับการศึกษาที่ผํานมา ที่พบวําการ งานวิจัยน้ีสะท๎อนให๎เห็นวํา ในการพัฒนา
สนับสนุนให๎ผู๎รับบริการได๎มีสํวนรํวมในการดูแล มี
ความสัมพันธ์กบั การรบั รค๎ู ุณภาพในการดูแล17-19 คุณภาพการดูแลผู๎สูงอายุที่เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังใน
ชุมชนของบริบทในชุมชนที่ศึกษาในคร้ังน้ีนั้น พยาบาล
ปัจจัยที่มีขนาดของความสัมพันธ์ถัดมา คือ ควรออกแบบระบบบริการที่งํายตํอการเข๎าถึงของ
ผู๎สูงอายุ ออกแบบรูปแบบการสื่อสารด๎านข๎อมูล
8
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ออกแบบกิจกรรมการดูแลที่เน๎นให๎ผ๎ูสูงอายุได๎ตัดสินใจ 2. สถาบันวิจัยและพัฒนาผ๎ูสูงอายุไทย .
ด๎วยตนเองและสนับสนุนให๎ผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรค สถานการณ์ผู๎สูงอายุไทย พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ:
เร้ือรังได๎จัดการดูแลตนเองอยํางเต็มที่และตํอเนื่อง อมรนิ ทรพ์ รนิ้ ตงิ้ แอนดพ์ ับบลิชชิง่ ; 2558.
สาหรับบรบิ ทอนื่ นัน้ พยาบาลควรศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์
กับคุณภาพในการดูแลผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรัง 3. จินตนา อาจสันเที๊ยะ, พรนภา คาพราว.
เพ่อื ให๎เกดิ ความสอดคลอ๎ งกับบริบทท่ีศึกษา นาไปสูํการ รูปแบบการดูแลสาหรับผู๎สูงอายุในชุมชน. ว.พยาบาล
รับรแู๎ ละมั่นใจในคณุ ภาพของการดูแลตํอไป ทหารบก 2557; 15(3): 123-127.
ข้อเสนอแนะ
4. เพ็ญจันทร์ สิทธิปรีชาชาญ , ปนัดดา
ข้อเสนอแนะในการนาไปใช้ ปริยฑฤฆ, ญาณิศา โชติกะคาม. กระบวนการดูแล
พยาบาลควรให๎ความสาคัญกับการให๎ข๎อมูล สุขภาพผ๎ูสูงอายุอยํางมีสํวนรํวมของชุมชนตาบลมาบ
ปัจจัยท่จี าเปน็ ในการพัฒนาคุณภาพของการให๎การดูแล แค. ว.พยาบาลทหารบก 2555; 13(2): 8-14.
ผ๎ูสูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเรื้อรัง ในด๎านระบบสุขภาพ
ของหนํวยงาน นอกเหนือจากการสนับสนุนการให๎ 5. วริ าพรรณ วิโรจน์รัตน์, ขวัญใจ อานาจสัตย์
ข๎อมูลขําวสารแกํผู๎สูงอายุ การสนับสนุนการตัดสินใจ ซื่อ, ศิริพันธ์ สาสัตย์, พรทิพย์ มาลาธรรม, จิณณ์สิรา
และการสํงเสริมใหผ๎ ูส๎ งู อายไุ ดด๎ แู ลตนเองอยํางตอํ เนอ่ื ง ณรงค์ศักด์ิ. การพัฒนาระบบบริการสุขภาพสาหรับ
ข้อเสนอแนะในการทาวิจยั คร้ังถัดไป ผ๎ูสูงอายุท่ีต๎องพ่ึงพาผู๎อ่ืน. ว.สภาการพยาบาล 2557;
ควรมีการนาผลการวิจัยไปออกแบบเป็นระบบใน 29(3): 104-115.
การดูแลผู๎สูงอายุท่ีเจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังในชุมชน โดย
บูรณาการระบบ Chronic Care Model เข๎ากับระบบ 6. สุรพล ชยภพ. การพัฒนารูปแบบการดูแล
การดูแลของหนํวยงาน เพ่ือผลลัพธ์และคุณภาพในการ ผ๎ู สู ง อ า ยุ โ ด ย ก า ร มี สํ ว น รํ ว ม ข อ ง ชุ ม ช น จั ง ห วั ด
ดูแลเชงิ รกุ ให๎กับผูร๎ บั บริการตํอไป นคร ราช สีม า . [วิ ทย านิพ นธ์ ]. มห าส ารค าม :
กิตตกิ รรมประกาศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม; 2552.
ขอขอบพระคุณผ๎ูสูงอายุทุกทํานท่ีเป็นกาลัง
สาคัญในงานวิจัยครั้งนี้ และงานวิจัยน้ีเป็นสํวนหน่ึงของ 7. อัมพรพรรณ ธีรานุตร, นงลักษณ์ เมธา
งานวิจัยเร่ือง การพัฒนาระบบการดูแลผู๎สูงอายุที่ กาญจน์, วาสนา รวยสูงเนิน. การพัฒนารูปแบบการ
เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังในชุมชน ซ่ึงได๎รับทุนสนับสนุน ดูแลตํอเน่ืองแบบเป็นองค์รวมสาหรับผู๎ปุวยสูงอายุ
จากสถาบันพระบรมราชชนก ผ๎ูวิจัยจึงขอขอบพระคุณ โรคเรื้อรัง กรณีศึกษาในโรงพยาบาลศูนย์. ขอนแกํน:
มา ณ ที่น้ี มหาวทิ ยาลยั ขอนแกนํ ; 2551.
เอกสารอ้างองิ
1. ปวิตรา สุทธิธรรม. ผลของโปรแกรมการ 8. นิลุบล วินิจสร, ปรีดา ต้ังจิตเมธี, นฤนาท
เสริมสร๎างพลังอานาจอาสาสมัครสาธารณสุขประจา ยืนยง. การพัฒนารูปแบบการดูแลผู๎ส ูงอายุโรคเรื้อรัง
หมํูบ๎านตํอการรับร๎ูความสามารถในการดูแลผู๎สูงอายุท่ี ในชุมชนเมือง โดยการมีสํ ว นรํว มของชุมชน :
เจ็บปุวยด๎วยโรคเร้ือรังในชุมชน. [วิทยานิพนธ์]. ชลบุรี: กรณีศึกษาชุมชนบางขะแยง อาเภอเมือง จังหวัด
มหาวิทยาลัยบรู พา; 2554. ปทุมธานี. ว.การพยาบาลและการศึกษา 2558; 8(3):
18-32.
9
9. Kvist1 T, Voutilainen1 A, Mäntynen1
R, Vehviläinen-Julkunen K. The relationship
between patients’ perceptions of care qual-
ity and three factors: nursing staff job satis-
faction, organizational characteristics and
patient age . BMC Health Services Research
2014; 14: 466-476.
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ่ี 28 ฉบับท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
10. Hussami M, Momani M, Hammad S, 1 7 . Weingart N, Zhu J, Chiappetta L,
Maharmeh M. Patients’ perception of the Stuver, S, Schneider, E, Epstein, A, et al. Hospi-
quality of nursing care and related hospital talized patients’ participation and its impact
services. Health and Primary Care 2017; 1(2): 1- on quality of care and patient safety. J Qual
6. Health Care 2011; 23(3): 269-277.
11. Ana L, Slack M, Malone D, MacKinnon 18. Phipatanapanit P, Pongthavornkamol
NJ, Warholak TL. Relationship Between Pa- K, Wattakitkrileart D, Viwatwongkasem C,
tients’ Perceptions of Care Quality and Health Vathesatogkit P. Predictors of Perceived Qual-
Care Errors in 11 Countries: A Secondary Data ity of Care in People with Heart Failure. Pacific
Analysis. Q Manage Health Care 2016; 25(1): 13 Rim Int J Nurs Res 2019; 23(1): 87-99.
–21.
19. Houtuma L, Heijmansa M, Rijkena M,
12. The MacColl Center for Health Care Groenewegen P. Perceived quality of chronic
Innovation. The Chronic Care Model, [Internet]. illness care is associated with self-management:
2 0 0 6 [Cited 2 0 1 7 Augs 9 ]. Available from: results of a nationwide study in the Nether-
http://www.improvingchroniccare.org/ lands. Health Policy 2016; 120(4): 431-439.
index.php?p=The_ Chronic_Care_Model&s=2
20. Porat T, Delaney B, Kostopoulou O.
1 3 . Duangbubpha S, Hanucharurnkul S, The impact of a diagnostic decision support
Pookboonmee R, Orathai P, Kiatboonsri C. system on the consultation: perceptions of
Chronic Care Model Implementation and Out- GPs and patients. Am J Manag Care 2012; 18
comes among Patients with COPD in Care (5): 244-252.
Teams with and without Advanced Practice
Nurses. Pacific Rim Int J Nurs Res 2013; 17(2): 21. Ward M, Vartak S, Loes L, O'Brien J,
102-116. Mills TR, Halbesleben JR, et al. CAH staff per-
ceptions of a clinical information system im-
14. สุขสิน เอกา. รายงานสรปุ โรคเรื้อรังประจาปี plementation. Am J Manag Care 2012; 18(5):
พ.ศ. 2561. สรุ นิ ทร์: ม.ป.ท.; 2558. 244-252.
15. อิศวร ดวงจินดา. คุณภาพชีวิตของผ๎ูปุวย
โรคเบาหวานชนิดท่ี 2 อาเภอหนองหญ๎าไซ จังหวัด
สุพรรณบรุ ี. ว.วิชาการสาธารณสุข 2558; 24(6): 1118-
1126.
16. ปราโมทย์ ถํางกระโทก. บทบาทพยาบาล
วิชาชีพในการจัดการโรคเรื้อรัง. ว.พยาบาลสงขลา
นครินทร์ 2560; 37(2): 154-159.
รับตน๎ ฉบบั : 12 กรกฎคม 2562, ได๎รับบทความปรบั ปรุง: 14 มกราคม 2563, รบั ลงตีพมิ พ:์ 17 มกราคม 2563
10
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
การศึกษาผลการปฏบิ ตั งิ านตามมาตรฐานบรกิ ารการพยาบาลและการผดงุ ครรภข์ องพยาบาลวิชาชีพ
ท่ีดแู ลผู้รับบริการต่างด้าว
ธวชั ชัย ยนื ยาว อาจารยพ์ ยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรุ นิ ทร์
จฬุ ารตั น์ หา๎ วหาญ อาจารย์พยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรุ นิ ทร์
บทคดั ยอ่
การวิจยั ครัง้ นีเ้ ป็นการวจิ ัยเชงิ พรรณนา(Descriptive Research)มวี ัตถปุ ระสงค์เพอ่ื ศึกษาผลการปฏิบัติงาน
ตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ของพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผ๎ูรับบริการตํางด๎าว ตัวอยําง คือ
พยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบัติงานด๎านการดูแลผ๎ูรับบริการตํางด๎าวที่ปฏิบัติงานโรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบล
โรงพยาบาลชมุ ชน โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลเอกชนในจงั หวัดสุรนิ ทร์ จานวน 152 คน คดั เลอื กตัวอยํางสุํม
ตัวอยํางแบบเจาะจง (Purposive sampling) และกาหนดสัดสํวนตัวอยํางตามร๎อยละของจานวนตัวอยํางทั้งหมด
ตามสถานบริการสุขภาพที่พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงาน เก็บข๎อมูลด๎วยแบบสอบถามข๎อมูลสํวนบุคคลและ
แบบสอบถามเก่ียวผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ วิเคราะห์ข๎อมูลโดยใช๎
สถิติพรรณนาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุง
ครรภ์กับปัจจัยด๎านบุคคลของพยาบาลวิชาชีพท่ีดูแลผ๎ูรับบริการตํางด๎าวด๎วยสถิติไคสแควร์ (Pearson's chi-
squared test)
ผลการศึกษา พบวํา ตัวอยํางสํวนใหญํเป็นเพศหญิง (ร๎อยละ 91.40) มีอายุระหวําง 22-59 ปี (M=37.34,
SD=10.71) สถานภาพสมรสคูํ ร๎อยละ 55.30 การศึกษาระดับปริญญาตรีเป็นสํวนมาก (ร๎อยละ 95.40) รายได๎
ระหวําง 14,000–55,000 บาท (M=28,848.88, SD=17.01) มอี ายุงานระหวําง 1-37 ปี (M=15.16, SD=10.93)
ระยะเวลาที่ดูแลผ๎ูรับบริการตํางด๎าวระหวําง 1-25 ปี (M=7.50, SD=5.69) สถานที่ทางานสํวนใหญํเป็น
โรงพยาบาลศูนย์ร๎อยละ 50 โดยอยํูกลุํมงานศัลยกรรมสํวนใหญํร๎อยละ 19.70 ด๎านผลการปฏิบัติงานตาม
มาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พบวํา คะแนนสํวนใหญํอยูํในระดับมากโดยมีคําคะแนนอยูํ
ระหวําง 45.00–74.00 คะแนน (M=59.32, SD=5.14) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ของผลการปฏิบัติงานตาม
มาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์กบั ปัจจยั ดา๎ นบุคคลของพยาบาลวิชาชีพที่ดูแลผู๎รับบริการตํางด๎าว
พบวํา สถานท่ีทางานและระยะเวลาดูแลผู๎รับบริการตํางด๎าวมีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐาน
บริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ (2=22.195, p<.001) และ (2=13.533,
p=.001) ตามลาดับ
การศึกษาคร้ังนี้มีขอ๎ เสนอแนะสาหรบั พยาบาลวิชาชีพท่ีดูแลผู๎รับบริการตํางด๎าวต๎องสามารถส่ือสารได๎อยําง
ถูกต๎องครบถ๎วนและให๎การบริการสุขภาพตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ยึดหลักความเอื้อ
อาทรและเคารพศักดศ์ิ รคี วามเป็นมนษุ ย์
คาสาคัญ: มาตรฐานบรกิ ารการพยาบาลและการผดุงครรภ์, ผรู๎ บั บรกิ ารตํางดา๎ ว
Corresponding author: ธวัชชัย ยนื ยาว โทรศัพท์ 095-6089989 E-mail: [email protected]
วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรุ นิ ทร์ 320 ถ.หลักเมือง ต.ในเมอื ง อ.เมือง จ.สรุ ินทร์ 32000
11
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปีที่ 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
A study of Standard Nursing Practice Among nurses who provide nursing care f
or foreign patient
Thawatchai Yeunyow, Boromarajonani College of Nursing, Surin, Thailand
Chularat Howharn, Boromarajonani College of Nursing, Surin, Thailand
Abstract
The aims of this descriptive study were to determine the standard nursing practice among
nurses who provide nursing care for foreigner patients. Samples was 152 nurses whom were
purposive selected from 2,137 nurses who are working in hospital locating in Surin Province
both government and private hospital. Data were collected by structured questions which were
send to three experts for content validity. Questionnaires were test reliability by cronbach’s
alpha. Chi-squared were used to test the relationship between characteristics and standard
nursing practice.
The results were shown that majority of samples were female (91.40%), ages between 22-
59 years (M= 37.34, SD = 10.71), hold a bachelor degree (95.40%), has income between 14,000-
55,000 Baht/month (M=28,848.88). Regarding to the nurse’s roles, years of working as nurse
were 1-37 years (M=15.16, SD=10.93), year of nursing care for foreigner patients were 1-25 years
(M=7.50, SD=5.59). Halves of samples were working at tertiary care hospital in which 19.70%
working in surgery ward. Mean scores of standard nursing practice were at high level (Min-Max
=45.00-74.00, M=59.32, SD=5.14). Moreover, place of working and year of working for providing
nursing care for foreigner patients were statistically positive associated with standing nursing
practice (2=22.195, p<.001) and (2=13.533, p =.001).
The suggestions are that nurses who are providing care for foreigner patients should
providing care with caring and humanized care by communicate clearly and providing health
teaching based on standard nursing practice regulate by nurse organization.
Keywords: Standard Nursing Practice, Foreign patient
12
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
บทนา จากการศึกษาสถานการณ์การให๎บริการสุขภาพ
พระราชบญั ญตั วิ ิชาชีพการพยาบาลและการผดุง กับชาวกัมพูชาที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พบวํา ชาว
กัมพชู ามารับบรกิ ารดา๎ นสุขภาพในสถานบริการสุขภาพ
ครรภ์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2540 ได๎กาหนดบทบาทหน๎าที่ ท้ังของรัฐบาลและเอกชนเพ่ิมมากขึ้น โดยลักษณะ
ของพยาบาลวิชาชีพในการปฏิบัติงาน 3 ด๎าน คือ ด๎าน ประชากรชาวกัมพูชาท่ีมารับบริการ เป็นชาวกัมพูชาท่ี
การบริหารจัดการ ด๎านการปฏิบัติการและด๎านวิชาการ ข๎ามพรมแดนมาใช๎บริการสุขภาพมากที่สุด รองลงมา
เพ่ือผลการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพได๎อยําง เป็นชาวกัมพูชาที่ข้ึนทะเบียนเป็นแรงงานตํางชาติ
ครอบคลุมตามสมรรถนะของวิชาชีพและตามมาตรฐาน ทางานในประเทศไทย ชาวกัมพูชาที่มีถ่ินที่อยูํในพื้นที่
แหํงวิชาชีพ ผลการปฏิบัติการพยาบาลมีปัจจัยที่ บรเิ วณชายแดนในประเทศไทยอยํางถาวรแตํไมํได๎มีเลข
เก่ียวข๎องหลายๆ ปัจจัย ได๎แกํ ความคาดหวังในงาน ประจาตัว 13 หลัก การมารับบริการเป็นรูปแบบผู๎ปุวย
ปฏบิ ตั ิงานและความเป็นจริงในการปฏิบัติงาน1 ซึ่งความ นอกและผู๎ปุวยใน โดยโรคท่ีเป็นสาเหตุของการใช๎
คาดหวังเป็นความเชื่อ เป็นความรู๎สึกนึกคิด ของบุคคล บริการสขุ ภาพเป็นลาดับแรก ได๎แกํ กลํุมการคลอดและ
ที่คาดการณ์ลํวงหน๎าตํอบางสิ่งบางอยํางวําควรจะเป็น การต้ังครรภ์ สํวนโรคอ่ืนๆ ได๎แกํ โรคระบบทางเดิน
หรือควรจะเกิดข้ึน2 ความแตกตํางระหวํางความ หายใจ โรคระบบทางเดินอาหาร และการบาดเจ็บ โดย
คาดหวงั และความเป็นจริงในการปฏิบัติงานสํงผลตํอผล เหตุผลหลักของการมาใช๎บริการ คือ ความสะดวกใน
การปฏบิ ัตงิ านของพยาบาลวิชาชพี การเข๎าถึงบริการ ความม่ันใจตํอการให๎บริการและ
ความรุนแรงของโรค6 จะเห็นได๎วําสถานการณ์การใช๎
ในปีพ.ศ. 2558 ประเทศไทยเข๎ารํวมประชาคม บริการสุขภาพของผู๎ปุวยกัมพูชาในโรงพยาบาลรัฐท่ีอยูํ
เศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: ชายแดนของประเทศไทยมีแนวโนม๎ เพมิ่ มากขน้ึ สํงผลตํอ
AEC) ซึ่งมีแนวโน๎มการเปลี่ยนแปลงสังคมประชากร ระบบการบริการสุขภาพ ภาระงานท่ีเพิ่มข้ึนสํงผลตํอ
การเปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกิจ หรือการประกาศตัวของ การปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการการพยาบาล ซ่ึง
ประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ ศึกษาวจิ ยั เกย่ี วกับมาตรฐานการบริการสุขภาพในกลุํมผู๎
และจะมีการเปิดเสรีเก่ียวกับอาชีพการบริการใน 8 บ ริ ก า ร สุ ข ภ า พ ตํ า ง ด๎ า ว พ บ วํ า ยั ง ไ มํ มี ผู๎ ศึ ก ษ า วิ จั ย
วิชาชีพ ซ่ึง 1 ใน 8 วิชาชีพน้ันคือพยาบาล นโยบาย การศึกษาผลของการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการ
ดังกลําวทาให๎เกิดความเปล่ียนแปลงของระบบการ การพยาบาลและความสัมพนั ธ์ระหวํางปัจจัยสํวนบุคคล
ให๎บริการทางสาธารณสุขในประเทศ3 ดังเชํน จานวน ของพยาบาลทใ่ี หบ๎ รกิ ารการพยาบาลแกํผู๎รับบริการตําง
ผู๎รับบริการที่เป็นชาวตํางประเทศท่ีมารับบริการด๎าน ด๎าวกับผลของการปฏิบัติงานตามมาตรฐานการบริการ
สุขภาพในประเทศไทยเพ่ิมมากขึน้ การพยาบาล จะได๎ข๎อมูลท่ีเป็นประโยชน์ในด๎านการ
พัฒนาระบบบริการสุขภาพและคุณภาพการบริการ
จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดหน่ึงทางภาคตะวัน สุขภาพให๎สอดคล๎องกับกลํุมผ๎ูรับบริการและเกิดการ
ออกเฉียงเหนือ มีพ้ืนที่ทางทิศใต๎ติดกับราชอาณาจักร พั ฒ น า ร ะ บ บ บ ริ ก า ร สุ ข ภ า พ ท่ี มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ แ ล ะ
กัมพูชา (Kingdom of Cambodia) มีจดุ ผํานแดนถาวร ประสิทธิผลตํอไป
ชํองจอม พื้นที่ของไทยตาบลดําน อาเภอกาบเชิง พ้ืนท่ี
