The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การบริหารงบประมาณและการคลังสาธารณะ (Public Budgetin

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การบริหารงบประมาณและการคลังสาธารณะ (Public Budgetin

การบริหารงบประมาณและการคลังสาธารณะ (Public Budgetin

๘๔ (๑) ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ (๒) ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชำระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ (๓) ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่ง ประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๕ (๔) ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ (๕) ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษี อากร พ.ศ. ๒๕๕๓ (๖) ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอให้ช่วยเร่งรัดจัดเก็บหนี้ภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๓๙ (๗) ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหนี้ภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ทั้งนี้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องดังกล่าวถือเป็นแนวทางปฏิบัติของหน่วย เร่งรัดได้แก่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ส่วนกฎหมายและเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำนักบริหาร ภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ หรือหน่วยงานอื่นที่กรมสรรพากรกำหนด ที่กำหนดวิธีการเพื่อให้เจ้า พนักงาน ซึ่งเป็นข้าราชการสังกัดกรมสรรพากรดำเนินการติดตามเร่งรัดหนี้ภาษีอากรค้าง จากผู้ค้างภาษีอากร ตั้งแต่เริ่มกระบวนการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างไปจนถึงการสิ้นสุด กระบวนการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง ๕.๒ การเตือนให้ชำระภาษีอากรค้าง การเตือนให้ชำระภาษีอากรค้างเป็นกระบวนการเริ่มต้นของการเร่งรัดจัดเก็บ ภาษีอากรค้างไม่ว่าหนี้ภาษีอากรค้างจะเกิดขึ้นจากการประเมินตนเองของผู้เสียภาษีหรือ การประเมินโดยเจ้าพนักงานประเมิน กล่าวคือ เมื่อพ้นกำหนดชำระเงินตามใบแจ้งภาษี อากรแล้ว หากผู้ค้างภาษีอากรยังไม่นาเงินมาชำระ ให้เจ้าพนักงานจัดทำหนังสือเตือนให้นำ เงินภาษีอากรค้างไปชำระตามแบบ ภ.ส.๑๒ โดยเร็ว และต้องให้เวลาผู้ค้างภาษีอากรนำเงิน มาชำระภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือเตือน สำหรับวิธีการนำส่งหนังสือเตือนให้ชำระภาษีอากรค้างนั้น ให้เจ้าพนักงาน นำส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ หรือจะนำไปส่งด้วยตนเอง ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่น


๘๕ ที่อยู่ของผู้ค้างภาษีอากรก็ได้ในกรณีที่ไม่สามารถนำส่งตามวิธีการดังกล่าวได้ให้นา บทบัญญัติในมาตรา ๘ แห่งประมวลรัษฎากรมาใช้บังคับ๑ เช่นเดียวกับการส่งหมายเรียก หนังสือแจ้งให้เสียภาษีอากรหรือหนังสืออื่น ๆ โดยให้ถือว่าผู้ค้างภาษีอากรเป็นอันได้รับแล้ว กล่าวคือ (๑) ให้ส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ หรือ (๒) ให้เจ้าพนักงานสรรพากรนำไปส่ง ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ หรือสำนักงาน ของบุคคลนั้นในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของบุคคลนั้น ถ้าไม่พบผู้รับ ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ หรือสำนักงานของผู้รับจะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุ นิติภาวะแล้วและอยู่หรือทำงานในบ้านหรือสำนักงานที่ปรากฏว่าเป็นของผู้รับนั้น (๓) กรณีไม่สามารถส่งตามวิธีการข้างต้นได้หรือบุคคลนั้นออกไปนอก ราชอาณาจักรให้ใช้วิธีปิดหนังสือเตือนให้ชำระภาษีอากรค้างในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ ที่อยู่ หรือสำนักงานของบุคคลนั้นหรือบ้านที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วย การทะเบียนราษฎรครั้งสุดท้าย หรือ (๔) โฆษณาข้อความย่อให้หนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายเป็นปกติในท้องที่นั้น ในกรณีหนี้ภาษีอากรค้างรายใดที่มีจำนวนรวมทั้งสิ้นตั้งแต่ ๑ ล้านบาทขึ้นไป ตามระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้ เจ้าพนักงานต้องนำไปส่งด้วยตนเอง ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ของผู้ค้างภาษีอากร หากไม่ สามารถนำส่งตามวิธีการดังกล่าวได้จึงให้ใช้วิธีปิดหนังสือเตือนให้ชำระภาษีอากรค้างในที่ซึ่ง เห็นได้ง่าย ณ ที่อยู่หรือสำนักงานของบุคคลนั้นหรือบ้านที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนตาม กฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรครั้งสุดท้ายหรือโฆษณาข้อความย่อให้หนังสือพิมพ์ที่ จำหน่ายเป็นปกติในท้องที่นั้นแล้วแต่กรณี เมื่อครบกำหนดเวลาให้นำเงินมาชำระตามหนังสือเตือนให้ชำระภาษีอากรค้าง ให้เจ้าพนักงานปฏิบัติดังต่อไปนี้ ๑ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๑


๘๖ (๑) กรณีผู้ค้างภาษีอากรมาพบตามกำหนดเวลา และมีความประสงค์จะขอ ผ่อนชำระให้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการผ่อนชำระภาษีอากร ซึ่งจะได้กล่าวในหัวข้อ ถัดไป (๒) กรณีผู้ค้างภาษีอากรขอชำระภาษีอากรเพียงบางส่วน ให้เจ้าพนักงาน บันทึกถ้อยคาและรายการทรัพย์สินไว้เป็นหลักฐานพร้อมกับรับชำระภาษีอากรไว้ก่อน (๓) กรณีผู้ค้างภาษีอากรไม่มาพบตามวันเวลาที่กำหนดไว้หรือมาพบแต่ไม่ ยินยอมชำระภาษีอากรค้าง ให้เจ้าพนักงานบันทึกเหตุผลไว้เป็นหลักฐานแล้วจัดทำหนังสือ เตือนให้นำเงินภาษีอากรค้างไปชำระขึ้นอีกฉบับหนึ่ง โดยให้เจ้าพนักงานนำส่งด้วยตนเอง หรืออยู่ในดุลพินิจของเจ้าพนักงานที่จะนำส่งตามมาตรา ๘ แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ต้อง ให้ระยะเวลาห่างจากวันที่ผู้ค้างภาษีอากรได้รับหนังเตือนให้ชำระภาษีอากรค้างครั้งแรกไม่ น้อยกว่า ๓๐ วัน๒ อย่างไรก็ตาม ผู้ค้างภาษีอากรรายใดที่มีภาษีอากรค้างตั้งแต่ ๑ ล้านบาทขึ้นไป สำหรับในท้องที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร และที่อยู่ภายใต้การ บริหารการจัดเก็บของสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ หรือผู้ค้างภาษีอากรที่มีภาษีอากร ค้างตั้งแต่ ๑ แสนบาทขึ้นไปสำหรับในท้องที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่นอกเขต กรุงเทพมหานคร หรือรายที่มีปัญหาในการเร่งรัดให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสำนัก บริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ทำการควบคุมการเร่งรัดโดยใกล้ชิด๓ และหากปรากฏว่าผู้ค้าง ภาษีอากรย้ายภูมิลำเนาหรือมีถิ่นที่อยู่หรือ มีทรัพย์สินอยู่ในท้องที่ของสำนักงานสรรพากร พื้นที่อื่น ให้หน่วยเร่งรัดต้นทางขอให้หน่วยเร่งรัดปลายทางช่วยดำเนินการเร่งรัดจัดเก็บหนี้ ภาษีอากร ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอให้ช่วยเร่งรัดจัดเก็บหนี้ภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๓๙ ทั้งนี้หน่วยเร่งรัดต้นทางยังมีหน้าที่รับผิดชอบในการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากร ค้างต่อไปจนถึงที่สุด๔ ๒ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๒ ๓ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๖ ๔ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๒๒


๘๗ สำหรับการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างจากบุคคลธรรมดา ตามระเบียบ กรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้เจ้าพนักงาน ต้องดำเนินการดังต่อไปนี้ (๑) การเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างกรณีสามีและภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ซึ่งสามีมีหน้าที่รับผิดชอบในการยื่นรายการเสียภาษีอากร ถ้ามีภาษีอากรค้างชำระให้แจ้งให้ ภริยาทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วัน ในกรณีนี้ภริยาต้องร่วมรับผิดเสียภาษีอากรที่ค้าง ชำระ โดยให้ทำการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างจากภริยาตามนัยมาตรา ๕๗ ตรีแห่ง ประมวลรัษฎากร เว้นแต่ภาษีอากรค้างที่เกิดขึ้นจากเงินได้พึงประเมินตามมาตรา ๔๐ (๑) และเข้าลักษณะตามมาตรา ๕๗ เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร สามีหรือภริยาฝ่ายที่มีเงินได้ คงต้องรับผิดในหนี้ภาษีอากรค้างนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว ปัจจุบันได้มีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ.๒๕๕๕ ให้ยกเลิกบทบัญญัติมาตรา ๕๗ ตรี๕ และมาตรา ๕๗ เบญจ๖ และเพิ่มเติม บทบัญญัติมาตรา ๕๗ ฉ ๗ แห่งประมวลรัษฎากรใช้แทนบทบัญญัติที่ถูกยกเลิกไป กำหนดให้ สามีและภริยาต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินทุกประเภทที่ตน ได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้วโดยไม่จำ ต้องถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงิน ได้ของสามีเช่นเดียวกับมาตรา ๕๗ ตรี(เดิม)แต่สามีและภริยาจะตกลงยื่นรายการและเสีย ภาษีรวมกันโดยให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของตนเป็นเงินได้ของสามีหรือภริยาอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ได้ถ้ามีภาษีอากรค้างชำระสามีและภริยาต้องร่วมรับผิดในการเสียภาษีที่ค้างชำระนั้น กรณีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างกับสามีและ ภริยานั้นจะต้องดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้เพราะกระบวนการในการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากร ค้างและการบังคับชำระหนี้ภาษีอากรค้าง ถือเป็นการใช้มาตรการบังคับทางปกครองตาม ๕ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๒๔ ๖ มาตรา ๕๗ เบญจ แห่งประมวลรัษฎากร ยกเลิกโดยมาตรา ๕ แห่งพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๕ ๗ มาตรา ๕๗ ฉ แห่งประมวลรัษฎากร เพิ่มเติมโดยมาตรา ๖ แห่งพระราชกำหนดแก้ไข เพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๘) พ.ศ. ๒๕๕๕


๘๘ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนั้น เมื่อมีหนี้ภาษีอากรค้าง เกิดขึ้นเจ้าพนักงานต้องแจ้งให้สามีหรือภริยาอีกฝ่ายหนึ่งทราบเกี่ยวกับหนี้ภาษีอากรค้าง ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วัน เพื่อให้ร่วมรับผิดเสียภาษีอากรที่ค้างชำระอยู่หรือไม่ หรือ สามารถทำการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างจากสามีหรือภริยาอีกฝ่ายหนึ่งได้ทันทีหรือหาก ได้ดำเนินการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างกับภริยาไว้แล้วก่อนมาตรา ๕๗ ฉ มีผลใช้บังคับ ภริยายังคงต้องร่วมรับผิดในหนี้ภาษีอากรค้างอีกหรือไม่ เพียงใด (๒) การเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างกรณีผู้มีหน้าที่หักภาษีณ ที่จ่ายตาม ประมวลรัษฎากรมิได้หักหรือนาส่งหรือหักแต่นาเงินส่งไม่ครบถ้วน ให้ทำการเร่งรัดจัดเก็บ ภาษีอากรค้างจากผู้มีหน้าที่หักภาษีณ ที่จ่าย ตลอดจนยึดหรืออายัดและขายทอดตลาด ทรัพย์สินตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากรได้ (๓) การเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างกรณีผู้ค้างภาษีอากรเป็นผู้เยาว์ผู้ที่ศาลสั่ง ให้เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ หรือผู้อยู่ในต่างประเทศ ให้ทำการ เร่งรัดหรือทวงหนี้ภาษีอากรจากผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล ผู้พิทักษ์หรือผู้จัดการ กิจการอันก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมินนั้น หากบุคคลดังกล่าวไม่ยอมชำระให้ทำการยึดหรือ อายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรได้ (๔) การเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างกรณีผู้ค้างภาษีอากรถึงแก่ความตายก่อนที่ ชำระภาษีอากรค้าง ให้เจ้าพนักงานทำการสอบสวนให้ได้ความก่อนว่า ผู้ตายได้ตายลง เมื่อใด ใครเป็นผู้จัดการมรดก ใครเป็นทายาท หรือผู้ใดเป็นผู้ครอบครองมรดก ให้ทำการ เร่งรัดภาษีอากรค้าง ไปยังบุคคลเหล่านั้น หากอยู่ในระหว่างการร้องขอต่อศาลให้มีการจัดตั้ง ผู้จัดการมรดกให้คอยติดตามคำสั่งศาล เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดกแล้ว ให้ทำการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างไปยังบุคคลนั้น หากบุคคลดังกล่าวไม่ยอมชำระ ให้ทำ การยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของกองมรดก ในกรณีที่กองมรดกของผู้ตาย ยังมิได้แบ่ง หรือให้รายงานสำนักงานสรรพากรภาค เพื่อดำเนินคดีทางศาล ในกรณีที่กอง มรดกของผู้ตายได้แบ่งไปยังทายาทแล้ว อย่างไรก็ดีสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีอายุความเพียง ๑ ปีนับ แต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ตามนัยมาตรา ๑๗๕๔ แห่ง


๘๙ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงต้องรีบดำเนินการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างเป็น กรณีพิเศษ (๕) การเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้างกรณีกองมรดกเป็นผู้ค้างภาษีอากร ให้ทำ การเร่งรัดภาษีอากรค้างไปยังผู้จัดการมรดก หรือทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดก แล้วแต่กรณีหากยังไม่ยอมชำระ ให้ทำการยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของ กองมรดกได้หากกองมรดกได้แบ่งแล้ว ให้รายงานสำนักงานสรรพากรภาคเพื่อดำเนินคดี ทางศาล ๕.๓ การผ่อนชำระภาษีอากรค้าง ประมวลรัษฎากรมีบทบัญญัติผ่อนปรนให้ผู้เสียภาษีสามารถผ่อนชำระภาษี อากรได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ ต้องเสีย ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติตามมาตรา ๖๔ ที่กำหนดให้ผู้ต้องเสียภาษีซึ่งมีจำนวน เงินภาษีอากรที่ต้องชำระตั้งแต่ ๓,๐๐๐ บาทขึ้นไป สามารถชำระภาษีอากรเป็นสามงวด ๆ ละเท่า ๆ กันได้เว้นแต่ไม่ชำระภาษีงวดใดงวดหนึ่งภายในเวลาที่กำหนด ย่อมหมดสิทธิที่จะ ชำระภาษีอากรเป็นรายงวดและต้องเสียเงินเพิ่มตามมาตรา ๒๗ แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับงวดที่ไม่ชำระและงวดถัดไป นอกจากการผ่อนชำระภาษีอากรดังกล่าว หากมีภาษีอากรค้างเกิดขึ้นไม่ว่าหนี้ นั้นจะเกิดขึ้นจากการยื่น แบบแสดงรายการประเมินตนเองและผิดนัดการผ่อนชำระตาม มาตรา ๖๔ ข้างต้นหรือเกิดจากการชำระภาษีอากรบางส่วน และภายหลังจากพ้นกำหนด ชำระเงินตามใบแจ้งภาษีอากรเมื่อผู้ค้างภาษีอากรได้รับหนังสือเตือนให้ชำระภาษีอากรค้าง และมีความประสงค์ที่จะขอผ่อนชำระภาษีอากรค้าง ให้ปฏิบัติตามระเบียบกรมสรรพากรว่า ด้วยการผ่อนชำระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ทั้งนี้ภาษีอากรที่จะขอผ่อนชำระได้นั้นต้องเป็น ภาษีอากรที่ตั้งค้างอยู่ในบัญชีลูกหนี้ค่าภาษีอากร๘ แต่ไม่รวมถึงภาษีอากรค้างที่เกิดจาก การยื่นแบบแสดงรายการประเมินตนเอง และไม่ชำระภาษีหรือชำระไม่ครบหรือเช็คที่ใช้ ๘ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการบัญชีลูกหนี้ค่าภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๗


๙๐ ชำระภาษีอากรไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ได้แก่ แบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย หรือแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี๙ สำหรับขั้นตอนการผ่อนชำระภาษีอากรค้างนั้น ผู้ค้างภาษีอากรต้องยื่น คำร้อง ขออนุมัติผ่อนชำระภาษีอากรตามแบบ ท.ป.๒ พร้อมแนบเอกสารเกี่ยวกับหลักทรัพย์หรือ สถานะทางการเงินหรือสำเนารายการเงินฝากธนาคารทุกบัญชีที่มีอยู่นับแต่วันต้นปีปฏิทิน ถึงวันที่ขอผ่อนชำระและเอกสารดังกล่าวต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๖ เดือน โดยให้ยื่นคำ ร้องต่อสรรพากรอำเภอ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาตามที่ระบุในใบแจ้งภาษีอากรหรือที่ได้ยื่น แบบแสดงรายการภาษีไว้หรือยื่น คำร้องต่อสรรพากรพื้นที่ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ สำหรับผู้ขอผ่อนชำระภาษีอากรในรายที่อยู่ภายใต้การบริหารการจัดเก็บภาษีอากรของ สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ ให้ยื่นคำร้องต่อผู้อำนวยการสำนักบริหารภาษีธุรกิจ ขนาดใหญ่ ณ สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่แล้วแต่กรณี๑๐ ทั้งนี้ผู้ขอผ่อนชำระภาษี อากรต้องเสนอและจัดหาหลักประกันการผ่อนชำระให้เพียงพอกับค่าภาษีอากรที่ต้องชำระ เสนอหรือส่งมอบต่อผู้มีอำนาจอนุมัติให้ผ่อนชำระภาษีอากรภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ ได้รับอนุมัติให้ผ่อนชำระภาษีอากร๑๑ ได้แก่ (๑) หนังสือค้า ประกันของธนาคาร (Bank Guarantees) ในกรณีที่ผู้ขอผ่อน ชำระไม่ชำระภาษีอากรงวดใดงวดหนึ่งภายในกำหนดเวลา ผู้ขอผ่อนชำระภาษีอากรย่อม หมดสิทธิผ่อนชำระและผู้ขอผ่อนชำระหรือผู้ค้า ประกันต้องชำระภาษีอากรที่ค้างอยู่ทั้ง จำนวนพร้อมกับเงินเพิ่มที่ต้องชำระตามกฎหมายทันที (๒) พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งต้องทำสัญญาจำนำ ไว้ต่อกรมสรรพากร (๓) ที่ดิน หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งปลอดภาระผูกพันหรือภาระจำนอง และมีราคาประเมินที่ใช้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตาม ๙ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๕ ๑๐ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๖.๑ ของข้อ ๖ ๑๑ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๖.๒ ของข้อ ๖


๙๑ ประมวลกฎหมายที่ดินไม่ต่ำ กว่าค่าภาษีอากรที่ต้องชำระ โดยนา มาจดทะเบียนจำนองไว้ ต่อกรมสรรพากร (๔) กรรมสิทธิ์ห้องชุดในอาคารชุด ซึ่งปลอดภาระผูกพันหรือภาระจำนอง และ มีราคาประเมินที่ใช้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวล กฎหมายที่ดินไม่ต่ำ กว่าค่าภาษีอากรที่ต้องชำระ โดยนำมาจดทะเบียนจำนองไว้ต่อ กรมสรรพากร (๕) หลักประกันที่บุคคลอื่นนา ทรัพย์สินมาจดทะเบียนจำนำ หรือจำนองไว้ต่อ กรมสรรพากรได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล หรือที่ดิน หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หรือกรรมสิทธิ์ ห้องชุดในอาคารชุดเป็นต้น นอกจากหลักประกันหรือทรัพย์สินดังกล่าวต้องปลอดภาระ ผูกพันแล้ว เจ้าของทรัพย์สินซึ่งจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อเป็นประกันหนี้ที่บุคคลอื่น ต้องชำระ ไม่จา ต้องรับผิดในหนี้นั้นเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่จำนองแต่อย่างใด (๖) ค้า ประกันโดยบุคคลผู้มีหลักทรัพย์หรือฐานะการเงินดีหรือเป็นบุคคลผู้มี ชื่อเสียงเชื่อถือได้โดยให้บุคคลดังกล่าวทา สัญญาค้า ประกันระหว่างการชำระภาษีด้วย๑๒ ในการจดทะเบียนจำนองทรัพย์สินตาม (๓) หรือ (๔) ให้ผู้ไปจดทะเบียนจำนอง แทนอธิบดีกรมสรรพากรระบุข้อความว่า “ในกรณีมีการบังคับจำนองเอาทรัพย์สินที่จำนอง ออกขายทอดตลาดได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้เงินยังขาดจำนวนเท่าใด ผู้จำนองยอมรับผิดใช้ หนี้ที่ขาดจำนวนนั้นให้แก่ผู้รับจำนองจนครบ” ไว้ในสัญญาจำนองด้วย๑๓ สำหรับวิธีการผ่อนชำระภาษีอากร กรมสรรพากรกำหนดให้ทำการผ่อนชำระ เป็นงวดรายเดือนเฉลี่ยงวดละเท่า ๆ กัน เว้นแต่งวดสุดท้ายอาจชำระน้อยหรือมากกว่างวด อื่นก็ได้ซึ่งผู้ขอผ่อนชำระต้องชำระภาษีอากรงวดแรกทันทีพร้อมกับการยื่น คำร้องขอผ่อน ชำระภาษีอากรตามแบบท.ป.๒ เว้นแต่ผู้มีอำนาจอนุมัติให้ผ่อนชำระภาษีอากรจะสั่งเป็น อย่างอื่น สำหรับการผ่อนชำระภาษีอากรในงวดถัดไป ผู้ขอผ่อนชำระต้องชำระภาษีอากร ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ต้องชำระในงวดก่อน โดยให้นา จำนวนเงินที่ชำระไปหักจากตัว ๑๒ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๘ ๑๓ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชาระภาษีอากร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๕ ให้ยกเลิกความในข้อ ๙ ของระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทนในข้อ ๙


๙๒ ภาษีก่อนจนหมดแล้วจึงนำไปหักจากเงินเพิ่มและเบี้ยปรับตามลำดับ การไม่ชำระภาษีอากร งวดใดงวดหนึ่งภายในกำหนดเวลา ผู้ขอผ่อนชำระย่อมหมดสิทธิการผ่อนชำระและต้อง ชำระภาษีอากรที่ค้างอยู่ทั้งจำนวนพร้อมกับเงินเพิ่มที่ต้องชำระตามกฎหมายทันที๑๔ ทั้งนี้ แต่เดิมตามระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชำระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ยัง กำหนดให้ผู้ขอผ่อนชำระภาษีอากรที่ผิดนัดการผ่อนชำระไม่เกินหนึ่งงวด และได้นำเงิน สำหรับงวดที่ผิดนัดมาชำระให้ครบถ้วนก่อนถึงกำหนดเวลาที่ต้องชำระในงวดถัดไป ให้การ ผ่อนชำระดำเนินต่อไปได้โดยอนุโลม เสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการผิดนัดผ่อนชำระภาษีอากรแต่ อย่างใด อย่างไรก็ดีปัจจุบันได้มีการตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์(ฉบับที่ ๒๐) พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อคุ้มครองสิทธิและสร้างความเป็นธรรมแก่ ผู้ค้า ประกันและผู้จำนองซึ่งมิใช่ลูกหนี้ชั้นต้นได้มากขึ้น โดยมีผลใช้บังคับในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์พ.ศ. ๒๕๕๘ กรณีจึงเป็นเหตุให้มีผลกระทบต่อกฎหมายลำดับรองซึ่งใช้บังคับ อยู่ ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติเกี่ยวกับการผ่อนชำระภาษีอากรเป็นไปตามความเหมาะสม และสอดคล้องกับกฎหมายแม่บทฉบับดังกล่าว กรมสรรพากรจึงได้กำหนดแนวทางปฏิบัติ ไว้ตามระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชำระภาษีอากร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้หน่วยเร่งรัดถือปฏิบัติโดยให้ยกเลิกความบางส่วนในข้อ ๗ ของระเบียบ กรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชำระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ และกำหนดวิธีการผ่อนชำระ ภาษีอากรในกรณีผู้ขอผ่อนชำระผิดนัดไม่ชำระภาษีอากรงวดใดงวดหนึ่งภายในกำหนดเวลา ให้ผู้ขอผ่อนชำระหมดสิทธิการผ่อนชำระและต้องชำระภาษีอากรที่ค้างอยู่ทั้งจำนวนพร้อม กับเงินเพิ่มที่ต้องชำระตามกฎหมายทันที๑๕ หากบุคคลดังกล่าวมีความประสงค์ขอขยาย เวลาการผ่อนชำระจะต้องให้ผู้ค้า ประกันทา ข้อตกลงในการขยายเวลาการผ่อนชำระภาษี ๑๔ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๗__ ๑๕ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชาระภาษีอากร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗ ของระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทนในข้อ ๗.๒ ของข้อ ๗


๙๓ อากรนั้นด้วย๑๖และหากผิดนัดการผ่อนชำระให้เจ้าพนักงานมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้า ประกัน ภายใน ๖๐ วันนับแต่วันที่ผู้ขอผ่อนชำระภาษีอากรผิดนัด กรมสรรพากรจะเรียกให้ ผู้ค้า ประกันชำระหนี้ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงหาได้ไม่ ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิผู้ค้า ประกัน ที่จะชำระหนี้เมื่อหนี้นั้นถึงกำหนดชำระ๑๗ นอกจากนี้ในกรณีมีการบังคับจำนองกับทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันการผ่อน ชำระภาษีอากร เจ้าพนักงานต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ขอผ่อนชำระภาษีอากรก่อนว่า ให้ชำระหนี้ภาษีอากรภายในเวลาอันสมควร ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า ๖๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับ หนังสือบอกกล่าวหากยังคงเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามให้ฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึด และขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้น สำหรับทรัพย์สินที่บุคคลอื่นนา มาจดทะเบียน จำนองไว้ต่อกรมสรรพากรเพื่อเป็นหลักประกันการผ่อนชำระภาษีอากร เจ้าพนักงานต้องมี หนังสือบอกกล่าวให้ผู้จำนองทราบภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ส่งหนังสือแจ้งให้ผู้ขอผ่อน ชำระภาษีอากรทราบด้วย๑๘ ในกรณีที่ผู้ค้างภาษีอากรมีความประสงค์จะขอผ่อนชำระภาษีอากร แต่ไม่ สามารถจัดหาหลักประกันการผ่อนชำระภาษีอากรตามที่กล่าวมาข้างต้นได้และสรรพากร พื้นที่เห็นว่าบุคคลดังกล่าวมีฐานะอันน่าเชื่อถือได้อาจให้ผ่อนชำระภาษีอากรได้ไม่เกิน ๖ งวด โดยงวดแรกให้ชำระทันทีพร้อมกับการยื่น คำร้องขอผ่อนชำระภาษีอากรตามแบบ ๑๖ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชาระภาษีอากร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗ ของระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทนในข้อ ๗.๕ ของข้อ ๗ ๑๗ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชาระภาษีอากร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗ ของระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทนในข้อ ๗.๖ ของข้อ ๗ ๑๘ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชาระภาษีอากร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ข้อ ๓ ให้ยกเลิกความในข้อ ๗ ของระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ และให้ ใช้ความต่อไปนี้แทนในข้อ ๗.๗ ของข้อ ๗


๙๔ ท.ป.๒ และให้มีการออกเช็คของผู้ค้างภาษีอากร (เช็คประเภท ง.)๑๙ ลงวันที่ล่วงหน้าถัดไป อีก ๕ ฉบับ ส่งมอบต่อผู้มีอำนาจอนุมัติให้ผ่อนชำระภาษีอากรไว้ในคราวเดียวกัน หากเช็ค ลงวันที่ล่วงหน้าดังกล่าวขัดข้องไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้กรณีถือว่าไม่ชำระภาษี อากรภายในกำหนดเวลา ผู้ขอผ่อนชำระภาษีอากรย่อมหมดสิทธิการผ่อนชำระ แต่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขายังคงมีหน้าที่นา เช็คที่เหลือส่งเป็นรายได้แผ่นดินเท่ากับ จำนวนภาษีอากรที่ค้างอยู่ตามกำหนดเวลาแต่ละงวด และให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ขอผ่อน ชำระภาษีอากรตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ ทุกกระทงความผิด๒๐ อนึ่ง การผ่อนชำระภาษีอากรในกรณีนี้ไม่เป็นเหตุที่จะให้เจ้าพนักงาน ผู้มีอำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร ถอนการยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ได้ ดำเนินการไปก่อนแล้ว๒๑ ๕.๔ การสืบหาทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้มีหนังสือเตือนให้ชำระภาษีอากรค้าง หากปรากฏ ว่าผู้ค้างภาษีอากรไม่นำเงินภาษีอากรค้างมาชำระให้ครบถ้วน ภายในกำหนดเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันพ้นกำหนดให้ชำระเงินตามหนังสือเตือนครั้งแรก ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วย การเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้เจ้าพนักงานดำเนินการสืบหา ทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรตามที่เห็นสมควร๒๒ โดยพยายามทำการสอบสวนให้ถึงตัวผู้ ค้างภาษีอากรทุกรายและทรัพย์สินทั้งหมดของผู้ค้างภาษีอากร โดยไม่คำนึงว่าทรัพย์สินนั้น จะสามารถดำเนินการยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดตามกฎหมายได้หรือไม่๒๓ ซึ่งในการ ๑๙ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการรับเงินภาษีอากรเป็นเช็ค พ.ศ. ๒๕๕๖ ข้อ ๕.๔ ของ ข้อ ๕ กำหนดว่า เช็คที่ผู้มีหน้าที่ชา ระเงินภาษีอากรเป็นผู้เซ็นสั่งจ่ายและใช้ชา ระโดยตรง (เช็คประเภท ง.) ๒๐ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๓ ๒๑ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการผ่อนชา ระภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๔ ๒๒ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๓ ๒๓ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๔


๙๕ สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร กรมสรรพากรอาจดำเนินการสืบหาจาก ข้อมูลภายนอกหรือจากตัวผู้ค้างภาษีอากรโดยตรงก็ได้ สำหรับกำหนดเวลาการสืบหาทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรให้กระทำให้แล้ว เสร็จภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันครบกำหนดให้นำเงินมาชำระตามหนังสือเตือนให้ชำระ ภาษีอากรค้างถ้าไม่สามารถดำเนินการสอบสวนทรัพย์สินให้เสร็จสิ้นไปภายในกำหนดเวลา ดังกล่าว หน่วยเร่งรัดจะขอขยายระยะเวลาการสอบสวนทรัพย์สินเป็นคราว ๆ ก็ได้ทั้งนี้ โดยให้ขออนุมัติต่อสรรพากรภาคหรือผู้อำนวยการสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ แล้วแต่กรณี๒๔ ดังต่อไปนี้ ๕.๔.๑ สืบหาทรัพย์สินจากข้อมูลภายนอก การสืบหาทรัพย์สินจากข้อมูลภายนอกนั้น กรมสรรพากรได้ทำความตกลงกับ หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อขอความร่วมมือในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ผู้ค้างภาษีอากรเป็นเจ้าของหรือเจ้าของร่วม ดังต่อไปนี้ (๑) มีหนังสือถึงสำนักงานที่ดินอำเภอ หรือสำนักงานที่ดินจังหวัดอันเป็น ภูมิลำเนาของผู้ค้างภาษีอากร หรือกรมที่ดิน เพื่อขอทราบการถือครองหรือถือกรรมสิทธิ์ใน อสังหาริมทรัพย์ของผู้ค้างภาษีอากร พร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ระงับการทา นิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้น (๒) มีหนังสือถึงหน่วยราชการใด ๆ ซึ่งมีหน้าที่จดทะเบียนเกี่ยวกับ สังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือกฎหมายอื่น เช่น ที่ว่าการ อำเภอ กรมการขนส่งทางบกกรมเจ้าท่า สำนักงานทะเบียนเครื่องจักรกลาง หรือกรม โรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นต้น เพื่อเป็นหลักฐานในข้อสันนิษฐานว่า ทรัพย์สินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ค้างภาษีอากรพร้อมทั้งขอความร่วมมือให้ระงับการทำนิติ กรรมใด ๆ เกี่ยวกับสังหาริมทรัพย์นั้น (๓) ในกรณีที่สืบทราบว่าผู้ค้างภาษีอากรถือหุ้น หรือเป็นหุ้นส่วนในนิติบุคคลใด ให้มีหนังสือสอบถามไปยังนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทอันเป็นภูมิลำเนาของนิติบุคคลนั้น เพื่อขอทราบจำนวนหุ้นที่ถือและการชำระมูลค่าหุ้น หรือจำนวนเงินที่ลงหุ้นในนิติบุคคลนั้น ๒๔ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๔ (๓)_


