รายงานการวจิ ัยในชน้ั เรยี น
เรอ่ื ง การพฒั นาความสามารถในการอ่าน เขยี นโน้ตดนตรสี ากล
โดยใช้ชดุ กิจกรรม Musical Note สำหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 4
ผู้วิจัย
นางสาวจุฬาลักษณ์ สินทะสุทธ์ิ
หม่เู รียน ปบ.พ. 62.2 รหัสนักศึกษา 627199205
รายงานการวิจยั นี้เป็นส่วนหน่ึงรายวิชาการวิจัยเพือ่ พัฒนาการเรียนรู้
หลักสูตรประกาศนียบัตรบณั ฑิต วิชาชีพครู
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั นครปฐม
เมษายน 2564
ข
ชื่อเรือ่ ง การพัฒนาความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล โดยใช้ชดุ กิจกรรม
Musical Note สำหรบั นกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 4
ผู้วจิ ยั จุฬาลกั ษณ์ สนิ ทะสุทธ์ิ
ปรญิ ญา ประกาศนียบตั รบณั ฑิต วิชาชีพครู
ปกี ารศึกษา 2563
อาจารยท์ ีป่ รกึ ษา ผู้ช่วยศาสตราจารยว์ รรณี สุจจติ ร์จูล
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างชุดกิจกรรม Musical Note ในการพัฒนา
ความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2) เพ่ือ
เปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล โดยใช้ชุดกิจกรรม Musical Note
สำหรบั นกั เรียนชั้นประถมศึกษาปที ี่ 4 กอ่ นและหลังการใชช้ ุดกิจกรรม กลุม่ เป้าหมายท่ใี ช้ในการวิจัย
คอื นักเรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นกองทัพบกอปุ ถัมภ์ โยธินวิทยา จงั หวัดราชบรุ ี ภาคเรยี นที่
2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ชุดกิจกรรม Musical
Note และแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล ใช้แบบแผนการทดลอง
แบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการทดลอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรม Musical Note ประกอบด้วย คู่มือการใช้ชุด
กิจกรรม คำชี้แจง ชื่อกิจกรรม ขั้นตอนและจุดประสงค์ของกิจกรรม ใบกิจกรรม ใบงาน และ
แบบทดสอบความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล ที่สามารถทำให้นักเรียนได้รู้จัก
เครอ่ื งหมายและสญั ลกั ษณ์ทางดนตรีสากลไปจนถึงมีพฒั นาความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรี
สากลได้อย่างตอ่ เนื่องเป็นลำดบั โดยผ้เู ชี่ยวชาญเหน็ ว่าชุดกิจกรรมมีความเหมาะสมทีจ่ ะนำไปใช้ และ
คุณภาพของชุดกิจกรรมนี้อยู่ในระดับดีมาก 2) ผลการตรวจสอบชุดกิจกรรม Musical Note พบว่า
นักเรียนกลุ่มเป้าหมายหลังจากได้ใช้ชุดกิจกรรม Musical Note มีการพัฒนาความสามารถในการ
อ่าน เขียนโนต้ ดนตรสี ากลสงู กวา่ ก่อนใช้ชุดกิจกรรม
คำสำคัญ : ความสามารถในการอ่าน เขียนโนต้ ดนตรสี ากล; ชุดกจิ กรรม Musical Note
ค
กิตตกิ รรมประกาศ
รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ด้วยความกรุณาและอนุเคราะห์
ชว่ ยเหลือจากผู้ชว่ ยศาสตราจารยว์ รรณี สจุ จิตรจ์ ูล อาจารยท์ ีป่ รึกษาหลกั ในการทำรายงานการวิจัยใน
ชัน้ เรยี น ท่ไี ดก้ รณุ าให้คำปรึกษา การแนะแนวทางการวิจยั ตรวจสอบแก้ไขงานวจิ ยั อยา่ งละเอียดทุก
ข้นั ตอน ใหก้ ำลงั ใจ และคอยให้ความชว่ ยเหลอื มาตลอด จนกระท่งั รายงานวจิ ยั ในชัน้ เรียนฉบบั นเ้ี สรจ็
สมบูรณ์ ผู้วิจยั ขอกราบขอบพระคุณเปน็ อยา่ งสูงไว้ ณ ที่น้ี
ขอกราบขอบพระคณุ อาจารย์ ดร.กฤษณพงศ์ ทศั นบรรจง อาจารย์ ดร.ธีรวุธ ธาดาตันติ
โชค และอาจารยส์ ริ ภพ สิทธ์ิสน ท่ีใหค้ วามกรุณาเปน็ ผเู้ ชี่ยวชาญในการตรวจเครือ่ งมอื วจิ ยั ตลอดจน
ให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาที่เปน็ ประโยชน์ในการปรับปรุงแก้ไขเคร่ืองมือใหม้ ีคุณภาพ จนวิจัยเสรจ็
สมบรู ณ์และนำไปใช้ให้เกดิ ประโยชนใ์ นด้านการศกึ ษาต่อไป
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ผ้สู อนวชิ าดนตรี วทิ ยาลัยนาฏศิลป และ สาขาวชิ าสังคตี ศลิ ป์
ไทย มหาวิทยาลยั ศิลปากร ที่อบรมดูแล ประสทิ ธิ์ ประสาทความรดู้ า้ นดนตรีตา่ ง ๆ ให้คำปรกึ ษาด้วย
ความรกั ความเมตตา และเปน็ แรงบันดาลใจในการเรียนวชิ าดนตรี ตลอดระยะเวลาทีผ่ ้วู จิ ัยได้ศกึ ษาใน
สถาบนั แห่งน้ี
ขอขอบพระคุณครูคณะครู โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ โยธินวิทยา ที่ให้คำปรึกษา และ
นกั เรยี นระดับช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ปกี ารศึกษา 2563 ทีใ่ หค้ วามร่วมมือในการวิจยั คร้งั นี้
ขอขอบคุณนางสาววลัญรัตน์ เขาอุ่น ที่คอยช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ แบ่งปันความรู้
ให้กำลังใจและมอบมิตรภาพทีด่ ีรว่ มกันตลอดระยะเวลาทผ่ี ่านมา
สุดท้ายนี้ ประโยชน์ของพึงมีของรายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็น
เครื่องบูชาพระคณุ ของบิดา มารดา ครู อาจารย์ ตลอดจนผู้มพี ระคณุ และกัลยาณมิตรทุกท่านที่มิได้
เอ่ยนาม อันได้ให้การสนบั สนุนและทำให้ผู้วจิ ยั ทำรายงานการวิจัยในชั้นเรยี นฉบบั นีส้ ำเรจ็ ดว้ ยดี
จุฬาลักษณ์ สนิ ทะสุทธิ์
ง
สารบัญ
หน้า
บทคดั ยอ่ ...........................................................................................................................................ข
กติ ติกรรมประกาศ………………………………………………………………………………………………..................ค
สารบัญ .............................................................................................................................................ง
สารบัญตาราง ..................................................................................................................................ช
บทที่ 1 บทนำ...........................…......................................................................................................1
ทีม่ าและความสำคัญของปัญหา ..……………………………………………………..……………………1
วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย ……………………………………………………….……………………………2
ขอบเขตของการวจิ ัย ………………………………………………………………………………………..…2
1. กลุ่มเป้าหมาย ………………………………………………………………………………………..…2
2. ตวั แปรทศี่ กึ ษา ………………………………………………………………………………………....2
สมมุติฐานในการวจิ ัย …………………………………………………………………………………………..3
ขอบเขตระยะเวลาการวจิ ยั ……………………………………………….………………………………….3
ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ บั …………………………………………………………….…………………….3
นิยามศัพท์เฉพาะ …………………………………………………………….………………………………….3
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง ……………………………………………………………………………….5
1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พ.ศ. 2551 …………………………..……………….6
1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ …………………………..……………………………………..7
1.2 คณุ ภาพผู้เรียน ……………………………….………………………………………………………7
1.3 ตวั ช้วี ัดการเรียนรวู้ ิชาศลิ ปะ สาระดนตรี ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 4 …………………..8
2. แนวคิดการจัดการเรยี นการสอนดนตรี ……………………………..……………………………….8
2.1 โครงสรา้ งสาระดนตรี ……………………………………………….……………………………..8
2.2 ทฤษฎีการเรียนรเู้ กี่ยวกบั การสอนดนตรี………………………………………..…………..9
2.2.1 ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ ……………………………….……………………………..9
2.2.2 ทฤษฎีจติ วทิ ยาการเรยี นรู้ …………………………………………………..………..10
2.3 การจัดการเรียนการสอนสาระดนตรี ระดบั ชน้ั ประถมศึกษา ………………………12
2.3.1 จุดประสงคข์ องการเรียนรดู้ นตรี ………………………………….………………..12
2.3.2 การจดั การเรยี นการสอนดนตรใี นระดบั ชนั้ ประถมศึกษา ………..…………13
2.4 การวัดและการประเมนิ ผลสาระดนตรี……………………………………..………………14
จ
หน้า
2.4.1 การวัดและการประเมนิ ผลเน้อื หาดนตรี …………………….……………………14
2.4.2 การวดั และการประเมนิ ผลทักษะดนตรี …………………………………………..14
2.4.3 การวัดและการประเมนิ ผลเจตคติดนตรี ……………………….…………………15
2.5 ความรู้พื้นฐานทฤษฎดี นตรี …………………………………………………………………….16
2.5.1 บรรทัด 5 เสน้ ……………………………….…………………………………………….16
2.5.2 เส้นกนั้ หอ้ ง ……………………………………..………………………………………….16
2.5.3 กญุ แจประจำหลัก ………………………………………………………………………..16
2.5.4 เครอื่ งหมายกำหนดจงั หวะ ………………..………………………………………….17
2.5.5 ตวั โนต้ และตัวหยุด ………………………………………………………………………17
2.5.6 การเรียกชอ่ื ตวั โน้ต ………………………………………………………………………18
2.6 ทกั ษะการอ่านโน้ตดนตรสี ากล ………………………………………………………………19
2.6.1 การอา่ นโน้ตดนตรสี ากล ………………………………………………………………19
2.6.2 การบนั ทึกโน้ตดนตรสี ากล ……………………………………………………………21
3. แนวคิดเก่ียวกบั ชุดกจิ กรรม ……………………………………………………………………………21
3.1 ความหมายของชุดกจิ กรรม ………………………………………………………………..….21
3.2 ประเภทของชดุ กจิ กรรม…………………………………………………………………………22
3.3 องค์ประกอบของชุดกจิ กรรม …………………………………………………………………23
3.4 หลกั การและขน้ั ตอนในการสร้างชดุ กจิ กรรม…………………………………………….24
3.5 ข้นั ตอนการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยชุดกจิ กรรม…………………………………………………25
3.6 ประโยชน์ของชดุ กิจกรรม ………………………………………………………………………25
4. งานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง ………………………………………………………………………………………..26
4.1 งานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้องในประเทศ ………………………………………………………………..26
บทท่ี 3 วธิ กี ารดำเนนิ งาน …………………………………………………………………………………………………29
1. แบบแผนการทดลอง ………………………………………….………………………………………………………29
2. กล่มุ เป้าหมาย …………………………………………………………………………………………….……………….30
3. เคร่อื งมอื การวิจัย ………………………………………………………………….……………………….……………30
ขั้นตอนการสรา้ งและการหาคณุ ภาพเครอื่ งมือวจิ ยั …………………………..……………...30
แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน เขยี นโน้ตดนตรสี ากล ………………………..33
4. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ……………………………………….………………………………………………….……35
5. การวิเคราะหข์ อ้ มลู …………………………………………….………………………………………………………35
ฉ
หน้า
บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล …………………………….……………………………………………………….……37
1. ผลการพัฒนาชุดกจิ กรรม Musical Note สำหรับนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษา
ปที ่ี 4 …………………………………………..…………………………………………………………….37
2. ผลการตรวจสอบชดุ กิจกรรม Musical Note สำหรบั นักเรยี นช้นั ประถมศึกษา
ปที ่ี 4………………………………………………………………………………………………………….40
บทท่ี 5 การสรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ……….………………………………………………………42
สรปุ ผลการวิจัย ………………………………………….……………………………………………………..42
การอภปิ รายผล ………………………………………….…………………………………………………….42
ขอ้ เสนอแนะ…………………………………………….……………………………………………………….44
ขอ้ เสนอแนะในการนำไปใช้ …………………..…………………………………………………..…44
ขอ้ เสนอแนะในการทำวิจยั ครงั้ ตอ่ ไป ………..……………………………………………………44
บรรณานุกรม………………….....………………………………………………………………………………………….…45
ภาคผนวก ก เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย…….……………………………..……………………………………………48
ภาคผนวก ข ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ………………………………………………………………………………….107
ภาคผนวก ค รายนามผู้เชี่ยวชาญ……………………………………………………………………………………..109
ภาคผนวก ง ตัวอยา่ งภาพกิจกรรม ……….………………………………………………………………..………..111
ประวตั ผิ เู้ ขยี น …………………………………………………………………………………………………………....….115
ช
สารบญั ตาราง
หน้า
ตารางท่ี 2.1 ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง มาตรฐาน ศ. 2.1 ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 ……..8
ตารางที่ 2.2 สัญลักษณ์ และคา่ ของตวั โนต้ ………………………………………………………………………...17
ตารางท่ี 2.3 สัญลักษณต์ ัวหยดุ และค่าของตัวโนต้ ………………………………………………………………18
ตารางที่ 2.4 เปรียบเทยี บชื่อตวั โนต้ ระบบซอล-ฟา และระบบอักษร ………………………………………19
ตารางท่ี 3.1 แบบแผนการทดลองแบบกลมุ่ เดยี ว วัดผลกอ่ นและหลังการทดลอง …………………….29
ตารางที่ 3.2 เครือ่ งหมายและสัญลักษณท์ ีผ่ วู้ ิจยั คัดเลือกมาใช้ในการสร้างชดุ กจิ กรรม
Musical Note …………………………………………………………………………………………………31
ตารางที่ 3.3 การแปลความหมายคะแนนในการตรวจสอบคุณภาพของชุดกิจกรรม
Musical Note..............................................................................................................33
ตารางท่ี 4.1 แสดงผลเปรียบเทยี บผลคะแนนการทดสอบความสามารถในการอ่าน
เขียนโนต้ ดนตรีสากลกอ่ นเรยี นและหลังเรยี นดว้ ยชุดกิจกรรม Musical Note
สำหรบั นักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 ………………………………………………………………..40
บทที่ 1
บทนำ
ทมี่ าและความสำคญั ของปัญหา
ดนตรีเป็นศิลปะแห่งการสร้างสรรค์ โดยมนุษเป็นผู้สร้างขึ้นให้เห็นความงดงามของเสียง
อันเป็นความสามารถที่เกิดจากจินตนาการของมนุษย์จากการร้อยเรียงองค์ประกอบต่าง ๆ ของ
โสตศิลป์จนเกิดเป็นผลงานที่มีคุณค่า ดนตรีนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนได้สัมผัสกับโสตศิลป์ที่นำไปสู่
ความรู้สึกภายในจิตใจของคนผู้นั้นจนเกิดความซาบซึ้ง เห็นคุณค่าและชื่นชมความงาม แต่การจะ
เขา้ ใจหรือสัมผสั ถงึ โสตศิลป์นั้นจำเปน็ ต้องมกี ารเรียนรู้สาระดนตรีจนเกิดความซาบซ้ึงในดนตรีในท่สี ุด
