วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
Anemia in pregnant woman at Nongwuaso hospital Nongwuaso District Udonthani Province
Parrarat Wuttichareanwong MD. Medical Staff Organization Nongwuaso hospital
Abstract
Anemia is a global public health problem in both developing and developed countries. It is
the most common hematological complication of pregnancy which affects both pregnant women
and the fetus. This is a retrospective descriptive study and aim to study the characteristics of
anemia in pregnant women at antenatal care (ANC) in Nongwuaso hospital. The sample consisted
of medical records from 75 pregnant women at antenatal care in Nongwuaso hospital. The data
were collected from the ANC registration forms. Using descriptive statistics to analyze frequency
of distribution, percentage, mean and standard deviation.
The results showed that pregnant woman at Nongwuaso hospital. Thai nationally was
93.33% and Loas 6.67%. Most founded at Mak Ya Subdistrict 20 percent. The common age group
is 20-34 years (66.66 percent). Interestingly the age range of less than 20 years have anemia equal
22.66 percent of anemia. Most of them are housewife’s 37.33 percent. The highest education is in
the upper high school level at 41.33 percent and 98.66 percent rejected underlying. Regarding
pregnancy data, it was founded that 53.34 percent had previous pregnancy. Most of the pregnant
woman came to the first blood collection during in the 1st quarter 56 percent and in the 2nd
quarter up to 44 percent. The body mass index before pregnancy, there are 48% were in the
normal range and 22.66 percent in the thinner group. As for laboratory examination data, it was
founded that 90.66% had an anemia at level 1 (Hct 27.0%-32.9 %). 73.34 percent having MCV less
than 80 fl. 86.67 percent having MCH less than 27 pg. DCIP 64 percent were positive DCIP test. 28
Hemoglobin typing tests were detected. There were Hb E trait 53.57 percent Homozygous Hb E
With or without Alpha-thalassemia, Alpha-thalassemia trait equal to 21.43 percent respectively.
Suggestions that there should be a further study to determine the prevalance of anemia in
the first pregnant woman. Including studying the relationship between antenatal history and
anemia in pregnant women.
Key word: pregnant woman, anemia, antenatal care
44
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
บทนา นอกจากน้ีทารกยังมีโอกาสน้าหนักน๎อยกวําปกติ หรือ
ภาวะโลหิตจาง เป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก ทารกโตช๎าในครรภ์8 (Cunningham, et al., 2014)
เพิ่มอัตราการตายปริกาเนิด การคลอดกํอนกาหนด
ท้ังในประเทศท่ีกาลังพัฒนาและประเทศท่ีพัฒนาแล๎ว และทารกมีเหล็กสะสมน๎อยกวําปกติ หากไมํได๎รับธาตุ
รวมทั้งเป็นภาวะแทรกซ๎อนทางโลหิตวิทยาที่พบบํอย เหล็กเสริมหลังคลอด จะมีพัฒนาการและการ
ท่ีสุดของการตั้งครรภ์ โดยภาวะโลหิตจางในหญิง เจริญเติบโตของสมองท่ีช๎ากวําเด็กท่ัวไป3, 9 ดังน้ันการ
ต้ังครรภ์ หมายถึง ภาวะที่หญิงต้ังครรภ์มีระดับความ ปูองกนั ไมํใหเ๎ กดิ ผลกระทบท้ังตํอหญิงต้ังครรภ์ ทารกใน
เข๎มข๎นของ ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin; Hb) ต่ากวํา ครรภ์ และทารกแรกเกิดจึงควรมีการปูองกันการเกิด
11 กรัม ตํอเ ดซิลิ ตร หรื อมีร ะดับ ฮีม าโ ต คริ ต ภาวะโลหิตจางตงั้ แตสํ ตรีเรมิ่ มีการตัง้ ครรภ์ 10
(Hematocrit; HCT) ต่ากวําร๎อยละ 331 พบความชุก
ในชํวง 12 ปี (ค.ศ. 1993-2005) เฉลี่ยท่ัวโลกร๎อยละ คลินิกฝากครรภ์ กลํุมงานบริการด๎านปฐมภูมิ
41.8 ของการต้ังครรภท์ ง้ั หมด ในประเทศสหรัฐอเมริกา และองค์รวม โรงพยาบาลหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี
พบร๎อยละ 5.7 ประเทศอังกฤษ พบร๎อยละ 15.2 มีหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์มากกวํา 300 คนตํอปี ท่ี
ประเทศออสเตรเลีย พบร๎อยละ 12.42 ขณะที่ประเทศ ผํานมายังไมํเคยมีการศึกษาถึงภาวะโลหิตจางของหญิง
ท่ีกาลังพัฒนาพบความชุกมากถึงร๎อยละ 35-753 สํวน ตั้งครรภท์ ม่ี าฝากครรภม์ ากํอน ดังนั้นผ๎ูวิจัยจึงสนใจท่ีจะ
ในประเทศไทยจากการสารวจภาวะโลหิตจางในกลุํม ศึกษาอุบัติการณ์ของภาวะโลหิตจางในหญิงต้ังครรภ์
หญิงต้ังครรภ์4 พบวํา ในกลํุมหญิงต้ังครรภ์มีแนวโน๎ม ที่มาเจาะเลือดคร้ังท่ี 1 เพ่ือทราบถึงข๎อมูลท่ีจะเป็น
ภาวะโลหิตจางสูงข้ึน ระหวํางปีพ.ศ. 2549-2553 มี ประโยชน์ตํอการพัฒนางานอนามัยแมํและเด็กของ
ภาวะโลหิตจางร๎อยละ 15.7, 17.1, 18.2, 18.6 และ อาเภอหนองวัวซอ โดยเฉพาะอยํางยิ่งเพื่อเป็นข๎อมูลใน
18.4 ในภาพรวมจังหวัดอุดรธานี ระหวํางปีพ.ศ.2557- การสํงเสริมการดูแลหญิงต้ังครรภ์ให๎มีภาวะสุขภาพดี
2561 หญิงตั้งครรภ์ที่มาเจาะเลือดคร้ังท่ีหน่ึง มีภาวะ นาไปสํูเปูาหมายลูกเกิดรอด แมํปลอดภัย ให๎สอดคล๎อง
โลหิตจางร๎อยละ 15.92, 18.14, 16.05, 14.64 และ กับนโยบายและยทุ ธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญ
13.875 สํวนในพื้นท่ีอาเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี พันธุ์แหํงชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2560-2569)11 วําด๎วย
หญิงต้ังครรภ์มีภาวะโลหิตจาง ร๎อยละ 21.25, 22.13, การสํงเสรมิ การเกิดและการเจริญเติบโตอยํางมีคุณภาพ
21.83, 20.23 และ 20.516 ตามลาดับ ซึ่งถือวําสูงกวํา มุํงเน๎นพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขให๎ได๎มาตรฐาน
เกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกาหนดคือ ไมํเกินร๎อยละ และสร๎างการเข๎าถึงบริการอยํางเทําเทียม ประชากรทุก
18 ของหญิงตงั้ ครรภ์ท่ีมารบั การฝากครรภท์ ั้งหมด กลํุมสามารถเข๎าถึงบริการสุขอนามัยทางเพศและ
อนามัยการเจริญพันธ์ุได๎ เพื่อพัฒนาอนามัยมารดา ลด
ภาวะโลหิตจางขณะต้ังครรภ์สํงผลกระทบตํอท้ัง อัตราการตายของมารดาในมาตรการท่ี 4 การจัดบริการ
มารดาและทารกได๎7 โดยพบผลกระทบตํอมารดา คือ ให๎หญิงต้ังครรภ์ได๎รับการเฝูาระวังน้าหนัก เพ่ือให๎มี
ทาให๎หัวใจทางานหนักมากขึ้น เพ่ิมความเส่ียงตํอการ น้าหนักเพ่ิมข้ึนตามเกณฑ์ และได๎รับอาหารที่เหมาะสม
เกิดหวั ใจล๎มเหลว (Heart failure) มีโอกาสตดิ เชอื้ ตํางๆ ตลอดการต้ังครรภ์มีเปูาหมายเพ่ือลดอัตราภาวะโลหิต
งํายขึ้น ในชํวงการคลอดและหลังคลอดมีผลกระทบ จางของหญิงตง้ั ครรภ์
ซ้ า เ ติ ม ตํ อ ม า ร ด า จ า ก ก า ร ต ก เ ลื อ ด ห ลั ง ค ล อ ด วัตถุประสงค์
(Postpartum hemorrhage) ทาให๎เกิดภาวะชอ็ ก หรือ
หัวใจล๎มเหลว (Heart failure) ได๎ รวมท้ังสัมพันธ์กับ เพื่อศึกษาคุณลักษณะภาวะโลหิตจางในหญิง
การเกิดภาวะซึมเศร๎าหลังคลอด (Postpartum de- ตั้งครรภ์ท่ีมาเจาะเลือดครั้งที่ 1 คลินิกฝากครรภ์
pression) ด๎านผลกระทบตํอทารกพบวํา บางสาเหตุ โรงพยาบาลหนองวัวซอ อาเภอหนองวัวซอ จังหวัด
ของภาวะโลหิตจางในหญิงต้ังครรภ์สามารถถํายทอด อุดรธานี
ความเสี่ยงไปยังทารกได๎ เชํน โรคธาลัสซีเมีย เป็นต๎น
45
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบับท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
ระเบียบวธิ ีวจิ ยั ใชก๎ ารวิจัยย๎อนหลังเชิงพรรณนา เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจัย
(Retrospective descriptive study) ผ๎ูวิจัยเก็บข๎อมูลจากแบบบันทึกข๎อมูลการฝาก
ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ครรภ์ (รบ.รต. 05) ของหญิงต้ังครรภ์ท่ีมาฝากครรภ์
ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง เปน็ หญงิ ต้งั ครรภท์ ี่ คลนิ ิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลหนองวัวซอ ประกอบด๎วย
มารบั บริการฝากครรภ์ คลนิ ิกฝากครรภ์ โรงพยาบาล ขอ๎ มูล 2 สํวน ดงั นี้
หนองวัวซอ อาเภอหนองววั ซอ จงั หวดั อดุ รธานี กาหนด
ขนาดกลํุมตวั อยาํ งจากประชากรท่มี ารบั บริการระหวําง สํวนท่ี 1 ข๎อมูลสํวนบุคคล ประกอบด๎วย ประวัติ
วันท่ี 1 ตุลาคม 2560 ถึง 30 กนั ยายน 2561 จานวน สํวนตัว และประวัติการต้ังครรภ์ มีรายละเอียดดังน้ี
325 คน
ประวัติสํวนบุคคล จานวน 6 ข๎อ ประกอบด๎วย
ขนาดตัวอย่าง ใช๎การสํุมอยํางงํายจากการ สัญชาติ อายุ ตาบลท่ีอยํูปจั จบุ นั อาชพี ระดบั การศึกษา
ประมาณคําสัดสํวน12โดย (P=0.2,d2=.08,Zα/2=1.96) และประวัตกิ ารเจ็บปวุ ย
ได๎กลํุมตัวอยําง จานวน 75 คน มีสูตรในการคานวณ
ดังน้ี n= d2(NN-Z1)2+α/Z2P2α(1/2-PP()1-P) ประวัติการต้ังครรภ์ จานวน 3 ข๎อ ประกอบด๎วย
จานวนคร้ังของการต้ังครรภ์ อายุครรภ์ที่มาฝากครรภ์
เกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion Criteria) หญิง ครง้ั แรก ดชั นมี วลกายกอํ นการต้งั ครรภ์
ต้ังครรภ์ที่มีผลการตรวจเลือดคร้ังที่ 1 มีระดับปริมาตร
ของเมด็ เลอื ดแดงอัดแนํนหรือฮีมาโตคริต(Hematocrit) สํวนท่ี 2 ข๎อมูลการตรวจทางห๎องปฏิบัติการ
โดยการตรวจจากการดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด จานวน 5 ขอ๎ ประกอบดว๎ ย คําฮีมาโตครติ ปริมาตรของ
(Complete blood count; CBC) มีคําอยํูระหวําง เซลล์เม็ดเลือดแดง ปริมาณเฉล่ียของฮีโมโกลบินในเม็ด
1.0 -32.9 เปอรเ์ ซนต์ และอายุครรภ์ไมํเกิน 29 สัปดาห์ เลือดแดง ผลการตรวจ Dichlorophenol indophe-
(28 สัปดาห์ 6 วนั ) nol precipitation test (DCIP) และผลการตรว จ
วเิ คราะห์ชนดิ และปรมิ าณฮีโมโกลบิน
เกณฑ์การคัดออก (Exclusion Criteria) ไมํ
สามารถค๎นหาเวชระเบยี นหรือแบบบนั ทกึ ขึกข๎อมูลการ ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือโดยใช๎การ
ฝากครรภ์ (รบ.รต. 05) ของหญงิ ตงั้ ครรภ์ทีม่ าฝากครรภ์ ตรวจสอบความตรงตามเน้ือหา (Content validity)
คลินกิ ฝากครรภ์ โรงพยาบาลหนองวัวซอ โดยการตรวจสอบความครอบคลุมของเนื้อหา จาก
กรอบแนวคดิ ในการวิจยั ผ๎ูเช่ียวชาญจานวน 3 ทําน ได๎แกํผู๎อานวยการ
โรงพยาบาลหนองวัวซอ และแพทย์ผู๎ปฏิบัติงานที่
1. ข้อมลู ส่วนบคุ คล ประกอบดว๎ ย ภาวะโลหิตจาง โรงพยาบาลหนองวัวซอ จานวน 2 ทํานโดยตรวจสอบ
ประวตั สิ ํวนตวั และประวตั กิ ารต้ังครรภ์ ในหญิงต้ังครรภ์ ความสอดคล๎อง (Index of Congruence: IOC)13
2. ขอ้ มลู การตรวจทางหอ้ งปฏิบตั ิการ ทีม่ าเจาะเลอื ด การวิเคราะหข์ อ้ มลู
ประกอบดว๎ ย
- คาํ ฮีมาโตครติ (Hematocrit) ครั้งท่ี 1 ใช๎ข๎อมูลทุติยภูมิ (Secondary data) จากการ
- ปริมาตรของเซลล์เมด็ เลอื ดแดง บันทึกในเวชระเบียน และทะเบียนฝากครรภ์ของหญิง
- ปริมาณเฉลย่ี ของฮีโมโกลบินในเมด็ ตั้งครรภ์ท่ีมารับบริการฝากครรภ์ ใช๎สถิติเชิงพรรณนา
เลือดแดง (Descriptive statistics) วิ เ ค ร า ะ ห์ ข๎ อ มู ล พื้ น ฐ า น
- ผลการตรวจ Dichlorophenol เกี่ยวกับข๎อมูลสํวนบุคคล ประวัติการฝากครรภ์ และ
indophenols precipitation (DCIP) การตรวจทางห๎องปฏิบัติการ ด๎วยการแจกแจง
และ ความถ่ี รอ๎ ยละ คําเฉล่ีย และสวํ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน
- ผลการตรวจวเิ คราะหช์ นดิ และ จริยธรรมการวจิ ยั
ปรมิ าณฮีโมโกลบนิ
ผ๎ูวิจัยได๎ตระหนักและเล็งเห็นถึงความสาคัญของ
จริยธรรมในการทาวิจัยตํอการปฏิบัติท่ีไมํทาอันตราย
46
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ใดๆ ตามกฎหมายแกํผู๎รํวมดาเนินการวิจัย14 จึงได๎ทา ตารางท่ี 1 แสดงจานวนและร้อยละ ข้อมูลท่ัวไปของ
หนังสือขอพิจารณาจริยธรรมเสนอตํอผ๎ูอานวยการ กลุ่มตวั อย่าง (n=75) (ต่อ)
โรงพยาบาลหนองวัวซอ และคณะกรรมการจริยธรรม
การวจิ ยั ในมนุษย์ สานกั งานสาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี ลา รายการ จานวน ร้อยละ
รหัสโครงการ UDREC 2662 รับรองวันที่ 3 ตุลาคม ดับ
พ.ศ.2562 4. อาชพี
แมบํ ๎าน 28 37.33
รับจ๎างท่วั ไป 21 28.00
ผลการวจิ ยั เกษตรกรรม 14 18.66
1. ข้อมูลทวั่ ไปของกลมุ่ ตัวอยา่ ง ค๎าขาย 6 8.00
กลํุมตัวอยํางที่ศึกษา จานวน 75 คน ท่ีมารับ นกั เรยี น/ นกั ศึกษา 3 4.01
รับราชการ 2 2.66
บรกิ ารคลนิ กิ ฝากครรภ์ โรงพยาบาลหนองวัวซอ อาเภอ พนักงานบริษทั 1 1.34
หนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ข๎อมูลท่ัวไปนาเสนอใน 5. ระดับการศึกษาสูงสดุ
(ตารางที่ 1) ระดบั ประถมศึกษา 8 10.68
ตารางที่ 1 แสดงจานวนและร้อยละ ข้อมูลทั่วไปของ ระดับมัธยมศึกษาตอนต๎น 28 37.33
กลมุ่ ตวั อย่าง (n=75) ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย 31 41.33
อนปุ รญิ ญาตรี 6 8.00
ลา รายการ จานวน รอ้ ยละ ปรญิ ญาตรี 2 2.66
ดับ
1. สญั ชาติ 6. โรคประจาตัว
ปฏิเสธโรคประจาตวั 74 98.66
ไทย 70 93.33 มโี รคประจาตวั 1 1.34
ตาํ งด๎าว 5 6.67
ลาว 5 100 Hyperthyroidism 1 100
2. ตาบลทอ่ี าศยั จากตารางที่ 1 ข๎อมูลท่ัวไปของกลํุมตัวอยําง
หมากหญา๎ 15 20.00 พบวํา สํวนใหญํมีสัญชาติไทย คิดเป็นร๎อยละ 93.33
อบู มงุ 12 16.00 ตํางด๎าว ร๎อยละ 100 สัญชาติลาว ด๎านตาบลที่อยูํ
หนองววั ซอ 12 16.00 อาศัย พบมากที่สุดตาบลหมากหญ๎า รองลงมา คือ
นา้ พนํ 12 16.00 ตาบล น้าพํน ตาบลหนองวัวซอ และตาบลอูบมุง
โนนหวาย 10 13.32 จานวนเทํากัน คิดเป็นร๎อยละ 20.00, 16.00 และ
กดุ หมากไฟ 6 8.00 16.00 ตามลาดับ โดยพบน๎อยท่ีสุดท่ีตาบลหนองอ๎อ
หนองอ๎อ 5 6.67 เพียงร๎อยละ 4.01 อายุของหญิงต้ังครรภ์นับถึงกาหนด
หนองบัวบาน 3 4.01 คลอด สํวนใหญํร๎อยละ 66.66 อยํูในชํวงอายุ 20-34 ปี
3. อายุ และมีถึงร๎อยละ 22.66 ที่อยํูในชํวงอายุต่ากวํา 20 ปี
วยั รํุน (อายนุ อ๎ ยกวาํ 20 ปี 17 22.66 หรือเป็นการตั้งครรภ์ในวัยรํุน (x̄ =24.61, S.D.=6.85,
นบั ถึงกาหนดคลอด) Max=42, Min=14) ด๎านอาชีพพบวํา สํวนใหญํเป็น
ปกติ (อายุ 20 - 34 ปี 50 66.66 แมํบ๎าน คิดเป็นร๎อยละ 37.33 รองลงมาคือ รับจ๎าง
11 เดือน นับถงึ ท่ัวไป เกษตรกรรม และค๎าขาย คิดเป็นร๎อยละ 27.63,
กาหนดคลอด) 18.42 และ 7.89 ตามลาดับ ด๎านระดับการศึกษาสูงสุด
อายเุ ยอะ (มากกวําหรอื 8 10.68 พบวํา สํวนใหญํสาเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอน
เทํากบั 35 ปี นบั ถงึ
กาหนดคลอด)
(x̄ =24.61, S.D.=6.85, Max=42, Min=14)
47
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
ปลาย รองลงมาคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต๎น ระดับ ต้ังครรภ์ (สัปดาห์ที่ 1 ถึง สัปดาห์ที่ 14) และมีถึงร๎อย
ประถมศึกษา คิดเป็นร๎อยละ 41.33, 37.33 และ ละ 44.00 ท่ีมาเจาะเลือดครั้งที่ 1 ในไตรมาสที่ 2
10.66 ตามลาดับ ด๎านโรคประจาตัวร๎อยละ 98.66 (สัปดาห์ท่ี 15 ถึง สัปดาห์ที่ 28 ) (x̄ =14.09, S.D.=
ปฏิเสธโรคประจาตัว และมี 1 ราย ท่ีมีโรคประจาตัว 5.71, Max=25, Min=5) ด๎านดัชนีมวลกายกํอนการ
Hyperthyroidism ต้ังครรภ์ (Body mass index; BMI) พบวํา สํวนใหญํมี
ดัชนีมวลกายกอํ นการต้งั ครรภ์ อยํใู นเกณฑป์ กติ คิดเป็น
2. ขอ้ มูลการต้ังครรภ์ ร๎อยละ 48.00 และมีถึงร๎อยละ 22.66 ท่ีดัชนีมวลกาย
กลุํมตัวอยํางท่ีศึกษา จานวน 75 คน ที่มารับ กํอนการตั้งครรภ์อยูํในเกณฑ์ผอม (x̄ =21.31,
บรกิ ารคลนิ กิ ฝากครรภ์ โรงพยาบาลหนองวัวซอ อาเภอ S.D.=3.58, Max=32.56, Min=16.05)
หนองววั ซอ จังหวัดอดุ รธานี ขอ๎ มลู การตงั้ ครรภ์นาเสนอ
ใน (ตารางที่ 2) 3. ข้อมลู การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
กลํุมตัวอยํางที่ศึกษา จานวน 75 คน ที่มารับ
ตารางที่ 2 แสดงจานวนและร้อยละ ข้อมูลการ บริการคลินกิ ฝากครรภ์ โรงพยาบาลหนองวัวซอ อาเภอ
ตัง้ ครรภ์ของกล่มุ ตัวอย่าง (n=75) หนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ข๎อมูลการตรวจทาง
ห๎องปฏิบตั กิ ารนาเสนอใน (ตารางที่ 3)
ลา รายการ จานวน รอ้ ยละ
ดับ
1. จานวนคร้งั ของการตง้ั ครรภ์ (รวมแท้ง) ตารางท่ี 3 แสดงจานวนและร้อยละ ข้อมูลการตรวจ
ตง้ั ครรภ์แรก 35 46.66 ทางห้องปฏบิ ตั ิการของกลุ่มตวั อย่าง (n=75)
ต้งั ครรภ์ที่ 2 เป็นตน๎ ไป 40 53.34 ลาดบั รายการ จานวน รอ้ ยละ
(x̄ = 1.93, S.D.= 1.14, Max = 5, Min = 1) 1. ปรมิ าตรของเมด็ เลือดแดงอัดแนน่ (HCT) 68 90.66
2. อายคุ รรภต์ ามไตรมาสทมี่ าเจาะเลอื ดครง้ั แรก ระดับ 1 (27.0-32.9 %) 6 8.00
ไตรมาสที่ 1 (สัปดาหท์ ่ี 1 ถึง 42 56.00 ระดบั 2 (21.0-26.9 %) 1 1.04
ระดบั 3 (<=20.9 %)
สปั ดาหท์ ่ี 14) 33 44.00
ไตรมาสที่ 2 (สปั ดาห์ท่ี 15 (x̄ = 30.37, S.D.= 2.44, Max=32.9, Min=20.9)
ถงึ สปั ดาห์ที่ 28 ) 2. ปรมิ าตรเฉล่ยี ของเซลล์เมด็ เลือดแดง (MCV)
(x̄ =14.09, S.D.=5.71, Max=25, Min=5) ปกติ (มากกวําหรือเทาํ กบั 80 เฟมโตลิตร 20 26.66
(femtoliter, fl) 55 73.34
ผดิ ปกติ (นอ๎ ยกวํา 80 เฟมโตลิตร
(femtoliter, fl)
(x̄ = 73.27, S.D.= 10.32, Max = 102.2, Min = 49.1)
3. ดชั นมี วลกายก่อนการตง้ั ครรภ์ (Body mass index; BMI) 3. ปริมาตรเฉลีย่ ของฮีโมโกลบินในเมด็ เลือดแดง (MCH)
ผอม (<18.5 กก./ม2) 17 22.66
ปกติ (มากกวําหรอื เทํากบั 27 พิโคกรัม 10 13.33
ปกติ (18.5-22.9 กก./ม2) (picogram, pg)
36 48.00 ผิดปกติ (น๎อยกวํา 27 พโิ คกรัม 65 86.67
ท๎วม (23.00-24.99 กก./ม2) 13 17.33
(picogram, pg)
(x̄ =23.50, S.D.= 3.92, Max = 33.9, Min=9.2)
อ๎วน (25.00-29.99 กก./ม2) 6 8.00 4. การทดสอบฮโี มโกลบินไม่เสถียรโดยการตกตะกอนสี
อ๎วนมาก (>30.00 กก./ม2) 3 4.01
(Dichlorophenol indophenol precipitation test (DCIP)) 36.00
ผลลบ (Negative) 27 64.00
(x̄ =21.31, S.D.=3.58, Max=32.56, Min=16.05) ผลบวก (Positive) 48 62.66
5. ผลการตรวจวเิ คราะหช์ นิดและปริมาณฮโี มโกลบิน 37.34
จากตารางท่ี 2 ข๎อมูลการต้ังครรภ์ของกลํุม (Hemoglobin typing) 53.57
ตัวอยําง พบวํา สํวนใหญํเป็นการต้ังครรภ์ท่ี 2 เป็นต๎น ไมํไดต๎ รวจ 47 21.43
ไป คดิ เป็นรอ๎ ยละ 53.34 และมีถึงร๎อยละ 46.66 ท่ีเป็น ตรวจ 28
การต้ังครรภ์ครั้งแรก (x̄ =1.93, S.D.=1.14, Max=5, Hb E trait 15
Min=1) อายุครรภ์ที่มาเจาะเลือดครั้งที่ 1 สํวนใหญํ Homozygous Hb E With or 6
ร๎อยละ 56.00 มาเจาะเลือดในไตรมาสท่ี 1 ของการ without Alpha-thalassemia
Alpha-thalassemia trait 6 21.43
Beta-thalassemia trait 1 3.60
48
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
จ า ก ต า ร า ง ที่ 3 ข๎ อ มู ล ก า ร ต ร ว จ ท า ง 22.66 ซึ่งอายุต่าสุดที่พบคือ 14 ปี สอดคล๎องกับ
ห๎องปฏิบัติการของกลํุมตัวอยําง พบวํา สํวนใหญํ ร๎อย การศึกษา15 ที่พบวําพบหญิงต้ังครรภ์ท่ีอายุน๎อยกวํา
ละ 90.66 มีระดับปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแนํน หรือ 20 ปี มีภาวะโลหติ จาง ร๎อยละ 21.1 และสอดคล๎องกับ
ฮีมาโตคริต อยูํในระดับ 1 คือ อยํูระหวําง 27.0-32.9 การศกึ ษา16 ทพี่ บวํา อายุสํวนใหญํของหญิงต้ังครรภ์ท่ีมี
เปอร์เซ็นต์ และมี 1 ราย คิดเป็นร๎อยละ 1.04 ท่ีอยํู ภาวะโลหิตจาง อยูํในชํวงอายุ 20-34 ปี ร๎อยละ 59.5
ระดับ 3 คอื น๎อยกวําหรือเทํากับ 20.9 เปอร์เซ็นต์ (x̄ = และอายุต่ากวํา 20 ปี ร๎อยละ 30.4 ด๎านอาชีพ สํวน
30.37, S.D.= 2.44, Max = 32.9, Min = 20.9) ด๎าน ใหญํประกอบอาชีพแมบํ า๎ น คิดเป็นร๎อยละ 37.33 ซ่ึงไมํ
ปริมาตรเฉลี่ยของเซลล์เม็ดเลือดแดง (MCV) พบวํา สอดคล๎องกับการศึกษา15 ที่พบวําร๎อยละ 37.5 เป็น
สํวนใหญํมีคําน๎อยกวํา 80 เฟมโตลิตร คิดเป็นร๎อยละ กลํุมอาชีพนักเรียน นักศึกษา สํวนใหญํระดับการศึกษา
73.34 (x̄ = 73.27, S.D.= 10.32, Max = 102.2, Min สูงสุดอยทูํ ่มี ัธยมศึกษาตอนปลาย คิดเป็นร๎อยละ 41.33
= 49.1) สํวนปริมาณเฉล่ียของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือด สอดคล๎องกับการศึกษา15 ท่ีพบวําร๎อยละ 35.9 ของ
แดง (MCH) สํวนใหญํ มีคําน๎อยกวํา 27 พิโคกรัม คิด หญิงตั้งครรภ์ท่ีมีภาวะโลหิตจางมีการศึกษาระดับ
เป็นร๎อยละ 86.67 (x̄ = 23.50, S.D.= 3.92, Max = มัธยมศึกษา สํวนโรคประจาตัวพบวํา ร๎อยละ 98.66
33.9, Min = 9.2) ด๎านการทดสอบฮีโมโกลบินไมํเสถียร ปฏเิ สธโรคประจาตวั
โดยการตกตะกอนสี (DCIP) พบวํา ร๎อยละ 64.00 ผล
เป็นบวก (Positive) เมื่อตรวจวิเคราะห์ชนิดและ ข๎อมลู การตงั้ ครรภ์ พบวาํ กลมํุ ตัวอยํางที่มีภาวะ
ปรมิ าณฮโี มโกลบิน (Hemoglobin typing) จานวน 28 โลหิตจาง สํวนใหญํเป็นการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 คิดเป็น
ราย พบวํา สํวนใหญํเป็นพาหะฮีโมโกลบินอี (Hb E ร๎อยละ 53.34 สํวนใหญํมาเจาะเลือดครั้งที่ 1 ในชํวง
trait) คิดเป็นร๎อยละ 53.57 รองลงมาคือ Homozy- ไตรมาสที่ 1 สัปดาห์ท่ี 1 ถึง สัปดาห์ท่ี 14 ร๎อยละ
gous Hb E With or without Alpha-thalassemia, 56.00 ซ่ึงไมํสอดคล๎องกับผลการศึกษา15-16 ท่ีพบวํา
Alpha - thalassemia trait จานวนเทํากัน คิดเป็น หญิงต้ังครรภ์ที่มีภาวะโลหิตจาง มาตรวจเลือดครั้งแรก
ร๎อยละ 21.43 และมี 1 ราย คิดเป็นร๎อยละ 3.60 อายุครรภ์อยูํในไตมาสท่ี 2 ด๎านดัชนีมวลกายกํอนการ
เป็นพาหะธาลัสซีเมียชนิดเบต๎า (Beta-thalassemia ต้ังครรภ์ พบวาํ สํวนใหญํร๎อยละ 48.00 มีดัชนีมวลกาย
trait) กํอนการตั้งครรภ์อยํูในเกณฑ์ปกติ 18.5 - 22.9 กก./ม2
อภิปรายผลการศึกษา และมีถึงร๎อยละ 22.66 ที่มีดัชนีมวลกายกํอนการ
ต้ังครรภ์อยํูในเกณฑ์ผอม <18.5 กก./ม2 ซึ่งต่าสุดอยูํที่
คุณลักษณะภาวะโลหิตจางในหญิงต้ังครรภ์ที่มา 16.05 กก./ม2 สอดคล๎องกับผลการศึกษา15 ท่ีพบภาวะ
เจาะเลือดครั้งท่ี 1 คลินิกฝากครรภ์ โรงพยาบาลหนอง โลหิตจางในหญิงต้ังครรภ์ท่ีมีดัชนีมวลกายกํอนการ
วัวซอ อาเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ข๎อมูลท่ัวไป ตั้งครรภ์อยูํในเกณฑป์ กติ คิดเป็นรอ๎ ยละ 54.7 และดัชนี
พบวํา กลมํุ ตวั อยํางที่มีภาวะโลหติ จางสํวนใหญํ สัญชาติ มวลกายกํอนการต้ังครรภ์อยํูในเกณฑ์ผอม คิดเป็นร๎อย
ไทย คิดเป็นร๎อยละ 93.33 และอีกร๎อยละ 6.67 ละ 12.5
สัญชาติลาว สอดคล๎องกับการศึกษา15 ท่ีพบวํากลํุม
หญิงต้ังครรภ์ตํางด๎าวท่ีมีภาวะโลหิตจาง สํวนใหญํ ข๎อมูลการตรวจทางห๎องปฏิบัติการ พบวํา ร๎อย
สัญชาติลาว รอ๎ ยละ 9.4 สวํ นตาบลท่ีพบภาวะโลหิตจาง ละ 90.66 มีภาวะซีดในระดับ 1 ปริมาตรเม็ดเลือดแดง
มากท่ีสุด คือตาบลหมากหญ๎า คิดเป็นร๎อยละ 20.00 อัดแนํน (Hct) มีคําระหวําง 27.0-32.9 % สอดคล๎อง
ชํวงอายุท่ีพบภาวะโลหิตจางมากที่สุดคือ ชํวงอายุ 20- กับการศึกษา16 ที่พบวําร๎อยละ 81.0 หญิงต้ังครรภ์มี
34 ปี 11 เดือน คิดเป็นร๎อยละ 66.66 ที่นําสนใจคือ ภาวะโลหิตจางรุนแรงน๎อย Hct มีคําระหวําง 30.0-
ชํวงอายุน๎อยกวํา 20 ปี พบภาวะโลหิตจางถึงร๎อยละ 32.9% ข๎อมูลปริมาตรเฉล่ียของเซลล์เม็ดเลือดแดง
49 (MCV) พบวําร๎อยละ 73.34 ผิดปกติ คือมีคําน๎อยกวํา
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปีที่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
80 เฟมโตลิตร สอดคล๎องกับการศึกษา15 พบวําร๎อยละ เอกสารอา้ งองิ
60.9 มีคํา MCV น๎อยกวํา 80 เฟมโตลิตร สํวนปริมาตร 1. World Health Organisation. Haemoglo-
เฉล่ียของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (MCH) ร๎อยละ
86.67 พบวําผิดปกติ คือน๎อยกวํา 27 พิโคกรัม สํวน bin concentrations for the diagnosis of anae-
การทดสอบฮีโมโกลบินไมํเสถียรโดยการตกตะกอนสี mia and assessment of severity. Vitamin and
(DCIP) พบวํา สํวนใหญํมีผลบวก (Positive) คิดเป็น Mineral Nutrition Information System[Internet]
ร๎อยละ 64.00 ซ่ึงไมํสอดคล๎องกับการศึกษา16 ท่ีพบวํา Geneva: World Health Organization; 2 0 1 1
สํวนใหญํร๎อยละ 74.7 ผลการตรวจ DCIP ปกติ [cited 2 0 1 5 Nov 2 ]. Available from: http://
(Negative) สํวนผลการตรวจวเิ คราะห์ชนิดและปริมาณ www.who.int/vmnis/indicators/
ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin typing) จากกลุํมตัวอยําง haemoglobin.pdf
28 คนที่ได๎รับการตรวจ พบวํา สํวนใหญํ เป็นพาหะ
ฮีโมโกลบินอี (Hb E trait) คิดเป็นร๎อยละ 53.57 2. World Health Organisation. Worldwide
รองลงมาคือ Homozygous Hb E With or without prevalence of anaemia 1993-2005: WHO global
Alpha-thalassemia คิดเป็นร๎อยละ 21.43 สอดคล๎อง database on anaemia; 2008.
