คำชี้แจง : ให้นักเรียนเติมคำและตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต 2. องค์ประกอบที่มีชีวิต เช่น พืชสัตว์ จุลินทรีย์ 3. องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต เช่น แสงจากดวงอาทิตย์ น้ำ อุณหภูมิ แร่ธาตุ 4. องค์ประกอบที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตในระบบนิเวศ มีความสัมพันธ์กันทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น พืช ต้องการแสง น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในการสร้างอาหาร สัตว์ต้องการอาหาร และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการดำรงชีวิตใน รูปแบบที่แตกต่างกัน 5. สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่งที่อยู่เดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน เรียกว่าประชากร 6. กลุ่มสิ่งมีชีวิต คือ ประชากรของสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ชนิดที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่เดียวกันและมีความสัมพันธ์กัน 7. ระบบนิเวศ คือ ระบบที่กลุ่มสิ่งมีชีวิตอาศัยในแหล่งที่อยู่เดียวกัน มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีความสัมพันธ์กับ แหล่งที่อยู่นั้น ซึ่งการกำหนดขอบเขตของระบบนิเวศขึ้นอยู่กับผู้ที่ศึกษาเป็นผู้กำหนด ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง องค์ประกอบของระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๑ คะแนน 1.ระบบนิเวศ (ecosystem) หมายถึง ระบบที ่ประกอบด้วยกลุ ่มสิ ่งมีชีวิตที ่อาศัยในแหล ่งที ่อยู ่เดียวกัน มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน รวมทั้งความ สัมพันธ์กับสิ่งไม่มีชีวิตในแหล่งที่อยู่นั้นด้วย มีการถ่ายทอดพลังงาน และการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ระบบนิเวศ ประชากร แสงจากดวงอาทิตย์ แร่ธาตุ น้ำ อุณหภูมิ จุลินทรีย์ กลุ่มสิ่งมีชีวิต พืชสัตว์ ทั้งทางตรงและทางอ้อม สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
คำชี้แจง : ให้นักเรียนเติมคำและตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง ประเภทของระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๑ คะแนน 1. ระบบนิเวศบนบก (Terrestrial Ecosystem) หมายถึง ลักษณะของระบบนิเวศที่กลุ่มสิ่งมีชีวิต ภายในระบบอาศัยอยู่บนพื้นดิน เช่น ทุ่งหญ้า ป่า ทะเลทราย ที่ราบริมภูเขา ที่ราบสูง เช่น 2. ระบบนิเวศในน้ำ (Aquatic Ecosystem) หมายถึง ลักษณะของระบบนิเวศที่กลุ่มสิ่งมีชีวิตภายใน ระบบอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำ เช่น บ่อ หนอง บึง คลอง แม่น้ำ ทะเล เช่น ระบบนิเวศแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 3. ระบบนิเวศเมือง (Urban Ecosystem) หมายถึง ระบบนิเวศที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ เช่น เขตเมือง เขตพื้นที่อุตสาหกรรม และเขตพื้นที่การเกษตร เช่น ป่าฝนเขตร้อน บึงน้ำจืด แนวปะการังใต้ทะเล ระบบนิเวศเมือง ที่มนุษย์สร้างขึ้น พื้นที่การเกษตร ทะเลทราย
คำชี้แจง :ให้นักเรียนอธิบายชนิดระบบนิเวศต่อไปนี้ให้สมบูรณ์ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง ชนิดของระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๒ คะแนน ชนิดของระบบนิเวศ แบ่งออกเป็น_____ 5 _____ชนิด 2. ระบบนิเวศทะเล 3. ระบบนิเวศป่าชายเลน 5.ระบบนิเวศชุมชนเมือง ได้แก ่ แม ่น้ำ ลำคลอง หนองน้ำ บึง ทะเลสาบ อ่างเก็บน้ำ และคู แหล่งน้ำบริเวณนี้จะมีสารอินทรีย์ มีพืชน้ำ หลายชนิด เช ่น ต้นเหงือกปลาหมอ ต้นกก ต้นลำพู ต้น ทองหลาง สาหร่าย จอก แหน เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ หลายชนิด เช่น หอยขม กุ้ง ปลา สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก เช่น กบ คางคก อึ่งอาง รวมทั้งสัตว์ปีกที่จับสัตว์น้ำหรือสัตว์ สะเทินน้ำสะเทินบกเป็นอาหาร เช่น นกกระยาง นกปากห่าง ได้แก่ ทะเล มหาสมุทร อ่าว หาดทราย หาดหิน หาดโคลน พื้นทะเล พื้นมหาสมุทร และแนวปะการัง ซึ่งเป็น บริเวณที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ใน ระบบนิเวศทะเล ได้แก ่ แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ สาหร่าย ปลาชนิดต่างๆ กุ้ง หอย หมึก แมงกะพรุน และ อื่นๆ เป็นป่าบริเวณชายฝั่งทะเลและปากแม่น้ำของประเทศในป่าเขต ร้อน เป็นบริเวณน้ำกร่อย ในประเทศไทยพบแถบจังหวัดชายฝั่งทะเลทาง ภาคตะวันออกและภาคใต้ สภาพดินเป็นดินเลนระดับน้ำทะเลในช่วงต่างๆ ของแต ่ละวันแตกต ่างกัน ดินบริเวณป ่าชายเลนอุดมไปด้วยแร ่ธาตุ สารอาหารต่างๆกลุ่มพืชที่พบ ได้แก่ โกงกาง แสม ตะบูน และเสม็ด เป็น พืชที่ส่วนใหญ่มีรากค้ำจุนลำต้น มีรากหายใจโผล่พ้นพื้นดินเลน โกงกาง เป็นพืชที่นิยมใช้ผลิตถ่านไม้ ซึ่งให้ความร้อนสูง ส่วนกลุ่มสัตว์ที่พบมีทั้ง สัตว์น้ำ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา สัตว์หน้าดิน สัตว์ในดิน นก มีตัวอ่อน ของสัตว์น้ำหลายชนิด นอกจากนี้ป่าชายเลนยังช่วยลดความรุนแรงของลม พายุก่อนที่จะพัดถึงฝั่ง ถ้าระบบนิเวศป่าชายเลนถูกทำลายจะมีผลกระทบ ถึงระบบนิเวศชิดอื่นด้วย เป็นระบบนิเวศที ่มีความหลากหลายทางชีวะภาพ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์หลายชนิดเป็นแหล่งต้น น้ำลำธาร มีอินทรีย์สารแร่ธาตุที่สำคัญ ให้ผลผลิตหลายชนิด จากพืช และสัตว์ทั้งที่เป็นยารักษาโรคอาหารที่อยู่อาศัยช่วย รักษาอุณหภูมิของโลกช ่วยให้ฝนตกตามฤดูกาลและควบคุม ปริมาณน้ำฝนและการกักเก็บน้ำในดินมีป่าไม้หลายชนิด เช่น ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าพรุ เป็นระบบนิเวศที่มนุษย์สร้างขึ้น ประกอบด้วยอาหาคาร สิ่งก่อสร้างจำนวนมาก เช่น ถนน สะพานลอย อนุสาวรีย์ น้ำพุ เสาไฟฟ้า รถยนต์ เป็นระบบนิเวศที่มีคนอาศัยอยู่ อย่างหนาแน่นส่วนใหญ่จะพบจำนวนน้อย มีฝุ่นละอองในอากาศมาก การหมุนเวียนของ อากาศมีน้อย มีขยะมูลฝอยจำนวนมากมีทั้งแหล่งเจริญ และแหล่งเสื่อมโทรม 4.ระบบนิเวศป่าไม้ 1. ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด
คำชี้แจง : 1.ให้นักเรียนเติมข้อความลงในช่องว่างให้ถูกต้อง พืชที่พบบางส่วนอยู่ใต้นํ้า บางส่วนอยู่เหนือนํ้า พืชที่ลอยนํ้าหรือพบตามผิวนํ้า พืชที่พบอยู่บนดินริมน้ำ พืชที่จมนํ้าหรือพบใต้นํ้า สัตว์ที่พบในน้ำ สัตว์ที่พบบนบก ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับแหล่งที่อยู่ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๒ คะแนน สิ่งรอบตัวเรามีทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตรวมเรียกว่า สิ่งแวดล้อม (environment) นอกจากนี้ เสียง ความร้อน ความดันอากาศ ความดันของเหลว ความชื้น ล้วนจัดเป็น ส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม 2. ให้นักเรียนนำข้อความที่กำหนดให้ เติมลงใต้รูปภาพให้ถูกต้อง พืชที่ลอยนํ้าหรือพบตามผิวนํ้า พืชที่จมน้ำหรือพบใต้น้ำ พืชที่พบบางส่วนอยู่ใต้น้ำ บางส่วนอยู่เหนือน้ำ พืชที่พบอยู่บนดินริมน้ำ สัตว์ที่พบบนบก สัตว์ที่พบในน้ำ
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๒ คะแนน สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ เป็นปัจจัยสำคัญในการ ดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตมีดังนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตกับ สภาพแวดล้อมที่ไม่มีชีวิตในบริเวณแหล่งที่อยู่ นั้นเรียกว่า ความสัมพันธ์ทางกายภาพ เช่น 1.สิ่งแวดล้อม (environment) หมายถึง องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต ซึ่งมีความสัมพันธ์ และเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศ เช่น แสง อุณหภูมิ น้ำ ดิน แร่ธาตุ อากาศ 2.สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ (biologicalenvironment) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ ร่วมกันในบริเวณแหล่งที่อยู่นั้น 3.สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (physicalenvironment) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม ที่ไม่มีชีวิตในบริเวณแหล่งที่อยู่นั้น เช่น แสง น้ำ อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊ส 1. แสงสว่าง 2. อุณหภูมิ 3. น้ำหรือความชื้น 4. แร่ธาตุและแก๊ส 5.ความเป็นกรด-เบสของดินและน้ำ 1.ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ อุณหภูมิ 2.น้ำ 3.อากาศ 4.แร่ธาตุ 5.แสงสว่าง
คำชี้แจง : ให้นักเรียนนำอักษรและข้อความด้านล่าง เติมหน้าประโยคทางด้านบนซ้ายมือให้สัมพันธ์กัน ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๒ คะแนน ระดับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศสิ่งมีชีวิตหลายชนิดในธรรมชาติมีความสัมพันธ์ต่างกัน ซึ่งจัดระดับ ความสัมพันธ์เป็น 4 ระดับดังนี้ 1. ระดับประชากร (population) หมายถึงสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันตั้งแต่ 2 ตัว ขึ้นไปมาอยู่ร ่วมกันในบริเวณหนึ่ง เช่น ปลาหางนกยูง 3 ตัวในขวดน้ำ 2. ระดับกลุ่มสิ่งมีชีวิต (community) หมายถึง สิ่งมีชีวิตตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน เช่น มด และแมลงกระชอนที่อยู่ใต้ขอนไม้ กุ้ง และปลาในคลอง นกเอี้ยงเกาะอยู่บนหลังควาย 3. ระดับระบบนิเวศ (ecosystem) หมายถึง ความสัมพันธ์ของกลุ ่มสิ ่งมีชีวิตกับสิ ่งแวดล้อมบริเวณนั้นมีการ หมุนเวียนสารและพลังงานเป็นวัฏจักรเช่น ระบบนิเวศป่าไม้มีการหมุนเวียนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจน มี การถ่ายทอดพลังงาน เช่น หนอนกินใบไม้ นกกินหนอน 4. ระดับชีวภาค (biosphere) หมายถึง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกเป็นระบบนิเวศที่มีขนาดใหญ่มาก ก. ระดับระบบนิเวศ (ecosystem) ข. ระดับกลุ่มสิ่งมีชีวิต (community) ค. ระดับชีวภาค (biosphere) ง. ระดับประชากร (population)
