The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความรู้เรื่องการจัดองค์ประกอบศิลปะเพื่อการออกแบบ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ittiok1, 2021-11-16 22:22:47

องค์ประกอบศิลปะ

ความรู้เรื่องการจัดองค์ประกอบศิลปะเพื่อการออกแบบ

Keywords: องค์ประกอบศิลปะ,องค์ประกอบศิลป์,ศิลปะ,principle of art,element,compost,composition,element of art,art

28

เส้นโค้งแบบคล่นื เส้นโค้งแบบก้นหอย เสน้ หยักและโคง้ เส้นประ

ภาพท่ี 3.3 เส้นและความรูส้ ึกของเส้น

ศิลปะจากจดุ และเสน้
ผลงานของศิลปนิ หญงิ ชาวญีป่ ุ่นช่ือยาโยอิ กูซามะ (Yayoi Kusama) ผู้ซ่งึ ชอบวาดรปู มาต้ังแต่

เด็ก และมสี ขุ ภาพสายตาพิเศษทมี่ องอะไรก็เห็นเป็นจดุ ความพิเศษนี้ไดถ้ า่ ยทอดลงในผลงานศิลปะโดย
ผา่ นการมองเห็นจากชวี ิตจริงด้วยสายตาที่มองโลกทง้ั โลกเป็นจดุ ท้งั หมด ภาพ ก เป็นการออกแบบภาพ
โปสเตอร์ประชาสมั พันธง์ านนทิ รรศการของเธอเอง ในภาพเปน็ พนื้ ที่บางสว่ นของนิทรรศการศลิ ปะจดั วาง
(Installation) และภาพ ข - ง เปน็ พ้ืนที่อกี สว่ นหนึง่ ของผลงาน ท้งั หมดใชจ้ ุดเปน็ องคป์ ระกอบหลักใน
การแสดงความคดิ จนิ ตนาการ และความรู้สกึ ของศิลปนิ

ก. โปสการด์ งานนทิ รรศการ ข. ชื่อผลงาน Dot Obsession ค.ศ.2004 (Art Car)

ค. ชือ่ ผลงาน Pumpkin ค.ศ.1994

29

ง. ช่ือผลงาน Shot at Taipei Art Fair International ค.ศ.1998
ภาพที่ 3.4 ชุดผลงานศิลปะจากจุดของยาโยอิ กซู ามะ

ท่ีมา : Yayoi Kusama (2005: 12-13, 16, 17)
ตัวอย่างการใช้เส้นสรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ ไดแ้ ก่ การสร้างภาพลวงตาในศิลปะออ็ ปอารต์ ใน

ตัวอย่างเป็นการใชเ้ สน้ เฉยี งขดี สลับทิศทาง ความยาวของเส้นลดหล่นั จากยาวไปสั้นเม่อื ดูจากวงนอกเขา้ สู่
ก้นหอยวงใน ดูภาพ ก และ ค เปน็ เสน้ ท่สี ร้างมิติของหลุมลวงตตา ภาพ ข เปน็ การขดี เส้นขยกุ ขยิกไป
ตามอารมณใ์ นขณะคดิ คานึงถึงสงิ่ ใดส่ิงหนึง่ อยู่ ซง่ึ ผสู้ รา้ งสรรค์อาจไม่ไดต้ ง้ั ใจอย่างเตม็ ที่ ศิลปะลกั ษณะน้ี
เรยี กโดยทั่วไปวา่ ศิลปะทส่ี วยแบบบังเอิญ ภาพ ง เป็นงานไคเนตกิ อารต์ เนน้ ความเคล่ือนไหวของเสน้ ใน
พืน้ ที่วา่ ง

30

ก. ผลงานของ Bridge Riley ข. ใตน้ า้

ค. ผลงานของ Denise Davis
ท่มี า : Roland, Anthony (ม.ป.ป.:170) (ภาพ ก)
ที่มา : ทพิ ยส์ คุ นธ์ อิทธปิ ระทปี (2560) (ภาพ ข)
ทีม่ า : Tes Teach (ม.ป.ป.) (ภาพ ค)

31

ง. ผลงานของ Reuben Heyday Margolin
ชือ่ ผลงาน Contours at Lyrical

ภาพที่ 3.5 ชุดผลงานศลิ ปะจากเส้น
ทม่ี า : Margolin, Reuben Heyday (2017) (ภาพ ง)

บทสรปุ
จุดและเสน้ เปน็ องค์ประกอบศลิ ป์หรอื ทศั นธาตพุ ้ืนฐานท่สี ามารถนามาสร้างสรรคง์ านศลิ ปะ และ

งานออกแบบไดอ้ ย่างสวยงาม จดุ เปน็ การแต้มสมั ผสั เพยี งครั้งเดียวและปรากฏบนพื้นระนาบเกดิ จากการ
กระทาของวสั ดใุ ดก็ได้ เช่น เม้าส์ ปากกา สี เป็นตน้ จดุ เกดิ จากธรรมชาติหรอื เกดิ จากฝีมอื มนษุ ยก์ ็ได้
ส่วนเส้นหมายถึงการขีดเขียนด้วยวัสดุใด ๆ ทที่ าให้เกิดเป็นรอ่ งรอยในแนวยาว จะขีดไปในทศิ ทางใดหรือ
ขีดเดย่ี ว ประ หรือตอ่ เน่ืองเป็นหยัก เปน็ คล่ืนกข็ น้ึ อยกู่ บั ความตอ้ งการของผู้กระทา ทั้งนเ้ี สน้ แตล่ ะ
ลักษณะจะสอื่ ความหมายถงึ อารมณค์ วามรูส้ ึกทแี่ ตกต่างกัน รวมทง้ั การนาเสน้ ลักษณะใดไปใชก้ ็ควรดู
ความสอดคล้องกับความคดิ และความรสู้ ึกทตี่ ้องการจะนาเสนอดว้ ย เชน่ เสน้ หยักแนวเฉยี งใช้ส่ือ
สัญลกั ษณอ์ นั ตรายของไฟฟา้ แรงสงู เสน้ โคง้ ตอ่ เนอื่ งเปน็ คล่นื ใช้สอ่ื สญั ลกั ษณข์ องแม่น้าในงานจิตรกรรม
ไทยแนวประเพณี เป็นต้น

32

แบบฝกึ หัดทา้ ยบท
1. จงอธิบายความหมายและบอกที่มาของจุด
2. จงอธบิ ายความหมายและความรู้สกึ ของเส้นลกั ษณะต่าง ๆ
3. ให้นกั ศกึ ษาสรา้ งสรรคผ์ ลงานโดยใช้จุด
3.1 ใหน้ ักศกึ ษาสร้างสรรคผ์ ลงานโดยใชจ้ ดุ ในการสรา้ งน้าหนักโดยอาศัยภาพถ่ายเป็น

ต้นแบบในการสร้างภาพด้วยจดุ แทน 1 ชิน้ ขนาด A4 พรอ้ มติดรูปตน้ แบบและวิเคราะห์องคป์ ระกอบ
ดา้ นหลงั ผลงาน (ใหใ้ ชป้ ากกาหวั กามะหยี่ขนาดตา่ ง ๆ ได้ แตต่ อ้ งไมเ่ กิน 0.5 มลิ ลเิ มตร)

3.2 ใหน้ ักศกึ ษาการสรา้ งสรรคผ์ ลงานโดยใช้จดุ วงกลมขนาดเลก็ ใหญ่ในการจดั องคป์ ระกอบ
ศิลป์ 1 ชิ้น ขนาด A4 (ใหใ้ ชเ้ มจิกสี ขนาดต่าง ๆ)

4. ใหน้ กั ศึกษาสรา้ งสรรค์ผลงานโดยใช้เสน้
4.1 ใหน้ ักศึกษาสร้างสรรค์ผลงานโดยใชเ้ สน้ ตรงหรือเสน้ โค้งในการสร้างสรรค์ผลงาน
4.2 . ใหน้ ักศึกษาสร้างภาพลวงตาด้วยเส้นโดยใช้คสู่ ีตดั กนั 2 สี อาจดตู วั อยา่ งผลงานของลัทธิ

ศิลปะออ๊ ป อารต์ เช่น ผลงานของศลิ ปนิ ชือ่ M.C. Etcher และเขยี นแนวคิดพร้อมอธิบายความคิดของ
การสร้างสรรคผ์ ลงานของนกั ศึกษาในเนอ้ื หาของภาพ และวิเคราะห์องคป์ ระกอบจากความรใู้ นบทเรยี น
คร้งั น้ี (ใหใ้ ชส้ โี ปสเตอร)์

เอกสารอ้างอิงประจาบท
Margolin, Reuben Heyday. (2017) Contours at Lyrical. [ออนไลน์] สบื คน้ ไดจ้ าก

https://www.reubenmargolin.com/ เม่อื 10 สงิ หาคม 2558.
Roland, Anthony. (ม.ป.ป.) Videos on Art. Chicago : Service Web Offset.
Tes Teach. (ม.ป.ป.) Denise Davis : Op Art. [ออนไลน์] สืบคน้ ไดจ้ าก https://tes.com/

lessons/GWKs8Zj0RUxZqg/op-art เมื่อ 10 สงิ หาคม 2558.
WikiArt.org. (ม.ป.ป.) childe-hassam. [ออนไลน์] สบื ค้นไดจ้ าก https://www.wikiart.org/en/

childe-hassam/at-sunset เมอ่ื 10 สงิ หาคม 2558.
Yayoi Kusama. (2005) สจู บิ ตั รนิทรรศการ Yayoi Kusama Ka!. ณ ตน้ สนแกลเลอรี ลุมพนิ ี

ปทมุ วัน กรงุ เทพมหานคร 15 ตุลาคม - 31 ธนั วาคม.

บทท่ี 4
รูปรา่ งกับรปู ทรงและมวล

เน้อื หาประจาบท
1. ความหมายและลกั ษณะของรปู ร่าง
2. ความหมายและลกั ษณะของรปู ทรง
3. ความหมายของมวลและศิลปะจากมวล

วตั ถุประสงคป์ ระจาบท
1. เพอื่ ให้ผเู้ รยี นสามารถอธบิ ายความหมายและลกั ษณะของรูปรา่ งไดถ้ ูกต้อง
2. เพอื่ ให้ผู้เรยี นสามารถอธิบายความหมายและลกั ษณะของรูปทรงได้ถกู ตอ้ ง
3. เพื่อใหผ้ ู้เรียนสามารถสร้างสรรคง์ านศลิ ปะจากมวลไดอ้ ย่างสวยงาม

ความนา
องค์ประกอบศิลป์หรอื ทศั นธาตทุ ี่สาคญั ทผ่ี ้เู รียนตอ้ งเรยี นรู้เป็นลาดับต่อจากเร่ืองจดุ กบั เสน้ คือ

เร่ืองรูปรา่ งกบั รปู ทรง รูปรา่ งเกิดจากเสน้ ทลี่ ากมาบรรจบกันมี 2 มิติ ต่อเมื่อรปู รา่ งนั้นแปรเปล่ยี นเปน็
3 มติ ิจงึ เรียกรูปนนั้ วา่ รปู ทรง ความเป็น 2 มิตแิ ละ 3 มิตมิ ลี กั ษณะต่างกันอย่างไร 3 มิตจิ รงิ และ 3 มิติ
ลวงตาต่างกันอย่างไร มีอยูท่ ีใ่ ดบา้ ง มวี ธิ ีการสร้างสรรค์หรือประดษิ ฐข์ ้ึนมาไดอ้ ย่างไร รวมทั้งเนื้อหา
เกี่ยวกบั การนารปู ทรงจานวนมากมาอย่รู วมกัน จัดวางอย่างมีศิลปะทาไดอ้ ยา่ งไร ผเู้ รียนจะไดท้ ดลอง
ปฏิบัตใิ หเ้ ข้าใจอยา่ งถ่องแทใ้ นบทเรยี นนี้

ความหมายและลกั ษณะของรูปร่าง
ความหมายของรปู รา่ ง
ราชบัณฑติ ยสถาน (2546: 965) อธบิ ายวา่ รปู รา่ งหมายถึงสิง่ ท่เี ห็ นแต่เพยี งขอบนอกเป็น

กาหนด มีลักษณะจากัดเพียงความกว้างกับสูง เช่น รปู ร่างพ้นื ฐาน ได้แก่ รปู สามเหลยี่ ม รปู สีเ่ หล่ียม รปู
วงกลม เปน็ ต้น จากภาพที่ 4.1 จะสงั เกตได้วา่ รปู ร่าง (Shape) ที่มีความกวา้ งกบั สงู หรอื ความกวา้ งกับ

34

ความยาวน้ัน มลี กั ษณะเปน็ การขูดขดี เสน้ ลักษณะใดลกั ษณะหนึง่ หรือหลายลกั ษณะผสมกัน โดยขีดให้
ปลายของเสน้ นั้นบรรจบกัน รูปร่างมี 2 มติ ิคอื กวา้ งกับยาว รปู รา่ งทเ่ี กดิ จากกาขดู ขดี ด้วยเส้นทีบ่ รรจบกัน
นี้มมี ี 2 ลกั ษณะคอื รูปรา่ งเรขาคณติ กบั รูปรา่ งอิสระ

ลกั ษณะของรปู ร่าง
1. รปู ร่างเรขาคณิต (Geometric Shape) หมายถึง การบรรจบกันอยา่ งเปน็ ระเบียบของเส้น
หรอื ท่รี าชบัณฑติ ยสถานใช้คาวา่ รูปร่างพน้ื ฐาน ซงึ่ ไดแ้ ก่
รูปร่างวงกลม/วงรี เป็นการบรรจบกันของเส้นโค้งในทศิ ทางทขี่ ีดเข้าหากัน
รูปร่างครง่ึ วงกลม/วงรี เป็นการบรรจบกันของเสน้ โค้งหนึง่ เส้นกับเส้นตรงบรรจบกัน
รูปรา่ งสเี่ หลี่ยม เปน็ การบรรจบกนั ของเสน้ ตรงสเ่ี ส้น ประกอบดว้ ยเสน้ ตรงแนวตัง้ กบั แนวนอน
รปู ร่างสามเหล่ียม เป็นการบรรจบกนั ของเสน้ ตรงสามเสน้ ประกอบด้วยเสน้ ตรงกับเส้นเฉยี ง
รปู ร่างห้า/หก/แปดเหลี่ยม เปน็ การบรรจบกันของเสน้ ตรงหา้ /หก/แปดเสน้ ซึ่งรปู ร่างหลาย
เหลีย่ มเหล่านจ้ี ะประกอบด้วยเส้นตรงแนวต้งั แนวนอนและแนวเฉยี ง ดภู าพท่ี 4.1 รปู ร่างเรขาคณิต

ภาพที่ 4.1 รูปรา่ งเรขาคณิต

2. รปู ร่างอสิ ระ (Free Shape) หมายถึง การบรรจบกนั ของเส้นอย่างไม่เปน็ ระเบียบท้ังทศิ ทาง
และลักษณะของเสน้ ท่ีนามาประกอบกัน ลกั ษณะของรูปรา่ งอสิ ระนี้หมายรวมถงึ รูปร่างในธรรมชาตดิ ้วย
(Organic Shape) เช่น รูปรา่ งมนษุ ย์ สตั ว์ พืช กอ้ นเมฆ (ก) และรปู รา่ งอสิ ระทีไ่ ม่ใช่รูปรา่ งใน
ธรรมชาตแิ ตเ่ ปน็ รปู รา่ งทม่ี นุษยค์ ดิ ขึ้นมาเอง (ข) เพ่ือตอบสนองความคิดความร้สู ึกของตน ดภู าพที่ 4.2
รปู ร่างอิสระ

ผลงานศิลปะในภาพท่ี 4.3 ผลงานของ Ryan Rhodes ช่อื ผลงาน Cut paper Bike เป็น
โครงการสรา้ งงานส่วนบคุ คล ใช้รูปรา่ งเรขาคณิตมาประกอบกนั เป็นภาพจักรยาน สว่ นภาพที่ 4.4 ผลงาน
ของ Flan ชื่อผลงาน Overtype.net เป็นโครงการสรา้ งงานส่วนบุคคล ใช้รูปร่างอิสระทับซอ้ นเพ่อื สรา้ ง
มติ ิใหน้ า่ สนใจ

