การบริหารงบประมาณและการคลังสาธารณะ Public Budgeting and Fiscal Administration
การบริหารงบประมาณและการคลังสาธารณะ Public Budgeting and Fiscal Administration
ก คำนำ หนังสือการบริหารงบประมาณและการคลังสาธารณะ เป็นหนังสือที่ผู้เรียบเรียง รวบรวมและเรียบเรียงขึ้นใหม่ ซึ่งในแต่ละบทที่นำเสนอในที่นี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขององค์ความรู้ในแต่ละทัศนะ ซึ่งผู้เรียบเรียงได้นำเสนอไว้ว่าด้วยเรื่อง การบริหาร งบประมาณ นโยบาย ขอบข่าย การจัดทำและเสนองบประมาณภาษีอากร หลักการจัดเก็บ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและหลักการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างตามประมวลรัษฎากร การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา มาตรการในการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างตาม ประมวลรัษฎากรของประเทศไทย การบริหารงานคลังสาธารณะ การกระจายอำนาจ ทางการคลัง การคลังท้องถิ่น และวินัยทางการคลัง กฎเกณฑ์ทางการคลังหลักเกณฑ์และ แนวทางปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ผู้รวบรวมและเรียบเรียงขอขอบคุณ ผู้เป็ นเจ้าของผลงานวิชาการ ทางด้านการบริหารงบประมาณและการคลังสาธารณะ และทุกแหล่งข้อมูล ซึ่งได้น ามา อ้างอิงข้อมูลทางวิชาการ และต้องขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิที่ช่วยแนะนำและให้คำปรึกษา ในเนื้อหาหัวข้อต่าง ๆ เป็นอย่างดียิ่ง หวังว่าการผลิตผลงานทางวิชาการครั้งนี้คงจะ เอื้ออ านวยประโยชน์ต่อผู้สนใจให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ต่อไป
ค สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ค บทที่ ๑ การบริหารงบประมาณ ๑ ๑.๑ ความหมายของงบประมาณ ๑ ๑.๒ ความสำคัญของงานงบประมาณ ๗ ๑.๓ หลักการบริหารงบประมาณ ๙ ๑.๔ รูปแบบของงบประมาณ ๑๑ ๑.๕ ลักษณะของงบประมาณที่ดี ๑๔ ๑.๖ ข้อดีของงบประมาณ ๑๕ ๑.๗ ข้อจำกัดของงบประมาณ ๑๖ ๑.๘ สรุป ๑๘ บทที่ ๒ นโยบาย ขอบข่าย การจัดทำและเสนองบประมาณ ๒๑ ๒.๑ การแบ่งประเภทตามนโยบายงบประมาณ ๒๑ ๒.๒ การแบ่งตามประเภทของงบประมาณ ๒๓ ๒.๓ ขอบข่ายภารกิจการบริหารงานงบประมาณ ๒๘ ๒.๔ การบริหารงบประมาณประเภทต่าง ๆ ๒๙ ๒.๕ การจัดทำและเสนองบประมาณ ๓๑ ๒.๖ สรุป ๓๙
ง บทที่ ๓ ภาษีอากร หลักการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและหลักการ เร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างตามประมวลรัษฎากร ๔๑ ๓.๑ ความหมายของภาษีอากร ๔๑ ๓.๒ แนวคิดเกี่ยวกับภาษีอากรที่ดี ๕๓ ๓.๓ วัตถุประสงค์ของการจัดเก็บภาษีอากร ๔๕ ๓.๔ ประเภทของภาษีอากร ๔๗ ๓.๕ ฐานภาษี ๔๙ ๓.๖ หลักการจัดเก็บภาษีอากรที่ดี ๕๒ ๓.๗ สรุป ๕๗ บทที่ ๔ การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๕๙ ๔.๑ หลักการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ๕๙ ๔.๒ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากร ๖๐ ๔.๓ ความหมายและแหล่งที่มาของเงินได้ ๖๖ ๔.๔ ประเภทของเงินได้พึงประเมิน ๗๐ ๔.๕ ฐานภาษีและอัตราภาษี ๗๗ ๔.๖ สรุป ๘๑ บทที่ ๕ มาตรการในการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างตามประมวลรัษฎากร ของประเทศไทย ๘๓ ๕.๑ ประมวลรัษฎากรและระเบียบที่เกี่ยวกับการเร่งรัดจัดเก็บภาษี อากรค้าง ๘๓ ๕.๒ การเตือนให้ชำระภาษีอากรค้าง ๘๔ ๕.๓ การผ่อนชำระภาษีอากรค้าง ๘๘ ๕.๔ การสืบหาทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ๙๒ ๕.๕ การบังคับชำระหนี้ภาษีอากรค้าง ๙๕ ๕.๖ สรุป ๑๑๑
จ บทที่ ๖ การบริหารงานคลังสาธารณะ ๑๑๓ ๖.๑ ความหมายของการบริหารงานคลัง ๑๑๓ ๖.๒ ประวัติการบริหารงานคลังของประเทศไทย ๑๑๕ ๖.๓ การบริหารและการแบ่งส่วนราชการของกระทรวงการคลัง ๑๒๐ ๖.๔ ที่มารายได้ของรัฐบาล ๑๒๑ ๖.๕ ภาษีอากร (Taxation) ๑๒๒ ๖.๖ หนี้สาธารณะ (Public Debt) ๑๒๕ ๖.๗ การงบประมาณแผ่นดิน (Government Budgeting) ๑๒๕ ๖.๘ การใช้จ่ายของรัฐบาล (Government Expenditures) ๑๒๘ ๖.๙ นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) ๑๒๙ ๖.๑๐ สรุป ๑๓๐ บทที่ ๗ การกระจายอำนาจทางการคลัง ๑๓๓ ๗.๑ การคลังท้องถิ่น ๑๓๔ ๗.๒ การพัฒนาศักยภาพการคลังท้องถิ่น ๑๓๕ ๗.๓ การกระจายอำนาจทางการคลัง ๑๓๘ ๗.๔ แนวคิดการกระจายอำนาจทางการคลัง ๑๔๐ ๗.๖ ความหมายของการกระจายอำนาจทางการคลังและการบริหาร การคลังท้องถิ่น ๑๔๔ ๔.๗ ความสัมพันธ์ระหว่างการกระจายอำนาจทางการคลังกับการ จัดสรรและการกระจายสินค้าและบริการสาธารณะ ๑๔๖ ๗.๘ สรุป ๑๔๘ บทที่ ๘ การคลังท้องถิ่น ๑๕๑ ๘.๑ ความหมายของการคลังท้องถิ่น ๑๕๑ ๘.๒ วัตถุประสงค์ของการคลังท้องถิ่น ๑๕๒ ๘.๓ ประเภทรายได้ของท้องถิ่น ๑๕๒
ฉ ๘.๔ รายจ่ายท้องถิ่น ๑๖๖ ๘.๕ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อฐานะทางการคลังท้องถิ่น ๑๖๗ ๘.๖ ปัญหาสำคัญทางการคลังท้องถิ่น ๑๖๘ ๘.๗ โครงสร้างรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามกฎหมาย กำหนดแผนและ ขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ๑๗๑ ๘.๘ สรุป ๑๗๓ บทที่ ๙ วินัยทางการคลัง กฎเกณฑ์ทางการคลังหลักเกณฑ์และแนวทาง ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ๑๗๕ ๙.๑ ความหมายของวินัยทางการคลัง ๑๗๕ ๙.๒ วินัยทางการคลังตามแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์สำนักต่างๆ ๑๗๙ ๙.๓ เหตุผลความจำเป็นของการรักษาวินัยทางการคลัง ๑๘๐ ๙.๔ ประโยชนของการรักษาวินัยทางการคลัง ๑๘๓ ๙.๕ ความหมายของกฎเกณฑ์นโยบายการคลัง (Fiscal Policy Rule) ๑๘๕ ๙.๖ วัตถุประสงค์ของการกำหนดกฎเกณฑ์ทางการคลัง ๑๘๖ ๙.๗ องค์ประกอบที่สำคัญของการกำหนดกฎเกณฑ์ทางการคลังที่ดี ๑๘๘ ๙.๘ ประเภทของกฎเกณฑ์ทางการคลัง ๑๙๐ ๙.๙ หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติ ตามมาตรฐานสากล ๑๙๓ ๙ .๑ ๐ ก ารบ ริห าร จั ด ก ารท างด้ าน ส ถ าบั น (Institution Arrangement) ๒๐๐ ๙.๑๑ สรุป ๒๐๕ บรรณานุกรม ๒๐๗ ประวัติ ๒๑๕
๑ บทที่ ๑ การบริหารงานงบประมาณ การจัดทำงบประมาณได้เริ่มขึ้นครั้งแรกในประเทศอังกฤษในราวคริสต์ศตวรรษ ที่ ๑๗-๑๘ ซึ่งเป็นสมัยที่สภาผู้แทนราษฎรได้ประสบความสำเร็จในการสงวนอำนาจที่จะ อนุมัติรายได้และรายจ่ายของรัฐบาลซึ่งจะเห็นได้ว่าการจัดทำงบประมาณในแบบปัจจุบันนี้ มีความสัมพันธ์กับวิวัฒนาการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพราะในการ ปกครองระบอบนี้ประชาชนต้องการควบคุมการรับและการจ่ายเงินของรัฐบาล คือ ต้องการทราบว่ารัฐบาลจะเก็บภาษีอะไรเท่าไร และจะนำเงินภาษีไปใช้จ่ายด้านใดบ้าง คุ้มค่าหรือไม่ และศตวรรษที่ ๑๙ ประเทศในภาคพื้นยุโรปจึงได้มีการจัดทำงบประมาณ แผ่นดิน ซึ่งการจัดทำงบประมาณนั้นรัฐบาลกลางเป็นผู้จักทำขึ้นก่อน และต่อมาจึงได้ขยาย ขอบเขตไปถึงรัฐบาลหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ละหน่วยงานธุรกิจใหญ่ ๆ ในเอกชน ซึ่งวัตถุประสงค์ในการจัดทำงบประมาณในระยะแรกนั้น เพื่อเป็นประโยชน์ทางการเมือง และการคลังเท่านั้น กล่าวคือ เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบและควบคุม การบริหารงานของรัฐบาล และเพื่อจัดระเบียบการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล แต่ ในปัจจุบันได้ เป็นที่ยอมรับกันว่า นอกจากวัตถุประสงค์ทางการเมืองและการคลังแล้ว การจัด ทำ งบประมาณแผ่นดินยังมีวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย สำหรับประเทศไทยนั้น ได้มีการจัดทำ และแก้ไขปรับปรุงการจัดทำงบประมาณให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของ ประเทศเริ่มตั้งแต่ ยังไม่มีการใช้ระบบงบประมาณที่แน่นอน เป็นเพียงการรวมตัวเลข ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โดยกอง ๆ หนึ่งในกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้ประกาศใช้ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการขึ้นเป็นครั้งแรกและเปลี่ยนเป็น ระบบงบประมาณแสดงแผนงานโครงการในปี พ.ศ. ๒๕๒๕
๒ ๑.๑ ความหมายของงบประมาณ คำว่า “งบประมาณ” ซึ่งในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “budget” มาจากภาษา ฝรั่งเศสโบราณว่า “bougette” รากศัพท์เดิม หมายถึง กระเป๋า หรือถุงของรัฐบาล ซึ่งเสนาบดีคลัง (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) ของกษัตริย์ใช้บรรจุเอกสารต่าง ๆ ที่ แสดงถึงความต้องการของประเทศและทรัพยากรที่มีอยู่ และในปัจจุบัน คำว่า “งบประมาณ” มีความหมายแตกต่างกันไปตามเวลา สถานการณ์ และลักษณะ งบประมาณ โดยทั่วไปจะมองในรูปของตัวเลขเป็นส่วนใหญ่ รัฐบาลถือว่างบประมาณเป็น ส่วนสำคัญของการดำเนินงานตามเป้าหมายอย่างเห็นได้ชัดกว่าองค์การธุรกิจภาคเอกชน อื่นๆ ด้วยความจำเป็นที่กล่าวมา งบประมาณจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำองค์การไป เผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้รัดกุมรวบรัดทันต่อเหตุการณ์เข้าเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ เร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นนักวิชาการ ซึ่งมีมุมมองต่างกันออกไป ได้ให้ความหมายของงบประมาณ ดังนี้ อินสอน บัวเขียว๑ กล่าวว่า งบประมาณ หมายถึง แผนการดำเนินงานของ กิจการใดกิจการหนึ่งที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรสำหรับระยะใดเวลาหนึ่งในอนาคต งบประมาณเป็นการวางแผน การจัดหา และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างประหยัดแต่ เกิด ผลประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งตามปกติกำหนดแผนดังกล่าวออกเป็นตัวเลข เพื่อให้หน่วยงาน สามารถดำเนินงานได้ผลสำเร็จ ตามเป้ าหมายงบประมาณอาจจะเป็นตัวกำหนดงบการเงิน ของกิจการไว้ล่วงหน้าเพื่อควบคุมการดำเนินงาน โดยมีการวางแผนในระยะเวลาใด ช่วงใด ช่วงหนึ่ง ส่วนใหญ่ อาจเป็น ๖ เดือน ๑ ปี ๓ ปี ๕ ปี ๑๐ ปี หรือ ๑๕ ปี นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์๒ ได้นิยามคำว่า งบประมาณ หมายถึง การวางแผน การบริหารของรัฐบาลโดยแสดงถึงกิจกรรมโครงการที่จะจัดทำและหน่วยงานที่รับผิดชอบ มีการประมาณค่าใช้จ่าย และที่มาของรายได้เพื่อการใช้จ่ายนั้น ๆ ตามระยะเวลาที่แน่นอน ๑ อินสอน บัวเขียว, สาระสำคัญการบริหารชมชน, (กรุงเทพมหานคร : พิราบสำนักพิมพ์, ๒๕๓๗), หน้า ๑๖๔-๑๖๗. ๒ นงลักษณ์ สุทธิวัฒนพันธ์, การบริหารงานงบประมาณ หลักทฤษฎี และวิเคราะห์เชิง ปฏิบัติ, พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : หจก.เอมเทรดดิ้ง, ๒๕๔๔), หน้า ๑๗.
๓ ที่เรียกว่าปีงบประมาณ และเป็นแผนบริหารที่ฝ่ายบริหารจัดทำขึ้นเพื่อเสนอขออนุมัติจาก รัฐสภา นอกจากนี้งบประมาณยังเป็นแผนเบ็ดเสร็จ ซึ่งแสดงออกในรูปของตัวเงิน แสดง โครงการการดำเนินงานทั้งหมดในระยะเวลาหนึ่ง แผนนี้จะรวมถึงการกะประมาณ บริการ กิจกรรม โครงการ และการใช้จ่าย ตลอดจนทรัพยากรที่จำเป็นในการสนับสนุนการ ดำเนินงานให้บรรลุเป้ าหมายตามแผนนี้ซึ่งประกอบด้วยการกระทำ ๓ ขั้นตอน คือ การ จัดเตรียม การอนุมัติ และการบริหารงบประมาณ อารีลักษณ์ พงษ์โสภา๓ กล่าวว่า งบประมาณ หมายถึง แผนที่จัดทำขึ้นเพื่อ เป็นเครื่องมือที่แสดงถึงนโยบายของผู้บริหารในการดำเนินงานและ ควบคุมเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์๔ กล่าวถึง งบประมาณว่า รวมถึงรายได้และ รายจ่ายทั้งหมดของรัฐบาล ซึ่งไม่ว่าจะนำไปใช้ในโครงการอะไรหรือนำมาจากแหล่งใด ก็ตาม อรัญ ธรรมโน๕ ได้ให้ความหมายงบประมาณว่า หมายถึง แผนการด้านรายจ่าย การหารายได้โดยกำหนดเป็นแผนประจำปี พรชัย ลิขิตธรรมโรจน์๖ กล่าวว่างบประมาณหมายถึง แผนการเงินของรัฐบาลที่ จัดทำขึ้นเพื่อแสดงรายรับรายจ่ายของโครงการต่างๆ ที่กำหนดว่าจะทำในระยะเวลาที่ กำหนด โดยกำหนดเงินจำนวนเงินค่าใช้จ่ายของแต่ ละโครงการว่าจะต้องใช้จ่ายเงินเป็น ๓ อารีลักษณ์ พงษ์โสภา, “กระบวนการงบประมาณทีÉมีความสัมพันธ์กับสัมฤทธิ์ผลของ การบริหารงานงบประมาณ กรณีสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดชัยภูมิ ”, วิทยานิพนธ์ปริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ๒๕๔๕), หน้า ๑๒. ๔ ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์, การปฏิรูประบบงานงบประมาณในประเทศไทย : กรณีศึกษาเรื่องการจัดเตรียมงบประมาณในปี งบประมาณ ๒๕๔๖, (กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ ส่งเสริม, ๒๕๔๖), หน้า ๕๕. ๕ อรัญ ธรรมโน, ความรู้ทั่วไปทางการคลัง, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง, ๒๕๔๘), หน้า ๔๘. ๖ พรชัย ลิขิตธรรมโรจน์, การคลังรัฐบาลและการคลังท้องถิ่น, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์. ๒๕๕๐), หน้า ๒๑.