ของกมั พชู า ตาบลโอร์เสม็ด อาเภอสาโรง จังหวัดอุดรมี
ชัย4 มีประชากร 1,399,353 คน มีสถานบริการสุขภาพ
ท่ีเป็นหนํวยงานราชการ ได๎แกํ โรงพยาบาลศูนย์ 1 แหํง
โรงพยาบาลชมุ ชน 16 แหงํ โรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพ
ตาบล 210 แหํง และโรงพยาบาลเอกชน 2 แหํง มี
พยาบาลวชิ าชีพ 2,157 คน5
13
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ่ี 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย บุญชม ศรีสะอาด11,12 ได๎ผลการปฏิบัติงานตามมาตร
1. เพอื่ ศึกษาผลของการปฏิบตั งิ านตามมาตรฐาน ฐานบรกิ ารการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ดงั น้ี
บริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ของพยาบาล คะแนน 55.01 – 75.00 การแปลผล ระดบั มาก
วชิ าชพี ท่ีดแู ลผู๎รับบริการตํางด๎าว คะแนน 35.01 – 55.00 การแปลผล ระดับปานกลาง
คะแนน 15.00 – 35.00 การแปลผล ระดับนอ๎ ย
2. เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ของผลการปฏิบัติงาน
ตามมาตรฐานบรกิ ารการพยาบาลและการผดุงครรภ์กับ การวิจัยคร้ังนี้ ผู๎วิจัยจะนาเครื่องมือไปดาเนิน
ปัจจัยด๎านบุคคลของพยาบาลวิชาชีพท่ีดูแลผ๎ูรับบริการ การทดลองใช๎กบั พยาบาลวิชาชีพที่มีคุณสมบัติใกล๎เคียง
ตํางด๎าว กลุํมตัวอยําง จานวน 30 คน ได๎คําสัมประสิทธ์ิคอน
ขอบเขตการวจิ ยั บ ร า ค แ อ ล ฟ า (Cronbach’s alpha coefficient)
เทาํ กับ 0.93
ก า ร วิ จั ย ค ร้ั ง นี้ เ ป็ น ก า ร วิ จั ย เ ชิ ง พ ร ร ณ น า จรยิ ธรรมในการวิจัย
(Descriptive Research) โดยตัวอยํางในการวิจัยคร้ังน้ี
เ ป็ น พ ย า บ า ล วิ ช า ชี พ ที่ ป ฏิ บั ติ ง า น ด๎ า น ก า ร ดู แ ล ก า ร วิ จั ย ค ร้ั ง น้ี ไ ด๎ รั บ ก า ร อ นุ มั ติ จ า ก
ผ๎ูรับบริการตํางด๎าวท่ีปฏิบัติงานโรงพยาบาลสํงเสริม คณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในของ
สุขภาพตาบล โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์และ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สุรินทร์ เลขท่ี P-EC10-
โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดสุรินทร์ ดาเนินการวิจัย 01-61 ลงวนั ที่ 6 มกราคม 2561 ผู๎วจิ ยั ขอใหผ๎ ู๎รวํ มวิจัย
ระหวํางเดือนพฤษภาคม 2560 ถงึ เดือนเมษายน 2561 ลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรตามความสมัครใจ และผู๎
เครอ่ื งมือการวจิ ยั รํวมวิจัยได๎รับการช้ีแจงวํา สามารถยกเลิกการเข๎ารํวม
วิจัยได๎ตลอดเวลา โดยไมํมีผลกระทบตํอการดูแลรักษา
1. แบบสอบถามข๎อมูลลักษณะสํวนบุคคล ผ๎ูวิจัย และข๎อมูลของผ๎ูรํวมวิจัย จะนาเสนอในเชิงวิชาการโดย
ได๎ดัดแปลงจากแบบสอบถามข๎อมูลลักษณะสํวนบุคคล ภาพรวมเทํานั้น
ของสกุ ญั ญา เพม่ิ บญุ 1 มจี านวนขอ๎ คาถาม 7 ข๎อ เป็นข๎อ วิธกี ารดาเนนิ การวิจยั
ค า ถ า ม แ บ บ ใ ห๎ เ ลื อ ก ต อ บ แ ล ะ เ ติ ม ค า ใ น ชํ อ ง วํ า ง
ประกอบด๎วย เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการ ประชากรท่ีศึกษา คือ พยาบาลวิชาชีพท่ี
ศึกษา อายุการปฏิบัติงาน รายได๎ สถานท่ีปฏิบัติงาน ปฏบิ ตั ิงานด๎านการดูแลผู๎รับบริการตํางด๎าวท่ีปฏิบัติงาน
โดยการตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหา (Validity) จาก โรงพยาบาลสํงเสริมตาบล โรงพยาบาลชุมชน
ผ๎ทู รงคุณวฒุ ิ 3 ทําน ไดค๎ ํา CVI เทํากบั 1 โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัด
สรุ นิ ทร์ จานวน 2,137 คน
2. แบบสอบถามเก่ียวการปฏิบัติงานตาม
มาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ผู๎วิจัย กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบัติงาน
ใช๎แบบสอบถามของสุกัญญา เพิ่มบุญ1 ซ่ึงสร๎างขึ้นจาก ด๎านการดูแลผ๎ูรับบริการตํางด๎าวด๎านการสํงเสริม
แนวคิดบทบาทหน๎าที่รับผิดชอบของพยาบาลที่ปฏิบัติ สุขภาพ ปูองกันการเจ็บปุวย รักษาพยาบาล และการ
งานในโรงพยาบาล7 ข๎อคาถามเป็นแบบให๎เลือกตอบ ฟ้ืนฟูหลังจากการเจ็บปุวย ตลอดจนการให๎คาแนะนา
ตามระดับคะแนน 5 ระดับ (Rating scale) จานวน 15 สุขภาพตํางๆ ที่ปฏิบัติงานโรงพยาบาลสํงเสริมตาบล
ขอ๎ ดงั น้ันคะแนนที่เป็นได๎คอื 15-75 คะแนน โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาล
เอกชนในจังหวัดสุรินทร์ จานวน 152 คน ท่ีมีคุณสมบัติ
การแปลผล ตามเกณฑ์คัดเข๎าและเกณฑค์ ดั ออก ดงั นี้
มีกาหนดชํวงคะแนนมาตรฐานแตํละระดับโดย
แบงํ เปน็ ระดบั มาก ปานกลาง นอ๎ ย ตามการแบํงของ
14
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
เกณฑ์คัดเขา๎ (Inclusion Criteria) ท้ังสิ้น 152 คน จากน้ันสํุมตัวอยํางแบบเจาะจง
1. เป็นผู๎ท่ีสาเร็จการศึกษาหลักสูตรพยาบาลศา (Purposive sampling) และกาหนดสัดสํวนตัวอยําง
สตรบัณฑิตหรือประกาศนียบัตรพยาบาลศาสตร์ ตามร๎อยละของจานวนตัวอยํางท้ังหมดตามสถาน
เทียบเทําปริญญาตรี หรือหลักสูตรพยาบาลศตรบัณฑิต บริการสุขภาพที่พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติงาน ได๎แกํ
ตํอเนื่อง 2 ปี เป็นผ๎ูที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพการ โรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบลจานวนร๎อยละ 10
พยาบาลและผดุงครรภช์ ัน้ หนงึ่ โรงพยาบาลชุมชนจานวนร๎อยละ 15 โรงพยาบาลศูนย์
2. ปฏิบัติงานพยาบาลในโรงพยาบาลสํงเสริม จานวนร๎อยละ 50 และโรงพยาบาลเอกชนจานวนร๎อย
สุขภาพตาบล โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์และ ละ 25 โดยเก็บข๎อมูลจากตัวอยํางที่ปฏิบัติหน๎าที่แผนก
โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดสุรินทร์ โดยปฏิบัติงานท่ี ผูป๎ ุวยนอกและแผนกผปู๎ วุ ยใน
แผนกผู๎ปวุ ยนอกและแผนกผ๎ูปุวยใน ตงั้ แตํ 1 ปีข้ึนไป การเกบ็ รวมรวมขอ้ มลู
3. มีประสบการณ์การดูแลผู๎รับบริการตํางด๎าว
ด๎านการสํงเสริมสุขภาพ ปูองกันการเจ็บปุวย รักษา ผู๎วิจัยเก็บข๎อมูลจากซักถามจากแบบสอบถาม
พยาบาล และการฟ้ืนฟูหลังจากการเจ็บปุวย ตลอดจน จ า ก พ ย า บ า ล วิ ช า ชี พ ที่ ป ฏิ บั ติ ง า น ด๎ า น ก า ร ดู แ ล
การใหค๎ าแนะนาสขุ ภาพตํางๆ ผู๎รับบริการตํางด๎าวที่ปฏิบัติงานโรงพยาบาลสํงเสริม
4. สามารถส่ือสารภาษากัมพูชากับผ๎ูรับบริการ ตาบล โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์และ
สขุ ภาพตาํ งดา๎ วได๎ โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดสุรินทร์ โดยใช๎ระยะเวลา
เกณฑค์ ดั ออก (Exclusion Criteria) ในการเกบ็ ขอ๎ มลู 30–45 นาทีตํอคน
1. ได๎รับการวินิจฉัยวําเจ็บปุวยด๎วยโรครุนแรง การวิเคราะหข์ ้อมูล
หรอื โรคทางจิตและการรับรู๎
การคดั เลือกกลุ่มตัวอย่างและขนาดตวั อยา่ ง การวจิ ัยครงั้ น้ีมีการวิเคราะหข์ อ๎ มูลเปน็ 2 สํวน ดังน้ี
ผ๎ูวิจัยใช๎การกาหนดตัวอยํางด๎วยโปรแกรม สถติ เิ ชงิ บรรยาย (Descriptive Statistics)
สาเร็จรูป G*power ของ Faul, F., Erdfelder, E., 1.1 วิเคราะห์ข๎อมูลลักษณะสํวนบุคคล โดยการ
Lang, A.-G., และ Buchner8,9 โดยกาหนดระดับความ
เชื่อม่ัน (α) ที่ .05 อานาจการทดสอบ (Power of แจกแจงความถ่ี (Frequency) ร๎อยละ (Percentage)
test) เทํากับ .95 และขนาดอิทธิพล (Effect size) คําเฉล่ีย (Mean) และสํว น เบี่ยงเบนมาตรฐา น
เทํากับ .307 ซ่ึงเป็นขนาดอิทธิพลที่น๎อยท่ีสุดจากตัว (Standard Deviation)
แปรที่ศึกษาทั้งหมด ได๎จากการศึกษาวิจัยของสุกัญญา
เพิ่มบุญ1 ที่ศึกษาความคาดหวังและความเป็นจริงใน 1.2 วิเคราะห์ข๎อมูลผลการปฏิบัติงานตาม
การปฏบิ ตั ิงานกบั ผลการปฏบิ ตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ มาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ของ
ในโรงพยาบาลศรีสะเกษ และได๎คานวณตามสูตรการ พยาบาลวชิ าชีพโดยคาํ เฉลี่ย (Mean) และสวํ นเบ่ยี งเบน
คานวณโดยใช๎โปรแกรม G*power ตามลักษณะการ มาตรฐาน (Standard Deviation)
คานวณของนงลักษณ์ วิรัชชัย10 ได๎ขนาดตัวอยําง 127
คน และเพื่อปูองกันการขาดหายของตัวอยํางจึงได๎เพิ่ม สถติ ิเชงิ อนุมาน (Inferential Statistics)
ขนาดตัวอยํางอีกร๎อยละ 20 (25 คน) จึงมีตัวอยําง 2.1 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหวํางการปฏิบัติ
งานตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุง
ครรภ์ของพยาบาลวิชาชีพกับปัจจัยด๎านบุคคลโดยการ
ทดสอบไควสแควร์ (Pearson’s chi-square test)
2.2 การวิจัยคร้ังนี้กาหนดระดับความมีนัยสาคัญ
ทางสถิติ (Level of Significance) ที่ระดับ p<.05
15
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ่ี 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
ผลการวิจัย ตารางที่ 1 ขอ้ มลู ส่วนบคุ คล (N=152) (ต่อ)
1. ข้อมูลส่วนบุคคล ตัวอยํางจานวน 152 คน
ข้อมูล พสิ ัย ค่าเฉล่ีย จานวน ร้อยละ
พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานด๎านการดูแลผ๎ูรับบริการ สว่ นบคุ คล (สว่ น
ตํ า ง ด๎ า ว ท่ี ป ฏิ บั ติ ง า น โ ร ง พ ย า บ า ล สํ ง เ ส ริ ม ต า บ ล เบ่ียงเบน 32 21.10
โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาล รายได้ต่อ 14,000 28,848.88 57 37.50
เอกชนในจังหวัดสุรินทร์ เป็นเพศหญิงมากกวําครึ่ง เดือน (บาท) - (17.01) 35 23.00
(ร๎อยละ 91.40) มีอายุระหวําง 22-59 ปี อายุเฉลี่ย 20 13.20
37.34 ปี (SD=10.71) สถานภาพสมรสคํู ร๎อยละ 10,000- 55,000 15.16 8 5.30
55.30 การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรเี ป็นสํวนมาก (ร๎อยละ 19,999 (10.93)
95.40) รายได๎เฉลี่ย 28,848.88 บาท รายได๎ระหวําง 20,000- 7.50 57 37.50
14,000–55,000 บาท (SD=17.01) อายุงานเฉลี่ย 29,999 (5.69) 39 25.70
15.16 ปี มีอายุงานระหวําง 1-37 ปี (SD=10.93) 30,000- 34 22.40
ระยะเวลาที่ดูแลผู๎รับบริการตํางด๎าวเฉล่ีย 7.50 ปี 39,999 22 14.50
ระยะเวลาที่ดูแลผ๎ูรับบริการตํางด๎าวระหวําง 1-25 ปี 40,000 -
(SD=5.69) สถานที่ทางานสํวนใหญํเป็นโรงพยาบาล 49,999 65 42.80
ศูนย์ร๎อยละ 50 โดยปฏิบัติงาน ณ กลุํมงานศัลยกรรม 50,000 50 32.90
มากทีส่ ุด (ร๎อยละ 19.70) (ตารางท่ี 1) ขึน้ ไป 1-37 37 24.30
ตารางที่ 1 ข้อมูลสว่ นบคุ คล (N=152) อายุงาน 15 9.90
(ปี)
น๎อยกวาํ 10
10-19
ค่าเฉล่ีย 20-29
ขอ้ มลู พสิ ยั (ส่วน จานวน รอ้ ยละ 30 ขน้ึ ไป
ส่วนบคุ คล เบ่ียงเบน
มาตรฐาน) ระยะเวลา 1-25
ดูแลผรู้ บั
เพศ 139 91.40 บรกิ าร
ชาย 13 8.60 ต่างด้าว
หญงิ
66 43.40 น๎อยกวาํ 5 ปี
อายุ (ป)ี 84 55.30
22-59 37.34 2 1.30 5-9 ปี
(10.71)
สถานภาพสมรส 145 95.40 10 ปี ขนึ้ ไป
โสด 7 4.60
คํู สถานท่ที างาน
หมา๎ ย/หยําร๎าง
โรงพยาบาลสํงเสริม
ระดับการศึกษา
ปรญิ ญาตรี โรงพยาบาลชุมชน 23 15.10
ปรญิ ญาโท โรงพยาบาลศนู ย์ 76 50.00
โรงพยาบาลเอกชน 38 25.00
16
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ตารางที่ 1 ขอ้ มลู ส่วนบุคคล (N=152) (ต่อ) 3. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของผลการ
ปฏบิ ัติงานตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและการ
ข้อมูล พิสยั คา่ เฉลี่ย จานวน รอ้ ยละ ผดุงครรภ์กับปัจจัยด้านบุคคลของพยาบาลวิชาชีพท่ี
สว่ นบคุ คล (ส่วน ดแู ลผู้รบั บรกิ ารต่างดา้ ว
เบ่ยี งเบน 15 9.90
ด๎านความสัมพันธ์ของผลการปฏิบัติงานตาม
กล่มุ งาน 21 13.80 มาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์กับ
โรงพยาบาล 20 13.20 ปัจจัยด๎านบุคคลของพยาบาลวิชาชีพท่ีดูแลผู๎รับบริการ
สํงเสริมสุขภาพ ตํางด๎าวด๎วยสถิติไคสแควร์ (Chi-square test) พบวํา
ตาบล 6 3.90 สถานท่ีทางานและระยะเวลาดูแลผ๎ูรับบริการตํางด๎าวมี
แผนกผป๎ู วุ ยนอก 3 2.00 ความสมั พันธ์กับผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการ
แผนกอุบตั ิเหตุ 11 7.20 การพยาบาลและการผดุงครรภ์อยํางมีนัยสาคัญทาง
และฉกุ เฉิน 7 4.60 สถิติ (2=22.195, p<.001; effect size=1.26) และ
ห๎องผาํ ตดั 1 0.70
วิสัญญพี ยาบาล 11 7.20 (2=13.533, p=.001; effect size=.98) ตามลาดับ
แผนกผป๎ู วุ ยหนกั 7 4.60 (ตารางที่ 3)
ห๎องคลอด 20 13.20
แผนกฝากครรภ์ 30 19.70 ตารางที่ 3 ผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการ
สตู นิ รเี วช การพยาบาลและการผดุงครรภ์กับสถานที่ทางานของ
กมุ ารเวชกรรม พยาบาลวิชาชพี ทดี่ แู ลผรู้ บั บริการต่างด้าว (N= 152)
อายุรกรรม
ศลั ยกรรม ปจั จยั ด้าน ผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบรกิ าร
บุคคลของ การพยาบาลและการผดงุ ครรภ์
พยาบาล ระดับมาก ระดบั
วิชาชพี ท่ี N= 152 (55.01- ปานกลาง
ดูแลผูร้ ับ (100%) 75.00 (35.01-55.00
2. ผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการการ บริการ คะแนน) คะแนน) 2 p
พยาบาลและการผดงุ ครรภ์ ต่างดา้ ว
(จานวน (จานวน=19)
ด๎านผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการ =133) (ร้อยละ)
การพยาบาลและการผดุงครรภ์ พบวํา คําเฉลี่ยคะแนน (รอ้ ยละ)
เทํากับ 59.32 คะแนนอยํูระหวําง 45.00–74.00 22.195 <.001
คะแนน (S.D.=5.14) และพบวําคะแนนสํวนใหญํอยูํใน สถานที่ทางาน
ระดับมาก ร๎อยละ 87.50 (ตารางที่ 2)
รพสต. 38 35 3
และรพช. (25%)
76 73 3
รพศ. (50%)
รพ. 38 25 13
เอกชน (25%)
ตารางท่ี 2 ผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการ 13.553 .001
การพยาบาลและการผดงุ ครรภ์ (N=152) ระยะเวลาดูแลผูร้ บั บริการต่างด้าว
นอ๎ ยกวาํ 55 41 14
5 ปี
5-9 ปี 60 56 4
ผลการปฏบิ ัติงานตาม คา่ เฉลยี่
มาตรฐานบริการการ พิสัย (สว่ นเบย่ี งเบน จานวน รอ้ ยละ 10 ปี 37 36 1
พยาบาลและการผดุงครรภ์ มาตรฐาน) ข้นึ ไป
ผลการปฏิบัติงานตาม 45.00- 59.32 การอภปิ รายผล
มาตรฐานบริการการ 74.00 (SD=5.14) จากการศึกษาวิจัยนี้พบวําเป็นเพศหญิงมากกวํา
พยาบาลและการผดงุ ครรภ์
คร่ึง (ร๎อยละ 91.40) มีอายรุ ะหวําง 22-59 ปี อายุเฉลี่ย
ระดบั คะแนน 133 87.50
ระดับมาก (55.01 – 75.00) 19 12.50
ระดับปานกลาง (35.01 – 55.00)
17
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ่ี 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
37.34 ปี (S.D.=10.71) สถานภาพสมรสคํู ร๎อยละ การผดุงครรภ์ของพยาบาลท่ีดูแลผู๎รับบริการสุขภาพ
55.30 การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรเี ป็นสํวนมาก (ร๎อยละ ตํางดา๎ วจงึ มคี ะแนนในระดับสูง
95.40) รายได๎เฉลี่ย 28,848.88 บาท รายได๎ระหวําง บทสรปุ และข้อเสนอแนะ
14,000-55,000 บาท (S.D.=17.01) ซึ่งสอด คล๎องกับ
การศึกษาของสุกัญญา เพิ่มบุญ1 ศึกษาเกี่ยว กับความ ผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการการ
คาดหวังและความเป็นจริงในการปฏิบัติงานกับผลการ พยาบาลและการผดงุ ครรภ์ พบวํา สํวนใหญํอยํูในระดับ
ปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชพี ในโรงพยาบาลศรีสะเกษ มาก และยังพบวํา สถานที่ทางานและระยะเวลาดูแล
ผู๎รับบรกิ ารตาํ งด๎าวมีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงาน
ด๎านผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการการ ตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์
พยาบาลและการผดุงครรภ์ พบวํา คําเฉลี่ยคะแนน อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ ด๎วยคําขนาดอิทธิพลใหญํ
เทาํ กับ59.32คะแนนอยํูระหวําง 45.00-74.00 คะแนน ดังนั้นการมอบหมายพยาบาลในการดูแลผู๎รับบริการ
(S.D.=5.14) และพบวําคะแนนสํวนใหญํอยํูในระดับ ตํางด๎าว น้ันคว รคานึงถึงสถานท่ีโ ดยใช๎วิธีการ
มาก ร๎อยละ 87.50 ซ่ึงสอดคล๎องกับการศึกษาของสุรี ประสานงานและสํงตํอการรับบริการให๎เหมาะสม
พร ด ว งสุ ว รรณ์แล ะคณะ 13 ที่ศึ กษาเ ก่ียว กั บ นอกจากน้ันต๎องคานึงถังระยะเวลาในการปฏิบัติงาน
ความสัมพันธ์ระหวํางสมรรถนะในการปฏิบัติงานกับ ของพยาบาลวิชาชพี ดว๎ ย นอกจากนั้นพยาบาลวิชาชีพที่
คุณภาพการพยาบาลของพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาล ดูแลผู๎รับบริการตํางด๎าวต๎องสามารถส่ือสารได๎อยําง
ระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ เขตตรวจราชการ กระทรวง ถูกตอ๎ งครบถว๎ นและใหก๎ ารบรกิ ารสขุ ภาพตามมาตรฐาน
สาธารณสุขที่ 17 บริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ ยึดหลักความ
เอ้ืออาทรและเคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ตลอด
ด๎านความสัมพันธ์ของผลการปฏิบัติงานตาม เข๎าใจถึงวัฒนธรรมประเพณี ความเช่ือด๎านจิตวิญญาณ
มาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์กับ และความเชื่อด๎านสุขภาพของผู๎รับบริการตํางด๎าว เพ่ือ
ปัจจัยด๎านบุคคลของพยาบาลวิชาชีพท่ีดูแลผู๎รับบริการ ตอบสนองความต๎องการดา๎ นบรกิ ารสขุ ภาพตํอไป
ตํางด๎าวด๎วยสถิติไคสแควร์ (Chi-square test) พบวํา เอกสารอา้ งอิง
สถานท่ีทางานและระยะเวลาดูแลผ๎ูรับบริการตํางด๎าวมี
ความสัมพนั ธ์กับผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการ 1. สุกัญญา เพิ่มบุญ. ความคาดหวังและความ
การพยาบาลและการผดุงครรภ์อยํางมีนัยสาคัญทาง เป็นจริงในการปฏิบัติงานกับผลการปฏิบัติงานของ
สถิติ (2=22.195, p<.001) และ (2=13.533, พ ย า บ า ล วิ ช า ชี พ ใ น โ ร ง พ ย า บ า ล ศ รี ส ะ เ ก ษ .
p=.001) ตามลาดับ ซ่ึงกลําวได๎วํา โรงพยาบาลของ [วิทยานิพนธ์]. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิ
รัฐบาลมีคะแนนผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการ ราช; 2556.