35

ภาพที่ 4.5 ผลงานของ Julien Vallee ชอ่ื ผลงาน We Love Fantasy We love Art เป็นงาน
ศลิ ปะจัดวาง เปน็ รูปร่างเรขาคณิตต่าง ๆ นามาประกอบกนั งานศลิ ปะแนวนามธรรม ตดั ทอนรูปเมฆ
หยดนา้ ต้นไม้ ภเู ขา ตัดทอนเปน็ รูปรา่ งเรขาคณติ

ก ข
ภาพท่ี 4.2 รูปร่างอิสระ

ท่ีมา : ทิพยส์ คุ นธ์ อทิ ธิประทปี (2558)

ภาพที่ 4.3 จักรยานรูปรา่ งเรขาคณิต ภาพที่ 4.4 ศลิ ปะรปู ร่างอิสระ
ทมี่ า : Sylvie Estrada (2011:20) (ซา้ ย)
ทม่ี า : Sylvie Estrada (2011:47) (ขวา)

36

ภาพที่ 4.5 ศลิ ปะจัดวาง โครงสรา้ งรปู รา่ ง
ทม่ี า : Sylvie Estrada (2011:110)

ความหมายและลกั ษณะของรปู ทรง
ความหมายของรปู ทรง
ราชบณั ฑิตยสถาน (2546: 964) อธบิ ายวา่ รูปทรงหมายถงึ ทรวดทรง สัณฐาน ประกอบดว้ ย

ความกว้าง หนาหรือลึก และสูง เชน่ เรือลาน้ีรปู ทรงเพรยี ว รูปทรงในทางศิลปะหมายถงึ ส่ิงท่เี หน็ เปน็ กลุ่ม
ก้อนหรือเหน็ แต่ 2 ด้านขนึ้ ไป มีลกั ษณะจากัดดว้ ยความกว้าง หนาหรอื ลกึ และสงู เชน่ รปู ทรงพีระมดิ
จากคานยิ ามน้ีจะเห็นวา่ รูปทรง (Form) หมายถงึ การแสดงลกั ษณะ 3 มิตขิ องรูปร่างหรอื รปู รา่ งท่มี ีความ
หนาหรือลกึ เราเรยี กรปู ร่างน้ันว่า รปู ทรง รูปทรงจงึ มที ้งั ความกว้าง ยาว และลกึ หรอื หนา

ลกั ษณะของรปู ทรง
1. รูปทรงจริงกับรูปทรงลวงตา รูปทรงจริง หมายถงึ รูปทรงทใี่ ช้กายสัมผัส เช่น เอามือไปจับ
หรือลว้ งลงไปจะรบั รถู้ ึงความต้ืนลึกหนาบางได้ สว่ นรปู ทรงลวงตา หมายถงึ รปู ทรงท่ีใช้กายสัมผสั ความ
ต้ืนลกึ หนาบางไมไ่ ด้ แตส่ มั ผสั ได้ด้วยตารับรู้ได้ด้วยใจซึง่ จะเหน็ เป็นภาพลวงตาว่างานช้นิ นน้ั ๆ ตน้ื ลกึ หนา
บางกวา้ งสงู เพียงใดเท่านน้ั ตวั อยา่ งภาพที่ 4.6 และ 4.7 เป็นผลงานศลิ ปะของ Joseph Kosuth b. ค.ศ.
1945 ช่ือผลงาน One and Three Chairs 1965 เก้าอ้ีในภาพ 4.6 เปน็ เกา้ อีจ้ รงิ สว่ นเก้าอใี้ นภาพ 4.7
เปน็ ภาพถ่าย ศลิ ปนิ นาทัง้ เกา้ อ้จี รงิ และเกา้ อีภ้ าพถา่ ยมานาเสนอแนวศลิ ปะจัดวางเร่อื งความจรงิ กับความ
ลวงตา ชือ่ ผลงาน One and Three Chairs

37

ภาพที่ 4.6 รปู ทรงจรงิ ภาพท่ี 4.7 รปู ทรงลวงตา
ท่ีมา : Farthing, Stephen (2010:502-503)

2. รปู ทรงเรขาคณิตกับรูปทรงอิสระ รปู ทรงเรขาคณติ หมายถึง รูปร่างเรขาคณิตท่มี คี วามกวา้ ง
ยาว หนาหรือลึก จริงหรอื ลวงตาก็ได้ เชน่ รปู วาดจากคอมพิวเตอร์ เพชรรูปทรงต่าง ๆ ส่วนรปู ทรงอิสระ
ก็เชน่ เดียวกันคือเป็นรปู รา่ งอิสระท่มี คี วามกวา้ ง ยาว หนาหรือลกึ จรงิ หรือลวงตากไ็ ด้เช่นกนั เชน่ กอ้ นหนิ
เมฆ เปน็ ตน้

ภาพที่ 4.8 รปู ทรงเรขาคณติ ภาพท่ี 4.9 รูปทรงอสิ ระ

38

ภาพที่ 4.10 รปู ทรงของประตมิ ากรรม
ทม่ี า : ไชยยง รตั นองั กรู (2014:89)

ภาพท่ี 4.10 ประติมากรรมกระเบ้ืองเซรามกิ วาดลายทางด้วยมือและถักโครเช เปน็ เทคนิค
ผสมผสาน ผลงานชิน้ นเ้ี ปน็ รปู ทรง 3 มติ ิ อยใู่ นบ้าน Case Study House ท่ีแปลงไปเปน็ แกลเลอร่ี ท่ี
ฮอลวี ดู้ ฮิล

ภาพท่ี 4.11 รปู ทรงเรขาคณติ ประกอบกัน ภาพที่ 4.12 รปู ร่าง รปู ทรง และเส้น
ที่มา : Sylvie Estrada (2011:17) (ซ้าย)
ทมี่ า : Sylvie Estrada (2011:54) (ขวา)

39

ภาพท่ี 4.11 เปน็ ผลงานของ Hattie Newman and Alex Ostrowski ชื่อผลงาน The
Fedrigoni Mountains เปน็ การทารูปทรงภเู ขาชื่อตา่ ง ๆ มารวมกันเปน็ กล่มุ ภูเขาขนาดใหญ่ ภาพที่
4.12 เป็นผลงานของ Chrissie Macdonald ช่ือผลงาน Paper Shredder เป็นงานประตมิ ากรรม
กระดาษ ประกอบดว้ ย รปู ทรงเครื่องทาลายเอกสาร แก้วน้า จานรองแกว้ เส้นสีกระดาษ และรูปร่าง
แผน่ กระดาษ

ความหมายของมวลและศิลปะจากมวล
ความหมายของมวล
ชลดู น่มิ เสมอ (2553:289) อธบิ ายวา่ มวล (Mass) หมายถงึ กลมุ่ ของรูปทรง ก้อนของรูปทรง

และหมายรวมถงึ วัตถุท่มี ีความแนน่ มนี า้ หนกั
จากคากลา่ วนีส้ ามารถอธิบายเพ่ิมเตมิ ไดว้ ่า มวล หมายถึง การเปน็ กลมุ่ กอ้ นซึ่งประกอบดว้ ย

ปริมาตรของเนือ้ วสั ดุหรือวัตถุทมี่ ีความหนาแน่น มนี า้ หนกั มารวมกนั จานวนหน่ึงและอยูเ่ ปน็ กล่มุ ก้อน
เดยี วกนั แล้วเกดิ ลักษณะเปน็ รูปทรงขน้ึ มาใหม่ เช่น ผลกึ ของกอ้ นนา้ แข็งซึง่ เกดิ จากนา้ ปรมิ าณหน่ึงมา
รวมกนั เป็นก้อนนา้ พายไุ ซโคลนเกิดจากลมปริมาณหนง่ึ มารวมกนั เกิดเป็นรปู ทรงลอยอย่ใู นอากาศ ซง่ึ
ความเปน็ กลมุ่ ก้อนทีร่ วมกนั ทงั้ มวลนเ้ี ทยี บเคียงกบั คาวา่ มวลสาร ซึ่งราชบณั ฑติ ยสถาน (2546:837) ได้
อธบิ ายวา่ หมายถึง เนอ้ื ของเทหวัตถุท่ีรวมกันอยูใ่ นเทหวตั ถนุ นั้ ๆ

ศิลปะจากมวล
การรวมกนั ของรปู ทรงสามารถนามาสร้างสรรคง์ านศิลปะไดอ้ ยา่ งหลากหลาย ดงั ในตวั อย่าง
ภาพท่ี 4.13 หวั กะโหลกจาลองทาจากกระดาษ มีข้อความถกู เขียนลงบนหัวกะโหลกที่นาความเป็น
หลายรอ้ ยคารอ้ ยความกอ่ รูปสรา้ งร่างเปน็ ความตายห้อยแขวนจากเพดาน เจ้าของผลงานประตมิ ากรรมช้นิ
นีค้ ือ คามนิ เลศิ ชัยประเสรฐิ ช่ือผลงาน Before Birth After Death นาเสนอแนวความคดิ ถึงคาถาม
ที่ว่าตายแล้วไปไหน ส่วนภาพที่ 4.14 ผนงั ตกแต่งโรงแรมสานจากไม้ไผ่ทง้ั ห้องให้เปน็ เหมอื นรงั ไหมใน
ห้องสวที Capenter's Suite ของโรงแรม Iniala Beach house จงั หวัดพังงา โดย คุณกรกต อารมณด์ ี
เนน้ การใช้รูปรา่ งของใบไมเ้ ลือ้ ยจากผนังส่เู พดานเปน็ มวลขนาดใหญ่เพื่อตกแต่งให้เกิดความงาม

40

ภาพท่ี 4.13 ประติมากรรมแขวน ชือ่ ภาพ Before Birth After Death
ที่มา : Mongkon Ponganutree (2014:75-76)

ภาพท่ี 4.15 การใช้มวลในงานจิตรกรรม ผลงานของ Ryan McGinness จดั ภาพลายเส้นและ
รูปรา่ งกราฟิกของก่ิงไม้ ใบไม้ จัดวางในภาพวงกลม ภาพท่ี 4.16 ศิลปะการจดั วาง ชอื่ ผลงาน Birds
and Ships เนน้ การใชม้ วลในการสร้างกลมุ่ ก้อนของนกและเรอื เพอ่ื ส่ือความหมายของสองสิง่ ท่สี ัมพันธ์กนั

ภาพที่ 4.14 การตกแตง่ ผนังจากโครงสร้างไม้ไผ่
ท่มี า : ไชยยง รตั นองั กูร (2014:226)

41

ภาพท่ี 4.15 การใช้มวลในงานจติ รกรรม ภาพท่ี 4.16 ศิลปะจดั วาง

ชอ่ื งาน Once None ชือ่ ผลงาน Birds and Ships

ท่ีมา : Prinz, Eva (2005: 132) (ซ้าย)

ทม่ี า: Uta Grosenick and Burkhard Riemschneider (Edited) (ม.ป.ป:331) (ขวา)

บทสรปุ
รูปรา่ งเกิดจากเส้น รปู ทรงเกดิ จากการสร้างความต้ืนลึกหนาบางให้รูปร่าง รปู รา่ งมี 2 มิติ

รูปทรงมี 3 มติ ิ รปู ทรงมีทงั้ รปู ทรงจริงและรูปทรงลวงตา ลักษณะของรูปร่างและรูปทรงมี 2 ลกั ษณะคอื
รูปรา่ งรูปทรงเรขาคณิต และรปู ทรงอิสระ การนารูปทรงทมี่ ลี ักษณะเดยี วกนั หรอื คล้ายคลึงกนั มารวมกัน
จานวนมากเกดิ เป็นมวลนน้ั สามารถนามาใช้สรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะได้มากมาย เชน่ โมบายหรอื
ประตมิ ากรรมแขวน ประตมิ ากรรมสิ่งแวดล้อม สถาปตั ยกรรมโครงสร้าง เป็นต้น การนารูปรา่ งและ
รปู ทรงไปใชท้ างานศิลปะผู้สร้างสรรคท์ าไดอ้ ย่างหลากหลายทง้ั นีข้ ึน้ อยกู่ บั จินตนาการและความเปน็ คนชา่ ง
คดิ ของตนเอง อยา่ งไรก็ตามผูเ้ รียนควรจนิ ตนาการถงึ เน้อื หาและหรอื เร่อื งราวก่อนหรือคดิ ไปพร้อม ๆ กบั
การคดิ วา่ จะนามวลมาตอบสนองความต้องการทางความคดิ และอารมณค์ วามรูส้ ึกสว่ นตนที่ตอบความเป็น
เนื้อหาหรือเร่ืองราวนั้น ๆ ได้อย่างไร

42

แบบฝกึ หดั ทา้ ยบท
1. จงอธิบายความหมายและลกั ษณะของรปู ร่าง
2. จงอธิบายความหมายและลักษณะของรปู ทรง
3. จงอธิบายความหมายของมวล และยกตวั อย่างมวลทพี่ บในชีวติ ประจาวนั
4. จงสร้างสรรคง์ านศลิ ปะรูปร่างและรปู ทรงจากระดาษสี เทคนคิ ปะตดิ นูนต่า

บนกระดาษการ์ดแข็งขนาด 30 x 30 เซนตเิ มตร
5. จงสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะจากมวล มขี นาดความสงู ไม่เกิน 50 เซนตเิ มตร โดยร่างภาพตาม

จินตนาการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานโดยไม่จากดั วัสดแุ ละเทคนิค (ติดรปู ถ่ายผลงานกับสถานท่หี รอื สงิ่ ท่เี ป็น
องคป์ ระกอบและท่ีมาทางความคดิ ดา้ นหน้ากระดาษ และเขียนเน้ือหาเร่อื งราวแนวคดิ ท่ีตอ้ งการนาเสนอ
ประกอบภาพ Sketch Idea พรอ้ มวเิ คราะห์องคป์ ระกอบดา้ นหลังกระดาษขนาด 10x15นิว้ )

เอกสารอ้างอิงประจาบท
ชลดู น่ิมเสมอ. (2553) องค์ประกอบของศิลป์. พมิ พค์ รั้งที่ 7 กรงุ เทพมหานคร: อมรินทร.์
ไชยยง รัตนอังกูร. (บรรณาธิการ) (2557) Wallapaper Thai Edition. กรกฎาคม หน้า 226.
ราชบณั ฑิตยสถาน. (2546) พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542. กรงุ เทพมหานคร :

นานมีบคุ๊ สพ์ บั ลิเคช่นั .
Farthing, Stephen. (Editor) (2010) Art the Whole Story. London : Thames&Hudson.
Mongkon Ponganutre. (Editor) (2014) Art4d. No.216 July. หนา้ 75-76.
Prinz, Eva. (Editor) (2005) Installationview Ryan McGinness. New York : Rizzoli

International Publications.
Sylvie Estrada. (2011) Mid-fi. Barcelona : Index book.
Uta Grosenick and Burkhard Riemschneider. (Edited) (ม.ป.ป) Art Now 81 Artists at the

Rise of the New Milennium. London : Taschen.