๔ จำนวนเท่าใด และ จะหาเงินจากทางใดเพื่อนำมาใช้จ่ายตามโครงการนั้นๆ ยัง หมายถึง แผนการเงินซึ่งแสดงวัตถุประสงค์และจำนวนของรายจ่ายและแหล่งที่มา และจำนวนของ รายรับในระยะเวลาหนึ่งและอธิบายว่า งบประมาณเป็นเอกสารประมาณการรายได้ - รายจ่ายที่มีระยะเวลากำหนดจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดที่แน่นอนโดยปกติ ๑ ปี การบริหารงบประมาณ หมายถึง การจัดทำงบประมาณ การดำเนินงานด้าน แผนพัฒนาการศึกษาและคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีการจัดสรรงบประมาณ การบริหาร การใช้จ่ายงบประมาณและการควบคุมงบประมาณที่ไดรับให้เป็นไปตาม วัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เกิดประโยชนสูงสุดถูกต้องตามระเยียบทันเวลา อย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลไดทั้งผลผลิตและผลลัพธ์ตลอดจนติดตามรายงานประเมินผล และรายงานส่วนการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (performance – based budgeting) สืบเนื่องมาจากแนวคิดในการบริหารงานที่เน้นผลสัมฤทธิ์ หรือที่เรียกว่า RBM (Result-Based Management) ซึ่งภาครัฐไดนำมาใช้ปรับปรุง ปรับเปลี่ยน ภารกิจและ วิธีการ บริหารงานของภาครัฐ ตามแผนการปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจและวิธีการ บริหารงานของภาครัฐในส่วนของการปฏิรูประบบงบประมาณ ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อน RBM ให้สัมฤทธิผล รัฐบาลไดเลือกใช้ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (performance – based budgeting) เป็นแกนหลักในการปฏิรูปครั้งนี้ โดยระบบบริหารงบประมาณแบบ มุ่งเน้นผลงานหรือ PBB จะกระจายอำนาจการบริหารจัดการงบประมาณให้หน่วยอิสระคล องตัวในการใช้งบประมาณให้คุ้มค่าแต่ต้องรับผิดชอบผลงานตามภารกิจ๗ ระบบงบประมาณมีการเปลี่ยนแนวทางการบริหารไปสูการบริหารที่มุ่งเน้น ผลสัมฤทธิ์มีการกำหนดเป้าหมายการทำงานเป็นระบบ มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน สอดคลอง กับสถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน ไดกล่าวว่าการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน ให้อิสระแกผู้บริหารในการบริหารจัดการและต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความสำเร็จของงาน ซึ่งพิจารณาไดจากผลงานที่เกิดขึ้นในลักษณะที่เป็นผลผลิต (output) และผลลัพธ์ ๗ กันตทัช บุตรคำ, “สภาพและปัญหาการบริหารงบประมาณตามระบบงบประมาณ แบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชลบุรี เขต ๓,” วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร, ๒๕๔๙), หน้า ๒๕.
๕ (outcome) ผลผลิต (output) เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากกิจกรรมที่หน่วยงานดำเนินการ หรือจัดกิจกรรม เช่น จำนวนหนังสือที่จัดซื้อ จำนวนครูที่เข้ารับการอบรม เป็นต้น ผลผลิต อาจจะเป็นสิ่งของหรือการให้บริการที่ปรากฏชัดเจนและที่สำคัญกลุ่มเป้าหมายที่ไดรับการ จัดกิจกรรมจะเป็นผู้ไดรับประโยชนจากผลผลิตโดยตรง และผลลัพธ์(outcome) เป็นผลที่ เกิดจากการนำผลผลิตที่ไดไปใช้ให้เกิดประโยชนจนเกิดผลตามเป้าหมายหรือนโยบายที่ได กำหนดไว เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน การมีงานทำของบัณฑิตที่จบการศึกษา สภาพสังคมที่เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ เป็นต้น ซึ่งผลงานที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะต้องสอดคลอง กับนโยบายและจุดหมายของหน่วยงานหรือสถานศึกษาที่ไดกำหนดไว๘ ชัยสิทธิ์ เฉลิมมีประเสริฐ๙ ไดกล่าวถึง ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (performance – based budgeting) คือการปรับปรุงระบบงบประมาณ เพื่อมุ่งเน้นให้ การจัดสรรทรัพยากรภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ พอสรุปไดดังนี้ ๑. พัฒนาระบบงบประมาณที่มุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์สำหรับหน่วยงานนำ ร่องจัดทำแผนการปรับเปลี่ยนขั้นต้นเพื่อไปสู่ ระบบงบประมาณที่มุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์ ซึ่งจะเชื่อมโยงกับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของภาครัฐโดยจะเริ่มจากหน่วยงานทางด้าน เศรษฐกิจและสังคมที่มีความพร้อมก่อน ๒. พัฒนาระบบการรายงานผลทั้งด้านการเงินและผลการดำเนินงานที่โปร่งใส สำหรับหน่วยงานนำร่องเพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบความรับผิดชอบในการตัดสินใจและ สนับสนุนให้มีโอกาสตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ ๓. พัฒนาระบบกระจายอำนาจการจัดการงบประมาณสำหรับหน่วยงานนำร่อง โดยจะครอบคลุมถึงการเสริมสร้างความสามารถในการจัดสรรงบประมาณของหน่วยงานนำ ร่องระบบรายงานผลที่เปรียบเทียบกับแผนงานและการที่สำนักงบประมาณและ กรมบัญชีกลางจะให้ความยืดหยุ่นในการจัดการงบประมาณแกหน่วยงานมากน้อยเพียงใด ๘ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน, การปฏิรูประบบราชการ : ทางออกของการ แกปัญหาและฟันฝ่าวิกฤต, (กรุงเทพมหานคร : กราฟฟคฟอรแมท ไทยแลนด จำกัด, ๒๕๔๔), หน้า ๑๔. ๙ ชัยสิทธิ์ เฉลิมมีประเสริฐ, มาตรฐานการจัดการทางการเงิน ๗ Hurdles กับการจัดทำ งบประมาณระบบใหม่, (กรุงเทพมหานคร : ธีระฟลม แอน ไซเท็กซ, ๒๕๔๔), หน้า ๑๓-๑๕.
๖ นั้น จะขึ้นอยู่กับลักษณะและความเข้มของมาตรฐานการควบคุมทางการเงินและระบบการ รายงานผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานนั้น ๆ ข้อกำหนดดังกล่าวจะถูกระบุไวในข้อตกลง การใช้ทรัพยากรระหว่างหน่วยงานและสำนักงบประมาณ ๔. เพิ่มขอบเขตความครอบคลุมของงบประมาณ เป็นการดำเนินการจัดระบบ รายงานค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของภาครัฐใหม ให้แสดงถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ทั้งสิ้นของรัฐบาล ทั้งนี้กิจกรรมของหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นที่ไดรับ การสนับสนุนจากเงินกูและเงินช่วยเหลือทั้งหมด จะต้องรายงานไวในแผนการเงินของ ภาครัฐด้วยโดยเริ่มแสดงข้อมูลเบื้องต้นเป็นตัวอย่างภายในปีงบประมาณ ๒๕๔๓ ๕. พัฒนาระบบบัญชีการเงินภาครัฐที่เทียบเทามาตรฐานนานาชาติที่กำหนดให้ International Federation of Accountants ทั้งนี้ระบบดังกล่าวจะรวมค่าใช้จ่ายซึ่งจะ เป็นภาระของรัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไวในเอกสารงบประมาณด้วย ๖. พัฒนาระบบการจัดทำงบประมาณการงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าสำหรับ หน่วยงานนำร่องซึ่งเป็นการพัฒนาประมาณการงบประมาณรายจ่ายล่วงหน้าที่สามารถ แสดงให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายในอนาคตภายใต้แผนงานโครงการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการ ตัดสินใจในปัจจุบัน การพัฒนาประมาณการรายจ่ายล่วงหน้านี้จะเชื่อมโยงเข้ากับแผนการ คลังระยะปานกลางที่จัดทำโดยสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง สำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทย ๗. กระจายอำนาจงบประมาณและการบริหารงบประมาณสู่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นการออกแบบวิธีการจัดสรรเงินอุดหนุนในรูปแบบใหม่ รวมทั้งการ กำหนดมาตรการที่จะเสริมสร้างขีด ความสามารถในการจัดการทางการเงินให้แกองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น ๘. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการจัดการทางการเงินในระดับ มหภาคตลอดจนพัฒนาระบบบริหารการเงินในระดับมหภาคตลอดจนพัฒนาระบบบริหาร การเงิน ในระดับหน่วยงานเพื่อสร้างความโปร่งใสให้แกการจัดสรรงบประมาณ โดยพัฒนา ระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงข้อมูลทางด้านการจัดการและทางด้านการเงินเข้าด้วยกัน เพื่อ ทำให้การตัดสินใจของหน่วยงานอยูบนฐานข้อมูลที่ทันสมัยสมบูรณ ครบถ้วนและเชื่อถือได
๗ ๙. ทบทวน ปรับปรุง แกไข เพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบงบประมาณ รายงานทางการเงินและการคลัง ๑๐. ปรับปรุงระบบการบริหารงานพัสดุ โดยพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศด้าน พัสดุและเน้นให้หน่วยงานภาครัฐมีระบบการจัดซื้อจัดจ้าง ในราคาที่เหมาะสมและทันเวลา ที่จะใช้รวมทั้งให้มีการดูแลบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดีและใช้งานไดอย่างคุ้มค่า ๑๑. ขยายผลการปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณ การเงินและการพัสดุต่อจาก จากโครงการนำร่องให้ครอบคลุมทั่วทั้งภาครัฐสำนักงบประมาณมีกลยุทธ์ในการดำเนินการ ปรับปรุงระบบการจัดการงบประมาณโดยเริ่มจากการดำเนินโครงการนำร่อง (pilot project) ในส่วนราชการที่มีความพรอมโดยคัดเลือกจากความสมัครใจของหน่วยงานและ ผู้นำที่มีความตั้งใจ หลังจากสำนักงบประมาณไดคัดเลือกหน่วยงานนำร่องตามโครงการ ปรับปรุงระบบการจัดการงบประมาณแลว กลยุทธ์ต่อไป คือ การใช้วิธีแบบมีเงื่อนไข (hurdle approach) คือ การกำหนดเงื่อนไขให้หน่วยงานนำร่องดำเนินการ ก่อนที่หน่วยงานนำร่องจะไดรับความคลองตัวทางการเงิน ทั้งนี้เพื่อเป็นการประกันความ เสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการนำงบประมาณไปใช้อย่างไมมีประสิทธิภาพและไมมีประสิทธิผล เงื่อนไขดังกล่าวคือ การลงนามบันทึกความเข้าใจ (memorandum of understanding) ระหว่างสำนักงบประมาณและหน่วยงานนำร่องเกี่ยวกับมาตรฐานการจัดการทางการเงิน และการลงนามในข้อตกลงการใช้ทรัพยากร (resource agreement หรือ output agreement) โดยในปี๒๕๔๒ สำนักงบประมาณไดคัดเลือกสำนักงานคณะกรรมการการ ประถมศึกษาแห่งชาติและกรมสามัญศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในปัจจุบัน) เป็นหน่วยงานนำร่องในการปรับปรุงระบบงบประมาณของ กระทรวงศึกษาธิการและไดร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (memorandum of understanding) การปรับระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (PBB) โดยไดมีการใช้ ทรัพยากรร่วมกันในการเตรียมความพรอมทางด้านการเงิน การบริหารและการรายงานผล การใช้จ่ายงบประมาณในแต่ละปีบนกรอบพื้นฐานการพัฒนามาตรฐานการจัดการทาง การเงิน ๗ ด้าน ประกอบไปด้วย การวางแผนงบประมาณ การคำนวณต้นทุนผลผลิต การ จัดระบบการจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารทางการเงินและการควบคุมงบประมาณ การรายงาน ทางการเงินและผลการดำเนินงาน การบริหารสินทรัพย์และการตรวจสอบภายในโดยไดเริ่ม
๘ โครงการในปีงบประมาณ ๒๕๔๕ และไดร่วมมือกับสถาบันพัฒนานโยบายและการจัดการ จัดทำแผนกลยุทธ์ของสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่ปี๒๕๔๕ – ๒๕๔๙ สำหรับ คุณลักษณะของการจัดทำงบประมาณระบบเดิมและการจัดทำงบประมาณระบบใหม่ (งบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน) จากทัศนะต่าง ๆ สรุปไดวา การบริหารงานงบประมาณ หมายถึง การดำเนินการใช้เงินงบประมาณที่ไดรับอย่างเป็นระบบ ตรงตามวัตถุประสงค์ ถูกต้องตามระเบียบ ทันเวลาและเพื่อประโยชนสูงสุดในการพัฒนา สรุปได้ว่า งบประมาณ หมายถึง การกำหนดแผนการใช้จ่ายเงินหรือประมาณ การรายรับ-รายจ่ายล่วงหน้า การจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งแสดงในรูปตัวเงินมีระยะเวลากำหนดที่แน่นอน โดยแสดงกิจกรรมหรือโครงการที่จะ ปฏิบัติ ซึ่งแผนนี้จะรวมถึงการกะประมาณบริการ กิจกรรม/โครงการ และค่าใช้จ่าย ตลอดจนทรัพยากรที่จำเป็นในการสนับสนุนการดำเนินงานให้บรรลุตามแผน ๑.๒ ความสำคัญของงานงบประมาณ จากความหมายของงบประมาณ จะเห็นได้ว่างานงบประมาณเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่ผู้บริหารต้องเอาใจใส่ และดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากงบประมาณเป็นเครื่องมือสำคัญในการ สนับสนุนให้การดำเนินงานหรือภารกิจอื่น ๆ ในองค์การสามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้ ด้วยดี ซึ่งได้มีผู้กล่าวถึงความสำคัญ และประโยชน์ ของงบประมาณไว้ดังนี้ อินสอน บัวเขียว๑๐ ได้กล่าวถึงประโยชน์ของงบประมาณไว้ดังนี้ ๑) งบประมาณเป็นเครื่องมือที่ผู้บริหารองค์การ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่สร้าง ขึ้นมาโดยการมองเห็นอนาคตอย่างคร่าวๆ โดยอาจจะได้จากการพยากรณ์สิ่งต่างๆควบคู่ กันกับภาวะเศรษฐกิจต่าง ๆ ไปในตัว ๒) เพื่อควบคุมการปฏิบัติงานของตนเอง หรือของหน่วยงานให้เป็นไปตาม แผนที่กำหนดไว้ ซึ่งทุกคนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานให้ถึงจุดมุ่ง หมาย ๑๐อินสอน บัวเขียว, สาระสำคัญการบริหารชมชน, (กรุงเทพมหานคร : พิราบสำนักพิมพ์, ๒๕๓๗), หน้า ๑๖๗-๑๖๙.
