The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แสงสัจธรรม
โดย นายไพโรจน์ มินเด็น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by minden family, 2021-08-13 03:41:11

แสงสัจธรรม

แสงสัจธรรม
โดย นายไพโรจน์ มินเด็น

Keywords: โดย นายไพโรจน์ มินเด็น,แสงสัจธรรม,ไพโรจน์ มินเด็น,มินเด็น

1

2

3


สารบัญ

• กว่าจะมาถงึ จุดนี…/ ……….………………….…….…………….……………2
• คาํ ปรารภ………….………………….…….…………….…………………..99
• ช<ือน/ันสําคญั ไฉน………….………………….…….…………….…………..14
• วนั ใช้บังคบั ………….………………….…….…………….………………..16
• บทยกเลกิ กฎหมายเก่า………….………………….…….…………….……..18
• บทนิยามศัพท์………….………………….…….…………….……………..TU
• ผู้รักษาการตามกฎหมาย………….………………….…….…………….…..26

หมวด & บททวั* ไป………….………………….…….…………….………./0

• การแต่งต/งั จุฬาราชมนตรี………….………………….…….………………"#

• คุณสมบตั แิ ละลกั ษณะต้องห้ามของจุฬาราชมนตรี………….………………_`
• อาํ นาจหน้าทขี< องจุฬาราชมนตรี………….………………….…….………..`a
• การพ้นจากตาํ แหน่งของจุฬาราชมนตรี………….………………….………a9
• สิทธิในการสวมเสื/อครุยและการประดบั เขม็ พระปรมาภไิ ธย………………..aa
• การจดั ต/งั อสิ ลามวทิ ยาลยั ………….………………….…….……………… ad

หมวด / การจดั ต6งั และการเลกิ มสั ยดิ …………….………………….60

• การจดั ต/งั และการเลกิ มสั ยดิ ………….………………….…….…………….29
• มสั ยดิ จดทะเบียนแล้วเป็ นนิตบิ ุคคล………….………………….…….……2a
• การจดทะเบียนเลกิ มสั ยดิ ………….………………….…….………………2e
• การคดั เลือกกรรมการอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ ชุดแรก…………………………..d9

หมวด A คณะกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทย…………..GH

• ทม<ี าของคณะกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทย……………………….da
• คุณสมบัตแิ ละลกั ษณะต้องห้ามของกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทย..eU

4


• อาํ นาจหน้าทขี< องคณะกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทย………………eT
• วาระการดาํ รงตาํ แหน่งของกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทย…………fU
• การพ้นจากตาํ แหน่งของกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทย……………fT
• การประชุมคณะกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทย…………………….fa
• สํานักงานคณะกรรมการกลางอสิ ลามแห่งประเทศไทย………………………fe

หมวด H คณะกรรมการอสิ ลามประจาํ จงั หวดั …………………..&J&

• คณะกรรมการอสิ ลามประจาํ จงั หวดั …………………………………………9UT
• คุณสมบัตแิ ละลกั ษณะต้องห้ามของกรรมการอสิ ลามประจาํ จงั หวดั . .……….9U2
• วาระการดาํ รงตาํ แหน่งของกรรมการอสิ ลามประจาํ จงั หวดั …….……..……..9Uf
• อาํ นาจหน้าทขี< องคณะกรรมการอสิ ลามประจาํ จงั หวดั ………………………99T
• การพ้นจากตาํ แหน่งของกรรมการอสิ ลามประจาํ จงั หวดั …………………….9Ta
• การประชุมคณะกรรมการอสิ ลามประจาํ จงั หวดั ……………………………..9T2
• สํานักงานคณะกรรมการอสิ ลามประจาํ จงั หวดั ………………………………9Tf

หมวด K คณะกรรมการอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ …………………….&AJ

• คณะกรรมการอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ ………….………………………….……9_9
• คุณสมบัตแิ ละลกั ษณะต้องห้ามของอหิ ม่าม คอเตบ็ และบิหลน<ั ………….…..9_d
• คุณสมบตั แิ ละลกั ษณะต้องห้ามของกรรมการอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ ..…………9`9
• การคดั เลือกอหิ ม่าม คอเตบ็ หรือบิหลนั< แทนตาํ แหน่งทว<ี ่างลง……….………9`_
• วาระการดาํ รงตาํ แหน่งกรรมการอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ และ

การคดั เลือกแทนตาํ แหน่งทวี< ่างลง………….………………………………..9`a
• อาํ นาจหน้าทขี< องคณะกรรมการอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ ………….…………….9`d
• สิทธิในการร้องคดั ค้านกรณถี ูกจาํ หน่ายชื<อออกจาก

ทะเบียนสัปปุรุษประจาํ มสั ยดิ ………….…………………………….………9af
• อาํ นาจหน้าทขี< องอหิ ม่าม….…………….………….………………………..92T
• อาํ นาจหน้าทข<ี องคอเตบ็ ………….…………………………….……………922
• อาํ นาจหน้าทขี< องบหิ ลน<ั …………….………………….…….……………..92d
• การพ้นจากตาํ แหน่งของกรรมการอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ …………………….92e

5


• สิทธิในการร้องคดั ค้านของกรรมการอสิ ลาม
ประจาํ มสั ยดิ กรณถี ูกให้พ้นจากตาํ แหน่ง…………………………………….9d9

• การประชุมคณะกรรมการอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ ……….………….………….9d`

บทเฉพาะกาล………….…………………………….……………………….&GK

• บทเฉพาะกาลรองรับผู้ดาํ รงตาํ แหน่งเดมิ ……….………….………………..9d2
• บทเฉพาะกาลรองรับมสั ยดิ ทไี< ด้จดทะเบยี นไว้แล้วเดมิ ……….……………..9df
• บทเฉพาะกาลรองรับอสิ ลามวทิ ยาลยั แห่งประเทศไทยตามกฎหมายเดมิ ….. 180
• บทเฉพาะกาลรองรับกฎหมายลาํ ดบั รองเดมิ ……………………….………181

6


‫ﺑﺴﻢ اﻟﻠﱠـ ِﮫ اﻟ ﱠﺮ ْﺣ َﻤ ٰـ ِﻦ اﻟ ﱠﺮ ِﺣﯿ ِﻢ‬

‫ِ ِﻣ ْﻦ ُﺷ ُﺮ ْو ِر‬G‫ﻧَﺘُ ْﻮ ُب ِإﻟَ ْﯿﮫ َو ﻧَﻌُ ْﻮذُ ِﺑﺎ‬ ‫ِ ﻧَ ْﺤ َﻤ ُﺪهُ َو ﻧَ ْﺴﺘَ ِﻌﯿﻨُﮫُ َو ﻧَ ْﺴﺘَ ْﻐ ِﻔ ُﺮهُ َو‬8ّ ِ ‫ِإ ﱠن ا ْﻟ َﺤ ْﻤ َﺪ‬
،،ُ‫ ﱠن َو ُﻣَﻣ َْﺤﻦ ﱠﻤﯾَُﺪاً ْﻀ ِﻠ َﻋ ْﻞْﺒ ُﺪﻓَهُ َﻼ َو َھَرﺎ ِد ُﺳ َْيﻮﻟُﻟَﮫُﮫ‬،َ‫َُﻣوأَ ِﻀْﺷ ﱠﻞَﮭ ُﺪﻟَﮫُأ‬ ‫ َﻣ ْﻦ ﯾَ ْﮭ ِﺪ ِه ﷲُ ﻓَ َﻼ‬،‫أَ ْﻧﻔُ ِﺴﻨَﺎ َو ِﻣ ْﻦ َﺳ ِﯿّﺌَﺎ ِت أَ ْﻋ َﻤﺎ ِﻟﻨَﺎ‬
،ُ‫َوأَ ْﺷ َﮭ ُﺪ أَ ْن َﻻ إِﻟَﮫَ إِ ﱠﻻ ﷲُ َو ْﺣ ُﺪهُ َﻻ َﺷ ِﺮ ْﯾ َﻚ ﻟَﮫ‬
‫ﺗَ ُﻛِﺒﻨﻌَﺘُ ُْﮭﻢ ْﻢ َﺧِﺑ ِْﯿﺈ َ ْﺮﺣ أُ َﺴﱠﻣﺎ ٍﺔٍنأُ ِإ ْﻟَﺧ ِﺮﻰ َﺟﯾَ ْ ْﻮﺖِم ِﻟاﻠﻟﻨﱠﺎًﺪﯾِ ِسﻦ‬ ‫آ ِﻟﮫ َو َﺻ ْﺤ ِﺒﮫ َو َﻣ ْﻦ‬ ‫ﻧَ ِﺒﯿًﻨَﺎ ُﻣ َﺤ ﱠﻤ ٍﺪ َو َﻋﻠَﻰ‬ ‫ َﻋﻠﻓَﻘََﻰْﺪ‬٠‫اَﻟأَﻠﱠﱠﻣ ُﺎﮭ ﱠﻢﺑَ ْﻌ ُﺪ َﺻه ًﻞ‬
، ‫ِﻛ ِﺘﺎ ِب ﷲِ اﻟﻌَ ِﻈ ْﯿﻢ‬ ‫ﻗَﺎ َل ﷲُ ﺗَﻌَﺎﻟَﻰ ِﻓﻲ‬
‫ ﯾَﺎ أَﯾﱡ َﮭﺎ اﻟﱠ ِﺬﯾ َﻦ آ َﻣﻨُﻮا اﺗﱠﻘُﻮا‬، ِ8‫ﺗَﺄْ ُﻣ ُﺮو َن ﺑِﺎ ْﻟ َﻤ ْﻌ ُﺮو ِف َوﺗَ ْﻨ َﮭ ْﻮ َن َﻋ ِﻦ ا ْﻟ ُﻤﻨ َﻜ ِﺮ َوﺗُ ْﺆ ِﻣﻨُﻮ َن ِﺑﺎ ﱠ‬
َw‫َ َوﻗُﻮﻟُﻮا ﻗَ ْﻮﻻ َﺳ ِﺪﯾ ًﺪا ﯾُ ْﺼ ِﻠ ْﺢ ﻟَ ُﻜ ْﻢ أَ ْﻋ َﻤﺎﻟَ ُﻜ ْﻢ َوﯾَ ْﻐ ِﻔ ْﺮ ﻟَ ُﻜ ْﻢ ذُﻧُﻮﺑَ ُﻜ ْﻢ ۗ َو َﻣﻦ ﯾُ ِﻄ ِﻊ ﱠ‬w‫ﱠ‬
‫ َﺻ َﺪ َق ﷲُ اﻟﻌَ ِﻈ ْﯿﻢ‬،‫َو َر ُﺳﻮﻟَﮫ ﻓَﻘَ ْﺪ ﻓَﺎ َز ﻓَ ْﻮ ًزا َﻋ ِﻈﯿ ًﻤﺎ‬

กว่าจะมาถงึ สู่จุดนี2

ด้วยพระประสงค์ของอลั ลอฮฺ

ขอความสุข ความสันติ ความเมตตาปราณีจากเอกองคอ์ ลั ลอฮ (ซบ) ไดโ้ ปรดประสบแด่
ผูอ้ ่านทุกท่าน เหนือสIิงอืIนใดขา้ พเจา้ ขอกล่าวคาํ ว่า “อลั ฮมั ดุลิNลลาฮฺ” เพIือเป็ นการสรรเสริญต่อ
พระองคท์ ีIไดท้ รงโปรดประทานเวลาและโอกาส พร้อมทNงั การมีสุขภาพอนามยั ทIีดีในร่างกาย
จิตใจ และสติปัญญา จนทาํ ใหข้ า้ พเจา้ ไดส้ ามารถเขียนหนงั สือเล่มนNีไดเ้ ป็นผลสาํ เร็จตามทีIไดต้ Nงั
เจตนาเอาไว้ ก่อนอIืนใดเลย ขา้ พเจา้ ขอกล่าวว่าทุกสIิงทุกอย่างทีIเกิดขNึน ทุกๆ การกระทาํ และ
ทุกๆ ความสาํ เร็จนNนั ลว้ นแลว้ แต่เป็ นพระประสงคข์ องอลั ลอฮ (ซบ) ทNงั สิNน ไม่มีสิIงใดทIีจะหลบ
เลIียงหรือไม่เป็ นไปตามการลิขิตของพระองคไ์ ด้ แมแ้ ต่ความสําเร็จในการจดั ทาํ หนังสือเล่มนNี
กต็ าม

7


เริ8มต้นจากสัตวแพทย์

ในช่วงวยั เดก็ ของขา้ พเจา้ นบั เป็นช่วงเวลาทีIโชคดีเป็นอยา่ งมากเนืIองจากบิดามารดาของ
ขา้ พเจา้ ไดเ้ พียรพยายามทีIจะผลกั ดนั ใหข้ า้ พเจา้ ไดศ้ ึกษาหาความรู้ทNงั ทางดา้ นสามญั และทางดา้ น
ศาสนาควบคู่กนั ไป แมแ้ ต่ในช่วงภาคฤดูร้อนท่านทNงั สองก็มกั จะส่งขา้ พเจา้ เขา้ รับการอบรมใน
สถานทIีต่างๆ เพืIอให้ไดร้ ับความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา ซIึงในตอนนNนั ขา้ พเจา้ ไม่เคยคิดเลยว่าเมIือ
โตขNึนขา้ พเจา้ จะสามารถนาํ ความรู้เหล่านNนั มาใชป้ ระโยชน์ในปัจจุบนั ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี แต่อยา่ งไร
ก็ตาม ข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงอนาคตของตนเองว่าเมIือเติบโตขNึนแล้วจะได้เป็ นอะไรหรือจะ
ประกอบอาชีพอะไร สIิงเดียวทIีคิดไดใ้ นขณะนNนั ก็คือ การพยายามตNงั ใจเรียนให้ดีทีIสุดเท่าทIีจะ
ทาํ ได้ ขา้ พเจา้ ไม่เคยคิดเลยว่าขา้ พเจา้ จะสามารถมายืนอยูส่ ู่จุดนNีได้ เนIืองจากความสําเร็จของ
ขา้ พเจา้ นNันเริIมตน้ จากการไดเ้ รียนและจบการศึกษาดา้ นสัตวแพทย์ รวมทNงั ไดร้ ับราชการใน
ตาํ แหน่งสัตวแพทยท์ Iีกรมปศุสัตว์ เป็ นระยะเวลาถึง 10 ปี แต่ดว้ ยกบั การกาํ หนดของพระเจา้ จึง
ไดพ้ ลิกผนั ชีวิตของขา้ พเจา้ จากสัตวแพทยใ์ ห้มาเป็ นนกั กฎหมายดว้ ยกบั การทIีไดเ้ รียนในคณะ
นิ ติ ศาส ตร์ มห าวิท ยาลัยรามคําแห ง จากนNัน ก็ได้ศึ กษ าต่อใน ระดับ ป ริ ญ ญ าโท ทIี
มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ อนั ส่งผลทาํ ให้ขา้ พเจา้ เปลIียนเส้นทางในชีวิตการรับราชการมาเป็ น
นิติกรทIีกองกฎหมายต่างประเทศ สาํ นกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ณ สถานทีIแห่งนNีเองทIี
เป็ นจุดสําคญั ทีIบ่มเพาะทาํ ให้ขา้ พเจา้ ไดร้ ับความรู้ทางดา้ นกฎหมายทNงั ทIีเป็ นกฎหมายมหาชน
ภายในประเทศและกฎหมายต่างประเทศ อนั เป็ นความรู้ความเชีIยวชาญทNงั ในทางทฤษฎีและ
ในทางปฏิบตั ิอยา่ งมากมาย รวมทNงั ไดส้ งIั สมประสบการณ์เกีIยวกบั การยกร่างกฎหมาย ในฐานะทีI
เป็ นเลขานุการของกรรมการร่างกฎหมาย คณะทีIหนIึง ตรงจุดนNีเองทIีทาํ ให้ขา้ พเจา้ ได้มีส่วน
ร่วมกบั การตีความและการยกร่างกฎหมายเกIียวกบั การบริหารองคก์ รศาสนาอิสลาม รวมทNงั ยงั
ไดร้ ับเชิญให้เป็ นวิทยากรของกรมการปกครองเพIือบรรยายในเรืIองกฎหมายการบริหารองคก์ ร
ศาสนาอิสลามอยเู่ ป็นประจาํ

พฒั นาสู่การเป็ นตุลาการศาลปกครอง

ต่อมาเมIือการจดั ตNงั ศาลปกครองขNึนในประเทศไทยตามบทบญั ญตั ิของรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2540 มีการเปิ ดรับสมคั รสอบคดั เลือกเขา้ รับราชการในตาํ แหน่ง
ตุลาการศาลปกครองกลาง ข้าพเจ้าจึงได้สมัครสอบและสามารถสอบเข้าเป็ นตุลาการศาล
ปกครองชNนั ตน้ รุ่นแรกได้ อนั ถือเป็ นจุดเริIมตน้ ของการใชค้ วามรู้ทางกฎหมายในการตดั สินคดี

8


ปกครอง ซIึงเป็ นผลทาํ ให้ขา้ พเจา้ ตอ้ งเขา้ มาเกีIยวขอ้ งกบั ขอ้ พิพาททีIเกิดขNึน ทNงั ในฐานะของผใู้ ห้
คาํ ปรึกษาแก่คู่กรณี ในฐานะของวิทยากร รวมทNงั ผตู้ ดั สินปัญหาขอ้ กฎหมายตลอดระยะเวลา 20
ปี ทาํ ให้เกิดการสัIงสมประสบการณ์เกีIยวกบั ปัญหาเรืIองการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลามเป็ น
อยา่ งมาก และไม่วา่ ขา้ พเจา้ จะไปเป็นวทิ ยากรบรรยายในสถานทีIใดหรือในหวั ขอ้ เรIืองใด กม็ กั จะ
มีคาํ ถามเกIียวกบั เรืIองการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลามเสมอ ดว้ ยเหตุนNี จึงเป็นทีIมาและมูลเหตุจูง
ใจใหข้ า้ พเจา้ ตNงั เจตนาวา่ (อินชาอลั ลอฮ) จะตอ้ งพยายามเขียนหนงั สือเล่มนNีใหเ้ กิดขNึน ทNงั นNีโดยมี
เป้าหมายเพืIอตอ้ งการทIีจะใหม้ ีคู่มือสาํ หรับผทู้ Iีดาํ รงตาํ แหน่งเป็นกรรมการอิสลามในระดบั ต่างๆ
ไดส้ ามารถศึกษาและคน้ ควา้ เพIือทาํ ความเขา้ ใจในตวั บทของพระราชบญั ญตั ิการบริหารองคก์ ร
ศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ไดด้ ียงิI ขNึน รวมทNงั สามารถนาํ ไปใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาทIีเกิดขNึนในทาง
ปฏิบตั ิไดอ้ ีกดว้ ย

สิ8งทป8ี ระสงค์จะสื8อสาร

หนังสือเล่มนNีไดจ้ ดั ทาํ ขNึนภายใตแ้ นวคิดและเจตจาํ นงค์ทIีตอ้ งการจะให้ผูอ้ ่านสามารถ
เข้าใจทNังเนNือหาของตัวบทกฎหมายกับเจตนารมณ์ของผูร้ ่างกฎหมายไปพร้อมๆ กัน เพIือ
ประโยชนใ์ นการนาํ ไปใชแ้ ละการตีความต่อไป ดว้ ยเหตุนNี ขา้ พเจา้ จึงไดเ้ ขียนบรรยายในลกั ษณะ
ของการอรรถาธิบายความในทางกฎหมาย แนวความคิดในการยกร่างกฎหมายโดยเปรียบเทียบ
ระหวา่ งกฎหมายเดิมกบั กฎหมายฉบบั ใหม่เพIือใหเ้ ห็นถึงเจตนารมณ์เดิมและเจตนารมณ์ทีIแกไ้ ข
ใหม่ ทNงั นNีโดยจะไดท้ าํ การพรรณนาเรียงตามรายมาตราของกฎหมายเพืIอสะดวกในการอ่านและ
การสร้างความเขา้ ใจไดด้ ียงิI ขNึน และเพืIอใหเ้ ห็นถึงแนวคิดและเป้าหมายของการเขียนหนงั สือเล่ม
นNีทIีชดั เจน จึงขอตNงั ชืIอว่า “แสงสัจธรรม (นาํ ทางสู่การบริหารองคก์ รศาสนาอิสลาม)” และใน
เนNือหาของหนงั สือเล่มนNี ขา้ พเจา้ ไดร้ วบรวมเอกสารอา้ งอิงเกีIยวกบั คาํ พิพากษาศาลฎีกาและศาล
ปกครอง รวมทNงั ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาทีIตีความเกีIยวขอ้ งกบั กฎหมายฉบบั นNี
ตลอดจนคาํ ถาม-คาํ ตอบเกีIยวกบั การบริหารองคก์ รศาสนาอิสลามทีIขา้ พเจา้ ไดถ้ ูกถามและตอบ
ในงานสมั มนาต่างๆ เพIือประโยชน์ในการทIีจะใชส้ าํ หรับการแกไ้ ขปัญหาในทางปฏิบตั ิทีIเกิดขNึน
จริงเพราะปัญหาทีIเกิดขNึนแลว้ ในอดีตเหล่านNีก็อาจจะหวนกลบั มาเกิดอีกครNังในอนาคตก็เป็ นได้
ถึงแมว้ ่าขอ้ เท็จจริงของปัญหาจะไม่ตรงกบั ปัญหาทีIเกิดขNึนก็ตาม แต่อย่างน้อยทีIสุด บทเรียน
เหล่านNีสามารถนาํ มาปรับใชก้ บั ปัญหาในปัจจุบนั ทีIใกลเ้ คียงไดอ้ ยา่ งแน่นอน อินชาอลั ลอฮฺ

9


ระลกึ ถงึ ความดขี องผู้ทม8ี บี ุญคุณ

หนงั สือเล่มนNีจะไม่สามารถจดั ทาํ ใหส้ าํ เร็จลุล่วงไปไดห้ ากปราศจากความช่วยเหลือของ
ผูท้ ีIเกIียวขอ้ งทุกคน ไม่ว่าจะเป็ นครูบาอาจารยท์ Iีประสิทธhิประสาทวิชาความรู้ให้แก่ขา้ พเจา้
ตลอดจนผูม้ ีอุปการะคุณทNงั หลาย และทIีสําคญั ทีIสุดคือ บิดามารดา และคนในครอบครัวของ
ขา้ พเจา้ ทIีมีส่วนผลกั ดนั และส่งเสริมให้ขา้ พเจา้ ได้มีความรู้ทNงั ทางด้านศาสนาและสามญั จน
สามารถศึกษาหาความรู้ในเรืIองนNีและเขียนหนงั สือเล่มนNีไดเ้ ป็นผลสาํ เร็จ อลั ฮมั ดุลิNลลาฮฺ

ความมุ่งหวงั ของผู้เขยี น

ขา้ พเจา้ ในฐานะผเู้ ขียนหวงั เป็ นอยา่ งยงิI วา่ หนงั สือเล่มนNีน่าจะเป็ นประโยชน์แก่ ผทู้ Iีดาํ รง
ตาํ แหน่งกรรมการอิสลามในทุกระดบั ทีIสามารถใชเ้ ป็ นคู่มือในการปฏิบตั ิงานในหนา้ ทIีไดเ้ ป็ น
อยา่ งดี รวมทNงั ผูท้ ีIสนใจศึกษาหาความรู้ในทางกฎหมายทีIสามารถใชเ้ ป็ นเอกสารอา้ งอิงในการ
คน้ ควา้ วิจยั หรือเขียนบทความในเรIืองทIีเกีIยวขอ้ ง อนั จะเป็ นผลทาํ ให้เกิดประโยชน์โดยรวมแก่
สังคมอิสลามสืบต่อไปในลกั ษณะทIีเป็ นความรู้ทีIยงั ประโยชน์อยา่ งไม่มีทีIสิNนสุด (ซอดะเกาะฮฺ
ญาริยะฮ)์ อามีน .