การพยาบาลและการผดุงครรภ์มากกวําโรงพยาบาล
เอกชน เนื่องจาก โรงพยาบาลของรัฐมีมาตรฐาน 2 . Sally, W. Oxford Advanced Learner's
คุณภาพทางการพยาบาลมาควบคุมกากับหลายระบบ Dictionary.Oxford:OxfordUniversityPress; 2000.
และมีนโยบายที่ชัดเจนทาให๎ผลการปฏิบัติงานตาม
มาตรฐานบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ของ 3. อรณุ รตั น์ คันธา. ผลกระทบและทางออกของ
พยาบาลที่ดูแลผ๎ูรับบริการสุขภาพตํางด๎าวจึงมีคะแนน การขาดแคลนกาลงั คนทางการพยาบาลในประเทศไทย.
ในระดับสูง และระยะเวลาที่ดูแลผ๎ูรับบริการตํางด๎าว Journal of Nursing Science 2557; 32(1), 81-90.
คือ พยาบาลที่มีประสบการณ์การดูแลผ๎ูรับบริการตําง
ด๎าวท่ีมากขึ้น มีประสบการณ์ท่ีหลากหลาย ทาให๎ผล 4. สานักการสํงเสริมการปกครองท๎องถ่ินจังหวัด
การปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและ สุรินทร์. ข๎อมูลจังหวัดสุรินทร์. [อินเทอร์เน็ต]. 2560.
เ ข๎ า ถึ ง ไ ด๎ จ า ก : http://surinlocal.go.th/public/
history/data/index/menu/22
18
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
5. สานักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์. ข๎อมูล 13. สุรีพร ดวงสุวรรณ์. ความสัมพันธ์ระหวําง
หนํวยงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์. [อินเทอร์เน็ต]. สมรรถนะในการปฏบิ ัตงิ านกบั คณุ ภาพการพยาบาลของ
2559. เข๎าถึงได๎จาก: http://www.surinpho.go.th/ พยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลระดับทุติยภูมิและตติยภูมิ
SPHO/ เขตตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุขที่ 17. ว.
พยาบาลและสขุ ภาพ 2554; 5(2): 67-77.
6. สุวารี เจริญมุขยนันท, ถาวร สกุลพาณิชย์,
พัชนี ธรรมวันนา, อนุชิต สวํางแจ๎ง, ณัฐธิดา สุข
เรืองรอง. การศึกษาสถานการณ์การให๎บริการสุขภาพ
กับชาวกัมพูชาที่ชายแดนไทย-กัมพูชา : กรณีศึกษา
จังหวัดสระแก๎ว จันทบุรี และตราด กระทรวง
สาธารณสุข ปี 2556. สานักงานวิจัยเพ่ือการพัฒนา
หลักประกันสุขภาพไทย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
กระทรวงสาธารณสขุ ; 2556.
7. พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541.
การปฏิบัติงานตามมาตรฐานบริการการพยาบาลและ
การผดุงครรภ์; 2541.
8 . Faul, F., Erdfelder, E., Lang, A.-G., &
Buchner, A. G*Power 3 : A flexible statistical
power analysis program for the social, behav-
ioral, and biomedical sciences. Behavior Re-
search Methods 2007; 39: 175-191.
9 . Faul, F., Erdfelder, E., Buchner, A., &
Lang, A.-G. Statistical power analyses using
G*Power 3.1: Tests for correlation and regres-
sion analyses. Behavior Research Methods
2009; 41: 1149-1160.
10. นงลักษณ์ วิรัชชัย. วิธีการท่ีถูกต๎องและ
ทันสมัยในการกาหนดขนาดตัวอยําง. กรุงเทพฯ:
สานักงานคณะกรรมการวจิ ัยแหงํ ชาติ; 2555.
11. บุญชม ศรีสะอาด.วิจัยเบ้ืองต๎น. พิมพ์คร้ังท่ี
7. กรงุ เทพฯ: สุรวี ิยาสาส์น; 2545.
12. บุญชม ศรีสะอาด. วีธีการสถิติสาหรับการ
วจิ ัย. พิมพค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ: สรุ ีวยิ าสาส์น; 2542.
รับต๎นฉบับ: 6 ธันวาคม 2562, ไดร๎ บั บทความปรบั ปรงุ : 28 กมุ ภาพนั ธ์ 2563, รับลงตีพิมพ:์ 2 มีนาคม 2563
19
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบับท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
แบบแผนการดาเนนิ ชวี ิตของผปู้ ่วยเบาหวาน: การศึกษาเปรียบเทยี บกล่มุ ท่คี วบคุมระดบั นา้ ตาลในเลอื ดได้ดีและกลุ่มที่
ควบคุมระดับนา้ ตาลในเลือดไมไ่ ด้ โรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพตาบลเชียงยนื อาเภอเมอื ง จงั หวัดอดุ รธานี
กาญจนา ปัญญาธร อาจารยค์ ณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชธานี วิทยาเขตอดุ รธานี
เสาวลักษณ์ ทาแจง๎ อาจารย์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชธานี วิทยาเขตอดุ รธานี
วัลภา ศรีบญุ พมิ พส์ วย อาจารยว์ ทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี
ชลการ ทรงศรี อาจารย์วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี อุดรธานี
บทคดั ย่อ
การวจิ ัยแบบ Mixed Methodology นี้ มีวัตถปุ ระสงคเ์ พ่อื เปรียบเทียบแบบแผนการดาเนนิ ชวี ิตของผปู๎ ุวยเบาหวาน
ประเภทที่ 2 ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาลสงํ เสริมสุขภาพตาบลเชยี งยืน อาเภอเมือง จงั หวัดอดุ รธานี กลมํุ ตัวอยาํ งไดม๎ า
แบบเฉพาะเจาะจงแบํงเป็น 2 กลุํม คือ กลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดี คือมีระดับน้าตาลในเลือดระหวําง 80-130
มิลลกิ รัมตอํ เดซลิ ิตรนานตดิ ตํอกัน 6 เดือนขน้ึ ไปจานวน 13 คนและกลุํมควบคมุ ระดบั น้าตาลในเลือดไมํได๎ คอื มีระดบั น้าตาล
ในเลอื ดมากกวํา 180 mg% นานติดตํอกนั 6 เดอื นขึน้ ไป จานวน 21 คน เกบ็ ขอ๎ มลู โดยการสัมภาษณ์ผู๎ปุวยเบาหวานที่บ๎าน
โดยใชเ๎ คร่อื งมือทผ่ี ู๎วจิ ยั สร๎างขน้ึ ตรวจสอบคณุ ภาพของเครอื่ งมอื โดยใหผ๎ ๎ู เชยี่ วชาญตรวจสอบได๎คําดัชนีความสอดคล๎องของ
ข๎อคาถาม เทํากับ 0.68 และทดลองใช๎กับผ๎ูปุวยเบาหวาน 5 คน เก็บรวบรวมข๎อมูลระหวํางเดือนมกราคมถึงมีนาคม
พ.ศ. 2561 วิเคราะหข์ อ๎ มูลใชส๎ ถติ ิเชงิ พรรณนาและการวิเคราะห์เนือ้ หา
ผลการวจิ ัยพบวาํ (1) คณุ ลกั ษณะสวํ นบคุ คลและภาวะสขุ ภาพ ทั้งสองกลุํมมีคุณลักษณะแตกตํางกันโดยกลุํมควบคุม
ระดบั นา้ ตาลในเลือดไดด๎ ีสวํ นใหญํมีอายรุ ะหวาํ ง 61-70 ปี จบการศึกษาระดบั ประถมศึกษา สํวนกลํุมควบคุมระดบั นา้ ตาลใน
เลือดไมํได๎สวํ นใหญมํ ีอายรุ ะหวําง 51-60 ปี และไมไํ ด๎เรียนหนังสือร๎อยละ 14.3 ภาวะสุขภาพ กลํุมควบคุมระดับน้าตาลใน
เลือดได๎ดที ุกคนชวํ ยเหลอื ตัวเองได๎ มีระดบั นา้ ตาลในเลือดในเกณฑป์ กตแิ ละไมเํ คยนอนโรงพยาบาลด๎วยอาการหมดสติ สํวน
กลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎ชํวยเหลือตัวเองได๎น๎อยร๎อยละ 14.3 มีระดับน้าตาลในเลือดสูงระหวําง 180-250
mg% ร๎อยละ 76.2 และ 250 mg% ข้ึนไปร๎อยละ 23.8 เคยนอนโรงพยาบาลด๎วยอาการหมดสติร๎อยละ 33.3 (2) ลักษณะ
ครอบครัว ท้ังสองกลํุมอาศัยอยํูในครอบครัวขยาย มีสมาชิก 4-6 คนสํวน กลุํมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎มีสมาชิก
ครอบครวั ปวุ ยเรือ้ รังต๎องดูแลรอ๎ ยละ 19.1 (3) แรงสนบั สนนุ จากครอบครวั และสงั คม กลุํมควบคุมระดับ น้าตาลในเลือดได๎ดี
ร๎อยละ 76.9 มีครอบครัวดูแลดี สํวนกลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎ ได๎รับการดูแลที่ดีจากครอบครัวเพียงร๎อยละ
66.7 (4) แบบแผนการดาเนินชีวิต กลํมุ ควบคมุ ระดับนา้ ตาลในเลือดได๎ดมี ีแบบแผนการดาเนนิ ชวี ิตทดี่ กี วาํ โดยควบคมุ อาหาร
ร๎อยละ 84.6 ออกกาลังกายประจาร๎อยละ 84.6 พักผํอนเพียงพอร๎อยละ 69.2 จัดการความเครียดเหมาะสมร๎อยละ 76.9
ดูแลเท๎าสม่าเสมอร๎อยละ 69.2 รับประทานยาถูกต๎องร๎อยละ 84.6 และไปตรวจตามนัดร๎อยละ 76.9 ซ่ึงมากกวํากลํุมที่
ควบคุมไมไํ ด๎ท่ดี ูแลสุขภาพโดยไมํคุมอาหารร๎อยละ 71.4 ไมํไดอ๎ อกกาลงั กายเปน็ ประจารอ๎ ยละ 85.7 พกั ผํอนไมํเพียงพอร๎อย
ละ 42.9 จัดการความเครียดไมํเหมาะสมร๎อยละ 30.4 ไมํดูแลเท๎าสม่าเสมอร๎อยละ 66.7 รับประทานยาไมํถูกต๎องร๎อยละ
90.5 และไมไํ ปตรวจตามนัดรอ๎ ยละ 23.8 จากผลการวิจัยจึงควรสํงเสริมการตระหนกั รูใ๎ นการดูแลตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวาน
ใหม๎ ากขึ้นและใหส๎ มาชิกครอบครวั มีสวํ นรํวมในการดแู ลผป๎ู วุ ยเบาหวาน เพ่ือให๎สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดีขึ้น
อนั มีผลตอํ การลดปัญหาจากภาวะแทรกซอ๎ นของเบาหวานลงเพ่ือคุณภาพชวี ิตที่ดีขึน้ ของผปู๎ วุ ยเบาหวาน
คาสาคญั : แบบแผนการดาเนนิ ชีวติ , ผป๎ู วุ ยเบาหวาน, ระดบั น้าตาลในเลือด
Corresponding author: กาญจนา ปญั ญาธร โทรศัพท์ 089-5691166 E-mail: [email protected]
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชธานี วทิ ยาเขตอุดรธานี 293 ถ.เลย่ี งเมอื ง ต.หนองขอนกว๎าง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000
20
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
Life Style of Diabetes Patients: A comparative study of good controlled and uncontrolled
group in Chiangyuen Health Promoting Hospital ,Udonthani Province.
Kanchana Panyathorn, Lecturer, Rachathani University, Udonthani campus.
Saowalak Tajang, Lecturer, Rachathani University, Udonthani campus
Wanlapa Sriboonpimsuay, Lecturer, Boromarajonani College of Nursing, Udonthani
Cholakarn Trongsri, Lecturer, Boromarajonani College of Nursing, Udonthani
Abstract
The purpose of this mixed methodology study was to compare the life styles of Type 2
Diabetes patients in the responsible of Chiangyuen Health Promoting Hospital, Udonthani
Province. The participants divided in to two groups, 1 3 good controlled (blood glucose 8 0 -
130 mg% more than 6 months) and 21 uncontrolled diabetes patients (blood glucose more than
180 mg% more than 6 months) by purposive sampling. The research questionnaires was content
validated by 3 special experts (IOC=0 .68 ) and were tried out within 5 diabetes patients. Data
collected from January to March 2018. Descriptive statistics and content analysis were used in this
study.
The study founds (1 ) Personal characteristic and health status of those patients were
different. Most of the good controlled group had age between 6 1 -7 0 and graduated primary
school, the uncontrolled group age between 51-60 and 14.3% did not attended school. Health
status, all of the good controlled group had ability of self care, maintained a normal blood
glucose level .14.3% of the uncontrolled group had less self care, had higher blood glucose level
which 76.2 % had blood glucose between 180-250mg% and 23.8% more than 250 mg%. One-third
of this group had admitted in hospital with hypoglycemia or hyperglycemia while another had
none. (2 ) Family characteristic, both groups lived in extended families with 4 -6 members and
19.1% of uncontrolled group had chronic diseases in families .(3) Family and social support, 76.9%
of the good controlled group were influence and received strong support from their families while
66.7 % of uncontrolled group had received. (4) Lifestyle, good controlled group lived a more
healthy life style. 84.6% taking a proper diet, 84.6% regular exercise had done, 69.2% got the
proper sleep time. 76.9% had better stress management, 30.8% took regularly feet care. 84.6%
took medication as prescribed by their doctors, 76.9% had regularly follow up. Furthermore, the
uncontrolled group practice less self care, 71.4 % had not received a proper diet. 85.7% had no
regularly exercise, 42.9% had in-proper sleep time, 30.4% had inappropriate stress management,
66.7% had irregularly feet care, 90.5% had not followed medical prescription. 23.8% lost routine
follow up. From the results, health care providers should promote patients to realized taking care
of their self and encourage families to support diabetes patients to have healthier lifestyle.
Key words: life style, Diabetes patient, blood glucose level
21
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ่ี 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
บทนา กาลังกายสม่าเสมอ การพักผํอนที่เพียงพอ การผํอน
เบาหวานเป็นปญั หาสาธารณสุขของประเทศไทย คลายความเครียดและการสนับสนุนจากครอบครัว
สังคม จะทาให๎ผ๎ูปุวยเบาหวานสามารถดารงชีวิตอยูํกับ
และมีแนวโน๎มเพ่ิมขึน้ ทกุ ปี จากการสารวจภาวะสุขภาพ โรค ชํวยชะลอการเกิดภาวะแทรกซ๎อน นอกจากนี้
ของประชาชนไทยอายุ 15 ปี ขึ้นไปปี พ.ศ 2552 และปี ทฤษฏีการสํงเสริมสุขภาพของ Pender6 ได๎กลําวถึง
พ.ศ 2557 พบความชุกของโรคเบาหวานร๎อยละ 6.9 บุคคลสามารถปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตนเองให๎มี
และ 8.9 ตามลาดับ ซึ่งกรมควบคุมโรคได๎กาหนดแผน สุขภาพท่ีดีได๎ โดยมีองค์ประกอบในการดูแลสุขภาพ 9
ยุ ท ธ ศ า ส ต ร์ ก า ร ปู อ ง กั น แ ล ะ ค ว บ คุ ม โ ร ค ไ มํ ติ ด ตํ อ ด๎าน คือ การประเมินแบบแผนสุขภาพ การประเมิน
ระดับชาติ 5 ปี (พ.ศ.2560 - 2564) ในการดาเนินการ ความพร๎อมด๎านรํางกาย ด๎านอาหาร พฤติกรรมเส่ียง
ปูองกัน ลดความเสย่ี งตอํ การเป็นโรค ลดอตั ราปวุ ย ตาย ความเครียด สุขภาพในมิติจิตวิญญาณ การสนับสนุน
และพกิ ารจากภาวะแทรกซ๎อนของโรค1 ทางสังคม ความเช่ือด๎านสุขภาพและการประเมินวิถี
ชีวิต ซ่ึงงานวิจัยในอดีตได๎ช้ีให๎เห็นวําพฤติกรรมสุขภาพ
โรคเบาหวานประเภทท่ี 2 เป็นเบาหวานที่พบ ของผ๎ูปุวยเบาหวานท่ีเป็นสาเหตุของการควบคุมระดับ
มากท่ีสุดพบประมาณร๎อยละ 95 เกิดจากความผิดปกติ น้าตาลในเลือดไมํได๎ มาจากการรับประทานอาหารไมํ
ของรํางกายท่ีผลิตฮอร์โมนอินซูลินไมํเพียงพอสํงผลให๎ เหมาะสม ขาดการออกกาลังกาย รับประทานยาไมํ
ระดบั นา้ ตาลในเลือดสูงเกิน ในระยะยาวจะมีผลทาลาย ตํอเนือ่ ง จดั การความเครียดไมํเหมาะสม3-5
หลอดเลือด ถ๎าเป็นโรคเบาหวานนาน 5 ปีข้ึนไปแล๎ว
ไมํได๎รั บการ รักษาอ ยํางเ หมาะส มอาจ นาไป สํู โรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบลเชียงยืน ในปี
ภาวะแทรกซ๎อนท่ีรุนแรงได๎ เชํน โรคหลอดเลือดสมอง พ.ศ 2561 มผี ูป๎ วุ ยเบาหวานประเภทท่ี 2 ที่ปุวยมานาน
ภาวะแทรกซ๎อนทางตาและไต การเป็นโรคเบาหวานมี เกิน 5 ปีและมารับบริการในคลินิกเบาหวานจานวน 82
ผลกระทบตํอการดาเนินชีวิตของบุคคลท่ีเป็นและอาจ คน ในจานวนนี้มีผู๎ท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดี
เกิดภาวะแทรกซ๎อนถ๎าปฏิบัติตนไมํเหมาะสม ผู๎ปุวย คือ มีระดับน้าตาลในเลือดระหวําง 80 ถึง 130
เบาหวานท่ีควบคุมระดับน้าตาลได๎ดีจะสามารถปูองกัน มิลลิกรัมตํอเดซิลิตร นานติดตํอกัน 6 เดือนข้ึนไป
ลดหรือชะลอการเกิดภาวะแทรกซ๎อนได๎ สํวนผู๎ที่ จานวน 13 คนและผ๎ูท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือด
ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎ พบวําต๎องเข๎ารับการ ไมํได๎ คือ มีระดับน้าตาลในเลือดมากกวํา 180
รักษาในโรงพยาบาล เสียคําใช๎จําย สํงผลให๎ผ๎ูปุวยเกิด มิลลิกรัมตํอเดซิลิตร นานติดตํอกัน 6 เดือนขึ้นไป
ความทุกข์ ทรมานจากโรค เปูาหมายหลักในการรักษา จานวน 21 คน สํวนผ๎ูปุวยเบาหวานท่ีเหลือจานวน 48
โรคเบาหวานประเภทท่ี 2 คือ การควบคุมระดับน้าตาล คน เป็นกลุํมท่ีมีระดับน้าตาลข้ึนๆลงๆ ไมํสม่าเสมอใน
ในเลือดให๎อยูํในเกณฑ์ท่ีกาหนด คือ มีระดับน้าตาลใน แตํละเดือน ซ่ึงการศึกษาแบบแผนการดาเนินชีวิตของ
เลอื ดหลงั อดอาหารมากกวํา 8 ชั่วโมง ระหวําง 80-130 ผ๎ูปุวยเบาหวานกลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดี
มิลลิกรัมตํอเดซิลิตรและไมํเกิน 180 มิลลิกรัมตํอ และกลุํมท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎ จะทาให๎
เดซิลิตร ซ่ึงการควบคุมระดับน้าตาลในเลือดให๎ได๎ตาม ท ร า บ ข๎ อ มู ล ก า ร ด า เ นิ น ชี วิ ต แ ล ะ ก า ร ดู แ ล สุ ข ภ า พ
เปูาหมายเป็นสิ่งที่ยากในการจัดการ ตามแนวทางเวช นาไปใช๎ในการสํงเสริมสนับสนุนและพัฒนาพฤติกรรม
ปฏิบัติสาหรับโรคเบาหวานแนะนาให๎รักษาด๎วยการใช๎ สุขภาพของผู๎ปุวยเบาหวานให๎มีพฤติกรรมสุขภาพท่ี
ยารํวมกับการปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพื่อให๎สามารถ เหมาะสมตํอไป
ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดตามเปูาหมาย ซึ่งการ
ปรับเปลี่ยนแบบแผนการดาเนินชีวิตให๎มีพฤติกรรม
สุขภาพท่ีเหมาะสม โดยการรับประทานอาหารท่ีสมดุล
กับการมีกิจกรรมทางกายและภาวะสุขภาพ การออก
22
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย ผลการตรวจระดับน้าตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8
เพ่ือศึกษาเปรียบเทียบแบบแผนการดาเนินชีวิต ช่ัวโมงมากกวํา 180 มิลลิกรัมตํอเดซิลิตร ข้ึนไปนาน 6
เดือนทุกคน จานวน 21 คน รวมท้ังส้นิ 34 คน
ของผ๎ูปุวยเบาหวานประเภทท่ี 2 กลุํมควบคุมระดับ เคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการวิจยั
น้าตาลในเลือดได๎ดีและกลํุมท่ีควบคุมระดับน้าตาลใน
เลือดไมํได๎ เป็นแบบสังเกตสภาพแวดล๎อม ผู๎ปุวยเบาหวาน
ครอบครัวและแนวทางสัมภาษณ์เชิงลึกผู๎ปุวยเบาหวาน
กรอบแนวคิดในการวิจยั (In-depth interview) ต ร ว จ ส อ บ คุ ณ ภ า พ ข อ ง
ผ๎ูวิจัยยึดแนวคิดแบบแผนการดาเนินชีวิตในการ เคร่ืองมอื ด๎านความตรงเชิงเน้ือหา ผู๎วิจัยนาเครื่องมือท่ี
สร๎างข้ึนให๎ผ๎ูเชี่ยวชาญจานวน 3 ทํานตรวจสอบ ได๎คํา
ดูแลสุขภาพของ Pender ซ่ึงมีองค์ประกอบในการดูแล ดัชนีความสอดคลอ๎ งของข๎อคาถามเทํากับ 0.68 และนา
สุขภาพ 9 ด๎าน6 รํวมกับแนวทางปฏิบัติสาหรับ เครอื่ งมือไปทดลองใชก๎ ับผป๎ู ุวยเบาหวานท่ีมีคุณลักษณะ
โรคเบาหวาน พ.ศ 25602 เป็นกรอบในการศึกษา โดย คล๎ายคลึงกับกลุํมตัวอยําง จานวน 5 คนใช๎เวลาในการ
ผ๎ูวิจัยได๎ปรับแบบแผนการดาเนินชีวิตเพื่อให๎สอดคล๎อง ตอบคาถามเฉลี่ยคนละ 45 นาที แล๎วนาเครื่องมือมา
กับการเจ็บปุวยและการดูแลรักษาโรคเบาหวาน เหลือ ปรบั ปรุงแกไ๎ ข
3 ดา๎ น คอื (1) การดาเนนิ ชวี ิตประจาวัน ประกอบด๎วย การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
การรับประทานอาหาร การออกกาลังกาย การพักผํอน
การจัดการความเครียด (2) การดูแลเท๎า และ (3) การ ทีมผู๎วิจัยประกอบด๎วยนักวิจัย 2 คนดาเนินการ