๙๖ (๔) ขอสาเนาแบบแสดงรายการภาษีที่ยื่นไว้มาประกอบการพิจาณา เช่น สา เนาแบบ ภ.ง.ด.๙๐, ภ.ง.ด.๙๑, ภ.ง.ด.๑, ภ.ง.ด.๒ หรือ ภ.ง.ด.๓ ซึ่งจะเป็นแหล่งข้อมูลใน การสืบหาชื่อ -นามสกุล ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์อีเมลย์สถานที่ทำงาน และอาชีพของผู้ ค้างภาษีอากร รวมทั้งชื่อของคู่สมรสและบุตรของผู้ค้างภาษีอากร เป็นต้น (๕) สอบสวนทรัพย์สินประเภทเงินสด เงินฝากธนาคาร บัญชีเงินฝากต่าง ๆ จากธนาคารพาณิชย์ไทย (๖) สอบสวนทรัพย์สินประเภทพันธบัตรรัฐบาล จากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือบริษัท หลักทรัพย์ประเทศไทย จำกัด (๗) ทำการสอบสวนทรัพย์สินโดยวิธีการอื่นตามที่เห็นสมควร เมื่อได้ดำเนินการสอบสวนทรัพย์สินจากแหล่งข้อมูลดังกล่าวแล้วปรากฏว่า ผู้ค้างภาษีอากรมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอยู่จริง ให้เสนอผู้มีอำนาจเพื่อออกคำสั่งยึดหรือ อายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากรต่อไป ๕.๔.๒ สืบหาทรัพย์สินจากตัวผู้ค้างภาษีอากร การสืบหาทรัพย์สินจากตัวผู้ค้างภาษีอากรนั้น ตามระเบียบกรมสรรพากรว่า ด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ กำหนดให้เจ้าพนักงานพยายามทำการ สอบสวนเกี่ยวกับทรัพย์สินให้ถึงตัวผู้ค้างภาษีอากรทุกราย โดยให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ (๑) ในกรณีที่ผู้ค้างภาษีอากรไม่ยอมชำระภาษีอากรค้าง ให้เจ้าพนักงานออกไป ทำการสอบสวนทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ณ ภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ โดยพยายามทำ การสอบสวนให้ถึงตัวผู้ค้างภาษีอากรทุกรายและสอบสวนทรัพย์สินทั้งหมดของผู้ค้างภาษี อากร เช่น ทรัพย์สินประเภทเงินสด เงินฝากธนาคาร บัญชีเงินฝากต่าง ๆ หุ้น เครื่องประดับ ที่มีมูลค่า ลูกหนี้เจ้าหนี้ลิขสิทธิ์หรือสิทธิต่าง ๆ ของผู้ค้างภาษีอากร ทั้งนี้ให้รวมตลอดถึง เครื่องจักรต่าง ๆ สินค้า และวัตถุดิบ เป็นต้น (๒) บันทึกรายการทรัพย์สิน จำนวน ราคาของทรัพย์สิน และรายละเอียด เกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์หรือไม่ จำนำ หรือจำนองไว้กับใคร เป็นจำนวนเท่าใด ไว้ในรายงานแสดงการเร่งรัดภาษีอากรค้าง (แบบ ภ.ส.๑๖)


๙๗ (๓) บันทึกสภาพความเป็นอยู่ของผู้ค้างภาษีอากร เช่น อาชีพ รายได้ผู้อยู่ใน ความอุปการะเลี้ยงดู (๔) ในกรณีไม่สามารถสอบสวนทรัพย์สินจากตัวผู้ค้างภาษีอากรได้ให้เจ้า พนักงานทำการไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสภาพความเป็นอยู่ของผู้ค้างภาษี อากร จากญาติหรือบุคคลในครอบครัวที่บรรลุนิติภาวะแล้วซึ่งอาศัยอยู่ภายในบ้านที่ผู้ค้าง ภาษีอากรมีชื่ออยู่ในทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร หรืออาจทำการไต่ สวนข้อเท็จจริงดังกล่าวจากกำนันผู้ใหญ่บ้าน นายจ้าง หรือบุคคลใด ๆ ที่เห็นว่าจะเป็น ประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากรค้าง นอกจากนี้เจ้าพนักงานจะออกหมายเรียกผู้ต้องรับผิดชำระภาษีอากรค้างหรือ บุคคลใดๆ ที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่การจัดเก็บภาษีอากรค้างมาให้ถ้อยคา หรือ สั่งให้นาบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานอื่นอันจำเป็นแก่การจัดเก็บภาษีอากรค้างมาเพื่อ ทำการตรวจสอบ และต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๗ วัน นับแต่วันได้รับหมายเรียกหรือ คำสั่ง หรือออกคำสั่งเป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานสรรพากรทำการตรวจค้น หรือยึดบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นของบุคคลใด ๆ ที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่การ จัดเก็บภาษีอากรแล้วแต่กรณีทั้งนี้การออกหมายเรียกหรือคำสั่งให้ทำการตรวจค้นให้ ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการออกคำสั่งทำการตรวจค้นและการออกหมายเรียกตามมาตรา ๑๒ ตรีแห่งประมวลรัษฎากร๒๕เมื่อทำการสืบหาทรัพย์สินแล้วปรากฏว่า ผู้ค้างภาษีอากรมี กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือมีสิทธิเรียกร้องต่อบุคคลใด ๆ ให้เจ้าพนักงานตรวจสอบว่า ทรัพย์สินหรือ สิทธิเรียกร้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ค้างภาษีอากรจริงหรือไม่ โดยให้ตรวจสอบ ข้อมูลจากหน่วยตรวจสอบก่อน เช่นเลขประจา ตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หลักฐาน การขอมีเลขประจา ตัวผู้เสียภาษีอากรหลักฐานการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดิน หรือหลักฐานเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะตัวอื่น ๆ และให้เจ้าพนักงานทำรายงานเสนอผู้มีอำนาจ ตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องของ ผู้ค้างภาษีอากร ภายในกำหนดเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันที่สอบสวนทรัพย์สินเสร็จ สำหรับ วิธีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรให้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการยึดหรือ ๒๕ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๕


๙๘ อายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากรแล้วแต่กรณี๒๖ และให้ ดำเนินการขออนุมัติขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ได้รับอนุมัติให้ทำการยึดหรืออายัดนั้นภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ทำการยึดหรืออายัดเสร็จสิ้นลง โดยให้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการ ขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร๒๗ ซึ่งจะได้กล่าวในหัวข้อต่อไป ๕.๕ การบังคับชำระหนี้ภาษีอากรค้าง เมื่อได้ทำการสืบหาทรัพย์สินปรากฏว่าพบผู้ค้างภาษีอากรมีกรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินหรือมีสิทธิเรียกร้องอื่นใด ให้เจ้าพนักงานดำเนินการบังคับชำระหนี้ภาษีอากรค้าง กับทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์หรือสิทธิเรียกร้องของผู้ค้างภาษีอากร เพื่อนาเงินมาชำระค่า ภาษีอากรค้าง โดยทำรายงานเสนอผู้มีอำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากรเพื่อสั่ง ยึดหรืออายัดและขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ทั้งนี้กระบวนการในการ บังคับชำระหนี้ภาษีอากรค้างให้เจ้าพนักงานปฏิบัติตามระเบียบที่กรมสรรพากรกำหนด ดังต่อไปนี้ ๕.๕.๑ การอายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร การอายัดทรัพย์สิน คือ การสั่งห้ามมิให้ผู้ค้างภาษีอากรและหรือบุคคลภายนอก จำหน่าย จ่าย โอน หรือกระทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ได้สั่ง อายัดไว้รวมทั้งสั่งห้ามมิให้บุคคลภายนอกนำส่งทรัพย์สินหรือชำระหนี้แก่ผู้ค้างภาษีอากร นอกจากให้ส่งมอบหรือชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานเพื่อเป็นค่าภาษีอากร ณ ที่ซึ่งผู้มีอำนาจ ออกคำสั่งอายัดกำหนด สำหรับวิธีการอายัดทรัพย์สิน ประมวลรัษฎากรกำหนดให้ปฏิบัติตามระเบียบที่ อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีดังนั้น เพื่อให้การอายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร เป็นไปด้วยความเหมาะสมและเป็นแนวทางเดียวกัน กรมสรรพากรจึงได้อาศัยอำนาจตาม ความในมาตรา ๑๒ วรรคสี่แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไข ๒๖ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๗ ๒๗ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการเร่งรัดจัดเก็บภาษีอากรค้าง พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๘


๙๙ เพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่๑๑) พ.ศ. ๒๕๒๕ อธิบดีกรมสรรพากรโดยอนุมัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กำหนดระเบียบปฏิบัติไว้ดังต่อไปนี้ ๑. ผู้มีอำนาจออกคำสั่งอายัดทรัพย์สิน สำหรับผู้มีอำนาจออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้ (๑) อธิบดีกรมสรรพากร มีอำนาจออกคาสั่งอายัดทรัพย์สินสำหรับท้องที่ ทั่วราชอาณาจักร (๒) รองอธิบดีกรมสรรพากร ในกรณีที่อธิบดีมอบหมายและมีอำนาจออกคำสั่ง อายัดทรัพย์สินสำหรับท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (๓) สรรพากรภาค ในกรณีที่อธิบดีมอบหมายและมีอำนาจออกคำสั่งอายัด ทรัพย์สินสำหรับในเขตท้องที่ของสำนักงานสรรพากรภาคนั้น๒๘ ๒. ทรัพย์สินแห่งการอายัด ทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับชำระหนี้ภาษีอากรโดยวิธีการอายัดนั้น อาจพิจารณา ออกได้เป็น ๒ กรณีกล่าวคือ ทรัพย์สินที่อายัดได้และทรัพย์สินที่อายัดไม่ได้ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ทรัพย์สินที่อยู่ในบังคับแห่งการอายัด สำหรับทรัพย์สินที่กรมสรรพากรสามารถทำการอายัดเพื่อนา มาชำระหนี้ภาษี อากรได้ต้องเป็นทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๘๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง ได้แก่ (๑) สังหาริมทรัพย์อันมีรูปร่าง (๒) อสังหาริมทรัพย์ (๓) สิทธิทั้งปวงอันมีอยู่ในทรัพย์สิน (๔) เงิน ๒๘ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๗


๑๐๐ นอกจากนี้ทรัพย์สินที่มีสภาพหรือลักษณะที่ยึดได้ตามระเบียบกรมสรรพากร ว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากรก็สามารถ ทำการอายัดได้เช่นเดียวกัน๒๙ ๒.๒ ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในบังคับแห่งการอายัด สำหรับทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในบังคับแห่งการอายัด ได้แก่ ทรัพย์สินหรือสิทธิ เรียกร้องอันจำเป็นเพื่อการดา รงชีพหรือการประกอบวิชาชีพอันเป็นการเฉพาะตัวของผู้ ค้างภาษีอากร กรมสรรพากรไม่อาจทำการอายัดเพื่อนา มาชำระหนี้ภาษีอากรได้กล่าวคือ (๑) ทรัพย์สินที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ (ก) เครื่องนุ่งห่มหลับนอนหรือเครื่องใช้ในครัวเรือน โดยประมาณรวมกัน ราคาไม่เกินห้าพันบาท ในกรณีที่อธิบดีเห็นสมควรจะกำหนดทรัพย์สินดังกล่าว ที่ราคาเกินห้าพัน บาท ให้เป็นทรัพย์สินที่ไม่ต้องอยู่ในบังคับแห่งการอายัดก็ได้ทั้งนี้โดยคำนึงถึงความจำเป็น ตามฐานะของผู้ค้างภาษีอากร (ข) เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการเลี้ยงชีพหรือประกอบวิชาชีพ โดยประมาณรวมกันราคาไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท แต่ถ้าผู้ค้างภาษีอากรมีคำขอโดยทำเป็น คำร้องต่ออธิบดีขออนุญาตยึดหน่วงและใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้อันจำเป็นเพื่อดำเนินการ เลี้ยงชีพหรือประกอบวิชาชีพอันมีราคาเกินกว่าจำนวนราคาดังกล่าวแล้ว ให้อธิบดีมีอำนาจ ที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตหรือไม่อนุญาตภายในบังคับแห่งเงื่อนไขตามที่เห็นสมควร (ค) วัตถุ เครื่องใช้และอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ทำหน้าที่แทน หรือช่วย อวัยวะของผู้ค้างภาษีอากร (ง) ทรัพย์สินอย่างใดที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย หรือตามกฎหมายย่อมไม่ อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ๒๙ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๕


๑๐๑ (จ) ทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรที่ยึดหรืออายัดได้แต่นำออกขาย ทอดตลาดไม่ได้ได้แก่ ทรัพย์สินอันมีลักษณะเป็นของส่วนตัวโดยแท้เช่น หนังสือสำหรับ วงศ์ตระกูล โดยเฉพาะจดหมายหรือสมุดบัญชีต่าง ๆ นั้น เป็นต้น (๒) สิทธิเรียกร้องเป็นเงินของผู้ค้างภาษีอากร ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่ง กฎหมายอื่นได้แก่ (ก) เบี้ยเลี้ยงชีพซึ่งกฎหมายกำหนดไว้และเงินรายได้เป็นคราว ๆ อัน บุคคลภายนอกได้ยกให้เพื่อเลี้ยงชีพเป็นจำนวนตามที่อธิบดีเห็นสมควร ไม่น้อยกว่าอัตรา เงินเดือนขั้นต่ำ สุดของข้าราชการพลเรือนในขณะนั้น ทั้งนี้โดยคำนึงถึงฐานะในทาง ครอบครัวของผู้ค้างภาษีอากรและจำนวนบุพการีและผู้สืบสันดานซึ่งอยู่ในความอุปการะ ของผู้ค้างภาษีอากรด้วย (ข) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จ และเบี้ยหวัดของข้าราชการหรือ ลูกจ้างของรัฐบาล และเงินสงเคราะห์หรือบำนาญที่รัฐได้จ่ายให้แก่คู่สมรสหรือญาติที่ยังมี ชีวิตของบุคคลเหล่านั้น (ค) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ ค่าชดใช้เงินสงเคราะห์หรือเงินรายได้อื่นใน ลักษณะเดียวกันของพนักงาน ลูกจ้าง หรือคนงาน นอกจากที่กล่าวไว้ใน (ข) ที่นายจ้างจ่าย ให้แก่บุคคลเหล่านั้น หรือคู่สมรส หรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้นเป็นจำนวนตามที่ อธิบดีเห็นสมควรไม่น้อยกว่าอัตราเงินเดือนขั้นต่ำ สุดของข้าราชการพลเรือนในขณะนั้น ทั้งนี้โดยคำนึงถึงฐานะในทางครอบครัวของผู้ค้างภาษีอากรและจำนวนบุพการีและ ผู้สืบสันดานซึ่งอยู่ในความอุปการะของผู้ค้างภาษีอากรด้วย (ง) เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ผู้ค้างภาษีอากรได้รับอันเนื่องมาจากความตาย ของบุคคลอื่น เป็นจำนวนตามที่จำเป็นในการดำเนินการฌาปนกิจศพตามฐานะของผู้ตายที่ อธิบดีเห็นสมควร (๓) ทรัพย์สินของกสิกรตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึด ทรัพย์สินของกสิกร พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้แก่ (ก) พืชผลที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว (ข) พืชพันธุ์ที่ใช้ในปีต่อไปตามประมาณอันสมควร โดยเทียบเคียงกับเนื้อที่ ที่กสิกรได้ทา ในปีที่ล่วงมาแล้ว


๑๐๒ (ค) พืชผลที่เก็บไว้สำหรับเลี้ยงตัวและครอบครัวตามฐานานุรูปสำหรับปีหนึ่ง (ง) สัตว์และเครื่องมือประกอบอาชีพที่มีไว้พอควรแก่การดำเนินอาชีพ ต่อไป (๔) ทรัพย์สินที่โอนกันไม่ได้หรือไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตาม กฎหมายอื่น เช่น (ก) สิทธิที่จะได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูตามมาตรา ๑๕๙๘/๔๑ แห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ข) ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์ตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ (ค) ทรัพย์สินตามกฎหมายอื่น เช่น ทรัพย์สินตามกฎหมายว่าด้วยการรถไฟ เป็นต้น๓๐ ๓. วิธีการอายัดทรัพย์สิน เมื่อได้ดาเนินการสืบหาทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ภายในกำหนดเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันที่สอบสวนทรัพย์สินเสร็จ หากพบทรัพย์สินที่อาจทำการอายัดได้ให้เจ้า พนักงานทำรายงานเสนอผู้มีอำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อสั่งอายัด ทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อนา มาชำระหนี้ภาษีอากร โดยให้ ปฏิบัติดังต่อไปนี้๓๑ (๑) ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ แล้วแต่ กรณีรายงานขออนุญาตอายัดทรัพย์สินพร้อมทั้งส่งรายงานแสดงการเร่งรัดภาษีอากรค้าง ตามแบบ ภ.ส.๑๖ หลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับการเร่งรัด และคำสั่งอายัดตามมาตรา ๑๒ แห่ง ประมวลรัษฎากร (แบบ ภ.ส.๑๗/๑)ไปยังผู้มีอำนาจออกคำสั่งอายัดทรัพย์สิน เมื่อได้ลง นามในคำสั่งอายัดทรัพย์สินแล้ว ให้ส่งเรื่องคืนให้แก่หน่วยงานที่ขออนุมัติอายัดทรัพย์สิน เพื่อดำเนินการส่งคำสั่งอายัดให้แก่ผู้ค้างภาษีอากรและบุคคลซึ่งต้องรับผิดเพื่อชำระเงินหรือ ส่งมอบสิ่งของนั้น ๓๐ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๘ ๓๑ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๑๐