๙ ๓) ในแง่ ของการบริหารงาน จะเห็นว่าประสิทธิภาพของการบริหารงานนั้น จะต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ หรือความชำนาญพิเศษของแต่ ละคนให้เห็น ประโยชน์ของหน่วยงานเป็นที่ตั้ง ๔) เพื่อให้หน่วยงานมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เข้าใจลักษณะงานและปฏิบัติงานต่อเนื่องกัน มีความชำนาญเฉพาะ ด้านที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตลอดจนผู้บริหาร ได้เข้าใจในเรื่องงบประมาณอย่างดีแล้วก็ควรกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ไว้อย่าง ชัดเจนจะช่วยให้การดำเนินงานสัมฤทธิผลได้เร็วยิ่งขึ้น ณรงค์ สัจพันโรจน์๑๑ กล่าวสอดคล้องกันว่างบประมาณมีความสำคัญและเป็น ประโยชน์ต่อประเทศชาติอยู่หลายประการ รัฐบาลสามารถนำ เอางบประมาณแผ่นดินมา ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้า และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน พอสรุปได้ดังนี้ ๑) ใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศ ให้มีการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกัน ตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อป้องกันการรั่วไหลและการปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็นของหน่วยงานลด ลง ๒) ใช้เป็นเครื่องมือส่งเสริมเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยรัฐบาล จะต้องพยายามใช้จ่ายและจัดสรรงบประมาณให้เกิดประสิทธิผลและไปสู่ โครงการที่จำเป็น และเป็นโครงการในด้านการลงทุนเพื่อก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ๓) ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุด ๔) ใช้เป็นเครื่องมือในการกระจายรายได้ประชาชาติที่เป็นธรรม ๕) ใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินการคลัง ของประเทศ ๖) ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อประชาสัมพันธ์งาน และผลงานที่รัฐบาลดำเนินการ ให้แก่ผู้ใช้บริการเข้าใจถึงกระบวนการและความก้าวหน้าของการดำเนินงาน ๑๑ณรงค์ สัจพันโรจน์, การจัดทำอนุมัติการบริหารงบประมาณแผ่นดิน : ทฤษฎีและ ปฏิบัติ, (กรุงเทพมหานคร : บพิตรการพิมพ์, ๒๕๔๓), หน้า ๕๔.
๑๐ รุ่ง แก้วแดง๑๒ ได้กล่าวถึงการบริหารงบประมาณและการเงินแบบใหม่ว่า โรงเรียนจะต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนกำหนดเป้ าหมายและจัดลำดับความสำคัญ ของการใช้เงินให้ชัดเจน กล่าวคือ ต้องให้ความสำคัญกับกิจกรรมการเรียนการสอน เป็น อันดับแรกและในการดำเนินงานก็ต้องแสดงให้เห็นว่า ได้ใช้งบประมาณที่สอดคล้องกับแผน เป้ าหมายและวิสัยทัศน์ของสถานศึกษา เสริมศักดิ วิศาลาภรณ์๑๓ กล่าวถึงความสำคัญของงบประมาณไว้ว่า เป็น เครื่องมือในการบริหารงาน เพราะเป็นแผนงานการเงินที่มีการกำหนดรายรับและรายจ่าย ของงาน / โครงการต่างๆไว้ล่วงหน้า จึงทำให้ผู้บริหารใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือในการ ควบคุมนโยบายของหน่วยงานในการดำเนินงานตามแผนงานและโครงการต่างๆของ หน่วยงานเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบการปฏิบัติงาน ว่าได้ดำเนินการตามแผนที่ตั้งไว้ หรือไม่ ซึ่งเป็นการวัดความสามารถของผู้บริหารไปพร้อมกันด้วย สรุปได้ว่างบประมาณมีประโยชน์โดยตรงต่อฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นในรูป องค์การทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นองค์การด้านธุรกิจ หรือองค์การด้าน การศึกษาก็ตาม เพราะว่างบประมาณมีส่วนสำคัญทำให้การทำงานสำเร็จ ไปสู่ วัตถุประสงค์หลักขององค์การส่งผลให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยัง สามารถเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ กำกับ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานด้าน อื่นที่เกี่ยวข้อง ๑.๓ หลักการบริหารงบประมาณ การบริหารงบประมาณ ได้มีการปรับปรุงระบบงบประมาณมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทยในระยะเริ่มแรก สำนักงบประมาณได้ใช้ระบบประมาณแบบแสดง รายการ (Line Item Budgeting) ซึ่งเป็นแบบรวมศูนย์อำนาจที่ยึดการตัดสินใจจาก ๑๒รุ่ง แก้วแดง, โรงเรียนนิติบุคคล, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช จำกัด, ๒๕๔๖), หน้า ๑๒๑-๑๒๒. ๑๓เสริมศักดิ วิศาลาภรณ์, “ปญหาและแนวโนมเกี่ยวกับการมีสวนรวมของประชาชนใน การบริหารการศึกษา.” ประมวลชุดวิชาสัมมนาปญหาแนวโนมทางการบริหารการศึกษา หนวยที่ ๗. (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๓๗), หน้า ๘.
๑๑ ส่วนกลางเป็นหลัก ผู้บริหารส่วนกลาง เป็นผู้กำหนดแผนงาน /โครงการและจัดสรร งบประมาณหน่วยปฏิบัติตามประเภทรายจ่ายจนกระทั่งปีงบประมาณ ๒๕๒๕ เมื่อมีการ กระจายอำนาจจากส่วนกลางให้หน่วยปฏิบัติได้มีโอกาสตัดสินใจมากขึ้น จึงกำหนดให้มีการ วางแผนมาจากหน่วยปฏิบัติซึ่งต้องเขียนแผนงานโครงการเสนอของบประมาณ เป็น ลักษณะการวางแผนเชิงระบบ โดยส่วนกลางจะจัดสรรงบประมาณไปให้ตามแผนงานของ หน่วยปฏิบัติ และแผนงานของส่วนกลาง ซึ่งเรียกการจัดทำแผนงบประมาณลักษณะนี้ว่า ระบบงบประมาณแบบแผนโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS)ในปัจจุบันได้มีการกระจายอำนาจให้หน่วยปฏิบัติได้ตัดสินใจมากขึ้น การวางแผนจึง เป็นลักษณะการวางแผนเชิงกลยุทธ์ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกมากขึ้น โดยเฉพาะชุมชนและ องค์กรต่างๆจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมกำหนดทิศทางของหน่วยงาน ดังนั้นจึงต้องใช้แผนกล ยุทธ์เป็นแผนแม่บทในการวางแผนเพื่อให้หน่วยงานบรรลุเป้ าหมายงบประมาณเป็นแหล่ง ทรัพยากรหลักเพื่อการจัดการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา ซึ่งมาจากการ จัดเก็บภาษีจากประชาชน จึงมิใช่ สมบัติของผู้หนึ่งผู้ใด หรือ หน่วยงานใดโดยเฉพาะ ซึ่งแต่ ละหน่วยงานหรือผู้บริหารแต่ ละคนจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่องบประมาณที่ได้รับจัดสรร ทั้งที่เป็นตัวเงินและอื่น ๆ ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรของหน่วยงานให้เป็นไปอย่าง ประหยัด คุมค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและ สังคมซึ่งเป็นเจ้าของงบประมาณ โดยคำนึงถึงหลักบริหารจัดการ ดังนี้ ๑) หลักการกระจายอำนาจไปยังเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา เพื่อให้ ผู้บริหารมีอิสระและคล่องตัวในการตัดสินใจ และบริหารทรัพยากรของสถานศึกษาเพื่อจัด การศึกษาที่สนองตอบความต้องการของผู้เรียน ๒) หลักความโปร่งใสและความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ การที่ผู้บริหารมี อิสระและความคล่องตัวในการบริหารจัดการทรัพยากรของสถานศึกษาจะต้องควบคู่ กับ ความรับผิดชอบที่ โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ๓) หลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล ภายใต้การบริหารจัดการทรัพยากรที่มี อยู่อย่างจำกัด ผู้บริหารเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาจะต้องพิจารณาตัดสินใจ และ เลือกใช้ทรัพยากรที่มีอย่างประหยัด คุ้มค่า และบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้ าหมายและ ภารกิจ ซึ่งจะต้องสามารถวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ของแผนงาน งาน/โครงการ เพื่อ
๑๒ ตัดสินใจเลือกแผนงาน งาน/โครงการ ที่เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุดภายใต้เป้ าหมายผลผลิตและผลลัพธ์ที่ชัดเจน สามารถวัดได้ประเมินได้๑๔ กิตติมา ปรีดีดิลก๑๕ กล่าวถึงหลักงบประมาณที่ดีไว้ ๒ ประเด็น คือ ๑) เป็นแหล่งที่แสดงรายรับรายจ่ายของรัฐบาลทุกรายการให้ได้มากที่สุดเท่าที่ จะทำได้เพราะจะช่วยให้รัฐบาลสามารถตัดสินใจในการใช้จ่ายเงินได้ถูกต้องตามความสำคัญ มากน้อยก่อน หลัง และจะช่วยให้เกิดการประหยัดด้วยแง่ ของการทำงานซ้ำซ้อนกัน ๒) งบประมาณจะต้องทำให้เกิดความเจริญแก่ ประเทศ ชาติจากหลักการ บริหารงบประมาณจะเห็นว่า ต้องการให้เกิดการ ใช้ระบบถ่วงดุล ความรับผิดชอบ โดยให้ ผู้บริหารระดับเขตพื้นที่การศึกษา ระดับสถานศึกษาเป็นผู้ติดตาม ตรวจสอบการดำเนินงาน ทั้งนี้การที่จะบรรลุผลสำเร็จตามหลักการดังกล่าว ระบบและวิธีการงบประมาณที่มี ประสิทธิภาพ โปร่งใสและตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบถ้วนถือว่าเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่ จะช่วยให้กรอบหลักการดังกล่าวประสบผลสำเร็จ ๑.๕ รูปแบบของงบประมาณ รูปแบบของงบประมาณมีหลายรูปแบบที่สำคัญได้แก่ งบประมาณคงที่และ งบประมาณยืดหยุ่น งบประมาณฐานศูนย์ งบประมาณส่วนเพิ่ม งบประมาณตามงวด ระยะเวลาและงบประมาณต่อเนื่อง งบประมาณ ตามกิจกรรม ทั้งนี้ การใช้งบประมาณ แบบใดขึ้นอยู่กับลักษณะและวัตถุประสงค์ในการจัดทำ ดังนี้ ๑.๕.๑ งบประมาณคงที่ และงบประมาณยืดหยุ่น งบประมาณคงที่ (Fixed budget) คือ งบประมาณที่วางไว้ตายตัวสำหรับกิจกรรมใดๆ ถึงแม้ขนาดของ กิจกรรมนั้น จะเปลี่ยนก็จะไม่เปลี่ยนแปลงงบประมาณ ในกรณีที่กิจกรรมไม่แตกต่างไปจากระดับ กิจกรรมที่ได้ประมาณไว้งบประมาณคงที่จะมีประโยชน์ถ้าหากต้นทุนที่เกิดขึ้นเป็นต้นทุน ๑๔ธงชัย สันติวงษ์, องค์การ ทฤษฎี และการออกแบบ, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนา พานิช, ๒๕๕๐), หน้า ๔๓. ๑๕กิติมา ปรีดีดิลก, การบริหารและการนิเทศเบื้องต้น, (กรุงเทพมหานคร : อักษรพิพัฒน์ จำกัด, ๒๕๕๑), หน้า ๑๑.
๑๓ คงที่เกือบทั้งหมด เพราะต้นทุนคงที่ จะไม่เปลี่ยนแปลงแม้ระดับการผลิตจะเปลี่ยนแปลงไป งบประมาณคงที่จะมีประโยชน์ในแง่การควบคุมต้นทุน เท่านั้น แต่ไม่ได้แสดงการกะ ประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อกิจการดำเนินกิจกรรมในระดับ ณ ระดับอื่น ดังนั้น ถ้า กิจการคาดว่าจะมีการผลิตเกิดขึ้นในช่วงกว้างๆ ก็ควรจะใช้งบประมาณยืดหยุ่น ซึ่ง งบประมาณยืดหยุ่น (Flexible budget) คือ งบประมาณที่เปลี่ยนแปลงได้ตามขนาดของ กิจกรรม๑๖ การวางแผนงบประมาณ ต้องการวางระยะสั้นและระยะยาวให้สอดคล้องกัน เนื่องจากการวางแผนระยะ ยาวเป็นการคาดหวังกำไรและการเติบโตในอนาคตโดยจะ ประสบผลสำเร็จได้ต้องมาจาก การบรรลุผลสำเร็จ อย่าง โดยปกติจะอยู่ ณ ระดับการผลิต หรือการขาย ณ หน่วยที่ผลิตหรือขายที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นในการจัดทำงบประมาณยืดหยุ่น จึงต้องศึกษาพฤติกรรม ต้นทุนอย่างละเอียด งบประมาณที่จัดทำจึงจะใช้ได้กับทุกระดับ กิจกรรมเพราะเป็นงบประมาณที่ใช้ในการควบคุม เชิงเปลี่ยนแปลงมากกว่าจะคงที่จึงใช้ใน การวางแผน ควบคุมและวัดผลการปฏิบัติงานจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๕.๒ งบประมาณฐานศูนย์งบประมาณฐานศูนย์ คือ งบประมาณที่จัดทำขึ้น โดย มิได้คำนึงถึงประมาณค่าใช้จ่ายเดิมของปีก่อนๆ แต่จะเริ่มลงมือพิจารณาและวิเคราะห์ ข้อมูลใหม่ทั้งหมดซึ่ง ผู้เสนอของบประมาณต้องแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ โครงการหรือ กิจกรรมต่างๆ ที่กิจการต้องดำเนินการในปีงบประมาณอย่างชัดเจนพร้อมเหตุผลและ วงเงินที่เสนอ โดยมีการ วิเคราะห์ ประเมินค่า และจัดลำดับความสำคัญของโครงการหรือ กิจกรรมต่างๆ ก่อนหลังตาม ผลตอบแทนหรือประโยชน์ที่มีต่อกิจการ พร้อมจัดสรร ทรัพยากรให้เหมาะสมตามที่ได้วิเคราะห์ ๑.๕.๓ งบประมาณส่วนเพิ่ม งบประมาณส่วนเพิ่ม คือ งบประมาณที่ช่วยในการ ตัดสินใจในกรณีที่มีทางเลือกตั้งแต่ ๒ ทางเลือก โดย งบประมาณส่วนเพิ่มนี้จะแสดงความ แตกต่างของต้นทุนในระหว่างทางเลือก ๒ ทางเลือกถึงต้นทุนส่วนเพิ่มซึ่ง เป็นต้นทุนใน อนาคตที่จะเกิดขึ้นหรือต้นทุนที่ประหยัดได้หรือลดลงจากต้นทุนรวมเนื่องจากรายได้ที่ เพิ่มขึ้น เมื่อ ระดับกิจกรรมเปลี่ยนแปลงไปหรือเมื่อมีการตัดสินใจกระทำการเปลี่ยนแปลง ๑๖สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย “ศัพท์บัญชี”, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท พี.เอ.ลีฟวิ่ง จำกัด, ๒๕๓๘), หน้า ๙๑.