นาย ไพโรจน์ มินเดน็
ตุลาการศาลปกครองสูงสุด

10


พระราชบญั ญตั ิ
การบริหารองค์กรศาสนาอสิ ลาม

พ.ศ. 89:;

11


คาํ ปรารภ

โดยทเ<ี ป็ นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยมสั ยดิ อสิ ลามและกฎหมายว่าด้วยการ
ศาสนูปถมั ภ์ฝ่ ายอสิ ลาม จงึ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชบัญญตั ขิ นึ/ ไว้
โดยคาํ แนะนําและยนิ ยอมของรัฐสภา ดงั ต่อไปนี/

คาํ อธิบาย

คาํ ปรารภของกฎหมายนับเป็ นส่วนทีIมีความสําคญั ในการใช้เป็ นแนวทางการตีความ
กฎหมายฉบบั นNี ทNงั นNีเนIืองจากในชNนั การยกร่างกฎหมายหรือทIีเรียกวา่ “ร่างพระราชบญั ญตั ิ” นNนั
จะมีหลกั การและเหตุผลประกอบร่างพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าวเสมอ ซIึงในส่วนของหลกั การของ
ร่างกฎหมายจะถูกนาํ มาเขียนไวใ้ นคาํ ปรารภของกฎหมายเมIือร่างพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าวมีผล
ใชบ้ งั คบั เป็นกฎหมายแลว้ หรืออาจกล่าวใหเ้ ขา้ ใจง่ายๆ วา่ หลกั การของร่างพระราชบญั ญตั ิกค็ ือ
คาํ ปรารภของกฎหมายนนIั เอง

หลกั การของร่างกฎหมายหรือร่างพระราชบญั ญตั ินNันมีความสําคญั ต่อการพิจารณาใน
รัฐสภาเป็ นอยา่ งยงิI เนืIองจากถือเป็ นส่วนสาํ คญั ในการนาํ เสนอร่างพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าว วา่ มี
วตั ถุประสงคแ์ ละขอบเขตแค่ไหนเพียงไร กล่าวคือ หลกั การของร่างกฎหมายนNนั เป็นเสมือนกบั
วตั ถุประสงค์ของกฎหมายว่าเป็ นกฎหมายเกีIยวกับเรืIองใด และเพืIอเป็ นการจัดกรอบหรือ
ขอบเขตในการแปรญัตติของสมาชิกรัฐสภาทIีจะอภิปรายหรื อแก้ไขเนNื อหาของร่ าง
พระราชบญั ญตั ินNนั ไดม้ ากนอ้ ยเพียงใดขNึนอยกู่ บั หลกั การของร่างพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNนั เอง

โดยหลกั การทวIั ไปแลว้ การเขียนหลกั การของร่างพระราชบญั ญตั ิสามารถแบ่งออกได้
เป็น 3 รูปแบบ คือ (1) การใหม้ ีกฎหมายวา่ ดว้ ย … (2) การปรับปรุงกฎหมายวา่ ดว้ ย … และ (3)

12


การแก้ไขเพIิมเติมกฎหมายว่าด้วย … ซIึงการเขียนหลักการของร่างพระราชบัญญัติทNังสาม
รูปแบบนNนั มีวตั ถุประสงคท์ Iีแตกต่างกนั ดงั นNี คือ

รูปแบบทีIหนIึง การใหม้ ีกฎหมายวา่ ดว้ ย … หมายความวา่ เป็นการเสนอกฎหมายในเรIือง
ใหม่ทNงั ฉบบั โดยทIีไม่เคยมีกฎหมายในเรืIองดงั กล่าวเสนอต่อสภาหรือใชบ้ งั คบั มาก่อนเลย การ
เสนอหลกั การของร่างกฎหมายในรูปแบบนNี สมาชิกของรัฐสภาสามารถแปรญตั ติเพืIอแกไ้ ข
เนNือหาในรายละเอียดของร่างพระราชบญั ญตั ิไดอ้ ยา่ งเต็มทIีโดยไม่มีขอ้ จาํ กดั เนืIองจากหลกั การ
ของกฎหมายฉบบั นNีเปิ ดกวา้ งตอ้ งการใหม้ ีกฎหมายวา่ ดว้ ยเรืIองนNนั

รูปแบบทIีสอง การปรับปรุงกฎหมายว่าดว้ ย … หมายความว่า เป็ นการเสนอกฎหมาย
ฉบบั ใหม่เพืIอปรับปรุงกฎหมายทIีมีอยแู่ ลว้ หรือใชบ้ งั คบั อยเู่ ดิมทีIอาจจะมีบทบญั ญตั ิไม่เหมาะสม
กบั กาลเวลาในปัจจุบนั ทIีสถานการณ์ของบา้ นเมืองไดเ้ ปลีIยนแปลงไปแลว้ สาํ หรับกรณีนNีสมาชิก
รัฐสภาก็สามารถทีIจะแปรญตั ติเพืIอแกไ้ ขเนNือหาบทบญั ญตั ิของร่างพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าวได้
อยา่ งเตม็ ทIีเช่นกนั แต่ตอ้ งมีวตั ถุประสงคเ์ พIือตอ้ งการทีIจะแกไ้ ขบทบญั ญตั ิใหเ้ กิดความเหมาะสม
กบั สถานการณ์ปัจจุบนั ตามทีIได้ระบุอยู่ภายใตเ้ หตุผลของร่างพระราชบญั ญัติทIีได้เสนอต่อ
รัฐสภาเท่านNนั

รูปแบบทีIสาม การแก้ไขเพิIมเติมกฎหมายว่าด้วย … ซIึงการเขียนหลักการของร่าง
พระราชบญั ญตั ิ รูปแบบนNีมีวตั ถุประสงคท์ Iีตอ้ งการจะแกไ้ ขบทบญั ญตั ิของกฎหมายทIีมีผลใช้
บงั คบั อยู่ในปัจจุบนั แลว้ เพียงบางส่วน ดงั นNัน หลกั การของร่างพระราชบญั ญตั ิในรูปแบบนNี
มกั จะมีการระบุเรIืองทีIประสงคจ์ ะแกไ้ ขไวอ้ ยา่ งเฉพาะเจาะจงในเรIืองใดเรืIองหนIึงทIีชดั เจน เช่น
“แกไ้ ขเพIิมเติมเรIืองคุณสมบตั ิของคณะกรรมการ ... “ เป็นตน้ ดว้ ยเหตุนNี จึงเป็นผลทาํ ใหส้ มาชิก
ของรัฐสภาสามารถทีIจะแปรญตั ติร่างพระราชบญั ญตั ิฉบบั ดงั กล่าวไดเ้ พียงเท่าทีIหลกั การได้
กาํ หนดใหแ้ กไ้ ขเพิIมเติมในเรืIองใดไวโ้ ดยเฉพาะเท่านNนั

สําหรับพระราชบญั ญตั ิการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 นNีไดร้ ะบุไวใ้ นคาํ
ปรารภวา่

“โดยทIีเป็ นการสมควรปรับปรุงกฎหมายว่าดว้ ยมสั ยิดอิสลามและกฎหมายว่าดว้ ยการ
ศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม”

จากถอ้ ยคาํ ในคาํ ปรารภดงั กล่าวแสดงให้เห็นว่า หลกั การทIีสําคญั ของกฎหมายฉบบั นNี
คือ การยกเลิกกฎหมายสองฉบับคือ กฎหมายว่าด้วยมสั ยิดอิสลามและกฎหมายว่าด้วยการ
ศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม เพืIอปรับปรุงมาเป็ นกฎหมายว่าดว้ ยการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลาม

13


ฉบบั นNีฉบบั เดียว เพราะฉะนNนั เนNือหาของกฎหมายยอ่ มตอ้ งมีความเกIียวขอ้ งกบั บทบญั ญตั ิของ
พระราชบญั ญตั ิมสั ยดิ อิสลามและพระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม ประกอบ
กบั เมIือไดพ้ ิจารณาดูเหตุผลทา้ ยพระราชบญั ญตั ิทีIระบุวา่ “เนืIองจากพระราชบญั ญตั ิมสั ยดิ อิสลาม
พ.ศ. 2490 พระราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม พุทธศกั ราช 2488 และพระราช
กฤษฎีกาว่าดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม (ฉบบั ทีI 2) พ.ศ. 2491 ไดใ้ ชบ้ งั คบั มาเป็ นเวลานาน
ไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์ปัจจุบันสมควรปรับปรุงให้เหมาะสมยิIงขNึน จึงจาํ เป็ นต้องตรา
พระราชบญั ญตั ินNี” ยIิงทาํ ให้เห็นไดช้ ดั เจนว่า พระราชบญั ญตั ิการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลาม
พ.ศ. 2540 นNีเป็ นกฎหมายทIีมีการนาํ กฎหมายสองฉบบั มาผนวกเนNือหาเขา้ ดว้ ยกนั และปรับปรุง
ใหม้ ีความเหมาะสมกบั สถานการณ์ในปัจจุบนั เท่านNนั

จากหลกั การและเหตุผลทา้ ยพระราชบญั ญตั ิทIีไดห้ ยบิ ยกขNึนมาขา้ งตน้ ชNีใหเ้ ห็นถึงกรอบ
หรือขอบเขตในส่วนทIีเป็นเนNือหาของกฎหมายทีIจะตอ้ งมีโครงสร้างและการจดั องคก์ รเป็นไปใน
ลกั ษณะเดียวกนั กบั กฎหมายเดิมทNงั สองฉบบั ในส่วนทIีจะเพิIมเติมเนNือหาขNึนใหม่กจ็ ะตอ้ งสอดรับ
และไม่เป็นการขดั ต่อหลกั การของกฎหมายเดิมดว้ ย

14


ชื:อน2ันสําคญั ไฉน

มาตรา 1 พระราชบญั ญตั เิ รียกว่า “พระราชบญั ญตั กิ ารบริหารองค์กรศาสนาอสิ ลาม
พ.ศ. 2540"

คาํ อธิบาย

โดยปกติแลว้ ชIือถือเป็ นคาํ เฉพาะของแต่ละบุคคล การตNงั ชIือจึงยอ่ มถือเป็ นเอกสิทธhิของ
แต่ละคนทีIจดั ตNงั ขNึนตามความพอใจของตนเองดว้ ยกบั ความไพเราะในการออกเสียงหรือชอบใน
ความหมายของชIือนNันหรืออาจจะตNงั ชืIอตามความนิยมในแต่ละยุคแต่ละสมยั จะตNงั ชืIอเป็ น
ภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ หรือแมแ้ ต่เป็ นคาํ ทีIไม่มีความหมายอยา่ งใด ก็เป็ นสิIงทีIสามารถ
กระทาํ ได้ เพราะเป็นเอกสิทธhิของแต่ละคน

สาํ หรับการตNงั ชIือของพระราชบญั ญตั ิฉบบั ใด ผรู้ ่างไม่สามารถนาํ หลกั การทวัI ไปในการ
ตNงั ชืIอดงั กล่าวมาใชไ้ ด้ แต่ทว่าโดยหลกั ทวัI ไปของการยกร่างกฎหมายแลว้ ชIือพระราชบญั ญตั ิ
นNันนับเป็ นส่วนทีIมีความสําคญั ในแง่ของมุมมองในภาพรวมของกฎหมายฉบบั นNันว่ามีความ
เกีIยวขอ้ งกบั เรืIองใด ดงั นNนั ในการกาํ หนดชIือของพระราชบญั ญตั ิฉบบั ใดฉบบั หนIึงนNนั จะตอ้ ง
พิจารณาจากเนNือหาในส่วนทIีเป็ นสาระสาํ คญั เพืIอคน้ หาคาํ รวมหรือคาํ สาํ คญั (Keyword) นาํ มา
กาํ หนดเป็ นชืIอของพระราชบญั ญตั ิ ทNงั นNีโดยหากไดอ้ ่านชืIอแลว้ สามารถรู้ถึงเนNือหาทีIอยภู่ ายใน
ไดท้ Nงั หมด ยอ่ มแสดงให้เห็นวา่ เป็ นการกาํ หนดชIือทIีดีและมีความเหมาะสมอยา่ งยงIิ นอกจากนNี
การตNงั ชIือสมควรทIีจะตอ้ งพิจารณาให้เป็ นถอ้ ยคาํ ในลกั ษณะทีIเป็ นวลี ไม่ใช่รูปของประโยค ทีI
สามารถเกบ็ ความหมายหรือสIือถึงเนNือหาของกฎหมายฉบบั นNนั ไดอ้ ยา่ งครบถว้ นทNงั หมด
เป้าหมายทIีตอ้ งการจะสIือ

15


พระราชบัญญัตินNีใช้ชืIอว่า “การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม” วตั ถุประสงค์หรือ
เป้าหมายทีIตอ้ งการจะสIือให้เห็นเนNือหาของพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีมี 2 ส่วนดว้ ยกนั คือ (1) การ
บริหารองคก์ รศาสนา (2) ในส่วนทีIเกIียวกบั ศาสนาอิสลาม จากชIือของพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าว
ชNีให้เห็นถึงสาระสําคญั ทIีพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีมุ่งจะวางโครงสร้าง การจดั องค์กร และการ
กาํ หนดอาํ นาจหนา้ ทIีขององคก์ รในเรืIองทีIเกีIยวขอ้ งกบั สองส่วนสาํ คญั ดงั กล่าว หรืออาจจะกล่าว
แบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็ นความพยายามในการผนวกศาสตร์ทีIเกIียวกับการบริหารองค์กร
สมยั ใหม่กบั หลกั การศาสนาอิสลามเขา้ ดว้ ยกนั นนIั เอง

เหตุผลทีIขา้ พเจา้ ใชถ้ อ้ ยคาํ วา่ “เป็นความพยายามในการผนวกศาสตร์ทNงั สองเขา้ ดว้ ยกนั ”
นNนั ก็เนืIองจากผทู้ ีIเกIียวขอ้ งกบั การยกร่างพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีอาจมิใช่ผทู้ IีมีความเชีIยวชาญใน
ทNงั ศาสตร์การบริหารองคก์ รสมยั ใหม่และหลกั การศาสนาอิสลามโดยตรงหรือมีความรู้แต่เฉพาะ
บางเรIืองเท่านNนั มิไดม้ ีความรู้ในทNงั สองศาสตร์อยา่ งแทจ้ ริง ประกอบกบั ในชNนั การยกร่างนNนั มีผู้
ทีIเกIียวขอ้ งเป็ นจาํ นวนมาก ซIึงแต่ละคนก็มีความคิดเห็นเป็ นอิสระ ด้วยเหตุนNี จึงมีผลทาํ ให้
เนNือหาของกฎหมายมีลกั ษณะของการประนีประนอมหรือผสมผสานความคิดเห็นของผูท้ Iี
เกIียวขอ้ งดงั กล่าวให้สามารถเห็นชอบร่วมกนั หรือยอมรับเป็ นมติของทีIประชุมในการยกร่าง
กฎหมายฉบบั ดงั กล่าวได้

เดิมก่อนมีพระราชบญั ญัติฉบบั นNี สังคมมุสลิมมีการจดั องค์กรการบริหารงานตามทIี
กาํ หนดไวใ้ นกฎหมาย 2 ฉบบั คือ พระราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยการศาสนูปถมั ภ์ฝ่ ายอิสลาม และ
พระราชบญั ญตั ิว่าดว้ ยมสั ยิดอิสลาม ซIึงเนNือหาของพระราชกฤษฎีกาจะมีการจดั องคก์ รตNงั แต่
ระดบั จุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการอิสลาม
ประจาํ จงั หวดั ส่วนพระราชบญั ญัติมสั ยิดนNันได้กาํ หนดให้มีการจดั ตNงั มสั ยิดขNึน ด้วยเหตุนNี
พระราชบญั ญตั ิฉบบั ใหม่จึงไดจ้ ดั องคก์ รในลกั ษณะเดียวกนั กบั กฎหมายทNงั สองฉบบั กล่าวคือ
ให้มีคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย คณะกรรมการอิสลามประจาํ จงั หวดั และ
คณะกรรมการอิสลามประจาํ มสั ยดิ รวมทNงั ไดเ้ พIิมบทบญั ญตั ิทีIทาํ ใหอ้ งคก์ รเหล่านNีมีบุคลากรทีI
มีคุณสมบตั ิเหมาะสม และกาํ หนดอาํ นาจหน้าทIีในการบริหารงานทIีมีประสิทธิภาพมากยิIงขNึน
ซIึงจะไดก้ ล่าวในรายละเอียดในหวั ขอ้ ต่อๆ ไป

16


วนั ทมี: ผี ลบังคบั ใช้

มาตรา 2 พระราชบัญญตั นิ ีใ/ ห้ใช้บังคบั ต/งั แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศในราชกจิ จานุเบกษา
เป็ นต้นไป (วนั ท<ี f พฤศจกิ ายน 2540 )

คาํ อธิบาย

บางคนอาจจะตNงั คาํ ถามเกีIยวกบั วนั ใชบ้ งั คบั ของกฎหมายวา่ มีความสาํ คญั อยา่ งไร ทาํ ไม
จึงตอ้ งมี และมีความจาํ เป็นอะไรทIีตอ้ งบญั ญตั ิไวใ้ นมาตราตน้ ๆ ดว้ ย

คําตอบ คือ บทบัญญัติในเรืIองวนั ใช้บังคับของกฎหมายถือว่าเป็ นบทบัญญัติทีIมี
ความสําคญั อย่างยิIงเนืIองจากจะตอ้ งแสดงให้เห็นอย่างชัดแจง้ ว่า กฎหมาย ฉบบั นNีจะมีผลใช้
บงั คบั กบั ประชาชนในวนั ใด โดยเฉพาะอย่างยIิงกฎหมายทีIกาํ หนดสิทธิหน้าทีIของประชาชน
หรือมีผลต่อการเปลIียนแปลงบรรทดั ฐานของสังคมทีIมีอยู่เดิม กรณีเช่นนNีจึงจาํ เป็ นอย่างยIิงทีI
จะตอ้ งแจง้ ให้ประชาชนไดร้ ับทราบก่อนเป็ นการล่วงหนา้ หากกฎหมายนNนั มีผลเป็ นโทษแก่ผทู้ ีI
ฝ่ าฝืนหรือไม่ปฏิบตั ิตามขอ้ กาํ หนดต่างๆ

สําหรับรูปแบบในการกาํ หนดบทบัญญัติเกIียวกับวนั ใช้บังคบั ของกฎหมายมีหลาย
รูปแบบดว้ ยกนั เช่น

1. บญั ญตั ิใหม้ ีผลใชบ้ งั คบั ตNงั แต่วนั ทIีประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตน้ ไป
2. บญั ญตั ิใหม้ ีผลใชบ้ งั คบั ในวนั ถดั จากวนั ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตน้ ไป
3. บัญญัติให้มีผลใช้บังคับเมืIอพ้นกาํ หนด … วนั นับแต่วนั ทีIประกาศในราชกิจจา

นุเบกษาเป็นตน้ ไป

17


การบญั ญตั ิในรูปแบบทีIหนIึงและทIีสองมีความแตกต่างกนั ตรงทีIรูปแบบทีIหนIึงนNนั วนั ทIี
บงั คบั คือวนั ทIีประกาศในราชกิจจานุเบกษานNนั เลย ส่วนรูปแบบทIีสองวนั ทIีใชบ้ งั คบั คือวนั ถดั
จากวนั ทIีประกาศในราชกิจจานุเบกษาเท่านNนั กล่าวโดยสรุปคือ ทNงั สองรูปแบบมีผลแตกต่างกนั
เพียงหนIึงวนั

ส่วนรูปแบบทIีสามนNนั วนั ทIีใชบ้ งั คบั จะยงั ไม่มีผลจนกวา่ จะพน้ กาํ หนดเวลาทีIกาํ หนดไว้
เช่น 60 วนั 90 วนั หรือ 180 วนั เป็นตน้ เหตุผลในการกาํ หนดวนั ใชบ้ งั คบั ในรูปแบบทีIสามนNีมีอยู่
ดว้ ยกนั 3 เหตุผลคือ ประการทีIหนIึง เพืIอทีIตอ้ งการให้ประชาชนไดร้ ับทราบเป็ นการล่วงหน้า
ก่อนสักระยะเวลาหนIึงเพIือให้มีการเตรียมตวั ทIีจะปฏิบตั ิตามกฎหมายทIีกาํ หนดขNึนใหม่ เหตุผล
ประการทีIสองคือ พระราชบญั ญตั ิฉบบั ดงั กล่าวอาจจะมีความจาํ เป็นทIีจะตอ้ งออกกฎหมายลาํ ดบั
รอง เช่น พระราช กฤษฎีกา หรือกฎกระทรวง หรือประกาศของรัฐมนตรี ทีIอาศยั อาํ นาจตาม
บทบญั ญตั ิของกฎหมายเพIือกาํ หนดรายละเอียดของกฎหมายทีIจะมีผลใชบ้ งั คบั กบั ประชาชน
ต่อไป จึงมีความจาํ เป็ นจะตอ้ งกาํ หนดเวลาในการเตรียมการออกกฎหมายลาํ ดบั รองดงั กล่าวไว้
เป็ นการล่วงหน้าเพืIอให้ทนั ต่อการมีผลใชบ้ งั คบั จริงต่อประชาชน เหตุผลประการทIีสาม เพืIอ
ตอ้ งการให้ผปู้ ฏิบตั ิงานมีระยะเวลาในการเตรียมตวั โดยเฉพาะอยา่ งยงิI ในกรณีทIีตอ้ งมีการจดั ตNงั
หรือแบ่งส่วนราชการใหม่เพIือเป็ นหน่วยงานผูป้ ฏิบตั ิหน้าทีIตามกฎหมาย หรืออาจตอ้ งมีการ
แต่งตNงั พนกั งานเจา้ หนา้ ทีIทีIตอ้ งปฏิบตั ิงานทNงั ในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนทอ้ งถIิน เป็ น
ตน้

สําหรับพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีไดก้ าํ หนดไวใ้ นมาตรา 2 ว่า “ พระราชบญั ญตั ินNีให้ใช้
บงั คบั ตNงั แต่วนั ถดั จากวนั ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นตน้ ไป” อนั มีลกั ษณะเป็นการกาํ หนด
วนั ใชบ้ งั คบั ในรูปแบบทีIสอง คือ ให้มีผลใชบ้ งั คบั ถดั จากวนั ประกาศ ซIึงขอ้ เท็จจริงปรากฏว่า
ได้มีการนําพระราชบัญญัติดังกล่าวไปประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาฉบับทIี รก.2540/65
ก/3 เมืIอวนั ทีI 9 พฤศจิกายน 2540 จึงมีผลทาํ ให้วนั ใชบ้ งั คบั ของพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีมีผลต่อ
ประชาชนในวนั ทIี 9 พฤศจิกายน 2540 ซIึงแสดงใหเ้ ห็นถึงความพร้อมของการเตรียมการในการ
ใช้บงั คบั กฎหมายของหน่วยงานและผูป้ ฏิบตั ิงานว่ามีความพร้อมทนั ที สําหรับในส่วนของ
ประชาชนนNันเนืIองจากกฎหมายฉบับนNีเป็ นการปรับปรุงกฎหมายทีIมีอยู่เดิมสองฉบับตาม
โครงสร้างเดิม และเนNือหาส่วนใหญ่ก็ไม่มีการเปลีIยนแปลงมากนัก การทีIจะมีผลกระทบต่อ
ประชาชนจึงน่าจะมีนอ้ ยมาก รัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามกฎหมายจึงมิไดม้ ีการกาํ หนดให้มีผลใช้
บงั คบั เป็นการล่วงหนา้ ในลกั ษณะของการกาํ หนดในรูปแบบทIีสามแต่อยา่ งใด

18


บทยกเลกิ กฎหมายเก่า

มาตรา 3 ให้ยกเลกิ
(1) พระราชบัญญตั มิ สั ยดิ อสิ ลาม พ.ศ. 2490
(2) พระราชกฤษฎกี าว่าด้วยการศาสนูปถมั ภ์ฝ่ ายอสิ ลาม พทุ ธศักราช 2488
(3) พระราชกฤษฎกี าว่าด้วยการศาสนูปถมั ภ์ฝ่ ายอสิ ลาม (ฉบบั ท<ี 2) พ.ศ. 2491

คาํ อธิบาย

บทบญั ญตั ิเกีIยวการยกเลิกกฎหมายนNีจาํ เป็ นจะตอ้ งมีการกาํ หนดไวใ้ นส่วนตอนตน้ ของ
พระราชบญั ญตั ิเนืIองจากเพIือตอ้ งการให้ประชาชนไดร้ ับรู้วา่ มีการยกเลิกกฎหมายทIีใชบ้ งั คบั อยู่
เดิมแลว้ และจาํ เป็ นจะตอ้ งใช้กฎหมายฉบบั ใหม่แทนฉบบั เดิมดงั กล่าว ดว้ ยเหตุนNีบทบญั ญตั ิ
ดงั กล่าวจึงมีเฉพาะกรณีทIีมีการยกเลิกกฎหมายเดิมเท่านNนั ถา้ เป็นกรณีของการออกกฎหมายใหม่
มิใช่การปรับปรุงกฎหมายเดิม กรณีก็ไม่จาํ เป็ นตอ้ งมีบทบญั ญตั ิทIีเป็ นการยกเลิกกฎหมายใด
กาํ หนดไว้

ผลของการกําหนดให้มีบทบัญญัติยกเลิกกฎหมายเดิมนNี นอกจากจะเป็ นผลทําให้
กฎหมายแม่บททีIใชบ้ งั คบั อยู่เดิมสิNนผลไปในทนั ทีทีIกฎหมายฉบบั ใหม่มีผลใชบ้ งั คบั แลว้ ยงั
ส่งผลทาํ ให้กฎหมายลูกบททีIออกโดยอาศยั อาํ นาจของกฎหมายแม่บทเดิมยอ่ มสิNนผลลงตามไป
ดว้ ยโดยปริยาย กล่าวคือ ไม่จาํ เป็ นตอ้ งมีการกาํ หนดให้ยกเลิกกฎหมายลูกบท หรือให้สิNนผล
หรือไม่มีผลใชบ้ งั คบั แต่อยา่ งใด

19


ในการเขียนบทบญั ญตั ิการยกเลิกกฎหมายฉบบั เดิมนNนั จะตอ้ งกาํ หนดชืIอของกฎหมายทIี
ประสงค์ให้ถูกยกเลิกทNงั ฉบบั แรกและฉบบั แกไ้ ขเพิIมเติมทุกฉบบั ดว้ ย ทNงั นNีโดยให้มีการเรียง
ตามลาํ ดบั ของกฎหมายฉบบั ทีIออกก่อนจนถึงกฎหมายทีIออกฉบบั ล่าสุด

ประโยชน์ของการมีบทบญั ญตั ิว่าดว้ ยการยกเลิกกฎหมายฉบบั เดิมนNี นอกจากจะทาํ ให้
ประชาชนไดร้ ับรู้ว่ามีกฎหมายทีIถูกยกเลิกแลว้ ยงั สามารถทาํ ให้ผูใ้ ชก้ ฎหมายหรือบุคคลทวัI ไป
ไดร้ ับทราบถึงประวตั ิศาสตร์และความเป็ นมาของกฎหมายทIีเกีIยวขอ้ งกบั เรืIองดงั กล่าวทNงั หมด
โดยการสืบคน้ หาประวตั ิยอ้ นหลงั กลบั ไปไดโ้ ดยอาศยั จากบทบญั ญตั ิวา่ ดว้ ยการยกเลิกกฎหมาย
นNีได้

สาํ หรับพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีในมาตรา 3 กาํ หนดใหม้ ีการยกเลิกพระราชบญั ญตั ิ 3 ฉบบั
ดว้ ยกนั คือ

(1) พระราชบญั ญตั ิมสั ยดิ อิสลาม พ.ศ. 2490
(2) พระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม พทุ ธศกั ราช 2488
(3) พระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม (ฉบบั ทีI 2) พ.ศ. 2491
ซIึงจะเห็นไดว้ า่ มีการเรียงชIือของพระราชบญั ญตั ิมสั ยดิ อิสลามทีIมีผลใชบ้ งั คบั ในปี พ.ศ.
2490 ขNึนตน้ ก่อน แลว้ จึงตามดว้ ยพระราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยการศาสนูปถมั ภ์ฝ่ ายอิสลามทNงั สอง
ฉบบั โดยมีการเรียงตามลาํ ดบั ปี พุทธศกั ราช ของพระราชกฤษฎีกาทีIมีการออกก่อน-หลงั แมว้ ่า
พระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลามฉบบั แรกนNนั จะไดม้ ีการออกใชบ้ งั คบั เมIือปี
พุทธศกั ราช 2488 อนั เป็ นระยะเวลาก่อนการออกพระราชบญั ญตั ิมสั ยดิ อิสลามใหม้ ีผลใชบ้ งั คบั
กต็ าม
เหตุผลทIีมีการกาํ หนดให้เรียงชืIอของพระราชบญั ญตั ิมสั ยิดอิสลามให้อยใู่ นลาํ ดบั ก่อน
ทNงั ๆ ทIีเป็นกฎหมายทIีออกมาในภายหลงั จากมีการออกพระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยการศาสนูปถมั ภ์
ฝ่ ายอิสลามแลว้ กต็ าม เนIืองจากพระราชบญั ญตั ิมสั ยดิ อิสลามนNนั มีศกั ดhิและรูปแบบของกฎหมาย
ในลกั ษณะทIีเป็ นรูปของพระราชบญั ญตั ิในขณะทีIพระราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ าย
อิสลามนNันแม้ว่าจะเป็ นพระราชกฤษฎีกาทIีการออกโดยอาศัยอาํ นาจตามบทบัญญัติของ
รัฐธรรมนูญในขณะนNันซIึงมีศกั ดhิเทียบเท่ากบั พระราชบญั ญตั ิก็ตาม แต่เมืIอยงั คงใช้ชIือว่าเป็ น
“พระราชกฤษฎีกา” ดว้ ยเหตุนNี จึงเห็นสมควรทIีจะเรียงชIือกฎหมายทีIเป็ นพระราชบญั ญตั ิ โดย
ศกั ดhิและรูปแบบมาก่อน

20


บทนิยามศัพท์

มาตรา 4 ในพระราชบัญญตั นิ ี/
"มสั ยดิ " หมายความว่า สถานทซ<ี ึ<งมุสลมิ ใช้ประกอบศาสนกจิ โดยจะต้องมลี ะหมาด
วนั ศุกร์เป็ นปกติ และเป็ นสถานทสี< อนศาสนาอสิ ลาม
"สัปปุรุษประจาํ มสั ยดิ " หมายความว่า มุสลมิ ทค<ี ณะกรรมการอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ มี
มตริ ับเข้าเป็ นสัปปุรุษมสั ยดิ และมชี ื<ออยู่ในทะเบียนสัปปุรุษประจาํ มสั ยดิ แต่ผู้น/ันจะ
เป็ นสัปปุรุษเกนิ กว่าหน<ึงมสั ยดิ ในเวลาเดยี วกนั ไม่ได้
"อหิ ม่าม" หมายความว่า ผู้นําศาสนาอสิ ลามประจาํ มสั ยดิ
"คอเตบ็ " หมายความว่า ผู้แสดงธรรมประจาํ มสั ยดิ
"บหิ ลนั< " หมายความว่า ผู้ประกาศเชิญชวนในมุสลมิ ปฏบิ ัตศิ าสนกจิ ตามเวลา

คาํ อธิบาย

บทนิยามศพั ทน์ บั เป็ นส่วนทIีมีความสาํ คญั ของกฎหมาย เนIืองจากวตั ถุประสงคข์ องบท
นิยาม มี 2 ประการดว้ ยกนั คือ หนIึง เพืIอตอ้ งการทีIจะกาํ หนดคาํ จาํ กดั ความของคาํ ทIีมีความหมาย
เฉพาะในพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNี และสอง เพืIอตอ้ งการทีIจะหลีกเลIียงกล่าวซNาํ คาํ ทIีมกั จะใชบ้ ่อยๆ
ในเนNือหาของพระราชบญั ญตั ิ โดยเฉพาะอยา่ งยงIิ คาํ ทIีมีลกั ษณะเฉพาะเจาะจงและมีหลายพยางค์
เช่น คาํ ว่า “รัฐมนตรี” หมายความว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย “คณะกรรมการ”
หมายความว่าคณะกรรมการ … หรือ “พนกั งานเจา้ หนา้ ทีI” หมายความว่า ผทู้ ีIไดร้ ับแต่งตNงั จาก
รัฐมนตรีใหป้ ฏิบตั ิหนา้ ทIีตามพระราชบญั ญตั ินNี เป็นตน้

21


ความหมายในบทนิยามอาจจะมีความเป็ นจริงตามปกติทวIั ไปหรืออาจจะไม่เป็ นจริงแต่
ในกฎหมายฉบบั นNีให้ถือว่าอยู่ในความหมายของบทนิยามนNีดว้ ย ตวั อย่างเช่น คาํ ว่า “พืช” ให้
หมายความรวมถึง ผNึงและแมลงทีIมีหนา้ ทีIผสมเกษรดอกไมด้ ว้ ย จะเห็นไดว้ า่ ตามปกติในความ
เป็ นจริงแลว้ ผNึงและแมลงนNันไม่อาจถือว่าเป็ นพืชไดเ้ พราะเนIืองจากสัตวท์ Nงั สองชนิดนNีอยู่ใน
อาณาจกั รสัตว์ มิใช่อยใู่ นอาณาจกั รพืช แต่สาํ หรับบทนิยามของพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีไดน้ ิยาม
คําว่า พืช ให้หมายความรวมถึงผNึงและแมลงด้วย ซIึงถือเป็ นคําทีIมีความหมายเฉพาะใน
พระราชบัญญัตินNีเท่านNัน กรณี เช่นนNีก็สามารถกําหนดในบทนิยามนNีได้ ทNังนNีเนืIองจาก
พระราชบญั ญตั ิดงั กล่าวมีวตั ถุประสงค์ทIีจะควบคุมเกIียวกบั โรคพืช ซIึงในบางครNังหากมีการ
นาํ เขา้ หรือส่งออกพืช อาจจะมีแมลงติดมากบั พืชนNันได้ ดว้ ยเหตุนNี จึงตอ้ งนิยามคาํ ว่าพืชให้
รวมถึงแมลงดงั กล่าวดว้ ยเพIือทีIจะหา้ มนาํ เขา้ สIิงทIีอาจก่อใหเ้ กิดโรคไดท้ Nงั หมดนนIั เอง

ในการเขียนบทนิยามศพั ท์ผูร้ ่างกฎหมายจะต้องพิจารณาว่าในพระราชบัญญัติฉบับ
ดงั กล่าวมีถอ้ ยคาํ ทวัI ไปทIีตอ้ งการจะให้มีความหมายเฉพาะเจาะจงเป็ นพิเศษ แตกต่างไปจาก
ความหมายปกติหรือความหมายทIัวไปหรือไม่ หากมีก็ควรนํามาเขียนในบทนิยามศัพท์
ตวั อย่างเช่น ในมาตรา 1 แห่งประมวลกฎหมายทIีดิน ไดก้ าํ หนดบทนิยามศพั ท์คาํ ว่า “ทีIดิน”
หมายความว่า พNืนทIีดินทวัI ไป และให้หมายความรวมถึง ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลาํ นNาํ
ทะเลสาบ เกาะ และทีIชายทะเลดว้ ย

ประโยชน์ของการเขียนบทนิยามศพั ท์ นอกจากตอ้ งการให้คาํ ทีIเขียนบทนิยามไวน้ Nันมี
ความหมายเฉพาะแลว้ กรณียงั มีประโยชน์ต่อการตีความกฎหมายต่อไปในอนาคตอีกดว้ ย เพราะ
ในบางครNังหากมีการกาํ หนดความหมายในบทนิยามทIีชัดเจนไวแ้ ลว้ ก็สามารถทIีจะป้องกนั
ปัญหาในการตีความคาํ ดงั กล่าวใหม้ ีความหมายกวา้ งจนเกินไปหรือแคบจนเกินไปไดเ้ ป็นอยา่ งดี
ตวั อยา่ งเช่น ในพระราชบญั ญตั ิรถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ไดก้ าํ หนดบทนิยาม คาํ วา่ “รถยนต”์
หมายความวา่ รถยนตส์ าธารณะ รถยนตบ์ ริการ และรถยนตส์ ่วนบุคคล เป็นตน้

สาํ หรับบทนิยามคาํ ศพั ทใ์ นพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีสามารถกล่าวไดว้ า่ เป็นพฒั นาการหรือ
วิวฒั นาการใหม่ของการร่างกฎหมายในประเทศไทยก็ว่าได้ ทNงั นNี เนืIองจากมีการกาํ หนดบท
นิยามคาํ ศพั ทซ์ Iึงเป็ นภาษาอาหรับ พร้อมทNงั ความหมายโดยสังเขปอยใู่ นพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNี
ดว้ ย เหตุผลก็เนืIองจากว่าพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีเกIียวขอ้ งกบั ศาสนาอิสลาม จึงจาํ เป็ นตอ้ งใช้
คาํ ศพั ทท์ Iีเป็นเรืIองทางศาสนาแมว้ า่ จะเป็นคาํ ในภาษาอาหรับกต็ าม แต่สามารถยอมรับใหม้ าเป็น
คาํ ในภาษาไทยตามเจตนารมณ์ของพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีได้

22


บทนิยามศพั ทค์ าํ วา่ “มสั ยดิ ”
ก่อนหน้าทIีจะมีการใชค้ าํ ว่ามสั ยิดนNัน ในพระราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ าย
อิสลาม พุทธศักราช 2488 มีการใช้คําว่า “สุเหร่า” มาก่อน โดยมาตรา 8 ได้กําหนดว่า
คณะกรรมการอิสลามประจาํ จงั หวดั อาจจดั ให้มีคณะกรรมการอิสลามประจาํ สุเหร่า ดว้ ยความ
เห็นชอบของคณะกรรมการจงั หวดั โดยให้โต๊ะอิหม่ามเป็ นประธาน ซIึงคาํ วา่ “สุเหร่า” นNีน่าจะ
เป็นภาษามาเลยต์ รงกบั คาํ วา่ “Surau”
อนั ทIีจริงแลว้ พระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีมิใช่เป็ นกฎหมายฉบบั แรกทีIมีการอา้ งอิงหรือใช้
คําศัพท์ภาษาอาหรับ หากแต่มีการบัญญัติศัพท์คําว่า “มัสยิด” ตNังแต่เมIือครNังมีการออก
พระราชบญั ญตั ิมสั ยดิ อิสลาม พ.ศ. 2490 แลว้ ทNงั นNีโดยพระราชบญั ญตั ิฉบบั ดงั กล่าวไดก้ าํ หนด
บทนิยามคาํ วา่ “มสั ยดิ ” หมายความวา่ สถานทIีซIึงอิสลามิกชนมีสิทธิใชเ้ ป็นทีIประกอบพิธีกรรม
ตามลทั ธิศาสนาอิสลามในวนั ศุกร์เป็นปกติ
สาํ หรับพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีไดม้ ีบทนิยามศพั ทค์ าํ วา่ “มสั ยดิ ” หมายความวา่ “สถานทIี
ซIึงมุสลิมใช้ประกอบศาสนกิจโดยจะตอ้ งมีละหมาดวนั ศุกร์เป็ นปกติ และเป็ นสถานทIีสอน
ศาสนาอิสลาม” ซIึงหากพิจารณาแบบกวา้ งๆ แลว้ อาจจะเห็นไดว้ ่า บทนิยามศพั ท์ของทNงั สอง
พระราชบญั ญตั ิมีความเหมือนกนั แต่หากพิจารณาโดยละเอียดแลว้ จะเห็นวา่ ความหมายของคาํ
วา่ มสั ยดิ ของทNงั สองพระราชบญั ญตั ินNนั มีความแตกต่างกนั อยู่ 3 ประเดน็ ดว้ ยกนั คือ
ประการทIีหนIึง มีการเพIิมคาํ ศพั ทภ์ าษาอาหรับทีIยอมรับเป็ นภาษาไทยเพIิมขNึนอีกหนIึงคาํ
คือ คาํ ว่า “มุสลิม” (ซIึงในพระราชบญั ญตั ิฉบบั เดิมใชค้ าํ ว่า “อิสลามิกชน”) แมว้ ่าคาํ นNีในภาษา
อาหรับจะมีความหมายเฉพาะชายทIีนบั ถือศาสนาอิสลามเท่านNนั และในพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีก็
ไม่มีนิยามคาํ ว่ามุสลิมไวว้ ่าให้หมายถึงใครก็ตาม แต่ในความหมายโดยทวัI ไปแลว้ ยอ่ มหมายถึง
“คนทIีนบั ถือศาสนาอิสลามทNงั ทIีเป็นชายและเป็นหญิงดว้ ย”
ประการทIีสอง มีการกาํ หนดเงืIอนไขในการเป็ นมสั ยิดว่าจะตอ้ งมีการละหมาดวนั ศุกร์
เป็ นปกติเพIิมขNึนด้วย ซIึงแต่เดิมถอ้ ยคาํ ทีIใช้ไม่ได้ระบุเป็ นเงIือนไขทีIชัดเจน หากแต่เป็ นการ
อธิบายวา่ ใชเ้ ป็นทีIประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในวนั ศุกร์เป็นปกติเท่านNนั
ประการทีIสาม มีการเพIิมองคป์ ระกอบสาํ คญั หรือวตั ถุประสงคข์ องมสั ยิดอีกอยา่ งหนIึง
คือ เป็นสถานทีIสอนศาสนาอิสลามดว้ ย
จากคาํ อรรถาธิบายขา้ งตน้ จะเห็นว่า แมจ้ ะมีการบญั ญตั ิคาํ ว่า “มสั ยิด” เช่นเดิมก็ตาม
แต่ความหมายทีIกาํ หนดไวน้ Nนั มีความชดั เจนและครอบคลุมความหมายทีIทางศาสนากาํ หนดไว้

23


มากยIิงขNึนดว้ ย และจากความหมายดงั กล่าวทาํ ให้มสั ยิดมีวตั ถุประสงค์ 2 ประการคือ การเป็ น
สถานทีIประกอบศาสนกิจและสถานทIีสาํ หรับสอนศาสนาอิสลาม ดว้ ยเหตุนNี หากมีการอนุญาต
ใหส้ ร้างมสั ยดิ ได้ ยอ่ มหมายความรวมถึง การทIีมสั ยดิ นNนั จะสามารถก่อสร้างตวั อาคารมสั ยดิ และ
โรงเรียนสอนศาสนาหรือศูนยก์ ารเรียนรู้อิสลามประจาํ มสั ยดิ ไดด้ ว้ ย

