The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยฉบับสมบูรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 63-101พรชิตา นันบุญ, 2024-02-14 03:25:03

วิจัยฉบับสมบูรณ์

วิจัยฉบับสมบูรณ์

การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ พรชิตา นันบุญ วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ ผู้วิจัย นางสาวพรชิตา นันบุญ ที่ปรึกษา ผศ.วรัญญา ศรีบัว ที่ปรึกษาร่วม นางศิโรรัตน์ ดีสินธุ์ และนางสาวปุณยาพร อำนวย ปริญญา ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ปีการศึกษา 2566 อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (ผศ.วรัญญา ศรีบัว) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ ( ผศ. วรัญญา ศรีบัว) .................................................................................. กรรมการ (อาจารย์ประจำสาขา/หลักสูตร/คณะครุศาสตร์) .................................................................................. กรรมการ ( นางศิโรรัตน์ ดีสินธุ์ ) .................................................................................. กรรมการ (นางสาวปุณยาพร อำนวย) .................................................................................. กรรมการ ( นางบัวเงิน ศรีเงิน )


ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ ผู้วิจัย นางสาวพรชิตา นันบุญ อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.วรัญญา ศรีบัว ที่ปรึกษาร่วม นางศิโรรัตน์ ดีสินธุ์ และนางสาวปุณยาพร อำนวย ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ รายงานนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้กลุ่มเป้าหมายเป็น นักเรียนชั้นปฐมวัยปีที่ 3/3 โรงเรียนเทศบาล10 อนุบาลหนูดี จังหวัดอุดรธานี ได้จากการสุ่มแบบ เจาะจง จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1.เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยที่ได้รับการจัด กิจกรรมโดยใช้ศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ พบว่า โดยรวมมีการเปลี่ยนสูงและเมื่อจ าแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการจ าแนกความเหมือนความต่างคิดเป็นร้อยละ 90.60 และ ด้านต าแหน่งของสิ่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กัน คิดเป็นร้อยละ 90.60 มาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ด้านการต่อเข้าด้วยกันคิดเป็นร้อย ละ 92.00 ตามล าดับ มีคะแนนเฉลี่ยทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ ก่อนเรียนเท่ากับ 16.31 คะแนน หลังเรียนเท่ากับ 27.31 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน ซึ่งมีคะแนนหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน 2.ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ ที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีคะแนนทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ก กิตติกรรมประกาศ วิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ส าเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยดีเป็นเพราะได้รับความกรุณาในการให้ค าแนะน า และความอนุเคราะห์อย่างดียิ ่งจากอาจารย์วรัญญา ศรีบัว อาจารย์ประจ าสาขาการศึกษาปฐมวัย คณะครุ-ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่ได้ให้ค าแนะน า ข้อคิด และตรวจปรับปรุงข้อบกพร่อง ต่าง ๆด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์วรัญญา ศรีบัว คุณครูณัฐพร อธิราช คุณครูศิโรรัตน์ ดีสินธุ์และ คุณครูปุณยาพร อ านวย ที่ได้กรุณาตรวจพิจารณา และให้ค าแนะน า ปรับปรุงแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ใน การทดลอง และเก็บข้อมูลการวิจัยครั้งนี้อย่างดียิ่ง ขอกราบขอบพระคุณผู้บริหาร คณะครูและเด็กปฐมวัยชั้นปฐมวัยปีที่ 3/3 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดีอ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่ให้ความเอื้อเฟื้อสถานที่เพื่อใช้เก็บข้อมูล ตลอดจนให้ ความร ่วมมือและอ านวยความสะดวกในการศึกษาวิจัยจนส าเร็จลุล ่วงผู้วิจัยขอขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์ สาขาการศึกษาปฐมวัยทุกท่าน ที่ได้กรุณาอบรมสั่งสอน ถ่ายทอด ความรู้ ให้ประสบการณ์ที่ดีและมีคุณค่าอย่างยิ่งกับผู้วิจัย ท าให้ผู้วิจัยประสบผลส าเร็จในการศึกษา ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา ที่เป็นก าลังใจให้ตลอดมา ตลอดทุกท่านที่ไม่ได้กล่าวนามไว้ ณ ที่นี้ ซึ่งมีส่วนช่วยเหลือในการท าวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คุณค่าและประโยชน์ของวิจัยใน ชั้นเรียนฉบับนี้ ขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณของบิดามารดา ที่ได้อบรมเลี้ยงดูให้ความรักความ อบอุ่น และให้โอกาสทางการศึกษาแก่ผู้วิจัยท าให้ผู้วิจัยได้รับประสบการณ์อันทรงคุณค่ายิ่ง พรชิตา นันบุญ


ข สารบัญ บทที่ หน้า กิตติกรรมประกาศ ก สารบัญ ข 1 บทนำ............................................................................................................................ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา..................................................................... 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................ 5 สมมติฐานของการวิจัย............................................................................................... 5 ขอบเขตของการวิจัย.................................................................................................. 5 นิยามศัพท์เฉพาะ........................................................................................................ 6 กรอบแนวคิดในการวิจัย…………………………………………………………………………………. 8 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.................................................................................. 10 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์………………………........ 10 ความหมายของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์.......………………………… 10 ความสำคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์………………………………. 11 ทฤษฎีที่เกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์………..…………………..... 12 แนวทางในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์....…………….. 33 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์…………………..... 35 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย......… 39 ความหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์….……................................…...................... 39 ความสำคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย..................................... 40 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์………………......................................... 42 ประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์....................................................................... 46 แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย…………….……………... 48 พัฒนาการทางด้านศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย……………..….…...................................... 51 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์........................................................ 53


ค สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 3 วิธีดำเนินการวิจัย......................................................................................................... 59 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง......................................................................................... 60 วิธีการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ.............................................................. 61 การเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................................................ 65 การวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................... 66 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................... 67 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................................. 70 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................... 70 การวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................... 70 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................................... 70 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ...................................................................... 73 วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................ 72 สมมติฐานของการวิจัย............................................................................................... 72 วิธีการดำเนินการวิจัย................................................................................................. 73 การเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................................................ 73 การวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................................................... 74 สรุปผลการวิจัย.................................................................................................... ....... 74 การอภิปรายผล...................................................................................................... .... 75 ข้อเสนอแนะ............................................................................................................... 78 บรรณานุกรม......................................................................................................................... . 80 ภาคผนวก............................................................................................................................... 87 ประวัติย่อผู้วิจัย...................................................................................................................... 119


ง สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า.................................................................................. 8 2 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์............... 64 3 รูปแบบการทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design.............................. 65


จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 ตัวบ่งชี้ที่อธิบายความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กจากการสังเคราะห์เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง............................................................................................ 21 2.2 แสดงนิยามเชิงปฏิบัติการองค์ประกอบความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของ เด็กปฐมวัย............................................................................................................... 24 3.1 การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์.............................................................................. 60 4.1 ผลการทดสอบความแตกต่างการเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม............................................... 70 4.2 ประสิทธิภาพของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย....................................................... 70 4.3 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ระหว่าง ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมที่ได้รับโดยใช้ศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ของ เด็กปฐมวัย 71


บทที่ 1 บทน ำ ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ ปัจจุบันช่วงวัยเด็กคือช่วงเวลาที่เด็กเต็มไปด้วยพลังในการเรียนรู้ ชีวิตของเด็กมีพัฒนาการ และกระท าสิ่งต่างๆ ซึ่งพัฒนามาจากสิ่งที่เขาพบเห็นในชีวิตประจ าวัน ตลอดจนถึงการใช้ความคิด การคิดอย่างมีแบบแผน มีเหตุผลที่มาใช้ประกอบในการใช้ความคิดและตัดสินใจและการแก้ไขปัญหา ซึ ่งในช ่วงวัยของเด็กยังไม ่เกิดความคิดที ่มีความสอดคล้อง ที ่จะต้องเริ ่มจากการประสบปัญหา การเข้าใจปัญหา และหาแนวทางในการแก้ปัญหา พบว่าเด็กปฐมวัยในปัจจุบันยังไม่เกิดความคิดหรือ การพัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กเริ ่มที ่จะถดถอยลงในทุกๆวันของการเจริญเติบโตของ เด็กปฐมวัย ท าให้การด าเนินชีวิตของเด็กในปัจจุบันแตกต่างไปจากอดีต จากข้อมูลสถานการณ์จาก การส ารวจ พบว่าพัฒนาการของเด็กไทยที่สมวัยมี แนวโน้มลดลง ความฉลาดทางอารมณ์ก็มีค่าเกณฑ์ ปกติลดลงด้วย (ถนอมรัตน์ ประสิทธิเมตต์.2557) การศึกษาจึงเป็นเรื่องที่ส าคัญใน การพัฒนาคนให้ ทันต่อสังคมความเป็นอยู่ ดังนั้นการจัดการศึกษาในระดับปฐมวัยถือเป็นพื้นฐานที่ส าคัญในการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์เนื่องจากเด็กปฐมวัยที่มีอายุระหว่าง 3 – 6 ปี จะเป็นช่วงอายุที่สามารถพัฒนาความ พร้อมด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะ พัฒนาการด้านสติปัญญามีความส าคัญเป็นอย ่างมากในช ่วงปฐมวัย สติปัญญาของเด็กจะเกิดการ พัฒนาอย่างสูงสุดและต่อเนื่อง ซึ่งจ าเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็กเพื่อเป็นรากฐานที่ดีช่วยให้เด็กพร้อมที่ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและคุณภาพ เพียเจต์ มีความเชื่อว่า สติปัญญาจะพัฒนาเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับ การได้มีโอกาสปะทะกับสิ ่งแวดล้อมฉะนั้นการจัดสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ที ่เหมาะสม เอื้ออ านวยต่อ การเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กจึงมีความส าคัญมากส าหรับเด็กปฐมวัย (Piaget. 1964: 209 – 225 อ้างถึงใน ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2536: 5) สอดคล้อง ดังที่บรูเนอร์ (Bruner) กล่าวว่า พัฒนาการทางความคิดและสติปัญญาจะเกิดขึ้นจากการเรียนรู้และ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมเป็นส าคัญ (เพ็ญทิพา อ่วมมณี2547:26; อ้างถึงใน Bruner and others. 1966) เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เช่นการลุกขึ้นนั่ง การคลาน หรือการยืน ช้ากว่าเด็กทั่วไป และ เด็กก็อาจจะเรียนรู้ในการพูดช้ากว่าเด็กโดยทั่วไปเช่นกัน ทั้งผู้ใหญ่ แสดงพฤติกรรมต่างๆ มีพัฒนาการ ในการพูดที ่ล ่าช้า มีทักษะในด้านความจ าที ่ไม ่ดีเรียนรู้เกี ่ยวกับกฎของสังคมได้ยาก มีปัญหาเกี่ยวกับทักษะการแก้ปัญหา มีพัฒนาการทางด้านพฤติกรรมการปรับตัวที่ล่าช้า เช่น ทักษะ การช่วยเหลือตัวเอง และทักษะการดูแลตัวเองขาดทักษะทางสังคม เข้าคิวอดทนรอคอย รู้จักรอที่จะ พูดไม่พูดแทรกผู้อื ่น เมื่อขัดแย้งกับเพื่อนใช้ก าลังในการแก้ปัญหา พัฒนาการด้านการเปลี ่ยนหรือ


