คำ�นำ�
คู ่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate เล ่มนี้ กรมพลศึกษาจัดท�ำขึ้น เพื่อเผยแพร ่ความรู้ด้านการฝึกสอนกีฬาฟุตซอล ให้มีความทันสมัย มีมาตรฐานสูงขึ้น สอดคล้องกับการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตซอลในปัจจุบัน และมอบให้แก่ผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล ระดับ T-Certificateผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอลทั่วไปและผู้สนใจได้ใช้เป็นคู่มือในการฝึกสอนกีฬาฟุตซอล การด�ำเนินการได้รับความร่วมมือจากสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาฟุตซอลมาเป็นวิทยากรและร่วมจัดท�ำต้นฉบับ กรมพลศึกษา ขอขอบคุณสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการจัดการท�ำคู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate เล่มนี้ จนส�ำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดีและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคู่มือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกสอน กีฬาฟุตซอลและผู้ที่สนใจทั่วไปได้ศึกษา ค้นคว้า และน�ำไปใช้ในการพัฒนาการฝึกสอน ฝึกซ้อม และการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตซอลให้มีมาตรฐานสูงขึ้น สนองต่อนโยบายและแผนพัฒนา การกีฬาของชาติต่อไป กรมพลศึกษา มีนาคม 2555
สารบัญ F U T S A L ค�ำน�ำ สารบัญ หลักสูตรการฝึกอบรมผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอลระดับ T-Certificate 1 ตารางการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอลระดับ T-Certificate 3 ประวัติกีฬาฟุตซอล (FUTSAL) 4 คุณสมบัติของผู้ฝึกสอนกีฬา 9 จิตวิทยาส�ำหรับผู้ฝึกสอนกีฬา 14 พัฒนาการของร่างกาย 24 กระบวนการและวิธีการฝึกสอนกีฬาฟุตซอล 30 ขอบข่ายการฝึกสอนกีฬาฟุตซอล 39 หลักการฝึกสอนเยาวชนในกลุ่มอายุต่างๆ 44 สมรรถภาพทางกาย 50 การวางแผนการฝึกซ้อม 62 กติกาฟุตซอลของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ(FIFA) 66 ค�ำอธิบายกติกาการแข่งขันกีฬาฟุตซอล 123 การฝึกสอนเทคนิคและยุทธวิธีการเล่นกีฬาฟุตซอล 179 ระบบและรูปแบบการเล่นกีฬาฟุตซอล 190 อาหารและโภชนาการ 198 การบาดเจ็บและการป้องกัน 201
สารบัญ (ต่อ) F U T S A L ภาคปฏิบัติในการฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 205 การอบอุ่นร่างกาย 205 การฝึกเลี้ยงลูกบอล 209 การส่งและการรับลูกบอล 214 การควบคุมลูกบอล 219 การยิงประตู 221 การโหม่งลูกบอล 224 การรักษาประตู 228 บรรณานุกรม 231 คณะกรรมการจัดท�ำคู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 233
หลักสูตรการฝึกอบรม ผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 1 1.30 2 1.30 2 1.30 2 1.30 1.30 2 2 2 2 ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ 1 ประวัติกีฬาฟุตซอล (FUTSAL) 2 คุณสมบัติของผู้ฝึกสอนกีฬา 3 พัฒนาการของร่างกาย หลักการฝึกสอนเยาวชนในกลุ่มอายุต่างๆ 4 กระบวนการ วิธีการ ขอบข่ายการฝึกสอนกีฬาฟุตซอล 5 กติกากีฬาฟุตซอล และ ค�ำอธิบายกติกาการแข่งขันกีฬาฟุตซอล 6 การฝึกสอนเทคนิค และยุทธวิธีการเล่นกีฬาฟุตซอล 7 จิตวิทยาส�ำหรับผู้ฝึกสอนกีฬา 8 อาหารและโภชนาการ การบาดเจ็บและการป้องกัน 9 สมรรถภาพทางกาย 10 การสัมผัสลูกบอลและการสร้างจังหวะ กับลูกบอล 11 การเลี้ยงลูกบอล (Dribbling) การควบคุมบอล (Controlling) 12 การส่งและการรับลูกบอล Passing – receiving ลำ�ดับ ที่ กิจกรรม เนื้อหา บรรยาย อภิปราย ปฏิบัติ ประเมินผล จำ�นวน ชั่วโมง วีดิทัศน์ หมายเหตุ 1.30 2 1.30 2 1.30 1 1.30 1.30 1 .30 .30 .30 - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 1 - - 1 1.30 1.30 1.30
ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ เขียนตอบ เขียนตอบ ถาม-ตอบ เขียนตอบ 13 การวางแผนการฝึกซ้อม 14 การโหม่งบอล (heading) การยิงประตู(shooting) 15 การฝึกเป็นผู้รักษาประตู 16 การเล่นในสถานการณ์1ต่อ 1 และการป้องกัน (ยุทธวิธีการเล่นเฉพาะบุคคล การรุก) 17 ระบบและรูปแบบการเล่นกีฬาฟุตซอล 18 การทดสอบและประเมิน หมายเหตุ : รวมเวลาในการฝึกอบรม 36.00 ชั่วโมง ลำ�ดับ ที่ กิจกรรม เนื้อหา บรรยาย อภิปราย ปฏิบัติ ประเมินผล จำ�นวน ชั่วโมง วีดิทัศน์ หมายเหตุ 2 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 2 2 2 2 2 5.30 .30 1.30 1.30 1.30 1.30 3.30 - - - - - - - - - - - ฝึกสอน ฝึกสอน ฝึกสอน ฝึกสอน ฝึกสอน 1.30 .30 .30 .30 .30 2
ตารางการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate หมายเหตุตารางการอบรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม 08.30 - 10.00 น. 10.00 - 12.00 น. 13.00 - 15.00 น. 15.00 - 17.00 น. พัก 12.00-13.00 น. ประวัติกีฬาฟุตซอลคุณสมบัติ ของผู้ฝึกสอนกีฬากระบวนการวิธีการและ ขอบข่ายการฝึกสอนกีฬาฟุตซอลการสัมผัสลูกบอล และการสร้างจังหวะกับลูกบอล พัฒนาการของร่างกาย หลักการฝึกสอนเยาวชน ในกลุ่มอายุต่างๆ การเลี้ยงและการควบคุม ลูกบอล การวางแผนการฝึกซ้อมการส่งและการรับลูกบอล กติกากีฬาฟุตซอล และคำอธิบายกติกา การแข่งขันกีฬาฟุตซอล การโหม่งบอลและ การยิงประตู ระบบและรูปแบบการเล่น กีฬาฟุตซอล ยุทธวิธีการเล่นเฉพาะบุคคล สถานการณ์การรุก และการป้องกัน จิตวิทยาสำหรับผู้ฝึกสอนกีฬาสมรรถภาพทางกายการฝึกสอนเทคนิคและ ยุทธวิธีการเล่นกีฬาฟุตซอลการฝึกเป็นผู้รักษาประตู อาหารและโภชนาการ การบาดเจ็บและการป้องกัน การทดสอบและการประเมิน (ทฤษฎีเฉพาะและทั่วไป) การทดสอบและการประเมิน (ปฏิบัติการฝึกสอน) สรุปถาม –ตอบ ปัญหา วันที่1 วันที่ 2 วันที่3 วันที่ 4 วันที่5 วันที่ เวลา คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 3
ประวัติกีฬาฟุตซอล (FUTSAL) ฟุตซอลเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทั้งในต่างประเทศ และประเทศไทยเป็นกีฬาที่เล่นกันมานานแล้ว ดังประวัติความเป็นมาดังนี้(Football Association of Singapore, 1997.P.26) คำว่า “ฟุตซอล (Futsal)” เป็นคำที่ใช้เรียกในการแข่งขันระหว่างชาติมาจากภาษาสเปน และโปรตุเกส ที่ใช้เรียก “ซอคเกอร์ (Soccer)” ว่า “Futbol หรือ Futebol” และคำว่า “ในร่ม (Indoor)” นำมาจากภาษาฝรั่งเศสและภาษาสเปน ที่เรียกว่า “Salon หรือ Sala” เป็นการ แข่งขันที่มักเรียกกันอยู่เสมอๆว่าเป็นการเล่น “ฟุตบอล 5 คน (Five-A-Side Football or Soccer)” กีฬาฟุตซอลใช้เล่นในสนามบาสเกตบอลและสามารถเล่นได้กับพื้นผิวสนามหลายแบบ ลูกบอลที่ใช้มีการกระดอนน้อย ผู้เล่นต้องใช้ความสามารถทางทักษะอย่างมากในการบังคับ ให้เกิดการเคลื่อนที่ เป็นกีฬาที่พัฒนาให้เกิดทักษะต่างๆ อย่างมาก ต้องการปฏิกิริยาตอบสนอง ที่รวดเร็ว ความคิดที่ฉับไวและการส่งที่แม่นยำ ทำให้การแข่งขันมีความตื่นเต้นเร้าใจทั้งผู้เล่นและผู้ชม การเล่นกีฬาฟุตซอลเริ่มแรกนับย้อนหลังไปตั้งแต่ปีค.ศ. 1930 ที่เมืองมอนเตวิดีโอ ประเทศอุรุกวัย ในขณะนั้น โจ อัน คาร์ลอส เซเรียนี(Juan Carlos Ceriani) ได้คิดค้นการเล่น ฟุตบอล 5 คน เพื่อใช้แข่งขันในระดับเยาวชนของ วาย เอ็ม ซีเอ (Y M C A) การแข่งขันเล่นกัน ในสนามบาสเกตบอลทั้งในร่มและกลางแจ้งโดยไม่มีการใช้กำแพงกั้นด้านข้าง ต่อมากีฬาฟุตซอลได้ขยายออกไปทั่วในอเมริกา โดยเฉพาะในบราซิล ทักษะต่างๆ ได้ถูกพัฒนา ใช้ในการเล่นอย่างเห็นได้ชัดในสไตล์การเล่นของผู้เล่นระดับโลกที่นำไปใช้เล่นในสนามใหญ่ เช่น เปเล่ ซิโก้โซเครติส เบเบโต และผู้เล่นในระดับดาวเด่นอื่นๆ ของบราซิลอีกหลายคนที่พัฒนา ทักษะจากการเล่นฟุตซอล ในขณะที่บราซิลเป็นจุดศูนย์กลางในการพัฒนาการเล่นกีฬาฟุตซอล อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันฟีฟ่าได้รับเอาการแข่งขันกีฬาฟุตซอลไว้ภายใต้การควบคุมดูแล โดยมีประเทศทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ จากยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกากลาง และคาริบเบียน อเมริกาใต้แอฟริกา เอเชียและโอเชียเนีย ซึ่งมีผู้เล่นกว่า 12 ล้านคน 4 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
การแข่งขันกีฬาฟุตซอลในต่างประเทศ กีฬาฟุตซอลมีการแข่งขันอย่างเป็นทางการมาช้านาน ดังรายการต่างๆ ดังนี้ (Football Association of Singapore, 1997.P.26) ในปีค.ศ.1965 มีการแข่งขันระหว่างประเทศครั้งแรกเรียกว่า“การแข่งขันอเมริกาใต้คัพ ครั้งที่ 1” ต่อมามีการแข่งขันอเมริกาใต้คัพอย่างต่อเนื่องมากกว่า 6 ครั้ง จนถึงปีค.ศ. 1979 ซึ่งประเทศบราซิล เป็นทีมที่ชนะเลิศทุกครั้ง และประเทศบราซิลยังได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่องในการแข่งขันแพนอเมริกันคัพ ในปีค.ศ. 1980 และชนะเลิศอีกครั้งในเวลาต่อมาที่จัดการแข่งขันขึ้นในปีค.ศ. 1984 การแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งที่ 1 จัดขึ้นภายใต้การควบคุมของฟีฟุซซ่า (Fifusa) ซึ่งปัจจุบันได้ถูกรวมไว้เป็นสมาชิกอยู่ในฟีฟ่าตั้งแต่ปี1989 ได้จัดการแข่งขันขึ้นที่เมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล ในปีค.ศ. 1982 โดยประเทศบราซิลเป็นทีมชนะเลิศและประเทศบราซิลยังคงแสดง ความสามารถได้เช่นเดิม เมื่อเป็นแชมป์อีกสมัยในปีค.ศ.1985 ที่ประเทศสเปน แต่มาเสียแชมป์โลก ครั้งที่3ให้แก่ประเทศปารากวัยที่ประเทศออสเตรเลียในปีค.ศ.1989 ฟีฟ่าได้เข้ามาดำเนินการสนับสนุน การจัดการแข่งขันโดยตรงที่ประเทศฮอลแลนด์ในปีค.ศ.1992 ที่ประเทศฮ่องกงและในปีค.ศ.1996 ที่ประเทศสเปน ซึ่งประเทศบราซิลชนะเลิศทั้ง 3 ครั้ง นับเป็นการแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งที่ 1 ถึงครั้งที่ 3 อย่างเป็นทางการภายใต้การควบคุมของฟีฟ่า ต่อมาในปีค.ศ. 2000 มีการจัด การแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งที่ 4 ที่ประเทศกัวเตมาลา ทีมชาติไทยได้ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย ชิงแชมป์โลกครั้งนี้ด้วย โดยทีมชนะเลิศได้แก่ ประเทศสเปน การแข่งขันครั้งที่5 มีขึ้นในปีค.ศ. 2004 ที่ประเทศจีนไต้หวัน ทีมชนะเลิศได้แก่ ประเทศสเปน ต่อมาในปีค.ศ. 2008 มีการจัดการแข่งขัน ชิงแชมป์โลกครั้งที่ 6 ที่ประเทศบราซิล ทีมชนะเลิศได้แก่ ประเทศบราซิล และในปีค.ศ. 2012 มีการจัดการแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งที่7 ที่ประเทศไทย โดยทีมชนะเลิศได้แก่ ประเทศบราซิล การแข่งขันกีฬาฟุตซอลในประเทศไทย การแข่งขันกีฬาฟุตซอลในประเทศไทยเริ่มจัดการแข่งขันอย่างเป็นทางการเมื่อประมาณ ปีพ.ศ. 2535-2536 โดยความร่วมมือระหว่างสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กับบริษัท รีบอค โดยนำทีมสโมสรฟุตบอลระดับถ้วยพระราชทานประเภท ก ซึ่งเป็นระดับสูงสุด เข้าร่วมแข่งขัน ต่อมาประมาณปีพ.ศ. 2540 บริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด ได้เริ่มเข้ามาดำเนินการ จัดการแข่งขันร่วมกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยใช้ชื่อว่า “Bangkok Star Indoor Soccer” คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 5
ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2540 ทีมการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2541 ทีมกรุงเทพมหานคร ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ. 2542 ได้เชิญทีมจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าร่วมการแข่งขัน ทีมชนะเลิศ ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ. 2543 ได้เปลี่ยนชื่อการแข่งขันใหม่ว่า “อัมสเทลฟุตซอลชิงแชมป์ ประเทศไทย” โดยมีการแข่งขันรอบคัดเลือกจากภาคต่างๆ ในนามทีมจังหวัดและเป็นตัวแทนเข้ามาเล ่นรอบสุดท้าย ที่เดอะมอลล์บางกะปิร่วมกับทีมสโมสรระดับไทยแลนด์ลีก ทีมชนะเลิศ ได้แก่ ทีมทหารอากาศ ครั้งที่ 5 ปี พ.ศ. 2544 ทีมการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2545 ทีมการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ครั้งที่ 7 ปี พ.ศ. 2546 ทีมราชนาวีสโมสร ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ปัจจุบันมีการแข ่งขันกีฬาฟุตซอลในรายการต ่างๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งในส ่วนกลาง และส ่วนภูมิภาค ไทยแลนด์ฟุตซอลลีกเป็นการแข ่งขันฟุตซอลลีกสูงสุดในประเทศไทย โดยเริ่มการแข่งขันครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2549 มี12 ทีม เข้าร่วมการแข่งขัน ต่อมาปีพ.ศ. 2554 เป็นการแข่งขันครั้งที่ 5 ได้มีการเพิ่มจ�ำนวนทีมเป็น 16 ทีม โดยทีมชนะเลิศในแต่ละฤดูกาลได้แก่ ปี พ.ศ. 2549 ทีมชลบุรีบลูเวฟ ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ปี พ.ศ. 2550 ทีมการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ปี พ.ศ. 2552 ทีมชลบุรีบลูเวฟ ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ปี พ.ศ. 2553 ทีม ธอส. อาร์แบค ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ปี พ.ศ. 2554 ทีม ธอส. อาร์แบค ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ ปี พ.ศ. 2555 ทีม ธอส. อาร์แบค ได้ต�ำแหน่งชนะเลิศ 6 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
กีฬาฟุตบอล กีฬาฟุตซอล 1. ลูกบอลเบอร์5 2. ผู้เล่น 11 คน 3. เปลี่ยนตัวผู้เล่นส�ำรองได้3 คน 4. มีการทุ่มเมื่อลูกบอลออกนอกเส้นข้าง 5. มีผู้ตัดสิน 1 คน และผู้ช ่วยผู้ตัดสิน 2 คน (ผู้ก�ำกับเส้น) 6. การรักษาเวลาขึ้นอยู่กับผู้ตัดสิน 7. ไม่มีขอเวลานอก 8. เตะจากประตู 9. ท�ำการชนด้วยไหล่ต่อไหล่และสไลด์ได้ 10. ไม่มีการก�ำหนด 4 วินาที 11. มีการล�้ำหน้า 12. มีการนับการก้าวเท้าของผู้รักษาประตู 13. ไม่จ�ำกัดจ�ำนวนการท�ำผิดกติกา 14. ผู้รักษาประตูไม ่สามารถสัมผัสลูกบอลโดยมือ จากการเตะส่งคืนมาให้ 15. ส่งคืนให้ผู้รักษาประตูเล่นด้วยเท้าได้ตลอด 16. ไม่มีการเปลี่ยนตัวแทนผู้เล่นที่ถูกไล่ออก 17. การเตะจากมุมท�ำภายในเขตมุม 18. ต่อเวลาพิเศษครึ่งละ 15 นาที 1. ลูกบอลเบอร์4 ซึ่งลดแรงกระดอนลง 2. ผู้เล่น 5 คน 3. ไม่จ�ำกัดจ�ำนวนการเปลี่ยนตัว เป็นการเปลี่ยนตัวเข้าออก ได้ตลอดเวลา 4. ใช้การเตะเข้าเล่น 5. มีผู้ตัดสินกับผู้ช่วยผู้ตัดสินอย่างละคน รับผิดชอบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเอง 6. ใช้ผู้รักษาเวลาเป็นผู้ด�ำเนินการหยุดนาฬิกา ตามเหตุการณ์ต่างๆ 7. ขอเวลานอกได้1 นาทีต่อทีม และท�ำได้ในแต่ละครึ่ง 8. ส่งลูกเข้าเล่นโดยผู้รักษาประตู 9. ไม่มีการชนด้วยไหล่ต่อไหล่ หรือการสไลด์แย่งลูก 10. มีข้อบังคับการเริ่มเล่นภายใน 4 วินาที 11. ไม่มีการล�้ำหน้า 12. ไม่มีการนับก้าวของผู้รักษาประตู 13. ก�ำหนดจ�ำนวนการกระท�ำผิดกติกา 5 ครั้ง และ การเตะโทษโดยไม่มีการตั้งก�ำแพงป้องกัน 14. ผู้รักษาประตูไม ่สามารถสัมผัสลูกบอลโดยมือได้ จากการเตะส ่งคืนมาให้รวมทั้งการส ่งด้วยศีรษะ และหน้าอก 15. อนุญาตให้ส ่งกลับคืนผู้รักษาประตูเพียงครั้งเดียว เช่น ภายหลังจากลูกบอลได้ผ่านข้ามเส้นแบ่งแดน ไปแล้ว หรือถูกสัมผัสโดยฝ่ายตรงข้าม 16. สามารถเปลี่ยนตัวแทนผู้เล่นที่ถูกไล่ออกได้ภายหลัง ผ ่านพ้นเวลา 2 นาทีไปแล้ว หรือฝ ่ายตรงข้าม ท�ำประตูได้แล้ว 17. การเตะจากมุมตั้งบนมุมสนาม 18. ภายหลังเวลาการเล่นจบลง ผลการท�ำประตูเท่ากัน ให้ต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 2 ครึ่งๆ ละ 5 นาที ความแตกต่างระหว่างกีฬาฟุตซอลกับกีฬาฟุตบอล กีฬาฟุตซอลเป็นกีฬาที่พัฒนาทักษะการเล่นและกติกาการแข่งขันมาจากกีฬาฟุตบอล หลายประการ ซึ่งสามารถเปรียบเทียบความแตกต่าง ดังตารางเปรียบเทียบต่อไปนี้ (Football Association of Singapore, 1997. P. 27) คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 7
พัฒนาการของกติกาการแข่งขัน สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือ FIFA ได้เข้ามาดำเนินการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตซอล แทนฟีฟุซซ่าตั้งแต่ปีค.ศ. 1989 ได้มีการจัดทำกติกาการแข่งขันกีฬาฟุตซอลที่ใช้เป็นสากลเกิดขึ้น ซึ่งเรียกว่า “กติกาการแข่งขันฟุตบอล 5 คน ปี ค.ศ. 1988 (The Laws of the Game for Indoor (Five-A-Side) Football 1988)” ซึ่งถือว่าเป็นกติกาสากลฉบับแรกของ FIFA ที่ใช้ในการดำเนินการแข่งขันชิงแชมป์โลกฟุตซอล ครั้งที่ 1 ณ ประเทศฮอลแลนด์ ต่อมาในปี ค.ศ. 1992 ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกติกาการแข่งขันอีกครั้ง เพื่อรองรับการจัดการแข่งขัน ฟุตซอลชิงแชมป์โลก ครั้งที่ 2 ณ ประเทศฮ่องกง ในปีเดียวกัน ซึ่งการจัดการแข่งขันจะมีขึ้นทุกๆ 4 ปีต่อครั้งเช่นเดียวกับการแข่งขันฟุตบอลโลก ต่อมาในปีค.ศ. 1995 ได้มีการเปลี่ยนแปลงกติกา การแข่งขันอีกครั้ง โดยปรับเปลี่ยนกติกาทั้งเนื้อหาและรูปแบบต่างๆ มากมาย และเรียกกติกา ฉบับใหม่นี้ว่า “กติกาการแข่งขันฟุตซอล ปี ค.ศ. 1995” และได้นำกติกาฉบับใหม่นี้ เป็นแนวทางในการแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งที่ 3 ในปีค.ศ. 1996 ณ ประเทศสเปน สำหรับกติกา การแข่งขัน ซึ่งเป็นฉบับใหม่ล่าสุดที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ ฉบับปีค.ศ. 2012 ที่มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงขึ้นใหม่เพื่อใช้กับการแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งที่ 7 ในปีค.ศ. 2012 ณ ประเทศไทย FIFA มักจะมีการปรับเปลี่ยนกติกาการแข่งขันทุกครั้งก่อนที่จะมีการแข่งขัน ชิงแชมป์โลกในครั้งต่อไป 8 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
คุณสมบัติของผู้ฝึกสอนกีฬา ผู้ฝึกสอน คือ ผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้หรือท�ำให้เป็นตัวอย่าง เกิดความรู้ความเข้าใจ จนเกิดความช�ำนาญ และสอนให้มีคุณธรรมจริยธรรม ดังนั้น ผู้ฝึกสอนจึงต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่เป็นองค์ความรู้ที่จะถ่ายทอดให้นักกีฬาเกิดความสามารถ เพื่อไปสู่เป้าหมาย ผู้ฝึกสอนควรมีคุณสมบัติอะไรบ้าง 1. มีความรู้เกี่ยวกับกฎกติกาและวิธีการเล่น ผู้ที่จะท�ำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนต้องมีการค้นคว้าศึกษาด้วยวิธีการต่างๆ เช่น จากการอบรม จากเอกสาร ต�ำรา และสื่อการเรียนรู้อื่นๆ และองค์ประกอบที่ส�ำคัญคือ การมีประสบการณ์ จากการเป็นนักกีฬามาก่อน เพราะจะช่วยให้มีความชัดเจนมากขึ้นและเป็นที่ยอมรับของนักกีฬา นอกจากนั้นการมีประสบการณ์การเล่นมาก่อนจะท�ำให้ผู้ฝึกสอนสามารถให้ค�ำแนะน�ำได้เหมาะสม กับสถานการณ์ในระหว่างที่นักกีฬาปฏิบัติการฝึกซ้อมรวมทั้งการลงเล่นจริง 2. มีแรงบันดาลใจ แรงบันดาลใจในการเป็นผู้ฝึกสอนเป็นสิ่งส�ำคัญที่จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้ฝึกสอนท�ำหน้าที่ ในการพัฒนานักกีฬาไปสู่จุดหมายที่ก�ำหนดไว้ความรู้และความสามารถทางทักษะทั้งหมดที่มีอยู่ ไม่สามารถน�ำพาไปสู่เป้าหมายได้ถ้าขาดแรงจูงใจที่เป็นเหมือนพลังขับเคลื่อนที่ดี 3. มีเหตุมีผล ต้องเป็นผู้ที่รู้ถึงเหตุที่ท�ำให้เกิดผลจากการกระท�ำทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ท�ำไมนักกีฬา จึงไม่สามารถปฏิบัติได้ต้องวิเคราะห์ออกมาได้อย่างถูกต้องและรู้ถึงเหตุที่เกิด เมื่อวิเคราะห์ได้ ก็ควรที่จะแก้ไขให้เกิดผลที่ดีได้เหตุผลของการฝึกว่าท�ำไมต้องฝึก ฝึกอย่างไร และควรที่จะเริ่มที่ไหน ซึ่งจะเป็นปัจจัยส�ำคัญที่จะท�ำให้นักกีฬาเกิดพัฒนาการ 4. มีความกระตือรือร้น ผู้ฝึกสอนต้องท�ำงานที่เป็นกระบวนการต ่อเนื่องไม ่หยุดยั้ง งานฝึกสอนเป็นงานที่ ต่อเนื่องไม่มีวันหยุดการที่จะท�ำให้งานบรรลุวัตถุประสงค์นั้นไม่ได้ใช้เวลาสั้นๆการฝึกสอนเป็นงาน ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ต้องใช้ความพยายาม ความทุ ่มเท ความกระฉับกระเฉง มีความสุขสนุก กับงานที่ท�ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีแรงบันดาลใจที่เป็นตัวกระตุ้นก็ยิ่งเป็นเหตุให้กระตือรือร้น ที่จะท�ำงานนั้นให้ส�ำเร็จด้วยดีแต่เมื่อใดที่ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีแรงบันดาลใจหรือไม่สนุกกับงานที่ท�ำ ความกระตือรือร้นที่จะท�ำก็ลดน้อยลง งานที่ท�ำก็จะไม่เกิดผลดี คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 9
5. มีความอดทนและอดกลั้น คุณสมบัติส�ำคัญส�ำหรับผู้ฝึกสอนคือ ต้องมีความอดทนและอดกลั้นอย่างสูง เพราะการท�ำงาน เป็นหมู่คณะต้องใช้ระยะเวลาเพื่อให้เกิดผลส�ำเร็จนั้น ต้องพบอุปสรรคปัญหามากมายที่เข้ามารุมเร้า ทั้งจากผู้ร่วมงาน นักกีฬา นโยบายต่างๆ รวมไปถึงสภาพแวดล้อม ผู้ฝึกสอนจึงต้องสามารถที่จะแก้ไข ปัญหาต่างๆ ด้วยความอดทนและอดกลั้นอย่างมีสติ 6. มีจิตใจมั่นคงหนักแน่น ต้องมีความเชื่อมั่นในคณะท�ำงาน นักกีฬา และโดยเฉพาะตัวเองต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจหนักแน่น ไม่ใช่ใครว่าอย่างไรก็เห็นดีเห็นงามจะท�ำอย่างนั้น เห็นดีเห็นชอบไปกับเขาจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ขาดความเชื่อมั่น เมื่อขาดความเชื่อมั่น จิตใจก็เกิดความกังวลขาดสมาธิกับงานที่ท�ำ ผลเสียจึงเกิดกับงาน โดยเฉพาะความวิตกกังวล มีผลกระทบท�ำให้ความสามารถในการท�ำงานลดลงและเกิดความสับสน ในงานที่ท�ำเนื่องจากสภาพของจิตใจที่ไม่มั่นคงหนักแน่น 7. มีความรับผิดชอบสูง ความตั้งใจที่จะท�ำงานให้ประสบความส�ำเร็จ การที่ต้องท�ำงานอย่างหนัก มีความอดทน กับงานที่จะให้เกิดผลดีต้องปฏิบัติภารกิจมากมายหลายอย่างในแต่ละวัน ทุ่มเทอย่างเต็มความสามารถ ตั้งแต่เริ่มเป็นผู้ฝึกสอน คือ การเริ่มมีภาระและเริ่มที่จะต้องรับผิดชอบทันทีดังนั้น ถ้าไม่รู้ถึง ความรับผิดชอบและไม่มีความรับผิดชอบในสิ่งที่จะต้องท�ำก็จะไม่มีความส�ำเร็จในงานอย่างแน่นอน 8. มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการศึกษาคน การท�ำงานร่วมกับกลุ่มคนเป็นหมู่คณะ สิ่งหนึ่งที่ส�ำคัญ คือ การเรียนรู้ลักษณะนิสัยใจคอ พฤติกรรมที่แสดงออกมา และแนวความคิดของแต่ละคน ผู้ฝึกสอนก็สามารถที่จะก�ำหนดบทบาท แก้ไขหรือใช้คนให้ถูกกับงานที่ต้องการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ง่าย ซึ่งจะมีผลถึงการพัฒนานักกีฬา ตามศักยภาพที่เขามี คุณสมบัติเหล ่านี้เป็นองค์ประกอบส�ำคัญส�ำหรับการเป็นผู้ฝึกสอน เพราะการเป็น ผู้ฝึกสอน สิ่งแรกที่เกี่ยวข้องในทันทีคือ ความรับผิดชอบและเมื่อรับผิดชอบแล้วก็ไม่ต้องไปกังวล กับผลที่จะมากระทบในทุกๆ ด้าน เพราะเมื่อใดก็ตามที่มัวแต่คิดก็จะท�ำให้เกิดความกังวลและลังเล ซึ่งจะส่งผลให้ความมั่นใจลดลงและมีผลถึงความกระตือรือร้นที่จะท�ำงาน แรงจูงใจก็จะลดลงความเข้มลดลง ผลก็จะไปตกอยู่ที่เนื้องานและผลของงาน นั่นคือ การสอน การฝึก และพัฒนาการของนักกีฬา 10 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