๑๐๓ (๒) การพิจารณาสั่งอายัดทรัพย์สิน ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องขอให้ชำระเงินหรือให้ ส่งมอบสิ่งของ นอกจากพันธบัตร หลักทรัพย์ที่เป็นประกัน และตราสารที่เปลี่ยนมือได้ให้ผู้ มีอำนาจออกคำสั่งอายัดทรัพย์สินสั่งอายัดได้ไม่ว่าหนี้ค่าภาษีอากรจะมีข้อโต้แย้งหรือข้อ จำกัด หรือมีเงื่อนไขใด ๆหรือกำหนดจำนวนแน่นอนหรือไม่ก็ตาม โดยคำสั่งอายัดนั้นต้อง ระบุข้อห้ามดังนี้ (ก) ห้ามผู้ค้างภาษีอากรจำหน่ายสิทธิเรียกร้องตั้งแต่เวลาที่ได้ส่งคำสั่งอายัด ทรัพย์สินนั้น (ข) ห้ามบุคคลภายนอกชำระเงินหรือส่งมอบสิ่งของให้แก่ผู้ค้างภาษีอากร แต่ให้ ชำระหรือส่งมอบให้แก่เจ้าพนักงาน ณ เวลา หรือภายในกำหนดเวลาตามที่กำหนดไว้ใน คำสั่งอายัดทรัพย์สิน (๓) ให้อายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรได้ไม่เกินหนี้ภาษีอากร โดยให้ คำนวณค่าภาษีอากร เบี้ยปรับ เงินเพิ่มจนถึงวันชำระ รวมถึงภาษีตามกฎหมายว่าด้วย รายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เว้นแต่ทรัพย์สินที่อายัดนั้นไม่อาจแบ่งแยกได้๓๒ (๔) เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินอย่างใดของผู้ค้าง ภาษีอากรไว้แทนเจ้าหนี้ตามคา พิพากษาแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานอายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำ อีกแต่ให้ยื่น คำขอโดยคำเป็นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน นั้นตามแบบที่ศาลกำหนด เพื่อขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สิน นั้น๓๕ ตามมาตรา ๒๙๐ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ๔. วิธีการส่งคำสั่งอายัดทรัพย์ การส่งคำสั่งอายัดทรัพย์สินให้แก่ผู้รับคำสั่งอายัดและผู้ค้างภาษีอากรนั้น ตาม ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้กำหนดวิธีการส่งไว้อันมีลักษณะคล้ายกับการส่งหมายเรียก ๓๒ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๖ กำหนดว่า คา สั่งแจ้งการอายัดทรัพย์สิน ให้ใช้ตามแบบ ภ.ส.๑๗/๑ ที่ อธิบดีกำหนด


๑๐๔ หนังสือแจ้งให้เสียภาษีอากร หรือหนังสืออื่นใด ตามนัยมาตรา ๘ แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้เจ้าพนักงานปฏิบัติดังต่อไปนี้ (๑) ให้ส่ง ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของผู้รับ ในระหว่างเวลา พระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกในวันทำการปกติการส่งคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่อื่น นอกจากสถานที่ดังกล่าว ให้ใช้ได้ต่อเมื่อ (ก) ผู้ค้างภาษีอากรหรือผู้รับยอมรับคำสั่งอายัดนั้นไว้หรือ (ข) การส่งคำสั่งอายัดนั้น ได้กระทำ ในสำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือ สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่แล้วแต่กรณี (๒) ถ้าไม่พบผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลที่ระบุไว้ในคำสั่งอายัด ณ ภูมิลำเนา หรือสำนักทำการงานของบุคคลนั้น ๆ ให้ส่งแก่บุคคลใด ๆ ที่มีอายุเกินยี่สิบปีซึ่งอยู่หรือ ทำงาน ในบ้านเรือน หรือสำนักทำการงานที่ปรากฏว่าเป็นของผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลที่ ระบุไว้ในคำสั่งเมื่อบุคคลนั้นเต็มใจรับไว้แทน (๓) ถ้าผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลที่ระบุไว้ในคำสั่งอายัดปฏิเสธไม่ยอมรับไว้ โดยปราศจากเหตุผลอันชอบด้วยกฎหมาย ให้เจ้าพนักงานผู้ส่งคำสั่งอายัดขอให้พนักงาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่มีอำนาจ หรือเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วยเพื่อเป็นพยาน ถ้าผู้นั้นยัง ปฏิเสธไม่ยอมรับ ก็ให้วางคำสั่งอายัดไว้ณ ที่นั้น ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ดังกล่าว (๔) ในกรณีที่ผู้มีอำนาจออกคำสั่งอายัดสั่งให้ส่งโดยวิธีใด ๆ แล้วก็ให้ปฏิบัติตาม คำสั่งนั้น เช่น ให้จัดการส่งถึงผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลที่ระบุไว้ในคาสั่งอายัดโดยทาง ไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ หรือโดยวิธีปิด ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานที่ระบุไว้ใน คำสั่งอายัดนั้นในที่เปิดเผยให้เห็นได้โดยง่าย หรือโดยวิธีอื่นใด แล้วแต่กรณี๓๓ ๕. การคัดค้านการอายัดทรัพย์สิน เมื่อกรมสรรพากรได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินแล้ว ถ้าบุคคลภายนอก ซึ่งได้รับ คำสั่งอายัดปฏิเสธหรือโต้แย้งหนี้ที่เรียกร้องเอาแก่ตน ให้เจ้าพนักงานร้องขอให้ผู้มีอำนาจ ตามมาตรา ๑๒ ออกหมายเรียกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๒ ตรีแห่งประมวลรัษฎากร ๓๓ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๑๑


๑๐๕ เพื่อให้บุคคลดังกล่าวมาให้ถ้อยคา หรือเพื่อทำการไต่สวน ในกรณีที่มีความจำเป็นต้อง ตรวจสอบบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานอื่นอันจำเป็นแก่การจัดเก็บภาษีอากรค้าง ให้ออก หมายเรียกหรือออกคำสั่งให้เจ้าพนักงานออกทำการตรวจค้นก็ได้ หากปรากฏแก่เจ้าพนักงานว่าหนี้ที่เรียกร้องนั้นมีอยู่จริง ให้ออกคำสั่งเตือนให้ บุคคลดังกล่าวปฏิบัติตามคำสั่งอายัดอีกครั้งหนึ่ง ถ้ายังคงดื้อดึงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอายัด ให้เจ้าพนักงานรายงานผู้มีอำนาจออกคำสั่ง เพื่อพิจารณาดำเนินคดีอาญาตามมาตรา ๓๕ ทวิแห่งประมวลรัษฎากรและในขณะเดียวกันให้ดำเนินคดีแพ่งฟ้องร้องให้บุคคลนั้นรับผิด เสมือนหนึ่งว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ค้างภาษีอากร ตลอดจนค่าแห่งความเสียหายใด ๆ ที่ เกิดขึ้นเพราะการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอายัดทรัพย์สินนั้นพร้อมกันไปด้วย๓๔ ๖. การถอนการอายัดทรัพย์สิน เมื่อกรมสรรพากรได้รับชำระหนี้ภาษีอากรค้างครบถ้วนแล้ว ไม่ว่าจากการ อายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรหรือด้วยเหตุอื่นใด ให้เจ้าพนักงานทำรายงานเสนอผู้มี อำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อออกคำสั่งถอนการอายัดตามแบบ ภ.ส. ๒๑/๑ ที่อธิบดีกำหนดและหากมีทรัพย์สินอยู่กับเจ้าพนักงานก็ให้คืนแก่ผู้ถูกอายัดไป๓๕ ๕.๕.๒ การยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร การยึดทรัพย์สิน คือ การกระทำการใด ๆ ต่อทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร เพื่อให้ทรัพย์สินนั้นได้เข้ามาอยู่ในความควบคุมดูแลหรือครอบครองของเจ้าพนักงานหรือผู้ ที่ได้รับมอบหมาย สำหรับวิธีการยึดทรัพย์สิน ประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๒ วรรคสี่ กำหนดให้ ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม เช่นเดียวกับการบังคับคดี ตามคาพิพากษาหรือคำสั่ง ดังนั้น เพื่อให้การยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรเป็นไปด้วย ความเหมาะสมและเป็นแนวทางเดียวกัน กรมสรรพากรจึงได้กำหนดระเบียบปฏิบัติไว้ ดังต่อไปนี้ ๓๔ ๓๗ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่ง ประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๑๒ ๓๕ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการอายัดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๖ ข้อ ๑๗


๑๐๖ ๑. ผู้มีอำนาจออกคำสั่งและประกาศยึดทรัพย์สิน สำหรับผู้มีอำนาจออกคำสั่งและประกาศยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรตาม มาตรา ๑๒แห่งประมวลรัษฎากร ได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้ (๑) อธิบดีกรมสรรพากร มีอำนาจออกคำสั่งและประกาศยึดทรัพย์สิน สำหรับท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (๒) รองอธิบดีกรมสรรพากร ในกรณีที่อธิบดีมอบหมายและมีอำนาจออก คำสั่งและประกาศยึดทรัพย์สินสำหรับท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (๓) สรรพากรภาค ในกรณีที่อธิบดีมอบหมายและมีอำนาจออกคำสั่งและ ประกาศยึดทรัพย์สินสำหรับในเขตท้องที่ของสำนักงานสรรพากรภาคนั้น๓๖ ๒. ทรัพย์สินแห่งการยึด ทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับชำระหนี้ภาษีอากรโดยวิธีการยึดนั้น อาจพิจารณาออก ได้เป็น ๒ กรณีกล่าวคือ ทรัพย์สินที่ยึดได้และทรัพย์สินที่ยึดไม่ได้ดังต่อไปนี้ ๒.๑ ทรัพย์สินที่อยู่ในบังคับแห่งการยึด สำหรับทรัพย์สินที่กรมสรรพากรสามารถทำการยึดเพื่อขายทอดตลาด นำเงิน มาชำระหนี้ภาษีอากร ได้แก่ ทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น กล่าวคือ (๑) ทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ได้แก่ (ก) ทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์หรือกรรมสิทธิ์ร่วมของผู้ค้างภาษีอากร (ข) ทรัพย์สินที่ผู้ค้างภาษีอากรเอาไปจำนำ จำนอง หรือประกัน หนี้ไว้ (ค) ทรัพย์สินที่ผู้ค้างภาษีอากรได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาก็ตาม (ง) ที่ดินมือเปล่าซึ่งผู้ค้างภาษีอากรมีสิทธิครอบครอง ๓๖ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๕


๑๐๗ (จ) ที่ดินมีโฉนดแม้ผู้ค้างภาษีอากรจะโอนการครอบครองให้แก่กันแล้ว แต่ ยังไม่ได้โอนให้ถูกต้องตามกฎหมาย (ฉ) กรณีมีการโอนโดยการฉ้อฉล เมื่อได้ฟ้องคดีและศาลมีคา พิพากษาหรือ คำสั่งให้เพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลนั้นแล้ว (๒) ทรัพย์สินของบุคคลอื่น คือ ทรัพย์สินที่คู่สมรสหรือบุตรผู้เยาว์ที่ชอบด้วย กฎหมายของผู้ค้างภาษีอากรถือกรรมสิทธิ์ (ก) ทรัพย์สินของคู่สมรส ได้แก่ สินสมรสและสินส่วนตัว ในกรณีหนี้ภาษี อากรค้างนั้นเป็นหนี้ร่วม เช่น หนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่สามีและภริยาตกลงยื่นรายการ และเสียภาษีรวมกัน โดยให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของตนเป็นเงินได้ของสามีหรือภริยาอีก ฝ่ายหนึ่ง และเมื่อมีภาษีค้างชำระให้สามีและภริยาต้องร่วมรับผิดในการเสียภาษีที่ค้าง ชำระนั้น ตามมาตรา ๕๗ ฉ แห่งประมวลรัษฎากร แต่ถ้าหนี้ภาษีอากรค้างนั้นเป็นหนี้ส่วนตัวของผู้ค้างภาษีอากร เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรืออากรแสตมป์เจ้าพนักงานจะทำ การยึดสินส่วนตัวของคู่สมรสไม่ได้คงยึดได้แต่เฉพาะสินสมรสในส่วนของผู้ค้างภาษีอากร เท่านั้น (ข) ทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์ซึ่งตามกฎหมายอาจถือได้ว่าเป็นของ ผู้ค้าง ภาษีอากร เช่น กรณีมีพฤติกรรมหรือการกระทำ ใด ๆ อันแสดงให้ปรากฏว่า ผู้ค้างภาษี อากรได้เอาทรัพย์สินใส่ชื่อบุตรผู้เยาว์เป็นเจ้าของ โดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงจากการถูกยึด ทรัพย์สินดังกล่าว อันเป็นการทานิติกรรมอา พราง ย่อมถือว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นยัง เป็นของผู้ค้างภาษีอากรอยู่ (ค) ทรัพย์สินอันอาจบังคับเอาชำระหนี้ได้เช่น เครื่องประดับอันมีค่าที่ผู้ค้าง ภาษีอากรซื้อให้แก่บุตรผู้เยาว์ของตน เป็นต้น๓๗ ๒.๒ ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในบังคับแห่งการยึด ๓๗ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๗


๑๐๘ สำหรับทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในบังคับแห่งการยึด ได้แก่ ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้อง อันจาเป็นเพื่อการดารงชีพหรือการประกอบวิชาชีพอันเป็นการเฉพาะตัวของผู้ค้างภาษี อากรกรมสรรพากรไม่อาจทำการยึดเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ภาษีอากรได้ กล่าวคือ (๑) ทรัพย์สินที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ (ก) เครื่องนุ่งห่มหลับนอน หรือเครื่องใช้ในครัวเรือน โดยประมาณรวมกัน ราคาไม่เกินห้าพันบาท ในกรณีที่อธิบดีเห็นสมควรจะกำหนดทรัพย์สินดังกล่าวที่ราคาเกินห้าพัน บาท ให้เป็นทรัพย์สินที่ไม่ต้องอยู่ในบังคับแห่งการยึดก็ได้ทั้งนี้โดยคำนึงถึงความจำเป็น ตามฐานะของผู้ค้างภาษีอากร (ข) เครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการเลี้ยงชีพหรือประกอบวิชาชีพ โดยประมาณรวมกันราคาไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท แต่ถ้าผู้ค้างภาษีอากรมีคำขอโดยทำเป็นคำ ร้องต่ออธิบดีขออนุญาตยึดหน่วงและใช้เครื่องมือหรือเครื่องใช้อันจำเป็นเพื่อดำเนินการ เลี้ยงชีพหรือประกอบวิชาชีพอันมีราคาเกินกว่าจำนวนราคาดังกล่าวแล้ว ให้อธิบดีมีอำนาจ ที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตหรือไม่อนุญาตภายในบังคับแห่งเงื่อนไขตามที่เห็นสมควร (ค) วัตถุ เครื่องใช้และอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ทำหน้าที่แทน หรือช่วย อวัยวะของผู้ค้างภาษีอากร (ง) ทรัพย์สินอย่างใดที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย หรือตามกฎหมายย่อมไม่ อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี (จ) ทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรที่ยึดหรืออายัดได้แต่นาออกขาย ทอดตลาดไม่ได้ได้แก่ ทรัพย์สินอันมีลักษณะเป็นของส่วนตัวโดยแท้เช่น หนังสือสำหรับ วงศ์ตระกูล โดยเฉพาะจดหมายหรือสมุดบัญชีต่าง ๆ นั้น อาจยึดมาตรวจดูเพื่อประโยชน์ได้ ถ้าจำเป็น แต่ห้ามนา ออกขายทอดตลาด เป็นต้น (๒) สิทธิเรียกร้องเป็นเงินของผู้ค้างภาษีอากร ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่ง กฎหมายอื่น ได้แก่ (ก) เบี้ยเลี้ยงชีพซึ่งกฎหมายกำหนดไว้และเงินรายได้เป็นคราว ๆ อัน บุคคลภายนอกได้ยกให้เพื่อเลี้ยงชีพเป็นจำนวนตามที่อธิบดีเห็นสมควร ไม่น้อยกว่าอัตรา