(ณรุทธ์ สุทธจิตต์, 2560, น. 184-185) ในการเรียนการสอนวิชาดนตรีน้ันมุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้
ความเข้าใจองค์ประกอบดนตรี มีทักษะในการแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์
วิพากษ์วิจารณ์คุณค่าดนตรี ถ่ายทอดความทอดความรู้สึกทางดนตรีอย่างอิสระ ช่ืนชม และ
ประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวัน (สำนกั งานวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา, 2551, น. 1-2) ซ่งึ ส่วนหน่ึง
ของทกั ษะทางดนตรีทีส่ ำคัญนั้น ไดแ้ ก่ ทกั ษะการอา่ นโน้ตดนตรี เปน็ องคป์ ระกอบสำคญั ในการทำให้
นักเรียนเข้าใจและถ่ายทอดความเป็นดนตรีออกมาได้ผ่านการอ่านและบันทึกโน้ตดนตรี ซึ่งจะต้อง
อาศัยความเข้าใจสัญลักษณท์ างดนตรี ความหมาย และวิธกี ารอ่านโนต้ ดนตรีที่เป็นทฤษฎีดนตรีสากล
พืน้ ฐานไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
การจัดการเรยี นการสอนวชิ าดนตรใี นส่วนของการเรยี นทฤษฎีดนตรสี ากลนั้น มักพบปัญหา
เรื่องการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล จากผลการทดสอบระหว่างเรียนของนักเรียนระดับช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่องการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล มีผลการทดสอบต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70
ซึ่งพบว่าผู้เรียนไม่เข้าใจเครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรี ไม่สามารถบอกค่าของตัวโน้ต และไม่
สามารถอา่ น เขียนโน้ตดนตรีสากลเบอื้ งตน้ ท่จี ะนำไปส่กู ารปฏบิ ัตเิ ครอ่ื งดนตรีตามโนต้ ที่กำหนดให้ได้
ส่งผลให้การสอนของครูไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และนักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน
ทฤษฎีดนตรี สง่ ผลให้ผู้เรยี นไมส่ ามารถพฒั นาความสามารถทางดนตรีของตนเองให้สงู ข้ึนได้ เน่อื งจาก
การเรียนรู้ทางดนตรีนั้น ต้องอาศัยทักษะทางดนตรีด้านต่าง ๆ ในการพัฒนาความสามารถในด้าน
ดนตรีให้มีประสิทธภิ าพมากขน้ึ
สาเหตุของปญั หาข้างตน้ เกิดจากนกั เรียนส่วนใหญ่ไม่ใหค้ วามสำคัญกับการอ่านโน้ตดนตรี
สากล เนอื่ งจากให้ความสนใจกับการปฏิบัติเคร่อื งดนตรี และสามารถจดจำเสียงของทำนองได้โดยไม่
อา่ นโน้ต ทำใหเ้ กดิ ความเบอื่ หน่ายตอ่ การฝึกทักษะการอา่ น และเขียนโนต้ ดนตรสี ากล ซึง่ เปน็ ทกั ษะท่ี
สำคัญในการเรียนวิชาดนตรี หากไม่ได้รับการพัฒนาให้ดีข้ึน อาจเกิดปัญหาในการเข้าใจดนตรีและ
2
เกิดปัญหาขึ้นกับนักเรียนที่สนใจจะศึกษาต่อด้านดนตรีในระดับที่สูงขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
สิ่งสำคัญคือการดึงความสนใจของผู้เรียนให้เห็นถึงความสำคัญของการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล
และไม่เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียน โดยผู้วิจัยเลือกใช้ชุดกิจกรรม Musical Note ที่จะช่วยให้
ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล ผ่านชุดกิจกรรมท่ีเป็นสื่อประสม
จัดอย่างเป็นระบบตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เพื่อช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้
เปน็ ไปอย่างมปี ระสิทธิภาพ (ชัยยงค์ พรหมวงศ,์ 2537) นำมาพฒั นาผ้เู รียนให้มคี วามรู้พ้ืนฐานทักษะ
ในการอ่าน เขยี นโนต้ ดนตรีสากล ผ่านชุดกจิ กรรมท่ีจัดใหผ้ เู้ รยี นเป็นลำดบั ขน้ั จนบรรลจุ ดุ ประสงค์ของ
ครผู สู้ อน
จากเหตุผลที่กลา่ วข้างต้น ผู้วิจัยจงึ สนใจเหน็ ถึงความสำคัญในเรือ่ งของการอ่าน เขียนโน้ต
ดนตรีสากลเบื้องต้นที่เป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาทักษะดนตรีในด้านอื่น ๆ มุ่งให้ผู้เรียนเห็น
ความสำคญั ของการเรยี นร้ทู ักษะด้านการอ่าน เขียนโนต้ ดนตรี ใหค้ วามสนใจในการเรยี นทฤษฎีดนตรี
มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะศึกษาต่อในด้านดนตรีในระดับที่สงู ขึน้ ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะ
สร้างชุดกิจกรรม Musical Note เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากลของ
ผู้เรยี น หลังจากทเี่ รียนดว้ ยการใชช้ ุดกิจกรรม Musical Note วา่ ผ้เู รียนมีการพัฒนาความสามารถใน
การอา่ น เขียนโน้ตดนตรีสากล สูงกวา่ กอ่ นการใช้ชุดกิจกรรม Musical Note หรอื ไม่ อยา่ งไร เพื่อใช้
เปน็ แนวทางในการพัฒนาความสามารถดา้ นดนตรีของผ้เู รียนในระดบั ทส่ี งู ข้ึนตอ่ ไป
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย
1. เพื่อสร้างชุดกิจกรรม Musical Note ในการพัฒนาความสามารถในการอ่าน เขียนโนต้
ดนตรสี ากล สำหรับนักเรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 4
2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล โดยใช้ชุดกิจกรรม
Musical Note สำหรับนักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการใชช้ ดุ กิจกรรม
ขอบเขตของการวิจยั
1. กลมุ่ เปา้ หมาย
กลุ่มเปา้ หมายเปน็ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ โยธิน
วิทยา จังหวดั ราชบรุ ี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 20 คน
2. ตวั แปรทศ่ี กึ ษา
ตวั แปรต้น คอื ชุดกิจกรรม Musical Note
ตวั แปรตาม คอื ความสามารถในการอา่ น เขียนโน้ตดนตรีสากล
3
สมมตุ ิฐานการวจิ ยั
1. นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 4 ทห่ี ลงั ใชช้ ุดกิจกรรม Musical Note มคี วามสามารถใน
การอ่าน เขยี นโน้ตดนตรีสากลสูงขนึ้ กวา่ กอ่ นใชช้ ุดกิจกรรม
ขอบเขตระยะเวลาการวจิ ัย
ระยะเวลาที่ใช้ในการทำวิจัย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 ใช้เวลาในการทดลอง
เปน็ เวลา 3 สปั ดาห์ จำนวน 5 ครงั้ ครัง้ ละ 60 นาที (1 คาบ) โดยแบง่ หัวขอ้ ได้ดังน้ี
ครง้ั ที่ 1 โน้ตดนตรีในระบบ Sol-Fa และระบบ Letter จำนวน 1 คาบ
ครั้งที่ 2 เครอ่ื งหมายและสญั ลักษณท์ างดนตรี จำนวน 1 คาบ
ครัง้ ที่ 3 กุญแจเสียง ระดับเสียง และบนั ไดเสยี งทางดนตรีสากล จำนวน 1 คาบ
ครั้งท่ี 4 ห้องเพลง และจังหวะทางดนตรสี ากล จำนวน 1 คาบ
ครง้ั ที่ 5 การอ่าน และเขียนโน้ตดนตรีสากลเพ่อื การบรรเลง จำนวน 1 คาบ
ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รับ
1. ครู และบุคคลทั่วไป สามารถนำชุดกิจกรรมนี้ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือ
พฒั นาความสามารถในการอ่าน เขยี นโน้ตดนตรีสากลขั้นพ้นื ฐานได้
2. เป็นแนวทางให้ครูสามารถนำไปพัฒนาชุดกิจกรรมในรายวิชาดนตรี ที่เน้นการพัฒนา
ความสามารถในทักษะดา้ นต่าง ๆ ตอ่ ไป
นยิ ามศัพท์เฉพาะ
1. ความสามารถในการอา่ น เขียนโนต้ ดนตรี หมายถึง ความสามารถในการอา่ น เขยี น และ
แปลความหมายของเครื่องหมายและสัญลกั ษณ์ทางดนตรีสากล ของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 4
ประกอบด้วยเน้อื หาเกย่ี วกับ ระดบั เสยี งตัวโน้ต ทถ่ี ูกบนั ทึกลงบรรทัดห้าเส้น การอ่านและบนั ทึกโน้ต
ดนตรีในระบบ Sol-Fa และระบบ Letter โดยใช้กุญแจประจำหลักซอลได้ตรงตามเครื่องหมาย
กำหนดจงั หวะ ซึ่งใช้วิธีการวัดความสามารถดว้ ยการใช้แบบทดสอบความสามารถในการอ่าน เขียน
โน้ตดนตรีสากล
2. ชดุ กจิ กรรม Musical Note หมายถึง สื่อนวัตกรรมที่ผู้วิจัยสรา้ งขึ้น เรียกชอ่ื ภาษาไทยว่า
ชดุ กิจกรรมมวิ ซิเคลิ โน้ต เปน็ ชดุ กิจกรรมในรายวชิ าดนตรี เพือ่ พฒั นาความสามารถในการอ่าน เขียน
โน้ตดนตรีสากล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ประกอบด้วยเนื้อหาของชุดกิจกรรม
แบง่ ออกเปน็ 5 ลำดับ ได้แก่
4
ลำดบั ที่ 1 (ครัง้ ที่ 1) เร่อื ง โนต้ ดนตรีในระบบ Sol-Fa และระบบ Letter
ลำดับท่ี 2 (ครงั้ ท่ี 2) เรอ่ื ง เคร่อื งหมายและสญั ลกั ษณท์ างดนตรี
ลำดับที่ 3 (ครงั้ ที่ 3) เร่อื ง กุญแจเสียง ระดับเสยี ง และบนั ไดเสยี งทางดนตรสี ากล
ลำดับที่ 4 (คร้งั ที่ 4) เรอ่ื ง ห้องเพลง และจังหวะทางดนตรีสากล
ลำดับท่ี 5 (ครงั้ ท่ี 5) เรื่อง การอ่าน และเขยี นโนต้ ดนตรสี ากลเพ่อื การบรรเลง
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง
ผู้วจิ ัยไดท้ ำการวจิ ัยเรื่อง การพฒั นาความสามารถในการอา่ น เขียนโน้ตดนตรีสากล โดยใช้
ชุดกิจกรรม Musical Note สำหรับนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 4 ได้ค้นคว้าพร้อมนำเสนอเอกสาร
และงานวิจยั ทเี่ กย่ี วข้องประกอบงานวจิ ยั ในประเทศ ซ่งึ มีสาระดงั ต่อไปนี้
1. หลักสูตรการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. 2551
1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
1.2 คณุ ภาพผูเ้ รยี น
1.3 ตวั ชว้ี ดั การเรยี นรวู้ ิชาศลิ ปะชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
2. แนวคิดการจัดการเรียนการสอนสาระดนตรี
2.1 โครงสร้างสาระดนตรี
2.2 ทฤษฎกี ารเรียนรเู้ กย่ี วกบั การสอนดนตรี
2.2.1 ทฤษฎจี ติ วทิ ยาพฒั นาการ
2.2.2 ทฤษฎจี ิตวทิ ยาการเรยี นรู้
2.3 การจัดการเรยี นการสอนสาระดนตรี ระดบั ชั้นประถมศกึ ษา
2.3.1 จุดประสงค์ของการเรียนรดู้ นตรี
2.3.2 การจัดการเรยี นการสอนดนตรีในระดบั ชั้นประถมศกึ ษา
2.4 การวัดและประเมนิ ผลสาระดนตรี
2.4.1 การวดั และการประเมนิ ผลเน้ือหาดนตรี
2.4.2 การวดั และการประเมินผลทักษะดนตรี
2.4.3 การวัดและการประเมนิ ผลเจตคตดิ นตรี
2.5 ความรูพ้ นื้ ฐานทฤษฎดี นตรี
2.5.1 บรรทัด 5 เส้น
2.5.2 เส้นก้นั หอ้ ง
2.5.3 กญุ แจประจำหลกั
2.5.4 เครื่องหมายกำหนดจงั หวะ
2.5.5 ตวั โน้ตและตัวหยดุ
2.5.6 การเรยี กช่อื ตัวโนต้
6
2.6 ทกั ษะการอ่านโน้ตดนตรสี ากล
2.6.1 การอา่ นโนต้ ดนตรีสากล
2.6.2 การบันทกึ โนต้ ดนตรีสากล
3. แนวคดิ เกี่ยวกับชดุ กจิ กรรม
3.1 ความหมายของชุดกิจกรรม
3.2 ประเภทของชุดกิจกรรม
3.3 องคป์ ระกอบของชดุ กิจกรรม
3.4 หลกั การและขัน้ ตอนในการสรา้ งชดุ กิจกรรม
3.5 ข้ันตอนการจดั การเรยี นรู้ด้วยชดุ กิจกรรม
3.6 ประโยชนข์ องชุดกจิ กรรม
4. งานวิจัยที่เกย่ี วข้อง
4.1 งานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข้องในประเทศ
1. หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จัดทำขึ้นสำหรับท้องถิ่นและ
สถานศึกษาได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและจัดการเรียน
การสอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทกุ คนในระดบั การศึกษาข้ันพื้นฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้
และทกั ษะท่จี ำเปน็ สำหรบั การดำรงชีวิตในสังคมทมี่ กี ารเปลีย่ นแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา
ตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวติ
มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชีว้ ดั ทีก่ ำหนดไว้ จะช่วยทำให้หนว่ ยงานทีเ่ ก่ยี วขอ้ งในทุกระดับ
เห็นผลคาดหวงั ที่ตอ้ งการในการพัฒนาการเรียนร้ขู องผเู้ รยี นทชี่ ัดเจนตลอดแนว ซึง่ จะสามารถชว่ ยให้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรได้อย่างม่ันใจ ทำให้
การจดั ทำหลกั สตู รในระดับสถานศกึ ษามีคุณภาพและมีความเปน็ เอกภาพยิง่ ขน้ึ อีกท้ังยังช่วยให้เกิด
ความชัดเจนเรื่องการวัดและประเมินผลการเรียนรู้และช่วยแก้ปัญหาการเทียบโอนระหว่าง
สถานศึกษา ดงั น้นั ในการพฒั นาหลกั สตู รในทกุ ระดบั ตงั้ แตร่ ะดับชาตจิ นกระทงั่ ถงึ สถานศกึ ษา จะตอ้ ง
สะท้อนคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเป็นกรอบทิศทางในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ และครอบคลุมผู้เรียน
ทุกกลุม่ เปา้ หมายในระดับการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน (หลักสูตรการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน, 2551)
7
1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สำนกั งานวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา (2551, น.1-2) ได้กล่าวถึงกลมุ่ สาระศิลปะ
ได้ว่า กลุ่มสาระศิลปะนั้นเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ
ทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณภาพ ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ โดยมุ่งให้
ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะ
เปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นแสดงออกอย่างอสิ ระในศิลปะแขนงตา่ ง ๆ
ในการเรียนรู้วิชาดนตรีนั้น มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบดนตรี
แสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วเิ คราะห์ วิพากษว์ ิจารณค์ ุณค่าดนตรี ถ่ายทอดความความรู้สึก
ทางดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี
ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าดนตรีที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถ่ิน
ภูมิปัญญาไทยและสากล ร้องเพลง และเล่นดนตรีในรูปแบบต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
เสียงดนตรี แสดงความรสู้ กึ ท่ีมตี อ่ ดนตรใี นเชิงสุนทรยี ะ เขา้ ใจความสัมพนั ธร์ ะหว่างดนตรกี บั ประเพณี
วัฒนธรรมและเหตกุ ารณ์ในประวัตศิ าสตร์
โดยมีการระบุสาระและมาตรฐานการเรียนรู้เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มสาระ
ศิลปะ ทปี่ รากฏในรายวชิ าดนตรี ได้แก่ สาระที่ 2 ดนตรี ประกอบด้วย 2 มาตรฐานการเรียนรู้ คือ
มาตรฐาน ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์
วิพากษว์ จิ ารณ์ คณุ คา่ ดนตรี ถ่ายทอดความรูส้ กึ ความคดิ ต่อดนตรอี ย่างอสิ ระ ช่ืนชมและประยุกต์ใช้
ในชีวิตประจำวัน
มาตรฐาน ศ 2.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี ประวัตศิ าสตร์ และวฒั นธรรม
