The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เฉลยใบงานวิทยาศาสตร์ ม.3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nott.srw, 2024-02-16 09:01:51

เฉลยใบงานวิทยาศาสตร์ ม.3

เฉลยใบงานวิทยาศาสตร์ ม.3

คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกปัจจัยที่มีผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑๐ คะแนน 1.การใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไป 2.การบุกรุกและทำลายป่า 3.การสร้างมลพิษจากบ้านเรือน และโรงงานอุตสาหกรรม และโรงงานอุตสาหกรรม 4.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ 5.การทำเกษตรเชิงเดี่ยวที่มุ่งเน้นการค้าและอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรม ปัจจัยที่ทำให้ ความหลากหลาย ทางชีวภาพลดลง ปัจจัยที่ทำให้ ความหลากหลาย ทางชีวภาพเพิ่มขึ้น ตัวอย่างปัจจัยที่ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง การถางป่าชายเลน การขุดบ่อก่อสร้างคันดิน ตัวอย่างปัจจัยที่ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มขึ้น (1) กระบองเพชรที่อยู่ในทะเลทรายมีการปรับตัวโดยเปลี่ยนใบเป็นหนามเพื่อลดการสูญเสียน้ำ (2) กิ้งก่าปรับสีตัวให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมเพื่อพรางตัวในการหาอาหารและความปลอดภัย 1.การปรับตัวให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงความเค็ม 2. การปรับตัวต่อสภาวะอุณหภูมิสูง และสภาวะการสูญเสียน้ำจากตัว 3.การปรับตัวเรื่องการหายใจ 4.การปรับตัวด้านการกินอาหารและการหาอาหาร 5.การปรับตัวด้านการสืบพันธุ์


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่อง ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพที่มีต่อมนุษย์ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑๑ คะแนน 1) ด้านการเกษตร มนุษย์เพาะปลูกพืชเป็นอาหาร เช่น ข้าวโพด มันฝรั่ง ข้าว ซึ่งเป็นพืชที่มีความ หลากหลายทางชีวภาพสูง เนื่องจากมีสาย พันธุ์ที่มีลักษณะแตกต่างกันมากมาย 3) ด้านอุตสาหกรรม มนุษย์ใช้น้ำมันจากพืชพวกปาล์มน้ำมัน และละหุ่งผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้เส้นใย พืชและสัตว์จำพวกฝ้าย ปอ ไหม ขนสัตว์ ชนิดต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ ใช้ยีสต์ ผลิตแอลกอฮอล์ ใช้แบคทีเรียผลิตนมเปรี้ยว 4) ด้านอื่น ๆ การดูแลรักษาระบบนิเวศให้สามารถดำรง อยู่ได้ และให้คงอยู่และคงทน เช่น การรักษา หน้าดิน การตรึงไนโตรเจนเป็นปุ๋ยในดิน การ สังเคราะห์ด้วยแสง ซึ ่งเป็นการสังเคราะห์ พลังงานของพืช การควบคุมความชื้น สิ่งเหล่านี้ เป็นปร ะโยชน์ เป็นคว ามส ำคัญในด้าน นันทนาการและการท่องเที่ยวของมนุษย์ มนุษย์นำความหลากหลายทางชีวภาพที่เป็น ทรัพยากรธรรมชาติอันเอื้อต่อปัจจัยในการดำรงชีวิตให้แก่ มนุษย์มาใช้ในด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้ได้อย่างไรบ้าง 2) ด้านการแพทย์ มนุษย์นำสมุนไพรต่าง ๆ มาใช้ในการ บำบัดรักษาโรค โดยการทำยาแผนโบราณ จึงมีการเก็บสมุนไพรจากป่าอย่างมากมายและ ต่อเนื่อง ทำให้สมุนไพรลดจำนวนลงอย่าง รวดเร็ว แต่ถ้าพืชที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันก็ อาจนำมาทดแทนกันได้ ดังนั้น ถ้าพืชมีความ หลากหลายทางชีวภาพสูง ทำให้สามารถ เลือกใช้พืชหลายชนิดเพื่อการรักษาโรคได้


คำชี้แจง : ให้นักเรียนวาดแผนผังความคิดเกี่ยวกับแนวทางในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่อง การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๑๑ คะแนน แนวทางในการอนุรักษ์ความ หลากหลายทางชีวภาพ 1) จัดระบบนิเวศให้ใกล้เคียงตามธรรมชาติ โดยฟื้นฟู หรือพัฒนาพื้นที่เสื่อมโทรมให้คงความหลากหลายทาง ชีวภาพไว้มากที่สุด 2) จัดให้มีศูนย์อนุรักษ์หรือพิทักษ์สิ่งมีชีวิตนอก ถิ ่นกำเนิด เพื ่อเป็นที ่พักพิงชั ่วคราวที ่ปลอดภัย ก่อนนำกลับไปสู่ธรรมชาติ เช่น สวนพฤกศาสตร์ ศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม เป็นต้น 3) ส่งเสริมการเกษตรแบบไร่นาสวนผสม และใช้ต้นไม้ล้อมรั้วบ้าน หรือแปลงเกษตร เพื่อให้มีพืชและสัตว์หลากหลายชนิดมาอาศัยอยู่ ร่วมกัน ซึ่งเป็นการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพได้


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ความหลากหลายทางชีวภาพ เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๑.๓ ม.๓/๙,๑๐,๑๑ คะแนน 1. ความหลากหลายทางชีวภาพเกี่ยวข้องกับสมดุลในระบบนิเวศอย่างไร ความหลากหลายทางชีวภาพเกี่ยวข้องกับสมดุลในระบบนิเวศ โดยระบบนิเวศที่มีความหลากหลายของชนิด สิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน จะส่งผลต่อการรักษาสมดุลของระบบนิเวศแตกต่างกัน ระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทาง ชีวภาพสูงมักจะมีสายใยอาหารที่ซับซ้อนมากกว่าระบบนิเวศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพต่ำกว่า เมื่อเกิดการ เปลี ่ยนแปลงที ่ส ่งผลกระทบต ่อสิ ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ จึงสามารถรักษาสมดุลไว้ได้ดีกว ่าระบบนิเวศที ่มีความ หลากหลายทางชีวภาพต่ำกว่า 2. ความหลากหลายทางชีวภาพมีประโยชน์อย่างไร ความหลากหลายทางชีวภาพมีประโยชน์ต่อมนุษย์หลายอย่าง เช่น เป็นปัจจัย 4 ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสากรรม ต่าง ๆ นอกจากมีประโยชน์ต่อมนุษย์แล้วยังมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม คือช่วยรักษาสมดุของระบบนิเวศ 3. ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสำคัญอย่างไร ความหลากหลายทางชีวภาพมีประโยชน์ต่อมนุษย์ในหลายด้าน เช่น เป็นปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต หรือใช้ เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ นอกจากมีประโยชน์ต่อมนุษย์แล้วยังมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยรักษาสมดุล ของระบบนิเวศ 4. แนวทางในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่นทำได้อย่างไร ขึ้นอยู่กับแนวทางที่นักเรียนระดมความคิด เช่น รณรงค์ ทำแผ่นพับ โดยการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ให้กับพื้นที่ เช่น การปลูกพืชชนิดอื่นร่วมกับพืชเศรษฐกิจ 5. ถ้าความหลากหลายทางชีวภาพลดลงจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง ขาดแคลนปัจจัย 4 ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค รวมไปถึงผลกระทบทางด้าน สันทนาการ เช่น สถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยลง


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง พอลิเมอร์ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน พอลิเมอร์ (Polymer)คือ เป็นสารประกอบที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เกิดจากสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจำนวนมาก มาทำปฏิกิริยาเคมีกัน โครงสร้างของพอลิเมอร์ที่ได้จะประกอบด้วยหน่วยซ้ำ ๆ ที่เรียกว่ามอนอเมอร์ (monomer) จำนวนมากมายึดเหนี่ยวกัน โครงสร้างของพอลิเมอร์มีทั้งแบบเส้น แบบกิ่ง และแบบร่างแห 1.โครงสร้างแบบเส้น (linear polymer) (linear polymer) 2.โครงสร้างแบบกิ่ง (linear polymer) 3.โครงสร้างแบบร่างแห (linear polymer) เกิดจากมอนอเมอร์ต่างชนิดกันหรือชนิดเดียวกันมาทำ ปฏิกิริยาต่อกันเป็นโซ่ยาวคล้ายลูกปัด ตัวอย่าง พอลิเมอร์ไวนิลคลอไรด์ (PVC), พอลิโพรพิลีน (PP), พอลิสไตรีน (PS), พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) เกิดจากมอนอเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบกิ่งมาทำปฏิกิริยาต่อ กัน อาจเป็นมอนอเมอร์ชนิดเดียวกัน หรือต่างชนิดกันก็ได้ มีลักษณะเป็นกิ่งแยกออกมาจากโครงสร้างสายหลัก ตัวอย่าง พอลิเอทิลีนชนิดความหนาแน่นต่ำ (LDPE) เกิดจากมอนอเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบกิ่งโดยกิ่งทำาปฏิกิริยา พอลิ-เมอไรเซชันได้อย่างน้อย 2 ตำาแหน่งทำให้เกิดการ เชื่อมต่อกันเป็นร่างแห ตัวอย่าง เมลามีน เบกาไลต์ สมบัติทางกายภาพของพอลิเมอร์ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของพอลิเมอร์ ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง ประเภทของพอลิเมอร์ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน แบ่งตามลักษณะการเกิด >> แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แบ่งตามชนิดของมอนอเมอร์ >> แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยการนำ มอนอเมอร์มาผ่านกระบวนการสังเคราะห์ เรียกว่า ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น โปรตีน ไหม เซลลูโลส แป้ง ยาง ธรรมชาติ 2. โคพอลิเมอร์หรือพอลิเมอร์ร่วม 1.โฮโมพอลิเมอร์ หรือพอลิเมอร์เอกพันธุ์ 1.พอลิเมอร์ธรรมชาติ 2.พอลิเมอร์สังเคราะห์ เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วย มอนอเมอร์ชนิดเดียวกัน เช่น แป้ง เซลลูโลส ไกลโคเจน เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วย มอนอเมอร์ต่างชนิดกัน เช่น โปรตีน ยางเอสบีอาร์