ผู้ฝึกสอนควรมีทักษะและความรู้อะไรบ้าง 1. ทักษะในกีฬาที่สอน สิ่งส�ำคัญคือถ้าจะเป็นผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอลแล้วไม ่เคย มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเล่นเลย ความชัดเจนที่จะสอนและฝึกนักกีฬาคงท�ำได้ไม่ดีความเข้าใจ ในมุมการสัมผัสลูกบอล ตลอดจนการที่จะแสดงหรือสาธิตให้นักกีฬาเห็นภาพและรวมไปถึงยุทธวิธี ในการคิดขณะที่ปฏิบัติก็คงจะเกิดการพัฒนาขึ้นได้ยาก 2. ความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยา เพราะกีฬาฟุตซอลเป็นกีฬาที่ต้องใช้ การเคลื่อนไหวของร ่างกายโดยอาศัยการท�ำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งในแต ่ละส ่วน ของร่างกายมีทั้งกระดูก ข้อต่อ เอ็น กล้ามเนื้อ เป็นโครงสร้างและเป็นกลไกในการเคลื่อนไหว ร่างกายจะเคลื่อนไหวได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับการท�ำงานที่ประสานสัมพันธ์ระหว่างกระดูก ข้อต่อ เอ็น กล้ามเนื้อ จึงจ�ำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ฝึกสอนจะต้องมีความรู้ในเรื่องนี้เป็นพื้นฐาน 3. หลักและวิธีการฝึก เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ใช้ในการฝึกนักกีฬา หากไม่มีความรู้ ในหลักการฝึกและใช้วิธีการที่ถูกต้อง อันเป็นกุญแจส�ำคัญเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่อง ของผู้เล่นและเป็นหัวใจของล�ำดับขั้นตอนของการพัฒนานักกีฬาวัตถุประสงค์ที่ต้องการจากการฝึก ก็จะล้มเหลว 4. ทักษะในการสื่อสาร เป็นองค์ประกอบของทักษะที่ส�ำคัญของผู้ฝึกสอน เพราะการสื่อสารเป็นเครื่องมือที่จะท�ำให้นักกีฬาเกิดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้ฝึกสอนต้องการและประสงค์ ให้นักกีฬาปฏิบัติจ�ำเป็นอย ่างยิ่งที่ผู้ฝึกสอนจะต้องมีทักษะการสื่อสารที่ดีทั้งการเป็นผู้สื่อ และการเป็นผู้รับสื่อซึ่งองค์ประกอบที่จะท�ำให้เกิดความเข้าใจในงานที่ปฏิบัติร่วมกันด้วยความเข้าใจ และจะน�ำพาไปสู่จุดหมายเดียวกัน 5. การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เป็นทักษะหนึ่งที่ผู้ฝึกสอนต้องรู้และมีความเข้าใจในเบื้องต้น เพราะในการเล่นกีฬาทุกชนิด อาจเกิดอุบัติเหตุท�ำให้บาดเจ็บได้โดยเฉพาะกีฬาที่มีการปะทะกัน อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องรู้ลึกถึงขั้นวินิจฉัยได้เพียงแต่ผู้ฝึกสอนจ�ำเป็นต้องรู้ถึงวิธีดูแลอาการบาดเจ็บ เบื้องต้น เพื่อเป็นการบรรเทาหรือคงสภาพไม ่ให้หนักมากขึ้นและง ่ายต ่อการฟื้นฟู รวมไปถึง เรื่องของจิตวิทยาส�ำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะจะท�ำให้เกิดผลบวกหรือลบกับความรู้สึก ของนักกีฬาได้ 6. จิตวิทยาทั่วไปและจิตวิทยาทางการกีฬา มีความส�ำคัญอย่างยิ่ง จิตวิทยาทั่วไป หรือจิตวิทยาเบื้องต้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาพฤติกรรมในแง ่มุมที่แตกต ่างทั้งภายในและ ภายนอกเพื่อให้เกิดความเข้าใจในทุกด้านในส่วนของการเจริญเติบโตอารมณ์สังคมและสติปัญญา ในแต ่ละช ่วงวัย เพื่อพิจารณาแบ ่งกลุ ่มการฝึกสอน เพื่อการพัฒนาส ่วนจิตวิทยาทางการกีฬา สามารถที่จะใช้ทั้งระหว่างเวลาฝึกสอนให้นักกีฬาฝึกซ้อมและใช้ในการแข่งขัน การกระตุ้นนักกีฬา จนเกิดแรงจูงใจ ท�ำให้นักกีฬามีความมุ ่งมั่น ส ่งผลในทางความคิด จิตใจและเกิดการพัฒนา คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 11
ทางทักษะกีฬา ให้รู้สึกเกิดความเชื่อมั่นในตัวเองมากยิ่งขึ้นและที่ส�ำคัญท�ำให้นักกีฬาสามารถที่จะ ควบคุมตัวเองในเรื่องของอารมณ์อีกด้วย 7. ความรู้ทางสถิติและรายงาน การที่จะพัฒนานักกีฬาให้ก้าวไปสู ่ความเป็นผู้ที่มี ความสมบูรณ์ทางกายและประสบความส�ำเร็จทางกีฬาได้นั้น จะต้องวางแผนจัดระบบการฝึกซ้อม อย่างมีคุณภาพ ปัจจัยส�ำคัญที่จะช่วยให้การวางแผนจัดการอย่างมีคุณภาพ คือ หลักฐานที่รวบรวม เป็นข้อมูลรายงานที่ผู้ฝึกสอนควรที่จะต้องท�ำหรือจัดท�ำขึ้น เพื่อใช้เป็นองค์ประกอบส�ำหรับการพิจารณา จัดรูปแบบการฝึกและเพื่อพิจารณาในส่วนตัวนักกีฬา เพื่อปรับปรุงแก้ไขและหรือส่งเสริมสนับสนุน ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การท�ำงานเกิดผลดีมากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกสอนต้องท�ำหน้าที่อะไรบ้าง หน้าที่ ครู (Teacher) ให้ความรู้ ทักษะ และความคิดใหม ่ๆ แก ่นักกีฬา ทั้งด้านการกีฬาและการด�ำรงชีวิต ผู้ฝึกซ้อม (Trainer) โดยการปรับปรุงสมรรถภาพ เทคนิค และทักษะ ให้นักกีฬา ผู้ให้คำแนะนำ (Instructor) แนะน�ำกิจกรรมและการฝึกปฏิบัติที่เหมาะสม และปลอดภัย ผู้สร้างแรงจูงใจ (Motivator) พัฒนาให้นักกีฬาเป็นบุคคลที่มีความเชื่อมั่น และมีก�ำลังใจ ผู้สร้างวินัย (Disciplinarian) มีความยุติธรรมและให้ความเสมอภาคกับนักกีฬา ทุกคน นักจัดการ/ผู้จัดการ (Manager) จัดระบบและวางแผนการฝึกซ้อมและการแข่งขัน ผู้บริหาร (Administrator) จัดด�ำเนินการฝึกซ้อมให้เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้อง เหมาะสม ตัวแทนสาธารณะ (Publicity Agent) การให้ข่าวสารกับสาธารณะและหรือสื่อมวลชน นักสังคมสงเคราะห์ (Social Worker) การให้ค�ำปรึกษาและแนะน�ำช่วยเหลือนักกีฬา เพื่อน (Friend) ให้ความสนิทสนมกับนักกีฬาเหมือนกับเพื่อนคนหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ (Scientist) การวิเคราะห์การประเมินผลและการแก้ไขปัญหา ของนักกีฬา นักเรียน (Student) รับฟัง เรียนรู้และแสวงหาความรู้ใหม่ๆ 12 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
การท�ำหน้าที่ผู้ฝึกสอนกีฬา จึงเปรียบเสมือนนักแสดงที่บางครั้งต้องแสดงหลายบทบาท ในเวลาเดียวกัน และต้องท�ำได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่าง ในการช่วยตัดสินใจเมื่อเจอกับปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้น การฝึกสอนกีฬาของผู้ฝึกสอนจึงจ�ำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องมีทักษะที่เกี่ยวข้องหลายๆ อย่างและท�ำหน้าที่ได้หลากหลายในเวลาเดียวกัน ผู้ฝึกสอนสามารถที่จะบันดาลให้นักกีฬาเป็นไปได้ต ่างๆ การให้ค�ำแนะน�ำนักกีฬา การให้โอกาสแสดงความคิดเห็น แสดงความสามารถได้ตามที่คิดจะท�ำให้นักกีฬาเกิดความเชื่อมั่น เป็นเหมือนก�ำลังใจเติมก�ำลังกายให้นักกีฬาในการปฏิบัติตรงกันข้ามถ้าผู้ฝึกสอนเอาแต่ติเตียน ต่อว่า ก�ำหนดกรอบและการลงโทษอย่างเข้มงวด ความสนุกสนานในการฝึกก็จะหายไปกลายเป็น แรงกดดันต่อตัวนักกีฬา เปรียบเสมือนกับเป็นการท�ำลายพลังใจและส่งผลถึงพลังกายอีกด้วย ท�ำให้บรรยากาศการฝึกตึงเครียด ซึ่งมีผลไปถึงพัฒนาการอย่างแน่นอน การที่นักกีฬาถูกต�ำหนิ ติเตียนบ่อยๆ ทั้งนอกและในระหว่างการฝึก เหมือนกับการตอกย�้ำจนเหมือนกับการเหยียบย�่ำ ท�ำร้ายจิตใจความรู้สึกและการที่นักกีฬาไม ่ค ่อยได้รับโอกาสในการเข้าร ่วมการฝึกหรือแข ่งขัน ก็จะเกิดเป็นผลลบทางใจ ทั้งการได้รับบาดเจ็บที่ขาดการดูแลหรือการรักษาอย ่างต ่อเนื่องก็ดี การสมยอมหรือตกลงกันในผลการแข่งขันระหว่างผู้ฝึกสอนด้วยกัน ซึ่งผลก็จะมาตกอยู่ที่นักกีฬา ที่ต้องปฏิบัติตามที่ผู้ฝึกสอนต้องการโดยผลประโยชน์ใดๆ ก็ตาม ดังนั้น คุณลักษณะพิเศษที่ผู้ฝึกสอนจ�ำเป็นอย่างยิ่งต้องมีอยู่ในตัวและจิตใจ คือ จรรยาบรรณ หมายถึง ความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างก�ำหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติศีลธรรม กฎศีลธรรมถ้าผู้ฝึกสอนมี นักกีฬาจะเคารพและยอมรับในกฎกติกาต่างๆ และถ่ายทอดสู่นักกีฬาของเขา จริยศึกษา หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับความเจริญงอกงามในทางความประพฤติ และการปฏิบัติเพื่อให้อยู่ในแนวทางของศีลธรรมและวัฒนธรรม คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 13
จิตวิทยาสำาหรับ ผู้ฝึกสอนกีฬา ชัยชนะไม่ใช่ความส�ำคัญทั้งหมดของกีฬา แต่หนทางที่จะไปสู่ชัยชนะ คือ สิ่งส�ำคัญกว่า ผู้ฝึกสอนกีฬา เป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับนักกีฬามากที่สุดและมีบทบาทส�ำคัญ ในการก�ำหนดโปรแกรมการฝึกซ้อม ดังนั้นจึงมีหน้าที่ในการส่งเสริมให้นักกีฬาเห็นความส�ำคัญ ของการเป็นนักกีฬาและแสดงพฤติกรรมของการเล่นกีฬาอย่างถูกต้อง โดยค�ำนึงถึงการสร้างกิจกรรม หรือโปรแกรมการฝึกซ้อมกีฬาที่มีความสนุกสนาน มีความท้าทาย เพราะจะส ่งผลให้นักกีฬา รู้สึกอยากฝึกซ้อมและอยากแข่งขันด้วยความเต็มใจ ทั้งนี้ผู้ฝึกสอนกีฬาต้องเข้าใจความแตกต่าง ของนักกีฬาแต่ละบุคคลด้วย ผู้ฝึกสอนกีฬาที่ดีควรเป็นผู้ที่มีลักษณะผู้น�ำ มองการณ์ไกลสามารถเป็นผู้น�ำทีมได้อย่างมีวิสัยทัศน์ สร้างบรรยากาศภายในทีมให้เกิดขึ้นและต้องตระหนักถึงความแตกต่างของนักกีฬาแต่ละบุคคล ซึ่งมีพื้นฐานของพฤติกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะกีฬาฟุตซอลซึ่งเป็นลักษณะกีฬาประเภททีม มีจ�ำนวนนักกีฬาหลายคน จึงมีความจ�ำเป็นต้องสร้างความอันหนึ่งอันเดียวกันของทีมให้เกิดขึ้น การน�ำหลักการทางจิตวิทยาการกีฬาไปใช้ขึ้นอยู ่กับลักษณะและพฤติกรรมการเรียนรู้ของแต ่ละ บุคคล ต้องมีความอดทนและยอมรับว่าการฝึกด้านจิตใจต้องใช้ระยะเวลาและต้องการความต่อเนื่อง ในการฝึกฝน หากละเลยหรือหยุดการฝึกเป็นระยะเวลานานก็เท่ากับว่าการฝึกนั้นไม่มีประโยชน์ใดเลย การเป็นผู้ฝึกสอนกีฬาที่ดีต้องมีความสามารถในการน�ำทีมหรือนักกีฬาของตนเองไปสู่ เป้าหมายสูงสุดได้และต้องมีความสามารถในการจัดการปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักในบทบาทหน้าที่ซึ่งต้องรับผิดชอบ แต่หากมีความเข้าใจลักษณะความแตกต่าง ของนักกีฬาแต่ละบุคคลอย่างดีปัญหาทุกอย่างจะสามารถจัดการแก้ไขได้โดยง่ายควรแสวงหาโอกาส ในการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือการฝึกอบรม การสัมมนาต่างๆเพื่อเป็นแนวทาง ในการพัฒนาทักษะส�ำหรับการดูแลและให้ค�ำปรึกษากับนักกีฬาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ของนักกีฬา โดยสรุปผู้ฝึกสอนกีฬาที่ดีต้องสามารถรับรู้บทบาทหน้าที่ของตนเองตามสภาพ ความเป็นจริงได้ 14 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
บทบาทของผู้ฝึกสอนกีฬา ผู้ฝึกสอนกีฬา มีลักษณะการท�ำงานที่ผสมผสานบทบาทหน้าที่หลายอย่างเข้าด้วยกันดังนี้ ผู้นำ ในสถานการณ์การกีฬาเมื่อสมาชิกในทีมต้องการบรรลุเป้าหมายที่ร่วมกันก�ำหนดไว้ จึงจ�ำเป็นต้องมีผู้ท�ำหน้าที่เป็นผู้น�ำ ดังนั้น ผู้ฝึกสอนกีฬาจึงมีหน้าที่ในการน�ำทีมไปยังเป้าหมาย ที่ทีมได้ร่วมกันก�ำหนดไว้ผู้ฝึกสอนกีฬาที่มีประสิทธิภาพต้องเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบในทุกสถานการณ์ แม้ในยามที่ทีมประสบความพ่ายแพ้ผิดหวังต้องสามารถให้ค�ำชี้แนะแก่นักกีฬาของตนเองได้ต้องมี ความสามารถในการคิดเทคนิคหรือกุศโลบายเพื่อวางแผนการเล่นและมีการสื่อสารที่ดี ผู้ตาม ผู้ฝึกสอนกีฬาที่ดีต้องรู้ช ่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมว ่าช ่วงใดไม ่ควรเป็นผู้น�ำ ซึ่งช่วงที่ไม่ได้เป็นผู้น�ำก็ควรเป็นผู้ตามที่ดีเพราะผู้ฝึกสอนกีฬาควรมีความสามารถในการรับฟัง เคารพการตัดสินใจ และรับรู้ความรู้สึกหรือความต้องการของนักกีฬาอย่างจริงใจ ครู ผู้ฝึกสอนกีฬาที่มีประสิทธิภาพ คือ ผู้ถ ่ายทอดความรู้ได้ดีมีความสามารถใน การเรียนรู้และพัฒนาทักษะกีฬาได้ นักกีฬาต้องได้รับการพัฒนาด้านความคิดสร้างสรรค์ ความเชื่อมั่นในตนเองและประสบความส�ำเร็จได้และสิ่งส�ำคัญต้องมีความสามารถเกี่ยวกับการสื่อสาร หรือมีรูปแบบการสอนที่สามารถสื่อให้นักกีฬาเข้าใจได้มีการแสวงหาความรู้อยู่เสมอ สามารถใช้ รูปแบบการสื่อสารได้หลากหลายเพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น ตัวแบบ ผู้ฝึกสอนกีฬามักเป็นผู้ที่นักกีฬายึดถือเป็นตัวแบบ จึงควรตระหนักว ่า การกระท�ำทุกอย ่างของผู้ฝึกสอนกีฬามีผลต ่อการปฏิบัติตามของนักกีฬาด้วย บทบาทที่มีผล ต่อการลดความน่าเชื่อถือของผู้ฝึกสอนกีฬา เช่น การติดสุรา การใช้ยาที่ผิดกฎหมาย การไม่รักษา มาตรฐานในการดูแลนักกีฬาแต่ละคน สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการลดความน่าเชื่อถือและท�ำให้ นักกีฬาสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวผู้ฝึกสอนกีฬาได้ นักจิตวิทยาหรือผู้ให้คำปรึกษา ผู้ฝึกสอนกีฬาควรเข้าถึงความรู้สึกและความต้องการ ของนักกีฬาสามารถรับฟังและตอบสนองความต้องการของนักกีฬาได้โดยต้องไม่มีท่าทีหรือวิธีการ อันใดที่ส่งผลต่อความคิดหรือความรู้สึกของนักกีฬาให้เกิดขึ้นทางลบ ตัวแทนของพ่อแม่ บทบาทของผู้ฝึกสอนกีฬามิใช ่การเป็นพ ่อแม ่ แต ่เป็นลักษณะ การดูแลเอาใจใส ่ที่มีเป้าหมายเหมือนกับเป็นพ ่อแม ่เท ่านั้น คือ การให้ความรัก ความเข้าใจ เอาใจใส่และดูแลนักกีฬาของตนเปรียบเสมือนเป็นลูกของตนเอง คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 15