เห็นคณุ ค่าของดนตรีทีเ่ ป็นมรดกทางวฒั นธรรม ภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ ภมู ิปัญญาไทยและสากล
1.2 คุณภาพผ้เู รียน
สำนักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2551, น.3) กล่าวถึงคุณภาพของผู้เรียน
เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สาระดนตรี ผู้เรียนต้องรู้และเข้าใจเกี่ยวกับเสียงดนตรี เสียงร้อง
เครื่องดนตรี และบทบาทหน้าที่ รู้ถึงการเคลื่อนที่ขึน้ -ลง ของทำนองเพลง องค์ประกอบของดนตรี
ศัพท์สังคีตในบทเพลง ประโยคและอารมณ์ของบทเพลงที่ฟัง ร้องและบรรเลงเครื่องดนตรี ด้นสด
อย่างง่าย ใช้และเก็บรักษาเครื่องดนตรีอย่างถูกวิธี อ่าน เขียนโน้ตไทยและสากลในรูปแบบต่าง ๆ
รลู้ ักษณะของผทู้ ่จี ะเลน่ ดนตรไี ด้ดี แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั องค์ประกอบดนตรี ถา่ ยทอดความรู้สึก
ของบทเพลงทีฟ่ งั สามารถใช้ดนตรีประกอบกจิ กรรมทางนาฏศลิ ปแ์ ละการเลา่ เรือ่ ง
8
1.3 ตวั ชี้วดั การเรียนร้วู ิชาศลิ ปะ สาระดนตรี ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4
สำนักงานวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2551, น.22-25) กล่าวถึง ตัวชี้วัด
การเรียนรู้วชิ าศิลปะช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 4 สาระดนตรี ดังนี้
สาระที่ 2 ดนตรี มาตรฐาน ศ 2.1 เข้าใจและแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์
วิเคราะห์ วิพากษ์วจิ ารณ์ คุณค่าดนตรี ถ่ายทอดความรูส้ ึก ความคิดตอ่ ดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชมและ
ประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวัน โดยระบตุ วั ชวี้ ัดดังนี้
ตารางที่ 2.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง มาตรฐาน ศ. 2.1 ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 4
ชั้น ตัวช้ีวดั
1. บอกประโยคเพลงอย่างง่าย
2. จำแนกประเภทของเคร่ืองดนตรที ใี่ ชใ้ นเพลงท่ฟี ัง
3. ระบุทศิ ทางการเคล่ือนทีข่ น้ึ -ลงง่าย ๆ ของทำนอง รูปแบบจงั หวะ และความเร็ว
ป.4 ของจงั หวะในเพลงทฟ่ี ัง
4. อา่ น เขยี นโน้ตดนตรไี ทยและสากล
5. รอ้ งเพลงโดยใช้ช่วงเสียงทเ่ี หมาะสมกับตนเอง
6. ใชแ้ ละเกบ็ เคร่ืองดนตรีอย่างถูกต้องและปลอดภัย
7. ระบุว่าดนตรสี ามารถใช้ในการสอ่ื เรือ่ งราว
2. แนวคดิ การจดั การเรยี นการสอนสาระดนตรี
2.1 โครงสรา้ งสาระดนตรี
อรวรรณ บรรจงศิลป์ (2538, น. 6-11) ไดก้ ลา่ วถงึ โครงสรา้ งของดนตรซี ึ่งสอดคลอ้ งกบั
ณรทุ ธ์ สุทธจติ ต์ (2531) ท่กี ลา่ วถงึ ส่วนประกอบของสาระดนตรี โดยสรุปได้ว่า ดนตรนี ั้นเปน็ เรอ่ื งของ
การรับรู้ด้านการฟังและการแสดง การศึกษาดนตรีต้องศึกษาโครงสร้างสาระดนตรีเป็นพื้นฐาน
การจดั การเรยี นการสอนหรอื กิจกรรมดนตรี โครงสร้างสาระดนตรนี ้ันประกอบด้วย
2.1.1 เนือ้ หาดนตรี เปน็ ส่ิงท่จี ะทำใหเ้ ขา้ ใจดนตรยี ่ิงขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ไดแ้ ก่
1) องค์ประกอบของดนตรี ได้แก่ จังหวะ ทำนองเพลง เสียงประสาน ฉันทลักษณ์
อารมณ์ของเพลง และรูปแบบของเพลง
2) วรรณคดีดนตรี ได้แก่ บทเพลง และประวตั ิดนตรี
9
2.1.2 ทักษะดนตรี เป็นสิ่งท่ีจะทำให้เขา้ ใจโครงสร้างของดนตรีมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัย
ทกั ษะหลายด้าน เพ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นไดเ้ ขา้ ใจมโนทศั นท์ างดนตรมี ากขน้ึ จึงควรจดั ให้เดก็ มีทกั ษะทางดนตรี
หลาย ๆ ดา้ น ได้แก่
1) ทักษะการฟังเพลง
2) ทักษะการร้องเพลง
3) ทกั ษะการเลน่ เครอื่ งดนตรแี ละเครอื่ งประกอบจงั หวะ
4) ทักษะการเคลอื่ นไหวร่างกายประกอบเพลง
5) ทกั ษะการสร้างสรรคท์ างดนตรี
6) ทกั ษะการอ่านโน้ต
นอกจากการกล่าวถึงโครงสร้างและส่วนประกอบของสาระดนตรีข้างต้นแลว้ ณรุทธ์
สทุ ธจิตต์ (2555) ไดก้ ลา่ วเพิม่ เติมถึงความสำคญั ของสาระดนตรี สรปุ ได้ว่า สาระดนตรี คือองค์ความรู้
ทั้งหมดของวิชาการดนตรี การเรียนรู้ดนตรีน้ันผูเ้ รียนจำเปน็ ตอ้ งมีโอกาสในการเรียนรู้ส่วนประกอบ
ต่าง ๆ ของสาระดนตรีอย่างครบถ้วน โดยควรเรียนรู้เป็นลำดับขั้นความยากง่ายหรือความลึกซ้ึง
แตกต่างกันและมีความต่อเนื่อง เพื่อความเข้าใจในโครงสร้างที่ดี นอกจากนี้จะต้องมีการจัดสาระ
ดนตรีให้เหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงสภาพแวดลอ้ ม สภาพสังคม
และปจั จยั อ่ืน ๆ ซึ่งมกี ารเปล่ียนแปลงตลอดเวลา
สรุปได้ว่า โครงสร้างสาระดนตรีนั้น ประกอบด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่ องค์ประกอบ
ดนตรีและทักษะดนตรี โดยเรียนรู้ควบคู่กันเพื่อตามลำดับความยากง่าย เพ่ือให้เข้าใจถึงโครงสร้าง
สาระดนตรแี ละสามารถพัฒนาตนเองไดม้ ากยิ่งข้ึน โดยจะต้องกำหนดสาระดนตรีให้เหมาะสมกบั วัย
ของผเู้ รยี นและสภาพแวดล้อมขณะนั้น
2.2 ทฤษฎีการเรียนรเู้ กีย่ วกบั การสอนดนตรี
ณรทุ ธ์ สุทธจิตต์ (2535, น. 19-70) และณรทุ ธ์ สุทธจิตต์ (2555, น. 101-109)กลา่ วถงึ
ทฤษฎีการเรียนรู้เกี่ยวกับการสอนดนตรี โดยสรุปว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ช่วยให้การสอนดนตรีนั้นมี
ประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากผู้สอนเกิดความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนจนสามารถ
จัดการเรียนการสอนได้เหมาะสมกับผู้เรียนอย่างมีประสทิ ธิภาพ นอกจากนีม้ ีการยกตัวอย่างทฤษฎี
ทางจิตวิทยาทเี่ กี่ยวข้องกบั การสอนดนตรี โดยสรปุ ไดด้ ังนี้
2.2.1 ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต
พัฒนาการด้านตา่ ง ๆ ของมนุษย์ จิตวิทยาพฒั นาการท่ีสำคัญ คือ จิตวิทยาพฒั นาการเด็ก เมื่อผ้สู อนมี
ความเข้าใจพัฒนาการเด็กทง้ั ในดา้ นทวั่ ไปและด้านดนตรี จะช่วยให้ผู้สอนเขา้ ใจความสามารถของเด็ก
ในแต่ละวัยและแต่ละบคุ คล
10
จากการศึกษาของณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2555, น. 105) ได้ทราบถึงพัฒนาการ
ทางดนตรีทสี่ ามารถแบ่งพัฒนาการทางดนตรีเปน็ ระยะเวลา สรปุ ไดด้ งั น้ี
ระยะที่ 1 ระยะเริ่มต้นตั้งแต่ในครรภ์มารดา เมื่อถึงช่วงเวลาที่ร่างกายมี
การพฒั นาเกีย่ วกับระบบการไดย้ ินแลว้ การท่ีเดก็ ไดฟ้ งั เพลงท่เี หมาะสม ทำให้เดก็ มพี ัฒนาการฟังท่ีดี
มีสมาธิและเรยี นรู้ดนตรีไดด้ ีในเวลาต่อมา
ระยะท่ี 2 ระยะแรกคลอด เน้นเรือ่ งการฟังและการตอบสนองต่อเสยี งต่าง ๆ
ระยะที่ 3 ระยะเริม่ เคล่อื นไหวได้ พูดได้ มกี ารเรยี นรู้ในดา้ นดนตรเี พิม่ มากขึ้น
เชน่ การเคล่ือนไหวเขา้ กบั เสียงเพลง การเริ่มเปล่งเสียงหรอื ร้องเพลง และเรียนร้ใู นเรื่องจังหวะก่อน
เรียนรเู้ รื่องทำนองหรือระดบั เสยี ง
ระยะท่ี 4 ระยะชว่ งวัยประมาณ 6 ปีขนึ้ ไป เด็กทมี่ คี วามพรอ้ มสามารถเรม่ิ เลน่
ดนตรีได้ โดยมีความสามารถทั้งด้านทกั ษะและทฤษฎีเป็นไปตามพัฒนาการทางร่างกาย สติปัญญา
และอารมณ์
ระยะที่ 5 ระยะช่วงวัยประมาณ 8-9 ปีขึ้นไป มีการแสดงความสามารถทาง
ดนตรีได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมมากขึ้น มีการเรียนรูด้ ้านองค์ประกอบต่าง ๆ ทางดนตรีที่ลึกซึง้
มากขนึ้ และสามารถขับรอ้ งประสานเสยี งแบบงา่ ยได้
ระยะท่ี 6 ระยะชว่ งวยั ประมาณ 15 ปขี ึ้นไป ความสามารถทางดนตรีของเด็ก
ไดร้ ับการพัฒนาจนถงึ ระดบั ทส่ี ามารถรับรสู้ ่งิ ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งครบถ้วน แตค่ วามเกง่ น้ันขึน้ อย่กู ับโอกาส
ในการเรียนรดู้ นตรีและความถนัด
2.2.2 ทฤษฎีจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมไปจากเดมิ หลังจากผ่านกระบวนการเรียนรู้แลว้ ทฤษฎกี ารเรียนรมู้ ีอยูด่ ว้ ยกันหลายทฤษฎี
โดยผู้สอนสามารถเลือกใช้ตามความคิดที่เห็นว่าเหมาะสมกับทั้งตนเองและผู้เรียนด้วยทฤษฎี
การเรยี นร้ทู ่สี ำคญั มีดว้ ยกนั ดังน้ี
1) ทฤษฎพี ฤตกิ รรมนยิ ม อธบิ ายโดยสรุปไดว้ ่า การเรียนรเู้ กิดขนึ้ เม่อื ใช้สิ่งเร้าเป็น
ตัวชน้ี ำ หรือจูงใจใหผ้ เู้ รียนแสดงพฤตกิ รรมท่ตี ้องการ นอกจากน้ียงั เกิดจากสภาวะของการวางเงอื่ นไข
โดยใช้การเสริมแรง หรือการให้รางวัลและการลงโทษ มาเป็นตวั เสริมแรงทีน่ ำมาชว่ ยให้เกิดการเรยี นรู้
จ า ก ท ฤ ษ ฎ ี พ ฤ ต ิ ก ร ร ม น ิ ย ม ส า ม า ร ถ น ำ ม า ป ร ั บ ใ ช ้ ก ั บ ก า ร ส อ น ด น ต ร ี ไ ด้
โดยสรุปวา่ ครูควรใชก้ ารเสรมิ แรงเมือ่ ผู้เรยี นปฏิบตั สิ ่ิงทีม่ ุง่ หวังได้ และควรคำนงึ ถงึ ความสามารถของ
ผู้เรียนเป็นหลัก เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติได้แล้วควรให้ผู้เรียนมีโอกาสในการฝึกฝนและเสริมแรง
ผู้เรียนอยู่เสมอ และพยายามให้ผู้เรยี นไดเ้ รียนรู้ด้วยตนเอง เหมาะสำหรับการสอนทกั ษะ โดยผู้สอน
กำหนดวัตถปุ ระสงค์ไว้ เมอื่ ผเู้ รียนปฏิบัตไิ ด้แสดงวา่ ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นร้แู ล้ว
11
2) ทฤษฎีปัญญานิยม อธิบายโดยสรุปได้ว่า การเรียนรู้ที่เน้นส่วนรวมทั้งหมด
มากกว่าส่วนย่อย และให้ความสำคัญกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน จากนั้นเม่ือมีการเพ่ิม
ประสบการณใ์ หม่เป็นลักษณะสว่ นยอ่ ยที่จะเพ่ิมเข้าไปในส่วนรวม ดังนนั้ การเรียนรู้ส่ิงใหม่ต้องอาศัย
การเช่ือมโยงประสบการณ์จากส่วนรวมมาสู่ส่วนยอ่ ย นอกจากนี้การเรียนรูย้ งั เกดิ ขึ้นได้จากการรบั รู้
และเกดิ จากการหยัง่ เหน็
จากทฤษฎีปญั ญานยิ มสามารถนำมาปรบั ใช้กับการสอนดนตรีได้ ตัวอยา่ งเช่น
การสอนดนตรีเป็นการเปลี่ยนเสียงเป็นสัญลักษณ์ทางดนตรี หรือภาษาดนตรี ควรคำนึงถึง
การถ่ายทอดแนวความคดิ ของเสยี งออกมาเป็นภาษาดนตรี เพื่อใหผ้ ูเ้ รียนได้แนวคดิ ทัง้ ทางดา้ นเสียง
และทางด้านสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเสียง ซึ่งจะสอดคล้องกับทฤษฎีปัญญานิยมได้ว่า เสียงแทน
ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน เป็นการเรียนรู้ส่วนรวมแล้วจึงเริ่มเรียนเกี่ยวกับสัญลักษณ์แทนเสียง
ซึ่งสัญลักษณ์นั้นเป็นการเรียนรู้ในส่วนย่อย จึงเห็นได้ชัดว่าควรเริ่มเรียนจากเสียงก่อนสัญลักษณ์
เปรียบได้กับการเรียนรู้ในส่วนรวม แล้วจึงนำมาเช่ือมโยงและเรียนรู้เพิ่มขึ้นในส่วนย่อย สรุปได้ว่า
ผูส้ อนต้องพยายามเชอื่ มโยงสิง่ ทีผ่ ู้เรียนรู้ไปแล้วให้เข้ากบั สงิ่ ใหม่ทจ่ี ะเรียนใหไ้ ด้
3) ทฤษฎีปัญญาสังคม อธิบายโดยสรุปได้ว่า การเรียนรู้ให้ความสำคัญกับ
กระบวนการเรียนร้ทู างสงั คม และการเลยี นแบบ กระบวนการเรียนรทู้ ี่สำคัญคือการสงั เกต ผู้สอนจึง
เป็นตวั แบบสำคัญของผู้เรยี น นอกจากน้ยี งั เนน้ ในเรือ่ งการเรยี นรวู้ ่าสามารถเกิดข้ึนในสภาพแวดล้อม
ใด ๆ ก็ไดใ้ นทุกเวลาและสถานท่ี โดยไมจ่ ำเปน็ ต้องอยู่ในกระบวนการเรยี นการสอนเท่าน้ัน
จากทฤษฎีปัญญาสังคมสามารถนำมาปรับใชก้ ับการสอนดนตรีได้ โดยสรุปว่า
ทฤษฎนี เี้ หมาะสมกับการสอนทกั ษะดนตรี โดยท่ีผสู้ อนปฏบิ ัตเิ ทคนิคตา่ ง ๆ ใหผ้ ู้เรียนดูและปฏิบัตติ าม
ครูให้ถูกตอ้ ง ก่อนทจ่ี ะนำไปประยกุ ต์ใชเ้ ป็นรูปแบบของตนเอง เช่น การที่ผ้เู รียนดแู ละปฏิบัติตามครู
ในการบรรเลงดนตรี เมื่อมีความชำนาญในระดับหนึ่งแล้ว จึงพัฒนาความสามารถไปในแนวทางท่ี
ตนเองมคี วามถนดั
4) ทฤษฎีมนุษยนิยม อธบิ ายโดยสรปุ ไดว้ ่า การเรียนรขู้ องทฤษฎนี ้ีให้ความสำคัญ
กบั ผเู้ รยี น ให้โอกาสผเู้ รยี นได้กำหนดหรือเลอื กการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง ไม่จำเป็นตอ้ งใหผ้ ู้สอนเป็นผู้จัด
ให้ ผ้เู รยี นสามารถกำหนดหรอื เลอื กสง่ิ ทต่ี อ้ งการรว่ มกนั กบั ผสู้ อน
จากทฤษฎปี ญั ญาสงั คมสามารถนำมาปรับใชก้ ับการสอนดนตรีได้ โดยสรุปว่า
ทฤษฎนี ีเ้ หมาะกบั การสอนดนตรีโดยสามารถใชไ้ ด้กบั ผู้เรียนทม่ี คี วามรบั ผดิ ชอบโดยใหเ้ ลอื กสงิ่ ต่าง ๆ
ท่ีสนใจด้วยตนเอง โดยตอ้ งคำนงึ ถงึ กฎเกณฑ์ที่ตนเองเป็นผู้กำหนดขึ้นและปฏบิ ัตสิ ่งิ ต่าง ๆ ให้สำเร็จ
เช่น การเลอื กบรรเลงเครอื่ งดนตรที ต่ี นสนใจหรอื เพลงท่ผี เู้ รียนอยากฝกึ หดั ด้วยตนเอง
12
สรุปได้ว่า ทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยาสามารถนำมาประยุกต์ใช้เกี่ยวกับการสอน
ดนตรี เกี่ยวกับการจัดประสบการณ์ดนตรีอยา่ งมีระบบ เช่น การเรียนดนตรจี ากเรื่องที่ซับซ้อนน้อย
ไปสเู่ รือ่ งที่ซับซ้อนมาก เพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนได้เรียนรอู้ ย่างเป็นลำดบั ขน้ั และพัฒนาแนวคิดทางดนตรไี ด้อย่าง
สัมพันธ์กัน นอกจากนี้ยังช่วยให้ผูส้ อนมีแนวคิดในการปรับปรุงการสอน และหาวิธีการเสริมแรงให้
เหมาะสมกบั ความรู้ ความสามารถ และสอดคล้องกบั ความสนใจของผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดความ
สนใจในการเรียนดนตรีมากขึ้น โดยต้องคำนงึ ถึงประสบการณเ์ ดิมของผู้เรียนเป็นสำคัญ และควรให้
ผู้เรียนมีโอกาสปฏิบัติดนตรี เพื่อสร้างความเข้าใจในสาระดนตรีอย่างครบถ้วน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
การพิจารณาของผู้สอนท่ีควรประยกุ ตใ์ ชท้ ฤษฎจี ิตวิทยาต่าง ๆ ในการปรับปรุงการสอนให้เหมาะสม
กบั ผเู้ รียนของตนเองให้ผ้เู รียนมีประสทิ ธภิ าพมากทส่ี ดุ
2.3 การจดั การเรียนการสอนสาระดนตรี ระดับช้นั ประถมศกึ ษา
การจัดการเรียนการสอนสาระดนตรีนั้น มีความจำเป็นต้องจัดให้จุดประสงค์ของ
การเรียนรู้ดนตรีสัมพันธ์กับสาระดนตรีที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยของผู้เรียน และตรงกับหลักการ
เรียนรู้ทางดนตรีตามลำดับขั้น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ดนตรีได้อย่างเข้าใจ และมีประสิทธิภาพ
มากขนึ้ การจัดการเรยี นการสอนสาระดนตรนี น้ั ได้แก่
2.3.1 จุดประสงค์ของการเรียนรู้ดนตรี ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2555, น. 187-188)