บทที่ 5
สี

เนอื้ หาประจาบท
1. ความหมายและคณุ ลักษณะของสี
2. วงจรสแี ละวรรณะของสี
3. คสู่ ีและสขี ้างเคยี ง
4. จติ วทิ ยาของสี

วัตถุประสงคป์ ระจาบท
1. เพ่อื ให้ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายและคุณลกั ษณะของสีไดถ้ ูกต้อง
2. เพอ่ื ให้ผเู้ รียนสามารถอธิบายเกีย่ วกับวงจรสี วรรณะของสี จติ วทิ ยาของสีได้ถกู ต้อง
3. เพอ่ื ให้ผู้เรียนมีทักษะในการใชค้ ู่สแี ละสขี ้างเคยี งไดอ้ ย่างสวยงาม

ความนา
การเรียนรู้สิ่งใหม่นัน้ ส่ิงแรกที่ควรทาความรู้จกั ก็คือ ความหมายและคุณลกั ษณะของสิ่งนั้น ๆ

เชน่ ในบทเรยี นนีเ้ ป็นองค์ประกอบศิลป์ท่ีสาคัญมากอีกองค์ประกอบหนงึ่ ผู้เรียนจะไดศ้ กึ ษาเรื่องของสจี ึง
ควรทาความเขา้ ใจความหมายและคณุ ลักษณะของสีใหช้ ัดเจน สที ี่มีอยใู่ นธรรมชาติมี 12 สีคืออะไร มี
อะไรบา้ ง แบ่งเป็นกีว่ รรณะ สีทอ่ี ยตู่ รงขา้ มกนั หรืออยใู่ กลเ้ คยี งกันมสี อี ะไรบ้างและต่างมอี ิทธพิ ลต่อกนั
อย่างไร เราจะลดความแรงของสที ่อี ยู่ตรงข้ามกนั ได้อย่างไร และเมือ่ จะนาสไี ปสรา้ งสรรค์ผลงานให้ตรงใจ
หรือสอ่ื ความหมาย สื่ออารมณ์ความรสู้ กึ ไดถ้ ูกตอ้ งควรรู้จกั จติ วิทยาของสีอย่างไร เมอื่ เรียนร้ภู าคทฤษฎี
แล้ว ผ้เู รียนจะได้ศกึ ษาและทดลองปฏิบตั ิการการใช้ค่สู ี สีขา้ งเคยี ง และใช้สีในเชงิ จติ วิทยาดว้ ย

44

ความหมายและคณุ ลักษณะของสี
ความหมายของสี
ราชบัณฑติ ยสถาน (2546:1197) อธิบายว่า สี หมายถงึ ลกั ษณะของแสงสว่าง ปรากฏแก่ตาสิ่ง

ทีท่ าให้ตาใหเ้ ห็นเป็นขาว ดา แดง เขยี ว เปน็ ตน้ ชลดู นิม่ เสมอ (2553: 75) อธบิ ายวา่ สหี มายถึง 1) แสงที่
มคี วามถ่ขี องคลืน่ ในขนาดทีต่ ามนุษยส์ ามารถรบั สัมผสั ได้ 2) แม่สีที่เป็นวตั ถุ (Pigment Primary) ซ่งึ
ประกอบด้วยเหลือง แดง น้าเงิน และ 3) สที ีเ่ กดิ จากการผสมของแมส่ ี กล่าวโดยสรุปได้ว่า สี คอื คล่นื
ของแสงทม่ี ากระทบตามนษุ ย์แลว้ ทาให้เหน็ เปน็ สีต่าง ๆ ได้ และในทางศิลปะ ยังหมายถงึ สีวัตถธุ าตดุ ว้ ย

คุณลกั ษณะของสี
สีเปน็ องค์ประกอบศิลป์ทสี่ าคัญและมีบทบาทสูงสดุ ในการส่ือความคิดและอารมณ์ความรสู้ กึ ที่
ศิลปินถ่ายทอดผ่านผลงานจติ รกรรม ชลดู นมิ่ เสมอ (2553:75) อธบิ ายวา่ สีมคี ุณลักษณะ 3 ประการคือ
1. ความเปน็ สี (Hue) หมายถงึ สีนั้นเป็นสอี ะไร เชน่ เปน็ สแี ดง สีเขยี ว สีเหลือง สนี า้ เงิน
ฯลฯ ตามวงจรสี (ภาพที่ 5.1ก)
2. นา้ หนกั ของสี (Value) หมายถึง ความสวา่ งหรือความมืดของสี ถา้ เราผสมสขี าวเขา้ ไปในสีสี
หน่งึ สนี ้นั จะสว่างขึ้น หรอื มีนา้ หนักออ่ นลง ถา้ เราเพิม่ สีขาวเข้าไปทลี ะนอ้ ย ๆ เปน็ ลาดบั เราจะไดค้ า่ ของ
สหี รือน้าหนักของสที ี่เรยี งลาดับจากแกท่ ่สี ดุ ไปจนออ่ นที่สุด (ภาพที่ 5.1ข)
3. ความจดั ของสี (Intensity) หมายถงึ ความสดหรือความบรสิ ุทธิข์ องสีสหี น่ึง สที ถ่ี กู ผสมดว้ ยสี
ดาจะหมน่ ลง ความจดั หรือความบรสิ ทุ ธ์จิ ะลดลง ความจดั ของสีจะเรียงลาดับจากจัดท่สี ุดไปจนหมน่ ท่ีสุด
ได้หลายลาดับ ดว้ ยการคอ่ ย ๆ เพิ่มปรมิ าณของสีดาที่ผสมเข้าไปทลี ะน้อยจนถงึ ลาดับท่คี วามจดั ของสีมี
นอ้ ยทส่ี ดุ คอื เกือบดา (ภาพท่ี 5.1ค)
ราชบัณฑติ ยสถาน (2546:1197) ได้อธบิ ายถึงความสว่างและความมืดของสีไวว้ า่ สีที่เจอื สีขาว
เพอ่ื ลดประกายสดใสให้ออ่ นลง อย่างสแี ดงเจือสีขาว เป็นสีชมพู เราเรยี กว่า สจี าง สว่ นสที เี่ จือสดี าเพ่ือลด
ประกายสดใสใหค้ ลา้ ลง อย่างสีแดงเจอื สีดา เป็นสแี ดงเลอื ดหมู เรียกวา่ สหี ม่น

กข ค
ภาพที่ 5.1 คุณลักษณะของสี

45

วงจรสีและวรรณะของสี
วงจรสี หมายถงึ วงสีธรรมชาติ 12 สีทมี่ คี วามสมดลุ กันระหวา่ งสรี ้อนและสีเยน็ วงจรสี

ประกอบด้วย แมส่ ี สขี ้ันที่ 2 สีขน้ั ที่ 3 และสกี ลาง มรี ายละเอยี ดดังนี้
แม่สีหรอื สขี ้นั ตน้ (Primary Colors) มี 3 สี คือ สีแดง สีนา้ เงิน และสีเหลอื ง แม่สสี ามารถ

นามาผสมกันใหเ้ กดิ เป็นสีอะไรกไ็ ด้
สีข้นั ที่ 2 (Secondary Colors) เปน็ สที ่เี กดิ จากการนาแม่สมี าผสมกันเขา้ ทลี ะคู่ จะไดส้ ีเพ่มิ ข้นึ อกี

3 สี คือ สีส้ม สเี ขยี ว และสมี ว่ ง
สีข้ันท่ี 3 (Tertiary Colors) เป็นสที ่เี กดิ จากการนาแม่สีและสขี ัน้ ท่ี 2 มาผสมกันเข้าทลี ะคู่ จะได้

สเี พ่มิ ข้ึนอีก 6 สีคอื สีเหลอื งสม้ สีแดงส้ม สเี ขียวเหลือง สีเขยี วน้าเงนิ สีม่วงแดง และสมี ว่ งนา้ เงนิ
สกี ลาง (Neutral Colors) เปน็ สที ี่เกดิ จากการนาทุกสีมาผสมรวมกันเขา้ จะไดส้ ีเทาดาหรอื จะ

นาแม่สี 3 สีมาผสมรวมกนั เขา้ ก็ไดส้ ีกลางเช่นเดยี วกนั
วรรณะของสี
เม่อื เราแบง่ วงจรสีธรรมชาตอิ อกเปน็ 2 ส่วน ใช้สมี ่วงและสีเหลืองเปน็ แนวในการแบง่ ครง่ึ ครึง่ ท่ี

มปี ระกายของสแี ดง เราเรียกวา่ วรรณะสรี อ้ น (Warm Tone) สว่ นอีกครึง่ หน่งึ จะมปี ระกายของสีน้าเงนิ
เราเรยี กว่า วรรณะสเี ย็น (Cool Tone) ซงึ่ เม่ือนาสีมว่ งหรือสีเหลอื งมาใชร้ วมกับวรรณะใดก็จะเป็นกล่มุ
ของสีในวรรณะนัน้ เพราะทง้ั สองสีน้ีเป็นวรรณะกลาง ๆ สีวรรณะรอ้ น ไดแ้ ก่ สีเหลือง สีเหลอื งสม้ สสี ม้ สี
แดงสม้ สแี ดง สีมว่ งแดง และสมี ่วง สว่ นสวี รรณะเย็น ได้แก่ สเี หลอื งเขยี ว สีเขียว สนี า้ เงนิ เขยี ว สีนา้ เงิน
สมี ่วงนา้ เงิน และสีม่วง ชลูด นิ่มเสมอ (2553:82) กลา่ วไวว้ ่า ศลิ ปินมีสีเปน็ วสั ดุเพียงอยา่ งเดยี วก็สามารถ
สร้างงานจติ รกรรมทส่ี มบรู ณ์ได้ เพราะในสีมเี สน้ (เสน้ รอบนอกของบรเิ วณสี หรือสที เ่ี ขียนเปน็ เสน้ ) มี
น้าหนกั ออ่ นแกข่ องสี มีความเปน็ สี มคี วามจดั มพี ื้นผิว มที ่วี ่างของแผน่ สีอย่คู รบถ้วน

วงจรสี 12 สี สีวรรณะรอ้ นและสวี รรณะเยน็

ภาพที่ 5.2 วงจรสี 12 สแี ละวรรณะของสี

46

ภาพท่ี 5.3 การไล่คา่ นา้ หนักของสีในงานจิตรกรรมของพลุตม์ มารอด
ที่มา : พลตุ ม์ มารอด (2559:14)

คู่สแี ละสีข้างเคียง
คสู่ ี (Complementary Colors) หมายถึง สีทอ่ี ยตู่ รงกนั ข้ามกันในวงจรสธี รรมชาติ จึงเป็นคสู่ กี ัน

ถ้านามาวางเคียงกนั จะให้พลังความสดใสหรือใหค้ วามจัดของสีซงึ่ กันและกนั อยา่ งรุนแรงเรยี กว่าตัดกันหรอื
ขดั แย้งกันอยา่ งมาก บางทีเราก็เรียกคสู่ ีนว้ี ่าเป็นสตี ัดกันอย่างแท้จรงิ (True Contrast) คสู่ ีนถี้ ้านามาผสม
กันจะไดส้ กี ลางก็คือไดส้ ีเทาเกอื บดา แต่ถ้าเรานาสีใดสีหนึ่งมาทาใหเ้ จอื จางหรือหม่นลงลดความจดั ของสี
ลงบ้างเลก็ น้อย ความขดั แย้งกนั อยา่ งรุนแรงก็จะลดลง การใช้สีกลางจากการผสมกนั ของค่สู ีสามารถใชใ้ น
สว่ นท่ีไมต่ ้องการใหเ้ ปน็ สีดาสนทิ ได้

สีคู่ตรงขา้ ม ได้แก่ สีแดงกบั สเี ขียว สนี ้าเงินกบั สสี ้ม สเี หลืองกบั สีมว่ ง เปน็ ต้น และคู่สีเหล่านี้
เองทนี่ ามาผสมกันแลว้ ไดส้ กี ลาง

สีข้างเคียง (Analogous Colors) หมายถึง สที ี่อยู่เคยี งกนั ในวงจรสี เช่น เหลืองกับเหลอื ส้ม
สที ี่อยู่เคียงกนั จะเรียกวา่ เป็นสีกลมกลืนกนั ถา้ ย่งิ อยใู่ นตาแหน่งทีห่ า่ งกนั ออกไปมากเทา่ ไร ความกลมกลนื
กนั ของสีก็จะลดนอ้ ยลงเทา่ น้นั กระท่ังหา่ งกันจนเปน็ สีตรงกันขา้ มก็จะไม่มคี วามกลมกลืนกันเลยมแี ตเ่ พยี ง
การตัดกันหรอื ขัดแย้งกันที่เพม่ิ มากขึน้ น้ีเราเรยี กว่า ความคมชดั พร้อมกนั (Simultaneous Contrast)
ชลูด น่ิมเสมอ (2553:79) อธบิ ายถงึ อทิ ธิพลของสตี ดั กนั พร้อมกันไว้อยา่ งนา่ สนใจวา่ สีเหล่าน้ถี า้ นามา
เคียงกัน สตี รงขา้ มของแตล่ ะสีจะทอรงั สเี ข้าไปเจืออกี สหี นึ่ง ทาใหส้ นี ั้นดูเปล่ยี นไป เช่น เมือ่ นาสเี หลืองกบั
สีแดงมาเคียงกัน สีเหลืองจะดเู ป็นสเี หลอื งเขยี วขึน้ และสีแดงก็จะดเู ปน็ สีแดงม่วง

47

ภาพท่ี 5.4 การใชส้ ีคู่ตรงข้ามในงานจิตรกรรมของคมกรชิ สวสั ดิรมย์
ทม่ี า : อลิชา วงศรเี ทพ (2559)

ภาพท่ี 5.4 จติ รกรรมชอื่ หว้ งแหง่ ความทุกข์ ผลงานของคมกรชิ สวสั ดิรมย์ เป็นงานแนวลาย
ไทยร่วมสมยั เทคนิคจิตรกรรมสอี ะครลิ กิ ขนาดงาน 250 x 140 เซนติเมตร ปี 2560 ใช้สแี ดงและเขียว
ซ่งึ เปน็ สคี ู่ตรงข้าม และทาให้สหี มน่ ลงโดยใชส้ คี ตู่ รงขา้ มผสมกัน

ภาพที่ 5.5 ผลงานจิตรกรรมของพลุตม์ มารอด ใช้สีวรรณะร้อนเปน็ สีสว่ นรวม คอื ใชส้ แี ดง และ
ใช้สเี ขียวซงึ่ เปน็ สคี ตู่ รงขา้ มอยา่ งแทจ้ รงิ เปน็ สีรอง ทีว่ ่างเป็นสหี ม่นมืดขบั ใหส้ ีแดงดูยง่ิ เดน่ ขึน้ แสดงถงึ
แนวความคดิ ในการแสดงออกถึงราคะทผี่ ิดศีลธรรมเปรยี บเสมือนความรสู้ กึ ท่อี ยใู่ นนรกอเวจี

ภาพท่ี 5.5 การใช้สีแดงกับสเี ขยี วในงานจิตรกรรมของพลุตม์ มารอด
ท่มี า : พลุตม์ มารอด (2559:8)

48

ก. การใชส้ ีคู่ตรงขา้ ม สเี หลืองกบั สมี ่วง ข. การใชส้ ขี ้างเคียง เขยี ว เหลือง

ภาพที่ 5.6 ผลงานจติ รกรรมของสุดรกั คงพว่ ง

ท่ีมา : ธวัชชัย สมคง (บรรณาธิการ) (2016:62-63)

ภาพที่ 5.6 ผลงานจติ รกรรมของสดุ รัก คงพว่ ง ศิลปะแนว Surrealism-naive แสดงที่แกลเลอรี่
The Loft Art Studio and Gallery ทร่ี ัฐแคริฟอเนียร์ ประเทศสหรัฐอเมรกิ า ภาพ ก ใชส้ คี ตู่ รงข้ามคือสี
ม่วงกับสีเหลือง ส่วนภาพ ข ใช้สีขา้ งเคียงคือสเี หลอื ง สเี ขยี วเหลือง และสีเขียว ศลิ ปนิ ใช้สมี ่วงเพื่อเพมิ่
ความมชี วี ติ ชีวาในภาพใหภ้ าพมีความขัดแยง้ ของสีบา้ งเล็กนอ้ ย

วงศว์ านแหง่ ดวงจันทร์ พ.ศ. 2555 ในทุง่ ดวงจนั ทร์ 4 พ.ศ.2556 ในทุง่ ดวงจันทร์ 3
ภาพท่ี 5.7 การใช้สวี รรณะรอ้ นในงานจิตรกรรมของเนียม มะวรคนอง

ท่ีมา : ธวัชชยั สมคง. (2559:52-54)

ภาพที่ 5.7 ผลงานจิตรกรรมเทคนคิ สีอะคริลกิ ของ เนยี ม มะวรคนอง แนวความคิดในการ
สรา้ งสรรคค์ อื ความสงบนงิ่ เหมอื นตกอยใู่ นภวงั ค์หลงั จากมองภาพเหลา่ นี้ คงเทยี บเคียงไดก้ ับเวลาทเี่ รานงั่
มองดวงจันทร์กลมโตทีล่ อยสว่างกลางทอ้ งฟ้า ภาพเหล่านี้แสดงในนทิ รรศการชือ่ ความตายมาเลยี ดวง
จันทร์ ทห่ี อศิลป์จามจรุ ี เมอ่ื วนั ที่ 6-22 ธันวาคม 2556

49

จิตวิทยาของสี
สีมอี ทิ ธิพลต่อความรู้สกึ ของมนุษยเ์ ป็นอย่างยงิ่ สังเกตได้จากหลาย ๆ เหตกุ ารณ์ เชน่ การเลือก