การสร้างแรงจูงใจให้กับนักกีฬา การสร้างแรงจูงใจให้กับนักกีฬา มีสิ่งที่ต้องค�ำนึงถึง 2 ประการ คือ 1. ความแตกต่างของบุคคล ประกอบด้วย ความพร้อมในการเรียนรู้ระดับสติปัญญา ความพร้อมทางร่างกาย เพศ และความต้องการประสบความส�ำเร็จ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยภายใน ของแต่ละบุคคลที่มีผลต่อระดับแรงจูงใจ 2. ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อแรงจูงใจ ประกอบด้วย ระบบการให้รางวัลรูปแบบการฝึก ประเภท และชนิดของกีฬารวมถึงปัจจัยด้านวัฒนธรรมและสังคม หลักการเกิดพฤติกรรม การท�ำความเข้าใจกับหลักของพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกสอนกีฬาต้องเรียนรู้และเข้าใจ มีค�ำกล่าวที่ว่า ผู้ฝึกสอนกีฬาที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นนักจิตวิทยาการกีฬาที่ดี เพราะองค์ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาการกีฬาเป็นการอธิบายพฤติกรรมของบุคคลซึ่งล้วนมาจากความคิด ความรู้สึกที่อยู ่ภายในตัวบุคคล ดังนั้นความสามารถในการใช้ทักษะเพื่อท�ำความเข้าใจและ ปรับพฤติกรรมของนักกีฬาได้จึงเป็นสิ่งจ�ำเป็น ซึ่งประเด็นหลักที่ควรค�ำนึงถึงในการท�ำหน้าที่ ผู้ฝึกสอนกีฬาให้มีประสิทธิภาพ คือ การท�ำหน้าที่เป็นผู้สื่อสารที่ดีโดยเป้าหมายของการสื่อสาร คือ การท�ำความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับข่าวสาร ผู้ฝึกสอนกีฬาต้องสามารถ สร้างแรงจูงใจ และจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของนักกีฬาได้โดยแนวทางการจัดการกับพฤติกรรม ที่ไม่พึงประสงค์ของนักกีฬา ประกอบด้วย การเป็นผู้สื่อสารที่ดีการสร้างแรงจูงใจให้นักกีฬา และการท�ำให้นักกีฬารู้สึกสนุกกับการเล่นกีฬา โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ การจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ หมายถึง พฤติกรรมที่สมวัย สมอายุ ถูกกาลเทศะเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ส่งเสริมการเรียนรู้และการเข้าสังคม ไม่มีพฤติกรรมที่ท�ำร้ายตนเอง และผู้อื่น สามารถด�ำเนินชีวิตประจ�ำวันเยี่ยงปกติได้ซึ่งมีความหมายตรงข้ามกับพฤติกรรม ที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งหมายถึงพฤติกรรมที่ไม่สมวัย ไม่สมอายุ ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่เข้ากับสถานการณ์ ขัดขวางการเรียนรู้และการเข้าสังคม โดยเฉพาะพฤติกรรมการท�ำร้ายตนเองและผู้อื่น ท�ำให้ไม่สามารถด�ำเนินชีวิตประจ�ำวันตามปกติได้ 16 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
เทคนิคการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ มีอยู่หลายวิธีการ ซึ่งประกอบด้วย การลงโทษ เช่น การดุ การไม่ให้สิ่งของหรือไม่ให้ท�ำกิจกรรมที่ชอบ การเพิกเฉย การให้ของ หรือให้ท�ำพฤติกรรมที่ไม่ชอบ การจับล็อค การปิดตา การตีการให้ท�ำพฤติกรรมที่สังคมยอมรับ การขยายเวลาในการสอนให้นานขึ้น เพื่อไม่ให้มีเวลาไปท�ำพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์การเบี่ยงเบน ความสนใจเป็นต้น ซึ่งในสถานการณ์การกีฬาสิ่งที่น�ำมาใช้ในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และเกิดประโยชน์สูงสุด คือ การเป็นผู้สื่อสารที่ดีการสร้างแรงจูงใจให้นักกีฬา การสร้าง ความสนุกสนานให้นักกีฬา การสร้างความรู้สึกว ่าตนเองมีคุณค ่า ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่มี ความยั่งยืนมากกว่าการลงโทษด้วยวิธีรุนแรง โดยมีวิธีการดังต่อไปนี้ 1. การเป็นผู้สื่อสารที่ดี มีสิ่งที่ควรค�ำนึง 3 ประการ คือ 1.1 ผู้ส่งและผู้รับข้อความ การเป็นผู้พูดที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเป็นผู้ฟังที่ดีเป็นสิ่งสำคัญกว่าเพราะหาก มีทักษะการพูดที่ดีเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีความสามารถในการรับฟัง ย่อมก่อให้เกิดการสูญเสีย โอกาสในการรับฟังปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นควรมีการพัฒนาทักษะการฟังควบคู่ไปกับ ทักษะการพูดร่วมด้วย โดยผู้ฝึกสอนกีฬาต้องให้ความสนใจขณะมีการสนทนา พยายามหลีกเลี่ยง การขัดจังหวะการพูด ควรมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสมกับความหมายที่นักกีฬา สื่อออกมา เช่น มีการพูดถึงสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่มีความสุข ควรแสดงอาการยิ้มรับ ผนวกกับ การแสดงความเข้าใจหรือความเห็นใจผ ่านทางสายตาร ่วมด้วย จากค�ำกล ่าวที่ว ่า “ดวงตา เป็นหน้าต่างของหัวใจ” จึงเป็นสิ่งที่เป็นจริงเสมอมา เพราะแววตาที่เปล่งประกายออกมาสามารถ สะกดความรู้สึกของคู่สนทนาได้เสมอ ท�ำให้รับรู้ว่าขณะนี้คู่สนทนาก�ำลังรู้สึกอย่างไร ผู้ส่งและผู้รับข้อความ ควรมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ควรให้ความสนใจใน ทุกประโยคที่เปล่งออกมาจากการสนทนาครั้งนั้น เพราะข้อความที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นค�ำพูด เป็นสิ่งที่บ ่งบอกถึงตัวตน สิ่งที่ต้องการหรือความรู้สึกนึกคิดที่อยู ่ภายในจิตใจของคนเราเสมอ ขณะเดียวกันต้องท�ำหน้าที่เป็นผู้รับข้อความที่มีประสิทธิภาพด้วย คือ มีความตั้งใจ สามารถ จับประเด็นการสนทนาได้อย ่างถูกต้องและตอบสนองข้อความนั้นได้อย ่างสมเหตุสมผล และตรงประเด็นเสมอ คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 17
1.2 ภาษาพูดและภาษาท่าทาง ภาษาพูดเป็นสิ่งที่คุ้นเคยกันเป็นอย ่างดีแต ่การพูดนับเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้ และฝึกฝน เมื่ออยู ่ในฐานะผู้ฝึกสอนกีฬาสิ่งที่ควรระลึกอยู ่เสมอ คือ การเป็นแบบอย ่างที่ดี กับนักกีฬา สามารถสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในตัวเองขณะเดียวกันต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับ นักกีฬาได้นอกจากภาษาพูดแล้วการพัฒนาการสื่อสารด้วยภาษาท่าทางเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ ซึ่งลักษณะการใช้ภาษาท่าทาง ประกอบด้วย5ลักษณะคือการเคลื่อนไหวของร่างกายลักษณะทาง ร่างกายการสัมผัส น�้ำเสียงและต�ำแหน่งร่างกายการพัฒนาภาษาท่าทางให้ประสบความส�ำเร็จนั้น ควรสังเกตข้อมูลย้อนกลับหลังจากที่ได้ส่งข้อความและรับข้อความตอบกลับนั้นแล้วเพื่อตรวจสอบ ผลตอบรับในสิ่งที่ได้แสดงลักษณะการสื่อสารออกไป ซึ่งในแต่ละลักษณะการใช้ภาษาท่าทางมีดังนี้ การเคลื่อนไหวของร่างกายเป็นการเคลื่อนไหวโดยใช้อวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย ควรให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น การเคลื่อนไหวของมือ ขณะพูดเพื่ออธิบายสิ่งต่างๆ ควรให้อยู่ในลักษณะที่มีการเคลื่อนไหวอย่างเหมาะสม คือ ไม่แกว่งมือหรือโบกสะบัดมากเกินไป หรือการอยู่นิ่งไม่ขยับเลยก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเพราะจะท�ำให้ขาดความรู้สึกยืดหยุ่น ลักษณะทางร่างกาย เป็นการแสดงออกทางร่างกายเช่น การยืน การนั่งการกอดอก ท่าทางต่างๆ มีผลต่อนักกีฬาที่จะให้ความหมายของการแสดงออกนั้นได้ต่างๆ นานาซึ่งอาจมีความถูกต้อง และไม่ถูกต้องได้เสมอ การสัมผัส เป็นการสัมผัสด้วยอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น การตบไหล่เบาๆ การวางมือที่หน้าขาขณะนั่งสนทนาร ่วมกัน เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ หรือแสดงความเข้าใจในสิ่งที่นักกีฬาแสดงออกมา การสัมผัสเป็นสิ่งที่ท�ำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และก่อให้เกิดความรู้สึกมั่นคง น้ำเสียง น�้ำเสียงที่น�ำมาใช้ควรเป็นน�้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่มีความชัดเจนและหนักแน่น หลีกเลี่ยงการใช้น�้ำเสียงแข็งกระด้าง เสียงดังเหมือนพูดตะโกนตลอดเวลา เพราะจะท�ำให้นักกีฬา เกิดความรู้สึกไม ่ไว้วางใจ อีกทั้งยังสร้างความรู้สึกกลัวมากกว ่าความรู้สึกสงบ สบายใจ และ การระบายความรู้สึกคับข้องใจของนักกีฬาได้ ตำแหน่งร่างกายการจัดวางต�ำแหน่งของร่างกายเช่น การยืน การนั่งการสบสายตา ควรมีระยะที่เหมาะสมไม ่ใกล้จนรู้สึกอึดอัด ขาดความเป็นส ่วนตัว หรือไกลจนไม ่สามารถ ส่งข้อความหรือความรู้สึกต่อกันได้การนั่งหรือการยืนควรมีระยะห่างพอประมาณหรือหนึ่งช่วงไหล่ เพื่อไม ่ต้องใช้วิธีการตะโกนคุยกันและขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้มีการสัมผัสร ่างกาย อย่างเหมาะสมได้ในระยะพอดี 18 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
1.3. เนื้อหาและสภาพอารมณ์ เนื้อหาหรือข้อความที่ส ่งออกไปควรเป็นเนื้อหาที่มี สาระเหมาะสมกับเรื่องที่หยิบยกมาสนทนา หากการสนทนาครั้งนั้นยังไม ่สามารถเริ่มต้นด้วย เนื้อหาใดเป็นหลักได้อาจให้เลือกประเด็นที่เป็นความสนใจร่วมกันมาเป็นประเด็นเปิดการสนทนา เพราะจะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดส�ำหรับการเริ่มต้น พึงระลึกว่าไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาสาระในเรื่องใดก็ตาม ขอเพียงให้มีเนื้อหาและเป็นประโยชน์ต ่อการพัฒนานักกีฬาไปสู ่ความส�ำเร็จ นอกจากเนื้อหา ที่ต้องมีสาระและเป็นประโยชน์แล้ว ทุกขณะที่มีการส่งข้อความต้องให้ความส�ำคัญกับสภาพอารมณ์ ในขณะนั้นด้วยว่ามีความรู้สึกและแสดงออกไปอย่างสมเหตุสมผลกับสถานการณ์หรือไม่ ขั้นตอนการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างผู้ฝึกสอนกีฬากับนักกีฬา เป้าหมายของการสื่อสาร คือ การท�ำความเข้าใจร่วมกันระหว่างบุคคลที่ส่งข้อความ และบุคคลที่รับข้อความ โดยกระบวนการส่งข้อความหรือส่งสารจากผู้ฝึกสอนกีฬาไปยังนักกีฬา มี6 ขั้นตอนด้วยกัน คือ 1. ผู้ฝึกสอนกีฬา คิดในสิ่งที่จะน�ำไปถ่ายทอดกับนักกีฬา 2. ผู้ฝึกสอนกีฬา ท�ำการแปลในสิ่งที่คิดให้เป็นข้อความที่เหมาะสมส�ำหรับการส่งต่อ ข้อความนั้นสู่นักกีฬา 3. ผู้ฝึกสอนกีฬาถ่ายทอดข้อความในรูปแบบของการสื่อสารแบบใดแบบหนึ่งกับนักกีฬา (ภาษาค�ำพูดหรือภาษาท่าทาง) 4. นักกีฬา รับข้อความที่ผู้ฝึกสอนกีฬาถ่ายทอดมา (ถ้านักกีฬาให้ความสนใจ) 5. นักกีฬา ท�ำการตีความหมายข้อความที่ได้รับ 6. นักกีฬา ตอบสนองต่อข้อความที่ได้รับจากผู้ฝึกสอนกีฬา สาเหตุที่ท�ำให้การสื่อสารขาดประสิทธิภาพระหว่างผู้ฝึกสอนกีฬากับนักกีฬา 1. เนื้อหาที่สื่อออกไปไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ 2. การถ่ายทอดข้อความไม่มีภาษาพูดหรือภาษาท่าทางที่ดีพอ 3. นักกีฬาไม่ได้รับข้อความที่ส่งไปเพราะขาดความสนใจ 4. นักกีฬาขาดการฟังหรือทักษะการสื่อสารด้วยภาษาท ่าทาง ท�ำให้ตีความหมาย ของข้อความผิดพลาดหรือไม่เข้าใจข้อความนั้น คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 19