กับการศึกษา15 ท่ีพบวําร๎อยละของหญิงตั้งครรภ์ที่มี
ภาวะโลหติ จาง สํวนใหญํเป็นพาหะฮีโมโกลบินอี (Hb E 3. ลธชิ า ตานา, ชเนนทร์ วนาภิรกั ษ์. ภาวะโลหติ
trait) คิดเป็นร๎อยละ 29.7 และ Homozygous Hb E จางในสตรีตั้งครรภ์ [อินเทอร์เน็ต]. 2560 [เข๎าถึงเม่ือ
ร๎อยละ 10.9 2 0 เ ม ษ า ย น 2 5 6 2 ]. เ ข๎ า ถึ ง ไ ด๎ จ า ก : http://
www.med.cmu.ac.th/dept/obgyn/2 0 1 1 /index.
จากผลการวิจัย ข๎อมูลทั่วไป ข๎อมูลการ php?option=com_content&view=article&id=
ตั้งครรภ์ และผลการตรวจทางห๎องปฏิบัติการของกลํุม 1372:2017-10-25-02-02-51&catid=45&Itemid
ตัวอยําง สามารถนาไปใช๎ในการพัฒนา และปรับปรุง =561
ระบบการดูแล เฝูาระวัง และติดตามหญิงต้ังครรภ์ท่ีมา
ฝากครรภ์ เพ่อื ปอู งกนั ผลกระทบที่อาจเกิดข้ึนจากการมี 4. สานักสํงเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวง
ภาวะโลหิตจางขณะต้ังครรภ์ โดยใช๎เป็นข๎อมูลพื้นฐาน สาธารณสุข. คมํู ือแนวทางการควบคุมและปูองกันโลหิต
ในการออกแบบบริการสุขภาพรํวมกับทีมสุขภาพใน จางจากการขาดธาตุเหล็ก. นนทบุรี: สานักโภชนาการ
ระดับอาเภอตอํ ไป กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข; 2554.
ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั คร้งั แต่ไป
5. รายงาน ก2 จังหวัดอุดรธานี. อุดรธานี:
1. ควรมกี ารศกึ ษาเพอ่ื หาปัจจยั ท่ีมีผลตํอการเกิด สานกั งานสาธารณสุขจงั หวัดอุดรธานี; 2562.
ภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภท์ ่มี าเจาะเลอื ด
ครั้งที่ 1 เพ่ือหาแนวทางในการปอู งกนั ภาวะโลหิตจาง 6. รายงาน ก2 อาเภอหนองวัวซอ: อุดรธานี:
ในหญิงตั้งครรภ์ โรงพยาบาลหนองวัวซอ; 2561.
2. ควรศกึ ษาความสมั พนั ธ์ระหวาํ งประวัติการ 7. Allen, L. H. 2000. Anemia and iron de-
ฝากครรภ์กับภาวะโลหติ จางในหญงิ ตงั้ ครรภ์ ficiency: effects on pregnancy outcome. The
American journal of clinical nutrition 2000; 71
3. ควรมกี ารศึกษาถึงภาวะแทรกซอ๎ นจากภาวะ (5): 1280S-1284S.
โลหติ จางขณะต้ังครรภ์ทมี่ ผี ลตํอมารดาและทารก
ระหวาํ งตั้งครรภ์ คลอด และหลงั คลอด 8. Cunningham, F., Leveno, K., Bloom, S.,
Spong, C. Y., Dashe, J. Williams obstetrics. 24
th ed. New York: Mcgraw-hill; 2014.
9 . Lowdermilk, D. L., Perry, S. E.,
Cashion, M. C. Maternity Nursing-Revised Re-
print-E-Book. Elsevier Health Sciences; 2014.
50
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
10. ลลิตวดี เตชะกัมพลสารกิจ, กรรณิการ์
กันธะรักษา, นันทพร แสนศิริพันธ์. วิธีการสํงเสริมการ
ปูองกันภาวะโลหิตจางในสตรีตั้งครรภ์: การทบทวน
อยํางเป็นระบบ. Nursing Journal 2561; 5(1): 62-
74.
11. สานักอนามัยการเจริญพันธ์ุ กรมอนามัย
กระทรวงสาธารณสุข. นโยบายและยุทธศาสตร์การ
พัฒนาอนามัยการเจริญพันธ์ุแหํงชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.
2560-2569). [อินเทอร์เน็ต] [เข๎าถึงเม่ือ 21 เมษายน
256 2]. เข๎ าถึ งไ ด๎จ าก : http://plan.psru.ac.th/
index.php?module=policy&id=225.
1 2 . Wylie, L., & Bryce, H. G. The Mid-
wives' Guide to Key Medical Conditions-E-
Book: Pregnancy and Childbirth. Elsevier
Health Sciences; 2016.
13. อารยา องค์เอ่ยี ม, พงศ์ธารา วิจติ เวชไพศาล.
การตรวจสอบคณุ ภาพเครือ่ งมอื วิจยั . วิสญั ญีสาร 2561;
44(1): 36-42.
14. Cannon, S., and Boswell, C. Quantita-
tive research design. Introduction to Nursing
Research: Incorporating Evidence–Based Prac-
tice. Boston: Jone and Bartlett Publisher; 2007.
15. ศิริฉัตร รองศักดิ์, ประนอม พูลพัฒน์, มยุ
รัตน์ รกั เกียรต์ิ. ภาวะโลหิตจางในสตรีต้ังครรภ์ที่มาฝาก
ครรภ์ และคลอดในโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี. Jour-
nal of Nursing and Health Care 2017; 35(3): 39-
47.
16. ผาสุข กัลย์จารึก. ภาวะโลหิตจางในหญิง
ตั้งครรภ์ ทคี่ ลอดในโรงพยาบาลอํูทอง อาเภออทูํ อง
จังหวัดสพุ รรณบรุ ี. Nursing Journal of The Ministry
of Public Health 2017; 27(1): 22-33.
รบั ต๎นฉบับ: 12 ธนั วาคม 2562, ได๎รับบทความปรบั ปรุง: 16 มีนาคม 2563, รับลงตพี มิ พ:์ 21 มีนาคม 2563
51
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
ผลของการจดั การเรียนการสอนโดยใชแ้ พดเลต็ (Padlet) เพ่อื ส่งเสริมความสามารถในการเรียนรแู้ บบนาตนเอง
และทกั ษะการมปี ฏสิ ัมพันธข์ องนักศกึ ษาพยาบาล ในรายวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่ 2
หัวข้อ การพยาบาลผปู้ ่วยที่มีปญั หาระบบกระดกู
ปิติณัช ราชภักดี พย.ม. (การพยาบาลผ๎ใู หญํ) อาจารยป์ ระจาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชธานี
วิทยาเขตอุดรธานี
พวงผกา อินทรเ์ อี่ยม พย.ม. (บรหิ ารการพยาบาล) อาจารย์ประจาคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชธานี
วิทยาเขตอุดรธานี
บทคัดย่อ
การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) ความสามารถในการเรียนร๎ูแบบนา
ตนเองของนักศึกษา 3) ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ของนักศึกษา และ 4) ความพึงพอใจของนักศึกษาในการใช๎แพดเล็ต
ในการเรยี นวชิ าการพยาบาลผู๎ใหญํ 2 หวั ขอ๎ การพยาบาลผูป๎ ุวยทมี่ ีปัญหาระบบกระดกู การวจิ ัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่ง
ทดลอง วัดผลกํอนและหลังการใช๎แพดเล็ต (One Group Pre-Post test) ประชากรเป็นนักศึกษาพยาบาลศาสตร์
ช้ันปีที่ 3 ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการพยาบาลผ๎ูใหญํ 2 จานวนทั้งหมด 188 คน เคร่ืองมือท่ีใช๎ในการวิจัย
ประกอบด๎วย 1) แผนการจัดการเรยี นรโ๎ู ดยใช๎แพดเล็ต 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 3) ความพึงพอใจ
ในการใช๎แพดเล็ต ในการเรียน สถิติท่ีใช๎ในการวิเคราะห์ข๎อมูลได๎แกํ คําเฉล่ีย สํวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และการ
ทดสอบคําที (t-test Dependent)
ผลการวิจัยพบวํา 1) ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักศึกษา ความสามารถในการเรียนรู๎แบบนาตนเองของ
นักศกึ ษาหลังเรียนสูงกวาํ กอํ นเรยี น อยาํ งมีนัยสาคัญทางสถติ ิ และทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ของนักศึกษาหลังเรียนโดย
ใช๎แพดเล็ตสูงกวํากํอนเรียน อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติทุกด๎าน (P=0.01) และ 4) นักศึกษามีความพึงพอใจตํอการ
เรียนโดยใชแ๎ พดเลต็ ในระดับมากดว๎ ยคะแนนเฉล่ีย 3.70+0.75 คะแนน จากเตม็ 5 คะแนน
คาสาคญั : แพดเล็ต, การเรียนร๎ูแบบนาตนเอง, ทักษะการมีปฏิสมั พนั ธ์, นักศึกษาพยาบาล, ความพงึ พอใจ
Corresponding author: ปติ ณิ ชั ราชภักดี โทรศพั ท์ 086-8439224 E-mail: [email protected]
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชธานี วิทยาเขตอดุ รธานี 293 ถ.เลีย่ งเมอื ง ต.หนองขอนกวา๎ ง อ.เมือง จ.อุดรธานี 41000
52
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
The effect of using Padlet to enhance the self-directed learning ability and interaction skill
of nursing student of Adult nursing 2 in the topic of Orthopedic Nursing problem
Pitinut Ratchapakdee. (MNS. Adult Nursing). Faculty of Nursing, Ratchathani University
Udonthani campus
Puangpaka Iniam. (MNS.Administration Nursing). Faculty of Nursing, Ratchathani University
Udonthani campus
Abstract
The purposes of the research were study 1) the achievement 2) the self - directed learning
ability 3) the interaction skills of the nursing students 4) the nursing students’ satisfaction towards
the padlet. This research was a quasi-experiment design measure before and after using the palet
(One Group of Pre-Post test). The population in this study were composed of 188 nursing
registered in adult nursing 2. The instruments consisted of 1) Learning Plan of the padlet
2) pre-post learning achievement tests 3) Interaction skills test and 5) a questionnaire for studying
the nursing students’ satisfaction towards the padlet. The data were analyzed by mean, standard
deviation and t-test dependent.
The results of the research were as follows: nursing student’s learning achievement, the self
-directed learning ability and the nursing students’ interaction skills after using padlet was
significantly higher than that before using at 0.01 level and the nursing students’ satisfaction was
found at a high level (x̄ =3.70, S.D.=0.76) Full five points
Keywords: Padlet, Self-directed learning, Interaction skills, Nursing student
53
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
บทนา มัลตมิ ีเดีย ซึ่งงานวจิ ัยน้ผี ๎ูวจิ ยั เลือกใช๎กระดานแพดเลต็
ปัจจบุ นั การจัดการเรียนการสอนในยุคศตวรรษที่ แพดเล็ต คือ เว็บเครือขํายที่มีทั้งแบบใช๎ฟรีและ
21 เน๎นการเรียนการสอนโดยผ๎ูเรียนเป็นสาคัญ ผู๎เรียน เสียคําบริการ มีรูปแบบเป็นกระดานถามตอบ
ต๎องมีการเรียนร๎ูจากการลงมือทา ฝึกฝนและแสวงหา (Dashboard) ซ่ึงผู๎สอนเป็นผู๎กาหนดและแบํงแยก
ความรู๎เพิ่มเติมด๎วยตนเองนอกเหนือจากตาราเรียนและ บทเรยี นตาํ งๆ โดยผ๎ูสอนและผ๎ูเรียนสามารถนาข๎อมูลไมํ
การเรียนในชั้นเรียน ผ๎ูสอนมีบทบาทอานวยความ วําจะเปน็ แฟูมขอ๎ มลู รปู ภาพ ภาพเคลือ่ นไหว มาใสํไว๎ใน
สะดวก ให๎คาแนะนา ชี้ชํองทางการแสวงหาความร๎ูและ แพดเล็ต และสามารถแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็น
หาเครื่องมือท่ีจะมาสนับสนุนการเรียนร๎ูและพัฒนา ระหวํางผ๎ูเรียนด๎วยกันเอง ระหวํางผู๎เรียนและผ๎ูสอนได๎
ทักษะของผู๎เรียนให๎เหมาะสมกับทักษะที่ต๎องการใน ตลอดเวลา ผู๎เรียนคนอื่นๆ สามารถเห็นข๎อความของ
ศตวรรษท่ี 21 ซึ่งปัจจุบันเน๎นการใช๎เทคโนโลยีทาง เพ่ือนรํวมช้ันได๎ในเวลาเดียวกัน และเป็นเรียลไทม์
การศึกษา ที่เน๎นผู๎เรียนเป็นสาคัญและสามารถ เหมาะสาหรับผ๎ูเรียนที่ไมํกล๎าถามในช้ันเรียน แพดเล็ต
พัฒนาการใช๎กระบวนการคิด กระบวนการทางกลุํม เป็นอีกหนึ่งชํองทางในการสอบถามผู๎สอน ทาให๎ผู๎เรียน
การมีปฏิสัมพันธ์ การมีสํวนรํวม และเน๎นให๎ผ๎ูเรียน ได๎มีการปฏิสัมพันธ์ในห๎องเรียนและสามารถใช๎เพื่อ
สามารถนาความร๎ูไปประยุกต์ใช๎ได๎โดยเกิดการเรียนร๎ู ชํวยกันระดมสมองในเรื่องตํางๆ โดยผ๎ูเรียนจะสามารถ
ด๎วยการนาตนเอง (Self-directed Learning) ซ่ึงเกิด แสดงความคิดเห็นของตนเองและศึกษาส่ิงท่ีเพ่ือนได๎
จากการเร่ิมต๎นของผู๎เรียนเป็นสาคัญการเรียนร๎ูแบบนา แสดงความคิดเห็นได๎ ในเวลาเดียวกัน แพดเล็ต
ตนเอง (Self-directed Learning) เกิดจากการท่ีผู๎เรียน สามารถแยกกระดานสนทนาออกเป็นบทเรียนตําง ๆ
ต๎องมีแรงจูงใจที่จะเรียน เรียนด๎วยความสมัครใจ มีการ ตามแผนการสอนท่ีได๎วางไว๎ โดยข๎อมูลตํางๆ ที่ใสํไว๎ใน
กาหนดเปูาหมายการเรียนร๎ู เรียนรู๎ตามแผนท่ีวางไว๎ กระดานสนทนาจะยงั คงอยูํ แม๎วําจะมกี ารสร๎างกระดาน
และประเมินผลการเรียนรู๎ของตนเองอยํางตํอเนื่อง ซึ่ง สนทนาอื่นๆ เพ่ิมขึ้น ผู๎เรียนสามารถที่จะย๎อนกลับมาดู
เป็นการเรียนร๎ูที่สามารถนามาจัดการเรียนร๎ูได๎ทั้ง ข๎อมูลที่มีอยํูในกระดานสนทนาท้ังหมดภายหลังได๎
รายบุคคล และการจดั การความรเู๎ ป็นกลํุม1 โดยสามารถ นักเรียนสามารถเรียนรู๎ผํานแพดเล็ต ได๎ทุกที่ด๎วย
เรียนรู๎รํวมกับเพื่อน ผู๎สอน หรือผ๎ูรู๎ได๎ ทาให๎เกิดการ อุปกรณ์ท่ีเปิดใช๎งานทางอินเทอร์เน็ต เชํน สมาร์ทโฟน,
แลกเปล่ียนเรียนรู๎และมีปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งทักษะการมี แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ที่เช่ือมตํออินเทอร์เน็ต ซึ่ง
ปฏิสัมพันธ์ เป็นทกั ษะหน่ึงที่จะทาให๎การเรียนรู๎ด๎วยการ ส า ม า ร ถ ชํ ว ย ใ ห๎ ผู๎ เ รี ย น เ กิ ด ก า ร เ รี ย น รู๎ แ น ว คิ ด แ ล ะ
นาตนเองสาเร็จ เป็นการสร๎างความสัมพันธ์ระหวําง หลักการ และเปน็ การสรา๎ งความรใู๎ นขณะที่มีปฏิสัมพันธ์
บุคคลในกลํุม การสร๎างความสัมพันธ์ในห๎องเรียนด๎วย ทางสังคม การมีสํวนรํวมและกระตุ๎นให๎ผู๎เรียนใน
การให๎ผ๎ูเรียนมีสํวนรํวมในการเรียน กิจกรรมประเภท กจิ กรรมการเรยี นรู๎
ตํางๆ ทจ่ี ะให๎ผเ๎ู รียนมีสํวนรํวมในการเรียนการสอน เชํน
ให๎ผ๎ูเรียนอธิบาย หรือออกมาแก๎ปัญหาบนกระดาน ให๎ ในปัจจบุ ันมีการนากระดานแพดเล็ต มาใช๎ในการ
โอกาสถามตอบข๎อสงสัย หรือแสดงความคิดเห็นขณะ จัดการเรียนการสอน ดังเชํน การศึกษาของ ดาวิด อา
เรยี น ถามปญั หาให๎ผูเ๎ รียนตอบ ให๎ผู๎เรียนจับกลุํมทางาน เรียส สิราช และซากาเรีย (DeWit, Alias, Siraj &
ท่ีผ๎ูเรียนมอบหมายในขณะสอน เชํน ทาแบบฝึกหัด Zakaria)2 ที่ศึกษาการใช๎แพดเล็ต ในนักศึกษาระดับ
อภิปรายเพ่ือหาคาตอบ หรือ โดยผ๎ูสอนอธิบายขณะ ปริญญาตรีช้ันปี 1 จานวน 30 คน พบวํา นักศึกษาเกิด
ผู๎เรียนทางาน ให๎ผ๎ูเรียนค๎นคว๎าหาความรู๎มารายงานตํอ ความร๎ูความเข๎าใจมากข้ึนและทาให๎มีปฏิสัมพันธ์กันใน
เพื่อน เป็นต๎น ซึ่งกิจกรรมตํางๆที่กลําวมา มีลักษณะ การทางานกลุํมเพ่ิมมากขึ้น การศึกษาของฟารา นา
ของปฏิสัมพันธ์ที่ใช๎มี 3 แบบ คือ ปฏิสัมพันธ์ระหวําง เซอร์ อับดุลลา อัลกรานิ (Farah Nasser & Abdullah
ผู๎สอนกับผู๎เรียน ผ๎ูเรียนกับผ๎ูเรียน และผ๎ูเรียนกับส่ือ Algraini)3 ที่ศึกษาผลของใช๎แพดเล็ต ในการเสริมสร๎าง
54
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
สมรรถนะการเขียน พบวําการสอนโดยใช๎แพดเล็ต ทา การสังเกตบรรยากาศการเรียนการสอนในห๎องเรียน
ให๎ผู๎เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนดีขึ้นทาให๎สามารถ นักศึกษาไมํกล๎ายกมือถามและเวลาอาจารย์ผู๎สอนถาม
เขียนและสอบผํานผํานตามเกณฑ์ที่กาหนด ซ่ึง นักศึกษาไมํกล๎าตอบและแสดงความคิดเห็น ทาให๎
สอดคล๎องกับการศึกษาของ สุรีรัตน์ สุํมมาตย์4 ศึกษา ผ๎ูสอนไมํทราบวํานักศึกษาเข๎าใจในเน้ือหาหรือไมํ ซ่ึง
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนกํอนหลังด๎วยการสอน จากปัญหาดังกลําวผู๎สอนได๎กลับมาคิดทบทวนวิธีการ
บนแพดเล็ต วิชาโปรแกรมตารางคานวณ สาหรับ จัดการเรียนการสอนของตนเอง หาวิธีที่จะให๎นักศึกษา
นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีท่ี 2 สาขา เปดิ ประเดน็ ในส่ิงท่ีไมเํ ข๎าใจ และกล๎าแสดงความคิดเห็น
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ที่พบวํา นักศึกษาท่ีได๎รับการสอน กล๎าท่ีจะแลกเปล่ียนเรียนร๎ู และหาวิธีการประเมินการ
บนเวบ็ เครอื ขํายแพดเล็ต มีระดับคะแนนที่สูงกวํากลุํมท่ี เรียนร๎ูในห๎องเรียนวํานักศึกษาเข๎าใจในเนื้อหาที่สอน
ไมํได๎สอนบนเว็บเครือขํายและ การศึกษาของ สุนิพันธ์ หรือไมํ พร๎อมทั้งหาวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ
ศรีสุพจนานนท์ และปวัฒวงศ์ บารุงขันท์5 ท่ีศึกษา ใหมํๆ เพ่ือให๎ผู๎เรียนมีความสนใจและพัฒนาทักษะใน
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนกํอนหลังด๎วยการสอน ศตวรรษที่ 21
บนแพดเล็ต ในการเขียนโปรแกรมงานระบบ วตั ถุประสงค์การวจิ ัย
อุตสาหกรรมและงานคลังสินค๎าในโรงงานอุตสาหกรรม
สาหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ด๎วยการสอนบน ท่ี 1. ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน กํอนและหลัง
ไดร๎ ับการสอนบนเว็บเครือขํายแพดเล็ต มีระดับคะแนน การใช๎ แพดเล็ต ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชา
ที่สูงกวํากลุํมที่ไมํได๎สอนบนเว็บเครือขําย และจาก การพยาบาลผู๎ใหญํ 2 หัวข๎อการพยาบาลผู๎ปุวยท่ีมี
การศึกษาของ สุนิพันธ์ ศรีสุพจนานนท์, ยุทธนัทธี ปัญหาระบบกระดกู
โตะ๏ เร๏ะ และตรีพล เตชอทิ ธิ6 ท่ีศึกษาความพึงพอใจของ
การใช๎แพดเลต็ พบวาํ ความพึงพอใจของนักศึกษาอยํูใน 2. ศึกษาผลของการจัดการเรียนร๎ูเพื่อสํงเสริม
ระดบั มากและสามารถดงึ ดดู ความสนใจของนักศึกษาให๎ ความสามารถในการเรียนรู๎แบบนาตนเองกํอนและหลัง
มีสวํ นรวํ มในการเรยี นการสอนเพ่ิมมากขนึ้ เรียนโดยใชโ๎ ดยใช๎ แพดเลต็ ในการจดั การเรียนการสอน
รายวิชาการพยาบาลผ๎ใู หญํ 2 หัวขอ๎ การพยาบาลผ๎ูปุวย
การจัดการเรียนการสอนรายวิชาการพยาบาล ทม่ี ปี ัญหาระบบกระดูก
ผ๎ูใหญํ 2 เป็นรายวิชาทฤษฎีท่ีวําด๎วย การพยาบาลแบบ
องคร์ วม ในผใ๎ู หญทํ ม่ี ีปัญหาสขุ ภาพ ในระยะ เฉียบพลัน 3. ศึกษาผลของการจัดการเรียนรู๎เพ่ือสํงเสริม
วิกฤต ฉุกเฉินและเร้ือรัง ที่ได๎รับการรักษาด๎วยยา และ/ ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ของนักศึกษากํอนและหลังเรียน
หรือผําตัด โดยครอบคลุมบทบาทในการสร๎างเสริม โดยใช๎โดยใช๎ แพดเล็ต ในการจัดการเรียนการสอน
สุขภาพ การปูองกันโรคและ การฟ้ืนฟูสภาพ ท่ีมีปัญหา รายวิชาการพยาบาลผใ๎ู หญํ 2 หัวข๎อ การพยาบาลผู๎ปุวย
ในหลาย ระบบเนื้อหาคํอนข๎างมาก ยากตํอการจาและ ทม่ี ปี ัญหาระบบกระดกู
ทาความเขา๎ ใจกบั เนือ้ หา และยิ่งเป็นหัวข๎อการพยาบาล
ผู๎ปุวยท่ีมีปัญหาระบบกระดูก ซึ่งมีเนื้อหาคํอนข๎างเยอะ 4. ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาในการใช๎
ประกอบด๎วยปัญหาตํางๆ ที่เกิดข้ึน พยาธิสภาพ การ แพดเล็ต ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการ
วินิจฉัย การรักษา และการพยาบาล ซึ่งจากการจัดการ พยาบาลผ๎ูใหญํ 2 หัวข๎อ การพยาบาลผู๎ปุวยที่มีปัญหา
เรียนการสอนแบบเดิมคือการสอนแบบบรรยาย และ ระบบกระดูก
สอบวัดผลการเรียนร๎ู พบวํานักศึกษาสอบได๎คะแนน วธิ ดี าเนนิ การวิจยั
น๎อย และไมํผํานเกณฑ์ เนื่องจากไมํเข๎าใจและไมํ
สามารถจับประเด็นของเนื้อหาในแตํละบทได๎ และจาก การศึกษานี้เป็นการวิจัยก่ึงทดลอง (quasi-
experiment design) แบบกลํุมเดียววัดกํอนและหลัง
การทดลอง (One group pretest-posttest design)
55
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
1. ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง เที่ยงที่ 0.8 โดยมีเกณฑ์การให๎คะแนนข๎อละ 1 คะแนน
ประชากร เปน็ นกั ศึกษาพยาบาลศาสตร์ช้ันปีท่ี 3 ตอบใชํได๎ 1 คะแนน ถ๎าตอบไมํได๎ 0 คะแนน ท้ังหมด
ท่ีลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการพยาบาลผู๎ใหญํ 2 ใน 65 ข๎อ
ภาคเรียนที่ 2/2560 จานวนทัง้ หมด 188 คน
2. ขอบเขตในการวจิ ยั 3.5 แบบทดสอบวัดทักษะการมีปฏิสัมพันธ์
2.1 ตัวแปรทใี่ ชใ๎ นการศกึ ษา ผู๎ วิ จั ย ส ร๎ า ง ข้ึ น เ อ ง จ า ก ก า ร ท บ ท ว น ว ร ร ณ ก ร ร ม
ตัวแปรอิสระ ได๎แกํ รูปแบบการเรียนรู๎โดยใช๎ ตรวจสอบคุณภาพโดยผู๎เช่ียวชาญจานวน 3 ทําน เพ่ือ
แพดเลต็ หาคําดัชนีความสอดคล๎อง (IOC) เทํากับ 1 และหาคํา
ตัวแปรตาม ได๎แกํ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ความเท่ียงโดยการหาคําสัมประสิทธ์ิอัลฟาของครอ
ความสามารถในการเรียนร๎ูแบบนาตนเอง ทักษะการมี นบาค มีคําความเที่ยงท่ี 0.84 โดยมีเกณฑ์การให๎
ปฏิสมั พันธ์ และความพึงพอใจในการใช๎ แพดเลต็ คะแนนข๎อละ 1 คะแนน ตอบใชํได๎ 1 คะแนน ถ๎าตอบ
2.2 เน้ือหาวิชาที่ใช๎ ได๎แกํ วิชาการพยาบาล ไมไํ ด๎ 0 คะแนน ทงั้ หมด 20 ข๎อ
ผู๎ใหญํ 2 หัวข๎อการพยาบาลผ๎ูปุวยที่มีปัญหาระบบ
กระดูก 3.6 แบบสอบถามความพึงพอใจของในการใช๎
3. เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มูล แพดเล็ต ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการ
3.1 แบบสอบถามข๎อมูลทว่ั ไป ได๎แกํ เพศ อายุ พยาบาลผ๎ูใหญํ 2 หัวข๎อการพยาบาลผ๎ูปุวยที่มีปัญหา
การใช๎เทคโนโลยสี ารสนเทศ ระบบกระดูก เป็นคําคะแนน มีลักษณะการวัดเป็น
3.2. แผนการจัดการเรียนร๎ูโดยใช๎ แพดเล็ต 1 มาตราสํวนประเมินคํา (Rating Scale) แบํงเป็น 5
แผน 6 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู๎ฉบับนี้มีคําดัชนี ระดับ คือ 5 หมายถึง นักศึกษามีความพึงพอใจมาก
ความสอดคล๎อง (IOC) เทํากับ 1 ท่ีสุด 4 หมายถึง นักศึกษามีความพึงพอใจมาก
3.3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 3 หมายถึง นักศึกษามีความพึงพอใจปานกลาง
หัวข๎อการพยาบาลผ๎ูปุวยท่ีมีปัญหาระบบกระดูก กํอน 2 หมายถึง นักศึกษามีความพึงพอใจน๎อย และ
เรียนและหลังเรียน เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก 30 ข๎อ 1 หมายถึง นักศึกษามีความพึงพอใจน๎อยที่สุด และ
ใ ช๎ ท ด ส อ บ กํ อ น เ รี ย น (Pretest) แ ล ะ ห ลั ง เ รี ย น เกณฑ์การแปลผลคะแนน แบํงออกเป็น 5 ระดับ ได๎แกํ
(Posttest) โดยแบบทดสอบผํานการพิจารณาของ คําเฉลี่ยคะแนน 4.21-5.00 หมายถึง ระดับความพึง
ผู๎เช่ียวชาญจานวน 3 ทําน มีคําความยากงํายระหวําง พอใจมากที่สุด คําเฉลี่ยคะแนน 3.41-4.20 หมายถึง
0.25-0.75 คําอานาจจาแนกรายข๎อมีคําระหวําง 0.25- ระดับความพึงพอใจมาก คําเฉลี่ยคะแนน 2.61-3.40
0 .9 9 แ ล ะ ข๎ อ ส อ บ ทุ ก ข๎ อ ไ ด๎ ผํ า น ก า ร พิ จ า ร ณ า หมายถึง ระดับความพึงพอใจปานกลาง คําเฉล่ีย
ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ก า กั บ ม า ต ร ฐ า น วิ ช า ก า ร ห ลั ก สู ต ร คะแนน 1.81-2.60 หมายถึง ระดับความพึงพอใจน๎อย
พยาบาลศาสตรบณั ฑติ และคําเฉล่ียคะแนน 1.00-1.80 หมายถึง ระดับความ
3.4. แบบทดสอบถามความสามารถในการ พึงพอใจน๎อยที่สุด นาแบบทดสอบคานวณคําความ
เรียนร๎ูแบบนาตนเอง ผ๎ูวิจัยได๎ดัดแปลงตามแนวคิดของ เช่ือมั่นด๎วยคําสัมประสิทธ์ิอัลฟุา ของครอนบาค
กู ก ลิ เ อ ล มิ โ น (Guglielmino)7 ป ร ะ ก อ บ ด๎ ว ย 8 (Cronbach’s alpha coefficient) ได๎คํา ความเชื่อมั่น
องค์ประกอบ จานวน 65 ข๎อ ตรวจสอบคุณภาพโดย แบบสอบถามความพงึ พอใจเทาํ กับ 0.65
ผ๎ูเช่ียวชาญจานวน 3 ทําน เพื่อหาคําดัชนีความ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
สอดคล๎อง (IOC) เทํากับ 1 และหาคําความเท่ียงโดย
การหาคําสัมประสิทธ์ิอัลฟาของครอนบาค มีคําความ ผ๎วู จิ ยั ไดท๎ าการเกบ็ รวบรวมข๎อมูลดังน้ี
1. ผู๎วิจัยทาการพิทักษ์สิทธ์ิตํอกลํุมตัวอยํางกํอน
เก็บข๎อมูลโดย ผู๎วิจัยได๎ใช๎ใบเซนต์ยินยอมเข๎ารํวมการ