๑๐๙ เงินเดือนขั้นต่ำ สุดของข้าราชการพลเรือนในขณะนั้น ทั้งนี้โดยคำนึงถึงฐานะในทาง ครอบครัวของผู้ค้างภาษีอากรและจำนวนบุพการีและผู้สืบสันดานซึ่งอยู่ในความอุปการะ ของผู้ค้างภาษีอากรด้วย (ข) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ บำเหน็จ และเบี้ยหวัดของข้าราชการหรือ ลูกจ้างของรัฐบาล และเงินสงเคราะห์หรือบำนาญที่รัฐได้จ่ายให้แก่ผู้ค้างภาษีอากรในฐานะ เป็นคู่สมรสหรือญาติที่ยังมีชีวิตของบุคคลเหล่านั้น (ค) เงินเดือน ค่าจ้าง บำนาญ ค่าชดใช้เงินสงเคราะห์หรือรายได้อื่นใน ลักษณะเดียวกันของพนักงาน ลูกจ้าง หรือคนงาน นอกจากที่กล่าวไว้ใน (ข) ที่นายจ้างจ่าย ให้แก่ผู้ค้างภาษีอากรในฐานะที่ตนเป็นบุคคลเหล่านั้น หรือคู่สมรส หรือญาติที่ยังมีชีวิตของ บุคคลเหล่านั้นเป็นจำนวนตามที่อธิบดีเห็นสมควร ไม่น้อยกว่าอัตราเงินเดือนขั้นต่ำ สุดของ ข้าราชการพลเรือนในขณะนั้น ทั้งนี้โดยคำนึงถึงฐานะในทางครอบครัวของผู้ค้างภาษีอากร และจำนวนบุพการีและผู้สืบสันดานซึ่งอยู่ในความอุปการะของผู้ค้างภาษีอากรด้วย (ง) เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ผู้ค้างภาษีอากรได้รับอันเนื่องมาแต่ความตาย ของบุคคลอื่น เป็นจำนวนตามที่จำเป็นในการดำเนินการฌาปนกิจศพตามฐานะของผู้ตายที่ อธิบดีเห็นสมควร (๓) ทรัพย์สินของกสิกร ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกร พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้แก่ (ก) พืชผลที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว (ข) พืชพันธุ์ที่ใช้ในปีต่อไปตามประมาณอันสมควร โดยเทียบเคียงกับเนื้อที่ ที่กสิกรได้ทา ในปีที่ล่วงมาแล้ว (ค) พืชผลที่เก็บไว้สำหรับเลี้ยงตัวและครอบครัวตามฐานานุรูปสำหรับปีหนึ่ง (ง) สัตว์และเครื่องมือประกอบอาชีพที่มีไว้พอควรแก่การดำเนินอาชีพ ต่อไป๓๘ ๓. วิธีการยึดทรัพย์สิน ๓๘ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๘


๑๑๐ เมื่อได้ดาเนินการสืบหาทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรตามที่กล่าวมาแล้ว ใน หัวข้อที่ ๓.๑.๓ ภายในกำหนดเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันที่สอบสวนทรัพย์สินเสร็จ หาก พบทรัพย์สินที่อาจทำการยึดได้ให้เจ้าพนักงานทำรายงานเสนอผู้มีอำนาจตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อสั่งยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง โดย ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้๓๙ (๑) ให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ แล้วแต่กรณีรายงานขออนุมัติยึดทรัพย์สินพร้อมทั้งส่งรายงานแสดงการเร่งรัดภาษีอากร ค้าง (แบบ ภ.ส.๑๖) หลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับการเร่งรัดภาษีอากรค้าง คำสั่งยึดทรัพย์สิน (แบบ ภ.ส.๑๗) และประกาศยึดทรัพย์สิน (แบบ ภ.ส.๑๘) ตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร๔๐ไปยังผู้มีอำนาจออกคำสั่งยึดทรัพย์สิน เมื่อได้ลงนามในคำสั่งยึดทรัพย์สินและ ประกาศยึดทรัพย์สินแล้ว ให้ส่งเรื่องคืนให้แก่หน่วยงานที่ขออนุมัติยึดทรัพย์สินเพื่อ ดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ผู้มีอำนาจออกคำสั่งยึดทรัพย์สินจะเป็นผู้กำหนดตัวเจ้าพนักงานผู้ไป ยึดทรัพย์สิน (๒) ก่อนออกไปทำการยึดทรัพย์สิน ให้เจ้าพนักงานผู้ไปทำการยึดตรวจสอบ และทาความเข้าใจให้แน่ชัดว่าจะต้องยึดทรัพย์สินอะไรบ้าง ของใคร และจำนวนราคา ทรัพย์สิน ที่จะยึดได้ตามกฎหมายมีประมาณเท่าใด โดยให้ไปทำการยึดทรัพย์สินตามวัน - เวลาที่ได้นัดหมาย พร้อมกับให้นา คำสั่งยึดทรัพย์สินและเครื่องมือสำหรับการยึดทรัพย์สิน ติดตัวไปด้วย เช่น ครั่ง และตราตีครั่ง เป็นต้น (๓) ให้เจ้าพนักงานกระทำการยึดทรัพย์สินในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและ พระอาทิตย์ตกในวันทำการปกติเว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินโดยได้รับอนุญาตจากผู้มี ๓๙ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๐ ๔๐ ๔๓ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่ง ประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๖ กำหนดว่า คา สั่งและประกาศยึดทรัพย์สินให้ใช้ตามแบบ ภ.ส.๑๗ และ ภ.ส.๑๘ ที่อธิบดีกำหนด


๑๑๑ อำนาจออกคำสั่งยึดทรัพย์สินก็ให้กระทำ ได้แต่ทั้งนี้ก่อนที่จะกระทำการยึดทรัพย์สิน ให้ เจ้าพนักงานแสดงคำสั่งยึดทรัพย์สินต่อผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลที่ระบุไว้ในคำสั่งยึด ทรัพย์สินนั้น ถ้าไม่ปรากฏตัวบุคคลดังกล่าวให้แสดงต่อบุคคลที่อยู่ในสถานที่นั้น ถ้ามีผู้ ขัดขวาง ให้เจ้าพนักงานชี้แจงว่ากล่าวแต่โดยดีก่อน ถ้าผู้นั้นยังคงขัดขวางอยู่อีก ให้เจ้า พนักงานขอความช่วยเหลือจากเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อดำเนินการยึดทรัพย์สินจนได้ (๔) ในการยึดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากร ให้แต่เพียงประมาณราคาที่ควร จะขายทอดตลาดได้พอชำระหนี้ตามคำสั่งยึดทรัพย์สิน พร้อมทั้งค่าภาษีอากรตามประมวล รัษฎากรค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการยึดทรัพย์สินและขายทอดตลาดกับเงินภาษีอากร ค้างเท่านั้น แต่ถ้าผู้ค้างภาษีอากรมีทรัพย์สินซึ่งมีราคามากกว่าจำนวนเงินภาษีอากรค้าง และไม่อาจแบ่งยึด โดยมิให้ทรัพย์สินนั้นเสื่อมราคา ทั้งทรัพย์สินอื่นที่จะยึดให้พอคุ้มจำนวน ภาษีอากรค้างไม่ปรากฏด้วยแล้วให้ยึดทรัพย์สินที่ว่านั้นออกขายทอดตลาด สำหรับการประมาณราคาทรัพย์สินที่จะทำการยึดให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ (ก) ทรัพย์สินประเภทที่ดิน - ราคาซื้อขายกันในท้องตลาด โดยคำนึงถึงสภาพแห่งที่นั้นว่าเป็นที่อะไร หรือมี ประโยชน์รายได้มากน้อยเพียงใด - ราคาที่ดินตำบลนั้น หรือตำบลใกล้เคียงซึ่งเจ้าพนักงานเคยขายทอดตลาดไป แล้ว - ราคาซื้อขาย หรือจำนอง หรือขายฝากครั้งสุดท้ายของที่ดินที่ยึดและที่ดิน ข้างเคียง - ราคาประเมินที่ใช้เป็นทุนทรัพย์ในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตามประมวล กฎหมายที่ดิน (ข) ทรัพย์สินประเภทอื่นนอกจากที่ดิน - ราคาซื้อขายในท้องตลาดตามสภาพความเก่าใหม่ของทรัพย์สิน - กรณีทรัพย์สินที่มีการจำนำ หรือจำนอง ให้ประมาณราคาตามราคาประเมินที่ ใช้เป็นทุนทรัพย์หรือราคาซื้อขายในท้องตลาด แล้วแต่กรณีโดยให้หมายเหตุไว้ด้วยว่า


๑๑๒ จำนำ หรือจำนองเมื่อใด ต้นเงินเท่าใด เพื่อประกอบดุลพินิจในการขายทอดตลาดทรัพย์สิน นั้น นอกจากนี้เจ้าพนักงานมีอำนาจเท่าที่มีความจำเป็นเพื่อที่จะค้นสถานที่ใด ๆ อันเป็นของผู้ค้างภาษีอากร หรือที่ผู้ค้างภาษีอากรได้ครอบครองอยู่ เช่น บ้านที่อยู่ คลังสินค้า โรงงานและร้านค้าขาย อีกทั้งมีอำนาจที่จะยึดและตรวจสมุดบัญชีหรือ แผ่นกระดาษ และกระทำการใด ๆตามสมควร หรือเพื่อเปิดสถานที่หรือบ้านที่อยู่หรือ โรงเรือนดังกล่าวแล้ว รวมทั้งตู้นิรภัย ตู้หรือที่เก็บของอื่น ๆ แล้วรายงานให้ผู้มีอำนาจออก คำสั่งยึดทรัพย์สินทราบ (๕) เมื่อกระทำการยึดทรัพย์สินเสร็จแล้ว ให้เจ้าพนักงานปิดประกาศยึด ทรัพย์สินไว้ณ สถานที่ยึดโดยเปิดเผย และให้ทำรายงานและบัญชีทรัพย์สินที่ยึดเสนอผู้มี อำนาจออกคำสั่งยึดทรัพย์สิน แต่ก่อนทำการยึดทรัพย์สินให้เจ้าพนักงานจะแจ้งการอายัด ไปยังพนักงานผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมให้งดการทา นิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น ด้วยก็ได้ เจ้าพนักงานต้องแสดงให้เห็นประจักษ์แจ้งตามวิธีการที่เห็นสมควรว่า ได้มีการ ยึดทรัพย์สินแล้ว และให้แจ้งการยึดนั้นไปยังเจ้าพนักงานผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หรือกรมเจ้าท่า หรือหัวหน้าเขต หรือนายทะเบียนแห่งทรัพย์สิน เพื่อทราบและดาเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนให้แจ้งการยึดให้ผู้ค้างภาษีอากรทราบ หากทรัพย์สินที่ยึดมี บุคคลอื่นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ให้แจ้งการยึดให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทราบด้วย แต่ถ้าไม่ สามารถกระทำ ได้ให้ปิดประกาศแจ้งการยึดไว้ณ สถานที่ที่ยึด ที่ว่าการอำเภอ หรือ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ หรือกรมสรรพากรและที่จำหน่ายทรัพย์สิน หรือประกาศแจ้งการ ยึดทรัพย์สินทางหนังสือพิมพ์รายวันไม่น้อยกว่า ๗ วันแล้วแต่กรณี ในการยึดทรัพย์สินให้ยึดเฉพาะส่วนของผู้ค้างภาษีอากรเท่านั้น แต่ถ้าทรัพย์สิน ที่จะทำการยึดมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย และไม่ปรากฏว่าส่วนใดเป็นของผู้ค้าง ภาษีอากรให้ยึดทรัพย์สินมาทั้งหมด เพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระภาษีอากรค้าง แต่ไม่ ตัดสิทธิบุคคลภายนอกที่จะร้องขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานได้ยึดไว้ตาม ประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๗ ทั้งนี้สิทธิของบุคคลภายนอกนั้น


๑๑๓ กฎหมายจะให้ความคุ้มครองเพียงใดก็ต้องแล้วแต่ลักษณะของสิทธิของบุคคลนั้น ๆ ด้วย๔๑ กล่าวคือ ในกรณีที่ยังมิได้ตกลงแบ่งแยกการครอบครองที่ดินเป็นสัดส่วน เจ้าของกรรมสิทธิ์ รวมอาจร้องขอกันส่วนในเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดไว้แต่ถ้าได้มีการตกลง แบ่งแยกการครอบครองที่ดินเป็นสัดส่วนแล้ว เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอาจร้องขอกันส่วน ที่ดินในส่วนที่ตนครอบครองก่อนขายทอดตลาดได้๔๒ การแบ่งแยกการครอบครองทรัพย์สินนั้น หากเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ในทรัพย์สินเป็นเพียงการตกลงภายในระหว่างกันเองว่าให้มีการแบ่งสัดส่วนกันอย่างไร หาได้มีการแบ่งแยกการครอบครองอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนแล้ว แม้จะมีบันทึกข้อตกลง แบ่งสัดส่วนของเจ้าของรวมทุกคนไว้ด้วย การกระทำ ดังกล่าวถือเป็นเพียงการได้มาโดยนิติ กรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์เมื่อมิได้ทาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อม ไม่บริบูรณ์และไม่อาจใช้ยันบุคคลภายนอกที่มิได้เป็นคู่สัญญาได้ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก จึงต้องถือว่าเจ้าของรวมแต่ละคนได้ครอบครอง ทรัพย์สินนั้นทุกส่วนร่วมกัน หาใช่เป็นกรณีที่มีการแบ่งแยกการครอบครองอย่างเป็น สัดส่วนไม่ เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมจึงไม่อาจร้องขอกันส่วนที่ดินในส่วนที่ตนครอบครองก่อน ขายทอดตลาดได้คงมีสิทธิเพียงขอกันส่วนในเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินที่ยึดไว้ เท่านั้น๔๓ ๔๖ (๖) เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินอย่างใดของผู้ค้างภาษีอากรไว้แทน เจ้าหนี้ตามคา พิพากษาแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าพนักงานยึดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีก แต่ให้ยื่น คำขอ โดยทา เป็นคำร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นตามแบบที่ศาล กำหนด เพื่อขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สิน ก่อนสิ้น ๔๑ วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์, กฎหมาย วิ.แพ่งพิสดาร เล่ม ๓, (Jurisprudence Group), หน้า ๒๕๑. ๔๒คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๘๘๓/๒๕๒๘, คาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๓๙/๒๕๓๗, คำ พิพากษาศาลฎีกาที่๒๔๕๑/๒๕๔๘ และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๔๓๗/๒๕๓๘ ๔๓ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๗๕/๒๕๔๖ และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๘๓๒/๒๕๓๐


๑๑๔ ระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันที่มีการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้น หรือนับแต่วัน ยึด แล้วแต่กรณี๔๔ การที่เจ้าพนักงานตามประมวลรัษฎากรได้ยึดไว้ก่อนตามมาตรา ๑๒ แห่ง ประมวลรัษฎากร มิใช่เป็นการยึดของเจ้าหนี้ตามคา พิพากษา และไม่ทำให้ทรัพย์ที่ยึด กลายเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยึดยังเป็นของผู้ค้างภาษีอากรต่อไป จนกว่าจะได้มีการขายทอดตลาด จึงไม่ห้ามเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะทำการยึดทรัพย์สิน นั้นซ้ำ อีก ทั้งนี้เพราะตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ ที่กำหนด ห้ามมิให้ยึดซ้ำ นั้นจะต้องเป็นการยึดทรัพย์ซ้ำ กันในระหว่างเจ้าหนี้ตามคา พิพากษา ด้วยกันในทรัพย์รายเดียวกันของลูกหนี้ตามคา พิพากษาส่วนบทบัญญัติตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร เป็นแต่เพียงให้อำนาจพิเศษแก่อธิบดีกรมสรรพากรที่จะสั่งยึดหรือ อายัดทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรเพื่อขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้องฟ้องศาลเท่านั้น๔๕ ๔. วิธีการส่งคำสั่งยึดทรัพย์และประกาศยึดทรัพย์สิน การส่งคำสั่งและประกาศยึดทรัพย์สิน ตามระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วย การ ยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวลรัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้กำหนดวิธีการ ส่งไว้อันมีลักษณะคล้ายกับการส่งหมายเรียก หนังสือแจ้งให้เสียภาษีอากร หรือหนังสืออื่น ใด ตามนัยมาตรา ๘ แห่งประมวลรัษฎากร โดยให้เจ้าพนักงานปฏิบัติดังต่อไปนี้ (๑) ให้ส่ง ณ ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานของผู้ค้างภาษีอากรหรือผู้รับ ใน ระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกในวันทำการปกติการส่งคำสั่งยึดทรัพย์หรือ ประกาศยึดทรัพย์สินที่อื่น นอกจากสถานที่ดังกล่าว ให้ใช้ได้ต่อเมื่อ (ก) ผู้ค้างภาษีอากรหรือผู้รับยอมรับคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์สิน นั้นไว้หรือ (ข) การส่งคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์สินได้กระทำ ในสำนักงานสรรพากร พื้นที่ หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา หรือสำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่แล้วแต่ กรณี ๔๔ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ ๔๕ คา พิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๐๙๔/๒๕๑๐