อย่างไรก็ตาม นิยามคาํ ว่ามัสยิดนNีก็ยงั มีความหมายไม่ครอบคลุมมัสยิดในปัจจุบัน
เนืIองจากมีการจดั ตNงั มสั ยิดกนั มากขNึนโดยทีIยงั ไม่มีชุมชนมุสลิมเกิดขNึนก่อนแต่อยา่ งใด เป็ นตน้
วา่ การสร้างมู่ซ็อลลาในสถานทIีราชการ หน่วยงาน สาธารณะสถานต่างๆ เช่น สนามบินสถานี
รถไฟ สถานีขนส่ง หรือแมแ้ ต่ห้างสรรพสินคา้ โดยในบางสถานทีIอาจจะมีการจดั ให้มีการ
ละหมาดวนั ศุกร์ด้วยก็ตาม สIิงต่างๆ เหล่านNีไม่อยู่ในความหมายของคําว่า “มัสยิด” ตาม
พระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีแต่ประการใด ดว้ ยเหตุนNี จึงมีการเสนอใหเ้ พIิมบทนิยาม มสั ยดิ ประเภททีI
2 หรือทีIเรียกว่า “มู่ซ็อลลา” หรือ “บาลัยหรือบาแล”ในภาษามาลายู โดยให้หมายความถึง
สถานทIีประกอบศาสนกิจในศาสนาอิสลามโดยทIีมิไดม้ ีชุมชนมุสลิมเกิดขNึนในบริเวณดงั กล่าว
ดว้ ย

ในส่วนของการใหก้ ารศึกษาอบรมศาสนาอิสลามของมสั ยดิ นNนั กระทรวงศึกษาธิการได้
มีการออกระเบียบฉบบั ล่าสุด คือ ระเบียบกรมการศาสนาว่าดว้ ยศูนยอ์ บรมศาสนาอิสลามและ
จริยธรรมประจาํ มสั ยดิ พ.ศ. 2553 โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พIือทIีจะกาํ หนดหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการใน
การขออนุญาตจดั ตNงั และการดาํ เนินการของศูนยอ์ บรมศาสนาอิสลามและจริยธรรมประจาํ
มสั ยิด ควบคุมผูส้ อนและหลกั สูตรทIีใชใ้ นการสอน รวมทNงั จะตอ้ งมีคณะกรรมการศูนยแ์ ต่ละ
แห่งเพIือทาํ หนา้ ทIีจดั การเรียนการสอน ควบคุม แต่งตNงั และถอดถอนครูผสู้ อน รวมทNงั กาํ หนดให้
มีคณะกรรมการกลาง เป็ นองค์กรทIีทาํ หน้าทIีดูแลในระดบั นโยบาย ให้คาํ แนะนําและตรวจ
เยีIยม อีกทNังมีคณะกรรมการจงั หวดั เพIือกาํ กับดูแล ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการ
ดาํ เนินการของศูนยด์ งั กล่าว

บทนิยามศพั ทค์ าํ วา่ “สปั ปุรุษประจาํ มสั ยดิ ”
คาํ นNีเดิมไดเ้ คยถูกใชอ้ ยใู่ นพระราชบญั ญตั ิมสั ยดิ อิสลาม พ.ศ. 2490 มาก่อน เพียงแต่ไม่มี
บทนิยามคาํ ศพั ทด์ งั กล่าวไวใ้ หช้ ดั เจนวา่ หมายความวา่ อยา่ งไร ดงั นNนั ในพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNี
จึงไดม้ ีการบญั ญตั ินิยามศพั ทค์ าํ นNีไวโ้ ดยเฉพาะใหห้ มายความถึง มุสลิมทIีคณะกรรมการอิสลาม
ประจาํ มสั ยิดมีมติรับเขา้ เป็ นสัปปุรุษมสั ยิด และมีชืIออยใู่ นทะเบียนสัปปุรุษประจาํ มสั ยิด แต่ผู้
นNนั จะเป็นสปั ปุรุษเกินกวา่ หนIึงมสั ยดิ ในเวลาเดียวกนั ไม่ได้

24


คาํ วา่ ”สัปปุรุษ” ตามพจนานุกรมไดใ้ หค้ วามหมายวา่ คนดี คนมีสัมมาทิฐิ คนทีIตNงั อยใู่ น
ศีลธรรม หากเป็ นคําทีIทางวัดใช้ จะหมายถึง ประชาชนทีIเลืIอมใสในพระพุทธศาสนา
(เหมือนกบั คาํ วา่ สปั ปุริส) ผทู้ Iีมีส่วนในการยกร่างกฎหมายในขณะนNนั คงหยบิ ยมื คาํ ดงั กล่าวมา
ใช้กบั ศาสนาอิสลามดว้ ย โดยประสงค์จะให้มีความหมายว่า ประชาชนทีIเลIือมใสในศาสนา
อิสลามนนัI เอง นอกจากนNนั แลว้ ผยู้ กร่างยงั ไดเ้ พIิมคาํ วา่ “ประจาํ มสั ยดิ ” ต่อทา้ ยคาํ วา่ “สัปปุรุษ”
เพืIอตอ้ งการทีIจะใหม้ ีความหมายพิเศษดงั เช่นทIีหลกั การศาสนาอิสลามไดก้ าํ หนดไวซ้ Iึงตรงกบั คาํ
ว่า “มู่กีมหรือมุสเตาติน” แต่อยา่ งไรก็ตาม ในการเขียนความหมายในนิยามศพั ทค์ าํ นNีกลบั มิได้
นาํ หลกั การศาสนาอิสลามในเรืIองดงั กล่าวมาบญั ญตั ิหรือเขียนความหมายดงั กล่าวไวแ้ ต่ประการ
ใด หากแต่มีการบัญญัติโดยให้ความหมายเป็ นการเฉพาะว่า หมายถึง บุคคลทIีมีครบสอง
องค์ประกอบคือ (1) เป็ นมุสลิมทีIคณะกรรมการอิสลามประจาํ มสั ยิดมีมติรับเขา้ เป็ นสัปปุรุษ
มสั ยดิ และ(2) มีชIืออยใู่ นทะเบียนสัปปุรุษประจาํ มสั ยดิ โดยไดก้ าํ หนดเงIือนไขหรือขอ้ จาํ กดั ใน
การเป็ นสัปปุรุษประจาํ มสั ยิดเพิIมเติมดว้ ยว่า “ผูน้ Nันจะเป็ นสัปปุรุษเกินกว่าหนIึงมสั ยิดในเวลา
เดียวกนั ไม่ได”้ จากนิยามความหมายดงั กล่าวขา้ งตน้ จะเห็นไดว้ ่า กฎหมายมิไดม้ ีเจตนารมณ์ทIี
จะกาํ หนดหลกั เกณฑ์ในการเป็ นสัปปุรุษประจาํ มสั ยิดทีIจะตอ้ งมีความสัมพนั ธ์ระหว่างกนั ใน
ลกั ษณะของการมีชุมชนมุสลิมไวแ้ ต่ประการใด ดงั นNนั หากคนใดทIีมีความเลIือมใสในศาสนา
อิสลามและคณะกรรมการอิสลามประจาํ มสั ยิดมีมติรับเขา้ และขNึนทะเบียนเป็ นสัปปุรุษย่อม
สามารถกระทาํ ไดต้ ามกฎหมาย

จากเหตุผลดงั กล่าวนNีจึงมีความพยายามของผูเ้ กีIยวขอ้ งในการทIีจะแก้ไขเพืIอกาํ หนด
ขอบเขตของมสั ยดิ หรือปริมณฑลของมสั ยดิ เพIือใหส้ ามารถกาํ หนดพNืนทIีของมสั ยดิ แต่ละแห่งได้
อย่างชดั เจนเพIือประโยชน์ในการพิจารณาการเป็ นสัปปุรุษของแต่ละคน และไม่ให้เกิดความ
ซNาํ ซอ้ นในการเป็ นสัปปุรุษของแต่ละมสั ยดิ รวมทNงั เพืIอมิให้การจดั ตNงั มสั ยดิ สามารถกระทาํ ได้
โดยง่ายจนเกินไป แต่ทวา่ ความคิดเห็นดงั กล่าวตอ้ งตกไปเนืIองจากมีการคดั คา้ นจากหลายฝ่ ายวา่
ชุมชนหรือสังคมมุสลิมนNนั ไม่สามารถทีIจะกาํ หนดขอบเขตไดอ้ ยา่ งชดั เจนเนIืองจากทุกคนต่างมี
เสรีภาพในการเดินทางหรือเคลืIอนยา้ ยถIินทีIอยขู่ องตน อีกทNงั มีขอ้ จาํ กดั ในเรืIองของกรรมสิทธhิ
และการถือครองทีIดินหรืออสงั หาริมทรัพย์ ตลอดจนปัญหาเกีIยวกบั การขยายตวั ของสงั คมต่างๆ
ทIีมีการผสมผสานและเกลIือนกลืนซIึงกนั และกนั

สําหรับประเด็นเรIืองการเป็ นสัปปุรุษประจาํ มสั ยิดสองมสั ยิดซ้อนกนั ไม่ไดน้ Nันถือเป็ น
หลกั การทIีสาํ คญั ของกฎหมาย ซIึงในการพิจารณาวา่ บุคคลใดจะเป็นทีIสปั ปุรุษของมสั ยดิ ใด ใหด้ ู

25


ทIีการมีมติรับขNึนทะเบียนเป็นสปั ปุรุษประจาํ มสั ยดิ นNนั เป็นหลกั การเบNืองตน้ โดยหากยงั ไม่มีการ
ลงมติจาํ หน่ายชIือออกจากทะเบียนมัสยิดแล้ว ย่อมต้องถือว่าบุคคลนNันยงั คงสภาพการเป็ น
สัปปุรุษในมสั ยิดนNันอยู่ตลอดเวลา แมว้ ่าจะไดม้ ีการยา้ ยทะเบียนบา้ นไปอยู่ในทอ้ งทีIอืIนหรือ
จงั หวดั อืIนแลว้ กต็ าม

บทนิยามศพั ทค์ าํ วา่ "อิหม่าม" "คอเตบ็ "และ "บิหลนIั "
ในพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีมีการบญั ญตั ิศพั ทภ์ าษาอาหรับเป็ นบทนิยามศพั ทอ์ ีก 3 คาํ คือ
คาํ วา่ "อิหม่าม" ซIึงมีหมายความวา่ ผนู้ าํ ศาสนาอิสลามประจาํ มสั ยดิ คาํ วา่ "คอเตบ็ " หมายความ
ว่า ผูแ้ สดงธรรมประจาํ มสั ยิด และคาํ ว่า "บิหลนัI " หมายความว่า ผูป้ ระกาศเชิญชวนให้มุสลิม
ปฏิบตั ิศาสนกิจตามเวลา ซIึงทNงั สามคาํ ขา้ งตน้ เป็ นศพั ท์ภาษาอาหรับทIียอมรับให้เป็ นภาษาใน
กฎหมายไทย ในพระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม พทุ ธศกั ราช 2488 ไดม้ ีการ
ใช้คาํ ว่า “โต๊ะอิหม่าม” มาก่อน ดังนNันในพระราชบัญญัติฉบับนNีจึงคงถ้อยคาํ ไวแ้ ต่เพียงว่า
“อิหม่าม” ทNงั นNีโดยคาํ ว่า อิหม่ามและคอเต็บนNนั เป็ นคาํ นามทีIแสดงถึงผูก้ ระทาํ หนา้ ทีIตามทIีได้
กาํ หนดไว้ ส่วนคาํ วา่ บิหลนIั นNนั น่าจะนาํ มาจากชIือของบุคคลทIีเคยทาํ หนา้ ทIีดงั กล่าวเป็นคนแรก
คือ ท่านบิลา้ ลนนัI เอง
ถึงแม้ว่าบุคคลในแต่ละประเภทจะมีการกาํ หนดหน้าทIีไวแ้ ตกต่างกันตามบทนิยาม
คาํ ศพั ท์ของแต่ละคาํ ก็ตาม แต่ทว่าบุคคลทNงั สามประเภทนNีถือว่าเป็ นกลุ่มผูม้ ีความรู้ในศาสนา
อิสลามประจาํ มสั ยดิ เช่นเดียวกนั ซIึงสามารถทาํ หนา้ ทIีแทนกนั ไดเ้ มืIอมีความจาํ เป็น ดงั จะไดก้ ล่าว
เนNือหาในรายละเอียดต่อไป
แต่อยา่ งไรก็ตาม เป็ นทIีน่าเสียดายอยา่ งยิIงทIีพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีมิไดม้ ีการบญั ญตั ิบท
นิยามคําศัพท์ทีIสําคัญคําหนIึง ซIึงก็คือถ้อยคําว่า “การบริหารกิจการศาสนาอิสลาม” ว่ามี
ความหมายหรือขอบเขตในเรืIองใดบา้ ง มีความครอบคลุมหรือกวา้ งขวางแค่ไหนเพียงใด อนั จะ
เป็ นการจาํ กดั กรอบหรือการใชด้ ุลยพินิจในการตีความของผูท้ Iีใชก้ ฎหมายในโอกาสต่อไปได้
เป็นอยา่ งดี

26


ผู้รักษาการตามกฎหมาย

มาตรา 5 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
รักษาการตามพระราชบัญญัตินี/ และให้มีอาํ นาจแต่งต/ังพนักงาน เจ้าหน้าท<ี กบั ออกกฎกระทรวง
ระเบียบ ประกาศ และคาํ ส<ัง เพื<อปฏบิ ัตกิ ารตามพระราชบัญญตั นิ ี/ ในส่วนทเ<ี กย<ี วกบั อาํ นาจหน้าที<
ของแต่ละกระทรวง

กฎกระทรวงน/ัน เม<ือได้ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคบั ได้

คาํ อธิบาย

บทบญั ญตั ิเกIียวกบั รัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามกฎหมาย เป็ นบทบญั ญตั ิทีIระบุถึงผูม้ ีอาํ นาจ
หนา้ ทIี และความรับผิดชอบในการดาํ เนินการต่างๆ อาทิเช่น การออกกฎหมายลาํ ดบั รอง ไม่ว่า
จะเป็ น กฎกระทรวง ระเบียบหรือประกาศของรัฐมนตรี ทีIอาศยั อาํ นาจตามบทบัญญัติของ
กฎหมาย รวมทNงั ยงั มีอาํ นาจหนา้ ทIีในการแต่งตNงั พนกั งานเจา้ หนา้ ทIีผูท้ Iีจะปฏิบตั ิหรือบงั คบั ใช้
ให้เป็ นไปตามกลไกหรือมาตรการตามทีIกฎหมายฉบบั ดงั กล่าวไดก้ าํ หนดไวเ้ พIือให้สัมฤทธhิผล
ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง นอกจากนNีแลว้ ยงั มีอาํ นาจหนา้ ทีIในการกาํ กบั ดูแล
โดยทวIั ไป อาทิเช่น การจดั ตNงั หรือการแบ่งส่วนราชการภายในเพืIอรองรับหน่วยงานใหม่ รวมทNงั
การดูแลองคก์ ร คณะกรรมการ พนกั งานเจา้ หนา้ ทีI หรือแมแ้ ต่ขา้ ราชการ และลูกจา้ งทีIสังกดั ใน
องคก์ รดงั กล่าวใหท้ าํ หนา้ ทีIเป็นไปตามทีIกฎหมายฉบบั นNีกาํ หนดดว้ ย

เดิมบทบญั ญตั ิเกIียวกบั รัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา ว่าดว้ ย
การศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม พุทธศกั ราช 2488 ไดร้ ะบุให้มีรัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามกฎหมาย 2
กระทรวง คือ ในมาตรา 10 ให้รัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการศึกษาธิการ
รักษาการตามพระกฤษฎีกานNี นอกจากนNี ความในวรรคสองยังได้มีการกําหนดให้

27


กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิ การปรึ กษาหารื อคณะกรรมการกลางอิสลามแห่ ง
ประเทศไทย เพIือการระเบียบอืIน ๆ อนั เกIียวกบั การศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม เพืIอปฏิบตั ิการให้
เป็ นไปตามพระราชกฤษฎีกา ซIึงจะเห็นไดว้ า่ บทบญั ญตั ิดงั กล่าวมีความชดั เจนวา่ ในการปฏิบตั ิ
หน้าทIีของทNงั สองกระทรวงนNนั จะตอ้ งมีการหารือต่อคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศ
ไทยในการออกระเบียบทีIเกีIยวขอ้ งดว้ ย ส่วนพระราชบญั ญตั ิมสั ยดิ อิสลาม พ.ศ. 2490 ในมาตรา
13 ไดก้ าํ หนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียวเป็ นผูร้ ักษาการตาม
กฎหมาย

สาํ หรับพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีไดม้ ีการกาํ หนดรัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามกฎหมายอยใู่ น
มาตรา 5 ซIึ งกําห น ดให้ รัฐมน ตรี ว่าการกระท รวงมห าดไท ยและรัฐมน ตรี ว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการ รักษาการตามพระราชบญั ญตั ินNี และใหม้ ีอาํ นาจแต่งตNงั พนกั งาน เจา้ หนา้ ทีI
กบั ออกกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ และคาํ สัIง เพIือปฏิบตั ิการตาม พระราชบญั ญตั ินNี ในส่วน
ทIีเกIียวกบั อาํ นาจหนา้ ทีIของแต่ละกระทรวง และในวรรคสองกาํ หนดวา่ กฎกระทรวงนNนั เมืIอได้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลว้ ใหใ้ ชบ้ งั คบั ได้

จากบทบญั ญตั ิของมาตราดงั กล่าวจะเห็นไดว้ ่า พระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีมีการบญั ญตั ิใน
ทํานองเดียวกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ ายอิสลาม พุทธศักราช 2488 ทIี
กาํ หนดให้มีรัฐมนตรีผรู้ ักษาการตามกฎหมายถึงสองกระทรวงดว้ ยกนั คือ กระทรวงมหาดไทย
และกระทรวงศึกษาธิการเช่นเดียวกนั การทีIได้กาํ หนดในลกั ษณะเช่นนNีมิได้หมายความว่า
รัฐมนตรีทNงั สองกระทรวงนNนั จะตอ้ งปฏิบตั ิหน้าทIีร่วมกนั เหมือนกบั กรณีทีIระบุไวใ้ นพระราช
กฤษฎีกาฯ เนIืองจากความในตอนทา้ ยของบทบญั ญตั ิมาตราดงั กล่าวเขียนเป็นพิเศษวา่ ในส่วนทIี
เกีIยวกบั อาํ นาจหนา้ ทIีของแต่ละกระทรวง อนั แสดงใหเ้ ห็นวา่ การดาํ เนินการตามบทบญั ญตั ิของ
กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็ นการลงนามในกฎกระทรวงหรือการออกประกาศ หรือแมแ้ ต่การแต่งตNงั
พนกั งานเจา้ หนา้ ทIีกต็ าม รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงนNนั ต่างฝ่ ายต่างแยกหนา้ ทIีกนั ปฏิบตั ิในส่วนทIี
เกIียวขอ้ งกบั กระทรวงของตนเท่านNนั

สาํ หรับหลกั เกณฑใ์ นการพิจารณาวา่ กระทรวงใดมีหนา้ ทIีในเรืIองใดนNนั จาํ ตอ้ งพิจารณา
ดูจากถอ้ ยคาํ ทIีเป็ นเนNือหาของพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีว่าระบุให้เรIืองใดเป็ นอาํ นาจหน้าทีIของ
รัฐมนตรีกระทรวงใด เป็นผรู้ ับผดิ ชอบ ซIึงเมืIอไดพ้ ิจารณาเนNือหาของพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีแลว้
จะเห็ น ได้ว่า มี เพี ยงม าต รา 11 เท่ านNั น ทIี ได้ระบุ ไว้ชัด เจน ว่าให้ เป็ น อําน าจข อ ง
กระทรวงศึกษาธิการ ส่วนมาตราอIืนๆ ไม่ได้มีการกาํ หนดไวแ้ ต่อย่างใด ประกอบกับโดย

28


หลกั การทวัI ไปแลว้ ตอ้ งถือว่า กระทรวงทIีถูกระบุไวก้ ่อนเป็ นกระทรวงทีIมีหน้าทIีหลกั ซIึงก็คือ
กระทรวงมหาดไทย ดว้ ยเหตุนNี จึงตอ้ งตีความว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็ นผูท้ ีIมี
หน้าทIีความรับผิดชอบเป็ นหลกั ส่วนกระทรวงศึกษาธิการนNันมีหน้าทีIความรับผิดชอบแต่
เฉ พ าะบ างม าต ราทีI เกีI ยวข้อ ง ซIึ งก็คื อ ม าต รา 11 ทIี บัญ ญัติ ไว้ว่า เมืI อ เห็ น ส ม ค วร
กระทรวงศึกษาธิการอาจจดั ตNงั “อิสลามวิทยาลยั ” ขNึนเพืIอให้การศึกษาและอบรมทางวิชาการ
ศาสนา วิชาการ ทIัวไป และวิชาชีพได้ ซIึงจะเห็นได้ว่า บทบัญญัติมาตรานNีระบุอาํ นาจของ
กระทรวงศึกษาธิการไวอ้ ยา่ งชดั เจนแลว้ ส่วนบทบญั ญตั ิอืIนมิไดร้ ะบุให้เป็ นอาํ นาจหนา้ ทีIของ

กระทรวงศึกษาธิการโดยเฉพาะ กรณียอ่ มแปลความในทางตรงกนั ขา้ ม ( in contrario ) ไดว้ า่

เป็นอาํ นาจของกระทรวงมหาดไทยนนIั เอง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 ไดม้ ีการออกพระราชกฤษฎีกาแกไ้ ขบทบญั ญตั ิใหส้ อดคลอ้ งกบั การ

โอนอาํ นาจหนา้ ทีIของส่วนราชการใหเ้ ป็นไปตามพระราชบญั ญตั ิปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม
พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2545 มาตรา 20 กาํ หนดว่า ในพระราชบญั ญตั ิการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลาม
พ.ศ. 2540 ใหแ้ กไ้ ขคาํ วา่ “รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการ” เป็น “รัฐมนตรีวา่ การกระทรวง
วฒั นธรรม” เนIืองจากมีการโอนอาํ นาจหนา้ ทIีของส่วนราชการเดิมไปเป็นอาํ นาจหนา้ ทIีของส่วน
ราชการใหม่ จึงจาํ เป็ นตอ้ งมีการแกไ้ ขรัฐมนตรีรักษาการตามกฎหมาย ให้สอดคลอ้ งกนั โดยไม่
จาํ เป็ นตอ้ งกลบั ไปดูหรือคน้ หาในพระราชบญั ญตั ิให้โอนอาํ นาจหน้าทีIอีก ดว้ ยเหตุนNี อาํ นาจ
หน้าทีIของรัฐมนตรีผูร้ ักษาการตามกฎหมายฉบบั นNีเฉพาะในส่วนทIีเป็ นของรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการย่อมโอนไปเป็ นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวฒั นธรรม นับตNงั แต่วนั ทIี
พระราชกฤษฎีกาดงั กล่าวมีผลใชบ้ งั คบั คือ วนั ทีI • ตุลาคม ‚ƒ„ƒ เป็นตน้ ไป