2 ยืดหยุ่นทางความคิด เช่น เมื่อถูกเพื่อนปฏิเสธที่จะเล่นหรือถูกแย่งของเล่นสามารถไปเล่นอย่างอื่นมี อารมณ์ที่หงุดหงิด ขาดการควบคุมอารมณ์ เช ่น เมื ่อเจอปัญหาหาทางแก้ปัญหาโดยใช้โวยวาย เมื่อผิดหวังเสียใจคืนอารมณ์หลังการปลอบโยนเป็นเวลาไม่ เป็นต้น พัฒนาการด้านความจ าขณะ ท างาน เช ่น การถูกสั ่งงานในลงปฏิบัติจ าในสิ ่งที ่ครูให้ปฏิบัติไม ่ได้ ขาดการวางแผนจัดการ ไม่มีเป้าหมาย เช่น การลงมือท างานศิลปะ ขาดทักษะการจ าในสิ่งที่ได้รับไม่ได้ ขาดการวางแผนที่ จะต้องเริ่มลงมือปฏิบัติก่อนไม่ได้ ไม่รู้จักแก้ปัญหา (มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ,ออนไลน์) เด็กปฐมวัยนับเป็น ทรัพยากรของสังคมที่มีคุณค่าในการพัฒนาประเทศ เพราะเด็กในวัยนี้ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต เด็กปฐมวัยจึงควรได้รับการพัฒนาอย ่างครบถ้วนทั้งในด้านการเลี้ยงดู การเอาใจใส ่ ความรัก ความอบอุ ่นโดยเฉพาะในวัยของเด็กปฐมวัยซึ ่งเป็นวัยที ่เริ ่มต้นของชีวิตมนุษย์นับว ่าเป็นวัยที ่มี ความส าคัญที่สุด ซึ่งเด็กในวัยนี้ได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง จะเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขและ มีสติปัญญา และเด็กจะมีพัฒนาการไปอย ่างมีคุณภาพ ผู้ใหญ่ควรสนับสนุนให้เด็กได้ท าอะไรด้วย ตนเอง เช่น เรียนรู้การดูแลตนเองในชีวิตประจ าวัน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว การรับประทานอาหาร การใช้ห้องน ้า และการดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายหรือผมของตนเองให้เรียบร้อย คณิตศาสตร์ยังเป็นอีกแขนงที่จะช่วยให้เด็กได้พัฒนาสมองในด้านของสติปัญญา ให้เด็กได้มี พัฒนาการทางสติปัญญาที ่ดีขึ้น คณิตศาสตร์เข้ามาช ่วยให้เด็กเกิดการคิดแก้ปัญหา ฝึกความจ า การวางแผน ในการพัฒนาการเรียนรู้อีกทั้ง คณิตศาสตร์เป็นสิ่งซึ่งจ าเป็นส าหรับมนุษย์ในสังคมไทย ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วตลอดเวลา มนุษย์เราต้องมีความสามารถใน การปรับตัวให้เกิดการเรียนรู้ที่หลากหลาย สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอยู่ในสังคมความสามารถ ดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดประดิษฐ์สิ่งแปลกใหม่ๆอยู่เสมอการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพื่อที่จะพัฒนาตนเองและสังคมให้ก้าวหน้าต่อไปได้นั้น จึงควรมีการแสดงออกทาง ความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องและให้ทันสมัยตลอดเวลา สิ่งที่สมบูรณ์ที่แท้จริง ซึ่งสอดคล้องกับ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี,2551) ที่ตะหนักถึงความส าคัญในการเตรียม ความพร้อมของเด็กในการด าเนินชีวิต คณิตศาสตร์ยังพัฒนาความคิด ท าให้มนุษย์มีความคิดอย่างมี เหตุผลเป็นระบบ มีแบบแผน ตลอดจนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และสามารถวิเคราะห์ปัญหา หรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์วางแผน แก้ปัญหาและน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน ได้อย่างเหมาะสม และคณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตร์อื่นๆเด็กปฐมวัย เป็นวัยเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ มีความอยากรู้อยากเห็น ช่างสังเกตชอบเล่น และส ารวจสิ ่งต ่างๆ รอบตัว คณิตศาสตร์สามารถพัฒนาเสริมสร้างให้เด็กมีความรู้ความเข้าใจ ธรรมชาติรอบตัว และสิ ่งต ่างๆ รอบตัว การที ่เด็กมีความรู้ความเข้าใจ มีทักษะกระบวนการทาง คณิตศาสตร์และมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ไม่เพียงส่งผลให้เด็กประสบความส าเร็จในการเรียนรู้ทาง


3 คณิตศาสตร์เท่านั้นแต่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ในศาสตร์อื่นๆ คณิตศาสตร์จึงมีบทบาทส าคัญทั้งในการ เรียนรู้และมีประโยชน์ต่อการด าเนินชีวิต ซึ่งความสามารถด้านนี้เป็นความสามารถที่จะช่วยให้มนุษย์ เกิดจินตนาการและนึกเห็นภาพของส ่วนประกอบต ่างๆ เมื ่อแยกออกจากกันได้และสามารถที ่จะ มองเห็นเค้าโครงหรือโครงสร้างเมื ่อเอาส ่วนต ่างๆ มาประกอบหรือรวมเข้าด้วยกันคนเราใช้ ความสามารถด้านนี้ใน การเรียนวิชาเรขาคณิต วาดเขียน และการฝีมือต่างๆ คนเราอาศัยการคิด จินตนาการ ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ยังมีความส าคัญในการด ารงชีวิตอย่างมาก เนื่องด้วยสิ่งทั้ง ปวงหรือวัตถุใดๆ มิได้มีความถาวรตลอดไป มีความเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาการเรียนรู้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ท าให้บุคคลสามารถด ารงชีวิตได้ด้วยดี ดังนั้นความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ จึงจ าเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาและส่งเสริมตั้งแต่ในวัยเด็ก (อัญชลี รัตนชื่น,2550) ซึ่งในการใช้ ชีวิตประจาวันของเด็กนั้นเด็กใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการเรียนรู้สิ่งแวดล้อมโดยใช้ความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์ในการจ าแนกวัตถุ การเข้าใจลักษณะวัตถุ ขนาด มิติการเคลื่อนที่ เข้าใจความสัมพันธ์ ระหว่างวัตถุกับวัตถุ วัตถุกับคนหรือต าแหน่งต่างๆซึ่งเป็นพื้นฐาน ที่ส่งผลต่อพัฒนาการค้านสติปัญญา ของเด็กในช่วงปฐมวัยและวัยต่อไปตลอดจนเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในงานศิลปะ จะเห็นได้ว่ากิจกรรมศิลปะ เป็นกิจกรรม 1 ใน 6 กิจกรรมที่เด็กปฐมวัยจะต้องปฏิบัติในแต่ ละวัน โดยกิจกรรมศิลปะเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สามารถส่งเสริมให้เด็กเกิดกระบวนการคิดความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์และจินตนาการ ซึ ่งนอกจากจะให้เด็กฝึกการใช้ความคิด และการใช้สายตาและมือให้ ประสานสัมพันธ์กันแล้ว กิจกรรมศิลปะยังช่วยถ่ายทอดความรู้และความรู้สึกของเด็กออกมาในรูปของ งานศิลปะ เช่น การวาดภาพ การปั้น การฉีก-ปะ การพิมพ์ภาพ การร้อย การประดิษฐ์หรือวิธีการอื่น ที่เด็กคิดสร้างสรรค์ผลงาน (กุลยา ตันติผลาชีวะ,2551) ผลงานของเด็กที่แสดงออกมาจะสะท้อนความ สนใจ การรับรู้และความพร้อมของเด็กแต่ละคนผ่านสื่อวัสดุที่เหมาะสมท าให้เด็กได้มีโอกาสสังเกต และสัมผัสวัสดุอุปกรณ์ที่มีลักษณะแตกต่างกันในเรื่องของรูปร่าง รูปทรง ขนาด พื้นผิวสัมผัส น ้าหนัก อ่อน - แก ่ของสี ฯลฯ ซึ ่งส ่งเสริมให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดและทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ เกี่ยวกับการจ าแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านต าแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์ กันรูปร่างลักษณะ รูปทรงความกว้าง ความยาว ความสูง (สูง-ต ่า) ขนาด ( เล็ก-ใหญ่) พื้นผิว (เรียบ ขรุขระ หยาบ) การนับจ านวน การรู้ค่าจ านวน การจ าแนกและการเปรียบเทียบ นอกจากนี้ยังส่งเสริม ค ว ามเชื ่อมั ่นในตนเอง ท าให้เด็กมีโอก าสแสดงออกท างอ า รมณ ์ รู้ส ึกผ ่อนคล าย มีความสนุกสนานเพลิดเพลินมีสมาธิในการท างาน เป็นอย่างดี พร้อมทั้งยังช่วยส่งเสริมความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์ ซึ่งมีผลการวิจัยยืนยันดังนี้(วราภรณ์ นาคะศิริ,2546) ศิลปะช่วยให้เด็กสื่อสารและ บูรณาการประสบการณ์ที่มี เด็กสามารถผสมผสานความรู้ วิทยาศาสตร์ สังคม คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ลงในศิลปะที่เด็กแสดงออกเด็กได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้อย่างอิสระ สื่อศิลปะเป็นรูปแบบ