๑๑๕ (๒) ถ้าไม่พบผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลที่ระบุไว้ในคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์ ณ ภูมิลำเนา หรือสำนักทำการงานของบุคคลนั้น ๆ ให้ส่งแก่บุคคลใด ๆ ที่มีอายุเกินยี่สิบปี ซึ่งอยู่หรือทำงานในบ้านเรือน หรือสำนักทำการงานที่ปรากฏว่าเป็นของผู้ค้างภาษีอากร หรือบุคคลที่ระบุไว้ในคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์สิน ในเมื่อบุคคลนั้นเต็มใจรับไว้แทน (๓) ถ้าผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลที่ระบุไว้ในคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์สิน ปฏิเสธไม่ยอมรับไว้โดยปราศจากเหตุผลอันชอบด้วยกฎหมาย ให้เจ้าพนักงานผู้ส่งคำสั่ง หรือประกาศยึดทรัพย์สินขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่มีอำนาจ หรือเจ้าพนักงาน ตำวจไปด้วยเพื่อเป็นพยาน ถ้าผู้นั้นยังปฏิเสธไม่ยอมรับก็ให้วางคำสั่งหรือประกาศยึด ทรัพย์สินไว้ณ ที่นั้น ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ดังกล่าว (๔) ในกรณีที่ผู้มีอำนาจออกคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์สินสั่งให้ส่งโดยวิธีใด ๆ แล้วก็ให้ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เช่น ให้จัดการส่งถึงผู้ค้างภาษีอากรหรือบุคคลที่ระบุไว้ในคำสั่ง หรือประกาศยึดทรัพย์สินโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ หรือโดยวิธีปิด ณ ภูมิลำเนา หรือสำนักทำการงานที่ระบุไว้ในคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์สินนั้นในที่เปิดเผยให้เห็นได้ โดยง่าย หรือโดยวิธีอื่นใด แล้วแต่กรณี๔๖ ๕. การคัดค้านการยึดทรัพย์สิน เมื่อกรมสรรพากรได้ทำการยึดทรัพย์สินไว้แล้วตามมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากรและก่อนที่ได้เอาทรัพย์สินที่ยึดออกขายทอดตลาดหรือจำหน่ายโดยวิธีอื่น ๆ หากมี บุคคลใดกล่าวอ้างว่าผู้ค้างภาษีอากรไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานได้ทำการยึดไว้ บุคคลนั้นอาจยื่น คำร้องคัดค้านการยึดทรัพย์สินต่อผู้มีอำนาจออกคำสั่งหรือประกาศยึด ทรัพย์สินเพื่อขอให้มีคำสั่งปล่อยทรัพย์สินที่ยึดนั้น เมื่อเจ้าพนักงานได้รับคำร้องขอดังกล่าว ก็ให้งดการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินไว้ในระหว่างรอคา วินิจฉัยชี้ขาดต่อไป๔๗ เว้นแต่ ๔๖ ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๑ ๔๗ การคัดค้านการยึดทรัพย์สินมีลักษณะเช่นเดียวกับการร้องขัดทรัพย์ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘


๑๑๖ (๑) หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคำร้องนั้นไม่มีมูล และเป็นคำร้องที่ ยื่น เข้ามาเพื่อประวิงให้ชักช้า ผู้มีอำนาจออกคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์สินมีอำนาจสั่งให้ ผู้ร้องวางเงินตามจำนวนเงินที่เห็นสมควรภายในเวลาที่กำหนด เพื่อเป็นประกันความ เสียหายใด ๆ ที่อาจได้รับเนื่องจากสาเหตุที่เนิ่นช้าในการขายทอดตลาดอันเกิดแต่การยื่นคำ ร้องขอนั้น ถ้าผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเช่นว่านั้น ให้ยกคำร้องนั้นเสีย และมีคำสั่งให้เจ้า พนักงานดำเนินการต่อไป (๒) ถ้าทรัพย์สินที่พิพาทนั้นเป็นสังหาริมทรัพย์และมีพยานหลักฐานเบื้องต้น แสดงว่าคำร้องขอนั้นไม่มีเหตุอันควรฟัง หรือเป็นสังหาริมทรัพย์ที่เก็บไว้นานไม่ได้ผู้มี อำนาจออกคำสั่งหรือประกาศยึดทรัพย์สินมีอำนาจสั่งให้เจ้าพนักงานงานขายทอดตลาด ทรัพย์สินที่ยึดนั้นโดยไม่ชักช้า ๔๘ ๕.๖ สรุป กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กระทรวงการคลัง โดยจัดตั้งขึ้นมาเพื่อจัดเก็บภาษีอากรมาใช้ในการพัฒนาประเทศรวมถึง บริการสาธารณะต่างๆ เพื่อ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนทั้งประเทศ การจัดเก็บภาษีที่ อยู่ในความรับผิดชอบของ กรมสรรพากรได้แก่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้ นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ และอื่น ซึ่งรัฐมีความจำเป็นที่ จะต้องหารายได้เพื่อใช้เป็นเงินงบประมาณสำหรับการ บริหารจัดการและพัฒนาประเทศ รวมถึงสนองความต้องการของประชาชนภายในประเทศเช่น การสาธารณูปโภค สวัสดิการ สังคม การศึกษาการรักษาพยาบาลเป็นต้น โดยที่แหล่งรายได้สำคัญของรัฐ ได้แก่ ภาษีอากรเงินกู้กำไรจากรัฐวิสาหกิจค่าธรรมเนียมต่างๆ และส่วนใหญ่รายไดข้องรัฐมาจาก การจัดเก็บภาษีอากรมากที่สุด ดังนั้นภาษีอากรจึงเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของรัฐ นอกจากนี้ภาษีอากรยังเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศให้เจริญเติบโต อย่างมั่นคงการที่ประชาชน มีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐโดยที่ประชาชนไม่ได้รับสิ่งตอบ ๔๘ระเบียบกรมสรรพากรว่าด้วยการยึดทรัพย์สินตามความในมาตรา ๑๒ แห่งประมวล รัษฎากร พ.ศ. ๒๕๔๕ ข้อ ๑๒


๑๑๗ แทนแต่อย่างใดโดยตรงจากรัฐจึงทำให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าไม่อยากเสียภาษีเพราะการ เสียภาษีเป็นค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองไม่คุ้มค่ารัฐ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้อำนาจบังคับจัด เก็บภาษีอากรจากประชาชน แม้จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพในทางทรัพย์สินหรือประโยชน์ ส่วนได้เสียของประชาชนก็ตาม และเมื่อใดที่รัฐมีงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินสูงมากขึ้น รัฐ ก็ยิ่งมีความจา เป็นที่จะต้องจัดเก็บภาษีจากประชาชนมาก ยิ่งขึ้นตามไปด้วย ฉะนั้น เพื่อให้ การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รัฐจึงต้องหามาตรการ บังคับจัดเก็บภาษีเช่น การ ออกกฎหมายเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากร เป็นต้น ประเทศไทยปัจจุบันมีการตรากฎหมาย เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรเรียกว่า “ประมวลรัษฎากร” ซึ่งกำหนดวิธีการจัดเก็บภาษี อากรประเภทต่างๆ รวมถึงวิธีการบังคับ จัดเก็บ ภาษีอากร กรณีผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรไม่ เสียภาษีอากรหรือเสียภาษีอากรไม่ครบถ้วนเรียกว่า “ผู้ค้างภาษีอากร” ซึ่งประมวล รัษฎากรมาตรา ๑๒ กำหนดวิธีการบังคับชำระภาษีอากรไว้โดยกำหนดให้อธิบดี กรมสรรพากรเป็นผู้มีอำนาจออกคำสั่งยึดหรืออายัดและขายทอดตลาด ทรัพย์สินของผู้ค้าง ภาษีอากรได้ทัน ทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมทางศาล เป็นการใช้๒ อำนาจรัฐ ฝ่ายบริหารบังคับ เอากับทรัพย์สินของผู้ค้างภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรให้มีความ สะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการอำนวยประโยชน์ในภาคปฏิบัติหน้าที่ให้กับ เจ้าหน้าที่ของรัฐได้เป็นอย่างมากกระบวนการสืบหาและรวบรวมทรัพย์สินของผู้ค้างภาษี อากรเพื่อนำมาชำระภาษีอากรค้างตามประมวลรัษฎากรนั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับหนี้ สามัญทั่วไป กล่าวคือ กรมสรรพากรเจ้าหนี้ต้องสืบหาและรวบรวมบังคับเอากับทรัพย์สิน ของผู้ค้างภาษีอากรตามวิธีการที่ บัญญัติไว้ในกฎหมาย ได้แก่ การยึด อายัด และขาย ทอดตลาดทรัพย์สินของผู้เสียภาษีอากรรวมถึงการใช้สิทธิตามกฎหมายต่างๆ ด้วย


๑๑๓ บทที่ ๖ การบริหารงานคลังสาธารณะ การบริหารการคลังสาธารณะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินหรือ การบริหารงานของกระทรวง กรมต่างๆของรัฐบาลในเรื่องเกี่ยวกับรายได้กับรายจ่ายของ ประเทศ รวมทั้งการงบประมาณแผ่นดินเป็นแผนงานทางการคลังของรัฐบาลจะกำหนด รายละเอียดเกี่ยวกับแผนการหารายรับและแผนการใช้จ่าย ซึ่งรายละเอียดจะแสดงในบทนี้ ๖.๑ ความหมายของการบริหารงานคลัง “งานคลังหรือการคลัง” ซึ่งตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Finance” ถ้าใช้ใน ความหมายของการบริหารงานคลังของรัฐบาลจะตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Public Finance Administration” ส่วนการบริหารงานคลังของเอกชนจะตรงกับคำใน ภาษาอังกฤษว่า “Money Administration” หรือ “Finance” Otto Ecksteian๑ ได้ให้ ความหมายเกี่ยวกับการคลังของรัฐบาล หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน ภาษีอากร การใช้จ่ายของรัฐบาลและการก่อหนี่สาธารณะ Clifford L. James๒ ได้อธิบายเกี่ยวกับการคลังสาธารณะเป็นสาขาหนึ่งของ เศรษฐศาสตร์ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับการแสวงหารายได้และการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล พูนศรีสงวนชีพ๓ ในภาษาไทยมีคำที่เกี่ยวกับงานคลังหรือการคลังอยู่หลายคำ ด้วยกัน เช่น การบริหารงานคลังรัฐบาล การบริหารงานคลังสาธารณะ วิทยาการคลัง การ ๑ Otto Eckstein, Public Finance: Foundations of Modern Economics Series. Englewood Cliffs, (N.J. : Prentice-Hall Inc, 1963), p.1. ๒ Clifford L. James, Principles of Economics, (New York : Barns& Noble, Inc. 1957), p.285. ๓ พูนศรีสงวนชีพ, การบริหารรัฐกิจเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ ๙. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๕๒), หน้า ๒๖๐.


๑๑๔ บริหารการเงิน ถ้าใช้คำว่าการบริหารงานคลังรัฐบาล การบริหารงานคลังสาธารณะ และ วิทยาการคลัง จะหมายถึง การใช้จ่าย การหารายได้และการก่อหนี้ของรัฐบาล แต่ถ้าใช้คำ ว่า การบริหารการเงิน จะหมายถึง การหารายได้การใช้จ่าย และการกู้เงินของธุรกิจเอกชน ขอบเขตของการศึกษาวิชาการบริหารงานคลังสาธารณะ (Public Finance Administration) มี๔ ประการ ดังนี้ ๑. ศึกษาบทบาทหน้าที่และการบริหารการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินของ รัฐ ๒. ศึกษาอำนาจหน้าที่ในการหารายได้หรือการจัดหาทรัพยากรเพื่อรองรับ บทบาทหน้าที่ของรัฐ เช่น การจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ๓. ศึกษาการบริหารหนี้สาธารณะของรัฐ ๔. ศึกษาการบริหาร การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง ของรัฐให้มีความเหมาะสมตามสถานการณ์ สรุป วิชาการบริหารงานคลังของรัฐบาล (Public Finance Administration) ก็คือการศึกษาในทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของรัฐ ตลอดจนทางเลือกในด้านการ คลังและการใช้จ่าย ซึ่งวิธีการบริหารงานคลังนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือวิชา รัฐศาสตร์เป็นอย่างมาก สาเหตุที่ต้องเรียนวิชาการบริหารงานคลังในสาขาการบริหารรัฐกิจ มีดังนี้ ๑. การบริหารงานคลังถือเป็นกิจกรรมที่สำคัญของภาครัฐ ๒. การบริหารงานคลังถือเป็นทางเลือกในการตัดสินใจของรัฐ ๓. การบริหารงานคลังถูกบรรจุไว้ในวิชาการบริหารรัฐกิจ ๔. การเมืองและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมีความเกี่ยวข้องกันอย่างเลี่ยง ไม่ได้ ประวัติความเป็นมาของวิชาเศรษฐศาสตร์ วิชาเศรษฐศาสตร์ (Economic) เดิมเป็นส่วนหนึ่งขององค์ความรู้ด้านปรัชญา การเมืองที่เรียกว่า “เศรษฐศาสตร์การเมือง” (Political Economy) จนกระทั่งปลาย


๑๑๕ คริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ จึงสามารถพัฒนาองค์ความรู้ไปเป็น “เศรษฐศาสตร์บริสุทธิ์” (Pure Economics) ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและแพร่หลายจนกลายเป็น แนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Mainstream Economics) ที่มีอิทธิพลครอบงำ การศึกษาหาความรู้ในแวดวงเศรษฐศาสตร์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เศรษฐศาสตร์กระแสหลักแบ่งแนวการศึกษาออกเป็น ๒ ส่วน คือเศรษฐศาสตร์ จุลภาค (Micro Economics) และเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macro Economics) เศรษฐศาสตร์กระแสหลักประกอบด้วยสำนักคิดที่สำคัญ ๓ สำนัก คือ เศรษฐศาสตร์คลาสสิก (Classical Economics) เศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิก (Neo – Classical Economics) และเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์(Keynesian Economics) หลักการและแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก มีลักษณะสำคัญดังนี้ ๑. ความต้องการของมนุษย์มีไม่จำกัด ในขณะที่ทรัพยากร เช่น ข้อมูลข่าวสาร นั้นมีจำกัดและถือเป็นต้นทุนที่สำคัญ ๒. มนุษย์จะตัดสินใจอย่างมีเหตุผลทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการเห็นแก่ ผลประโยชน์ส่วนตัว เช่น ถ้าเป็นผู้บริโภคก็จะเน้นการสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดในทาง เศรษฐกิจแต่ถ้าเป็นผู้ผลิตก็จะเน้นการสร้างอรรถประโยชน์สูงสุดในทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าเป็น ผู้ผลิตก็จะเน้นประสิทธิภาพในการผลิตเป็นเป้าหมายหลัก เพื่อให้ได้มาซึ่งผลกำไรสูงสุด ๓. ระบบตลาดและกลไกราคาหรือกลไกตลาดเป็นเครื่องมือสำคัญในการ จัดสรรทรัพยากรและการกระจายผลผลิต ๔. จำกัดบทบาทของรัฐบาลในการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจเฉพาะส่วนที่ จำเป็นเท่านั้น ๕. ให้ความสำคัญกับการค้าแบบเสรีและการแข่งขันกันอย่างเต็มที่ ประวัติการบริหารงานคลังของตะวันตก ในยุคกรีกโรมัน และอียิปต์มีการแย่งชิงความเป็นใหญ่ด้วยการต่อสู้เพื่อให้ ได้มาซึ่งทรัพยากร ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ เป็นยุคศักดินาที่ประชาชนต้องให้ ทรัพย์สินสิ่งของแก่รัฐเพื่อแลกกับความปลอดภัย แล้วพอในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ก็เริ่มมี การจัดระบบภาษีขึ้นมาโดยมีการจัดเก็บภาษีอากรจากการมีที่ดินของประชาชน หลังจาก