๑๔ ทางธุรกิจอย่างหนึ่ง การประมาณ ต้นทุนส่วนเพิ่มอาจวิเคราะห์เป็นต้นทุนต่อหน่วย หรือ เปรียบเทียบต้นทุนต่างๆ เป็นยอดรวมก็ได้ ๑.๕.๔ งบประมาณตามงวดระยะเวลาและงบประมาณต่อเนื่อง งบประมาณ ตามงวดระยะเวลา คือ งบประมาณที่จัดทำขึ้นสำหรับช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่งอาจเป็น ระยะสั้นคือ ๖ เดือน หรือ ๑ ปี หรือระยะยาวคือ ๓ ปี ๕ ปี หรือมากกว่านั้น ในการ วางแผนประจำงวดนั้นจะต้องมีการวางแผนทุกขั้นตอนของกิจกรรมที่ควรมี และคำนึงถึง ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นประจำในแต่ละงวด ส่วน งบประมาณต่อเนื่อง คือ งบประมาณที่ จัดทำขึ้นอย่างต่อเนื่องในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อให้กิจการบรรลุวัตถุประสงค์ ที่ตั้งไว้และ ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป เช่น เมื่อได้มีการจัดทำงบประมาณในการจัดซื้อ คอมพิวเตอร์ต่อมาจะมีการตั้งประมาณการเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม บำรุงรักษา และอัพเกรดคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ๑.๕.๕ งบประมาณตามกิจกรรม งบประมาณตามกิจกรรม คือ งบประมาณ ที่เน้นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในองค์กร เป็นกระบวนการการ วางแผนและควบคุมกิจกรรมต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในองค์กร เช่น การขาย การผลิต การกำหนดปริมาณสินค้า คงเหลือ เป็นต้น เมื่อระบุกิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้แล้วจึงจะประมาณต้นทุนที่จะเกิดขึ้นสำหรับ กิจกรรมนั้น ๑.๕.๖ งบประมาณตามช่วงระยะเวลาการจัดทำงบประมาณเพื่อการวางแผน และควบคุม ๕ ต่อเนื่องในระยะสั้น ช่วงเวลางบประมาณระยะสั้นหรือระยะยาวขึ้นอยู่กับ ลักษณะของการประกอบธุรกิจและ รายละเอียดที่ต้องการซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับการ วางแผนองค์กร (Corporate plan) ในภาพรวมทั้งหมด งบประมาณระยะสั้น เป็นชุด งบประมาณที่สมบูรณ์เกี่ยวกับการ ดำเนินงาน ในปัจจุบัน โดยทั่วไปงบประมาณระยะสั้นมี ระยะเวลาประมาณ ๑ ปีหรือน้อยกว่า ฝ่ายจัดการอาจจะจัดทำงบประมาณแบ่งทอนเวลา ตลอดทั้งปีให้เป็นระยะเวลาสั้นๆ หลายช่วงเวลา เช่น งบประมาณ ๓ เดือน ๖ เดือน หรือ อาจขยายเป็น ๑๘ เดือน โดย ๓ เดือนแรกเป็นงบประมาณของปีก่อน จัดทำงบประมาณ ๑๒ เดือนของปีปัจจุบัน และ ๓ เดือนหลังเป็น งบประมาณปีต่อไป การทำงบประมาณให้ คาบเกี่ยวช่วงเดือนกันสามารถปรับเปลี่ยนแผนงานและแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้ และเพื่อให้สัมพันธ์กับการ ควบคุมภายในควรจะกำหนดวัด ผลการดำเนินงาน ๓ เดือน ๖
๑๕ เดือนและ ๑๒ เดือนขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจและประสิทธิภาพในการวางแผน กำหนดการผลิตให้เพียงพอในแต่ ละผลิตภัณฑ์งบประมาณระยะยาว อาจแบ่งช่วงเวลา งบประมาณเป็นระยะปานกลางมีระยะเวลาประมาณ ๒-๓ ปีโดย พิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นใน ปัจจุบัน และมุ่งดำเนินโครงการเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของกิจการในระยะยาว การ วางแผนกำไรระยะยาวเป็นกระบวนการต่อเนื่องจากการตัดสินใจในปัจจุบันและคาดการณ์ สิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต ัอย่างดีที่สุดซึ่งแสดงในรูปการขาย การจ่ายลงทุน กิจกรรมการวิจัย และพัฒนาและความต้องการเงินลงทุน ดังนั้น งบประมาณระยะยาวจึงมีระยะเวลา ประมาณ ๓ ปีขึ้นไป เป็นโครงการลงทุนที่มีลักษณะเป็นการจ่ายเงินจำนวน มากโดยหวัง ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับเป็นระยะเวลานาน เช่น โครงการลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์ใหม่แทน สินทรัพย์เดิม โครงการซื้อเครื่องจักรใหม่ สร้างโรงงานหรือสำนักงานใหม่เพิ่มเติมเพื่อขยาย กิจการ เป็นต้น งบประมาณ ระยะยาวเป็นการวางกรอบโดยกว้างและต้องอาศัย ความ ต่อเนื่องในการปฏิบัติงาน ที่สอดคล้องกับแผนงานที่ กำหนดไว้เพื่อสามารถจัดทำ งบประมาณระยะปานกลางและระยะสั้นให้รองรับแผนงานตามงบประมาณระยะยาว ๑.๔ ลักษณะของงบประมาณที่ดี งบประมาณที่ดีและเป็นประโยชนต่อหน่วยงาน ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้๑๗ ๑) เป็นศูนย์รวมของเงินงบประมาณทั้งหมดปกติการใช้จ่ายเงินงบประมาณควร จะใช้จ่ายและพิจารณาจากศูนย์หรือแหล่งรวมเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อจะไดมีการ พิจารณาเปรียบเทียบการใช้จ่ายในแต่ละรายการ หรือทุกโครงการว่ารายการใดมี ความสำคัญจำเป็นมากน้อยกว่ากันหากรายการใดมีความสำคัญและจำเป็นมาก ก็ควรได รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายมากทั้งนี้เพื่อความยุติธรรมในการจัดสรรเงินงบประมาณ ทุกโครงการควรมีสิทธิเทาๆ กันในการเสนอเข้ารับการพิจารณาในการจัดสรรงบประมาณ พรอมกัน เพื่อจะไดมีการประสานงานและโครงการเข้าด้วยกัน ป้องกันมิให้มีการทำงาน หรือโครงการซ้ำซ้อนอันจะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ ดังนั้นจึงไมควรแยกการพิจารณา ๑๗ณรงค สัจพันโรจน, การจัดทำอนุมัติและบริหารงบประมาณแผนดินทฤษฎีและปฏิบัติ, (กรุงเทพมหานคร : บพิธการพิมพ์, ๒๕๓๘), หน้า ๓๒.
๑๖ งบประมาณไวในหลาย ๆ จุด หรือหลายครั้ง ซึ่งจะก่อให้เกิดการพิจารณาที่ต่างกันและ ไมยุติธรรมแต่อย่างไรก็ตาม ในบางโอกาสก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องแยกตั้งเงินไวต่างหาก เป็นงบพิเศษ นอกเหนือจากงบประมาณ เช่น งบกลาง งบราชการลับ ซึ่งถ้ามีจำนวนไมมาก เกินไปก็มักจะไมเป็นภัยทั้งยังช่วยให้เกิดความสะดวกบางอย่างด้วย แต่ถ้าการตั้งงบพิเศษมี มากเกินไปจะเกิดผลเสียต่อการบริหารงบประมาณ เพราะจะทำให้เกิดการ คือ โอกาส แยกเงินมาใช้จ่ายไดง่ายขึ้นและยังทำให้การบริหารงบประมาณเป็นไปแบบไมมีแผนและ เป้าหมายที่ชัดเจน ๒) มีลักษณะของการพัฒนาเป็นหลักงบประมาณที่ดีควรจะดำเนินการจัดสรร โดยยึดหลักการพัฒนาเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าเป็นหลัก ทั้งนี้เนื่องจากมีงบประมาณ จำกัด จึงควรมีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามหลักการพัฒนาที่ดีว่าด้านไหนควรมา ก่อนหลัง ตามสถานการณและความจำเป็น ๓) การกำหนดเงินต้องสอดคลองกับปัจจัยในการทำงานการจัดงบประมาณใน แผนงานต้องมีความเหมาะสมให้งานนั้น ๆ สามารถจัดทำกิจกรรมไดบรรลุตามเป้าหมาย ที่ตั้งไวหรืออีกนัยหนึ่ง คือ การกำหนดเป้าหมายหรือผลที่จะไดรับต้องสอดคลองกับ งบประมาณและความเป็นไปได ๔) มีลักษณะที่สามารถตรวจสอบได หรือเป็นเครื่องมือที่จะใช้ตรวจสอบการ บริหารงานของหน่วยงานได การจัดงบประมาณในแผนงานต่างควรมีรายละเอียดของ กิจกรรมต่าง ๆ อย่างพอเพียงและเกิดผลเป็นรูปธรรม ๕) มีระยะการดำเนินงานที่เหมาะสม ตามปกติงบประมาณที่ดีควรมีระยะเวลา เหมาะสมตามสถานการณ ไมสั้นไมยาวเกินไป โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลาประมาณ ๑ ป การเริ่มต้นใช้งบประมาณจะเริ่มในเดือนใด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน เช่น งบประมาณแผนดิน เริ่มเดือนตุลาคมถึงเดือนกันยายนของปีต่อไป งบประมาณเงิน รายไดของสถานศึกษาใช้ตามปีการศึกษาเป็นต้น ๖) มีลักษณะช่วยให้เกิดการประหยัด ในการทำงบประมาณ ควรพยายามให้ การใช้จ่ายเงินตามโครงการต่าง ๆ ไดผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยพยายามไมให้มีการใช้จ่าย เกินความจำเป็นฟุ่มเฟือยหรือเป็นการใช้จ่ายที่สูญเปลา ไมเกิดประโยชน์คุ้มค่า
๑๗ ๗) มีลักษณะชัดเจน งบประมาณที่ดีควรมีความชัดเจนเข้าใจง่ายเน้นถึง ความสำคัญแต่ละโครงการไดดีไมคลุมเครือ ง่ายต่อการพิจารณาวิเคราะห์และเป็น ประโยชน์ต่อผู้นำไปปฏิบัติด้วย ๘) มีความถูกต้องและเชื่อถือได งบประมาณที่ดีจะต้องเป็นงบประมาณที่มี ความถูกต้องทั้งในรายละเอียดทั้งในด้านตัวเลขและรายละเอียดของโครงการต่าง ๆ หาก งบประมาณมีข้อบกพรองในด้านความถูกต้อง ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดพลาดหรือความ ไมรอบคอบก็ตามอาจเกิดผลเสียหายขึ้นได และต่อไปงบประมาณอาจไมรับความเชื่อถือ ๙) จะต้องเปิดเผยได งบประมาณที่ดีจะต้องมีลักษณะที่สามารถจะเปิดเผยแก สาธารณะ หรือผู้เกี่ยวข้องทราบได ไมถือเป็นความลับ เพราะการเปิดเผยเป็นการแสดงถึง ความบริสุทธิ์และโปร่งใสในการบริหารหน่วยงาน ๑๐) มีความยืดหยุ่นงบประมาณที่ดีควรจะยืดหยุ่นไดตามความจำเป็น หากจัด วางงบประมาณไวอย่างเคร่งครัดจนขยับไมได อาจจะก่อให้เกิดความไมคลองตัวในการ ทำงาน เพราะลักษณะของการทำงบประมาณเป็นการวางแผนการทำงานในอนาคต ซึ่งอาจมีปัจจุบันอื่นมากระทบทำให้การบริหารงบประมาณผิดพลาด และอย่างไรก็ตาม ถ้ามีความยืดหยุ่นมากก็อาจเกิด ปัญหาการใช้งบประมาณที่ไมมีประสิทธิภาพ ๑๑) มีความเชื่อถือไดในแงความบริสุทธิ์ งบประมาณที่ดีต้องสามารถ ตรวจสอบไดเพื่อป้องกันการทุจริต ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเชื่อถือได ประหยัด และตรงตาม วัตถุประสงค์ ๑.๖ ข้อดีของงบประมาณ งบประมาณขององค์การมีส่วนช่วยให้การดำเนินการสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้นับว่ามีประโยชน์ต่อองค์การอย่างมากมาย อาทิเช่น ๑) ทำให้ผู้บริหารรู้ จักนำเอาการวางแผนมาเป็นเครื่องมือกำหนดงานแต่ ละ ชนิด เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ๒) งบประมาณจะกำหนดเป้าหมายที่แน่นอน และเป็นไปได้ ๓) มีการประสานงานกันในการปฏิบัติงาน ทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ
๑๘ ๔) งบประมาณเป็นเครื่องมือช่วยชี้ว่ากิจกรรมนั้นๆมีความสามารถในระดับใด เมื่อเทียบกับการทำงานปีที่ผ่านมา ๕) งบประมาณช่วยให้พนักงานผู้ใต้บังคับบัญชาทราบแนวทางของตนที่จะ ปฏิบัติงาน เกิดความรู้สุกว่าเขามีส่วนร่วม ๖) การใช้จ่ายของคนส่วนใหญ่ อาจขาดความรู้สึกทั้งนี้เพราะอาจนึกว่าเรา พยายามทำงานให้ดีที่สุดอยู่แล้ว หากเรามีงบประมาณมาเป็นเครื่องมือในการบังคับการ จ่ายเงินดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติหาเหตุผลเพื่อปฏิเสธบางกรณีได้ ๗) การทำงานบรรลุตามงบประมาณที่ให้ไว้เกิดความรู้สึกได้มีส่วนร่วมเป็นผลดี สรุปได้ว่า ข้อดีของงบประมาณ คือ ช่วยให้การดำเนินงานขององค์การหรือ หน่วยงานดำเนินการสัมฤทธิผลตามเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ๑.๗ ข้อจำกัดของงบประมาณ งบประมาณแม้จะมีประโยชน์และสามารถใช้เป็นเครื่องมือ ในการบริหาร องค์กรให้บรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆ และมีความสำคัญอย่างมากก็จริง แต่ งบประมาณก็ยังมี ข้อจำกัดอยู่ในตัวของงบประมาณ ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้มิใช่ เป็นข้อเสียหายหรือทำให้ การงบประมาณด้อยค่าลงไป เพียงแต่ ประเด็นเหล่านี้จะต้องนำมาพิจารณาในการใช้ งบประมาณ เพื่อให้สามารถใช้งบประมาณอย่างเป็นประโยชน์สูงสุดและมีประสิทธิภาพ อย่างแท้ จริง อินสอน บัวเขียว๑๘ กล่าวถึงข้อจำกัดงบประมาณ ดังนี้ ๑) หากผู้ปฏิบัติงานไม่เข้าใจเรื่องงบประมาณอย่างดีแล้ว อาจมีความคิดเห็น ว่าผู้บริหารต้องการความสำเร็จเป็นที่ตั้ง การวางแผนงานต่างๆผู้บริหารเป็นผู้กำหนด เมื่อเป็นเช่นนี้พนักงานส่วนใหญ่ จะเกิดขวัญเสีย ไม่ปฏิบัติตาม ๑๘อินสอน บัวเขียว, สาระสำคัญการบริหารชมชน, (กรุงเทพมหานคร : พิราบสำนักพิมพ์, ๒๕๓๗), หน้า ๑๗๓-๑๗๔.
๑๙ ๒) หากการแบ่งหน่วยงานไม่เป็นระเบียบ ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ดีแล้ว การใช้ งบประมาณมาเป็นเครื่องมือเพียงอย่างเดียวอาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะหน่วยงานแต่ ละ หน่วย อาจให้ผลตอบแทนทางด้านรายได้ไม่ทัดเทียมกัน ๓) การได้รับงบประมาณไม่เท่ากันอาจเป็นสาเหตุที่ทำหัวหน้าหน่วยงานมี ข้อคิดเห็นไม่เป็นไปในรูปเดียวกัน ซึ่งอาจเกิดเป็นข้อพิพาทได้ในอนาคต ๔) งบประมาณบางครั้งนำมาวัดค่าของการทำงานของผู้ปฏิบัติ เพื่อพิจารณา ความดีความชอบ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นได้ ๕) บางหน่วยงานการใช้จ่ายมีวงเงินจำกัด แต่เมื่อเห็นว่างบประมาณยัง เหลืออยู่ก็พยายามใช้ให้มากที่สุด เผื่อว่าปีหน้าหากของบประมาณมาแล้วอาจถูกตัดได้ เพราะเมื่อมีแล้วไม่ใช้ เกิดผลเสียต่อกิจการในที่สุด ณรงค์ สัจพันโรจน์๑๙ กล่าวถึงข้อกำหนดและข้อจำกัดของงบประมาณโดยแบ่ง ได้ ดังนี้ ๑) ด้านการบริหาร ๑.๑) ผู้บริหาร บทบาทของผู้บริหาร ต้องตระหนักและเห็นความสำคัญของ งบประมาณว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการบริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพสูงต้อง จัดองค์การและวางแผนการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่ และให้มีการ ประสานงานในระหว่างหน่วยงานในองค์การ โดยเฉพาะหน่วยงานที่เป็นหน่วยข้อมูลกลาง ในการบริหารงบประมาณขององค์การ จะต้องจัดหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานงบประมาณ ให้เป็นงานที่ต่อเนื่องและมีข้อมูลในด้านต่างๆ ไว้พร้อมจะต้องจัดเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็น ในการบริหารงานงบประมาณไว้ครบถ้วน เพื่อให้งบประมาณเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ๑.๒) ด้านองค์กร ต้องมีบทบาทในการจัดระบบงานและองค์กรให้มีสาย บังคับบัญชาในองค์กรให้แน่ นอน จัดให้มีการประสานงานกันในหน่วยงาน ในการบริหาร งบประมาณ โดยเฉพาะงานงบประมาณและงานบัญชี และจัดให้มีองค์กรกลางเป็นศูนย์รวม ๑๙ณรงค์ สัจพันโรจน์, การจัดทำอนุมัติการบริหารงบประมาณแผ่นดิน : ทฤษฎีและ ปฏิบัติ, (กรุงเทพมหานคร : บพิตรการพิมพ์, ๒๕๔๓), หน้า ๙๗-๙๘.