4 โดยธรรมชาติที่ท าให้มีการแสดงออกและค้นคว้าที่น าไปสู่การเรียนรู้ของเด็กและเข้าใจโลก ซึ่งท าให้ เด็กได้คิดพัฒนาสร้างสรรค์จากการถ ่ายโยงภาพที่เห็นเป็นศิลปะของการเรียนรู้ที่ส าคัญ เด็กได้ทั้ง สุนทรียภาพในงานศิลปะควบคู ่ไปกับการเรียนสาระวิชา ซึ ่งศิลปะจะเป็นแก ่นของการพัฒนาได้ เพราะเด็กได้แสดงออกดังพุทธิปัญญาทั้งหมดที่มีและกระบวนการการเรียนรู้ผ่านทางศิลปะเด็กเล็ก ต้องการสัมผัสและการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม (กุลยา ตันติผลาชีวะ.2547:35) การเรียนรู้ศิลปะเป็น กิจกรรมที่เด็กสัมผัสได้ สามารถระบายความคิดความรู้ และสื่อบอกให้ผู้อื่นรู้นอกจากนั้นศิลปะยังเป็น กิจกรรมที่เพลิดเพลินที่กระตุ้นการเรียนรู้ ความสามารถในทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ไม่สามารถคิดได้อย่าง คล่องแคล่วอยู่ในระดับที่ต้องการพัฒนา โดยการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์นั้น สามารถทำ ได้ด้วยการใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ที่มี หลากหลายเรื่อง เช่น เรื่องของการจำแนก การเปรียบเทียบ การจัดหมวดหมู่ การจำแนกความเหมือน ความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน รูปร่างลักษณะ เป็นต้น โดย จัดประสบการณ์ให้เด็กอย่างเมาะสมและสอดคล้องกับวัย ซึ่งสอดคล้องกับ (สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์, 2545:55) กิจกรรมศิลปะเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมช่วยให้เกิดทักษะที่หลากหลายทางทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์เป็นทักษะที่แทรกอยู่ในทุกกิจกรรมศิลปะ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ส่งเสริมให้ เด็กได้ส ารวจค้นคว้าและเปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้ความคิดริเริ่มและจินตนาการ (พีระพงษ์ กุลพิศาล, 2536:9) ผู้วิจัยคาดว่ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์นอกห้องเรียนจะเป็นเครื่องมือที่ดีในการส่งเสริมทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ช่วยให้นักเรียนชอบเรียนคณิตศาสตร์และมีเจตคติที่ดีต่อการ เรียนคณิตศาสตร์มากขึ้น ช่วยให้เด็กเกิดทักษะที่หลากหลายและเป็นประโยชน์ในการเรียนศิลปะของ ชั้นปฐมวัยได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์นอกห้องเรียนเพื่อ ส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โรงเรียนเทศบาลนาเชือก ต าบลนาเชือกอ าเภอ นาเชือก จังหวัดมหาสารคาม จากการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ผู้วิจัยพบว่า การจัดประสบการณ์เรียนรู้ให้แก่เด็ก พัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ โดยใช้ กิจกรรมศิลปะจากผลไม้ จะสามารถท าให้เด็กได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะทางสติปัญญาของเด็ก ตามธรรรมชาติ เน้นการใช้วัสดุอุปกรณ์ที ่อยู ่รอบๆและใกล้กับตัวเด็ก เลียนแบบธรรมชาติ ให้ได้มากที่สุด จะจัดในลักษณะของการพัฒนาและส่งเสริมความสามารถในการคิดพัฒนาสติปัญญา ให้แก่เด็กเท่าที่ควรและเหมาะสมกับช่วงวัย การจัดประสบการณ์ยังเน้นการปฏิบัติหรือการลงมือท า ด้วยตนเองมากกว่าการสอนเนื้อหาวิชา ดังนั้นผู้วิจัยจึงอยากจะน ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มาใช้ใน


5 การปรับปรุงทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ในการเรียนการสอน ให้เด็กได้เรียรรู้ให้ ได้รับการพัฒนาที่ให้ดียิ่งขึ้น วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ สมมติฐำนของกำรวิจัย เด็กปฐมวัย หลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้มีทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ ขอบเขตของกำรวิจัย 1.ประชำกรและกลุ่มตัวย่ำง 1. ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลที่ 3/3 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี สังกัดส านักงานเทศบาลนครอุดรธานีภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 104 คน จากห้องเรียน จ านวน 3 ห้อง โดยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง Purposive Sampling 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลที่ 3/3 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี สังกัดส านักงานเทศบาลนครอุดรธานีภาคเรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 35 คน จากห้องเรียน จ านวน 3 ห้อง 2. ตัวแปร 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ 3. เนื้อหำกำรวิจัย เนื้อหาในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมหลักที่มีความจ าเป็นในการจัดประสบการณ์ ให้แก ่เด็กปฐมวัย เพราะเป็นกิจกรรมที ่สามารถส ่งเสริมพัฒนาการเด็กได้ครบทั้ง 4 ด้านคือ ด้าน ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา และยังได้รับการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์ประกอบด้วย ด้านการจ าแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านต าแหน่ง ของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ 4. ระยะเวลำที่ใช้ในกำรวิจัย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 8 สัปดาห์


6 นิยำมศัพท์เฉพำะ 1. เด็กปฐมวัย หมายถึง นักเรียนชายหญิง อายุระหว ่าง 4-5 ปี ที ่ก าลังศึกษาอยู่ในชั้น อนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 35 คน 2. ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์หมายถึง ความสามารถในการรับรู้อันเกิด จากการจินตนาการ ในการรับรู้ที ่เกี ่ยวกับการมองเห็นต าแหน ่งของสิ ่งต ่างๆที ่ต ่อเข้าด้วยกัน ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ การจ าแนกความเหมือนและความต่างของสิ่งของบางอย่าง รับรู้ภาพที่ มองเห็นในโลกได้อย ่างถูกต้องและสามารถน าประสบการณ์จากการเห็นมาสร้างขึ้นใหม ่เป็น ความสามารถที ่เกี ่ยวกับการเห็นรูปร ่าง สี รูปทรง เมื ่อเทียบกับจุดใดจุดหนึ ่งผ ่านประสาทสัมผัส ทางการมองเห็น มีองค์ประกอบ ดังนี้ 2.1 ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง หมายถึง ความสามารถในการแบ่งวัสดุ หรือสิ่งต่างๆที่มีหลักเกณฑ์มาใช้เป็นตัวกลางในการยึด เช่น รูปร่างรูปทรง สี ลักษณะ ขนาด พื้นผิว ประโยชน์ในการใช้งานเพื่อบ่งชี้ให้เห็นความแตกต่างของวัสดุนั้นๆ โดยเด็กจะใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการมองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การสัมผัสและการชิมรส 2.2 ด้านการต่อเข้าด้วยกัน หมายถึง ความสามารถในการนำวัสดุที่มีรูปร่างรูปทรง สี และขนาดต่างๆ มาใช้ในการสร้างงาน หรือประกอบชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกัน หรือนำเค้าโครง ชิ้นส่วนต่างๆ มาต่อเข้าด้วยกัน 2.3 ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน หมายถึง ความสามารถในการจัดวาง วัสดุต่างๆที่มีจุดเชื่อต่อให้สัมพันธ์กัน ของวัสดุที่มีตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไปโดยใช้ตัวเชื่อหรือจุดเชื่อมต่อให้ สัมพันธ์กัน เช่น ด้านหน้า-ด้านหลัง, ข้างใน-ข้างนอก, ด้านบน-ด้านล่าง, ระยะทางใกล้-ไกล, วัตถุกับ วัตถุหรือ วัตถุกับสื่อต่างๆ ที่สามารถเชื่อมต่อให้มีความสัมพันธ์กัน 3. กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้หมายถึง เป็นการท าศิลปะโดยใช้ทักษะการปั้น ฉีก ตัดปะ หรือแม่พิมพ์ในการพิมพ์ ใช้กล้ามเนื้อมือในการกดลงแม่พิมพ์ให้ได้รูปลักษณะต่างๆ เพื่อมา เป็นแม่แบบในการสร้างงานให้ได้ตามความต้องการผ่านแม่พิมพ์ ได้แก่ แม่พิมพ์ภาพดอกไม้ แม่พิมพ์ ภาพดาว แม่พิมพ์ภาพการ์ตูน แม่พิมพ์ภาพสามเหลี่ยม แม่พิมพ์ภาพสี่เหลี่ยม แม่พิมพ์ภาพวงกลม แม่พิมพ์ภาพหัวใจ แม่พิมพ์ภาพผลไม้ฯลฯ เพื่อให้ได้ภาพและออกแบบได้ตามตองการที ่ถ่ายทอด ความคิดจินตนาการและความรู้สึกด้วยวิธีการที่หลากหลายในการประดิษฐ์ความสามารถในการใช้ ผลไม้ที่เป็นตัวกลางในการออกแบบประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ผลไม้ ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะสร้างสรรค์ จากผลไม้ที่หาได้ตามท้องถิ่นและง่ายต่อการเรียนรู้ส าหรับเด็ก เช่น แตงโม ชมพู่ กล้วย ลูกตาล ขนุน มะม่วง เงาะ ล าไย ฝรั่ง สับปะรด มะเฟือง ส้ม ฯลฯ ที่มีลักษณะคงตัวไม่อ่อนเกินไป ไม่นิ่มเกินไป


7 ใช้ตัวเชื่อมต่อผลไม้เข้าด้วยกันผ่าน ไม้จิ้มฟัน กิ่งไม้ ไม้เสียบลูกชิ้น เด็กได้กระบวนการ ออกแบบที่มี ความหลากหลายจากที่สิ่งครูเตรียมไว้ให้ผ่านการใช้สติปัญญาในการคิดและตัดสินใจที่ลงมือปฏิบัติ สร้างสรรค์ผลงานของตนเองอย ่างจินตนาการ เด็กจะได้รู้จักชิ้นส่วนๆ หลักจากที่ท าความสะอาด เรียบร้อย อาจจะผ่านกระบวนการปลอกเปลือกออกให้มีลักษณะหรือแบบต่างๆ จากนั้นน ามากดลง ในแม่พิมพ์ได้ชิ้นส ่วนต่างๆ ตามความต้องการและเชื ่อต่อเข้าด้วยกันผ่านไม้จิ้มฟัน กิ่งไม้ ไม้เสียบ ลูกชิ้น เด็กได้เรียนรู้การคิดออกแบบวางแผน ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติผลงานศิลปะด้วยตนเอง รู้วิธีการการต ่อเข้าด้วยกัน ต าแหน ่งของผลไม้ที ่สัมพันธ์กัน และต าแหน ่งของผลไม้ที ่สัมพันธ์กัน เด็กจะได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการ มองเห็น การได้ยิน การดมกลิ่น การสัมผัสและสุดท้ายเด็กจะ ได้ชิมรสชาติของผลไม้แบบต่างๆ โดยมีขั้นตอนในการด าเนินงาน ดังนี้ 1. ขั้นน ำ ครูเตรียมวัสดุหรืออุปกรณ์ต่างๆ จากนั้นครูให้เด็กศึกษาและแนะน าวัสดุอุปกรณ์ วิธีการใช้ การเก็บรักษา และให้ความรู้ถึงการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความปลอดภัยแก่เด็ก 2. ขั้นด ำเนินกำร ให้เด็กท าความสะอาดมือ วัสดุอุปกรณ์และผลไม้ที่ใช้ในการท ากิจกรรมการสร้างสรรค์ ผลงานศิลปะ เด็กจะได้ใช้มือในการกดทับผลไม้ลงแม่พิมพ์ จากนั้นให้เด็กออกแบบผลงานของตนเอง ได้ตามจินตนาการออกแบบวิธีการต่อเข้าด้วยกัน ต าแหน่งของผลไม้ที่สัมพันธ์กัน และต าแหน่งของ ผลไม้ที่สัมพันธ์กัน ในการประดิษฐ์หรือสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ 3. ขั้นสรุป ครูให้เด็กน าผลงานออกมาน าเสนอ โดยครูจดบันทึกชื่อของผลงานและร่วมกันแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับผลงานที่เด็กประดิษฐ์ขึ้น ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ได้แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อครูปฐมวัยสามารถ น าแนวทางนี้ประย ุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรม ในการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์เด็กปฐมวัย 2. เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ ซึ่งจะเป็น ประโยชน์ต ่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย คือ ได้ความรู้พื้นฐานของเด็กที ่ได้รับประสบการณ์และ กิจกรรมในเรื ่องด้านการจ าแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต ่อเข้าด้วยกัน ด้านต าแหน่งของ สิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน การนับปากเปล่า การนับเรียงล าดับตัวเลข การนับจ านวน การรู้ค่ารู้จ านวน