รกั ษาโรคเบาหวาน ดงั กรอบแนวคิด เกบ็ รวบรวมข๎อมลู ด๎วยตนเองที่บ๎านของผู๎ปุวยเบาหวาน
ในชวํ งระหวํางเดือนมกราคมถึงมีนาคม พ.ศ.2561 รวม
คณุ ลักษณะสวํ นบุคคล แบบแผนการดาเนนิ ชีวติ ทั้งสิ้น 5 คร้ัง ซึ่งได๎มีการพิทักษ์สิทธิกลุํมตัวอยํางโดย
และภาวะสุขภาพ การดาเนนิ ชีวิตประจาวัน การวิจัยคร้ังนี้ผํานการพิจารณาของคณะกรรมการ
ลักษณะครอบครัว - การรบั ประทานอาหาร จริยธรรมวิจัยในมนุษย์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราช
แรงสนับสนุน - การออกกาลังกาย ชนนี อุดรธานี เลขท่ี IRB BCNU 047/2561
- การพักผํอน การวเิ คราะหข์ ้อมูล
จากครอบครวั / สังคม - การจัดการความเครยี ด
การดแู ลเทา๎ ข๎อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ใช๎สถิติเชิงพรรณนา
การรกั ษา โรคเบาหวาน สํวนข๎อมูลเชงิ คณุ ภาพโดยการวิเคราะห์เน้อื หา
ผลการวจิ ยั
ภาพท่ี 1 แสดงกรอบแนวคดิ ในการวิจัย
1. คุณลกั ษณะส่วนบคุ คลและภาวะสขุ ภาพ
วิธีดาเนินการวจิ ัย ผู๎ปุวยเบาหวานประเภทท่ี 2 ท่ีศึกษาสํวนใหญํ
การวิจัยแบบผสม (Mixed Methodology) เป็นเพศหญิง มีอายุระหวําง 51-70 ปี สถานภาพสมรส
คํูจบการศึกษาระดับประถมศึกษาและประกอบอาชีพ
ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง เกษตรกรรมมากท่ีสุด ในกลํุมควบคุมระดับน้าตาลใน
เป็นผู๎ปุวยเบาหวานที่มารับบริการในคลินิก เลือดได๎ดีสํวนใหญํเป็นเพศหญิงร๎อยละ 76.9 มีอายุ
ระหวําง 61-70 ปี ร๎อยละ 53.9 จบการศึกษาระดับ
เบาหวานของโรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบลเชียงยืน ประถมศึกษาร๎อยละ 92.3 สํวนกลํุมควบคุมระดับ
ในชํวงระหวํางเดือนมกราคม ถึงมีนาคม พ.ศ. 2561 ที่ น้าตาลในเลือดไมํได๎เป็นเพศหญิงร๎อยละ 71.4 อายุ
ไดร๎ ับการวินิจฉัยโดยแพทย์วําเปน็ โรคเบาหวานประเภท ระหวําง 51-60 ปี รอ๎ ยละ 47.6 และไมไํ ด๎จบช้นั ประถม
ท่ี 2 นาน 5 ปีข้ึนไป แบํงเป็น 2 กลํุมคือ กลํุมควบคุม
ระดับนา้ ตาลในเลอื ดไดด๎ ี คอื มรี ะดบั นา้ ตาลในเลือดหลัง
อดอาหารมากกวํา 8 ชั่วโมงระหวําง 80-130 มิลลิกรัม
ตํอเดซิลิตร นานติดตํอกัน 6 เดือนข้ึนไปทุกคน จานวน
13 คน และกลํมุ ควบคุมระดับนา้ ตาลในเลือดไมํได๎ คือมี
23
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปีที่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
ศึกษาร๎อยละ14.3 ภาวะสุขภาพกลุํมควบคุมระดับ ทอด อาหารวํางระหวํางมื้อ ขนม ผลไม๎ที่มีรสหวานจัด
น้าตาลในเลือดได๎ดีเป็นเบาหวานนาน 5-9 ปี ร๎อยละ ดมื่ เบยี รเ์ มอื่ มีงานเล้ยี งสงั สรรค์และเมอ่ื อยากดมื่
61.5 ทุกคนมีระดับน้าตาลในเลือดในเกณฑ์ปกติ
ชํว ยเหลือตนเองได๎ดีและไมํเคยนอนรักษาใน “ยายไม่ได้คุมอาหารประจา จะคุมตอนมีแผลที่
โรงพยาบาลด๎วยอาการหมดสติจากระดับน้าตาลสูง เท้าเพราะกลวั แผลไมด่ ี ถา้ อาการปกตจิ ะอดกนิ ไม่ได้”
เกินไปหรือต่าเกินไป สํวนกลุํมควบคุมระดับน้าตาลใน
เลือดไมํได๎เป็นเบาหวานนาน 5-9 ปี เหมือนกลํุม 3.2 การออกกาลังกาย กลุํมควบคุมระดับ
ควบคุมได๎แตตํ าํ งกนั ท่เี คยนอนรักษาในโรงพยาบาลด๎วย น้าตาลในเลือดได๎ดี ร๎อยละ 84.6 ออกกาลังกายเป็น
อาการหมดสติร๎อยละ 33.3 มีระดับน้าตาลในเลือดสูง ประจาโดยออกกาลงั กายอยํางน๎อยวันละ30 นาทีทุกวัน
ระหวําง 181-250 มิลลิกรัมตํอเดซิลิตร ร๎อยละ 76.2 โดยการเดนิ รอบบ๎านและเตน๎ ประกอบเพลง
และมีระดับน้าตาลในเลือด 250 มิลลิกรัมตํอเดซิลิตร
ขึ้นไป ร๎อยละ 23.8 ความสามารถชํวยเหลือตนเอง “ยายเปิดซีดีเต้นที่บ้านทุกวันไม่ไปออกกาลังกาย
ผ๎ูปุวยเบาหวานร๎อยละ 14.3 ไมํสามารถปฏิบัติกิจวัตร รวมกับคนอน่ื เพราะไม่สะดวกทาทีบ่ า้ นเม่ือไรก็ได้”
ประจาวนั ได๎ต๎องมีผดู๎ ูแลชวํ ยเหลือ
สํวนกลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎ร๎อย
2. ลักษณะครอบครัวและแรงสนบั สนนุ จาก ละ 85.7 ไมํได๎ออกกาลังกายเป็นประจาเพราะรู๎สึกไมํ
ครอบครวั สงั คม สบาย อํอนเพลีย ทาให๎ไมํอยากออกกาลังกายและไมํมี
อารมณ์
ท้ังสองกลํุมมีลักษณะครอบครัวท่ีคล๎ายคลึงกัน
คืออาศัยอยูํในครอบครัวขยายมีสมาชิกครอบครัว “ยายตงั้ ใจจะออกกาลังกายทกุ วนั แตบ่ างวันไม่ได้
ระหวาํ ง 4-6 คน สํวนกลุํมควบคุมระดับน้าตาลในเลือด ออกเพราะปวดขาบางทีนอนเพลินบางทีอารมณ์ไม่ดี”
ไมํไดร๎ อ๎ ยละ 19.1 มสี มาชิกปวุ ยโรคเรอื้ รงั ตอ๎ งดูแล ด๎าน
แรงสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม กลุํมควบคุม 3.3 การพักผ่อนนอนหลับ ผ๎ูปุวยเบาหวานสํวน
ระดับน้าตาลในเลือดได๎ดีร๎อยละ 76.9 มีครอบครัวดูแล ใหญํเป็นผ๎ูสูงอายุมีปัญหานอนหลับยาก ตื่นแล๎วนอนไมํ
เอาใจใสํสม่าเสมอในการดาเนินชีวิตประจาวันและดูแล หลับและตื่นเช๎าทาให๎พักผํอนไมํเพียงพอสํงผลทาให๎
เม่ือเจ็บปุวยโดยจัดหาอาหารให๎รับประทาน ดูแลด๎าน รํางกายอํอนเพลีย จิตใจและอารมณ์ไมํสดชื่น ผ๎ูปุวย
จิตใจ พาไปตรวจตามนัดและมีเพ่ือนบ๎านถามขําวคราว เบาหวานกลุํมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดีร๎อยละ
มาเย่ียมเยียน สํวนกลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือด 69.2 พักผํอนเพียงพอวันละ 6-8 ช่ัวโมง ไมํมีปัญหา
ไมํได๎มีครอบครวั ดูแลเอาใจใสดํ เี พยี งรอ๎ ยละ 66.7 เร่ืองการนอนหลับ มีร๎อยละ 30.8 ท่ีนอนหลับยากซ่ึง
ดแู ลตนเองโดยการออกกาลงั กายกอํ นนอน
3. แบบแผนการดาเนินชวี ิต
3.1 การรับประทานอาหาร กลํุมควบคุมระดับ “ยายไม่มีปัญหาเร่ืองการนอน หัวถึงหมอนแล้ว
น้าตาลในเลือดได๎ดีรอ๎ ยละ84.6ควบคุมอาหารท่ีรบั ประ หลบั เลย แตถ่ า้ วันไหนนอนไมห่ ลบั กจ็ ะเปดิ เพลงเตน้ ”
ทานโดยรับประทานแตํพออิ่ม ไมํรับประทานหมูหรือ
เนื้อ รับประทานปลาและงดอาหารทอด ดังคาพูดที่ สํวนกลุํมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎ร๎อย
กลาํ ว... ละ 42.9 นอนพักผํอนไมํเพียงพอและหลับยาก มีวิธี
“ควบคุมอาหารพยายามไม่กินมาก ไม่กินของ ดูแลตนเองให๎นอนหลับ คือ กินยานอนหลับ ลุกขึ้นมา
หวานเลย ถา้ อยากกนิ มากๆจะกนิ สองสามคา” ทางานบ๎าน ขํมตาใหห๎ ลับ และไมํนอนกลางวัน
สํวนกลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎ร๎อย
ละ 71.4 ไมํควบคุมอาหารเป็นประจารับประทานของ “ยายนอนไม่ค่อยหลับมานานแล้ว ต้องกินยา
นอนหลบั กนิ มาไดป้ ระมาณ10 แตไ่ มไ่ ด้กินทุกวัน”
3.4 การจดั การกบั ความเครียด ผู๎ปุวยเบาหวาน
ท้ังสองกลุํมมีความเครียดเร่ืองการเจ็บปุวย แตํกลํุม
ควบคุมระดบั น้าตาลในเลือดไมํไดม๎ ีความเครียดมากกวํา
กลุํมควบคุมได๎ดีเนื่องจากมีระดับน้าตาลในเลือดสูงมาก
และควบคมุ ยาก
24
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
“กังวลกลัวว่าจะเป็นมากมีอาการตอนกลางคืน ตารางที่ 1 จานวนและร้อยละของผู้ป่วยเบาหวาน
ไม่มใี ครเห็นแต่กท็ าใจใครๆกต็ ายกันทง้ั นน้ั เรว็ หรือช้า” จาแนกตามปัจจัยด้านลักษณะประชากร ครอบครัว
และแบบแผนการดาเนินชวี ิต (N=34)
การจัดการกับความเครียดกลํุมควบคุมระดับ
น้าตาลในเลือดได๎ดีมีการจัดการความเครียดท่ีเหมาะสม ควบคุมได้ดี ควบคุม
โดยทาใจยอมรับสภาพ พูดคุยกับคนอ่ืนและสวดมนต์ (n=13) ไมไ่ ด้ รวม
ร๎อยละ 76.9 สํวนกลุํมควบคุมระดับน้าตาลในเลือด ปจั จัย (n=21)
ไ มํ ไ ด๎ มี ก า ร จั ด ก า ร ค ว า ม เ ค รี ย ด ไ มํ เ ห ม า ะ ส ม โ ด ย จานวน จานวน จานวน
รับประทานยาคลายเครียดร๎อยละ 30.4 (ร้อยละ) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ)
4. การดูแลเท้า กลํุมควบคุมระดับน้าตาลใน I. ลักษณะประชากรและภาวะสุขภาพ
เลือดได๎ดี มีการดูแลเท๎ามากกวํากลุํมควบคุมระดับ
น้าตาลในเลอื ดไมํได๎(รอ๎ ยละ 69.2และ33.3 ตามลาดับ) เพศ
โดยทาความสะอาดเทา๎ และทาครีมเป็นประจาเนื่องจาก ชาย 3 (23.1) 6 (28.6) 9 (26.5)
เคยเห็นผ๎ูปุวยเบาหวานมีแผลเร้ือรังที่เท๎าจนต๎องตัดขา
ทาให๎เกดิ ความกลวั และใหค๎ วามสาคญั กบั การดูแลเทา๎ หญงิ 10 (76.9) 15 (71.4) 25 (73.5)
อายุ (ป)ี
“คุมน้าตาลไม่ได้ปลายเท้าชาเกิดแผลบ่อยต้อง 1 (7.7) 4 (19.1) 5 (14.7)
ดูแลเท้าบางทีไม่รู้ว่ามีแผลตอนไหนมารู้เมื่ออักเสบ 40-50 2 (15.4) 10 (47.6) 12 (35.3)
แล้ว” 51-60 7 (53.9) 5 (23.8) 12 (35.3)
61-70 3 (23.1) 2 (9.5) 5 (14.7)
5. การรักษาโรคเบาหวาน กลํุมควบคุมระดับ มากกวํา
น้าตาลในเลือดได๎ดี รับประทานยาถูกต๎องตามแผนการ 70
รักษาร๎อยละ 84.6 ไปตรวจตามนัดร๎อยละ 76.9 การ
ประเมินตนเองร๎อยละ 69.2 ประเมินวําตนเองปฏิบัติดี สถานภาพสมรส
แล๎วเพราะควบคุมทุกอยํางและมีระดับน้าตาลในเลือด
ในเกณฑ์ปกติ สํวนกลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือด คูํ 9 (69.2) 19 (90.5) 28 (82.4)
ไมํได๎รับประทานยาไมํถูกต๎องร๎อยละ 90.5 และไมํไป มําย 4 (30.8) 2 (9.5) 6 (17.6)
ตรวจตามนัดร๎อยละ 23.8 การประเมินตนเองร๎อยละ
90.5 ประเมนิ วําตนปฏบิ ัติไมํเหมาะสมเพราะไมํสามารถ การศกึ ษา
ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดให๎อยูํในเกณฑ์ปกติและมี ไมไํ ด๎ 1 (7.7) 3 (14.3) 4 (11.8)
อาการอํอนเพลีย วิงเวยี นและแผลหายชา๎ (ตารางที่ 1) เรียน
ประถม 12 (92.3) 17 (81) 29 (85.3)
ศกึ ษา 0 (0) 1 (4.8) 1 (2.9)
มัธยม 10 (76.9) 15 (71.4) 25 (73.5)
ศึกษา 2 (15.4) 4 (19.1) 6 (17.6)
1 (7.7 ) 2 ( 9.5) 3 ( 8.8)
อาชพี
เกษตร
กรรม
รบั จา๎ ง
คา๎ ขาย
25
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ี่ 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
ตารางท่ี 1 จานวนและร้อยละของผู้ป่วยเบาหวาน ตารางที่ 1 จานวนและร้อยละของผู้ป่วยเบาหวาน
จาแนกตามปัจจัยด้านลักษณะประชากร ครอบครัว จาแนกตามปัจจัยด้านลักษณะประชากร ครอบครัว
และแบบแผนการดาเนนิ ชวี ติ (N=34) (ต่อ) และแบบแผนการดาเนนิ ชีวติ (N=34) (ต่อ)
ควบคุมได้ดี ควบคมุ ควบคุมได้ดี ควบคมุ รวม
(n=13) ไม่ได้ รวม (n=13) ไม่ได้
ปัจจยั (n=21) ปัจจัย (n=21)
จานวน จานวน จานวน จานวน จานวน จานวน
(รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) (ร้อยละ) (ร้อยละ) (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ)
ระยะเวลาเจบ็ ปวุ ย 16 (76.2) 24 (70.6) สมาชกิ ครอบครวั ปวุ ยเร้ือรัง 29 (85.1)
5-9 ปี 8 (61.5) 5 (23.8) 10 (29.4) ไมมํ ี 12 (92.3) 17 (80.9) 5 (14.7)
10 ปขี ้ึน 5 (38.5) มี 1 (7.7) 4 (19.1) 2 (5.9)
ไป ความดัน 1 (7.7) 1 (4.8)
โลหติ สงู 2 ( 5.9)
การนอนรักษาในโรงพยาบาลดว๎ ยอาการหมดสติ 1 (2.9)
เบาหวาน 0 (0) 2 (9.5)
เคย 0 (0) 7 (33.3) 7 (20.6) อมั พาต 0 (0) 1 (4.8) 24 (70.6)
ไมํเคย 13 (100) 14 (66.7) 27 (79.4) แรงสนบั สนนุ จากครอบครวั /สังคม
ระดับนา้ ตาลในเลอื ดครง้ั สุดทา๎ ย 10 (29.4)
90-130 13 (100) 0 (0) 13 (38.2) ดูแลเอา 10 (76.9) 14 (66.7)
mg% ใจใสํดี 17 (50)
17 (50)
180-250 0 (0) 16 (76.2) 16 (47.1) ดแู ลเอา 3 (23.1) 7 (33.3)
mg% ใจใสํนอ๎ ย
มากกวาํ 0 (0) 5 (23.8) 5 (14.7) III. แบบแผนการดาเนินชวี ิต
250 mg% การควบคมุ อาหาร
ความสามารถในการชํวยเหลือตนเอง 31 (91.2) ควบคมุ 11 (84.6) 6 (28.6)
ชํวย 13 (100) 18 (85.7) ไมํ 2 (15.4) 15 (71.4)
ตัวเองได๎ ควบคุม
ตอ๎ งให๎ 0 (0) 3 (14.3) 3 (8.8) การออกกาลังกาย (อยาํ งน๎อยวนั ละ30 นาที)
ผอู๎ น่ื ชวํ ย
เหลือ ปฏิบัติ 11 (84.6) 3 (14.3) 14 (41.2)
ไมปํ ฏบิ ตั ิ 2 (15.4) 18 (85.7) 20 (58.8)
II. ลกั ษณะครอบครวั และแรงสนับสนุน การนอนหลับ (6–8 ช่ัวโมง/วนั )
จานวนสมาชกิ ในครอบครวั ปฏิบัติ 9 (69.2) 12 (57.1) 21 (61.8)
ไมปํ ฏิบตั ิ 4 (30.8) 9 (42.9) 13 (38.2)
1-3 คน 1 (7.7) 3 (14.3) 4 (11.8) การจดั การความเครียด
4-6 คน 11 (84.6) 14 (66.7) 25 (73.5) เหมาะสม 10 (76.9) 16 (69.6) 26 (76.5)
7 คนข้ึน 1 (7.7) 5 (14.7) ไมํ 3 (23.1) 5 (30.4) 8 (23.5)
ไป 4 (19.1)
เหมาะสม 26
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ตารางที่ 1 จานวนและร้อยละของผู้ป่วยเบาหวาน 51-60 ปี จบการศึกษาระดบั ประถมศึกษาน๎อยกวํากลํุม
จาแนกตามปัจจัยด้านลักษณะประชากร ครอบครัว แรกและชวํ ยเหลือตัวเองได๎น๎อย มีระดับน้าตาลในเลือด
และแบบแผนการดาเนินชีวิต (N=34) (ตอ่ ) สูงกวาํ เกณฑป์ กตแิ ละเคยนอนรักษาในโรงพยาบาลด๎วย
อาการหมดสติ อธิบายได๎วําการท่ีผ๎ูปุวยเบาหวาน
ควบคุมไดด้ ี ควบคมุ รวม สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดีเนื่องจากทุก
(n=13) ไมไ่ ด้ คนชํวยเหลือตัวเองได๎จึงสามารถดูแลตนเองโดยไมํต๎อง
ปัจจัย (n=21) พึ่งพาผู๎อ่ืน ด๎านอายุผู๎ปุวยเบาหวานท่ีเป็นผ๎ูสูงอายุไมํได๎
จานวน จานวน จานวน ประกอบอาชพี การทางานลดลงทาให๎มีเวลาในการดูแล
(รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ) สุขภาพมากกวําคนที่ต๎องทางานหาเล้ียงชีพ และคนท่ี
อายุมากกวําควบคุมระดับน้าตาลในเลอื ดได๎ดีกวําคนที่มี
การดแู ลเท๎า 7 (33.3) 16 (47.1) อายุน๎อย สอดคล๎องกับงานวิจัยของ กุสุมา กังหลี4,
วรารัตน์ ปาจรียานนท์และคณะ7 และธนวัฒน์
ดแู ล 9 (69.2) 14 (66.7) 18 (52.9) สุวัฒนกุล8 ท่ีพบวําผ๎ูปุวยเบาหวานที่มีอายุมากกวํา 60
สมา่ เสมอ ปี มีโอกาสควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดีกวําผ๎ูที่มี
ไมํดแู ล 4 (30.8) 2 (9.5) 13 (38.2) อายุน๎อยกวํา60 ปี 2.88 เทํา ด๎านระยะเวลาการ
สมา่ เสมอ 19 (90.5) 21 (61.8) เจ็บปุวยการเป็นเบาหวานน๎อยกวํา 10 ปี ตับอํอนยังไมํ
ถูกทาลายมากทาให๎สามารถควบคุมระดับน้าตาลใน
รับประทานยา 16 (76.2) 26 (76.5) เลือดได๎ดี สอดคล๎องกับงานวิจัยของกุสุมา กังหลี4 ท่ี
ถกู ต๎อง 11 (84.6) 5 (23.8) 8 (23.5) พบวําผู๎ปุวยเบาหวานชนิดท่ี 2 ท่ีมีระยะเวลาการเป็น
โรคมากกวํา 10 ปีข้ึนไป มีโอกาสท่ีจะไมํสามารถ
ไมํถูกต๎อง 2 (15.4) ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎มากกวําผู๎ท่ีมีระยะเวลา
การเป็นโรคน๎อยกวํา10 ปี สอดคล๎องกับการศึกษาของ
ตรวจตามนดั โชติรส คงหอม9 ที่พบวําระยะเวลาในการเป็น
ไปตามนดั 10 (76.9) โรคเบาหวานนานทาให๎พฤติกรรมการจัดการตนเอง
ลดลงหรือทาได๎ไมํดีสํงผลให๎ควบคุมระดับน้าตาลใน
ขาดนัด 3 (23.1) เลือดไมํได๎ และและเอกภพ จันทร์สุคนธ์, วิภาดา ศรี
เจริญและก่ิงแก๎ว สารวยรื่น10และปัทมา สุพรรณกุล
การประเมินการดูแลตนเอง 28 (82.4) และคณะ11 พบวําระยะเวลาในการเป็นโรคเบาหวาน
ดูแล 9 (69.2) 2 (9.5) 23 (67.6) สามารถทานายพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู๎ปุวย
ตนเองดี เบาหวาน ด๎านระดับการศึกษา ผ๎ูปุวยเบาหวานท่ีมี
ดูแล 4 ( 30.8) 19 (90.5) การศึกษาระดับประถมศึกษาจะมีพฤติกรรมสุขภาพ
ตนเอง ดีกวําผูไ๎ มไํ ดเ๎ รียนหนังสือ เน่ืองจากสามารถเข๎าถึงแหลํง
ไมํดี เรยี นรู๎ ขอ๎ มูลขาํ วสารได๎ดีกวําผู๎ที่ไมํไดเ๎ รียนหนงั สือทาให๎
มีความรู๎ในการดูแลตนเอง สอดคล๎องกับการศึกษาของ
สรปุ ผลการวจิ ยั และอภิปรายผล ผุสดี ดํานกุล,พชรพร สุวิชาเชิดชู และนิภาวรรณ ทอง
1. คุณลักษณะของผู้ป่วยเบาหวานและภาวะ เป็นใหญํ12 ที่พบวําระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับ
การควบคุมระดับน้าตาลในเลือดของผ๎ูปุวยเบาหวาน
สุขภาพ ผ๎ูปุวยเบาหวานท้ังสองกลุํมมีคุณลักษณะที่ และสอดคล๎องกับ กมลพร สิริคุตจตุพร,วิราพรรณ
แตกตาํ งกัน โดยกลุํมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดีมี
อายุระหวําง 61-70 ปี การศึกษาระดับประถมศึกษา
ระยะเวลาเจ็บปุวย 5-9 ปี ทุกคนชํวยเหลือตัวเองได๎ มี
ระดับนา้ ตาลในเลอื ดในเกณฑป์ กตแิ ละไมํเคยนอนรักษา
ในโรงพยาบาลจากการมีระดับน้าตาลในเลือดสูงเกินไป
หรือต่าเกินไป สํวนกลุํมควบคุมไมํได๎มีอายุระหวําง
27
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปีที่ 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
วิโรจน์รัตน์ และนารีรัตน์ จิตรมนตรี13 พบวําความร๎ู การดูแลตนเองของผู๎ปุวยเบาหวาน ด๎านการควบคุม
เรื่องโรคเบาหวานสามารถทานายพฤติกรรมการจัดการ อาหาร การออกกาลังกาย การพักผํอน จัดการ
ตนเองของผู๎ปุวยเบาหวานชนิด ที่ 2 อยํางมีนัยสาคัญ ความเครียดที่เหมาะสมและการรักษาทาให๎ผู๎ปุวย
ทางสถิติที่ระดับ 0.05 เ บ า ห ว า น ส า ม า ร ถ ค ว บ คุ ม ร ะ ดั บ น้ า ต า ล ใ น เ ลื อ ด
ไดด๎ 3ี -5,8,16-18
2. ลักษณะครอบครัวและแรงสนับสนุนจาก
ครอบครัว/สังคม ท้งั สองกลุมํ อาศัยในครอบครัวขยายมี ข้อเสนอแนะจากผลการวิจยั
สมาชิกครอบครัวหลายคน ตํางกันที่กลุํมควบคุมระดับ 1. จากผลการวิจัยที่พบวําผู๎ปุวยเบาหวานท่ี
น้าตาลในเลือดได๎ดีร๎อยละ 76.9 มีครอบครัวดูแลเอาใจ สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดี มีการดูแล
ใสํ สํวนกลุํมควบคุมไมํได๎มีครอบครัวเอาใจใสํเพียงร๎อย ตนเองดีท้ังด๎านการดาเนินชีวิตประจาวันและการรักษา
ละ 67.7 และร๎อยละ 19 มีสมาชิกครอบครัวคนอ่ืนปุวย ดังน้นั บคุ ลากรด๎านสุขภาพจึงควรสํงเสริมสนับสนุนให๎มี
ด๎วยโรคเรื้อรังท่ีต๎องดูแล ทาให๎มีเวลาดูแลผ๎ูปุวย การปฏิบัติอยํางตํอเนื่อง เป็นแบบอยํางในการดูแล
เบาหวานน๎อยลงซ่ึงการอาศัยอยูํด๎วยกันเป็นครอบครัว ตนเองแกผํ ป๎ู ุวยเบาหวานรายอื่น
ใหญํทาให๎ผ๎ูปุวยเบาหวานร๎ูสึกวําตนเองไมํได๎อยํูอยําง 2. จากผลการวิจัยท่ีพบวําผ๎ูปุวยเบาหวานที่
โ ด ด เ ด่ี ย ว เ ม่ื อ เ จ็ บ ปุ ว ย มี ผ๎ู ดู แ ล แ ล ะ รั บ รู๎ ไ ด๎ ถึ ง ก า ร สามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดี เป็นกลํุมที่
ชํวยเหลือ สํงผลให๎สามารถปฏิบัติพฤติกรรมการดูแล ได๎รับการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม ดังน้ัน
ตนเองอยํางตํอเน่ือง สอดคล๎องกับงานวิจัยท่ีผํานมา บุคลากรด๎านสุขภาพ จึงควรจัดกิจกรรมสํงเสริมให๎
พบวํา แรงสนับสนุนจากครอบครัวด๎านส่ิงของและการ สมาชกิ ครอบครัวและชุมชนมีสํวนรํวมในการดูแลผู๎ปุวย
ดูแลจากคนรอบข๎าง เชํน คํูสมรส บิดามารดา ญาติพี่ เบาหวาน
น๎อง เพ่ือนบ๎าน เพื่อนรํวมงาน แพทย์พยาบาลทาให๎ เอกสารอา้ งองิ
ผูป๎ ุวยเบาหวานมีพฤติกรรมการดแู ลตนเองท่ีดขี ึน้ 14-16 1. กรมควบคุมโรค.แผนยุทธศาสตร์การปูองกัน
และควบคุมโรคไมํติดตํอระดับชาติ 5 ปี (พ.ศ.2560–
3. แบบแผนการดาเนินชีวิต ผู๎ปุวยเบาหวานท้ัง 2564). [อินเทอร์เน็ต]. [เข๎าถึงเม่ือ 1 ธันวาคม 2562].