๒๐ ข้อมูลงบประมาณขององค์กรเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนการบริหารงบประมาณ การ งานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันในด้านข้อมูลที่ใช้ ๑.๓) เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติดังนี้คือ ต้องรู้ จักและเข้าใจบทบาทอำนาจ หน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี และเป็นคนมีเหตุผล ต้องมีประสบการณ์และความรอบคอบ กว้างขวางในด้านต่างๆ อาทิ ด้านนโยบาย ด้านแผนงาน ด้านเศรษฐกิจ ฯลฯ ต้องรู้ จักปฏิบัติตัวกับหน่วยงานและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้มีบรรยากาศในการบริหาร งบประมาณ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุดเป็นประโยชน์ต่อ ประเทศชาติและส่วนรวม ๒) ด้านนิติบัญญัติ กระบวนการงบประมาณ ต้องผ่านความเห็นชอบของ ฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว จึงประกาศกฎหมายหรือพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี ได้ ฉะนั้นฝ่ายนิติบัญญัติจึงมีความสำคัญต่อกระบวนการงบประมาณอย่างมาก หากฝ่ายนิติ บัญญัติเป็นบุคคลที่มีความรอบรู้ ย่อมสามารถควบคุมเงินงบประมาณให้ใช้จ่ายไปอย่าง ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ตรงกันข้ามหากฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีความรอบรู้ รอบด้านแล้ว งบประมาณย่อมจะต้องถูกกำหนดและจำกัดไปสู่ จุดที่ไม่ถึงไม่ปรารถนา และเป็นผลดีต่อ ประเทศชาติและส่วนรวมในที่สุด ๓) ด้านเศรษฐกิจ งบประมาณย่อมถูกกำหนดและจำกัดโดยสภาพเศรษฐกิจ ของประเทศในขณะนั้นเป็นสำคัญ เพราะเงินรายรับที่จะนำมาใช้จ่ายเป็นงบประมาณ รายจ่ายนั้นย่อมขึ้นอยู่กับรายได้ประชาชาติหรือภาวะเศรษฐกิจดีหรือเลว ภาวะ ประเทศชาติร่ำรวยหรือยากจนเป็นสำคัญ ๔) ด้านสังคม ลักษณะของสังคมจะเป็นตัวกำหนดและจำกัดงบประมาณอีก เช่นกัน อาทิ อัตราการว่างงาน อัตราการอ่านออกเขียนได้ อัตราโจรผู้ร้าย ฯลฯ ย่อมเป็นตัว กำหนดให้รัฐบาลตระหนักว่า ควรจะใช้งบประมาณเพื่อการนี้เป็นจำนวนเท่าไร เพื่อให้ สอดคล้องกับความต้องการของสังคมด้านต่างๆ ๕) ด้านอื่น ๆ เช่น ข้อกำหนดและข้อจำกัดทางการศาสนาการต่างประเทศ การเมือง กฎหมายและประวัติศาสตร์ สรุปได้ว่า งบประมาณเป็นแผนงานแสดงถึงความต้องการใช้จ่ายเงินและ ทรัพยากรในการดำเนินกิจกรรม/โครงการต่างๆในอนาคตขององค์การหรือหน่วยงานทั้ง
๒๑ ภาครัฐและเอกชนซึ่งงบประมาณเป็นการกะประมาณการรายรับและรายจ่ายที่จะได้มาและ จ่ายไปในอนาคต ๑.๘ สรุป ความหมายของงบประมาณจะแตกต่างกันออกไปตามกาลเวลาและลักษณะ การให้ความหมายของนักวิชาการแต่ละด้าน ซึ่งมองงบประมาณแต่ ละด้านไม่ เหมือนกัน เช่น นักเศรษฐศาสตร์ มองงบประมาณในลักษณะของการใช้ทรัพยากรที่ มีอยู่ จำกัดให้เกิด ประโยชน์สูงสุด นักบริหาร จะมองงบประมาณในลักษณะของกระบวนการหรือการบริหาร งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยบรรลุเป้าหมายของแผนงานที่วางไว้ นักการเมืองจะมองงบประมาณในลักษณะของการมุ่งให้รัฐสภาใช้อำนาจควบคุมการ ปฏิบัติงานของรัฐบาลความหมายดั้งเดิม งบประมาณหรือ Budget ในความหมาย ภาษาอังกฤษแต่เดิม หมายถึง กระเป๋ าหนังสือใบใหญ่ ที่เสนนาบดีคลังใช้บรรจุเอกสาร ต่าง ๆ ที่แสดงถึงความต้องการของประเทศและทรัพยากรที่มีอยู่ในการแถลงต่อรัฐสภา ต่อมาความหมายของ Budget ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากตัวกระเป๋าเป็นเอกสารต่าง ๆ ที่บรรจุ ในกระเป๋านั้น ซึ่งแสดงออกในรูปตัวเงินแสดงโครงการดำเนินงานทั้งหมดในระยะหนึ่ง รวมถึงการกะประมาณการบริหารกิจกรรม โครงการและค่าใช้จ่ายตลอดจนทรัพยากรที่ จำเป็นในการสนับสนุน การดำเนินงานให้บรรลุตามแผนนี้ย่อมประกอบด้วยการทำงานเป็น ขั้นตอน คือ การจัดเตรียม การอนุมัติและการบริหาร
๒๑ บทที่ ๒ นโยบาย ขอบข่าย การจัดทำและเสนองบประมาณ นโยบายงบประมาณ คือการจัดการใส่สวนของรายได้ (ภาษี) และค่าใช้จ่ายของ รัฐบาลในประเทศหรือรัฐ นโยบายงบประมาณ ยังรวมถึงนโยบายภาษี ในแต่ละปีเจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจจะลงคะแนนเสียงสำหรับงบประมาณตามรายได้จากการคาดการณ์ค่าใช้จ่ายซึ่ง สามารถนำเสนอรูปแบบของงบประมาณแบบสมดุล (Balanced Budget Policy) งบประมาณแบบสมดุล หมายถึงการจัดทำงบประมาณที่อยู่ในลักษณะงบประมาณรายรับมี จำนวนเท่ากับงบประมาณรายจ่ายพอดี งบประมาณแบบเกินดุล (Surplus Policy) งบประมาณแบบเกินดุล หมายถึง การประมาณการรายได้ (Income) มากกว่าประมาณ การรายจ่าย (Expenditures) กล่าวคือ มี การประมาณการรายรับในจำนวนที่มากกว่า ประมาณการค่าใช้จ่าย และงบประมาณแบบขาดดุล (Defecit Budget Policy) งบประมาณแบบขาดดุล หมายถึง การประมาณรายจ่ายสูงกว่าประมาณการรายได้ที่คาดว่า จะจัดหาได้ ๒.๑ การแบ่งประเภทตามนโยบายงบประมาณ การแบ่งประเภทของงบประมาณมีเกณฑ์ในการแบ่ง ๒ ลักษณะ คือแบ่งตาม นโยบายงบประมาณ (budget policy) และแบ่งตามบทบาทของงบประมาณ (budget roles) งบประมาณแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังนี้๑ ๑. การแบ่งประเภทตามนโยบายงบประมาณ (budget policy) แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๑ ชัยสิทธิ์ เฉลิมมีประเสริฐ, มาตรฐานการจัดการทางการเงิน ๗ Hurdles กับการจัดทำ งบประมาณระบบใหม่, (กรุงเทพมหานคร : ธีระฟลม แอน ไซเท็กซ, ๒๕๔๔), หน้า ๑๓ – ๑๕.
๒๒ ๑.๑ งบประมาณเกินดุล (surplus budget) ได้แก งบประมาณที่มีรายได้ สูงกว่ารายจ่าย การเลือกใช้นโยบายเกินดุลนี้เนื่องจากรัฐต้องแก้ปัญหาด้วยการเก็บภาษี อากรเข้าคลังให้ได้มากกว่างบประมาณที่รัฐจ่ายออกไป ๑.๒ งบประมาณขาดดุล (deficit budget) ได้แก งบประมาณที่มีรายจ่าย สูงกว่ารายได้งบประมาณประเภทนี้เนื่องจากรัฐใช้นโยบายแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำหรือ ภาวะที่ รัฐจำต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของ ประเทศ รัฐจึงจำเป็นต้องยอมใช้จ่ายเงินมากกว่าจำนวนภาษีอากรที่เก็บได้ส่วนเงินที่ขาด รัฐอาจใช้วิธีกูยืมจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศหรือในประเทศก็ได้ ๑.๓ งบประมาณสมดุล (balance budget) ได้แก งบประมาณที่มีรายได้ กับรายจ่ายเท่ากันงบประมาณประเภทนี้เป็นงบประมาณที่รัฐใช้นโยบายประหยัด ใช้จ่าย เท่าที่มีเงินใช้จ่ายเท่าที่ภาษีอากรเก็บได้ ๒. การแบ่งตามบทบาทของงบประมาณ (budget roles) เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๐๒ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.๒๕๐๒ ขึ้น ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การกำหนดหน้าที่การจัดการงบประมาณให้อยู่ในความ รับผิดชอบของสำนักงบประมาณ โดยใช้ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ (lime-item budgeting) ซึ่งเป็นระบบงบประมาณที่แสดงการใช้จ่ายเงินเป็นรายการวัตถุประสงค์ของ การใช้จ่ายเงินและให้ความสำคัญกับการควบคุมปัจจัยนำเข้า (input) แต่ละรายการ โดยแสดงให้เห็นแต่เพียงว่าในการบริหารงานนั้นจะมีการใช้จ่ายงบประมาณรายการ ประเภทใด เช่น จ่ายเป็นรายเดือน ค่าสิ่งของ ค่าบริการอย่างละเท่าใด ซึ่งระบบ งบประมาณแบบแสดงรายการนี้ ข้อดีคือ ช่วยในการควบคุมการใช้จ่ายของหน่วยงานได้ดี เพราะมีการแสดงค่าใช้จ่ายไวอย่างชัดเจน จึงง่ายต่อการปฏิบัติในการปรับ เพิ่มหรือลด รายการ แต่มีข้อบกพรองที่ไมสามารถวัดผลสำเร็จของงานได้เพราะการอนุมัติเงินประจำ งวดจะอนุมัติตามหมวดรายจ่าย มิได้อนุมัติตามแผนงาน งานหรือโครงการ ทำให้ไมสามารถ มองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างทรัพยากรที่จัดสรรให้แกงานหรือโครงการหนึ่ง ๆ กับผลที่ ต้องการให้เกิดขึ้นหรือวัตถุประสงค์ของงานหรือโครงการนั้น ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการ ประเมินผลสำเร็จของการดำเนินการ นอกจากนี้การควบคุมรายละเอียดของการใช้จ่ายเงิน
๒๓ ทำให้ผู้บริหารงานเท่าที่ควร จึงไมสามารถใช้งบประมาณเป็นเครื่องมือในการควบคุมการ ดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไวได้ จากข้อบกพรองของระบบงบประมาณดังกล่าวในปีงบประมาณ ๒๕๒๕ สำนัก งบประมาณได้ปรับปรุงระบบงบประมาณ โดยนำหลักการและแนวทางการจัดทำ งบประมาณแบบแผนงาน (program budgeting) มาใช้ผสมผสานกับระบบงบประมาณ แบบแสดงรายการ ซึ่งระบบที่มีความมุ่งหมายให้มีการเชื่อมโยง การจัดสรรงบประมาณเข้า กับการวางแผนและเพื่อการจัดสรรงบประมาณเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล จึงได้แสดง งบประมาณในลักษณะแผนงานไวในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีใน ขณะเดียวกันได้จำแนกงบประมาณรายจ่ายของงานหรือโครงการ ออกเป็นหมวดราย จ่ายต่าง ๆ ในเอกสารงบประมารฉบับรายละเอียดประกอบงบประมาณรายจ่าย อย่างไรก็ตามแม้ว่าระบบงบประมาณแบบแผนงานจะเป็นระบบที่ส่งเสริมการ พัฒนาประเทศที่มีแผนรองรับ มีการวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและประหยัด แต่ในทางปฏิบัติยังมีเงื่อนไขและข้อจำกัด เกี่ยวกับเทคนิคที่นำใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช้ตัดสินใจ ปัจจัยทางการเมือง ทักษะของเจ าหน้าที่ตลอดจนการวัดมาตรฐานของผลงาน จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๐ รัฐบาลจำเป็นต้องมีการปฏิรูป ระบบราชการในลักษณะองค์รวมเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบบริหารภาครัฐไปสู“รูปแบบการ บริหารภาครัฐแนวใหม่” ซึ่งเน้นการทำงานที่ยึดผลลัพธ์เป็นหลัก มีการวัดผลอย่างเป็น รูปธรรม มีความโปร่งใสและมอบความรับผิดชอบต่อผู้ปฏิบัติ โดยยึดประชาชนเป็น ศูนย์กลาง การปฏิรูประบบบริหารภาครัฐตามแนวทางดังกล่าวครอบคลุมถึงแผนการ ปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณ การเงินและพัสดุ เพื่อปรับปรุงระบบการจัดการงบประมาณ ให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมีความโปร่งใสและเป็นธรรม จึง นับเป็นการเปลี่ยนระบบงบประมาณ จากแบบเดิมที่มุ่งเน้นการควบคุมการใช้ทรัพยากร มา เป็นระบบงบประมาณที่มุ่งเน้นผลงาน (performance based budgeting) ซึ่งมุ่งเน้น ผลสำเร็จของผลผลิตและผลลัพธ์ มีการกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมมีแผนกลยุทธ์ ชัดเจน มีตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของงานและสามารถวัดประเมินผลการทำงานได้โดยมีความ
๒๔ ยืดหยุ่นในกระบวนการทำงาน เพื่อให้สอดคลองกับสถานการณที่เปลี่ยนแปลงไปและเน้น ความรับผิดชอบของผู้บริหารแทนการควบคุมแบบรายละเอียดในการเบิกจ่ายแบบปัจจุบัน สรุปว่าระบบงบประมาณมีการปรับเปลี่ยนวิธีการจากระบบงบประมาณที่เน้น การควบคุมการใช้ทรัพยากรมาเป็นระบบงบประมาณที่มุ่งเน้นผลงาน เพื่อให้การบริหาร งบประมาณมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและเป็นธรรม เน้นการควบคุมการใช้ทรัพยากร มุ่ง ผลสำเร็จของผลผลิตและกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนมีตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของงานและ สามารถวัดประเมินผลการทำงานได้ ๒.๒ การแบ่งตามประเภทของงบประมาณ ณรงค สัจพันโรจน กล่าวว่างบประมาณที่ประเทศต่าง ๆ ใช้กันอยู่ในขณะนี้มี หลายประเภท แต่ที่สำคัญ ๆ และรูจักกันโดยทั่วไปมีอยู่ประมาณ ๕ – ๖ ประเภท ด้วยกัน แต่ละประเภทจะมีลักษณะการใช้และการดำเนินการต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไปและมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกัน แต่ละประเภทจะเหมาะสมกับประเทศใดประเทศหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายด้านไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางการบริหาร ความรูความสามารถ ปัจจัยด้าน การเมือง กลุ่มประโยชนและปัจจัยอื่น ๆ เช่นปัจจัยด้านสังคม เป็นต้น สำหรับงบประมาณ แต่ละรูปแบบมีดังนี้๒ ๓.๑ งบประมาณแบบแสดงรายการ ( line – item budgeting) ระบบ งบประมาณนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุม มีรายการต่าง ๆ มากมาย และกำหนดเอาไวตายตัว จะจ่ายเป็นรายการอื่นผิดจากที่กำหนดไวไมได้ถ้าจะผันแปรหรือ จ่ายเกินวงเงินอย่างหนึ่งจะต้องทำความตกลงกับสำนักงบประมารหรือกระทรวงการคลัง และหาเงินรายจ่ายมาเพิ่มให้พอจ่ายเสียก่อน ระบบงบประมาณนี้ ไมเน้นการวางแผน วัตถุประสงค์และเป้าหมายตลอดจนประสิทธิภาพของการบริหารงานเท่าใดนัก ในช่วงก่อนปีพ.ศ.๒๕๒๕ ระบบงบประมาณของไทย เป็นระบบงบประมาณ แบบแสดงรายการ ซึ่งการจัดทำงบประมาณในระบบดังกล่าวไมสามารถแสดงถึงผลสำเร็จ ๒ ณรงค สัจพันโรจน, การจัดทำอนุมัติและบริหารงบประมาณแผ่นดินทฤษฎีและปฏิบัติ (กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ, ๒๕๔๑), ๓๖.