ได้กล่าวถึง จุดประสงค์ของการเรียนรู้ดนตรี โดยสรุปว่า แนวคิดในการกำหนดจุดประสงค์ของการ
เรียนรู้ดนตรีควรครอบคลุมรายละเอียดต่าง ๆ ทเี่ ปน็ จุดประสงค์หลัก สรปุ ไดด้ ังน้ี
1) เพ่ือความรคู้ วามเขา้ ใจในสาระดนตรี และพัฒนาทักษะดนตรี
2) เพ่ือซาบซงึ้ ในสุนทรียศาสตรท์ างดนตรี และมเี จตคตทิ ดี่ ตี อ่ การเรยี นดนตรี
3) เพื่อเห็นคุณประโยชน์ของดนตรี และเลือกฟงั ดนตรีที่พัฒนาความรู้ ความคิด
และความซาบซ้งึ และนำไปใชป้ ระโยชนต์ อ่ การดำรงชวี ติ
4) เพอ่ื ส่งเสรมิ อนรุ กั ษ์ พัฒนาดนตรีให้เปน็ มรดกของมนุษยชาติ
5) เพื่อนำไปใช้เป็นวิชาชีพในการดำรงชีวติ
ซึ่งสอดคล้องกับ อรวรรณ บรรจงศิลป (2538, น. 5) ที่กล่าวถึง จุดมุ่งหมายของ
การสอนดนตรเี พ่อื ให้เดก็ ไดเ้ กิดการเรยี นร้ใู นวิชาดนตรี มจี ุดม่งุ หมายของการสอนโดยสรปุ ได้แก่
1) เพื่อให้ค้นพบวิธีการในการร่วมกิจกรรมดนตรี เรียนรู้การฟังดนตรีด้วย
ความเข้าใจ จำแนกโครงสร้างดนตรี และมที ักษะพืน้ ฐานทางดนตรไี ด้อยา่ งสนุกสนาน
2) เพ่ือให้ค้นพบการสร้างสรรค์ดนตรี และสามารถใช้ดนตรีเป็นสื่อใน
การแสดงออกความรู้สกึ
13
3) เพื่อให้สามารถนำความรู้ด้านดนตรีไปช่วยในการฟังเพลง หรือชมการแสดง
ตา่ ง ๆ และเข้าใจความสัมพันธร์ ะหว่างดนตรกี บั มนุษย์
4) เพือ่ ใหเ้ กิดทัศนคติทดี่ แี ละรู้คุณคา่ ของดนตรีท่คี วรค่าแก่การอนุรักษ์
2.3.2 การจัดการเรียนการสอนดนตรีในระดับชั้นประถมศึกษา ณรุทธ์ สุทธจิตต์
(2560, น. 9) ได้กล่าวถึงเนื้อหาการสอนดนตรีของระดับชั้นประถมศึกษาโดยสรุปได้ว่า การจัด
การเรียนการสอนดนตรีอยู่ในการศกึ ษาภาคบงั คับ ดนตรีจดั เป็นวิชาบังคับวชิ าหนึ่งซ่ึงมีเน้อื หาสาระ
ดนตรีอย่างครบถว้ น ได้แก่ การเรียนรูอ้ งค์ประกอบของดนตรีในลักษณะพื้นฐาน ไม่ซับซ้อน เรียนรู้
วรรณคดีดนตรีที่เก่ียวกับบทเพลงและประวตั ิดนตรีทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล และเรียนรู้ทักษะ
ดนตรแี ต่ละชนิดควรเน้นอยา่ งเทา่ เทียมกัน
นอกจากนี้ ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2535, น. 19-23) ได้แบ่งพัฒนาการทางดนตรีของ
ผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาออกเป็น 2 ระดับ ซึ่งสอดคล้องกับ อรวรรณ บรรจงศิลป (2538,
น. 25-37) ไดก้ ลา่ วถึงพฤติกรรมทางดนตรขี องผเู้ รียนในแต่ละระดบั ช่วงอายุ โดยสรปุ ไดด้ งั น้ี
ระดับประถมศึกษาปีที่ 1-3 ผู้เรียนมีแนวคิดด้านการฟังเพลงและแยกแยะ
สิ่งต่าง ๆ ในบทเพลงได้ทั้งในด้านจังหวะ สามารถรู้จักระดับเสียงสูง-ต่ำ บอกอัตราจังหวะได้
การเคลอ่ื นไหวของทำนอง และมีแนวคดิ ในรูปแบบของบทเพลง สสี นั ของดนตรี และอารมณ์ โดยร้จู ัก
ความดงั -คอ่ ย เร็ว-ชา้ ผ้เู รยี นวัยนม้ี ีความชอบในการรอ้ งเพลงทมี่ จี ังหวะสนุกสนาน ร้องเพลงไดต้ รงกบั
ระดับเสยี งตามรูปแบบของแนวทำนองได้ นอกจากนีย้ ังสามารถเล่นเครือ่ งดนตรใี นจงั หวะและทำนอง
ง่าย ๆ ไดต้ รงตามจงั หวะและแนวทำนอง
ระดับประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 ผู้เรียนมีความเข้าใจความสัมพันธ์ของจังหวะกบั
ตัวโน้ต บอกลำดับเสยี งของทำนอง รบั รแู้ นวเสยี งประสานจากการฟงั นอกจากน้นั ผู้เรยี นวัยนีส้ ามารถ
รอ้ งเพลงไดถ้ ูกตอ้ ง ตรงตามจงั หวะ บันไดเสียงและรักษาระดับเสยี งได้อย่างถกู ต้อง ดา้ นทกั ษะดนตรี
ควรพัฒนาทักษะการเล่นเครื่องประกอบจังหวะและเครื่องดนตรีต่าง ๆ ด้วยทำนองง่าย ๆ
โดยพัฒนาการอา่ นจากตัวเลขและตัวโน้ต นำความรู้เรื่องโนต้ เครื่องหมายและสัญลกั ษณ์ทางดนตรี
บันไดเสยี ง และลำดบั เสียงมาสรา้ งทำนองด้วยตนเองได้
จากการจัดการเรียนการสอนสาระดนตรีระดับชั้นประถมศึกษา ข้างต้นสรุปได้ว่า
ความรูแ้ ละทักษะเป็นส่ิงจำเปน็ สำหรับการพัฒนาผเู้ รยี นด้านดนตรี ผู้สอนตอ้ งจดั วางประสบการณ์ให้
ผเู้ รยี นเปน็ ลำดับขน้ั จัดประสบการณ์ทางดนตรีใหผ้ เู้ รียนหลาย ๆ ดา้ น ไดแ้ ก่ การพฒั นานิสัยการฟัง
เพลงของผูเ้ รียนใหร้ ้จู กั แยกแยะเสียงต่าง ๆ ท่ีได้ยนิ การร้องเพลงใหต้ รงกบั ระดบั เสยี ง และตรงตาม
จังหวะ สง่ เสริมการเล่นเครื่องดนตรีประเภทตา่ ง ๆ อยา่ งงา่ ย การเคล่อื นไหวตามแนวทำนองเพลงได้
ตรงตามจังหวะเพลง สามารถสร้างสรรค์ทำนองเพลงตามจินตนาการของตนเอง และมีความรู้ทาง
สัญลกั ษณด์ นตรี สง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนเล่นดนตรี ร้องเพลงเพื่อพัฒนาทกั ษะการอ่านโนต้
14
2.4 การวัดและการประเมินผลสาระดนตรี
การวัดและการประเมนิ ผลสาระดนตรนี ้นั เกี่ยวข้องกบั เน้ือหา ทกั ษะ และเจตคติดนตรี
ซึ่งมีรายละเอียดท่ีแตกต่างกันไปตามลักษณะของแต่ละหัวข้อ โดยต้องคำนึงถึงความเท่ียงตรง และ
ความเชือ่ ม่นั ของเครื่องมอื หรอื วธิ กี ารวดั ผล ณรุทธ์ สทุ ธจติ ต์ (2560, น. 264-282) ไดก้ ล่าวถงึ การวัด
และการประเมินผลดนตรี โดยแบ่งตามหวั ข้อโดยสรปุ ได้ดงั น้ี
2.4.1 การวัดและการประเมินผลเน้ือหาดนตรี เน่ืองจากเป็นการวัดและ
การประเมินผลเนื้อหาดนตรีจึงมีความเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎีดนตรี สามารถประเมินผลโดยใช้
การทดสอบในรูปของแบบทดสอบในลักษณะต่าง ๆ ได้ เนื่องจากเป็นการวัดและการประเมินผล
ทางด้านเนื้อหา แนวคิด นอกจากนี้สิ่งที่สามารถวัดได้ในลักษณะของเนื้อหา คือ ทักษะการฟัง
สามารถวัดได้โดยการใช้แบบทดสอบ เพราะเป็นทักษะทีส่ ามารถแสดงออกได้โดยการเขียนบรรยาย
หรอื การทำข้อสอบหลงั จากการฟงั เพลง และการสรา้ งสรรค์เพลง
สรุปได้ว่า การวดั และการประเมนิ ผลเน้ือหาดนตรี ควรประเมนิ ทั้งทางด้านความรู้
ความเข้าใจ และแนวคิด รวมทั้งการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ การคิดวิเคราะห์ การวิเคราะห์
การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้สอนว่าเห็นความสำคัญของส่วนใดมากกว่ากัน
โดยเน้นการประเมินผลที่ครอบคลุมตั้งแต่ด้านความจำในเนื้อหาสำคัญ ขึ้นไปจนถึงการประเมินค่า
ที่ควรประเมินให้สอดคล้องกับความรู้ที่สำคัญเป็นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วมักใช้แบบทดสอบในการ
วัดผลเพราะมีความเหมาะสมมากกว่าวธิ อี ่ืน
2.4.2 การวัดและการประเมินผลทักษะดนตรี เน่ืองจากเป็นการวัดและการ
ประเมินผลทักษะดนตรี จึงมีความเกี่ยวเนื่องกับทักษะปฏิบัติโดยตรง ซึ่งทำได้ในสองลักษณะ ได้แก่
การปฏิบัติเด่ียว และการปฏิบัติกลุ่ม ตามความเหมาะสมของการปฏิบัติในแต่ละทักษะ
การประเมินผลทักษะดนตรีนั้นควรมีการประเมินผลทักษะต่าง ๆ ครบทุกประเภทตามที่ผู้สอนได้
ถา่ ยทอด เช่น ทกั ษะการฟัง การร้อง การเลน่ การเคลอื่ นไหว การสร้างสรรค์ และการอา่ น
การวดั ผลทกั ษะทางดนตรีควรแบง่ คะแนนออกเป็น 2 ด้าน คอื ด้านความสามารถ
ในการปฏิบตั ิทกั ษะ และคุณภาพของการปฏบิ ตั ิ ดังน้ันการวัดและประเมินผลควรวัดทักษะเชิงปรมิ าณ
ได้แก่ ทักษะทผี่ ้เู รียนเรียนรไู้ ปแล้ว และเชงิ คณุ ภาพของการปฏิบัติ ได้แก่ ความไพเราะ เทคนิค ลีลา
เป็นตน้
สรุปได้ว่า การวดั ผลและประเมนิ ผลทักษะดนตรเี ป็นการวัดผลเชงิ ปฏบิ ตั ิจงึ ควรวัด
และประเมินผลเป็นรายบุคคล แต่ในบางโอกาสก็สามารถวัดผลเป็นกลุ่มได้ตามความเหมาะสม
โดยคำนงึ ถึงคุณภาพของการวัดผลเป็นสำคัญ
15
2.4.3 การวัดและการประเมินผลเจตคติดนตรี เนื่องจากเป็นการวัดและการ
ประเมินผลเจตคติดนตรี จึงมีความแตกต่างจากสองหัวข้อข้างต้น เนื้อหาด้านเจตคตินั้นเป็นเรื่อง
เกี่ยวกับรสนิยม ความชอบ ความมีสุนทรียะ และความซาบซึ้งในดนตรีที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของ
ผเู้ รียน ซ่ึงจะแสดงออกหรอื ไมแ่ สดงออกกไ็ ด้ จึงควรหาวิธกี ารวัดและการประเมินผลใหไ้ ด้อย่างแทจ้ รงิ
เทา่ ทีจ่ ะทำได้
สรปุ ได้วา่ การวัดเจตคตคิ วรวัดโดยใช้วธิ กี ารหลาย ๆ ลกั ษณะเพอื่ ใหส้ อดคล้องกบั
เจตคติที่ต้องการวัด ซึ่งควรเป็นวิธีการสังเกต สัมภาษณ์ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงเจตคติที่
ผู้เรียนมีต่อดนตรี และควรเป็นการประเมินผลการกระทำที่มีความต่อเนื่อง โดยใช้ระยะเวลาท่ี
ยาวนาน เพื่อให้แน่ใจว่าการวดั และประเมินผลน้นั ไดผ้ ลที่เป็นจรงิ
นอกจากนี้ ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2535, น. 117-123) ได้กล่าวถึงแบบทดสอบมาตรฐาน
ทางด้านดนตรที ่สี อดคล้องกับการวัดและการประเมนิ ผลสาระดนตรขี ้างตน้ วา่ แบบทดสอบมาตรฐาน
ทางดา้ นดนตรมี ี 3 ประเภท ได้แก่
1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางดนตรีหรือการวัดเนื้อหาดนตรี ใช้วัดความรู้
ดา้ นดนตรวี า่ มีความรูอ้ ยใู่ นระดบั ใด
2) แบบทดสอบวัดความถนดั ทางดนตรหี รือการวัดทักษะดนตรี ใช้วัดความถนัด
ทางดนตรเี พอื่ พยากรณ์ความสามารถในการเรยี นดนตรีในอนาคตวา่ มีมากน้อยเทา่ ใด
3) แบบทดสอบวัดความชอบ ความสนใจด้านดนตรี หรือการวัดเจตคติดนตรี
ใช้วัดทัศนคติ และเจตคติของผู้เรียนว่ามีความสนใจในด้านดนตรีมากน้อยเพียงใด ควรเลือกเรียน
ดนตรหี รือไม่
การวัดและการประเมินผลสาระดนตรีนั้น สรุปได้ว่า เป็นการวัดและการประเมินผล
สาระดนตรีที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ทักษะ และเจตคติดนตรี โดยมีแบบทดสอบหรือแบบประเมินท่ี
แตกตา่ งกนั ออกไปตามลกั ษณะของพฤตกิ รรมที่ผูส้ อนตอ้ งการวดั ครูสามารถสังเกตพฤตกิ รรมเหล่าน้ี
ตามระดับพัฒนาการของเดก็ แตต่ ้องเข้าใจความแตกต่างของผู้เรียนเป็นสำคญั ซ่ึงรูปแบบของการวัด
และประเมินผลที่เหมาะสมกับสาระดนตรี จำแนกได้เป็น 3 ด้านคือ 1. การวัดและประเมินผลด้าน
เนือ้ หา เหมาะกับการใชแ้ บบทดสอบเนอ่ื งจากเปน็ การวดั ความรูค้ วามเข้าใจ 2. การวดั และประเมนิ ผล
ด้านทักษะ เหมาะกับการใช้แบบประเมินการปฏิบัติจริงเนื่องจากเป็นการวัดในการปฏิบัติทักษะ
3. การวัดและประเมินผลด้านทักษะ เหมาะกับการใช้แบบสังเกตพฤติกรรมเนื่องจากเป็นการวัด
เจตคติ ความรู้สึก ความคิดเห็นที่มักไม่ค่อยแสดงออก จึงต้องอาศัยระยะเวลาในการสังเกตอย่าง
สม่ำเสมอ ทั้งน้ีข้ึนอยู่กบั ความเหมาะสมกบั เน้ือหาสาระวิชา และขึน้ อยกู่ ับดุลยพินจิ ของครูผสู้ อน
16
2.5 ความรพู้ นื้ ฐานทฤษฎดี นตรี
ณัชชา พันธุ์เจริญ (2556, น. 7) และ สมชาย อมะรักษ์ (2532, น. 37) ได้กล่าวถึง
องค์ประกอบของการบนั ทึกโน้ต โดยให้ความหมายของเครื่องหมายและสัญลกั ษณ์ทางดนตรีสากล
เบือ้ งตน้ ทส่ี ำคญั ตอ่ การอา่ นโนต้ อยา่ งสอดคล้องกนั สรปุ ได้ดงั นี้
2.5.1 บรรทัด 5 เส้น (Staff) คือ เส้นตรงแนวนอนที่วางขนานกันอยู่จำนวน 5 เสน้
โดยระยะความห่างของแต่ละเส้นมขี นาดเท่ากนั โดยประกอบด้วยเสน้ บรรทดั จำนวน 5 เส้น และชอ่ ง
บรรทดั 4 ช่อง โดยสามารถวางโน้ตอยูใ่ นช่อง หรอื วางโนต้ อยู่คาบเส้น ใชบ้ ันทกึ ตวั โน้ตตามระดับเสยี ง
เส้น ชอ่ ง
2.5.2 เส้นกั้นห้อง (Bar line) คือ เส้นกั้นแบ่งโน้ตในแต่ละหอ้ ง ให้มีจำนวนจังหวะ
ตามที่เครื่องหมายกำหนดจังหวะกำหนดไว้ และใช้สำหรับการจับกลุ่มตัวโน้ตให้อ่านง่ายตามอัตรา
จังหวะ
2.5.3 กุญแจประจำหลัก (Clef) คอื ส่งิ ที่กำหนดชื่อโนต้ ที่บนั ทกึ ลงบนบรรทัดหา้ เส้น
ถา้ ไมม่ ีกญุ แจประจำหลกั เสยี งจะอา่ นโน้ตน้นั ไมไ่ ด้ กญุ แจประจำหลกั มหี ลายชนิด แต่ผูว้ จิ ยั ยกตัวอย่าง
กญุ แจซอล ดงั นี้
กุญแจซอล (G Clef หรือ Treble clef) เป็นกุญแจทีใ่ ช้บนั ทึกโน้ตที่มีระดับเสียง
กลางจนถงึ เสยี งสูง การเขียนกญุ แจใหเ้ ขียนสว่ นหวั ของกญุ แจให้วางคาบเส้นที่ 2 ของบรรทัดห้าเส้น
ดังนน้ั โนต้ ทคี่ าบเสน้ บรรทดั ท่ี 2 คือโน้ตตวั ซอล เห็นได้วา่ เป็นเครอ่ื งหมายทก่ี ำหนดเสยี งของตวั โนต้ ใน
บรรทดั หา้ เส้น โดยยึดเสยี งซอลเป็นหลัก
17
2.5.4 เครอ่ื งหมายกำหนดจงั หวะ (Time Signature) หรอื อตั ราจังหวะ คือ เลขสอง
ตัววางตอ่ กันในแนวบนและล่าง อัตราจงั หวะวางถดั จากกญุ แจประจำหลกั
เลขตัวบน หมายถึง บอกใหท้ ราบถึงจังหวะเคาะใน 1 หอ้ งเพลง เช่น อัตราจงั หวะ
2 4
4 จะมีจังหวะเคาะ 2 จังหวะใน 1 ห้องเพลง หรือ อตั ราจังหวะ 4 จะมีจังหวะเคราะ 4 จงั หวะใน 1
หอ้ งเพลง
เลขตัวล่าง หมายถึง โน้ตหลักที่ใช้ในเพลงนั้น ว่ามีค่าเท่ากับตัวละ 1 จังหวะ
ตัวเลขชนดิ ต่าง ๆ มดี ังน้ี
เลข 1 แทนตวั กลม เลข 2 แทนตัวขาว
เลข 4 แทนตวั ดำ เลข 8 แทนตัวเขบต็ 1 ช้ัน
4
เช่น อัตราจังหวะ 8 เลขตวั บนเป็น 4 จงึ มี 4 จงั หวะเคาะ ใน 1 ห้องเพลง เลขตัว
ล่างเป็น 8 ใช้โน้ตเขบ็ต 1 ชั้นเป็นหลักและโน้ตเขบ็ต 1 ชั้น มีค่าเท่ากับตัวละ 1 จังหวะ ใน 1 ห้อง
เพลงมีโนต้ เขบ็ต 1 ชัน้ ได้ 4 ตัว
2.5.5 ตัวโน้ตและตัวหยุด (Note and Rests) คือ สัญลักษณ์ที่ใช้บันทึกแทน
เสียงดนตรีและเสียงเพลง ซึ่งมีอัตราจังหวะต่างกัน จัดวางอยู่บนบรรทัดห้าเส้น เพื่อแสดงถึงระดบั
เสียงสูง-เสียงต่ำ ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ยกตัวอย่างตัวโน้ต เพียง 4 ตัว เนื่องจากเป็นสัญลักษณ์โน้ตดนตรี
เบอ้ื งต้นทเี่ ลือกใชใ้ นงานวิจัย
ตารางท่ี 2.2 สญั ลักษณ์ และค่าของตัวโน้ต
สญั ลักษณ์ตวั โน้ต ชอ่ื โนต้ คา่ ของตัวโน้ต
ไทย อเมรกิ นั
ตัวกลม Whole note 4 จงั หวะ
ตัวขาว Half note 2 จังหวะ
ตัวดำ Quarter note 1 จังหวะ
ตวั เขบ็ต 1 ชั้น Eighth note ½ จงั หวะ
18
ตารางท่ี 2.3 สญั ลกั ษณต์ ัวหยุด และคา่ ของตัวโนต้
สญั ลกั ษณต์ วั หยุด ชื่อโน้ต อเมรกิ นั คา่ ของตัวหยุด
ไทย 4 จงั หวะ
ตวั กลม Whole note
ตัวขาว Half note 2 จงั หวะ
ตัวดำ Quarter note 1 จังหวะ
ตัวเขบต็ 1 ช้ัน Eighth note ½ จงั หวะ
2.5.6 การเรียกชื่อตัวโน้ต คือ การเรียกชื่อโน้ตสากลที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย มี 2
ระบบ ใช้แทนกันได้ โดยช่อื ทเ่ี รยี กแทนตัวโนต้ มีทงั้ หมด 7 ตวั เมอ่ื เรียงโน้ตจนครบ 7 ตวั สามารถวน
ต่อไปได้อยา่ งไม่มที ส่ี ้นิ สดุ คือ 1 2 3 4 5 6 7 1 2 3 4 5 6 7 ….