สีของเส้ือผ้าอาภรณ์ตอ้ งกระทาอย่างประณีต หาสิง่ ท่ีเขา้ กนั ไดท้ ้ังสแี ละรูปแบบ เราจงึ จะยอมจ่ายเงนิ ซอื้
หามาครอบครองและสวมใสอ่ ย่างภาคภูมใิ จ หรอื การเลือกซ้อื รถยนต์ เรากจ็ ะเลือกสีทีถ่ กู โฉลกกบั วนั เกดิ
ตามความเชอื่ วา่ สนี ัน้ สนี ้มี คี วามหมายเปน็ สญั ลกั ษณแ์ ห่งความสขุ ความโชคดี เปน็ ต้น ศิลปินและนกั
ออกแบบเปน็ ผทู้ ม่ี คี วามเข้าใจ และชานาญในการเลอื กใช้สใี ห้ตรงกบั การส่ือความหมาย ต่อจิตใจ องค์
ความรู้เกี่ยวกับสีลักษณะนีเ้ รียกวา่ จติ วิทยาของการใชส้ ี ในทีน่ ้จี ะอธิบายใน 2 หัวขอ้ หลกั คอื ความรสู้ ึก
ของสี และการใช้สีในเชิงสัญลักษณ์

ความรูส้ ึกของสี องค์ประกอบศิลปห์ รือทศั นธาตุที่สอื่ อารมณ์ความรู้สึกได้ชัดเจนทีส่ ดุ คือสแี ละสี
แต่ละสีสามารถสอื่ สารอารมณค์ วามรูส้ กึ แตกต่างกนั ดังนี้

สีแดง สือ่ ถงึ ความรสู้ กึ ร้อน รนุ แรง กระตุ้น ทา้ ทาย เคลื่อนไหว ตื่นเตน้ เร้าใจ มีพลัง สมบูรณ์
มงั่ คง่ั สาคญั อันตราย และความรัก

สสี ม้ ส่ือถึงความรู้สึกอบอุ่น สดใส มชี วี ติ ชีวา วัยร่นุ คกึ คะนอง ปลดปลอ่ ย เปร้ียว การระวัง
สีเหลือง สื่อถงึ ความรู้สึกแจม่ ใส สดใส ร่าเริง เบิกบาน สดช่ืน ชวี ิตใหม่ สด ใหม่ สุกสวา่ ง การแผ่
กระจาย อานาจบารมี
สีเขียว ส่อื ถึงความรู้สึกสงบ เงยี บ ร่มรนื่ รม่ เยน็ พักผ่อน ผ่อนคลาย ธรรมชาติ ปลอดภัย ปกติ
ความสุข ความสุขุมเยอื กเยน็
สีน้าเงนิ ส่ือถึงความรู้สึกสงบ สุขุม สุภาพ หนักแนน่ เครง่ ขรมึ เอาการเอางาน ละเอียดรอบคอบ
สง่างาม มศี ักดศ์ิ รี สงู ศักด์ิ เปน็ ระเบียบถ่อมตน
สมี ่วง สอื่ ถงึ ความรู้สกึ เร้นลบั มเี สน่ห์ นา่ ตดิ ตาม มอี านาจ มีพลังแฝงอยู่ ความรกั ความเศร้า
ความผิดหวงั ความสูงศักด์ิ
สฟี า้ สอ่ื ถงึ ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่ง กวา้ ง เบา โปรง่ ใส สะอาด ปลอดภัย สว่าง ความเป็น
อิสรเสรีภาพ การช่วยเหลือแบง่ ปนั
สขี าว ส่อื ถึงความรู้สึกในความบริสทุ ธ์ิ สะอาด สดใส เบาบาง ออ่ นโยน เปดิ เผย การเกดิ ความ
รกั ความหวัง ความจรงิ ความเมตตา ความศรัทธา คามดงี าม
สดี า ส่ือถงึ ความร้สู ึกลกึ ลับ มดื สกปรก สน้ิ หวงั จดุ จบ ความตาย อมตะ ชว่ั นิรันดร์ โหดรา้ ย
ความเศรา้ หนกั แน่น เข้มแขง็ อดทน มีพลงั ลกึ ลบั

50

สีชมพู ส่ือถงึ ความรสู้ กึ อบอนุ่ อ่อนโยน นมุ่ นวล ออ่ นหวาน ความรัก ความเอาใจใส่ วยั รุ่น หนมุ่
สาว ความสดใส

สเี ทา สื่อถงึ ความรูส้ ึกเศร้า อาลยั ทอ้ แท้ ความลกึ ลับ หดหู่ ความชรา ความสงบ เงยี บ สภุ าพ
สขุ มุ ถ่อมตน

สที อง สอ่ื ถงึ ความรูส้ ึกหรหู รา โอ่อ่า มีราคา สงู คา่ สง่ิ สาคญั ความเจรญิ รุ่งเรอื ง ความสุข ความ
ม่งั คง่ั ความร่ารวย การแผ่กระจายอานาจ

เฟอร์นิเจอรส์ แี ดง เฟอร์นเิ จอร์สนี ้าเงนิ

ภาพที่ 5.8 ความร้สู ึกของสี

ที่มา : Pinterest (ม.ป.ป.) (ซา้ ย)

ท่ีมา : Deksob.com-Godong (2016) (ขวา)

ภาพท่ี 5.8 การออกแบบเฟอรน์ ิเจอร์สแี ดงรูปทรงกลมใหค้ วามรสู้ กึ น่าต่นื เต้น เมื่อวางอยู่
ทา่ มกลางเนินสูง ๆ ต่า ๆ ของพืน้ สนามหญ้าสเี ขยี ว ผลงานของ Birgitta Weimer ช่ืองาน Body & Soul
in Harmony กบั การออกแบบชุดเฟอรน์ ิเจอร์โซฟาหนังสีนา้ เงนิ ในห้องสีเทาฟา้ ให้ความรูส้ กึ สขุ มุ เยอื กเย็น
การใชส้ ใี นการออกแบบเฟอร์นเิ จอรท์ ั้งสองลกั ษณะใหค้ วามรสู้ กึ แตกตา่ งกันอย่างชดั เจนอนั ขึ้นอยู่กับ
เจตนาในการออกแบบนัน่ เอง

การใชส้ ใี นเชงิ สญั ลักษณ์ การนาสีไปใช้เปน็ สัญลักษณใ์ นโอกาสหรอื เหตุการณ์ต่าง ๆ บง่ บอกได้
ถึงความชาญฉลาดของมนษุ ย์ และยงั บ่งบอกถงึ วัฒนธรรมของแตล่ ะทอ้ งถิ่นอีกดว้ ย เพราะสบี างสเี ป็น
สัญลกั ษณ์ในเชิงบวก ในขณะที่สีเดยี วกนั น้กี ลบั เป็นสญั ลกั ษณใ์ นเชงิ ลบของอีกวฒั นธรรมหน่ึง

51

สีแดง เปน็ สญั ลกั ษณ์ของความรอ้ นแรง เปรยี บดงั ดวงอาทิตย์ เช่น วงกลมสีแดงบนพืน้ ขาวเปน็
ธงชาตขิ องญ่ีปุ่นดินแดนแห่งอาทติ ย์อทุ ยั สแี ดงเปน็ สญั ลักษณ์ของความรักและความปรารถนา เชน่
ดอกกหุ ลาบสีแดงท่ีคนรกั มอบให้กันในวนั วาเลนไทน์ ในงานจราจร สีแดงเปน็ เครอ่ื งหมายแสดงถงึ ความ
อนั ตราย ต้องระวงั ในสมยั โรมนั สีของราชวงศเ์ ปน็ สีแดง สีแดงเปน็ สที ีใ่ ชแ้ สดงความม่ังค่ังอุดมสมบูรณ์
และอานาจของราชวงศ์

สเี หลอื ง เป็นสญั ลักษณ์ของความสดใสเบกิ บาน ดังนั้นโดยมากเราจะใช้ดอกไม้สีเหลอื งในการไป
เยี่ยมผู้ปว่ ย ในอารยธรรมตะวนั ออกใช้สีเหลอื งเป็นสญั ลักษณข์ องความรุ่งเรืองม่ังคง่ั และฐานนั ดรศักด์ิ
จกั รพรรดิของจนี มฉี ลองพระองคเ์ ปน็ สเี หลอื งซงึ่ เปน็ สีประจาตัวกษัตรยิ ์ ในศาสนาพุทธใช้สีเหลอื งเปน็
สญั ลกั ษณ์ของคามเจดิ จรัสแหง่ ปัญญา บางทอ้ งถิ่นในอารยธรรมตะวนั ตกสเี หลืองเป็นสญั ลกั ษณข์ อง
ความเจบ็ ปว่ ย ความริษยา ทรยศ หลอกลวง

สีเขยี ว เปน็ สญั ลกั ษณ์ของความเปน็ มิตรกบั สิง่ แวดลอ้ ม แสดงความเปน็ ธรรมชาติ อนรุ ักษ์
ธรรมชาติ เกษตรกรรม การเพาะปลกู การเกดิ ใหม่ ฤดูใบไม้ผลิ ความงอกงาม ในเครื่องหมายจราจรสี
เขยี วเป็นสญั ลักษณ์แสดงถงึ ความปลอดภยั ในขณะทีท่ างเภสัชกรรมใชส้ ีเขียวเปน็ สญั ลกั ษณถ์ ึงความ
อนั ตราย ยาพิษ สตั วม์ ีพิษ

สีนา้ เงนิ เป็นสญั ลักษณ์แสดงความเปน็ สภุ าพบรุ ษุ สุขมุ หนกั แนน่ ความสูงศกั ดิ์ สีน้าเงนิ เปน็
สญั ลกั ษณข์ องเดก็ ผูช้ าย เมอื่ แรกเกิด นางพยาบาลจะผกู ขอ้ มือทารกชายด้วยแถบสีนา้ เงนิ ในธงชาติไทย
สีนา้ เงินหมายถงึ พระมหากษัตรยิ ์ ในศาสนาครสิ ตเ์ ป็นสีประจาตัวแม่พระ สีนา้ เงนิ ยงั หมายถึงโลก ท่ีเรา
เรยี กกันวา่ โลกสนี า้ เงนิ (Blue Planet) อันเนอ่ื งมาจากโลกเป็นดาวเคราะหท์ ม่ี องเหน็ จากอวกาศเป็นสีนา้
เงนิ สดใสเพราะมพี ื้นที่น้าทกี่ วา้ งใหญ่

สีมว่ ง เปน็ สญั ลักษณ์แสดงถงึ พลงั อานาจ ในสมยั อยี ปิ ตส์ มี ่วงแดงเปน็ สขี องกษตั ริย์ และใชส้ บื
ตอ่ เนื่องมาจนถงึ สมยั โรมนั สมี ว่ งแดงเป็นชุดประจาพระสงั ฆราชเป็นสัญลกั ษณ์ของผศู้ ักดส์ิ ทิ ธิ์ สีม่วงยงั
เปน็ สีแหง่ ความผกู พันกนั ดังเชน่ องคก์ ารลูกเสือโลกกใ็ ชส้ ีมว่ งเปน็ สญั ลักษณ์ขององคก์ ร ถา้ เปน็ สีม่วงออ่ น
จะเปน็ สญั ลกั ษณข์ องความเศรา้ ความผิดหวังจากความรกั

สีฟา้ เปน็ สัญลกั ษณข์ องความเป็นอสิ ระเสรีเหมอื นท้องฟ้าท่ีกว้างใหญ่ ไพศาล เป็นสีประจา
องคก์ ารสหประชาชาติ องคก์ ารอาหารและยา (อย.)ใชส้ ฟี ้าเปน็ สญั ลักษณข์ องการอนรุ ักษ์ส่ิงแวดล้อม
การใชพ้ ลงั งานอย่างสะอาด สีฟา้ เป็นสีแหง่ ความคิดสร้างสรรค์และจนิ ตนาการทไ่ี รข้ อบเขต

52

สขี าว เปน็ สญั ลักษณข์ องความบริสทุ ธ์ดิ ุจดังทารกแรกเกดิ ปราศจากกเิ ลส เป็นอาภรณข์ องผู้
ทรงศลี ความดีงาม ความศรัทธา สีขาวเปน็ สญั ลกั ษณ์ของความรกั และความหวงั ความห่วงใยอาทร
และเสยี สละของบดิ ามารดา ความอ่อนโยนความจริงใจ ในดา้ นลบสขี าวเปน็ สญั ลักษณ์ของความออ่ นแอ
การยอมแพ้ ความวา่ งเปลา่ ไร้จดุ หมาย

สีดา เป็นสัญลักษณข์ องความตาย ความสนิ้ สุดของทกุ ส่งิ ความช่ัวรา้ ย ในคริสต์ศาสนาสีดา
หมายถงึ ซาตาน ความชิงชงั บาป ความลมุ่ หลงมวั เมา ในด้านบวกสีดาเป็นสัญลกั ษณ์ของความอดทน
กลา้ หาญ เขม้ แข็ง เสียสละ และความเปน็ อมตะ

สีชมพู เป็นสญั ลักษณข์ องความรักโดยเฉพาะในวยั หน่มุ สาว เป็นสที ี่แสดงความเอ้อื อาทร
ปลอบประโลม เอาใจใสด่ แู ล ความเปน็ มิตร เปน็ สัญลักษณ์ของเดก็ ผู้หญิง เม่อื แรกเกิด นางพยาบาลจะ
ผูกข้อมอื ทารกหญิงด้วยแถบสีชมพู

สที อง เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรอื งมั่งค่ังทางเศรษฐกจิ สงั คม ความอดุ มสมบรู ณ์ เป็น
สง่ิ แทนความสงู ศกั ด์ิ ศรัทธาสูงสดุ ในงานจิตรกรรมไทย สีกายของพระพุทธเจา้ พระมหากษัตรยิ ์ หรือ
ส่วนประกอบของเคร่อื งทรง เจดียต์ ่าง ๆ จะเป็นสีทอง

สัญลักษณ์ของการใชส้ ีในแตล่ ะวัฒนธรรม แตล่ ะประเทศมคี วามแตกตา่ งกนั ออกไป ดังนัน้ การ
ทางานศลิ ปะทตี่ อ้ งการนาเสนอเรอ่ื งราวทใี่ ช้สีเป็นสอื่ สัญลกั ษณ์ ศลิ ปนิ ควรศกึ ษาใหแ้ นช่ ัดถงึ ความหมาย
ของสนี นั้ ๆ ด้วย ตวั อยา่ งผลงานศิลปะต่อไปนส้ี ่ือความหมายดว้ ยสี

ภาพที่ 5.9 พระมหาเจดยี ช์ เวดากอง ภาพที่ 5.10 ผลงานของ Rebecca Horn

ที่มา : MThai Travel (2013)

ท่มี า : Uta Grosenick & Burkhard Riemschneider (Editor) (2005:155)

53

พระมหาเจดยี ช์ เวดากอง (Shwedagon Pagoda) ที่เมืองยา่ งกุ้ง ประเทศพม่า ใช้ทองคาเปน็
ส่วนประกอบขององคพ์ ระธาตุ อันเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองของพทุ ธศาสนาในผนื แผน่ ดินพมา่

ผลงานศลิ ปะจดั วางของ Rebecca Horn ค.ศ.1944 ช่อื ผลงาน A Journey into the interior
of the body แสดงในนทิ รรศการศลิ ปะทเี่ มือง Michelstadt ประเทศเยอรมนั มองภาพรวมเป็นใบหน้า
ของมนษุ ย์ ถว้ ยไวนใ์ ส่เลือดสแี ดงสองใบเปน็ ดวงตา จมกู เป็นปืนสองกระบอก ปากเปน็ แถบเลือด แสงท่ี
ส่องสว่างทฉ่ี ากหลงั แสดงถึงใบหน้าซดี ๆ สแี ดงในผลงานศิลปะชดุ นี้เป็นสญั ลกั ษณข์ องความโหดรา้ ยของ
มนษุ ย์ที่กระทาต่อมนษุ ยด์ ้วยกนั ดว้ ยความโหดร้าย นา่ เศรา้ ใจ

บทสรปุ
สี คือ คลน่ื ของแสงทีม่ ากระทบตามนุษย์แล้วทาให้เหน็ เปน็ สีต่าง ๆ ได้ ในทางศิลปะ หมายถึงสี