๒๕ ของงานได้อีกทั้งมีความเชื่อมโยงกับแผนงานโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลและเน้นประเภท รายจ่ายเป็นสำคัญและมีการควบคุมรายละเอียดของการใช้จ่ายมาก ส่งผลให้ผู้บริหารทุก ระดับไมมีความคลองตัวในการบริหารงาน ด้วยเหตุผลนี้รัฐบาลจึงไมสามารถใช้งบประมาณ เป็นเครื่องมือในการบริหารและควบคุมการปฏิบัติตามนโยบายที่กำหนดได้สถาบันพัฒนา ข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.๓ ๓.๒ งบประมาณแบบแสดงผลงาน (performance budgeting) เป็นระบบ งบประมาณที่ใช้เครื่องมือในการควบคุมและตรวจสอบการดำเนินงาน ให้ได้ผลตามความมุ่ง หมายที่ตั้งงบประมาณรายจ่ายไว โดยมีการติดตามและประเมินผลโครงการต่าง ๆ อย่าง ใกล้ชิดและมีการวัดผลงานในลักษณะวัดประสิทธิภาพในการทำงานว่างานที่ได้แต่ละ หน่วยงานนั้นจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เช่นนักเรียนเสียค่าใช้จ่ายในการให้การศึกษา เท่าไรต่อหัว เป็นต้น ๓.๓ งบประมาณแบบแผนงาน (planning programming budgeting) เพื่อ แก้ไข ข้อบกพรองของระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ (line – item budgeting) ใน ปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๒๕ สำนักงบประมาณจึงได้ปรับปรุงงบประมาณเป็นระบบ งบประมาณแบบแผนงาน (planning programming budgeting) โดยนำมาใช้ผสมผสาน กับระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ (line – item budgeting) ทั้งนี้สำนักงบประมาณ ได้ปรับปรุงกระบวนการงบประมาณให้สอดคลองกับแนวคิดของระบบงบประมาณแบบ แผนงานและมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ คือ ในด้านการจัดทำงบประมาณ ได้มีการ กำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์การจัดทำงบประมาณแบบกำหนดสัดส่วนของวงเงิน งบประมาณรายจ่ายแต่ละด้านและแต่ละกระทรวงในลักษณะของการวางแผนมหภาค ผสมผสานกับการวิเคราะห์รายละเอียดคำขอตั้งงบประมาณขององค์กรภาครัฐโดยให้สอด คลองกับนโยบายของรัฐบาลและแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ในด้านการบริหาร งบประมาณได้เปลี่ยนแปลงระบบอนุมัติเงินประจำงวดให้มีความคลองตัวมากยิ่งขึ้นโดยได้ ๓ สถาบันพัฒนาข้าราชการพลเรือน สำนักงาน ก.พ.,Accessed ๒ April, ๒๐๑๓. Available from http://www.ocsc.go.th/ocsc/th/uploads/file/intcgration.pdf
๒๖ จัดสรรเงินงบประมาณไปตั้งจ่ายในส่วนภูมิภาค ตั้งแต่การอนุมัติเงินประจำงวดและให้หัว หนาองค์กรภาครัฐ เจาของงบประมาณ ได้รับมอบอำนาจในการบริหารงบประมาณมากขึ้น รวมทั้งการมอบอำนาจการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุให้ แกผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการแทน๔ ลักษณะของงบประมาณนี้คือ ๑) เลิกการควบคุมรายละเอียด ๒) ให้กระทรวง ทบวง กรม กำหนดแผนงาน ๓) สำนักงบประมาณจะอนุมัติงบประมาณรายจ่ายให้แต่ละ แผนงานโดยอิสระ ๔) สำนักงบประมาณจะควบคุมโดยการตรวจสอบและประเมินผลของ งานแต่ละแผนงานว่าจะบรรลุเป้าหมายตามแผนงานเพียงใด กระบวนการในการดำเนินการ ดังนี้ ๑) ให้มีการจัดแผนงาน งานหรือโครงการ เป็นระบบขึ้นมา โดยจัดเป็นโครงสร้างแผนงาน งานหรือโครงงาน ๒) ให้มีการระบุเป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์ของแผนงานให้มีความชัดเจน ๓) ให้แสดงค่าใช้จ่ายทั้งหมดของแผนงาน งานหรือโครงการ ๔) ให้แสดงถึงผลที่ได้รับจากแผนงาน งานหรือโครงการเมื่อสำเร็จเสร็จ เรียบร้อย ๕) ให้มีการวิเคราะห์เลือกแผนงาน งานหรือโครงการใดว่าจะมีความเหมาะสม ที่ จะดำเนินการก่อนหรือหลังอย่างไร ในทางปฏิบัติของระบบงบประมาณแบบแผนงาน มีข้อจำกัดซึ่งเป็นอุปสรรคอยู่ หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการจัดทำงบประมาณ ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ทางการเมือง ทักษะของเจาหน้าที่สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่าง มากหากไมเข้าแนวคิดและกระบวนการวิเคราะห์เชิงระบบ (system analysis) จะเป็น อุปสรรคที่สำคัญในการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งการปฏิบัติงานภายใต้ระบบงบประมาณแบบ แผนงานที่ผ่านมามีปัญหาสำคัญ คือ ๑) เน้นรายการการใช้จ่ายมากกว่ามุ่งความสำเร็จของ งาน ๒) ขาดความเชื่อมโยงในการวางแผนทุกระดับ ๓) ขาดความเชื่อมโยงระหว่าง แผนปฏิบัติงานกับการจัดสรรงบประมาณ ๔) ขาดการวางแผนการเงินล่วงหน้า ๕) ขาด ความครอบคลุมครบถ้วนทุกแหล่งเงิน ๖) ขาดความคลองตัวในการบริหารจัดการด้าน งบประมาณ ๗) ไมคำนึงถึงประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ ๔ เรื่องเดียวกัน
๒๗ ดังนั้น จึงมีแรงผลักดันให้มีการปฏิรูประบบงบประมาณของประเทศอย่าง จริงจังเพื่อให้งบประมาณเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การบริหาร เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมฯลฯ โดยสอดคลองกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูประบบบริหาร ภาครัฐไปสูรูปแบบการบริหารการจัดการภาครัฐแนวใหม่ ที่เน้นการทำงานโดยยึดหลัก ผลผลิตและผลลัพธ์เป็นหลัก รัฐจึงปรับเปลี่ยนงบประมาณ จากระบบงบประมาณแบบ แผนงาน (planning programming Budgeting) เป็นระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (performance – based budgeting) ๓.๔ งบประมาณแบบฐานศูนย์ (zero – based budgeting system) เป็น ระบบงบประมาณที่จะพิจารณางบประมาณทุกปีอย่างละเอียดทุกประการ โดยไมคำนึงว่า รายการหรือแผนนั้นจะเป็นรายการหรือแผนงานเดิมหรือไม ถึงแม้รายการหรือแผนงานเดิม จะได้รับงบประมาณไปแล้วในปีที่แล้ว แต่อาจจะถูกพิจารณาอีกครั้งและอาจเป็นได้ว่าในปีนี้ อาจจะถูกตัดงบประมาณลงก็ได้ ๓.๕ ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (performance – based budgeting system)ให้ความสำคัญกับผลผลิต (outcome) ของการดำเนินงานผลผลิตที่ เกิดขึ้น จะต้องเป็นระบบที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างทรัพยากรที่ใช้ไปกับผลตอบแทนที่ จะได้รับ ระบบงบประมาณนี้มีความเชื่อว่าการใช้ระบบงบประมาณเป็นเงื่อนไขในการ บริหารจัดการโดยให้มุ่งเน้นผลงาน จะทำให้ผู้บริหารของหน่วยงานนำทีมงานปฏิบัติงานให้ บรรลุผลสำเร็จ ตามนโยบายระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานนี้ จะมีการเชื่อมโยงกับ ผลลัพธ์และผลลัพธ์จะต้องมีการสอดคลองกับเป้าหมายและนโยบายของรัฐบาล โดยการให้ อำนาจผู้บริหารของหน่วยงานในการตัดสินใจและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ในการใช้จ่าย งบประมาณ เน้นเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน ซึ่งประสิทธิภาพนั้น จะพิจารณาจากผลผลิตที่ได้รับจาก การดำเนินงานเทียบกับทรัพยากรที่ใช้ไป การ ดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องได้ผลผลิตที่มากที่สุด โดยใช้ทรัพยากรที่น้อยที่สุด ส่วนประสิทธิผลนั้นมุ่งเน้นผลตามที่ต้องการซึ่งกำหนดไวในนโยบายและจุดหมายโดยผลที่ เกิดขึ้นต้องสอดคลองกับนโยบายและจุดมุ่งหมายของรัฐบาล ๓.๖ ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ (strategic performance – based budgeting system) ในการนำระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้น
๒๘ ผลงานตามยุทธศาสตร์มาใช้มีความเป็นมาดังนี้ ๑) ในระยะเริ่มแรกของการจัดการทำ งบประมาณนั้น สำนักงบประมาณ ได้ใช้ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ (line – item budgeting) จนถึงปีงบประมาณ ๒๕๒๔ ๒) ในปีงบประมาณ ๒๕๒๕ สำนัก งบประมาณ ได้นำระบบงบประมาณแบบแผนงาน (planning programming budgeting system) มาใช้โดยไมได้นำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ได้ผสมผสานกับระบบงบประมาณ แบบแสดงรายการ (line item budgeting) ซึ่งได้ใช้ตลอดมาจนถึงปีงบประมาณ ๒๕๔๕ ซึ่งมีข้อจำกัด คือ เน้นการใช้จ่ายมากกว่ามุ่งความสำเร็จของงาน มีกฎระเบียบควบคุม ค่อนข้างเคร่งครัด ขาดความคลองตัวในการบริหารจัดการขาดการวางแผนงบประมาณ ล่วงหน้า ๓) ด้วยข้อจำกัดข้างต้นสำนักงบประมาณจึงดำเนินการพัฒนาระบบงบประมาณ มาเป็นรูปแบบการจัดทำงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน (performance – based budgeting system) ใช้ในปีงบประมาณ ๒๕๔๖ แต่ยังไมเต็มรูปแบบ ๔) ในปีงบประมาณ ๒๕๔๗ รัฐบาลมีนโยบายให้ปรับปรุงระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน ไปเป็นระบบ งบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์(strategic performance - based budgeting system) ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน มีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ ๑) มุ่งเน้น ผลสำเร็จตามเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์๒) เน้นหลักธรรมาภิบาล ๓) เน้นการมอบอำนาจการ บริหารการจัดงบประมาณ ๔) เพิ่มขอบเขต ความครอบคลุมของงบประมาณ ๕) จัดทำ กรอบงบประมาณรายจ่ายล่วงหนาระยะปานกลาง (medium terms expenditure framework)ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์มีแนวคิดและหลักการ สำคัญ ๓ ประการ คือ ๑) การปรับปรุงให้รัฐบาลสามารถใช้วิธีการและกระบวนการ งบประมาณให้เป็นเครื่องมือในการจัดสรรทรัพยากรให้เกิดผลสำเร็จตามนโยบายและเห็น ผลที่ประชาชนจะได้รับจากรัฐบาล ๒) การมุ่งเน้นให้เกิดการใช้งบประมาณ โดยคำนึงความ โปร่งใสมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๓) การตรวจสอบความคลองตัวในการจัดทำและ บริหารงบประมาณให้กับผู้ปฎิบัติ (Devolution) ในขณะเดียวกันหน่วยปฏิบัติจะต้องแสดง ถึงความรับผิดชอบ (accountability) จากการนำงบประมาณไปใช้ให้เกิดผลงานตาม ยุทธศาสตร์และสอดคลองกับความต้องการของประชาชน โดยผ่านกระบวนการตรวจสอบ ผลการปฏิบัติงานและผลทางการเงินที่รวดเร็ว ทันสมัย
๒๙ กล่าวโดยสรุป งบประมาณเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเศรษฐกิจสังคมและ การเมือง ดังนั้นเพื่อให้การบริหารงบประมาณเกิดประโยชนสูงสุด เกิดประสิทธิภาพตาม เป้าหมายต่อการบริหารประเทศ จึงเป็นเหตุให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เรื่อยมา โดยเน้นผลผลิตและผลลัพธ์เป็นหลักตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๔๖ ได้ใช้ระบบ งบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานตามยุทธศาสตร์ ๒.๓ ขอบข่ายภารกิจการบริหารงานงบประมาณ การบริหารงานงบประมาณของสถานศึกษามุ่งเน้นความเป็นอิสระในการ บริหารจัดการมีความคลองตัว โปร่งใส ตรวจสอบได้ยึดหลักบริหารมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์และ บริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน ให้มีการจัดหาผลประโยชน จากทรัพย์สินของ สถานศึกษา ส่งผลให้เกิดคุณภาพที่ดีขึ้นต่อผู้เรียน๕ วัตถุประสงค์๑) เพื่อให้สถานศึกษาบริหารงานด้านงบประมาณ มีความเป็น อิสระ คลองตัว โปร่งใสตรวจสอบได้๒) เพื่อให้ได้ผลผลิต ผลลัพธ์เป็นไปตามข้อตกลงการ ให้บริการ ๓) เพื่อให้สถานศึกษาสามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่ได้อย่างเพียงพอและมี ประสิทธิภาพ ๑. การจัดทำและเสนอของบประมาณ ๑.๑ การวิเคราะห์และพัฒนานโยบายทางการศึกษา ๑.๒ การจัดทำแผนกลยุทธ์หรือแผนพัฒนาการศึกษา ๑.๓ การวิเคราะห์ความเหมาะสมการเสนอของบประมาณ ๒. การจัดสรรงบประมาณ ๒.๑ การจัดสรรงบประมาณในสถานศึกษา ๒.๒ การเบิกจ่ายและการอนุมัติงบประมาณ ๒.๓ การโอนเงินงบประมาณ ๕ กระทรวงศึกษาธิการ, พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์องค์กรรับส่งสินค้าและพัสดุ ภัณฑ์, ๒๕๔๖), หน้า ๓๙ – ๕๐.
๓๐ ๓. การตรวจสอบ ติดตามประเมินผลและรายงานผลการใช้เงินและผลการ ดำเนินงาน ๓.๑ การตรวจสอบติดตามการใช้เงินและผลการดำเนินงาน ๓.๒ การประเมินผลการใช้เงินและผลการดำเนินงาน ๔. การระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา ๔.๑ การจัดการทรัพยากร ๔.๒ การระดมทรัพยากร ๔.๓ การจัดหารายได้และผลประโยชน ๔.๔ กองทุนกูยืมเพื่อการศึกษา ๔.๕ กองทุนสวัสดิการเพื่อการศึกษา ๕. การบริหารการเงิน ๕.๑ การเบิกเงินคงคลัง ๕.๒ การรับเงิน ๕.๓ การเก็บรักษาเงิน ๕.๔ การจ่ายเงิน ๕.๕ การนำส่งเงิน ๕.๖ การกันเงินไวเบิกเหลื่อมปี ๖. การบริหารบัญชี ๖.๑ การจัดทำบัญชีการเงิน ๖.๒ การจัดทำรายงานทางการเงินและงบการเงิน ๖.๓ การจัดทำและจัดหาแบบพิมพ์บัญชี ทะเบียนและรายงาน ๗. การบริหารพัสดุและสินทรัพย์ ๗.๑ การจัดทำระบบฐานข้อมูลสินทรัพย์ของสถานศึกษา ๗.๒ การจัดหาพัสดุ ๗.๓ การกำหนดแบบรูปรายการหรือคุณลักษณะเฉพาะและจัดซื้อจัดจ้าง ๗.๔ การควบคุมดูแล บำรุงและจำหน่ายพัสดุ
๓๑ ๒.๔ การบริหารงบประมาณประเภทต่าง ๆ แหล่งที่มาของงบประมาณในการบริหารสถานศึกษา มี ๒ แหล่งคือ เงินงบประมาณที่รัฐบาลสนับสนุน ซึ่งเป็นกฎหมายเรียกว่า พระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีและเงินนอกงบประมาณที่สถานศึกษาหามาได้จากผู้มีจิตศรัทธาบริจาค หรือการจัดกิจกรรมของการศึกษามีรายละเอียด ดังนี้๖ ๑. เงินงบประมาณ เงินงบประมาณของสถานศึกษา หมายถึง เงินงบประมาณ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่สถานศึกษาได้รับการพิจารณาจาก หน่วยงานต้นสังกัดจัดสรรให้ซึ่งจะต้องใช้จ่ายให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณนั้น ๆ ยกเว้น ครุภัณฑ์สิ่งก่อสร้าง ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ วงเงินสัญญาครั้งหนึ่งตั้งแต่ ๕,๐๐๐ บาท ขึ้นไป สามารถขอกันเงินไวเบิกจ่ายเหลื่อมปีได้อีก ๖ เดือนจนถึงเดือนมีนาคมและหากยังไม เสร็จก็ขอขยายเวลาเบิกจ่ายอีก ๖ เดือนจนถึงเดือนกันยายน รวมทั้งสิ้นไมเกิน ๒ ป งบประมาณรายจ่ายประจำปีของทุกส่วนราชการ ตามหลักการจำแนกประเภท รายจ่ายตามงบประมาณที่สำนักงบประมาณกำหนดให้ใช้ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๕ เป็น ต้น ไป ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.๒๕๔๕ ได้จำแนกเป็น ๕ ประเภท ดังนี้ ๑) งบบุคลากร ๒) งบดำเนินการ ๓) งบเงินอุดหนุน ๔) งบลงทุน ๕) งบรายจ่ายอื่น งบประมาณที่จัดสรรให้แกสถานศึกษาและสถานศึกษามีส่วนในการเบิกจ่ายในฐานะ หน่วยงานย่อยมีดังนี้๗ ๑. งบบุคลากร ได้แก เงินเดือน ค่าจ้างประจำและค่าจ้างชั่วคราว ๑.๑ เงินเดือน ได้แก เงินเดือนและเงินเพิ่มพิเศษอื่น ๆ ที่จ่ายควบกับ เงินเดือน เช่นเงินเบี้ยกันดาร เงินเบี้ยเสี่ยงภัย เงินเพิ่มพิเศษภาษามลายู (พ.ภ.ม.) และเงิน เพิ่มพิเศษสำหรับครูการศึกษา (พ.ค.ศ.) เงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสูรบ (พ.ส.ร.) และเงิน ประจำตำแหนง เป็นต้น ๖ กระทรวงศึกษาธิการ, คูมือการใช้จ่ายเงินอุดหนุนของสถานศึกษา (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหประเทศไทย จำกัด, ๒๕๕๒), หน้า ๖ – ๗. ๗ สำนักงานนโยบายแผนและงบประมาณ, “แนวทางการบริหารงบประมาณรายจ่าย ประจำปีพ.ศ.๒๕๔๖,” (กรุงเทพมหานคร : สำนักงานนโยบายแผนและงบประมาณ, ๒๕๔๖), หน้า ๕.