29


หมวด 1
บททวั@ ไป

30


การแต่งต2งั จุฬาราชมนตรี

มาตรา 6 พระมหากษตั ริย์ทรงแต่งต/งั จุฬาราชมนตรีคนหน<ึงเพ<ือเป็ นผู้นํากจิ การศาสนา
อิสลามในประเทศไทย ให้นายกรัฐมนตรีนําช<ือผู้ท<ีจะดํารงตําแหน่งจุฬาราชมนตรีซ<ึงได้รับ
ความเห็นชอบจากกรรมการอิสลามประจําจังหวัดทั<วประเทศขึน/ ทูลเกล้าฯ เพ<ือทรงพระกรุณา
โปรดเกล้า ฯ แต่งต/ังเป็ นจุฬาราชมนตรี หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาจุฬาราชมนตรีตามวรรค
สอง ให้เป็ นไปตามท<ีกาํ หนดในกฎกระทรวง ให้มีเงนิ อุดหนุนฐานะจุฬาราชมนตรีตามท<ีกาํ หนด
ในพระราชกฤษฎกี า

คาํ อธิบาย

ก่อนทIีจะกล่าวถึงเรืIองการแต่งตNงั ผทู้ Iีจะดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีตามทIีพระราชบญั ญตั ิ
ฉบบั นNีไดก้ าํ หนดไว้ ผูเ้ ขียนขอนาํ เสนอเกีIยวกบั ประวตั ิความเป็ นมา (โดยสังเขป) สถานะและ
อาํ นาจหนา้ ทีIของจุฬาราชมนตรีตามทีIไดม้ ีกฎหมายกาํ หนดไวใ้ นอดีต เพืIอใชเ้ ป็ นขอ้ มูลพNืนฐาน
ในการทIีจะวิเคราะห์ หรือเปรียบเทียบกับสถานะ การแต่งตNัง รวมทNังบทบาทหน้าทีIของ
จุฬาราชมนตรีตามทIีพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีไดก้ าํ หนดไวต้ ่อไป

ตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีไดม้ ีการโปรดเกลา้ ฯ ขNึนตNงั แต่เมIือปลายแผ่นดินสมเด็จพระเจา้
ทรงธรรมเนืIองจากท่านเฉกอะหมดั ไดช้ ่วยปรับปรุงราชการกรมท่าจนเกิดผลดี สมเด็จพระเจา้
ทรงธรรมจึงโปรดเกลา้ ฯให้เป็ น “พระยาเฉกอะหมดั รัตนราชเศรษฐี” เจา้ กรมท่าขวา และต่อมา
ไดม้ ีการเรียกกนั ว่า “พระยาจุฬาราชมนตรี” ซIึงถือไดว้ ่าเป็ นปฐมจุฬาราชมนตรีและเป็ นผูน้ าํ
ศาสนาอิสลามนิกายชีอะหฺมาสู่ประเทศไทย หลงั จากนNนั ในสมยั แผ่นดินพระนารายณ์มหาราช
ก็ไดม้ ีการแต่งตNงั พระยาจุฬาราชมนตรีท่านทีI 2 คือ นายแกว้ ซIึงมีศกั ดhิเป็ นหลานของท่านเฉก
อะหมดั และเคยถวายตวั เป็ นมหาดเล็กในแผ่นดินพระนารายณ์มหาราช จนกระทงIั ต่อมาไดร้ ับ

31


การเลืIอนยศเป็ นหลวงศรียศ (แก้ว) และต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศกั ดhิให้เป็ น พระยา
จุฬาราชมนตรีเจา้ กรมท่าขวา ซIึงจะเห็นไดว้ า่ ตาํ แหน่งพระยาจุฬาราชมนตรีถือเป็ นบรรดาศกั ดhิ
ทีIพระมหากษตั ริยท์ รงแต่งตNงั ขNึนเพืIอตอบแทนคุณงามความดีทีIบุคคลนNนั ไดก้ ระทาํ ประโยชน์ต่อ
บา้ นต่อเมืองไว้ รวมทNงั ตาํ แหน่งดงั กล่าวมีความสัมพนั ธ์กบั การดาํ รงตาํ แหน่งเป็ นกรมท่าขวา
ดว้ ย ซIึงต่อมากไ็ ดม้ ีการตNงั แต่งตNงั พระยาจุฬาราชมนตรีมาตลอดจนกระทงัI ถึงรัชสมยั ของรัชกาล
ทีI 5 นายเกษม อหะหมดั จุฬา ซIึงเป็ นบุตรของพระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมดั จุฬา) เริIมรับ
ราชการเป็ นมหาดเล็ก ต่อมาได้รับราชการในกระทรวงยุติธรรมสังกัดกรมกองแสตมป์
มีบรรดาศักดhิเป็ นหลวงศรีเนาวรัตน์ รัชกาลทีI 5 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตNังให้เป็ น “พระ
จุฬาราชมนตรี” เมIือปี พ.ศ. 2466 อันเป็ นผลทําให้ตําแหน่งพระยาจุฬาราชมนตรี จึงได้
เปลIียนเป็น พระจุฬาราชมนตรี นบั ตNงั แต่ปี ดงั กล่าวเป็นตน้ มา ภายหลงั จากการเปลีIยนแปลงการ
ปกครอง ไดม้ ีการตราพระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม พทุ ธศกั ราช 2488 ขNึน
ซIึงถือไดว้ ่าเป็ นกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรฉบบั แรกทIีไดม้ ีบทบญั ญตั ิรองรับเกีIยวกบั เรIืองการ
อุปถมั ภศ์ าสนาอิสลามไวโ้ ดยตรง และไดก้ าํ หนดตาํ แหน่งผูน้ าํ และองคก์ รสาํ คญั ทIีเกีIยวขอ้ งกบั
ศาสนาอิสลามไวอ้ ยา่ งชดั เจน ตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีจึงไดเ้ ปลีIยนแปลงไปจากเดิมทIีเคยแต่งตNงั
โดยพระมหากษตั ริยแ์ ละเป็นคนในสายสกลุ เฉกอะหมดั ทีIนบั ถือนิกายชีอะหฺมาโดยตลอด ซIึงใน
พระราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยการศาสนูปถมั ภ์ฝ่ ายอิสลาม พุทธศกั ราช 2488 ไดบ้ ญั ญตั ิรองรับการ
กําหนดตาํ แหน่งผูน้ ําและองค์กรสําคัญทIีเกีIยวข้องกับศาสนาอิสลามให้เป็ นตาํ แหน่งตาม
กฎหมาย โดยในมาตรา 3 ไดบ้ ญั ญตั ิใหจ้ ุฬาราชมนตรี มีหนา้ ทIีปฏิบตั ิราชการส่วนพระองคเ์ กIียว
แก่การทีIจะทรงอุปถมั ภ์ศาสนาอิสลาม จากบทบัญญัติมาตราดังกล่าวชNีให้เห็นว่า ตาํ แหน่ง
จุฬาราชมนตรีนNนั เป็นตาํ แหน่งของผทู้ ีIมีหนา้ ทีIในการปฏิบตั ิราชการส่วนพระองค์ โดยเฉพาะใน
เรIืองทIีเกIียวขอ้ งกบั การดูแลอุปถมั ภผ์ ทู้ ีIนบั ถือศาสนาอิสลาม ของพระมหากษตั ริยเ์ ท่านNนั ซIึงหาก
จะเปรียบเทียบกบั ปัจจุบนั ก็อาจจะมีลกั ษณะเป็ นขา้ ราชการส่วนพระองคท์ ีIพระมหากษตั ริยท์ รง
ทรงแต่งตNงั ขNึนตามพระราชอธั ยาศยั ดว้ ยเหตุนNี ตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีในขณะนNนั จึงน่ามีสถานะ
ทIีเป็นขา้ ราชการส่วนพระองคท์ ีIคอยรับสนองพระบรมราชโองการหรือพระราชกรณียกิจในส่วน
ทIีเกIียวขอ้ งกบั ศาสนาอิสลามนนIั เอง

หลงั จากนNนั ไดม้ ีการออกพระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม (ฉบบั ทIี ‚)
พ.ศ. ‚„…† โดยในมาตรา ‡ ไดก้ าํ หนดให้ “พระมหากษตั ริยท์ รงแต่งตNงั จุฬาราชมนตรีเพIือให้
คาํ ปรึกษาแก่กรมการศาสนาในกระทรวงศึกษาธิการเกIียวกบั ศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม และให้มี

32


เงินอุดหนุนฐานะจุฬาราชมนตรีตามสมควร” ผลจากการแกไ้ ขมาตรา ‡ ดงั กล่าวทาํ ให้สถานะ
ของจุฬาราชมนตรีเปลีIยนแปลงไปเป็ นทIีปรึกษาแก่กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการใน
ขณะนNัน มิได้มีสถานะเป็ นขา้ ราชการส่วนพระองค์เช่นพระราชกฤษฎีกาฉบบั เดิมอีกต่อไป
รวม ทN ังได้มี การกําห น ด ให้มี เงิ น อุ ด ห นุ น ฐาน ะข องจุ ฬ าราช ม น ต รี ต าม ทIี เห็ น ส ม ค วรด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม การแต่งตNงั จุฬาราชมนตรียงั คงเป็ นพระราชอาํ นาจของพระมหากษตั ริยท์ Iีจะ
ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ แต่งตNงั เช่นเดิม ส่วนบทบาทของจุฬาราชมนตรีในการให้คาํ ปรึกษา
แก่กรมการศาสนานNนั กย็ งั คงเป็นเรืIองทIีเกีIยวขอ้ งกบั การดูแลอุปถมั ภศ์ าสนาอิสลามเท่านNนั

ครNันต่อมาเมIือมีการตราพระราชบญั ญตั ิการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลามพ.ศ. 2540 ขNึน
โดยในส่ วนทIีเกีIยวข้องกับจุฬาราชมนตรี มีการกําหนดไว้ในมาตรา 6 วรรคหนIึ ง ว่า
พระมหากษตั ริยท์ รงแต่งตNงั จุฬาราชมนตรีคนหนIึงเพIือเป็นผนู้ าํ กิจการศาสนาอิสลามในประเทศ
ไทย ในวรรคสองกาํ หนดให้นายกรัฐมนตรีนาํ ชืIอผูท้ ีIจะดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีซIึงไดร้ ับ
ความเห็นชอบจากกรรมการอิสลามประจาํ จงั หวดั ทวIั ประเทศขNึนทูลเกลา้ ฯ เพIือทรงพระกรุณา
โปรดเกลา้ ฯ แต่งตNงั เป็ นจุฬาราชมนตรี ความในวรรคสามกาํ หนดว่า หลกั เกณฑ์และวิธีการ
สรรหาจุฬาราชมนตรีตามวรรคสอง ให้เป็ นไป ตามทIีกาํ หนดในกฎกระทรวง และในวรรคสีI
กาํ หนดใหม้ ีเงินอุดหนุนฐานะจุฬาราชมนตรีตามทIีกาํ หนดในพระราชกฤษฎีกา

จากบทบัญญัติของมาตรา 6 ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการกําหนดเกIียวกับการ
แต่งตNัง สถานะ บทบาทหน้าทIี และความรับผิดชอบ รวมทNังค่าตอบแทนของตําแหน่ง
จุฬาราชมนตรีไวอ้ ย่างชัดเจน ในลกั ษณะทIีเป็ นระบบการบริหารราชการสมยั ใหม่ โดยได้
กาํ หนดไวอ้ ยา่ งชดั เจนว่า ตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีนNนั มีสถานะเป็ นผนู้ าํ กิจการศาสนาอิสลามใน
ประเทศไทย มิใช่ผูท้ Iีปฏิบตั ิหนา้ ทIีราชการส่วนพระองคเ์ ท่านNนั หากแต่มีลกั ษณะทีIเป็ นสถาบนั
หนIึงทIีถูกจดั ตNงั ขNึนตามกฎหมาย ทNงั นNี โดยมีกระบวนการแต่งตNงั เรIิมจากการทIีกรรมการอิสลาม
ประจําจังหวัดทัIวประเทศให้ความเห็นชอบกับบุคคลทีIเหมาะสมจะดํารงตําแหน่งเป็ น
จุฬาราชมนตรีเพIือนําเสนอต่อนายกรัฐมนตรี หลังจากนNัน นายกรัฐมนตรีจึงจะนํารายชIือ
ดงั กล่าวเสนอทูลเกลา้ ฯ ต่อพระมหากษตั ริย์ เพืIอทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ แต่งตNงั ต่อไป

นอกจากนNี ความในวรรคสามยังได้กําหนดว่า หลักเกณ ฑ์และวิธี การสรรหา
จุฬาราชมนตรีนNันให้เป็ นไปตามทIีกําหนดในกฎกระทรวง ซIึงต่อมาได้มีการประกาศใช้
กฎกระทรวงทIีออกโดยอาศยั อาํ นาจตามความในมาตรานNีคือ กฎกระทรวง (พ.ศ. 2542) ออกตาม
ความในพระราชบญั ญตั ิการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ซIึงไดก้ าํ หนดรายละเอียด

33


เกIียวกบั สรรหาจุฬาราชมนตรี การคดั เลือกคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และ
คณะกรรมการอิสลามประจาํ จงั หวดั
อีกทNังความในวรรคสIียงั ได้กาํ หนดให้มีเงินอุดหนุนฐานะจุฬาราชมนตรีตามทIีกาํ หนดใน
พระราชกฤษฎีกา ซIึงต่อมาปรากฏวา่ มีการออกพระราชกฤษฎีกาเงินอุดหนุนฐานะจุฬาราชมนตรี
พ.ศ. 2542 และล่าสุดไดม้ ีการออกพระราชกฤษฎีกาเงินอุดหนุนฐานะจุฬาราชมนตรี (ฉบบั ทีI 2)
พ.ศ. 2558 เพืIอแกไ้ ขเงินอุดหนุนของจุฬาราชมนตรีให้เพIิมขNึนเป็ นจาํ นวนเงินเดือนละ 20,000
บาท

จากรายละเอียดของบทบัญญัติดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่า เดิมตาํ แหน่ง
จุฬาราชมนตรีเป็ นเพียงขา้ ราชการส่วนพระองค์ในส่วนทีIเกีIยวขอ้ งกบั ศาสนาอิสลามเท่านNัน
แต่เมIือมีการตราพระราชบญั ญัติฉบบั นNีขNึน นอกจากจะได้มีการบญั ญัติเกIียวกับสถานะของ
จุฬาราชมนตรี อาํ นาจหน้าทีIทีIชดั เจนแลว้ ยงั มีการบญั ญตั ิให้มีกระบวนการและองคก์ รในการ
เสนอชIือ การให้ความเห็นชอบ การแต่งตNงั รวมทNงั กาํ หนดค่าตอบแทนของตาํ แหน่งดงั กล่าว
อันแสดงให้เห็นได้ว่า กิจการศาสนาอิสลามนNันมีลักษณะเป็ นองค์กรหรือสถาบันหนIึงทIี
ถูกรับรองไวโ้ ดยกฎหมาย

อาจมีปัญหาถามว่า กฎหมายระบุให้อาํ นาจแก่พระมหากษตั ริยแ์ ต่เฉพาะทีIจะทรงโปรด
เกลา้ ฯ แต่งตNงั จุฬาราชมนตรีไวเ้ ท่านNัน โดยมิไดก้ าํ หนดให้อาํ นาจในการถอดถอนไวอ้ ย่างชดั
แจง้ ในกรณีเช่นนNีหากเกิดเหตุการณ์ทีIจาํ ตอ้ งมีการถอดถอน จะสามารถกระทาํ ไดห้ รือไม่ และ
ตอ้ งดาํ เนินการอยา่ งไร?

คาํ ตอบ ถึงแม้ว่ากฎหมายจะระบุให้อาํ นาจแต่เฉพาะในการทีIจะแต่งตNังตาํ แหน่ง
ดงั กล่าวไวเ้ ท่านNนั ก็มิไดห้ มายความว่า ในกรณีทIีมีเหตุสมควรหรือมีความจาํ เป็ นทIีจะตอ้ งถอด
ถอนออกจากตาํ แหน่ง ผูท้ ีIมีอาํ นาจแต่งตNงั นNันจะไม่สามารถทีIจะถอดถอนบุคคลในตาํ แหน่ง
ดงั กล่าวได้ โดยหลกั ทวัI ไปของกฎหมายแลว้ ผทู้ Iีมีอาํ นาจในการแต่งตNงั ยอ่ มมีอาํ นาจในการถอด
ถอนเนIืองจากถือวา่ เป็นอาํ นาจทีIตอ้ งมีคู่กนั เสมอ ตวั อยา่ งเช่น อาํ นาจในการออกใบอนุญาตยอ่ ม
รวมถึงอาํ นาจทีIจะไม่อนุญาต และอาํ นาจในการทีIจะเพิกถอนใบอนุญาตด้วย เวน้ เสียแต่ว่า
บริ บทของกฎหมายจะบ่งชN ี ถึงเจตนารมณ์ ของกฎหมายว่าไม่ประสงค์ทIี จะให้มีการถอดถอน
บุคคลในตาํ แหน่งดงั กล่าวไวอ้ ยา่ งชดั แจง้ ส่วนการดาํ เนินการถอดถอนนNนั ก็ให้นาํ วิธีการหรือ
ขNันตอนในการเสนอแต่งตNังมาใช้ด้วยโดยอนุโลม แต่อย่างไรก็ดี ในส่ วนทIีเกีIยวกับ
จุฬาราชมนตรีนNีมีบทบญั ญตั ิทีIกาํ หนดเรืIองการพน้ จากตาํ แหน่งไวโ้ ดยเฉพาะระบุอยใู่ นมาตรา

34


…(‡) ความวา่ “มีพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ น้ จากตาํ แหน่งเพราะขาดคุณสมบตั ิหรือ
มีลกั ษณะตอ้ งห้ามตามมาตรา 7” ดว้ ยเหตุนNี อาํ นาจในการถอดถอนจุฬาราชมนตร จึงไม่จาํ เป็ น
จะตอ้ งระบุไว้ เนืIองจากมีการกาํ หนดเหตุให้พน้ จากตาํ แหน่งแลว้ ในมาตรา … ดงั กล่าวซIึงจะได้
อธิบายในรายละเอียดในหวั ขอ้ ต่อไป

คุณสมบัตแิ ละลกั ษณะต้องห้าม
ของจุฬาราชมนตรี

มาตรา 7 จุฬาราชมนตรีต้องมคี ุณสมบัตแิ ละไม่มลี กั ษณะต้องห้าม ดงั ต่อไปนี/
(1) เป็ นมุสลมิ ผู้มสี ัญชาตไิ ทยโดยการเกดิ
(2) มอี ายุไม่ตา<ํ กว่าส<ีสิบปี บริบูรณ์
(3) เป็ นผู้มคี วามรู้ความเข้าใจในศาสนาอสิ ลามเป็ นอย่างดี
(4) เป็ นผู้ประพฤตปิ ฏบิ ัตติ ามบญั ญตั แิ ห่งศาสนาอสิ ลามโดยเคร่งครัด
(5) เป็ นผู้มคี วามสัมพนั ธ์อนั ดกี บั ทุกศาสนา
(6) เป็ นผู้มคี วามเล<ือมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มี

พระมหากษตั ริย์ทรงเป็ นประมุข
(7) ไม่เป็ นหรือเคยเป็ นบุคคลล้มละลาย
(8) ไม่เป็ นผู้เคยถูกจาํ คุกโดยคาํ พพิ ากษาถงึ ทสี< ุดให้จาํ คุก เว้นแต่ เป็ นโทษสําหรับ

ความผดิ ทไี< ด้กระทาํ โดยประมาทหรือความผดิ ลหุโทษ
(9) ไม่เป็ นผู้ทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏบิ ตั หิ น้าทไี< ด้ ไร้ความสามารถ หรือ

มจี ติ ฟั<นเฟื อนไม่สมประกอบ หรือเป็ นโรคตามทก<ี าํ หนดในกฎกระทรวง
(10) ไม่เป็ นผู้ดาํ รงตาํ แหน่งทางการเมือง

35


คาํ อธิบาย

เดิมทีพระราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยการศาสนูปถมั ภฝ์ ่ ายอิสลาม พุทธศกั ราช 2488 ทIีถือไดว้ ่า
เป็ นกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรฉบบั แรกของประเทศไทยทIีมีการกาํ หนดตาํ แหน่งผูน้ าํ ศาสนา
อิสลามไวใ้ นมาตรา 3 ซIึงบญั ญตั ิใหจ้ ุฬาราชมนตรี มีหนา้ ทีIปฏิบตั ิราชการส่วนพระองคเ์ กีIยวแก่
การทีIจะทรงอุปถมั ภ์ศาสนาอิสลาม โดยไม่มีการกาํ หนดคุณสมบตั ิและลกั ษณะตอ้ งห้ามของ
จุฬาราชมนตรีไวแ้ ต่ประการใด ทNงั นNี เนืIองจากบทบญั ญตั ิดงั กล่าวกาํ หนดให้จุฬาราชมนตรีมี
สถานะเป็ นขา้ ราชการส่วนพระองค์ทีIมีหน้าทIีในการปฏิบัติราชการรับสนองพระบรมราช
โองการและพระราชกรณียกิจเกIียวกบั การอุปถมั ภศ์ าสนาอิสลามเท่านNนั ดงั นNนั การแต่งตNงั และ
ถอดถอนจึงเป็ นไปตามพระราชอัธยาศัย ด้วยเหตุนNี จึงไม่มีความจาํ เป็ นทีIจะต้องกําหนด
คุณสมบตั ิหรือลกั ษณะตอ้ งหา้ มไวแ้ ต่อยา่ งใด