คชสีห์ เจริญสุข, ชานน สืบสม และพงษ์พันธ์ เสาวดี (2562) ได้นำเสนอ
ที่มาของการชื่อเรยี กโน้ตในลักษณะต่าง ๆจากการศกึ ษาประวัตดิ นตรีตะวันตก เรื่องกำเนิดของโนต้
โดยผวู้ ิจัยได้ยกตัวอยา่ งชือ่ โน้ตสากลทง้ั 2 ระบบ มรี ายละเอยี ดดังนี้
1) ระบบซอล-ฟา (Sol-Fa system) เป็นระบบการเรยี กชือ่ โน้ตเรยี งลำดบั จากโนต้
ต่ำไปโน้ตสูง ได้แก่ โด (Do) เร (Re) มี (Me) ฟา (Fa) ซอล (Sol) ลา (La) ที (Ti) และสามารถเรียง
จากโน้ตสูงกลบั มาโน้ตต่ำ โดยการไลล่ ำดับย้อนกลับ ที่มาของชื่อเรียกตัวโน้ตนี้เกดิ ข้ึนหลงั จากทีช่ น
ชาติกรีกได้คิดคน้ การแบ่งช่วงระดับเสียงออกเป็น 7 ส่วน และคิดระบบการบนั ทึกโน้ตมาใชเ้ บื้องตน้
แลว้ ตอ่ มาในศตวรรษที่ 10 จึงได้มพี ัฒนาการใช้พยางค์ร้องโนต้ เปน็ การใช้คำหรือพยางคใ์ นภาษาพูด
เพอื่ แสดงระดบั เสียงตา่ ง ๆ ของตัวโน้ต ซง่ึ คดิ ค้นโดย กวิโด ดาเรซโซ ในตอนแรกมเี ป็น 6 คือ Ut, Re,
Mi, Fa, Sol, La ต่อมาไดเ้ พมิ่ ซี (Si) ตอ่ มาเปลย่ี นซี เปน็ ที (Ti) และเปล่ยี น อู เปน็ โด (Do) กลายเปน็
โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด อยา่ งที่ใช้ในปจั จบุ นั การคดิ ค้นพยางค์ร้องโน้ตดังกลา่ วทำให้เกิดมาตรฐาน
ในวงการดนตรีตะวันตกเปน็ อยา่ งมาก
19
2) ระบบอักษร (Letter system) เป็นระบบการเรียกชื่อโน้ตเรียงลำดับจากโนต้
ต่ำไปโนต้ สูง ดังนี้ ซี (C) ดี (D) อี (E) เอฟ (F) จี (G) เอ (A) บี (B) และสามารถเรียงจากโน้ตสงู กลับมา
โน้ตต่ำ โดยการไล่ลำดับยอ้ นกลบั ซงึ่ ระบบอักษรนบั วา่ เป็นสัญลักษณ์สากล แตส่ าเหตุท่ีเริ่มนับเสียง
แรกท่อี ักษร C โดยมกี ารสันนษิ ฐานกนั ว่า ถ้ายดึ ตามหลกั การสร้างบันไดเสยี งแบบไพธากอรสั หรอื หลกั
เมเจอรส์ เกล บันไดเสียง C เมเจอร์ เป็นบันไดเสียงเดียวที่ไม่มีเครื่องหมายแปลงเสียง อีกทั้งยงั เปน็
บันไดเสียงที่พบเห็นได้ง่ายและเป็นพื้นฐานของการเรียนดนตรี จึงยึดการเรียงลำดับอักษร
ภาษาองั กฤษตามแบบบนั ไดเสยี ง C เมเจอร์ เปน็ หลกั โดยให้ C เป็นชอื่ เรียกโนต้ เสียงแรก
ตารางที่ 2.4 เปรยี บเทยี บชือ่ ตวั โนต้ ระบบซอล-ฟา และระบบอักษร
ระบบซอลฟา โด เร มี ฟา ซอล ลา ที
A B
ระบบอักษร C D E F G
2.6 ทักษะการอ่านโนต้ ดนตรสี ากล
วิมลศรี อุปรมัย (2527) กล่าวถึงการเรียนโน้ตดนตรีสากล โดยสรุปว่า ในการอ่าน
เขยี นโน้ตดนตรีสากลเบ้อื งตน้ มีวิธีทีค่ วรศึกษาเป็นลำดบั ขั้น ไดแ้ ก่
1) การเรียนรู้ส่วนประกอบของบทเพลง แบง่ เป็นสว่ นต่าง ๆ ไดแ้ ก่ บรรทัดหา้ เส้น
กุญแจประจำหลกั ชอ่ื ตวั โนต้ และสญั ลกั ษณ์ท่ีใช้แทน ระดับเสียง การบนั ทึกตวั โนต้ เลขเครื่องหมาย
กำกบั จังหวะ เสน้ ก้ันห้อง และบทเพลงประกอบการรอ้ งง่าย ๆ
2) ข้อปลีกยอ่ ยสำหรับบทเพลง หรือองค์ประกอบอืน่ ๆ เกี่ยวกับบทเพลง ได้แก่
การโยงเสยี ง การเพ่มิ ค่าตัวโน้ต และเคร่อื งหมายหยดุ
2.6.1 การอ่านโนต้ ดนตรีสากล
ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2536, น. 127-129) ได้กล่าวถึงการอ่านในทักษะดนตรีว่า
โดยสรปุ วา่ ทกั ษะการอ่านสัญลกั ษณท์ างดนตรีเป็นทกั ษะสำคญั เน่อื งจากดนตรเี ป็นเรอ่ื งของเสียงจึง
ต้องมีการบันทึกเสียงเป็นสัญลักษณ์เพื่อใช้ในการถ่ายทอดเสียงต่าง ๆ การแสดงดนตรีจึงต้องผ่าน
ข้ันตอนการแปลหรอื ใชส้ ญั ลกั ษณ์ นอกจากนยี้ งั กล่าวถงึ ความมงุ่ หมายของการอา่ นโน้ตดนตรี สรปุ ได้
ดงั นี้
1) ผ้เู รยี นพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน ให้มีความรแู้ ละทักษะในการอ่าน
โนต้ ดนตรตี ามระดับความสามารถของผเู้ รยี นหรือตามระดบั ช้ันท่ีผ้เู รยี นศึกษาอยู่
2) ผเู้ รยี นสามารถอา่ นโน้ตดนตรีได้เม่อื เห็นทันที ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นได้เรียนรู้ดนตรี
ได้อย่างรวดเรว็ แลว้ ชาวยให้เข้าถงึ ได้ดีขน้ึ โดยการอ่านโน้ตลักษณะนี้อาศัยทักษะทีไ่ ด้รับการฝกึ ฝนจน
ชำนาญ
20
3) ผู้เรียนไดเ้ รียนรู้เรื่ององค์ประกอบดนตรี เนื่องจากการอ่านช่วยให้ผู้เรยี น
เขา้ ใจองคป์ ระกอบของดนตรีไดเ้ ปน็ อย่างดี
4) การเรียนดนตรดี ว้ ยการอ่านโนต้ ดนตรสี ามารถช่วยใหผ้ ้เู รียนได้เรียนรู้ด้วย
ตนเองโดยตรงจากการอา่ นโนต้
5) การอ่านโน้ตช่วยในการเรียนดนตรีระดับสงู ต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนือ่ งจากดนตรีเป็นภาษาหนงึ่ ท่ีทำให้ติดตอ่ สอื่ สารกบั ผเู้ รียนวิชาชพี เดยี วกนั เพราะใช้ภาษาเดียวกัน
คือภาษาดนตรี
6) การอ่านจดั วา่ เปน็ การเปลยี่ นสญั ลกั ษณ์ของภาษาเขยี นเปน็ เสยี งดนตรี
นอกจากนี้ นพพร ด่านสกลุ (2543, น. 88) ได้อธิบายการอ่านโนต้ ดนตรสี ากลวา่
ควรแบ่งเป็น 3 ประเด็น คือ 1. การอ่านเป็นชื่อโน้ต โดยใช้ตัวอักษรเรียนจาก A B C D F G
2 การอา่ นเป็นระดับเสียง เปน็ การอ่านโน้ตโดยใช้เสยี ง โด เร มี ฟา ซอล ลา ที 3. การอ่านเปน็ ระดับ
ขน้ั บันไดเสยี ง เปน็ การอา่ นเพือ่ การวเิ คราะหก์ ารประสานเสียง
จากทักษะการอ่านโน้ตดนตรี และความมุ่งหมายของการอ่านโน้ตดนตรีข้างต้น
ณรุทธ์ สุทธจิตต์ (2536, น. 130-131) ได้กล่าวถึงข้อคำนึงเกี่ยวกับการสอนอ่านโน้ตดนตรีเพิ่มเติม
โดยสรุปว่า
1) ความพร้อมของผู้เรียน เนื่องจากทักษะการอ่านโน้ตดนตรีเป็นกิจกรรมท่ี
ตอ้ งใชท้ กั ษะพืน้ ฐานในด้านการรับรหู้ ลายด้านพร้อมกนั
2) เสียงควรมากอ่ นสัญลกั ษณ์ ผูเ้ รยี นควรมีประสบการณเ์ กี่ยวกบั เรอื่ งเสยี งมา
ก่อน จงึ เริม่ เรียนเกีย่ วกับสญั ลกั ษณ์แทนระดบั เสยี ง จากนั้นจงึ เชื่อมโยงทกั ษะใหส้ ัมพนั ธก์ ัน
3) สญั ลักษณแ์ ทนเสยี งควรมีการจัดการอยา่ งเปน็ ระบบ เพือ่ ชว่ ยใหก้ ารเรียนรู้
เป็นไปตามลำดบั ขน้ั ตอนและมีความต่อเน่อื ง
4) พื้นฐานสำคญั ทางการอา่ น คือ การแปลสัญลักษณ์ที่มีทั้งด้านทำนองและ
จงั หวะที่มคี วามซับซอ้ นมาก
5) ควรเลือกโน้ตเพลงที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียน และเลือกให้
เหมาะสมกับจดุ ประสงคท์ ่ีต้องการสอนอา่ นในแตล่ ะครัง้
สรปุ ไดว้ ่า การอา่ นโนต้ ดนตรสี ากลนน้ั ถอื เป็นทักษะทางดนตรที ี่สำคัญ เนอ่ื งจากดนตรี
นั้นเป็นสิ่งที่เกีย่ วกับเสียง เสียงดนตรีนั้นเหมือนเปรียบได้กบั ภาษาชนิดหนึ่งที่สามารถสื่อสาร และ
เข้าใจตรงกันไดผ้ า่ นสัญลกั ษณต์ า่ ง ๆ การอา่ นโนต้ ดนตรีสากลไดน้ ัน้ ต้องอาศยั ความรู้และทักษะหลาย
ด้านประกอบกนั เมื่อสามารถอ่านโน้ตดนตรีสากลได้อย่างถูกต้องแล้วก็จะสามารถพัฒนาตนเองใน
ด้านดนตรีมากขนึ้ เนอื่ งจากจะสามารถเรียนรไู้ ด้ทั้งโครงสร้างสาระดนตรแี ละสุนทรียะได้มากขึ้น รู้จัก
บทเพลงและพฒั นาความสามารถเกยี่ วกบั ทักษะดนตรไี ดม้ ากข้ึน แตก่ อ่ นท่จี ะฝกึ อา่ นโน้ตดนตรีได้น้ัน
21
ผู้เรียนต้องมีทกั ษะพ้นื ฐานเกยี่ วกบั ดนตรอี ย่างเปน็ ลำดบั ขัน้ ค่อยเป็นค่อยไปอยา่ งสมำ่ เสมอ คือเรยี นรู้
เรอื่ งระดับเสียง จากนน้ั คอ่ ยเร่มิ เขา้ สู่ทักษะการอ่านโน้ต และจดบนั ทกึ โน้ตตามลำดับข้ัน
2.6.2 การบนั ทึกโน้ตดนตรสี ากล
จิตตพิมญ์ แย้มพราย (2550) ได้กล่าวถึงที่มาของการบันทึกโน้ตสากลจาก
การศึกษาจุดกำเนิดการบันทึกบทเพลงโดยการใช้โน้ต โดยสรปุ ได้วา่ หลักฐานท่ีเก่าแกท่ ี่สดุ คือ ม้วน
หนังสือของชาวฮิบรู จากการใช้สัญลักษณ์กำกับไว้เหนือบทสดุดีในพระคัมภีร์ นักดนตรีวิทยา
สันนิษฐานว่า การใช้สัญลักษณ์ “ตา อมิม” เพ่อื แสดงทำนองของชาวฮิบรู เปน็ ต้นแบบของการบนั ทกึ
โน้ตเพลงสวดของคริสตศาสนจักร จากนั้นมีการค้นพบหลักฐานแสดงถึงการใช้อักษรกรีกโบราณ
ว่าระบบการบันทึกโน้ตถูกสร้างขึ้นครั้งแรก โดยแบ่งเป็นการบันทึกโน้ตสำหรับเพลงร้อง และการ
บันทกึ โน้ตสำหรับเครื่องดนตรี ซ่งึ สญั ลักษณท์ ใ่ี ชใ้ นการบนั ทกึ คือ อักษรโฟนีเช่ียน ส่วนสัญลักษณ์ท่ีใช้
บนั ทึกเพลงร้อง คือตัวอกั ษรไอโอนคิ สัญลกั ษณ์เหล้านถี้ กู จัดวางไว้ในตำแหนง่ เหนอื คำรอ้ ง
พัฒนาการลำดับต่อมาเกิดขึ้นตอนปลายศตวรรษที่ 10 มีการใช้เส้นแนวนอน
1 เสน้ เพื่อระบรุ ะดบั เสยี ง จากนัน้ ในศตวรรษที่ 11 มีการพฒั นาการบนั ทกึ โนต้ อยา่ งกา้ วกระโดด โดย
กวินโด ดาเรสโซ เป็นผู้คิดค้นการบันทึกโน้ตลงบนเส้น 4 เส้น โดยระบุระดับเสียงบนเสน้ และในชอ่ ง
ระบบการบนั ทกึ นที้ ำให้การบนั ทึกและถ่ายทอดเพลงมคี วามชดั เจนและมรี ายละเอียดมากขน้ึ จากนั้น
มีการเพมิ่ เตมิ เส้นบรรทดั อีกหลายเส้นต้ังแต่ 4 เสน้ จนถงึ 11 เส้น ทำให้เกิดการแบง่ บรรทดั ออกเปน็
2 สว่ น โดยตดั เสน้ กลางท้ิงไป ตอ่ มาในศตวรรษที่ 13 นยิ มใช้บรรทัด 5 เส้นในการบันทึก
ณัชชา พันธุ์เจริญ (2559, น. 7-12) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบของการบันทึกโนต้
ดนตรี โดยสรปุ ได้แก่ บรรทัดหา้ เส้น โน้ตดนตรี เส้นนอ้ ย กุญแจประจำหลกั การเรียกช่อื ตัวโน้ต
สรปุ ได้ว่า การบนั ทกึ โนต้ ดนตรสี ากลนน้ั เปน็ การใชส้ ัญลกั ษณ์กำกบั แทนการบนั ทกึ
โน้ตสำหรบั เพลงรอ้ ง และสำหรับเครือ่ งดนตรีตา่ ง ๆ ทำให้สามารถถ่ายทอดเพลงมีความชัดเจนมาก
ขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างยาวนานและเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการถ่ายทอดบทเพลง การร้องและทำนอง
อย่างชดั เจนและมีรายละเอียดครบถ้วน
3. แนวคิดเกี่ยวกบั ชุดกิจกรรม
3.1 ความหมายของชุดกิจกรรม
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2537) ไดใ้ หค้ วามหมายของ ชดุ การสอนหรอื ชดุ กจิ กรรม โดยสรุป
ได้ว่า ชุดการสอนเป็นสื่อประสมประเภทหนึ่งที่จัดเป็นระบบตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซึ่งมี
จุดมุ่งหมายเฉพาะในเรอื่ งทจ่ี ะสอน มีความสอดคลอ้ งกับเนอื้ หาวิชาอย่างเป็นลำดบั ข้ัน เพ่ือช่วยให้มี
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บุญเกื้อ ควรหาเวช
22
(2543), ระพินทร์ โพธิ์ศรี(2549), ภพ เลาหไพบูลย์ (2552), ราตรี นันทสุคนธ์ (2554) และ ได้ให้
ความหมายของชุดกิจกรรมหรือชุดการสอนที่คล้ายคลึงกนั สรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมเป็นสื่อการสอนท่ี
ประกอบด้วยส่ือประสมทผี่ ลติ ข้ึนมาอย่างมีระบบทีถ่ กู รวบรวมไวใ้ หเ้ หมาะสมกับเน้ือหาวิชาตามแบบ
แผนที่กำหนดไว้ โดยได้รับการจัดไว้เป็นชุดตามแต่ละหน่วยการเรียนรู้ในแต่ละหน่วยหรือหัวข้อที่
ตอ้ งการที่ต้องการตามแตผ่ ูส้ รา้ ง และมีจดุ ประสงคท์ ่ที ำให้ผ้เู รียนได้มีการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมการ
เรียนร้แู ละนำไปใชใ้ นการเรียนการสอนอยา่ งมีประสิทธภิ าพ
นอกจากความหมายข้างต้น ดํารงศักดิ์ มีวรรณ์ (2552) ได้ให้ความหมายของชุด
กิจกรรมว่า ชุดกิจกรรมการเรียนการสอนคือการจดั ประสบการณเ์ รียนรู้ให้กับผเู้ รียน ให้ผู้เรียนเกดิ
การเรียนรู้แก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยครูเป็นผู้วางแผน กำหนดเป้าหมายและช่วยให้คำปรึกษาเพียง
เทา่ นั้น ซ่ึงสอดคลอ้ งกับ สคุ นธ์ สนิ ธพานนท์ (2553) ท่ไี ด้ให้ความหมายชุดกจิ กรรมไว้วา่ ชดุ การเรียน
การสอนเปน็ นวัตกรรมทค่ี รูใช้ประกอบการเรียนการสอนทีเ่ น้นผูเ้ รียนเป็นสำคัญ ผเู้ รยี นศึกษาและใช้
ส่ือต่าง ๆ ในชุดการเรียนการสอนทผี่ สู้ อนสรา้ งข้นึ โดยผเู้ รยี นเปน็ ผู้ศึกษาดว้ ยตนเอง ผู้สอนเป็นเพียง
แค่ทีป่ รกึ ษาและให้คำแนะนำ
สรุปได้ว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้หรือชุดการสอน เป็นสื่อการสอนในรูปแบบสื่อ
ประสมท่ีมกี ระบวนคิดและวธิ ีใช้อยา่ งเป็นระบบ มลี ำดบั ขน้ั ตามหน่วยการเรยี นรหู้ รือหัวข้อท่ีกำหนด
ผ่านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน และมีจุดประสงค์ที่ทำให้ผู้เรียนพัฒนาและ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรยี นรู้ใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากขน้ึ
3.2 ประเภทของชุดกิจกรรม
วชิ ยั วงษ์ใหญ่ (2525) ได้กล่าวถึงประเภทของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับ
บุญเก้ือ ควรหาเวช (2543) ในการแบ่งชดุ กจิ กรรมออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่
1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบคำบรรยายหรือชุดการสอนสำหรับครู ที่มีการ
กำหนดกิจกรรมและส่ือการสอนใหค้ รใู ชเ้ พ่อื ประกอบการสอนทตี่ ้องการปพู ื้นฐานใหน้ กั เรียนกลมุ่ ใหญ่
ได้รแู้ ละเขา้ ใจในเวลาเดียวกนั ไมค่ ำนึงถึงความแตกต่างของบุคคล โดยมีหวั ข้อเนือ้ หาและกิจกรรมท่ี
จัดไว้เป็นลำดับขัน้ ตอน มุ่งเน้นการขยายเนื้อหาสาระให้ชัดเจนขึ้น และเปล่ียนบทบาทของครใู ห้ลด
น้อยลง และเปิดโอกาสให้นกั เรยี นรว่ มกิจกรรมมากขึ้น
2) ชุดกจิ กรรมการเรยี นรสู้ ำหรบั กิจกรรมกลมุ่ มุง่ ใหน้ กั เรียนไดท้ ำกิจกรรม ร่วมกนั
เป็นกลุ่มเล็ก ๆ และจัดการเรียนการสอนในรูปศูนย์การเรียนรู้ โดยใช้สื่อการสอนที่บรรจุไว้ในชุด
กิจกรรมทีแ่ บ่งไวแ้ ตล่ ะชดุ โดยตอ้ งการฝึกทักษะในเนื้อหาวิชาทเี่ รยี น ใหผ้ ูเ้ รยี นมโี อกาสทำงานรว่ มกัน
และสามารถชว่ ยเหลือกันภายในกลุม่ ได้
23
3) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้รายบุคคลหรือเอกัตภาพ เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้
สำหรับนักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถของตนเองเป็นลำดับขั้น มุ่งให้ผู้เรียนได้ทำ
ความเขา้ ใจเน้ือหาวิชาทเ่ี รยี นเพม่ิ เตมิ และสามารถทดสอบประเมนิ ผลการเรียนด้วยตนเองและศึกษา
ชุดกจิ กรรมชดุ อ่นื ตอ่ ไปตามลำดบั
อีกทั้งยังมีนักวิชาการบางท่าน ได้แก่ สาโรจน์ แพงยัง (2532) ได้กำหนดประเภทของ
ชุดกิจกรรมนอกเหนือจากชุดกิจกรรมทั้ง 3 ประเภทแล้ว ยังมีการแบ่งชุดกิจกรรมเพิ่มขึ้นมาอีก
1 ประเภท ได้แก่ ชดุ กิจกรรมการเรียนการสอนแบบผสมผสาน ท่เี ปน็ ชุดการเรียนรู้ทีใ่ ห้นักเรยี นศกึ ษา
ด้วยตนเองหรอื ครูใช้ตามความเหมาะสม
นอกจากการแบ่งประเภทของชดุ กิจกรรมข้างต้นแล้ว ระพินทร์ โพธศิ์ ร(ี 2545) ได้แบ่ง
ประเภทของชดุ กจิ กรรมออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1) ชุดการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง คือ ชุดกิจกรรมทส่ี รา้ งขนึ้ โดยมจี ดุ มุ่งหมายให้ผู้เรียน
นำไปศกึ ษาด้วยตนเอง ไมม่ คี รเู ป็นผู้สอน
2) ชุดการเรียนการสอน คือ ชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นโดยมีครูเป็นผู้ดำเนินการจัด
กจิ กรรมการเรียนรู้ ใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรียนรูต้ ามจุดประสงค์ทกี่ ำหนดไว้
จากการแบ่งประเภทของชุดกิจกรรมของแนวคิดของนักวชิ าการหลายท่าน สรุปไดว้ ่า
ชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละประเภทนั้นมีความแตกต่างกันแบ่งตามลักษณะของผู้ใช้ โดย
ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้สร้างชุดกจิ กรรมและผู้นำเดินการจัดกิจกรรม ซึ่งอาจจะเป็นชุดกจิ กรรม
สำหรับประกอบการบรรยายของครูผู้สอน ชุดกิจกรรมสำหรบั กจิ กรรมกลุ่ม และชุดกจิ กรรมสำหรบั