วัตถธุ าตุ สีมีคณุ ลักษณะ 3 ประการคือความเปน็ สี น้าหนักของสแี ละความจัดของสี วงจรสีหมายถึง วงสี
ธรรมชาตมิ ี 12 สี เปน็ วงจรสีท่ีมคี วามสมดลุ กันระหวา่ งสีรอ้ นและสีเย็น ประกอบดว้ ย แม่สี สีขนั้ ที่ 2 สี
ข้ันท่ี 3 และสีกลาง ในวงจรสจี ะมีคู่สซี งึ่ หมายถึงสที ่อี ย่ตู รงกันข้ามกนั ในวงจรสธี รรมชาติ ถา้ นามาวาง
เคียงกนั จะใหพ้ ลังท่ีขัดแยง้ กนั อย่างมาก ถา้ จะลดความขัดแยง้ กนั ต้องนาสีใดสหี น่ึงมาทาใหเ้ จอื จางหรือ
หมน่ ลง สว่ นสขี า้ งเคยี ง หมายถงึ สที ีอ่ ยเู่ คยี งกันในวงจรสี ซึง่ จะเปน็ สีทก่ี ลมกลนื กนั สีมีอิทธพิ ลตอ่
ความร้สู ึกของมนษุ ย์ ดังนนั้ ผสู้ รา้ งสรรคง์ านศลิ ปะหรอื งานออกแบบควรศกึ ษาเรอ่ื งจติ วิทยาของสีให้เข้าใจ
เพือ่ จะไดส้ ่อื ความหมายได้ถกู ต้อง

แบบฝกึ หัดทา้ ยบท
1. จงอธบิ ายความหมายและคุณลักษณะของสี
2. จงวาดและระบายสีรปู วงจรสีและแบง่ วรรณะของสีให้เห็นชัดเจน
3. จงยกตัวอยา่ งการใชจ้ ิตวิทยาของสีในชีวติ ประจาวนั 2 เหตุการณ์
4. จงทดลองสร้างคสู่ แี ละสขี า้ งเคยี ง การลดคา่ นา้ หนักของสีดว้ ยสีขาว สดี า และคสู่ ี ของ

สีแดง สีน้าเงนิ และเขียว
5. จงจัดวางองค์ประกอบของแถบสีที่ทดลองน้ันให้มจี ดุ เด่นของภาพ ปฏิบตั ใิ นกระดาษ 100

ปอนด์ ขนาด A4 ด้วยสโี ปสเตอร์
6. จงสร้างสรรคง์ านศลิ ปะโดยใชส้ ีคตู่ รงขา้ มบนกระดาษ 100 ปอนด์ ขนาด A4 ดว้ ยสีโปสเตอร์

54

เอกสารอ้างอิงประจาบท
ชลูด นม่ิ เสมอ. (2553) องค์ประกอบของศลิ ป์. พมิ พค์ รงั้ ที่ 7 กรงุ เทพมหานคร : อมรินทร์.
ธวชั ชัย สมคง. (2559) Fine Art. 13(125) กรกฎาคม-กนั ยายน. หน้า .
พลุตม์ มารอด. (2559) สจู บิ ัตรการแสดงนทิ รรศการศลิ ปะ The Secret of Devil. ณ ศุภโชคเดอะ

อารต์ เซนเตอร์ 19 มีนาคม-24 เมษายน.
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2546) พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542. กรุงเทพมหานคร :

นานมีบ๊คุ สพ์ บั ลเิ คช่นั .
อลิชา วงศรีเทพ. (2559) จติ รกรรม. [ออนไลน์] สืบคน้ ได้จาก http://xdeejung.blogspot.com/

2016/11/10516_94.html เมื่อ 14 สงิ หาคม 2559.
Deksob.com-Godong (2016) Sofa Design. [ออนไลน์] สบื คน้ ไดจ้ าก http://deksob.com/

Interior-picture/creative-blue-leather-sofa-set-interior-design-for-home-remodeling-
fantastical-under-blue-leather-sofa-set-home-interior/ เม่ือ 12 กรกฎาคม 2559.
MThai Travel. (2013) เที่ยวมหาเจดยี ช์ เวดากอง มหาบูชาสถานของประเทศพมา่ . [ออนไลน์]
สืบค้นได้จาก https://travel.mthai.com/world-travel/71906.html เม่ือ 12 กรกฎาคม
2558.
Pinterest. (ม.ป.ป.) Slow Ottawa On. [ออนไลน์] สบื คน้ ได้จาก https://www.pinterest.com/
pin/311874342923771699/html เม่ือ 14 สิงหาคม 2558.
Uta Grosenick and Burkhard Riemschneider. (Editor) (2005) Women Artists in the20th
and 21st Century. Singapore : TASCHEN.

บทที่ 6
การใช้สี

เนอ้ื หาประจาบท
1. การใช้สกี ลมกลืน
2. การใชส้ ตี ัดกนั
3. การใช้สเี ล่ือมพราย

วตั ถปุ ระสงคป์ ระจาบท
1. เพ่อื ให้ผ้เู รยี นสามารถอธบิ ายความหมายและวิธกี ารใช้สกี ลมกลนื สตี ดั กัน และสีเลอ่ื มพรายได้
2. เพอื่ ให้ผเู้ รยี นสามารถสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะโดยใช้สีกลมกลืน สีตัดกนั และสีเลื่อมพรายได้

ความนา
การใชส้ ีมอี ยู่ 2 วธิ ีใหญ่ ๆ คอื การใช้สีกลมกลนื กบั การใช้สตี ัดกัน ซ่ึงถ้าหากใชส้ กี ลมกลนื เพยี ง

อยา่ งเดียว ภาพกจ็ ะเกิดความจืดชดื ไม่มีชวี ติ ชีวา แตห่ ากใชส้ ีตัดกนั เพยี งอยา่ งเดยี วภาพกจ็ ะดขู ดั ตาไม่
สบายใจ ขาดความงามดว้ ยกนั ท้งั สองแบบ ดงั นั้น การใชส้ กี ลมกลืนและสีตัดกนั อยา่ งมหี ลกั การที่จะได้
เรียนรู้ในบทเรยี นนจี้ ะทาใหผ้ ู้เรียนเขา้ ใจวธิ กี ารใชส้ ีมากยิง่ ขึน้ การใชส้ ตี ัดกนั ทีเ่ ปน็ เทคนคิ พิเศษทศี่ ลิ ปนิ
ลัทธปิ ระทบั ใจใหมไ่ ดค้ น้ พบในปลายศตวรรษท่ี 18 เรียกวา่ การผสานจดุ สหี รอื ลกั ษณะแบบการใช้สี
เล่อื มพรายก็เป็นการใชส้ อี กี เทคนิคหน่งึ ทน่ี า่ สนใจทดลองปฏิบัติตาม เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจท่ีลึกซ้งึ ยง่ิ ข้ึน

การใช้สีกลมกลนื
ความหมายของสกี ลมกลนื
สกี ลมกลืน หมายถึง สีข้างเคียงกนั ในวงจรสี เปน็ สีทมี่ คี า่ ความจดั ไมต่ ่างกนั มาเหมือนคูส่ ี สี

กลมกลืนอาจเปน็ สีเดียวแต่มหี ลายค่าน้าหนัก หรอื หลายสีแต่มีค่าน้าหนักหรือความจดั ของสีไลก่ ันไปจาก
เขม้ ไปออ่ นหรอื ออ่ นไปเข้มก็ได้

56

วธิ กี ารใชส้ กี ลมกลนื
1. สีเองรงค์ (Monochrome) ได้แก่ การใช้สสี ีเดยี วทีม่ คี ้าหนักออ่ นแก่หลายลาดบั เปน็ การใช้
สกี ลมกลืนแบบสเี ดียว เชน่ การใชส้ ีแดงโดยการผสมสขี าว และผสมสดี า ทาให้สแี ดงมีคา่ น้าหนกั ออ่ นแก่
หลายลาดบั ขน้ึ อยกู่ บั ส่วนทีผ่ สมลงไป
2. สพี หรุ งค์ (Polychrome) ได้แก่ การใช้สหี ลายสีในวงจรสี ซง่ึ เปน็ สขี ้างเคียง เปน็ การใชส้ ี
กลมกลืนแบบ 2 สี หรือ 3 สี 4 สี 5 สี กไ็ ด้

สีเอกรงค์ สพี หุรงค์

ภาพที่ 6.1 การใช้สีกลมกลืน

ผลงานของ Mark Tansey ผลงานของ Mark Tansey ผลงานของประเทือง เอมเจริญ
ภาพที่ 6.2 งานศิลปะที่ใชส้ ีเอกรงค์

ทมี่ า : Blue Horizon Prints. (2016) (ซา้ ย)
ทมี่ า : Gagosian. (ม.ป.ป.) (กลาง)
ทม่ี า : Celeb Online. (2555) (ขวา)

ภาพที่ 6.2 เป็นตัวอย่างศลิ ปะทใี่ ชส้ เี อกรงค์ในการดาเนนิ เรื่องราวและอารมณ์ความรสู้ กึ ของ
ศลิ ปนิ การใชส้ ีสีเดียวสามารถทาให้เกดิ ความกลมกลนื ได้งา่ ย แตก่ ต็ ้องมีเทคนคิ ในการทาใหเ้ กิดคา่
น้าหนกั ของสีอ่อนแก่ทีแ่ ตกตา่ งกันและวางจงั หวะของคา่ น้าหนักนั้น ๆ ใหเ้ หมาะสมจึงจะส่อื ความหมายท่ี
ต้องการได้ ภาพท่ี 6.3 เป็นตวั อย่างงานศลิ ปะท่ีใชส้ พี หรุ งค์ในการสร้างสรรค์ของประเทอื ง เอมเจริญ

57

ภาพที่ 6.3 จติ รกรรมสีพหุงรงคข์ องประเทือง เอมเจรญิ
ทม่ี า : Celeb Online. (2555)

การใชส้ ีตัดกัน
ความหมายของสตี ัดกัน
สีตดั กนั หมายถงึ สีท่ีอยตู่ รงขา้ มกนั ในวงจรสี และสีทีม่ ีคา่ ความเขม้ ขม่ กนั
สที ีอ่ ยูต่ รงขา้ มกันในวงจรสี เรียกว่า สีตดั กันอย่างแทจ้ รงิ หรอื สีคตู่ รงขา้ ม สคี ตู่ รงขา้ มของแมส่ ี

มี 3 คู่ ได้แก่ สแี ดงกับสเี ขยี ว สเี หลอื งกับสีม่วง สนี ้าเงินกบั สีส้ม สคี ตู่ รงข้ามของสีข้นั ที่ 3 ได้แก่ สสี ้ม
แดงกับสีน้าเงินเขียว สสี ้มเหลอื งกบั สีน้าเงินมว่ ง สมี ่วงนา้ เงนิ กับสีเหลืองเขยี ว สีมว่ งแดงกับสีเหลอื งเขยี ว
เป็นต้น

สที ่ีมีค่าความเขม้ ขม่ กัน เรยี กว่า สที ตี่ ดั กันโดยนา้ หนกั หมายถงึ สีเข้มตดั กับสีออ่ น เช่น สีแดงกับ
สีเหลอื ง สเี หลืองกบั สีดา สดี ากบั สขี าว สนี า้ เงนิ กับสเี หลอื ง สีม่วงนา้ เงนิ กับสสี ้มเหลอื ง เป็นต้น

วธิ กี ารใชส้ ีตดั กนั
1. การหลีกเล่ียงการใชส้ ตี ดั กนั ในอตั ราสว่ นเท่ากนั เชน่ สีแดงครึง่ หน่งึ และสเี ขยี วอีกครึง่ หน่งึ
2. การนาสีอนื่ มาคั่นไว้ เช่น การใช้สแี ดงกบั สเี ขยี ว ควรใชส้ ขี าวหรอื สีดา หรอื สอี ื่นขัน้ กลาง
ไว้ เปน็ การลดการตดั กนั หรอื ขัดแยงกนั อยา่ งรนุ แรง
3. การใชส้ ตี ัดกนั โดยมพี น้ื ทข่ี องสหี น่งึ มากอีกสีหน่งึ นอ้ ย ในอัตราสว่ นประมาณ 80%ต่อ20 %
หรอื 70% ตอ่ 30 % เช่น ใชส้ แี ดง 80% สเี ขียว 20% ใช้สีน้าเงนิ 70% สสี ม้ 30% เป็นต้น

58

4. การผสมสอี ่ืน ๆ ลงไป (ทไ่ี ม่ใช่สขี าวกบั สีดา) โดยผสมลงไปในสใี ดสหี นงึ่ หรอื ทัง้ สองสี เพอื่ ลด
คา่ ความจัดของสีใดสหี นงึ่ หรือท้งั สองสี เชน่ ผสมสีเหลอื งลงไปในสแี ดง เป็นตน้

5. การผสมสตี รงข้ามลงไป โดยผสมลงไปในสที ้ังสองสี หรือถ้าตอ้ งใชส้ ีตดั กนั ในอตั ราสว่ น
เท่ากัน ควรผสมแต่ละสีดว้ ยคสู่ ตี รงขา้ มของสีนนั้ เล็กน้อยเพ่อื ทาใหส้ ีท้งั คคู่ ล้าลง

6. การผสมสขี าวหรือดาลงไป เชน่ การใชส้ ีดาผสมลงไปในสีเขยี วและผสมสขี าวลงไปในสีแดง
เพอื่ ลดความจดั ของสีหรอื ลดค่านา้ หนักของสลี งทง้ั สองสี เป็นตน้

7. การใชส้ ีวรรณะร้อนและวรรณะเยน็ โดยใช้สีในวรรณะใดวรรณะหนง่ึ ในพ้ืนทท่ี มี่ ากกวา่ เพอ่ื ให้
เกดิ สสี ่วนรวมของภาพเปน็ สีในวรรณะนั้น เชน่ ใช้สใี นวรรณะรอ้ น 80% และวรรณะเยน็ 20% ทาใหส้ ี
สว่ นรวมของภาพเป็นภาพสีวรรณะร้อน เปน็ ต้น ตวั อย่างตารางสี ภาพ 1-6 (ภาพที่ 6.4 การใชส้ ีตัดกนั )

12 3

4 56
ภาพท่ี 6.4 การใชส้ ตี ดั กัน

ภาพท่ี 6.5 จติ รกรรมการใชว้ รรณะของสี ของ Kunstsammlung
ทีม่ า : Paul Klee Stiftung, Kunstmuseum Bern. (1967 : ซา้ ย : 73, ขวา : 63)

59

ตวั อยา่ งภาพท่ี 6.5 ซา้ ยเปน็ จิตรกรรมสนี ้ามนั บนกระดาษแขง็ เป็นผลงานของ Kunstsammlung,
Basel ชอ่ื ภาพ Ancient Sound Abstract on Black เมือ่ ปี ค.ศ.1925 ใช้สวี รรณะเย็นผสมกับสี
วรรณะร้อน โดยใช้สใี นวรรณะเย็นโทนเขียวเป็นสสี ่วนรวมของภาพ

ตัวอยา่ งภาพท่ี 6.5 ขวาเปน็ ผลงานจติ รกรรม งานสะสมของ Dr.J.Steegmann, Cologne ปีค.ศ.
1921 ช่ือภาพ City Picture with Red and Green Acents ใชส้ วี รรณะรอ้ นผสมกบั สีวรรณะเย็น
แสดงการตดั กนั ของคา่ น้าหนกั มากและนอ้ ยเกิดความมืดและสว่างตดั กนั ชัดเจน

ในกรณขี องการนาสตี รงข้ามสองสีมาวางเคียงกนั สองสจี ะส่งผลต่อคู่สีอกี สีหน่งึ เราจะเห็นว่า สี
เขยี วทีอ่ ยู่บนสแี ดงจะดมู ขี นาดใหญ่กว่าสแี ดงทอ่ี ยู่บนสีเขยี ว ทงั้ สองสตี ่างหักลา้ งคา่ ความเขม้ ของสีซึง่ กัน
และกัน จะทาใหส้ ดี ไู ม่สดใสเทา่ ท่ีควร ปรากฏการณอ์ กี อย่างหนึ่งของสตี รงขา้ ม คอื ภาพตดิ ตา (After
Image) โดยการจอ้ งมองสใี ดสีหน่งึ ท่สี ดจดั ในทีม่ ีแสงสวา่ งจา้ สกั ครหู่ น่ึง จากน้นั ไปจ้องมองท่ีกระดาษสี
จาว จะปรากฏสตี รงข้ามของสนี น้ั ๆ ขน้ึ ทก่ี ระดาษสีขาว ซ่งึ เกดิ ขน้ึ อันเนอ่ื งมาจากอิทธพิ ลความแรงของสี
ภาพติดตาอีกลักษณะหนึง่ คอื สขี าวกบั สีดา รูปสดี าบนพน้ื สขี าวจะดเู ลก็ กวา่ รูปสีขาวบนพืน้ สดี า