ต่อมาเมืIอมีการยกร่างพระราชบญั ญตั ิการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลาม โดยรวมกฎหมาย
ทIีเกIียวขอ้ งกับศาสนาอิสลามและการจดั องค์กรของศาสนาอิสลามสองฉบับเขา้ ด้วยกัน คือ
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถมั ภ์ฝ่ ายอิสลาม พ.ศ. 2488 และพระราชบัญญัติมัสยิด
อิสลาม พ.ศ. 2490 โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พIือทีIจะนาํ หลกั การบริหารราชการแผน่ ดินสมยั ใหม่มาใช้
ในการจัดการดูแลศาสนาอิสลามให้มีลักษณะทIีเป็ นระบบและเป็ นไปตามหลักกฎหมาย
สากล ดว้ ยเหตุนNี จึงไดม้ ีการออกแบบโครงสร้างขององคก์ รและการบริหารจดั การในลกั ษณะ
เช่นเดียวกบั กฎหมายอIืนๆ รวมทNงั มีการกาํ หนดคุณสมบตั ิและความเหมาะสม รวมทNงั ลกั ษณะ
ตอ้ งห้ามของผูท้ Iีจะดาํ รงตาํ แหน่งภายในองคก์ รตามโครงสร้างดงั กล่าวไวด้ ว้ ย โดยในมาตรา 7
ของพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าวไดก้ าํ หนดไวว้ ่า “จุฬาราชมนตรีตอ้ งมีคุณสมบตั ิและไม่มีลกั ษณะ
ตอ้ งหา้ ม ดงั ต่อไปนNี” จากความในตอนแรกนNีจะเห็นไดว้ า่ กฎหมายมีจุดมุ่งหมาย 2 ประการ คือ
(1) ประสงคท์ Iีจะกาํ หนดคุณสมบตั ิเบNืองตน้ ของบุคคลทีIจะถือวา่ มีความเหมาะสมหรือสมควรจะ
ไดร้ ับการเสนอชIือเป็ นจุฬาราชมนตรี (2) ประสงคท์ ีIจะกาํ หนดลกั ษณะตอ้ งห้ามของบุคคลทIีถือ
ว่าไม่เหมาะสมหรือไม่สมควรจะไดร้ ับการเสนอชืIอให้เป็ นจุฬาราชมนตรี ทNงั นNีโดยทNงั สอง
ประการนNันนอกจากผูท้ ีIจะได้รับการพิจารณาจะต้องมีอยู่ก่อนการได้รับการเสนอชืIอแล้ว
ห าก ต่ อ ม าเมืI อ ไ ด้ด ําร ง ต ําแ ห น่ ง ดัง ก ล่ าว แ ล้ว ก็ จ ะ ต้อ ง รั ก ษ าคุ ณ ส ม บัติ ดัง ก ล่ าว ให้ ค ง มี อ ยู่
ตลอดเวลาดว้ ย ซIึงคุณสมบตั ิและลกั ษณะตอ้ งหา้ มดงั กล่าวไดแ้ ก่

36


“ (1) เป็ นมุสลมิ ผู้มสี ัญชาตไิ ทยโดยการเกดิ ”
คุณสมบตั ิประการนNีถือเป็นคุณสมบตั ิพNืนฐานทIีสาํ คญั อนั ดบั แรกของผทู้ ีIจะดาํ รงตาํ แหน่ง
จุฬาราชมนตรีทีIจะตอ้ งมีอยตู่ ลอดเวลาก็คือ การทIีจะตอ้ งเป็ นมุสลิมและมีสัญชาติไทยโดยการ
เกิด จากคุณสมบตั ิประการนNีจะเห็นไดว้ า่ มี 2 องคป์ ระกอบ คือ หนIึง จะตอ้ งเป็ นมุสลิม ซIึงคาํ วา่
“มุสลิม” หมายถึง ผทู้ Iีนบั ถือศาสนาอิสลาม ทNงั นNีโดยมิไดก้ าํ หนดรายละเอียดวา่ จะตอ้ งเป็นมุสลิม
ในนิกายใดหรือมซั ฮบั ใด ดว้ ยเหตุนNี ผูท้ Iีศรัทธาและปฏิบตั ิตามแนวทางของอิสลามทNงั ทีIเป็ น
นิกายซุนนียห์ รือชีอะฮ์ คณะใหม่หรือคณะเก่า ถือวา่ มีคุณสมบตั ิในประการนNีทNงั สิNน สอง จะตอ้ ง
เป็นผมู้ ีสัญชาติไทยโดยการเกิด คาํ วา่ “โดยการเกิด” นNี ขยายความคาํ วา่ “มีสัญชาติไทย” เท่านNนั
มิไดข้ ยายความรวมไปถึงการเป็ นมุสลิมโดยการเกิดแต่ประการใด ดว้ ยเหตุนNี ผูท้ ีIเขา้ รับนบั ถือ
ศาสนาอิสลามในภายหลงั หรือทIีเรียกว่า “มู่อลั ลฟั ” ก็ย่อมถือว่ามีคุณสมบตั ิตามอนุมาตรานNี
เช่นกนั
“(2) มอี ายุไม่ตา<ํ กว่าสี<สิบปี บริบูรณ์“
คุณสมบัติประการนNีถือเป็ นคุณสมบัติพNืนฐานของการดํารงตําแหน่งทIีสําคัญตาม
กฎหมาย เนืIองจากผทู้ Iีถือวา่ มีความเหมาะสมกบั ตาํ แหน่งทIีสาํ คญั นNนั จะตอ้ งมีวยั วุฒิทีIเหมาะสม
ด้วย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ในมาตรา 160 ได้กําหนด
คุณสมบตั ิของคณะรัฐมนตรีไวว้ ่า จะตอ้ งมีอายไุ ม่ตIาํ กว่า 35 ปี สาํ หรับผูท้ ีIจะดาํ รงตาํ แหน่งตุลา
การศาลรัฐธรรมนูญหรือตุลาการศาลปกครองสูงสุด ตอ้ งมีอายไุ ม่ตIาํ กวา่ 45 ปี เป็นตน้
สาํ หรับตาํ แหน่งผนู้ าํ ศาสนาอิสลามโดยหลกั การศาสนาแลว้ มิไดม้ ีการกาํ หนดคุณสมบตั ิ
เกIียวกบั อายุขNนั ตIาํ เอาไว้ และจากประวตั ิศาสตร์อิสลาม ท่านศาสดาก็เคยแต่งตNงั ท่านอุซามะห์
อิบนุเซด เป็ นแม่ทพั ในขณะทIีท่านอุซามะห์มีอายุเพียง 17-18 ปี เท่านNัน แต่อย่างไรก็ตาม โดย
หลกั ทวIั ไปของการร่างกฎหมาย สาํ หรับกรณีคุณสมบตั ิของผทู้ ีIดาํ รงตาํ แหน่งสาํ คญั นNนั ควรจะมี
การกําหนดอายุขNันตIําไว้ ทNังนNีเพIือให้มีวยั วุฒิทIีเหมาะสม ด้วยเหตุนNี ผูย้ กร่างกฎหมายจึง
เห็นสมควรกาํ หนดอายขุ Nนั ตIาํ ของบุคคลทีIจะดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีโดยยดึ ถืออายขุ องท่าน
ศาสดามูฮมั หมดั ในขณะทIีไดร้ ับวะฮียแ์ ละถูกแต่งตNงั ใหเ้ ป็นศาสดาคือ อายุ 40 ปี ซIึงถือไดว้ า่ เป็น
อายทุ ีIเหมาะสมสาํ หรับการดาํ รงตาํ แหน่งทีIสาํ คญั ในการเป็นผนู้ าํ บริหารองคก์ รศาสนาอิสลาม

“(3) เป็ นผู้มคี วามรู้ความเข้าใจในศาสนาอสิ ลามเป็ นอย่างด”ี

37


คุณสมบตั ิประการนNีชNีให้เห็นถึงคุณวุฒิของผูท้ ีIจะดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีไดน้ Nัน
มิใช่วา่ ตอ้ งเป็ นผทู้ Iีมีความรู้ทางศาสนาอิสลามเท่านNนั หากแต่วา่ จะตอ้ งมีความรู้และความเขา้ ใจ
ในหลกั การของศาสนาอิสลามเป็ นอยา่ งดี คาํ ว่า “เป็ นอยา่ งดี” มีความหมายว่า ตอ้ งเป็ นผูร้ ู้ทีIมี
ความเขา้ ใจหลกั การศาสนาอิสลามอยู่ในระดับดี กล่าวคือ มีความสามารถในการพิเคราะห์
ปัญหาหรือวินิจฉยั ขอ้ ขดั แยง้ ตามหลกั การของศาสนาไดด้ ว้ ย แต่อยา่ งไรก็ตาม หากไดพ้ ิจารณา
ถอ้ ยคาํ เกีIยวกบั การระบุคุณสมบตั ิเช่นนNีก็จะเห็นไดว้ ่า เป็ นการกาํ หนดคุณสมบตั ิในลกั ษณะทIี
เป็นนามธรรม โดยมิไดก้ าํ หนดในลกั ษณะรูปธรรมทีIชดั เจนวา่ ตอ้ งจบในชNนั ใดหรือในระดบั ใด
จะต้องสําเร็จการศึกษาได้รับใบประกาศนี ยบัตรหรื อได้รับปริ ญญาทางด้านศาสนา
หรือไม่ ตวั อย่างเช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560 ในมาตรา 160 ได้
กาํ หนดคุณสมบตั ิของคณะรัฐมนตรีไวว้ ่า จะตอ้ งสําเร็จการศึกษาไม่ตIาํ กว่าปริญญาตรีหรือ
เทียบเท่า ซIึงจะเห็นได้ว่าเป็ นการกําหนดคุณสมบัติในลักษณะทีIเป็ นรูปธรรมทIีชัดเจน
มาก สาํ หรับเหตุผลทIีกฎหมายประสงคจ์ ะกาํ หนดคุณวฒุ ิในลกั ษณะนามธรรมเช่นนNีกเ็ นืIองจากมี
เจตนารมณ์ทีIต้องการจะเปิ ดกว้างให้ผู้ซIึงมีความรู้ความเข้าใจในหลักการของศาสนา
อิสลาม แมว้ า่ จะมิไดร้ ับใบประกาศนียบตั รหรือปริญญาทางดา้ นศาสนาแต่อยา่ งใด ก็สามารถทีI
จะดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีได้ เพียงแต่วา่ ผนู้ Nนั จะตอ้ งไดร้ ับการยอมรับจากบุคคลโดยทวัI ไป
ว่าเป็ นผูท้ Iีมีความรู้ความเข้าใจในศาสนาอิสลามได้ในระดับดีเท่านNัน ตัวอย่างเช่น หากจบ
การศึกษาในชNนั ซะนะวียจ์ ากโรงเรียนหรือปอเนาะหรือศึกษาแบบตะลกั กียจ์ ากโต๊ะครูหรือบา
บอทีIมีความรู้ทางดา้ นศาสนากถ็ ือไดว้ า่ มีคุณสมบตั ิเหมาะสมตามขอ้ นNีแลว้ แต่อยา่ งไรกด็ ี กรณีก็
อาจมีปัญหาติดตามมา กรณีทีIมีการขดั แยง้ กนั เกีIยวกบั คุณสมบตั ิในขอ้ นNี หรือการพิสูจน์วา่ บุคคล
นNนั เป็นผทู้ Iีมีความรู้ความเขา้ ใจในหลกั การศาสนาอิสลามเป็นอยา่ งดีจริงหรือไม่ เพียงใด

“(4) เป็ นผู้ประพฤตปิ ฏบิ ัตติ ามบญั ญตั แิ ห่งศาสนาอสิ ลามโดยเคร่งครัด”
คุณสมบัติตามอนุมาตรานNีค่อนข้างสําคัญมากเพราะว่า ผู้ทIีจะมาดํารงตําแหน่ง
จุฬาราชมนตรีนอกจากจะตอ้ งเป็ นผูม้ ีความรู้ความเขา้ ใจในศาสนาอิสลามเป็ นอยา่ งดีแลว้ ยงั ถือ
ว่าไม่เพียงพอ แต่จะตอ้ งเป็ นผูท้ Iีประพฤติปฏิบตั ิตามบญั ญตั ิแห่งศาสนาอิสลามตามทIีตนไดร้ ู้
อยา่ งเคร่งครัดอีกดว้ ย ถอ้ ยคาํ ว่า “โดยเคร่งครัด” หมายถึง อยา่ งเขม้ งวดกวดขนั ซIึงชNีให้เห็นว่า
ตอ้ งเป็ นผูท้ Iีมีความประพฤติ หรือมีการปฏิบตั ิตามหลกั การศาสนาอยู่เป็ นประจาํ โดยไม่มีการ
ละเลย ส่วนคาํ วา่ “บญั ญตั ิแห่งศาสนาอิสลาม” ในทีIนNีมีความหมายถึง บทบญั ญตั ิศาสนาอิสลาม

38


ทIีมีตวั บทระบุไวช้ ดั เจนคือ อลั กรุ อ่าน และอลั ฮะดีษ รวมทNงั ขอ้ บญั ญตั ิทีIเกิดจากการกิยาสและมติ
ของปวงปราชญอ์ ิสลามอีกดว้ ย

คุณสมบัติประการนNีเป็ นสIิงทIีแสดงให้เห็นถึงความสูงส่งของผูน้ ําศาสนาอิสลามว่า
จะตอ้ งเป็ นผูท้ Iีดีเลิศในทางศาสนาอิสลามจึงไดก้ าํ หนดคุณสมบตั ิทีIเขม้ งวดทIีสุดเช่นนNีไว้ ดว้ ย
เหตุนNี ผทู้ ีIจะมาดาํ รงตาํ แหน่งพึงจะตอ้ งตระหนกั ไวเ้ สมอวา่ ตนเป็นผทู้ Iีมีความประพฤติและมีการ
ปฏิบตั ิเป็นไปตามบญั ญตั ิแห่งศาสนาอิสลามหรือไม่ เพราะถา้ หากการประพฤติปฏิบตั ิของตนใน
เรืIองใดไม่เป็ นไปตามบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามแล้ว ย่อมเป็ นผลทําให้ตนอาจเป็ นผูข้ าด
คุณสมบตั ิในการดาํ รงตาํ แหน่งนNนั ทนั ทีโดยทIีไม่อาจทIีจะแกต้ วั หรือปฏิเสธไดเ้ ลย ตวั อยา่ งเช่น
การทาํ ละหมาดฟัรดู 5 เวลา ถือเป็ นสิIงจาํ เป็ นสําหรับมุสลิมทุกคน ดงั นNนั หากคนใดละทิNงการ
ละหมาดฟัรดูก็ย่อมถือได้ว่า เป็ นผูท้ ีIไม่ประพฤติปฏิบัติตามบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามโดย
เคร่งครัดแลว้ อนั ทาํ ใหบ้ ุคคลนNนั ขาดคุณสมบตั ิขอ้ นNีในทนั ที

“(5) เป็ นผู้มคี วามสัมพนั ธ์อนั ดกี บั ทุกศาสนา”
เหตุผลในการกาํ หนดคุณสมบัติว่าจะตอ้ งเป็ นผูท้ ีIมีความสัมพนั ธ์อนั ดีกับทุกศาสนา
ก็เพIือทีIจะบ่งชNีใหเ้ ห็นถึงความเป็นสากลของผทู้ ีIดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีในลกั ษณะของการ
เป็ นบุคคลทีIเปิ ดกวา้ งทางด้านความคิด ใฝ่ หาสันติ ใฝ่ หาความเป็ นเอกภาพและภราดรภาพ
จึงกาํ หนดให้ตอ้ งมีบุคลิกภาพส่วนตวั ทีIสาํ คญั ในเรืIองทีIเกIียวกบั ความมีอธั ยาศยั ไมตรีหรือการมี
มนุษยสัมพนั ธ์ทีIดีกบั ทุกศาสนา เพราะมิใช่วา่ บุคคลทีIจะเป็ นจุฬาราชมนตรีนNนั จะตอ้ งเป็ นคนดี
ในสายตาของมุสลิมหรือสังคมมุสลิมเท่านNัน หากแต่จะตอ้ งเป็ นคนดีในสายตาของคนในทุก
ศาสนาหรือในทุกสังคมอีกดว้ ย คาํ วา่ “ทุกศาสนา” ในกรณีนNีหมายความถึง ศาสนาต่างๆ ทีIมีอยู่
ทNงั หมด รวมถึงศาสนาอิสลามในนิกายหรือมซั ฮบั ซIึงมีแนวความคิดหรือทศั นะทีIแตกต่างกนั
ดว้ ย พฤติกรรมเกีIยวกบั การมีความสัมพนั ธ์ทีIดีนNนั อาจแสดงออกให้เห็นไดจ้ ากทNงั การกระทาํ
และโดยวาจา สําหรับการแสดงออกด้วยกับการกระทํานNันจะต้องไม่มีลักษณะทีIเป็ นการ
กีดกนั ขดั ขวาง หรือเป็นปฏิปักษ์ ต่อบุคคลทีIนบั ถือศาสนาอIืน ส่วนการแสดงออกทางวาจาอาจ
กระทาํ โดยการไม่พูดจาว่ากล่าว เสียดสี เยาะเยย้ หรือถากถางในความเชIือถือศรัทธาของบุคคล
อIืน อีกทNงั ยงั จะตอ้ งไม่มีลกั ษณะของการสร้างความแตกแยกใหเ้ กิดขNึนในระหวา่ งสังคมุสลิมกบั
สังคมภายนอกอีกดว้ ย จากเนNือหาในรายละเอียดทIีกล่าวมาขา้ งตน้ จะเห็นไดว้ ่า คุณสมบตั ิใน
ข้อนNีนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเป็ นสากลของผู้ทIีดํารงตําแหน่งทีIสําคัญนNีแล้ว

39


ยงั แสดงออกให้เห็นถึงการทีIสังคมมุสลิมมีความสูงส่งและเป็ นประชาชาติทIีดีเลิศในสังคม
ของมนุษยชาติอีกดว้ ย

“(6) เป็ นผู้มีความเลื<อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์
ทรงเป็ นประมุข”

คุณสมบตั ิประการนNีเป็ นลกั ษณะทีIสําคญั อีกประการหนIึงซIึงมกั จะมีการกาํ หนดไวเ้ ป็ น
คุณสมบตั ิพNืนฐานของผูด้ าํ รงตาํ แหน่งสําคญั เช่น การดาํ รงตาํ แหน่งขา้ ราชการพลเรือนหรือ
ข้าราชการการเมือง เป็ นต้น เหตุผลทIีต้องกาํ หนดคุณสมบัติประการนNีเนืIองจากกฎหมายมี
เจตนารมณ์ทีIตอ้ งการจะใหผ้ ทู้ Iีจะมาดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีนNนั นอกจากจะตอ้ งเป็นบุคคลทIี
มีความรู้ความเขา้ ใจในเรIืองทางศาสนาอิสลามเป็ นอย่างดีแลว้ ยงั จะตอ้ งมีความรู้ความเขา้ ใจ
เกIียวกบั การปกครองในระบอบประชาธิปไตย รวมทNงั จะตอ้ งมีความเชืIอถือและยอมรับต่อการ
ปกครองในระบบดงั กล่าวอีกดว้ ย คาํ วา่ “เลIือมใส” หมายความวา่ เห็นชอบดว้ ยกบั แนวความคิด
หรือมีความเชืIอถือ มีความศรัทธาในเรIืองดงั กล่าว จากความหมายนNีเองทาํ ใหเ้ ห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน
วา่ คุณสมบตั ิในขอ้ นNีมีจุดมุ่งหมายทีIตอ้ งการจะจดั กรอบแนวความคิดของผทู้ ีIจะมาดาํ รงตาํ แหน่ง
วา่ จะตอ้ งเป็นผทู้ IีมีความเลIือมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รง
เป็ นประมุข ซIึงเป็ นระบบการปกครองของประเทศไทยในปัจจุบนั มิเช่นนNนั ก็ไม่สามารถทีIจะ
ดาํ รงตาํ แหน่งเป็นผนู้ าํ องคก์ รศาสนาอิสลามในประเทศไทยได้

“(7) ไม่เป็ นหรือเคยเป็ นบุคคลล้มละลาย”
ขอ้ กาํ หนดประการนNีมิใช่คุณสมบตั ิ หากแต่เป็ นการกาํ หนดลกั ษณะตอ้ งห้ามของผูท้ Iีจะ
ดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีว่า จะตอ้ งไม่เป็ นหรือเคยเป็ นบุคคลลม้ ละลาย อนั เป็ นลกั ษณะ
ตอ้ งห้ามพNืนฐานของการเป็ นขา้ ราชการหรือกรรมการโดยทวัI ไปตามทีIไดม้ ีการกาํ หนดไวใ้ น
กฎหมายต่างๆ คาํ วา่ “ลม้ ละลาย” หมายถึง การมีหนNีสินลน้ พน้ ตวั และการเป็นบุคคลลม้ ละลาย
จะต้องเกิดจากการทIีศาลได้มีคาํ พิพากษาให้ล้มละลายเท่านNัน เจตนารมณ์ของกฎหมายใน
อนุมาตรานNีมีเป้าหมายทIีจะกาํ หนดลกั ษณะตอ้ งห้ามเกีIยวกบั เรืIองนNีให้มีความครอบคลุมทNงั
บุคคลทIีเป็ นบุคคลลม้ ละลายในปัจจุบนั และบุคคลทIีเคยเป็ นบุคคลลม้ ละลายในอดีตดว้ ย เพราะ
บุคคลดงั กล่าวยอ่ มถือไดว้ า่ เป็นบุคคลทIีมีอาจไวว้ างใจใหท้ าํ การบริหารองคก์ รศาสนาอิสลามได้
เนIืองจากวตั ถุประสงคใ์ นการบริหารองคก์ รศาสนาอิสลามนNนั เพIือประโยชน์ของส่วนรวมและ
เป็ นเรืIองทีIเกีIยวขอ้ งกบั กิจการศาสนา ผูท้ ีIเคยเป็ นบุคคลทีIลม้ ละลายในทางธุรกิจหรือในการใช้

40


จ่ายเงินมาแลว้ ยอ่ มไม่น่าเชIือถือทีIจะให้เขา้ มาเป็ นผูน้ าํ การบริหารองคก์ รศาสนาทีIมีสําคญั นNีอีก
ได้

มีคาํ ถามวา่ หากเคยเป็ นบุคคลลม้ ละลายตามคาํ พิพากษามาก่อน แต่ทวา่ ปัจจุบนั ไดม้ ีการ
ฟNื นฟูกิจการธุรกิจของตนเองเรียบร้อยแลว้ และต่อมาศาลไดม้ ีคาํ พิพากษาให้ปลดจากการเป็ น
บุคคลลม้ ละลาย กรณีเช่นนNีจะยงั ถือวา่ มีลกั ษณะตอ้ งหา้ มตามขอ้ นNีอยอู่ ีกหรือไม่