รายบุคคล โดยชุดกจิ กรรมแตล่ ะประเภทจะมกี ารแนะนำวิธีการใช้และการจัดกิจกรรมอย่างเป็นระบบ
มีขัน้ ตอนตามลำดบั ขัน้ และเปน็ ไปในแนวทางเดยี วกนั
3.3 องค์ประกอบของชุดกจิ กรรม
ระพินทร์ โพธิ์ศรี (2549) กล่าวถึงลักษณะของชุดกจิ กรรม สรุปได้วา่ ชุดกิจกรรมน้ัน
ต้องมีจุดประสงค์ปลายทางที่ชัดเจน ที่ระบุทั้งเนื้อหา ความรู้และระดับทักษะการเรียนรู้ที่ชัดเจน
มีการระบเุ ป้าหมายวา่ สร้างชุดกจิ กรรมนี้ขึ้นสำหรับใคร มีองค์ประกอบของจุดประสงค์ที่เป็นระบบ
เป็นเหตุเป็นผล มีคำชี้แจง เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผลที่สอดคล้องกับ
จุดประสงค์แต่ละระดับ และต้องมีคู่มือเพื่ออธิบายวิธีการ เงื่อนไขการใช้ชุดกิจกรรม และการ
ประเมินผล ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั สวุ ทิ ย์ มลู คำ และอรทยั มูลคำ (2552) บญุ เกือ้ ควรหาเวช (2543) และ
สุนันทา สุนทรประเสริฐ (2547) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของชุดกิจกรรมตรงกันว่า
องคป์ ระกอบของชุดกจิ กรรมมี 4 ประการ ได้แก่ คมู่ ือการใชช้ ุดกิจกรรม บัตรคำส่งั ที่กำหนดข้ันตอน
ของกิจกรรม เนื้อหาสาระและสื่อการเรียนประเภทต่าง ๆ และแบบทดสอบที่ใช้ในการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้
24
นอกเหนือจากนักวิชาการที่ได้ระบุองค์ประกอบของชุดกิจกรรมข้างต้นแล้ว
พฤทธิ มาเนตร (2553) กล่าวถึงองค์ประกอบของชุดกิจกรรมที่แตกต่างออกเป็นลักษณะย่อย ๆ
มีส่วนประกอบได้แก่ ชื่อกิจกรรม คำชี้แจง จุดประสงค์ของกิจกรรม เวลาที่ใช้ สื่ออุปกรณ์ เนื้อหา
สาระกิจกรรมการเรียนการสอน และการประเมินผล
จากการศึกษาองค์ประกอบของชุดกิจกรรมมีผู้กำหนดไว้หลายรูปแบบ สรุปได้ว่า
องค์ประกอบของชุดกจิ กรรม ประกอบด้วย คูม่ อื การใชแ้ ละคำช้ีแจงสำหรับครูผู้สอนที่มีรายละเอียด
ของขั้นตอนและจุดประสงค์ของกิจกรรมอย่างชัดเจน มีเอกสารที่แสดงลำดับขั้นตอนการปฏิบัติ
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ตามจำนวนกลมุ่ และจำนวนผ้เู รียนทกี่ ำหนดไว้ รวมถึงการกำหนดเน้อื หาสาระและสอื่
การเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ ที่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้พัฒนาขึ้นตามจุดประสงค์ และแบบทดสอบ
สำหรับการวดั และประเมินผล
3.4 หลักการและขนั้ ตอนในการสรา้ งชุดกจิ กรรม
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2523) และวรกิต วดั เข้าหลาม (2542) ไดเ้ สนอตอนในการสร้างชดุ
กจิ กรรมการเรยี นการสอนทคี่ ล้ายคลงึ กนั โดยสรปุ ไดว้ ่า ในขน้ั ต้นจะต้องกำหนดหมวดหมู่ เนอ้ื หาและ
ประสบการณ์ท่ตี ้องการสอนตามความเหมาะสม ต่อมากำหนดหนว่ ยการสอนและหวั เรอ่ื ง เพือ่ กำหนด
วา่ ในการสอนแต่ละหนว่ ยควรให้ประสบการณอ์ ะไรบ้าง โดยแบ่งเน้อื หาให้เหมาะสมกับเวลา กำหนด
มโนทัศน์และหลกั การให้สอดคลอ้ งกับหน่วยนนั้ ๆ แลว้ กำหนดวัตถปุ ระสงคใ์ หส้ อดคล้องกับหัวเร่ือง
โดยเขยี นเป็นวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมที่ต้องมีเกณฑ์การเปลี่ยนแปลง ต่อมากำหนดกจิ กรรม แบบ
ประเมินผลและสื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ หลังจากนั้นหาประสิทธิภาพของชุดการสอนโดย
นำไปทดลองใช้เพื่อหาข้อมูลมาปรับปรุง และนำชุดการสอนที่ผ่านการปรับปรุงแล้วมาใช้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับวิชัย วงษ์ใหญ่ (2525) และบุญเกื้อ ควรหาเวช (2543) ที่ได้เสนอ
ข้ันตอนการพฒั นาชดุ กจิ กรรมไว้ โดยสรุปเพิม่ เตมิ ได้วา่ ควรศึกษาเนื้อหาสาระของรายวิชาท่ีจะนำมา
สร้างชุดกจิ กรรมอยา่ งละเอียด เมื่อทราบจุดม่งุ หมายของวิชาแลว้ จงึ พจิ ารณาแบ่งหน่วยการเรียนการ
สอนที่ควรเปน็ ลำดบั ขนั้ ตอน ตามสงิ่ ทจ่ี ำเปน็ ตอ้ งเรียนรู้ และพิจารณาว่าควรสรา้ งชุดกิจกรรมแบบใด
ใหเ้ หมาะสมกับผเู้ รยี น เวลา และจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เพอ่ื เปน็ แนวทางการในเลือกและการผลิต
ส่อื โดยจัดไว้เป็นชุด เป็นหมวดหมตู่ ามลำดบั ขน้ั ก่อนนำไปหาประสิทธภิ าพแลว้ แกไ้ ขข้อควรปรับปรุง
ก่อนนำไปใช้จรงิ
25
สรปุ ได้ว่า หลกั การและขัน้ ตอนการสร้างชุดกิจกรรมนนั้ ควรเริ่มจากการศึกษาเน้ือหา
ของรายวิชานั้น ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้ กำหนดจุดประสงค์ เวลา สื่อการสอน และ
การประเมนิ ผล ใหเ้ หมาะกบั จุดประสงค์ที่ตั้งไวอ้ ย่างเป็นลำดบั ขั้น หลงั จากนัน้ ใหน้ ำไปทดลองใช้เพื่อ
หาข้อปรับปรุงแล้วนำไปแก้ไขให้ดีข้ึน ก่อนนำไปพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียนอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
3.5 ข้นั ตอนการจัดการเรยี นร้ดู ว้ ยชดุ กจิ กรรม
ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2521) กล่าวถึงข้ันตอนการจัดการเรียนรูด้ ้วยชุดกจิ กรรม สรุปได้
ว่า ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมนั้น ในขั้นต้นให้ผู้เรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียนเพอื่
พิจารณาพื้นฐานความรู้ หลังจากนัน้ เริ่มนำเข้าสูบ่ ทเรียน ประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ สรุปผลการ
จัดการเรียนรู้และทำแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งสอดคล้องกับ วรรณทิพา รอดแรงค้า และพิมพันธ์
เตชะคปุ ต์ (2532) ทกี่ ล่าวถึงขั้นตอนการจดั การเรยี นร้ดู ว้ ยชุดกิจกรรม โดยสรปุ วา่ ตอ้ งเริ่มด้วยข้ันนำ
โดยเตรียมความพร้อมของผูเ้ รยี นก่อน จึงปฏิบัติกจิ กรรมแล้วนำมาอภิปราย และรว่ มกนั สรปุ กจิ กรรม
จากแนวคิดของนักวิชาการข้างต้นมีความแตกต่างกับ สุคนธ์ สินธพานนท์ (2553)
ที่กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรม โดยสรุปว่า ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ด้วยชดุ
กิจกรรมนั้น ต้องมีการเร้าความสนใจผู้เรียนก่อน จึงค่อยชี้แจงจุดประสงค์การเรียนรู้ ศึกษาชุด
กจิ กรรมและสรุปทบทวนบทเรียนเปน็ ลำดบั สุดทา้ ย
3.6 ประโยชน์ของชดุ กิจกรรม
อภิญญา เคนบุปผา (2546) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของชุดกิจกรรม สรุปได้ว่าเป็นส่ือ
การสอนท่ชี ่วยเพิ่มประสิทธภิ าพของการจัดกิจกรรมการเรยี นรขู้ องผสู้ อนและสง่ เสริมพฒั นาให้ผเู้ รียน
ได้เกิดการเรียนรูด้ ้วยตนเอง มีโอกาสฝึกปฏบิ ัติ และแสดงความคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์ ซึ่งสอดคล้องกบั
และกุศยา แสงเดช (2545) ที่ได้กล่าวถึงประโยชน์ของกิจกรรม โดยสรุปเพิ่มเติมว่า นอกจากชุด
กิจกรรมจะเปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นศกึ ษาและปฏบิ ัติกจิ กรรมจากชดุ กิจกรรมจนเกดิ การเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง
แลว้ ยงั เป็นการเรยี นโดยยดึ ผ้เู รยี นเปน็ สำคัญและมสี ว่ นรว่ มปฏิบตั ิกจิ กรรมต่าง ๆ ตามความสามารถ
ของแต่ละบุคคลจนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ นอกจากนี้ชุดการสอนยังช่วยลดภาระของ
ครูผู้สอน เพราะผ้สู อนจะดำเนนิ การตามคำแนะนำของชดุ กิจกรรมซงึ่ จัดกระบวนการเรียนรูเ้ ปน็ ลำดบั
ขัน้ สามารถนำไปใชไ้ ด้ทันที
สรปุ ไดว้ า่ ชุดกิจกรรมนัน้ มีประโยชนอ์ ย่างย่งิ ทัง้ สำหรบั ครูผสู้ อนในดา้ นการลดเวลาการ
เตรียมการสอน ครูผู้สอนสามารถนำชุดกิจกรรมไปใช้ได้ตามสาระเนื้อหาและจุดประสงค์ที่ต้องการ
อย่างถกู ตอ้ งอกี ทง้ั ยงั เพม่ิ ประสิทธิภาพในการจัดกจิ กรรมของผสู้ อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียน
การสอนใหเ้ ป็นมาตรฐานในระดับเดยี วกัน สง่ ผลใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรู้ผ่านกิจกรรมได้อย่างรวดเร็ว
และมโี อกาสฝกึ ปฏิบตั ิไดอ้ ย่างถูกต้องด้วยตนเองอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
26
4. งานวิจยั ท่ีเก่ยี วข้อง
4.1 งานวิจยั ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งในประเทศ
ณฐั ณิชา ศิริรัตน์ตระกลู (2562) ได้ทำการวจิ ยั เรอ่ื ง การศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
เรื่องการอ่านโน้ตดนตรีสากลด้วยเกม MUSIC LAND ของนักเรียนที่เรียนคีย์บอร์ด โรงเรียนราชินี
เป็นงานวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการอ่านโน้ตดนตรีสากลด้วย
กิจกรรมเกม MUSIC LAND ของนักเรียนที่เรียนคีย์บอร์ด โรงเรียนราชินี และความพึงพอใจของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ที่เรยี นกิจกรรมคีย์บอร์ด ที่มีต่อเกม MUSIC LAND ผลการวจิ ัย
พบวา่ นกั เรียนทเ่ี รียนการอา่ นโน้ตสากล ดว้ ยกจิ กรรมเกม MUSIC LAND มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หลงั เรยี นสูงกวา่ ก่อนเรยี นอย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ทิ ่ี .05 และนกั เรยี นมีความพึงพอใจต่อเกม MUSIC
LAND อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.82 และค่าคะแนนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D)
เท่ากับ 0.9
สทิ ธิชยั ไพรพฤกษา (2562) ไดท้ ำการวิจยั เร่ือง การศกึ ษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
ดนตรี เรื่องการอ่านโน้ตดนตรีสากล ด้วยเกม UNO music ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรยี นราชวินิตบางแคปานขำ เป็นงานวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวชิ า
ดนตรี เร่อื งการอา่ นโน้ตดนตรสี ากล ด้วยเกม UNO music และเพ่อื ศกึ ษาความพึงพอใจท่ีมผี ลตอ่ การ
ใช้เกม UNO music เรื่องการอ่านโน้ตดนตรีสากล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราช
วินิตบางแคปานขำ ผลการวจิ ยั พบวา่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาดนตรี เร่ืองการอ่านโนต้ ดนตรีสากล
ด้วยเกม UNO music หลงั เรยี นสงู กว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .05 ความพงึ พอใจ
ที่มีผลต่อการใช้เกม UNO music เรื่องการอ่านโน้ตดนตรีสากล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
โรงเรียนราชวินิตบางแคปานขำ อยู่ในระดับมาก ได้ค่าเฉลี่ยรวมเท่ากับ 4.28 และค่าส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน เท่ากบั 0.73
เบญจรงค์ เทพทอง (2560) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพฒั นาทักษะการอ่านโน้ตดนตรี
สากลของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 6 โรงเรยี นวดั ยายรม่ โดยใชเ้ กมการศกึ ษา Music Route เป็น
งานวิจัยเชิงทดลองที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ หาประสิทธิภาพของเกมการศกึ ษา Music Route ที่ผู้วิจยั
สรา้ งขึน้ ในการพัฒนาทกั ษะการอา่ นโน้ตดนตรีสากลของนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียนวัด
ยายร่ม ตามเกณฑ์ 80/80 และ เปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์ิในการพฒั นาทักษะการอา่ นโนต้ ก่อนและหลัง
เรียนโดยใช้เกมการศึกษา Music Route ผลการวิจัยพบว่า เกมการศึกษา Music Route ที่ผู้วิจัย
สร้างขึ้นนั้น มีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 คือ 89.38/83.45 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้
สำหรับทักษการอ่านโน้ตดนตรีของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการใช้เกมการศึกษา Music Route
พบว่า คะแนนเฉลีย่ ของการทำแบบทดสอบหลงั เรยี นสงู กว่าคะแนนเฉลยี่ นทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบก่อน
27
เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่า การใช้เกมการศึกษา Music Route
สามารถทำให้กลุ่มตัวอยา่ งมที กั ษะการอา่ นโนต้ ดนตรพี ฒั นาขน้ึ ได้ ซ่งึ เปน็ ไปตามสมมุติฐานทตี่ งั้ ไว้
อิสระ กีตา (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยชุดการสอนการ
อ่านเขียนโน้ตดนตรีสากลข้นั พ้ืนฐาน สำหรบั นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาช่วงช้นั ท่ี 2 โรงเรยี นอนบุ าลทัพ
ทัน เป็นงานวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการใช้ชุดการสอนการอ่านเขียนโน้ตดนตรีสากลข้ัน
พนื้ ฐาน และเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นก่อนและหลงั เรียนดว้ ยชดุ การสอน สำหรบั นกั เรียน
ช้นั ประถมศึกษาช่วงชั้นที่ 2 โรงเรยี นอนุบาลทพั ทนั ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธภิ าพของการใชช้ ุดการ
สอนมีคา่ เท่ากับ 88.40/88.17 เป็นไปตามเกณฑท์ ี่ตัง้ ไว้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังการใชช้ ดุ
การสอนสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ีระดับ 0.05 แสดงให้เห็นว่า การใช้ชุดการสอนมีรูปแบบ
นา่ สนใจ เนอื้ หาเขา้ ใจง่าย สามารถพัฒนาทกั ษะทางการเรียนและการอ่านโน้ตดนตรีสากลขั้นพนื้ ฐาน
ได้อยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ เปน็ ไปในทศิ ทางทด่ี ี เป็นการกระตนุ้ การเรยี นรู้ การวิเคราะหซ์ ง่ึ ผู้เรียนสามารถ
เรยี นรูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง และส่งผลใหค้ ะแนนผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเพ่ิมข้นึ
ณัฐพงศ์ กาญจนเรอื งรตั น์ (2563) ได้ทำการวจิ ัยเร่อื ง การหาประสิทธิภาพชดุ กจิ กรรม
เสริมหลกั สูตรวิชาดนตรีตามแนวคิดของดาลโครซ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี น
วรมงคล เป็นการวิจัยท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมเสริมหลักสูตรวิชาดนตรีตาม
แนวคิดของดาลโครซ สำหรบั นักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นวรมงคล ใหม้ ปี ระสิทธิภาพตาม
เกณฑ์ 75/75 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยผลการใช้ชุดกิจกรรมเสริม
หลกั สูตรวชิ าดนตรีตามแนวคดิ ของดาลโครซ สำหรับนกั เรยี นช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนวรมงคล
ผลการวิจัยพบว่า การหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมทั้ง 6 ชุด มีคะแนนประสิทธิภาพเท่ากับ
76.50/78.60 ซึ่งสงู กว่าเกณฑท์ ่กี ำหนด และคะแนนผลสัมฤทธิห์ ลังเรยี นของนกั เรยี นสงู กวา่ กอ่ นเรยี น
โดยใช้ชุดกจิ กรรมเสริมหลกั สตู รวิชาดนตรตี ามแนวคิดของดาลโครซ อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิติทร่ี ะดับ
.05
วรี ะภัทร์ ชาตนิ ชุ (2559) ไดท้ ำการวจิ ัยเร่ือง การพฒั นาโสตทกั ษะวิชาดนตรสี ากลโดย
ใช้ชุดกิจกรรมตามแนวคิดของธอรน์ ไดค์ สำหรับนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 5 เป็นการวิจยั ทดลองที่
มีวตั ถปุ ระสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโสตทักษะวิชาดนตรสี ากลของนักเรียนชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 2) ศึกษา