5. นักกีฬาเข้าใจความหมายของข้อความ แต ่ตีความหมายข้อความผิดพลาดไป จากความเป็นจริง 6. ข้อความที่ผู้ฝึกสอนกีฬาส่งไปขาดประสิทธิภาพ หรือนักกีฬาสับสนเกี่ยวกับความหมาย 2. การสร้างแรงจูงใจให้นักกีฬา แรงจูงใจมีอิทธิพลต ่อรูปแบบการคิดและผลักดัน ให้เกิดพฤติกรรม นอกจากนั้นแรงจูงใจยังเป็นตัวขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการ ที่พึงปรารถนา สิ่งที่นักกีฬาต้องการมากที่สุดมี2 ประการคือ ความสนุก ซึ่งเป็นสิ่งที่ท�ำให้เกิด การปลุกเร้าหรือเป็นการกระตุ้นและสร้างความตื่นเต้น และความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า มีความสามารถ และมีโอกาสที่ประสบความส�ำเร็จได้ 3. การสร้างความสนุกสนานให้นักกีฬา มนุษย์เกิดมาพร้อมกับความต้องการในการปลุกเร้า และความตื่นเต้น ซึ่งในทางกีฬาได้ค�ำนึงถึงระดับการกระตุ้นที่เหมาะสม และการมีประสบการณ์ ไหลลื่น ซึ่งระดับของความท้าทายที่เหมาะสมย่อมน�ำไปสู่ความสนุกในการฝึกซ้อม การสร้างความสนุก ในการฝึกซ้อมจ�ำเป็นต้องค�ำนึงถึงแหล่งที่มาของความสนุกร่วมด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งของความสนุก ต้องมาจากการยอมรับเหตุผลส�ำหรับการเข้าร่วมกิจกรรมกีฬาต้องมีการสร้างกิจกรรมที่สร้างสรรค์ สิ่งแวดล้อมภายในทีมให้เกิดความน่าสนใจท้าทาย และน่าตื่นเต้นอยู่เสมอ 4. นักกีฬาต้องการความรู้สึกมีคุณค่าไม่ว่าผลการแข่งขันจะแพ้หรือชนะก็ตาม นักกีฬา ต้องตระหนักว่าตนเองมีคุณค่าอยู่เสมอเปิดโอกาสให้นักกีฬาได้ใช้ความคิดในการจินตนาการเกี่ยวกับ ตนเองในทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงและเตรียมพร้อมรับกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ให้ความส�ำคัญกับความคิดของนักกีฬาว่านักกีฬาคิดอย่างไรเมื่อได้รับชัยชนะและนักกีฬาคิดอย่างไร เมื่อได้รับความพ่ายแพ้ค�ำตอบของนักกีฬาจะเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นความคิดและการมองเห็นคุณค่า ในตนเองเป็นอย่างดี 20 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
แนวทางการสร้างแรงจูงใจให้กับนักกีฬา ผู้ฝึกสอนกีฬา ควรหล ่อหลอมให้นักกีฬาตระหนักอยู ่เสมอว ่าความส�ำเร็จไม ่ใช ่อยู ่ที่ ชัยชนะเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความเพียรพยายาม ความมุ่งมั่น ความอุตสาหะในการฝึกซ้อม และได้รับประสบการณ์ที่แปลกใหม ่ในสถานการณ์ต ่างๆ อยู ่เสมอ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ท�ำให้ เกิดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาต ่อไป ควรกระตุ้นให้นักกีฬามีการก�ำหนดเป้าหมายของตนเอง ที่ตรงตามสภาพความเป็นจริงและย�้ำเตือนให้ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเองก�ำหนดไว้อย ่างต ่อเนื่อง มีการตรวจสอบและปรับปรุงเป้าหมายของตนเองอย่างสม�่ำเสมอและต้องยอมรับความแตกต่าง ระหว่างบุคคล ผู้ฝึกสอนกีฬา เพื่อน ผู้ชม ผู้ปกครอง และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ มีส่วนช่วยในการส่งเสริม สุขภาพจิตแก่นักกีฬาได้เป็นอย่างมากแต่ควรต้องท�ำอย่างสม�่ำเสมอและต่อเนื่องโดยใช้กระบวนการ และวิธีการดังต่อไปนี้ • การให้ค�ำชมเชย ยกย่อง แสดงออกซึ่งการยอมรับซึ่งกันและกัน • การให้ความอบอุ่นและความสัมพันธ์ที่ดี • การให้ก�ำลังใจ การไปร่วมเชียร์เมื่อมีการแข่งขัน • การฝึกทักษะจิตใจเช่น การก�ำหนดเป้าหมายการควบคุมอารมณ์การลดความวิตกกังวล การสร้างจินตภาพ เป็นต้น • การจัดสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ให้เอื้อต่อความพึงพอใจของนักกีฬาสอน แนะน�ำ หล่อหลอมให้มีความรู้สึกนึกคิดเชิงสร้างสรรค์อยู่เสมอ • จัดโปรแกรมการฝึกซ้อมให้เกิดการสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดีเช ่น การให้โอกาส ประสบผลส�ำเร็จ ให้ทราบความก้าวหน้า เพื่อสะสมความสุขและความพึงพอใจทีละเล็กละน้อย • สร้างความมั่นคงในอนาคตแก่นักกีฬา เช่น ความมั่นคงในการเรียนหรือการด�ำเนินชีวิต การฝึกทักษะทางจิตใจส�ำหรับนักกีฬา การน�ำทักษะทางจิตใจไปใช้ร่วมกับการฝึกซ้อมทางร่างกายและทักษะกีฬา จะท�ำให้เพิ่ม ความสามารถในการเรียนรู้ของนักกีฬาได้ดีขึ้น ซึ่งผู้ฝึกสอนสามารถน�ำแนวทางการฝึกทักษะทางจิตใจ ต่างๆ ไปประยุกต์ใช้ในช่วงการฝึกซ้อมทักษะกีฬาได้เช่น 1. การก�ำหนดเป้าหมายในการฝึกซ้อมแต ่ละวันและมีการประเมินผลเพื่อปรับปรุง หรือเสริมแรงหากนักกีฬาสามารถบรรลุเป้าหมายในการฝึกวันนั้นได้เป็นอย่างดี คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 21
2. การพูดกับตนเอง เพื่อเป็นการก�ำหนดสัญญาณก ่อนการแสดงทักษะกีฬา เช ่น พูดกับตนเองว่า “พร้อม” ในขณะที่จะเตะลูกโทษ 3. การจินตภาพ เพื่อการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองและเป็นการเก็บสะสมข้อมูล ที่ต้องการให้เกิดขึ้นจริงไว้ในสมอง เช่น จินตภาพว่าตนเองก�ำลังอยู่ในสถานการณ์การแข่งขัน และแสดงทักษะได้สมบูรณ์อย่างที่ฝึกซ้อมหรือจินตภาพทักษะกีฬา เช่น ทักษะการเลี้ยง – ส่ง บอล ทักษะการยิงประตู 4. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดได้รับการผ่อนคลาย 5. การสร้างสมาธิเพื่อรักษาความสงบในจิตใจและลดความตื่นเต้น ความกลัวความวิตก กังวลที่มาจากสถานการณ์หรือความคาดหวังของนักกีฬาเองอาจท�ำได้ด้วยวิธีการก�ำหนดลมหายใจ เข้า – ออกอย่างช้าๆ การสร้างความสามัคคีภายในทีม ความสามัคคีภายในทีม (Team cohesion) เป็นหัวใจของความส�ำเร็จในการแข่งขันกีฬา และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ความสามัคคีมีความจ�ำเป็นส�ำหรับนักกีฬาประเภททีมมาก เพราะความสามัคคีเป็นกระบวนการของความสัมพันธ์ ทุกคนที่อยู่ร่วมกันถือเป็นสมาชิกในทีม ต้องมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจึงจะส่งเสริมให้ทีมไปสู่เป้าหมายสูงสุดได้สมาชิกในทีมต้องรับทราบ บทบาทหน้าที่ของตนเองตามสภาพความเป็นจริง เพื่อให้แสดงบทบาทของตนเองได้อย่างถูกต้อง และช ่วยลดการเกิดปัญหาความขัดแย้งที่มาจากความไม ่เข้าใจในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ความสามัคคีในการกีฬาสามารถส่งผลต่อระดับแรงจูงใจและการแสดงความสามารถของนักกีฬา แต่ละบุคคล ซึ่งลักษณะของความสามัคคีแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ 1. การรวมกลุ่มทางสังคม (Social cohesion) เป็นการรวมกลุ่มที่เกิดจากการมีความรู้สึก ที่ดีต ่อกัน ก ่อให้เกิดเป็นทีมสปิริต (Team spirit) ซึ่งจะน�ำไปสู ่การฝึกซ้อมที่สนุกสนานและ การแข่งขันอย่างมีความสุข 2. การรวมกลุ่มด้วยงาน (Task cohesion) เป็นการรวมกลุ ่มเพื่อมุ ่งหวังให้ทีม ประสบความส�ำเร็จในการแข่งขันก่อให้เกิดการท�ำงานเป็นทีม (Team work) 22 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
วิธีการสร้างความสามัคคี 1. เรียนรู้และท�ำความเข้าใจบุคลิกภาพของนักกีฬาแต่ละบุคคล 2. สร้างแรงจูงใจให้กับนักกีฬาทุกคนอย่างสม�่ำเสมอด้วยการกระตุ้นการรับรู้ความสามารถ ของตนเอง เช ่น การก�ำหนดเป้าหมายรายบุคคลและเป้าหมายของทีมในช ่วงการฝึกซ้อม และมีการประเมินผลหลังการฝึกซ้อมทุกครั้ง ทั้งนี้ผู้ฝึกสอนกีฬาต้องให้ความใส่ใจกับเป้าหมาย ที่นักกีฬาแต่ละบุคคลก�ำหนดขึ้นตั้งแต่แรก ซึ่งต้องเน้นเป้าหมายที่ยากขึ้นแต่สามารถท�ำได้จริง ในระยะเวลาที่เหมาะสม 3. มีการให้แรงเสริมที่เหมาะสมตามโอกาส คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 23
พั การฝึกสอนที่จะท�ำให้เกิดผลดีมีความส�ำเร็จได้นั้น องค์ประกอบไม ่ได้อยู ่ที่รูปแบบ ของการฝึกซ้อมเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องใช้ความรู้เรื่องของพัฒนาการทางร่างกายผู้เล่นด้วย เพราะระยะของการพัฒนาร่างกายของผู้เล่นแต่ละคนแต่ละกลุ่มอายุจะแตกต่างกัน เมื่อผู้ฝึกสอน มีความรู้ในส ่วนนี้ก็จะมีแนวการฝึกที่ถูกต้องเหมาะสม และยังน�ำไปใช้ในการเตรียมร ่างกาย เพื่อเป็นการสร้างพื้นฐานส�ำหรับการฝึกซ้อมที่หนักและยากขึ้นในวันข้างหน้า พัฒนาการและปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาการของบุคคล พัฒนาการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงด้านต ่างๆ เช ่น ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของบุคคลอย่างมีขั้นตอนและเป็นระเบียบแบบแผน นับแต่เริ่มปฏิสนธิจนกระทั่ง เสียชีวิต โดยมากจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพ เพื่อให้บุคคลนั้นพร้อมจะแสดง ความสามารถในการกระท�ำกิจกรรมใหม่ๆ ที่เหมาะสมกับวัย ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของมนุษย์ พัฒนาการด้านต ่างๆ ของบุคคลจะสมบูรณ์ได้นั้นจ�ำเป็นต้องอาศัยปัจจัยส�ำคัญ 3 ประการ คือ 1. การเจริญเติบโต (Growth) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างส ่วนต ่างๆ ของร่างกายที่เกี่ยวกับขนาด น�้ำหนัก สัดส่วน กระดูก กล้ามเนื้อ รูปร่าง เป็นการเปลี่ยนแปลง ในเชิงปริมาณ การเจริญเติบโตจะเป็นปัจจัยแรกที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการในด้านต่างๆ ของบุคคล 2. วุฒิภาวะ (Maturation) หมายถึง การเจริญเติบโตของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งจะเกิดขึ้นกับบุคคลตามล�ำดับขั้น และเป็นไปตามธรรมชาติจนถึงสูงสุด มีผลท�ำให้บุคคลนั้น เกิดความพร้อมที่จะกระท�ำกิจกรรมต่างๆ ได้เหมาะสมกับวัย 3. การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างค่อนข้างถาวร โดยอาศัยการฝึกฝน ฝึกหัด หรือประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ยิ่งมีการฝึกหัดมากเท่าไรการแสดงพฤติกรรม เหล่านั้นก็จะเกิดความเชี่ยวชาญมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเรียนรู้จึงมีความสัมพันธ์กับ การเจริญเติบโตและวุฒิภาวะในการเกิดพัฒนาการด้านต่างๆ ฒนาการของร่างกาย 24 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