คำชี้แจง : ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมาย √ เพื่อจำแนกประเภทของพอลิเมอร์ลักษณะการเกิดและชนิด ของมอนอเมอร์ลงในตางรางให้ถูกต้อง แบ่งตามลักษณะการเกิด แบ่งตามชนิดของมอนอเมอร์ พอลิเมอร์ธรรมชาติ พอลิเมอร์สังเคราะห์ โฮโมพอลิเมอร์ โคพอลิเมอร์ 1. ยางบีอาร์ √ √ 2. พอลิเอทิลีน √ √ 3. ไนลอน √ √ 4. พอลิไวนิลคลอไรด์ √ √ 5. เซลลูโลส √ √ 6. เมลามีน √ √ 7. เทฟลอน √ √ 8. พอลิเอสเทอร์ √ √ 9. พอลิไอโซพรีน √ √ 10. โปรตีน √ √ 11. ไหม √ √ พลาสติกเทอร์มอเซต ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน มอนอเมอร์ พอลิเมอร์ เทอร์มอพลาสติก ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง ประเภทของพอลิเมอร์ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน พอลิเมอร์/มอนอเมอร์ 1. พอลิเมอร์สารประกอบที่เกิดจากมอนอเมอร์จำนวนมากมายึดต่อกันด้วยพันธะโคเวเลนซ์ จนได้สารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ 2.มอนอเมอร์หน่วยที่เล็กที่สุดของของพอลิเมอร์ 3.ปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชันปฏิกิริยาการเตรียมพอลิเมอร์จากมอนอเมอร์ 4.เทอร์มอพลาสติกพลาสติกที่สามารถหลอมซ้ำและขึ้นรูปใหม่ได้โดยที่สมบัติของพลาสติกยังคงเดิม 5.พลาสติกเทอร์มอเซตพลาสติกที่เมื่อไหม้กลายเป็นขี้เถ้าจะไม่สามารถนำกลับไปขึ้นรูปใหม่ได้ 2.ให้นักเรียนนำคำที่กำหนดให้เติมหน้าประโยคต่อไปนี้ให้ถูกต้อง


คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกสมบัติทางกายภาพของพอลิเมอร์ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง สมบัติทางกายภาพของพอลิเมอร์ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน สมบัติทางกายภาพ ของพอลิเมอร์ 2. ทนทานต่อแรงกระแทก 3. มีความเหนียวและยืดหยุ่น 4. เป็นทั้งฉนวนความร้อนและฉนวนไฟฟ้า 5. มีน้ำหนักเบา 1. ทนต่อสารเคมี


คำชี้แจง : ให้นักเรียนอธิบายและตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง พอลิเมอร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน 1.พลาสติก (plastic) คือเป็นวัสดุที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมากสามารถนำมาใช้ทำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบ เนื่องจากมีสมบัติพิเศษหลายอย่าง เช่น อ่อนตัวได้เมื่อถูกความร้อน ไม่ผุกร่อนง่าย มีความเหนียว ยืดหยุ่นได้ แข็งแรง น้ำหนักเบา ทนทานต่อการสึกกร่อน ทนทานสารเคมี เป็นฉนวนไฟฟ้ากันนํ้าได้ จำแนกพลาสติกได้เป็น 2 ประเภท คือ เทอร์มอพลาสติก และเทอร์มอเซต-พลาสติก (1) เทอร์มอพลาสติก (thermoplastic) คือเป็นพลาสติกประเภทที่ได้รับความร้อนแล้วอ่อนตัว และเมื่ออุณหภูมิ ลดลงจะแข็งตัว ถ้าให้ความร้อนอีกก็จะอ่อนตัว และสามารถทำให้กลับเป็นรูปร่างเดิม หรือเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ โดยสมบัติของพลาสติกไม่เปลี่ยนแปลง จึงสามารถนำกลับมาแปรใช้ใหม่ (recycle) ได้ การใช้ประโยชน์เช่น ถุงพลาสติก ภาชนะบรรจุอาหาร กล่องโฟม ของเล่นเด็ก ท่อพีวีซี (2) เทอร์มอเซตพลาสติก (thermosetplastic) คือเป็นพลาสติกที่ขึ้นรูปด้วยการผ่านความร้อนหรือแรงดัน แล้ว จะไม่สามารถนำกลับมาขึ้นรูปใหม่ได้อีก พลาสติกประเภทนี้เมื่อขึ้นรูปแล้วหากได้รับความร้อนอีกจะไม่อ่อนตัว แต่จะเกิดการแตกหัก มีโครงสร้างแบบร่างแห เมื่อแข็งตัวแล้วจะมีความแข็งแรงมาก ทนต่อความร้อนและความ ดันได้ดีกว่าเทอร์มอพลาสติก การใช้ประโยชน์ เช่น เต้าเสียบไฟฟ้า สารเคลือบผิวหน้าวัสดุ ภาชนะเมลามีน 2.ยาง (rubber) คือ เป็นพอลิเมอร์ประเภทหนึ่ง มีสมบัติพิเศษ คือ มีความยืดหยุ่น ยางสามารถยืดตัวได้หลายเท่า ของความยาวเดิม เมื่อมีแรงดึงยางจะยืดตัว และยางจะหดกลับสู่สภาพเดิมเมื่อปล่อยแรงดึง 2.1ยาง แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ยางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์ 3.เส้นใย (fiber) คือ เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์จำนวนมากเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเคมี เป็นเส้นยาว และมีโครงสร้างที่เหมาะสมต่อการรีดและปั่นเป็นเส้นด้าย แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ เส้นใยธรรมชาติ เส้นใยสังเคราะห์ และเส้นใยกึ่งสังเคราะห์ 3.1เส้นใยธรรมชาติแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เส้นใยจากพืช เส้นใยจากสัตว์ 3.2เส้นใยกึ่งสังเคราะห์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เซลลูโลสแอซีเตต เรยอน


คำชี้แจง : ให้นักเรียนอธิบายความหมาย เติมคำในช่องว่าง พร้อมยกตัวย่างประเภทของเซรามิก ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง เซรามิก ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน # ประเภทของเซรามิก เซรามิกสมัยใหม่ (advance ceramics) ตัวอย่างเช่น • ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ • ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ • ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับงานเทคนิคขั้นสูง เซรามิกดั้งเดิม (traditional ceramics) ตัวอย่างเช่น • เครื่องปั้นดินเผา • เครื่องแก้ว • ปูนซีเมนต์ • โลหะเคลือบ เซรามิก คือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากดิน หิน ทราย และแร่ธาตุต่าง ๆ ที่นำามาผสมกันแล้วขึ้นรูปให้เป็น รูปทรงต่าง ๆ แล้วนำไปเผาให้คงรูป ทำาให้โครงสร้างแข็งแรง


คำชี้แจง : ให้นักเรียนเติมคำและตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง สมบัติทางกายภาพของเซรามิก ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน สมบัติทางกายภาพของเซรามิก ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาใช้ โดยวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิก แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือวัตถุดิบหลัก และ วัตถุดิบเสริม เฟลด์สปาร์ หรือแร่ฟันม้า เป็นสารประกอบในกลุ่มซิลิเกต ใช้ผสมกับ เนื้อดินทำให้เกิดการหลอมเหลวที่อุณหภูมิต่ำเกิด การเปลี่ยนแปลงเป็นเนื้อแก้ว จึงทำให้เซรามิกมี ความโปร่งใส ดินเหนียว มีองค์ประกอบทางเคมีที่สำคัญ คือ สารประกอบออกไซด์ของซิลิคอนและอะลูมิเนียม คล้ายกับที่พบในดินขาว แต่ดินเหนียวมีสิ่งเจือปน อื่น ๆ ในปริมาณมากกว่า ดินขาว เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเซรามิก โดยดินขาวบริสุทธิ์ คือ แร่เคโอลิไนต์ (kaolinite; Al 2 O 3 •2SiO 2 •2H 2 O) ควอตซ์ หรือแร่เขี้ยวหนุมาน มีองค์ประกอบหลัก คือ ซิลิกา ส่วนใหญ่มีลักษณะใส ไม่มีสี ช่วยให้ผลิตภัณฑ์เซรามิก เกิดความแข็งแรง ไม่โค้งงอและทำให้ผลิตภัณฑ์ก่อนเผา และหลังเผาหดตัวน้อยลง โดยทั่วไป ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเซรามิก ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของวัตถุดิบ 3 ชนิด ได้แก่ ดิน แร่ควอตซ์หรือ ทราย และแร่เฟลด์สปาร์หรือแร่ฟันม้า ซึ่งประเทศไทยมีแหล่งวัตถุดิบเซรามิกอย่างสมบูรณ์


คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกสมบัติทางกายภาพของเซรามิก มา4 ข้อ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง สมบัติทางกายภาพของเซรามิก ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน สมบัติทางกายภาพ ของเซรามิก เซรามิกสามารถนำมาประยุกต์ เพื่อใช้ประโยชน์เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ เช่นอะไรบ้าง เซรามิกสามารถนำมาประยุกต์ เพื่อใช้ประโยชน์เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ เช่น หม้อ ไห ถ้วย ชาม เครื่องเคลือบดินเผา อิฐ กระเบื้องเคลือบ วัสดุประเภทซีเมนต์ แก้ว วัสดุทนไฟ ปัจจุบันมีการพัฒนากระบวนการผลิตตลอดจน มีความเข้าใจในลักษณะพื้นฐานทำให้มีการ พัฒนาเซรามิกประเภทใหม่ ๆ 1.มีความแข็งแรงสูง ทนต่อการสึกกร่อน และเปราะ 2.ทนทานต่อสารเคมี ทั้งที่อุณหภูมิปกติและอุณหภูมิสูง 3.คงทนต่อบรรยากาศทั้งแก๊สออกซิเจน น้ำ และสารเคมี 4.เป็นฉนวนไฟฟ้า


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง วัสดุผสม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน วัสดุผสม (composite material) คือ เป็นวัสดุที่เกิดจากการนำวัสดุ 2 ประเภท ที่มีองค์ประกอบทาง เคมีต่างกันมาผสมกัน และต้องไม่ละลายเป็นเนื้อเดียวกันและไม่ทำาปฏิกิริยากัน ทำให้มีสมบัติเฉพาะที่จะนำไปใช้งาน สมบัติของวัสดุผสมจะขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาใช้ประกอบกันเป็นวัสดุผสม โดยวัสดุผสมจะต้องประกอบด้วยวัสดุ 2 แบบ 1. วัสดุเนื้อพื้น (matrix phase) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น โลหะ เซรามิก หรือพอลิเมอร์ ซึ่งวัสดุเนื้อพื้นแต่ละ ประเภทจะมีสมบัติต่างกันดังนี้ ▪ โลหะ เป็นวัสดุ ที่มีความแข็งแรง ทนความร้อนสูง นำาไฟฟ้า เหนียว ดึงเป็นเส้นหรือทำให้เป็นแผ่น ▪ พอลิเมอร์ เป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบา ความแข็งแรงน้อย ไม่ทนความร้อน ไม่นำไฟฟ้า ▪ เซรามิก เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงสูง ทนความร้อนได้ดี ทนต่อการสึกหรอ หรือผุกร่อนได้ดี แต่เปราะ และหนัก 2. วัสดุเสริมแรง (reinforce phase) เป็นวัสดุที่กระจายอยู่ในวัสดุเนื้อพื้นช่วยทำให้ได้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ มีสมบัติเฉพาะที่จะนำไปใช้ผลิตสิ่งต่าง ๆ วัสดุเสริมแรงนี้ต้องไม่ละลาย ไม่ทำปฏิกิริยากับวัสดุเนื้อพื้น และมีการ กระจายตัวอยู่ในวัสดุเนื้อพื้นอย่างสม่ำเสมอ


คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกสมบัติทางกายภาพของเซรามิก มา4 ข้อ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง สมบัติทางกายภาพของวัสดุผสม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน สมบัติทางกายภาพ ของวัสดุผสม 1.น้ำหนักเบา 2.มีความแข็งแรง 3.เหนียว 4.ทนต่ออุณหภูมิสูง