วิจัย แจ๎งวัตถุประสงค์ในการวิจัยแกํนักศึกษาให๎
56
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
รับทราบและยินดีเข๎ารํวมในการศึกษา พร๎อมทั้งแจ๎ง ผลการวิจยั
ข้ันตอนในการเกบ็ ขอ๎ มลู 1. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักศึกษาพยาบาล
2 . น า แ บ บ วั ด ผ ล สั ม ฤ ท ธิ์ ท า ง ก า ร เ รี ย น ศาสตร์ พบวําผลการทดสอบความรู๎กํอนการจัดการ
แบบสอบถามความสามารถในการเรียนร๎ูแบบนาตนเอง เรียนรู๎โดยใช๎ แพดเล็ต มีคําเฉลี่ยคะแนนเทํากับ 9.03
และแบบวัดทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ ชุดกํอนเรียนไป และผลการทดสอบความรู๎หลังการจัดการเรียนรู๎โดยใช๎
ทดสอบกับนักศึกษากลุํมตัวอยําง กํอนการทดลองสอน แพดเล็ต มีคําเฉล่ียคะแนนเทํากับ 16.62 ซึ่งคะแนน
แล๎วเก็บรวบรวมผลการทดสอบกํอนเรียนไว๎เพ่ือนาไป เฉลี่ยหลังจากได๎เรียนโดยใช๎ แพดเล็ต สูงกวํากํอนเรียน
วเิ คราะหต์ อํ ไป อยํางมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั 0.01 (ตารางที่ 1)
ตารางท่ี 1 คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของ
3. ดาเนินการสอนนักเรียนกลุํมตัวอยําง ในภาค นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ที่เรียนโดยใช้ แพดเล็ต
เรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2560 โดยใช๎แพดเล็ต เพื่อพัฒนา เพอ่ื พฒั นาทักษะการมปี ฎสิ ัมพันธ์ (N=188)
ความสามารถในการเรียนร๎ูแบบนาตนเอง และทักษะ
การมีปฏิสัมพันธ์ ใช๎จัดการเรียนการสอนตามขั้นตอนท่ี การ จานวน x̄ S.D. t-test p-value
ระบุไวใ๎ นแผนการจดั การเรยี นรู๎ ทดสอบ นักศกึ ษา 0.000**
4. เม่ือทาการสอนเสร็จเรียบร๎อยแล๎ว จึงทดสอบ กํอนเรยี น 188 10.82 4.12 -25.09
หลังเรียน โดยใช๎แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ หลงั เรียน 188 19.65 3.66
เรียน แบบสอบถามความสามารถในการเรียนรู๎แบบนา
ตนเอง แบบวัดทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ และแบบสอบ 2. ความสามารถในการเรียนรู๎แบบนาตนเองของ
ถามความพงึ พอใจ นักศึกษาพยาบาลหลังจากได๎เรียนโดยใช๎ แพดเล็ต สูง
การวิเคราะห์ขอ้ มูล กวํากํอนเรียนอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01
(ตารางท่ี 2)
ผูว๎ จิ ัยใช๎สถิตใิ นการวิเคราะห์ ดังน้ี
1. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นา ตารางท่ี 2 ความสามารถในการเรียนรู้แบบนาตนเอง
คะแนนท่ีได๎จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักศึกษาพยาบาลศาสตร์
ทางการเรียนกํอนเรียนและหลังเรียนมาคานวณหา ที่เรียนโดยใช้แพดเล็ต เพ่ือพัฒนาความสามารถใน
คํ า เ ฉ ล่ี ย (x̄ ) สํ ว น เ บ่ี ย ง เ บ น ม า ต ร ฐ า น (S.D.) การเรียนรแู้ บบนาตนเอง (N=188)
เปรียบเทียบความแตกตํางโดยการทดสอบคําที (t-test
Dependent Samples) ทกั ษะการ จานวน x̄ S.D. t-test P-value
2. การเปรียบเทียบความสามารถในการเรียนร๎ู ปฏสิ มั พันธ์ นกั ศึกษา
แบบนาตนเองและทักษะการมีปฏิสัมพันธ์กํอนเรียน กอํ นเรียน 188 8.34 2.41 -27.42 0.000**
และหลังเรียนมาคานวณหาคําเฉล่ีย (x̄ ) สํวนเบ่ียงเบน หลงั เรยี น 188 15.30 2.61
มาตรฐาน (S.D.) เปรียบเทียบความแตกตํางโดยการ
ทดสอบคาํ ที (t-test Dependent Samples) 3. ความพึงพอใจตํอการใช๎แพดเล็ต ภาพรวม
3. การวิเคราะหข์ ๎อมูลจากแบบสอบถามความพึง พบวํา อยูํในระดับมาก โดยมีคําเฉล่ียเทํากับ 3.70 และ
พอใจ มาคานวณหาคําเฉลี่ย (x̄ ) สํวนเบ่ียงเบน เม่ือแยกตามรายด๎าน พบวํา ความพึงพอใจของผู๎เรียน
มาตรฐาน (S.D.) และแปลความหมายตามเกณฑ์ของ ด๎านความรู๎ความเข๎าใจ ด๎านการนาไปใช๎ ด๎านความ
ลเิ คอรท์ (Likert) สะดวกตํอการใช๎ส่ือ อยูํในระดับมากตามลาดับ (ตาราง
ท่ี 3)
57
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
ตารางท่ี 3 ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการ ผู๎เรียนมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนดีขน้ึ ทาให๎สามารถเขียน
จัดการเรยี นการสอนโดยใช้ แพดเล็ต (N=188) และสอบผํานผํานตามเกณฑ์ที่กาหนด และสอดคล๎อง
กับการ ศึกษา ของ สุรีรัต น์ สํุมมา ต ย์ 4 ที่ศึกษา
รายดา้ น ความพงึ พอใจของผู้เรียน x̄ S.D. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนกํอนหลังด๎วยการสอน
1 ดา๎ นความร๎ูความเข๎าใจ 3.72 0.73 บนแพดเลต็ วชิ าโปรแกรมตารางคานวณสาหรับนักเรียน
2 ดา๎ นการนาไปใช๎ 3.78 0.80 ร ะดั บป ร ะ กา ศ นีย บัต ร วิช า ชี พชั้ นปีท่ี 2 ส าข า
3 ดา๎ นความสะดวกตอํ การใชส๎ ่อื 3.61 0.72 คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ท่ีพบวํานักศึกษาท่ีได๎รับการสอนบน
3.70 0.75 เว็บเครือขํายแพดเล็ต มีระดับคะแนนท่ีสูงกวํากลํุมท่ี
ค่าเฉลย่ี รวมทกุ ดา้ น ไมํได๎สอนบนเว็บเครือขําย และสอดคล๎องกับการศึกษา
ของสุนิพันธ์ ศรีสุพจนานนท์ และปวัฒวงศ์ บารุงขันท์5
อภปิ รายผล ท่ีศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนกํอนหลังด๎วย
จากผลการวจิ ัยมีประเด็นการอภปิ ราย ดังน้ี การสอนบนแพดเล็ต ในการเขียนโปรแกรมงานระบบ
1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกํอนและหลังการใช๎ อุตสาหกรรมและงานคลังสินค๎าในโรงงานอุตสาหกรรม
สาหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ด๎วยการสอนบน ท่ี
แพดเล็ต ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการ ได๎รับการสอนบนเว็บเครือขํายแพดเล็ต มีระดับคะแนน
พยาบาลผ๎ูใหญํ 2 หัวข๎อการพยาบาลผู๎ปุวยท่ีมีปัญหา ที่สงู กวาํ กลํุมทีไ่ มไํ ดส๎ อนบนเวบ็ เครือขําย
ระบบกระดกู
2. การสํงเสรมิ ความสามารถในการเรยี นร๎ูแบบนา
นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ท่ีเรียนโดยใช๎แพดเล็ต ตนเองกํอนและหลังการใช๎แพดเล็ต ในการจัดการเรียน
เพ่ือพัฒนาทักษะปฏสิ มั พันธม์ ผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูง การสอน รายวิชาการพยาบาลผู๎ใหญํ 2 หัวข๎อการ
กวํากํอนการใช๎แพดเล็ต ที่เป็นเชํนนี้เน่ืองจากการเรียน พยาบาลผ๎ูปุวยท่มี ีปญั หาระบบกระดกู
ก า ร ส อ น ใ น ห๎ อ ง เ รี ย น แ บ บ เ ดิ ม ข อ ง อ า จ า ร ย์ ผ๎ู ส อ น
(traditional style) อาจารย์ถามนักศึกษาโดยให๎ นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ท่ีเรียนโดยใช๎แพดเล็ต
นักศึกษาตอบ นักศึกษาบางคนเกิดความไมํม่ันใจและ เพื่อสํงเสริมความสามารถในการจัดการเรียนร๎ูแบบนา
ความอายในคาตอบกลัวผิด จึงไมํมีการตอบคาถาม ตนเอง มีคําเฉลี่ยคะแนนสํงเสริมความสามารถในการ
อาจารย์บรรยายเพียงอยํางเดียว ทาให๎นักศึกษาบางคน จัดการเรียนร๎ูแบบนาตนเอง หลังเรียนสูงกวํากํอนการใช๎
เกิดความไมํเข๎าใจอยากถาม แตํไมํกล๎าถาม ซ่ึงแตกตําง แพดเลต็ ในการจัดการเรียนการสอน ซ่ึงจากการศึกษา
จากการใช๎แพดเล็ต ซ่ึงเป็นการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ๎น ครั้งนี้ พบวําแพดเล็ตสามารถชํวยให๎ผ๎ูเรียนเกิด
ความอยากรู๎อยากเห็นสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนได๎แสดงความ ความสามารถในการเรยี นร๎ูแบบนาตนเองเกิดการเรียนร๎ู
คิดเห็นโต๎ตอบได๎ทันที เมื่อเกิดความสงสัย และยัง แนวคิดและหลักการ ผ๎ูเรียนสร๎างความรู๎ในขณะท่ีมี
กระตุน๎ ให๎ผู๎เรียนได๎แสวงหาความร๎ูและกระตุ๎นให๎ผ๎ูเรียน ปฏสิ ัมพนั ธ์ทางสังคม สํงเสริมการมีสํวนรํวมและกระตุ๎น
ค๎นหาคาตอบในประเด็นท่ีกาหนด เน๎นการรับผิดชอบ ให๎ผู๎เรียนรํวมกิจกรรมการเรียนร๎ู ผ๎ูเรียนสามารถบรรลุ
การเรียนร๎ูของตนเอง และมีปฏิสัมพันธ์ระหวํางอาจารย์ จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ก า ร เ รี ย น ร๎ู ข อ ง ร า ย วิ ช า ท่ี ต้ั ง ไ ว๎ ไ ด๎ จ า ก
กับนกั ศึกษา และกระตุ๎นการเรียนร๎ูตลอดเวลา และเป็น การศึกษาบนเว็บเครือขําย1 ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้
กระบวนการใช๎คาถามที่มีความหมาย เพ่ือกระต๎ุนให๎ สอดคล๎องกับการศึกษาของ ดาวิด อาเรียส และ สิราช
ผ๎ูเรียนสืบสวนหรือ ค๎นหาคาตอบในประเด็นที่กาหนด (DeWit, Alias & Siraj)8 ที่ศึกษาการเรียนรู๎แบบรํวมมือ
เนน๎ การใหผ๎ ู๎เรยี นรับผิดชอบการเรียนรู๎ของตนเอง สํงผล ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยใช๎แพดเล็ตในการ
ให๎นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกวํา กํอนใช๎ อภิปรายโต๎ตอบ พบวํานักศึกษาได๎เรียนร๎ูแนวคิดใหมํ
แพดเล็ต ซ่ึงสอดคล๎องกับการศึกษาของ ฟารา นาเซอร์ จากโพสต์อ่ืนๆ บนแพดเล็ต และได๎เรยี นรผ๎ู าํ นการเรียนร๎ู
อับดุลลา อัลกรานิ (Farah Nasser & Abdullah Al- การทางานรวํ มกนั
graini)3 ทศี่ กึ ษาผลของการใชแ๎ พดเล็ต ในการเสรมิ สร๎าง
สมรรถนะการเขียน พบวาํ การสอนโดยใชแ๎ พดเล็ต ทาให๎ 58
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
การสอนได๎ และเมื่อพิจารณารายด๎านพบวํา ด๎านการ
3. ทกั ษะการมปี ฏสิ ัมพนั ธ์ กอํ นและหลังการใช๎ แพด นาไปใช๎ มีคําเฉลี่ยรายด๎านสูงสุด (x̄ =3.78, S.D.=0.80 )
เลต็ ในการจดั การเรียนการสอนรายวชิ าการพยาบาลผ๎ูใหญํ รองลงมาเปน็ ดา๎ นความรค๎ู วามเขา๎ ใจ (x̄ =3.72, S.D.=0.73)
2 หัวข๎อการพยาบาลผูป๎ ุวยทีม่ ปี ญั หาระบบกระดูก ข๎อ และ และด๎านความสะดวกตํอการใช๎สื่อ (x̄ =3.61, S.D.=0.72)
กล๎ามเนื้อ ผลการศึกษาพบวํา นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ท่ี ตามลาดับ และหากพิจารณารายข๎อพบวําความพึงพอใจ
เรียนโดยใช๎แพดเล็ต เพอื่ พัฒนาทักษะปฏิสัมพันธ์มีคําเฉลี่ย สูงสุดคือ ผู๎เรียนสามารถระดมความคิดหรือแลกเปลี่ยน
คะแนนทักษะการมีปฏิสัมพันธ์หลังเรียนสูงกวํากํอนการใช๎ ความคิดเหน็ กับเพื่อนเกี่ยวกับเน้ือหาของบทเรียนผํานแพด
แพดเล็ต ในการจัดการเรียนการสอน ซ่ึงการจัดการเรียน เล็ตได๎ (x̄ =3.82, S.D.=0.78) รองลงมาได๎แกํ ผู๎เรียน
การสอนบนแพดเล็ต เป็นรูปแบบการสอนท่ีมีปฏิสัมพันธ์ สามารถใช๎แพดเล็ต เป็นแหลํงค๎นคว๎าหาความร๎ูเพิ่มเติม
(Interactive Instruction Model) ซึ่งจดั ประสบการณ์การ (x̄ =3.80, S.D.=0.72) และผู๎เรียนรับรู๎วําแพดเล็ตมี
เรยี นร๎ูจากการมีปฏสิ มั พนั ธ์กับเนอื้ หาทไ่ี ดร๎ ับ จากการศกึ ษา วิ ธี ก า ร ใ ช๎ ง า น ที่ เ ห ม า ะ ส ม ตํ อ ก า ร เ รี ย น รู๎ ข อ ง ผู๎ เ รี ย น
ครั้งน้ี พบวําแพดเล็ตสามารถชํวยให๎ผู๎เรียนเกิดการเรียนร๎ู ตามลาดบั มีคาํ เฉล่ียอยูํในระดับมาก (x̄ =3.65, S.D.=0.73)
แนวคิดและหลักการ ผ๎ูเรียนสร๎างความร๎ูในขณะท่ีมี ซ่ึงสอดคลอ๎ งกับสนุ พิ ันธ์ ศรสี ุพจนานนท์, ยุทธนัทธี โต๏ะเร๏ะ
ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม สํงเสริมการมีสํวนรํวมและกระตุ๎นให๎ และตรีพล เตชอิทธิ6 ที่ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษา
ผ๎ูเรียนรํวมกิจกรรมการเรียนรู๎ ผ๎ูเรียนสามารถบรรลุ มหาวิทยาลัยธนบุรี ท่ีมีตํอการใช๎เว็บเครือขํายแพดเล็ตใน
จุดประสงค์การเรียนรู๎ของรายวิชาท่ีตั้งไว๎ได๎ ซ่ึงในการวิจัย ด๎านการเรียนการสอน โดยภาพรวมแล๎วมีคําเฉล่ียอยํูใน
ครัง้ น้ีเปน็ การนาแนวคิดของการเรียนการสอนทีป่ รับเปลยี่ น ระดับมาก และพบวํานักศึกษามีการระดมความคิดหรือ
จากทผ่ี ู๎สอนเป็นผู๎คิดและถํายทอดแตํเพียงผู๎เดียว การสอน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพ่ือนเกี่ยวกับเน้ือหาของ
แบบเดิมผ๎ูเรียนไมํกล๎าตอบคาถาม ไมํกล๎าถามผู๎สอน ไมํมี บทเรยี น ซึ่งมคี าํ เฉลี่ยความพึงพอใจเทํากับ 3.90 ซ่ึงในยุคท่ี
ปฏิสัมพันธ์ในการเรียนการสอน กลายเป็นความรํวมมือ ผู๎เรียนศวรรษท่ี 21 แล๎ว มักสนใจการใช๎ส่ือและเทคโนโลยี
ระหวํางผ๎ูเรียนและผ๎ูสอน โดยเน๎นผ๎ูเรียนเป็นสาคัญ เน๎น ใหมํๆ มากกวําการใช๎การสอนจากตาราหรือการใช๎เครื่อง
การมีสํวนรํวมในการเรียนการสอน ทาให๎ผ๎ูเรียนเกิดความ ฉายหรือ power point และสอดคลอ๎ งกบั การศึกษาของดา
กระตือรือร๎นท่ีจะเข๎ารํวมในกระบวนการเรียนการสอนได๎ วิด อาเรียส และสิราช (DeWit, Alias & Siraj)7 ท่ีศึกษา
ตลอดเวลาไมวํ ําจะอยํทู ีไหนกต็ ามแพดเลต็ ทาให๎นักศึกษามี การเรยี นร๎แู บบรวํ มมือของนักศึกษาระดับอุดมศึกษาโดยใช๎
ความรู๎ พัฒนาทักษะการคิด ทักษะการค๎นคว๎า และพัฒนา แพดเล็ตในการอภิปรายโต๎ตอบพบวํา นักศึกษามีความพึง
ทักษะการมปี ฏสิ มั พนั ธ์ ทักษะกระบวนการกลุํม การทางาน พอใจในการใช๎แพดเล็ตอยํูในระดับมาก นักศึกษาได๎เรียนร๎ู
อยํางมีระบบ ทักษะทางสังคม กับผ๎ูสอนและผู๎เรียนคนอ่ืน แนวคิดใหมํจากโพสต์อื่นๆ บนแพดเล็ตและได๎เรียนรู๎ผําน
โดยการโต๎ตอบผํานกระดานแพดเล็ต ซึ่งสอดคล๎องกับ ดา การเรยี นรก๎ู ารทางานรวํ มกนั
วิด อาเรียส สิราช และซากาเรีย (DeWit, Alias, Siraj &
Zakaria)2 ท่ีศึกษาการใช๎แพดเล็ต ในนักศึกษาระดับ สวํ นความพึงพอใจทีม่ ีคาํ เฉลย่ี น๎อยท่สี ดุ ไดแ๎ กํ ความ
ปริญญาตรีชั้นปี 1 จานวน 30 คน พบวํา นักศึกษาเกิด พร๎อมของอุปกรณ์ในการเข๎าถึงแพดเล็ต (x̄ =3.53,
ความรู๎ความเข๎าใจและทาให๎มีปฏิสัมพันธ์กันในการทางาน S.D.=0.65) ซ่งึ เปน็ ขอ๎ จากัดในการจัดการเรยี นการสอนโดย
กลุํม ร๎อยละ 46 และนักศกึ ษามคี วามพึงพอใจในระดับมาก ใช๎เทคโนโลยีสารสนเทศเข๎ามาเกี่ยวข๎อง คือ ไมํสามารถ
ท่ีสุดในการจัดการเรยี นการสอนแบบรํวมมือโดยการโต๎ตอบ ควบคุมการสํงสัญญาณอินเตอร์เน็ตให๎เสถียรได๎ และขณะ
ผํานแพดเลต็ จัดการเรียนการสอน จานวนของนักศึกษาท้ังมหาวิทยาลัย
ใช๎สัญญาณอินเตอร์เน็ตทาให๎สัญญาณไมํเสถียร และ
4. ความพึงพอใจของผู๎เรียนที่มีตํอการใช๎แพดเล็ต อุปกรณ์ของนักศึกษาบางคนมีหนํวยความจาน๎อยเมื่อถึง
ในการเรียนการสอนรายวิชาการพยาบาลผ๎ูใหญํ 2 หัวข๎อ เวลาต๎องเข๎าถึงทาให๎ช๎า และอุปกรณ์ค๎างบํอย สอดคล๎อง
การพยาบาลผ๎ปู วุ ยทม่ี ีปญั หาระบบกระดูก กับการศึกษาของแอน เดนน่ี และซาเนีย ซาเนียล (Ann
Deni, & Zainor Zanial)9 ที่ศึกษาการใช๎แพดเล็ตใน
ความพงึ พอใจตํอการใช๎แพดเล็ต โดยรวมทั้งหมด มี
คําเฉล่ียรวมอยํูในระดับมาก (x̄ =3.70, S.D.=0.75) ซ่ึง
แสดงให๎เห็นวาํ แพดเลต็ สามารถนามาใช๎ในการจัดการเรยี น
59
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
5. สุนิพันธ์ ศรีสุพจนานนท์, ปวัฒวงศ์ บารุงขันท์.
นักศกึ ษาชั้นปีท่ี 2 ของสถาบัน การศึกษาวิทยาศาสตร์และ การพฒั นาทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ในการเขียนโปรแกรมงาน
เทคโนโลยี สถาบันธุรกิจการทํองเที่ยว พบวํามีความ ร ะ บ บ อุ ต ส า ห ก ร ร ม แ ล ะ ง า น ค ลั ง สิ น ค๎ า ใ น โ ร ง ง า น
ยากลาบากในการใช๎เน่ืองจากมีปัญหาเก่ียวกับอุปกรณ์ อุตสาหกรรม สาหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ด๎วยการ
คอมพวิ เตอร์และการเช่ือมตํอเครือขํายมีความลาบากเม่ือมี สอนบน แพดเลต็ . ว.วจิ ัยและนวตั กรรมการอาชีวศึกษาภาค
การเข๎าถงึ พรอ๎ มกนั ตะวันออกเฉยี งเหนือ 2560; 1(2): 61-66.
ขอ้ เสนอแนะ 6. สนุ พิ ันธ์ ศรสี พุ จนานนท์, ยุทธนทั ธี โต๏ะเร๏ะ, ตรี
พล เตชอิทธิ. สารวจความพึงพอใจของนักศึกษา
ข๎อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช๎ ควรมี มหาวิทยาลัยธนบุรี ท่ีมีตํอการใช๎เว็บเครือขํายแพดเล็ต ใน
การศึกษาข๎อมูลเพ่ิมเติมในรายวิชาอ่ืนๆ ท่ีมีลักษณะ ด๎านการเรียนการสอน. [อินเทอร์เน็ต] [เข๎าถึงเมี่อ 24
เหมาะสมตํอการใช๎เว็บเครือขํายแพดเล็ตสํงเสริมหรือ ตุลาคม 2560]. เข๎าถึงได๎จาก: http://webcache.
สนบั สนุนสาหรับการสอน โดยเน๎นเร่ืองของการเรียนร๎ูแบบ googleusercontent.com/search?q=cache:agrO-
ทีม การเรียนรรู๎ ํวมกนั การระดมความคิด การแบํงปัน และ EWfbQJ:www.lit.ac.th/benjamit/document/
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งจะทาให๎นักศึกษามีความ EDU020.docx+&cd=4&hl=th&ct =clnk&gl=th. 2559.
กระตือรือร๎นในการค๎นคว๎าเพ่ือให๎เกิดการเรียนร๎ูแบบนา 7. Gulielmino, L.M. Development of the self
ตนเอง ความพึงพอใจในการเรียน รวมไปถึงทาให๎มี -directed learning readiness scale. Doctoral disser-
ผลสมั ฤทธ์ิทางดา๎ นการเรยี นที่สูงข้นึ tation, University of Georgia. 1997.
เอกสารอ้างอิง 8. DeWitt, D.; Alias, N.; Siraj, S., Collaborative
learning: interactive debates using padlet in a
1. เขมณัฎฐ์ ม่ิงศิริธรรม. การเรียนร๎ูด๎วยการนา higher education institution. International journal
ตนเองบนเครือขําย Self-directed Learning on web- of advanced research. [Internet]. 2015 [cited 2017
based Learning. ว.ศึกษาศาสตร์ ฉบับวิจัยบัณฑิตศึกษา December 1 2 ]. Available from: http://eprints.
2552; 32(1): 6-13. um.edu.my /1 3 6 3 0 /1 /9 7 1 6 6 2 _Journal-
Submission_WN.pdf.
2. DeWitt, D., Alias, A., Siraj, S., Zakaria, A. R. 9. Ann,R,M,D; Zainor,I,Z., padlet as an Edu-
Interactions in Online Forums: A Case Study cational Tool: Pedagogical Considerations and
Among First-Year Undergraduate Students. Fron- Lessons Learnt. [Internet]. 2018 [cited 2019 Sep-
tiers in Education 2014; 2(1): 6-13. tember 1 ]. Available from jhttps://www.research
gate.net/publication/3 2 9 7 3 6 1 2 4 _padlet
3. Farah Nasser Abdullah Algraini. The Effect _as_an_Educational_Tool_Pedagogical_Considerat
of Using padlet on Enhancing EFL Writing Perform- ions_and_Lessons_Learnt.
ance f Master degree in Linguistics in Al-Imam
Muhammad Ibn Saud Islamic University. [Internet]
2014. [cited 2017 December 12]. Available from:
http://www.awej.org/images/Theseanddissertat
ion/FarahNasserAlgraini/farahalgrainifullthesis.pdf.
4. สุรีรัตน์ สํุมมาตย์. การพัฒนาสื่อดิจิทัลตาม
แนวคิดของกาเยํด๎วยการสอนบน แพดเล็ต วิชาโปรแกรม
ตารางคานวณ (2204-2103) สาหรับนักเรียนระดับ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
2561; 2(1): 31-38.
รบั ต๎นฉบบั : 18 ตุลาคม 2562, ไดร๎ ับบทความปรบั ปรงุ : 1 เมษายน 2563, รบั ลงตีพมิ พ:์ 3 เมษายน 2563
60
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมการสูบบุหร่ีของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอุดรธานี ระหว่างก่อนและหลังการใช้
โปรแกรมเสรมิ สรา้ งพลังอานาจด้านจติ ใจ
พมิ พ์ราไพ บุณยศ์ ุภา หวั หนา๎ กลมุํ งานสุขศึกษา โรงพยาบาลอุดรธานี
บทคดั ยอ่
การวิจยั นเ้ี ปน็ การวิจัยกึ่งทดลองแบบ One group pretes-posttest design มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับ
พฤติกรรมการสูบบุหรี่ของเจ๎าหน๎าท่ีโรงพยาบาลอุดรธานี จาแนกตามตัวแปรพื้นฐานสํวนบุคคลและเปรียบเทียบ
พฤติกรรมการสูบบุหร่ีของเจ๎าหน๎าที่โรงพยาบาลอุดรธานี ระหวํางกํอนและหลังการใช๎โปรแกรมเสริมสร๎างพลัง
อานาจด๎านจิตใจ 1 สัปดาห์ และ 4 เดือน กลุํมตัวอยํางเป็นเจ๎าหน๎าท่ีโรงพยาบาลอุดรธานีท่ีสูบบุหร่ีเป็นประจา
จานวน 32 คน ในการทดลองกลุมํ ตวั อยาํ งได๎เข๎ารวํ มกิจกรรมในโปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ 7 สัปดาห์
โดยกํอนใช๎โปรแกรมฯ และหลังการใช๎โปรแกรมฯ 1 สัปดาห์ และ 4 เดือน กลุํมตัวอยํางได๎รับการวัดพฤติกรรมการ
สูบบุหร่ีด๎วยแบบสอบถามแบบมาตราสวํ นประมาณคํา สถิติทใี่ ชใ๎ นการวิเคราะห์ข๎อมูล ไดแ๎ กํ ความถี่ ร๎อยละ คําเฉล่ีย
สวํ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และ paired samples t-test
ผลการศึกษา 1) โดยภาพรวมและจาแนกตามตัวแปรพ้ืนฐานสํวนบุคคล พบวํา กํอนการใช๎โปรแกรม
เสรมิ สรา๎ งพลังอานาจด๎านจิตใจ เจ๎าหน๎าที่โรงพยาบาลอุดรธานีที่เข๎ารํวมโครงการ สํวนใหญํมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่
ในระดับมาก แตํหลังจากเข๎ารํวมโปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ 1 สัปดาห์ และ 4 เดือน สํวนใหญํมี
พฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลงเป็นระดับน๎อย 2) หลังเข๎ารํวมโปรแกรมการเสริมร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ 1 สัปดาห์
และ 4 เดือน เจ๎าหน๎าที่โรงพยาบาลอุดรธานีที่เข๎ารํวมโครงการ มีพฤติกรรมการสูบบุหร่ีน๎อยกวํากํอนเข๎ารํวม
โปรแกรมอยาํ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .01
ผลท่ีพบนี้ช้ีให๎เห็นวําโปรแกรมการเสริมร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ สํงผลให๎กลุํมตัวอยํางมีพฤติกรรมการสูบ
บุหรลี่ ดนอ๎ ยลง และพฤติกรรมดงั กลําวยงั คงทนอยํู แมว๎ าํ ระยะเวลาจะผาํ นไปแลว๎ 4 เดอื น
คาสาคัญ: การเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจติ ใจ, พฤติกรรมการสบู บุหรี่, การลดและเลกิ สูบบหุ รี่
Corresponding author: พมิ พร์ าไพ บุณยศ์ ุภา โทรศัพท์ 081-9545993 E-mail: [email protected]
กลํุมงานสขุ ศกึ ษา โรงพยาบาลอุดรธานี 33 ถ.เพาะนิยม ต.หมากแขง๎ อ.เมอื ง จ.อดุ รธานี 41000
61
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
Comparative study of Udonthani Hospital Employees’smoking behavior between before
and after using the psychological empowerment program
Pimrampai Bunsupha, Head of Health Educator Department, Udonthani Hospital
Abstract
This study was quasi experimental research employed a one group pretest-posttest
design. The study aimed to explore the level of smoking behavior of Udonthani Hospital
Employees classified by personal background, and compare Udonthani Hospital Employees’
smoking behavior between before and after using the psychological empowerment program for 1
week and 4 months. Samples consisted of 3 2 Udonthani Hospital Employees who regularly
smoke. In an experimental procedure, samples participated for 7 weeks in psychological
empowerment program. Before using the program and after using the program for 1 week and 4
months, samples were assessed by rating scale smoking behavior questionnaire. The data were
then statistical analyzed using frequency, percentage, mean, standard deviation, and paired
samples t-test.