ภาพท่ี 6.6 ภาพตดิ ตา

การใช้สีเลื่อมพราย
ความหมายของสเี ล่ือมพราย
สเี ลอ่ื มพรายหมายถงึ การผสานสหี รอื ผสมสใี นดวงตาด้วยการมอง กระทาได้โดยหากต้องการ

เขียวในพน้ื ทหี่ นงึ่ ของภาพก็ให้ใช้สีทเี่ ปน็ ส่วนผสมของสเี ขยี วคือ สีนา้ เงนิ กบั สเี หลือง จุดหรือแต้มลงไปใน
พนื้ ท่นี ัน้ เมอื่ มองดภู าพจะเหน็ บริเวณดงั กล่าวเปน็ สีเขียว ทเ่ี หน็ เปน็ สีเขยี วเพราะเกิดการผสานสกี ันใน
ดวงตา แต่ถา้ หากนาสตี รงขา้ มของสีเขียว คือ สแี ดง ไปจุดรวมกบั สีน้าเงินและเหลอื ง จะทาใหเ้ กิด
ความเคล่อื นไหวของสี เห็นเป็นสีระยบิ ระยบั หรอื สเี ล่ือมพราย

วิธีการใชส้ เี ลอื่ มพราย
สเี ล่อื มพรายเป็นการผสานสีกนั ในดวงตาซึ่งวธิ ีทที่ าใหเ้ กดิ การผสานกันนเี้ ป็นเทคนคิ การทางาน
จิตรกรรมทใี่ ช้จุดเล็ก ๆ สตี า่ ง ๆ จดุ ลงบนพนื้ ระนาบ สร้างเป็นภาพ ผชู้ มจะเขา้ ใจและช่ืนชมผลงานได้
เพยี งใดขึน้ อยกู่ ับความสามารถในการรบั รู้ (Perceptive ability) ของตาและความคดิ (mind) ของผ้ชู มใน

60
การผสานจดุ สใี ห้เปน็ กลมุ่ สี การสรา้ งสรรค์สเี ลอ่ื มพรายลักษณะน้ีเปน็ แบบเดียวกบั ลทั ธิผสานจุดสี ซึง่
ราชบณั ฑติ ยสถาน (2530:141) กลา่ วถึง ลทั ธิผสานจดุ สี (Pointillism) วา่ หมายถงึ ศลิ ปะลทั ธิหนึ่งเกดิ ขึ้น
ในฝร่งั เศสซึง่ พัฒนามาจากลทั ธปิ ระทบั ใจ (impressionism) ใชห้ ลกั การผสานสีทางตา (optical
mixture) หรอื การฆา่ สี (ลดความจัดของส)ี โดยวธิ ีแตม้ สเี ป็นจดุ เล็ก ๆ (ไมใ่ ช้วิธปี า้ ยสีเป็นเสน้ ดังภาพเขียน
ทวั่ ไปของลัทธปิ ระทับใจ) รูปทรงตา่ ง ๆ ในภาพเขยี นลัทธผิ สานจดุ สี จะปรากฏข้นึ ต่อเมอ่ื มองดูใน
ระยะห่างพอสมควร โดยนยั น์ตาผ้ดู จู ะผสานจุดสีตา่ ง ๆ ทาให้มองเหน็ เปน็ มวล และเปน็ เส้นรอบนอก
ของสง่ิ ตา่ ง ๆ ได้ ลัทธนิ เี้ รยี กไดอ้ กี อยา่ งหนึง่ วา่ ลทั ธิประทบั ใจใหม่ (neo-impressionism) ผ้คู น้ คิดและ
ผสู้ ร้างแบบอยา่ งศลิ ปะลัทธผิ สานจุดสไี ด้ดที ส่ี ดุ คือ ชอรช์ เซอรา และผูน้ าอกี คนหน่งึ ของศลิ ปะลทั ธิน้ี
ได้แก่ ปอล ซญี ัก

กลา่ วโดยสรุป การทาใหเ้ กดิ สเี ล่อื มพราย คือ การจดุ สขี นาดเล็ก ๆ หลาย ๆ จุด ท่ัวพืน้ ภาพ ด้วย
สีหลายสี หลกั สาคัญคอื การใช้คสู่ แี ละสีขา้ งเคยี งในวงจรสีนามาวางเคยี งกัน ทาใหผ้ ู้ชมเกดิ การผสานสีข้นึ ใน
ดวงตา เหน็ เป็นภาพทีศ่ ิลปนิ ตอ้ งการจะส่อื สาร ซ่งึ ต่างจากการระบายสีท่วั ไปโดยผสมสใี ห้เสรจ็ เรียบรอ้ ย
ในจานสแี ล้วระบาย เชน่ ตอ้ งการสีเขียวกผ็ สมสีนา้ เงนิ กบั สีเหลืองในจานสแี ลว้ แตม้ ขึน้ มาระบาย ตวั อยา่ ง
ตอ่ ไปนเี้ ป็นภาพเขยี นของลทั ธปิ ระทบั ใจใหม่ (Neo-Impressionism) ภาพที่ 6.7 ซา้ ย ผลงานจิตรกรรม
บนผ้าใบของ Georges-Pierre Seurat ช่อื ภาพ A Sunday Afternoon on the Island of La Grande
Jatte ปคี .ศ. 1884-1886 ใช้เวลาวาด 2 ปี เปน็ ภาพทม่ี ีชอ่ื เสยี งมาก ศลิ ปินใช้องค์ประกอบของจุดเลก็ ๆ
ทีใ่ ช้สีตัดกันอยา่ งแท้จรงิ เช่น เขียวกับแดง ในการสร้างผลงาน และภาพท่ี 6.7 ขวา ชอ่ื ภาพ Models
ปคี .ศ.1886-1888 ใชเ้ วลา 2 ปี เชน่ กัน

ภาพที่ 6.7 การเขยี นสเี ลื่อมพรายในจิตรกรรมของ Georges-Pierre Seurat
ทม่ี า : Sam Atkinson (Editor) (2013:292) (ซา้ ย)
ท่ีมา : Farthing, Stephen (Editor) (2010:330) (ขวา)

61

ภาพท่ี 6.8 การเขยี นสีเลอ่ื มพรายในจิตรกรรมของ Paul Signac
ชื่อภาพ The Tugboat, Canal in Samois

ทมี่ า : Wikimedia Commons (ม.ป.ป.)

บทสรปุ

สีเป็นองคป์ ระกอบศลิ ป์หรือทัศนธาตุทีส่ ่ือความหมายของอารมณค์ วามรูส้ ึกมากทสี่ ุด ดงั นั้นหาก

ผ้สู ร้างสรรคร์ ู้จกั การใชส้ ใี ห้ถกู ต้องมีหลักการ ด้วยความเขา้ ใจอย่างลึกซึง้ ยอ่ มทาให้การสรา้ งสรรคง์ าน

ศลิ ปะเกดิ คุณค่าทางสนุ ทรยี ภาพสงู ขึน้ ด้วย การใชส้ มี ีหลักการ 2 ประการ คือการใชส้ กี ลมกลนื และการ

ใชส้ ีตดั กัน ภาพจะมชี ีวติ ชวี าน่าตนื่ เต้นมากกวา่ หากใช้ทัง้ สกี ลมกลนื และสตี ดั กันผสมผสานกนั ดว้ ย

อตั ราสว่ น 80:20 หรอื 70:30 และการลดความจัดของสีลง (ภาษาโบราณเรียกวา่ ฆ่าส)ี เปน็ ต้น สว่ นการ

ใชส้ ีเลือ่ มพรายตามแบบอย่างลทั ธปิ ระทบั ใจใหม่ ด้วยการใช้สตี ัดกันใหผ้ สานสีกันในการมองโดยการจดุ สี

เลก็ ๆ สีตา่ ง ๆ ที่เป็นคสู่ แี ละสขี า้ งเคียงก็จะสร้างความนา่ ประทับใจได้อกี แบบหนง่ึ ดว้ ย

แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
1. จงอธบิ ายความหมายของสีกลมกลนื และวธิ ีการใช้สีกลมกลนื
2. จงอธบิ ายความหมายของสตี ดั กนั และวธิ ีการใช้สตี ดั กัน
3. จงอธบิ ายความหมายของสีเล่อื มพรายและวิธกี ารสร้างสรรค์สีเลอื่ มพราย
4. จงสร้างสรรค์ภาพสตี ัดกัน โดยอาศัยเทคนิคอย่างนอ้ ย 2 แบบ และกาหนดเนื้อหาและเรือ่ งราว

ตามจินตนาการ ในกระดาษ 100 ปอนด์ ขนาด A3
5. จงสร้างสรรค์ภาพ Re product ดว้ ยการลอกรปู จากศลิ ปนิ ลัทธิศิลปะอิมเพรสชัน่ นสิ ม โดยใช้

สโี ปสเตอร์ และเปรยี บเทยี บขนาดตามผลงานของศลิ ปินใหอ้ ยใู่ นกระดาษ 100 ปอนด์ ขนาด A3

62

เอกสารอ้างอิงประจาบท
ราชบณั ฑิตยสถาน. (2530) พจนานุกรมศัพทศ์ ลิ ปะ อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน.

กรุงเทพมหานคร: เพ่ือนพมิ พ.์
Blue Horizon Prints. (2016) Tansey Triumph Over Mastery II. [ออนไลน์] สืบคน้ ได้จาก

https://www.bluehorizonprints.com.au/canvas-art/abstract-contemporary-
art/tansey-triumph-over-mastery-ii/ เมอื่ 14 สิงหาคม 2559.
Celeb Online. (2555) ลูกสาวเล่าถึงพอ่ ประเทือง เอมเจรญิ . [ออนไลน์] สบื ค้นไดจ้ าก
http://www.manager.co.th/Celebonline/ViewNews.aspx?NewsID=
9550000117098 เมอ่ื 14 สงิ หาคม 2558.
Farthing, Stephen. (Editor) (2010) Art the Whole Story. London : Thames&Hudson.
Gagosian. (ม.ป.ป.) Mark Tansey. [ออนไลน์] สบื ค้นไดจ้ าก https://www.gagosian.com/
artists/mark-tansey เม่ือ 14 สงิ หาคม 2559.
Paul Klee Stiftung, Kunstmuseum Bern. (1967) Paul Klee. London : Thames&Hudson.
Sam Atkinson. (Editor) (2013) The Illustrated Story of Art. London : Doring Kinderskey.
Wikimedia Commons. (ม.ป.ป.) Paul Signac. [ออนไลน์] สืบค้นไดจ้ าก https://commons.wiki
media.org/wiki/File:Paul_Signac_-_The_Tugboat,_Canal_in_Samois_-_Google_
Art_Project.jpg เมอื่ 14 สงิ หาคม 2559.

บทที่ 7
น้าหนกั ออ่ นแกข่ องแสงเงา

เนือหาประจ้าบท
1. ความหมายของน้าหนักอ่อนแกข่ องแสงเงา
2. คุณลกั ษณะของนา้ หนกั ออ่ นแก่ของแสงเงา
3. แหล่งก้าเนิดของแสงกบั เงา
4. การสรา้ งสรรคศ์ ิลปะจากนา้ หนกั อ่อนแกข่ องแสงเงา

วัตถปุ ระสงคป์ ระจ้าบท
1. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนสามารถอธบิ ายความหมายและคณุ ลกั ษณะของนา้ หนกั ออ่ นแกข่ องแสงเงาได้
2. เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นสามารถอธบิ ายแหลง่ กา้ เนดิ ของแสงกับเงาได้
3. เพ่ือใหผ้ ู้เรียนสามารถสร้างสรรคง์ านศิลปะจากน้าหนักออ่ นแก่ของแสงเงาได้อยา่ งสวยงาม

ความนา้
แสงกับเงาเป็นองค์ประกอบที่อยคู่ กู่ ันเสมอ ถา้ มแี สงกต็ อ้ งมีเงา เม่อื เห็นเงาโดยเฉพาะเงาที่ตกทอด

ทีพ่ ้ืนเรากจ็ ะมองเหน็ ทิศทางท่ีมาของแสงนนั้ ดว้ ย แสงจัดเงาจัดหรือแสงนอ้ ยเงาจางจะมีความออ่ นแกม่ าก
น้อยเพียงใดเราเรยี กว่า น้าหนกั อ่อนแก่ของแสงเงาซ่ึงในทางศิลปะมีความหมายท่ีเฉพาะลงไป คณุ ลักษณะ
ของน้าหนักออ่ นแกข่ องแสงเงากม็ ีคณุ ค่าทีจ่ ะท้าความร้จู กั และน้ามาประยุกต์ใชไ้ ดด้ ้วย การเรยี นรวู้ ธิ ีการ
สรา้ งสรรคศ์ ิลปะจากนา้ หนักอ่อนแกข่ องแสงเงา 8 ประการ ดังรายละเอียดที่จะปรากฏในบทเรียนน้ี

ความหมายของนา้ หนกั ออ่ นแกข่ องแสงเงา
เม่อื มแี สงมากระทบวตั ถุ เราจะเห็นส่วนท่ีสวา่ งมากทส่ี ดุ บนวัตถุ เงาอ่อน เงามืด เหน็ เงาสะทอ้ น

และเงาตกทอดเปน็ คา่ น้าหนกั ที่สว่างมากถึงมดื ซ่ึงเราเรยี กวา่ น้าหนกั ออ่ นแก่ของแสงเงา (Tone) ซ่ึง ชลดู
นิม่ เสมอ (2553:60) อธิบายวา่ น้าหนกั ในทางศลิ ปะคอื ความอ่อนแก่ของบริเวณท่ถี ูกแสงสว่าง และ
บริเวณที่เป็นเงาของวตั ถหุ รือการระบายสใี หม้ ีผลเป็นความอ่อนความแก่ของสหี นึง่ หรือหลายสี หรอื

64
บรเิ วณท่มี ีสขี าว สเี ทา และสดี า้ ในความเข้มระดบั ต่าง ๆ ในงานชนิ้ หน่ึง นา้ หนักทใ่ี ช้ตามลกั ษณะของแสง
เงาในธรรมชาติจะทา้ ใหเ้ กดิ ปรมิ าตรของรปู ทรง นอกจากจะให้ปรมิ าตร และความแน่นแกร่ ูปทรงแล้ว
น้าหนกั ยังให้ความร้สู กึ และอารมณ์ ด้วยการประสานความอ่อนแก่ในตวั ของมันเองอกี ด้วย ในงาน
นามธรรมเราจะได้รับความรสู้ ึกจากความอ่อนความแก่ของน้าหนักทปี่ ระสานกนั อยู่ในภาพโดยตรง โดยไม่
ต้องผ่านรูปทรงท่ีรไู้ ด้เขา้ ใจไดอ้ ยา่ งใด กลา่ วโดยสรปุ น้าหนักหมายถงึ บริเวณมืดและสวา่ งของภาพ และ
ความออ่ นแกข่ องสเี ทาลา้ ดับตา่ ง ๆ จากดา้ มาขาว
คณุ ลักษณะของน้าหนักอ่อนแกข่ องแสงเงา

แสงสวา่ งและเงามืดท้าใหเ้ กดิ คา่ น้าหนกั ของแสงเงา ซ่ึง ชลดู น่ิมเสมอ (2553:61) กล่าวไว้ว่า
คณุ ลักษณะของนา้ หนัก คอื มคี วามกวา้ ง กับความยาว มีทิศทาง มลี กั ษณะตา่ ง ๆ เช่นเดียวกับเส้น คอื
ยาว สน้ั เปน็ คลื่น ฯลฯ มรี ูปรา่ ง เชน่ กลม เหลย่ี ม อสิ ระ เปน็ ต้น มีความออ่ นแก่เปน็ ล้าดับ และมี
ลักษณะของพืน้ ผวิ ต่าง ๆ กนั ดังภาพท่ี 7.1 ส่วนภาพท่ี 7.2 เป็นตวั อยา่ งของการสร้างระยะในภาพ
ด้วยการใช้คณุ ลักษณะของน้าหนักออ่ นแก่ของแสงเงา

ภาพท่ี 7.1 คณุ ลกั ษณะของนา้ หนกั

ระยะหนา้ แสงสวา่ ง ระยะหลังเงามดื ระยะหนา้ เงามืด ระยะหลังแสงสว่าง
ภาพท่ี 7.2 แสงสวา่ งและเงามืดท้าใหเ้ กิดค่าน้าหนกั ของแสงเงา

ท่ีมา : Pinterest (ม.ป.ป.)