สองกลํุมมีแบบแผนการดาเนินชีวิตท่ีแตกตํางกันโดย เขา๎ ถึงได๎จาก: http://www.searo.who.int/thailand
กลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎ดี มีการควบคุม /areas/national-ncd-prevention-and-control-
อาหาร ออกกาลังกายสม่าเสมอ พักผํอนเพียงพอ plan
จัดการความเครียดเหมาะสม รับประทานยาตาม 2. สมาคมโรคเบาหวานแหํงประเทศไทย .
แผนการรักษา ดูแลตนเองอยํางตํอเนื่องและไปตรวจ แนวทางเวชปฏิบัติสาหรับโรคเบาหวาน. พิมพ์ครั้งที่ 3.
ตามนัด สํวนกลํุมควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎ มี ปทมุ ธานี:รํมเย็นมีเดียจากัด; 2560.
พฤติกรรมสุขภาพท่ีตรงกันข๎ามและปฏิบัติกิจกรรมการ 3. ฤทธิรงค์ บูรพันธ์, นิรมล เมืองโสม. ปัจจัยที่มี
ดูแลสุขภาพยังไมํเพียงพอที่จะสํงผลให๎สามารถควบคุม ผลตํอการควบคุมระดับน้าตาลในเลือดไมํได๎ของผู๎ปุวย
ระดบั น้าตาลในเลือดได๎ ท้ังในด๎านการไมํควบคุมอาหาร เบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลสร๎างคอม จังหวัด
การออกกาลังกายไมํเพียงพอ ครอบครัวมีสํวนรํวมใน อุดรธานี. ว.วิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัย
การดูแลน๎อย มีวิธีการจัดการกับความเครียดที่ไมํ ขอนแกนํ 2556; 6(3): 102-109.
เหมาะสม ไมํดูแลเท๎าสม่าเสมอ ไมํรับประทานยาตาม 4. กุสุมา กังหลี. ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์ตํอการ
แผนการรักษาและไมํไปตรวจตามนัด ซึ่งการเข๎ารับการ ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดของผู๎เป็นเบาหวานชนิดที่
รักษาและไปตรวจตามนัดทุกคร้ังจะได๎รับแนะนา สอง โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล๎า. ว.พยาบาลทหารบก
เก่ียวกับโรคและการปฏบิ ตั ติ วั ทาให๎รับร๎ูโอกาสเส่ียงและ 2557; 15(3): 256-268.
ความรุนแรงของโรค ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของ
ตนเองสอดคล๎องกับการวิจัยท่ีผํานมา พบวําพฤติกรรม 28
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
5. สุปรียา เสียงดัง. พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ [เข๎าถึงเม่ือ 1ธันวาคม 2562]. เข๎าถึงได๎จาก: http://
ตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวานท่ีควบคุมไมํได๎. ว.เครือขําย journal.knc.ac.th/pdf/17_2_2554_3.pdf
วิทยาลัยพยาบาลและการสาธารณสุขภาคใต๎ 2560;
(1): 94-106. 13. กมลพร สริ ิคตุ จตพุ ร,วิ ราพรรณ วิโรจน์รัตน์,
นารรี ัตน์ จติ รมนตรี. ปจั จยั ทานายพฤติกรรมการจัดการ
6. Pender, N.J, Murdaugh, C.L., Parsons, ตนเองของผู๎สูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2. ว.สภาการ
M.A. Health Promotion in nursing practice. พยาบาล 2560; 32(1): 81-93.
6thed. New Jersey: Pearson Education; 2011.
14. คะนึงนุช แจ๎งพรมมา, พัทธ์นันท์ คงทอง.
7. วรารตั น์ ปาจรียานนท์, ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์, ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับระดับHBAIC ของผ๎ูปุวย
ลุนณี สุวรรณโมรา, สุพรรัตน์ ชํองวารินทร์, นวรัตน์ ภู เบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลพระยืน จังหวัด
เหิน. ปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับภาวะโรคเบาหวานท่ีควบคุม ขอนแกํน. ว.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สาขา
ไมํได๎. ว.โรงพยาบาลมหาสารคาม 2561; 15(1): 118- วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2561; 10(19): 1-13.
127.
15. รัชมนภรณ์ เจริญ, น้าอ๎อย ภักดีวงศ์, อา
8. ธนวัฒน์ สวุ ฒั นกลุ . ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับ ภาพร นามวงศ์พรหม. ผลของโปรแกรมพัฒนาความร๎ู
การควบคุมระดับน้าตาลในเลือดของผู๎ปุวยเบาหวาน และการ มสี ํวนรํวมของครอบครัวตํอพฤติกรรมสุขภาพ
ชนิดท่ี 2. ว.วิจัยระบบสาธารณสุข 2561; 12(3): 515- แ ล ะ ก า ร ค ว บ คุ ม ร ะ ดั บ น้ า ต า ล ใ น เ ลื อ ด ข อ ง ผ๎ู ปุ ว ย
522. เบาหวานประเภทท่ี 2. Rama nurse journal 2010;
16(2): 279-292.
9. โชติรส คงหอม. ปัจจัยที่สํงผลตํอพฤติกรรม
การจัดการตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวานโรงพยาบาลคลอง 16. ธารินทร์ สุขอนันต์, ณัฐพร มีสุข, อาภิสรา
หลวง จังหวัดปทุมธานี. EAU Heritage Journal Sci- วงศ์สละ. ปัจจัยที่มลตํอพฤติกรรมการควบคุมระดับ
ence and Technology 2014; 8(2): 248-258. น้าตาลในเลือดของผู๎ปุวยเบาหวานโรงพยาบาลสํงเสริม
สุขภาพตาบลบ๎านสวน อาเภอเมือง จังหวัดชลบุรี.ว.
10. เอกภพ จันทร์สุคนธ์, วิภาดาศรีเจริญ, กิ่ง วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล๎า จันทบุรี 2559; 27(1):
แก๎ว สารวยรื่น. ปัจจัยพยากรณ์พฤติกรรมการดูแล 93-102.
ตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวานชนิดที่2ในเขตอ.เมืองจังหวัด
พิษณุโลก. ว.วิชาการมหาวิทยาลัยอิสเทิร์นเอเชียฉบับ 17. อสุ า พุทธรักษ, เสาวนันท์ บาเรอราช. ปัจจัย
วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2560; 11(3): 229-239. ท่ีมีความสัมพันธ์กับการควบคุมระดับน้าตาลในเลือด
ของผู๎ปุวยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เข๎ารับการรักษาท่ี
11. ปัทมา สุพรรณกุล, สุทธิชัย ศิรินวล, เจษฎา โรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบลก๎างปลา จังหวัดเลย.
กร โนอินทร์, วิมาลา ชโยดม, อรพินท์ สิงหเดช. ปัจจัย [อินเทอร์เน็ต]. [เข๎าถึงเม่ือ 1 ธันวาคม 2562 ]. เข๎าถึง
ทานายพฤติกรรมการดูแลตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวาน ได๎จาก: https://gsbooks.gs.kku.ac.th/58/the34th/
ชนิดที่ 2 จังหวัดสุโขทัย. ว.วิชาการมหาวิทยาลัยอิส pdf/MMP
เทริ ์นเอเชยี ฉบบั วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 2560; 11
(1): 211-223. 18. จุไรรัตน์ ดือขุนทด, สิริลักษณ์ โสมานุสรณ์,
วารี กังใจ. ผลของโปรแกรมสํงเสริมการผํอนคลายโดย
12. ผุสดี ดํานกุล, พชรพร สุวิชาเชิดชู, นิภา การฟังดนตรีธรรมะรํวมกับสุวคนธบาบดั ตํอคณุ ภาพการ
วรรณ ทองเป็นใหญํ. ความสัมพันธ์ระหวํางปัจจัยสํวน นอนหลับของผ๎ูสูงอายุในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการ
บุคคล ปัจจัยด๎านพฤติกรรมการดูแลตนเอง ปัจจัยด๎าน สังคมผ๎ูสูงอายุ. ว.วิทยาลัยพยาบาลกรุงเทพ 2559; 32
การสนับสนุนกับการควบคุมระดับน้าตาลในเลือดของ (1): 15-30.
ผ๎ูปุวยเบาหวานชนิดที่ 2 ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ
หนํวยบริการปฐมภูมิเครือขํายเมืองยํา. [อินเทอร์เน็ต].
รับต๎นฉบบั : 1 เมษายน 2562, ไดร๎ บั บทความปรับปรงุ : 4 มีนาคม 2563, รับลงตีพมิ พ:์ 11 มนี าคม 2563
29
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีท่ี 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
ผลของโปรแกรมการเสรมิ พลงั อานาจต่อพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวาน ศูนย์สขุ ภาพชมุ ชนเมือง
โรงพยาบาลอุดรธานี 2 อาเภอเมืองจังหวัดอดุ รธานี
สงั วาลย์ พพิ ิธพร, พย.บ. พยาบาลวิชาชพี ชานาญการ, กลมํุ งานเวชกรรมสงั คม โรงพยาบาลอุดรธานี
บทคัดย่อ
การวจิ ัยคร้งั นีเ้ ป็นการวิจัยกงึ่ ทดลอง (Quasi experimental research) เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเสริม
พลังอานาจตํอพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู๎ปุวยเบาหวาน ในด๎านความร๎ู พฤติกรรมการดูแลตนเอง และระดับ
น้าตาลในเลอื ดของผูป๎ ุวยกํอนและหลงั ได๎รับโปรแกรม โดยเลือกกลุํมตัวอยํางแบบเฉพาะเจาะจงตามเกณฑ์ท่ีกาหนด
จานวน 30 คน เคร่ืองมือที่ใช๎ศึกษาคร้ังน้ี ได๎แกํโปรแกรมการเสริมสร๎างพลังอานาจที่สร๎างขึ้นตามแนวคิดของ
Gibson ประกอบด๎วย (1) การรับรู๎โดยวิเคราะห์ตนเอง รํวมกาหนดแนวทางการดูแลตนเอง (2) ตระหนักคุณคํา
ตนเองโดยวางแผนปรับปรุงพฤติกรรมการดูแลตนเองและแลกเปล่ียนเรียนร๎ูรํวมกัน (3) พัฒนาศักยภาพตนเองตาม
แผนที่วางไว๎อยํางตํอเน่ือง (4) ถอดบทเรียนเพื่อยืนยันผลการพัฒนาตนเองใช๎เวลาดาเนินการ 12 สัปดาห์
ประกอบด๎วยกิจกรรม การบรรยาย การเสนอตัวแบบด๎านดี การสาธิตฝึกปฏิบัติ รํวมทาพันธะสัญญาเพื่อการดูแล
ตนเอง การอภิปรายผลการฝึกปฏิบัติและติดตามเยี่ยมบ๎านเก็บรวบรวมข๎อมูลโดยใช๎แบบสอบถาม ซ่ึงได๎รับการ
ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผ๎ูเช่ียวชาญ และทดสอบความเชื่อมั่น โดยวิธีอัลฟาของคอนบราค (Cronbach
alpha coefficient) ไดค๎ าํ ความเชื่อมั่นของแบบวัดความรู๎ และแบบวัดพฤติกรรมการดูแลตนเอง เทํากับ 0.79 และ
0.81 ตามลาดบั วเิ คราะห์ข๎อมลู โดยใชส๎ ถิติเชงิ พรรณนา ได๎แกํ ความถ่ี รอ๎ ยละ คําเฉลี่ย สวํ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ
ใช๎สถิติเชงิ อนมุ าน ไดแ๎ กํ Paired t-test
ผลการวิจัยพบวําหลังให๎โปรแกรมกลุํมตัวอยํางมีคําเฉล่ียคะแนนความร๎ู และคําเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการ
จัดการตนเองสูงกวํากํอนให๎โปรแกรมอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<.001 และ p<.001) และมีคําเฉล่ียระดับน้าตาล
ในเลือด (FBS) ลดลงจาก 196.27 mg/dl เหลือ 140.50 mg/dl และระดับ HbA1c จาก 8.62 mg/dl เหลือ
6.89 mg/dl ตา่ กวํากอํ นให๎โปรแกรมอยาํ งมนี ยั สาคญั ทางสถิติ (p<.001) โปรแกรมการเสริมพลังอานาจชํวยสํงเสริม
ให๎ผ๎ูปุวยเบาหวานมีความร๎ูและพฤติกรรมการจัดการโรคเบาหวานด๎วยตนเองดีขึ้น และลดระดับน้าตาลในเลือด
(FBS) และระดบั HbA1c ได๎ จึงควรนาไปประยกุ ตใ์ ชใ๎ นหนวํ ยบริการปฐมภูมใิ นเครอื ขํายตํอไป
คาสาคญั : การเสรมิ สร๎างพลังอานาจ, พฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง, ระดบั ฮโี มโกลบินเอวันซี
Corresponding author: สงั วาลย์ พพิ ธิ พร โทรศัพท์ 081-7699410 E-mail: [email protected]
กลํมุ งานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลอดุ รธานี 33 ถ.เพาะนยิ ม ต.หมากแข๎ง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000
30
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
The Effectiveness of the Empowerment Program on Self-Care Behaviors in Patients diabetes.
Udonthani Hospital 2 primary care unit, Muang district, Udonthani Province.
Sungwan Phiphitaporn, RN. Registered Nurse, Social Medicine Department, Udonthani Hospital
Abstract
This quasi-experimental research aimed to study the effectiveness of the empowerment
program on self-care behaviors in patients diabetes on knowledge, self- care behavior and blood
sugar levels before and after receiving the program. The 30 samples were purposively selected-
based on the inclusion criteria. The instruments used in this research by using the Gibson’s
empowerment framework. The samples received the empowerment. application program
included (1 ) recognition by self analysis and joint formulation of self care practice, (2 ) self-
awareness and values with behavior modification plan to self-care and experience sharing (3 )
continuous self-development according to the plan, and (4) drawing lessons to verify the results
of self development for 12 weeks. The implementation were consisted of different activities such
as lecture, a training demonstration, a good model presentation, self-care contract, discussion of
practice outcomes, and follow up through home visit. Collected data by questionaires. Its content
validity was confirmed by experts and Cronbach's alpha coefficient to test the reliability of the
test to measure knowledge and self-care behaviors was 0.79-0.81 respectively. Data analyzed by
descriptive statistics such as frequency, percentage, mean, standard deviation. Estimative data for
comparative mean score were analyzed by Paired t-test.