Findings revealed as follows: 1) By overall, and classified according to personal background
variables, it was found that before using the psychological empowerment program, most of
Udonthani Hospital Employees had the smoking behavior at a high level, but after participating in
psychological empowerment program for 1 week and 4 months, most of their smoking behavior
decreased to a low level. 2 ) After participating in psychological empowerment program for 1
week and 4 months, the mean score of Udonthani Hospital Employees’ smoking behavior was
less than before participating at .01 level of statistical significance.
Results indicated that psychological empowerment program efficiently influenced on
smoking behavior and that behavior still persistence even though past of four month of time.
Keyword: psychological empowerment, smoking behavior, smoking reduction and cessation
62
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
บทนา ของคนสูบบุหร่ีโรงงาน3 ในทางสังคมก็พบวํา เยาวชนท่ี
ในประเทศไทย ปัญหาการสูบบุหรี่ของ ติดบุหรี่จะสามารถนาไปสูํปัญหายาเสพติดชนิดตํางๆ
ผลการวิจัยพบวํา การติดบุหรี่มักเป็นหนทางที่นาไปสํู
ประชาชนยังคงเป็นปัญหาที่มีความรุนแรงไมํจบส้ิน การทดลองใช๎สารเสพติดชนิดอื่นๆ ตามมา โดยร๎อยละ
จากสถานการณ์การควบคุมการบริโภคยาสูบของ 95 ของวัยรุํนท่ีติดโคเคนและเฮโรอีน ร๎อยละ 75 ของ
ประเทศไทย พ.ศ.2559 พบวําประชากรไทยอายุ 15 ปี วัยรนํุ ท่ตี ิดฝนิ่ และกัญชา และร๎อยละ 62 ของวัยรํุนที่ติด
ขึ้นไป บริโภคยาสูบจานวน 10.9 ล๎านคน อัตราการสูบ เหลา๎ จะเร่มิ จากการสูบบุหรกี่ อํ น4
คิดเป็นร๎อยละ 19.58 ในทกุ กลุมํ อายมุ ีอตั ราการสูบบุหรี่ ในทางการแพทย์ปัจจุบัน มีวิธีการท่ีบาบัดพฤติกรรม
ลดลงจากปี พ.ศ. 2556 ยกเว๎นในกลุํมอายุ 19-24 ปี การตดิ บุหรี่ 2 วิธใี หญํ ๆ คอื
และกลุํมอายุ 41-59 ปีท่ีมีมากข้ึน หากแยกตามระดับ
ก า ร ส า เ ร็ จ ก า ร ศึ ก ษ า พ บ วํ า ร ะ ดั บ ก า ร ศึ ก ษ า ก า ร รั ก ษ า โ ด ย ก า ร ใ ช๎ ย า (Pharmacological
ประถมศึกษามีอัตราการสูบบุหร่ีสูงสุด รองลงมาคือ Treatment) กับการรักษาโดยไมํใช๎ยา (Non pharma-
ระดับมัธ ยมศึกษาตอนต๎น ผู๎ไมํได๎เรียน ระดับ cological Treatment)5 วธิ ีท่ีไมํใช๎ยานั้นมักใช๎การปรับ
มัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับอุดมศึกษา คิดเป็น พฤติกรรมและจิตสังคมบาบัด ซ่ึงโอกาสที่จะประสบ
ร๎อยละ 24.0, 22.4, 19.2, 19.0และ 10.2 ตามลาดับ ผลสาเร็จใกล๎เคียงกับวิธีการใช๎ยา6 วิธีการท่ีผลวิจัย
จากการศึกษาภาวะโรคจากปัจจัยเส่ียงของประชาชน พบวําใช๎ได๎ผลมีหลายรูปแบบ เชํน การใช๎โปรแกรมสุข
ไทยในปี พ.ศ.2552 พบวํามี 25 โรค ท่ีมีหลักฐาน ศึกษาเพ่ือเสริมสร๎างพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่7 การใช๎
ชัดเจนวําเป็นโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ มีคนตายจาก โ ป ร แ ก ร ม ก า ร ป รั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ท า ง ปั ญ ญ า เ พ่ื อ ล ด
โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ในกลํุมคนอายุ 30 ปีข้ึนไป พฤติกรรมการสูบบุหร่ี8 โปรแกรมชํวยเลิกบุหร่ีที่
จานวน 50,737 คน1 โทษภยั ของบุหร่ีไมไํ ด๎สํงผลกระทบ ประยุกต์ใช๎ทฤษฎีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ตํอเฉพาะผส๎ู ูบเทําน้ัน แตยํ งั สํงผลตํอบุคคลรอบข๎างด๎วย รํวมกับแรงสนับสนุนทางสังคม9 การใช๎โปรแกรมการ
คนรอบข๎างจะได๎รับสารพิษจากควันบุหร่ี และมีโอกาส ปรึกษาเพ่ือครอบครัวปลอดบุหรี่10 เป็นต๎น นอกจากนี้
เกดิ โรคได๎เชนํ เดยี วกบั ผส๎ู ูบบหุ ร่ี ในสตรมี ีครรภ์ไมํวาํ จาก ยังมีเทคนิควิธีในการปรับพฤติกรรมการสูบบุหรี่อีก
ควันบหุ รมี่ ือหนึ่งหรอื มอื สองจะมบี ุตรยาก เกิดโรคแทรก ประการหน่ึง คือการใช๎โปแกรมการเสริมสร๎างพลัง
ซ๎อนระหวํางตั้งครรภ์ คลอดกํอนกาหนด ทารกที่คลอด อานาจด๎านจิตใจ (Psychological Empowerment)
มีน้าหนักน๎อยกวํา 2,500 กรัม และเกิดอาการไหลตาย เทคนคิ วธิ นี ้ีนบั เป็นวธิ ที ี่มีประสิทธิภาพและนําสนใจมาก
ในเด็กได๎ นิโคตินที่แมํได๎รับจากควันบุหร่ีออกจาก ทั้งน้ีเพราะการเสรมิ สรา๎ งพลังอานาจด๎านจิตใจ เป็นการ
น้านมได๎ สงํ ผลให๎เด็กได๎รับนิโคตินด๎วย ในเด็กเล็กทาให๎ เสริมแรงภายในเพ่ือให๎เกิดการรับร๎ูในสมรรถนะของ
เกิดโรคหวดั บอํ ยขน้ึ เป็นหนู า้ หนวก หืดกาเริบ และอาจ ตนเอง รับร๎ูวําตนเองมีสํวนสาคัญทาให๎เกิดผลลัพธ์ท่ี
มีพัฒนาการลําช๎า2 นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังสํงผล เป็นประโยชน์ตอํ ตนเองและผ๎อู ่ืน สามารถจัดการตนเอง
กระทบตํอเศรษฐกิจในระดับครอบครัวและประเทศ ในการแก๎ปัญหาและตัดสินใจด๎วยตนเอง สามารถ
จากการสารวจการบริโภคยาสูบในผ๎ูใหญํระดับโลกในปี ควบคุมปจั จัยท่ีท่มี ผี ลตํอชวี ิตและสุขภาพของตนเอง11-12
2554 พบวําประเทศไทยมีผู๎สูบบุหรี่ชนิดบุหรี่โรงงาน การวิจัยท่ีแสดงให๎เห็นประสิทธิผลของการเสริมสร๎าง
ต๎องจํายเงินซื้อบุหร่ี 586 บาทตํอเดือน คิดเป็นร๎อยละ พลังอานาจตํอพฤติกรรมการลด ละ เลิกบุหร่ีได๎ชัดเจน
9.7 ของรายได๎เฉล่ียตํอเดือนในแตํละบุคคล ในขณะที่ผ๎ู มีทงั้ ในกลํมุ ผ๎ูตดิ บหุ รีใ่ นพระภิกษสุ งฆ์13 ในกลุํมผู๎ติดบุหร่ี
สูบบุหร่ีชนิดมวนเองและใช๎แบบไมํมีควัน จํายเงินซ้ือ ทั่วไป14 ในกลุํมหญิงที่เป็นแมํบ๎าน15 อยํางไรก็ตาม
เส๎น 37.5 บาทตํอเดือน คิดเป็นร๎อยละ 0.6 ของรายได๎ เนื่องจากงานวิจัยที่ใช๎เทคนิควิธีการเสริมสร๎างพลัง
เฉลี่ยตํอเรือนในแตํละบุคคล หรือคิดเป็น 1 ใน 16 เทํา อานาจด๎านจติ ใจในกลมุํ ผู๎ทางานในสานกั งานมนี ๎อยมาก
63
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ่ี 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
จึงยังคงเกิดคาถามที่ต๎องการคาตอบวําการเสริมสร๎าง กิจกรรม 4 ขั้นตอนคือ 1) การค๎นพบสภาพการสูบบุหรี่
พลังอานาจโดยเฉพาะมิติด๎านจิตใจ (Psychological ของตนเอง 2) การสะท๎อนคิดอยํางมีวิจารณญาณ 3)
Empowerment) จะชํวยลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ได๎ การตัดสินใจเลือกวิธี ลด หรือเลิกบุหร่ี และ 4) การ
อยํางมีประสิทธิภาพหรือไมํและหลังการใช๎โปรแกรม สนบั สนุนการลดหรือเลกิ บหุ ร่อี ยาํ งตํอเนอ่ื ง
บาบัดนั้นไปแล๎วระยะหนึ่ง พฤติกรรมท่ีถูกปรับนั้นจะ กรอบแนวคิดในการวจิ ัย
ยังคงอยํูอีกหรือไมํ การศึกษานี้จึงพยายามเน๎นแนวคิด
เชิงจิตสังคมบาบัดโดยไมํใช๎ยา เพื่อปรับเปลี่ยน การวิจัยนี้กาหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย ดัง
พฤตกิ รรมการสูบบหุ รีแ่ กเํ จ๎าหนา๎ ทีโ่ รงพยาบาลอุดรธานี ภาพที่ 1
ซ่ึ ง เ ป็ น บุ ค ล า ก ร ที่ ค ว ร เ ป็ น ต๎ น แ บ บ ที่ ดี ข อ ง ก า ร มี
พฤติกรรมสุขภาพแกํประชาชนท่ีมารับบริการท่ัวๆ ไป โปรแกรมการเสริมสรา้ งพลงั พฤตกิ รรมการสบู หุ ร่ี
เพ่ือนาไปสกํู ารมีสุขภาพทด่ี ี และมคี ณุ ภาพชีวติ ท่ีดีตอํ ไป อานาจ - หลังการใช๎โปรแกรมฯ
วัตถุประสงคก์ ารวิจยั 1. การคน๎ พบสภาพการสบู บุหร่ี 1 สปั ดาห์
ของตนเอง - หลงั การใช๎โปรแกรมฯ
1. เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการสูบบุหร่ีของ 2. การสะทอ๎ นความคดิ อยาํ งมี 4 เดือน
เจ๎าหน๎าที่โรงพยาบาลอุดรธานี กํอนและหลังเข๎ารํวม วิจารณญาณ
โปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ 1 สัปดาห์ 3. การตัดสินใจเลือกวเิ คราะห์
และ 4 เดือนท้ังโดยภาพรวมและจาแนกตามตัวแปร ลดหรอื เลกิ สบู บุหรี่
ข๎อมลู สวํ นบุคคล 4. การสนบั สนุนการลดหรอื เลกิ
บหุ ร่อี ยาํ งตํอเน่อื ง
2. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการสูบบุหร่ีของ
เจ๎าหน๎าท่ีโรงพยาบาลอุดรธานี ระหวํางกํอนและหลัง ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั
การใช๎โปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ รูปแบบการวจิ ยั
1 สปั ดาห์ และ 4 เดือน
นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi–
Experimental Research) แบบกลุํมเดียว วัดพฤติ-
บุหรี่ หมายถึง ผลิตภัณฑ์ยาสูบซ่ึงอาจอยํูในรูป กรรมการสูบบุหรี่กํอนและหลังการทดลอง (One
บุหร่ีจากโรงงาน บุหรี่มวนเอง ซิการ์หรือไปป์ ท่ีมีสาร Group Pretest-Posttest Design)
นิโคตินเป็นสํวนประกอบ เมื่อเสพแล๎วมีฤทธ์ิตํอจิต ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
ประสาท กอํ ให๎เกดิ อาการตดิ สารท่ปี ระกอบในบุหรี่
ประชากร
พฤติกรรมการสูบบุหร่ี หมายถึง การสูบบุหร่ี ประชากรในการศึกษาคร้ังนี้ ได๎แกํ เจ๎าหน๎าที่
ในชํวง 2 สัปดาห์ที่ผํานมา ตามสถานการณ์ความร๎ูสึก โรงพยาบาลอุดรธานีที่สูบบุหรี่เป็นประจา ในปี
และสภาพแวดล๎อมตํางๆ ที่เป็นสิ่งกระต๎ุนให๎เกิด พ.ศ.2559 เพศชาย จานวน 134 คน
พฤติกรรมสูบบุหรี่ เชํน สูบบุหร่ีหลังรับประทานอาหาร กล่มุ ตัวอยา่ ง
สบู บหุ รีข่ ณะดูรายการโทรทศั น์ เปน็ ต๎น กลํุมตัวอยํางในการศึกษาน้ี เป็นเจ๎าหน๎าท่ี
โรงพยาบาลอดุ รธานีท่ีตดิ บุหรแี่ ละประสงค์อยากเลิกสูบ
โปรแกรมเสริมสร้างพลังอานาจด้านจิตใจ บุหร่ีที่สมัครใจเข๎ารํวมโครงการลด ละ เลิกบุหรี่ เพศ
(Psychological Empowerment Program) หมายถึง ชาย จานวน 32 คนกาหนดขนาดกลุํมตัวอยํางตาม
กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพที่จัดขึ้น เกณฑ์ของ สุวิมล วํองวาณิช และนงลักษณ์ วิรัชชัย ที่
เพ่ือเป็นแนวทางในการสร๎างแรงจูงใจภายในตัวบุคคล กาหนดไว๎วํา การวิจัยเชิงทดลองอยํางน๎อยควรมีกลํุม
ในการดูแลสุขภาพตนเองเพื่อ ลด ละ เลิกบุหรี่ โดยมี ตวั อยํางกลุํมละ 20 คน16 ในการวจิ ยั นไี้ ดก๎ าหนดขนาด
64
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
กลุํมตัวอยํางไว๎ในตอนแรก 40 คน เพ่ือปูองกันการสูญ เลกิ บุหรี่อยํางตอํ เน่อื งตํอไป (ทาในสัปดาห์ท่ี 2-3 คนละ
หายในระหวํางดาเนินการทดลอง และสุดท๎ายหลังการ 1 ครั้งๆ ละ 60-90 นาที) ในสัปดาห์ท่ี 4-5 ผ๎ูเข๎ารํวม
ทดลองผู๎วิจยั ไดก๎ ลํมุ ตวั อยาํ งทน่ี ามาวิเคราะห์ 32 คน โครงการจะทบทวนและกากับพฤติกรรมสูบบุหร่ีด๎วย
ตนเอง และในสัปดาห์ท่ี 6-7 เป็นสรุปประเด็นปัญหา
ในการเลือกกลํุมตัวอยํางคร้ังน้ี ผู๎วิจัยมีเกณฑ์ใน แนวทางแก๎ไข แนวทางในการชํวยเหลือ และประเมิน
การคดั เขา๎ กลมุํ ตัวอยําง ดังน้ี ผล
1. เปน็ ผ๎สู ูบบหุ รเี่ ป็นประจาทกุ วนั 2. เครื่องมือท่ใี ช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูล
2. เป็นผ๎ูตอ๎ งการเลิกสูบบุหร่ี เคร่ืองมือท่ีใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูล เป็น
3. ไมํเจ็บปุวยด๎วยโรคร๎ายแรง เชํน โรคหัวใจ แบบสอบถามพฤติกรรมการสูบบุหร่ี ในแบบสอบถามน้ี
โรคปอด โรคปอดอุดก้ันเรื้อรัง โรคหอบหืด โรคเส๎น แบํงออกเป็น 2 สวํ น คือ
เลอื ดในสมอง สํวนที่ 1 ข๎อมูลสํวนบุคคล ซึ่งได๎แกํ อายุ
4. ยินดีเข๎ารํวมโครงการ และยืนยันวําสามารถ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา สภาพการอยํูอาศัย
เขา๎ รวํ มโครงการ ลด ละ เลิกบุหร่ีได๎ตลอดระยะเวลาใน สมาชกิ ครอบครัวทส่ี ูบบุหรี่ และระยะเวลาท่สี บู บหุ รี่
การดาเนินโครงการเสริมสรา๎ งพลงั อานาจด๎านจิตใจ สํวนท่ี 2 แบบสอบถามพฤติกรรมการสูบบุหร่ี
เคร่ืองมือและกจิ กรรมท่ใี ชใ้ นการวิจยั เป็นแบบสอบถามแบบมาตราสํวน ประมาณคํา (Rating
เครื่องมือและกิจกรรมท่ีใช๎ในการวิจัยครั้งน้ีมี 2 Scale) 5 ระดับ ผํานการตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหา
ประเภท คอื จากผเู๎ ช่ยี วชาญจานวน 3 ทําน มีคํา IOC ระหวําง 0.67
1. เคร่ืองมือที่ใช๎ในการทดลอง คือโปรแกรมการ -1.00 มีคําอานาจจาแนกรายข๎อ (Item-total Correla-
เสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ ซ่ึงได๎ประยุกต์จาก tion) ระหวําง .44 ถึง .77 (p<.05, one-tailed) และมี
แนวคดิ ของ Gibson12 และได๎ปรับปรุงจากกระบวนการ คาํ ความเทยี่ ง (Cronbach’salphacoefficient)=0.90
เสริมสร๎างพลังอานาจของรินดา เจวประเสริฐพันธุ์17 ขอ้ พิจารณาด้านจรยิ ธรรม
ผํานการตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหาและความ โครงการวิจัยได๎ผํานการพิจารณาจากคณะ
เหมาะสมของเน้ือหาที่ใช๎จากผู๎เชี่ยวชาญทางด๎านการ กรรมการจริยธรรมของโรงพยาบาลอุดรธานี เลขท่ี
เสริมสร๎างพลังอานาจานวน 3 ทําน มีคํา IOC รายข๎อ รับรอง EC ที่ 35/2560 ผ๎ูวิจัยได๎ดาเนินการโดยการ
ระหวําง .67-1.00 โดยมีระยะเวลาในการดาเนินงาน พิทักษ์สิทธิ์ของกลํุมตัวอยํางตามเกณฑ์การวิจัยใน
ตามโปรแกรม 7 สัปดาห์ ต้ังแตํเดือนกรกฎาคม 2560 มนุษย์โดยช้ีแจงวัตถุประสงค์ของการวิจัย ขั้นตอนการ
ถึงเดือนสิงหาคม 2560 โปรแกรมน้ีมีการดาเนิน รวบรวมข๎อมูล และระยะเวลาของการวิจัยในแตํละ
กิจกรรม 4 ขั้นตอน คือ 1) กิจกรรมการค๎นพบสภาพ ข้ันตอน พร๎อมท้ังชี้แจงให๎ทราบถึงสิทธขิ องกลํุมตัวอยําง
การสูบบุหร่ีของตนเอง (ทาในสัปดาห์แรก ทุกคนเข๎า ในการตอบรับการเข๎ารํวมโครงการ หรือปฏิเสธการเข๎า
รํวมกิจกรรมพร๎อมกัน ใช๎เวลา 90 นาที) 2) กิจกรรม รํวมวิจัยคร้ัง การเผยแพรํผลการศึกษาจะกระทาโดย
สะท๎อนคิดอยํางมีวิจารณญาณ (ทาในสัปดาห์แรกใช๎ ภาพรวมเทาํ น้นั
เวลาในแตํละกลํุมยํอยกลุํมละ 10-11 คน กลํุมละ 30 การวเิ คราะหข์ อ๎ มูล มขี น้ั ตอนดงั น้ี
นาที 3) การตดั สินใจเลือกวิธีลดหรือเลิกสูบบุหรี่ (ทาใน 1. วิเคราะห์ระดับพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ท้ังโดย
สัปดาหแ์ รกใช๎เวลา 90 นาท)ี และ 4) การสนับสนุนการ ภาพรวมและจาแนกตามตัวแปร ข๎อมูลสํวนบุคคล โดย
ลดและเลิกสูบุหร่ีอยํางตํอเน่ือง (เป็นการติดตาม การหาคําเฉลี่ย สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แล๎วแปลผล
ประเมินผลจากสัปดาห์แรกวิเคราะห์ปัญหา ความ ตามเกณฑท์ ่ีกาหนดไว๎
ต๎องการชํวยเหลือของผู๎เข๎ารํวมโปรแกรม ให๎กาลังใจ 2. เปรียบเทยี บพฤตกิ รรมการสบู บุหรีข่ องกลุํม
ใหค๎ าปรึกษาเป็นรายบคุ คล และสนับสนุนให๎ดาเนินการ
65
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ี่ 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
ตัวอยําง ระหวํางกํอนและหลังการใช๎โปรแกรม อาศัย สมาชิกครอบครัวที่สูบบุหร่ี และระยะเวลาที่สูบ
เสริมสรา๎ งพลังอานาจด๎านจิตใจ 1 สปั ดาห์ ระหวํางกํอน ก็พบวํา กํอนเข๎ารํวมโครงการกลุํมตัวอยํางสํวนใหญํมี
และหลังการใช๎โปรแกรม 4 เดือน โดยการเปรียบเทียบ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ในระดับมากเกือบในทุกตัวแปร
คําเฉลีย่ ด๎วยสถติ ิ Paired samples t-test หลงั เขา๎ รวํ มโครงการแล๎ว 1 สัปดาห์ และ 4 เดือน
ผลการวิจยั กลุํมตัวอยํางสํวนใหญํจะมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลง
จากระดบั มากเปน็ ระดบั น๎อย (ตารางที่ 1)
ข๎อมูลทั่วไป กลํุมตัวอยํางมีจานวน 32 คน เป็น
เพศชายท้ังหมด อายุเฉล่ยี เทาํ กบั 34.03 ปี มีสถานภาพ 2. เปรยี บเทียบพฤติกรรมการสูบบหุ ร่ี ระหว่าง
โสดมากกวําสมรส (โสด 53.13%) สํวนใหญํมีระดับ ก่อนและหลังการใช้โปรแกรมเสริมสร้างพลังอานาจ
การศึกษามัธยมศึกษา (46.87%) และอยูํกับคํูสมรส ด้านจติ ใจ
(46.87%) นอกน้ันอาศัยอยูํคนเดียวอยูํกับพํอแมํ และ
อยูํกับญาติ สมาชิกในครอบครัวสํวนใหญํไมํสูบบุหร่ี ในการเปรียบเทียบพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของ
(62.50%) มคี าํ เฉลีย่ ของระยะเวลาที่สูบเทํากบั 8.40 ปี กลุํมตัวอยําง ระหวํางกํอนและหลังการเข๎ารํวม
โปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจผู๎วิจัยได๎ใช๎
1. ระดบั พฤตกิ รรมการสูบบหุ รี่ สถิติ Paired samples t-test ซง่ึ มีข๎อตกลงเบ้ืองต๎น
โดยภาพรวมกํอนการใช๎โปรแกรมเสริมสร๎างพลัง ที่สาคัญ คือ การแจกแจงของข๎อมูลต๎องเป็นการแจก
อานาจด๎านจิตใจ เจ๎าหน๎าท่ีโรงพยาบาลอุดรธานีท่ีเข๎า แจงปกติ (normal Distribution) ในกรณีนี้ ผ๎ูวิจัยได๎
รํวมโครงการ มีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในระดับมาก แตํ ตรวจสอบการแจกแจงของคะแนนกอํ นทดลอง หลังการ
หลังจากเข๎ารํวมโปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจด๎าน ทดลอง 1 สัปดาห์ และหลังการทดลอง 4 เดือน โดยใช๎
จิตใจ 1 สัปดาห์ ปรากฏวําพฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลง Shapiro-WilkTest ป รา กฏ วํา มี คํา เทํ ากั บ .95 3
เป็นระดับน๎อย และหลังจากเข๎ารํวมโปรแกรม 4 เดือน (p-value=0 .1 8 ), .9 4 6 (p-value=0 .1 1 ), .9 6 8
พฤติกรรมการสูบบุหร่ีของผ๎ูเข๎ารํวมโครงการก็ยังคงอยํู (p-value=0.46), ตามลาดับ ซ่ึงไมํมีนัยสาคัญทางสถิติ
ในระดบั นอ๎ ย ท่ีระดับ 0.05 แสดงวําข๎อมูลทั้ง 3 ชุด มีการแจกแจง
เ มื่ อ พิ จ า ร ณ า ร ะ ดั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร สู บ บุ ห รี่ แบบปกติ ซึ่งเป็นไปตามข๎อตกลงเบื้องต๎นของ Paired
จาแนกตามตวั แปรสวํ นบุคคลของผเ๎ู ข๎ารวํ มโครงการ คือ samples t-test18
อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา สภาพการอยูํ
ตารางที่ 1 ระดบั พฤติกรรมการสูบบหุ รข่ี องกลุ่มตวั อย่างกอ่ นและหลงั การใช้โปรแกรมเสรมิ สร้างพลังอานาจด้าน
จติ ใจ 1 สปั ดาห์ และ 4 เดอื น
พฤติกรรมการสบู บหุ ร่ี
ตวั แปร N ก่อนใชโ้ ปรแกรม หลังใช้โปรแกรม 1 สปั ดาห์ หลงั ใช้โปรแกรม 4 เดือน
อายุ (ป)ี Mean S.D. แปลผล Mean S.D. แปลผล Mean S.D. แปลผล
20-30
31-40 12 4.27 .75 มาก 2.56 .57 ปานกลาง 2.44 .51 น๎อย
มากกวํา 40 11 3.44 .77 มาก 1.91 .55 น๎อย 1.96 .44 นอ๎ ย
9 4.13 .61 มาก
สถานภาพสมรส 2.67 .73 ปานกลาง 2.53 .48 ปานกลาง
โสด
สมรส 17 4.19 .58 มาก 2.55 .55 ปานกลาง 2.46 .52 น๎อย
15 3.66 .92 มาก 2.16 .77 น๎อย 2.12 .50 น๎อย
66
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ตารางท่ี 1 ระดับพฤตกิ รรมการสูบบุหรข่ี องกลุ่มตวั อยา่ งกอ่ นและหลังการใช้โปรแกรมเสริมสร้างพลังอานาจด้าน
จติ ใจ 1 สัปดาห์ และ 4 เดือน (ตอ่ )
พฤติกรรมการสบู บหุ ร่ี
ตวั แปร N กอ่ นใชโ้ ปรแกรม หลังใช้โปรแกรม 1 สปั ดาห์ หลังใช้โปรแกรม 4 เดอื น
ระดับการศึกษา Mean S.D. แปลผล Mean S.D. แปลผล Mean S.D. แปลผล
ประถมศกึ ษา 6 4.25 .27 มาก 2.63 .20 ปานกลาง 2.67 .25 ปานกลาง
มธั ยมศึกษา 15 3.65 .94 มาก 2.19 .78 น๎อย 2.12 .49 น๎อย
อนปุ ริญญา 8 4.47 .47 มาก 2.74 .51 ปานกลาง 2.58 .49 ปานกลาง
ปรญิ ญาตรี 3 3.42 .29 ปานกลาง 1.68 .51 น๎อย 1.70 .40 นอ๎ ย
สภาพการอยูอํ าศยั
อยํคู นเดียว 2 4.43 .04 มาก 2.70 .00 ปานกลาง 2.40 .28 น๎อย
อยํกู บั คูสํ มรส 15 4.00 .85 มาก 2.37 .71 นอ๎ ย 2.40 .63 นอ๎ ย
อยกํู ับพอํ แมํ 12 3.75 .85 มาก 2.25 .78 นอ๎ ย 2.14 .47 นอ๎ ย
อยํกู บั ญาติ 3 4.15 .35 มาก 2.62 .32 ปานกลาง 2.37 .31 นอ๎ ย
สมาชิกครอบครวั ท่สี บู บหุ รี่
พอํ /แมํ 4 3.89 .78 มาก 2.35 .93 น๎อย 2.19 .58 นอ๎ ย
พ่ี/น๎อง 1 4.90 0 มากท่สี ุด 3.80 0 มาก 2.70 0 ปานกลาง
ญาติ 7 3.85 .95 มาก 2.29 .49 น๎อย 2.24 .36 น๎อย
ไมํมีผ๎ูใดสูบ 20 3.94 .76 มาก 2.33 .66 นอ๎ ย 2.32 .59 นอ๎ ย
ระยะเวลาทสี่ ูบบุหร่ี (ปี) 2.27 .47 น๎อย
นอ๎ ยกวํา 5 6 4.13 .96 มาก 2.45 .62 น๎อย
5–10 19 3.89 .75 มาก 2.34 .66 นอ๎ ย 2.32 .57 น๎อย
มากกวาํ 10 7 3.91 .84 มาก 2.37 .88 น๎อย 2.26 .53 น๎อย
32 3.94 .79 มาก 2.37 .68 นอ๎ ย 2.30 .53 น๎อย
รวม
ผลการเปรียบเทยี บโดยใช๎ Paired Samples t-test อภิปรายผล
พบวํา หลังเสร็จส้ินการใช๎โปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจ จากผลการศึกษาที่พบวํา โดยภาพรวมและจาแนก
ด๎านจิตใจ 1 สัปดาห์ และ 4 เดือน เจ๎าหน๎าท่ีโรงพยาบาล
อุดรธานีท่เี ข๎ารํวมโครงการ มีคําเฉล่ียของพฤติกรรมการสูบ ตามตัวแปรสํวนบุคคลกํอนการใช๎โปรแกรมเสริมสร๎างพลัง
บุหรี่น๎อยกวําคําเฉล่ียของพฤติกรรมสูบบุหร่ีชํวงกํอนใช๎ อานาจด๎านจิตใจ เจ๎าหน๎าท่ีโรงพยาบาลอุดรธานีท่ีเข๎ารํวม
โปรแกรมฯ อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ท้ังสอง โครงการ มพี ฤตกิ รรมการสูบบุหรี่ในระดับมาก แตํหลังจาก
ชวํ งเวลา (ตารางท่ี 2) เขา๎ รวํ มโปรแกรมเสริมสรา๎ งพลงั อานาจด๎านจิตใจ 1 สัปดาห์
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบพฤติกรรมการสูบบุหร่ีของกลุ่ม ปรากฏวําพฤติกรรมการสูบบุหรี่ลดลงเป็นระดับน๎อย และ
ตัวอย่างก่อนเข้าใช้โปรแกรมเสริมสร้างพลังอานาจด้าน หลังจากเข๎ารํวมโปรแกรม 4 เดือน พฤติกรรมการสูบบุหรี่
จิตใจกบั หลังการใช้โปรแกรมฯ 1 สัปดาห์และ 4 เดอื น ของผู๎เข๎ารํวมโครงการก็ยังคงอยํูในระดับน๎อย และเมื่อ
เ ป รี ย บ เ ที ย บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร สู บ บุ ห ร่ี ข อ ง เ จ๎ า ห น๎ า ท่ี
ข้อ กอ่ นใชโ้ ปรแกรมฯ หลงั ใช้โปรแกรมฯ t p-value โรงพยาบาลอุดรธานีโดยใช๎สถิติ Paired samples t-test
เปรียบเทยี บ Mean S.D. Mean S.D. ระหวาํ งกอํ นและหลังการใชโ๎ ปรแกรมเสริมสร๎างพลงั อานาจ
ด๎านจิตใจ1สัปดาห์และ 4 เดือน ก็พบวํา หลังการเข๎ารํวม
พฤติกรรมสบู บหุ ร่ี 3.94 0.79 2.37 0.67 22.88 0.00 โปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ เจ๎าหน๎าที่
ระหวํางกอํ นและ โรงพยาบาลอุดรธานีที่เข๎ารํวมโครงการมีพฤติกรรมการสูบ
หลงั ใชโ๎ ปรแกรมฯ บุหรี่น๎อยกวํากํอนชํวงเข๎ารํวมโปรแกรมอยํางมีนัยสาคัญ
1 สปั ดาห์ ทางสถิติท่ีระดับ.01 ผลนี้อภิปรายได๎วําในขั้นตอนของ
โปรแกรมเสรมิ สรา๎ งพลงั อานาจดา๎ นจิตใจ ทาใหผ๎ ๎ูเขา๎ รํวม
พฤติกรรมสูบบหุ ร่ี 3.94 0.79 2.29 0.53 18.67 0.00
ระหวํางกอํ นและ
หลงั ใชโ๎ ปรแกรมฯ
4 เดอื น
67
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบับท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
โครงการค๎นพบสถานการณ์จริงท่ีเกิดขึ้นกับตัวเอง การ เชํน การเลิกสูบบุหรี่ทาให๎ทางานได๎มากและนานข้ึน
สะท๎อนความคิดอยํางมีวิจารณญาณ การชํวยให๎ การสูบบุหร่ีทาให๎เหน่ือยงํายเม่ือออกกาลังกาย20 และ
ตัดสินใจเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับตนเอง และการ 3) ปัจจัยเชิงสังคมและสิ่งแวดล๎อม ได๎แกํ การหํวง
ได๎รบั การสนับสนนุ การให๎คาปรึกษาและการให๎กาลังใจ สุขภาพของคนที่ตนรัก การเป็นท่ีรังเกียจและไมํเป็นที่
จากผ๎ูวิจัยและสมาชิกของกลํุมอยํางตํอเนื่อง มีการนัด ยอมรับแกํคนท่ัวไป ส่ิงเหลํานี้จึงสํงผลให๎ผู๎สูบบุหรี่ใน
พบเพอ่ื ประเมินปัญหา อุปสรรค และวางแผนแก๎ปัญหา โครงการวิจัยนี้สามารถลดพฤติกรรมการสูบบุหรี่ได๎
รํวมกันระหวํางผ๎ูวิจัยและผ๎ูสูบบุหรี่ ได๎ชํวยให๎ผ๎ูสูบบุหรี่ อยํางยั่งยนื
สามารถปรับเปล่ียนพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของตนเอง สรปุ
และสามารถจดั การกับสิ่งแวดล๎อมที่กระต๎ุนการสูบบุหร่ี
ได๎อยํางมีประสิทธิภาพและย่ังยืน ซ่ึงสอดคล๎องกับ โปรแกรมการเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ
ข๎อสรุปของพิราสินี แซํจํอง19 ที่กลําวไว๎วําเงื่อนไขที่มีผล (Psychological empowerment) เป็นเทคนิควิธีหน่ึง
ตํอการสูบบุหรี่ของผ๎ูท่ีสามารถเลิกสูบบุหร่ีได๎มี 2 ที่สามารถนาไปใช๎เพื่อการลด ละ เลิกบุหรี่โดยที่ไมํต๎อง
เง่ือนไขหลัก คือ เง่ือนไขที่เกิดจากตนเอง อันได๎แกํ ใช๎ยา ในการวิจัยน้ีได๎นาไปใช๎กับกลุํมเจ๎าหน๎าที่
ความคดิ ด๎านลบตํอการสูบบุหรี่ ความต๎องการที่จะหยุด โรงพยาบาลอุดรธานีท่ีสูบบุหรี่เป็นประจาและต๎องการ
สูบบหุ ร่ี ความตอ๎ งการทจ่ี ะเป็นแบบอยํางท่ีดี และความ ลด ละ เลิกบหุ รี่ จานวน 32 คน โดยมีกิจกรรมสาคัญ 4
กังวลเร่ืองผลกระทบจากการสูบบุหรี่ตํอคนรอบข๎าง ข้ันตอน คือ กิจกรรมการค๎นพบสภาพการลูบบุหร่ีของ
อีกเง่ือนไขหนึ่ง คือ เงื่อนไขที่เกิดจากผ๎ูอ่ืน ได๎แกํ การท่ี ต น เ อ ง กิ จ ก ร ร ม ก า ร ส ะ ท๎ อ น ค ว า ม คิ ด อ ยํ า ง มี
หมอแนะนาให๎เลิกสูบบุหร่ี ความเป็นหํวงบุคคลใน วิจารณญาณ กิจกรรมการตัดสินใจเลือกวิธีลด หรือเลิก
ครอบครัว การได๎รับการตักเตือนจากผู๎ร๎ู การเห็นผู๎อ่ืน บุหร่แี ละกจิ กรรมสนบั สนุนการลดหรือเลิกสูบบุหรี่อยําง
ไมสํ บู บุหรี่ ตลอดจนการได๎รับการชักจูงหรือแรงบันดาล ตํอเน่ือง หลังการเข๎ารํวมกิจกรรมของโปรแกรม 7
ใจในการเลิกสูบบุหร่ีจากบุคคลอื่นๆ มีการวิจัยหลาย สัปดาห์ปรากฏวํา เจ๎าหน๎าที่โรงพยาบาลอุดรธานีสํวน
เรื่องท่ีสอดคล๎องกับผลการวิจัยน้ี เชํน Dunphy14; ใหญํลดการสูบบุหร่ีลงจากระดับมากเป็นระดับน๎อย
Herbert, Gagon, O’ Loughlin, et al15 ;รินดา เจวป หลังการเข๎ารํวมโปรแกรม 1 สัปดาห์ คะแนนเฉลี่ยของ
ระเสรฐิ พันธ์ุ17; สมศกั ดิ โทจาปา13 พฤติกรรมการสูบบุหร่ีต่ากวํากํอนเข๎ารํวมโปรแกรม
อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังพบวํา หลังการ
น อ ก จ า ก ผ ล ก า ร ศึ ก ษ า นี้ จ ะ ส อ ด ค ล๎ อ ง ต า ม เข๎ารํวมโปรแกรมการเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจ
หลักการดังท่ีกลําวมาข๎างต๎นแล๎ว ความคงทนของ แล๎ว 4 เดือน พฤติกรรมการลดสูบบุหรี่ยังคงปรากฏอยูํ
พฤติกรรมการสูบบุหร่ที ่ีปรากฏอยํูแม๎จะผํานพ๎นการเข๎า แสดงวํา โปรแกรมน้ีสามารถลดพฤติกรรมการสูบบุหร่ี
รํวมโปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจมาแล๎วถึง ไดอ๎ ยํางมปี ระสิทธภิ าพ
4 เดอื น กเ็ พราะมีปัจจัยสนับสนุนอยํางน๎อย 3 ประการ ข้อเสนอแนะ
คือ 1) ในชํวงการเข๎ารํวมโปรแกรมผู๎สูบบุหรี่ได๎รับ
คาปรึกษา ชํวยเหลือ แนะนา และการให๎กาลังใจและ 1. จากผลการศึกษาที่พบวํา คําเฉล่ียของ
กระต๎ุนจากผู๎วิจัยและสมาชิกในกลุํมที่นัดพบกันอยํู พฤติกรรมการสูบบุหร่ีของกลุํมตัวอยําง หลังเข๎ารํวม
เสมออยํางตํอเนื่อง 2) ผ๎ูสูบบุหร่ีทางานในโรงพยาบาล โปรแกรมเสริมสร๎างพลังอานาจด๎านจิตใจแล๎ว 1
ของรัฐซึ่งต๎องปฏิบัติตนเป็นผู๎มีสุขภาพดี และเป็น สัปดาห์ มีคําน๎อยกวํากํอนการเข๎ารํวมโครงการ อยํางมี
แบบอยํางแกผํ คู๎ นทวั่ ไปปัจจยั แวดล๎อมเหลํานี้เป็นปัจจัย นัยสาคัญทางสถิติ และพฤติกรรมน้ียังคงคงทนอยํู แม๎
กระตุ๎นอกี สํวนหน่ึงที่เปน็ แรงผลักดันให๎ผู๎สูบบุหร่ีรับรู๎ถึง เวลาจะผํานไปแล๎ว 4 เดือน แสดงถึงประสิทธิภาพของ
โทษภัยของการสบู บุหรี่ และผลดา๎ นบวกในการเลิกบุหรี่ โปรแกรมเสรมิ สร๎างพลังอานาจด๎านจติ ใจ ดงั นัน้ จงึ ควร
68
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
นาโปรแกรมนี้ไปใช๎ และขยายผลในองค์กรอื่นๆ เพ่ือ 6. ศุภกจิ วงส์วิวัฒนนุกิจ. เภสัชบาบัดในการเลิก
พัฒนาคนพัฒนางานให๎มีคุณภาพและประสิทธิภาพ สูบบุหร่ี. ใน: ตาราวิชาการสุขภาพการควบคุมการ
ตํอไป บริโภคยาสูบสาหรับบุคลากรและนักศึกษาวิชาชีพด๎าน
สุขภาพ. กรุงเทพฯ: เครือขํายวิชาชีพสุขภาพเพื่อ
2. ควรศึกษาผลของโปรแกรมเสริมสร๎างพลัง สังคมไทยปลอดบุหรี่; 2550.