8 การนับเพิ ่ม การนับลด การสังเกตเปรียบเทียบ การจ าแนก การจัดหมวดหมู ่ เพื ่อเป็นการเตรียม ความพร้อมที่จะเรียนคณิตศาสตร์ในระดับต่อไป กรอบแนวคิดในกำรวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม ภำพที่ 1 กรอบแนวคิดในการศึกษาค้นคว้า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ - ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง - ด้านการต่อเข้าด้วยกัน - ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน กิจกรรมศิลปะจากผลไม้


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแยกการ น าเสนอเนื้อหาตามล าดับ ดังนี้ 1.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ 1.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ 1.2 ความส าคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ 1.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ส าหรับเด็กปฐมวัยด้านมิติสัมพันธ์ 1.4 แนวทางในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ 1.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ 2.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.1 ความหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.2 ความส าคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับเด็กปฐมวัย 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.4 ประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.5 แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับเด็กปฐมวัย 2.6 พัฒนาการทางด้านศิลปะส าหรับเด็กปฐมวัย 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์


10 1.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ 1.1 ความหมายของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์ดังนี้ นพรัตน์ นามบุญมี(2556:20) ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ หมายถึง ความสามารถในการ รับรู้ และสร้างมโนภาพ การรับรู้ภาพที่ได้อย่างถูกต้อง และความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของภาพที่ เคลื่อนไหวซับซ้อนกัน หรือซ่อนอยู่ภายในภาพ การแยกภาพ และการประกอบภาพอันได้แก่ ขนาด รูปร่าง รูปทรง ต าแหน่ง ทิศทางสี สัณฐาน พื้นผิว ปริมาตร สามารถน าประสบการณ์จากการเห็น มาสร้างเกี่ยวกับมิติต่างๆ ได้ ปิยวรรณ วัฒนสืบสิน (2559:16) กล่าวว่า ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ หมายถึง ความสามารถในการรับรู้ภาพในเรื ่องของการมอง ใช้ประสาทสัมผัสที่สัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ รอบตัว ท าให้เกิดความคิดรวบขอด ในการแยกแยะ สี รูปร่าง รูปทรงสัณฐาน ลักษณะพื้นผิว มิติความลึก มิติ ความกว้าง ยาว หนา สูง และความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ส่งผลให้มนุษย์เข้าใจถึงมิติต่าง ๆ การมอง ภาพทรงต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหว ซ้อนทับกัน หรือซ่อนอยู่ภายใน ตลอดจนถึงการแยกภาพประกอบภาพ รวมถึงความสามารถในการจ าแนกต าแหน่งที่อยู่ สกุลพร พรพนม (2560:15) กล่าวว่า ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ ความสามารถด้านมิติ สัมพันธ์เป็นความสามารถในการรับรู้ เข้าใจ ตีความ และจินตนาการถึงวัตถุในมิติของขนาด รูปร่าง รูปทรง ต าแหน่ง และมิติอื่นๆในองศาหรือระนาบที่แตกต่างกัน เสาวภา พรจินดารักษ์ (2560:2) กล่าวว่า มิติสัมพันธ์ หมายถึง การรับรู้ต าแหน่งของสิ่งต่าง ๆ เมื่อเทียบกับต าแหน่งหรือจุดอ้างอิงจุดใดจุดหนึ่ง มองเห็นเป็นภาพในใจ ซึ่งการมองภาพในใจท าให้ เราไม่ถูกจ ากัดมิติแค่เพียง 1 หรือ 2 มิติ การคิดภาพในใจมันมีที่โล่งได้ทั้ง กว้าง ยาว ลึก ดังนั้น เราจะ สามารถเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่โล่งนั้นได้อย่างไม่สิ้นสุด กชพรรณ ยังมี (2563:23) กล่าวว่า มิติสัมพันธ์ คือ ความสมารถที่ประกอบไปด้วยการรับรู้ สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ตัว สามารถมองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปของต าแหน่งที่ตั้ง การจัดหมวดหมู่ แยกแยะ ความเหมือน ความต่าง การต่อเข้าด้วยกันการแยกออกจากกัน เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ด้วย การสังเกต ความสามารถด้านนี้จะส่งผลให้มนุษย์เข้าใจถึงมิติต่าง ๆ สามารถน าประสบการณ์จากการ เห็นนั้นมาสร้างสรรค์ ต่อยอดให้เกิดสิ่งแปลก ๆ ใหม่ให้เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ เป็นความสามารถในการรับรู้ อันเกิดจากการจินตนาการ ในการรับรู้ที่เกี่ยวกับการมองเห็นต าแหน่งของสิ่งต่างๆที่ต่อเข้าด้วยกัน ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ การจ าแนกความเหมือนและความต่างของสิ่งของบางอย่าง รับรู้ภาพที่


11 มองเห็นในโลกได้อย ่างถูกต้องและสามารถน าประสบการณ์จากการเห็นมาสร้างขึ้นใหม ่เป็น ความสามารถที ่เกี ่ยวกับการเห็นรูปร ่าง สี รูปทรง เมื ่อเทียบกับจุดใดจุดหนึ ่งผ ่านประสาทสัมผัส ทางการมองเห็น 1.2 ความส าคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความส าคัญของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ดังนี้ จิตรวรรณ ประจุดทะเนย์ (2557:46) กล่าวว่า เป็นความสามารถทางสมองซีกขวาที่ท าให้ เกิดจินตนาการ การสร้างมโนภาพ ท าให้เกิดความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของวัตถุหรือสิ ่งต ่างๆ ที่จ าเป็นจะต้องได้รับการพัฒนาและส่งเสริมตั้งแต่ในวัยเด็ก เพื่อพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ ธรรมชาติของสิ่งต่างรูปร่างลักษณะของวัตถุทุกประเภทความสัมพันธ์ของวัตถุและการเปลี่ยนแปลง รูปร่าง วรางคณา เครือพิลา (2558:51) กล่าวว่า เป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งที่ส าคัญของสมองของ มนุษย์ช่วยพัฒนาให้บุคคลสามารถด าเนินชีวิตได้ด้วยดีเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้และความสามารถ ด้านอื่น ๆ ในระดับที่สูงขึ้นเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ที่จะส่งผลให้มนุษย์เข้าใจถึงมิติเป็น การเรียนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของวัตถุหรือภาพต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจ าวันท าให้ผู้เรียน เกิดความสามารถในการคิดจินตนาการความคิดรวบยอด การใช้พื้นที่ออกแบบ และเป็นพื้นฐานที่ ส าคัญยิ่งในการเรียนรู้เกี่ยวกับคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ตลอดจนเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในงาน ศิลปะ ภาวนา แดนดี (2559:18) กล่าวว่า เป็นความสามารถที่ต้องได้รับการพัฒนาและส่งเสริม ตั้งแต่ในวัยเด็กเป็นความสามารถทางสมองซึกขวาที่ท าให้เกิดจินตนาการ การสร้างมโนภาพ ท าให้เกิด ความเข้าใจ เพื่อพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รูปร่าง ลักษณะของวัตถุทุก ประเภท ความสัมพันธ์ของวัตถุ และการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เนื่องด้วยสิ่งทั้งปวงหรือวัตถุใดๆ มิได้มี ความถาวรตลอดไป เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในขั้นที่สูงขึ้นไป อลิสณา อนันตะอาด (2561:9) กล ่าวว ่า เป็นสิ ่งส าคัญต ่อการพัฒนาของเด็กเป็น ความสามารถหนึ่งที่มีความส าคัญมากในการใช้ชีวิตประจ าวันถ้าเขามีทักษะมิติสัมพันธ์ที่ดี จะช่วยให้ เขาเรียนรู้อย่างมีศักยภาพที่ดี ยิ่งขึ้น ดังนั้นมีความส าคัญในการด ารงชีวิตอย่างมาก เนื่องด้วยสิ่งทั้ง ปวงหรือวัตถุใดๆ มิได้มีความถาวรตลอดไป มี การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเรียนรู้การ เปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ สุมาลี สมนึก (2562:58) กล่าวว่า เป็นทักษะที่จ าเป็นจะต้องได้รับการพัฒนาและส่งเสริม ตั้งแต่ในวัยเด็ก พัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ รูปร่างลักษณะของวัตถุทุก


12 ประเภท ความสัมพันธ์ของวัตถุและการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เป็นสิ่งส าคัญที่สามารถช่วยพัฒนาให้ บุคคลสามารถด าเนินชีวิตได้ด้วยดี เป็นรากฐานส าคัญ ที่น าไปสู่การเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ในขั้นสูงต่อไป จากที ่กล ่าวมาข้างต้นสร ุปได้ว ่า ความส าคัญของความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ เป็นความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการเริ่มต้นพัฒนาสติปัญญาของเด็กปฐมวัย ให้เด็กได้ใช้ทักษะการคิด เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการจ าแนกวัตถุ การสร้างจินตภาพ และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุกับ วัตถุ ตลอดจนสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์ 1.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงทฤษฎีที่เกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้าน มิติสัมพันธ์ดังนี้ Johnton (ม.ป.ป,อ้างถึงใน บานเย็น ชมภู 2556:22-23 ) ศึกษาเกี่ยวกับมิติสัมพันธ์ คือ ได้ อธิบายการพัฒนาความคิดของเด็กที่เกี่ยวกับการมองวัตถุในอีกลักษณะหนึ่งที่สอดคล้องกับแนวคิด ของเพียเจย์ละอินเฮลเดอร์ว่าสามารถแบ่งออกเป็น3 ระดับดังนี้ 1. ระดับพื้นฐาน (Function System) (1.3 - 2.6 ปี) เป็นระดับความคิดที ่เด็กส ารวจ คุณสมบัติของวัตถุแต่ละประเภท และเริ่มที่จะจัดประเภทของวัตถุนั้น ๆ ตามการใช้ โดยเด็กเริ่มเข้าใจ ถึงรูปร่างและขนาดของวัตถุว่ามีความสัมพันธ์กับการที่ตนใช้วัตถุนั้นในชีวิตประจ าวันจึงท าให้เด็ก เข้าใจถึงการเกี่ยวโยงกันระหว่างวัตถุในแง่ของสิ่งที่พบเห็นประจ าวันและแง่ของต าแหน่ง เช่น คุกกี้ใน เหยือก ชามบนต๊ะ ดังนั้นประสบการณ์ในการมองจึงท าให้เกิดการคาดคะเนเป้าหมายของการมองนั้น เด็กที่มีความสามารถในระดับนี้จึงสามารถที่จะให้เหตุผลและตัดสินต าแหน่งของวัตถุในแง่ของการใช วัตถุนั้นแต ่ประสบการณ์ทางสายตาจะท าให้เด็กได้หัดคาดคะเนเป้าสายตา"การมองวัตถุ" ซึ ่งเด็ก พิจารณาเรื่องคุณสมบัติของวัตถุเป็นส าคัญ จะท าให้เด็กค่อย ๆ เข้าใจเส้นน าสายตา (Line - of - sight) ซึ่งต้องพิจารณาเส้นน าสายตาหลายๆ เส้น ในระดับนี้ประสบการณ์ของเด็กกับคุณสมบัติรูปร่าง ขนาดของวัตถุท าให้เด็กรู้จักส่วนต่าง ๆ ของวัตถุ ซึ่งจะท าให้เด็กสามารถเข้าใจเรื่อสิ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน ได้ซึ่งอยู่ในระบบที่เด็กจะเรียนรู้ต่อไป 2. ระดับการวางต าแหน ่ง (Proxinal System) (2.6 - 3.6 ปี) ในระดับนี้เด็กเริ ่มคิดถึง ต าแหน่งของวัตถุในลักษณะที่เป็นอิสระ จากคุณสมบัติในการใช้งานของวัตถุนั้นๆ แต่พยายามเข้าใน ในเรื่องต าแหน่งของวัตถุดยดูความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ใกล้เป็นหลักนอกจากนี้การที่เด็กรู้จักส่วนต่างๆ ของวัตถุ ท าให้เด็กเริ่มใช้ส่วนต ่า ๆ ของวัตถุนั้น ๆ ในการอ้างอิง เช่น ลิงชอบนั่งอยู่ข้างรถบรรทุกไม่ ชอบอยู่ข้างหน้า หรือข้างหลังของรถบรรทุกนั่นคือ เด็กสามารถที่จะพิจารณาถึงวัตถุที่ใช้ในการอ้างอิง นั้นมากกว่า 1 ส่วน ตัวอย่างเช่น รถที่แล่นเป็นขบวน 3 คัน รถคันกลางจะอยู่ข้างหลังของรถคันแรก และจะอยู่ข้างหน้าของรถคันที่ 3 ซึ่งความเข้าใจของเด็กจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความสามารถในเรื่อง