The results showed that after the program, the average score for diabetic knowledge and
self-management behavior was significantly higher than before receiving the program (p<.001 and
p<.001). In addition, average blood glucose (FBS) levels was decrease from196.27 mg/dl to 140.50
mg/dl and (HbA1c) levels from 8.62 mg/dl to 6.89 mg/dl were significantly lower than before
receiving the program at a statistically significant (p<.0 0 1 ). This empowerment program was
effective in promoting diabetic knowledge, self-management behavior, and blood glucose (FBS),
(HbA1c) levels. This program could be applied to the network of a primary care unit
Keywords: Empowerment, Self-Care behaviors, glycosylated hemoglobin HbA1C
31
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ่ี 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
บทนา อุดรธานีมีอัตราปุวยผ๎ูปุวยนอกตามกลุํมสาเหตุ (21
องค์การอนามัยโลกได๎ประมาณการวําประชากร กลํุมโรค) ปี 2554-2558 ในกลํุมโรคเก่ียวกับตํอมไร๎ทํอ
โภชนาการ และเมตะบอลิซึม 295, 273.39, 363.27
โลกกวํา 220 ล๎านคนเป็นโรคเบาหวาน1 และเป็นคน 339.80, 332.37 ตามลาดับ คิดอัตราตํอ 1000
เอเชียประมาณ 89 ล๎านคน องค์การอนามัยโลกได๎ ประชากร5 ซง่ึ พบวําจานวนผป๎ู วุ ยมแี นวโนม๎ สงู ขึ้น
ทานายไว๎วําในปี พ.ศ.2573 ประชากรโลกจานวน 23
ล๎านคน จะเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ ข๎อมูลผู๎ปุวยโรคเบาหวานท่ีมารับบริการที่ศูนย์
โดยร๎อยละ 85 อยูํในประเทศกาลังพัฒนาและเป็น สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาลอุดรธานี 2 พบวําผ๎ูปุวย
ประชากรกลํมุ วัยแรงงานรองลงมา คือ โรคมะเร็ง 21% ที่ไมํสามารถควบคุมระดับน้าตาลในเลือดได๎จานวน 98
โรคถุงลมโปุงพอง รวมโรคปอดเร้ือรังและหอบหืด 12% คน จากจานวนท้ังหมด 328 คน คิดเป็นร๎อยละ 29.9
(4.2 ล๎านคน) และ โรคเบาหวาน 4% (1.3 ล๎านคน)2 เป็นกลํุมผู๎ปุวยโรคเบาหวานท่ีมีระดับน้าตาลในเลือด
ประเทศไทยมีภ าระจากกลํุมโรคเรื้อรัง (non- ≥180 mg% จานวน 45 คน คิดเป็นร๎อยละ 13.7 มี
communicable diseases) จากการสญู เสียปีสุขภาวะ ผู๎ปุวยเพียงร๎อยละ 11.7 ที่สามารถควบคุมภาวะ
(Disability-Adjusted Life Years loss) ของประชากร โรคเบาหวานได๎ดีโดยมีระดับน้าตาลสะสมในเลือด
ไทยปุวยด๎วยโรคเบาหวานเพิ่มข้ึน พบวําความชุกของ (HbA1C) <6.5% ในขณะที่ผู๎ปุวยเบาหวานร๎อยละ
โรคเบาหวานคิดเป็นร๎อยละ 6.9 โดยประชากรไทยอายุ 47.3มีระดับน้าตาลสะสมในเลือด (HbA1C)>7% ซ่ึง
15 ปี ขึ้นไปประมาณ 3.46 ล๎านคนกาลังเผชิญกับ ผลกระทบของโรคเบาหวานเมื่อระดับน้าตาลในเลือดสูง
โรคเบาหวาน ทั้งนี้ในประเทศไทยจานวนผ๎ูปุวย เป็นระยะเวลานานเสี่ยงตํอการเกิดภาวะแทรกซ๎อนใน
เบาหวานชนิดท่ี 2 คิดเป็นร๎อยละ 95 ของผ๎ูปุวย หลายระบบของรํางกาย ได๎แกํ ภาวะแทรกซ๎อนที่ไต
เบาหวานทั้งหมดตามลาดับ3 จะเห็นได๎วําเบาหวานเป็น ร๎อยละ 43.9 ภาวะแทรกซ๎อนท่ีตา ร๎อยละ 30.7 โรค
โรคเร้ือรังที่คุกคามสุขภาพของผ๎ูท่ีเจ็บปุวย นาไปสํูการ หลอดเลือดหัวใจตีบ ร๎อยละ 8.1 โรคหลอดเลือดสมอง
บั่นทอนคุณภาพชีวิต และทาให๎มีการสูญเสียชีวิตมาก ร๎อยละ 4.4 โดยระดับน้าตาลท่ีเพิ่มข้ึนทาให๎เกิดความ
ที่สุดโรคหน่ึง โรคนี้พบได๎กับคนทุกเพศทุกวัย แตํจะพบ เสอื่ มของผนงั หลอดเลือดแดงท่ัวรํางกาย แผลเบาหวาน
มากในวยั ผใ๎ู หญํสืบเนื่องจากสภาวะความเป็นอยํูและวิถี ที่เท๎า ร๎อยละ 5.9 ซ่ึงเกิดจากปลายประสาทเส่ือมเกิด
ชีวิตของคนในปัจจุบันท่ีเปล่ียนไปทาให๎ผ๎ูปุวยกลุํมน้ีมี ขึ้นกับเส๎นประสาทรับความรู๎สึก เส๎นประสาทควบคุม
จานวนเพิม่ มากขึน้ อยํางตํอเนื่อง กล๎ามเน้ือ และเส๎นประสาทในระบบอัตโนมัติ ทาให๎
สูญเสียการรับความรู๎สึกเจ็บปวด หรือร๎ูสึกร๎อนเย็น
จากการคัดกรองภาวะสุขภาพประชาชนวัย ผิวหนังแห๎ง แตก มีเหง่ือออกน๎อย และแผลท่ีเท๎ามักจะ
ทางานอายุ 15-59 ปี จังหวัดอุดรธานี ปี 2558-2560 มีการติดเชื้อรํวมด๎วยเสมอ ทาให๎เกิดการอักเสบลุกลาม
พบภาวะอ๎วนในเพศชาย ร๎อยละ 17.52, 28.25, 33.91 มากข้ึน และสูญเสียอวัยวะ ร๎อยละ 1.66 จากการ
เพศหญิง ร๎อยละ 26.60, 35.57, 38.78 และภาวะอ๎วน สอบถามผู๎ปุวยพบวํา ไมํออกกาลังกาย ติดรสหวาน
ลงพุง เพศชาย ร๎อยละ 8.56, 8.84, 10.22 เพศหญิง ชอบกนิ มนั ชอบกนิ ข๎าวนอกบ๎าน ควบคุมนา้ หนักไมํได๎ มี
ร๎อยละ 37.06, 38.37 และ 40.78 ตามลาดับ และจาก ภาวะเครียด และวิตกเร่ืองครอบครัว ไมํชอบให๎ใครมา
สรุปผลการดาเนินงานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี บังคับในการดูแลตัวเอง และส่ิงที่สาคัญคือการไมํ
พบวําอัตราชุกโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูง ตระหนัก การที่จะแก๎ปัญหาของผู๎ปุวยได๎ต๎องให๎มี
ของประชาชนจังหวัดอุดรธานีมีแนวโน๎มสูงขึ้นทุกปี ความร๎ู ความเข๎าใจในกลไกการเกิดโรค วิธีการปูองกัน
อยํางตํอเนื่อง ในปี 2556-2560 พบอัตราชุกโรค โรคท่ีสอดคลอ๎ งกับวิถชี วี ิตตนเองเพื่อให๎จัดการตนเองได๎
เบาหวานในประชากร 15 ปีขึ้นไป ร๎อยละ 6.98, 6.99, ซ่ึงสอดคล๎องกับแนวคิดการเสริมพลังอานาจของ
7.05, 7.09 และ 7.37 ตามลาดับ4 ซ่ึงในโรงพยาบาล
32
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
Gibson7 ซ่ึงกลําววําการเสริมพลังเป็นกระบวนการชํวย จากข๎อมูลสภาพปัญหาและแนวคิดดงั กลําวผ๎ูวิจัย
ให๎บุคคลควบคุมปัจจัยท่ีมีผลตํอสุขภาพและชีวิต มี จึงได๎ใช๎แนวคิดการเสริมสร๎างพลังอานาจของ Gibson7
ความสุข ตระหนักในศักยภาพของตนเองในการรักษา มาประยุกต์ในการเสริมสร๎างพลังอานาจของผ๎ูปุวยใน
สุขภาพ และยงั เข๎าถึงแหลํงประโยชน์ท้ังสํวนบุคคลและ การดูแลพฤติกรรมตนเอง โดยมีหลักการให๎บุคคล
สังคม มาใช๎ให๎เกิดประโยชน์กับสุขภาพตนเอง สามารถค๎นพบปัญหาด๎วยตนเอง บุคลากรสาธารณสุข
ครอบครัวและสังคมมีการศึกษาของยงยุทธ์ สุขพิทักษ์8 เป็นผู๎สนับสนุนอยํางตํอเนื่องหรือชี้แนะสํงเสริมพัฒนา
เทคนิคการเสริมพลังในการจัดการตนเองของผ๎ูปุวย ทักษะทจี่ าเปน็ เพือ่ ใหผ๎ ป๎ู วุ ยสามารถจัดการแก๎ไขปัญหา
เบาหวานที่สอดคล๎องกับวิถีชุมชนกลุํมตัวอยํางเป็น ท่ีเกิดขึ้นด๎วยตนเอง ผ๎ูปวุ ยเกิดความเชื่อม่ันและมั่นใจใน
ผู๎ปุวยเบาหวานที่ข้ึนทะเบียน ในปี พ.ศ.2555 และ การปฏิบัติอยํางย่ังยืน ประกอบด๎วย 4 ขั้นตอน คือ
รักษาตํอเน่ืองที่ โรงพยาบาลสํงเสริมสุขภาพตาบลเขา 1. การค๎นพบสถานการณ์จริง 2. การสะท๎อนคิดอยํางมี
พระบาท อ.เชียรใหญํ จ.นครศรีธรรมราช สมัครใจเข๎า วิจารณญาณ 3. การตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติที่เหมาะสม
รํวมกิจกรรม 84 คน เก็บข๎อมูลชํวงเดือนมิถุนายน และ 4. การคงไว๎ซึ่งการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพเป็น
2555 ถึง มิถนุ ายน 2556 หลังการวจิ ยั กลํุมเปูาหมาย มี เครื่องมือสํงเสริมคุณภาพในการวิเคราะห์พฤติกรรม
คําเฉลี่ยคะแนนความร๎ู คําเฉล่ียคะแนนพฤติกรรมการ การวินิจฉัย การดูแลรักษาอยํางถูกต๎องโดยเร็วและ
ดูแลตนเอง คาํ เฉลยี่ ไขมันในเลือด คําเฉลี่ยระดับน้าตาล ตํอเน่ือง ผู๎ปุวยได๎รับความร๎ูรวมท้ังข๎อมูลที่เกี่ยวข๎อง
ในเลือด และคําเฉล่ีย HbA1c ดีกวํากํอนการทดลอง อยํางถูกต๎อง และเป็นกลยุทธ์เพื่อพัฒนาคุณภาพงาน
อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05) การใช๎เทคนิคเสริม ด๎านโรคเรื้อรงั ตํอไป
พลังกับกลํุมผ๎ูปุวยเบาหวานพบวํา มีผลทาให๎กลํุม วตั ถุประสงค์การวจิ ัย
เปูาหมายเกิดการเรยี นรเ๎ู กิดการรับรู๎ มีความตระหนักใน
ตนเองและพรอ๎ มท่ีจะเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการปฏิบัติ เพ่ือศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมพลังอานาจ
ของตนเอง สํงผลให๎เกิดการจัดการตนเองได๎อยําง ตํอพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู๎ปุวยเบาหวาน ใน
ถูกต๎อง เหมาะสม ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดเพื่อ ด๎านความร๎ู พฤติกรรมการดูแลตนเอง และระดับ
ปูองกันภาวะแทรกซ๎อนได๎ และการศึกษาของจุฑารัตน์ นา้ ตาลในเลอื ดของผู๎ปุวย
รังษาและคณะ9 ผลของโปรแกรมการเสริมสร๎างพลัง วิธกี ารดาเนนิ การวจิ ยั
อานาจของผด๎ู แู ลและผ๎ปู วุ ยสูงอายุโรคเบาหวาน อาเภอ
กันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคามพบวํากลํุมทดลองมี การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi
คะแนนเฉลี่ยการรับร๎ูพลังอานาจ พฤติกรรมการดูแล experimental research) ศึกษากลํุมเดียววัดสองครั้ง
ผ๎ูปุวยสูงอายุโรคเบาหวาน และพฤติกรรมสุขภาพของ (One group pretest-posttest design) ประชากรคือ
ผ๎ูปุวยสูงอายุโรคเบาหวานหลังการทดลองสูงกวํากํอน ผ๎ูปวุ ยเบาหวานที่มารับบริการที่ศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง
ก า ร ท ด ล อ ง แ ล ะ สู ง ก วํ า ก ลํุ ม เ ป รี ย บ เ ที ย บ อ ยํ า ง มี โรงพยาบาลอุดรธานี 2 อาเภอเมืองจังหวัดอุดรธานี
นัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05) และผ๎ูปุวยสูงอายุโรค ระหวํางเดือน ตุลาคม-ธันวาคม 2562 จานวน 45 ราย
เบาหวานมีระดับน้าตาลในเลือดหลังการทดลองต่ากวํา ข น า ด ข อ ง ก ลํุ ม ตั ว อ ยํ า ง ต า ม ท ฤ ษ ฎี ขี ด จ า กั ด ก ล า ง
กํอนการทดลองและต่ากวํากลุํมเปรียบเทียบอยํางมี (Central Limit Theorem)10 ที่ระดับความเชื่อมั่น
นัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05) โปรแกรมการเสริมสร๎าง 95% กาหนดให๎จานวนกลํุมตัวอยํางในงานวิจัยทดลอง
พลังอานาจน้ีเป็นอีกแนวทางในสํงเสริมพฤติกรรมการ หรอื กง่ึ ทดลองควรมีขนาดตัวอยําง 30 หรือมากกวํา ใน
ดูแลและพฤตกิ รรมสุขภาพในผปู๎ วุ ยสูงอายุโรคเบาหวาน การศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมพลังอานาจตํอ
ให๎ดขี ึน้ พฤติกรรมการดูแลตนเองของผู๎ปุวยเบาหวานจึงใช๎กลุํม
ตัวอยําง 30 รายแบบเจาะจงตามเกณฑ์คุณสมบัติที่
33 กาหนด (purposive sampling) ดังน้ี
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ่ี 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
เกณฑก์ ารคัดเลอื กอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ เกณฑ์การแบงํ ระดับอิงเกณฑ์ท่ปี ระยุกต์จากแนวคิดของ
(Inclusion criteria) Bloom12 เพอื่ การวเิ คราะหด์ ังน้ี
1. ผ๎ูปุวยโรคเบาหวาน เพศชายและเพศหญิงท่ี ระดบั ความรูส๎ ูง หมายถงึ รอ๎ ยละ 80 ขึ้นไป (12-15 คะแนน)
รับการรักษาตํอเน่ืองท่ีคลินิกเบาหวาน ศูนย์สุขภาพ ระดบั ความรูป๎ านกลาง หมายถงึ รอ๎ ยละ 60-79 (9-12 คะแนน)
ชุมชนเมืองโรงพยาบาลอุดรธานี 2 และได๎รับวินิจฉัย ระดบั ความร๎ูต่า หมายถึง ตา่ กวาํ ร๎อยละ 60 (0-9 คะแนน)
จากแพทย์วําเป็นวําเป็นเบาหวานชนิดท่ี 2 ระยะเวลา
ตัง้ แตํ 6 เดอื นขน้ึ ไป สํวนท่ี 3 แบบวัดพฤติกรรมการดูแลตนเองของ
ผ๎ูปุวยเบาหวาน13 มีข๎อคาถาม 3 ตัวเลือก มีจานวนข๎อ
2. มรี ะดบั นา้ ตาลในเลือด (FBS) ในรอบ 6 เดือน คาถามทั้งหมด 29 ข๎อ คะแนนเต็ม 87 คะแนน โดย
ที่ผาํ นมา ≥180mg% ข้ึนไป หรือระดับ HbA1c>7% ลักษณะข๎อคาถามเป็นแบบมาตราสํวนประมาณคํา 3
ระดบั ตามวิธีของลิเคิร์ท (Likert’s scale) ได๎แกํ ปฏิบัติ
3. ไมํมีภาวะแทรกซ๎อนตํางๆ ท่ีปรากฏชัด ได๎แกํ ประจา ปฏิบัตบิ างครัง้ ไมเํ คยปฏบิ ตั ิ เกณฑ์ระดับการให๎
ภาวะไตวาย (ระยะท่ี 3-4) อัมพาต ได๎รับการตัดแขนขา คะแนนดังน้ี
จากภาวะการเป็นเบาหวาน ตามัวจนมองเห็นผิดปกติ
ความจาเสอื่ ม คะแนนเมอื่ ปฏบิ ัตปิ ระจา ปฏบิ ตั ิบางครัง้ ไมํเคยปฏิบัติ
4. ผป๎ู ุวยต๎องเขา๎ รํวมโปรแกรมด๎วยความสมัครใจ คาถามเชิงบวก 3 2 1
และตํอเนื่องตามนัด คาถามเชิงลบ 1 2 3
5. อํานออกและเขียนได๎สามารถเข๎าใจสนทนา การแปลผลคะแนน โดยใชเ๎ กณฑ์ คือ
โต๎ตอบรู๎เรือ่ ง คาํ เฉลย่ี 2.51-3.00 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ัติตวั ในระดบั ดี
คาํ เฉล่ีย 1.51-2.50 หมายถงึ มีการปฏิบตั ติ วั ในระดบั พอใช๎
เกณฑ์การแยกอาสาสมัครออกจากโครงการ คําเฉลีย่ 1.00-1.50 หมายถึง มีการปฏิบตั ติ วั ในระดับตา่
(Exclusion criteria)
สํวนที่ 4 ระดับนา้ ตาลในเลือด (FBS) และระดับ
1. ผู๎ปุ ว ย ท่ีเ ป็น อา ส าส มัค รท่ี กา ลัง อยํู ใ น น้าตาลสะสมในเม็ดเลือดแดง (HbA1c) แบํงระดับการ
โครงการวิจัยเชิงทดลอง เกิดภาวะแทรกซ๎อนระหวําง แปลผลเปน็ 5 ระดับ ดังน1้ี 4
ศกึ ษา
ระดบั FBS 70-120 mg% หมายถงึ ปกติ
2. ผป๎ู ุวยท่ีต้งั ครรภ์ขณะทอี่ ยูใํ นการวิจยั ระดับ FBS 121-139 mg% หมายถงึ พอใช๎
3. ผู๎ปุวยขาดนัดติดตามการรักษาในวันท่ีเก็บ ระดบั FBS 140-180 mg% หมายถงึ อนั ตรายระยะยาวหรือเร่มิ สูง
ขอ๎ มลู และไมสํ ามารถตดิ ตามตัวให๎มารกั ษาตํอเนอื่ งได๎ ระดับ FBS 181-300 mg% หมายถึง อนั ตรายหรือสงู
เคร่อื งมือทใี่ ชใ้ นการวิจัย ระดับ FBS >300 mg% หมายถงึ อันตรายมากหรอื สูงมาก
เคร่ืองมือที่ใช๎ในการวิจัยในคร้ังน้ีประกอบด๎วย ระดบั HbA1c <6.5% หมายถึง ปกติ
แบบสอบถามทีส่ ร๎างขึ้นโดยศึกษาเอกสารแนวคิดทฤษฎี ระดบั HbA1c 6.6-7.0% หมายถึง พอใช๎
และผลงานวิจัยทเี่ กยี่ วขอ๎ ง แบงํ ออกเป็น 3 สํวนคอื ระดบั HbA1c 7.1-8.0% หมายถึง อันตรายระยะยาวหรือเริม่ สงู
สํวนที่ 1 ข๎อมูลทั่วไป ได๎แกํ เพศ อายุ ระดับ ระดับ HbA1c 8.1-9.0% หมายถงึ อนั ตรายหรอื สงู
การศึกษา อาชีพ รายได๎ ระยะเวลาที่ปุวยประวัติ ระดับ HbA1c >9.0% หมายถึง อนั ตรายมากหรอื สูงมาก
ครอบครัวโดยดจู ากญาตสิ ายตรงทป่ี วุ ย
สํวนที่ 2 แบบวัดความร๎ูเร่ืองโรคเบาหวาน11 มี การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือ ผํานการ
จานวนคาถามท้ังหมด 15 ข๎อ เกณฑ์การให๎คะแนน คือ ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู๎เช่ียวชาญ และ
ตอบถูกจะได๎คะแนนเทํากับ 1 ถ๎าตอบผิดจะได๎คะแนน ทดสอบความเช่ือม่ันโดยวิธีอัลฟาของคอนบราค ได๎คํา
เทํากับ 0 คะแนนเต็ม 15 คะแนน โดยพิจารณาตาม ความเช่ือม่ันของแบบวัดความรู๎ และแบบวัดพฤติกรรม
การดูแลตนเอง มีคําเฉล่ียเทํากับ 0.79 และ 0.81
ตามลาดับ
34
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ขั้นตอนเก็บรวบรวมข้อมูล ตามขั้นตอนการ ความรแ๎ู ละขอ๎ มลู ที่ถกู ต๎องเพิ่มเติม
ดาเนนิ การทดลองโดยจัดกิจกรรมตามโปรแกรมท่ีผ๎ูวิจัย สปั ดาหท์ ่ี 2
ได๎จัดขึ้นโดยใช๎แนวคิดการเสริมสร๎างพลังอานาจตาม กิจกรรมท่ี 2 เพ่ือสํงเสริมให๎ผู๎ปุวยรํวมกาหนด
กระบวนการสร๎างเสริมพลังอานาจของ Gibson7 ใช๎
เวลาท้งั สิน้ 12 สปั ดาหท์ ุกๆ วนั เสาร์ ดังนี้ แนวทางการดูแลตนเอง บอกเลําสภาพการณ์ของโรค
ตามประสบการณ์ของแตํละคน พูดคุยสะท๎อนคิด
สปั ดาห์ที่ 1 เก่ียวกับทัศนะ พฤติกรรม สิ่งแวดล๎อม และความเป็น
1. ดาเนินการตามท่ีนัดหมายกลุํมตัวอยําง จริงทีป่ ฏบิ ัติอยํูอยาํ งมเี หตมุ ีผล
จานวน 45 คน รํวมโครงการวิจัยและคัดเลือกตาม
เกณฑ์ท่ีกาหนดสถานทน่ี ัดหมายศูนยส์ ขุ ภาพชุมชนเมือง สปั ดาหท์ ่ี 3
โรงพยาบาลอุดรธานี 2 ใชเ๎ วลา 45-60 นาที ดงั น้ี กิจกรรมท่ี 3 เพ่ือสํงเสริมให๎ผ๎ูปุวยค๎นหาความ
1.1 ชี้แจงและขอความยินยอมจากผู๎ปุวยในการ จริงด๎วย Mind mapping โดยวิธีแลกเปลี่ยนเรียนรู๎
เข๎ารํวมโครงการวิจัยโดยการลงนามแสดงความยินยอม ประสบการณ์ มองเห็นคุณคําของตนเอง ทบทวน