อานาจด๎านจิตใจกับกลุํมอื่นๆ เชํนกลุํมที่ลดพฤติกรรม
การสูบบุหรี่ลงแล๎วแตํกลับไปสูบบุหรี่อีก หรือกลุํมที่มี 7. รัชนีกร เคียนทอง. ประสิทธิผลของโปรแกรม
ปญั หาทางสังคมและอารมณ์ สุขศึกษาเพ่ือเสริมสร๎างพฤติกรรมการเลิกสูบบุหร่ีของผ๎ู
เอกสารอ้างองิ มารับบริการท่ีคลินิกอดบุหรี่ โรงพยาบาลบ๎านหมี่
จั ง ห วั ด ล พ บุ รี [วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ]. ก รุ ง เ ท พ ฯ :
1. สานักควบคุมการบริโภคยาสูบ กรมควบคุม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์; 2546.
โรค กระทรวงสาธารณสุข. สถานการณ์การควบคุมการ
บริโภคยาสูบของประเทศไทย พ.ศ. 2559. กรุงเทพฯ: 8. ธิดา จับจิตต์. ผลของโปรแกรมการปรับ
เจรญิ ดีมั่นคงการพมิ พ์; 2559. พฤติกรรมทางปัญญาทมี่ ตี ํอพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของผ๎ู
มารับบริการคลินิกอดบุหรี่ โรงพยาบาลธัญบุรี
2. สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริม [วทิ ยานพิ นธ์]. ชลบรุ ี: มหาวิทยาลยั บรู พา; 2547.
สุขภาพ (สสส). ผลเสียที่เกิดจากบุหรี่ [อินเทอร์เน็ต].
2561 [เขา๎ ถงึ เมอื่ 17 ธันวาคม 2562]. เข๎าถึงได๎จาก: 9. อังคณา วนาอุปถัมภ์กุล, มณฑา เกํงพานิช,
thaihealth.or.th/Content/42955-ผลเสียที่เกิดจาก ธราดล เกํงพานิช, ลักขณา เติมศิริกุลชัย. ผลของ
บหุ รี่%20.html โปรแกรมชํวยเลิกบุหรี่ที่ประยุกต์ใช๎ทฤษฎีข้ันตอนการ
เปล่ยี นแปลง. ว.ควบคุมยาสบู 2551; 2(2): 41–55.
3. โครงการสารวจการบริโภคยาสูบในผู๎ใหญํ
ระดับโลกปี2554. ข๎อค๎นพบสาคัญจากผลการสารวจ 10. เดือนทิพย์ เขษมโอภาส, พรทิพย์ ชีวะพัฒน์.
การบริโ ภคยาสูบในผ๎ูปุว ยระดับโ ลก ปี 2554 การศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการให๎คาปรึกษา
[อนิ เทอร์เน็ต]. 2554 [เขา๎ ถึงเม่อื 5 พฤศจิกายน2560]. เพื่อครอบครัวปลอดบุหรี่. กรุงเทพฯ: พิทักษ์การพิมพ์;
เข๎าถึงได๎จาก: btc.ddc.moph.go.th/th/upload. 2553.
datacenter.data25.dpf.25544
11. อารีย์วรรณ อํวมตานี. การเสริมสร๎างพลัง
4. รัชนา ศานติยานนท์, บุษบา มาตระกูล, อานาจในระบบบริการพยาบาล. ในเอกสารการสอน
กาญจนา สุริยพรหม. สถานการณก์ ารบริโภคยาสบู ใน: ชุดการพัฒนาศักยภาพระบบบริการพยาบาล วิชาการ
ตาราวิชาการสุขภาพ การควบคมุ และการบริโภคยาสูบ พัฒนาศักยภาพระบบบริการพยาบาล หนํวยท่ี 14.
ส า ห รั บ บุ ค ล า ก ร แ ล ะ นั กศึ กษ า วิ ช า ชี พ ด๎ า น สุ ข ภ า พ . นนทบุรี: สาขาพยาบาลศาสตรม์ หาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรร-
กรุงเทพฯ: เครอื ขาํ ยวิชาชีพสขุ ภาพเพื่อสังคมไทยปลอด มาธิราช; 2549.
บหุ ร่ี; 2550.
12. Gibson, C.H. The process of empow-
5. ประสิทธ์ิ กี่สุขพันธ์ . การเลิกสูบบุหร่ี erment in others of chronically ill Children.
(smoking cessation). เอกสารประกอบการสอน Journal of Advanced Nursing 1995; 21: 1201–
รายวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและชุมชน 3 หลักสูตร 1210.
แพทยศาสตรบัณฑิต. กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลรามาธบิ ดี; ม.ป.ป. 13. สมศักดิ์ โทจาปา. ศึกษาผลของการสร๎าง
เสริมพลังอานาจ การรับร๎ูอานาจ และพฤติกรรมการ
ควบคุมการสูบบุหร่ีในพระภิกษุสงฆ์ [วิทยานิพนธ์].
พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร; 2552.
69
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ่ี 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
1 4 . Dunphy, P.M. Using an empower-
ment and education interventionto prevent
smoking replace in the early postpartum pe-
riod [Dissertation]. 2000 [cited 2018 July 16].
Available from: ProQuest.AA19976415http://
Repositoryupennedu/dissertations/
AA19976415.
15. Herbert, R.J, Gagnon, A.J., O’Loughlin,
JenniferL, Lennick, J. Testing an Empowerment
Intervention to Help Parents Make Homes
Smoke–free: A Randomized Controlled Trial.
Journal of Community Health 2011; 36(4): 650
–657.
16. สุวิมล วํองวานิช, นงลักษณ์วิรัชชัย. แนว
ทางการให๎คาปรึกษาวิทยานิพนธ์. พิมพ์คร้ังท่ี 2.
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แหํงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย;
2554.
17. รินดา เจวประเสริฐพันธ์ุ. ผลของโปรแกรม
การเสริมสร๎างพลังอานาจและการให๎คาปรึกษาตํอ
พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร สู บ บุ ห ร่ี แ ล ะ ร ะ ดั บ ก๏ า ซ
คาร์บอนมอนอกไซด์ในลมหายใจของผู๎สูบบุหรี่ .
[วทิ ยานพิ นธ์]. พษิ ณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร; 2555.
18. กัลยา วานิชย์บัญชา. การใช๎ spss for
Windows ในการวิเคราะห์ข๎อมูล. พิมพ์ครั้งที่ 8.
กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือแหํงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย;
2549
19. พิราสินี แซํจํอง. พฤติกรรม เงื่อนไข
ผลกระทบของผ๎ูท่ีสามารถเลิกสูบบุหรี่ได๎และผู๎ท่ีไมํ
สามารถเลิกสูบบุหร่ีได๎ในตาบลพะตง อาเภอหาดใหญํ
จั ง ห วั ด ส ง ข ล า . [วิ ท ย า นิ พ น ธ์ ]. ส ง ข ล า :
มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์; 2551.
20. นงนุช บุญอยูํ. ปจั จัยที่มีผลตํอการเลิกหรือ
กลับมาสูบของผู๎รับบริการอดบุหรี่. [วิทยานิพนธ์].
เชยี งใหม:ํ มหาวิทยาลัยเชยี งใหมํ; 2541.
รับต๎นฉบบั : 5 สิงหาคม 2562, ไดร๎ บั บทความปรับปรุง: 2 เมษายน 2563, รับลงตพี มิ พ:์ 5 เมษายน 2563
70
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ปัจจัยพยากรณ์ภาวะเยือ่ บุชอ่ งท้องอักเสบที่ไม่ตอบสนองตอ่ การรกั ษาในผ้ปู ่วยท่ไี ดร้ บั การล้างไตทางช่องท้อง
ปยิ รัตน์ โรจนส์ งํา, พ.บ., วว.(อายรุ ศาสตรโ์ รคไต) กลุํมงานอายุรกรรม โรงพยาบาลอุดรธานี
บทคัดยอ่
การติดเชื้อในเย่ือบุชํองท๎องเป็นภาวะแทรกซ๎อนท่ีสาคัญในผู๎ปุวยที่ได๎รับการล๎างไตทางชํองท๎อง เป็นสาเหตุ
สาคัญที่ทาให๎ต๎องเปลี่ยนวิธีการบาบัดทดแทนไตจากการฟอกทางชํองท๎องไปเป็นการฟอกเลือดด๎วยเคร่ืองไตเทียม
ซ่ึงหากมีปริมาณเมด็ เลอื ดขาวในน้ายาล๎างไตมากกวํา 100 เซลล์ตํอลูกบาศก์มิลลิเมตร ภายหลังการรักษาเกิน 5 วัน
พบความล๎มเหลวตํอการรักษาสูงและเพ่ิมอัตราตายในผ๎ูปุวยเรียกภาวะนี้วํา ภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํ
ตอบสนองตํอการรกั ษา (refractory peritonitis) งานวจิ ัยน้ีศกึ ษาหาลักษณะทางคลินิกท่ีพยากรณ์การเกิดภาวะเย่ือ
บุชํองท๎องอกั เสบท่ีไมํตอบสนองตํอการรักษาในผ๎ูปุวยไตวายเร้ือรังที่ได๎รับการวินิจฉัยวํามีภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบ
วัตถปุ ระสงค์เพอื่ ศึกษาปจั จยั ทพ่ี ยากรณถ์ ึงภาวะเยอื่ บุชอํ งท๎องอักเสบทีไ่ มํตอบสนองตํอการรักษาในผู๎ปุวยที่ได๎รับการ
ล๎างไตทางชํองท๎องในโรงพยาบาลอุดรธานี รูปแบบการศึกษาเป็นการวิจัยตามแผนแบบย๎อนหลัง (retrospective
cohort study) ในผูป๎ วุ ยไตวายเรอ้ื รงั ทไ่ี ดร๎ บั การลา๎ งไตทางชํองท๎องในโรงพยาบาลอุดรธานี และได๎รับการวินิจฉัยวํา
มีภาวะเยอ่ื บชุ อํ งทอ๎ งอกั เสบ ในชํวง 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 ถึง 31 ธนั วาคม พ.ศ.2560
ผลการศกึ ษา จานวนเย่ือบชุ ํองท๎องอักเสบจากการล๎างไตทางชํองท๎องท้ังหมด 395 ครั้ง พบการเกิดภาวะเยื่อ
บุชํองท๎องอกั เสบท่ีไมตํ อบสนองตํอการรกั ษาทงั้ หมด 78 ครั้ง คิดเป็นอุบัติการณ์การเกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบท่ี
ไมํตอบสนองตํอการรักษาเป็นร๎อยละ 19.75 โดยปัจจัยท่ีพยากรณ์ถึงการเกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํ
ตอบสนองตํอการรักษาได๎แกํ การมีภาวะทุพโภชนาการ, อาการปวดท๎องในวันท่ี 3 ของการรักษา, อาการถํายเหลว
ในวันที่ 3 ของการรักษา, ยังมีอาการน้ายาขํุนในวันท่ี 3 ของการรักษา, จานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันที่
3 ของการรักษา ≥1000 เซลล์ตอํ ลบ.มม., จานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันที่ 3 ของการรักษา ≥50% ของ
จานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวนั ท่ี 1 ของการรกั ษา
สรุป การมีภาวะทพุ โภชนาการ, อาการปวดท๎องในวันท่ี 3 ของการรักษา, อาการถํายเหลวในวันที่ 3 ของการ
รักษา, ยังมีอาการน้ายาขุํนในวันท่ี 3 ของการรักษา, จานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันที่ 3 ของการรักษา
≥1000 เซลล์ตอํ ลบ.มม., จานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันท่ี 3 ของการรักษา ≥50% ของจานวนเม็ดเลือด
ขาวในน้ายาฟอกไตในวันที่ 1 ของการรักษาเป็นปัจจัยที่พยากรณ์ถึงการเกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบที่ไมํ
ตอบสนองตํอการรักษา ควรมีการติดตามลักษณะเหลํานี้เพื่อเป็นแนวทางให๎การรักษาอยํางใกล๎ชิดและลดการเกิด
ภาวะเยอ่ื บชุ อํ งท๎องอกั เสบทีไ่ มตํ อบสนองตํอการรักษา
คาสาคัญ: การลา๎ งไตทางชํองท๎อง, ภาวะเยือ่ บุชํองท๎องอักเสบท่ไี มตํ อบสนองตํอการรักษา, ปัจจยั พยากรณ์
Corresponding author: ปยิ รัตน์ โรจนส์ งาํ โทรศัพท์ 089-2023489 E-mail: [email protected]
กลุมํ งานอายุรกรรม โรงพยาบาลอดุ รธานี 33 ถ.เพาะนยิ ม ต.หมากแขง๎ อ.เมือง จ.อดุ รธานี 41000
71
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
Prognostic factors of Refractory Peritonitis in Peritoneal Dialysis Patients
Piyarat Rojsanga, M.D.Thai Board of Internal Medicine (Nephrology)
Department of Medicine, Udonthani Hospital, Udonthani, Thailand
Abstract
Peritonitisis the major complication in peritoneal dialysis patients and leading causes of
technique failure. If the number of leukocytes in the dialysis solution is more than 100 cells/mm3
after 5 days of treatment, there was a high failure in treatment and increase risk of death. This
condition is called refractoryperitonitis.This research was conducted tofind the clinical features of
predicting refractory peritonitis in chronic kidney disease patients who were diagnosed with
peritoneal dialysis related peritonitis. This study was retrospective cohort study, aimed to identify
the prognostic factors of refractory peritonitis in chronic kidney disease patients who were
diagnosed with peritoneal dialysis related peritonitis in Udonthani Hospital. The study included
peritoneal dialysis patients who were diagnosed with peritonitis from July 2016 to December 2017
in Udonthani Hospital.
Results: Total numbers of peritoneal dialysis related peritonitis were 395 times, there were
78 occurrences of refractory peritonitis. The incidence rate of refractory peritonitis was 19.75%.
The prognostic factors that predict the occurrence of refractory peritonitis were malnutrition,
abdominal pain on the 3rd day of treatment, diarrhea on the 3rd day of treatment, still cloudy
effluent on the 3rd day of treatment, white blood cells in dialysate on the 3rd day of treatment
≥1000 cells/mm3, white blood cells in dialysate on the 3rd day of treatment ≥50% of white blood
cells in dialysate on the 1st day of treatment.
Conclusion: Malnutrition, abdominal pain on the 3rd day of treatment, diarrhea on the 3rd
day of treatment, still cloudy effluent on the 3rd day of treatment, white blood cells in dialysate
on the 3rd day of treatment ≥1000 cells/mm3, white blood cells in dialysate on the 3rd day of
treatment ≥50% of white blood cells in dialysate on the 1st day of treatment are the prognostic
factors of refractory peritonitis. These factors should be monitor to guide the intensive treatment
and reduces the occurrence of refractory peritonitis.