๓๒ ๑.๒ ค่าจ้างประจำ ได้แก ค่าจ้างลูกจ้างประจำประเภทต่าง ๆ เช่นค่าจ้าง นักการภารโรง ยาม คนครัว คนงาน พนักงานขับรถยนต์และเงินเพิ่มพิเศษอื่น ๆ ที่จ่ายควบ กับค่าจ้างประจำ เช่นเงินเบี้ยกันดาร เงินเบี้ยเสี่ยงภัย เงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสูรบ (พ.ส.ร.) เป็นต้น ๑.๓ ค่าจ้างชั่วคราว เป็นเงินที่จ่ายเป็นค่าจ้างชั่วคราวครูรายเดือนซึ่งจัดให้ สำหรับโรงเรียนที่ขาดแคลนครู ซึ่งไมสามารถตั้งอัตราเงินเดือนใหม่สำหรับบรรจุข้าราชการ ครูได้จึงแก้ปัญหาโดยจ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราวครูรายเดือนหรือครูอัตราจ้างชั่วคราว ๒. งบดำเนินการ ได้แก ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุและค่าสาธารณูปโภค ๒.๑ ค่าตอบแทน ได้แก ค่าเช่าบ้าน ค่าตอบแทนวิทยากรสอนกลุ่มวิชาต่าง ๆค่าตอบแทนวิทยากรสอนวิชาชีพ เป็นต้น ๒.๒ ค่าใช้สอย ได้แก ค่าซ่อมแซมครุภัณฑ์ค่าซ่อมแซมสิ่งก่อสร้าง ค่าเบี้ย เลี้ยงที่พักและค่าพาหนะในการเดินทางไปราชการ ค่าพาหนะนักเรียนเดินทางไปแหล่ง เรียนรูค่าใช้จ่ายในการแข่งขันกีฬา ค่าใช้จ่ายในการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พื้นฐาน เป็นต้น ๒.๓ ค่าวัสดุ ได้แก ค่าวัสดุประจำห้องเรียน ค่าวัสดุสำนักงาน ค่าวัสดุ เชื้อเพลิงและหล่อลื่น ค่าวัสดุกีฬา ค่าวัสดุฝึกทักษะพัฒนาอาชีพ ค่าหนังสือห้องสมุด ค่าวัสดุสื่อการสอนตามหลักสูตร ค่าวัสดุโปรแกรมกลุ่มประสบการณ ค่าวัสดุคอมพิวเตอร์ ค่าหนังสือแบบเรียน ค่าหนังสือ สื่อวัสดุหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ค่าวัสดุจัดทำระบบ ประกันคุณภาพสถานศึกษา ค่าวัสดุเวชภัณฑ์ค่าวัสดุซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างและกำจัดปลวก ๒.๔ ค่าสาธารณูปโภค ได้แก ค่าน้ำประปา ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ไปรษณีย์และค่าเช่าเวลาอินเตอรเน็ตเป็นต้น ๓. งบเงินอุดหนุน ได้แก เงินอุดหนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของ นักเรียนห่างไกลและขาดแคลน เงินอุดหนุนเป็นค่าเครื่องแบบสำหรับนักเรียนขาดแคลน เงินอุดหนุนให้บริการสุขภาพนักเรียน (ค่าพาหนะ) เงินอุดหนุนค่าอาหารสำหรับนักเรียน ประจำ เงินอุดหนุนเป็นค่าเครื่องเขียน เงินอุดหนุนค่าวัสดุการศึกษา เงินอุดหนุนชดเชย บำรุงการศึกษา เงินอุดหนุนการวิจัย เงินทุนส่งเสริมการศึกษา เป็นต้น
๓๓ ๔. งบลงทุน ได้แก ค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง รายการต่าง ๆ ที่ สถานศึกษาได้รับการกระจายอำนาจให้เป็นผู้จัดจ้างได้เองเงินงบประมาณ หมายถึง เงิน ทุกประเภทที่เป็นรายได้ของสถานศึกษา ซึ่งสถานศึกษาใช้ความสามารถหามาได้ นอกเหนือจากการได้รับจัดสรรตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเงินนอก ระบบงบประมาณนี้มีกฎหมายและระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ รองรับ เพื่อให้สามารถใช้ใน กิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนตามวัตถุประสงค์ของเงินแต่ละประเภท โดยไมต้องนำส่งรายได้ แผ่นดิน เงินนอกงบประมาณของสถานศึกษามีดังนี้ ๑) เงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒) เงินจากภาคเอกชนผู้มีศรัทธาบริจาค ทีมีวัตถุประสงค์แน่นอน ๓) เงินลูกเสือ ๔) เงินยุวกาชาด ๕) เงินเนตรนารี ๖) เงินผู้บำเพ็ญประโยชน ๗) เงินโครงการอาหาร กลางวัน ๘) เงินการจัดกิจกรรมของโรงเรียน เช่นการขายผลผลิตของโรงเรียน จัดงานศิษย์ เกา เป็นต้น ๙) เงินรายได้อื่น ๆ เช่นค่าเช่าสถานที่ขายอาหารกลางวันและเครื่องดื่ม ค่า เช่าสถานที่จัดงานต่าง ๆ ค่าถ่ายเอกสาร ค่าส่วนลดจากการขายอุปกรณ์การศึกษาให้ นักเรียน ค่าส่วนลดจากการประกันอุบัติเหตุให้นักเรียนและบุคลากรของโรงเรียน กล่าวโดยสรุป งบประมาณของสถานศึกษาได้แก เงินงบประมาณที่จัดสรรให้ และเงินนอกงบประมาณซึ่งสถานศึกษา สามารถใช้เงินได้ตามประเภทของเงินและการ ระดมทรัพยากรจากชุมชนหรือรายอื่น ๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา ๒.๕ การจัดทำและเสนองบประมาณ การจัดทำและเสนองบประมาณแบงออกเป็น ๑) การวิเคราะห์และพัฒนา นโยบายทางการศึกษา ๒) การจัดสรรงบประมาณ ๓) การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลการใช้เงินและผลการดำเนินงาน ๔) การระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อ การศึกษา ๕) การบริหารการเงิน ๖) การบริหารบัญชี ๗) การบริหารพัสดุและสินทรัพย์๘ ๑. การวิเคราะห์และพัฒนานโยบายทางการศึกษา ๘ กระทรวงศึกษาธิการ, พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.๒๕๔๖ และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์องค์กรรับส่งสินค้าและ พัสดุภัณฑ์), หน้า ๒๓ - ๒๔.
๓๔ ๑.๑ วิเคราะห์ทิศทางและยุทธศาสตร์ของหน่วยงานระดับเหนือโรงเรียน ได้ แก เป้าหมายยุทธศาสตร์ระดับชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษา แห่งชาติ แผนปฏิบัติราชการของกระทรวงศึกษาธิการและแผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑.๒ ศึกษาข้อตกลงผลการปฏิบัติงานและเป้าหมายการให้บริการสาธารณะ ทุกระดับ ได้แกเป้าหมายการให้บริการสาธารณะ (public service agreement) ข้อตกลงการจัดทำผลผลิต (service delivery agreement) ข้อตกลงผลการปฏิบัติงาน ของเขตพื้นที่และผลการดำเนินงานของโรงเรียนที่ต้องดำเนินการ เพื่อให้บรรลุข้อตกลงที่ โรงเรียนทำกับเขตพื้นที่การศึกษา ๑.๓ ศึกษาวิเคราะห์วิจัยการจัดและพัฒนาการศึกษาของโรงเรียนตาม กรอบทิศทางของเขตพื้นที่การศึกษาและตามความต้องการของโรงเรียน ๑.๔ วิเคราะห์ผลการดำเนินงานของโรงเรียนตามข้อตกลง ที่ทำกับเขตพื้นที่ การศึกษาด้านปริมาณ คุณภาพ เวลา ตลอดจนต้นทุน ซึ่งต้องคำนวณต้นทุนผลผลิตของ องค์กรและผลผลิต งานและโครงการ ๑.๕ จัดทำข้อมูลสารสนเทศผลการวิเคราะห์วิจัย เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียน ๑.๖ เผยแพรข้อมูลข่าวสารสนเทศในเขตพื้นที่การศึกษาและสาธารณชน รับทราบ ๒. การจัดสรรงบประมาณ ๒.๑ การจัดสรรงบประมาณภายในสถานศึกษา ๒.๑.๑ จัดทำข้อตกลงบริการผลผลิตของสถานศึกษากับเขตพื้นที่ การศึกษา เมื่อได้รับงบประมาณ ๒.๑.๒ ศึกษาข้อมูลการจัดสรรงบประมาณที่สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานแจ้งผ่านเขตพื้นที่การศึกษาแจ้งให้โรงเรียนทราบในเรื่องนโยบาย แผนพัฒนามาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักเกณฑ์ขั้นตอนและวิธีการจัดสรร งบประมาณ
๓๕ ๒.๑.๓ ตรวจสอบกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับ จากหลักเกณฑ์และ วิธีการจัดสรรที่เขตพื้นที่การศึกษาแจ้ง ตลอดจนตรวจสอบวงเงินนอกงบประมาณที่ได้จาก แผนการระดมทรัพยากร ๒.๑.๔ วิเคราะห์กิจกรรมตามภารกิจ ที่จะต้องดำเนินการตาม มาตรฐานโครงสร้างสายงานและตามแผนงาน งาน โครงการของโรงเรียน เพื่อจัดลำดับ ความสำคัญและกำหนดงบประมาณ ทรัพยากรของแต่ละสายงาน งาน โครงการ ให้เป็นไป ตามกรอบวงเงินงบประมาณที่ได้รับและวงเงินนอกงบประมาณตามแผนระดมทรัพยากร ๒.๑.๕ ปรับปรุงกรอบงบประมาณรายจ่ายระยะปานกลางให้สอดคล องกับกรอบวงเงินที่ได้รับ ๒.๑.๖ จัดทำรายละเอียดแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณซึ่งระบุ แผนงาน งาน โครงการที่สอดคลองวงเงินงบประมาณที่ได้รับและวงเงินนอกงบประมาณที่ ตามแผนระดมทรัพยากร ๒.๑.๗ จัดทำข้อร่างตกลงผลผลิตของหน่วยงานภายในโรงเรียนและ กำหนดผู้รับผิดชอบ ๒.๑.๘ นำเสนอแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณและร่างข้อตกลง ผลผลิตขอความเห็นชอบคณะกรรมการสถานศึกษา ๒.๑.๙ แจ้งจัดสรรวงเงินและจัดทำข้อตกลงผลผลิตให้หน่วยงาน ภายในโรงเรียนรับไปดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ ๒.๒ การเบิกจ่ายและการอนุมัติงบประมาณ ๒.๒.๑ จัดทำแผนการใช้งบประมาณไตรมาสโดยกำหนดปฏิทิน ปฏิบัติงานรายเดือน ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณแล้วสรุปแยกเป็น รายไตรมาสเป็นงบบุคลากร งบอุดหนุน งบลงทุน (แยกเป็นค่าครุภัณฑ์และค่าก่อสร้าง) และงบดำเนินการ(ตามนโยบายพิเศษ) ๒.๒.๒ เสนอแผนการใช้งบประมาณวงเงินรวม เพื่อขออนุมัติเงิน ประจำงวดเป็นไตรมาส ผ่านเขตพื้นที่การศึกษาไปยังคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวบรวมเสนอต่อสำนักงบประมาณ
๓๖ ๒.๒.๓ เบิกจ่ายงบประมาณประเภทต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติ การประจำปีและอนุมัติการใช้งบประมาณของโรงเรียนตามประเภทและรายการตามที่ ได้รับงบประมาณ ๒.๓ การโอนเงินงบประมาณ การโอนเงินให้เป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการ ที่กระทรวงการคลังกำหนด ๓. การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลและรายงานผลการใช้เงินและผลการ ดำเนินงาน ๓.๑ การตรวจสอบ ติดตามการใช้เงินและผลการดำเนินงาน ๓.๑.๑ จัดทำแผนการตรวจสอบติดตามการใช้เงินทั้งเงินงบประมาณ และเงินนอกงบประมาณของโรงเรียน ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ และแผนการใช้งบประมาณรายไตรมาส ๓.๑.๒ จัดทำแผนการตรวจสอบ ติดตามผลการดำเนินงานตาม ข้อตกลงการให้บริการผลผลิตของโรงเรียนให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการประจำปี งบประมาณและแผนการใช้งบประมาณรายไตรมาส ๓.๑.๓ จัดทำแผนการกำกับตรวจสอบติดตามและป้องกันความเสี่ยง สำหรับโครงการที่มีความเสี่ยงสูง ๓.๑.๔ ประสานแผนและดำเนินการตรวจสอบ ติดตามและนิเทศให้ เป็นไปตามแผนการตรวจสอบ ติดตามโรงเรียน โดยเฉพาะโครงการที่มีความเสี่ยงสูง ๓.๑.๕ จัดทำข้อสรุปผลการตรวจสอบ ติดตามและนิเทศ พรอมทั้ง เสนอข้อปัญหาที่อาจทำให้การดำเนินงานไมประสบผลสำเร็จ เพื่อให้โรงเรียนเร่งแก้ปัญหา ทันสถานการณ ๓.๑.๖ รายงานผลการดำเนินการตรวจสอบต่อคณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ๓.๑.๗ สรุปข้อมูลสารสนเทศและจัดรายงานข้อมูลการใช้งบประมาณ ผลการดำเนินงานของโรงเรียนเป็นรายไตรมาสต่อเขตพื้นที่การศึกษา ๓.๒ การประเมินผลการใช้เงินและผลการดำเนินงาน
๓๗ ๓.๒.๑ กำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (key performance indicators) ของสถานศึกษา ๓.๒.๒ จัดทำตัวชี้วัดความสำเร็จของผลผลิตที่กำหนดตามข้อตกลง การให้บริการผลผลิตของโรงเรียน ๓.๓.๓ สร้างเครื่องมือเพื่อการประเมินผลผลผลิต ตามตัวชี้วัด ความสำเร็จที่กำหนดไวตามข้อตกลงการให้บริการผลผลิตของสถานศึกษา ๓.๓.๔ ประเมินแผนกลยุทธ์แผนปฏิบัติการประจำปีของโรงเรียนและ จัดทำรายงานประจำปี ๓.๓.๕ รายงาผลการประเมินต่อคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และเขตพื้นที่การศึกษา ๔. การระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา ๔.๑ การจัดทรัพยากร ๔.๑.๑ ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานภายในโรงเรียนและโรงเรียนในเขต พื้นที่การศึกษาทราบรายการสินทรัพย์ของโรงเรียน เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน ๔.๑.๒ วางระบบการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับบุคคล หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ๔.๑.๓ สนับสนุนให้บุคลากรและโรงเรียน ร่วมมือกันใช้ทรัพยากรใน ชุมชนให้เกิดประโยชนตอกระบวนการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน ๔.๒ การระดมทรัพยากร ๔.๒.๑ ศึกษาวิเคราะห์กิจกรรมและภารกิจงานหรือโครงการตาม กรอบงบประมาณการระยะปานกลางและแผนปฏิบัติการประจำปีที่มีความจำเป็นต้องใช้ วงเงินเพิ่มเติมจากงบประมาณการรายได้เพื่อจัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมให้เป็นไป ตามความเร่งดวน ๔.๒.๒ สำรวจข้อมูลนักเรียน ที่มีความต้องการได้รับการสนับสนุน ทุนการศึกษาตามเกณฑ์การรับทุนทุกประเภท ตั้งกรรมการพิจารณาคัดเลือกนักเรียนได้รับ ทุนการศึกษาโดยตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพรอมกับให้มีการจัดทำข้อมูลสารสนเทศให้เป็น ปัจจุบัน