พัฒนาการของบุคคลในวัยต่างๆ วัยเด็ก (Childhood) เป็นวัยที่พัฒนาต ่อจากวัยทารก จัดอยู ่ในช ่วงอายุ 2-12 ปี เป็นระยะที่ร่างกายเจริญเติบโตช้าลงกว่าวัยทารก โดยเฉพาะระยะแรกเริ่มต้นของวัย (3-5 ปี) ความสูงจะมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก แต่จะไปแสดงในช่วงปลายวัย โดยทั่วไปกระดูกและกล้ามเนื้อ จะเจริญเติบโตและแข็งแรงขึ้น เป็นวัยที่เด็กจะเริ่มควบคุมร่างกายและอวัยวะต่างๆ ให้ท�ำงาน ประสานกันได้ตามต้องการของตน เนื่องจากเป็นวัยที่เริ่มจะท�ำอะไรด้วยตนเองและเกิดพัฒนาการ ใช้อวัยวะต่างๆ เด็กจึงมักไม่อยู่นิ่งจะกระโดดโลดเต้น ปีนป่ายหรือขีดเขียน ผู้ใหญ่จึงมักเรียกว่า “วัยซน” เด็กเริ่มเรียนรู้ที่จะแสดงพฤติกรรมตอบสนองอารมณ์จากพ ่อแม ่คนใกล้ชิดรอบข้าง โดยธรรมชาติของเด็กจะแสดงอารมณ์อย่างเปิดเผยไม่ปิดบังซ่อนเร้น แต่แปรปรวนง่าย อารมณ์ไม่มั่นคง เกิดง่ายหายเร็ว จะเริ่มเรียนรู้ร่วมกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่ พี่น้องของตน มีความสงสัย อยากรู้อยากเห็น ซึ่งเป็นพัฒนาการทางสมองและมักจะกลัวในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล เช่น ความมืด หรือ สิ่งที่ผู้ใหญ่บอกเล่า แต่สิ่งที่ส�ำคัญสติปัญญาจะเริ่มพัฒนาการมากขึ้นกว่าเดิม จะเริ่มเรียนรู้เข้าใจ สัญลักษณ์และค�ำศัพท์ต่างๆ เพิ่มขึ้น เป็นวัยที่ชอบลอกเลียนแบบทั้งการพูดและกิริยาท่าทาง จากผู้ใหญ่จนบางครั้งเหมือนกับพวกเขาพูดและมีท่าทางเกินวัย วัยเด็กตอนกลาง ระหว่างอายุ6-9 ปีจะมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก การเจริญเติบโต ของร่างกาย กระดูก และกล้ามเนื้อเป็นไปอย่างช้าๆ จะมีความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวร่างกาย ได้ดีขึ้นกว่าเดิม สามารถควบคุมอวัยวะต่างๆ ให้ท�ำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็น ผลมาจากพัฒนาการในวัยเด็กตอนต้นที่ผ่านไป ในช่วงระยะเวลานี้เด็กจึงมักจะใช้ประสิทธิภาพ ของร่างกายดังกล่าวในการท�ำกิจกรรมด้านการเรียนและด้านกีฬาที่เขาต้องการได้เป็นอย่างดี เริ่มที่จะควบคุมอารมณ์ต่างๆ ได้บ้างแล้ว พัฒนาการทางด้านอารมณ์ของเด็กวัยนี้จะเต็มไปด้วย ความสนุกสนาน ร่าเริง และมีความสุขกับการที่ได้ท�ำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับเพื่อน จนบางครั้ง ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย โดยผู้ใหญ่มักเรียกวัยนี้ว่า “วัยสนุกสนาน” อย่างไรก็ตาม วัยนี้ยังจะท�ำกิจกรรมร่วมกันในระหว่างผู้หญิงและผู้ชายยังไม่มีการแบ่งกลุ่มที่ชัดเจน จะลดความเป็นจุดศูนย์กลางของตัวเองลง จะให้ความส�ำคัญในความคิดของผู้อื่นและกระท�ำ ในสิ่งที่ผู้อื่นปรารถนามากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนจะแน่นแฟ้น จะเรียนรู้วิธีท�ำกิจกรรมเป็นกลุ่ม เด็กที่มีนิสัยคล้ายกันจะเริ่มรวมกลุ่มกัน เอื้อเฟื้อกัน แบ่งปันกัน รู้จักใช้ความคิดอย่างมีเหตุผล ในการตัดสินใจ เลือกท�ำในสิ่งที่ตนต้องการและใช้วิธีแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยตัวของเขาเอง มีความรับผิดชอบมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถจดจ�ำสิ่งต ่างๆ ที่ได้เรียนรู้อย ่างแม ่นย�ำ เช ่น เรียงล�ำดับตัวเลขที่ไม่มากนัก จากน้อยไปหามาก หรือจากมากไปหาน้อย แยกแยะสีต่างๆได้เพิ่มขึ้น คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 25
วัยเด็กตอนปลาย ระหว่างอายุ 10-12 ปีถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ส�ำคัญ เนื่องจากเป็นวัย ที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในทุกด้านหลายประการ ส่วนของร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะผู้หญิงจะแสดงอาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย โดยจะมีน�้ำหนัก และส่วนสูงเพิ่มขึ้นเมื่ออายุ 10 ปีครึ่ง ในขณะที่เด็กผู้ชายเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุ 12 ปีครึ่ง ดังนั้น เด็กผู้หญิงจึงเข้าสู่วัยรุ่นหรือแตกเนื้อสาว (Puberty) เร็วกว่าเด็กผู้ชาย2 ปีเป็นการเปลี่ยนแปลง จากวัยเด็กไปสู่วัยรุ่น วัยนี้จะมีความคล่องตัวในการท�ำกิจกรรมมากกว่าเด็กวัยตอนต้นและเด็ก วัยตอนกลาง สามารถควบคุมการท�ำงานของร่างกาย เช่น มือ เท้า ตา ให้เกิดการประสานงานกัน อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เด็กจะใช้ประสิทธิภาพทางร่างกายเหล่านี้ท�ำกิจกรรมต่างๆ ตอบสนอง ความต้องการของตนอย ่างเต็มที่ จะควบคุมอารมณ์ได้บ้าง เรียนรู้การแสดงอารมณ์ที่รุนแรง และไม่มีการควบคุม ไม่ค่อยยอมรับการต�ำหนิเด็กบางคนเริ่มที่จะมีความเครียดจากปัญหาการคบเพื่อน และการท�ำให้เพื่อนยอมรับตน ซึ่งบางครั้งแสดงออกด้วยการแข่งขันแม้กระทั่งในกิจกรรมต่างๆ พัฒนาการที่ส�ำคัญด้านหนึ่งส�ำหรับเด็กวัยนี้คือ การแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง จากความเป็นเด็กเข้าสู ่วัยรุ ่น กล ่าวคือ จะเริ่มมีการแบ ่งกลุ ่มระหว ่างเพศหญิงและเพศชาย ขณะเดียวกันก็จะเลือกท�ำกิจกรรมที่เหมาะสมกับเพศของตน เพื่อนในวัยเดียวกันก็จะเริ่มเข้ามา มีบทบาท มีอิทธิพลต ่อความคิดและการกระท�ำมากขึ้น ในด้านสติปัญญาจะเริ่มมีความคิด แบบสร้างจินตนาการได้กว้างไกลขึ้น สามารถคิดเปรียบเทียบจนเกิดความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ และความแตกต่างระหว่างสิ่งทั้งหลายรอบตัว มีความจ�ำที่แม่นย�ำขึ้นกว่าเดิม วัยรุ่น (Adolescence) จะอยู่ในช่วงอายุ12-20 ปีเป็นวัยที่มีความส�ำคัญมากวัยหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เนื่องจากเป็นวัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการ ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์ร่างกาย สังคม และสติปัญญา เพื่อเปลี่ยนแปลงจากภาวะเด็ก ไปสู่ภาวะผู้ใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างรวดเร็วและชัดเจนในหลายด้านทั้งน�้ำหนัก ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น เริ่มแสดงสัดส่วนของความเป็นผู้ใหญ่ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงและแสดงสัญลักษณ์ ทางเพศ (Sex Characteristics) อย่างชัดเจน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเป็นผลมาจากการท�ำงานของฮอร์โมน จากต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) และต่อมเพศ (Gonads Gland) เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงระหว่างเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายจะมีความแตกต่างกันดังนี้ เด็กผู้หญิง จะเริ่มมีรอบเดือน (Menstruation) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้น การเป็นวัยรุ่นของเด็กผู้หญิง ส่วนจะเริ่มต้นอายุเท่าใดขึ้นอยู่กับสุขภาพและพันธุกรรมของแต่ละบุคคล ซึ่งโดยเฉลี่ยเด็กไทยจะเริ่มประมาณอายุ 12 ปี6 เดือน จากนั้นจะเริ่มมีหน้าอก สะโพกเริ่มขยาย เนื่องจากมีไขมันเพิ่มขึ้น เสียงเริ่มเล็กใส มีขนลับขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ เป็นต้น โดยทั่วไปเด็กผู้หญิง จะเปลี่ยนแปลงด้านความสูงโดยเฉลี่ยมากกว่าเด็กผู้ชายในวัยเดียวกัน 26 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
เด็กผู้ชาย อัณฑะจะเจริญเต็มที่และเริ่มต้นผลิตอสุจิ(Sperm) ในช่วงอายุประมาณ 14 ปี6 เดือน จากนั้นหน้าอกจะเริ่มแตกพาน กล้ามเนื้อบริเวณไหล่ หน้าอก และแขนจะเพิ่มขึ้น มักจะปรากฏหนวดและขนบริเวณหน้าอกและอวัยวะเพศ อวัยวะเพศจะเจริญคล้ายผู้ใหญ ่ เกิดการฝันเปียกและเสียงแตกห้าว เป็นต้น การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจะเกิดช่วงระยะแรกของวัย และจะเริ่มช้าลงเมื่อเข้าสู่ วัยรุ่นตอนปลาย ธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่นในช่วงต้นนี้บางคนที่ไม่ได้เตรียมตัวกับการเปลี่ยนแปลง ไว้ล่วงหน้าอาจเกิดปัญหากับการปรับตัวในระยะแรก ซึ่งจะส่งผลต่ออารมณ์และสังคมตามมาได้วัยรุ่น มักจะแสดงอารมณ์อย่างเปิดเผยและมีความรู้สึกค่อนข้างรุนแรงแปรปรวนง่าย เช่น บางครั้งรู้สึกมีความสุข แต่บางครั้งรู้สึกหดหู่ บางครั้งโอบอ้อมอารีแต่บางครั้งอาจเห็นแก่ตัวแบบเด็กๆ ไม่ค่อยยอมใครง่ายๆ จึงมักขัดแย้งกับผู้ใหญ่เสมอ วัยนี้มักจะเกิดความขัดแย้งในใจอยู่เสมอ เช่น บางครั้งอยากเป็นผู้ใหญ่ จะได้ท�ำตามใจตัวเอง แต่บางครั้งอยากสบายแบบเด็กๆ ที่มีคนเอาใจใส่ดูแล นอกจากนี้ยังมักมี ความวิตกกังวลสูงในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องรูปร่างหน้าตา ซึ่งจะให้ความสนใจ เอาใจใส่เรื่องความสวยงาม และความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดกับตนเองมากขึ้นกว่าเดิม เช่น กลัวจะสูงหรือเตี้ยเกินไป ลักษณะเด่นที่ส�ำคัญอย่างหนึ่ง คือ เป็นวัยที่เด็กจะต้องเผชิญกับความคาดหวังจากผู้ใหญ่ มากกว่าวัยที่ผ่านไป จะเริ่มพึ่งพาตนเองแบบผู้ใหญ่มากขึ้น เริ่มรู้จักรับผิดชอบต่อตัวเอง ต้องเกิด การปรับตัวอย่างมาก จะพยายามค้นหาเอกลักษณ์ของตนเอง สร้างทัศนคติและคุณค่าแห่งชีวิต จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันมากกว่าพ่อแม่ จากการพยายามค้นหาตัวเองอย่างแท้จริงในแง่มุมต่างๆ เช่น ความชอบ ความถนัด ความสนใจ เป้าหมายชีวิต การเลือกอาชีพ แม้กระทั่งปรัชญาในการด�ำเนินชีวิตนี้เอง จึงท�ำให้วัยรุ่น ต้องการความเป็นอิสระจากการควบคุมของผู้ใหญ่ เพื่อที่จะทดลองและแสวงหาประสบการณ์ ด้วยตนเอง ขณะเดียวกันก็ยังคงต้องการได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะกลุ่มเพื่อน รุ่นราวคราวเดียวกัน นอกจากนี้ยังต้องการที่จะเลือกคบเพื่อนที่มีทัศนคติตรงกันกับตนเองด้วย แม้วัยรุ ่นต้องการความเป็นอิสระจากผู้ใหญ ่ก็ตาม แต ่ก็ยังคงต้องการความรัก ความเข้าใจ การเอาใจใส่ รวมทั้งการรับค�ำปรึกษาและแนะน�ำจากผู้ใหญ่ด้วย ส�ำหรับพัฒนาการทางสติปัญญา จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและมีความก้าวหน้าจนใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ แต่แตกต่างกันที่ความสุขุมรอบคอบ และประสบการณ์ โดยวัยรุ่นจะสามารถคิดแก้ปัญหาได้อย่างมีระบบ แสวงหาเทคนิคในการจ�ำต่างๆ ด้วยตนเอง รู้จักใช้เหตุผลในการตั้งสมมุติฐานแบบวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความสามารถทางสติปัญญาดังกล ่าวนี้เองจะน�ำไปสู ่ความสามารถในการเรียนรู้มีความคิดใน การแก้ปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์รวมทั้งการใช้เหตุผลและวิจารณญาณของตนเองในการตัดสิน เรื่องต่างๆ นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการปรับตัวได้ดีซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ส�ำคัญต่อความส�ำเร็จ ของชีวิตในวัยผู้ใหญ่ต่อไป คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 27
วัยผู้ใหญ่ (Adulthood) วัยนี้เริ่มต้นตั้งแต่อายุ 21 ขึ้นไป เป็นอีกวัยหนึ่งที่มีความส�ำคัญ ต่อชีวิตมนุษย์ นอกจากจะเป็นวัยแห่งความสมบูรณ์สูงสุดของพัฒนาการในด้านต่างๆ ทั้งร่างกาย อารมณ์สังคม และสติปัญญาแล้ว ยังเป็นวัยเริ่มต้นแห่งความเสื่อมของพัฒนาการทุกด้านอีกด้วย ในวัยนี้จะเป็นระยะที่ร่างกายของบุคคลจะมีความเจริญสมบูรณ์สูงสุดเต็มที่ ซึ่งอยู่ใน ระหว่างอายุ 20-25 ปีจากนั้นจะเริ่มคงที่ไประยะหนึ่ง เมื่อถึงอายุตั้งแต่ 30 ปีเป็นต้นไปร่างกาย ก็จะเริ่มค่อยๆ เสื่อมลงตามวัย โดยทั่วไปแล้ววัยผู้ใหญ่จะมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่สมบูรณ์สูงสุด จึงเป็นวัยที่ควรมีความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่แปรปรวนง่าย สามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถแสดงพฤติกรรมตอบสนองอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ บุคคล จะเริ่มรู้จักวางแผนชีวิตให้กับตนเอง เช่น การเลือกอาชีพ การสร้างฐานะ การเลือกคบเพื่อน เป็นต้น การที่ผู้ใหญ ่วัยนี้จะสามารถประสบความส�ำเร็จตามที่ตนวางแผนไว้มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางสังคมในช่วงระยะวัยรุ่น กล่าวคือถ้าสามารถค้นพบตัวตนที่แท้จริงได้แล้ว ก็จะเลือกเรียนหรือประกอบอาชีพในสาขาที่ตนสนใจและถนัด เนื่องจากวัยนี้เป็นวัยที่ร่างกาย จะมีความเจริญเติบโตและมีพัฒนาการที่สมบูรณ์เต็มที่ จึงเป็นวัยที่บุคคลควรจะมีประสิทธิภาพสูงสุด ในการท�ำงาน สามารถจะทุ่มเทให้กับงานด้วยความอดทน กระตือรือร้น และมุ่งมั่น เพื่อให้ได้ การยอมรับจากเพื่อนร ่วมงานและการสร้างฐานะ จากการศึกษาพบว ่าวัยผู้ใหญ ่ตอนต้นในช ่วง ระหว่างอายุ 20-30 ปีเป็นวัยที่บุคคลจะสามารถสะสมประสบการณ์ในการท�ำงานได้เป็นอย่างดี ดังนั้นงานประเภทที่ต้องใช้ความอดทน มานะ พยายามและกระตือรือร้นจึงเหมาะกับผู้ใหญ่ในวัยนี้ที่สุด นักจิตวิทยาเชื่อว่าพัฒนาการทางสติปัญญาจะเจริญสูงสุดเต็มที่เมื่ออายุ 25 ปีจากนั้นจะเริ่มลดลง แต่สิ่งที่วัยผู้ใหญ่สามารถได้มาทดแทน ได้แก่ ประสบการณ์ต่างๆ ที่สะสมไว้ จะเห็นได้ว่าการศึกษาเรื่องพัฒนาการด้านต่างๆ ของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งจ�ำเป็นและมีประโยชน์ อย่างมาก ซึ่งนอกจากจะเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งด้านร่างกาย อารมณ์สังคม และ สติปัญญาของคนในวัยต่างๆ อันจะมีผลท�ำให้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างเหมาะสมแล้ว การน�ำไปใช้ประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมแก ่บุคคลในวัยต ่างๆ ก็พิจารณา จัดได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องเกิดประสิทธิภาพในวัตถุประสงค์ โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง กับการฝึกสอนกีฬาทุกชนิด 28 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