ในเอกสารท่ีเตรียมไว๎ ครบจานวน 30 คนแล๎วหยุด เปูาหมายของตนเอง และสร๎างสุขภาพที่คาดหวัง เกิด
ผ๎ูปุวยสามารถรับฟังและซักถามจนเข๎าใจชัดเจน ท้ังน้ี การตระหนกั และความเชือ่ ท่จี ะเปลย่ี นแปลงตนเอง
ผ๎ูปุวยสามารถแสดงความยินยอมอยํางอิสระ โดยไมํมี สัปดาหท์ ่ี 4
ผลตอํ กระบวนการรักษา และการเข๎ารับบริการแตํอยําง กิจกรรมท่ี 4 เพ่ือสํงเสริมให๎ผ๎ูปุวยเกิดการ
ใด แลกเปลี่ยนเรียนร๎ูประสบการณ์จริง การใช๎ตัวแบบ
1 .2 อ ธิ บ า ย ภ า พ ร ว ม ข อ ง กิ จ ก ร ร ม แ ล ะ นาเสนอตน๎ แบบผ๎ูปุวยเบาหวานท่ีดูแลตนเองดี โดยการ
กระบวนการเสริมพลังอานาจกับกลํุมตัวอยํางตาม รับฟังประสบการณ์ที่ดีเก่ียวกับการดูแลตนเองจาก
โปรแกรมที่ผ๎ูวิจัยได๎จัดขึ้นอธิบายถึงวัตถุประสงค์ ต๎นแบบที่สามารถควบคุมระดับระดับน้าตาลได๎ดี ปิด
ขัน้ ตอนการวิจัย และประโยชน์ทผ่ี ู๎เขา๎ รวํ มวจิ ัยไดร๎ บั มุมมองชวํ ยเหลอื กัน
กจิ กรรมท่ี 1 สัปดาหท์ ี่ 5
1. Pre-test, ตรวจระดับน้าตาลในเลือด (FBS) กิจกรรมท่ี 5 โปรแกรมเสริมพลังอานาจครั้งท่ี 2
และระดับGlucosylateHemoglobin (HbA1C) ตรวจ สะท๎อนคิดอยํางมีวิจารณญาณ ตระหนักคุณคําใน
ตามปกติของผ๎ปู วุ ย ตนเองโดยวางแผนปรับปรุงพฤติกรรมการดูแลตนเอง
2. บรรยายให๎ความร๎ูเก่ียวกับโรคเบาหวานและ และแลกเปล่ียนเรียนร๎ูรํวมกัน ผ๎ูปุวยรํวมทา “พันธะ
เปิดโอกาสให๎ซักถาม ผ๎ูปุวยรํวมแสดงความคิดเห็นและ สัญญาเพ่ือการดูแลตนเอง” ให๎กาลังใจในการนาไป
ให๎ข๎อเสนอแนะ ปฏิบัติอยํางตํอเน่ือง และลงบันทึกสมุดสุขภาพ แบบ
3. แจกคํูมือการดูแลตนเองสาหรับผู๎ปุวย บันทึกการรบั ประทานอาหาร แบบบันทึกการออกกาลัง
โรคเบาหวาน สอนวิธีการลงสมุดบันทึกสุขภาพ และ กาย กจิ กรรมสาธติ และฝึกปฏิบัติการตรวจเท๎าและนวด
แบบบันทึกการรับประทานอาหาร และการออกกาลัง เท๎าตนเอง
กาย สปั ดาห์ที่ 6
4. จัดโปรแกรมเสริมพลังอานาจคร้ังที่ 1 เพื่อ กิจกรรมท่ี 6 เพื่อสํงเสรมิ ใหผ๎ ๎ปู วุ ยค๎นพบแนวทาง
สํงเสริมให๎ผ๎ูปุวยค๎นพบสภาพการณ์จริงการรับร๎ูโดย เอาชนะปัญหาและอุปสรรค และสร๎างแรงบันดาลใจใน
วิเคราะห์ตนเอง ทบทวน ความเข๎าใจเก่ียวกับ การดแู ลสขุ ภาพของตนเอง ประเมินตนเองและปรับปรุง
โรคเบาหวานรํวมกัน ความหมาย สาเหตุการเกิดโรค วิธีการดูแลสุขภาพตนเองจากต๎นแบบที่ดีและลงบันทึก
และอาการเจ็บปุวย โดยผู๎วิจัยเป็นผ๎ูนาทบทวนให๎ สมุดสุขภาพ แบบบันทึกการรับประทานอาหาร แบบ
บันทกึ การออกกาลังกาย
35
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
สัปดาหท์ ่ี 7 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
กิจกรรมท่ี 7 โปรแกรมเสริมพลังอานาจคร้ังท่ี 3 ข๎ อ มู ล สํ ว น บุ ค ค ล ข อ ง ก ลํุ ม ตั ว อ ยํ า ง ใ ช๎ ส ถิ ติ
การตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติท่ีเหมาะสมพัฒนาศักยภาพ
ตนเองตามแผนที่วางไว๎อยํางตํอเน่ืองคงไว๎ซ่ึงการปฏิบัติ พรรณนา (Descriptive Statistic) ได๎แกํ แจกแจงคํา
ที่มีประสิทธิภาพตามพันธะสัญญาเพื่อการดูแลตนเอง ความถ่ี ร๎อยละ คําเฉลี่ย และสํวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
และลงบันทึกสมุดสุขภาพ แบบบันทึกการรับประทาน เปรียบเทียบความแตกตํางของคะแนนเฉล่ียความรู๎
อาหาร แบบบนั ทกึ การออกกาลงั กาย พฤติกรรมการดูแลตนเอง ระดับน้าตาลในเลือด FBS
สปั ดาห์ที่ 8 ระดับ HbA1C กํอนและหลังการเข๎ารํวมโปรแกรมใช๎
กิจกรรมที่ 8 เพื่อสํงเสริมให๎ผ๎ูปุวยแตํละคนเลํา สถิติอนุมาน (Inferential Statistic) ได๎แกํ paired
ประสบการณ์ความสาเร็จ ปัญหา อุปสรรคในการดูแล t-test
ตนเองตามพนั ธะสัญญา โดยเปรียบเทียบระหวํางพันธะ
สัญญาท่ีทาไว๎กับสิ่งท่ีได๎ปฏิบัติจริงของแตํละคนและ ผลการศึกษา
บันทึกสมุดสุขภาพ แบบบันทึกการรับประทานอาหาร 1. ข๎อมูลทั่วไปของกลํุมตัวอยํางพบวําสํวนใหญํ
แบบบันทกึ การออกกาลงั กาย
สปั ดาห์ท่ี 9 เป็นเพศหญิง ร๎อยละ 73.3 มีอายุอยูํในชํวง 63-70 ปี
กิจกรรมที่ 9 โปรแกรมเสริมพลังอานาจคร้ังท่ี 4 (Mean=64.67, S.D.=3.99, Max=79, Min=47) ร๎อย
การคงไว๎ซ่ึงการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ ถอดบทเรียน ละ 40.0 การศึกษาระดับประถมศึกษา ร๎อยละ 30.0 มี
เพ่ือยืนยันผลการพัฒนาตนเองเพื่อกระตุ๎นและติดตาม อาชีพรับจ๎างร๎อยละ 33.3 มีรายได๎อยํูในชํวง 5,000-
การคงไว๎ซึ่งการดูแลตนเองของผ๎ูปุวยผ๎ูวิจัยให๎กาลังใจ 10,000 บาท (Mean=10,966.67, S.D.=5,372.24,
เสริมพลังใจ และกระตุ๎นให๎ทาตํอเนื่อง และบันทึกสมุด Max=2 5 ,0 0 0 , Min=4 ,0 0 0 บ า ท ) ร๎ อ ย ล ะ 6 0
สุขภาพ แบบบนั ทกึ การรับประทานอาหาร แบบบันทึก ระยะเวลาท่ีปุวยเป็นโรคเบาหวาน อยูํในชํวง 6-9 ปี
การออกกาลังกาย แจ๎งผ๎ูปุวยให๎ทราบวําจะมีการเยี่ยม (Mean=8.20, S.D.=3.12, Max=15, Min=4) ร๎อยละ
บ๎านและตรวจการลงบนั ทกึ สมุดสุขภาพ 50.0 ญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน ร๎อยละ 53.3
สัปดาห์ที่ 10-11 (ตารางที่ 1)
กิจกรรมท่ี 10-11 ติดตามเย่ียมบ๎านผู๎ปุวย
เบาหวานที่เข๎ารํวมวิจัย กระตุ๎นเตือน โน๎มน๎าว ชักชวน ตารางท่ี 1 จานวน และร้อยละของกลุ่มตัวอย่าง
การให๎กาลังใจชมเชย ประเมินผล ตรวจการลงสมุด จาแนกตามข้อมลู ทัว่ ไป (N=30)
บันทึกสุขภาพ และแบบบันทึกการรับประทานอาหาร
และการออกกาลังกาย โดยแบํงทีมผู๎ชํวยวิจัย 2 ทีม ขอ้ มูลทว่ั ไป จานวนคน (รอ้ ยละ)
เยย่ี มกลมุํ ละ 15 คน ใช๎เวลา 30-45 นาที
สัปดาห์ที่ 12 post-test ตรวจระดับน้าตาลใน เพศ 8 (26.7)
เลอื ด (FBS) และระดับ HbA1c ชาย 22 (73.3)
จรยิ ธรรมในการวจิ ยั หญงิ
การวิจัยครั้งนี้ผํานการพิจารณาและได๎รับอนุมัติ 64.67 (3.99)
จ า ก ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร จ ริ ย ธ ร ร ม ก า ร วิ จั ย ใ น ม นุ ษ ย์ อายุ (ป)ี 47-79
โรงพยาบาลอุดรธานี หนังสือรับรองเลขท่ี 53/2562 ลง Mean (S.D.) 5 (16.7)
วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2562 Range 8 (26.7)
47 - 54 ปี 12 (40.0)
55 - 62 ปี
63 - 70 ปี
36
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ตารางท่ี 1 จานวน และร้อยละของกลุ่มตัวอย่างจาแนก ตารางท่ี 2 จานวนร้อยละของระดับความรู้เกี่ยวกับ
ตามขอ้ มูลท่วั ไป (N=30) (ตอ่ ) โรคเบาหวานกอ่ นและหลังเข้าร่วมโปรแกรม
ข้อมูลทั่วไป จานวนคน (ร้อยละ) คะแนนความรู้ ระดับ กอ่ นการทดลอง หลังการทดลอง
ระดับการศกึ ษา (คะแนน) ความรู้ จานวน (ร้อยละ) จานวน (รอ้ ยละ)
ประถมศึกษา 9 (30.0)
มธั ยมศกึ ษาตอนต๎น 5 (16.7) 12-15 สูง - 25 (83.3)
มัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. 4 (13.3) 9-12 ปานกลาง - 5 (16.7)
0-9 30 (100.0)
ตา่ -
อนปุ รญิ ญา/ ปวส. หรือ 8 26.7) กลุํมตัวอยํางมีคะแนนเฉล่ียของความร๎ูกํอนการ
เทียบเทาํ ทดลองเทํากับ 5.23 และหลังการทดลองเทํากับ 14.37
ปริญญาตรีหรือสูงกวํา 4 (13.3) (คะแนนเต็ม 15 คะแนน) เม่ือทดสอบความแตกตํางทาง
อาชีพ สถติ พิ บวําคะแนนเฉล่ียของความรู๎ หลังการทดลองเพิ่มข้ึน
รับจ๎าง 10 (33.3) อยํางมนี ยั สาคญั ทางสถิติ (ตารางท่ี 3)
ธุรกิจสวํ นตัว 5 (16.7) ตารางที่ 3 ค่าเฉล่ียคะแนนความรู้ก่อนและหลังการ
ค๎าขาย 7 (23.3) ทดลอง
รบั ราชการ/รัฐวสิ าหกิจ 4 (13.3)
อืน่ ๆ 4 (13.3)
รายได๎ ความรู้ x̄ S.D. t p-value
Mean (S.D.) 10,966.67 (5,372.24)
Range 4,000-25,000 กํอน 5.23 1.14 -25.29** .000
<5,000 บาท 1 (3.3) การทดลอง
5,000-10,000 บาท 18 (60.0) หลัง 14.37 1.50
การทดลอง
10,001-15,000 บาท 6 (20.0) 3. พฤติกรรมการดูแลตนเองของผปู้ ว่ ยเบาหวาน
>15,000 บาทขึ้นไป 5 (16.7) เม่ือพิจารณาพฤติกรรมการดูแลตนเองของผ๎ูปุวย
ระยะเวลาทปี่ วุ ยเปน็ โรคเบาหวาน
Mean (S.D.) 8.20 (3.12) เบาหวานพบวําผู๎ปุวยเบาหวานสํวนใหญํมีพฤติกรรมการ
Range 4-15 ดูแลตนเองกํอนเข๎ารํวมโปรแกรมอยํูในระดับพอใช๎ ร๎อยละ
<6 ปี 5 (16.7) 100.0 และภายหลังเข๎ารํวมโปรแกรมมีพฤติกรรมการดูแล
6-9 ปี 15 (50.0) ตนเองอยูใํ นระดบั ดี รอ๎ ยละ 100.0 (ตารางที่ 4)
ญาตสิ ายตรงเปน็ โรคเบาหวานหรอื ไมํ ตารางท่ี 4 จานวนร้อยละของผู้ป่วยเบาหวานจาแนก
มี 16 (53.3) ตามระดับพฤติกรรมการดูแลตนเองก่อนและหลังการ
ทดลอง
ไมมํ ี 14 (46.7) คะแนน ระดบั ก่อนการ หลงั การ
พฤติกรรม พฤตกิ รรม ทดลอง ทดลอง
2. ความรเู๎ กยี่ วกับโรคเบาหวาน จานวน จานวน
เม่อื พิจารณาระดับความรพู๎ บวาํ ผู๎ปุวยเบาหวานสํวน 2.51-3.00 มกี ารปฏิบตั ิตวั (รอ้ ยละ) (รอ้ ยละ)
ใหญํมคี วามรก๎ู ํอนการทดลองอยูํในระดับต่า ร๎อยละ 100.0 1.51-2.50 ในระดบั ดี 30 (100.0)
และภายหลงั การทดลองมีความรู๎ในระดับสูงและปานกลาง 1.00-1.50 มีการปฏิบตั ิตวั -
ร๎อยละ 83.3 และรอ๎ ยละ 16.7 ตามลาดับ (ตารางที่ 2) ในระดบั พอใช๎
มีการปฏิบัตติ วั 30 (100.0) -
ในระดับต่า
--
37
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปีท่ี 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
กลุํมตัวอยํางมีคะแนนเฉลี่ยของพฤติกรรมการดูแล ระดับอันตรายหรอื สงู ร๎อยละ 96.7 และระดบั อนั ตรายมาก
สุขภาพกอํ นเขา๎ รํวมโปรแกรมเทํากบั 1.79 และหลงั เขา๎ รํวม หรือสูงมาก ร๎อยละ 3.3 และภาย หลังการทดลองมีระดับ
โปรแกรมเทํากับ 2.75 เมื่อทดสอบความแตกตํางทางสถิติ น้าตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) ในระดับพอใช๎
พบวําคะแนนเฉล่ียพฤติกรรมการดูแลตนเองของผ๎ูปุวย ร๎อยละ 53.3 และระดับอันตรายระยะยาวหรือเริ่มสูงร๎อย
เบาหวาน หลังการทดลองเพิ่มข้ึนอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ ละ 46.7 (ตารางที่ 7)
(ตารางท่ี 5) ตารางที่ 7 จานวน ร้อยละของระดับน้าตาลในเลือด
ตารางที่ 5 ค่าเฉลี่ยคะแนนพฤตกิ รรมการดูแลตนเองก่อน (Fasting Blood Sugar) ก่อนและหลังการทดลอง
และหลังการทดลอง
ระดบั แปลผล ก่อนการทดลอง หลงั การทดลอง
พฤติกรรม x̄ S.D. t p-value FBS mg/dl จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ
70-120 mg/dl ปกติ
การดูแลตนเอง 121-139 mg/dl พอใช๎ -- --
กอํ นการทดลอง 1.79 0.12 -33.47** .000 140-180 mg/dl อันตราย -- 16 53.3
หลงั การทดลอง 2.84 0.08 ระยะยาว -- 14 46.7
181-300 mg/dl หรอื เรม่ิ สงู
การเปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเองกํอนและ >300 mg/dl อันตราย 29 96.7 --
หลังการทดลองพบวําผู๎ปุวยเบาหวานมีพฤติกรรมการดูแล หรอื สูง 1 3.3 --
ตนเองหลังเข๎ารํวมโปรแกรมสูงกวํากํอนเข๎ารํวมอยํางมี อนั ตราย
นยั สาคญั ทางสถิติ (p<.001) (ตารางที่ 6) มากหรอื
สงู มาก
ตารางท่ี 6 ผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมการดูแลตนเอง
ของผปู้ ว่ ยเบาหวานกอ่ นและหลังการทดลอง ผลการศึกษาพบวําผ๎ูปุวยเบาหวานมีคําเฉลี่ยของ
ระดับน้าตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) กํอนการ
พฤตกิ รรม กอ่ นการทดลอง หลังการทดลอง p-value ทดลองเทํากับ 196.27 และหลังการทดลองเทํากับ 140.50
การดูแล x̄ S.D. ระดับ x̄ S.D. ระดับ .000 เมือ่ ทดสอบความแตกตํางทางสถิติพบวําคําเฉล่ียของระดับ
ตนเอง 1.64 0.19 พอใช๎ 2.85 0.11 ดี น้าตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) ต่ากวํากํอนให๎
ดา๎ นการ โปรแกรมอยาํ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ิ (p<0.001) (ตารางท่ี 8)
รบั ประทาน ตารางที่ 8 ค่าเฉล่ียระดับน้าตาลในเลือด (Fasting
อาหาร Blood Sugar) กอ่ นและหลังการทดลอง
ดา๎ นการดม่ื 2.43 0.23 พอใช๎ 2.82 0.16 ดี .000
เครอื่ งดม่ื ดี .000
แอลกอฮอล์ ดี .000 ระดับ
สูบบหุ ร่ี ดี .000 FBS mg/dl
กํอนการทดลอง
ด๎านการออก 1.69 0.22 พอใช๎ 2.85 0.18 ดี .000 หลงั การทดลอง x̄ S.D. t p-value
กาลังกาย 196.27 31.59 11.35** .000
ดา๎ นการ 1.59 0.21 พอใช๎ 2.74 0.16 140.50 14.30
จดั การ
ความเครยี ด
ทางอารมณ์
ดา๎ นการ 1.60 0.34 พอใช๎ 2.91 0.13
รบั ประทาน เม่ือพิจารณาระดับ HbA1c พบวําผ๎ูปุวยเบาหวาน
ยาและการ สํวนใหญํ มีระดับ HbA1c กํอนการทดลองอยูํในระดับ
มาตรวจ อันตรายระยะยาวหรือเริ่มสูงรองลงมาคือระดับอันตราย
ตามนัด มากหรือสูงมากระดับอันตรายหรือสูงและระดับพอใช๎ร๎อย
โดยรวม 1.79 0.12 พอใช๎ 2.84 0.08 ละ 40.0, 30.0, 23.3 และ 6.7ตามลาดับ และภายหลังการ
ทดลองมีระดับ HbA1c ในระดับพอใช๎ รองลงมาระดับ
4. ระดบั น้าตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar) อันตรายระยะยาวหรือเร่ิมสูงและระดับอันตรายหรือสูง
เม่ือพิจารณาระดับน้าตาลในเลือด (Fasting Blood รอ๎ ยละ 80.0, 16.7, 3.3 ตามลาดับ (ตารางที่ 9)
Sugar) พบวําผู๎ปุวยเบาหวานสํวนใหญํ มีระดับน้าตาลใน
เลือด (Fasting Blood Sugar) กํอนการทด ลองอยูํใน 38
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ตารางที่ 9 จานวนร้อยละของระดับ HbA1c ก่อน นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ p <0.001จากการทบทวน
และหลังการทดลอง วรรณกรรมงานวิจัยที่เก่ียวข๎อง พบวําการเสริมสร๎าง
พลังอานาจเป็นรูปแบบ และวิธีการหนึ่งท่ีมีประสิทธิผล
HbA1c แปลผล ก่อนการทดลอง หลงั การทดลอง ในการดูแลผ๎ูปุวยให๎มีคุณภาพชีวิตท่ีดีย่ิงข้ึน เป็น
(%) จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ แนวทางในการจัดโปรแกรมเพ่ือปรับเปล่ียนพฤติกรรม
<6.5% ปกติ ของกลุมํ เปูาหมายเปน็ กระบวนการที่จะชํวยให๎บุคคลได๎
6.6- พอใช๎ -- -- เรียนร๎ูและตระหนักได๎พัฒนาความสามารถของตนเอง
7.0% 2 6.7 24 80.0 ประกอบไปด๎วย 4 ขั้นตอน คือ 1) การค๎นพบ
7.1- อนั ตราย 12 40.0 5 16.7 สภาพการณ์จริง (Discovering Reality) เป็นการตอบ
8.0% ระยะยาว สนองทางด๎านอารมณ์ ความคิด สติปัญญา (Cognitive
หรอื เร่มิ สงู 7 23.3 1 3.3 Response) โดยการพิจารณาไตรํตรองส่ิงที่เผชิญอยํู
8.1- อนั ตราย 9 30.0 -- ค๎นหาข๎อมูลเก่ียวกับโรค การรักษา ความรู๎และปัจจัย
9.0% หรอื สูง ตํางๆ ท่ีเกย่ี วข๎อง ตลอดจนการรับรถ๎ู ึงสทิ ธขิ องผ๎ูปุวย 2)
>9.0% อันตรายมาก การสะท๎อนคิดอยํางมีวิจารณญาณ (Critical Reflec-
หรือสงู มาก tion) เก่ยี วกับสถานการณ์ท่ีเกิดขึ้นกับตนเอง เป็นระยะ
ของการพัฒนาพลังอานาจในตัวบุคคลในการตรวจสอบ
ผลการศึกษาพบวําผ๎ูปุวยเบาหวานมีระดับ และคน๎ หาส่งิ ท่ีตนเองสนใจ มีผลนาไปสํูการปรับเปลี่ยน
HbA1c กํอนการทดลองเทํากับ 8.62 และหลังการ มุมมองและแนวคิดใหมํ กํอให๎เกิดการเปล่ียนแปลง
ทดลองเทํากับ 6.89 เม่ือทดสอบความแตกตํางทางสถิติ พฤติกรรมตามมา 3) การตัดสินใจเลือกวิธีปฏิบัติท่ี
พบวําคําเฉล่ียของระดับ HbA1c ต่ากวํากํอนการทด เหมาะสมกับตนเอง (Taking Charge) โดยมีการพูดคุย
ลองอยาํ งมนี ัยสาคัญทางสถิติ (p<0.001) (ตารางที่ 10) แลกเปล่ียนความคิดเห็น เพ่ือให๎ได๎มาซึ่งข๎อมูลที่เป็น
ประโยชน์ เป็นส่ิงท่ีชํวยประกอบการตัดสินใจด๎วย
ตารางที่ 10 คา่ เฉล่ียระดับ HbA1c ก่อนและหลังการ ตนเอง และ 4) การคงไว๎ซึ่งการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ
ทดลอง (Holding on) ได๎แกํ การมีพฤติกรรมการดูแลท่ีมี
ประโยชน์อยํางตํอเนื่องสม่าเสมอซ่ึงสามารถสํงเสริมได๎
ระดบั x̄ S.D. t p-value ด๎วยการให๎ข๎อมูลย๎อนกลับในทางบวกเพื่อเป็นแรงจูงใจ
HbA1c 8.62 1.37 9.38** .000 ในการปฏิบัติตํอไป โปรแกรมการเสริมพลังอานาจใช๎