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง การใช้ประโยชน์วัสดุประเภทวัสดุผสม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน #วัสดุผสมจากธรรมชาติเป็นวัสดุผสมที่ได้จากการรวมตัวของสารที่อยู่ในธรรมชาติ 1. กระดูก ประกอบด้วย คอลลาเจน 20% แคลเซียมฟอสเฟต 69% น้ำ 9 % และอื่น ๆ 2. คอลลาเจน ทำหน้าที่ เป็นวัสดุพื้นอยู่ในรูปไมโครไฟเบอร์ มีลักษณะเหมือนตาข่าย 3. แคลเซียมฟอสเฟต ทำหน้าที่เป็นวัสดุเสริมช่วยให้กระดูกแข็งแรง 4. ไม้ ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 4 ชนิด ได้แก่ เส้นใยเซลลูโลส สารกึ่งเซลลูโลส ลิกนิน และสาร สกัดจากธรรมชาติ 5. เซลลูโลสทำหน้าที่ เป็นวัสดุพื้น 6. ลิกนินกับสารกึ่งเซลลูโลสทำหน้าที่ เป็นวัสดุเสริม ช่วยประสานให้องค์ประกอบในไม้เกิดการเชื่อมกัน #วัสดุผสมจากการสังเคราะห์เป็นวัสดุผสมที่ได้จากการนำวัสดุชนิดต่าง ๆ มาสังเคราะห์รวมกัน เกิดเป็นวัสดุ ผสมที่มีสมบัติแตกต่างไปจากเดิม และมีสมบัติเฉพาะตามที่ต้องการ เช่น 1) คอนกรีต (concrete) คือ เป็นวัสดุผสมที่นำไปใช้ในงานก่อสร้างประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ 1. ปูนซีเมนต์ 2. หิน ทรายหรือกรวด และ 3. น้ำ โดยอาจจะมีสารเคมีเติมเพิ่มเข้าไปสำหรับสมบัติด้านอื่น เมื่อผสมเสร็จคอนกรีตจะแข็ง ตัวอย่างช้า ๆ ซึ่งน้ำและซีเมนต์จะทำปฏิกิริยาทางเคมีกัน โดยซีเมนต์จะเริ่มจับตัวกับวัสดุอื่น และแข็งตัว ความแข็งแรงของ คอนกรีตจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ผสมและหลังจากแข็งตัวแล้ว 28 วัน ความแข็งแรงจะเริ่มคงที่ 2)คอนกรีตเสริมเหล็ก (reinforced concrete) คือ เมื่อต้องการเพิ่มความแข็งแรง และความต้านทานแรงดึงของ คอนกรีตในบริเวณที่เป็นคานและโครงสร้าง ถ้าใช้คอนกรีตทั้งหมดจะทำให้มีขนาดใหญ่ และสิ้นเปลือง ดังนั้น จึงได้นำ เหล็กเส้นที่มีสมบัติยืดหยุ่นมาเสริม โดยจะเทคอนกรีตเหลวลงบนตาข่ายของเหล็กเส้นที่จัดวางตำแหน่งคงที่ หลังจากคอนกรีต แข็งตัวจะทำให้มีความแข็งแรงและมีความต้านทานแรงดึงได้มากขึ้น 3) พลาสติกเสริมใยแก้ว (fiberglass reinforced plastic) หรือเรียกว่า ไฟเบอร์กลาส คือ เป็นวัสดุผสม ระหว่างพลาสติกที่เสริมแรงด้วยเส้นใยแก้วที่ทอเป็นผืน หรือตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อเป็นการประสานสมบัติความแข็งของเส้นใย แก้วผสมความยืดหยุ่นของพอลิเมอร์ ทำให้ได้วัสดุที่มีสมบัติที่ดี 4) พอลิเมอร์เสริมใยคาร์บอน(carbon fiber) คือ เป็นวัสดุผสมระหว่างเส้นใยคาร์บอน และพอลิเมอร์ นิยมใช้ใน อุตสาหกรรมการบินและอากาศยานเพื่อช่วยให้โครงสร้างของเครื่องบิน สามารถคงความแข็งแรงเหมือนการใช้เหล็กอัลลอย อีกทั้งยังทนทานต่อการเกิดสนิมมากกว่าวัสดุประเภทอื่น มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าอะลูมิเนียม ต้องการการดูแลรักษาที่ น้อยกว่าและใช้ค่าบำรุงรักษาที่ถูกกว่า


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง พอลิเมอร์ เซรามิก วัสดุผสม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑,๒ คะแนน 1. พอลิเมอร์แต่ละกลุ่มมีสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร พอลิเมอร์ได้แก่ พลาสติก ยาง และเส้นใย ทั้งสามกลุ่มส่วนใหญ่ไม่นำไฟฟ้า ไม่นำความร้อนพลาสติกมีสมบัติ หลากหลายขึ้นอยู่กับโครงสร้าง บางชนิดใส เหนียว ป้องกันการซึมผ่านของสารได้ดี ยางเป็นพอลิเมอร์ที่มี สภาพยืดหยุ่นสูง ทนต่อแรงดึงได้ดี เส้นใยที่ได้จากธรรมชาติส่วนใหญ่มีสภาพยืดหยุ่นและความเหนียวต่ำ ส่วน เส้นใยสังเคราะห์มีความเหนียวและแข็งแรงมากกว่า จากสมบัติทางกายภาพที ่ต่างกันจึงทำให้มีการใช้งาน พอลิเมอร์แต่ละกลุ่มต่างกัน พลาสติกที่เหนียว ป้องกันการซึมผ่านของสารได้ดี นิยมนำมาทำเป็นบรรจุภัณฑ์ ต่าง ๆ ยางนิยมนำมาทำเครื่องใช้ที่ต้องใช้ความยืดหยุ่นและทนต่อแรงดึงได้ดี เช่น ถุงมือ ส่วนเส้นใยนิยม นำมาถักทอเป็นเส้น เป็นผืน ทำเป็นเครื่องนุ่งห่มและของใช้ต่าง ๆ 2. เซรามิกมีสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์เป็นอย่างไร เซรามิกไม่นำไฟฟ้า ไม่นำความร้อน และทนความร้อนได้ดี แข็งแต่เปราะ ทุบให้แตกได้ง่าย ทนต่อ การสึกกร่อน จากสมบัติทางกายภาพดังกล่าวจึงนิยมนำเซรามิกมาทำภาชนะบรรจุอาหาร เครื่องดื่มเครื่องประดับตกแต่งบ้าน 3. โลหะมีสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์เป็นอย่างไร โลหะนำไฟฟ้าและนำความร้อนได้ดี มีจุดหลอมเหลวสูง โลหะมีความเหนียว สามารถตีให้เป็นแผ่น หรือยืดเป็นเส้นได้ จากสมบัติทางกายภาพดังกล่าวจึงนิยมนำโลหะมาทำเครื่องใช้ที่ทนความร้อน นำความร้อนหรือนำไฟฟ้าได้ดี เช่น ภาชนะหุงต้ม ตัวนำไฟฟ้า 4. พอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดุผสมมีสมบัติอย่างไร และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร พอลิเมอร์ส่วนใหญ่ไม่นำไฟฟ้า ไม่นำความร้อน บางชนิดมีสภาพยืดหยุ่นสูง บางชนิดได้รับความร้อนแล้วเปลี่ยนแปลง พอลิเมอร์ สามารถนำมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์รูปทรงต่าง ๆ ได้ง่าย และมีสมบัติเหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ จึงเป็นวัสดุที่ นำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย เช่นบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆเซรามิกมีสมบัติแข็งแต่เปราะ ทนต่อการสึกกร่อน ไม่นำไฟฟ้า ไม่นำความร้อน นิยมนำมาทำภาชนะบรรจุอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องประดับตกแต่งบ้านโลหะมีสมบัติแข็งและเหนียว สามารถตีให้ เป็นแผ่นหรือยืดเป็นเส้นได้ นำไฟฟ้าและนำความร้อนได้ดี นิยมนำโลหะมาทำเครื่องใช้ที่ทนความร้อน นำความร้อนและนำไฟฟ้าได้ ดีเช่น ภาชนะหุงต้ม ตัวนำไฟฟ้าส่วนวัสดุผสมเกิดจากการนำวัสดุต่างชนิดกันมาประกอบกัน เพื่อให้มีสมบัติตามต้องการซึ่งดีกว่า วัสดุตั้งต้น เช่น ยางรถยนต์เป็นวัสดุผสมที่ประกอบด้วยยางธรรมชาติพอลิเอสเทอร์ เส้นลวดโลหะ ทำให้มีสมบัติดีกว่ายางธรรมชาติ สามารถรับแรงกระแทกได้ดี ต้านทานต่อการฉีกขาด และทนต่อความร้อน


คำชี้แจง : ให้นักเรียนดูภาพ แล้วระบุใต้ภาพว่าภาพนี้ทำมาจากวัสดุชนิดใด ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง พอลิเมอร์ เซรามิก วัสดุผสม ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๑ คะแนน พอลิเมอร์ เซรามิก วัสดุผสม ทำจาก พอลิเมอร์ ทำจาก พอลิเมอร์ ทำจาก เซรามิก ทำจาก วัสดุผสม ทำจาก เซรามิก ทำจาก พอลิเมอร์ ทำจาก พอลิเมอร์ ทำจาก____________ ทำจาก พอลิเมอร์ ทำจาก วัสดุผสม ทำจาก วัสดุผสม ทำจาก เซรามิก


คำชี้แจง : ให้นักเรียนอธิบายแนวทางการใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่า ตามหัวข้อต่อไปนี้ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง แนวทางการใช้วัสดุอย่างประหยัดและคุ้มค่า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๒ คะแนน การรณรงค์เกี่ยวกับแนวทางการใช้วัสดุอย่างคุ้มค่าและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด การลดการใช้ (reduce) การใช้ซ้ำ (reuse) การนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) เป็นการนำผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์สังเคราะห์ที่ ผ่านการใช้งานแล้ว แต่ยังมีคุณภาพดีกลับมา ใช้งานอีกครั้ง เป็นการลดหรือใช้ผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ สังเคราะห์ให้น้อยลง อาจใช้วัสดุหรือบรรจุภัณฑ์ จากธรรมชาติแทนบรรจุภัณฑ์จากพอลิเมอร์ สังเคราะห์ หรือใช้บรรจุภัณฑ์ที ่มีความคงทน สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เป็นการนำผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์สังเคราะห์ที่เคยผ่าน การใช้งานแล้ว มาผ่านการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อนำกลับมาใช้งานอีกครั้งโดยเฉพาะพลาสติกซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย จะเห็นได้ว่าสิ่งของที่เราใช้ล้วนทำขึ้นจากวัสดุ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุสังเคราะห์ เราจำเป็นต้องใช้วัสดุให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด 1A3R เป็นแนวคิดในการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า และใช้ประโยชน์ได้สูงสุด


คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกวิธีการคัดแยกขยะโดยการทิ้งขยะให้ถูกประเภทลงในถังสีขยะต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ วัสดุในชีวิตประจำวัน เรื่อง การคัดแยกขยะ ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๒ คะแนน การคัดแยกขยะโดยการทิ้งขยะให้ถูกประเภทเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยลดปัญหาขยะล้นเมือง สำหรับขยะที่ย่อยสลายได้ สามารถ นำไปหมักเป็นปุ๋ยได้ เช่น เศษผัก เปลือกผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ สำหรับขยะรีไซเคิล หรือขยะที่นำไป แปรรูปได้เช่น แก้ว กระดาษ กระป๋องเครื่องดื่ม เศษพลาสติก สำหรับขยะที่ย่อยสลายยากและไม่คุ้มค่า สำหรับการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ซองบะหมี่กึ่ง สำเร็จรูป โฟมบรรจุอาหาร สำหรับขยะอันตราย หรือขยะที่มี พิษต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม เช่น หลอดไฟฟ้า ถ่านไฟฉาย กระป๋องสเปรย์ กระป๋องยาฆ่าแมลง


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง การเกิดปฏิกิริยาเคมี ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๓ คะแนน ปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) หมายถึง การที่สารเดิมซึ่งเป็น สารตั้งต้น (reactant)เกิดการเปลี่ยนแปลง ไปเป็นสารใหม่ที่เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ (product) ที่มีการจัดเรียงอะตอมของสารใหม่เปลี่ยนไปจากเดิม มีผลทำาให้ สมบัติทางเคมี และสมบัติทางกายภาพเปลี่ยนไป เช่น สี กลิ่น ความเป็นกรด-เบส จุดหลอมเหลวการนำไฟฟ้า การเกิดปฏิกิริยาเคมีสามารถเขียนแทนด้วย ประโยคสัญลักษณ์ เรียกว่า สมการเคมี (chemical equation) ตัวอย่างเช่น ปฏิกิริยาระหว่างแก๊สไฮโดรเจน กับแก๊สออกซิเจนได้น้ำเป็นผลิตภัณฑ์ อะตอมของออกซิเจน อะตอมของไฮโดรเจน สารตั้งต้น สารตั้งต้น ผลิตภัณฑ์ เขียนสมการเคมีได้เป็น -สารตั้งต้นคืออะไร สารที่นำมาทำปฏิกิริยาเคมีกัน -ผลิตภัณฑ์คืออะไร สารใหม่ที่เกิดจากการทำปฏิกิริยา เคมีกันของสารตั้งต้น แก๊สไฮโดรเจน แก๊สออกซิเจน น้ำ 2H 2 2H O 2 + O2 →


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๓ คะแนน 1.การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (physical change) คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ลักษณะของสารเปลี่ยนแต่ องค์ประกอบของสารยังคงเดิม นั่นคือ สารที่เปลี่ยนแปลงนั้นยังคงเป็นสารเดิมไม่ได้เปลี่ยนเป็นสารใหม ่ และการ เปลี่ยนแปลงนี้สามารถเปลี่ยนกลับสภาพเดิมได้โดยวิธีง่าย ๆ เช่น น้ำเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็นไอน้ำ องค์ประกอบก็ยังเป็น H2O และไอน้ำก็ควบแน่นกลายเป็นน้ำได้โดยวิธีง่าย ๆ 2.การเปลี่ยนแปลงทางเคมี(chemical change) คือ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีสารใหม่เกิดขึ้น ซึ่งสารใหม่จะมี สมบัติต่างไปจากสารเดิมและการทำสารใหม่ให้กลับไปเป็นสารเดิมทำได้ยาก เช่น การเผาแก๊สไฮโดรเจนในอากาศ แก๊สไฮโดรเจนจะทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนเกิดเป็นน้ำซึ่งมีสมบัติต่างจากแก๊สไฮโดรเจนและแก๊สออกซิเจน การเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร ทำให้เกิดสารใหม่ที่มีสมบัติเปลี่ยนไปจากเดิม เราเรียกสารก่อนการเปลี่ยนแปลงว่าสารตั้งต้น (reactant) และเรียกสารใหม่ที่เกิดขึ้น จากปฏิกิริยาว่าผลิตภัณฑ์ (product) การเกิดปฏิกิริยาเคมีตามตัวอย่างที่กล่าวมา สามารถเขียนอธิบายการ เปลี่ยนแปลงได้ด้วยสมการข้อความ ตัวอย่าง 2H2 (g) + O2 (g) 2H2 O (g) สารตั้งต้น คือ แก๊สไฮโดรเจน (H ) และแก๊สออกซิเจน (O) ผลิตภัณฑ์คือ น้ำ (H2O) ถ้าใช้ H 2 2 โมเลกุล ทำปฏิกิริยาพอดีกับ O 2 1 โมเลกุล เกิด H 2 O 2 โมเลกุล แก๊สไฮโดรเจน 2 โมเลกุล ทำปฏิกิริยาพอดีกับแก๊สออกซิเจน 1 โมเลกุลเกิดเป็นน้ำ 2 โมเลกุล ความหมาย อ่านว่า


คำชี้แจง : ให้นักเรียนเครื่องหมาย √ หน้าข้อความใต้ภาพ เพื่อระบุว่าภาพใดเป็นการเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๓ คะแนน การเกิดสนิมของตะปูเหล็ก การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การผสมน้ำหวานสีแดงกับน้ำ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การจุดไม้ขีด การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การต้มน้ำ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การผสมน้ำอัญชันกับมะนาว การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การหลอมเหลวของน้ำแข็ง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี 1. สารที่เข้าทำปฏิกิริยาเคมีเป็นสารตั้งต้น ส่วนสารใหม่ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาเคมีเป็นผลิตภัณฑ์ 2. อะตอมของสารตั้งต้นจะไม่สูญหายไประหว่างการเกิดปฏิกิริยาเคมี แต่อะตอมจะจัดเรียงตัวเปลี่ยนไปเกิดเป็นสารใหม่ 3. ปฏิกิริยาเคมีที่มีการถ่ายโอนความร้อนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบจัดเป็นปฏิกิริยาคายความร้อน ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมาย √ หน้าข้อความที่ถูกต้อง และเขียนเครื่องหมาย X หน้าข้อความที่ไม่ถูกต้อง √ √ √ √ √ √ √ √ x


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง สมการเคมี ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๓ คะแนน 1.สมการเคมี (chemical equations) คือ เป็นการแสดงการเกิดปฏิกิริยาโดยใช้สัญลักษณ์ หรือสูตรเคมี ของสารตั้งต้น และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในปฏิกิริยาเคมี ใช้ลูกศรแสดงทิศทาง การเปลี่ยนแปลงจากสารตั้งต้น เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ ทำให้ทราบว่า 1. ชนิดของสารที่ทำปฏิกิริยากัน และชนิดของสารใหม่ที่เกิดขึ้น 2. ปริมาณของสารที่ทำปฏิกิริยาพอดีกัน และปริมาณสารใหม่ที่เกิดขึ้น 2.ให้นักเรียนบอกหลักการเขียนสมการข้อความ 3.สมการเคมีที่เขียนแทนด้วยสูตรเคมี มีหลักการเขียนอย่างไรบ้าง สมการเคมีที่เขียนแทนด้วยสูตรเคมี มีหลักการเขียนดังนี้ 1. เขียนสูตรเคมีของสารตั้งต้นไว้ด้านซ้าย ถ้ามีมากกว่า 1 ชนิด ใช้เครื่องหมายบวก (+) คั่น 2.เขียนลูกศร (→) แสดงการเกิดปฏิกิริยา 3. เขียนสูตรเคมีของผลิตภัณฑ์ไวด้านขวา 4. ดุลสมการเคมีโดยนำาตัวเลขที่เหมาะสมไปใส่หน้าสูตรเคมีทั้งด้านซ้ายและด้านขวา เพื่อทำให้จำนวนอะตอมของ ทุกธาตุในสารตั้งต้นเท่ากับจำนวนอะตอมของทุกธาตุในผลิตภัณฑ์ เช่นแก๊สไฮโดรเจนทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนได้ ไอน้ำ เขียนแทนด้วยสมการเคมี สมการข้อความ เป็นการเขียนสมการโดยเขียนชื่อสารตั้งต้นไว้ด้านซ้ายมือ ถ้ามีมากกว่า 1 สาร ให้ใช้เครื่องหมาย บวก (+) คั่นระหว่างสาร แล้วใช้ลูกศร (→) แทนการเกิดปฏิกิริยาเคมีแล้วจึงเขียนชื่อผลิตภัณฑ์ด้านขวามือ เช่น แก๊สไนโตรเจน+ แก๊สไฮโดรเจน → แก๊สแอมโมเนีย โลหะแมกนีเซียม +แก๊สออกซิเจน → แมกนีเซียมออกไซด์ สารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ + แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ → แคลเซียมคาร์บอเนต + น้ำ


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง มวลของสารในปฏิกิริยาเคมี ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๓ คะแนน การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสารจะต้องกำหนดขอบเขตที่จะศึกษา โดยสสารหรือสิ่งต่าง ๆ ที่เรากำลังสนใจศึกษาเรียกว่า ระบบ (system) ส่วนสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตที่เราต้องการศึกษา เช่น ภาชนะ อุปกรณ์ ความดัน อุณหภูมิของอากาศโดยรอบ เรียกว่า สิ่งแวดล้อม (environment) 1) ระบบเปิด (open system) คือ ระบบที่มีการถ่ายโอนทั้งพลังงาน และมวลของสารในระบบกับสิ่งแวดล้อม ทำให้มวล และพลังงานของระบบก่อนทำปฏิกิริยาไม่เท่ากับหลังทำปฏิกิริยา 2) ระบบปิด (closed system) คือ ระบบที่ไม่มีการถ่ายโอนมวลของสารในระบบกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น มวล ของสารก่อนเกิดปฏิกิริยา และหลังการเกิดปฏิกิริยาจะคงที่ส่วนใหญ่เกิดในภาชนะปิด แต่ถ้าภาชนะเปิดสารใน ปฏิกิริยาทุกชนิดจะไม่มีสถานะแก๊ส 3) ระบบโดดเดี่ยว (isolated system) คือ ระบบที่ไม่มีการถ่ายโอนทั้งมวล และพลังงานในระบบกับสิ่งแวดล้อม ทำให้มวล และพลังงานของระบบก่อนและหลังทำปฏิกิริยาเท่ากัน ระบบในการเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี จำแนกออกเป็น 3 ระบบ ชนิดของระบบ การเปลี่ยนแปลงพลังงานของระบบ การเปลี่ยนแปลงมวลของระบบ ระบบเปิด √ √ ระบบปิด √ X ระบบโดดเดี่ยว X X จากตาราง การเปลี่ยนแปลงพลังงานและการเปลี่ยนแปลงมวลของสารในระบบเปิด ระบบปิด และระบบโดดเดี่ยว ให้นักเรียนเขียนเครื่องหมาย √ ถ้าระบบมีการเปลี่ยนแปลง และเครื่องหมาย X ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง


คำชี้แจง : 1.ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง กฎทรงมวล ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๔ คะแนน อองตวน-โลรอง ลาวัวซิเอร์ ได้เสนอกฎทรงมวลของสารขึ้นไว้ว่าอย่างไร การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ของสารที่อยู่ในระบบปิด มวลรวมของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาเท่ากับมวลรวมของ สารหลังเกิดปฏิกิริยา 1.เผาแคลเซียมคาร์บอเนต 20 กรัม ในภาชนะปิดได้แคลเซียมออกไซด์ 11.2 กรัม กับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นมีมวลเท่าไร วิธีทำ แคลเซียมคาร์บอเนต → แคลเซียมออกไซด์+ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ 20 g = 11.2 g + มวลแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มวลแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ = 20 g - 11.2 g = 8.8 กรัม 2.ให้นักเรียนแสดงวิธีทำจากโจทย์ที่กำหนดให้ต่อไปนี้ให้ถูกต้อง มวลของสารตั้งต้นที่ทำปฏิกิริยาพอดีกัน = _____________________________ A + B C + D มวลสาร A + มวลสาร B = มวลสาร C + มวลสาร D กฎนี้สามารถนำาไปใช้คำนวณหามวลของสารที่ต้องการทราบได้ ถ้าทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ดังตัวอย่าง


คำชี้แจง : : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาดูดความร้อนและปฏิกิริยาคายความร้อน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๕ คะแนน การเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดจะมีการถ่ายโอนพลังงาน 2 ทิศทางเสมอ คือ 1. ระบบจะดูดพลังงานเข้าไปเพื่อใช้ทำาให้อนุภาคของสารตั้งต้นแยกออกจากกัน 2. ระบบจะคายพลังงานออกมาเมื่อสารตั้งต้นต่างชนิดกันทำปฏิกิริยากัน พลังงาน การดำเนินไปของปฏิกิริยา ผลิตภัณฑ์ สารตั้งต้น ปฏิกิริยาดูดความร้อน (endothermic reaction) คือ เป็นปฏิกิริยาที่มีการดูดพลังงานเข้าไปสลาย พันธะมากกว่าที่คายออกมาตอนสร้างพันธะ หรือ จัดเรียงอะตอมใหม่ โดยปฏิกิริยาแบบนี้สารตั้งต้น จะมีพลังงานต่ำกว ่าผลิตภัณฑ์ มีการดูดพลังงาน ความร้อนจากสิ่งแวดล้อมเข้าไป ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น แต ่สิ ่งแวดล้อมอุณหภูมิต ่ำลง เมื ่อเอามือสัมผัส ภาชนะจะรู้สึกเย็น พลังงาน การดำเนินไปของปฏิกิริยา ผลิตภัณฑ์ สารตั้งต้น พลังงานที่ดูดเข้า < พลังงานที่คายออก พลังงานที่ดูดเข้า > พลังงานที่คายออก ปฏิกิริยาคายความร้อน(exothermic reaction) คือ เป็นปฏิกิริยาที่มีการดูดพลังงานเข้าไปสลาย พันธะน้อยกว่าที่คายออกมาตอนสร้างพันธะ หรือ จัดเรียงอะตอมใหม่ เมื่อเกิดปฏิกิริยาแล้วจะให้ความ ร้อนออกมา ทำให้สิ ่งแวดล้อมมีอุณหภูมิสูงขึ้น แต่อุณหภูมิของสารลดลง


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค ำถำมต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาดูดความร้อนและปฏิกิริยาคายความร้อน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๕ คะแนน 1. การศึกษาการเปลี่ยนแปลงความร้อนของปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดแอซีติกกับโซเดียมไฮดรอกไซด์ อะไรคือระบบ อะไรคือสิ่งแวดล้อม และมีการถ่ายโอนความร้อนอย่างไร ระบบ ในที่นี้คือสารตั้งต้น ได้แก่ กรดแอซีติกและโซเดียมไฮดรอกไซด์ และผลิตภัณฑ์ ได้แก่ โซเดียมแอซีเตต และนํ้า ส่วนภาชนะ เทอร์มอมิเตอร์ ผู้ทำการทดลองเป็นสิ่งแวดล้อม เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีมีการถ่ายโอนความร้อน จากสารเข้าสู่ภาชนะ ทำให้เมื่อสัมผัสภาชนะจะรู้สึกร้อน หรือการถ่ายโอนความร้อนจากสารสู่เทอร์มอมิเตอร์ ทำให้ อุณหภูมิที่อ่านได้จากเทอร์มอมิเตอร์มีค่าเพิ่มขึ้น 2. เมื่อใช้มือจับภาชนะที่มีแอมโมเนียมคลอไรด์ผสมกับปูนขาวจะรู้สึกเย็น นักเรียนคิดว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เป็นปฏิกิริยาดูดหรือคายความร้อน เพราะเหตุใด เป็นปฏิกิริยาดูดความร้อน เนื่องจากมีการถ่ายโอนความร้อนจากภาชนะเข้าสู่สาร ภาชนะจึงเย็นลง 3.ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงแบบคายความร้อน (exothermic change) มา 3ข้อ 1.การละลายของแคลเซียมคลอไรด์ในน้ำแล้วทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น 2.การหายใจและการเผาไหม้เชื้อเพลิงรถยนต์ 3.การควบแน่นของไอน้ำเป็นหยดน้ำ 4.ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงแบบดูดพลังงาน (endothermic change) มา 2ข้อ 1.การหลอมเหลวของน้ำแข็ง 2.การกลายเป็นไอของเหงื่อ 5.ผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นในภาชนะเปิดกับภาชนะปิดแตกต่างกันอย่างไร ปฏิกิริยาในภาชนะปิด คือมวลของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาจะเท่ากับมวลของสารหลังเกิดปฏิกิริยาซึ่งเป็นไปตามกฎ ทรงมวล ส่วนปฏิกิริยาในภาชนะเปิดมวลของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาจะไม่เท่ากับมวลของสารหลังเกิดปฏิกิริยา เนื่องจาก แก๊สที่เป็นผลิตภัณฑ์จะออกสู่ภายนอกภาชนะ


คำชี้แจง : : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๕ คะแนน ปฏิกิริยาการเผาไหม้(combustion reaction) คือ เกิดจากเชื้อเพลิง ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจน (H) และธาตุคาร์บอน (C) เป็นองค์ประกอบหลักทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนในอากาศ (O2) ซึ่งหากเกิดปฏิกิริยา การเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ จะได้ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และไอนํ้า (H2O) แต่หากเกิดปฏิกิริยา การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จะเกิดเขม่า (ผงคาร์บอน) แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และไอนํ้า 1. การเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ (complete combustion) คือ ถ้าเชื้อเพลิงเกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์จะได้ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไอน้ำพลังงานความร้อน และพลังงานแสง 2. การเผาไหม้อย่างไม่สมบูรณ์ (incomplete combustion) คือเป็นการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลซึ่งมีธาตุ คาร์บอนเป็นองค์ประกอบสำคัญ แล้วมีปริมาณของแก๊สออกซิเจนไม่เพียงพอ จะเกิดผลิตภัณฑ์คือ เขม่า (ผงคาร์บอนละเอียด) แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์(CO) ไอน้ำ C3 H 8 (g) 3O2 (g) 2CO2 (g) 4H2 + + O (g) แก๊สโพรเพน แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ สมการข้อความ คือ เชื้อเพลิง + แก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ สมการข้อความ คือ เชื้อเพลิง + แก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์+ เขม่า + ไอน้ำ แก๊สโพรเพน แก๊สออกซิเจน ไอน้ำ C3 H 8 (g) 5O2 (g) 3CO2 (g) 4H 2 O (g) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ + + แก๊สออกซิเจน ไอน้ำ สมการเคมี สมการเคมี มากเกิน พอ ไม่เพียงพอ (คาร์บอน)


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๖ คะแนน ปฏิกิริยาการเกิดสนิมของโลหะ เกิดจากโลหะทำปฏิกิริยากับนํ้า และแก๊ส ออกซิเจนเกิดเป็นสนิมหรือออกไซด์ของโลหะ ทำให้อะตอมของโลหะซึ่งเป็นสารตั้งต้นเกิดการ สึกกร่อนหายไปกลายเป็นออกไซด์ของโลหะ ซึ่งเป็นสารใหม่มีสมบัติแตกต่างจากโลหะเดิม การป้องกันไม่ให้โลหะเป็นสนิม เช่น 1. ไม่ให้ผิวเหล็กสัมผัสความชื้นและอากาศโดยการเคลือบผิวด้วยน้ำามัน พลาสติก หรือชุบโลหะ 2. หลังการใช้เครื่องมือที่ทำาด้วยเหล็กทุกครั้งต้องเช็ดทำาความสะอาด และเช็ดให้แห้ง แล้วเก็บไว้ในที่ที่ไม่มีความชื้น ปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดกับโลหะ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะและแก๊สไฮโดรเจน Fe (s) 2HCl (aq) FeCl2 (aq) H 2 (g) ไอร์ออน (II) คลอไรด์ + + แก๊สไฮโดรเจน เหล็ก กรดไฮโดรคลอริก #ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ จงเขียนสมการข้อความ โลหะ + กรด เกลือของโลหะ + แก๊สไฮโดรเจน จงเขียนสมการข้อความ โลหะ + แก๊สออกซิเจน + น้ำ สนิมของโลหะ สมการเคมี เหล็ก แก๊สออกซิเจน สนิมของเหล็ก 4Fe (s) 3O2 (g) 3H 2 O (l) 2Fe2 O3 .3H2 O (s) น้ำ + + สมการเคมี


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๖ คะแนน #ปฏิกิริยากรดกับเบสหรือปฏิกิริยาสะเทิน ตัวอย่างเช่น H2 SO4 (aq) Ca(OH) 2 (aq) CaSO4 (s) 2H2 O (l) แคลเซียมซัลเฟต + + แคลเซียมไฮดรอกไซด์ กรดซัลฟิวริก น้ำ ปฏิกิริยาระหว่างกรดไฮโดรคลอริกกับแอมโมเนีย ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแอมโมเนียมคลอไรด์ HCl (aq) NH3 (aq) NH4 + Cl (s) กรดไฮโดรคลอริก แอมโมเนีย แอมโมเนียมคลอไรด์ ปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดกับเบส ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะและน้ำ หรืออาจได้เพียงเกลือของโลหะชนิดเดียว ปฏิกิริยาระหว่างกรดซัลฟิวริกกับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแคลเซียมซัลเฟตและน้ำ #ปฏิกิริยาเบสกับโลหะบางชนิด ปฏิกิริยาเคมีระหว่างเบสกับโลหะบางชนิด ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะ และแก๊ส ไฮโดรเจน Zn (s) 2NaOH (aq) Na2 ZnO2 (s) H 2 (g) โซเดียมซิงค์เคต + + สังกะสี โซเดียมไฮดรอกไซด์ แก๊สไฮโดรเจน จงเขียนสมการข้อความ กรด + เบส เกลือของโลหะ + น้ำ จงเขียนสมการข้อความ กรด + เบส เกลือของโลหะ จงเขียนสมการข้อความ เบส + โลหะบางชนิด เกลือของเบส + แก๊สไฮโดรเจน สมการเคมี สมการเคมี สมการเคมี