Keywords: Peritoneal dialysis, Peritonitis, Predictive factor
72
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
บทนา วรรณกรรมงานวิจัยสํวนใหญํจะหาปัจจัยที่เป็นความ
ปัจจุบันในประเทศไทยมีจานวนผ๎ูปุวยไตวาย เสี่ยงหรือพยากรณ์ตํอผลการรักษาภาวะเยื่อบุชํองท๎อง
อักเสบที่รวมทั้งอัตราตายและการล๎มเหลวตํอการรักษา
เรื้อรังระยะสุดท๎ายที่ได๎รับการล๎างไตทางชํองท๎องชนิด มีงานวจิ ยั สวํ นหนึ่งท่ีพบวาํ ปจั จัยทีเ่ ส่ียงตํอการเกิดภาวะ
ตํ อ เ นื่ อ ง (Continuous ambulatory peritoneal เยื่อบุชํองท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการรักษาได๎แกํ
dialysis, CAPD) เพ่ิมขึ้นอยํางตํอเนื่อง1 การล๎างไตทาง อายุมาก, เบาหวาน, มีโรคของเน้ือเย่ือเก่ียวพัน
ชํองท๎องเป็นการบาบัดทดแทนไตท่ีให๎ผลการรักษาท่ีดี (connective tissue disease), การติดเช้ือรา, การติด
แตกํ ็พบวํามภี าวะแทรกซ๎อนท่ีสาคัญคือ ภาวะเย่ือบุชํอง เชื้อแบคทีเรียแกรมลบ, มีความดันโลหิตต่า, มีภาวะ
ท๎องอักเสบจากการล๎างไตทางชํองท๎อง (Peritoneal โซเดียมในเลือดต่า, มีระดับ C-reactive protein ใน
dialysis related peritonitis)2 ซึ่งเป็นสาเหตุทาให๎ เลือดสูง, จานวนเม็ดเลือดขาวยังสูงในน้ายาฟอกไตใน
ผู๎ปุวยต๎องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ทาให๎สูญเสีย วันที่ 3 หรือวันที่ 5 เป็นต๎น4-5,7-11 ยังไมํมีข๎อมูลศึกษา
คําใช๎จํายในการรักษา และถ๎าให๎การรักษาท่ีไมํรวดเร็ว ปัจจยั หรอื อาการทางคลนิ ิกในชํวงต๎นของการรักษาท่ีจะ
แ ล ะ เ ห ม า ะ ส ม พ อ ก็ จ ะ เ กิ ด ภ า ว ะ แ ท ร ก ซ๎ อ น พยากรณ์ภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอ
(Complicated peritonitis) จนเป็นสาเหตุสาคัญที่ทา การรักษาในผ๎ูปุวยไตวายเร้ือรังที่ได๎รับการวินิจฉัยวํามี
ให๎ต๎องเปลี่ยนวิธีการบาบัดทดแทนไตจากการฟอกทาง ภาวะเย่อื บชุ ํองทอ๎ งอักเสบมากํอน
ชํองท๎องไปเป็นการฟอกเลือดด๎วยเคร่ืองไตเทียม
(Hemodialysis: HD)3 มกี ารศกึ ษาพบวําถ๎าปริมาณเม็ด โรงพยาบาลอุดรธานีเริ่มทาการล๎างไตทางชํอง
เลอื ดขาวในน้ายาล๎างไตมากกวํา 100 เซลล์ตํอลูกบาศก์ ท๎องในผู๎ปุวยไตวายเรื้อรังระยะสุดท๎ายต้ังแตํ 1ตุลาคม
มิลลิเมตร ภายหลังการรักษาเกิน 5 วัน พบความ 2550 ปัจจุบันมีผ๎ูปุวยไตวายเร้ือรังระยะสุดท๎ายที่ทา
ล๎มเหลวตํอการรักษาสูงเมื่อเปรียบเทียบกับกลํุมท่ี การล๎างไตทางหน๎าท๎องจานวน 664 ราย (ข๎อมูลลําสุด
ปริมาณเม็ดเลือดขาวน๎อยกวํา 100 เซลล์ตํอลูกบาศก์ ถึง 30 สิงหาคม พ.ศ. 2562) พบวําภาวะแทรกซ๎อนที่
มิลลิเมตร4-5 ในทางปฏิบัติแพทย์ผู๎รักษาจะปรับยา สาคัญในผ๎ูปุวยคือ ภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบโดยพบ
ปฏิชีวนะท่ีครอบคลุมเชื้อมากข้ึนหลังจากให๎ยาตาม อุบัติการณ์ของภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบที่ 0.48 ครั้ง
standard regimen 5 วันแล๎วปริมาณเม็ดเลือดขาวใน ตํอคนตํอปี และพบวําสาเหตุที่ทาให๎ผู๎ปุวยกลุํมนี้ต๎อง
น้ายาล๎างไตยังมากกวํา 100 เซลล์ตํอลูกบาศก์ ต๎องเปลยี่ นวธิ ีการบาบดั ทดแทนไตจากการฟอกทางชํอง
มิลลิเมตร โดยไมํเอาสายล๎างไตออก ซ่ึงพบวําผู๎ปุวย ท๎องไปเป็นการฟอกเลือดด๎วยเครื่องไตเทียม เกิดจาก
หลายคนเม่ือปรับยาปฏิชีวนะแล๎วปริมาณเม็ดเลือดขาว ภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการรักษา
ในน้ายาล๎างไตยังคงสูงกวํา 100 เซลล์ตํอลูกบาศก์ จึงเป็นท่ีมาให๎ทางผู๎วิจัยทาการศึกษานี้ข้ึนเพ่ือหาปัจจัย
มิลลิเมตร และทาให๎ต๎องเอาสายล๎างไตทางชํองท๎อง ทางคลินิกในชํวงต๎นของการรักษาที่พยากรณ์ถึงภาวะ
ออก การนาสายล๎างไตออกช๎าจะเพ่ิมอัตราเส่ียงตํอการ เย่ือบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการรักษาใน
เสื่อมของเยื่อบุชํองท๎อง (Peritoneal membrane ผ๎ูปุวยไตวายเรื้อรังที่ได๎รับการวินิจฉัยวํามีภาวะเย่ือบุ
failure) และเพิ่มอัตราตายในผู๎ปุวย6 ดังนั้นแนวทาง ชํองท๎องอักเสบที่ได๎รับการดูแลในโรงพยาบาลอุดรธานี
ปฏิบัติในปัจจุบันจึงแนะนาให๎เอาสายล๎างไตทางชํอง การทราบปัจจัยทางคลินิกในชํวงต๎นของการรักษาท่ี
ท๎องออกถ๎าผ๎ูปุวยยังมีปริมาณเม็ดเลือดขาวในน้ายาล๎าง พยากรณ์ถึงภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนอง
ไตสูงกวาํ 100 เซลล์ตํอลูกบาศกม์ ิลลเิ มตร ภายหลังการ ตํอการรักษาในผ๎ูปุวยไตวายเร้ือรังที่ได๎รับการวินิจฉัยวํา
ได๎รบั ยาปฏชิ วี นะท่ีเหมาะสมเป็นเวลา 5 วัน เรียกภาวะ มีภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบเพ่ือนามาเป็นแนวทางใน
นี้วํา ภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการ การพัฒนาการดูแล เฝูาติดตามอยํางใกล๎ชิดและให๎การ
รักษา (refractory peritonitis)3 จากการทบทวน รักษาได๎ดขี ้นึ
73
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีท่ี 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
วตั ถปุ ระสงค์ ขอ้ พจิ ารณาทางด้านจรยิ ธรรม
เพ่ือศึกษาปัจจัยท่ีพยากรณ์ถึงภาวะเยื่อบุชํอง งานวิจยั นีไ้ ด๎ผํานการพิจารณาจากคณะกรรมการ
ท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการรักษาในผ๎ูปุวยที่ได๎รับ จริยธรรมการวิจัยในมนษุ ยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี หนังสือ
การล๎างไตทางชํองท๎องในโรงพยาบาลอดุ รธานี รบั รองเลขท่ี 57/2562
วิธกี ารศกึ ษา เ ก ณ ฑ์ ก า ร คั ด เ ลื อ ก ผู้ เ ข้ า ร่ ว ม โ ค ร ง ก า ร วิ จั ย
(Inclusion criteria)
เ ป็ น ก า ร วิ จั ย ต า ม แ ผ น แ บ บ ย๎ อ น ห ลั ง
(retrospective cohort study) ช นิ ด prognostic 1. ผู๎ปุวยไตวายเร้ือรังที่ได๎รับการล๎างไตทางชํอง
research ในผู๎ปุวยไตวายเรื้อรังที่ได๎รับการล๎างไตทาง ท๎องในโรงพยาบาลอดุ รธานที ่ีมอี ายตุ ัง้ แตํ 18 ปขี ึน้ ไป
ชํองท๎องของโรงพยาบาลอุดรธานี และได๎รับการวินิจฉัย
วํามีภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบ ตั้งแตํ 1 กรกฎาคม 2. ผู๎ปุวยไตวายเรื้อรังที่ได๎รับการล๎างไตทางชํอง
พ.ศ.2559 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ.2560 ทาการเก็บข๎อมูล ท๎องที่ได๎รับการวินิจฉัยวํามีภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบ
จากแหลํงข๎อมูลคือเวชระเบียนและแบบบันทึกติดตาม จากการล๎างไตทางชํองท๎อง ตามเกณฑ์ตํอไปนี้อยําง
การรักษา (follow-up chart) ได๎แกํ ข๎อมูลพ้ืนฐานของ น๎อย 2 ข๎อ จาก 3 ข๎อคือ 1) อาการปวดท๎องหรือน้ายา
ผู๎ปุวย การเปลี่ยนน้ายาฟอกไตที่ทาโดยผ๎ูปุวยหรือโดย ล๎างไตขุํน 2) เม็ดเลือดขาวในน้ายาล๎างไตมากกวํา 100
ผู๎ดูแล ข๎อมูลผลทางห๎องปฏิบัติการ ข๎อมูลอาการและ เซลล์ตํอลูกบาศก์มิลลิเมตร 3) ผลเพาะเช้ือจากน้ายา
อาการแสดงของผู๎ปุวยในวนั แรกที่เขา๎ รบั การรักษา วันท่ี ล๎างไตพบแบคทเี รยี
3 ของการรักษา วนั ท่ี 5 ของการรกั ษา และจนถึงส้ินสุด เกณฑ์การคัดออกจากการวิจยั (Exclusion criteria)
การรักษา โดยเปรียบเทียบข๎อมูลตํางๆ ในชํวงวันแรก
ของการรักษาและวันที่ 3 ของการรักษาระหวํางกลํุม 1. ภาวะเย่ือบุชอํ งทอ๎ งอกั เสบท่มี สี าเหตุจากลาไส๎
ผ๎ูปวุ ยท่เี กดิ ภาวะเยือ่ บุชํองทอ๎ งอักเสบท่ไี มตํ อบสนองตํอ ทะลุหรือติดเช้อื ในอวยั วะอ่ืนๆภายในชอํ งทอ๎ ง
การรักษาและกลุํมที่ไมํเกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบที่
ไมตํ อบสนองตอํ การรกั ษา 2. ภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํได๎เกิดจากเชื้อ
แบคทีเรีย ได๎แกํการติดเช้ือรา (fungus) หรือเชื้อไมโค
เมื่อเสร็จสิ้นการวิจัยผู๎วิจัยตรวจสอบข๎อมูลความ แบคทเี รยี ม (mycobacterium)
ถูกต๎องครบถ๎วนของข๎อมูล ระบุรหัส บันทึกลง
คอมพิวเตอร์และวิเคราะห์ข๎อมูลโดยโปรแกรมสาเร็จรูป 3. ไมํสามารถตดิ ตามเวชระเบียนของผูป๎ ุวยได๎
STATA ใช๎สถิติพรรณนาวิเคราะห์ข๎อมูลโดยแสดงข๎อมูล 4. ประวัติในเวช ระเบียนมีข๎อมูลไมํครบ
แจงนับในรูปแบบการแจกแจงความถี่ ร๎อยละ ข๎อมูล (Incomplete Data) นิยามโดยไมํทราบผลการตรวจ
ตํอเน่ืองที่แจกแจงแบบปกติแสดงในรูปแบบคําเฉล่ีย เม็ดเลือดขาวในน้ายาล๎างไตกํอนเร่ิมการรักษาด๎วยยา
สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐานข๎อมูลท่ีไมํแจกแจงปกติแสดงใน ปฏิชีวนะหรือมีผลตรวจเม็ดเลือดขาวในน้ายาล๎างไตใน
รูปแบบคํามัธยฐาน (Median) และเปอร์เซ็นต์ไทล์ วันท่ี 3 และวันท่ี 5 ของการรักษา
(Percentile) ท่ี 25 และ 75 (Interquartile range: นยิ ามคาศพั ทท์ ่ีใช้ในการศึกษา
IQR) และวเิ คราะหเ์ ปรียบเทียบโดยใชส๎ ถิติ Chi square ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบในผู้ป่วยท่ีได้รับ
และ Independent t-test และวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงใช๎ การ ล้า งไ ตท าง ช่อ งท้ อง (Peritoneal dialysis
สถิติวิเคราะห์ logistic regression analysis และ related peritonitis) การวินิจฉัยอาศัยลักษณะทาง
วิเคราะห์ขนาดของปัจจัยโดยใช๎ Odds ratio โดย คลนิ ิก 2 ใน 3 ประการตํอไปนี้ คือ
กาหนดคําความเชื่อมั่นในการทดสอบทางสถิติ ท่ีระดับ 1. มีอาการและอาการแสดงของการติดเช้ือใน
น๎อยกวํา 0.05 เย้ือบุชํองท๎อง ได๎แกํ อาการอักเสบของเยื่อบุชํองท๎อง
เชํน อาการปวดท๎อง แนนํ ท๎อง คลื่นไส๎อาเจียน กดเจ็บ
74
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
หรือท๎องรํวง เป็นต๎น อาการของการติดเชื้อ เชํน ไข๎ negative peritonitis)
ความดันโลหิตต่า และพบความผิดปกติของน้ายาฟอก ผลการศกึ ษา
ไต เชํน นา้ ยาขํุน มีว๎นุ หรอื เส๎นใย เปน็ ต๎น
ภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบจากการล๎างไตทาง
2. น้ายาฟอกไตขํุนโดยมีจานวนเม็ดเลือดขาว ชํองทอ๎ งท้งั หมด 418 ครงั้ คดิ เป็น 0.34 ครั้งของการติด
มากกวํา 100 เซลล์ ตํอลบ.มม. และเป็นเม็ดเลือดขาว เช้ือตํอคนตํอปีหรือ 1 คร้ัง ทุก 23.95 เดือน ท่ีรักษา
ชนดิ นวิ โตรฟิล (Neutrophil) มากกวาํ ร๎อยละ 50 คัดออก 23 ครง้ั เน่อื งจากพบเป็นการติดเชื้อรา 16 ครั้ง
เป็นการติดเช้ือไมโคแบคทีเรียม 1 ครั้ง ไมํสามารถ
3. ตรวจพบเชื้อโรคโดยการย๎อมสีแกรมหรือจาก ติดตามเวชระเบียนของผ๎ูปุวยได๎ 4 ครั้ง และเวช
การเพาะเช้อื ระเบียนมีความไมํสมบูรณ์ 2 ครั้ง เหลือจานวนเย่ือบุ
ชํองท๎องอักเสบจากการล๎างไตทางชํองท๎องท่ีสามารถ
ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบท่ีไม่ตอบสนองต่อ นามาวิเคราะห์ผลท้ังหมด 395 คร้ัง พบการเกิดภาวะ
การรักษา (Refractory peritonitis) หมายถึง ภาวะ เยื่อบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการรักษา
เยื่อบุชอํ งท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการรักษาภายใน ท้ังหมด 78 คร้ัง คิดเป็นอุบัติการณ์การเกิดภาวะเยื่อบุ
5 วันหลังจากได๎ยาปฏิชีวนะท่ีถูกต๎องเหมาะสม โดยยัง ชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองในผ๎ูปุวยไตวายเร้ือรังที่
พบจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาซีเอพีดีที่ปลํอยออกมา ได๎รับการวนิ ิจฉัยวํามภี าวะเยือ่ บุชอํ งท๎องอักเสบจากการ
จากชํองท๎อง (effluent fluid) มากกวําหรือเทํากับ ลา๎ งไตทางชํองท๎องเปน็ รอ๎ ยละ 19.75 (รปู ท่ี 1)
100 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร โดยรวมท้ังกรณีผลเพาะ
เช้ือจากน้ายาฟอกไตข้ึนเช้ือ (Culture positive peri-
tonitis) และ ผลการเพาะเชื้อไมํขึ้นเชื้อ (Culture
Screened eligible infected CAPD patients
(418 episodes of peritonitis)
23 episodes Were excluded due to
4 Disappearance of chart
2 Incomplete data
16 Fungal peritonitis
1 TB peritonitis
Eligible Infected CAPD patients
(395 episodes of peritonitis)
No refractory peritonitis: 315 Refractory peritonitis: 78 episodes
75
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ่ี 28 ฉบับท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
การติดเชื้อสํวนใหญํเกิดจากการติดเช้ือแกรม รักษา (ตารางที่ 1) อายุเฉล่ียของผ๎ูปุวยทั้ง 2 กลุํมอยูํท่ี
บวก 156 ครั้ง (39.49%) โดยเกิดจากเช้ือ Staphylo- 55 ปี สาเหตุของไตวายสํวนใหญํเกิดจากเบาหวาน
coccus spp. 7 0 ครั้ ง (17 .7 2 %), Streptococcus ระยะเวลาในการล๎างไตทางชํองท๎องประมาณ 35 เดือน
spp. 52 ครั้ง (13.16%), Corynbacterium spp. 27 ลักษณะข๎อมูลพน้ื ฐานสํวนใหญํของผ๎ูปุวยไตวายเรื้อรังที่
คร้ัง (6.83%), Bacillus spp. 7 ครั้ง (1.77%) เป็นการ ได๎รับการวินิจฉัยวํามีภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบทั้ง 2
ติดเช้ือแกรมลบ 130 คร้ัง โดยเกิดจากเช้ือ E.coli 49 กลุํมไมํแตกตํางกันอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ ยกเว๎นพบ
คร้ัง (12.41%), Klebsiella spp. 18 คร้ัง (4.56%), ภาวะทุพโภชนาการสูงกวํา (39.74% ในกลํุมที่ไมํ
Pseudomonas aeruginosa 2 0 ค ร้ั ง (5 .0 6 %), ตอบสนองตํอการรักษา และ 24.92% ในกลุํมที่ไมํเกิด
Burkholderia pseudomallei 6 ครั้ง (1.52%) และ ภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการรักษา,
เป็นเชื้อแกรมลบอื่นๆ 37 ครั้ง (9.37%) พบการติดเชื้อ p=0 .0 0 9 ) แ ล ะ ภ า ว ะ อั ล บู มิ น ใ น เ ลื อ ด ต่ า ก วํ า
ท่ีเพาะไมขํ นึ้ เชอ้ื 109 ครง้ั (27.59%) (2.78±0.67 กรัม/เดซิลิตร ในกลุํมท่ีไมํตอบสนองตํอ
การรักษา และ 2.98±0.64 กรัม/เดซิลิตร ในกลุํมท่ีไมํ
ข๎อมูลพื้นฐานของของผู๎ปุวยไตวายเร้ือรังที่ได๎รับ เกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการ
การวินิจฉัยวํามีภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบโดยจาแนก รักษา, p=0.02) ในกลํุมท่ีไมํตอบสนองตํอการรักษา
ภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบเป็นกลุํมที่ไมํเกิดภาวะเยื่อบุ แตกตาํ งกนั อยํางมีนยั สาคัญทางสถิติ
ชํองท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการรักษา และกลุํมที่
เกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการ
ตารางที่ 1 ข้อมูลพ้ืนฐานของผู้ป่วยไตวายเร้ือรังที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบโดยจาแนก
ภาวะเยื่อบชุ อ่ งท้องอกั เสบเป็นกลมุ่ ท่ไี มเ่ กดิ ภาวะเย่ือบุชอ่ งท้องอักเสบทีไ่ มต่ อบสนองตอ่ การรักษา และกลุ่มท่ีเกิด
ภาวะเยอื่ บชุ ่องทอ้ งอกั เสบทไี่ มต่ อบสนองตอ่ การรกั ษา (n=395 episodes)
ขอ้ มลู สว่ นบุคคล การเกดิ Refractory peritonitis
เพศ (%) ไม่เกิด เกิด p-value
ชาย (n=317 episodes) (n=78 episodes)
อายุ (ปี) mean±SD
น้าหนัก (กโิ ลกรัม) mean±SD 142 (44.79) 39 (50) 0.41
ดัชนมี วลกาย (กิโลกรมั /ตารางเมตร) mean±SD 55.68±13.12 55.01±12.21 0.68
การศึกษา (%) 56.36±9.34 55.27±1.1 0.36
22.53±3.1 21.92±3.57 0.14
ประถมศึกษาหรอื ตา่ กวํา 256 (80.76) 65 (83.33) 0.90
มธั ยมต๎น 43 (13.56) 0.38
มธั ยมปลาย 8 (10.26)
อาชีวะศึกษา 9 (2.84) 3 (3.85)
ปริญญาตรหี รอื สงู กวาํ 8 (2.52) 2 (2.56)
อาชีพ (%) 1 (0.32) 0 (0)
คา๎ ขาย 4 (1.26) 3 (3.84)
รับจ๎าง 24 (7.57) 7 (8.97)
เกษตรกร 79 (24.92) 20 (25.64)
ภิกษ/ุ นักบวช 3 (0.95) 2 (2.56)
วาํ งงาน 207 (65.30) 46 (58.97)
76
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ตารางที่ 1 ข้อมูลพ้ืนฐานของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังท่ีได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบโดยจาแนก
ภาวะเยื่อบุชอ่ งท้องอกั เสบเป็นกลุ่มทไี่ มเ่ กิดภาวะเย่ือบชุ อ่ งทอ้ งอกั เสบที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา และกลุ่มท่ีเกิด
ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา (n=395 episodes) (ตอ่ )
ข้อมลู ส่วนบุคคล การเกิด Refractory peritonitis p-value
การเปลีย่ นน้ายา (%) ไม่เกิด เกิด 0.87
0.19
ผ๎ูปุวยทาเอง (n=317 episodes) (n=78 episodes) 0.50
ญาติทา
ผูอ๎ นื่ ทา 96 (30.28) 23 (29.49) 0.71
สทิ ธกิ ารรักษา (%) 220 (69.40) 55 (70.51) 0.43
ประกันสขุ ภาพถ๎วนหน๎า 0.16
ประกันสังคม 1 (0.32) 0 (0) 0.59
เบิกจํายตรง 0.40
สาเหตุของไตวาย (%) 311 (98.12) 76 (97.44) 0.28
เบาหวาน 2 (0.63) 2 (2.56) 0.53
ความดนั โลหติ สูง 4 (1.26) 0 (0) 0.66
โรคไตอักเสบ 0.25
การอดุ ก้นั ของทางเดนิ ปัสสาวะ 137 (43.21) 33 (42.30) 0.76
โรคถุงนา้ ในไต 17 (5.36) 6 (7.69) 0.009
ไมทํ ราบสาเหตุ 22 (6.94) 3 (3.85) 0.88
โรคร่วม (%) 43 (13.56) 14 (17.95) 0.20
เบาหวาน 8 (2.52) 0 (0) 0.49
ความดันโลหติ สูง 90 (28.39) 22 (28.20) 0.27
น่วิ ในระบบทางเดนิ ปสั สาวะ 0.85
โรคหวั ใจขาดเลอื ด 139 (43.85) 36 (46.15) 0.12
โรคหลอดเลอื ดสมอง 308 (97.16) 77 (98.72)
โรคไขมันในเลือดสูง 66 (20.82) 22 (28.21)
โรคปอดอดุ ก้ันเรือ้ รงั 12 (3.79) 4 (5.13)
โรคเกาต์ 30 (9.46) 5 (6.41)
ไวรัสตับอักเสบบี 135 (42.59) 28 (35.90)
ไวรัสตับอกั เสบซี 3 (3.85)
ภาวะทุพโภชนาการ 8 (2.52) 10 (12.82)
ระยะเวลาการฟอกไตทางช่องท้อง (เดอื น) median [IQR] 35 (11.04) 4 (5.13)
จานวนครง้ั ของการเกดิ ภาวะเยือ่ บุชอ่ งท้องอกั เสบมาก่อน (ครงั้ ) 29 (9.15) 3 (3.85)
median [IQR] 10 (3.15) 31 (39.74)
จานวนปสั สาวะตอ่ วนั (มิลลลิ ิตร) median [IQR] 79 (24.92) 35 (4-89)
ฮีโมโกลบนิ (กรัม/เดซิลติ รmean±SD 35 (1-104)
เม็ดเลอื ดขาว (เซลล์ตํอไมโครลติ ร) mean±SD 1 (0-4)
ไนโตรเจนในเลอื ด (มิลลิกรมั /เดซลิ ิตร) mean±SD 1 (0-4)
0 (0-800) 0 (0-600)
10.20±8.55 9.12±2.16
10168.74±10991.86 10408±4591.93
51.35±20.24 55.41±22.17
77
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบับท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
ตารางที่ 1 ข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วยไตวายเร้ือรังท่ีได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะเย่ือบุช่องท้องอักเสบโดยจาแนก
ภาวะเย่อื บุช่องทอ้ งอักเสบเป็นกลุม่ ทไี่ ม่เกดิ ภาวะเย่ือบุชอ่ งท้องอักเสบทไ่ี ม่ตอบสนองตอ่ การรักษา และกลุ่มที่เกิด
ภาวะเยอ่ื บุช่องท้องอักเสบที่ไมต่ อบสนองต่อการรักษา (n=395 episodes) (ตอ่ )
ขอ้ มูลสว่ นบุคคล การเกิด Refractory peritonitis p-value
ไมเ่ กิด เกดิ
ครเี อตินนิ (มลิ ลกิ รมั /เดซลิ ิตร) mean±SD (n=317 episodes) (n=78 episodes) 0.10
โพแทสเซียม (มิลลโิ มล/ลิตร) mean±SD 17.60±84.57 41.82±197.24 0.84
อลั บูมิน (กรมั /เดซลิ ติ ร) mean±SD 3.90±2.41 3.84±0.87 0.02
นา้ ตาลในเลอื ด (มลิ ลิกรมั /เดซิลติ ร) mean±SD 2.98±0.64 0.54
2.78±0.67
139.2±73.30 144.74±63.85
จากขอ๎ มลู อาการ อาการแสดงและผลการตรวจทาง รักษามากกวํา, มีจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตใน
ห๎องปฏบิ ตั กิ ารของผู๎ปุวยไตวายเร้ือรังที่ได๎รับการวินิจฉัยวํา วันที่ 3 ของการรักษามากกวําอีกกลํุมและจานวนผู๎ปุวยที่มี
มีภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบ (ตารางที่ 2) พบวําผู๎ปุวยกลํุม จานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันท่ี 3 ของการ
ท่ีเกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการ รักษา ≥50% ของจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตใน
รักษาจะพบอาการถํายเหลวในวันท่ี 1 ของการรักษา วันท่ี 1ของการรักษามากกวําเมื่อเทียบกับผ๎ูปุวยกลุํมที่ไมํ
มากกวํา, ระดับความดันซิสโตลิคในวันท่ี 1ของการรักษา เกิดภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการรักษา
น๎อยกวํา, พบไข๎ในวันท่ี 3 ของการรักษามากกวํา, พบปวด อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ สํวนการพบการติดเชื้อของชํอง
ท๎องในวันท่ี 3 ของการรักษามากกวํา, พบถํายเหลวในวันที่ สายออกและชนิดของเชื้อกํอโรคพบวําในท้ัง 2 กลุํมไมํ
3 ของการรักษามากกวํา, มีน้ายาขุํนในวันที่ 3 ของการ แตกตํางกนั อยํางมีนยั สาคัญทางสถติ ิ
ตารางที่ 2 ข้อมูลอาการ อาการแสดงและผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของผู้ป่วยไตวายเร้ือรังท่ีได้รับการ
วนิ ิจฉยั วา่ มภี าวะเยอ่ื บชุ อ่ งท้องอกั เสบในวนั ที่ 1 และวนั ที่ 3 ของการรกั ษา (n=395 episodes)
ขอ้ มลู พืน้ ฐานทางห้องปฏบิ ตั กิ าร การเกิดRefractory peritonitis p-value
mean ± SD ไม่เกดิ เกิด
(n= 317 episodes) (n= 78 episodes) 0.40
มไี ขใ้ นวันท่ี 1 ของการรักษา (%) 195 (61.51) 52 (66.67) 0.46
มีปวดทอ้ งในวันที่ 1 ของการรกั ษา (%) 289 (91.17) 69 (88.46) 0.04
มถี ่ายเหลวในวนั ท่ี 1 ของการรักษา (%) 107 (33.75) 36 (46.15) 0.06
มีนา้ ยาขุน่ ในวนั ท่ี 1 ของการรักษา (%) 303 (95.58) 78 (100) 0.41
มีน้ายาร่ัวในวันที่ 1 ของการรักษา (%) 7 (2.21) 3 (3.85) 0.03
ระดับความดันซิสโตลิคในวนั ที่ 1 ของการรกั ษา (mmHg) mean ± SD 143.81±34.07 134.91±28.97 0.12
ระดบั ความดันไดแอสโตลิคในวนั ที่ 1 ของการรักษา (mmHg) mean ± SD 80.04±16.01 76.92±15.87 0.97
มีการติดเชอ้ื ของช่องสายออก (%) 20 (6.31) 5 (6.41) 0.38
จานวนเมด็ เลือดขาวในนา้ ยาฟอกไตในวนั ที่ 1 ของการรักษา (เซลล์ ตอํ ลบ.มม.) mean ± SD 2915.77±4828.49 2361.51±5467.95 <0.001
มไี ขใ้ นวันท่ี 3 ของการรักษา (%) 18 (5.68) 22 (28.21) <0.001
มีปวดท้องในวันที่ 3 ของการรกั ษา (%) 135 (42.59) 65 (83.33) <0.001
มถี า่ ยเหลวในวันที่ 3 ของการรักษา (%) 20 (6.31) 18 (23.08) <0.001
มีน้ายาขุ่นในวนั ที่ 3 ของการรกั ษา (%) 106 (33.44) 75 (96.15) 0.62
มนี า้ ยารว่ั ในวนั ท่ี 3 ของการรกั ษา (%) 1 (0.32) 0 (0) 0.01
ระดบั ความดนั ซสิ โตลคิ ในวนั ท่ี 3 ของการรักษา (mmHg) mean ± SD 134.32±24.56 126.58±23.10 0.10
ระดบั ความดันไดแอสโตลคิ ในวนั ท่ี 3 ของการรกั ษา (mmHg) mean ± SD 74.74±14.21 71.79±13.74 <0.001
จานวนเม็ดเลอื ดขาวในนา้ ยาฟอกไตในวนั ท่ี 3 ของการรักษา (เซลล์ ตอํ ลบ.มม.) mean ± SD 278.28±548.96 2269.85±4691.99 <0.001
จานวนผปู้ ่วยทีม่ จี านวนเม็ดเลอื ดขาวในนา้ ยาฟอกไตในวนั ที่ 3 ของการรักษา ≥50% ของจานวน 36 (11.36) 58 (74.36)
เม็ดเลอื ดขาวในน้ายาฟอกไตในวนั ที่ 1 ของการรกั ษา (%)
78
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
เมื่อนาไปคิด crude odds ratios (ORs) จาก uni- ตารางท่ี 4 ปัจจยั พยากรณ์จากการคานวณ multivariate-
variate analysis (ตารางท่ี 3) พบปัจจัยท่ีพยากรณ์ถึงการ logistic regression (adjusted odd ratios) ตํอการเกิด
เกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการรักษา ภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการรักษา
ทั้งหมด 10 ปัจจัยและเมือ่ นาไปคานวณด๎วย multivariate (n=395 episodes)
logistic regression คิด adjusted odd ratios (ตารางท่ี
4) พบปัจจัยท่ีพยากรณ์ถึงการเกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎อง ปัจจยั Adjusted Odd- P-value
อักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการรักษาท้ังหมด 6 ปัจจัย ได๎แกํ ratio* (95% CI) 0.003
การมภี าวะภาวะทพุ โภชนาการ, มีอาการปวดทอ๎ งในวันที่ 3 ภาวะทพุ โภชนาการ 3.52 (1.53-8.11) <0.001
ของการรักษา, มีอาการถํายเหลวในวันที่ 3 ของการรักษา, มปี วดท๎องในวันที่ 3 5.35 (2.13-13.42) <0.001
ยังมนี า้ ยาขํุนในวนั ที่ 3 ของการรกั ษา, จานวนเม็ดเลือดขาว ของการรักษา 4.75 (1.65-13.72) <0.001
ในน้ายาฟอกไตในวันที่ 3 ของการรักษา ≥1000 เซลล์ ตํอ มถี ํายเหลวในวันที่ 3 12.99 (3.60-46.88) 0.008
ลบ.มม., จานวนเมด็ เลอื ดขาวในน้ายาฟอกไตในวันท่ี 3 ของ ของการรักษา 3.15 (1.35-7.37)
การรักษา ≥50% ของจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไต มนี ้ายาขํนุ ในวันท่ี 3 <0.001
ในวันท่ี 1 ของการรกั ษา ของการรักษา 15.16 (6.69-34.37)
จานวนเม็ดเลอื ดขาวในนา้ ยา
ตารางท่ี 3 ปัจจัยพยากรณ์จากการคานวณunivariate ฟอกไตในวนั ที่ 3 ของการ
analysis (Crude odd ratio) ต่อการเกิดภาวะเยื่อบุ รกั ษา ≥1000 เซลลต์ ํอลบ.มม.
ช่องท้องอักเสบที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา (n=395 จานวนเมด็ เลือดขาวในนา้ ยา
episodes) ฟอกไตในวันท่ี 3 ของการ
รักษา≥50% ของจานวนเมด็
เลอื ดขาวในนา้ ยาฟอกไตใน
วนั ท่ี 1 ของการรักษา
ปจั จยั Crude odd-ratio p-value วิจารณแ์ ละสรปุ ผล
ภาวะทุพโภชนาการ (95% CI) 0.01 จากผลการศึกษาพบอุบตั ิการณ์การเกิดภาวะเยื่อ
มีถํายเหลวในวันที่ 1 0.04
ของการรักษา 1.99 (1.18-3.34) 0.04 บุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการรักษาเป็นร๎อย
ระดบั ความดันซสิ โตลคิ ในวนั ท่ี 1.68 (1.02-2.78) <0.001 ละ 19.75 ซึ่งใกล๎เคียงกับข๎อมูลจากงานวิจัยกํอนหน๎าน้ี
1 ของการรักษา 0.99 (0.98-1.00) <0.001 ที่พบอุบัติการณ์ท่ีร๎อยละ 15-20 และเป็นสาเหตุที่
มไี ข๎ในวันท่ี 3 ของการรกั ษา 6.53 (3.29-12.95) <0.001 สาคัญที่ทาให๎ผ๎ูปุวยต๎องเปล่ียนวิธีการบาบัดทดแทนไต
มปี วดทอ๎ งในวนั ที่ 3 6.18 (3.34-11.44) <0.001 ไปเป็นการฟอกเลือดด๎วยเคร่ืองไตเทียมและการ
ของการรกั ษา 4.46 (2.22-8.92) 0.01 เสียชีวิตในผู๎ปุวย4-5,8,11 จากผลการศึกษา พบปัจจัยท่ี
มีถํายเหลวในวันท่ี 3 49.76 (15.33- <0.001 พยากรณ์ถึงการเกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบที่ไมํ
ของการรกั ษา ตอบ สนอ งตํอ กา รรัก ษาไ ด๎แกํ ก ารมี ภ าว ะทุ พ
มนี า้ ยาขุํนในวนั ท่ี 3 161.52) <0.001 โภชนาการ, มีอาการปวดท๎องในวันที่ 3 ของการรักษา,
ของการรกั ษา 0.99 (0.98-1.00) มีอาการถํายเหลวในวันท่ี 3 ของการรักษา, ยังมีน้ายา
ระดบั ความดนั ซสิ โตลคิ ในวนั ที่ 10.91 (5.71-20.84) ขํุนในวันท่ี 3 ของการรักษา, จานวนเม็ดเลือดขาวใน
3 ของการรกั ษา น้ายาฟอกไตในวันท่ี 3 ของการรักษา ≥1000 เซลล์ตํอ
จานวนเมด็ เลอื ดขาวในน้ายา 22.64 (12.23-41.88) ลบ.มม., จานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันท่ี 3
ฟอกไตในวันที่ 3 ของการ ของการรกั ษา ≥50% ของจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายา
รกั ษา≥1000 เซลลต์ ํอลบ.มม. ฟอกไตในวนั ที่ 1 ของการรักษา
จานวนเม็ดเลอื ดขาวในน้ายา
ฟอกไตในวนั ที่ 3 ของการ จ า ก ง า น วิ จั ย น้ี พ บ วํ า ผ๎ู ปุ ว ย ท่ี มี ภ า ว ะ ทุ พ
รกั ษา≥50% ของจานวนเม็ด โภชนาการจะมโี อกาสเกดิ ภาวะเยอื่ บชุ ํองท๎องอกั เสบท่ี
เลือดขาวในน้ายาฟอกไตใน
วนั ท่ี 1 ของการรกั ษา
79
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปที ี่ 28 ฉบับท่ี 1 ประจาเดือน มกราคม – เมษายน 2563
ไมํตอบสนองตํอการรักษาเป็น 3.52 เทํา เม่ือเทียบกับ และถ๎าจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันที่ 3
ผ๎ูปุวยท่ีไมํมีภาวะทุพโภชนาการภาวะทุพโภชนาการ ของการรกั ษา ≥50% ของจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายา
เป็นปัจจัยเสี่ยงตํอการเกิดภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบ ฟอกไตในวันที่ 1 ของการรักษาจะมีความเส่ียงตํอการ
จากการล๎างไตทางชํองท๎อง12-13 มีการศึกษาพบวําการมี เกิดการเกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนอง
ระดับอัลบูมินในเลือดต่า จะสัมพันธ์กับอัตราตายและ ตํอการรักษาสูงถึง 15.16 เทํามีงานวิจัยพบวําจานวน
การที่ผ๎ูปุวยต๎องเปล่ียนวิธีการบาบัดทดแทนไตไปเป็น เม็ดเลือดขาวในน้ายาล๎างไตในวันท่ี 3 และวันท่ี 5 ของ
การฟอกเลือดสูงขึ้น14-15 ระดับอัลบูมินในเลือดที่ต่าจะ การรักษาเป็นดัชนีของความรุนแรงของภาวะเย่ือบุชํอง
สัมพันธ์กับการมีภาวะทุพโภชนาการ พบวําถ๎ามีภาวะ ท๎องอักเสบ โดยจากงานของ Chow และคณะ5 พบวํา
ทุพโภชนาการจะเพิ่มความเสี่ยงตํอการติดเชื้อและการ การมีจานวนเมด็ เลือดขาวในน้ายาล๎างไตในวันที่ 3 ของ
ไมตํ อบสนองตอํ การรกั ษา14,16 การรกั ษา ≥1090 เซลล์ตํอลบ.มม. สามารถทานายการ
เกิดการล๎มเหลวในการรักษา (Sensitivity 75%,
งานวิจัยนี้พบวําอาการและอาการแสดงในวัน specificity 74%) และงานวิจัยของ Nochaiwong
แรกของการรักษา รวมถึงการมีการติดเชื้อของชํองสาย และคณะ9 พบวําจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาล๎างไตใน
ออกในขณะที่มีภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบไมํพยากรณ์ วันท่ี 3 ของการรกั ษา ≥1000 เซลลต์ ํอลบ.มม. สามารถ
การเกิดภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอ พยากรณ์การล๎มเหลวตํอการรักษาโดยมีความเส่ียงเป็น
การรักษา เชํนเดียวกับงานวิจัยที่เก็บข๎อมูลคนไข๎ท่ีมี 2.5 เทาํ อธิบายจากจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไต
ภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบจากการล๎างไตทางชํองท๎อง ท่ีลดลงบํงถึงการตอบสนองตํอการรักษาท่ีข้ึนกับปัจจัย
ในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิในประเทศไทย ที่พบวํา ทางจุลชีววิทยาของเชื้อโรค (Microbiological fac-
อาการแสดงในวันแรกได๎แกํ อาการปวดท๎อง อาการ tors) ลักษณะปฏิกิริยาภูมิค๎ุมกันของชํองท๎อง และการ
ถํายเหลว อาการท๎องผูก น้ายาฟอกไตรั่ว และการมี ตอบสนองตํอการให๎ยาปฏิชีวนะการติดตามการรักษา
น้ายาฟอกไตขนํุ ไมแํ ตกตาํ งกันระหวํางกลํุมที่ตอบสนอง โดยการตรวจจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตใน
และไมตํ อบสนองตํอการรักษา9 แตํจากงานวิจัยนี้พบวํา วันท่ี 3 ของการรักษาซ่ึงยังอยํูในชํวงแรกๆของการ
การมีอาการปวดท๎องในวันท่ี 3 ของการรักษา, การมี รักษาจะบอกถึงการที่ตอบสนองของรํางกายตํอการ
อาการถํายเหลวในวันที่ 3 ของการรักษา, ยังมีน้ายาขุํน รักษา ถ๎าจานวนเม็ดเลือดขาวยังสูงในน้ายาในชํวงน้ีมัก
ในวันท่ี 3 ของการรักษา พยากรณ์ถึงภาวะเยื่อบุชํอง สัมพันธ์กับความล๎มเหลวในการจากัดเชื้อโรค5,17,19-20 มี
ท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการรักษา โดยท่ัวไป งานวิจัยพบวําการตอบสนองตํอการรักษาในผ๎ูปุวยท่ีมี
ผู๎ปุวยที่มีภาวะเย่ือบุชํองท๎องอักเสบที่ตอบสนองตํอการ ภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบข้ึนกับสัดสํวนของเม็ดเลือด
รักษา จะพบวําอาการและอาการแสดงตาํ งๆ มักจะดีขึ้น ขาวท่ีเหลืออยํูในน้ายาฟอกไตในวันที่ 3 ของการรักษา
ภายใน 48-72 ช่ัวโมงของการรักษา17 การท่ียังพบ โดยกลุํมท่ีตอบสนองตํอการรักษาจะมีจานวนของเม็ด
อาการไข๎ ถํายเหลว หรือการมีน้ายาฟอกไตขํุนในวันที่ เลือดขาวลดเหลือประมาณร๎อยละ 10 เมื่อเทียบกับวัน
3 ของการรักษา เป็นอาการแสดงถึงยังคงมีการติดเช้ือ แรก20 การเปลี่ยนแปลงจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายา
ในชํองท๎อง18 โดยเฉพาะการท่ีน้ายาฟอกไตขํุนจะบอก ฟอกไตขึ้นกับการตอบสนองตํอยาฆําเช้ือและปฏิกิริยา
ถึงการท่ียังมีจานวนเม็ดเลือดขาวจานวนมากในน้ายา ภูมิคุ๎มกันของคนไข๎เอง (Host immune reaction)
ฟอกไต สัดสํวนที่ลดลงของจานวนเม็ดเลือดในน้ายาฟอกไตจึง
บอกถึงผลการตอบสนองตํอการรักษา21 ปริมาณของ
งานวิจัยนี้พบวําถ๎าผู๎ปุวยมีจานวนเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดขาวและสัดสํวนท่ีลดลงของจานวนเม็ดเลือด
ในน้ายาฟอกไตในวันที่ 3 ของการรักษา ≥1000 เซลล์ ขา ว ใ นน้ าย าฟ อก ไต ใน วัน ท่ี 3 ขอ งก าร รัก ษ า
ตํอลบ.มม. จะมีความเส่ียงตํอการเกิดการเกิดภาวะเย่ือ
บุชอํ งท๎องอักเสบท่ีไมํตอบสนองตํอการรักษา 3.15 เทํา
80
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
มีประโยชน์ในการพยากรณ์การตอบสนองตํอการรักษา กิตติกรรมประกาศ
ในเวชปฏิบัติแนะนาให๎ตรวจนับเม็ดเลือดขาวในน้ายา ขอขอบคุณ นพ.พรชัย คูวิวัฒนชัย ท่ีปรึกษาใน
ฟอกไต ณ วันท่ี 3 ของการเกิดภาวะเยื่อบุชํองท๎อง
อักเสบ17 การทาวจิ ยั คุณอภิญญา เวชประดษิ ฐ์ และคุณคชาภรณ์
ศรีจุมพล พยาบาลประจาคลินิกฟอกไตทางหน๎าท๎อง
ข๎อจากัดของงานวิจัยน้ีคือ เป็นงานวิจัยตามแผน โรงพยาบาลอดุ รธานที ช่ี วํ ยในการรวบรวมรายชื่อผ๎ปู วุ ย
แบบย๎อนหลัง (retrospective cohort study) ทาให๎มี เอกสารอ้างอิง
ข๎อมูลของผ๎ูปุวยสํวนหนึ่งสูญหายหรือมีข๎อมูลไมํครบ
และเปน็ การเก็บข๎อมูลเพื่อนามาหาปัจจัยพยากรณ์ที่ทา 1. Chuasuwan A, Lumpaopong A. Thailand
ในผปู๎ วุ ยไตวายเรอื้ รังที่ได๎รับการล๎างไตทางชํองท๎องของ renal replacement therapy year 2015: Nephrology
โรงพยาบาลอุดรธานีแหํงเดียว ควรมีการทาการ Society of Thailand; 2015.