13 ของความใกล้กันของวัตถุ เมื่อเด็กพัฒนาต่อไปในระบบนี้ เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับการเรียงล าดับ ซึ่งเป็น พื้นฐานส าหรับระบบต่อไปด้วย 3. ระดับการวางทิศทาง (Projective Spect) (3.7-6 ปีขึ้นไป) จากประสบการณ์ในการมอง ในระดับพื้นฐาน (Functional System) ท าให้เด็กได้รับการพัฒนาความรู้จึงเกิดจากการมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ซึ่งท าให้ท้ายที่สุดเด็กรู้จักจินตนาการเส้นน าสายตาเละสามารถคาดคะเนได้ว่าการมองใน ทิศทางใดจะเห็นวัตถุอะไรบ้าง เด็กจะพัฒนาการรับรู้เกี่ยวกับต าแหน่งในลักษณะใหม่ๆ โดยผ่านการมี ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเป็นส าคัญ จิตรวรรณ ประจุดทะเนย์ (2557:47-52) กล่าวว่า ทฤษฎีเกี่ยวกับความสามารถด้านมิติ สัมพันธ์จากความเชื่อที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความสามารถของมนุษย์ นักการศึกษาและนักจิตวิทยา ต่างก็พยายามศึกษาหาข้อมูล เพื่อที่จะอธิบายให้เห็นถึงสภาพต่าง ( ในสมองของมนุษย์ว่าโครงสร้าง ทางสมองมีส ่วนประกอบอย ่างไร จากผลการศึกษาค้นคว้าดังกล ่าว ท าให้เกิดทฤษฎีที ่เกี ่ยวกับ ความสามารถทางสมองขึ้นมาหลายทฤษฎีและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความสามารถทางสมองด้านมิติ สัมพันธ์ มีดังนี้ 1.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ ได้แบ่งล าดับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensory Motor) อายุ 0-2 ปี เด็กเรียนรู้โดย ใช้ประสาทสัมผัส เช่น ปาก หู ตา สิ่งแวดล้อมรอบตัว 2. ขั้นความคิดก่อนเกิดปฏิบัติการ (Intuitive or Pre-operationa) อายุ 2-6 ปี เด็กจะ เรียนรู้ภาษาพูด สัญลักษณ์ เครื ่องหมาย ท ่าทางในการสื ่อความหมายรู้จักสิ ่งที ่เป็นตัวแทน (Representation) โครงสร้างสติปัญญาแบบง่าย ๆ สามารถหาเหตุผลอ้างอิงได้มีความเชื่อในความคิด ของตนเองอย่างมาก ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentric) เลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ 3. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrcte Operations) อายุ 7-11 ปี เด็กจะรับ รูปธรรมได้ดี ใช้เหตุผล สร้างกฎเกณฑ์ เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ เป็นนามธรรม 4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operations) อายุ 11 - 16 ปี เด็กจะรู้จัก คิดหาเหตุผล มีระบบ คาดคะเน ตั้งสมมติฐาน แก้ปัญหา พัฒนาสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ มีความคิด เท่าผู้ใหญ่


14 2. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ ได้จัดล าดับขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กหรือโครงสร้างทางสติปัญญาเป็น 3 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นสัมผัส (Enacive Stage) เด็กจะเรียนรู้และเข้าใจสิ่งแวดล้อมโดยผ่านการกระท า หรือการลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้ในขั้นนี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความสามารถด้านการเคลื่อนไหว การเต้นร า และการใช้ร่างกายหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการแสดงออกซึ่งความรู้ของตน 2. ขั้นคิดจากภาพที่ปรากฏ (lconic Stage) ขั้นนี้เด็กจะเรียนรู้ผ่านการมองรูปภาพหรือ ตัวแบบ เด็กเริ่มพัฒนาวิธีการจ าโดยใช้จินตนาการมากขึ้น ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวของเด็กจะ ขึ้นอยู่กับการรับรู้โดยการใช้ประสาทสัมผัสมากกว่าการใช้ภาษา การเรียนรู้ในขั้นนี้มีความสัมพันธ์ โดยตรงกับการเรียน หรือการแสงออกผ่านงานศิลปะซึ่งต้องใช้สายตาและมิติสัมพันธ์ 3. ขั้นสัญลักษณ์ (Symbolic Stage) ขั้นนี้เด็กจะเรียนรู้สิ ่งต ่าง ๆ โดยผ ่านระบบ สัญลักษณ์เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน และการจัดล าคับ รวมตลอดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นนามธรรมซึ่งจะ ช่วยให้เด็ก เข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้น 3.ทฤษฎีพัฒนาการด้านมิติสัมพันธ์ เพียเจท์ และ อินเฮลเคอร์ การรับรู้ทางมิติสัมพันธ์แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับการรับรู้จากประสาทสัมผัสและ ระดับการรับรู้จากการคิดมโนภาพ การรับรู้จากการคิดมโนภาพเป็นความสามารถในการรับรู้ทาง ด้านมิติสัมพันธ์ เพียเจท์ และอินเฮลเดอร์ (Piaget and Inheider) ได้กล ่าวถึงระดับการรับรู้ทาง ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กที่พ้นวัยทารกขึ้นไปว่ามี 3 ระดับใหญ่ ๆ คือ 1. โทโลโปยี เป็นระดับพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติของการรับรู้ความสัมพันธ์ของ วัตถุเกี่ยวกับดวามใกล้เคียง การเรียงล าคับ การตีกรอบ ความต่อเนื่อง ลักษณะเด่นที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ เป็นการรับรู้วัตถุที่คงที่เท่านั้น 2. โปรเจคทีพ เป็นการเริ่มที่จะสามารถคิดมโนภาพภายในจิตใจของตนเอง ด้วยการ พิจารณาความสัมพันธ์ของจุดที่มองเห็นกับความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ 2.1 การรับรู้ถึงรูปร่างของวัตถุ เส้นตรง และเส้นโก้ง 2.2 การรับรู้วัตถุจากการมองในลักษณะต่างๆ 2.2.1 การรับรู้ภาพ 3 มิติ 2.2.2 การรับรู้เงา 2.2.3 การรับรู้ต าแหน่ง ทิศทาง เช่น ซ้าย-ขวา หน้า-หลัง 2.3 การรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ 2 สิ่ง 2.4 การรับรู้และการท านายภาพวัตถุเดียวกันจากต าแหน่งการมองที่ต่างกัน


15 2.5 การคิดภาพวัตถุที่อยู่ในลักษณะที่ตัดกัน (การพับ การทับ การบัง) 3. ยูคลีเดียน เป็นการน ามโนภาพภายในจิตใจเหล ่านั้นมาสัมพันธ์กับการเปลี ่ยนแปลง ทางด้านต าแหน่ง ทิศทาง และระยะทางจนกลายเป็นระบบแนวคิดที่เด็กยึดถือกันเหมาะสมส าหรับ การถ ่ายทอดความเข้าใจเรื ่องการมองวัตถุให้ชัดเจนยิ ่งขึ้นภายในโลกของความจริงรอบ ๆ ตัว ซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติ คังต่อไปนี้ 3.1 การรับรู้ความคล้ายคลึงของวัตถุ 3.2 การรับรู้ความสัมพันธ์ของต าแหน่ง ทิศทาง และ ระยะทาง 3.3 การรับรู้โดยการมีเกณฑ์ในการอ้างอิง ในเรื่องความยาว ความกว้าง ความสูง และแนวตั้ง แนวนอน 4.ทฤษฎีพหุปัญญา การ์ดเนอร์ (Gardner. 1972 : 57) เชื่อว่าสมองของมนุษย์ได้แบ่งเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนได้ ก าหนดความสามารถที่ค้นหาและแก้ปัญหาที่เรียกว่า "ปัญญา" ซึ่งมีหลาย ๆ อย่างถือก าเนิดมาจาก สมองเฉพาะส่วนแตกต่างกัน ซึ่งสติปัญญาทั้ง 9 ด้าน ได้แก่ 1. สติปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence) หมายถึง ผู้ที ่มีความสามารถทาง ภาษาสูงอาทิ นักเล่านิทาน นักพูด ความสามารถใช้ภาษาในการหว่านล้อม การอธิบาย กวีนักเขียน นวนิยายนักเขียนบทละคร บรรณาธิการ นักหนังสือพิมพ์ นักจิตวิทยา 2. สติปัญญาด้านตรรกะ/คณิตศาสตร์ (Logical / Mathematics Intelligence) หมายถึง กลุ่มผู้ที่มีความสามารถสูงในการใช้ตัวเลข อาทิ นักบัญชี นักคณิตศาสตร์ นักสถิติ กลุ่มผู้ให้เหตุผลที่ คือ อาทิ นักวิทยาศาสตร์ นักตรรกศาสตร์ นักจัดท าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กลุ่มผู้ที่มีความไวในการ เห็นความสัมพันธ์แบบแผนตรรกวิทยา การคิดเชิงนามธรรม การคิดที่เป็นเหตุผล (Cause-Effect) และการคิดดาดการณ์ (if - then) วิธีการใช้ในการคิด ได้แก่ การจ าแนกประเภท การจัดหมวดหมู่ การสันนิษฐาน การสรุป การคิดค านวณ การตั้งสมมติฐาน 3. สติปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual/Spatial Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถ มองเห็นภาพของทิศทาง แผนที่ที่กว้างไกล อาทิ นายพรานป่า ผู้น าทางพวกเดินทางไกล รวมถึงผู้ที่มี ความสามารถมองความสัมพันธ์ มองเห็นแสดงออกเป็นภาพรูปร่างในการจัดการกับพื้นที่ เนื้อที่การใช้ สี เส้น พื้นผิว รูปร่าง อาทิ สถาปนิก มันทนาการ นักประดิษฐ์ ศิลปินต่างๆ 4. สติปัญญาด้านร ่างกายและการเคลื ่อนไหว (Bodily/Kinestheltic Intelligence) หมายถึง ผู้ที ่มีความสามารถในการใช้ร ่างกายของตนเองแสดงออกทางความคิด ความรู้สึก อาทิ นักแสดงละคร ภาพยนตร์ นักแสดงท าใบ้ นักกีฬา นาฏกร นักฟ้อนร าทาเพลง และผู้ที่มีความสามารถ ในการใช้มือประดิษฐ์ เช ่น นักปื้น ช ่างแก้รถยนต์ รวมถึงความสามารถทักษะทางกาย เช่น