กํอนการ ระยะเวลา 12 สัปดาห์มีผลทาให๎ระดับความรู๎เก่ียวกับ
ทดลอง 6.89 0.48 โรคเบาหวานและพฤติกรรมการดูแลตนเองสูงกวํากํอน
หลงั การ การเสริมสร๎างพลังอานาจ อีกท้ังเป็นทางเลือกใหมํท่ีทา
ทดลอง ให๎ผ๎ูปุวยเกิดความร๎ูสึกมีพลังอานาจมีการรับรู๎คุณคําใน
ตนเองสงู ขึน้ สามารถสะท๎อนให๎เห็นถึงความสามารถใน
สรุปผลการศึกษา การคิด การตัดสินใจท่ีจะนาไปสูํการดูแลตนเองที่ย่ังยืน
ผลการวิจัยพบวํากลํุมตัวอยํางสํวนใหญํเป็นเพศ ได๎
หญิง ร๎อยละ 73.3 มีอายุอยํูในชํวง 63-70 ปี ร๎อยละ
40.0 การศึกษาระดับประถมศึกษา ร๎อยละ 30.0 มี
อาชีพรับจ๎างร๎อยละ 33.3 มีรายได๎อยูํในชํวง 5,000-
10,000 บาท ร๎อยละ 60 ระยะเวลาที่ปุวยเป็นโรค
เบาหวาน อยูํในชํวง 6-9 ปี ร๎อยละ 50.0 ญาติสายตรง
เป็นโรคเบาหวาน ร๎อยละ 53.3 ภายหลังการทดลอง
กลํุมตัวอยํางมีคะแนนเฉล่ียความรู๎ คะแนนเฉล่ียของ
พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองเพ่ิมขึ้น และระดับ
น้าตาลในเลือดลดลง กวํากํอนการทดลองอยํางมี
39
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ่ี 28 ฉบับท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
อภปิ รายผลการศกึ ษา พฤติกรรม และทัศนคติ ซึ่งเป็นผลสะท๎อนโดยตรงถึง
จากผลการศึกษาผลของโปรแกรมการเสริมพลัง ความสามารถในการดูแลตนเองของผ๎ูปุวยได๎อยํางมี
คุณภาพ สามารถแสวงหาวิธีการ เพื่อให๎บรรลุความ
อานาจตํอพฤตกิ รรมการดูแลตนเองของผู๎ปุวยเบาหวาน ต๎องการและแก๎ปัญหาของตนเอง ตัดสินใจเลือกปฏิบัติ
ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาลอุดรธานี 2 อาเภอ ตัวเพื่อปูองกันภาวะแทรกซ๎อนมีทางเลือกในการ
เมือง จังหวัดอุดรธานีหลังการทดลอง แสดงให๎เห็นวํา ปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพ่ือคุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึนอยําง
ก า ร จั ด โ ป ร แ ก ร ม เ ส ริ ม พ ลั ง อ า น า จ ม า ป ร ะ ยุ ก ต์ ใ น ยง่ั ยนื
กิจกรรมการดูแลพฤติกรรมตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวาน
โดยมหี ลกั การใหผ๎ ๎ปู ุวยสามารถค๎นพบปัญหาด๎วยตนเอง สอดคล๎องกับผลการศึกษาของยงยุทธ์ สุขพิทักษ์
ค๎นหาความจริงด๎วย Mind mapping ผู๎ปุวยรํวมทา 8 ได๎ทาการวิจัยเร่ืองเทคนิคการเสริมพลังในการจัดการ
“พันธะสัญญาเพื่อการดูแลตนเอง” สามารถจัดการ ตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวานท่ีสอดคล๎องกับวิถีชุมชน
แกไ๎ ขปัญหาที่เกิดข้ึนด๎วยตนเอง ผู๎ปุวยเกิดความเช่ือม่ัน ผลการวิจัยพบวําหลังการวิจัยกลุํมเปูาหมายมีคําเฉลี่ย
และมั่นใจในการปฏิบัติอยํางยั่งยืน สร๎างแรงบันดาลใจ คะแนนความร๎ู คําเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมการดูแล
ในการดูแลสุขภาพของตนเอง ประเมินตนเองและ ตนเอง คําเฉลี่ยไขมันในเลือด คําเฉล่ียระดับน้าตาลใน
ปรับปรุงวิธีการดูแลสุขภาพตนเองจากต๎นแบบท่ีดีการ เลือด และคําเฉล่ีย HbA1c ดีกวํากํอนการทดลองอยําง
คงไว๎ซ่ึงการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ ถอดบทเรียนเพื่อ มีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05) การใช๎เทคนิคเสริมพลัง
ยืนยันผลการพัฒนาตนเองผ๎ูวิจัยให๎กาลังใจเสริมพลังใจ กับกลํุมผ๎ูปุวยเบาหวานพบวํา มีผลทาให๎กลํุมเปูาหมาย
และกระต๎ุนให๎กระทาตํอเนื่อง กระตุ๎นเตือนติดตาม เกิดการเรียนร๎ูเกิดการรับร๎ู มีความตระหนักในตนเอง
เย่ียมบ๎าน ชมเชยเมื่อปฏิบัติถูกต๎อง สนับสนุนสิ่งของ และพร๎อมท่ีจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการปฏิบัติของ
รางวัล เป็นตัวเสริมแรงท่ีนาไปสํูการเปลี่ยนแปลง ตนเอง สํงผลให๎เกิดการจัดการตนเองได๎อยํางถูกต๎อง
พฤติกรรมที่ถูกต๎อง และเกิดการปฏิบัติอยํางตํอเนื่อง เหมาะสม ควบคุมระดับน้าตาลในเลือดเพื่อปูองกัน
ยั่งยืนพบวําระดับน้าตาลในเลือด (Fasting Blood ภาวะแทรกซ๎อนได๎ เกิดกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนร๎ู
Sugar) ผูป๎ วุ ยเบาหวานลดลงโดยไมไํ ดป๎ รับยาเพิ่ม กลุํม และนาวิถีชุมชนมาใช๎ในการดูแลสุขภาพตนเอง ได๎แกํ
ผ๎ูปุวยเบาหวานได๎รับโปรแกรมการเสริมพลังอานาจเป็น บริโภคข๎าวกล๎องทีมีอยูํในชุมชนปลูกผักกินเอง ปลูก
แนวทางการรักษาเบาหวานในเชิงปฏิบัติด๎วยการ และใช๎สมุนไพรสดรักษาตัวเอง เดินออกกาลังกาย
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทาให๎ผ๎ูปุวยเบาหวานมีความรู๎ ประยุกต์อุปกรณ์เหลือใช๎มายืดเหยียดกล๎ามเน้ือสวด
เพ่ิมมากขึ้น เกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมการดูแล มนต์ไหว๎พระเพ่ือลดเครียด ปรับปรุงวิถีชีวิตให๎
ตนเองเพิม่ ข้ึน และสามารถควบคุมระดับน้าตาลได๎ดีข้ึน สอดคล๎องกับการสร๎างสขุ ภาพ
เกิดแนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพเพ่ือการมีภาวะ ขอ้ เสนอแนะ
โรคทีด่ ขี องตน
ขอ๎ เสนอแนะจากการวจิ ยั
ผ ล ก า ร ศึ ก ษ า นี้ ส อ ด ค ล๎ อ ง กั บ แ น ว คิ ด ก า ร 1. โปรแกรมการเสริมพลังอานาจตํอพฤติกรรม
เสริมสร๎างพลังอานาจของ Gibson7 ที่กลําวไว๎วําการ การดูแลตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวาน ศูนย์สุขภาพชุมชน
เพ่ิมความเช่ือมั่นในความสามารถดูแลตนเองเป็นหัวใจ เมืองโรงพยาบาลอุดรธานี 2 ทาให๎เกิดการเปลี่ยนแปลง
สาคัญในการรักษาและควบคุมโรคเบาหวานโดยสํงเสริม ด๎านความร๎ู พฤติกรรมการดูแลตนเองของผ๎ูปุวยเพ่ิมขึ้น
ให๎บุคคลเกิดความสามารถและแก๎ปัญหาตํางๆ ได๎ และระดับน้าตาลในเลือดผ๎ูปุวยเบาหวานลดลง ควรมี
บรรลุผลสาเร็จ ผ๎ูปุวยมีความม่ันใจ มีกาลังใจ และร๎ูสึก การสํงเสริมให๎มีกิจกรรมอยํางตํอเนื่อง และขยายผล
วําตนเองมีคณุ คาํ สํงผลใหเ๎ กดิ ความภาคภูมิใจตํอตนเอง ไปสูํชมุ ชนอืน่ ตํอไป
ท า ใ ห๎ เ กิ ด ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ใ น ตั ว บุ ค ค ล ท า ง ด๎ า น
40
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
2. ความสาเร็จของการเสริมพลังอานาจตํอ เอกสารอา้ งองิ
พฤติกรรมการดูแลตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวาน ศูนย์ 1 . World Health Oganization. Diabetes.
สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาลอุดรธานี 2 ประกอบ
ด๎วยกิจกรรมสาคัญๆดังน้ีคือ ค๎นพบปัญหาด๎วยตนเอง [internet]. [เข๎าถึงเม่ือ 14 ตุลาคม 2562]. เข๎าถึงได๎
ด๎วย Mind mapping ผู๎ปุวยรํวมทา “พันธะสัญญาเพื่อ จาก: http: //www. who.int/ncd/dia/databases4.
การดูแลตนเอง” กาหนดแนวทางการดูแลตนเอง htm. 2011.
ตระหนักคุณคําตนเองโดยวางแผนปรับปรุงพฤติกรรม
การดูแลตนเองและแลกเปล่ียนเรียนรู๎รํวมกัน พัฒนา 2. สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริม
ศักยภาพตนเองตามแผนที่วางไว๎อยํางตํอเนื่อง การถอด สุขภาพ. เผยโรคเบาหว านมีแนวโ น๎มเพ่ิมข้ึน
บทเรียนเพ่อื ยืนยนั ผลการพัฒนาตนเองแจกและแนะนา [อินเทอร์เน็ต]. 2559 [เข๎าถึงเมื่อ 19 พฤศจิกายน
วิธีการใชค๎ มํู ือการดูแลตนเองสาหรับผ๎ูปุวยโรคเบาหวาน 2562]. เข๎าถึงได๎จาก: https://www.thaihealth.
สมุดบันทึกสุขภาพ และแบบบันทึกการรับประทาน or.th/Content/33953
อาหาร และการออกกาลังกาย ซ่ึงเป็นเคร่ืองมือทาให๎
เกดิ การเรยี นร๎ชู ํวยกระตน๎ุ เตอื นให๎ผ๎ูปุวยได๎รู๎วิธีการเลือก 3. รายงานประจาปี 2560 สานักโรคไมํติดตํอ
รับประทานอาหาร และการออกกาลังกายที่เหมาะสม กรมควบคุมโรค. [อินเทอร์เน็ต]. [เข๎าถึงเม่ือ 20
กับโรค พฤศจิกายน 2562]. เข๎าถึงได๎จาก: http://www.
thaincd.com/2016/media-detail.php?id=12986
จากการวิจัยการเสริมสร๎างพลังอานาจในผ๎ูปุวย &tid=30&gid=1-015-008
เบาหวาน ควรดาเนินการอยํางตอํ เน่ือง เพื่อปรับเปลี่ยน
พฤติกรรมของผู๎ปุวยเบาหวานอยํางย่ังยืน จึงมี 4. เขตสุขภาพท่ี 8 ตรวจราชการ 2561.
ขอ๎ เสนอแนะในการทาวจิ ยั คร้ังตอํ ไป ดังนี้ [อินเทอร์เน็ต]. [เข๎าถึงเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2562].
เข๎าถึงได๎จาก https://r8way.moph.go.th/report-
การคงไว๎ซึ่งการเสริมพลังอานาจเป็นกิจกรรมฝึก 2561/รายงานประจาปี%202561.pdf
การทบทวน และทาความเข๎าใจเหตุการณ์สถานการณ์
อยํางรอบคอบ เพื่อการตัดสินใจและจัดการกับปัญหา 5. สานกั งานสาธารณสขุ จังหวัดอุดรธานี.(2558).
ควรให๎การปรกึ ษาเปน็ รายบุคคลกรณีท่ีผ๎ูปุวยขาดทักษะ ฐานข๎อมูล HDC ข๎อมูลท่ัวไป (ออนไลน์). [อินเทอร์เน็ต].
ในการตัดสินใจ และการจัดการปัญหาอันจะสํงผลให๎ลด 2558 เข๎าถงึ ไดจ๎ าก: http://203.157.168.8/r505
โ อ ก า ส ใ น ก า ร เ จ็ บ ปุ ว ย ด๎ ว ย โ ร ค ที่ สื บ เ น่ื อ ง ม า จ า ก
พฤติกรรมสุขภาพรวมถึงภาวะแทรกซ๎อนตํางๆ สํงผล 6. ธัญลักษณ์ ตั้งธรรมพิทักษ์. ประสิทธิผลของ
ใหผ๎ ๎ูปวุ ยมชี ีวติ ทยี่ นื ยาวมากยง่ิ ขึน้ โปรแกรมการสร๎างเสริมสุขภาพสาหรับผ๎ูปุวยเบาหวาน
กติ ตกิ รรมประกาศ ชุมชนบ๎านหนองนาสร๎าง จังหวัดร๎อยเอ็ด. ศรีนครินทร์
เวชสาร 2560; 34(3): 243-248.
ขอขอบคุ ณนายแ พทย์ณร งค์ ธ าดาเด ช
ผู๎อานวยการโรงพยาบาลอดุ รธานี สนับสนุนการพัฒนา 7. Gibson, C. H. The process of empow-
ศักยภาพของบุคลากรและสํงเสริมให๎มีโครงการอบรม erment in mothers of chronically ill children.
เชิงปฏิบัติการนักวิจัยสํูการปฏิบัติขอบคุณแพทย์หญิง Journal of Advanced Nursing 1995; 21(6): 1201
อาภาพรรณ นเรนทร์พิทักษ์ หัวหน๎ากลุํมงานเวชกรรม -1210.
สังคม ท่ีอนุญาตและสนับสนุนการทาวิจัยในครั้งนี้
ขอบคุณเจ๎าหน๎าท่ีศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโรงพยาบาล 8. ยงยุทธ์ สุขพิทักษ์. เทคนิคการเสริมพลังใน
อดุ รธานี 2 ทอ่ี านวยความสะดวกในการทาวจิ ยั การจัดการตนเองของผ๎ูปุวยเบาหวาน ทีสอดคล๎องกับ
41 วิถีชุมชน. ว.วิชาการสาธารณสุข 2557; 23(4): 649-
658.
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
9. จุฑารัตน์ รังษา, ยุวดี รอดจากภัย, ไพบูลย์
พงษ์แสงพันธ์. ผลของโปรแกรมการเสริมสร๎างพลัง
อานาจของผ๎ดู แู ลและผู๎ปุวยสูงอายุโรคเบาหวาน อาเภอ
กันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม. ศรีนครินทร์เวชสาร
2559; 31(6): 377-383.
10.นาชัย ศุภฤกษ์ชัยสกุล. หัวข๎อสถิติที่นําสนใจ
ส า ห รั บ ก า ร วิ จั ย ส ถ า บั น วิ จั ย พ ฤ ติ ก ร ร ม ศ า ส ต ร์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ [อินเทอร์เน็ต]. [เข๎าถึง
เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2562]. เข๎าถึงได๎จาก: http://
rlc.nrct.go.th/ewt_dl.php?nid=860
11. มนรดา แข็งแรง, นันทัชพร เนลสัน, สมจิตร
การะสา, ปิตินัฎราชภักดี. ความรู๎ ทัศนคติ และ
พฤติกรรมการปฏิบัติตัวของผ๎ูปุวยโรคเบาหวานที่มารับ
บริการในโรงพยาบาลชุมชนแหํงหนึ่ง ในจังหวัด
อุบลราชธานี. อุดรธานี: คณะพยาบาลศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ราชธานี วิทยาเขตอดุ รธานี; 2560.
12. Bloom, Benjamin. Taxonomy of edu-
cation obectives the classification of educa-
tional Goals handbookI:Cognative domain.
New York: David Mckay; 1970.
13. ชนิษฎา สุรเดชาวุธ, เยาวลักษณ์ อ่าราไพ,
เจริญ ตรีศกั ด์ิ. กระบวนการเสริมสร๎างพลังอานาจผ๎ูปุวย
เบาหวานแบบรายบุคคล.ว.เภสชั ศาสตรอ์ สี าน 2554; 2:
60-69.
14. American Diabetes Association. Stan-
dards of Medical Care in Diabetes. Diabetes
Care 2018; 41: S1-S159.
รบั ต๎นฉบบั : 18 ตุลาคม 2562, ไดร๎ ับบทความปรับปรุง: 11 มนี าคม 2563, รับลงตพี ิมพ:์ 16 มีนาคม 2563
42
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ภาวะโลหติ จางในหญิงตั้งครรภ์ ทมี่ าฝากครรภ์ โรงพยาบาลหนองวัวซอ อาเภอหนองววั ซอ จังหวัดอุดรธานี
ปารรัตน์ วฒุ เิ จรญิ วงศ์ พ.บ. องค์กรแพทย์ โรงพยาบาลหนองววั ซอ
บทคัดย่อ
ภาวะโลหิตจาง เป็นปญั หาสาธารณสขุ ระดบั โลกท้ังในประเทศที่กาลังพัฒนาและประเทศท่ีพัฒนาแล๎ว รวมทั้ง
เปน็ ภาวะแทรกซ๎อนทางโลหติ วิทยาท่ีพบบํอยที่สุดของการตั้งครรภ์ ซ่ึงสํงผลกระทบท้ังตํอหญิงตั้งครรภ์และทารกใน
ครรภ์ การวิจัยนี้เป็นการศึกษาย๎อนหลังเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาคุณลักษณะภาวะโลหิตจางในหญิง
ตั้งครรภ์ท่ีมาเจาะเลือดครั้งท่ี 1 คลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลหนองวัวซอ อาเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี โดย
เก็บข๎อมูลจากเวชระเบียน และทะเบียนฝากครรภ์ ของหญิงตั้งครรภ์ท่ีมารับบริการฝากครรภ์ ท่ีคลินิกฝากครรภ์
โรงพยาบาลหนองวัวซอ จานวน 75 ราย ใช๎สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ข๎อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับข๎อมูลสํวนบุคคล
ประวตั ิการฝากครรภ์ และการตรวจทางห๎องปฏบิ ตั ิการ ด๎วยการแจกแจงความถี่ ร๎อยละ คําเฉลี่ย และสํวนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน
ผลการวจิ ัย 1. ขอ๎ มูลทั่วไป กลํุมตัวอยํางท่ีมีภาวะโลหิตจางสํวนใหญํ สัญชาติไทย คิดเป็นร๎อยละ 93.33 และ
อีกร๎อยละ 6.67 สัญชาติลาว พบมากท่ีสุดที่ตาบลหมากหญ๎า ร๎อยละ 20 ชํวงอายุท่ีพบภาวะโลหิตจางมากที่สุดคือ
ชํวงอายุ 20-34 ปี คิดเป็นร๎อยละ 66.66 ที่นําสนใจคือ ชํวงอายุ อายุน๎อยกวํา 20 ปี พบภาวะซีดถึงร๎อยละ 22.66
ด๎านอาชีพ สํวนใหญํประกอบอาชีพแมํบ๎าน คิดเป็นร๎อยละ 37.33 การศึกษาสูงสุดระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย คิด
เป็นร๎อยละ 41.33 และร๎อยละ 98.66 ปฏิเสธโรคประจาตัว 2. ข๎อมูลการต้ังครรภ์ พบวํา ร๎อยละ 53.34 เป็นการ
ตั้งครรภ์ที่ 2 ขึ้นไป สํวนใหญํมาเจาะเลือดครั้งที่ 1 ในชํวงไตรมาสที่ 1 ร๎อยละ 56 และมีถึงร๎อยละ 44 ท่ีมาเจาะ
เลือดไตรมาสที่ 2 ดา๎ นดชั นมี วลกายกํอนการต้งั ครรภ์ พบวาํ สํวนใหญํร๎อยละ 48 อยํูในเกณฑ์ปกติ (18.5-22.9 กก./
ม2) และมีถึงร๎อยละ 22.66 อยูํในเกณฑ์ผอม (<18.5 กก./ม2) 3. ข๎อมูลการตรวจทางห๎องปฏิบัติการ พบวํา ร๎อยละ
90.66 มีภาวะซีดในระดับ 1 ปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแนํน (27.0-32.9%) ปริมาตรเฉล่ียของเซลล์เม็ดเลือดแดง
พบวาํ รอ๎ ยละ 73.34 มคี าํ นอ๎ ยกวํา 80 เฟมโตลติ ร ด๎านปรมิ าตรเฉลยี่ ของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ร๎อยละ 86.67
มีคําน๎อยกวํา 27 พิโคกรัม สํวนการทดสอบฮีโมโกลบินไมํเสถียรโดยการตกตะกอนสี พบวํา สํวนใหญํมีผลบวก คิด
เป็นร๎อยละ 64 และผลการตรวจวิเคราะห์ชนิดและปริมาณฮีโมโกลบิน จากกลํุมตัวอยําง 28 คนที่ได๎รับการตรวจ
พบวํา สํวนใหญํ เป็นพาหะฮีโมโกลบินอี (Hb E trait) คิดเป็นร๎อยละ 53.57 รองลงมาคือ Homozygous Hb E
With or without Alpha-thalassemia, Alpha-thalassemia trait จานวนเทาํ กัน คิดเป็นรอ๎ ยละ 21.43
การทาวิจัยครั้งตํอไป ควรมีการศึกษาเพื่อหาปัจจัยที่มีผลตํอการเกิดภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ท่ีมาเจาะ
เลอื ดครัง้ ท่ี 1 รวมทง้ั ศึกษาความสมั พันธ์ระหวํางประวัตกิ ารฝากครรภ์กบั ภาวะโลหิตจางในหญิงตง้ั ครรภ์
คาสาคัญ: หญิงต้งั ครรภ์ ภาวะซดี การฝากครรภ์
Corresponding author: ปารรตั น์ วุฒิเจรญิ วงศ์ โทรศัพท์ 081-4990250 E-mail: [email protected]
องค์กรแพทย์ โรงพยาบาลหนองวัวซอ ต.หนองววั ซอ อ.หนองววั ซอ อดุ รธานี 41360
43