คําตอบคือ ลักษณะต้องห้ามตามอนุมาตรานNีประสงค์ทIีจะห้ามทNังการเป็ นบุคคล
ลม้ ละลายในปัจจุบนั และการทีIเคยเป็นบุคคลลม้ ละลายในอดีตดว้ ย ดงั นNนั แมว้ า่ ปัจจุบนั บุคคล
ดงั กล่าวจะพน้ จากการเป็นบุคคลลม้ ละลายแลว้ กต็ าม แต่ยงั ถือวา่ ในอดีตเคยเป็นบุคคลลม้ ละลาย
มาก่อน กรณีเช่นนNียอ่ มถือวา่ มีลกั ษณะตอ้ งหา้ มในการดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีดว้ ย

“(8) ไม่เป็ นผู้เคยถูกจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที<สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็ นโทษสําหรับ
ความผดิ ทไ<ี ด้กระทาํ โดยประมาทหรือความผดิ ลหุโทษ”

เป็ นลักษณะต้องห้ามอีกประการหนIึงทีIสําคัญสําหรับบุคคลทIีจะดํารงตําแหน่ง
จุฬาราชมนตรีจะตอ้ งไม่มี ซIึงเมืIอไดพ้ ิจารณาถอ้ ยคาํ ของอนุมาตรานNีแลว้ จะเห็นไดว้ ่า กฎหมาย
มุ่งเน้นว่าจะต้องไม่เคยถูกจาํ คุกโดยคาํ พิพากษาถึงทIีสุดให้จาํ คุก อนั เป็ นเรืIองในอดีต ทNังนNี
เนืIองจากผูท้ Iีถูกจาํ คุกอยใู่ นปัจจุบนั ยอ่ มไม่อาจทีIจะปฏิบตั ิหนา้ ทIีไดอ้ ยแู่ ลว้ และเมืIอไดพ้ น้ โทษ
ออกมาก็จะอยใู่ นฐานะของผูท้ Iีเคยถูกจาํ คุกอนั เป็ นลกั ษณะตอ้ งห้ามทีIไม่อาจดาํ รงตาํ แหน่งนNีได้
ทนั ที ถอ้ ยคาํ วา่ “คาํ พิพากษาถึงทIีสุด” หมายถึง คาํ พิพากษาศาลฎีกา และรวมถึงคาํ พิพากษาศาล
ชNันต้นทีIไม่มีการอุทธรณ์ หรือคาํ พิพากษาศาลอุทธรณ์ทีIไม่มีการฎีกาด้วย นอกจากนNีแล้ว
ลกั ษณะตอ้ งห้ามประการนNีไดม้ ีการกาํ หนดไวใ้ นรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่างๆ โดยอาจจะมี
การใชถ้ อ้ ยคาํ ทIีแตกต่างกนั บา้ ง เช่น ไม่เคยตอ้ งคาํ พิพากษาให้จาํ คุก ซIึงถอ้ ยคาํ ดงั กล่าวนNี ศาล
รัฐธรรมนูญไดเ้ คยวินิจฉยั ไวใ้ นคาํ วินิจฉยั ทีI 36 / 2542 ลงวนั ทีI 15 มิถุนายน 2542 สรุปความได้
ว่า การทีIบุคคลใดตอ้ งคาํ พิพากษาให้จาํ คุก บุคคลนNันตอ้ งถูกจาํ คุกจริงโดยศาลตอ้ งออกหมาย
จาํ คุก การทีIถูกคาํ พิพากษาใหจ้ าํ คุกแต่โทษจาํ คุกใหร้ อการลงโทษ และไดร้ ับการปล่อยตวั ในคดี
นNันทันที จึงต้องถือว่ามิได้ถูกจาํ คุก ด้วยเหตุนNี บุคคลทIีศาลพิพากษาให้จาํ คุกโดยให้รอการ
ลงโทษไวน้ Nนั จึงมิใช่บุคคลทีIตอ้ งคาํ พิพากษาให้จาํ คุกตามความหมายของลกั ษณะตอ้ งห้ามนNีแต่
อยา่ งใด

41


มีคาํ ถามวา่ บุคคลทีIถูกคาํ พิพากษาใหจ้ าํ คุกและไดร้ ับโทษจาํ คุกจริงในเรือนจาํ ต่อมาเมIือ
พน้ โทษ หรือยงั ไม่พน้ โทษแต่ว่าไดร้ ับการอภยั โทษ หรือนิรโทษกรรม หรือมีกฎหมายว่าดว้ ย
การลา้ งมลทินในความผดิ ดงั กล่าวแลว้ จะถือวา่ มีลกั ษณะตอ้ งหา้ มตามอนุมาตรานNีอีกหรือไม่

คาํ ตอบคือ ลกั ษณะตอ้ งหา้ มในเรืIองทIีจะตอ้ งไม่เป็นผเู้ คยถูกจาํ คุกโดยคาํ พิพากษาถึงทIีสุด
ให้จาํ คุกนNีเป็ นลกั ษณะตอ้ งห้ามทIียึดโยงหรืออา้ งอิงถึงประวตั ิการทีIครNังหนIึงได้เคยถูกจาํ คุก
มาแลว้ อนั มีลกั ษณะเป็นขอ้ เทจ็ จริง มิใช่ขอ้ กฎหมายหรือผลในทางกฎหมาย ดงั นNนั การทีIต่อมา
มีกฎหมายอภยั โทษหรือนิรโทษกรรมหรือลา้ งมลทินในความผิดดังกล่าว ซIึงเป็ นผลทาํ ให้
ความผิดดงั กล่าวไม่หลงเหลืออยกู่ ต็ าม แต่ในทางขอ้ เทจ็ จริงยงั คงถือวา่ ผนู้ Nนั มีประวตั ิเป็นผทู้ ีIเคย
ถูกลงโทษจาํ คุกมาก่อน อนั ถือได้ว่าเป็ นลกั ษณะต้องห้ามในการดาํ รงตาํ แหน่งดังกล่าวอยู่
ตลอดไป ทNงั นNีเป็นไปตามแนวคาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดทIี อ. 249/2555 ซIึงศาลไดว้ นิ ิจฉยั วา่
ตามพระราชบญั ญตั ิลา้ งมลทินในวโรกาสทIีพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมี
พระชนมพรรษา 80 พรรษา พ.ศ. 2550 มาตรา 4 กาํ หนดใหถ้ ือวา่ ผนู้ Nนั มิไดเ้ คยถูกลงโทษในกรณี
ความผิดนNนั ๆ หมายความเพียงวา่ ผทู้ Iีตอ้ งโทษตามคาํ พิพากษาหรือคาํ สIังของศาล ให้ถือวา่ ผนู้ Nนั
มิไดเ้ คยถูกลงโทษเท่านNนั ส่วนความประพฤติหรือการกระทาํ ทีIเป็ นเหตุให้บุคคลนNนั ถูกลงโทษ
หาไดถ้ ูกลบลา้ งไปดว้ ยไม่ เพราะความประพฤติหรือการกระทาํ ทีIเกิดขNึนแลว้ ไม่อาจลา้ งมลทิน
ให้หมดไปได้ ผลแห่งบทบญั ญตั ิดงั กล่าวจึงมีเพียงให้ลบลา้ งโทษเท่านNนั หาไดม้ ีผลเป็ นการลบ
ลา้ งการกระทาํ ผดิ ตามความเป็นจริงทีIไดก้ ระทาํ ขNึนใหห้ มดสิNนไปดว้ ยไม่

“(9) ไม่เป็ นผู้ทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที<ได้ ไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟ<ัน
เฟื อนไม่สมประกอบ หรือเป็ นโรคตามทกี< าํ หนดในกฎกระทรวง”

ลัก ษ ณ ะ ต้อ งห้ าม ป ร ะ ก าร นN ี มุ่ งห ม าย ใน ป ร ะ เด็ น เกIี ย ว กับ ค ว าม ส าม าร ถ แ ล ะ ค ว าม
เหมาะสมของผูท้ Iีจะดาํ รงตาํ แหน่ง ในการทIีจะสามารถปฏิบตั ิหน้าทIีในตาํ แหน่งดงั กล่าวได้
หรือไม่เป็ นประการสําคญั ซIึงคาํ ว่า “ทุพพลภาพ” หมายถึง หย่อนกาํ ลงั ความสามารถทีIจะ
ประกอบการงานตามปกติ ส่วนคาํ ว่า “จิตฟIันเฟื อนไม่สมประกอบ” หมายถึง การมีจิตใจทIี
เคลิบเคลิNม ควบคุมสติไม่ได้ มีอาการคุม้ ดีคุม้ ร้าย ซIึงลกั ษณะทIีกาํ หนดนNีแมจ้ ะไม่ถึงขNนั ทIีเป็ นผู้
วกิ ลจริตหรือคนบา้ แต่ก็ ยอ่ มไม่เหมาะสมทีIจะใหส้ ามารถดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีได้

สําหรับการเป็ นโรคตามทIีกําหนดในกฎกระทรวงนNัน ในปัจจุบันได้มีการออก
กฎกระทรวงโดยอาศยั บทบญั ญตั ิในอนุมาตรานNีเป็น กฎกระทรวง ฉบบั ทIี 3 (พ.ศ. 2542) กาํ หนด
โรคตอ้ งห้ามไว้ 5 โรค ดงั นNี คือ (1) โรคเรNือนซIึงอยู่ในระยะติดต่อหรือทIีปรากฏอาการเป็ นทีI

42


รังเกียจแก่สงั คม (2) วณั โรคในระยะติดต่อ (3) โรคเทา้ ชา้ งในระยะทีIปรากฏอาการเป็นทIีรังเกียจ
แก่สงั คม (4) โรคติดยาเสพติดใหโ้ ทษ และ(5) โรคพิษสุราเรNือรัง ซIึงโรคทีIกาํ หนดเหล่านNีจะเห็น
ไดว้ ่า เป็ นโรคทIีมีลกั ษณะแสดงออกภายนอกทาํ ให้บุคคล อIืนสามารถเห็นการเป็ นโรคดงั กล่าว
ไดอ้ ย่างชดั เจน ดว้ ยเหตุนNี จึงเป็ นผลทาํ ให้ผูน้ Nันเป็ นบุคคลทีIมีลกั ษณะไม่เหมาะสมทIีจะดาํ รง
ตาํ แหน่งทIีสาํ คญั นNีได้

“(10) ไม่เป็ นผู้ดาํ รงตาํ แหน่งทางการเมือง”
ลกั ษณะต้องห้ามประการนNีมกั จะมีระบุไวส้ ําหรับการดาํ รงตาํ แหน่งทIีมีความสําคญั
โดยเฉพาะอย่างยIิง องค์กรทIีตอ้ งการความเป็ นอิสระโดยมิให้การเมืองเขา้ มาเกIียวขอ้ งได้ เช่น
องคก์ รศาล พระราชบญั ญตั ิจดั ตNงั ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ในมาตรา
14 บญั ญตั ิลกั ษณะตอ้ งห้ามของตุลาการศาลปกครองสูงสุดไวว้ ่า ไม่เป็ นผูด้ าํ รงตาํ แหน่งในทาง
การเมือง สมาชิกสภาทอ้ งถิIน ผบู้ ริหารทอ้ งถิIน กรรมการหรือผดู้ าํ รงตาํ แหน่งทIีรับผดิ ชอบในการ
บริหารพรรคการเมือง สมาชิกพรรคการเมือง หรือเจา้ หน้าทีIในพรรคการเมือง ทNงั นNี เพIือเป็ น
หลกั ประกนั ในการพิจารณาคดีทีIเกIียวขอ้ งกบั บุคคลในทางการเมืองทNงั ในระดบั ชาติและระดบั
ท้องถิIน ด้วยเหตุนNี ผูย้ กร่างพระราชบัญญัติฉบับนNีจึงประสงค์ทIีจะป้องกันไม่ให้ผูท้ Iีดาํ รง
ตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีมีส่วนเกีIยวขอ้ งกบั กิจกรรมหรือการดาํ เนินการทางการเมือง เนืIองจาก
ตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรีเป็ นผูน้ ําศาสนาอิสลามย่อมไม่สมควรทีIจะไปเกIียวขอ้ งกบั การดาํ รง
ตาํ แหน่งทางการเมืองในทุกระดบั
สําหรับถอ้ ยคาํ ว่า “ผูด้ าํ รงตาํ แหน่งทางการเมือง” มีความหมายอย่างไรนNัน เนืIองจาก
พระราชบญั ญัติฉบบั นNีไม่ได้กาํ หนดนิยามให้มีความหมายโดยเฉพาะไว้ ด้วยเหตุนNี จึงตอ้ ง
พิจารณาความหมายของคาํ นNีตามความหมายทวัI ไปหรือจากบทกฎหมายทIีมีความใกลเ้ คียงอยา่ ง
ยงIิ ซIึงเมืIอไดพ้ ิจารณาบทนิยามในพระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ดว้ ยการป้องกนั และ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ได้มีบทนิยามคาํ ว่า “ผูด้ ํารงตําแหน่งทางการเมือง” ไว้
โดยเฉพาะใหห้ มายความวา่
(1) นายกรัฐมนตรี
(2) รัฐมนตรี
(3) สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร
(4) สมาชิกวฒุ ิสภา

43


(5) ขา้ ราชการการเมืองอืIนนอกจาก (1) และ (2) ตามกฎหมายว่าดว้ ยระเบียบขา้ ราชการ
การเมือง
(6) ขา้ ราชการรัฐสภาฝ่ ายการเมืองตามกฎหมายวา่ ดว้ ยระเบียบขา้ ราชการรัฐสภา
ซIึงจะเห็นได้ว่าบุคคลตาม (1)(2)(3)(4) มีความชัดเจน ส่วนบุคคลตาม (5)นNันใน
พระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 บญั ญตั ิให้ขา้ ราชการการเมือง
คือบุคคลซIึงรับราชการในตาํ แหน่งขา้ ราชการการเมือง ดงั ต่อไปนNี
(1) นายกรัฐมนตรี
(2) รองนายกรัฐมนตรี
(3) รัฐมนตรีวา่ การกระทรวง
(4) รัฐมนตรีประจาํ สาํ นกั นายกรัฐมนตรี
5) รัฐมนตรีวา่ การทบวง
(6) รัฐมนตรีช่วยวา่ การกระทรวง
(7) รัฐมนตรีช่วยวา่ การทบวง
(8) ทIีปรึกษานายกรัฐมนตรี
(9) ทีIปรึกษารองนายกรัฐมนตรี
(10) ทIีปรึกษารัฐมนตรี และทIีปรึกษารัฐมนตรีประจาํ สาํ นกั นายกรัฐมนตรี
(11) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
(12) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ ายการเมือง
(13) โฆษกประจาํ สาํ นกั นายกรัฐมนตรี
(14) รองโฆษกประจาํ สาํ นกั นายกรัฐมนตรี
(15) เลขานุการรัฐมนตรีประจาํ สาํ นกั นายกรัฐมนตรี
(16) ประจาํ สาํ นกั เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
(17) เลขานุการรัฐมนตรีวา่ การกระทรวง
(18) ผชู้ ่วยเลขานุการรัฐมนตรีวา่ การกระทรวง
(19) เลขานุการรัฐมนตรีวา่ การทบวง
(20) ผชู้ ่วยเลขานุการรัฐมนตรีวา่ การทบวง
ส่วนบุคคลตาม (6) นNนั ในมาตรา 92 แห่งพระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการรัฐสภา พ.ศ.
2554 ไดก้ าํ หนดตาํ แหน่งขา้ ราชการรัฐสภาฝ่ ายการเมือง มีดงั ต่อไปนNี

44


(1) ทีIปรึกษาประธานรัฐสภา
(2) ทีIปรึกษารองประธานรัฐสภา
(3) ทIีปรึกษาประธานสภาผแู้ ทนราษฎร
(4) ทีIปรึกษาประธานวฒุ ิสภา
(5) ทีIปรึกษารองประธานสภาผแู้ ทนราษฎร
(6) ทีIปรึกษารองประธานวฒุ ิสภา
(7) ทIีปรึกษาผนู้ าฝ่ ายคา้ นในสภาผแู้ ทนราษฎร
(8) โฆษกประธานสภาผแู้ ทนราษฎร
(9) โฆษกประธานวฒุ ิสภา
(10) โฆษกผนู้ าฝ่ ายคา้ นในสภาผแู้ ทนราษฎร
(11) เลขานุการประธานรัฐสภา
(12) เลขานุการรองประธานรัฐสภา
(13) เลขานุการประธานสภาผแู้ ทนราษฎร
(14) เลขานุการประธานวฒุ ิสภา
(15) เลขานุการรองประธานสภาผแู้ ทนราษฎร
(16) เลขานุการรองประธานวฒุ ิสภา
(17) เลขานุการผนู้ าฝ่ ายคา้ นในสภาผแู้ ทนราษฎร
(18) ผชู้ ่วยเลขานุการประธานรัฐสภา
(19) ผชู้ ่วยเลขานุการรองประธานรัฐสภา
(20) ผชู้ ่วยเลขานุการประธานสภาผแู้ ทนราษฎร
(21) ผชู้ ่วยเลขานุการประธานวฒุ ิสภา
(22) ผชู้ ่วยเลขานุการรองประธานสภาผแู้ ทนราษฎร
(23) ผชู้ ่วยเลขานุการรองประธานวฒุ ิสภา
(24) ผชู้ ่วยเลขานุการผนู้ าฝ่ ายคา้ นในสภาผแู้ ทนราษฎร
แต่อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาว่าบุคคลใดเป็ นผูด้ าํ รงตาํ แหน่งทางการเมืองดงั กล่าว
ขา้ งตน้ นNนั เป็นเพียงการนาํ หลกั กฎหมายใกลเ้ คียงอยา่ งยงIิ มาปรับใช้ หรือเป็นการตีความในกรณี
ทีIมิไดม้ ีกฎหมายบญั ญตั ิไวช้ ดั เจนเท่านNนั ดว้ ยเหตุนNี ในกรณีทีIมีขอ้ ขดั แยง้ หรือมีการฟ้องร้องคดี

45


เกิดขNึน ศาลทีIมีเขตอาํ นาจยอ่ มจะเป็ นผมู้ ีอาํ นาจในการพิจารณาวา่ บุคคลใดคือ ผทู้ Iีดาํ รงตาํ แหน่ง
ทางการเมืองตามความในอนุมาตรานNี

อาํ นาจหน้าทข:ี องจุฬาราชมนตรี

มาตรา 8 จุฬาราชมนตรีมอี าํ นาจหน้าท<ี ดงั ต่อไปนี/
(1) ให้คาํ ปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกยี< วกบั กจิ การศาสนาอสิ ลาม
(2) แต่งต/งั คณะผู้ทรงคุณวุฒเิ พื<อให้คาํ ปรึกษาเกย<ี วกบั บัญญตั แิ ห่งศาสนาอสิ ลาม
(3) ออกประกาศแจ้งผลการดูดวงจนั ทร์ตามมาตรา 35 (11) เพ<ือกาํ หนดวนั สําคญั ทาง

ศาสนา
(4) ออกประกาศเกย<ี วกบั ข้อวนิ ิจฉัยตามบญั ญตั แิ ห่งศาสนาอสิ ลาม

คาํ อธิบาย

ดังทีIได้กล่าวมาแล้วว่า เดิมในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ ายอิสลาม
พุทธศกั ราช 2488 มิไดม้ ีการกาํ หนดใหจ้ ุฬาราชมนตรีเป็นผนู้ าํ กิจการศาสนาอิสลามในประเทศ
ไทย หากแต่กาํ หนดให้มีสถานะเป็ นเพียงขา้ ราชการส่วนพระองค์ซIึงมีหน้าทIีในการปฏิบัติ
ราชการส่วนพระองคเ์ กIียวกบั การทีIจะทรงอุปถมั ภศ์ าสนาอิสลามเท่านNนั ต่อมา ไดม้ ีการออกพระ
ราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยการศาสนูปถมั ภ์ฝ่ ายอิสลาม (ฉบบั ทีI ‚) พ.ศ. ‚„…† แกไ้ ขโดยกาํ หนดให้
พระมหากษตั ริยท์ รงโปรดเกลา้ ฯ แต่งตNงั จุฬาราชมนตรีเพืIอให้คาํ ปรึกษาแก่กรมการศาสนา
ในกระทรวงศึกษาธิการเกีIยวกบั ศาสนูปถมั ภ์ฝ่ ายอิสลาม กรณีจึงถือไดว้ ่า บทบญั ญตั ิเกีIยวกบั

46


อาํ นาจหนา้ ทIีของจุฬาราชมนตรีตามพระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีเป็นการกาํ หนดบทบาทอาํ นาจหนา้ ทีI
ของจุฬาราชมนตรีในฐานะผนู้ าํ กิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทยขNึนเป็นครNังแรก

นอกจากบทบญั ญตั ิมาตรานNีทีIเป็ นการกาํ หนดเกIียวกบั อาํ นาจหน้าทีIของจุฬาราชมนตรี
ไวโ้ ดยเฉพาะในฐานะทีIเป็นผนู้ าํ กิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทยแลว้ ยงั มีบทบญั ญตั ิมาตรา
อืIนทีIกาํ หนดบทบาทหน้าทีIอืIนๆ ของจุฬาราชมนตรีในฐานะทIีเป็ นประธานกรรมการกลาง
อิสลามแห่งประเทศไทยและในฐานะอIืนๆ ซIึงจะไดก้ ล่าวในมาตราต่างๆ ต่อไป สาํ หรับอาํ นาจ
หน้าทีIของจุฬาราชมนตรีในฐานะผูน้ าํ กิจการศาสนาอิสลามแห่งประเทศไทยตามมาตรานNีมี 4
ประการดว้ ยกนั คือ