คำชี้แจง : ให้นักเรียนอธิบายลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกัน พร้อมยกตัวอย่าง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๒ คะแนน รูปแบบความสัมพันธ์ ลักษณะความสัมพันธ์ ตัวอย่างความสัมพันธ์ ภาวะพึ่งพากัน (mutualism) , , , , ภาวะอิงอาศัย หรือภาวะเกื้อกูล (commensalism) ภาวะปรสิต (parasitism) ภาวะการล่าเหยื่อ (predation) ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์ (ผู้อาศัย) อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้รับและไม่เสีย ประโยชน์(ผู้ให้อาศัย) • เสือล่ากวาง • นกกินหนอน • ต้นกาบหอยแครงกับแมลง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ที่ได้รับประโยชน์ร่วมกัน ขาดจากกัน ไม่ได้ • ไลเคน (รากับสาหร่าย) • โพรโทซัวในลำไส้ปลวก • แบคทีเรียในปมรากถั่ว • เหาฉลามกับปลาฉลาม • นกทำรังบนต้นไม้ใหญ่ • กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่ ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ฝ่ายปรสิต (parasite) ได้รับ ประโยชน์อาจอยู่ภายนอกหรืออยู่ ภายในอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นผู้ถูกอาศัย (host) จะเสียประโยชน์ • พยาธิในลำไส้ใหญ่มนุษย์ • กาฝากกับต้นไม้ใหญ่ • เห็บและหมัดบนตัวสุนัข ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ฝ่ายที่เป็นผู้ล่า (predator) ได้รับ ประโยชน์ ส่วนอีกฝ่ายที่เป็นเหยื่อ (prey) จะเสียประโยชน์ เพราะ เป็นอาหารของผู้ล่า
คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกความสัมพันธ์และอธิบายลักษณะการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๒ คะแนน ความสัมพันธ์ของ ดอกไม้กับผีเสื้อ การอยู่ร่วมกัน ผีเสื้อดูดน้ำหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร และดอกไม้ได้รับ ประโยชน์จากผีเสื้อในการช่วยผสมเกสร ความสัมพันธ์ของ ไลเคนหรือรากับสาหร่าย การอยู่ร่วมกัน สาหร่ายสามารถสร้างอาหารเองได้ด้วยการสังเคราะห์ ด้วยแสง ส่วนราให้ความชื้นแก่สาหร่าย และดูดซึมอาหารจากสาหร่าย ความสัมพันธ์ของ กล้วยไม้กับต้นไม้ การอยู่ร่วมกัน กล้วยไม้ใช้เพียงรากยึดเกาะกับเปลือกของต้นไม้แต่ได้ ความชื้นหรือน้ำจากอากาศ ความสัมพันธ์ของ เหยี่ยวกับนก การอยู่ร่วมกัน เหยี่ยวกินนกเป็นอาหาร เหยี่ยวจึงเป็นผู้ล่าส่วนนกเป็น อาหารของเหยี่ยว นกจึงเป็นเหยื่อหรือผู้ถูกล่า ความสัมพันธ์ของ กากับต้นไม้ การอยู่ร่วมกัน กาฝากอาศัยและเกาะอยู่บริเวณเปลือกไม้โดยใช้รากดูด สารอาหารและน้ำจากต้นไม้ ส่วนต้นไม้จะสูญเสียแร่ธาตุและน้ำ ทำให้ต้นไม้ อ่อนแอลง
คำชี้แจง : ใให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง คู่สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตตัวที่ 1 สิ่งมีชีวิตตัวที่ 2 ลักษณะความสัมพันธ์ เหยี่ยวกับนก เหยี่ยว + นก - ( + , - ) วัวกับนกเอี้ยง วัว + นกเอี้ยง + (+ , +) กาฝากกับมะม่วง กาฝาก + มะม่วง - ( + , - ) แมลงกับดอกไม้ แมลง + ดอกไม้+ (+ , +) พลูด่างกับต้นไม้ พลูด่าง + ต้นไม้0 (+ , 0) กล้วยไม้ป่ากับต้นยางนา กล้วยไม้ป่า + ต้นยางนา 0 (+ , 0) ปูเสฉวนกับซีแอนนีโมนี ปูเสฉวน + ซีแอนนีโมนี+ (+ , +) ตั๊กแตนตำข้าวกับแมลงปอ ตั๊กแตนตำข้าว + แมลงปอ - ( + , - ) ปลาเหาฉลามกับปลาฉลาม ปลาเหาฉลาม + ปลาฉลาม 0 (+ , 0) ปลาการ์ตูนกับดอกไม้ทะเล ปลาการ์ตูน + ดอกไม้ทะเล + (+ , +) ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๒ คะแนน ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตจากตารางมีกี่กลุ่ม และสิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่มมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ความสัมพันธ์มีทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ • แบบที่ 1 คือ สิ่งมีชีวิตหนึ่งทั้งสองชนิดได้ประโยชน์ (+ , +) • แบบที่ 2 คือ สิ่งมีชีวิตหนึ่งได้ประโยชน์ และสิ่งมีชีวิตหนึ่งไม่เสียหรือได้ประโยชน์ (+ , 0) • แบบที่ 3 คือ สิ่งมีชีวิตหนึ่งได้ประโยชน์ และสิ่งมีชีวิตหนึ่งเสียประโยชน์ (+
คำชี้แจง : ให้นักเรียนเตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๓ คะแนน ➢ โซ่อาหาร (food chain) คือ การถ่ายทอดพลังงานของสิ่งมีชีวิตเป็นทอด ๆ เป็นความสัมพันธ์ ของสิ่งมีชีวิตที่มีการบริโภคต่อ ๆ กันจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค ในห่วงโซ่อาหารประกอบไปด้วยทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย ➢ สายใยอาหาร (food web) คือ เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีการถ่ายทอดพลังงานที่ซับซ้อน มีโซ่อาหารที่มีความสัมพันธ์กันหลาย ๆ โซ่อาหารในระบบนิเวศ ➢ สิ่งมีชีวิตเริ่มการถ่ายทอดพลังงานจากสิ่งมีชีวิตชนิดใดแล้วไปจบที่สิ่งมีชีวิตชนิดใด เริ่มจากผู้ผลิตสังเคราะห์อาหารจากแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดพลังงานขึ้นในเซลล์หลังจากนั้นสัตว์กินพืชจะ กินพืช แล้วก็จะถูกสัตว์กินสัตว์กินต่อกันเป็นทอดๆ จนเมื่อตายลงจะกลายเป็นซากพืชซากสัตว์และถูกผู้ย่อย สลายสารอินทรีย์ย่อยสลายกลายเป็นสารอินทรีย์ ซึ่งจะกลายเป็นแร่ธาตุให้แก่พืชต่อไป การถ่ายทอดพลังงานในโซ่อาหาร ข้าว ตั๊กแตน กบ เหยี่ยว 1.ผู้ผลิต (producer) ได้แก่ ข้าว 2.ผู้บริโภคลำดับที่หนึ่ง (primary consumer) ได้แก่ ตั๊กแตน เป็นผู้บริโภคพืช 3.ผู้บริโภคลำดับที่สอง (secondary consumer) ได้แก่ กบ เป็นผู้บริโภคสัตว์ 4.ผู้บริโภคลำดับสูงสุด (top consumer) ได้แก่ เหยี่ยว เป็นผู้บริโภคสัตว์
คำชี้แจง : ให้นักเรียนเรียงลำดับสิ่งมีชีวิตตามบทบาทของผู้ผลิต ผู้บริโภคลำดับ 1 ผู้บริโภคลำดับ 2 และผู้บริโภคลำดับ 3 ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง โซ่อาหาร ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๓ คะแนน 1. คน หอยเชอรี่ ต้นข้าว เป็ด 2. หนูนา เหยี่ยว ต้นข้าว งู 3. เหยี่ยว สิงโต วัว หญ้า 4. มะม่วง เพลี้ยกระโดด นก เหยี่ยว ต้นข้าว หอยเชอรี่ เป็ด คน ต้นข้าว หนูนา งู เหยี่ยว หญ้า วัว สิงโต เหยี่ยว มะม่วง เพลี้ยกระโดด นก เหยี่ยว
คำชี้แจง : จากสายใยอาหารข้างล่างนี้ สิ่งมีชีวิตชนิดใดเป็นผู้ผลิต สิ่งมีชีวิตกินพืช สิ่งมีชีวิตกินสัตว์ สิ่งมีชีวิตกินทั้งพืชและสัตว์และผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง สายใยอาหาร ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๓ คะแนน จากข้อมูลสายใยอาหารที่กำหนดให้ สรุปได้ดังนี้ 1. สิ่งมีชีวิต A คือ ผู้ผลิต 2. สิ่งมีชีวิต B คือ สิ่งมีชีวิตกินพืช 3. สิ่งมีชีวิต D คือ สิ่งมีชีวิตกินสัตว์ 4. สิ่งมีชีวิต C และ E คือ สิ่งมีชีวิตกินทั้งพืชและสัตว์ 5. สิ่งมีชีวิต F คือ ผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์
คำชี้แจง : ให้นักเรียนเติมชื่อสิ่งมีชีวิตลงในสายใยอาหารและเขียนลูกศรการถ่ายทอดพลังงานให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง สายใยอาหาร ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๓ คะแนน ต้นข้าวโพด ตั๊กแตน นก กบ งู หนู นกเค้าแมว เหยี่ยว หนอน 1.ต้นข้าวโพด 2.หนอน 3.นก 4.งู 5. นกเค้าแมว 6.เหยี่ยว 8.ตั๊กแตน 7. กบ 9. หนู
คำชี้แจง : ให้นักเรียนเขียนสายใยอาหารและเขียนลูกศรการถ่ายทอดพลังงานให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง สายใยอาหาร ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๓ คะแนน วัว หมาป่า เหยี่ยว นกฮูก งู หนู หญ้า กระต่าย สิงโต แมวป่า หญ้า วัว หนู นกฮูก เหยี่ยว แมวป่า สิงโต หมาป่า งู กระต่าย
คำชี้แจง : จากแผนภาพเป็นพีระมิดโซ่อาหารประเภทใด ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง พีระมิดโซ่อาหาร ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๓ คะแนน พีระมิดโซ่อาหาร คือ การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลำาดับต่าง ๆ จนถึงผู้ย่อยสลาย สารอินทรีย์ พลังงานจะลดลงไปในแต่ละลำดับ และเมื่อพิจารณาจำนวนผู้ผลิตและผู้บริโภคลำาดับต่าง ๆจะมีจำนวน ลดลงตามลำดับ ซึ่งคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงมวลสาร การถ่ายทอดพลังงาน จำนวนประชากรและมวลของสิ่งมีชีวิต จะมีลักษณะเป็นรูปพีระมิด ชื่อพีระมิด จำนวนของสิ่งมีชีวิต จากภาพเป็นพีระมิดที่แสดง จำนวนประชากรของสิ่งมีชีวิตตามลำดับขั้นของ การบริโภคในหนึ่งหน่วยพื้นที่ ซึ่งพีระมิดจำนวนของสิ่งมีชีวิตมักมีรูปลักษณ์ต่าง จากพีระมิดฐานกว้างทั ่วไป เนื ่องจากจำนวนประชากรในระบบนิเวศ ไม ่ได้ คำนึงถึงมวลชีวภาพของสิ่งมีชีวิต ทำให้เกิดพีระมิดกลับด้านในระบบนิเวศที่มี จำนวนของผู้ผลิตน้อย แต ่มีชีวมวลขนาดใหญ ่ ซึ ่งสามารถรองรับผู้บริโภค จำนวนมาก ชื่อพีระมิด มวลของสิ่งมีชีวิต จากภาพเป็นพีระมิดที่แสดง ปริมาณมวลรวมชีวภาพหรือเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต ในแต่ละลำดับขั้นของการบริโภค ในรูปของน้ำหนักแห้ง (Dry Weight) ต่อ หนึ่งหน่วยพื้นที่ ซึ่งพีระมิดมวลของสิ่งมีชีวิต สามารถแสดงผลของการถ่ายทอด พลังงานภายในห่วงโซ่อาหารได้แม่นยำขึ้น ถึงแม้จำนวนหรือมวลของสิ่งมีชีวิตจะมี การเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาหรือฤดูกาลต่าง ๆ รวมไปถึงอัตราการ เจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่ไม่คงที่ ชื่อพีระมิด พลังงานของสิ่งมีชีวิต จากภาพเป็นพีระมิดที่แสดง ปริมาณพลังงานของสิ่งมีชีวิตในแต่ละลำดับขั้น ของการบริโภคภายในห ่วงโซ ่อาหาร ซึ ่งสามารถแสดงผลของการถ ่ายทอด พลังงานภายในห่วงโซ่อาหารได้ชัดเจนที่สุด โดยพีระมิดปริมาณพลังงานจะมี ลักษณะเป็นพีระมิดฐานกว้างเสมอ ตามปริมาณพลังงานของสิ่งมีชีวิตในแต่ละ ลำดับขั้นของการบริโภค ซึ่งจะมีค่าลดลงตามลำดับขั้นที่สูงขึ้นตาม “กฎ 10 เปอร์เซ็นต์” (Ten Percent Law)