16 ความคล ่องแคล ่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความยืดหยุ ่น ความประณีต และความไวทาง ประสาทสัมผัส เป็นต้น 5. สติปัญญาด้านดนตรี (Musical/Rhyhemic Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถ ทางดนตรี ได้แก่ นักแต่งเพลง นักดนตรี นักวิจารณ์ดนตรี รวมถึงความไวในเรื่องจังหวะท านองเสียง ตลอดจนความสามารถในการเข้าใจและวิเคราะห์ดนตรี 6. สติปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Inteligence) หมายถึง ความสามารถใน การเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก และเจตนาของผู้อื่น ทั้งนี้รวมถึงความสามารถไวในการสังเกตน ้าเสียง ใบหน้า ท่าทาง ทั้งยังมีความสามารถสูงในการรู้ถึงลักษณะต่าง ๆ ของสัมพันธ์ภาพ ของมนุษย์และ สามารถตอบสนองได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถท าให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ปฏิบัติตาม เป็นต้น 7. สติปัญญาด้านตนหรือการเข้าใจตนเอง (Interpersonal Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มี ความสามารถในการรู้จักตนเองและสามารถประพฤติปฏิบัติตน ได้จากความรู้สึกคน ความสามารถใน การรู้จักตัวตน อาทิ การรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง เช ่น มีจุดอ่อน จุดแข็งในเรื่องใด มีความรู้ เท่าทันอารมณ์ ความคิด ความปรารถนาของตนเอง มีความสามารถในการฝึกฝนตนเองและเข้าใจ ตนเอง 8. สติปัญญาด้านการรักธรรมชาติ (Naturalistic Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความเข้า ใจความเปลี ่ยนแปลงของธรรมชาติ และปรากฏการณ์ธรรมชาติ เข้าใจความส าคัญของตนเองกับ สิ่งแวดล้อม และตระหนักถึงความสามารถของตนที่จะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติเข้าใจถึง พัฒนาการของมนุษย์และการด ารงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย เข้าใจและจ าแนกความเหมือนกัน ของสิ่งของ เข้าใจการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของสสาร 9. สติปัญญาด้านการด ารงชีวิต (Existential Intelligence) หมายถึง ผู้ที่มีความสามารถใน การไตร่ตรอง ค านึง สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ เข้าใจการก าหนดของชีวิต และการรู้เหตุผลของการด ารงชีวิตอยู่ในโลก 5.ทฤษฎีหลายองค์ประกอบ (Muliple - Factor Theory) เธอร์สโคน นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้น าในการสร้างทฤษฎีนี้ ได้เสนอทฤษฎีเกี ่ยวกับ สมรรถภาพทางสมองของมนุษย์โดยมีความเชื ่อว่าความสามารถทางสมองของมนุษย์สามารถแบ่ง ออกเป็นส่วนย่อย ๆ หลายส่วน แต่ละส่วนท าหน้าที่เป็นอย่าง ๆ ไป โดยเฉพาะหรืออาจท างานร่วมกัน บ้าง องค์ประกอบย่อย ๆ นั้น เธอร์สโตน ให้ชื่อว่า ความสามารถปฐมภูมิทางสมอง (Pimary Mental Abilities) ซึ่งประกอบไปด้วยความสามารถที่มองเห็นได้ชัด 7 ประการ ดังนี้


17 1. องค์ประกอบด้านภาษา (Verbal Factor) เป็นความสามารถในการเข้าใจค าศัพท์ ข้อความ บทกวี เรื่องราวต่าง ๆ ที่อ่าน ความมีเหตุผลทางภาษา และการใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสม 2 . องค์ป ร ะกอบด้านค ว ามคล ่องแคล ่ วในก า รใช้ค า (Word Fluency Factor) เป็นความสามารถในการใช้ค าได้ถูกต้องเหมาะสมและรวดเร็ว 3. องค์ประกอบด้านจ านวน (Number Factor) เป็นความสามารถในการคิดค านวณ เบื้องต้นเกี ่ยวกับตัวเลข ได้อย ่างว ่องไวและถูกต้อง ตลอดจนเป็นความสามารถในการแก้ปัญหา เชิงปริมาณ 4. องค์ประกอบด้านมิติสัมพันธ์ (Space Factor) เป็นความสามารถที่ส่งผลให้คนเข้าใจถึง ขนาดและมิติต่าง ๆ อันได้แก่ ความสั้น ยาว ไกล ใกล้ และพื้นที่หรือทรวดทรงที่มีขนาดและปริมาตร แตกต่างกันสามารถสร้างจินตนาการให้เห็นส่วนย่อย และส่วนผสมของวัตถุต่าง ๆ เมื่อน ามาซ้อนทับ กัน สามารถรู้ความสัมพันธ์ของรูปทรงเรขาคณิตเมื่อเปลี่ยนแปลงที่อยู่ความสามารถด้านนี้จะส่งผลใน วิชาเรขาคณิต วาดเขียน แผนที ่ การฝึกฝีมือในชีวิตจริงความสามารถด้านนี้จะส ่งผลให้เป็นนัก ออกแบบ เขียนแปลน นักวางผังเมือง วิศวกร เป็นต้น 5. องค์ประกอบค้านความจ า ( Memory Factor) เป็นความสามารถในการระลึกหรือจดจ า เหตุการณ์หรือเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างแม่นย าถูกต้อง 6. องค์ประกอบด้านสังเกตพิจารณา หรือด้านสังเกตรับรู้ (Perceptual Spccd Factor) เป็นความสามารถในการเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้มาก ถูกต้อง และรวดเร็ว อาจเป็นไปในรูปของ การพิจารณาความคล้ายคถึงหรือความแตกต่างระหว่างสิ่งของต่าง ๆ ก็ได้ 7. องค์ประกอบค้านเหตุผล (Reasoning Factor) องค์ประกอบนี้แสดงถึงความสามารถ ด้านการคิดวิจารณญาณ การหาเหตุผล การดันหาความส าคัญ ความสัมพันธ์และหลักการทั้งหลายที่ สร้างกฎหรือทฤษฎี 6.ทฤษฎีโครงสร้างเชาวน์ปัญญา (The Structure of Intellcct) กิลฟอร์ด นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน โดยศึกษาพัฒนาการจากทฤษฎีหลายองค์ประกอบของ เธอร์สโดน ด้วยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบแบบทดสอบวัดสติปัญญาแล้วเสนอโดรงสร้างทางสมองของ มนุษย์ในปี ค.ศ. 1967 อธิบายโครงสร้างสมองในรูปแบบจ าลองสามมิติ (Three - dimensional Model) อังนี้ มิติที่ 1 กระบวนการคิด (Operations) หมายถึง การปฏิบัติงานทางสมองหรือกระบวนการ คิดแบบต่าง ๆ กระบวนการคิดนี้จะเกิจขึ้นตามล าดับจากง่ายไปหายาก ดังนี้ 1.1 การรู้และเข้าใจ (Cognition) 1.2 การจ าแนกช่วงเวลาสั้น ๆ (Memory Recording)


18 1.3 การจ าช่วงเวลายาว ๆ (Divergent Thinking) 1.4 การคิดแบบเอกนัย (Convergent Thinking) มิติที่ 2 เนื้อหา (Contcnts) หมายถึงข้อมูลหรือสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่ปรากฎด้วยระบบประสาท สัมผัสทั้งหลาย แล้วบุกคลแยกแยะเพื่อที่จะรับรู้มีลักษณะ ดังนี้ 2.1 การมองเห็น (Visual) 2.2 การได้ยิน (Auditory) 2.3 สัญลักษณ์ (Symbolic) 2.4 ภาษา (Semantic) 2.5 พฤติกรรม (Behavior) มิติที่ 3 ผลการคิด (Products) หมายถึง ผลผลิตของการคิดที่สมองรับรู้สิ่งเร้าภายนอกและ ใช้ระบบการคิดแบบต่าง ๆ แล้วผลของการคิดจะออกมาในลักษณะต่าง ๆ กัน ดังนี้ 3.1 หน่วย (Units) 3.2 จ าพวก (Classes) 3.3 ความสัมพันธ์ (Reiation) 3.4 ระบบ (Systems) 3.5 การแปลงรูป (Transformations) 3.6 การประยุกต์ (Implication) ตามทฤษฎีโครงสร้างทางเชาว์ปัญญาของกิลฟอร์คนั้น วัดความสามารถย่อย ๆ ได้ถึง 180 หน่วย และหน่วยที่กล่าวถึงความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ เช่น CFR CFS CFT NFT ฯลฯ ภาวนา แดนดี (2559:18-) กล ่าวว ่า ได้ศึกษาเกี ่ยวกับทฤษฎีของทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ ซึ่งได้มีนักจิตวิทยาได้ท าการศึกษาไว้หลายท่านและมีความแตกต่างกัน ดังนี้ 1.ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์เป็น 4 ระยะ คือ 1. ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensory Motor Stage) ระยะแรกเกิดถึง 2 ปี เด็กวัยนี้จะพัฒนาทักษะทางกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว ซึ่งถือว่าเป็นพื้นฐานส าคัญของพัฒนาการ ทางสติปัญญา เด็กจะพัฒนาการเคลื่อนไหวจากปฏิกิริยาสะท้อนไปสู่การเคลื่อนไหวที่ปรับปรุงให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม 2. ขั้นก่อนปฏิบัติการความคิด (Pre - Operational Stage) อายุตั้งแต่ 2 - 7 ปีเป็นวัยที่ เข้าใจสัญลักษณ์ต่าง ๆ และสามารถใช้สัญลักษณ์เหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ


19 3. ขั้นปฏิบัติความคิดทางรูปธรรม (Concrete - Operational Stage) อายุตั้งแต่ 7 -11 ปี เด็กจะมีความเข้าใจปัญหาในแง่มุมต่าง ๆ เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลง สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ และเข้าใจความสัมพันธ์ของสิ ่งต ่าง ในสภาพแวดล้อม แต ่ยังไม ่สามารถติดในเชิง นามธรรมได้ เด็กจะอธิบายหรือแก้ปัญหาโดยอาศัยการกระท ากับของจริงหรือของที่เป็นวัตถุเท่านั้น 4. ขั้นปฏิบัติความคิดทางนามธรรม (The Period of Formal Operational) อายุตั้งแต่ 11 - 15 ปี ขั้นนี้เป็นขั้นที่เด็กจะมองเห็นความชัดเจนทางนามธรรมได้ เด็กเริ่มเข้าใจเหตุผลโดยจะ สามารถอาศัยหลักเกณฑ์ของความสัมพันธ์ต่าง ๆ มาประกอบกับการใช้เหตุผลได้ สามารถแก้ปัญหา อย ่างมีระเบียบ ตั้งสมมุติฐานโดยอาศัยจินตนาการ หรือการสังเกตของตนได้ และเป็นระยะที่ โครงสร้างทางสติปัญญาพัฒนาสูงสุด เด็กวัยนี้จะมีความสามารถเชิงอุปมานและอนุมานมากขึ้น ส าหรับเด็กปฐมวัยจัดอยู ่ในขั้นที ่ 2 คือ ขั้นก ่อนปฏิบัติการความคิดเด็กจะเริ ่มเรียนรู้และเข้าใจ สัญลักษณ์ต่าง ๆ และสามารถใช้สัญลักษณ์เหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับ 2.ทฤษฎีพหุปัญญาของ Gardner ในปัญญาด้านมิติ (Spatial Intelligence) คือ ความสามารถในการมองเห็นพื้นที ่และ สามารถปรับปรุงวิธีการใช้พื้นที่ได้ดี รวมไปถึง ความไวต่อสี เส้น รูปร่าง เนื้อที่ และความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งเหล่านั้นและความสามารถที่จะมองเห็นและแสดงออกเป็นรูปร่างถึงสิ่งที่เห็นและความคิด เกี่ยวกับพื้นที่ และทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Bruner เน้นหลักการ กระบวนการคิด Bruner Bruner แบ ่งขั้นพัฒนาการคิดในการเรียนรู้ของมนุษย์ออกเป็น 3 ขั้นด้วยกัน ซึ ่งคล้ายคลึงกับขั้น พัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget ได้แก่ 1.ขั้นการกระท า (Enactive Stage) เด็กจะเรียนรู้จากการกระท าและการสัมผัส 2.ขั้นคิดจินตนาการหรือสร้างมโนภาพ (Piconic Stage) เด็กเกิดความคิดจากกกรรับรู้ตาม ความเป็นจริงและการคิดจากจินตนาการด้วย 3.ขั้นใช้สัญลักษณ์และคิดรวบยอด (Symbolic Stage) เด็กเริ่มเข้าใจเรียนรู้ความสัมพันธ์ ของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็น จากทฤษฎีพัฒนาการทาง สติปัญญาของ Bruner สรุปได้ว่าเด็กปฐมวัยจะเรียนรู้ และเข้าใจจากการกระท า และเก็บเป็นข้อมูลในการพัฒนา สติปัญญาในขั้นต่อ ๆ ไปอย่างต่อเนื่องตลอดไป และ Piaget และ Inhelder ได้แบ่งการรับรู้ทางด้าน มิติสัมพันธ์ ออกเป็น 2 ระดับดังนี้ 1. ระดับการรับรู้จากประสาทสัมผัส (Perceptual Leve) 2. ระดับการรับรู้จากการคิดมโนภาพ(Level Outthinking or Representation)


20 Piaget และ Inhelder กล่าวถึง ระดับพัฒนาการการรับรู้ทางด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กที่พ้น วัยทารกขึ้นไปว่ามี 3 ระดับใหญ่ คือ 1. Topological เป็นระดับพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติของการรับรู้ว่าวัตถุอยู่ข้าง ๆ กัน การรับรู้ล าดับ การรับรู้รูปปิด การรับรู้ความต่อเนื่อง รวมทั้งการรู้ถึงลักษณะที่ แตกต่างกัน ทั้งนี้เป็นการรับรู้วัตถุที่คงที่เท่านั้น 2. Projective เป็นการเริ ่มที ่จะสามารถคิดมโนภาพภายในจิตใจของตนเอง ด้วยการ พิจารณาความสัมพันธ์ของจุดที่มองเห็น ประกอบด้วยคุณสมบัติการรับรู้ถึงรูปร่างของวัตถุ เส้นตรง และเส้นโค้ง การรับรู้วัตถุจากการมองในลักษณะต่าง ๆ เช่น กรรับรู้ภาพ 3 มิติ การรับรู้เงา การรับรู้ ต าแหน่ง ทิศทาง เช่น ช้าย - ขวา หน้า - หลัง การรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ 2 สิ่ง การรับรู้และ การท านายภาพวัตถุเดียวกันจากต าแหน่งการมองที่ต่างกัน และการคิดสภาพวัตถุที่อยู่ในลักษณะที่ ติดกัน เช่น การพับ การทับ การบัง เป็นต้น 3. Euclidean เป็นการน ามโนภาพภายในจิตใจเหล ่านั้นมาสัมพันธ์กับการเปลี ่ยนแปลง ทางด้านต าแหน่ง ทิศทาง และระยะทางประกอบด้วย คุณสมบัติ การรับรู้ความคล้ายคลึงของวัตถุการ รับรู้ความสัมพันธ์ของต าแหน่ง ทิศทาง และระยะทาง กรรับรู้โดยการมีเกณฑ์ในการอ้างอิงในด้าน ความยาว ความกว้าง ความสูง แนวตั้ง – แนวนอน จากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาที่เกี่ยวกับความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ดังกล่าวสรุปได้ ว่า ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์นั้นเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญองค์ประกอบหนึ่งของทฤษฎี Piaget ทฤษฎี Piaget และ Inhelder ทฤษฎี Bruner และทฤษฎีพหุปัญญาด้านหนึ่งใน 9 ด้านของทฤษฎี Gardner อีกด้วย ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนาเครื่องมือวัดความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยเพื่อใช้ เป็นข้อมูลในการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กปฐมวัยในความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ได้มีประสิทธิภาพ มากขึ้นผู้วิจัยได้ศึกษาตัวบ่งชี้ที่อธิบายความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กจากการสังเคราะห์เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังรายละเอียดตารางที่ 2.1


21 ตารางที ่ 2.1 ตัวบ ่งชี้ที ่อธิบายความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กจากการสังเคราะห์ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตัวบ่งชี้ที่ใช้ อธิบาย ความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์ ของ เด็กปฐมวัย กรมวิชาการ (2546) ณัฐนันท์ ไชยประสงค์สุข (2549) อัญชลี รัตนชื่น (2550) ประพิมพ์พักตร์ พบะพงศ์ (2550) เพ็ญวิไล ผาสุกมูล (2552) คันธรส วงศ์ศักดิ์ (2553) สมใจ อินจ าลอง (2554) อมรา หวังสวัสดิ์ปรีชา (2554) นพรัตน์ นามบุญมี (2556) รวม 1. ด้านความ เหมือนความต่าง ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 7 2. ด้านการต่อเข้า ด้วยกัน ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 5 3. ด้านการแยก ออกจากกัน ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 5 4. ด้านการบรรจุ และการเทออก ✓ 1 5. ด้านต าแหน่ง ของสิ่งต่างๆที่ สัมพันธ์กัน ✓ ✓ ✓ ✓ 4 6. ด้านการสังเกต สิ่งต่างๆและ สถานที่จาก มุมมองที่ต่าง ๆ กัน ✓ 1 7. ด้านการสื่อ ความหมายมิติ ✓ 1


22 ตารางที ่ 2.1 ตัวบ ่งชี้ที ่อธิบายความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กจากการสังเคราะห์ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (ต่อ) ตัวบ่งชี้ที่ใช้ อธิบาย ความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์ ของ เด็กปฐมวัย กรมวิชาการ (2546) ณัฐนันท์ ไชยประสงค์สุข (2549) อัญชลี รัตนชื่น (2550) ประพิมพ์พักตร์ พบะพงศ์ (2550) เพ็ญวิไล ผาสุกมูล (2552) คันธรส วงศ์ศักดิ์ (2553) สมใจ อินจ าลอง (2554) อมรา หวังสวัสดิ์ปรีชา (2554) นพรัตน์ นามบุญมี (2556) รวม สัมพันธ์ของด้วย ภาพวาดภาพถ่าย และรูปภาพ 8. ด้านการมอง วัตถุกับการ เคลื่อนไหว ✓ ✓ 2 9. ด้านการรับรู้ ภาพ และพื้นหลัง ภาพ ✓ 1 10. ด้านการรับรู้ ความคงรูปของ วัตถุ ✓ 1 11. ด้านการรับรู้ ต าแหน่งของวัตถุ ที่สัมพันธ์กับพื้นที่ ✓ 1 12. ด้านการรับรู้ ความสัมพันธ์ ระหว่างวัตถุ ✓ ✓ 2 13. ด้านการบอก ลักษณะร่วมของ วัตถุสิ่งของ ✓ ✓ 2


23 ตารางที่ 2.1 ตัวบ่งชี้ที่อธิบายความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กจากการสังเคราะห์ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (ต่อ) ตัวบ่งชี้ที่ใช้ อธิบาย ความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์ ของ เด็กปฐมวัย กรมวิชาการ (2546) ณัฐนันท์ ไชยประสงค์สุข (2549) อัญชลี รัตนชื่น (2550) ประพิมพ์พักตร์ พบะพงศ์ (2550) เพ็ญวิไล ผาสุกมูล (2552) คันธรส วงศ์ศักดิ์ (2553) สมใจ อินจ าลอง (2554) อมรา หวังสวัสดิ์ปรีชา (2554) นพรัตน์ นามบุญมี (2556) รวม 14. ด้านการบอก ความสัมพันธ์ของ วัตถุสิ่งของกับ ทิศทาง ✓ ✓ ✓ ✓ 4 15. ด้านการบอก ต าแหน่งของวัตถุ สิ่งของที่สัมพันธ์ กับ ต าแหน่งของตน ✓ ✓ 2 16. ด้าน ความสามารถ ในการสังเกตและ ค้นคว้าวัตถุ สิ่งของอย่างมี ทิศทาง ✓ ✓ 2 ตารางที่ 2.1 ที่มา: การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็ก ปฐมวัย (2559) สรุปได้ว ่า ได้ตัวบ ่งชี้ที่ใช้อธิบายความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย จากการ สังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที ่เกี ่ยวข้อง ซึ ่งผู้วิจัยได้เลือกตัวบ ่งชี้หรือพฤติกรรมที ่ใช้อธิบาย ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่มีค่าความถี่ตั้งแต่ 4 ขึ้นไป ในการศึกษาได้ ตัวบ่งชี้ได้แก่ ด้านความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านการแยกออกจากกัน ด้านต าแหน่งของสิ่ง ต ่างๆ ที ่สัมพันธ์กันและด้านความสัมพันธ์ของวัตถุสิ ่งของกับทิศทางจากนั้นผู้วิจัยได้นิยามเชิง