คำชี้แจง : : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๖ คะแนน #ปฏิกิริยาของกรดกับสารประกอบคาร์บอเนต ปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดกับสารประกอบคาร์บอเนต ได้ผลิตภัณฑ์เป็นเกลือของโลหะ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ เช่น ปฏิกิริยาระหว่างแคลเซียมคาร์บอเนต หรือหินปูนกับกรดซัลฟิวริก ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแคลเซียมซัลเฟต แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ แคลเซียมคาร์บอเนต กรดซัลฟิวริก น้ำ CaCO3 (s) H 2 SO4 (aq) CaSO4 (s) H 2 O (l) แคลเซียมซัลเฟต + CO + 2 + (g) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ #ปฏิกิริยาการเกิดฝนกรด ฝนกรดที่เกิดจากออกไซด์ของซัลเฟอร์ เช่น แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) แก๊สซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ (SO3) ทำให้เกิดกรดซัลฟิวริก (H2SO4) ตัวอย่าง จงเขียนสมการข้อความ วัสดุคาร์บอเนต + กรด เกลือของโลหะ+ น้ำ +แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ จงเขียนสมการข้อความ ออกไซด์ของอโลหะ + น้ำ กรด สมการเคมี #ปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แก๊สออกซิเจน แก๊สซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ 2SO2 (g) O2 (g) 2SO3 + (g) แก๊สซัลเฟอร์ไตรออกไซด์ น้ำ SO3 (g) H 2 O (l) H 2 SO4 + (aq) กรดซัลฟิวริก สมการเคมี จงเขียนสมการข้อความ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์+น้ำ น้ำตาลกลูโคส+ออกซิเจน+น้ำ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ กลูโคส 6CO 2 (g) 6H 2 O (l) C 6 H 12 O 6 (aq) คลอโรฟิลล์ + + แสง 6O 2 (g) แก๊สออกซิเจน สมการเคมี แสง คลอโรฟิลล์


คำชี้แจง : ให้นักเรียนบอกสารตั้งต้นและผลิตภัณฑ์ จากปฏิกิริยาเคมีต่อไปนี้ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๖ คะแนน ปฏิกิริยาเคมี เบส + โลหะบางชนิด (Al Zn) สารตั้งต้น เกลือของเบส + แก๊สไฮโดรเจน ผลิตภัณฑ์ เบสกับโลหะบางชนิด กรดกับสารประกอบคาร์บอเนต การเกิดฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช การเผาไหม้แบบสมบูรณ์ การเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์ การเกิดสนิมของเหล็ก กรดกับโลหะ กรดกับเบส กรด + สารประกอบคาร์บอเนต เกลือของโลหะ + แก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ น้ำฝน + ออกไซด์ของไนโตรเจน หรือออกไซด์ของซัลเฟอร์ น้ำฝนที่มีสมบัติเป็นกรด (กรดซัลฟิวริกหรือกรดไนตริก) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ (มีคลอโรฟิลล์ดูดกลืนพลังงานแสง) น้ำตาลกลูโคส + แก๊สออกซิเจน สารประกอบที่มี H และ C + แก๊สออกซิเจน (เพียงพอ) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ + พลังงาน สารประกอบที่มี H และ C + แก๊สออกซิเจน (ไม่เพียงพอ) แก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ + น้ำ + พลังงาน + เขม่าควัน เหล็ก + น้ำ + แก๊สออกซิเจน สนิมของเหล็ก กรด + โลหะ เกลือของโลหะ + แก๊สไฮโดรเจน กรด +เบส เกลือของโลหะ + น้ำ


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ก ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ปฏิกิริยาเคมีในชีวิตประจำวัน ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๖ คะแนน 1.สมการข้อความต่อไปนี้ มีสารใดบ้างเป็นสารตั้งต้น สารใดบ้างเป็นผลิตภัณฑ์ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ + แคลเซียมไฮดรอกไซด์ → แคลเซียมคาร์บอเนต + น้ำ ตอบ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแคลเซียมไฮดรอกไซด์เป็นสารตั้งต้น ส่วนแคลเซียมคาร์บอเนตและน้ำเป็นผลิตภัณฑ์ 2.การเกิดปฏิกิริยาเคมีระหว่างโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรคลอริกได้ผลิตภัณฑ์เป็นโซเดียมคลอไรด์ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ เขียนแทนด้วยสมการข้อความได้อย่างไร ตอบ โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต + กรดไฮโดรคลอริก → โซเดียมคลอไรด์+ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์+ น้ำ 3.นักเรียนมีวิธีสังเกตได้อย่างไรว่าสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ตอบ สังเกตจากเขม่า ถ้าพบว่าการเผาไหม้ไม่มีเขม่าเกิดขึ้น แสดงว่าเป็นการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้ามีเขม่าเกิดขึ้น แสดงว่าเป็นการ เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ 4.นักเรียนคิดว่าปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด และการสังเคราะห์ด้วยแสงเกี่ยวข้องกันอย่างไร ตอบ ปฏิกิริยาการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง จะทำให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม เราสามารถ ลดปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้ โดยอาศัยปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช นอกจากนั้น ปฏิกิริยาการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง อาจทำให้เกิดออกไซด์ของไนโตรเจนหรือออกไซด์ของซัลเฟอร์ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดฝนกรดได้อีกด้วย และถ้าเกิดฝนกรดบ่อยครั้งเป็น ระยะเวลานาน ๆ ก็จะทำให้ใบพืชแห้งและถูกทำลาย จนไม่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ 5.การเผาถ่านให้เกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์และไม่สมบูรณ์เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ตอบ การเผาไหม้ทั้งสองแบบจะได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกัน คือ น้ำ ความร้อน และแสง สิ่งที่แตกต่างกันคือ การเผาถ่านแบบสมบูรณ์จะ ได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนการเผาถ่านแบบไม่สมบูรณ์จะได้เขม่าและแก๊สคาร์บอนมอนอกไซด์ 6.เพราะเหตุใด น้ำฝนที่พบทั่วไปจะมีความเป็นกรดอ่อน ๆ ในขณะที่น้ำฝนตามแหล่งโรงงานอุตสาหกรรมมักจะมีความ เป็นกรดมากกว่าปกติ ตอบ น้ำฝนที่พบทั่วไปจะทำปฏิกิริยากับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้สารละลายที่มีความเป็นกรดอ่อน ๆ แต่น้ำฝนตามแหล่งโรงงาน อุตสาหกรรมจะทำปฏิกิริยากับแก๊สที่ปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ออกไซด์ของซัลเฟอร์ ออกไซด์ของไนโตรเจน เกิดเป็น สารละลายซึ่งมีความเป็นกรดมากกว่าปกติ 7.กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอย่างไร ตอบ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช จะได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำตาลและแก๊สออกซิเจน ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในการทำปฏิกิริยากับน้ำ ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สออกซิเจน จึงช่วยลด ปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของปรากฏการณ์เรือนกระจก นอกจากนั้นยังเพิ่มปริมาณแก๊สออกซิเจน ในบรรยากาศ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชจึงมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งต่าง ๆ รอบตัว


คำชี้แจง : ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมี ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๗ คะแนน ใช้พลังงานความร้อนจากปฏิกิริยาเผาไหม้ไปใช้ ในการหุงต้มอาหาร การทำงานของเครื่องยนต์ เครื่องจักร รวมทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้า ใช้ปฏิกิริยาของกรดกับเบส โดยการปรับ สภาพน้ำทิ้งของโรงงานอุตสาหกรรม ปรากฏการณ์เรือนกระจก เนื่องจากกิจกรรม ของมนุษย์เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือน กระจกลอยไปสะสมอยู่บนชั้นบรรยากาศ ทำ ให้รังสีความร้อนที่ส่องเข้ามายังโลกไม่สามารถ ทะลุผ่านออกไปได้ โลกจึงมีอุณหภูมิสูงขึ้น และก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน ฝนกรดทำอันตรายต่อระบบหายใจ และเนื้อเยื่อ ของร่างกายของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งทำลายสิ่งปลูก สร้างที่มีโลหะและหินปูนเป็นองค์ประกอบ


คำชี้แจง : ใหนักเรียนยกตัวอย่างประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมีที่พบในชีวิตประจำวัน ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมี ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๗ คะแนน ประโยชน์ของปฏิกิริยาเคมี × โทษของปฏิกิริยาเคมี • ปรับสภาพน้ำทิ้งโดยปฏิกิริยาของกรดกับเบส • สร้างพลังงานความร้อนโดยปฏิกิริยาการเผาไหม้ • สร้างแก๊สออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคสโดยปฏิกิริยาการสังเคราะห์ด้วยแสง • ตกตะกอนไอออนของโลหะหนักบางชนิด • เกิดแก๊สที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น C ส่งผลต่อการลำเลียงแก๊สออกซิเจนของ เซลล์เม็ดเลือดแดง CO 2 ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก SO X และ NO X ก่อให้เกิดฝนกรด • ทำลายวัสดุที่ทำจากโลหะและหินปูน


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามในตารางให้ถูกต้อง ปฏิกิริยาเคมี การเกิดปฏิกิริยา ประโยชน์ โทษ แนวทางการป้องกัน ปฏิกิริยาการ เผาไหม้ เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างแก๊ส ออกซิเจนกับสารประเภทเชื้อเพลิงโดย ต้องใช้ความร้อนในการเริ่มต้นปฏิกิริยา และได้ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ พร้อมทั้ง ความร้อนและแสงโดยชนิดของผลิตภัณฑ์ ที่ได้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของเชื้อเพลิง ความร้อนที่ได้จากปฏิกิริยาการ เผาไหม้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในด้านต่าง ๆ เช่น ใช้ผลิต พลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนเป็น พลังงานในการขับเคลื่อนรถยนต์ หรือใช้ในการประกอบอาหาร ทำให้เกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะเรือน กระจก และอาจเกิดเขม่าและแก๊ส คาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งเมื่อ หายใจเข้าไปจะเกิดอันตรายต่อ สิ่งมีชีวิต ลดการใช้เชื้อเพลิง เลิกการเผาป่าและ การเผาขยะ การเกิด ฝนกรด เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างฝนกับออกไซด์ ของไนโตรเจน หรือออกไซด์ของซัลเฟอร์ ได้สารละลายที่มีค่าพีเอชต่ำกว่า 5.6 - เกิดอาการระคายเคืองต่อเยื่อบุ ต่าง ๆ คันตามผิวหนัง แสบตา ทำให้พืชแห้งและตาย ทำให้ โครงสร้างของอาคารที่ทำด้วย โลหะและปูนผุกร่อน ความเป็น กรดของแหล่งน้ำและดินเพิ่มขึ้น ลดการใช้เชื้อเพลิงโดยใช้ระบบ ขนส่งสาธารณะแทนการใช้ รถยนต์ส่วนบุคคลเลือกใช้ พลังงานทดแทนแทนการใช้ พลังงานจากเชื้อเพลิง การ สังเคราะห์ ด้วยแสง เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำ โดยมีแสง และคลอโรฟิลล์ช่วยในการเกิดปฏิกิริยา ได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำตาลและแก๊ส ออกซิเจน ได้น้ำตาลซึ่งจำเป็นต่อการ เจริญเติบโตของพืช และ แก๊สออกซิเจนซึ่งจำเป็นต่อ การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่น กระบวนการนี้ยังช่วยลดปริมาณ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของ ภาวะโลกร้อนอีกด้วย - - ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมี ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๗ คะแนน แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเป็นอย่างไร ลดการใช้เชื้อเพลิง เลิกการเผาป่าและการเผาขยะ ใช้ระบบขนส่งสาธารณะแทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ติดตั้ง ระบบกำจัดแก๊สที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝนกรดในโรงงานอุตสาหกรรมก่อนปล ่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศ เลือกใช้ พลังงานทดแทนแทนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิง


คำชี้แจง : ให้นักเรียนออกแบบกิจกรรมการลดปริมาณแก๊สเรือนกระจก ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ออกแบบวิธีการลดปริมาณแก๊สเรือนกระจก ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๘ คะแนน กิจกรรมการลดปริมาณแก๊สเรือนกระจก จุดประสงค์ ให้นักเรียนออกแบบวิธีการลดปริมาณแก๊สเรือนกระจก โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมี บูรณาการ กับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม วัสดุและอุปกรณ์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการสืบค้น เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ คอมพิวเตอร์ ผลการวิเคราะห์สถานการณ์ที่กำหนดให้ ปัญหาที่พบในสถานการณ์ อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิสอดคล้อง กับการเพิ่มขึ้นของปริมาณแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นแก๊สเรือนกระจกที่มีปริมาณมากที่สุด ผลการสืบค้น นักเรียนอาจสืบค้นแหล่งกำเนิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ว่าเกิดจากกิจกรรมใดบ้าง เช่น จากแผนภูมิแสดงสัดส่วนการ ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ดังนี้ ที่มา : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน http://www.eppo.go.th/index.php/th/component/k2/item/download/19020_03bec3b5161 6b97b8c5427a1faa82f3d ครูพิจารณาคำตอบของนักเรียน


คำชี้แจง : ให้นักเรียนนำข้อมูลจากการศึกษา ค้นคว้า ลงในตารางบันทึกผลต่อไปนี้ ตารางบันทึกผล ชนิดของแก๊ส วิธีการแก้ปัญหา ความเป็นไปได้ของแต่ละวิธีการ ปริมาณแก๊สที่ลดได้ ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ออกแบบวิธีการลดปริมาณแก๊สเรือนกระจก ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๘ คะแนน ครูพิจารณาคำตอบของนักเรียน


คำชี้แจง : ให้นักเรียนทำกิจกรรมการลดปริมาณแก๊สเรือนกระจก ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ปฏิกิริยาเคมี เรื่อง ออกแบบวิธีการลดปริมาณแก๊สเรือนกระจก ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๑ ม.๓/๘ คะแนน 1. ปัญหาในสถานการณ์นี้คืออะไร และเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมีใดบ้าง ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ 2. ความรู้เกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีสามารถนำไปแก้ปัญหาในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ 3. การแก้ปัญหาในสถานการณ์นี้ได้ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรมอย่างไร ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ 4. วิธีการแก้ปัญหาที่ออกแบบไว้ มีข้อดี ข้อเสียอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีแก้ปัญหาของกลุ่ม อื่น และมี แนวทางปรับปรุงแบบของตนเองอย่างไร ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ ___________________________________________________________________________________________ คำถามท้ายกิจกรรม ครูพิจารณาคำตอบของนักเรียน


คำชี้แจง : 1.จากภาพ ให้นักเรียนนำตัวเลขหน้าอุปกรณ์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย เติมให้ตรงกับหน้าที่ ของอุปกรณ์นั้น ๆ ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๑ คะแนน 1. ส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายมีอะไรบ้าง แหล่งกำเนิดไฟฟ้า สายไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟ้า 2. กระแสไฟฟ้าคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร กระแสไฟฟ้าคือปริมาณประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ในตัวนำไฟฟ้าในหนึ่งหน่วยเวลา และกระแสไฟฟ้าเกิดจากการเคลื่อนที่ของประจุ ไฟฟ้าผ่านพื้นที่หน้าตัดของตัวนำไฟฟ้าจากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ 3. วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานแตกต่างกันอย่างไร วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมจะต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าแบบเรียงกันไป ค่ากระแสไฟฟ้าที่จุดต่าง ๆ จะเท่ากันส่วนค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า แต่ละจุดจะไม่เท่ากัน โดยความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวรวมกันจะเท่ากับความต่างศักย์ไฟฟ้ารวมของวงจร ส่วนวงจรไฟฟ้าแบบขนานจะต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าแบบคร่อมกันไปค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวจะเท่ากัน และกระแสไฟฟ้าที่ผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวรวมกันจะเท่ากับกระแสไฟฟ้ารวมของวงจร 1. ถ่านไฟฉาย 2. สวิตช์ 3. สายไฟฟ้า 4. หลอดไฟฟ้า ___2___เปิดหรือปิดวงจรไฟฟ้า ___1___เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้า __4____เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานแสง ___3___เชื่อมต่อระหว่างแหล่งกำเนิดไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้า 2. ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง สวิตช์ ภาพการทำงานของวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย 3. ให้นักเรียนเติมคำลงในช่องว่างภาพการทำงานของวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายต่อไปนี้ให้ถูกต้อง แหล่งกำเนิดไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า แสง


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๑ คะแนน 1.กระแสไฟฟ้า คือ ปริมาณของกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านจุดใด ๆ ในเส้นลวดตัวนำใน 1 วินาที ซึ่งประจุไฟฟ้าจะมีทิศ ทางการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้า เขียนแทนสัญลักษณ์ I มีหน่วยเป็น แอมแปร์(Ampere;A) วัดโดย แอมมิเตอร์ (ammeter) 1. กระแสตรง (Direct Current; DC) 2.กระแสสลับ (Alternating Current; AC) 2. กระแสไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เป็นกระแสไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลของ กระแสไฟฟ้าในทิศทางเดียวตลอดเวลา คือ เป็นกระแสไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลของ กระแสไฟฟ้ากลับไปกลับมาอย่างรวดเร็ว หรือกระแสไฟฟ้าไหลสลับขั้ว ตลอดเวลา_________________ 3.อุปกรณ์ที่ใช้วัดกระแสไฟฟ้าคืออะไร ใช้งานอย่างไร อุปกรณ์ที่ใช้วัดกระแสไฟฟ้าคือแอมมิเตอร์ ใช้งานโดยการต่อสายไฟฟ้าเข้ากับขั้วของแอมมิเตอร์ แล้วนำแอมมิเตอร์ไปต่อ แทรกในวงจร ณ จุดที่ต้องการวัด ให้ขั้วบวกของแอมมิเตอร์ต่อเข้าทางขั้วบวกของถ่านไฟฉาย และขั้วลบของแอมมิเตอร์ ต่อเข้าทางขั้วลบของถ่านไฟฉาย 4.ความต่างศักย์ไฟฟ้า (voltage) คือ ความแตกต่างของพลังงานศักย์ไฟฟ้าต่อหน่วยประจุระหว่างจุด 2 จุด ซึ่งทำ ให้เกิดกระแสไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าจะไหลจากจุดที่มีระดับพลังงานศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังจุดที่มีระดับพลังงานศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่า เขียนแทนสัญลักษณ์ V มีหน่วยเป็น โวลต์ (Volt;V) วัดโดยโวลต์มิเตอร์ 5.แรงเคลื่อนไฟฟ้า (electromotive force:e.m.f.) หมายถึง พลังงานไฟฟ้าที่เซลล์ไฟฟ้าจ่ายกระแสไฟฟ้าเคลื่อนที่ ในวงจรไฟฟ้า มีหน่วยเป็น โวลต์ (V) 6.ความต่างศักย์ไฟฟ้า 1 โวลต์ หมายถึงการที่ประจุไฟฟ้า 1 คูลอมบ์เคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แล้วทำให้ สิ้นเปลืองพลังงานไป 1 จูล 7.ความต้านทานไฟฟ้า (resistance : R) คือความสามารถ หรือสมบัติของวัตถุตัวนำไฟฟ้าที่ยอมให้กระแสไฟฟ้า ไหลผ่านไปได้ โดยวัตถุตัวนำไฟฟ้าที่มีความต้านทานต่ำจะยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้มาก วัตถุตัวนำที่มีความ ต้านทานสูงจะยอมให้ไฟฟ้าไหลผ่านได้น้อย


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๑ คะแนน คือ ความต่างศักย์ มีหน่วยเป็น โวลต์ (V) คือ กระแสไฟฟ้า มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A) คือ ความต้านทาน มีหน่วยเป็น โอห์ม (Ω) = 1.กฎของโอห์ม (ohm^′ s law) มีใจความสำคัญว่า “เมื่ออุณหภูมิคงที่ กระแสไฟฟ้าในตัวนำโลหะจะแปร ผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายทั้ง 2 ข้างของตัวนำนั้น” ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน สามารถคำนวณได้จากสมการ 2.กระแสไฟฟ้า ความต่างศักย์ไฟฟ้า และความต้านทานไฟฟ้ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร กระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้าของตัวนำไฟฟ้าชนิดหนึ่งจะมีความสัมพันธ์กันโดยเมื่อความต่างศักย์ไฟฟ้ามีค่ามากขึ้น กระแสไฟฟ้าก็มากขึ้นด้วย เขียนกราฟระหว่างความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าได้เป็นกราฟเส้นตรง โดยอัตราส่วน ระหว่างความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้ามีค่าคงที่เรียกว่าความต้านทานไฟฟ้า 3.วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานแตกต่างกันอย่างไร วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมจะต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าแบบเรียงกันไป ค่ากระแสไฟฟ้าที่จุดต่าง ๆ จะเท่ากันส่วนค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า แต่ละจุดจะไม่เท่ากัน โดยความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวรวมกันจะเท่ากับความต่างศักย์ไฟฟ้ารวมของวงจร ส่วนวงจรไฟฟ้าแบบขนานจะต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าแบบคร่อมกันไปค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวจะเท่ากัน และกระแสไฟฟ้าที่ผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละตัวรวมกันจะเท่ากับกระแสไฟฟ้ารวมของวงจร


คำชี้แจง : .ให้นักเรียนแสดงวิธีทำจากโจทย์ที่กำหนดให้ต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๑ คะแนน 2.ไฟท้ายของรถยนต์เชื่อมต่อกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ ถ้ากระแสไฟฟ้ามีค่า 0.50 แอมแปร์ความต้านทานของไฟ ท้ายรถยนต์มีค่าเท่าไร วิธีทำ จากสูตร R = V 2.กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดที่มีความต้านทาน 10 โอห์ม มีขนาด 12 แอมแปร์ ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าเป็นเท่าไร วิธีทำ จากสูตร V = IR เมื่อ I = 12 A, R = 10 Ω แทนค่า V = 12 x 10 V = 120 V ดังนั้น ความต่างศักย์ไฟฟ้ามีค่า 120 โวลต์ เมื่อ V = 12 V, I = 0.50 A แทนค่า R = 12 0.50 R = 24 Ω ดังนั้น ความต้านทานของไฟท้ายรถยนต์มีค่า 24 โอห์ม I