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง บทบาทและความสำคัญของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๔ คะแนน กลุ่มของสิ่งมีชีวิตภายในระบบนิเวศจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อีกทั้งสิ่งมีชีวิตในแต่ละชนิดยังแสดงบทบาท และความสำคัญภายในระบบนิเวศแตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้ 1.ผู้ผลิต (producer) หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารได้เองตามธรรมชาติ ได้แก่ พืชสีเขียว เนื่องจากสามารถ สังเคราะห์ด้วยแสงได้เซลล์ของพืชมีคลอโรฟิลล์รับพลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ โดยมี น้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็น วัตถุดิบที่ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ได้น้ำตาลกลูโคส ออกซิเจน และน้ำาเป็นผลผลิตน้ำตาลกลูโคสจะถูก เปลี่ยนไปเป็นแป้งสะสมไว้ที่ส่วนต่าง ๆ ของพืช ส่วนแก๊สออกซิเจน และไอน้ำจะคายออกทางปากใบ 2.ผู้บริโภค (consumer) หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารเองไม่ได้ ต้องกินสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ เป็นอาหาร ได้แก่ สัตว์ต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 2.1 ผู้บริโภคพืช (herbivore) ถือเป็นผู้บริโภคลำดับที่หนึ่ง เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย 2.2 ผู้บริโภคสัตว์ (carnivore) ถือเป็นผู้บริโภคลำดับที่สอง เช่น เสือ สิงโต งู เหยี่ยว 2.3 ผู้บริโภคทั้งพืชและสัตว์ (omnivore) ถือเป็นผู้บริโภคลำดับที่สาม เช่น คน สุนัข ไก่ 2.4 ผู้บริโภคซากพืชซากสัตว์ (scavenger) ถือว่าเป็นผู้บริโภคลำดับสุดท้าย เช่น ไส้เดือนดิน กิ้งกือ ปลวก นก แร้ง 3.ผู้ย่อยสลายอินทรียสาร (decomposer) หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่ทำหน้าที่ย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ให้เป็นสาร อนินทรีย์ ได้แก่ เห็ด รา และแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปทั้งในน้ำ อากาศ และดิน 4.ให้นักเรียนยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่เป็นสิ่งมีชีวิตกินพืช สิ่งมีชีวิตกินสัตว์ สิ่งมีชีวิตกินพืชและสัตว์ และสัตว์กินซากมา อย่างละ 2 ชนิด สิ่งมีชีวิตกินพืช เช่น ตั๊กแตน วัว สิ่งมีชีวิตกินสัตว์ เช่น เสือ สุนัขป่า สิ่งมีชีวิตกินพืชและสัตว์ เช่นลิงแสม มนุษย์ สัตว์กินซาก เช่น แร้ง ไส้เดือน
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง การสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวิตในโซ่อาหาร ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๕ คะแนน การสะสมสารพิษในโซ่อาหาร หมายถึง กระบวนการกินอาหารของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ทำให้ สิ่งมีชีวิตได้รับทั้งพลังงานและสารพิษ ยาฆ่าแมลง ปรอท แคดเมียม และสารพิษต่าง ๆที่มนุษย์ ใช้และทิ้งลงสู่สิ่งแวดล้อม สารพิษเหล่านี้สามารถถ่ายทอดไปตามโซ่อาหารไปสู่ผู้บริโภคได้ จากโซ่อาหารที่กำหนด ตอบคำถามต่อไปนี้ สาหร่าย ปลาซิว นกยาง ลูกปลาช่อน 1.สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีบทบาทอย่างไร โดยที่สาหร่ายมีบทบาทเป็นผู้ผลิต ปลาซิวเป็นสิ่งมีชีวิตกินพืช (ผู้บริโภคลำดับที่ 1) ลูกปลาช่อนเป็นสิ่งมีชีวิตกินสัตว์ (ผู้บริโภคลำดับที่ 2) และนกยางเป็นสิ่งมีชีวิตกินสัตว์ (ผู้บริโภคลำดับที่ 3 หรือลำดับสุดท้ายของโซ่อาหาร) 2. สารพิษในระบบนิเวศเริ่มต้นสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตชนิดใดเป็นลำดับแรก สาหร่าย 3. ในลำดับของโซ่อาหาร สิ่งมีชีวิตใดสะสมสารพิษมากที่สุด เพราะเหตุใด นกยางมีสารพิษสะสมมากที่สุด เนื่องจากเป็นผู้บริโภคลำดับสุดท้ายในโซ่อาหารนี้ ซึ่งกินลูกปลาช่อนหลายตัว 4.จากโซ่อาหารนี้ ปริมาณพลังงานจากสาหร่ายที่ถ่ายทอดไปยังผู้บริโภคลำดับต่าง ๆ เปลี่ยนไปอย่างไร พลังงานที่ถ ่ายทอดไปจะลดลงไปตามลำดับขั้นของการบริโภค โดยผู้ผลิต (สาหร ่าย) จะมีพลังงานสะสมใน เนื้อเยื่อมากที่สุด ปลาซิวได้รับพลังงานสะสมในเนื้อเยื่อจากผู้ผลิตมากที่สุด ในขณะที่นกยางได้รับพลังงานสะสมใน เนื้อเยื่อจากผู้ผลิตน้อยที่สุด
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง สมดุลของระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๖ คะแนน 1.สมดุลของระบบนิเวศคืออะไร เป็นภาวะที่มีการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมในด้านการเป็นอาหาร ที่อยู่อาศัยการแลกเปลี่ยนแก๊สได้อย่างเหมาะสม ทำให้ระบบนิเวศคงอยู่ได้ ถ้าความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งมีชีวิตหรือสิ่งแวดล้อมถูกทำลายจะทำลายภาวะสมดุลในระบบนิเวศ จึงควรรักษาความสมดุล ของระบบนิเวศให้คงที่ 2.ปัจจัยที่ทำให้ระบบนิเวศอยู่ในภาวะสมดุลคืออะไร การถ่ายทอดพลังงาน ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต การหมุนเวียนสาร และแหล่งที่อยู่เหมาะสม 3.ภาวะสมดุลของระบบนิเวศหมายถึงอะไร ภาวะที่มีความสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่ทำาให้สิ่งมีชีวิตสามารถดำารงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้อย่าง สมบูรณ์และเหมาะสมกับปัจจัยต่างๆ 4.สาเหตุที่ทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุลคืออะไร การเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็ว การขยายตัวของเขตเมือง การใช้สารเคมีและการเกิดโรคระบาด และภัยพิบัติทางธรรมชาติ
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ระบบนิเวศ เรื่อง สมดุลของการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว๑.๑ ม.๓/๖ คะแนน จากแผนภาพคือวัฏจักรน้ำ (water cycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพการดำรงอยู่ของน้ำตามสภาพแวดล้อมที่ แปรเปลี่ยน ทั้งในสิ่งมีชีวิต อากาศ ดิน และหิน จากระบบหนึ่ง ไปสู่ระบบหนึ่งหมุนเวียนเป็นวัฏจักร จากแผนภาพคือวัฏจักรคาร์บอน (carbon cycle)หมายถึง การเปลี่ยนแปลงรูปของธาตุคาร์บอนในสถานะต่างๆที่หมุนเวียนเป็น องค์ประกอบในอากาศ แร่ธาตุ น้ำ สัตว์ และพืช ด้วยกระบวนการ ทางเคมี และการย่อยสลายของจุลินทรีย์จากระบบหนึ่งไปสู่ระบบ หนึ่ง หมุนเวียนเป็นวัฏจักร จากแผนภาพคือวัฏจักรไนโตรเจน (nitrogen cycle)หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพของธาตุไนโตรเจน และสารประกอบไนโตรเจน ตามสภาพแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนด้วยกระบวนการทางเคมี และการ ย่อยสลายของจุลินทรีย์ ทั้งในสิ่งมีชีวิต อากาศ ดิน หิน และน้ำ จากระบบหนึ่งไปสู่ระบบหนึ่ง หมุนเวียนเป็นวัฏจักร จากแผนภาพคือวัฏจักรฟอสฟอรัส (phosphorus cycle) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพของธาตุฟอสฟอรัส และสารประกอบ ฟอสฟอรัสตามสภาพแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนด้วยกระบวนการทางเคมี และการย ่อยสลายของจุลินทรีย์ ทั้งในหิน ดิน น้ำ และสิ ่งมีชีวิต จากระบบหนึ่งไปสู่ระบบหนึ่ง หมุนเวียนเป็นวัฏจักร
คำชี้แจง : ให้นักเรียนอธิบายและตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง ลักษณะทางพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑ คะแนน ลักษณะทางพันธุกรรม (genetic character) คืออะไร ลักษณะต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิตที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นต่อ ๆ ไปโดยผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์ ทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากลักษณะของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ๆ เช่น สีผิว สีตา ลักษณะเส้นผม สีและกลิ่นของดอกไม้ ลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้อย่างไร ลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งโดยมียีนเป็นตัวกำหนดหรือควบคุม การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ซึ่งลูกจะได้รับยีนจากพ่อและแม่ในกระบวนการปฏิสนธิโดยผ่านทาง เซลล์สืบพันธุ์ เราสามารถนำความรู้เกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปใช้ประโยชน์ในด้านใดบ้าง มีการนำความรู้เกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น การปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ การวางแผนก่อนแต่งงานและก่อนมีบุตรเพื่อป้องกันการเกิดโรคทาง พันธุกรรม ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแปรผันแบบไม่ต่อเนื่อง คือไร เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน ไม่แปรผันตามอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ลักษณะทางพันธุกรรม เช่นนี้เป็นลักษณะที่เรียกว่า ลักษณะทางคุณภาพ ซึ่งเกิดจากอิทธิพลทางพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว เช่น ลักษณะหมู่เลือด ลักษณะ เส้นผม ความถนัดของมือ จำนวนชั้นตา เป็นต้น ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแปรผันแบบต่อเนื่อง คือไร เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ชัดเจน ลักษณะพันธุกรรมเช่นนี้ มักเกี่ยวข้องกันทางด้านปริมาณ เช่น ความสูง น้ำหนัก โครงร่าง สีผิว ลักษณะทีมีความแปรผันต่อเนื่องเป็นลักษณะที่ได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อมร่วมกัน 1 2 3 4