๓๘ ๔.๒.๓ ศึกษา วิเคราะห์แหล่งทรัพยากร บุคคล หน่วยงาน องค์กรและ ท้องถิ่นที่มีศักยภาพให้การสนับสนุนการจัดการศึกษา ตลอดจนติดต่อประสานความร่วมมือ อย่างเป็นรูปธรรม ๔.๒.๔ จัดทำแผนการระดมทรัพยากรทางการศึกษาและทุนการศึกษา โดยกำหนดวิธีการ แหล่งการสนับสนุน เป้าหมาย เวลาดำเนินการและผู้รับผิดชอบ ๔.๒.๕ เสนอแผนการระดมทรัพยากรทางการศึกษาและทุนการศึกษา ต่อคณะกรรมการสถานศึกษาเพื่อขอความเห็นชอบและดำเนินการในรูปคณะกรรมการ ๔.๒.๖ เก็บรักษาเงินและเบิกจ่ายไปใช้ตามแผนปฏิบัติการประจำปีที่ ต้องใช้วงเงินเพิ่มเติมให้เป็นไปตามระเบียบเชิงทุนการศึกษาและระเบียบว่าด้วยเงินนอก งบประมาณทั้งตามวัตถุประสงค์และไมกำหนดวัตถุประสงค์ ๔.๓ การจัดหารายได้และผลประโยชน ๔.๓.๑ วิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนที่ดำเนินการจัดหารายได้และ สินทรัพย์ในส่วนที่จะนำมาซึ่งรายได้และผลประโยชนของโรงเรียน เพื่อจัดทำทะเบียนข้อมูล ๔.๓.๒ จัดทำแนวปฏิบัติหรือระเบียบของโรงเรียนเพื่อจัดหารายได้ และบริหารรายได้และผลประโยชน ตามแต่สภาพของโรงเรียน โดยไมขัดต่อกฎหมายและ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๔.๓.๓ จัดหารายได้ผลประโยชนและจัดทำทะเบียนคุม เก็บรักษาเงิน และเบิกจ่ายให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๔.๔ กองทุนกูยืมเพื่อการศึกษา ๔.๔.๑ สำรวจประเภทกองทุนและจัดทำข้อมูลยอดวงเงินและ หลักเกณฑ์ของแต่ละกองทุน ๔.๔.๒ สำรวจความต้องการของนักเรียนและคัดเลือกเสนอกูยืมตาม หลักเกณฑ์ที่กำหนด ๔.๔.๓ ประสานการกูยืมกับหน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง ๔.๔.๔ สร้างความตระหนักแกผู้กูยืม ๔.๔.๕ ติดตามตรวจสอบประเมินผลและรายงานผลการดำเนินงาน ๔.๕ กองทุนสวัสดิการเพื่อการศึกษา
๓๙ ๔.๕.๑ จัดระบบสวัสดิการเพื่อการศึกษาของโรงเรียนให้สอดคลองและ เป็นไปตามกฎหมายทั้งการจัดหาและการใช้สวัสดิการเพื่อการศึกษา ๔.๕.๒ วางระเบียบการใช้เงินสวัสดิการ ๔.๕.๓ ดำเนินการจัดสวัสดิการให้เป็นไปตามระเบียบ ๔.๕.๔ กำกับ ติดตาม ตรวจสอบให้เป็นไปตามระเบียบ ๕. การบริหารการเงิน การเบิกเงินจากคลัง การรับเงิน การเก็บรักษาเงิน การจ่ายเงิน การนำส่งเงิน การโอนเงิน การกันเงินไวเบิกเหลื่อมปีให้เป็นไปตามขั้นตอนและ วิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด ๖. การบริหารบัญชี ๖.๑ การจัดทำบัญชีการเงิน ๖.๑.๑ ตั้งยอดบัญชีระหว่างปีงบประมาณทั้งการตั้งยอดภายหลัง การปิดบัญชีงบประมาณปีก่อนและการตั้งยอดก่อนปิดบัญชีปีงบประมาณปีก่อน ๖.๑.๒ จัดทำกระดาษทำการ โดยปรับปรุงบัญชีเงินงบประมาณโอน ปิดบัญชีนอกงบประมาณเข้าบัญชีทุนและบัญชีเงินรับฝากและเงินประกัน ตั้งยอดบัญชี สินทรัพย์ที่เป็นบัญชีวัสดุหรือ (บัญชีสินค้าคงเหลือ) และบัญชีสินทรัพย์ไมหมุนเวียนพรอม ทั้งจัดทำใบสำคัญการลงบัญชีทั่วไปโดยใช้จำนวนเงินตามรายการหลังการปรับปรุง ๖.๑.๓ บันทึกเปิดบัญชีคงค้าง (พึงรับพึงจ่าย : accrual basis) โดย บันทึกรายการด้านเดบิดในบัญชีแยกประเภท (สินทรัพย์และค่าใช้จ่าย) และบันทึกรายการ ด้านเครดิตในบัญชีแยกประเภท (หนี้สิน ทุน รายได้) ๖.๑.๔ บันทึกบัญชีประจำวันให้ครอบคลุมการรับเงินงบประมาณการ รับรายได้จากการขายสินคาหรือการให้บริการ การรับเงินรายได้การจ่ายเงินงบประมาณ การจ่ายเงินงบประมาณให้ยืม การซื้อวัสดุหรือสินค้าคงเหลือ เงินทดรองจ่าย เงินมัดจำและ ค่าปรับ รายได้จากเงินกูของรัฐ สินทรัพย์ไมหมุนเวียน การรับเงินบริจาค การรับเงินรายได้ แผ่นดิน การถอนเงินรายได้แผ่นดิน การเบิกเงินงบประมาณแทนกัน การจ่ายเงินให้ หน่วยงานที่ปฏิบัติตามระบบควบคุมการเงิน การรับเงินความรับผิดทางละเมิด ๖.๑.๕ สรุปรายการบันทึกบัญชีทุกวันทำการ สรุปรายการรับหรือ จ่ายเงินผ่านไปบัญชีแยกประเภทเงินสด เงินฝากธนาคารและเงินฝากคงคลัง สำหรับ
๔๐ รายการอื่นและรายการในสมุดรายวันทั่วไปให้ผ่านรายการเข้าบัญชีแยกประเภท ณ วันทำ การสุดท้ายของเดือน ๖.๑.๖ ปรับปรุงบัญชีเมื่อสิ้นปีงบประมาณโดยปรับรายการบัญชีรายได้ จากงบประมาณค้างรับ ค่าใช้จ่ายหรือรับที่ได้ล่วงหน้าค่าใช้จ่ายล่วงหนาหรือรายได้ค้างรับ วัสดุหรือสินค้าที่ใช้ไประหว่างงวดบัญชี ค่าเสื่อมราคาหรือค่าตัดจำหน่าย ค่าเผื่อหนี้สงสัย จะสูญและหนี้สูญ ๖.๑.๗ ปิดบัญชีรายได้และค่าใช้จ่าย เพื่อบันทึกบัญชีรายได้สูงกว่า (ต่ำ กว่า) ค่าใช้จ่ายในงวดบัญชีและปิดรายการรายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายงวดบัญชี เข้าบัญชี รายได้สูง (ต่ำ) กว่าค่าใช้จ่ายสะสม แล้วให้โอนบัญชีรายได้แผ่นดินนำส่งคลัง เข้าบัญชี รายได้แผ่นดิน หากมียอดคงเหลือให้ถอนเข้าบัญชีรายได้แผ่นดินรอนำส่งคลัง ๖.๑.๘ ตรวจสอบความถูกต้องของตัวเงินสดและเงินฝากธนาคารตาม รายงานคงเหลือประจำวันและงบพิสูจน์ยอดฝากธนาคาร ตลอดจนตรวจสอบความถูกต้อง ของบัญชีแยกประเภททั่วไปและการตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีย่อยและทะเบียน ๖.๑.๙ แก้ไขข้อผิดพลาดจากการบันทึกรายการผิดบัญชีจากการเขียน ข้อความผิดหรือตัวเลขผิด จากการบันทึกตัวเลขผิดช่องบัญชีย่อยแต่ยอดรวมถูกโดยการขีด ฆ่าข้อความหรือตัวเลขผิด ลงลายมือชื่อย่อกำกับพรอมวันเดือนปีแล้วเขียนข้อความหรือตัว เลขที่ถูกต้อง ๖.๒ การจัดทำรายงานทางการเงินและงบประมาณ ๖.๒.๑ จัดทำรายงานประจำเดือนส่งหน่วยงานต้นสังกัด สำนักงาน ตรวจเงินแผ่นดินและกรมบัญชีกลาง ภายในวันที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป โดยจัดทำรายงาน รายได้แผ่นดิน รายงานรายได้และค่าใช้จ่าย รายงานเงินประจำงวด ๖.๒.๒ จัดทำรายงานประจำปีโดยจัดทำงบแสดงฐานะการเงินจัดทำงบ แสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน งบกระแสเงินสดจัดทำโดยวิธีตรง จัดทำหมายเหตุ ประกอบงบการเงินและจัดส่งรายงานประจำปีให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐานผ่านเขตพื้นที่การศึกษาและจัดส่งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและกรมบัญชีกลาง ตามกำหนดระยะเวลาที่กำหนด
๔๑ ๖.๓ การจัดทำและจัดหาแบบพิมพ์บัญชี ทะเบียนและรายงานจัดทำและ จัดหาแบบพิมพ์ขึ้นใช้เอง เว้นแต่เป็นแบบพิมพ์กลางที่เขตพื้นที่การศึกษาหรือหน่วยงานต้น สังกัด หรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำขึ้นเพื่อจำหน่ายจ่ายแจก ๗. การบริหารพัสดุและสินทรัพย์ ๗.๑ การจัดทำระบบฐานข้อมูลสินทรัพย์ของโรงเรียน ๗.๑.๑ ตั้งคณะกรรมการหรือบุคลากรขึ้นสำรวจวัสดุ ครุภัณฑ์ที่ดิน อาคารและสิ่งก่อสร้างทั้งหมดเพื่อทราบสภาพการใช้งาน ๗.๑.๒ จำหน่าย บริจาคหรือขายทอดตลาดให้เป็นไปตามระเบียบใน กรณีที่หมดสภาพหรือไมได้ใช้ประโยชน ๗.๑.๓ จัดทำทะเบียนคุมทรัพย์สินที่เป็นวัสดุครุภัณฑ์ให้เป็นปัจจุบัน ทั้งที่ซื้อหรือจัดหาจากเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ ตลอดจนที่ได้จากการ บริจาคที่ยังไมได้บันทึกคุมไว โดยบันทึกทะเบียนคุมราคา วันเวลาที่ได้รับสินทรัพย์ ๗.๑.๔ จดทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุสำหรับที่ดิน อาคารและส่งก่อสร้าง ในกรณีที่ยังไมดำเนินการและที่ยังไมสมบูรณให้ประสานกับกรมธนารักษ์หรือสำนักงาน ธนารักษ์จังหวัดเพื่อดำเนินการให้เป็นปัจจุบันและให้จัดทำทะเบียนคุมในส่วนของโรงเรียน ให้เป็นปัจจุบัน ๗.๑.๕ จัดระบบฐานข้อมูลทรัพย์สินของโรงเรียน ซึ่งอาจใช้โปรแกรม ระบบทะเบียนคุมสินทรัพย์ก็ได้ถ้าโรงเรียนมีความพรอม ๗.๑.๖ จัดทำระเบียบการใช้ทรัพย์สินที่ได้จากการจัดหาของโรงเรียน โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ๗.๒ การจัดหาพัสดุ ๗.๒.๑ วิเคราะห์แผนงาน งานและโครงการ ที่จัดทำกรอบรายจ่ายล่วง หนาระยะปานกลาง เพื่อตรวจดูกิจกรรมที่ต้องใช้พัสดุที่ยังไมมีตามทะเบียนคุมทรัพย์สิน และเป็นไปตามเกณฑ์ความขาดที่กำหนดตามมาตรฐานกลาง ๗.๒.๒ จัดทำแผนระยะปานกลางและจัดหาพัสดุทั้งในส่วนที่โรงเรียน จัดหาเองและที่ร่วมมือกับโรงเรียนหรือหน่วยงานอื่นจัดหา ๗.๓ การกำหนดแบบรูปรายการหรือคุณลักษณะเฉพาะและจัดซื้อจัดจ้าง
๔๒ ๗.๓.๑ จัดทำเอกสารแบบรูปรายการหรือคุณลักษณะเฉพาะของ ครุภัณฑ์สิ่งก่อสร้างในกรณีที่เป็นแบบมาตรฐาน ๗.๓.๒ ตั้งคณะกรรมการขึ้นกำหนดคุณลักษณะเฉพาะหรือแบบรูป รายการในกรณีที่ไมเป็นแบบมาตรฐานโดยดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ ๗.๓.๓ จัดซื้อจัดจ้าง โดยการตรวจสอบงบประมาณ รายละเอียดเกณฑ์ คุณลักษณะ ประกาศจ่ายหรือขายแบบรูปรายการ หรือคุณลักษณะเฉพาะ พิจารณาซอง โดยคณะกรรมการ จัดทำสัญญาและเมื่อตรวจรับงานให้มอบเรื่องแกเจาหน้าที่การเงินวาง ฎีกาเบิกเงินเพื่อจ่ายแกผู้ขายหรือผู้จ้าง ๗.๔ การควบคุม ดูแล บำรุงรักษาและจำหน่ายพัสดุ ๗.๔.๑ จัดทำทะเบียนคุมทรัพย์สินให้เป็นปัจจุบัน ๗.๔.๒ กำหนดระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้ทรัพย์สิน ๗.๔.๓ กำหนดให้มีผู้รับผิดชอบในการจัดเก็บควบคุมและเบิกจ่ายให้ เป็นไปตามระบบและแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบพัสดุประจำปีอย่างสม่ำเสมอทุกปี ๗.๔.๔ ตรวจสอบสภาพและบำรุงรักษาและซ่อมแซมทั้งก่อนและหลัง การใช้งาน สำหรับทรัพย์สินที่มีสภาพไมสามารถใช้งานได้ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณา และทำจำหน่ายหรือขอรื้อถอนกรณีเป็นสิ่งก่อสร้าง สรุป ขอบข่ายภารกิจด้านงบประมาณที่กำหนดขึ้นใหม่กับขอบข่าย ภารกิจเดิมพบว่า ขอบข่ายภารกิจที่กำหนดขึ้นใหม่คือ การจัดทำและเสนอของบประมาณ การจัดสรรงบประมาณ การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผลและรายงานผลการใช้เงินและ ผลการดำเนินการระดมทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา การบริหารสินทรัพย์ ๒.๖ สรุป นโยบาย ขอบข่าย การจัดทำและเสนองบประมาณ เป็นนโยบายงบประมาณ คือ การจัดการใส่สวนของรายได้ (ภาษี) และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในประเทศหรือรัฐ นโยบาย งบประมาณ ยังรวมถึงนโยบายภาษีในแต่ละปีซึ่งมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการและ จากการกระจายอำนาจมาให้สถานศึกษา หรือหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้การบริหารนิติบุคคล มีความสะดวกคลองตัวมากขึ้น การบริหารงบประมาณ จำต้องมีความคุ้มค่า มีความโปร่งใส