65
แหล่งกา้ เนิดของแสงกบั เงา

แหล่งกา้ เนิดแสงและทศิ ทางของแสงมผี ลตอ่ การเกิดเงา แสงมีทมี่ าจาก 2 แหลง่ คอื แสงทม่ี า
จากแหลง่ กา้ เนดิ โดยตรง กับแสงประดษิ ฐ์จากฝีมือมนษุ ย์

1. แสงท่ีมาจากแหลง่ ก้าเนดิ โดยตรง ไดแ้ ก่ แสงจากดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์หรือดวงดาวอ่นื ๆ
แตท่ ีม่ อี ิทธิพลตอ่ การท้างานศิลปะมากทส่ี ดุ คือแสงจากดวงอาทติ ย์ เมอ่ื แสงสอ่ งถูกวัตถุจะเกดิ เงาที่มขี นาด
เทา่ วตั ถดุ า้ นที่ถกู แสง

ภาพที่ 7.3 แสงเงาจากดวงอาทติ ย์ทะเลพัทยา
ที่มา : ทพิ ย์สคุ นธ์ อทิ ธปิ ระทีป (2559) ถ่ายภาพ

2. แสงประดิษฐ์จากฝมี อื มนษุ ย์ ได้แก่ แสงเทยี น แสงจากหลอดไฟฟ้า ในภาพตัวอยา่ งเป็น
ภาพถา่ ยทแี่ สดงใหเ้ ห็นถึงแสงจากหลอดไฟฟา้ ท่ดี ัดเป็นป้ายช่อื รา้ นหรือบารเ์ หลา้ ในเมอื งพัทยา

ภาพที่ 7.4 แสงเงาจากแสงประดิษฐ์
ท่ีมา : ทิพย์สคุ นธ์ อทิ ธปิ ระทีป (2559) ถ่ายภาพ

66
3. แสงจากแหลง่ อ่ืน ๆ ไดแ้ ก่ แสงที่มาจากการสะท้อนผิววัตถุ จะมีมมุ ของแสงสะทอ้ นเท่ากบั
มุมทแี่ สงตกกระทบผิววตั ถุ (ภาพที่ 7.5) แสงที่สอ่ งผ่านตวั กลาง เชน่ ขวดพลาสตกิ ใสน่ ้าจะเกดิ แสง
สะทอ้ นบนเงา (ภาพท่ี 7.6 ซ้าย) หรืออีกตัวอยา่ ง เชน่ แสงแดดจากดวงอาทิตยท์ ส่ี ่องลงมากระทบกบั
ละอองน้า แลว้ เกิดการหกั เหและการสะท้อนกลับหมดของแสงท้าให้เหน็ รงุ้ กนิ น้า (ภาพที่ 7.6 ขวา)

ภาพท่ี 7.5 แสงทมี่ าจากการสะท้อนผิววัตถุ
ท่ีมา : ทิพยส์ คุ นธ์ อทิ ธปิ ระทปี (2559) ถา่ ยภาพ

ภาพที่ 7.6 แสงท่ีส่องผ่านตวั กลาง
ที่มา : ทพิ ย์สคุ นธ์ อทิ ธิประทีป (2559) ถา่ ยภาพ (ซ้าย)
ทม่ี า : คลงั ความรู้ SciMath (2559) (ขวา)

67

การเกดิ เงานน้ั เราสามารถกล่าวได้ว่า เงาเกิดจากการทแ่ี สงส่องถูกวัตถทุ ึบแสงและไมส่ ามารถสอ่ ง
ผา่ นได้ ลกั ษณะการเกิดเงาในการเขียนภาพสามารถพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ เงาที่เกดิ ข้ึนบนตัววตั ถเุ อง
และเงาท่ีเกดิ ขึ้นบนฉากหรือวัตถุอืน่ ทอ่ี ย่ดู ้านหลังวตั ถนุ ้ัน

1. เงาทเ่ี กิดขน้ึ บนตัววตั ถเุ อง หมายถึง เงาทเ่ี กดิ บนผวิ ของวัตถุดา้ นท่ีไมถ่ กู แสง ท้าใหเ้ ราเห็น
ถึงรูปรา่ งของวัตถุ เงาจะเกดิ ข้นึ มากน้อยข้ึนอยูก่ บั แสงจากรอบวัตถนุ ้ัน ถา้ แสงสอ่ งสวา่ งมากเงาบนตัว
วัตถุก็จะเกดิ ขึ้นนอ้ ย ดภู าพท่ี 7.7

ภาพท่ี 7.7 เงาท่ีเกิดขึ้นบนตวั วตั ถเุ องรปู จรเข้ชายหาดเสม็ด
ท่มี า : ทิพยส์ ุคนธ์ อทิ ธิประทปี (2559) ถ่ายภาพ

2. เงาทีเ่ กดิ ขน้ึ บนฉากหรอื วตั ถุอ่นื ทอี่ ยดู่ า้ นหลังวัตถุ หมายถงึ เงาที่เกดิ ขน้ึ บนผิวของฉากหลงั
และเงาของวัตถุน้ันจะมีสีอะไรขึน้ อยกู่ ับแสงทีส่ ่องมากระทบวตั ถุ ซงึ่ ปกตเิ งาท่เี ป็นสีกลางที่เกิดจากการ
ผสมสขี องวัตถกุ ับสีตรงข้าม ถ้าวตั ถุอยูใ่ กลต้ าและได้รบั แสงมาก วัตถจุ ะมีสีชดั เจน เงากช็ ดั เจน แต่ถ้า
วตั ถุอย่ไู กลออกไป แสงจางลงเงากจ็ ะจางลงด้วย ดูภาพที่ 7.8

เงาท่ีเกดิ ขน้ึ บนฉากในโบสถ์วดั เงาที่เกดิ ข้ึนบนฉากจอหนงั ตะลงุ

ภาพที่ 7.8 เงาทีเ่ กดิ ข้นึ บนฉาก

ที่มา : ทพิ ย์สุคนธ์ อิทธิประทปี (2559) ถ่ายภาพ (ซ้าย)

ที่มา : บา้ นสวนพอเพียง (2559) (ขวา)

68
การสร้างสรรค์ศิลปะจากนา้ หนักอ่อนแกข่ องแสงเงา

ชลูด น่ิมเสมอ (2553:66-67) อธบิ ายถึง เทคนิคการใชน้ ้าหนักอ่อนแกข่ องแสงเงาในการ
สร้างสรรคง์ านศิลปะของศลิ ปินต่าง ๆ ไว้ 7 ประการ

1. การใหแ้ สงเข้าทางดา้ นหน่ึง อีกด้านหน่งึ เปน็ เงา (ภาพที่ 7.9)
2. การใหแ้ สงเข้าตรงหนา้ สว่ นทอ่ี ยู่ใกลจ้ ะมีนา้ หนกั ออ่ น ส่วนทอ่ี ยู่ไกลจะมนี ้าหนกั แก่
3. การให้แสงเกิดขน้ึ จากจดุ กลางของภาพ สว่ นมากจะเปน็ แสงทมี่ าจากการประดษิ ฐ์ของ
มนุษย์ เชน่ แสงเทยี น แสงจากหลอดไฟฟา้ เปน็ ต้น (ภาพที่ 7.10)
4. การให้แสงเกิดข้ึนในจดุ ทีต่ อ้ งการ ส่วนอน่ื จะอยู่ในเงามดื เชน่ การแสดงละครเวที ขณะที่
นกั แสดงคนใดเลน่ อยู่ ผู้ก้ากับแสงจะส่องไฟสว่างไปท่นี ักแสดงผูน้ ี้ โดยท่ีส่วนประกอบอนื่ ๆ เช่น นักแสดง
คนอน่ื ฉากประกอบท่ีไมใ่ ชส่ ่วนที่นกั แสดงผนู้ น้ั ยืนอยู่จะมืด
5. การให้แสงกระจายเลอ่ื นไหลไปทว่ั ทงั้ ภาพ
6. การให้แสงสว่างจ้าไม่มีเงา มีน้าหนกั อ่อนทงั้ รูปและพ้ืน ไมเ่ น้นปริมาตรของรูปทรง แต่เนน้
ความสว่างของแสงและสี เชน่ งานศิลปะของลัทธิความประทับใจ (Impressionism)
7. การให้แสงที่เตน้ ระรกิ กระจายไปทวั่ ภาพ

ภาพท่ี 7.9 การใหแ้ สงเข้าทางดา้ นหนง่ึ อีกด้านหน่ึงเปน็ เงา
ท่ีมา : Fabrizio Corneli website (ม.ป.ป.)

69

ภาพท่ี 7.10 การใช้แสงเงาประกอบกับองค์ประกอบอืน่
ท่มี า : Fabrizio Corneli website (ม.ป.ป.)

บทสรปุ
น้าหนักคือความออ่ นแกข่ องบรเิ วณที่ถูกแสงสวา่ งและบรเิ วณทเี่ ป็นเงาของวัตถุหรอื การระบายสี

ให้มผี ลเป็นความอ่อนความแก่ของสีหน่งึ หรอื หลายสี หรอื บริเวณทีม่ ีสีขาว สีเทา และสีด้า ในความเข้ม
ระดับต่าง ๆ ในงานชิ้นหนงึ่ น้าหนักมีคณุ ลักษณะตา่ ง ๆ เชน่ มีความกว้างกับความยาว มีทศิ ทาง
มรี ปู ร่าง แสงมีทม่ี าจากดวงอาทติ ย์หรอื ธรรมชาติอน่ื ๆ กบั แสงประดษิ ฐจ์ ากฝีมือมนษุ ยซ์ งึ่ เมือ่ เราสังเกต
ความสัมพันธ์ของแสงกับเงาที่ปรากฏขึน้ จริงนี้ สามารถน้ามาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์งานศลิ ปะดว้ ย
เทคนคิ ต่าง ๆ เชน่ การวาดภาพหนุ่ นง่ิ โดยกา้ หนดใหแ้ สงเขา้ ทางดา้ นหน่ึง อกี ดา้ นหนึง่ เป็นเงา การให้แสง
เกิดข้ึนจากจดุ กลางของภาพ การใหแ้ สงเกดิ ข้นึ ในจดุ ท่ีต้องการส่วนอืน่ จะอยใู่ นเงามดื การใหแ้ สงกระจาย
เลอ่ื นไหลไปทว่ั ท้งั ภาพ การให้แสงสวา่ งจ้าไมม่ ีเงา มนี า้ หนักอ่อนทั้งรูปและพื้น ไมเ่ นน้ ปรมิ าตรของ
รูปทรง แต่เน้นความสว่างของแสงและสี การให้แสงท่เี ตน้ ระรกิ กระจายไปทัว่ ภาพ และการใชแ้ สงเงา
ประกอบการแสดงพร้อมกบั องคป์ ระกอบอื่น ๆ

แบบฝึกหัดทา้ ยบท
1. จงอธบิ ายความหมายของน้าหนกั อ่อนแกข่ องแสงเงา
2. จงยกตวั อยา่ งคุณลักษณะของนา้ หนักอ่อนแก่ของแสงเงา
3. จงบอกแหลง่ กา้ เนิดของแสงกับเงา
4. จงสร้างสรรคศ์ ิลปะจากน้าหนกั ออ่ นแก่ของแสงเงา โดยก้าหนดใหม้ ีวตั ถุศิลปะ 3 มิตทิ ่ี

จับตอ้ งได้จริง เปน็ ส่วนประกอบของผลงาน อยา่ งนอ้ ย 1 ชนิ้ (สร้างสรรค์ผลงานภายในพน้ื ท่วี ่าง 1
ตารางเมตร)

70

เอกสารอ้างอิงประจา้ บท
คลังความรู้ SciMath. (2559) การหกั เหของแสง. [ออนไลน์] สบื คน้ ไดจ้ าก http://www.scimath.

org/lesson-physics/item/7282-2017-06-14-13-59-29 เม่อื 16 สงิ หาคม 2558.
ชลูด นม่ิ เสมอ. (2553) องคป์ ระกอบของศิลป์. พิมพค์ รง้ั ท่ี 7 กรุงเทพมหานคร: อมรนิ ทร.์
บา้ นสวนพอเพียง. (2559) หนงั ตะลงุ พนื บ้าน. [ออนไลน์] สบื คน้ ไดจ้ าก http://www.bansuan

porpeang.com/node/10033 เมอ่ื 12 ตลุ าคม 2559.
Fabrizio Corneli website. (ม.ป.ป.) My Modern Met. [ออนไลน์] สืบคน้ ไดจ้ าก htpp://my

modernmet.com/fabrizio-cornelishadow-art/ เมื่อ 15 สิงหาคม 2558.
Pinterest. (ม.ป.ป.) Monochrome. [ออนไลน์] สบื ค้นไดจ้ าก https://www.pinterest.pt/

pin/131097039126598624/ เม่อื 15 สงิ หาคม 2558.

บทท่ี 8
พ้นื ผิว

เนือ้ หาประจาบท
1. ความหมายและที่มาของพนื้ ผวิ
2. การสรา๎ งสรรคศ์ ิลปะจากพน้ื ผวิ

วัตถปุ ระสงคป์ ระจาบท
1. เพือ่ ให๎ผูเ๎ รยี นสามารถอธิบายความหมายและทมี่ าของพื้นผวิ ได๎ถกู ต๎อง
2. เพอ่ื ใหผ๎ ู๎เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายและลักษณะของรปู ทรงไดถ๎ ูกตอ๎ ง
3. เพื่อใหผ๎ เ๎ู รียนสามารถสร๎างสรรค์งานศลิ ปะจากพ้ืนผิวได๎อยํางสวยงาม

ความนา
องค์ประกอบศิลป์หรอื ทศั นธาตทุ ี่สาคัญมากอีกอยํางหนึ่งคือพ้ืนผวิ พน้ื ผวิ มีความหมายและส่อื

ความรสู๎ ึกตํางจากองคป์ ระกอบศิลป์อนื่ องค์ประกอบศิลปใ์ นบทเรยี นทผ่ี ํามาจะสงั เกตไดว๎ ํามีทมี่ าจาก 2
แหลํงใหญํ ๆ คือ องคป์ ระกอบศลิ ป์ที่เกดิ จากหรอื มอี ยใํู นธรรมชาติและองคป์ ระกอบศิลปท์ ่มี นษุ ย์ประดิษฐ์
ขึ้น ที่มาของพื้นผวิ กเ็ ชํนเดียวกัน สํวนวิธีการสร๎างหรอื ประดิษฐพ์ ้นื ผวิ นั้นจะตาํ งจากการสรา๎ งจุด รปู รําง
รูปทรง มวล สี น้าหนกั อํอนแกขํ องแสงเงา พื้นผิวปรากฏอยํใู นผลงานจติ รกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์
สถาปัตยกรรม และสอ่ื ผสมได๎ท้ังส้นิ ดังนั้นในบทเรยี นนีผ้ ๎เู รียนจะได๎ทาความเขา๎ ใจกับความหมายของ
พ้ืนผวิ ท่มี าของพืน้ ผิวและวธิ ีการสร๎างพน้ื ผิวในงานศิลปะ รวมทง้ั ไดท๎ ดลองสรา๎ งงานศิลปะด๎วยการใช๎
องคป์ ระกอบหลักในภาพคือพนื้ ผิวด๎วย เน่ืองจากการเรยี นศิลปะภาคปฏิบตั ิด๎วยจะทาใหผ๎ ู๎เรียนเขา๎ ใจได๎
มากกวาํ เพยี งการฟงั และอํานเทําน้นั