คำชี้แจง : ให้นักเรียนนำคำไปเติมในช่องว่างให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑ คะแนน เซลล์ของสิ ่งมีชีวิตส ่วนใหญ ่มีนิวเคลียส ภายในนิวเคลียสมีเส้นใยเล็ก ๆ ที ่เรียกว ่า โครมาทิน (chromatin)พันกันเป็นร่างแหประกอบด้วยโปรตีน และดีเอ็นเอ (DNA : deoxyribonucleic acid) ใน ระยะที่มีการแบ่งเซลล์เส้นใยโครมาทินจะขดสั้นเข้าจนมีลักษณะเป็นท่อนกระจายอยู่ทั่ว ๆ ไป เป็นคู่ ๆ เรียกว่า โครโมโซม (chromosome) ซึ่งประกอบด้วยโครมาทิด (chromatid) 2โครมาทิด ที่เหมือนกันทุกประการโดย เชื่อมติดกันตรงตำแหน่งเซนโทรเมียร์ (centromere)บนโครโมโซมแต่ละคู่มียีน (gene) ซึ่งเป็นหน่วยพันธุกรรม ที่ควบคุมลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตนั้น โครโมโซมที่เป็นคู่กันมีการเรียงลำดับของยีนบนโครโมโซมเหมือนกันเรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome) ยีนหนึ่งที่อยู่บนคู่ฮอมอโลกัสโครโมโซมอาจมีรูปแบบ แตกต่างกันเรียกแต่ละรูปแบบของยีนที่ต่างกันนี้ว่า แอลลีล (allele) ซึ่งการเข้าคู่กันของแอลลีลต่าง ๆ อาจส่งผลทำ ให้สิ่งมีชีวิตมีลักษณะที่แตกต่างกันได้ เช่น แอลลีลสีของดอกไม้อาจเป็นยีนสีแดงเข้าคู่กับยีนสีแดง หรือยีนสีแดงเข้าคู่ กับยีนสีขาว ดีเอ็นเอ (DNA) ยีน (gene) โครมาทิน (chromatin) โครโมโซม (chromosome) แอลลีล (allele) โครมาทิด (chromatid) เซนโทรเมียร์ (centromere) ฮอมอโลกัสโครโมโซม (homologous chromosome) นิวเคลียส โครโมโซม เซนโทรเมียร์ โครมาทิด ยีน ดีเอ็นเอ
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑ คะแนน 1.โครโมโซมมีกี่ชนิด อะไรบ้าง โครโมโซม 2 ชนิด 1. ออโตโซม (autosome) 2. โครโมโซมเพศ (sex chromosome) 2.สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีโครโมโซมเท่ากันหรือไม่ อย่างไร สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีโครโมโซมไม่เท่ากัน ซึ่ง จำนวนโครโมโซมทำให้สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีลักษณะ แตกต่างกัน 3.ออโตโซม (autosome)คืออะไร โครโมโซมคู่ที่ 1 ถึงคู่ที่ 22 ที่เหมือนกันทั้งเพศหญิง และเพศชายเป็นโครโมโซมที่แสดงลักษณะต่าง ๆ ของ ร่างกายมีทั้งหมด 22 คู่ ถ้าขาดหรือเกินจะเกิดความผิดปกติของร่างกาย ซึ่งจะสามารถถ่ายทอดลักษณะผิดปกตินั้น จากบรรพบุรุษทางพันธุกรรม 4. โครโมโซมเพศ (sex chromosome) คืออะไร โครโมโซมคู่ที่ 23 ของมนุษย์ ลักษณะของเพศหญิง หรือเพศชายขึ้นอยู่กับโครโมโซมเพศที่มาจับคู่กัน โดยที่ เพศหญิงจะมีโครโมโซมเพศเป็น XX และเพศชายมีโครโมโซมเพศเป็น XY 1.โครโมโซมในเซลล์ร่างกายของมนุษย์เพศชายและเพศหญิงมีจำนวนเท่ากัน หรือไม่ อย่างไร มีจำนวนเท่ากัน คือ 46 แท่ง หรือ 23 คู่ 2.โครโมโซมในเซลล์ร่างกายของมนุษย์เพศชายและเพศหญิงเหมือนหรือแตกต่าง กันอย่างไร โครโมโซมของมนุษย์เพศชายและเพศหญิงมีลักษณะที่เหมือนกัน 22 คู่ และมี ลักษณะแตกต่างกัน 1 คู่ 3.เซลล์ร่างกายของมนุษย์เพศชายและเพศหญิงมีจำนวนฮอมอโลกัสโครโมโซมกี่คู่ เพศชายมีฮอมอโลกัสโครโมโซมจำนวน 22 คู่ ได้แก่ คู่ที่ 1-22 ส่วนเพศหญิง มีฮอมอโลกัสโครโมโซมจำนวน 23 คู่ ได้แก่ คู่ที่ 1-23
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑ คะแนน หน่วยพันธุกรรมหรือยีน (gene) หมายถึง หน่วยที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต ที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน ปรากฏอยู่บนโครโมโซม โดยโครโมโซมประกอบด้วยดีเอ็นเอ (DNA) ซึ่งใน ดีเอ็นเอ (DNA)นั้นมียีนอยู่ โดยทำหน้าที่กำหนดลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีจำนวนยีน แตกต่างกัน 1. ยีนเด่น (Dominant) คือ ยีนที่สามารถแสดงลักษณะนั้น ๆ ออกมาได้แม้จะมีเพียงยีนเดียว เช่น ยีน ผมหยักศกกับยีนผมเหยียดตรง เมื่อมาเข้าคู่กันสามารถแสดงลักษณะผมหยักศกได้ 2. ยีนด้อย (Recessive) คือ ยีนที่แสดงลักษณะออกมาได้เมื่อมียีนด้อยทั้งจากพ่อและแม่มาเข้าคู่กัน เช่น โรคทาลัสซีเมีย บนโครโมโซมต้องมียีนของโรคทาลัสซีเมียจากพ่อและแม่ ลูกที่เกิดมาจึงจะเป็นโรคทาลัสซีเมีย ลักษณะทางพันธุกรรม ลักษณะเด่น ลักษณะด้อย 1. เส้นผม ผมหยักศก ผมเหยียดตรง 2. การห่อลิ้น ห่อลิ้นได้ ห่อลิ้นไม่ได้ 3. ติ่งหู หูมีติ่ง หูไม่มีติ่ง 4. หนังตา ตก ไม่ตก 5. สายตา ปกติ สั้น 6. ลักยิ้ม มีลักยิ้ม ไม่มีลักยิ้ม 7. ริมฝีปาก หนา บาง 8. สันจมูก สันจมูกโค้ง สันจมูกตรง 9. แนวผมที่หน้าผาก แนวผมหยัก แนวผมตรง 10.ขนที่นิ้วมือข้อที่ 2 มี ไม่มี
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑ คะแนน ตำแหน่งของแอลลีล บนฮอมอโลกัสโครโมโซม แอลลีลที่สามารถแสดงลักษณะที่ยีนนั้นควบคุมอยู่ ออกมาได้ แม้ว่าจะมีแอลลีลนั้นอยู่ในยีนเพียงแอลลีลเดียว เรียกว่า แอลลีลเด่น (dominant allele) แอลลีลที่ไม่สามารถแสดง ลักษณะที่ยีนนั้นควบคุมออกมาได้ ถ้ามีแอลลีลเดียว แต่จะแสดง ลักษณะนั้นออกมาได้ ถ้ามีแอลลีลนั้น 2 แอลลีล เรียกว่า แอลลีลด้อย (recessive allele) แอลลีล (allele) คือ รูปแบบต่าง ๆ ของยีนยีนหนึ่ง มักเขียนแทนด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ เช่นยีนที่ควบคุมในเรื่องความสูง อาจแบ่งเป็นอัลลีลที่ควบคุมให้สูง อาจใช้สัญลักษณ์ T และอัลลีล ที่ควบคุมให้เตี้ย (ไม่สูง) อาจใช้สัญลักษณ์ t โดยทั่วไปอัลลีลของยีนเดียวกัน จะใช้อักษรภาษาอังกฤษ ตัวเดียวกัน แต่ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่และเล็ก ดีเอ็นเอ (DNA : deoxyribonucleic acid) หรือกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอิก คือ เป็นสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ทำหน้าที่เป็นยีนควบคุม ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ ่งมีชีวิต โครงสร้างของดีเอ็นเอมี ลักษณะเป็นเกลียวคู ่ (double helix) ประกอบด้วยสาย พอลินิวคลีโอไทด์ 2 สาย เชื่อมต่อกันด้วย เบสอินทรีย์คู่สมที่ ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะเคมีที่เรียกว่า พันธะไฮโดรเจน (hydrogen bond) นิวคลีโอไทด์ (nucleotide) เป็นมอนอเมอร์ของดีเอ็นเอ ประกอบด้วย พอลินิวคลีโอไทด์ (polynucleotide) เกิดจากนิวคลีโอไทด์จำนวนมาก เกิดปฏิกิริยาเชื่อมต่อเป็นสายเดียวกัน ฮอมอโลกัสโครโมโซม แอลลีล ตำแหน่งของแอลลีล น้ำตาลดีออกซีไรโบส หมู่ฟอสเฟต และเบสอินทรีย์ (มี 4 ชนิด คือ อะดีนีน ไทมีน กวานีน และไซโทซีน) หมู่ฟอสเฟต น้ำตาลดีออกซีไรโบส เบสอินทรีย์
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๒ คะแนน ลักษณะของต้นถั่วที่เมนเดลศึกษา 1.ต้นถั่วลันเตามีอายุสั้น ปลูกง่าย และมีผลดก เหตุผลของเมนเดล ที่เลือกใช้ถั่วลันเตาเป็น พืชในการทดลอง 2.ต้นถั่วลันเตามีหลายพันธุ์ที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน และ สามารถหาถั่วลันเตาพันธุ์แท้สำหรับทดลองได้โดยง่าย 3.ดอกถั่วลันเตามีลักษณะพิเศษที่บังคับให้ละอองเรณูผสมกับไข่ในดอก เดียวกันเท่านั้น การผสมข้ามดอกเกิดได้ยากมาก ในธรรมชาติจึงไม่มีการ ผสมข้ามต้น ลักษณะเช่นนี้เหมาะแก่การควบคุมการทดลองที่ผู้ทดลอง สามารถจัดให้มีการผสมข้ามต้นได้ ไม่ข้ามต้นก็ได้ ตามความประสงค์ของ ผู้ทดลอง 1. เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล คือใคร บิดาแห่งพันธุศาสตร์ 2. เมนเดลมีวิธีการคัดเลือกต้นถั่วพันธุ์แท้ที่มีลักษณะที่ต้องการศึกษาอย่างไร เมนเดลเลือกต้นถั่วที่มีลักษณะที่ต้องการ ปล่อยให้ผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน เมื่อถั่วออกฝักจึงนำเมล็ดไป ปลูกจนกระทั่งต้นถั่วเจริญเติบโตแล้วคัดเลือกต้นที่มีลักษณะที่ต้องการ จากนั้นให้ผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน เมื่อต้นถั่วเจริญเติบโตและออกฝักจึงนำเมล็ดไปปลูก ทำเช่นนี้อีกหลาย ๆ รุ่น จนต้นถั่วทุกต้นที่ได้จากการผสม มีลักษณะเหมือนเดิมทุกประการ 3. เหตุใดเมนเดลจึงปล่อยให้ต้นถั่วมีการผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกันหลาย ๆ รุ่น เพื่อคัดเลือกพันธุ์แท้ก่อนที่จะทำการผสมพันธุ์ ซึ่งจะทำให้ได้ต้นถั่วที่ใช้ในการผสมพันธุ์มีลักษณะอย่างใดอย่าง หนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
คำชี้แจง : ให้นักเรียนนำลักษณะของถั่วลันเตาที่กำหนดให้ เติมลงในช่องว่างใต้รูปภาพให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๒ คะแนน รูปร่างของเมล็ด สีของเมล็ด รูปร่างของฝัก สีของฝัก ตำแหน่งของดอก ความสูงของลำต้น สีของดอก รูปร่างของฝัก ตำแหน่งของดอก ความสูงของลำต้น รูปร่างของเมล็ด สีของเมล็ด สีของฝัก สีของดอก ➢ ลักษณะเด่น (dominant trait) คือ ลักษณะที่ปรากฏออกมาในรุ่นลูกหรือรุ่นต่อๆ ไปเสมอ ➢ ลักษณะด้อย (recessive trait) คือ ลักษณะที่ไม่มีโอกาสปรากฏในรุ่นต่อไป เป็นยีนที่แฝง อยู่จะถูกข่มโดยยีนเด่น
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง กฎของเมนเดล ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๒,๓ คะแนน 1. กฎการแยกตัว (Law of segregation) กล่าวว่า “แอลลีลของยีนที่อยู่เป็นคู่กันจะมีการแยกตัวออกจากกันใน ระหว่างที่มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เมื่อมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส และเมื่อมีการปฏิสนธิจะเกิดการรวมกันของเซลล์ สืบพันธุ์จากพ่อและแม่ ยีนที่เป็นคู่กันจะกลับมาคู่กันอีกครั้ง โดยสามารถศึกษาจากการพิจารณาทีละหนึ่งลักษณะ (Monohybrid cross)” จากกฎนี้สามารถเขียนแผนภาพเพื่ออธิบายกฎการแยกตัวได้ดังนี้ AA รุ่นพ่อแม่(P) เซลล์สืบพันธุ์ ลูกรุ่นที่ 1 จีโนไทป์(F1 ) จีโนไทป์ และฟีโนไทป์ ของ F 1 คือ________________________________ x aa จีโนไทป์ ____ ____ ____ ____ ____ A A Aa a a Aa สีม่วง มีอัตราส่วน = 1