๑๑๖ นั้น ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ หนังสือ “The Wealth of Nation” (๑๗๗๖) ของ Adam Smith ก็กลายมาเป็นจุดเริ่มของแนวคิดการบริหารงานคลังสมัยใหม่ ๖.๒ ประวัติการบริหารงานคลังของประเทศไทย สมัยสุโขทัย ในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีนั้น รัฐใช้วิธีการระดมทรัพยากรโดยใช้ระบบส่วย อากร ๔ ชนิด ได้แก่ ๑. จังกอบ คือ ภาษีชนิดหนึ่ง เช่น ภาษีปากเรือ ๒. อากร คือ ค่าธรรมเนียมที่รัฐเก็บจากสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติหรือสิ่งที่สร้างขึ้น เช่น อากรรังนกนางแอ่น อากรมหรสพ ๓. ส่วย คือ ของที่เรียกเก็บจากท้องถิ่นพื้นเมืองเพื่อเป็นค่าภาคหลวง เช่น เงิน ช่วยเหลือราชการ ๔. ฤชา คือ เงินทดแทนการเกณฑ์แรงงานไพร่ที่ผู้ครอบครองไพร่ทดแทนให้ หลวง ในด้านรายจ่ายไม่ปรากฏว่ามีการใช้จ่ายมากนัก มีการขุดคลองและสร้างถนน แต่ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็คงเป็นรูปที่ว่า วัสดุสิ่งของจัดหามาเองเพราะมีอยู่อุดมสมบูรณ์แรงงานก็ คงมีการร่วมแรงกันและมีการเกณฑ์ราษฎร สมัยอยุธยา ในสมัยอยุธยาตอนต้นมีการจัดระเบียบการปกครองส่วนกลางเป็นแบบ “จตุสดมภ์” ได้แก่ เวียง วัง คลัง นา ต่อมาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ได้ปรับปรุงระบบ บริหารขึ้นมาใหม่โดยแยกการบริหารราชการออกเป็นฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร คือ ให้สมุ หนายกเป็นผู้รับผิดชอบด้านพลเรือน ส่วนสมุหกลาโหมรับผิดชอบด้านการทหารและการ ป้องกันประเทศ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการปรับปรุงระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินเกิดขึ้น ครั้งแรกในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ สมัยรัตนโกสินทร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ประเทศไทยมีความ จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อการสงครามเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีการเสนอให้นำเอาระบบ “เจ้า ภาษีนายอากร” มาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งเทียบได้กับการให้สัมปทานบริการสาธารณะ (Public


๑๑๗ Concession) ในปัจจุบัน กล่าวคือ จะมีการมอบให้เจ้าภาษีชักประโยชน์จากการทำ กิจกรรมบางอย่างของประชาชน กล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ให้ราษฎรรับสัมปทานบริการ จัดเก็บภาษีแทนรัฐนั่นเอง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ไทยถูกบังคับให้ ยอมรับสนธิสัญญาเบาริ่ง ซึ่งสนธิสัญญาดังกล่าวอนุญาตให้ไทยจัดเก็บภาษีขาเข้าได้ในอัตรา ไม่เกินร้อยละ ๓ เท่านั้น ส่วนภาษีขาออกจะตกลงกันเป็นเรื่อง ๆ ไป ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พระพุทธเจ้าหลวงหรือ รัชกาลที่ ๕) ได้ทรงโปรดให้ตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นมาในปีพ.ศ. ๒๔๑๖ ด้วยเหตุผล ๔ ประการ คือ ๑. เจ้าภาษีนายอากรมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ๒. อำนาจในการจัดเก็บภาษีอากรอยู่ในอัตตวิสัยของเจ้านายบางคน ๓. ระบบบัญชีของกรมพระยาคลังไม่เป็นระบบระเบียบ ๔. วิกฤตทางการเงินของแผ่นดิน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ได้มีการจัดทำ พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณขึ้นเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๔๕๖ ซึ่งถือเป็นประตูไปสู่การจัดทำ กฎหมายการใช้จ่ายในแต่ละปี ในปัจจุบัน หน้าที่ในทางเศรษฐกิจของรัฐตามหลักสากล มี๔ ประการ ดังนี้ ๑. การจัดสรรทรัพยากรของสังคม (Allocation Function) ๒. การกระจายทรัพยากรของสังคม (Distribution Function) ๓. การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (Stabilization Function) ๔. การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Promotion of Economic Growth) บทบาทในทางเศรษฐกิจการบริหารงานคลังของรัฐบาล ๑. เนื่องจากทรัพยากรของชาติมีจำกัด แต่ความต้องการของคนมีไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาช่วยมีบทบาทในการจัดสรรทรัพยากรไปใช้เพื่อ สนองความต้องการของคนในประเทศให้ได้รับความพอใจสูงสุด และมีประสิทธิภาพมาก ที่สุด เพราะฉะนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาใช้นโยบายการคลังเพื่อจัดสรรทรัพยากรระหว่าง


๑๑๘ ภาครัฐบาลและภาคเอกชน ให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิด ประโยชน์แก่คนในสังคมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ๒. รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซงโดยใช้นโยบายการคลังเพื่อทำให้คนใน ประเทศมีความทัดเทียมกัน โดยการจัดสรรการกระจายรายได้ในสังคมให้มีความยุติธรรม เท่าเทียมกัน รัฐบาลอาจใช้นโยบายการคลังให้มีผลกระทบต่อระดับรายได้ของคนมีรายได้ ต่ำให้มีรายได้มากขึ้น เพื่อไม่ให้คนในสังคมมีความแตกต่างกัน หรือมีความเหลื่อมล้ำกันมาก เกินไป เช่น อาจใช้นโยบายภาษีโดยการจัดเก็บภาษีจากคนรวยให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้มีรายได้ สูงมากเกินไป จนเกิดความแตกต่างเหลื่อมล้ำกันมากจนเกินไป และอาจจะ เก็บภาษี น้อยลง หรือยกเว้นลดหย่อนภาษีสำหรับคนจนเพื่อให้คนจนลืมตาอ้าปากได้ ๓. รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาใช้นโยบายการคลังให้มีผลกระทบต่อการลงทุน ระดับการผลิต การจ้างงาน และรายได้ประชาชาติให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจมี ความเจริญเติบโตโดยรัฐอาจใช้นโยบายการคลัง คือการวางแผนการเปลี่ยนแปลงการใช้ จ่ายของรัฐบาลและการจัดเก็บภาษี ๔. รัฐบาลจำเป็นต้องใช้นโยบายการคลังเพื่อให้ระบบเศรษฐกิจบรรลุเป้าหมาย มีเสถียรภาพของราคา ไม่ให้ระดับราคาเพิ่มสูงขึ้นมากเกินไป และอาจใช้นโยบายการคลัง รักษาเสถียรภาพภายนอก เช่น ปัญหาดุลการค้า ดุลการชำระเงิน อัตราแลกเปลี่ยนค่าของ เงินบาท ๕. มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางประเภทที่เอกชนทำไม่ได้หรือไม่อยากทำ แต่มี ความจำเป็นต้องมีในระบบเศรษฐกิจ เช่น การป้องกันประเทศ การรักษาความปลอดภัยใน ชีวิตและทรัพย์สิน เพราะฉะนั้นรัฐจึงต้องเข้ามาจัดหาบริการเหล่านี้ให้แก่ประชาชน ๖. มีสินค้าและบริการบางอย่างที่ผลิตขึ้นมาแล้วก่อให้เกิดผลกระทบภายนอก (Externality) กล่าวคือ อาจก่อให้เกิดผลดีหรือผลเสียต่อสังคมโดยส่วนรวม เช่น บริการ การศึกษาการสาธารณสุข มิใช่จะเป็นผลดีต่อผู้ได้รับการศึกษาหรือการป้องกันโรคภัยไข้ เจ็บเท่านั้น หากแต่จะเป็นผลดีต่อบุคคลอื่นๆในสังคมอีกด้วย หรือการผลิตเหล้าขายย่อมจะ เป็นผลเสียต่อสังคมส่วนรวมเช่นกัน ฉะนั้น รัฐบาลจึงต้องเข้ามาแทรกแซงหรือ ควบคุมการ ผลิตสินค้าและบริการดังกล่าว


๑๑๙ ๗. กิจกรรมทางเศรษฐกิจบางอย่างต้องใช้จำนวนเงินทุนมหาศาลในการลงทุน ผลิตเอกชนไม่สามารถทำได้หรือทำได้แต่อาจจะต้องเป็นกิจการผูกขาด เช่น การผลิตไฟฟ้า น้ำประปา เพราะฉะนั้นรัฐต้องเข้ามาดำเนินการ ๘. ในกรณีที่ระบบเศรษฐกิจมีผู้ผลิตรายเดียว หรือมีผู้ผลิตน้อยราย ตลาดสินค้า จะเป็นตลาดผูกขาดของผู้ขาย ผู้ผลิตสามารถที่จะกำหนดราคาตามใจชอบได้อาจจะมีการ เอากำไรจนเกินควร เพราะฉะนั้นรัฐบาลควรเข้ามาดำเนินการและส่งเสริมให้เกิดการ แข่งขันในระบบเศรษฐกิจ การบริหารงานคลังแยกเป็นนโยบายใหญ่ ๆ ได้๓ นโยบาย คือ การบริหารงานคลังมีขอบเขตครอบคลุมนโยบายในหลาย ๆ ด้าน เช่น นโยบาย การเงิน นโยบายการคลัง นโยบายเศรษฐกิจมหภาค นโยบายหนี้สาธารณะ นโยบายภาษี อากร เป็นต้น โดยสามารถจำแนกได้เป็น ๓ นโยบายใหญ่ๆ คือ ๑. นโยบายการเงิน เป็นนโยบายที่เกี่ยวกับการกำหนดและควบคุมปริมาณเงิน ให้พอเหมาะกับความต้องการและความจำเป็นในการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของ ประเทศ ซึ่งรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จะดำเนินนโยบายการเงินผ่านทางธนาคารกลาง แนวทางในการดำเนินนโยบายทางการเงิน มีแนวทางหลักๆ อยู่ ๒ แนวทาง คือ ๑) การควบคุมเชิงปริมาณ คือ การควบคุมปริมาณเงิน เช่น การเปลี่ยนแปลง อัตราเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์เป็นต้น ๒) การควบคุมเชิงคุณภาพ เช่น การจำกัดสินเชื่อ การเข้มงวดในการปล่อย สินเชื่อ เป็นต้น หน่วยงานหลักที่มีอำนาจหน้าที่และดูแลรับผิดชอบการบริหารงานคลังด้าน นโยบายการเงินก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ๒. นโยบายเศรษฐกิจ เป็นนโยบายที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อสร้างความ เจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจโดยรวม เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นให้เกิด เสรีภาพทางเศรษฐกิจ และเพื่อรักษาความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ ๓. นโยบายการคลัง แบ่งออกเป็น ๒ ภาค คือ ๑) ภาครายรับ จะเป็นเรื่องของภาษีอากร การค้ำประกัน การก่อหนี้สาธารณะ การออกพันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น


๑๒๐ ๒) ภาครายจ่าย จะเป็นเรื่องของงบประมาณแผ่นดิน หรือแผนการใช้เงินซึ่ง เป็นแผนเบ็ดเสร็จที่แสดงโครงการในการดำเนินงาน เป้าหมายวัตถุประสงค์และจำนวนเงิน ที่ต้องการใช้โดยมีการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานด้วย หน่วยงานหลักที่มีอำนาจหน้าที่และดูแลรับผิดชอบการบริหารงานคลังภาค รายจ่าย คือ สำนักงบประมาณ ส่วนหน่วยงานหลักที่มีอำนาจหน้าที่และดูแลรับผิดชอบการบริหารงานคลัง ภาครายรับ ก็คือ กระทรวงการคลัง ปัจจุบันวิชาการบริหารงานคลังมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องมาจากสาเหตุ ๑๐ ประการ คือ ๑. ขอบเขตหน้าที่ของรัฐบาลใหญ่โตขึ้น ๒. โครงการใช้จ่ายของรัฐบาลกระทบกระเทือนโครงสร้างทางเศรษฐกิจของ ประเทศและกระทบกระเทือนการตัดสินใจในการจ่ายของเอกชนอย่างมาก ๓. รัฐบาลได้กลายเป็นผู้ใช้จ่ายเงินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งมีผลกระทบ กระเทือนต่อการจ้างงานและการผลิตภายในประเทศ ๔. การใช้จ่ายเงินของรัฐบาล มีส่วนสำคัญมากที่จะก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อหรือ เงินฝืด ๕. รัฐใช้จ่ายมากจึงต้องเก็บภาษีจำนวนมาก ซึ่งเป็นการลดอำนาจซื้อหรือลด สวัสดิการทางเศรษฐกิจของเอกชน ๖. การผันแปรทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นไปอย่างรุนแรงกว่าอดีต ๗. จำเป็นจะต้องยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และ สร้างความเจริญในประเทศด้อยพัฒนา โดยการใช้จ่ายหรือการคลังของรัฐบาล ๘. รัฐบาลต้องใช้จ่ายเงินมากขึ้นก็ต้องก่อหนี้มากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาแก่รัฐบาล ประชาชนและอำนาจซื้อของเงินในอนาคตด้วย ๙. รัฐบาลจะต้องพยายามหาวิธีการที่เหมาะสมที่จะหารายได้และใน ขณะเดียวกันก็จะต้องพยายามไม่ให้มีการทำลายการทำงานและการลงทุนด้วย ๑๐. รัฐบาลจะต้องขจัดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในการแบ่งสรรรายได้และ ทรัพย์สินในสังคมให้เกิดความเป็นธรรม


๑๒๑ การบริหารงานคลังสาธารณะ การบริหารงานคลังสาธารณะ แบ่งออกเป็น ๗ หัวข้อ คือ ๑. การบริหารและการแบ่งส่วนราชการของกระทรวงการคลัง ๒. แหล่งที่มาของรายได้ของรัฐบาล ๓. การภาษีอากร ๔. หนี้สาธารณะ ๕. การงบประมาณแผ่นดิน ๖. การใช้จ่ายของรัฐบาล ๗. นโยบายการคลัง ๖.๓ การบริหารและการแบ่งส่วนราชการของกระทรวงการคลัง การบริหารและการแบ่งส่วนราชการของกระทรวงการคลัง แบ่งได้ดังนี้ ๑. สำนักงานรัฐมนตรี ๒. สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. กรมธนารักษ์มีหน้าที่เก็บรักษาแสตมป์ฤชาและทรัพย์สมบัติเงินคงคลัง จัดทำเหรียญที่ระลึก เครื่องราชอิสริยาภรณ์ซ่อมแซมห้องและตู้เซฟของคลังจังหวัดทั่ว ประเทศ ๔. กรมบัญชีกลาง มีหน้าที่ดูแลควบคุมการรับจ่ายและการเก็บรักษาเงิน แผ่นดิน ทั้งที่เป็นเงินในและนอกงบประมาณ การบริหารหนี้สาธารณะ ควบคุมรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น ๕. กรมศุลกากร มีหน้าที่เก็บภาษีขาเข้าและขาออก ป้องกันและปราบปราม การลักลอบหนีภาษีศุลกากร เป็นต้น ๖. กรมสรรพสามิต มีหน้าที่เก็บภาษีสุรา ยาสูบ น้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน เครื่องดื่ม ซีเมนต์ไม้ขีดไฟ ยานัตถุ์ไพ่ เป็นต้น ๗. กรมสรรพากร มีหน้าที่ ๓ ประการ คือ ๑) จัดเก็บภาษีตามประมวลรัษฎากร


๑๒๒ ๒) จัดเก็บภาษีตามกฎหมายอื่นที่ได้รับมอบ ๓) ศึกษาค้นคว้าและปรับปรุงการบริหารและการจัดเก็บภาษีอากร ๘. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ มีหน้าที่บริหารและกำกับดูแล รายได้จากรัฐพาณิชย์อันได้แก่ รายได้จากผลกำไร เงินปันผล จากองค์กรของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ องค์กรที่รัฐกำกับดูแลหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ ๕๐ ๙. สำนักบริหารหนี้สาธารณะ ๑๐. สำนักเศรษฐกิจการคลัง ๖.๔ ที่มารายได้ของรัฐบาล ตามวิธีการงบประมาณของไทย รายรับของรัฐบาล (Government receipt) จะ ประกอบด้วย ๓ ส่วน ได้แก่๔ ๑. รายได้ของรัฐบาล (Government revenue) สามารถแบ่งเป็น ๒ ส่วน ใหญ่ๆ ๑) รายได้จากภาษี(Tax income) เช่น ภาษีเงินได้ภาษีสรรพสามิต ภาษี การค้า ๒) รายได้ที่ไม่ใช่จากภาษี(Non-Tax income) แบ่งได้๓ ส่วน (๑) รายได้จากการขายสินค้าและบริการ เช่น รายได้จากการขายสินค้า ของกรมราชทัณฑ์นี่คือรายได้ของรัฐบาลจากการขายสินค้า (๒) รายได้จากรัฐวิสาหกิจ หมายถึงรายได้จากกิจการที่รัฐมิหุ้นอยู่ เช่น มีหุ้นอยู่ในธนาคารกรุงไทย (๓) รายได้เบ็ดเตล็ดอื่นๆ เช่น ค่าปรับ ค่าแสตมป์ ๒. เงินกู้ของรัฐบาล หรือหนี้สาธารณะ (Public Debt) ๓. เงินคงคลัง (Treasury cash balances) ๔ เกริกเกียรติพิพัฒน์เสรีธรรม, การคลังว่าด้วยการจัดสรรและการกระจาย, พิมพ์ครั้ง ที่ ๘, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๖), หน้า ๕๒.