ความสามารถและความคงทนของโสตทักษะวิชาดนตรีสากล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3) ศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โยใช้ชุดกิจกรรมการพัฒนาโสตทักษะวิชาดนตรีสากลตาม
แนวคิดของธอร์นไดค์ ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาโสตทักษะวิชาดนตรีสากล นักเรียนทุกคนมี
คะแนนไม่ตำ่ กว่าร้อยละ 70 ซง่ึ เป็นไปตามสมมุตฐิ านที่ตั้งไว้ 2) นักเรยี นมคี วามสามารถคงทนของโสต
ทักษะวชิ าดนตรสี ากล จากการทดสอบความสามารถ ครงั้ ที่ 1 และครง้ั ท่ี 2 นักเรยี นทุกคนมีคะแนน
28
ผ่านเกณฑ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 3) ความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรม การพัฒนาโสต
ทักษะวิชาดนตรีสากลตามแนวคิดธอรน์ ไดคใ์ นภาพรวมอยู่ในระดบั ดมี าก (คา่ เฉลย่ี 4.29)
วริษา วรรณวิจิตกุล (2561) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการสอน
โปรแกรมวาดภาพระบายสีเพือ่ สง่ เสริมทกั ษะการสร้างสรรค์ศิลปะด้วยคอมพิวเตอร์สำหรบั นกั เรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นการวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาและพัฒนาชุดกิจกรรมการสอน
โปรแกรมวาดภาพระบายสีเพื่อสง่ เสรมิ ทกั ษะการสรา้ งสรรค์ศลิ ปะด้วยคอมพิวเตอร์สำหรับนกั เรียน
ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 2 และศึกษาผลของการใช้ชดุ กจิ กรรมการสอนโปรแกรมวาดภาพระบายสีเพ่อื
ส่งเสริมทักษะการสร้างสรรค์ศิลปะด้วยคอมพิวเตอร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้เรียนประเมินสมรรถนะด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์หลังเรยี นสูงขึ้นกว่าก่อน
เรียนทั้ง 4 ด้านคือ ด้านทักษะคอมพิวเตอร์ทั่วไป, ด้านทักษะการบริหารจัดการไฟล์และการจัดการ
ประมวลผลของมูล, ด้านทกั ษะการสื่อสารแบบออนไลน์และด้านขอ้ มูลสารสนเทศ 2) นกั เรียนมีระดบั
คุณภาพพฤตกิ รรมการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 อยใู่ นระดับดมี าก 3) นักเรยี นมคี ุณภาพการสร้างสรรค์
งานศิลปะดว้ ยคอมพวิ เตอร์อยูใ่ นระดับดีมาก และ 4) นักเรยี นมคี วามพึงพอใจตอ่ ชุดกจิ กรรมการสอน
โปรแกรมวาดภาพระบายสีอยใู่ นระดบั ดมี าก
จากการศึกษางานวิจัยในประเทศข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนโดยใช้
ชุดกิจกรรมหรือสอื่ ตา่ ง ๆ กับวิชาดนตรี สามารถทำใหผ้ เู้ รียนมผี ลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นหลงั เรียนสงู ขน้ึ
กวา่ กอ่ นเรยี น แสดงให้เหน็ ว่า ชุดกจิ กรรมหรอื สอ่ื ตา่ ง ๆ ชว่ ยใหก้ ารเรียนการสอนเกดิ ความสนกุ สนาน
ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้เรียน และกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจในการเรียนวิชาดนตรีมากขึ้น
ส่งผลให้ประสิทธิภาพของการเรียนรู้ของผู้เรียนในวิชาดนตรี รวมถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ
ทักษะความสามารถในวิชาดนตรมี ีการพัฒนามากข้นึ อยา่ งเหน็ ได้ชัด
บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน
การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงทดลอง เรื่อง การพัฒนาความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ต
ดนตรีสากล โดยใช้ชุดกิจกรรม Musical Note สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 4 โดยมีรูปแบบ
การวิจัยแบบ One Group pretest-posttest design ในวิธีการดำเนนิ การวิจยั ครัง้ น้ี มสี ่วนประกอบ
ดังน้ี
1. แบบแผนการทดลอง
2. กลุม่ เปา้ หมาย
3. เคร่ืองมือการวิจัย
4. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
5. การวเิ คราะหข์ ้อมูล
1. แบบแผนการทดลอง
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียววัดผล
ก่อนและหลงั การทดลอง (One Group Pre-test Post-test Design) ซึ่งมรี ายละเอียดแบบแผนการ
ทดลองดังน้ี (มาเรียม นลิ พันธ,์ุ 2553, หนา้ 157)
ตารางที่ 3.1 แบบแผนการทดลองแบบกล่มุ เดยี ว วดั ผลกอ่ นและหลงั การทดลอง
กล่มุ เปา้ หมาย การทดลอง การทดลอง การทดลอง
E T1 X T2
E แทน นักเรยี นกลุ่มเป้าหมาย
T1 แทน การทดลองก่อนการทดลองใช้ชุดกจิ กรรม Musical Note
X แทน การทดลองใชน้ วัตกรรม
T2 แทน การทดลองหลังการทดลองใช้ชดุ กิจกรรม Musical Note
30
2. กลมุ่ เปา้ หมาย
กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งน้ี เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในภาคเรียนที่ 2
ปกี ารศกึ ษา 2563 โรงเรียนกองทพั บกอปุ ถมั ภ์ โยธนิ วทิ ยา จำนวน 20 คน
3. เครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั
เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัยครั้งน้ี เป็นเครอ่ื งมอื ท่ผี ู้วิจยั สร้างข้ึน มี 2 ชนิด ประกอบดว้ ย
3.1 ชุดกิจกรรม Musical Note ที่ใช้เป็นชุดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนา
ความสามารถในการอา่ น เขียนโนต้ ดนตรสี ากล ของนักเรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4
3.2 แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล จากการใชช้ ดุ กิจกรรม
Musical Note จำนวน 20 ข้อ ซงึ่ ประกอบดว้ ย แบบทดสอบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ข้อ
ข้ันตอนการสรา้ งและการหาคณุ ภาพเครอื่ งมือวิจยั
ชุดกิจกรรม Musical Note ทใ่ี ชเ้ ปน็ ชุดกจิ กรรมการเรยี นการสอนเพอ่ื พัฒนาความสามารถ
ในการอ่าน เขียนโนต้ ดนตรีสากล ผวู้ ิจยั ไดด้ ำเนินการสร้างเคร่อื งมอื ตามข้ันตอน ดงั น้ี
1. ศึกษา ค้นคว้าข้อมูล เอกสาร หนังสือ วิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีดนตรี เรื่อง
การอ่าน เขยี นโนต้ ดนตรสี ากล และศึกษาพฤตกิ รรมและจิตวิทยาการสอนดนตรี รวมถึงชดุ กจิ กรรมที่
ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อกำหนดขอบเขตของ
เนื้อหาในการสร้างชุดกิจกรรม Musical Note ให้มีเนื้อหาสอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษาและ
เหมาะสมกบั ความสามารถของผู้เรยี น
2. นำข้อมูลที่ได้ศึกษามากำหนดขอบเขต เพื่อใช้ในการสร้างชุดกิจกรรม Musical Note
ประกอบดว้ ย 5 หัวข้อ ดังนี้
2.1 การเรียกชอื่ ตวั โนต้ มี 2 ระบบ
2.1.1 ระบบซอล-ฟา (Sol-Fa system) คอื โด เร มี ฟา ซอล ลา ที
2.1.2 ระบบตวั อักษร (Letter system) คอื A B C D E F G
2.2 เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีสากล คือ เครื่องหมายและสัญลักษณ์ที่ใช้
สำหรับอ่าน เขียนโน้ตดนตรีแทนเสียงและรูปแบบของทำนองนั้น ๆ มีความหมายและค่าจังหวะที่
แตกตา่ งกัน โดยเครือ่ งหมายและสัญลกั ษณ์ทีผ่ ้วู จิ ัยได้คดั เลอื กมาใช้ในชดุ กิจกรรมนี้ ไดแ้ ก่
31
ตารางท่ี 3.2 เคร่ืองหมายและสัญลกั ษณ์ทผ่ี วู้ ิจยั คดั เลอื กมาใชใ้ นการสรา้ งชุดกจิ กรรม Musical Note
สัญลักษณ์ ช่ือสัญลักษณ์ ความหมาย
โนต้ ตวั กลม เครื่องหมายแสดงอัตราความยาวของเสียง
(Whole Note) จำนวน 4 จงั หวะ
โน้ตตัวขาว เครื่องหมายแสดงอัตราความยาวของเสียง
(Half Note) จำนวน 2 จงั หวะ
โนต้ ตวั ดำ เครื่องหมายแสดงอัตราความยาวของเสียง
(Quarter Note) จำนวน 1 จงั หวะ
โน้ตเขบ็ต 1 ชัน้ เครื่องหมายแสดงอัตราความยาวของเสียง
(Eight Note) จำนวน ½ จังหวะ
โน้ตหยุดตวั กลม เครื่องหมายทำให้เสียงเงียบ หรือหยุดเสียงใน
(Whole Rest) อตั ราความยาว จำนวน 4 จงั หวะ
โนต้ หยดุ ตวั ขาว เครื่องหมายทำให้เสียงเงียบ หรือหยุดเสียงใน
(Half Rest) อัตราความยาว จำนวน 2 จงั หวะ
โนต้ หยุดตัวดำ เครื่องหมายทำให้เสียงเงียบ หรือหยุดเสียงใน
(Quarter Rest) อัตราความยาว จำนวน 1 จงั หวะ
โนต้ หยดุ เขบต็ 1 ช้นั เครื่องหมายทำให้เสียงเงียบ หรือหยุดเสียงใน
(Eight Rest) อัตราความยาว จำนวน ½ จงั หวะ
บรรทัดห้าเสน้ เสน้ ตรงแนวนอน 5 เสน้ ใช้สำหรบั บนั ทึกตัวโน้ต
(Staff line) ตามระดบั เสยี ง
กุญแจซอล เครื่องหมายท่ีกำหนดเสียงของตัวโนต้ ในบรรทดั
(G Clef) หา้ เส้น โดยยดึ เสยี งซอลเปน็ หลัก
เครือ่ งหมาย เครือ่ งหมายท่ใี ช้กำหนดจงั หวะของแต่ละห้อง
เพลง
กำหนดจงั หวะ
(Time Signature)
เส้นกัน้ หอ้ ง เส้นกั้นแบ่งโน้ตในแต่ละห้องให้มีจำนวนจังหวะ
(Bar line) ตามที่เครอ่ื งหมายกำหนดจงั หวะกำหนดไว้
ห้องจบเพลง เส้นท่ีเขียนไว้ท้ายสุดของบทเพลง เพื่อแสดง
(Double Bar line) ความหมายถงึ การจบเพลง
32
2.3 กุญแจเสียง ระดับเสียงและบันไดเสียง คือ การใช้กุญแจเสียงเพื่อกำหนดระดบั
เสยี งและบนั ไดเสียงในบรรทัดห้าเสน้ เพือ่ อา่ น และเขียนโนต้ ดนตรสี ากลได้อย่างถูกตอ้ ง
2.4 ห้องเพลง และจังหวะทางดนตรี คือ การนำโน้ตดนตรีมาเขียนลงในห้องเพลงให้
ตรงตามจังหวะทางดนตรที ี่กำหนด เพื่อให้สามารถอ่าน และเขยี นโน้ตดนตรีสากลได้ตรงตามจงั หวะ
อย่างถกู ต้อง
2.5 การอ่าน และเขียนโน้ตดนตรีสากลเพื่อการบรรเลง คือ การฝึกเขียนโน้ตดนตรี
สากล และการฝึกอ่านโน้ตดนตรีสากลจากสิ่งที่ตนเขียนขึ้นให้เป็นไปตามระบบ และนำไปบรรเลง
ดนตรไี ด้อยา่ งถกู ตอ้ ง
3. ศึกษาค้นคว้าเอกสาร เนื้อหาข้อมูล งานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชุดกิจกรรมและ
พัฒนาการด้านดนตรี เรื่องการอ่าน เขียนโน้ตนดตรีสากลของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
เพื่อกำหนดขอบเขต และรูปแบบของชุดกจิ กรรม Musical Note
4. นำขอ้ มลู ที่ศึกษามาใชใ้ นการออกแบบลกั ษณะของชดุ กจิ กรรม จดั เรียงลำดบั กิจกรรมให้
เหมาะสมกับเนื้อหาและลำดับขั้นของวิธีการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล สำหรับนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 กำหนดระยะเวลาในการทำกิจกรรม โดยผู้วิจัยได้แบ่งเนื้อหาของชุดกิจกรรม
ออกเป็น 5 ลำดับ ไดแ้ ก่
ลำดับที่ 1 (ครั้งท่ี 1) กิจกรรม เร่อื ง โนต้ ดนตรใี นระบบ Sol-Fa และระบบ Letter
ลำดบั ที่ 2 (ครงั้ ท่ี 2) กจิ กรรม เร่ือง เครอื่ งหมายและสัญลักษณท์ างดนตรี
ลำดบั ที่ 3 (คร้งั ท่ี 3) กิจกรรม เรือ่ ง กุญแจเสยี ง ระดับเสียง และบนั ไดเสียงทางดนตรี
สากล
ลำดบั ท่ี 4 (คร้งั ท่ี 4) กจิ กรรม เร่ือง ห้องเพลง และจังหวะทางดนตรีสากล
ลำดับที่ 5 (ครั้งที่ 5) กิจกรรม เรื่อง การอ่าน และเขียนโน้ตดนตรีสากลเพื่อการ
บรรเลง
5. นำชุดกิจกรรมที่ออกแบบไว้ ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา คือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรรณี
สจุ จิตรจ์ ูล และเสนอผเู้ ชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน เพือ่ ตรวจสอบคณุ ภาพของชดุ กิจกรรม Musical Note
ได้แก่
อาจารย์ ดร.กฤษณพงศ์ ทัศนบรรจง อาจารยส์ าขาวิชาสงั คีตศลิ ปไ์ ทย
คณะอักษรศาสตร์
มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร
อาจารย์ ดร.ธรี วุธ ธาดาตนั ติโชค อาจารย์สาขาวชิ าพน้ื ฐานการศกึ ษา
คณะครศุ าสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครปฐม
33
อาจารย์สิรภพ สทิ ธ์ิสน อาจารยส์ าขาวชิ าดนตรีศกึ ษา
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครปฐม
โดยพจิ ารณา 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1) ค่มู อื การใช้ชดุ กจิ กรรม 2) ชุดกจิ กรรม 3) การวัดและ
ประเมินผล โดยกำหนดออกเป็น 5 คะแนน ดงั น้ี
ตารางที่ 3.3 การแปลความหมายคะแนนในการตรวจสอบคณุ ภาพของชดุ กิจกรรม Musical Note
ช่วงคะแนน ระดบั ความเหมาะสม
4.50-5.00 ดเี ย่ียม
3.50-4.49 ดมี าก
2.50-3.49 ดี
1.50-2.49 พอใช้
ต่ำกวา่ 1.50 ปรบั ปรงุ
ผเู้ ช่ยี วชาญไดเ้ สนอแนะสำหรับชุดกจิ กรรม Musical Note โดยให้มีการแยกการเขียน
จุดประสงคข์ องแต่ละกิจกรรมออกเป็นอีกหัวข้อหนึง่ ในชุดกิจกรรมให้ชดั เจนมากขึ้นและปรับเปล่ียน
การใช้คำในชุดกิจกรรม ให้เข้าใจง่ายมากขึ้น ซึ่งผู้วิจัยได้แก้ไขโดยเพิ่มหัวข้อจุดประสงค์ของแต่ละ
กจิ กรรมให้ชัดเจนมากขนึ้
6. สรุปผลการตรวจสอบคุณภาพของชุดกิจกรรม Musical Note ทั้งด้านคู่มือการใช้ชุด
กิจกรรม ชดุ กิจกรรม และการวัดประเมินผลภายในชุดกิจกรรม พบว่า คณุ ภาพของชดุ กิจกรรมอยู่ใน
ระดับดมี าก ซึง่ อยใู่ นเกณฑ์ท่สี ามารถใช้ได้ (รายละเอียดอยใู่ นภาคผนวก ก)
7. นำชุดกิจกรรมไปใชก้ บั กลุ่มเป้าหมาย
แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล
แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล เป็นแบบทดสอบชุดเดยี ว
จำนวน 20 ขอ้ ประกอบด้วย แบบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ข้อ ผวู้ ิจยั ไดด้ ำเนนิ การสร้างเครอื่ งมอื
ตามขนั้ ตอน ดงั น้ี
1. ศึกษาค้นคว้าเอกสาร เนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีดนตรี เรื่องการอ่าน
เขยี นโน้ตดนตรีสากล
2. ศึกษาค้นคว้าเอกสาร เนื้อหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชุดกิจกรรม เพื่อกำหนด
ขอบเขตและเนือ้ หาในการออกแบบแบบทดสอบความสามารถ เรื่องการอ่าน เขียนโนต้ ดนตรสี ากล
34
3. นำข้อมูลที่ศึกษาไว้มาออกแบบทดสอบทางการเรียน เรื่องการอ่านโน้ตดนตรีสากล
โดยแบบทดสอบเป็นแบบทดสอบปรนัย 4 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ขอ้
4. นำแบบทดสอบทีอ่ อกแบบไว้ ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา คือ ผู้ช่วยศาสตราจารยว์ รรณี
สุจจติ รจ์ ูล และเสนอผเู้ ชีย่ วชาญ จำนวน 3 คนเพอ่ื ตรวจสอบคณุ ภาพแบบทดสอบเพ่ือหาค่าดัชนีของ
ความสอดคลอ้ ง (IOC) ไดแ้ ก่
อาจารย์ ดร.กฤษณพงศ์ ทัศนบรรจง อาจารย์สาขาวิชาสงั คีตศลิ ปไ์ ทย
คณะอกั ษรศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร
อาจารย์ ดร.ธีรวุธ ธาดาตันตโิ ชค อาจารยส์ าขาวิชาพน้ื ฐานการศึกษา
คณะครุศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครปฐม
อาจารย์สิรภพ สทิ ธส์ิ น อาจารย์สาขาวิชาดนตรศี ึกษา
คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครปฐม
ผู้เชยี่ วชาญไดเ้ สนอแนะสำหรับแบบทดสอบ โดยให้ผู้วจิ ัยปรับปรงุ คำถามในข้อท่ี 1
ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากระดับเสียงในดนตรีสากลนั้น มีทั้งหมด 12 เสียง แต่ในระดับช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 4 จะเรียนระดับเสียงเบื้องต้นเพียงแค่ 7 เสียง อาจเปลี่ยนข้อคำถามโดยใช้คำวา่
เสียงของตัวโน้ตดนตรมี กี ีเ่ สียง ผูว้ ิจัยไดแ้ ก้ไขคำถามข้อท่ี 1 จาก เสยี งของดนตรสี ากลมที งั้ หมดก่เี สียง
เป็นเสยี งของตัวโนต้ ดนตรีสากลมที ้งั หมดกีเ่ สยี ง
5. สรุปผลความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อแบบทดสอบเกี่ยวกับความสอดคล้องของ
จุดประสงค์การเรียนรู้กับข้อคำถาม พบว่าความสอดคล้องของแบบทดสอบมีค่าเฉลี่ย IOC เท่ากบั
1.00 ซงึ่ ในเกณฑท์ สี่ ามารถนำไปใช้ได้ (รายละเอยี ดอยใู่ นภาคผนวก ก.)