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง กฎของเมนเดล ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๒,๓ คะแนน 2. กฎการจับคู่กันอย่างอิสระ (Law of independent assortment) กล่าวว่า “แอลลีล ของยีนที่เป็นคู่ กัน เมื่อแยกออกจากกันแล้ว จะจัดกลุ่มอย่างอิสระกับยีนอื่นซึ่งแยกออกจากคู่เช่นกันระหว่างการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ และ เมื่อมีการปฏิสนธิจะเกิดการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์จากพ่อและแม่ ยีนที่เป็นคู่กันจะกลับมาคู่กันอีกครั้ง โดยสามารถ ศึกษาได้จากการพิจารณาทีละสองลักษณะ (Dihybrid cross)” จากคำากล่าวนี้สามารถ เขียนแผนภาพและอธิบายกฎการจับคู่ของยีนอย่างอิสระได้ดังนี้ กำหนดให้ สีเม็ด R = เมล็ดสีเขียว ลักษณะเมล็ด Y = เมล็ดกลม r = เมล็ดสีเหลือง y = เมล็ดย่น รุ่นพ่อแม่(P) จีโนไทป์ เซลล์สืบพันธุ์ ลูกรุ่นที่ 1 จีโนไทป์ (F1 ) ฟีโนไทป์ __________________________ x กลมสีเขียว ย่นสีเหลือง จีโนไทป์ และฟีโนไทป์ ของ F 1 คือ _________________________________________ _______ _______ _______ _______ _______ _______ ____ ___ ____ ___ ____ ___ ____ ___ RRYY rryy RY ry RY ry RrYy RrYy RrYy RrYy เมล็ดสีเขียวกลมทุกต้น RrYy เมล็ดสีเขียวกลมทุกต้นมีอัตราส่วน = 1
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง กฎของเมนเดล ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๒,๓ คะแนน กำหนดให้ สีเม็ด R = เมล็ดสีเขียว ลักษณะเมล็ด Y = เมล็ดกลม r = เมล็ดสีเหลือง y = เมล็ดย่น ต่อมาเมื่อนำลูกรุ่นที่ 1 (F1 ) มาผสมกัน ผลที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะดังแผนภาพที่ ภาพแสดงการผสมพิจารณาสองลักษณะ จากภาพ ผลจากการทดลองพบว่า ลูกผสมรุ่นที่ 1 ( F 1 ) มีลักษณะทุกต้นจะให้เมล็ดกลม และมีสีเขียวลูกผสมรุ่นที่ 2 ( F 2 ) จะมีลักษณะต่าง ๆ (phenotype) 4 แบบ ด้วยกันคือ 1. เมล็ดกลม สีเขียว : 9 ส่วน 1 RRYY + 2 RrYY + 2 RRYy + RrYy 2. เมล็ดกลม สีเหลือง : 3 ส่วน 1 rrYY + 2 rrYy 3. เมล็ดย่น สีเขียว : 3 ส่วน 1 RRyy + 2 Rryy 4. เมล็ดย่น สีเหลือง : 1 ส่วน 1 rryy อัตราส่วนฟีโนไทป์ 9 : 3 : 3 : 1 RRYY RRYy RrYY RrYy RRYy RRyy RrYy Rryy RrYY RrYy rrYY rrYy RrYy Rryy rrYy rryy
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง จีโนไทป์และฟีโนไทป์ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๓ คะแนน 1. จีโนไทป์ (genotype) คือ ลักษณะของยีนที่ควบคุมการแสดงออก เช่น GG 2. เป็นลักษณะฝักสีเขียวฟีโนไทป์ (phenotype) คือ การแสดงออกของจีโนไทป์ที่สังเกตเห็นได้ (ลักษณะที่ปรากฏ) 3. พันธุ์แท้ หรือฮอมอไซกัส (homozygous) คือ ลักษณะที่ปรากฏให้เห็นโดยพันธุ์แท้จะมียีนที่เหมือนกันมาเข้าคู่ กันเป็นแอลลีล เช่น ลักษณะเด่นหรือลักษณะด้อยเหมือนกัน 4. พันธุ์ทาง หรือเฮเทอโรไซกัส (heterozygous) คือ ลักษณะที่ปรากฏให้เห็นเป็นลักษณะเด่น แต่มีลักษณะด้อย แฝงอยู่แอลลีลของยีนที่เข้าคู่กันจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น ลักษณะต้นสูงพันทางจะมีรูปแบบแอลลีล 5.ครอบครัวของฟ้าใส พ่อมีผิวปกติพันธุ์แท้ แม่มีผิวเผือกพันธุ์แท้ ฟ้าใสจะมีผิวลักษณะอย่างไร กำหนดให้ ผิวปกติเป็นลักษณะเด่น ถูกควบคุมด้วยยีน A ผิวเผือกเป็นลักษณะด้อย ถูกควบคุมด้วยยีน a ___________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________ จากแผนภาพสรุปได้ดังนี้ 1. ลูกทุกคนมีผิวปกติ (ร้อยละ 100) 2. ลูกทุกคนมีลักษณะพันทาง โดยมียีนผิวเผือกแฝงอยู่ ดังนั้น ฟ้าใสจะมีผิวปกติ แต่มียีนผิวเผือกแฝงอยู่
คำชี้แจง : ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง จีโนไทป์และฟีโนไทป์ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๒,๓ คะแนน 6.การมีติ่งหูและไม่มีติ่งหูของมนุษย์เป็นลักษณะที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ การมีติ่งหูเป็นลักษณะเด่นโดยมี แอลลีลควบคุมลักษณะการมีติ่งหู (E) เป็นแอลลีลเด่น ส่วนแอลลีลควบคุมลักษณะไม่มีติ่งหู (e) เป็นแอลลีลด้อย นักเรียนคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ว ่าพ่อแม่ที่มีติ่งหูทั้งคู่จะให้กำเนิดลูกที่ไม ่มีติ่งหู ให้นักเรียนอธิบายคำตอบโดยเขียน แผนภาพแสดงการถ่ายทอดลักษณะการมีติ่งหูและไม่มีติ่งหูจากพ่อแม่ไปสู่ลูก ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ 7.เบิร์ดมีผิวปกติพันทาง (มียีนผิวเผือกแฝงอยู่) แต่งงานกับส้มที่มีผิวปกติพันทาง (มียีนผิวเผือกแฝงอยู่) อยากทราบ ว่าลูกของเบิร์ดและส้มที่เกิดมาจะมีลักษณะอย่างไร กำหนดให้ผิวปกติเป็นลักษณะเด่น ถูกควบคุมด้วยยีน A ผิวเผือกเป็นลักษณะด้อย ถูกควบคุมด้วยยีน a ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ เป็นไปได้ เพราะถ้าทั้งพ่อและแม่มีจีโนไทป์เป็นเฮเทอโรไซกัสทั้งคู่ โอกาสที่จะมีลูกที่มีติ่งหูเท่ากับ 1/4 จากแผนภาพสรุปได้ดังนี้ 1. ลูกมีผิวปกติพันธุ์แท้ คิดเป็นร้อยละ 25 2. ลูกมีผิวปกติพันทาง คิดเป็นร้อยละ 50 3. ลูกมีผิวเผือก คิดเป็นร้อยละ 25 ดังนั้น เบิร์ดและส้มจะมีลูกผิวปกติคิดเป็นร้อยละ 75 และลูกผิวเผือกคิดเป็นร้อยละ 25 หรืออัตราส่วนผิวปกติต่อผิวเผือกเท่ากับ 3 : 1
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๔ คะแนน การแบ่งเซลล์ (cell division)คือ การเพิ่มจำนวนของเซลล์ (cell) ในสิ่งมีชีวิต เพื่อการเจริญเติบโต และรักษา ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมถึงสร้างเซลล์สืบพันธุ์ที่คงไว้ซึ่งสารพันธุกรรม ทำหน้าที่ควบคุม ลักษณะและการแสดงออกที่เป็นเอกลักษณ์ของสิ่งมีชีวิต การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส (mitosis) คือ การแบ่งเซลล์ร่างกายเพื่อการเจริญเติบโตโดยเริ่มต้น 1 เซลล์ แบ่งแล้วสุดท้ายได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์เหมือนเดิมทุกประการ ระยะอินเตอร์เฟส ระยะโพรเฟส ระยะเมทาเฟส ระยะแอนาเฟส ระยะเทโลเฟส เป็นระยะที่เซลล์มีเมแทบอลิซึมสูงมาก ใช้เวลานานที่สุด ถ้าย้อมสีจะเห็นส่วนที่ติดสี เข้มเรียกว่า โครมาทินมีการสร้างดีเอ็นเอเพิ่มขึ้นอีก 1 ชุดที่เหมือนเดิมทุกประการ เป็นระยะที่โครมาทินขดตัวสั้นขึ้นเห็นเป็นแท่ง 2 แท่งชัดเจน เรียกแต่ละแท่งว่า โครมาทิด เรียกชื่อโครงสร้างนี้ว่า โครโมโซม โครโมโซมที่ประกอบด้วย 2 โครมาทิด มีส่วนที่ติดกันตรง กลางเรียกว่า เซนโทรเมียร์ ระยะนี้เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสเริ่มสลายไป เป็นระยะที่เห็นโครโมโซมชัดเจน โครโมโซมเรียงตัวกันบริเวณแนวกึ่งกลางเซลล์ และ เห็นเส้นใยสปินเดิลเกาะที่เซนโทรเมียร์ เป็นระยะที่โครโมโซมที่เห็นเป็น 2 เส้นคู่ หรือ 2 โครมาทิดแยกจากกันโดยมีเส้น ใยสปินเดิลดึงไปฝั่งขั้วตรงข้ามเห็นโครโมโซมเริ่มแยกเป็น 2 กลุ่ม เป็นระยะที่บริเวณขั้วของเซลล์แต่ละขั้วประกอบด้วยโครโมโซมที่มีจำนวนเท่ากัน และเท่ากับ เซลล์ตั้งต้น เส้นใยสปินเดิลสลายตัวไป โครโมโซมคลายตัวทำให้เห็นเป็นเส้นบาง ๆ เหมือนเดิม
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๔ คะแนน การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส (meiosis) คือ การแบ่งเซลล์เพื่อให้ได้เซลล์อสุจิและเซลล์ไข่ แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ไมโอซิส I และไมโอซิส II เป็นระยะที่โครโมโซมมีการจำลองดีเอ็นเอขึ้นมาอีก 1 ชุด เป็นระยะที่โครโมโซมคู่เหมือนมาจับคู่กัน ระยะนี้เยื่อหุ้มนิวเคลียสสลายไป เป็นระยะที่โครโมโซมที่จับกันเป็นคู่มาเรียงตัวกันตามแนวศูนย์กลางของเซลล์ เป็นระยะที่เส้นใยสปินเดิลดึงโครโมโซมที่จับคู่กันอยู่ให้แยกจากกันทำให้เห็นโครโมโซมเริ่ม แยกเป็น 2 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจึงมีจำนวนโครโมโซมลดลงเหลือครึ่งหนึ่งจากจำนวนเดิม เป็นระยะที่โครโมโซมคลายตัวออก มีลักษณะคล้ายเส้นใยนิวเคลียส เยื่อหุ้ม นิวเคลียสเริ่มปรากฏ และมีการแบ่งไซโทพลาซึมเป็น 2 ส่วน หรือได้ 2 เซลล์ 1) ไมโอซิส I (meiosis I) เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อลดจำนวนโครโมโซมให้เหลือครึ่งหนึ่งของจำนวนเดิม และ จาก 1 เซลล์ ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ แบ่งเป็นระยะต่าง ๆ ดังนี้
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๔ คะแนน 2) ไมโอซิส II (meiosis II) เป็นการแบ่งเซลล์ที่ดำเนินต่อจากไมโอซิส I คล้ายการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส โดย ไม่มีการจำลองโครโมโซมขึ้นมาใหม่แบ่งแล้วได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ แต่ละเซลล์จึงมีโครโมโซมครึ่งหนึ่งของจำนวนเดิม แบ่งเป็นระยะต่าง ๆ ดังนี้ (1) ระยะโพรเฟส II (prophase II) ระยะนี้โครโมโซมหดสั้นเข้าจนเห็นชัดว่าโครโมโซมมี 2 โครมาทิด (2) ระยะเมทาเฟส II (metaphase II) โครโมโซมเรียงตัวกันตามแนวศูนย์กลางเซลล์ (3) ระยะแอนาเฟส II (anaphase II) เส้นใยสปินเดิลดึงโครมาทิดให้แยกออกจากกันไปยังคนละขั้วของเซลล์ (4) ระยะเทโลเฟส II (telophase II) ) โครโมโซมที่แยกไปคนละขั้วของเซลล์คลายตัวออก มีลักษณะคล้าย เส้นใย นิวเคลียส เยื่อหุ้มนิวเคลียสเริ่มปรากฏ และไซโทพลาซึมแบ่งอีกครั้ง เมื่อสิ้นสุดการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส จะได้เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ แต่ละเซลล์มีจำนวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้น
คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกความแตกต่างระหว่างการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส และตอบคำถาม ให้ถูกต้อง ไมโทซิส ไมโอซิส แบ่งแล้วจำนวนชุดของโครโมโซมเท่าเดิม แบ่งแล้วจำนวนชุดของโครโมโซมลดลงครึ่งนึง พบในการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์ พบในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ของสัตว์ ได้เซลล์ลูก 2 เซลล์ ขนาดเท่าเซลล์แม่ ได้เซลล์ลูก 4 เซลล์ ขนาดเล็กกว่าเซลล์แม่ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๔ คะแนน ความแตกต่างระหว่างการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิสมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไร การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต ดังนี้ 1. การแบ ่งเซลล์แบบไมโทซิส เป็นการแบ ่งเซลล์เพื ่อเพิ ่มจำนวนเซลล์ร ่างกาย ส ่งผลให้ร ่างกายเจริญเติบโต และทดแทนเซลล์ที่เสียหายหรือตาย การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสนี้จำนวนโครโมโซมในเซลล์ใหม่เท่ากับเซลล์เดิม 2. การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งการแบ่งเซลล์แบบนี้ เซลล์ใหม่ที่ได้ จะมีจำนวนโครโมโซมลดลงเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์เดิม เมื่อมีการปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์จะทำให้ได้ลูกที่มีจำนวน โครโมโซมเท่ากับพ่อแม่
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง ความผิดปกติทางพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๕ คะแนน โรคทางพันธุกรรมเกิดจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโครโมโซมหรือยีน เนื่องจากการ เปลี่ยนแปลงจำนวนหรือรูปร่างไปจากปกติ ซึ่งสามารถถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่ไปสู่รุ่นลูกหลานได้ ความผิดปกติที่เกิดจากการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติบนออโตโซม เช่น ทาลัสซีเมีย การถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติบนโครโมโซม X เช่น ตาบอดสี กล้ามเนื้อลีบ โครโมโซมเพศ (โครโมโซมคู่ที่ 23) เกิดความผิดปกติ - โครโมโซม X ขาดหรือเกินจากปกติ - โครโมโซม Y ขาดหรือเกินจากปกติ ออโตโซมมี 22 คู่ ความผิดปกติเกิดจาก มีโครโมโซมเกิน หรือรูปร่างโครโมโซม ขาดหายไปบางส่วน เช่น กลุ่มอาการดาวน์ กลุ่มอาการคริดูชาต์ กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด และกลุ่มอาการพาทัว
คำชี้แจง : 1.ให้นักเรียนบอกสาเหตุของโรคทางพันธุกรรม จากข้อความที่กำหนดให้ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของโครโมโซม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๕ คะแนน ความผิดปกติของออโตโซม ความผิดปกติของโครโมโซมเพศ ความผิดปกติของยีน ชื่อโรค ความผิดปกติของ โครโมโซม จำนวน โครโมโซม อาการ ออโตโซม โครโมโซมเพศ 1.กลุ่มอาการพาทัว คู่ที่ 13 เกิน มา 1 แท่ง 45+XY ปากแหว่ง เพดานโหว่ อวัยวะภายในกลับซ้ายเป็นขวา 2.กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด คู่ที่ 18 เกิน มา 1 แท่ง 45+XY ศีรษะเล็ก คางเล็ก มือกำแน่น ใบหูผิดรูปและอยู่ต่ำกว่าระดับ ปกติ 3.กลุ่มอาการดาวน์ คู่ที่ 21 เกิน มา 1 แท่ง 45+XY คอสั้น ทายทอยแบน ตาห่างและหางตาชี้ขึ้น ปัญญาอ่อน 4.กลุ่มอาการคริดูชา คู่ที่ 5 รูปร่าง ผิดปกติ 44+XY ศีรษะเล็ก ใบหน้ากลม ใบหูต่ำกว่าปกติ มีเสียงร้องคล้ายแมว 5.กลุ่มอาการเทิร์นเนอร์ โครโมโซม X ขาด หาย 44+X0 เกิดขึ้นเฉพาะกับเพศหญิงทำให้มีรูปร่างเตี้ย คอสั้น มีผื่นที่แผ่นหลังคล้ายปีกจากต้นคอจรดหัวไหล่ เป็นหมัน 6.กลุ่มอาการทริปเปิลเอกซ์ โครโมโซม X เกิน มามากกว่า 1 แท่ง 44+XXX เกิดขึ้นเฉพาะกับเพศหญิงทำให้มีรูปร่างเหมือนผู้หญิงทั่วไป กระดูกหน้าอกโค้งเล็กน้อย เท้าแบน ปัญญาอ่อน ไม่เป็นหมัน 7.กลุ่มอาการไคลน์เฟล เตอร์ โครโมโซม X เกิน มา 1 แท่ง 44+XXY เกิดขึ้นเฉพาะกับเพศชาย ทำให้มีรูปร่าง และลักษณะคล้ายเพศหญิง เป็นหมัน 8.กลุ่มอาการดับเบิลวาย โครโมโซม Y เกิน มา มากกว่า 1แท่ง 44+XYY เกิดขึ้นเฉพาะกับเพศชาย ทำให้มีรูปร่างสูงกว่าปกติ อารมณ์ร้าย ไม่เป็นหมัน • จำนวนโครโมโซมผิดปกติ • รูปร่างโครโมโซมผิดปกติ • ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับ โครโมโซม X • ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับ โครโมโซม Y • ความผิดปกติของยีนบน ออโตโซม • ความผิดปกติของยีนบน โครโมโซมเพศ 2.ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามในตารางต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของยีน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๕ คะแนน ชื่อโรค ความผิดปกติของยีน ชนิดของยีนที่ผิดปกติ อาการ ออโตโซม โครโมโซมเพศ 1.โรคผิวเผือก ✓ ยีนที่ควบคุมการสร้างเม็ด สีเม ลานินในเซลล์ใต้ผิวหนัง มีสีผิวและสีผมเป็นสีขาว เมื่อม่านตาสะท้อน แสง จะมองเห็นเป็นสีแดง 2.ภาวะนิ้วเกิน ✓ ภาวะการแบ่งเซลล์แปรปรวน หรือเกิดจากยีนเด่นที่ทำให้นิ้ว มือผิดปกติ นิ้วมือและนิ้วเท้าเกินมามากกว่าข้างละ 5 นิ้ว มักเป็นติ่งเนื้อ ไม่มีหรือมีกระดูกเล็ก กว่าปกติ 3.โรคธาลัสซีเมีย ✓ ยีนที่ควบคุมการสร้าง เฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยมีลักษณะผิดปกติ มีอายุสั้น แตกง่าย และถูกทำลายได้ง่าย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการซีด ตาและตัวเหลือง ตับและม้ามโต 4.ภาวะตาบอดสี ✓ ยีนที่ควบคุมการสร้างตัวรับสี ในเซลล์รูปกรวยที่เกี่ยวข้องกับ การมองเห็น ดวงตาของผู้ป่วยไม่สามารถแยกความ แตกต่างของสีระหว่าง 2 สีได้ จึงทำให้ผู้ป่วย มองเห็นสีผิดไปจากปกติ 5.โรคฮีโมฟีเลีย ✓ ยีนที่ควบคุมการสร้างโปรตีน ที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัว ของเลือด ผู้ป่วยจะมีเลือดออกจากบาดแผลเป็น เวลานานมากกว่าคนปกติ บางราย มีเลือดออกตามข้อ ทำให้มีอาการปวด บวม แดง และข้ออักเสบ 6.ภาวะพร่องเอนไซม์ จี- 6- พีดี (G-6-PD) ✓ ยีนที่ควบคุมการสร้าง เอนไซม์glucose-6- phosphate (G-6-PD) ในเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยถูกทำลายได้ง่าย เนื่องจากขาดเอนไซม์ G-6-PD ที่ช่วย ป้องกันสารอนุมูลอิสระ ทำให้ผู้ป่วยซีด เหลือง เป็นดีซ่าน มีปัสสาวะสีคล้าย น้ำอัดลมหรือกาแฟ
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง โรคทางพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๕ คะแนน 1.สามีภรรยาปกติคู่หนึ่งมีลูกชาย 2 คนและลูกสาว 1 คน ทุกคนป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย กำหนดให้ B แทนแอลลีลเด่นซึ่งเป็นแอลลีลปกติ b แทนแอลลีลด้อยซึ่งเป็นแอลลีลที่ทำให้เกิดโรคธาลัสซีเมีย ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1.จีโนไทป์ของสามีภรรยาคู่นี้เป็นอย่างไร สามีภรรยาคู่นี้เป็นปกติ แต่เป็นพาหะของโรค จึงมีลูกป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียได้ ดังนั้นจีโนไทป์ของสามีภรรยาคู่นี้คือ Bb หมายเหตุ ลูกทุกคนมีโอกาส 1 ใน 4 ที่จะป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมีย ดังนั้นไม่ใช่ว่าลูกคนแรกเป็นโรคแล้วลูกคนต่อ ๆ ไปจะไม่เป็นโรค เช่น ลูกคนแรกมี โอกาส 1 ใน 4 ที่จะเป็นโรคธาลัสซีเมีย ลูกคนต่อ ๆ ไปก็จะมีโอกาสเป็นโรคธาลัสซีเมีย 1 ใน 4 เช่นเดียวกับลูกคนแรก 2.ลูกที่เกิดจากสามีภรรยาคู่นี้มีจีโนไทป์และฟีโนไทป์อย่างไรบ้างและมีอัตราส่วนเท่าใด สามารถหาคำตอบได้จากการเขียนแผนภาพดังนี้ 3.ถ้าลูกสาวของสามีภรรยาคู่นี้แต่งงานกับชายปกติแล้วมีลูก 2 คน คนหนึ่งเป็นลูกชายที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย ส่วนอีก คนหนึ่งเป็นลูกสาวปกติ จีโนไทป์ของชายคนนี้และลูกสาวของสามีภรรยาคู่นี้มีจีโนไทป์เป็นอย่างไร ชายปกติคนนี้จะต้องมีจีโนไทป์เป็น Bb และลูกสาวของสามีภรรยาซึ่งเป็นภรรยาของชาย คนนี้มีจีโนไทป์เป็น bb (เพราะเป็นโรคธาลัสซี เมีย) ลูกที่เกิดจึงมีทั้งคนที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย และเป็นคนปกติดังแผนภาพ ลูกที ่เกิดจากสามีภรรยาคู ่นี้มีจีโนไทป์ 3 แบบ ได้แก่ BB Bb และ bb ในอัตราส่วน BB : Bb : bb เท่ากับ 1 : 2 : 1 และมีฟีโนไทป์ 2 แบบ คือ คนปกติและคนเป็นโรคธาลัสซีเมีย ซึ ่งมีอัตราส ่วน ระหว่างคนปกติ : คนที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย เท่ากับ 3 : 1
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง โรคทางพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๕ คะแนน 2.ชายเป็นโรคฮีโมฟิเลียแต่งงานกับหญิงปกติแต่เป็นพาหะของโรคฮีโมฟิเลีย กำหนดให้ แทน ยีนเด่นที่ควบคุมลักษณะปกติ แทน ยีนด้อยที่ควบคุมลักษณะโรคฮีโมฟิเลีย ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ 3.ชายตาปกติ (X Y) แต่งงานกับหญิงตาปกติที่เป็นพาหะของโรคตาบอดสี (X X) แฝงอยู่ ดังนั้นลูกที่ เกิดมามีโอกาสตาปกติ ตาบอดสี และเป็นพาหะของตาบอดสีตามสัดส่วนดังแผนภาพ กำหนดให้ แทน ยีนเด่นที่ควบคุมลักษณะตาปกติ แทน ยีนด้อยที่ควบคุมลักษณะตาบอดสี ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ ____________________________________________________________________________ จากแผนภาพที่ สรุปได้ดังนี้ 1. ลูกที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคฮีโมฟิเลีย ร้อยละ 50 2. ลูกที่เกิดมามีโอกาสปกติและไม่เป็น พาหะของโรคฮีโมฟิเลียร้อยละ 25 3. อัตราส่วนของลูกเพศหญิงและลูกเพศ ชายที่เป็นโรคฮีโมฟิเลียเป็น 1 : 1 จากแผนภาพที่ สรุปได้ดังนี้ 1. ลูกเพศชายแต่ละคนมีโอกาสตาบอดสีร้อยละ 50 ตาปกติร้อยละ 50 2. ลูกเพศหญิงทุกคนที่เกิดมาตาปกติ 3. ลูกเพศหญิงมีโอกาสเป็นพาหะของโรคตาบอดสีร้อยละ 50