72
ความหมายและท่มี าของพนื้ ผิว

ความหมายของพื้นผวิ
ราชบณั ฑติ ยสถาน (2546:735) อธิบายวํา ผิว หมายถงึ สวํ นทม่ี ีลกั ษณะบาง ๆ เปน็ พ้ืนห๎ุมอยูํ
ภายนอกสดุ ของหนงั และเปลือกเปน็ ต๎น สํวน ชลูด นม่ิ เสมอ (2553:82) ไดก๎ ลาํ วถึง คาวาํ ลักษณะผวิ วํา
หมายถงึ ลักษณะของบริเวณพน้ื ผวิ ของสง่ิ ตําง ๆ ทเี่ ม่ือสมั ผสั จับตอ๎ งหรอื เมอื่ เห็นแลว๎ ร๎สู กึ ได๎วาํ หยาบ
ละเอยี ด มัน ดา๎ น ขรขุ ระ เปน็ เส๎น เป็นจดุ ฯลฯ
จากคาอธิบายเก่ยี วกับผวิ หรอื พืน้ ผิว หรือลกั ษณะผิว (Texture) ข๎างต๎น สามารถกลําวไดว๎ าํ
พื้นผิว หมายถงึ ลกั ษณะภายนอกของวตั ถตุ าํ ง ๆ ทส่ี ามารถรับรูไ๎ ดด๎ ว๎ ยประสาทสัมผสั เชํน ตาเหน็ พื้นผวิ
ของวตั ถุนั้นและรู๎สกึ ไดว๎ ํา หรือใช๎มือจบั ลูบวัตถุ แลว๎ รูส๎ กึ ไดว๎ ําผิวมีลักษณะอยาํ งไร การรับรจ๎ู ากสมั ผสั
ทาให๎เรารส๎ู กึ ไดว๎ าํ ผิวลักษณะนแ้ี หลมคม ทูทํ ่ือ ขรขุ ระ หยาบ ละเอยี ด นุมํ นวล อํอนโยน กระด๎าง มนั ลื่น
แวววาว เป็นตน๎
ท่มี าของพน้ื ผิว
พ้นื ผิวทฉ่ี าบอยูํภายนอกของวตั ถตุ ําง ๆ หรอื หอํ หม๎ุ วตั ถนุ น้ั ๆ อยูํมที ม่ี าจาก 2 แหลงํ ใหญํ ๆ คอื
พน้ื ผวิ ในธรรมชาติ และพนื้ ผวิ ทีม่ นุษย์ประดิษฐข์ ้ึน
1. พนื้ ผิวในธรรมชาติ (Natural Texture) หมายถึง พน้ื ผวิ ท่ีปรากฏอยใูํ นธรรมชาตปิ ระกอบ
ดว๎ ยพืน้ ผิวจริงและพ้ืนผวิ ลวงตา พื้นผิวจริง เชนํ ผวิ คน สัตว์ พืช ผวิ น้า ผวิ ดิน ผวิ ชนั้ บรรยากาศ เปน็ ต๎น
สํวนพื้นผวิ ลวงตา เชํน มลิ าจ หรือการเหน็ น้าบนพน้ื ถนนซึง่ แท๎จริงไมมํ ีน้าแตํเป็นภาพลวงตาทเ่ี กดิ จาก
การหักเหของแสงในเวลากลางวันท่ีอากาศรอ๎ น เป็นต๎น

ชดุ ภาพ ก

73

ข. พืน้ ผิวเปลอื กโลก ค. พ้ืนผวิ หนิ อํอน ง. พนื้ ผวิ พายุเฮอรเิ คน

ภาพท่ี 8.1 พ้ืนผวิ จริงในธรรมชาติ

ทมี่ า : ทิพย์สุคนธ์ อทิ ธปิ ระทปี (2558) ถาํ ยภาพ (ก)

ทมี่ า : Tom Patterson (ม.ป.ป.) (ข)

ท่ีมา : MThai Travel (ม.ป.ป.) (ค)

ทม่ี า : สถานโี ทรทศั น์กองทพั บกชํอง 5 (2558) (ง)

ภาพ ค เปน็ Marble Caves ต้งั อยํูในจงั หวดั Coyhaique ประเทศชลิ ี ความสวยแปลกตานี้เกดิ
จากการรงั สรรค์ของธรรมชาติ ปรากฏการณ์นา้ จากแมํนา้ Rio Tranquilo ไหลทะลุทะลวงสํคู าบสมุทร
หินปนู ยักษ์ ขดุ เจาะเป็นโพรงซับซอ๎ น วกวน จนเกดิ เปน็ ถ้าหินอํอน Marble Caves เปน็ หนง่ึ ในสถานท่ี
ทํองเทีย่ วทสี่ วยท่ีสุดในรฐั Patagonia ภาพ ง เปน็ พื้นผิวของพายุเฮอร์รเิ คนท่ีเมก็ ซิโก

2. พ้ืนผิวท่ีมนษุ ย์ประดษิ ฐ์ขึ้น (Artificial Texture) หมายถงึ พื้นผวิ ทป่ี รากฏขึ้นเน่อื งดว๎ ยการ
กระทาของมนษุ ย์ทงั้ ที่ตั้งใจกระทาหรอื ไมตํ งั้ ใจก็ตาม พ้ืนผิวที่มนุษย์ประดษิ ฐ์ขึน้ แบํงไดเ๎ ป็น 2 ลักษณะคือ
พ้ืนผวิ จริงและพ้นื ผวิ ลวงตา

2.1 พืน้ ผวิ จรงิ หมายถงึ พ้ืนผวิ ท่ีใชม๎ อื หรือกายสมั ผัส จับ ลูบ เปน็ ต๎น แล๎วรูส๎ กึ ไดถ๎ งึ
ลกั ษณะพ้นื ผิวท่แี ท๎จรงิ ของวัตถทุ ่ไี ดถ๎ ูกประดิษฐข์ น้ึ น้นั จริง เชนํ โคมไฟมพี ื้นผิวเลยี นแบบปะการงั เปน็ งาน
ออกแบบทม่ี นษุ ยป์ ระดษิ ฐ์พื้นผวิ ขึ้นเอง ในภาพท่ี 8.2

2.2 พน้ื ผวิ ลวงตา หมายถงึ พ้ืนผิวทใ่ี ชต๎ ารับรล๎ู ักษณะของพืน้ ผิวน้ัน ๆ แล๎วแปลผลออกมา
เป็นความรส๎ู กึ แตเํ ม่ือใชม๎ ือหรอื กายสมั ผัส จับ ลบู เป็นตน๎ แล๎วจะไมรํ ๎สู กึ อยํางทีต่ าเห็น เชนํ ตาเห็นวาํ
กระเป๋าใบน้มี ีพนื้ ผิวขรขุ ระเลก็ นอ๎ ย มดี อกไม๎สีแดงนูนออกมาเดํน ดอกสสี ม๎ เหลอื งอยดํู า๎ นหลงั แตํเมอ่ื ใช๎มอื
ลบู ผิวกระเปา๋ ร๎สู ึกได๎วําผิวเรยี บ ใชม๎ อื จบั ดอกไมส๎ ีแดงทีก่ ลีบออํ นนุํนกร็ สู๎ กึ วําดอกไม๎ดอกน้ไี มไํ ด๎นมุํ และ
นนู ลอยออกมาอยํางท่ตี าเหน็ พ้นื ผิวลกั ษณะน้ีเรยี กวําพนื้ ผิวลวงตา ตวั อยาํ งในภาพท่ี 8.3 เปน็ ผลงาน
จติ รกรรมของอนุพงษ์ จันทร ศลิ ปินไดส๎ รา๎ งพน้ื ผวิ ลวงตาบนพ้ืนระนาบทาใหพ๎ ้นื น้ันดขู รขุ ระหยาบไมเํ รยี บ
ซ่งึ เปน็ เทคนคิ เฉพาะตัวของศิลปินเอง

74
การสรา้ งสรรค์ศิลปะจากพนื้ ผิว

พืน้ ผวิ มอี ยใูํ นธรรมชาตแิ ละท่ีมนุษยป์ ระดิษฐ์ข้นึ มาเลียนแบบธรรมชาติ หรอื ทาใหแ๎ ตกตํางไปจาก
ทม่ี ใี นธรรมชาติ พ้นื ผวิ เหลาํ นสี้ ามารถนามาประกอบกนั เพ่ือประดษิ ฐ์เป็นงานออกแบบมีประโยชนใ์ ช๎สอย
หรอื นามาสรา๎ งสรรค์เป็นงานศลิ ปะกไ็ ดข๎ ้ึนอยูกํ ับความคดิ สรา๎ งสรรคข์ องมนษุ ย์ ดงั ตวั อยํางตํอไปน้ี

ภาพที่ 8.2 โคมไฟ พ้ืนผิวประดิษฐ์จาก 3D Printer เลยี นแบบปะการังในธรรมชาติ
ทม่ี า : Ralph Zoontjens (2010)

ภาพท่ี 8.3 ผลงานจิตรกรรมแสดงพื้นผิวของอนุพงษ์ จนั ทร
ที่มา : Mitmaya. (ม.ป.ป.)

ภาพท่ี 8.3 งานจติ รกรรมเทคนิคสอี ะคริลกิ บนผ๎าจวี ร ผลงานของ อนพุ งษ์ จันทร ชอ่ื ผลงาน
ภกิ ษสุ นั ดานกา ได๎รบั รางวลั ชนะเลศิ เหรยี ญทอง จากงานแสดงศิลปกรรมแหํงชาติ ครงั้ ท่ี 53 คาวํา
ภิกษุสันดานกา ศิลปินต๎องการหมายถึงคาสอนของพระพทุ ธเจา๎ ท่เี ปรยี บเทยี บพระสงฆ์ที่ทาผดิ พระวินัยใน
ด๎านตาํ ง ๆ ที่เกย่ี วขอ๎ งกับกา ในภาพพ้นื ผวิ ของเนือ้ หนังมนษุ ย์ รอยสกั บนผิวหนงั มนษุ ย์ โลหะบาตรของ
พระภกิ ษุ รวิ้ ผ๎าจวี ร เป็นการสร๎างภาพพืน้ ผิวลวงตาให๎ดูเหมือนจรงิ

75

ภาพท่ี 8.4 ผลงานศิลปะภาพพิมพ์
ทีม่ า : มหาวิทยาลัยศลิ ปากร (2546:107)

ภาพที่ 8.4 ผลงานภาพพมิ พ์ ของทิพยส์ คุ นธ์ อทิ ธิประทปี ชือ่ ผลงาน Inner Peace No. 12
นาเสนอทวี่ ํางลวงตาหรอื ท่ีวํางแบบรูปภาพ เป็นท่วี าํ งทเี่ กิดจากความรส๎ู กึ เมื่อไดเ๎ ห็นภาพ สามารถสัมผสั ได๎
เปน็ ที่วาํ งในงาน 2 มติ ิที่ศลิ ปนิ สร๎างสรรคใ์ หด๎ ูแลว๎ คลา๎ ยจรงิ

ภาพที่ 8.5 ประตมิ ากรรมขนมปงั พื้นผวิ ของซากศพมนษุ ย์
ที่มา : ประธานเหมียว (2015)

ผลงานประตมิ ากรรมผลงานของ กติ ตวิ ฒั น์ อุํนอารมณ์ เปน็ ขนมปงั หน๎าศพอันสดุ สยอง ที่คุณ
เจ๎าของงานอนั สร๎างสรรคช์ ิ้นนเ้ี ปน็ ท้ังศิลปนิ และนกั ทาขนมปงั จบการศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาโทด๎านศลิ ปะ
และชื่นชอบในการศกึ ษาด๎านกายวิภาคเปน็ อยาํ งมาก สง่ิ ทีศ่ ลิ ปนิ แสดงออกคือพ้ืนผิวเน้ือหนงั ซากศพ
มนุษยส์ ุดสยอง ประดิษฐ์งานได๎เหมือนจริง สามารถใชม๎ ือสัมผัสได๎จรงิ เป็นขนมปงั ท่รี ับประทานไดจ๎ รงิ

76

ภาพที่ 8.6 ประตมิ ากรรมบอลลนู สนุ ัข (สแี ดง)
ท่ีมา : Uta Grosenick and Burkhard Riemschneider. (Edited) (ม.ป.ป:159)

ผลงานประติมากรรมบอลลนู สุนขั (สีแดง) ผลงานของ Jeff Koons เป็นศิลปะจัดวาง ต้ังอยํูที่
Royal Academy of Arts ที่เมอื งลอนดอน ประเทศองั กฤษ ประดษิ ฐด์ ว๎ ยสเตเลสชบุ โครเมยี ม ขนาดงาน
307x363x114 เซนติเมตร แสดงพน้ื ผิวโลหะมนั วาว สะท๎อนแสง

ภาพท่ี 8.7 ประตมิ ากรรมสงิ่ แวดล๎อม ของ Peter Joseph Woytuk
ท่ีมา : ธวชั ชยั สมคง (2551:35)

ประติมากรรมชุดนนี้ าเสนอพ้ืนผวิ เรียบของผิวหนังควายตัดกบั พื้นผวิ หยาบของพ้นื สนามทุงํ หญา๎
งานของเขาดูแล๎วมชี วี ติ ชีวา และกลมกลนื ไปกบั สถาน เชอ่ื มโยงกับธรรมชาตใิ นเชิงความหมาย

77

ภาพท่ี 8.8 ผลงาน Beautiful Mutants ของ Joule
ท่มี า : Joule (ม.ป.ป.)

ประตมิ ากรรมชดุ นด้ี ูแล๎วนาํ ขนลกุ ดว๎ ยการใช๎สโี พลียรู ีเทนอะครลิ คิ กับอพี อ็ กซีเ่ รซิน ดเู รืองแสงด๎วย
พนื้ ผวิ และสสี นั ดึงดูดใจผ๎ูชมใหอ๎ ยากสัมผสั จับตอ๎ งและถามหาความงามจากความนําขนลุกนี้

บทสรปุ
เมือ่ ใดกต็ ามท่ผี ๎ูสรา๎ งสรรคง์ านศิลปะนาพน้ื ผิวมาเป็นองคป์ ระกอบหลกั ในผลงานก็จะทาใหเ๎ กิด

ความนําทงึ่ และเกดิ ความงามไดเ๎ สมอ พื้นผวิ มหี ลายลักษณะให๎เลือกใช๎ ผ๎ูสรา๎ งสรรค์จะใชพ๎ น้ื ผวิ จรงิ ทอ่ี ยํู
ในธรรมชาติหรือทีม่ นุษย์ประดษิ ฐข์ ึน้ หรอื จะใช๎พ้นื ผวิ ลวงตาทอี่ าศัยมุมมองของช้นั บรรยากาศหรอื ท่มี นษุ ย์
ประดษิ ฐข์ ้นึ ประกอบกันกไ็ ด๎ ขน้ึ อยกูํ ับเน้ือหาเรื่องราวทจี่ นิ ตนาการในความคดิ คานึง นกึ ฝันของผนู๎ ้นั ผนวก
กับเจตนาทจ่ี ะสือ่ สารส่งิ ใดให๎ผอ๎ู น่ื ได๎รบั รู๎ การใชพ๎ นื้ ผิวมาสรา๎ งสรรค์งานศลิ ปะจะเกิดขึ้นอยาํ งมหัศจรรย์
เสมอหากผํานการกลัน่ กรองจากกระบวนการคิดและทักษะท่ฝี กึ ฝนมาอยาํ งดแี ล๎ว

แบบฝึกหดั ทา้ ยบท
1. จงอธบิ ายความหมายของพนื้ ผิว
2. จงอธิบายทีม่ าของพื้นผวิ ในธรรมชาติและพ้นื ผิวทมี่ นุษยป์ ระดษิ ฐ์ขน้ึ พร๎อมกบั ยกตัวอยําง
3. จงสร๎างพื้นผิวแลว๎ นามาสร๎างเปน็ งานศลิ ปะ 3 มิติ ขนาด 40x40 เซนติเมตร สร๎างสรรค์ตาม

จนิ ตนาการ ไมํจากดั วสั ดุและเทคนิค เขยี นเนือ้ หาและหรือเรือ่ งราวทีต่ ๎องการนาเสนอ และวเิ คราะห์
องค์ประกอบลงบนกระดาษาการ์ด 10x15 เซนตเิ มตร พรอ๎ มภาพถาํ ยผลงานของนกั ศกึ ษา


Click to View FlipBook Version