๑๒๓ ๒. เงินกู้(Public debt) รัฐอาจกู้จากในประเทศ และต่างประเทศก็ได้เช่น การกู้จากในประเทศ กู้โดยวิธี ๑) การขายพันธบัตรรัฐบาล ๒) การกู้จากธนาคารกลาง (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ๓) การกู้จากธนาคารออมสินถ้ากู้จากต่างประเทศก็กู้ได้จากเอกชนหรือ สถาบันการเงินต่างประเทศ ๓. เงินคงคลัง (Treasury cash balances) ต้องดูที่เงินคงคลังตอนต้นปีและ ปลายปีโดยเอาเงินคงคลังปลายปีตั้งแล้วลบด้วยเงินคงคลังต้นปีก็จะได้เงินคงคลังที่ เปลี่ยนแปลงในรอบระยะ ๑ ปีนั้น ๑๒ ๖.๕ ภาษีอากร (Taxation) อรัญ ธรรมโน ได้อธิบายเกี่ยวกับภาษีอากรว่า ภาษีอากร คือสิ่งที่รัฐบาลบังคับ เก็บจากข้าราชการ โดยมิได้มีสิ่งตอบแทนแก่ผู้เสียภาษีอากรโดยตรง โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์๕ อธิบายว่าภาษีอากรคือเครื่องมือทางการคลังที่สำคัญ ที่สุดของรัฐบาลในการหารายได้เพื่อการใช้จ่ายของรัฐบาล รังสรรค์ธนะพรพันธ์๖ ได้ให้ความหมายภาษีอากรไว้ว่า ภาษีอากรคือเงินที่ เรียกเก็บจากบุคคล ทรัพย์สินหรือธุรกิจเพื่อการสนับสนุนรัฐบาล ภาษีอากร หมายถึง เงินที่รัฐบาลเรียกบังคับจัดเก็บจากประชาชนเพื่อนำไปใช้ จ่ายในกิจการสาธารณะหรือกิจกรรมต่าง ๆ ของประเทศโดยส่วนรวม โดยรัฐไม่จำเป็น จะต้องมีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้ชำระภาษีอากร และเพื่อที่จะลดการใช้จ่ายของประชาชน ด้วย ทั้งนี้ภาษีอากรยังถือเป็นเครื่องมือหลักในการหารายได้ของรัฐอีกด้วย ๕ โฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์, นโยบายภาษีอากรและการพัฒนาเศรษฐกิจ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์, ๒๕๕๕), หน้า ๓๑. ๖ รังสรรค์ธนะพรพันธ์, ทฤษฎีการภาษีอากร. (กรุงเทพมหานคร : กรุงสยามการพิมพ์, ๒๕๔๖), หน้า ๑๐.


๑๒๔ ลักษณะสำคัญของภาษีอากร คือ ๑. เป็นการชำระสิ่งอันเป็นทรัพย์สิน เป็นเงินสดหรืออาจจะเป็นทรัพย์สินในรูป อื่นก็ได้ ๒. เป็นเครื่องมือทางการคลังที่สำคัญที่สุดในการหารายได้ของรัฐ ๓. เป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐ ๔. รัฐมีอำนาจบังคับจัดเก็บโดยกฎหมายแต่ฝ่ายเดียว ๕. รัฐไม่ต้องตอบแทนในเชิงประโยชน์โดยตรงแก่ผู้บังคับให้เสียภาษี ๖. ภาษีอากรที่ได้รัฐจะนำไปใช้เพื่อกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ ๗. บุคคลเท่านั้นที่มีหน้าที่ในการเสียภาษีในฐานะที่เป็นราษฎรของประเทศ ความหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการภาษีอากร ๑. หน้าที่ในการเสียภาษีอากร (Impact) คือ บุคคลที่มีหน้าที่ในการเสียภาษี อากรตามกฎหมายกำหนด ๒. การผลักภาระภาษี(Shifting) หมายถึง ผู้ที่รับภาระในการเสียภาษีแต่ สามารถผลักหรือปัดความรับผิดชอบในการเสียภาษีไปให้ผู้อื่นเสียแทนได้ ๓. ภาระของภาษีอากร (Incidence or Burden) คือ บุคคลที่จะต้องรับภาระ ในการชำระภาษีอากรที่แท้จริง ๔. ผลทางเศรษฐกิจของการเก็บภาษีอากร (Economic Effect) หมายถึง การ เก็บภาษีอากรแต่ละประเภทย่อมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของภาคเอกชน ๕. ฐาน (Base) และอัตรา (Rate) ภาษีอากร ภาษีอากรแต่ละประเภทต้อองมี ฐานและอัตราภาษีเพื่อนำไปใช้ในการเก็บภาษีอากร เช่น ภาษีเงินได้ก็มีจำนวนเงินได้เป็น ฐานในการเรียกเก็บภาษีอากร อัตราก็ได้แก่ร้อยละของเงินได้ที่จะต้องเสียภาษีอากร เป็น ต้น วัตถุประสงค์ของการเก็บภาษีอากร๗ ๑. เพื่อหารายได้ ๗ อรัญ ธรรมโน, ความรู้ทั่วไปทางการคลัง, (กรุงเทพมหานคร : บรัษัท บพิธ จำกัด, ๒๕๔๘), หน้า ๑๒๔-๑๒๗.


๑๒๕ ๒. เพื่อการควบคุมและส่งเสริม ๓. เพื่อการแบ่งกระจายทรัพยากร ๔. เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ประเภทของภาษีอากร การแบ่งประเภทของภาษีอากรอาจจะแบ่งได้หลายวิธี๘ ดังนี้ ๑. การแบ่งประเภทของภาษีอากรตามลักษณะของการผลักภาระภาษีอากร ซึ่ง โดยวิธีนี้อาจแบ่งภาษีอากรออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑) ภาษีทางตรง (Direct Tax) หมายถึง ภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีไม่สามารถที่ จะผลักภาระไปยังบุคคลอื่น ๆ ได้กล่าวคือ ผู้มีหน้าที่ในการเสียภาษีอากรตามกฎหมายต้อง รับภาระภาษีไว้เองทั้งหมด ภาษีประเภทนี้ได้แก่ ภาษีเงินได้ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก เป็น ต้น ๒) ภาษีทางอ้อม (Indirect Tax) หมายถึง ภาษีที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีตาม กฎหมายสามารถจะผลักภาระภาษีไปยังบุคคลอื่นๆ ได้ซึ่งในปัจจุบันนี้รัฐบาลไทยมีรายได้ มาจากการจัดเก็บภาษีทางอ้อมมากที่สุด ภาษีประเภทนี้ได้แก่ ภาษีการขาย ภาษี สรรพสามิต ภาษีศุลกากร เป็นต้น ๒. การแบ่งประเภทของภาษีอากรตามลักษณะฐานของภาษีอากร กล่าวคือ ภาษีอากรแต่ละประเภทจะมีฐานะของมันโดยเฉพาะ เช่น ฐานของภาษีเงินได้ก็ได้แก่เงินได้ ฐานของภาษีการขายก็ได้แก่ มูลค่าของปริมาณสินค้าที่ขาย ฐานของภาษีมรดกก็ได้แก่ มูลค่ามรดก เป็นต้น ๓. การแบ่งประเภทของภาษีอากรตามวิธีการประเมินภาษีที่ต้องเสีย แบ่ง ออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑) ภาษีที่เก็บตามราคาหรือมูลค่า เช่น ภาษีรายได้ภาษีการขาย ภาษีมรดก เป็นต้น ๘ สมนึก แตงเจริญ, การศึกษาวิชาการคลัง ใน การคลังของประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์, ๒๕๔๕), หน้า ๕๓.


๑๒๖ ๒) ภาษีที่เก็บตามปริมาณ น้ำหนัก หรือจำนวนสิ่งที่ต้องเสียภาษีเช่น อากร แสตมป์ ข้อมูลเพิ่มเติม ภาษีเงินได้แบบติดลบ (Negative Income Tax) เป็นระบบการ จัดเก็บภาษีที่ช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย โดยแทนที่จะเสียภาษีให้รัฐ รัฐจะจ่ายเงินช่วยเหลือ ให้แทน ซึ่งเริ่มโดยการกำหนดเส้นความยากจนขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงนำรายได้มาพิจารณา ถ้ามีรายได้สูงกว่าเส้นความยากจนก็จะต้องเสียภาษีแต่ถ้ามีรายได้น้อยกว่าเส้นความ ยากจน รัฐก็จะจ่ายเงินช่วยเหลือให้ หลักเกณฑ์สำคัญในการจัดเก็บภาษีอากร มี๒ ประการ คือ ๑. หลักประโยชน์(Benefit Principle) เป็นหลักที่ถือว่าบุคคลแต่ละบุคคลควร จะรับภาระภาษีให้ได้สัดส่วนกับประโยชน์ที่ตนได้รับจากรัฐ ดังนั้นผู้ใดได้รับประโยชน์จาก รัฐมากก็ควรเสียภาษีอากรมาก ผู้ใดได้รับประโยชน์จากรัฐน้อยก็ควรเสียภาษีอากรน้อย ผู้ใดไม่ได้รับประโยชน์จากรัฐก็ต้องไม่ต้องเสียภาษีอากร ๒. หลักความสามารถ (Ability to Pay Principle) เป็นหลักเกณฑ์ที่ยอมรับกัน โดยทั่วไปว่าเป็นธรรมที่สุด โดยถือว่าบุคคลทุกคนจะต้องเสียภาษีอากรเพื่อบำรุงรัฐตาม ความสามารถของตน ซึ่งวัดได้จากรายได้ทรัพย์สิน และรายจ่ายเพื่อการบริโภค หลักเกณฑ์สำคัญของภาษีอากร ของ Adam Smith มี๔ ประการ คือ ๑. หลักความยุติธรรม (Equity) ๒. หลักความแน่นอน (Certainty) ๓. หลักความสะดวก (Convenience) ๔. หลักประหยัด (Economy) ๖.๖ หนี้สาธารณะ (Public Debt) พูนศรีสงวนชีพ (๒๕๕๒: ๒๖๐) หนี้สาธารณะ หมายถึง ข้อผูกพันของรัฐบาล ซึ่งเกิดจากการกู้ยืมโดยตรงและการคํ้าประกันเงินกู้โดยรัฐบาล รวมทั้งเงินปริวรรตที่รัฐบาล รับรองด้วย การแบ่งประเภทของหนี้สาธารณะ ๑. แบ่งตามระยะเวลาชำระหนี้สาธารณะ แบ่งออกเป็น ๓ ประเภทคือ ๑) หนี้ระยะสั้น คือ หนี้ที่มีระยะเวลาการไถ่ถอนคืนไม่เกิน ๑ ปี


๑๒๗ ๒) หนี้ระยะกลาง คือ หนี้ที่มีระยะเวลาในการชำระหนี้คืนภายในระยะเวลา ๑ – ๕ ปี๑๕ ๓) หนี้ระยะยาว คือ หนี้ที่มีระยะเวลาในการไถ่ถอน ตั้งแต่ ๑๐ ปีขึ้นไป ๒. แบ่งตามแหล่งที่มาของเงินกู้แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑) หนี้ภายใน ได้แก่ หนี้ที่กู้จากผู้ที่อยู่ในประเทศ ๒) หนี้ภายนอก ได้แก่ หนี้ที่กู้จากเอกชนหรือสถาบันการเงินต่างประเทศ การกู้เงินของรัฐบาลที่มีผลทำให้เกิดการขยายเครดิต ได้แก่ ๑. การกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ ๒. การกู้เงินจากธนาคารกลาง ๓. การกู้เงินสดจากภายนอกประเทศ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน มีดังนี้คือ ๑. เพื่อใช้จ่ายในโครงการลงทุนของรัฐบาล ๒. เพราะเก็บรายได้ไม่ทันกับรายจ่าย ๓. เพื่อรักษาดุลระหว่างรายได้กับรายจ่าย ๔. เพื่อใช้จ่ายในกรณีที่มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน ภาระของหนี้สาธารณะ มีอยู่ ๒ ส่วน คือ ๑. ภาระของการใช้คืนเงินต้น ๒. ภาระของการใช้ดอกเบี้ย ๖.๗ การงบประมาณแผ่นดิน (Government Budgeting) ความหมายของงบประมาณแผ่นดิน บุญชนะ อัตถากร๙ อธิบายว่า งบประมาณแผ่นดิน คือ แผนใหญ่ทางการคลัง ของรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย ๑. รายได้ซึ่งคาดว่าจะเก็บได้คือ วิธีการที่จะหาเงินมาใช้จ่ายในกิจกรรมต่าง ๆ ๒. รายจ่ายซึ่งกำหนดว่าจะจ่าย คือ บัญชีกำหนดกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะกระทำ ๙ บุญชนะ อัตถากร, การคลัง, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๕๒.


๑๒๘ Otto Eckstein๑๐ อธิบายว่า งบประมาณแผ่นดิน คือ รายละเอียดเกี่ยวกับ ค่าใช้จ่ายและรายได้ที่คาดหวังไว้ของรัฐบาล ไพศาล ชัยมงคล๑๑ อธิบายว่า งบประมาณแผ่นดิน คือ แผนเบ็ดเสร็จซึ่ง แสดงออกในรูปของตัวเงิน แสดงโครงการดำเนินงานทั้งหมดในระยะเวลาหนึ่ง ประเทศแรกที่ริเริ่มจัดทำงบประมาณแผ่นดินขึ้นมาคือ ประเทศอังกฤษ ส่วน ประเทศไทยได้เริ่มจัดทำงบประมาณแผ่นดินมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๓ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะฉะนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า การงบประมาณแผ่นดินประกอบด้วยส่วนสำคัญ ๒ ส่วนด้วยกัน คือ๑๒ ๑. แผนการหารายรับ ประกอบด้วย การหารายได้และการกู้เงิน ๒. แผนการใช้จ่าย ได้แก่การจัดทำแผนการใช้จ่ายโดยละเอียดตามโครงการ ต่าง ๆ ที่รัฐบาลคาดว่าจะดำเนินการในปีงบประมาณนั้น ๆ งบประมาณรายรับและรายจ่ายของรัฐบาล ตามปกติจะมีช่วงระยะเวลาเรียกว่า ปีงบประมาณ (Fiscal Year) เช่น ปีงบประมาณของสหรัฐอเมริกาเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคมของปีปัจจุบัน ไปสิ้นสุดในวันที่ ๓๐ มิถุนายนของปีถัดไป ส่วนปีงบประมาณของ ไทยเริ่มตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคมของปีปัจจุบัน ไปสิ้นสุดในวันที่ ๓๐ กันยายนของปีถัดไป โดย ใช้ชื่อปีถัดไปเป็นปีงบประมาณ (เช่น ปีงบประมาณ ๒๕๕๔ จะเริ่มวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ไปสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) การดำเนินงานเกี่ยวกับการงบประมาณแผ่นดิน ประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ ๑. การจัดเตรียมงบประมาณ (Budget Preparation) ๑๐ Otto Eckstein, Public Finance: Foundations of Modern Economics Series. Englewood Cliffs, (N.J. : Prentice-Hall Inc, 1967), p.21. ๑๑ ไพศาล ชัยมงคล, งบประมาณแผ่นดิน : ทฤษฎีและปฏิบัติ, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, ๒๕๔๗), หน้า ๑๙. ๑๒ สมนึก แตงเจริญ, การศึกษาวิชาการคลัง ใน การคลังของประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์อักษรสัมพันธ์, ๒๕๔๕), หน้า ๓๘.


Click to View FlipBook Version