คำชี้แจง : ให้นักเรียนวาดแผนผังความคิดตามหัวข้อที่กำหนดให้ต่อไปนี้ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง โรคทางพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๖ คะแนน แนวทางการป้องกันภาวะเสี่ยงของลูกที่ อาจเกิดเป็นโรคทางพันธุกรรม หลีกเลี่ยงการแต่งงานระหว่างเครือญาติ เพราะการแต่งงานระหว่างเครือ ญาติช่วยเพิ่มโอกาสในการถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติไปยังรุ่นลูกได้มากขึ้น ก่อนแต่งงานคู่สมรสควรเข้ารับการตรวจเลือด เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยภาวะเสี่ยงของลูกที่มีโอกาส เกิดมาเป็นโรคทางพันธุกรรม หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ทำให้เสี่ยงต่อการ ได้รับสารเคมี หรือสารก่อกลายพันธุ์ เช่น บริเวณที่มี กัมมันตภาพรังสี ควันบุหรี่
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การใช้ประโยชน์จากความรู้ด้านพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๗ คะแนน การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตมี 2 แบบ คือ การเกิดโดยธรรมชาติเรียกว่า การกลายพันธุ์ หรือ มิวเทชัน (mutation) หรืออาจเกิดจากมนุษย์ดัดแปรพันธุกรรมซึ่งจะได้ศึกษาต่อไปนี้ 1.การกลายพันธุ์ หรือมิวเทชัน (mutation) คือ ความผิดปกติที่เกิดกับหน่วยพันธุกรรม หรือยีน ทำให้ หน่วยพันธุกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม ถ้าเกิดในเซลล์สืบพันธุ์สามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปได้ อาจทำให้เกิดโรค บางชนิด เช่น โรคทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดรูปเคียว โรคผิวเผือก แต่ถ้าเกิดในเซลล์ร่างกายจะไม่ สามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปได้แต่จะสามารถถ่ายทอดไปยังเซลล์ที่เกิดจากการแบ่งเซลล์ของเซลล์นี้ต่อไป สาเหตุที่ทำให้เกิดการกลาย คือ การได้รับรังสีบางชนิด เช่น รังสีเอกซ์ (X-ray) รังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet) หรือสารเคมีบางชนิด เช่น กรดไนตรัส (HNO2) สารอะฟลาทอกซิน (aflatoxin) สาร เหล่านี้ชักนำให้เกิดการกลายได้ 2. การดัดแปรพันธุกรรม การดัดแปรพันธุกรรมที่เกิดจากมนุษย์เพื่อให้ได้พันธุ์พืช หรือพันธุ์สัตว์ตามที่ ต้องการ โดยคัดเลือกยีนและโครโมโซมที่มีลักษณะตามที่ต้องการ แล้วใช้ความรู้ด้านเทคโนโลยีชีวภาพทำให้เกิด สัตว์หรือพืชลักษณะใหม่ตามที่ต้องการ เช่น การโคลน การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช พันธุวิศวกรรม การโคลน (Cloning) หมายถึง การสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนสิ่งมีชีวิตต้นแบบทุก ประการ เป็นการสืบพันธุ์แบบ ไม่อาศัยเพศ โดยการนํานิวเคลียสของเซลล์ร่างกาย ใส่เข้าไปในเซลล์ไข่ที่ถูกดูด เอานิวเคลียสออก ทําให้เซลล์ไข่ พัฒนาไปเป็นสิ่งมีชีวิตตัวใหม่ โดยใช้ข้อมูลจากสารพันธุกรรมของนิวเคลียสที่ใส่ เข้าไปในประเทศไทยมีการโคลนวัวเนื้อตัวแรกของโลก ชื่อ นิโคล และการโคลนวัวนมตัวแรกของ เอเชียตะวันออก เฉียงใต้ ชื่อ อิง ซึ่งเกิดจากการโคลนเชลล์ใบหูของตัวต้นแบบ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue Culture) หมายถึง เป็นการโคลนในพืช โดยการนําเอาส่วนของพืชมาเลี้ยง ในอาหารสังเคราะห์ที่พืชต้องการในสภาพปลอดเชื้อ ควบคุม แสงอุณหภูมิความชื้น และกระตุ้นการเจริญด้วย ฮอร์โมนพืชเช่นไซโทไคนิน ออกซิน
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การใช้ประโยชน์จากความรู้ด้านพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๗ คะแนน พันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) หมายถึง เป็นเทคนิคการสร้างสิ่งมีชีวิตมีลักษณะตาม ที่ต้องการ คือ เชื่อม DNA จากสิ่งมีชีวิตหนึ่งกับ DNA ของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง เกิดเป็น DNA สายผสม (Recombinant DNA) โดยการถ ่ายยีนที่ต้องการลงไปแบคทีเรีย เพื่อให้เป็นตัวพายืนเหล ่านั้นเข้าไปในสิ่งมีชีวิตที่ต้องการสร้าง พันธุกรรมใหม ่เรียกสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นว ่า สิ่งมีชิตดัดแปลงพันธุกรรม หรือ GMOs (Genetically Modified Organisms) สิ่งมีชีวิตที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมต่างๆ สิ่งมีชีวิตที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมต่างๆ เช่น - ฝ้ายปีที และข้าวโพดบีที เป็นพืช GMO ที่ได้จากการการถ่ายยีนจากแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis ซึ่ง เป็นแบคทีเรียที่สามารถสร้างโปรตีนที่เป็นพิษต่อแมลง พืชที่มียีนนี้จึงต้านทานแมลงได้ - พริก มะละกอ ต้านทานไวรัส เป็นการนํายืนที่สามารถสังเคราะห์โปรตีนที่ห่อหุ้มอนุภาคไวรัส ทําให้ไวรัสไม่ สามารถทําอันตรายให้แก่พืชได้ - การผลิตอินซูลินโดยแบคทีเรีย ทําโดยตัดยีนอินซูลินจากคนปกติถ่ายลงไปในพลาสมิดของแบคทีเรีย (Plasmid เป็น DNA ที่เป็นวงกลมขนาดเล็กของแบคทีเรีย) เมื่อแบคทีเรียแบ่งเซลล์จะทําให้ได้แบคทีเรียที่มียีน อินซูลินเป็น จํานวนมากและแบคทีเรียนี้จะสามารถสังเคราะห์อินซูลินได้ ดีเอ็นเอพาหะ หรือดีเอ็นเอเวกเตอร์ (DNA vector) เป็นตัวรับชิ้นส่วนของยีนที่ต้องการศึกษาแล้วนำไป สอดแทรกในดีเอ็นเอ หรือโครโมโซมเป้าหมาย ดีเอ็นเอพาหะที่นิยมใช้กัน คือ พลาสมิด (plasmid) ตามปกติพบ อยู่ในเซลล์แบคทีเรีย มีขนาดเล็ก รูปร ่างกลม สามารถจำลองตัวเองได้ พบอยู่เป็นอิสระไม ่รวมกับโครโมโซมของ แบคทีเรีย มีสมบัติทำให้แบคทีเรียสามารถต้านยาปฏิชีวนะ ต้านโลหะหนัก และชักนำให้เกิดปมขึ้นในพืช
คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๗,๘ คะแนน 1. ด้านอาหาร 2. ด้านการแพทย์ 3. ด้านการเกษตร 4. ด้านอุตสาหกรรม สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้ได้อย่างไรบ้าง 1) พืช ผัก ผลไม้ มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มมากขึ้น เช่น มะเขือเทศมีวิตามินอีเพิ่มมากขึ้น ข้าวมีวิตามินเอเพิ่มมากขึ้น 2) ลดการขาดแคลนอาหารได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทำให้มีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น ตอบสนอง ความต้องการอาหารที่เพิ่มมากขึ้น 1) ผลิตวัคซีนป้องกันโรค ผลิตยาปฏิชีวนะหรือยารักษาโรคชนิดต่าง ๆ 2) สร้างแบคทีเรียดัดแปรพันธุกรรมที่มียีนผลิตอินซูลิน (insulin) ของมนุษย์ ทำให้แบคทีเรียสามารถผลิตอินซูลินที่ นำไปใช้บำบัดอาการของผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ โดยการที่แบคทีเรียสามารถเพิ่มจำนวนได้มากในระยะเวลาอันสั้น ทำให้ ผลิตอินซูลินได้เร็วกว่าการสกัดอินซูลินจากตับอ่อนของวัวหรือหมู 1) พืชพันธุ์ใหม่ที่มีความทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้อต่อการเพาะปลูกหรือการเจริญเติบโตของพืช 2) พืชที่มีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช และต้านทานยากำจัดวัชพืช 3) พืชที่ให้ผลผลิตมากขึ้น ผลมีขนาดใหญ่ขึ้น และผลมีน้ำหนักมากขึ้น 4) พืชที่มีผลผลิตที่สามารถเก็บรักษาเป็นเวลานาน เพิ่มระยะเวลาความสดของพืชและขนส่งได้เป็นระยะทางไกลโดยไม่ เน่าเสีย ต้นทุนการผลิตตํ่า เนื่องจากลดการใช้สารเคมี
คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกผลกระทบที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง ผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๗,๘ คะแนน ผลกระทบที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม สารพิษจากยีนฆ่าหนอนแมลงที่ตัดต่อเข้าสู่ข้าวโพด จะมีผลกระทบต่อแมลงอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ซึ่งเป็นแมลง ที่ไม่ใช่เป้าหมายในการกำจัด ทำลายระบบนิเวศและเสี่ยงต่อการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) เนื่องจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม เป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ที่แข็งแรงทนทานกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม สายพันธุ์ที่แข็งแรงกว่าย่อมมีชีวิตรอดและมี การขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนมากขึ้น ในทางกลับกันสายพันธุ์ที่อ่อนแอจะสูญหายไป ในที่สุด นอกจากนี้ยังอาจทำให้สิ่งมีชีวิตที่มีความเหมือนกันทางพันธุกรรมมีมาก ขึ้นในอนาคต ซึ่งไม่เป็นผลดีทางวิวัฒนาการ __เกิดการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรมสู่สิ่งแวดล้อม เช่น เรณูของพืชดัด แปรพันธุกรรมอาจไปผสมพันธุ์กับวัชพืช ทำ ให้วัชพืชมีความต้านทานต่อสารกำจัดวัชพืช