ตรวจสอบกับข๎อมูลจากโรงพยาบาลอ่ืนๆ (External
validation) เพ่ือประเมินวําสามารถนาปัจจัยทาง 2 . Kanjanabuch T, Chancharoenthana W,
อาการ อาการแสดงเหลําน้ีไปใช๎ได๎จริงในเวชปฏิบัติ Katavetin P, Sritippayawan S, Praditpornsilpa K,
และนาไปสูํการพัฒนาเครื่องมือในการทานายการเกิด Ariyapitipan S, Eiam-ong S, Dhanakijcharoen P.
ภาวะเย่ือบุชอํ งท๎องอกั เสบท่ไี มํตอบสนองตํอการรกั ษา The incidence of peritoneal dialysis-related infec-
tion in Thailand: a nationwide survey. J Med
การมีภาวะทุพโภชนาการ, อาการปวดท๎องใน Assoc Thai 2011; Suppl 4: S7-12.
วันที่ 3 ของการรักษา, อาการถํายเหลวในวันที่ 3 ของ
การรกั ษา, ยังมอี าการน้ายาขํุนในวันที่ 3 ของการรักษา, 3 . Li PK, Szeto CC, Piraino B, Bernardini J,
จานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันท่ี 3 ของการ Figueiredo AE, Gupta A, Johnson DW, Kuijper EJ,
รักษา ≥1000 เซลล์ตํอลบ.มม. และจานวนเม็ดเลือด Lye W. Peritoneal dialysis-related infections rec-
ขาวในน้ายาฟอกไตในวันที่ 3 ของการรักษา ≥50% ommendations: 2010 update. Perit Dial Int 2010;
ของจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันท่ี 1 ของ 30(4):393-423.
การรักษาเป็นปัจจัยท่ีพยากรณ์ถึงการเกิดภาวะเยื่อบุ
ชํองท๎องอักเสบที่ไมํตอบสนองตํอการรักษา ควรมีการ 4 .Krishnan M, Thodis E, Ikonomopoulos D,
ติดตามลักษณะเหลํานี้เพื่อเป็นแนวทางให๎การรักษา Vidgen E, Chu M, Bargman JM, et al. Predictors of
อยํางใกล๎ชิดโดยควรแก๎ไขภาวะทุพโภชนาการในผ๎ูปุวย outcome following bacterial peritonitis in perito-
ไตวายเร้ือรังท่ีทาการล๎างไตทางชํองท๎องโดยอาศัย neal dialysis. Perit Dial Int. 2002; 22:573–81.
ทีมสหสาขามาชํวยรํวมดูแลตั้งแตํในคลินิกฟอกไตทาง
ชํองท๎อง และเมื่อผ๎ูปุวยเกิดภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบ 5. Chow KM, Szeto CC, Cheung KK, Leung
ข้ึนควรติดตามดูแลอาการทางคลินิกอยํางใกล๎ชิด CB, Wong SS, Law MC, Ho YW, Li PK. Predictive
โดยเฉพาะ ในวนั ที่ 3 ของการรักษาถ๎าผู๎ปุวยยังมีอาการ value of dialysate cell counts in peritonitis com-
ปวดท๎อง ถํายเหลว น้ายาขํุน และโดยเฉพาะการท่ียังมี plicating peritoneal dialysis. Clinical Journal of the
จานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไตในวันท่ี 3 ของการ American Society of Nephrology. 2 0 0 6 Jul 1 ;1
รักษา ≥50% ของจานวนเม็ดเลือดขาวในน้ายาฟอกไต (4):768-73.
ในวันที่ 1 ควรใหก๎ ารรกั ษาอยํางเต็มท่ี เนื่องจากมีปัจจัย
ที่บํงถงึ ความเสี่ยงตํอการเกิดภาวะเยื่อบุชํองท๎องอักเสบ 6. Ronco C, Crepaldi C, Cruz DN. Peritoneal
ที่ไมํตอบสนองตํอการรกั ษา Dialysis: From Basic Concepts to Clinical Excel-
81 lence. Contrib Nephrol 2009; 163:161–68.
7 . Thammishetti V, Kaul A, Bhadauria DS,
Balasubramanian K, Prasad N, Gupta A, et.al. A
Retrospective Analysis of Etiology and Outcome
of Refractory CAPD Peritonitis in a Tertiary Care
Center from North India. Perit Dial Int 2018; 38
(6):441-6.
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีท่ี 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
8. de Moraes TP, Olandoski M, Caramori JC, 15. Chen HL, Tarng DC, Huang LH. Risk fac-
tors associated with outcomes of peritoneal dialy-
Martin LC, Fernandes N, Divino-Filho JC, Pecoits- sis in Taiwan: An analysis using a competing risk
Filho R, Barretti P. Novel predictors of peritonitis- model. Medicine. 2019 Feb;98(6).
related outcomes in the BRAZPD cohort. Perito- 16. Prasad N, Gupta A, Sharma RK, Sinha A,
neal Dialysis International. 2014 Mar 1;34(2):179- Kumar R. Impact of nutritional status on peritoni-
87. tis in CAPD patients. Peritoneal Dialysis Interna-
tional. 2007 Jan 1;27(1):42-7.
9. Nochaiwong S, Ruengorn C, Koyratkoson 17. Li PK, Szeto CC, Piraino B, de Arteaga J,
K, Thavorn K, Awiphan R, Chaisai C, Phatthanasob- Fan S, Figueiredo AE, Fish DN, Goffin E, Kim YL,
hon S, Noppakun K, Suteeka Y, Panyathong S, Salzer W, Struijk DG. ISPD peritonitis recommenda-
Dandecha P. A clinical risk prediction tool for peri- tions: 2016 update on prevention and treatment.
tonitis-associated treatment failure in peritoneal Peritoneal Dialysis International. 2 0 16 Sep 1 ;3 6
dialysis patients. Scientific reports. 2018 Oct 4;8 (5):481-508.
(1):1-1. 1 8 . Ram R, Swarnalatha G, Rao CS, Naidu
GD, Sriram S, Dakshinamurty KV. Risk factors that
10. Zalunardo NY, Rose CL, Ma IW, Altmann determine removal of the catheter in bacterial
P. Higher serum C-reactive protein predicts short peritonitis in peritoneal dialysis. Peritoneal Dialysis
and long-term outcomes in peritoneal dialysis- International. 2014 Mar 1;34(2):239-43.
associated peritonitis. Kidney international. 2007 1 9 . Kofteridis DP, Valachis A, Perakis K,
Apr 1;71(7):687-92. Maraki S, Daphnis E, Samonis G. Peritoneal dialysis
-associated peritonitis: clinical features and pre-
1 1 . Wang HH, Huang CH, Kuo MC, Lin SY, dictors of outcome. International Journal of Infec-
Hsu CH, Lee CY, Chiu YW, Chen YH, Lu PL. Micro- tious Diseases. 2010 Jun 1;14(6):489-93.
biology of peritoneal dialysis-related infection and 2 0 . Shah GM, Sabo A, Winer RL, Ross EA,
factors of refractory peritoneal dialysis related Kirschenbaum MA. Peritoneal leucocyte response
peritonitis: A ten-year single-center study in Tai- to bacterial peritonitis in patients receiving perito-
wan. Journal of Microbiology, Immunology and neal dialysis. The International journal of artificial
Infection. 2019 Oct 1;52(5):752-9. organs. 1990 Jan;13(1):44-50.
2 1 . Xu R, Chen Y, Luo S, Xu Y, Zheng B,
12 . Rojsanga P. Risk factors of Continuous Zheng Y, Dong J. Clinical characteristics and out-
Ambulatory Peritoneal Dialysis Associated Perito- comes of peritoneal dialysis-related peritonitis
nitis in Udon Thani Hospital. Udonthani hospital with different trends of change in effluent white
medical journal. 2013; 21:331-38. cell count: a longitudinal study. Peritoneal Dialy-
sis International. 2013 Jul 1;33(4):436-44.
13. Kerschbaum J, König P, Rudnicki M. Risk
factors associated with peritoneal-dialysis-related
peritonitis. International journal of nephrology.
2012;2012.
14. Tian Y, Xie X, Xiang S, Yang X, Zhang X,
Shou Z, Chen J. Risk factors and outcomes of high
peritonitis rate in continuous ambulatory perito-
neal dialysis patients: A retrospective study. Medi-
cine. 2016 Dec;95(49).
รับต๎นฉบบั : 17 มีนาคม 2563, ไดร๎ บั บทความปรับปรงุ : 31 มนี าคม 2563, รบั ลงตีพิมพ:์ 6 เมษายน 2563
82
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
การศึกษาแบบย้อนหลงั ในผู้ปว่ ยอุบัตเิ หตุทางตาโรงพยาบาลกมุ ภวาปี
เสาวภาคย์ ประธานธรุ ารกั ษ์ พ.บ., ว.ว. จกั ษุวทิ ยา กลมํุ งานจักษวุ ทิ ยา โรงพยาบาลกุมภวาปี
บทคัดยอ่
การวิจัยเชิงพรรณนาแบบย๎อนหลังมีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาระบาดวิทยาของผ๎ูปุวยที่ได๎รับอุบัติเหตุทางตา
ท่ีมารักษาในโรงพยาบาลกุมภวาปี เพ่ือนาข๎อมูลที่ได๎มาวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางการปูองกันอุบัติเหตุทางตาใน
อาเภอกุมภวาปี ทาการศึกษาข๎อมูลย๎อนหลังจากเวชระเบียนผ๎ูปุวยท่ีได๎รับการวินิจฉัยวําได๎รับบาดเจ็บทางตา
ประเภทผูป๎ ุวยนอกและผปู๎ ุวยในของโรงพยาบาลกุมภวาปี จงั หวัดอุดรธานตี ัง้ แตํ 1 สิงหาคม 2561 ถึง 31 กรกฎาคม
2562 จานวน 206 คน โดยศึกษาถึงอายุ เพศ สาเหตุของอุบัติเหตุ คําระดับสายตากํอนและหลังการรักษา
ภาวะแทรกซอ๎ น
ผลการศึกษา จากการเก็บข๎อมูลมีผ๎ูปุวยอุบัติเหตุทางตาในโรงพยาบาลกุมภวาปี ตั้งแตํ 1 สิงหาคม 2561 ถึง
31 กรกฎาคม 2562 ท้ังส้ิน 206 คน เป็นเพศชาย 145 คน (70.39%) เพศหญิง 61 คน (29.61%) ชํวงอายุท่ี เกิด
อุบัติเหตุทางตามากทสี่ ุดคอื ชวํ งอายุ 41-60 ปี มี 88 คน (42.72%) แบํงเปน็ สาเหตุจากการทางานมากท่ีสุด 103 คน
(50%) เมื่อพิจารณาสาเหตทุ พ่ี บมากทสี่ ุดคือก่งิ ไม๎หรือใบไม๎บาดตา 49 คน (47.57%) รองลงมาเศษเหล็กกระเด็นเข๎า
ตา 47 คน (45.63%) การวินิจฉัยท่ีพบบํอยท่ีสุดคือการได๎รับบาดเจ็บที่ตาสํวนหน๎า (Eye contusion) 84 ราย
(40.78%) โดยสํวนมากผู๎ปุวยที่เกิดอุบัติเหตุทางตามีภาวะแทรกซ๎อนซ่ึงพบบํอยที่สุดคือกระจกตาติดเชื้อ 68 ราย
(43.03%)
สรุป ผู๎ปุวยอุบัติเหตุทางตาในโรงพยาบาลกุมภวาปี พบมากที่สุดในเพศชาย สาเหตุจากการทางานมากท่ีสุด
สํวนใหญํระดับการมองเห็นสุดท๎ายดี แตํมีบางรายที่การพยากรณ์โรคสุดท๎ายไมํดี ซึ่งพบวําสัมพันธ์กับไมํใสํอุปกรณ์
ปูองกนั ตา ไมํมกี ารปฐมพยาบาลเบ้อื งตน๎ ทีถ่ ูกต๎อง
คาสาคญั : Ocular trauma, Bermingham Eye Trauma Terminology (BETT), Eye protection
Corresponding author: เสาวภาคย์ ประธานธรุ ารักษ์ โทรศัพท์ 084-6015232 E-mail: [email protected]
กลมุํ งานจกั ษุวิทยา โรงพยาบาลกมุ ภวาปี 97 ม.7 ถ.จติ รประสงค์ ต.กุมภวาปี อ.กมุ ภวาปี จ.อดุ รธานี 41110
83
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปที ี่ 28 ฉบับที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
Retrospective study of patients hospitalized for ocular trauma in Kumpawapi Hospital
Saovapak Phathanthurarux, M.D., Department of Ophthalmology, Kumpawapi Hospital
Abstract
This Retrospective Descriptive study aimed to study prevalence and demographic data of
ocular trauma pateints in Kumpawapi Hospital for the root cause and prevention. Data were
collected from the Kumpawapi hospital records of ocular trauma patients who had been treated
in outpatients and hospitalized patients in Kumpawapi Hospital during August 1st, 2018 and July
31st, 2019.206 patients were stastically analysed by age, gender, cause of injury, initial and post
treatment visual acuity and the injury complication.
Results: Between August 1st, 2018 and July 31st, 2019, 206 patients (145 male, 61 female)
with ocular trauma in Kumpawapi Hospital. The maximum injuries occured in 4 1 -6 0 year age
group. From the 206 total patients, 103 patients (50%) of injuries were job-related injuries. Most
of the injuries were caused by sharp wood’s branch or leaf to 49 patients (47.57%) follow by
injuries cause by metal foreign body for 47 patients (45.63). Eye contusion was the most injured
found on 84 patients (40.78%).The complication’s majority were keratitis, found on 68 patients
(43.03%).
Conclusion: In Kumpawapi hospital, most case of ocular trauma were male and job-related
injury. The prognosis of the patients was really well in the patients with good presenting visual
acuity. Nevertheless the prognosis was not good for those patients who had without appropriated
eye protection and first aid.
Keywords: Ocular trauma, Bermingham Eye Trauma Terminology (BETT), Eye protection
84
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
บทนา โดยขอ๎ มูลท่ีรวบรวมได๎แกํ ข๎อมูลทั่วไปของผ๎ูปุวย
อุบัติเหตุทางตาเป็นปัญหาท่ีพบบํอยและเป็น สาเหตุของอุบัติเหตุ การวินิจฉัยเบื้องต๎น คําระดับ
สายตากํอนและหลังการรักษา ระยะเวลาท่ีได๎รับ
สาเหตุสาคัญท่ีทาให๎เกิดการสูญเสียสมรรถภาพในการ อุ บั ติ เ ห ตุ จ น ก ร ะ ท่ั ง ไ ด๎ รั บ ก า ร รั ก ษ า ที่ โ ร ง พ ย า บ า ล
มองเห็น ซ่ึงไมํเพียงแตํจะมีผลตํอความสามารถในการ ภาวะแทรกซ๎อนทเี่ กิดข้นึ
มองเห็นของผ๎ปู วุ ยแตยํ ังทาให๎ผ๎ูปุวยต๎องเสียคําใช๎จํายใน
การดูแลรักษาทั้งระยะส้ันและระยะยาว เสีย ในการเก็บข๎อมูลคร้ังนี้ได๎แบํงระดับสายตาผู๎ปุวย
ความสามารถในการประกอบอาชีพสํงผลตํอครอบครัว ออกเป็นระดับตํางๆ ดังน้ี 20/20-20/40, <20/40-
เนื่องจากขาดรายได๎ หากไมํได๎รับการรักษาหรือ 20/70, <20/70-20/200, <20/200-10/200,
คาแนะนาทถี่ กู ต๎องอยํางทันทวํ งที < 5/200 เพื่อเปรียบเทียบระดับสายตากํอนและหลัง
การรักษา โดยการวัดสายตาด๎วย Snellen’s chart
สาเหตุของการได๎รับอุบัติเหตุทางตาอาจเกิดจาก โดยเปรียบเทียบผลของการรักษาออกเป็น 3 ระดับ 6
หลายปัจจัย แตกตํางกันตามภูมิประเทศและ คือ
สภาพแวดล๎อม ความแตกตํางของวัฒนธรรม เศรฐกิจ
สังคม1 จากการทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข๎องกับ 1. ระดับสายตาคงที่ คือระดับสายตาหลังการ
อุบตั ิเหตุทางตา ในประเทศไทย สํวนใหญํมักเกิดในเพศ รักษาอยํูภายใน 2 แถวของ Snellen’s chart
ชายการได๎รับบาดเจ็บทางตาเกิดจากการทางานมาก
ท่ีสุด ลักษณะภูมิสังคมมักจะเกิดในเขตชนบท หรือใน 2. ระดับสายตาดีข้ึน คือ ระดับสายตาหลังการ
เขตที่มีการขยายตัวของเมืองเนื่องจากมีการขยายของ รกั ษาดขี ้นึ มากกวาํ 2 แถวของ Snellen’s chart
เขตอตุ สาหกรรม2-5 สาเหตหุ ลักของอบุ ัตเิ หตุสํวนใหญํยัง
เป็นจาก พฤติกรรมของผป๎ู วุ ยท่ีไมใํ ห๎ความสาคัญกับการ 3. ระดับสายตาแยํลง คือ ระดับสายตาหลังการ
ปูองกันอุบัติเหตุทางตา ไมํใสํอุปกรณ์ปูองกันในขณะ รกั ษาลดลงมากกวาํ 2 แถวของ Snellen’s chart
ทางาน จริยธรรมในการวิจยั
วัตถปุ ระสงค์
การวิจัยคร้ังน้ีผํานการพิจารณาและได๎รับอนุมัติ
เพ่อื ศกึ ษาระบาดวิทยาของผ๎ูปุวยที่ได๎รับบาดเจ็บ จ า ก ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร จ ริ ย ธ ร ร ม ก า ร วิ จั ย ใ น ม นุ ษ ย์
ทางตา 1 ปีย๎อนหลังจากเวชระเบียนในโรงพยาบาลกุม โรงพยาบาลกุมภวาปี หนังสือรับรองเลขท่ี 2647 ลง
ภวาปี ตงั้ แตํ 1 สงิ หาคม 2561 ถึง 31 กรกฎาคม 2562 วันท่ี 27 สิงหาคม 2562
เพ่ือนาข๎อมูลท่ีได๎มาวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางการ ผลการศึกษา
ปูองกนั การเกดิ อุบัติเหตุ
รูปแบบการศึกษา จากการเก็บข๎อมูลย๎อนหลังของผ๎ูปุวยที่ได๎รับ
บาดเจ็บทางตาในโรงพยาบาลกุมภวาปี ต้ังแตํ 1
เป็นก ารวิจั ยเชิง พรร ณนาแ บบย๎อ นหลั ง สิงหาคม 2561 ถึง 31 กรกฎาคม 2562 มีผ๎ูประสบ
(Retrospective Descriptive study) อุบัติเหตุทางตาที่ได๎รับการตรวจรักษากับจักษุแพทย์
วิธีการศึกษา จานวน 206 คน เป็นผู๎หญิง 61 คน ผู๎ชาย 145 คน
กลุํมผู๎ได๎รับบาดเจ็บมากที่สุดคือ 41-60 ปี คิดเป็นร๎อย
ทาการศกึ ษาแบบยอ๎ นหลังโดยเก็บข๎อมูลจากเวช ละ 42.72 รองลงมาคอื กลํุมอายมุ ากกวํา 60 ปี คิดเป็น
ระเบียนของผู๎ปุวย ท่ีมีอุบัติเหตุบาดเจ็บทางตาที่เข๎ารับ ร๎อยละ 16.02 อายุเฉล่ียเทํากับ 47.6 ปี (S.D.= 4.42,
การรักษาในโรงพยาบาลกุมภวาปีและได๎มีการปรึกษา range 2-93) ผ๎ูปุวย 104 คน มาทาการรักษาที่
จักษุแพทย์ท้ังจากหอ๎ งฉกุ เฉินและห๎องตรวจโรคตาตั้งแตํ โรงพยาบาลหลังได๎รับอบุ ตั ิเหตุภายใน 24 ชัว่ โมงท่ีได๎รับ
1 สงิ หาคม 2561 ถึง 31 กรกฎาคม 2562 อุบัติเหตุ ผ๎ูปุวย 102 คน มารักษาตัวหลังจากได๎รับ
อุบัตเิ หตุแลว๎ มากกวาํ 24 ชั่วโมง ผู๎ปุวย 96 คน ไดร๎ ับ
85
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
บาดเจ็บในตาขวา และ 99 คน ได๎รับอุบัติเหตุในตาซ๎าย ยนต์ 35 คน, รถยนต์ 5 คน)อุบัติเหตุทางกีฬา 2 คน
เป็นอุบัติเหตุจากการทางาน 103 คน ไมํใชํอุบัติเหตุ อุบัติเหตุจากหนังยาง 5 คน อุบัติเหตุจากวัตถุมีคม 4
จากการทางาน 62 คน สาเหตุอืน่ ๆ 41 คน (ตารางที่ 1) คนและอ่ืนๆ อีก 41 คน ได๎แกํน้ิวจิ้มตา ชกตํอย หกล๎ม
(ตารางที่ 2)
Table 1 Patient Characteristics Table 2 Causes of injury
Characteristics Number of Patients (%) Cause Number of patients Mean Site of eye injury
Total patients 206 Gender Age Number of patients
Gender (year) Right Left Both
145 (70.39) Male Female (S.D.)