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๒ คะแนน 1.กราฟแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์ไฟฟ้าที่คร่อมตัวต้านทานไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวต้านทาน ไฟฟ้านั้นเป็นดังภาพ ตัวต้านทานไฟฟ้านี้มีค่าความต้านทานไฟฟ้าเป็นเท่าใด จากความสัมพันธ์ V = IR ความต้านทานไฟฟ้า R คืออัตราส่วนระหว่าง V/I จากกราฟ จะได้ว่า ถ้าใช้ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าเท่ากับ 9 โวลต์ กระแสไฟฟ้า 0.045 แอมแปร์ R = (9 V)/(0.045 A) R = 200 Ω หรือ ถ้าใช้ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าเท่ากับ 6 โวลต์ กระแสไฟฟ้า 0.030 แอมแปร์ R = (6 V)/(0.030 A) R = 200 Ω หรือ ถ้าใช้ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าเท่ากับ 3 โวลต์ กระแสไฟฟ้า 0.15 แอมแปร์ R = (3 V)/(0.015 A) R = 200 Ω ดังนั้น ความต้านทานไฟฟ้าของตัวต้านทานไฟฟ้านี้เท่ากับ 200 โอห์ม


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๓ คะแนน 1.แอมมิเตอร์คือ เป็นเครื่องมือวัดที่ใช้วัดกระแสในวงจร กระแสไฟฟ้ามีหน่วยวัดเป็นแอมแปร์ 2.โวลต์มิเตอร์คือ เครื่องมือสำหรับวัดค่าความต่างศักย์ในวงจรไฟฟ้า, หน่วยที่ใช้วัด คือ โวลต์ จากภาพวงจรไฟฟ้า ถ้าต้องการวัดค่ากระแสไฟฟ้าที่ผ่านหลอดไฟฟ้า ก ควรนำสายขั้วบวกและขั้วลบของแอมมิเตอร์ ไปต่ออย่างไร เขียนแผนภาพการต่อแอมมิเตอร์ แผนภาพการต่อแอมมิเตอร์ จากภาพวงจรไฟฟ้า ถ้าต้องการวัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมหลอดไฟฟ้า ข ควรนำสายขั้วบวกและขั้วลบของ โวลต์มิเตอร์ไปต่ออย่างไร เขียนแผนภาพแสดงการต่อโวลต์มิเตอร์ แผนภาพแสดงการต่อโวลต์มิเตอร์ ถ้าต้องการวัดกระแสไฟฟ้าที่ผ่านหลอดไฟฟ้า ก ควรนำแอมมิเตอร์ไปต่อแบบอนุกรมกับหลอดไฟฟ้า ก เพื่อวัดกระแสไฟฟ้าที่เข้าหลอดไฟฟ้า ก หรือเพื่อ วัดกระแส ไฟฟ้าที ่ออกจากหลอดไฟฟ้า ก ก็ได้ โดยต้องต ่อขั้วบวกของแอมมิเตอร์เข้าทางขั้วบวก ของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าและต่อขั้วลบของแอมมิเตอร์ เข้าทางขั้วลบของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ถ้าต้องการวัดความต ่างศักย์ไฟฟ้าคร ่อม หลอดไฟฟ้า ข ควรนำโวลต์มิเตอร์ไปต่อขนาน กับหลอดไฟฟ้า ข โดยต้องต่อขั้วบวกของโวลต์ มิเตอร์เข้าทางขั้วบวกของแหล ่งกำเนิดไฟฟ้า และต่อขั้วลบของโวลต์มิเตอร์เข้าทางขั้วลบของ แหล่งกำเนิดไฟฟ้า หรือ


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๓ คะแนน 1.ถ้านำโวลต์มิเตอร์วัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าโดยต่อขั้วของโวลต์มิเตอร์ที่ตำแหน่งเดียวกันในวงจรไฟฟ้าดังภาพ ค่าความ ต่างศักย์ไฟฟ้าที่วัดได้จะเป็นเท่าใด เพราะเหตุใด 2.จากภาพวงจรไฟฟ้าที่กำหนดให้ เขียนเป็นแผนภาพวงจรไฟฟ้าได้อย่างไร ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าที่วัดได้จะเป็นศูนย์ เนื่องจากวัดที่ตำแหน่งเดียวกัน ศักย์ไฟฟ้าเท่ากัน จึงไม่มีความแตกต่างของศักย์ไฟฟ้า 3.เมื่อต่อแอมมิเตอร์เข้าในวงจรไฟฟ้าโดยใช้ขั้วบวกที่รองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดของแอมมิเตอร์เป็น 5 แอมแปร์ เข็มของแอมมิเตอร์ชี้ดังภำพ ค่ำที่อ่ำนได้เป็นเท่ำใด 4.เมื่อต่อโวลต์มิเตอร์ระหว่างอุปกรณ์ไฟฟ้าโดยใช้ขั้วบวกที่รองรับความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงสุดของ โวลต์มิเตอร์เป็น 15 โวลต์ เข็มของโวลต์มิเตอร์ชี้ดังภาพ ค่าที่อ่านได้เป็นเท่าใดเข็มของแอมมิเตอร์ชี้ดังภาพ ค่าที่อ่านได้เป็นเท่าใด ที่ขั้วบวกเป็น 5 A จะได้ว่าระยะห่างระหว่างขีดหรือระยะ 1 ช่องของแถวด้านบนซึ่งมีทั้งหมด 50 ช่อง มีค่าเท่ากับ (5 A)/(50 ช่อง) = 0.1 A จากภาพจะเห็นว่าเข็มของแอมมิเตอร์ชี้ที่ช่องที่ 12 ดังนั้นค่ากระแสไฟฟ้าที่อ่านได้จะเท่ากับ 12 x 0.1 A = 1.20 A ที่ขั้วบวกเป็น 15 V จะได้ว่าระยะห่างระหว่างขีดหรือระยะ 1 ช่อง จากทั้งหมด 30 ช่อง มีค่าเท่ากับ (15 V)/(30 ช่อง) = 0.5 V จากภาพ เข็มของโวลต์มิเตอร์ชี้ที่ประมาณช่องที่ 9 ดังนั้นค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าที่อ่านได้จะเท่ากับ 9 x 0.5 V = 4.5 V


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๓ คะแนน จากภาพถ้าต้องการวัดกระแสไฟฟ้าที่เข้าหลอดไฟฟ้า ก และออกจากหลอดไฟฟ้า ก จะต้องวัดที่ตำแหน่งใด เพราะเหตุใด ถ้าจะวัดกระแสไฟฟ้าที่ออกจากหลอดไฟฟ้า ก ต้องนำแอมมิเตอร์ต่อ แทรกที่ตำแหน่ง B โดยต่อขั้วของแอมมิเตอร์ ดังภาพ เพราะกระแสไฟฟ้าจะ เคลื่อนที่จากขั้วบวกไปยังขั้วลบ ดังนั้นจึงต้องต่อแอมมิเตอร์แทรกที่ตำแหน่ง B หลังจากที่กระแสไฟฟ้าผ่านหลอดไฟฟ้า ก ถ้าจะวัดกระแสไฟฟ้าที่เข้าหลอดไฟฟ้า ก ต้องนำแอมมิเตอร์ต่อแทรก ที่ตำแหน่ง A โดยต่อขั้วของแอมมิเตอร์ ดังภาพ เพราะกระแสไฟฟ้าจะ เคลื่อนที่จากขั้วบวกไปยังขั้วลบ ดังนั้นจึงต้องต่อแอมมิเตอร์แทรกที่ ตำแหน่ง A ก่อนที่กระแสไฟฟ้าจะผ่านหลอดไฟฟ้า ก


คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง ปริมาณทางไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๔ คะแนน 1.ถ้ากระแสไฟฟ้าที่ผ่านหลอดไฟฟ้า ก เป็น 0.25 แอมแปร์และความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมหลอดไฟฟ้า ก เป็น 6 โวลต์ ถ้าค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมตำแหน่ง AC เป็น 9 โวลต์ ค่ากระแสไฟฟ้าที่ผ่านหลอดไฟฟ้า ข และ ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมหลอดไฟฟ้า ข เป็นเท่าใด หลอดไฟฟ้าทั้งสองต่อกันแบบอนุกรม กระแสไฟฟ้าที่ผ่านหลอดไฟฟ้าทั้งสองจะเท่ากัน ดังนั้นกระแสไฟฟ้าที่ผ่าน หลอดไฟฟ้า ข จะมีค่าเท่ากับ 0.25 แอมแปร์ ส่วนค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมหลอดไฟฟ้า ก และ ข รวมกัน จะเท่ากับความต่างศักย์ไฟฟ้าที่คร่อมระหว่างจุด AC ดังนั้นความต่างศักย์ไฟฟ้าคร่อมหลอดไฟฟ้า ข จะมีค่าเป็น 3 โวลต์ ซึ่งหาได้จาก 9 V – 6 V = 3 V_________________________________________________________________________ __________________________________________________________________________ _____ __________________________________________________________________________ __________________________________________________________________________ ____ 2.จากภาพ ถ้าหลอดไฟฟ้าทั้ง 3 หลอด เหมือนกันทุกประการ นักเรียนคิดว่าค่ากระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้า ของหลอดไฟฟ้าแต่ละหลอดจะเป็นเท่าใด เนื่องจากหลอดไฟฟ้าทั้ง 3 หลอดเหมือนกันทุกประการ แต่ละ หลอดจึงมีความต้านทานไฟฟ้าเท่ากัน ดังนั้นกระแสไฟฟ้าที่ผ่าน หลอดไฟฟ้าแต่ละหลอดจะเท่ากัน โดยจะเท่ากับกระแสไฟฟ้ารวม แบ่ง 3 ส่วนเท่ากับ 0.2 แอมแปร์ ส่วนความต่างศักย์ไฟฟ้าของ หลอดไฟฟ้าแต ่ละหลอดจะมีขนาดเท ่ากันและเท ่ากับความต ่าง ศักย์ไฟฟ้ารวมของวงจรคือ 9 โวลต์


คำชี้แจง : 1.ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง วงจรไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๕ คะแนน วงจรไฟฟ้า คือ เส้นทางที่กระแสไฟฟ้าไหลจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้าผ่านตัวนำาและเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วไหลกลับสู่ แหล่งกำเนิดไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าไหลครบวงจร การกดสวิตช์เพื่อเปิดไฟฟ้า เป็นการทำให้วงจรปิด แต่ถ้าวงจรไฟฟ้าที่ไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านวงจรการกด สวิตช์เพื่อปิดไฟฟ้าเป็นการทำให้เกิดวงจรเปิด ประเภทวงจร ภาพแสดงการต่อวงจร แผนภาพแสดงการต่อวงจร วงจรปิด วงจรเปิด 2.ให้นักเรียนเขียนแผนภาพแสดงการต่อวงจรไฟฟ้าต่อไปนี้ให้ถูกต้อง


คำชี้แจง : จากภาพอุปกรณ์ไฟฟ้าให้นักเรียนเขียนสัญลักษณ์และบอกชื่ออุปกรณ์ไฟฟ้าต่อไปนี้ให้ถูกต้อง ใบงานวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้า เรื่อง สัญลักษณ์วงจรไฟฟ้า ชื่อ – สกุล_____________________ ชั้น/ห้อง _______เลขที่____โรงเรียน__________________ ตัวชี้วัด มฐ. ว ๒.๓ ม.๓/๕ คะแนน ภาพอุปกรณ์ไฟฟ้า สัญลักษณ์ ชื่ออุปกรณ์ไฟฟ้า


Click to View FlipBook Version