6. นำแบบทดสอบทม่ี คี ุณภาพไปใช้กบั กลุ่มเปา้ หมาย เพื่อเกบ็ รวบรวมกอ่ นนำไปวิเคราะห์
ขอ้ มูล
35
4. การเก็บรวบรวมข้อมลู
ผู้วจิ ัยได้ดำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดงั น้ี
1. ทดสอบก่อนเรียน ด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรี
สากล
2. ดำเนินการใช้ชุดกิจกรรม Musical Note เป็นเวลา 3 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 คาบ
รวมทัง้ หมด 5 คาบ (คาบละ 60 นาท)ี
3.. ทดสอบหลังเรียน ด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรี
สากล
4. ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติ เปรียบเทียบหาผลของ
แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่าน เขียนโนต้ ดนตรีสากล กอ่ นเรยี นและหลังเรยี น
5. การวิเคราะห์ข้อมูล
สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมลู ไดแ้ ก่
5.1 สถิติพ้นื ฐาน ได้แก่
5.1.1 ใช้ µ หาค่าเฉลี่ยเลขคณติ (mean) ของแบบทดสอบความสามารถในการอา่ น
เขียนโน้ตดนตรีสากล ใชส้ ตู รดงั นี้ ∑
µ =
โดย แทน ค่าเฉล่ียของกลุ่มเปา้ หมาย
∑ แทน ผลรวมของคะแนนทุกตัวในกล่มุ
แทน จำนวนขอ้ มลู ของกลุ่มเป้าหมาย
5.1.2 ใช้ร้อยละ (Percentage) ในการหาร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนสอบได้
โดยใช้สตู รดังนี้ (สมบัติ ท้ายเรือคำ, 2551, น. 119)
= × 100
โดย แทน ค่ารอ้ ยละ
แทน ความถี่ทต่ี ้องการแปลงใหเ้ ปน็ รอ้ ยละ
แทน จำนวนความถ่ีทง้ั หมด
36
5.1.3 ใชส้ ว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) หาคา่ การกระจายของขอ้ มลู
ในการทดสอบความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรสี ากล ใช้สตู รดงั นี้
= 1∑( − )5
โดย แทน สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน
∑ แทน ผลรวม
Χ แทน ขอ้ มลู แตล่ ะจำนวน
µ แทน ค่าเฉลยี่
แทน จำนวนความถีท่ งั้ หมด
5.2 สถติ ิทีใ่ ช้ในการหาคณุ ภาพเครอื่ งมอื ได้แก่
5.2.1 ใช้ค่าเฉลี่ยในการหาคุณภาพเครื่องมือโดยใช้แบบประเมินแบบประมาณค่า
5 Rating Scale โดยหาค่าเฉลี่ยของคณุ ภาพเครอื่ งมือจากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ (ดงั สตู รในข้อ
5.1.1)
5.2.2 ใช้ IOC ในการหาความคุณภาพของแบบทดสอบ โดยพิจารณาความสอดคลอ้ ง
ระหว่างรายการคำถามกับจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ (IOC) จากการพจิ ารณาของผ้เู ชี่ยวชาญ โดยใช้สูตร
คำนวณ ดังนี้ (พรรณี ลีกจิ วฒั นะ, 2556, น. 110)
IOC = ∑
โดย IOC แทน ดชั นคี วามสอดคล้อง มคี า่ ระหวา่ ง -1 ถงึ +1
R แทน คะแนนของผ้เู ช่ียวชาญแตล่ ะคนในขอ้ นัน้
ΣR แทน ผลรวมคะแนนของผู้เชย่ี วชาญทกุ คนในขอ้ น้ัน
Ν แทน จำนวนผเู้ ชย่ี วชาญทใี่ หค้ ะแนนในขอ้ นัน้
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล
การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้สร้างชุดกิจกรรม Musical Note เพื่อพัฒนาความสามารถใน
การอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 20 คน ผู้วิจัยจึงได้
นำเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการวิจยั ดงั น้ี
1. ผลการพฒั นาชดุ กิจกรรม Musical Note สำหรับนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปที ่ี 4
จากการสร้างชุดกิจกรรม Musical Note เพื่อพัฒนาความสามารถในการอา่ น เขียนโน้ต
ดนตรีสากล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สิ่งท่ีปรากฏในชุดกิจกรรม Musical Note
มอี งคป์ ระกอบที่สำคัญตามแนวคิดของชดุ กจิ กรรม ดังน้ี
1) ค่มู ือการใช้ชุดกิจกรรม Musical Note สำหรบั นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4
2) คำชแี้ จงในการใชช้ ดุ กจิ กรรม Musical Note สำหรบั นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 4
38
3) ช่ือกจิ กรรม
4) ข้ันตอนและจุดประสงคข์ องกจิ กรรม
5) ใบกจิ กรรม
6) ใบงาน
39
7) แบบทดสอบความสามารถในการอา่ น เขยี นโน้ตดนตรีสากล
นอกจากนี้ ชุดกิจกรรม Musical Note ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเนื้อหา จำนวน 5 เรื่อง
ไดแ้ ก่
1) โน้ตดนตรีในระบบ Sol-Fa และระบบ Letter โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียน
สามารถจับคูโ่ น้ตดนตรใี นระบบโนต้ ดนตรีท้งั 2 ระบบทีใ่ ชส้ ำหรับการบันทึกโนต้ ดนตรีสากลได้อย่าง
ถูกตอ้ ง
2) เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรี โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนรู้จัก
ความหมายและค่าจงั หวะของเคร่อื งหมายและสญั ลกั ษณท์ างดนตรีสากลเบื้องต้น
3) กุญแจเสียง ระดับเสียง และบันไดเสียงทางดนตรีสากล โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้
นักเรียนใช้กุญแจเสียง และบันทกึ ระดับเสยี งตามบนั ไดเสียงทางดนตรีสากลอย่างถกู ต้อง
4) ห้องเพลง และจังหวะทางดนตรีสากล โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้นักเรียนอ่าน เขียน
โนต้ ดนตรสี ากลลงในห้องเพลงตามจงั หวะที่กำหนดได้ถูกตอ้ ง
5) การอ่าน และเขยี นโนต้ ดนตรสี ากลเพื่อการบรรเลง โดยมีจดุ ประสงค์เพอื่ ใหน้ ักเรยี น
สามารถอ่าน เขยี นโน้ตดนตรีเปน็ ทำนองตามจนิ ตนาการและบรรเลงดนตรตี ามทำนองท่ีตนเองแต่งได้
อยา่ งถกู ตอ้ ง
โดยนำชุดกิจกรรม Musical Note ขา้ งตน้ ไปใช้พฒั นาความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ต
ดนตรี ของนกั เรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 (รายละเอียดคมู่ ือการใช้ชดุ กจิ กรรม Musical Note อยู่ใน
ภาคผนวก ก)
40
2. ผลการตรวจสอบชดุ กิจกรรม Musical Note สำหรบั นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 4
การตรวจสอบผลการพัฒนาความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล โดยใช้ชุด
กิจกรรม Musical Note สามารถวิเคราะห์ผลได้จากการเปรียบเทยี บความสามารถในการอา่ น เขียน
โน้ตสากล โดยผู้วิจัยได้ทำการทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตสากลของนักเรียน
กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 20 คน โดยใช้แบบทดสอบความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล
จำนวน 20 ขอ้ ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก ท่ีผวู้ จิ ัยสรา้ งข้ึน ใชเ้ วลา 20 นาที ซงึ่ ผู้วจิ ัยได้ทำการบันทึก
คะแนนสอบไว้ จากนั้นผู้วิจัยจึงนำชุดกิจกรรม Musical Note ไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล เป็นเวลา 3 สัปดาห์ จำนวน 5 คาบเรียน
คาบเรียนละ 60 นาที หลังจากนั้นผู้วิจัยทดสอบหลังเรียนกับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้
แบบทดสอบความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล จำนวน 20 ข้อ ชนิดเลือกตอบ
4 ตวั เลอื ก ทผี่ ู้วจิ ยั สร้างข้นึ โดยมกี ารสลับขอ้ ผลปรากฏดงั ตาราง ต่อไปนี้
ตารางที่ 4.1 แสดงผลเปรียบเทียบผลคะแนนการทดสอบความสามารถในการอา่ น เขียนโนต้ ดนตรี
สากลกอ่ นเรยี นและหลังเรยี นดว้ ยชุดกิจกรรม Musical Note สำหรบั นักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปที ่ี 4
นกั เรยี นลำดับที่ ผลคะแนน
ก่อนเรยี น (20) หลงั เรยี น (20)
1 12 20
2 7 16
3 10 18
4 4 15
5 6 16
6 11 19
7 4 10
8 5 14
9 6 14
10 4 13
11 9 18
12 5 12
13 8 17
41
นกั เรียนลำดบั ที่ ผลคะแนน หลงั เรียน (20)
ก่อนเรียน (20) 9
14 12
15 4 20
16 6 17
17 14 11
18 7 17
19 5 13
20 10 301
รวม 7
144 15.05
7.2 75.25
รอ้ ยละ 36 3.26
2.93
จากตารางท่ี 4.1 ผลการทดสอบความสามารถในการอ่าน เขยี นโนต้ ดนตรีสากลก่อนเรียน
ด้วยชุดกิจกรรม Musical Note กับหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรม Musical Note ซึ่งพบว่าหลังจากที่
เรียนดว้ ยชดุ กจิ กรรม Musical Note นักเรียนมคี ะแนนเฉลี่ยของการทำแบบทดสอบความสามารถใน
การอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล ( = 15.05 คิดเป็นร้อยละ 75.25 และ = 3.26) สูงกว่าคะแนน
เฉลี่ยที่ได้จากการทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตสากลก่อนเรียนด้วยชุดกิจกรรม
Musical Note ( = 7.2 คิดเปน็ รอ้ ยละ 36 และ = 2.93) แสดงให้เหน็ ว่านักเรยี นชั้นประถมศกึ ษา
ปีที่ 4 มีความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล หลังการใช้ชุดกิจกรรม Musical Note
สูงกวา่ ก่อนใชช้ ดุ กิจกรรม Musical Note
บทท่ี5
การสรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรม Musical Note และตรวจสอบชุด
กิจกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากลของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรม Musical Noteโดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็น
นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 4 โรงเรียนกองทัพบกอุปถมั ภ์ โยธนิ วทิ ยา จำนวน 20 คน เครือ่ งมือที่ใช้
ในการวจิ ยั เปน็ ชดุ กจิ กรรม Musical Note เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรสี ากล
เก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยผู้วิจัยเองด้วยการให้นักเรียนทำแบบทดสอบความสามารถในการอา่ น เขียน
โน้ตดนตรสี ากลก่อนและหลังการทดลอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะหข์ ้อมูลประกอบด้วย สถิติพื้นฐาน
ไดแ้ ก่ คา่ เฉลยี่ ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน โดยสรปุ ผลการวิจยั ดังนี้
สรุปผลการวิจัย
1. ผลการพัฒนาชุดกิจกรรม Musical Note พบว่า ชุดกิจกรรม Musical Note
ประกอบด้วย คู่มือการใช้ชุดกิจกรรม คำชี้แจง ชื่อกิจกรรม ขั้นตอนและจุดประสงค์ของกิจกรรม
ใบกจิ กรรม ใบงาน และแบบทดสอบความสามารถในการอา่ น เขยี นโนต้ ดนตรสี ากล ทส่ี ามารถทำให้
นกั เรียนได้รู้จักเครอื่ งหมายและสญั ลักษณ์ทางดนตรสี ากลไปจนถงึ มีพัฒนาความสามารถในการอ่าน
เขยี นโนต้ ดนตรสี ากลได้อย่างต่อเน่ืองเปน็ ลำดับ โดยผู้เชย่ี วชาญเหน็ วา่ ชุดกิจกรรมมคี วามเหมาะสมท่ี
จะนำไปใช้ และคุณภาพของชดุ กิจกรรมนี้อยใู่ นระดบั ดีมาก
2. ผลการตรวจสอบชุดกิจกรรม Musical Note พบวา่ นักเรยี นกลุ่มเปา้ หมายหลังจากได้
ใชช้ ุดกจิ กรรม Musical Note มกี ารพัฒนาความสามารถในการอา่ น เขยี นโน้ตดนตรีสากลสงู กว่ากอ่ น
ใช้ชุดกจิ กรรม
การอภปิ รายผล
1. จากการวจิ ัยพบว่า การพฒั นาชดุ กิจกรรม Musical Note สามารถทำให้นักเรยี นได้รู้จัก
เครอ่ื งหมายและสัญลกั ษณท์ างดนตรีสากลไปจนถงึ มีพัฒนาความสามารถในการอา่ น เขยี นโน้ตดนตรี
สากลได้อย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ ซึ่งประกอบด้วย คู่มือการใช้ชุดกิจกรรม คำชี้แจง ชื่อกิจกรรม
ขั้นตอนและจดุ ประสงค์ของกิจกรรม ใบกิจกรรม ใบงาน และแบบทดสอบความสามารถในการอา่ น
สอดคล้องกับงานวิจัยของ อิสระ กีตา (2561: บทคัดย่อ) ที่พบว่าการใช้ชุดการสอนที่มีรูปแบบ
น่าสนใจ เนื้อหาเขา้ ใจงา่ ย สามารถพัฒนาทกั ษะทางการเรียนและการอา่ นโน้ตดนตรสี ากลข้ันพ้นื ฐาน
43
ไดอ้ ยา่ งเต็มศักยภาพ เป็นไปในทศิ ทางทด่ี ี เป็นการกระตนุ้ การเรียนรู้ การวิเคราะห์ซึง่ ผูเ้ รยี นสามารถ
เรยี นรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง และสง่ ผลใหค้ ะแนนผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นเพมิ่ ข้ึน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ
ชุดกิจกรรมท่ี ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2537) ได้ให้ความหมายของชุดกิจกรรมว่า ชุดกิจกรรมเป็นสื่อ
ประเภทหนงึ่ ท่ีจดั เป็นระบบตามวัตถุประสงค์ มีจุดมุ่งหมายเฉพาะในเรอ่ื งทีจ่ ะสอน มีความสอดคล้อง
กับเนื้อหาวิชาอย่างเป็นลำดับขั้น ช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ เช่นเดียวกบั การใชช้ ุดกจิ กรรม Musical Note ท่ีแสดงใหเ้ ห็นว่าชุดกิจกรรม Musical
Note ทำให้ผู้เรยี นเกิดความรู้ความเข้าใจตามจุดประสงค์ของแต่ละกิจกรรม และสามารถนำมาใช้ใน
การจัดการเรียนการสอนได้อย่างดี เนื้อหาในแต่ละกิจกรรมมีความเชื่อมโยงสอดคล้อง และเป็นไป
ตามลำดับจากง่ายไปยาก ภายในชุดกิจกรรมมีจุดสนใจทำให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้มากขนึ้
สง่ ผลให้คะแนนความสามารถในการอ่าน เขยี นโนต้ ดนตรสี ากลหลงั จากใช้ชดุ กิจกรรมสูงข้ึนกว่าก่อน
ใช้ชุดกจิ กรรมอยา่ งมปี ระสิทธิภาพมากขน้ึ
2. จากผลการทดสอบความสามารถในการอ่าน เขียนโน้ตดนตรีสากล จำนวน 20 ข้อ
พบว่านักเรียนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 20 คน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 7.2 คิดเป็นร้อยละ
36 และมีคะแนนเฉลยี่ หลังเรียนเทา่ กบั 15.05 คดิ เปน็ ร้อยละ 75.25 ซง่ึ แสดงใหเ้ ห็นว่าหลงั จากได้ใช้
ชุดกิจกรรม Musical Note มีผลการทดสอบความสามารถในการอา่ น เขียนโน้ตดนตรีสากล สูงกว่า
ก่อนใช้ชุดกิจกรรม ซึ่งสอดคล้องกบั งานวิจัยของวีระภัทร์ ชาตินุช (2559: บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัย
เร่อื ง การพัฒนาโสตทักษะวิชาดนตรสี ากลโดยใชช้ ดุ กิจกรรมตามแนวคิดของธอร์นไดค์ ซง่ึ ผลการวจิ ยั
พบว่า นักเรียนทกุ คนมคี ะแนนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 โดยสอดคล้องกบั ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงความรู้ โดย
ชัยวัฒน์ สุทธิรตั น์ (2552) ได้กล่าวถึงการนำทฤษฎีการเชื่อมโยงความรู้ของธอร์นไดค์มาประยุกตใ์ ช้
เก่ียวกับการจดั การเรยี นรู้วา่ ใหน้ ักเรียนรจู้ กั การลองผดิ ลองถกู รู้จกั วธิ กี ารแก้ปญั หา เชอื่ มโยงความรู้
เดิมของผเู้ รยี นกับความรู้ใหม่ และฝกึ ทกั ษะของผู้เรียนอยา่ งสม่ำเสมอแตต่ อ้ งไม่ซำ้ ซากจนสร้างความ
เบอ่ื หน่าย และนำสิง่ ทเ่ี รียนร้ไู ปใชใ้ นสถานการณ์ตา่ ง ๆ บอ่ ย ๆ จนเกิดทกั ษะที่สมบูรณ์ย่งิ ข้นึ ซึง่ จาก
ผลการใช้ชดุ กิจกรรม Musical Note แสดงให้เห็นว่า ชุดกิจกรรมที่สรา้ งขึ้นได้นำสื่อที่สอดคล้องกับ
เนื้อหาของแต่ละหนว่ ยการเรียนมาชว่ ยพฒั นาให้นักเรยี นได้ฝึกฝน และพฒั นาทกั ษะความสามารถใน
การอา่ น เขียนโนต้ ดนตรีสากลของผเู้ รียนจากการเรียนรู้ด้วยตนเองผา่ นกิจกรรมตา่ ง ๆ ทำให้ผู้เรียน
ไดเ้ ข้ารว่ มกิจกรรมดว้ ยความสนใจโดยเชอ่ื มโยงความรเู้ ดมิ ของผเู้ รยี นในเรือ่ งการเสียงของดนตรีสากล
กับการพัฒนาความสามารถในการอา่ น เขียนโน้ตดนตรีสากล จนผู้เรียนมีความสามารถอ่าน เขียน
โนต้ ดนตรีสากลสงู ข้นึ และสามารถนำไปใช้ในการเรียนวิชาดนตรีในขัน้ ท่สี งู ข้ึนได้