คำชี้แจง : เขียนเครื่องหมาย√ หน้าข้อความที่ถูกต้องและเขียนเครื่องหมาย Xหน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑-๘ คะแนน 1.ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสามารถถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้ โดยมีดีเอ็นเอเป็นหน่วย ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม 2.โครโมโซมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ และโปรตีนขดอยู ่ในนิวเคลียส ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซมมี ความสัมพันธ์กัน โดยบางส่วนของดีเอ็นเอทำหน้าที่เป็นยีนที่กำหนดลักษณะของสิ่งมีชีวิต 3.สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซม 4 ชุด โครโมโซมที่เป็นคู่กันมีการเรียงลำดับของยีนบนโครโมโซมเหมือนกันเรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยีนหนึ่งที่อยู่บนคู่ฮอมอโลกัสโครโมโซม อาจมีรูปแบบแตกต่างกัน เรียกแต่ละรูปแบบ ของยีนที่ต่างกันนี้ว่าแอลลีล ซึ่งการเข้าคู่กันของแอลลีลต่าง ๆ อาจส่งผลทำให้สิ่งมีชีวิตมีลักษณะที่แตกต่าง กันได้ 4.สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีจำนวนโครโมโซมคงที่ มนุษย์มีจำนวนโครโมโซม 23 คู่ เป็นออโตโซม 22 คู่ และ โครโมโซมเพศ 1 คู่ เพศหญิงมีโครโมโซมเพศเป็น XY เพศชายมีโครโมโซมเพศเป็น XX 5.ชาลส์ ดาร์วิน ค้นพบการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในถั่วลันเตา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญเกี่ยวกับการถ่ายทอด ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต 6.การศึกษาของเมนเดลทำให้พบว่า ลักษณะของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมด้วยยีน ซึ่งประกอบด้วย 2 แอลลีล ซึ่งอาจมีแบบเดียวกันหรือต่างกันก็ได้ 7.แอลลีลที่ต่างกันนี้แอลลีลหนึ่งอาจมีการแสดงออกข่มอีกแอลลีลหนึ่งไม่ให้แสดงลักษณะออกมาเรียกแอลลีล นี้ว่าแอลลีลเด่น ซึ่งเป็นการข่มแบบสมบูรณ์ ส่วนแอลลีลที่ถูกข่มอย่างสมบูรณ์ เรียกว่า แอลลีลด้อย 8.แอลลีลที่อยู่เป็นคู่กันบนคู่ฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจากกันไปสู่เซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์ในระหว่างที่มี การสร้างเซลล์สืบพันธุ์โดยแต่ละเซลล์สืบพันธุ์จะได้รับเพียง1แอลลีลที่อยู่บนฮอมอโลกัสโครโมโซม1 แท่ง 9.เมื่อมีการปฏิสนธิ แอลลีลบนฮอมอโลกัสโครโมโซมในเซลล์สืบพันธุ์จะมาเข้าคู่กัน รูปแบบของคู่แอลลีลนี้ เรียกว่า ฟีโนไทป์ซึ่งกำหนดลักษณะที่แสดงออกของสิ่งมีชีวิต และเรียกลักษณะที่แสดงออกว่า จีโนไทป์ 10.มนุษย์มีจำนวนโครโมโซมคงที่โดยลูกในแต่ละรุ่นจะมีจำนวนโครโมโซมเท่ากับพ่อและแม่ ซึ่งเป็นผลมาจาก การแบ่งเซลล์ √ x x x x x √ √ √ √
คำชี้แจง : เขียนเครื่องหมาย√ หน้าข้อความที่ถูกต้องและเขียนเครื่องหมาย Xหน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เรื่อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑-๘ คะแนน 11.การแบ่งเซลล์มี 2 แบบ ได้แก่การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส 12.การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ร่างกาย ผลจากการแบ่งเซลล์จะได้ เซลล์ใหม่ 4 เซลล์ที่มีลักษณะ และจำนวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ตั้งต้น 13.การปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ลูกจะได้รับการถ่ายทอดโครโมโซมชุดหนึ่งจากพ่อ และอีกชุดหนึ่งจากแม่ มารวมกัน จึงเป็นผลให้รุ่นลูกมีจำนวนโครโมโซมเท่ากับรุ่นพ่อแม่ และจะคงที่ในทุก ๆ รุ่น 14.การเปลี่ยนแปลงของจำนวนโครโมโซม อาจส่งผลให้เกิดโรคทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการดาวน์ การเปลี่ยนแปลงของยีน อาจส่งผลให้เกิดโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย 15.โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกไม่ได้ดังนั้นก่อนแต่งงานและมีบุตรจึงไม่ควร ป้องกันโดยการตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจากการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม 16.พันธุวิศวกรรมเป็นเทคนิคการนำดีเอ็นเอที่ควบคุมลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ต้องการจากสิ่งมีชีวิต ชนิดหนึ่งไปเชื่อมต่อกับดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งทำให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตามต้องการ 17.มนุษย์ใช้กระบวนการพันธุวิศวกรรมในการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติเพื่อให้ได้ สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตามต้องการ เรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 18.ความผิดปกติของโครโมโซมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม 19.การสร้างเซลล์แบคทีเรียดัดแปรพันธุกรรมที่ผลิตอินซูลินของมนุษย์ ทำได้โดยนำชิ้นส่วนดีเอ็นเอซึ่งมี ยีนที่ควบคุมการสร้างอินซูลินของมนุษย์ไปเชื่อมต่อกับดีเอ็นเอรูปวงแหวนของแบคทีเรีย 20.การนำความรู้เกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไปใช้ประโยชน์ได้หลายด้าน เช่น การ ปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ การวางแผนก่อนแต่งงานและก่อนมีบุตรเพื่อป้องกันการเกิดโรคทางพันธุกรรม √ x x x x √ √ √ √ √
คำชี้แจง : ให้นักเรียนอธิบายข้อความและตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่อง ลักษณะของความหลากหลายทางชีวภาพ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๙ คะแนน 1.ความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) หรือ (biological diversity) หมายถึงอะไร ระบบนิเวศหลายชนิด หลายรูปแบบ ในแต่ละระบบนิเวศมีสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์นานาชนิดนานาพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน 2.ความหลากหลายทางชีวภาพ มีกี่ระดับ ได้แก่อะไรบ้าง 3 ระดับ 1.ความหลากหลายทางพันธุกรรม 2.ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต 3. ความหลากหลายของระบบ นิเวศหรือแหล่งที่อยู่อาศัย 3.ความหลากหลายทางพันธุกรรม (genetic diversity) หมายถึงอะไร ความหลากหลายทางพันธุกรรมที่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ แล้วส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่น หลานต่อไป 4.1ความหลากหลายทางพันธุกรรมมีสาเหตุดังนี้ 4.1 การผ่าเหล่า หมายถึง ลูกที่เกิดมามีลักษณะแตกต่างจากพ่อแม่ อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือได้รับสารเคมี เช่น ธาตุกัมมันตรังสี สารพิษในสิ่งแวดล้อม 4.2 การสืบพันธุ์แบบการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยมีพ่อและแม่ที่มีลักษณะเด่น และลักษณะด้อยแตกต่างกัน 4.3 การใช้เทคโนโลยีชีวภาพสมัยใหม่ เช่น การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การผสมเทียม 5.ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต (species diversity) หมายถึง จำนวนชนิดและจำนวนหน่วยสิ่งมีชีวิตที่เป็น สมาชิกของแต่ละชนิดที่มีอยู่ในแหล่งที่อยู่ในประชากรนั้น ๆ หรือหมายถึงความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ใน พื้นที่หนึ่ง ๆ 6. ความหลากหลายของระบบนิเวศหรือแหล่งที่อยู่อาศัย (ecological system diversity หรือ habitat diversity) หมายถึง ความซับซ้อนของลักษณะพื้นที่ที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคของโลก ประกอบกับสภาพภูมิอากาศ ลักษณะภูมิประเทศ ทำให้เกิดระบบนิเวศที่แตกต่างกัน 7.ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมาก เนื่องจากสาเหตุใด 1. ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อนเหนือเส้นศูนย์สูตรเล็กน้อยและอยู่ติดทะเล สภาพภูมิอากาศเหมาะสมต่อการอยู่รอด การเจริญเติบโต จึงทำให้ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่า 2. ประเทศไทยมีสภาพภูมิอากาศและสภาพภูมิประเทศแตกต่างกันในแต่ละภาค สภาพพื้นดินที่แตกต่างกัน ส่งผลให้เกิดความ หลากหลายทางชีวภาพมากขึ้น
คำชี้แจง : จากภาพในแต่ละข้อเป็นความหลากหลายทางชีวภาพระดับใด เพราะเหตุใด ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่อง ระดับความหลากหลายทางชีวภาพ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๙ คะแนน 1. ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต เพราะมีสิ่งมีชีวิตหลายชนิด 2. ความหลากหลายทางพันธุกรรม เพราะแมวเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวแต่หลายพันธุ์ 3.ความหลากหลายของระบบนิเวศ เพราะมีระบบนิเวศหลายระบบนิเวศ 1 2 3
คำชี้แจง : ให้นักเรียนอธิบายความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อการรักษาสมดุลของ ระบบนิเวศต่อมนุษย์ต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่อง การรักษาสมดุลของระบบนิเวศต่อมนุษย์ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑๐ คะแนน >> ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสำคัญ ต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศอย่างไร ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสำคัญอย่าง ยิ่งต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ดังนั้น การที่มนุษย์พยายามทำลายความหลากหลายทาง ชีวภาพให้ลดลง และพยายามสร้างสิ่งที่ทดแทนด้วย ความหลากหลายที่อยู่ในระดับตํ่า โดยการตัด ถาง ป ่าไม้ แล้วปลูกสวนป ่าทดแทน ด้วยเหตุผลทาง เศรษฐกิจ อาจทำให้เกิดการระบาดของราและ สุดท้ายมนุษย์จะต้องรับผิดชอบในการดูแลรักษา เพื่อให้ระบบนิเวศคงอยู่ได้ >>ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง จะรักษาสมดุลได้ดีกว่าระบบนิเวศที่มีความ หลากหลายทางชีวภาพตํ่าได้อย่างไร การกำจัดแมลง รา เป็นต้นเหตุของปัญหาการนำ สารเคมีเข้าสู่ระบบนิเวศ เป็นการทำลายความหลากหลาย ทางชีวภาพของโลกอย ่างรุนแรง ในวงกว้างมากขึ้น นอกจากนี้การเปลี ่ยนแปลงทางธรรมชาติอย ่างรวดเร็ว เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟปะทุ น้ำท่วม ไฟป่า ส่งผลให้ สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศที่เป็นธรรมชาติเปลี่ยนแปลงด้วย สิ่งมีชีวิตใดที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทันก็อาจสูญพันธุ์ซึ่งเป็น การเปลี ่ยนแปลงที ่ไม ่อาจกลับคืนสู ่สภาพเดิมได้ ส ่วน สิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวได้ก็ต้องมีการปรับพฤติกรรม เพื่อความอยู่รอด และสร้างระบบนิเวศที่อาศัยให้มีความ สมบูรณ์ และมั่นคงยั่งยืน