อายุ 6-12 ปี 11-16 ปี 15-19 ปี สูง ต�่ำกว่า 120 ซม. 110-170 ซม. เกิน 160 ซม. (7ซ.ม./ปี) ลักษณะทางกายวิภาค อวัยวะสืบพันธ์ุเล็ก ขนาดกลางมีขนอ่อน ใหญ่ขึ้น มีขนหยิก ไม่แข็งแกร่ง ไม่มีขน แขนขายาว แข็งแกร่ง กล้ามเนื้อ พัฒนาขึ้น เกี่ยวข้องกับกีฬา ว่องไวดีสมรรถภาพ ว่องไวน้อย สามารถสนับสนุน เลียนแบบ กล้ามเนื้อตึง ให้มาก จริงจัง ลักษณะของจิตใจ ก�ำลังน้อยใจ ใจร้อน อารมณ์ร้าย ประชดประชัน ไม่ยอมรับการใช้อ�ำนาจ ไม่รู้จักพอ สุขภาพดี ท�ำตัวดีเด่น ภัยจากบุหรี่สุรา เพศ ต้องท�ำอย่างไร ความสามารถรอบตัว 70% ความเร็ว ความอดทน เพิ่มระดับความหนัก แสดงความสามารถที่ดี แข็งแรง สิ่งส�ำคัญ โดยเฉพาะส่วนส�ำคัญ เอาใจใส่สุขภาพ คือเทคนิค ความแข็งแรง และก�ำลัง ความอดทนยุทธวิธี ตาราง 3.1 แสดงช่วงระยะพัฒนาการของการพัฒนาทางชีววิทยาของผู้เล่นเยาวชนเป็นเรื่องที่สำคัญ และจะเกิดประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ฝึกสอนถ้าได้ศึกษาเรื่องนี้ซึ่งอันที่จริงจะมีข้อแตกต่างกัน 3 ปี ระหว่างการพัฒนาทางชีววิทยาและเป็นจริงทางอายุ ขั้นตอนระยะพัฒนา กลุ่ม เด็กอายุน้อย ก้าวสู่เยาวชน วัยรุ่น คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 29
กระบวนการ และวิธีการฝึกสอนกีฬาฟุตซอล ความส�ำเร็จของกีฬามีพื้นฐานมาจากการฝึกซ้อมที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งท�ำให้ผู้เล ่น เกิดการพัฒนาอย ่างต ่อเนื่อง การวางแผนจัดการฝึกสอนจึงเป็นเรื่องที่ส�ำคัญเป็นอย ่างมาก ล�ำดับขั้นตอนของการฝึกสอน เหตุและผลของการฝึกสอนและวิธีปฏิบัติที่ใช้เปรียบเสมือนกุญแจ ที่ไขไปสู่ความส�ำเร็จ ฉะนั้นการฝึกต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นทีละตอน “Step by Step” โดยเฉพาะ ผู้เล่นใหม่ที่ต้องการการเริ่มต้นที่ถูกต้อง ไม่เร่งรัด เปรียบเสมือนการสร้างตึกสูง พื้นฐานโครงสร้าง ต้องแข็งแรงแน่นหนาไม่โยกคลอน เพราะถ้าฐานไม่ดีโอกาสที่จะสร้างให้ส�ำเร็จคงเป็นไปได้ยาก หรืออาจพังล้มทั้งอาคารฉันใดก็ฉันนั้น การฝึกสอนต้องเริ่มด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่มั่นคง เป็นสิ่งแรกส�ำหรับผู้เล่นใหม่ซึ่งเป็นเรื่องของตัวบุคคล โดยแยกเป็น 3 ส่วน คือ 1. พื้นฐานเบื้องต้น (Basic) คือ การจัดระเบียบร่างกาย ท่าทาง บุคลิกภาพในการที่จะเล่น กับลูกบอลในลักษณะต่างๆ เหมือนกับการเขียนหนังสือ ก่อนที่จะเป็นประโยค ต้องน�ำค�ำที่มี ความหมายต่างๆ มารวมกัน ส่วนค�ำนั้นก็มาจากอักษรและพยัญชนะแต่ละตัวมาผสมผสานกัน ให้เกิดความหมาย แต่ก่อนที่จะเป็นตัวอักษรต้องเริ่มฝึกหัดโดยการเขียนทีละตัวก่อน ซึ่งก็ต้อง เริ่มจากการจัดท ่าทางการนั่งให้เหมาะสมการจับดินสอหรือปากกาให้เหมาะและถนัดมือ ต่อด้วยการลากเส้นไปตามลายเส้นที่มีเป็นแนวไว้ก็จะได้ตัวอักษรที่สวยงาม เมื่อฝึกเขียนตามลายเส้น จนช�ำนาญขึ้นต่อไปก็ไม่จ�ำเป็นต้องมีลายเส้นเป็นแนวอีกสามารถเขียนได้ทันทีจะสวยงามหรือ ไม่ขึ้นอยู่กับวิธีการจับดินสอ หรือปากกา ท่าทางในการนั่งหรือยืนในการเขียนเช่นเดียวกับเริ่มต้น ฝึกการสัมผัสลูกบอล จุดที่จะสัมผัสใช้ส่วนใดของเท้าสัมผัสส่วนใดของลูกบอลหรือสัมผัสส่วนใด ลูกบอลจึงจะกลิ้งหรือไปสู่เป้าหมายในลักษณะใด ถ้าผู้เล่นได้รู้เห็นและเข้าใจเหตุและผลก็จะปฏิบัติ ได้ถูกต้องและเกิดผลดีต่อไป 2. เทคนิค (Techniques) คือ ความช�ำนาญในวิธีการเล ่นส ่วนบุคคลที่จะควบคุม หรือจัดการกับลูกบอลได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และท�ำได้อย่างที่คิด ไม่ว่าจะส่งหรือรับลูกบอล การควบคุมลูกบอล การเลี้ยง การพาลูกบอล หรือการยิงประตูได้อย่างมีคุณภาพ ซึ่งเป็นผลมาจาก ความช�ำนาญจากการฝึกทักษะเบื้องต้น ฉะนั้นจะเกิดความช�ำนาญได้ต้องฝึกซ�้ำ เป็นร้อยๆ ครั้ง เพื่อให้ประสาทกล้ามเนื้อได้บันทึกหรือจ�ำรายละเอียดในท่าทางและวิธีที่จะควบคุมหรือจัดการ กับลูกบอลให้ได้ตามที่ต้องการ และเมื่อถึงเวลากล้ามเนื้อและร ่างกายก็จะสามารถปฏิบัติได้ อย่างเป็น “อัตโนมัติ” 30 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
3. ทักษะ (Skills) คือ วิธีการใช้เทคนิคเปลี่ยนแปลงการเล่นและเล่นได้อย่างต่อเนื่อง ถูกต้องรวดเร็ว ซึ่งขับเคลื่อนโดยความคิดและสมรรถภาพทางกาย ดังนั้น องค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง กับการใช้ทักษะ คือ คู่ต่อสู้สถานการณ์การตัดสินใจ เป้าหมาย วิธีการเล่นและการเล่นอย่างต่อเนื่อง รวดเร็ว ผู้เล่นที่จะปฏิบัติทักษะได้ดีต้องมีความช�ำนาญในด้านเทคนิคเป็นอย่างดีเพราะการเล่น จะถูกกดดันจากหลายสิ่งพร้อมกัน ผู้เล่นต้องสามารถที่จะใช้ส่วนของเท้าได้ทั้งสองเท้าและทุกส่วน สิ่งที่ส�ำคัญคือทักษะการมอง ผู้ฝึกสอนต้องไม่ละเลยเพราะการเห็นจะเป็นตัวเร้าส�ำคัญที่ท�ำให้เกิด การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงการเล่นและเล่นได้อย่างถูกต้องต่อเนื่องรวดเร็ว ช่วงแรกของการฝึกจึงต้องเน้นทักษะส่วนบุคคล คือ ความสามารถที่จะส่ง รับ ควบคุม เลี้ยงยิงประตูให้ได้อย ่างแน ่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ก ่อน ในส ่วนนี้ถือเป็นสาระส�ำคัญอย ่างยิ่ง ถ้าผู้เล่นเริ่มต้นได้ถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้องนั้นก็จะติดตัวไปตลอดและสามารถที่จะพัฒนาไปสู่ระดับสูง ได้ไม่ยาก เมื่อผู้เล่นแต่ละคน “ดี” ก็สามารถไปสู่การฝึกเป็นกลุ่มทีมได้ไม่ยากเช่นกัน วิธีการฝึกระดับเบื้องต้น• สอนให้ปฏิบัติอยู่กับที่ให้ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ • สอนให้ปฏิบัติเคลื่อนที่ให้ได้ผลเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ • สอนให้ปฏิบัติเคลื่อนที่ มีคู่ต่อสู้และสามารถผ่านไปได้100 เปอร์เซ็นต์ ผู้ฝึกสอนต้องเป็นผู้ก�ำกับรูปแบบ รวมทั้งวัตถุประสงค์ของการฝึกและต้องศึกษาสังเกต ผู้เล่นในระหว่างที่ปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย ยิ่งผู้ฝึกสอนรู้และเข้าใจในตัวผู้เล่นมากเท่าใด ก็สามารถ ช่วยผู้เล่นได้มากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้ส�ำคัญมากผู้ฝึกสอนบางคนเจตนาดีตั้งใจดีแต่ขาดบางสิ่งบางอย่าง อาจท�ำให้ผู้เล่นพัฒนาช้าหรือไปไม่ถึงเป้าหมาย การฝึกผู้เล่นใหม่ตั้งแต่เด็กจะต้องมีความเข้าใจ ในการฝึก ฝึกให้ถูกวิธีตั้งแต่เริ่มต้น เด็กก็จะพัฒนาความสามารถไปพร้อมกับความเจริญเติบโต และเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถที่เก่งกาจในกีฬาฟุตซอลได้การสร้างนักกีฬาต้องใช้ระยะเวลา เป็นเดือนๆ ปีๆ ส�ำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ รูปแบบ หรือแบบฝึก รวมถึงกระบวนการและเทคนิค การสอนของผู้ฝึกสอน ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการของนักกีฬาเป็นอย่างมาก กระบวนการฝึกสอน 1. เตรียมการฝึก (Preparation) เป็นสิ่งแรกที่ผู้ฝึกสอนจะต้องท�ำ อย่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ได้แก่ • เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการฝึก • สถานที่ส�ำหรับการฝึก • จ�ำนวนและระดับความสามารถของผู้เข้ารับการฝึก คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 31
• แบบแผน รูปแบบและวิธีการฝึก • อุปกรณ์และสิ่งอ�ำนวยความสะดวก • ระยะเวลาของการฝึก 2. จัดการฝึก (Organization) ผู้ฝึกสอนต้องเป็นผู้จัดการเตรียมสถานที่หรือสนามฝึก จัดวางอุปกรณ์รวมถึงสิ่งอ�ำนวยความสะดวกต่างๆ 3. แนะนำและเริ่มการฝึก (Commence/Start) ก ่อนการฝึกควรแนะน�ำถึง วัตถุประสงค์และวิธีการที่ผู้เล ่นต้องปฏิบัติต้องมีความชัดเจนเข้าใจง ่าย การเริ่มเป็นสิ่งส�ำคัญ ผู้ฝึกสอนเองจะต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่จะให้ผู้เล่นปฏิบัติว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร เพราะมีผลต่อ ความสนใจของผู้เล่นที่จะปฏิบัติตาม 4. สังเกตการปฏิบัติ (Observe) ในระหว่างที่ผู้เล่นก�ำลังปฏิบัติผู้ฝึกสอนต้องเฝ้าดู เพื่อที่จะได้เห็นถึงข้อบกพร่องในวัตถุประสงค์ที่ต้องการ 5. หยุดการปฏิบัติ(Stop) เมื่อผู้เล่นแสดงให้เห็นถึงข้อบกพร่องในการปฏิบัติหรือ ความไม ่เข้าใจในสิ่งที่ต้องท�ำ ผู้ฝึกสอนต้องหยุดการปฏิบัติของผู้เล ่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับเมื่อไร ที่ควรให้หยุด และหยุดอย่างไร โดยต้องให้โอกาสผู้เล่นแก้ไขตนเองก่อน ถ้ายังไม่ดีขึ้นจึงให้หยุด และการหยุดควรที่จะคงสภาพสถานการณ์ที่บกพร ่องไว้ซึ่งจะท�ำให้ชี้เห็นข้อบกพร ่องได้ง ่าย และชัดเจน 6. เข้าไปแก้ไข (Intervene) สิ่งแรกที่ต้องท�ำเมื่อเข้าไปแก้ไขคือต้องชี้ให้ผู้เล่น (ทั้งหมด) เห็นถึงข้อบกพร่องเสียก่อน แล้วจึงจะชี้น�ำสิ่งที่ถูกต้อง พูดสั้นๆให้เข้าใจง่ายๆชัดเจนและตรงประเด็น 7. สอนให้เกิดผล (Teach Effect) การที่จะให้เกิดผลนั้น การพูดอย่างเดียวโดยไม่เห็นภาพ คงเข้าใจได้ยาก “พูดสิบครั้งไม่เท่าเห็นภาพครั้งเดียว” และที่ส�ำคัญหากผู้เล่นได้ทดลองท�ำในส่วน ที่ถูกต้องด้วย จะยิ่งเข้าใจได้อย่างรวดเร็วและชัดเจนยิ่งขึ้น 8. สรุปหลังการฝึก (Conclusion) เมื่อการฝึกเสร็จสิ้นลง จ�ำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ฝึกสอน จะต้องสรุปถึงสิ่งที่ท�ำ ผลที่จะเกิด ให้รางวัลความตั้งใจด้วยการชมเชยและไม่ลืมที่จะชี้ให้เห็น ถึงความส�ำคัญของความรับผิดชอบ ความมีวินัย เพราะสิ่งเหล่านี้ส่งผลถึงการด�ำรงชีวิตในสังคม นอกเหนือจากการเล่นกีฬา ผู้ฝึกสอนต้องเข้าใจถึงระยะของการพัฒนาของผู้เล่นแต่ละคนแต่ละกลุ่ม ซึ่งเป็นกุญแจส�ำคัญ ในการไขไปสู่ความส�ำเร็จของผู้เล่นและทีม 32 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
กระบวนการฝึกสอน สรุปหลังการฝึก Conclusion หยุดการปฏิบัติ Stop เข้าไปแก้ไข Intervene สอนให้เกิดผล Teach Effect สังเกตการณ์ปฏิบัติ Observe แนะนำและเริ่มการฝึก Commence/Start จัดการฝึก Organization เตรียมการฝึก Preparation คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 33
วิธีการฝึกสอน : การเลือกวิธีฝึกสอนขึ้นอยู่กับความสามารถ วัย และระยะเวลาของการพัฒนาของผู้เล่น พื้นที่ จ�ำนวน และเป้าหมายของการฝึก เช่น หากเป็นผู้เล่นใหม่ควรเริ่มจากการฝึกเทคนิคและ ทักษะก่อน แต่ผู้เล่นทุกคนมีระดับการเรียนรู้และการพัฒนาที่ต่างกัน ดังนั้น วิธีการและรูปแบบ อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เล่น และเป้าหมายของการฝึกเป็นส�ำคัญ วิธีการฝึกสอน การฝึกเทคนิค : หมายถึง การฝึกเฉพาะบุคคลหรือการฝึก รวมทั้งกลุ่ม เช่น การส่ง-รับ การยิงประตูเป็นต้น โดยไม่มีความกดดันและต้องให้ถูกต้อง รวมทั้งการเคลื่อนไหว และเคลื่อนที่ การฝึกเทคนิค 34 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