Male 61 (29.61)
Female Work-related injury
Age (Years) 26 (12.62)
0-16 28 (13.59) Metal 47 40 7 46 20 27 0
17-30 (3.06)
Wood’s 49 34 15 54.3 23 26 0
branch (3.22)
Chemical 7 6 1 36 2 2 3
(3.21)
Total 103 80 23 45.3 45 55 3
(6.65)
31-40 31 (15.05)
Accident involving animal 5
(8.63)
41-60 88 (42.72) Dog 51 4 2 3 0
more than 60 33 (16.02) Bird 22 0 54.7 1 1 0
(4.67)
(Mean of age=47.6 years, S.D.=4.42, range 2-93) Fish 22 0 40.2 0 2 0
(3.29)
Eye involvement Snake 21 1 62.7 2 0 0
(2.10)
Right 96 (46.61)
Total 11 6 5 40.65 5 6 0
(8.52)
Left 99 (48.05)
Accident involving vehicle 32.4
(5.21)
Both 11 (5.34) Motorcycle 35 27 8 19 15 1
Nationality Car 44 1 46.5 2 1 2
(3.29)
39.45
Thai 202 (98.06) Total 40 31 9 (4.67) 21 16 3
Chinese 4 (1.94) Accident involving sport
Work-related Boxing, 2 1 1 28.5 2 0 0
volleyball (1.41)
Work-related injury 103 (50) Total 2 1 1 28.5 2 0 0
(1.41)
Accident involving Gun
Non work-related injury 62 (30.1) rubber 22.6
strings 52 3 (2.68) 2 3 0
Other 41(19.9)
22.6
Total 5 2 3 (2.68) 2 3 0
อุบตั เิ หตจุ ากการทางานพบวํา เกิดจากเศษเหล็ก Accident
ติดกระจกตาเน่ืองจากการเชื่อมเหล็ก เจียเหล็ก 47คน involving 34
เศษไม๎กิ่งไม๎ 49 คน โดนสารเคมี 7 คน อุบัติเหตุจาก sharp 4 2 2 (3.26) 2 2 0
สัตว์ 11 คน อุบัติเหตุยานพาหนะ 40 คน (รถจักรยาน
objects 34
(3.26)
Total 4 2 2 2 2 0
86
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
Table 2 Causes of injury (ตอ่ ) Table 3 Diagnosis (ตอ่ )
Cause Number of patients Mean Site of eye injury Complications of injury Number of
Gender Age Number of patients patients(%)
Other (year) - Posterior segment involvement
Eye Male Female (S.D.) Right Left Both Vitreous hemorrhage 7 (4.43)
pocking, 32.6 Rhegmatogenous RD (RRD) 3 (1.9)
falling, 41 23 18 (8.56) 19 17 5 Endopthalmitis 1 (0.63)
punched Traumatic optic neuropathy (TON) 9 (5.7)
รวม 41 23 18 32.6 19 17 5 Retrobulbar hemorrhage 2 (1.26)
(8.56) 158
Number of patients
ผลการวินิจฉัยพบวํา 200 คน ท่ีเป็น closed ระดบั สายตา ณ เวลาแรกรับอยํูในชํวง PL จนถึง
globe injury และ 6 คน ท่ีเป็น open globe injury 20/20 โดยจานวนผู๎ที่ประสบอุบัติเหตุแบํงตามระดับ
การวินิจฉัยท่ีพบบํอย 3 อันดับแรก คือ Eye Contu- สายตาแรกรบั (ตารางที่ 5) โดยจานวนชํวงระดับสายตา
sion (84 คน) Corneal Abrasion (61 คน) Corneal แรกรับที่พบมากท่ีสุดคือชํวง 20/20-20/40 มีจานวน
Foreign body (52 คน) ตามลาดบั (ตารางท่ี 3) 119 คน (57.77%) สํวนในกลํุมท่ีสายตาแรกรับ
Table 3 Diagnosis <5/200 มีจานวน 12 คน (5.83%) ท้ังน้ีสาเหตุของ
กลํุมที่ระดับสายตาแรกรับ <5/200 สํวนใหญํมีการ
Diagnosis Number of Patients (%) บาดเจ็บที่มีแผลเปิดของตา (Open globe injury) มี 6
- Closed globe injury 200 (97.08) คน เม่ือเปรียบเทียบผลการมองเห็นกํอนการรักษาและ
84 (40.78) หลังการรักษาท่ีระยะ 1 ถึง 3 เดือน พบวํา มีระดับการ
Eye Contusion 3 (1.46) มองเห็นท่ีดีขึ้นมากกวํา 2 แถว 39 ราย และไมํมีผู๎ปุวย
Lamellar laceration 52 (25.24) ท่ีการมองเห็นท่ีแยํลงมากกวํา 2 แถวหลังได๎รับการ
Corneal Foreign body 61(29.6) รกั ษา (ตารางท่ี 6)
Corneal Abrasion 6 (2.92)
- Open globe injury 3 (1.46) Table 5 Initial visual acuity
Rupture globe 3 (1.46)
Corneal/Scleral laceration 206 (100) Initial visual acuity Number of patients(%)
Total patients 20/20-20/40 119 (57.77)
<20/40-20/70 54 (26.21)
ภาวะแทรกซ๎อนจากอุบัติเหตุทางตาที่พบบํอย <20/70-20/200 19 (9.22)
มากท่ีสุด คือ keratitis 68 คน Traumatic hyphema <20/200-10/200 2 (0.97)
50 คน Traumatic cataract 12 คน (ตารางที่ 4) <5/200 12 (5.83)
Table 4 Complications of injury Table 6 Post treatment visual acuity
Complications of injury Number of Improve >2 lines Number of patients (%)
- Anterior segment involvement patients(%) Stable (within 2 lines) 39 (18.93)
50 (31.65) 167 (81.07)
Traumatic hyphema Decrease >2 lines
Traumatic cataract 12 (7.6) 0 (0)
Uveal tissue prolapse 6 (3.8)
Keratitis 68 (43.03)
87
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอุดรธานี ปีท่ี 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
อภิปรายผลการศกึ ษา เข๎าตามี 7 คน ผป๎ู ุวยสํวนใหญํถูกสารเคมีจาพวกปุ๋ยเคมี
จ า ก ก า ร เ ก็ บ ข๎ อ มู ล ย๎ อ น ห ลั ง ข อ ง ก า ร ไ ด๎ รั บ ยาฆําแมลงท่ีใช๎ในทางการเกษตรกระเด็นเข๎าตาคนไข๎
ทั้งหมดในกลุํมนี้จากการทบทวนเวชระเบียนพบวํา เม่ือ
อุบัติเหตุทางตาในโรงพยาบาลกุมภวาปี จากข๎อมูล สารเคมีเข๎าตาได๎ใช๎น้าประปาล๎างตาซ้ือยามาหยอดเอง
พบวาํ กลํมุ ผไ๎ู ด๎รับบาดเจบ็ มากทีส่ ุดคือ 41-60 ปี คิดเป็น และมาพบแพทยห์ ลงั จากอุบัตเิ หตแุ ลว๎ 24 ช่วั โมง
ร๎อยละ 42.72 รองลงมาคอื กลุมํ อายุมากกวํา 60 ปี คิด
เป็นร๎อยละ 16.02 อายุเฉล่ียเทํากับ 47.6 ปี (S.D.= ในกลุํมผ๎ูปุวยท่ีมีอุบัติเหตุทางตาจากการทางาน
4.42., range 2-93) เป็นผู๎หญิง 61 คน ผู๎ชาย 145 คน เม่ือทบทวนเวชระเบียนพบวํา ผ๎ูปุวยทุกรายในกลํุมน้ี
จากการวิเคราะห์ข๎อมูลพบเพศชายมากกกวําเน่ืองจาก ไมํได๎ใสํอุปกรณ์ปูองกันตา เน่ืองเพราะประมาทขาด
ภาคเอกชนจะจ๎างคน ทางานเป็นเพศชายมากกวําเพศ ความระมัดระวัง ไมํคาดวําจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับตนเอง
หญิงเน่ืองจากลกั ษณะงานสํวนใหญํเป็นงานท่ีต๎องอาศัย ขาดความร๎ูท่ีถูกต๎องผ๎ูปุวยยังไมํสามารถให๎การปฐม
ทักษะและ ความถนัดมากกวําในเพศชายเชํน งานเชื่อม พยาบาลที่ถูกต๎อง เน่ืองมาจากขาดความรู๎เบื้องต๎นใน
เหล็กการใช๎งานเคร่ืองจักรในโรงงานอุตสาหกรรม และ การปฐมพยาบาล ขาดการสร๎างความตระหนักเร่ืองการ
การใช๎เครื่องมือทางเกษตรซึ่งเป็นรูปแบบงานท่ีเส่ียงตํอ ปูองกัน ความปลอดภัย และความรู๎เรื่องการปฐม
อุบัตเิ หตุทางตามากกวาํ และจากข๎อมูลพบวําสอดคล๎อง พยาบาลเบื้องต๎น เพ่ือรับมือกับเหตุการณ์ที่ไมํสามารถ
กับรายงานอื่นท่ีพบอุบัติเหตุทางตาในเพศชายมากกวํา คาดเดาได๎
เพศหญิง2-7
Mingming C. และคณะ8 ได๎ทาการศึกษาระบาด
ในการศึกษาน้ีได๎แบํงอุบัติเหตุทางตาเป็นกลุํม วิทยาของประชากรทางตอนใต๎ของจีน ท่ีเกิดอุบัติเหตุ
ตํางๆ ตามสาเหตุ พบวําอุบัติเหตุทางตาที่เก่ียวข๎องกับ ทางตาสืบเนื่องจากการทางานในระยะเวลา 1 ปี พบวํา
การทางานพบมากที่สุด 103 คน คิดเป็นร๎อยละ 50 มีผ๎ูประสบอุบัติเหตุทางตา 1,055 คน เป็นเพศชายมาก
เป็นเพศชายมากที่สุด 80 คนอายุเฉลี่ย 45.3 ปี ซ่ึงอยูํ ท่ีสุด คําเฉลี่ย (mean) ของอายุ 37.2 ปี โดยมี 42.9%
ในวยั ทางาน จากสาเหตพุ บวาํ เกดิ จากก่ิงไม๎ใบไม๎บาดตา สัมพันธ์กับการทางาน ชํวงอายุท่ีเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด
มากท่ีสุดมี 49 คน เนื่องจากอาเภอกุมภวาปีมีการทาไรํ คือชํวง 36-45 ปี โดยเศษเหล็กกระเด็นเข๎าตาพบมาก
อ๎อยและทานาเป็นสํวนใหญํ เมื่อถึงชํวงตัดเก็บเกี่ยว ท่ีสุด เนื่องจากสํวนใหญํทางานในโรงงานอุตสาหกรรม
ผลผลิตถูกใบอ๎อย ใบข๎าวหรือกิ่งไม๎บาดตา ผู๎ปุวยไมํรีบ และไมมํ ีการใสํอปุ กรณป์ อู งกันตาขณะทางาน
มาพบแพทย์ เนื่องจากต๎องรีบทางานให๎เสร็จทันเวลา
และทาการปฐมพยาบาลเบื้องต๎นไมํถูกต๎อง ทาให๎เกิด Lubis และคณะ9 ได๎ทาการศึกษาอุบัติหตุทางตา
ความลําช๎าและเกิดภาวะแทรกซ๎อนตามมาที่พบมาก ที่สัมพันธ์กับการทางานของชํางไม๎ในเมืองมีดาน
ที่สุดในการศึกษาน้ีคือกระจกตาติดเช้ือสาเหตุรองลงมา ป ร ะ เ ท ศ อิ น โ ด นี เ ซี ย พ บ วํ า อุ บั ติ เ ห ตุ ท า ง ต า มี
คือเศษเหล็กกระเด็นเข๎าตามี 47 คน เน่ืองจากอาเภอ ความสัมพันธ์กับชั่วโมงการทางานท่ีนานเกิน 8 ชั่วโมง
กุมภวาปีเป็นแหลํงอุตสาหกรรม มีโรงงานน้าตาลและ รวมถงึ ประสบการณก์ ารทางานของชํางไม๎ โดยพบวําถ๎า
โรงงานแปูงมันหลายแหํง ท้ังท่ีเป็นบริษัทของไทยและ ประสบการณ์การทางานน๎อยมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ
รํวมลงทุนกับตํางชาติซึ่งคนในอาเภอกุมภวาปีและ ได๎มากกวาํ
อาเภอใกลเ๎ คียงเชํน อาเภอศรธี าตุ อาเภอโนนสะอาดได๎
ทางานรบั จ๎างในโรงงานเหลําน้ีเป็นสํวนใหญํ นอกจากน้ี Ma J. และคณะ10 ได๎ทาการศึกษาในคนไข๎ที่
ยังมีคนตํางชาติได๎แกํ จีน ญ่ีปุนที่พบวํามีเศษเหล็ก ได๎รับบาดเจ็บทางตาท่ีมี posterior segment IOFBs
กระเดน็ เขา๎ ตา พบวํามี 56 คน ได๎ทาการผําตัดจอประสาทตา (PPV
for IOFBs removal) พบวําอุบัติเหตุสํวนใหญํเกิดจาก
สํวนอุบัติเหตุทางตาที่เกิดจากสารเคมีกระเด็น การทางาน การพยากรณ์โรคสุดท๎ายดีขึ้นอยํูกับระดับ
การมองเห็นกํอนรกั ษา และการพยากรณโ์ รคสุดทา๎ ยไมํ
88
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ดีข้ึนอยูํกับเกิดความเสียหายที่จุดรับภาพชัด และการ พบวําเกิดจากทะเลาะวิวาทในขณะดื่มสุรามากท่ีสุด
ผําตัดหลายครั้งเนื่องจากมีจอประสาทตาลอก (Retinal รองลงมาเกิดจากปัญหาครอบครัวทาให๎มีการใช๎ความ
detactment) หรือมีผังผืดที่จุดรับภาพชัด (Epiretinal รนุ แรงเกดิ ขึน้
membrane)
จากการศึกษาน้ีควรมีการสํงเสริมพฤติกรรมเมา
อุบัติเหตุทางตาที่เกิดจากสัตว์ ในการศึกษาน้ีพบ ไมํขับ และทราบถึงโทษของการดื่มสุราซึ่งนามาสูํ
11 คน เกิดจากสุนัขกัด 5 คนและมีคนไข๎ 2 คนที่มี อุบตั เิ หตุจราจรและการทาร๎ายรํางกาย เพื่อลดอุบัติเหตุ
open-globe injury เกิดจากนกจิกตาและปลากระโดด และความรุนแรงทีเ่ กิดตามมาได๎
โดนลูกตา เน่ืองจากกลไกของอุบัติเหตุทาให๎เกิดการ
บาดเจ็บรุนแรง คําระดับสายตาแรกรับ <5/200 และ สรุป
มารบั การรักษาหลังเกิดอบุ ัติเหตุนานเกิน 24 ชั่วโมง ทา จากการเก็บข๎อมูลผูป๎ วุ ยที่ได๎รับอุบัติเหตุทางตาที่
ใหก๎ ารพยากรณโ์ รคสุดทา๎ ยไมํดี
เข๎ารับการรักษาในโรงพยาบาลกุมภวาปี ตั้งแตํ 1
อุบัติเหตุท่ีเกิดจากยานพาหนะ ในการศึกษาน้ี สิงหาคม 2561 ถึง 31 กรกฎาคม 2562 มีทั้งหมด 206
พบทั้งหมด 40 คน อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ 35 คน เป็นเพศชายมากที่สุด และมีสาเหตุจากการทางาน
คน จากรถยนต์ 5 คน โดยพบวํามี 2 คนในอุบัติเหตุ มากที่สุดโดยพบวําเกิดจากก่ิงไม๎บาดตามากท่ีสุด
รถจักรยานยนต์ที่มี open-globe injury เน่ืองจากลูก รองลงมาเศษเหล็กกระเด็นเข๎าตา สํวนใหญํระดับการ
ตากระแทกกับช้ินสํวนรถจนลูกตาแตก และมี 2 รายใน มองเห็นสุดท๎ายดี แตํมีบางรายท่ีการพยากรณ์โรค
อุบัติเหตุทางรถยนต์ท่ีเกิดลูกตากระแทกกับคอนโซล สุดทา๎ ยไมดํ ี ซ่ึงพบวําผปู๎ วุ ยที่ได๎รับอุบัติเหตุทางตา ไมํใสํ
หน๎ารถ ทาให๎มีกระดูกเบ๎าตาแตกและมีเลือดออก อุปกรณ์ปอู งกันตา และไมํมีการปฐมพยาบาลเบ้ืองต๎นท่ี
ด๎านหลังลูกตา (orbital hemorrhage)การพยากรณ์ ถกู ตอ๎ ง
โรคสุดทา๎ ยในรายทมี่ ี open-globe injury ไมํดี มีระดับ
สายตา <5/200 จากการทบทวน เวชระเบียนผ๎ูปุวย ดังนั้นการให๎ความร๎ูแกํประชาชนเพ่ือให๎เห็นถึง
สํวนใหญไํ มํสวมหมวกกนั น๏อค ไมคํ าดเข็มขัดนิรภัย และ ความสาคญั และตระหนกั ถงึ ผลกระทบท่ีอาจเกิดข้ึน ถ๎า
เมาสรุ า มีความประมาทหรือไมํร๎ูจักปูองกันอุบัติเหตุที่อาจ
เกิดขึ้น อาจนามาสูํอุบัติเหตุและความรุนแรงตํอท้ังทาง
Okamoto Y.และคณะ11 ได๎ทาการศึกษาใน รํางกาย จิตใจ และทรัพย์สิน รวมถึงเรื่องการเลือกใสํ
คนไข๎อุบัติเหตุทางตาท่ีมี open-globe injury 355 คน อุปกรณ์ปูองกันใบหน๎าและดวงตาที่เหมาะสมสาหรับ
พบวํามีผู๎ปุวย 14 คน เกิดจากอุบัติเหตุทางจราจร การใช๎งานซ่ึงเป็นสิ่งสาคัญในการปูองกันอุบัติเหตุทาง
(รถยนต์ 6 คน, จักรยาน 5 คน, เดินถนน 2 คน, ตาและลดความรนุ แรงไดด๎ ที ส่ี ดุ
มอเตอร์ไซต์ 1 คน) โดยการพยากรณ์โรคสุดท๎ายที่ดี ข้อเสนอแนะการนาไปใชป้ ระโยชน์
ขึ้นอยูํกับระดับสายตาแรกรับ และพบวําอุบัติเหตุทาง
จราจรท่ีมี open-globe injury มีการพยากรณ์โรค 1. จากผลการวิจัยน้ีพบวําอุบัติเหตุทางตาท่ีพบ
สุดทา๎ ยดีที่สุดเมอื่ เทียบกบั อุบตั ิเหตชุ นดิ อื่น บํอยมากที่สุด เกิดจากสาเหตุจากการทางาน ไมํวําการ
ทางานท้ังในภาคการเกษตรและโรงงานอุตสาหกรรม
อุบัติเหตุทางตาท่ีเกิดจากสาเหตุอ่ืนๆ ท่ีพบบํอย ควรมีการเรม่ิ ต๎นกระตุน๎ การสร๎างจิตสานกึ ถึงอันตรายที่
มากคือ การถูกทาร๎ายรํางกาย การชกตํอย ในการศึกษา อาจเกิดข้ึนได๎แกํ การสํงทีมอาชีวอนามัยออกไปให๎
นี้พบท้ังหมด 41 ราย ทั้งหมดเป็น closed-globe ความร๎ู ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดข้ึน วําจะเกิดผล
injury เกิดอันตรายกับตาแบบ contusion มากที่สุด อะไรบ๎าง และเม่ือร๎ูอันตรายท่ีอาจเกิดขึ้นแล๎วให๎คิดวิธี
พบวํามีเลือดออกในชํองหน๎ามํานตา 16 ราย การ ปรับปรงุ แก๎ไขจดุ บกพรอํ ง เพ่อื ใหเ๎ กิดความปลอดภัย
พยากรณ์โรคสุดท๎ายดี จากการทบทวน เวชระเบียน
89
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบบั ที่ 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
2. ควรมีการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรทางด๎าน 7. ณัฐชัย วงษ์ไขยคุณากร, อนุชิต กิจธารทอง.
สุขภาพท่ีเก่ียวข๎องในการให๎การดูแลผู๎ท่ีได๎รับอุบัติเหตุ การประเมินภาวะอุบัติเหตุทางตาโดยใช๎ ocular
ทางตาเบ้ืองต๎น รวมถึงการเข๎าถึงการรับบริการของจักษุ trauma score ในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์. สงขลา
แพทย์ได๎เร็ว โดยเฉพาะอยํางยิ่งการให๎คาปรึกษาแพทย์ นครนิ ทร์เวชสาร 2548; 23(2): 99-109.
เพ่ิมพูนทักษะท่ียังไมํมีประสบการณ์ในการรักษาผ๎ูปุวย
ทางตามากนกั เพอ่ื ลดความรุนแรงและภาวะแทรกซ๎อน 8. Mingming Cai, Jie Zhang. Epidemiologi-
ของการรักษาทอ่ี าจเกิดขนึ้ cal Characteristics of Work-Realated Ocular
เอกสารอ้างอิง Trauma in Southwest Region of China. Interna-
tional Journal of Environmental Research and
1. Aakriti Garg, Grant A. Justin, Kourtney Pubic Health 2015 Aug; 12(8): 9864-9875.
Houser, Deniel B. Moore. Ocular Trauma: Acute
Evaluation, Cataract, Glaucoma. American 9. Lubis RR, Limanto V, Putri R, Lubis AN,
Academy of Ophthalmology 2019; Arrasyid NK. Epidemiological Characteristics of
work-Related Ocular Trauma among the Car-
2. Cao H., Li L., ZhangM. Epidemiology penters in Medan, Indonesia. J Med Sci 2018
of Patients Hospitalized for Ocular Trauma in Nov 24; 6(11): 2119-2122.
the Chaoshan Region of China, 2 0 0 1 –2 0 1 0 .
[Internet]. 2012 [Cited 2012 Oct 31]. Available 10. Ma J, Wang Y, Zhang L, Chen M, Ai J,
from: http://journals.plos.org/plosone/article? Fang X. Clinical characteristics and prognostic
id=10.1371/journal.pone.0048377 factors of posterior segment intraocular foreign
body in tertiary hospital. BMC Ophthalmology
3. Misra S., Nandwani R., Gogri P, Misra N. 2019 Jan 14; 19(1): 17.
Clinical profile and visual outcome of ocular
injuries in a rural area of western. India. Aus- 11. Okamoto Y, Morikawa S, Okamoto F,
tralasian Medical Journal 2013; 6(11): 560-564. Mitamura Y, Ishikawa H, Ueda T, et al. Traffic
accident-related open globe injuries. Retina
4 . B.Sidda Naik1 , Sushma2 , Shankar 2019 Apr; 39(4): 779-785.
Reddy Dudala. A study on socio demographic
profile of patients attending government hos-
pital tirupati with mechanical ocular injuries.
International Journal of Research in Health Sci-
ences 2013; 1:1.
5. นิฤนันท์ บุญนิธี. อุบัติเหตุทางตาในห๎องตรวจ
จักษุผู๎ปุวยนอก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา. เวช
สารโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา 2552; 33(1): 27
-32.
6. สณุ สิ า สินธวุ งศ์, สริ ธิ รี า ศรีจันทพงศ์, วันทนา
นรินทร์ไพจิตร. การศึกษาผู๎ปุวยบาดเจ็บทางตาที่ได๎รับ
การรักษาในโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไรํขิง).
Thai J Ophthalmol 2008; 22(2): 112-117.
รบั ตน๎ ฉบับ: 26 พฤศจกิ ายน 2562, ได๎รับบทความปรับปรงุ : 30 มนี าคม 2563, รับลงตีพิมพ:์ 7 เมษายน 2563
90
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประสิทธภิ าพการบริหารงานบคุ คลและบรรยากาศองค์กรของบคุ ลากร
ในสานักงานสาธารณสุขจังหวดั หนองบัวลาภู
ปรชี ญาพร ลนุ วิรัตน์, บ.บ., รป.บ., ร.ม., สานกั งานสาธารณสุขจังหวดั หนองบัวลาภู
บทคดั ยอ่
การบริหารงานบุคคลถือวําเป็นเรื่องท่ีสาคัญและยํุงยากที่สุด ท้ังนี้ เพราะตามหลักท่ัวไปในการบริหารงาน
บุคคล เป็นกระบวนการเพื่อให๎ได๎มาซ่ึงบุคลากรที่เหมาะสมท่ีสุดกับงาน และทางานอยํางมีประสิทธิภาพสูงสุดบรรลุ
เปูาหมายขององค์กร การวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหวํางลักษณะสํวนบุคคลและประสิทธิภาพ
การบรหิ ารงานบุคคลกับบรรยากาศองค์กร
วิธีดาเนินการวิจัย การวิจัยเชิงพรรณนาภาคตัดขวาง (Cross-sectional descriptive research) ศึกษากลํุม
ตัวอยํางบุคลากรในสานักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลาภู จานวน 311 คน ระหวํางเดือนกันยายน ถึง
พฤศจิกายน 2562 โดยใช๎แบบสอบถามประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคล (alpha= 0.91) และบรรยากาศองค์กร
(alpha= 0.87) โดยใช๎สถิติ ร๎อยละ คําเฉลี่ย สํวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน คําสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ Pearson และ
วเิ คราะห์ถดถอยเชิงพหุ (Stepwise of multiple linear regression)
ผลการวิจัยโดยรวมประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคล เรียงตามระดับคําเฉลี่ยมากไปน๎อย ได๎แกํ การธารง
รักษาบุคลากรอยูํในระดับสูง ร๎อยละ 54.7 (x̄ =17.28, S.D.=2.0) ประสิทธิผลการปฏิบัติงานบริหารบุคคล อยํูใน
ระดับสูง ร๎อยละ 96.1 (x̄ =17.17, S.D.=1.8) การแตํงต้ัง-รับโอน-ย๎าย-เล่ือนตาแหนํงอยํูในระดับปานกลาง ร๎อยละ
88.7 (x̄ =16.88, S.D.=1.20) การคัดเลือกสรรหาบุคลากรอยูํในระดับปานกลาง ร๎อยละ 65.3 (x̄ =15.50,
S.D.=3.32) การวางแผนการบริหารงานบุคคลอยํูในระดับปานกลาง ร๎อยละ 82.6 (x̄ =15.12, S.D.=1.75) และการ
พัฒนาบุคลากรอยํูในระดับปานกลาง ร๎อยละ 78.8 (x̄ =12.53, S.D.=3.13) ตามลาดับ ปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับ
บรรยากาศองคก์ รอยํางมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดับ <0.05 ที่มีความสัมพันธ์ในเชิงบวก เรียงลาดับความสัมพันธ์มาก
ไปน๎อย ได๎แกํ การแตํงตั้ง-โอน-ย๎าย-เล่ือนตาแหนํง (r=0.985) การธารงรักษาบุคลากร (r=0.770) ประสิทธิผลการ
ปฏิบัตงิ านบรหิ ารบุคคล (r=0.701) การคัดเลือกสรรหาบุคลากร (r=0.614) การพัฒนาบุคลากร (r=0.563) และการ
วางแผนบริหารงานบุคคล (r=0.135) ตามลาดับ ปัจจัยที่ศึกษาสามารถรํวมกันทานายอิทธิพลตํอบรรยากาศองค์กร
ได๎อยํางมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ <0.05 ร๎อยละ 57 (R2adj 0.574, beta 0.758) เรียงลาดับมีอิทธิพลมากไปหา
น๎อย ได๎แกํ การแตํงตั้ง-โอน-ย๎าย-เล่ือนตาแหนํง, การธารงรักษาบุคลากร, ประสิทธิผลการปฏิบัติงานบริหารงาน
บุคคล, การสรรหาบุคลากร, การพัฒนาบคุ ลากรและการวางแผนบรหิ ารงานบคุ คล ตามลาดับ
สรปุ : ประสิทธภิ าพการบริหารงานบุคคลมคี วามสัมพันธ์กับบรรยากาศองค์กรอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ แสดง
ให๎เหน็ ไดว๎ าํ การบรหิ ารงานบุคคลท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพจะสามารถทาใหบ๎ รรยากาศองค์กรดีขน้ึ
คาสาคัญ: ประสิทธภิ าพ, การบริหารงานบคุ คล, บรรยากาศองคก์ ร
Corresponding author: ปรชี ญาพร ลนุ วริ ัตน์ โทรศพั ท์ 095-3725824 E-mail: [email protected]
สานกั งานสาธารณสขุ จังหวดั หนองบวั ลาภู 43-45 ถ.วิรโิ ยธนิ ต.หนองบวั อ.เมอื ง จ.หนองบวั ลาภู 39000
91
วารสารการแพทยโ์ รงพยาบาลอดุ รธานี ปีที่ 28 ฉบบั ท่ี 1 ประจาเดอื น มกราคม – เมษายน 2563
Relation between Human Resource Management Efficiency and Organizational Climate of
Personnels in Nongbua Lamphu Provincial Public Health Office
Preechayaporn Lunviratn, B.Acct., B.P.A., M.Pol. Sc., Nong Bua Lam Phu Public Health Provincial
Office
Abstract
Introduction: Personnel management is considered the most important and difficult issue.
Be use According to general principles in personnel management was the process of obtaining
the most suitable personnel for the job to work as efficiently to achieve organizational goals. This
research aims to study the relation between human resource management efficiency and
organizational climate.
Methods: The cross-sectional descriptive research were 311 personnel sample in Nongbua
Lamphu provincial public health office. Data were collected between September to October
2019. Research instruments used the questionnaire were efficiency of personnel management
(alpha=0.91) and organizational climate (alpha=0.87). Statistic using percentage, mean, standard
deviation, Pearson correlation coefficient and stepwise of multiple linear regression.
Results: overall of human resource management efficiency sorted by average level, most to
least as follows Human retention at high level 54.7% (x̄ =17.28, S.D.=2.0), Performance appraisal
at high level 9 6 .1 % (x̄ =1 7 .1 7 , S.D.=1 .8 ), Transfer appointment and increasing positions at
moderate level 8 8 .7 % (x̄ =1 6 .8 8 , S.D.=1 .2 0 ), Human recruitment at moderate level 6 5 .3 %
(x̄ =15.50, S.D.=3.32) personnel management plan at moderate level 82.6% (x̄ =15.12, S.D.=1.75),
Human resource development at moderate level 7 8 .8 % (x̄ =1 2 .5 3 , S.D.=3 .1 3 ) respectively.
Organizational climate was high level 74.9% (x̄ =131.21, S.D.=17.28). The factors had relate to
organizational climate with statistical significance at <0.05 had a positive relation which many
descending relation as follows transfer appointment and increasing positions (r=0.985), human
retention (r=0.770), efficiency of personnel management (r=0.701), human recruitment (r=0.614),
human resource development (r=0.563) and personnel management plan (r=0.135) respectively.
Factors studied could predict the influence to organizational climate with statistical significance at
<0.05,57% (R2adj 0.574, beta 0.758), the descending order was influenced by transfer appointment
and increasing positions, human retention, performance appraisal, human recruitment, human
resource development and personnel management plan respectively.
Conclusion: The relation between personnel management efficiency were related to
organizational climate with statistical significance, shows that personnel management efficiency
could improving to organizational climate as well.
Key words: Personnel Management, Efficiency, Organizational Climate
92
Vol.28 No.1 January – April 2020 Udonthani Hospital Medical Journal
บทนา กํอนออกจากราชการ จะลงโทษทางวินัยไมํได๎ (มาตรา
การบริหารงานบุคคลถือวําเป็นเร่ืองท่ีสาคัญและ 100)4
ยํุงยากที่สุด ทั้งนี้ เพราะตามหลักทั่วไปในการ ร า ย ง า น ก า ร ศึ ก ษ า ส ถ า น ก า ร ณ์ ก า ร สู ญ เ สี ย
บริหารงานบุคคล เป็นกระบวนการเพ่ือให๎ได๎มาซึ่ง ข๎าราชการในประเทศไทย ด๎านการสูญเสียข๎าราชการ
บุคลากรที่เหมาะสมท่ีสุดกับงานเพื่อให๎ทางานอยํางมี กรณีเกษียณอายุซึ่งเป็นประเภทของการสูญเสียมาก
ประสิทธิภาพสูงสุดบรรลุตามเปูาหมายองค์กร ตาม ที่สุดในปี 2555 พบวํา กระทรวงสาธารณสุขมี
ระเบียบข๎าราชการพลเรือน มาตรา 42(2) การบริหาร ข๎าราชการเกษียณอายุ จานวนมากท่ีสุด คือ 1,891 คน
ทรัพยากรบุคคล ต๎องคานึงถึงผลสัมฤทธ์ิและ (ร๎อยละ 27.5 ของข๎าราชการพลเรือนสามัญท่ี
ประสิทธิภาพขององค์กรและลักษณะของงาน โดยไมํ เกษียณอายุทั้งหมด) ในภาพรวมมีอัตราเกษียณอายุ
เลือกปฏบิ ตั อิ ยาํ งไมเํ ป็นธรรม โดยมีการกาหนดเก่ียวกับ ร๎อยละ 1.86 กรณีลาออก มีจานวน 2,700 คน สํวน
เรื่องวินัยข๎าราชการพลเรือนไว๎ใน หมวด 6 วินัยและ ใหญํร๎อยละ 68.4 เป็นการลาออกของข๎าราชการ ใน
การรักษาวินัย ต้ังแตํมาตรา 80-89 สิทธิประโยชน์และ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ในปี 2556 สาหรับการ
ส วั ส ดิ ก า ร ข๎ า ร า ช ก า ร ไ ด๎ แ กํ สิ ท ธิ ก า ร ล า คํ า สูญเสียข๎าราชการเน่ืองจากการตาย มีจานวน 422 คน
รักษาพยาบาล คําเลําเรียนบุตร คําเชําบ๎านข๎าราชการ สํวนใหญํ ร๎อยละ 43.3 (183 คน) เป็นข๎าราชการสังกัด
บาเหน็จบานาญข๎าราชการ เคร่ืองราชอิสริยาภรณ์1 กระทรวงสาธารณสุข ร๎อยละ 12.80 เนื่องจากปัญหา
และคําใช๎จํายในการเดินทางไปราชการ2 ซ่ึงลักษณะ หลักเกณฑ์การกาหนดตาแหนํง ตามท่ีคณะกรรมการ
ความผิดวินัยไมํร๎ายแรง เชํน ข๎อ 6 ฐานความผิด“ไมํ ข๎าราชการพลเรือนกาหนด ไมํอาจใช๎กาหนดตาแหนํง
ปฏิบัติหน๎าที่ราชการตามกฎหมายระเบียบของทาง ให๎แกํข๎าราชการได๎ครอบคลุมทุกสายงาน ทาให๎เกิด
ราชการตามมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายของรัฐบาล” ปัญหาความเหล่ือมล้าระหวํางสายงาน ท่ียังไมํได๎รับ
ข๎อ 10 ฐานความผิด“ไมํถือและปฏิบัติตามระเบียบและ ความก๎าวหน๎า ปัญหาตาแหนํงในสํวนภูมิภาค ตาแหนํง
แบบธรรมเนียมของทางราชการ” ข๎อ 13 ความผิด“ไมํ ประเภทวิชาการ ระดับชานาญการพิเศษ บางสายงาน
รักษาความสามัคคี” และข๎อ 14 ฐานความผิด“ไมํ ไมํอาจกาหนดตาแหนํงสูงข้ึนได๎ เน่ืองจากไมํมี
ชํวยเหลอื กันในการปฏิบัติหน๎าที่” อาทิ โทษภาคทัณฑ์/ หลักเกณฑ์ให๎ดาเนินการ5 ซ่ึงสํงผลตํอมิติแหํงความสุข
ตัดเงินเดือน 10% เป็นต๎น ลักษณะความผิดวินัย (Happinometer) ส านั กง าน สา ธ าร ณสุ ขจั งห วั ด
ร๎ายแรง เชํน ข๎อ 1 ฐานความผิด“ทุจริตตํอหน๎าท่ี หนองบัวลาภู ปีงบประมาณ 2562 มีคําเฉลี่ยมิติแหํง
ราชการ” เชํน โทษไลํออก/ปลดออก แล๎วแตํกรณี เป็น ความสุขเทํากับ 63.9 (เขตสุขภาพท่ี 8=64.4) เรียง
ต๎น ข๎อ 3 ฐานความผิด“รายงานเท็จเป็นเหตุให๎เสียหาย คําเฉลี่ย 3 อันดับจากมากท่ีสุด ได๎แกํ คุณธรรม
แกํราชการอยํางร๎ายแรง” เชํน โทษให๎ออก/ไลํออก (Happy Soul)=73.2 น้าใจงาม (Happy Heart)=72.6
แล๎วแตํกรณี3 เป็นต๎น การลงโทษทางวินัยต๎อง การหาความร๎ู (Happy Brain)=67.8 ตามลาดับ และ
ดาเนินการตามขบวนการของกฎหมาย กรณีท่ีจะเป็น เรียงคําเฉลี่ยจากน๎อยท่ีสุด คือ ใช๎เงินเป็น (Happy
ความผิดวินัย จะต๎องเป็นการกระทาขณะที่เข๎ามาเป็น Money)=47.6 การผํอนคลาย (Happy Relax)=53.7
ข๎าราชการแล๎ว จะนาเหตุท่ีเคยกระทาผิดกํอนเป็น และความสุขในการทางาน (Happy Work life)=62.8
ข๎าราชการมาลงโทษทางวินัยไมํได๎ แตํอาจถูกสั่งให๎ออก ซึ่งมีคําเฉล่ียน๎อยท่ีเป็นอันดับที่ 36 โดยปัญหาการ
จากราชการเพราะเป็นผู๎ขาดคุณสมบัติทั่วไปท่ีจะเข๎ารับ บ ริ ห า ร ง า น บุ ค ค ล ข อ ง ห นํ ว ย ง า น สั ง กั ด ส า นั ก ง า น
ราชการได๎ และขณะลงโทษจะต๎องเป็นข๎าราชการอยํู สาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลาภูที่ผํานมา พบข๎อ
หากผ๎ูนั้นลาออกจากราชการ หรือเกษียณอายุไปโดยไมํ ร๎องเรียนเก่ียวกับการบริหารงานบุคคลและสํงผลตํอ
มีกรณีถูกกลําวหาวํากระทาผิดวินัยอยํางร๎ายแรงอยูํ บรรยากาศองค์กร อาทเิ ชํน ในปี พ.ศ. 2554 มีการร๎อง
93