“(1) ให้คาํ ปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกย<ี วกบั กจิ การศาสนาอสิ ลาม”
อาํ นาจหนา้ ทIีตามอนุมาตรานNีนบั เป็นสIิงทีIมีความสาํ คญั อยา่ งยงIิ ในส่วนทีIเกีIยวขอ้ งกบั การ
บริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย เนืIองจากเมIือกฎหมายไดร้ ับรองว่าจุฬาราชมนตรีมี
ฐานะเป็ นผูน้ าํ กิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทยแลว้ ยอ่ มตอ้ งกาํ หนดขอบเขตหรือบทบาท
หน้าทีIในส่วนทIีจะต้องมีความสัมพนั ธ์กับทางราชการไวใ้ นเรIืองใดบ้าง ซIึงเมืIอได้พิจารณา
ถอ้ ยคาํ ของอาํ นาจหนา้ ทีIตามทีIกาํ หนดไวใ้ นกฎหมายแลว้ จะเห็นไดว้ า่ กฎหมายมุ่งหมายทีIจะให้
จุฬาราชมนตรีมีฐานะเป็ นผูใ้ ห้คาํ ปรึกษาแก่ทางราชการ รวมทNงั ไดก้ าํ หนดขอบเขตในการให้
คาํ ปรึกษาหรือเสนอความเห็นของจุฬาราชมนตรีไวแ้ ต่เฉพาะในเรIืองทีIเกีIยวขอ้ งกับกิจการ
ศาสนาอิสลามเท่านNัน แต่เมIือมิได้มีการกาํ หนดบทนิยามคาํ ว่า “กิจการศาสนาอิสลาม” ไว้
โดยเฉพาะในพระราชบัญญัตินNี กรณีย่อมต้องตีความว่าเรืIองใดก็ตามทIีเกIียวขอ้ งกับศาสนา
อิสลามยอ่ มอยใู่ นความหมายของคาํ วา่ กิจการศาสนาอิสลามตามอนุมาตรานNีทNงั สิNน
ในการให้คาํ ปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการของจุฬาราชมนตรีตามทีIกาํ หนด
ไวน้ Nี จะเห็นได้ว่า การทีIจุฬาราชมนตรีมีฐานะเป็ นผูใ้ ห้คาํ ปรึกษากับทางราชการนNันย่อมมี
ความหมายรวมถึงส่วนราชการต่างๆ ไม่เฉพาะแต่กระทรวงมหาดไทยเท่านNัน เนืIองจากคาํ ว่า
“ทางราชการ” นNีย่อมหมายถึงส่วนราชการทNังหมดนัIนเอง ซIึงการให้คาํ ปรึกษาหรือเสนอ
ความเห็นนNีอาจเป็ นไดท้ Nงั กรณีทIีส่วนราชการไดข้ อคาํ ปรึกษาหรือขอให้จุฬาราชมนตรีเสนอ
ความเห็นในเรืIองใดเรืIองหนIึงกไ็ ด้ รวมทNงั อาจเป็นกรณีทIีจุฬาราชมนตรีเห็นวา่ มีเหตุสมควรทIีจะ
เสนอความเห็นในส่วนทIีเกีIยวขอ้ งกบั ส่วนราชการใดกส็ ามารถกระทาํ ไดด้ ว้ ยเช่นกนั

“(2) แต่งต/งั คณะผู้ทรงคุณวุฒเิ พื<อให้คาํ ปรึกษาเกยี< วกบั บัญญตั แิ ห่งศาสนาอสิ ลาม”

47


ความในอนุมาตรานNีถือเป็ นอาํ นาจของผูท้ ีIดาํ รงตาํ แหน่งจุฬาราชมนตรี ในการทีIจะ
แต่งตNงั คณะผูท้ รงคุณวุฒิเพIือช่วยเหลืองานในการให้คาํ ปรึกษาเกIียวกับบัญญัติแห่งศาสนา
อิสลาม และงานอIืนๆ ทีIเป็นอาํ นาจหนา้ ทIีของจุฬาราชมนตรี อาํ นาจในการแต่งตNงั ผทู้ รงคุณวฒุ ินNี
ถือเป็ นเรืIองเฉพาะตวั ของจุฬาราชมนตรีแต่ละท่านทIีจะแต่งตNงั บุคคลหนIึงบุคคลใดซIึงมีความรู้
ความสามารถในด้านต่างๆ ตามทีIเห็นสมควรเพIือให้เป็ นคณะผูท้ รงคุณวุฒิของตนได้ โดย
ผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านNีมีหน้าทีIทีIจะต้องช่วยเหลือหรื อให้คําปรึ กษาหรื อร่ วมประชุมกับ
จุฬาราชมนตรีในการทIีจะวินิจฉยั ขอ้ พิพาทหรือใหค้ าํ ปรึกษาหรือใหค้ วามเห็นแก่ทางราชการใน
ปัญหาเรIืองใดเรIืองหนIึงได้

เหตุผลทIีต้องกําหนดให้อาํ นาจจุฬาราชมนตรีในการแต่งตNังคณะผูท้ รงคุณวุฒิได้ก็
เนIืองจากในการปฏิบตั ิหนา้ ทIีของจุฬาราชมนตรีตามความในอนุมาตรา (4) ในเรืIองเกีIยวกบั การ
ออกประกาศเกIียวกบั ขอ้ วินิจฉัยตามบญั ญตั ิแห่งศาสนาอิสลามนNนั เป็ นเรืIองทIีสําคญั เพราะเป็ น
การวินิจฉัยเพIือวางหลกั การ ทางศาสนาอิสลาม ซIึงจะตอ้ งใชค้ วามรู้ความสามารถ ความวิริยะ
อุตสาหะในการวิเคราะห์บทบญั ญตั ิศาสนาอิสลามเพืIอนาํ มาปรับใชก้ บั บริบทของสังคมมุสลิม
ในประเทศไทยไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

คณะผทู้ รงคุณวฒุ ิดงั กล่าวจะมีคุณสมบตั ิหรือลกั ษณะตอ้ งหา้ มอยา่ งไร มีวาระในการดาํ รง
ตาํ แหน่งอย่างไร การแต่งตNงั และการถอดถอนออกจากตาํ แหน่ง รวมทNงั มีจาํ นวนเท่าใดนNัน
ขNึนอยกู่ บั ดุลพินิจของจุฬาราชมนตรีทIีเป็ นผพู้ ิจารณาวา่ สมควรจะแต่งตNงั ใหท้ าํ หนา้ ทีIใดบา้ งตาม
ความเหมาะสมแก่การปฏิบตั ิหน้าทIีดงั กล่าว อย่างไรก็ดี คณะผูท้ รงคุณวุฒิดงั กล่าวกฎหมาย
ไม่ไดก้ าํ หนดค่าตอบแทนไวแ้ ต่ประการใด

“(3) ออกประกาศแจ้งผลการดูดวงจนั ทร์ตามมาตรา 35 (11) เพื<อกาํ หนดวนั สําคญั
ทางศาสนา”

อาํ นาจหน้าทIีตามอนุมาตรานNีอาจจะมองว่าเป็ นเรืIองทีIไม่ค่อยมีความสําคญั เท่าใดนัก
เนืIองจากเป็ นการดาํ เนินการตามขNนั ตอนของกฎหมายทีIกาํ หนดใหค้ ณะกรรมการอิสลามประจาํ
มัสยิดมีหน้าทีIตามมาตรา 35 (11) ในการทIีจะดูดวงจนั ทร์เพIือกาํ หนดเดือนใหม่ของปฏิทิน
อิสลาม แลว้ รายงานผลการดูดวงจนั ทร์ต่อคณะกรรมการอิสลามประจาํ จงั หวดั หลงั จากนNัน
คณะกรรมการอิสลามประจาํ จงั หวดั มีหนา้ ทIีส่งผลการดูดวงจนั ทร์ไปยงั ทIีจุฬาราชมนตรีเพืIอออก
ประกาศแจง้ ผลการดูดวงจนั ทร์เพืIอกาํ หนดวนั สาํ คญั ทางศาสนาตามอนุมาตรานNี

48


แต่ในความเป็ นจริงแลว้ ในการปฏิบตั ิศาสนกิจตามหลกั การของศาสนาอิสลามจะตอ้ ง
เกีIยวโยงหรืออา้ งอิงวนั และเดือนตามปฏิทินอิสลามเสมอเนืIองจากในหลกั การศาสนาอิสลามให้
พิจารณากาํ หนดวนั และเดือนตามปฏิทินทางจนั ทรคติ มิไดใ้ ชต้ ามระบบสากลคือ ปฏิทินทาง
สุริยคติ ดว้ ยเหตุนNี การกาํ หนดวนั และเดือนจึงตอ้ งอาศยั การดูดวงจนั ทร์เป็นหลกั การสาํ คญั การ
ทIีกาํ หนดให้คณะกรรมการอิสลามประจาํ มสั ยิด คณะกรรมการอิสลามประจาํ จงั หวดั และ
จุฬาราชมนตรี มีหน้าทีIดาํ เนินการในเรIืองนNีจึงถือเป็ นกระบวนการทIีสําคญั ในการกาํ หนดวนั
สาํ คญั ทางศาสนาเพืIอประโยชนใ์ นการปฏิบตั ิศาสนกิจของมุสลิมทNงั หมดนนัI เอง
และเหตุผลทีIตอ้ งกาํ หนดขNนั ตอนหรือกระบวนการในการดูดวงจนั ทร์ดงั กล่าวก็เพIือทIีจะให้มี
ระบบการตรวจสอบความถูกตอ้ งอยา่ งแทจ้ ริง อนั มีผลต่อการกาํ หนดวนั สาํ คญั ทางศาสนาอยา่ ง
เป็ นทางการของประเทศไทย

สําหรับในต่างประเทศก็มีการกาํ หนดกระบวนการและองคก์ รทIีใชใ้ นการประกาศเพืIอ
กาํ หนดวนั สําคญั ทางศาสนาในลกั ษณะเดียวกนั กบั ประเทศไทย เพียงแต่อาจจะกาํ หนดให้มี
องคก์ รทIีแตกต่างกนั เช่น ประเทศซาอุดิอาระเบียไดก้ าํ หนดใหศ้ าลปกครองสูงสุดมีหนา้ ทIีในการ
ประกาศกาํ หนดวนั สําคญั ทางศาสนา เป็ นตน้ ซIึงกรณีหากมีการโตแ้ ยง้ เกีIยวกบั การเห็นดวง
จนั ทร์ ศาลกม็ ีอาํ นาจทIีจะพิจารณาวนิ ิจฉยั ขอ้ ขดั แยง้ เพืIอหาขอ้ ยตุ ิในเรืIองนNีไดท้ นั ที

สําหรับประเทศไทยปัญหาในเรIืองนNีก็มีอยู่เป็ นประจาํ เนIืองจากอาํ นาจในการประกาศ
กาํ หนดวนั สาํ คญั ทางศาสนาอิสลามของจุฬาราชมนตรีตามอนุมาตรานNีมิไดก้ าํ หนดให้มีผลทาง
กฎหมาย เพืIอผูกพนั ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ตลอดจนประชาชนมุสลิมในประเทศ
ไทย ตอ้ งปฏิบตั ิตาม จึงเป็ นผลทาํ ให้มีองคก์ รหรือคณะบุคคลบางกลุ่มประกาศวนั สําคญั ทาง
ศาสนาแตกต่างไปจากทIีจุฬาราชมนตรีประกาศตามอนุมาตรานNี ซIึงเป็นผลทาํ ใหเ้ กิดความสบั สน
หรือความวุ่นวายในสังคมมุสลิมได้ การยึดถือตามแนวทศั นะต่างๆ ของศาสนาอิสลามนNนั แม้
โดยหลกั การจะเปิ ดกวา้ งให้องค์กรหรือกลุ่มบุคคลสามารถมีความคิดเห็นตามแนวทศั นะทีI
แตกต่างกันได้ก็ตาม แต่ความเห็นทIีแตกต่างดังกล่าวจะต้องไม่มีการออกประกาศโดยการ
ประชาสมั พนั ธ์ใหป้ ระชาชนไดร้ ับทราบ คงใหส้ ามารถกระไดแ้ ต่เฉพาะการเผยแพร่ภายในกลุ่ม
องคก์ รของตนเท่านNัน รวมทNงั จะตอ้ งมิให้มีการนาํ เสนอความเห็นทีIขดั แยง้ หรือมีการโตเ้ ถียง
เกIียวกบั การประกาศกาํ หนดของจุฬาราชมนตรีอย่างเป็ นทางการตามอนุมาตรานNี ทNงั นNี เพIือ
ป้องกนั มิใหเ้ กิดความสบั สนแก่ส่วนราชการทีIเกีIยวขอ้ งและสงั คมมุสลิมโดยรวม

“(4) ออกประกาศเกย<ี วกบั ข้อวนิ ิจฉัยตามบญั ญตั แิ ห่งศาสนาอสิ ลาม”

49


อาํ นาจหน้าทีIของจุฬาราชมนตรีตามอนุมาตรานNีนับได้ว่าเป็ นเรืIองทีIสําคัญอย่างยIิง
เนืIองจากการกาํ หนดให้อาํ นาจในการออกประกาศเกIียวกบั ขอ้ วินิจฉยั นNนั ยอ่ มรวมถึงอาํ นาจใน
การทีIจะวนิ ิจฉยั ดว้ ย แต่ทวา่ ถอ้ ยคาํ ของกฎหมายไม่ไดร้ ะบุใหช้ ดั วา่ การวนิ ิจฉยั และออกประกาศ
เกีIยวกบั ขอ้ วินิจฉัยนNนั เป็ นการวินิจฉัยปัญหาหรือขอ้ พิพาทในเรIืองใดบา้ ง และระหว่างใครกบั
ใคร หากแต่กาํ หนดเพียงวา่ เป็นการวนิ ิจฉยั ตามบญั ญตั ิแห่งศาสนาอิสลาม ซIึงหมายความวา่ ใน
การทีIจะวินิจฉัยนNนั จะตอ้ งใชห้ รือเป็ นไปตามบญั ญตั ิแห่งศาสนาอิสลามเท่านNนั ดว้ ยเหตุนNี จึง
เป็นช่องวา่ งทIีเป็นผลทาํ ใหไ้ ม่มีการเสนอเรIืองต่างๆ เพืIอใหจ้ ุฬาราชมนตรีวนิ ิจฉยั มากนกั และอีก
ปัญหาหนIึงก็คือ อาจจะเป็ นเพราะกระบวนการหรือขNนั ตอนในการเสนอเรืIองหรือปัญหาต่อ
จุฬาราชมนตรี มิไดม้ ีการกาํ หนดไวใ้ นกฎหมายฉบบั นNีให้ชดั เจนนนัI เอง ในความเห็นส่วนตวั
ของผูเ้ ขียนแลว้ เห็นว่า หากมิได้กาํ หนดไวช้ ัดเจนกรณีก็จาํ ตอ้ งตีความอย่างกวา้ งว่าเป็ นการ
วินิจฉยั ขอ้ พิพาทหรือปัญหาทIีเกิดขNึนทNงั ในระหว่างผูท้ Iีนบั ถือศาสนาอิสลามดว้ ยกนั เอง รวมทNงั
ปัญหาทีIเกิดขNึนระหวา่ งคณะกรรมการอิสลามประจาํ มสั ยดิ คณะกรรมการอิสลามประจาํ จงั หวดั
หรือแมแ้ ต่คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ตลอดจนปัญหาทีIเกิดขNึนระหวา่ งผทู้ Iีนบั
ถือศาสนาอิสลามกบั ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐต่างๆ ดว้ ย

ในการวนิ ิจฉยั ขอ้ พิพาทหรือปัญหาทIีเกิดขNึนของจุฬาราชมนตรีนNนั สามารถกระทาํ ไดโ้ ดย
จุฬาราชมนตรีเป็ นผูว้ ินิจฉัยแต่เพียงลาํ พังหรือจะมีการปรึกษาหารือหรือประชุมร่วมกับ
ผทู้ รงคุณวุฒิทIีจุฬาราชมนตรีแต่งตNงั ขNึนในแต่ละดา้ นก็สามารถกระทาํ ได้ ทNงั นNี เพืIอให้เกิดความ
รอบคอบและมีขอ้ วินิจฉัยทIีถูกตอ้ งและเหมาะสมกบั สถานการณ์ หรือบริบทในขณะนNัน ซIึง
ผลงานในการวินิจฉัยของจุฬาราชมนตรีมีปรากฏอยู่ในคาํ วินิจฉัย(ฟัตวา) ทIีไดม้ ีการประกาศ
ออกมาในแต่ละเหตุการณ์ ตวั อยา่ งเช่น คาํ วินิจฉยั (ฟัตวา) จุฬาราชมนตรี เรืIองการฉีดวคั ซีนเพืIอ
ป้องกนั โรคติดเชNือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีรายละเอียดสรุปไดว้ า่ “ยงั ไม่มีขอ้ มูล
ยนื ยนั หรือรับรองวา่ มีการปนเปNื อนหรือมีส่วนผสมของสิIงตอ้ งห้ามตามหลกั การศาสนาอิสลาม
และการฉีดวคั ซีนเป็นสIิงจาํ เป็นตามบทบญั ญตั ิของศาสนาอิสลาม เพืIอรักษาไวซ้ Iึงชีวติ ทรัพยส์ ิน
และความปลอดภยั ของสังคม” รวมทNงั ไดม้ ีการรวบรวมคาํ วินิจฉัยเหล่านNีจดั พิมพเ์ ป็ นเล่มเพืIอ
แจกจ่ายใหม้ ุสลิมไดร้ ับทราบเป็นระยะๆ

อย่างไรก็ตาม ผูเ้ ขียนมีขอ้ สังเกตเกีIยวกบั อาํ นาจของจุฬาราชมนตรีตามอนุมาตรานNีว่า
นอกจากกฎหมายจะมิไดก้ าํ หนดเรIืองทีIจะทาํ การวนิ ิจฉยั ขNนั ตอนในการเสนอเรIืองแลว้ กฎหมาย
ยงั มิไดก้ าํ หนดผลในทางกฎหมายของคาํ วินิจฉัยดงั กล่าวว่า ผูกพนั แต่เฉพาะคู่กรณี หรือสังคม

50


มุสลิมเท่านNนั หรือมีผลผูกพนั ส่วนราชการทIีเกีIยวขอ้ งดว้ ย แต่อยา่ งไรก็ตาม ผูเ้ ขียนเห็นว่าการ
ออกประกาศเกีIยวกับขอ้ วินิจฉัยของจุฬาราชมนตรีนNันจะต้องมีผลผูกพนั ผูท้ Iีนับถือศาสนา
อิสลามทุกคน อีกทNงั ยงั จะตอ้ งไดร้ ับการยอมรับจากส่วน ราชการและหน่วยงานของรัฐทNงั หมดทีI
จะตอ้ งปฏิบตั ิตามดว้ ย ทNงั นNีในฐานะทีIจุฬาราชมนตรีเป็ นผูน้ าํ กิจการศาสนาอิสลามในประเทศ
ไทย และเป็นผใู้ หค้ าํ ปรึกษาและเสนอความเห็นแก่ทางราชการเกีIยวกบั กิจการศาสนาอิสลามตาม
ความในมาตรานNีนนัI เอง

ขอ้ สังเกต อีกประการหนIึงทIีผูเ้ ขียนเห็นว่ามีความสําคญั ก็คือ การทIีกาํ หนดให้มีผูน้ ํา
กิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย แต่ทวา่ ไม่มีองคก์ รทีIมารองรับการปฏิบตั ิตามอาํ นาจหนา้ ทีI
ทIีกฎหมายได้ให้ไวย้ ่อมเป็ นสิIงทีIไม่ครบถว้ นอย่างยIิงเนIืองจากในทางปฏิบัติจุฬาราชมนตรี
จะต้องมีความเกIียวขอ้ งหรือติดต่อราชการกับส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐอืIนๆ เป็ น
ปกติ และคงจะไม่สามารถทีIกระทาํ ได้โดยตัวของท่านจุฬาราชมนตรีเอง ด้วยเหตุนNี การ
ดาํ เนินการในเรืIองต่างๆ จึงจาํ ตอ้ งกระทาํ ผ่านเจา้ หน้าทIีซIึงเป็ นฝ่ ายสํานักงาน แต่ทว่ากฎหมาย
มิไดม้ ีการกาํ หนดให้มีสํานกั งานทIีปฏิบตั ิหน้าทIีดงั กล่าวแต่อยา่ งใด ในทางปฏิบตั ิจริงไดม้ ีการ
จดั ตNงั สาํ นกั จุฬาราชมนตรีขNึนเพIือทาํ หนา้ ทIีเป็ นฝ่ ายเลขานุการและงานทIีเกIียวขอ้ งกบั การติดต่อ
ราชการระหว่างจุฬาราชมนตรีกบั ส่วนราชการหรือหน่วยงานต่างๆ รวมทNงั องค์กรระหว่าง
ประเทศ และแมว้ ่าสํานักจุฬาราชมนตรีจะไดจ้ ดทะเบียนตามระเบียบกรมการศาสนา ว่าดว้ ย
องค์การศาสนาต่างๆ พ.ศ. 2512 ในฐานะทIีเป็ นองค์การพิเศษทางศาสนา ทะเบียนเลขทีI 12 /
2512 อนั ถือไดว้ ่าเป็ นองคก์ ารทางศาสนาทีIอยู่ในความอุปถมั ภข์ องกรมการศาสนาทีIจะไดร้ ับ
การพิจารณาช่วยเหลือในเรIืองต่างๆ เช่น การอาํ นวยความสะดวกและออกบตั รประจาํ ตวั แก่ผู้
ประกาศศาสนา การอาํ นวยความสะดวกแก่ผปู้ ฏิบตั ิพิธีกรรมทางศาสนา การพิจารณาเกIียวกบั
การพาํ นกั อยใู่ นประเทศของเจา้ หน้าทIีทางศาสนา การแกป้ ัญหาขดั ขอ้ งในการปฏิบตั ิงานของ
องคก์ าร การเชิญเขา้ ร่วมประชุมพิจารณากิจการทางศาสนา รวมทNงั การชุมนุมและแลกเปลIียน
ข่าวสารกบั องคก์ ารอIืน เป็นตน้ กต็ าม แต่จะเห็นไดว้ า่ บทบาทอาํ นาจหนา้ ทIีดงั กล่าวไม่เกIียวขอ้ ง
กบั การบริหารกิจการศาสนาอิสลามแต่ประการใด ทNงั ๆ ทIีในความเป็นจริง สาํ นกั จุฬาราชมนตรี
ย่อมมีส่วนเกีIยวข้องอย่างมาก ด้วยเหตุนNี จึงมีความพยายามทIีจะยกร่างกฎหมายเพIือแก้ไข
พระราชบญั ญตั ิฉบบั นNีโดยเพIิมเติมสํานักจุฬาราชมนตรีให้มีฐานะเป็ นองค์กร บริหารกิจการ
ศาสนาอิสลามองคก์ รหนIึงตามกฎหมายฉบบั นNีดว้ ย


Click to View FlipBook Version