การฝึกทักษะ : การฝึกเฉพาะบุคคล หรือการฝึกเป็นคู่ เป็นกลุ่ม โดยให้ผู้เล่นใช้เทคนิค ที่ถูกต้องภายใต้สถานการณ์ที่มีการกดดัน ซึ่งผู้เล ่นต้องมีการตัดสินใจและมีการเปลี่ยนแปลง วิธีการเล่น และต้องเล่นได้อย่างต่อเนื่องรวดเร็ว โดยอาจใช้คู่ร่วมฝึกกดดันก็ได้ การฝึกสนามเล็ก : หมายถึง การเล่นซึ่งแบ่งเป็นสองทีม จะมีผู้เล่นทีมละเท่ากันก็ได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความเหมาะสมของวัย ความสามารถและความต้องการของผู้ฝึกสอน การฝึกทักษะ การฝึกสนามเล็ก คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 35
การฝึกโดยเกมที่มีเงื่อนไข : หมายถึง การเล่นที่แบ่งผู้เล่นเป็นสองทีม จะมีผู้เล่นเท่ากัน หรือไม่เท่ากันก็ได้มุ่งเน้นเพื่อการพัฒนาทักษะ โดยการสร้างเงื่อนไขการเล่นหรือการใช้กฎบางอย่าง เช่น การเล่นโดยสัมผัสลูกบอลได้สองครั้ง การฝึกเป็นกลุ่ม : หมายถึง การฝึกที่มีการแบ่งทีม รวมทั้งผู้รักษาประตู มีเป้าหมาย การฝึกเหมือนกัน มีการจัดเป็นกลุ่มเพื่อให้รู้หน้าที่และการประสานสัมพันธ์ระหว่างกัน การฝึกเป็นกลุ่ม การฝึกโดยเกมที่มีเงื่อนไข 36 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
การฝึกหน้าที่ : หมายถึง การฝึกผู้เล่นให้ได้รู้ถึงบทบาทหน้าที่ในแต่ละสถานการณ์ และพื้นที่โดยมีคู่ต่อสู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานการณ์และพื้นที่นั้นๆ การฝึกรูปแบบ : หมายถึง การฝึกเพื่อการรุก หรือเพื่อการป้องกัน โดยพิจารณาจาก ความส�ำคัญของพื้นที่ทั้งเกมรุกและการป้องกัน เช่น การรุกกลับเมื่อตัดแย่งลูกบอลได้ การฝึกหน้าที่ การฝึกรูปแบบ คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 37
เกม 5 ต่อ 5 : หมายถึง การฝึกเป็นทีมครบกระบวนการตามกฎการเล ่น เพื่อที่ ผู้เล ่นจะได้ใช้ความสามารถทางเทคนิค ทักษะในการแก้ปัญหา การใช้ยุทธวิธีการเล ่นที่ใช้ การประสานสัมพันธ์ของผู้เล่นทุกคนในทีม ซึ่งจะท�ำให้เกิดความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของแต่ละคน โดยผู้ฝึกสอนจะต้องบอกแนวทางในการเล่น 38 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
ผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอลเป็นผู้ที่มีบทบาทส�ำคัญอย่างยิ่ง ในการพัฒนาความสามารถของผู้เล่น ไปสู่ระดับที่สูงได้เพราะผู้ฝึกสอนจะเป็นผู้ที่ก�ำหนด วางแผน จัดการให้ผู้เล่นได้ปฏิบัติในการฝึกซ้อม ดังนั้น ขอบเขตของการฝึกซ้อมจึงมีความมุ่งเน้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคนิคและทักษะ การเล่นของผู้เล่น โดยให้สัมพันธ์กับสมรรถภาพทางกายของผู้เล่นแต่ละคน ผู้ฝึกสอนจะต้องวางแผน การฝึกและจัดการให้ผู้เล่น พร้อมกับให้ความรู้แก่ผู้เล่นในด้านสรีรวิทยา จิตวิทยาและสังคมวิทยา เพราะสิ่งเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับผู้เล่นตลอดเวลา ในการปรับปรุงส่วนของสรีระและการพัฒนาสภาพจิตใจ ให้มีความพร้อม ผู้ฝึกสอนต้องท�ำควบคู่ไปกับการฝึกซ้อม และสิ่งที่ผู้ฝึกสอนต้องให้ความส�ำคัญ เป็นพิเศษ คือ การสอนให้ผู้เล่นแต่ละคนเป็นผู้ที่มีคุณธรรมที่ดีงาม มีน�้ำใจเป็นนักกีฬาและมีร่างกาย ที่สมบูรณ์ผู้เล ่นควรได้รับการพัฒนาทักษะที่หลากหลาย รวมถึงสภาพจิตใจและวิธีการรับมือ จัดการความเครียดจากการฝึกซ้อมและจากการแข่งขันซึ่งเป็นสิ่งส�ำคัญที่ผู้ฝึกสอนต้องให้ความรู้แก่ผู้เล่น การที่จะพัฒนาความสามารถของผู้เล่นไปสู่ระดับสูงได้นั้น ระบบการฝึกซ้อมจะต้องมีคุณภาพ ขอบข่ายการฝึกสอน • เทคนิคและทักษะการเล่นกีฬาฟุตซอล • การท�ำงานที่ประสานกันระหว่างระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อ • การเรียนรู้เทคนิค ทักษะพื้นฐานที่ถูกต้อง • การฝึกยุทธวิธีเฉพาะบุคคล (แทคติค) การฝึกสอนระดับนี้มีเป้าหมายมุ่งเน้นการฝึกเฉพาะบุคคลเป็นหลัก เพื่อพัฒนาผู้เล่น เป็นรายบุคคล โดยทุกคนต้องมีส่วนเข้าร่วมในการฝึก ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบสนับสนุนและตัวแปรในการฝึก จากตัวผู้เล่น พันธุกรรม เพศ อายุของนักกีฬา โครงสร้างและองค์ประกอบของร่างกาย การเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย การปรับตัวและฟื้นคืนสภาพของร่างกาย สุขภาพและการบาดเจ็บของนักกีฬา ข อบข่าย การฝึกสอนกีฬาฟุตซอล คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 39
โภชนาการและการพักผ่อน ฐานะ อาชีพ หน้าที่การงาน จากภายนอก สถานที่สภาพสนาม อุปกรณ์และสิ่งอ�ำนวยความสะดวก สภาพภูมิอากาศ สภาพมลพิษทางอากาศ การฝึกเทคนิคการเล่นกีฬาฟุตซอล การเลี้ยงลูกบอล (Dribbling) การส่งลูกบอล (Passing) การรับลูกบอล (Receiving) การควบคุมลูกบอล (Controlling) การโหม่งลูกบอล (Heading) การยิงประตู(Shooting) การเป็นผู้รักษาประตู(Goalkeeping) องค์ประกอบของร่างกายที่ใช้ในการเล่นและควบคุมลูกบอล ฝ่าเท้า (sole) หลังเท้า (Instep) หัวรองเท้า (Toes) ข้างเท้าด้านใน (Inside of the Foot) ข้างเท้าด้านนอก (Outside of the Foot) ส้นเท้า (Heel) หน้าขา (Thigh) หน้าอก (Chest) ศีรษะ (Head) ส่วนต่างๆ ของร ่างกายนี้เองเป็นองค์ประกอบส�ำหรับผู้เล ่นที่จะต้องใช้ปฏิบัติในการ เล่นในสนาม ดังนั้น ผู้เล่นต้องมีความช�ำนาญในการจัดการ บังคับ ควบคุมลูกบอลทั้งอยู่กับที่ เคลื่อนที่ ทั้งสถานการณ์ที่ไม่มีและมีคู่ต่อสู้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกสอนต้องจัดการฝึกสอนให้แก่ผู้เล่นทุก อย่าง แม้ว่าเทคนิคบางอย่างจะไม่ค่อยได้ใช้หรือเห็นในการเล่นสักเท่าใดก็ตาม เช่น การใช้ส้นเท้า ส่งลูกบอล การส่งด้วยหน้าขาและหน้าอก รวมทั้งการโหม่งลูกบอล เป็นต้น เพราะบอกไม่ได้ว่า 40 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
สถานการณ์ที่ต้องใช้เทคนิคนั้นๆ จะเกิดขึ้นเมื่อไร ถ้าผู้ฝึกสอนเตรียมพร้อมให้แก่ผู้เล่นด้วยการจัดฝึก และพัฒนาการเล่นของผู้เล่นอย่างต่อเนื่อง จนผู้เล่นสามารถปฏิบัติได้อย่างเป็นอัตโนมัติในการใช้ เทคนิคต่างๆ ในทุกสถานการณ์ผู้เล่นก็สามารถที่จะพัฒนาไปสู่ระดับสูงได้เร็ว ขอบข่ายการฝึกเทคนิคการเล่นกีฬาฟุตซอล 1.ฝึกการควบคุมลูกบอลในลักษณะต่างๆให้สัมพันธ์และสมดุลกับร่างกายอย่างถูกต้องและ ใช้ได้อย่างช�ำนาญ 2. แบบแผนการฝึกต้องใช้เทคนิคที่แตกต่างกันผสมผสานให้ต่อเนื่องกันและเกิดความช�ำนาญ ได้อย่าง “อัตโนมัติ” 3. จัดให้มีการฝึกที่เป็นเกมการเล่นที่สนับสนุนการใช้เทคนิคและทักษะ เพื่อให้ผู้เล่น ได้เกิดไหวพริบกับการตัดสินใจเพื่อการพัฒนาของผู้เล่น การฝึกเพื่อการท�ำงานประสานกันระหว่างระบบประสาทกล้ามเนื้อ (Co-ordination) การท�ำงานประสานกันระหว่างระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อ เป็นสิ่งจ�ำเป็นส�ำหรับ ผู้เล่น เพราะในการเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ของผู้เล่นแต่ละคนจะมีทักษะการเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ ที่แตกต่างกัน แต่ต้องอาศัยการท�ำงานของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่ต้องท�ำงานร่วมกันในระหว่างกลุ่ม เพื่อการเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ของร่างกายให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดและสิ่งที่เป็นปัจจัยส�ำคัญ ที่ท�ำให้เกิดประสิทธิภาพ คือ ความสมดุลของร่างกายขณะเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ การเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ในกีฬามีความแตกต่างกัน เช่น จังหวะ ปฏิกิริยา ความสมดุล รูปแบบการเคลื่อนที่ ลักษณะต่างๆ ขอบข่ายของการฝึกการท�ำงานประสานกันระหว่างระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อ 1. การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ด้วยรูปแบบการวิ่งในระยะต่างๆ ด้วยท่าทางที่ถูกต้องเพื่อคุณภาพ ของการเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ 2. การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ทุกประเภท เช ่น วิ่งไปข้างหน้า วิ่งถอยหลัง วิ่งกลับตัว การหมุนตัว การเปลี่ยนทิศทาง เป็นต้น 3. การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ที่ตอบสนองต่อสัญญาณต่างๆ ที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยา 4. การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่กับลูกบอล 5. การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ระหว่างผู้เล่นกับผู้เล่น คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 41
การฝึกเพื่อพัฒนาเทคนิคและทักษะของผู้เล่น เพื่อการพัฒนาผู้เล ่นวิธีการที่ผู้ฝึกสอนน�ำมาใช้คือ กระบวนการฝึกที่ผู้ฝึกสอนต้องมี การเตรียมการเลือกวิธีการที่ดีที่สุด และก�ำหนดบรรยากาศในการฝึกที่ดีที่สุด ที่ส�ำคัญคือ แนวคิด ทางเทคนิคและทักษะที่ตัดสินใจเลือก ปัจจัยที่จะช ่วยให้ผู้ฝึกสอนตัดสินใจเลือกวิธีการฝึก เพื่อพัฒนาผู้เล่น มีดังนี้ • การวิเคราะห์ปัญหาและองค์ประกอบต่างๆ • สอนให้ผู้เล่นรู้ถึงลักษณะและกระบวนการที่ถูกต้อง • วางแผนและหาวิธีเพื่อน�ำสิ่งที่ฝึกไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ • ต้องท�ำให้ผู้เล่นมีการปรับปรุงการเล่นตลอดเวลา สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะบ่งบอกถึงวัตถุประสงค์ที่ผู้ฝึกสอนต้องการ แต่สิ่งที่ต้องค�ำนึงถึง คือ การฝึกสอนที่มีประสิทธิภาพ มีการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงให้ดีขึ้น ขอบข่ายของการฝึกเพื่อพัฒนาเทคนิคและทักษะของผู้เล่น - จัดการฝึกในสถานการณ์ที่มีคู ่ต ่อสู้ซึ่งผู้เล ่นต้องตัดสินใจและเปลี่ยนวิธีการเล ่น และเล่นได้อย่างต่อเนื่อง - ใช้เกมฝึกโดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ให้เหมาะสมกับวัยและความสามารถของ ผู้เล่นรวมถึงสิ่งที่ผู้ฝึกสอนต้องการ - ใช้การฝึกที่มีเงื่อนไข เพื่อเน้นการพัฒนาทักษะ การสร้างเงื่อนไขการเล่นหรือการใช้ กฎเกณฑ์บางอย่าง เช่น การเล่นที่ก�ำหนดให้สัมผัสลูกบอลไม่เกินสองครั้ง การฝึกยุทธวิธีการเล่น (เฉพาะบุคคล) ยุทธวิธีการเล่นระดับนี้จะเน้นเฉพาะส่วนของบุคคลในการเล่นทั่วไปเท่านั้น เพราะ โดยความเป็นจริงในเกมของกีฬาฟุตซอลไม่ว่าจะรุก หรือป้องกันสถานการณ์ที่ผู้เล่นต้องเจอะเจอมาก ที่สุด คือ สถานการณ์1 ต่อ 1 เกือบตลอดเวลาของเกมและในทุกพื้นที่ของสนามและทุกต�ำแหน่ง หน้าที่ที่ผู้เล่นรับผิดชอบต้องฝึกให้ผู้เล่นแต่ละคนได้รู้และเข้าใจในหลักและวิธีการเล่นของทุกต�ำแหน่ง ไม ่ว ่าจะรุกหรือป้องกัน เมื่อผู้เล ่นทุกคนรู้และเข้าใจในการเล ่นเฉพาะบุคคลในแต ่ละต�ำแหน่ง แต่ละพื้นที่แล้ว การที่จะพัฒนาไปสู่การเล่นร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นทีมก็จะท�ำได้สะดวกมากขึ้น 42 คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate
ขอบข่ายการฝึกยุทธวิธีการเล่น (เฉพาะบุคคล) 1. จัดการฝึกให้ผู้เล่นได้รู้หน้าที่โดยทั่วไปและหน้าที่เฉพาะต�ำแหน่ง ทั้งการรุกและการป้องกัน 2. จัดการฝึกเป็นเกมเล็กๆ เพื่อให้เกิดล�ำดับความเข้าใจ 3. ใช้เกมทั่วไปเพื่อช่วยในการพัฒนา ในเกมฝึกเฉพาะบุคคล สิ่งส�ำคัญคือ ผู้ฝึกสอนไม่ควรก�ำหนดหน้าที่ตายตัวและควรอย่างยิ่ง ที่จะให้ผู้เล่นได้เกิดไหวพริบและปฏิกิริยาโต้ตอบฉับพลันในการฝึกพร้อมกันไปด้วยเพราะจะช่วยให้ผู้เล่น ซึมซับกับความต่อเนื่องของสถานการณ์เหมือนในการเล่นจริง คู่มือผู้ฝึกสอนกีฬาฟุตซอล T-Certificate 43