24 ปฏิบัติการเพื่อวัดองค์ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยจากการสังเคราะห์เอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องด้านมิติสัมพันธ์ ดังรายละเอียดในตารางที่ 2.2 ตารางที่ 2.2 แสดงนิยามเชิงปฏิบัติการองค์ประกอบความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของ เด็กปฐมวัย องค์ประกอบความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์ นิยามเชิงปฏิบัติการ 1.ด้านความเหมือนความต่าง ความสามารถของเด็กปฐมวัยในการบอก ให้เห็นถึงความ เหมือนและความแตกต่างของวัตถุสิ่งของ ในด้านรูปร่าง รูปทรง ขนาด สี 2.ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ความสามารถของเด็กปฐมวัยในการบอก ให้เห็นว่าเมื่อน า ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของภาพที่ก าหนดให้มาต่อเข้าด้วยกันและจะ เกิดเป็นภาพที่สมบูรณ์ถูกต้อง 3.ด้านการแยกออกจากกัน ความสามารถของเด็กปฐมวัยในการบอกได้ว่า จากภาพ สมบูรณ์ที่ก าหนดให้หากน ามาแยกเป็นภาพย่อยแล้ว จะมีภาพ ใดบ้างที่เป็นส่วนของภาพสมบูรณ์ที่ก าหนด 4.ด้านต าแหน่งของสิ่งต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กัน ความสามารถของเด็กปฐมวัย โดยสามารถบอกได้ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มองเห็น อยู่ในต าแหน่งใด ต าแหน่ง ข้าย-ขวา บน-ล่าง หน้า-ระหว่าง-หลัง ได้ 5. ด้านการบอกความสัมพันธ์ ของวัตถุสิ่งของกับทิศทาง ความสามารถของเด็กปฐมวัยในการบอกระยะทาง ใกล้-ไกล ของวัตถุสิ่งของ หรือคาดคะเนทิศทางจากการเคลื่อนที่ของ วัตถุสิ่งของได้ ภาพที่ 2.2 ที่มา: การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็ก ปฐมวัย (2559) จรรยา รอดคืน (2560:34-37) กล่าวว่า ได้ท าการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับทฤษฎีความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์ของนักจิตวิทยาหลายท่าน ดังนี้ 1. ทฤษฎีของ Johnston ได้อธิบายพัฒนาความคิดของเด็กที่เกี่ยวกับการมองวัตถุในอีกลักษณะหนึ่งที่สอดคล้องกับ แนวคิดของ เพียเจท์และ อินเฮลเคอร์ว่า สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้


25 1. ระดับพื้นฐาน (Functional System) อายุประมาณ 1.3-2.6 ปี เป็นระดับความคิด ที่เด็กส ารวจคุณสมบัติของวัตถุแต่ละประเภท และเริ ่มที ่จะจัดประเภทของวัตถุนั้น ๆ ตามการใช้โดยเด็กเริ ่มเข้าใจถึงรูปร ่างและขนาดวัตถุ ว่ามีความสัมพันธ์กับการที่ตนใช้วัตถุนั้นในชีวิตประจ าวัน จึงท าให้เด็กเข้าใจถึงการเกี่ยวโยงกันระหว่า วัตถุในแง่ของสิ่งที่พบเห็นประจ าวันและแง่ของต าแหน่ง เช่น ขนมในจาน หนังสือบน โต๊ะ ดังนั้น ประสบการณ์ในการมองจึงท าให้เกิดการคาดคะเนเป้าหมาขของการมองนั้น เด็กที่มีความสามารถใน ระดับนี้จึงสามารถที่จะให้เหตุผล และตัดสินต าแหน่งของวัตถุใดวัตถุหนึ่งโคยอาศัย อีกวัตถุหนึ่งเป็น เกณฑ์ได้ แม้ว่าโดยมากเด็กจะคิดถึงต าแหน่งของวัตถุในแง่ของการใช้วัตถุนั้นแต่ประสบการณ์ทาง สายตาจะท าให้เด็กได้หัดกาดคะเนเป้าสายตา "การมองวัตถุ" ซึ่งเด็กพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของวัตถุ เป็นส าคัญจัดท าให้เด็กค ่อยๆเข้าใจเส้นน าสายตา (Line-of sight) ซึ ่งเป็นพื้นฐานส าคัญในการ คาดคะเน น าสายตาและเป้าสายตาเป็นพื้นฐานที่จ าเป็นในระบบมิติสัมพันธ์ ซึ่งต้องพิจารณาเส้นน า สายตาหลายๆ เส้นในระบบนี้ประสบการณ์ของเด็กกับคุณสมบัติ รูปร่าง ขนาดของวัตถุท าให้เด็กรู้จัก ส่วนต่างๆ ของวัตถุท าให้เด็กสามารถเข้าใจเรื่องสิ่งที่อยู่ใกล้เคียงกันได้ ซึ่งอยู่ในระบบที่เด็กจะเรียนรู้ ต่อไป 2. ระดับการวางต าแหน่ง (Proxinal Systen) อายุประมาณ 2.6-3.6 ในระดับนี้เด็กเริ่มคิดถึงต าแหน่งของวัตถุในลักษณะที่เป็นอิสระจาก คุณสมบัติในการใช้งานของวัตถุนั้นแต่พยายามเข้าใจในเรื่องต าแหน่งของวัตถุโดขดูความสัมพันธ์กับสิ่ง ที่อยู่ใกล้เป็นหลัก นอกจากนี้การที่เด็กรู้จักส่วนต่างๆ ของวัตถุท าให้เด็กเริ่มใช้ส่วนต่างๆ ของวัตถุนั้น ในการอ้างอิง เช่น ลิงชอบนั่งอยู่ข้างรถบรรทุก ไม่ชอบอยู่ข้างหน้า หรือข้างหลังของรถบรรทุก นั่นคือ เด็กสามารถจะพิจารณาของวัตถุที่ใช้ในการอ้างอิงมากกว่า 1 ส่วน ตัวอย่างเช่น รถที่แล่นเป็นกระบวน 3 กัน รถกันกลางจะอยู่ข้างหลังของรถกันแรกและจะอยู่ข้างหน้าของรถที่ 3 ซึ่งความเข้าใจของเด็กจะ เกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีความสามารถในเรื่องความใกล้กันของวัตถุ เมื่อเด็กพัฒนาต่อไปในระบบนี้เด็กจะ เรียนรู้เกี่ยวกับการเรียงล าดับของวัตถุซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบต่อไปด้วย 3. ระดับการวางทิศทาง (Projective Space) อายุประมาณ 3.6-6 ปีขึ้นไปจากประสบการณ์ในการมองในระดับพื้นฐาน (Funcional Systen) ท าให้เด็กได้รับการพัฒนาความรู้ซึ่งเกิดจากการมองสิ่งต่างๆ รอบตัวท าให้ท้ายที่สุดเด็กรู้จัก จินตนาการเส้นน าสายตาและสามารถคาดคะเนได้ว่าการมองในทิศทางใดจะเห็นวัตถุอะไรบ้าง เช่น ในการมองจากจุด C ไปถึงจุด E จุด D จะเป็นจุดที่อยู่บนเส้นน าสายตานั้นด้วย ในแต่ละระดับดังกล่าว เด็กจะพัฒนาการรับรู้เกี่ยวกับต าแหน่งในลักษณะใหม่ๆ โดยผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมเป็น ส าคัญดังภาพประกอบ


26 2. ทฤษฎีของ Bner มีความเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่ผู้เรียนจะต้องลงมือปฏิบัติ และสร้าง องค์ความรู้ด้วยตนเองทั้งนี้ โดยมีพื้นฐาน อยู่บนประสบการณ์หรือความรู้เดิม ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้ เลือกข้อมูล สร้างสมมติฐาน รวมตลอดถึงตัดสินใจ โดยการบูรณาการประสบการณ์ใหม่ไปสู่โครงสร้าง ทางสติปัญญา ภาษาและปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ วัฒนธรรมของตนโดยเน้นที่การตีความ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมตลอดถึงความส าคัญของวัฒนธรรม ที่มีผลต่อการจัดการเรียนการสอนและการ ตีความของบุคคลต่อโลกรอบตัว ซึ่งได้จัดล าดับขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ ของเด็กหรือโครงสร้างทาง สติปัญญาเป็น 3 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นสัมผัส (Enactive stage) เด็กจะเรียนรู้และเข้าใจสิ ่งแวดล้อมโดยผ่านการกระท า หรือการลงมือปฏิบัติ เช่น การสัมผัส การเคลื่อนไหว การเรียนรู้ในขั้นนี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับ ความสามารถด้านการเคลื่อนไหว การเต้นร า และการใช้ร่างกายหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการ แสดงออกซึ่งความรู้ ของตน 2. ขั้นคิดจากภาพที่ปรากฏ (Iconic stage) ในขั้นนี้ เด็กจะเรีขนรู้ผ่านการมองรูปภาพหรือ ตัวแบบ เด็กเริ่มพัฒนาวิธีการจ าโดยการใช้จินตนาการมากขึ้น ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆรอบตัวของเด็ก จะขึ้นอยู่กับการรับรู้โดยการใช้ประสาทสัมผัสมากกว่าการใช้ภาษา เช่น เสียงคังความสว่าง เป็นต้น การเรีขนรู้ในขั้นนี้มีความสัมพันธ์ โดยตรงกับการเรียนหรือการแสดงออกผ่านงานศิลปะซึ่งต้องใช้ทั้ง สายตา และมิติสัมพันธ์ 3. ขั้นสัญลักษณ์ (Symnbolic stage) ในขั้นนี้ เด็กจะเรียนรู้สิ ่งต ่าง ๆ โดยผ ่านระบบ สัญลักษณ์ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน และการจัดล าดับ รวมตลอดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นนามธรรมซึ่งจะ ช่วยให้เด็กเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ที่ชับซ้อนมากขึ้น และจะให้ความส าคัญกับการเรียนรู้ในขั้นนี้มากกว่า ขั้นอื่น ๆ 3. ทฤษฎีของ Howard Gardner มีความเชื ่อว ่า สังคมปัจจุบันได้รับผลกระทบจากสิ ่งต ่อไปนี้ คือการเน้นเอาวัฒนธรรม ตะวันตกมาใช้ เช่น การเน้นสติปัญญาค้านใดด้านหนึ่งแต่เพียงอย่างเดี่ยวการทดสอบ เช่น การทดสอบ ทางจิตวิทยาที ่วัดความสามารถความพร้อมและการจัดอันดับบุคคล และเน้นความเป็นเลิศ ซึ่งไม่ได้หมายถึง สิ่งที่ดีที่สุดและฉลาดที่สุด แต่ความเก่ง ควรผสมผสานสิ่งที่ดีที่สุดไว้ด้วยกัน ลักษณะ ความสามารถทางพหุปัญญาตามแนวคิดของการ์ดเนอร์ มี 9 ด้านดังนี้ 1. ความสามารถด้านภาษาเป็นความสามารถด้านการเข้าใจค าสั ่งชอบอ ่านเล ่าเรื ่อง ชอบสอนและเรียนได้ดีเมื่อมี โอกาสได้พูดได้ฟังและเห็นจับความหมายได้ชัดเจน


27 2. ความสามารถด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ เป็นความสามารถด้านการจ าสิ ่งที ่เป็น แบบแผนเป็นนามธรรมมีเหตุผลเชิงสรุปความสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆชอบท าการ ทดลองชอบค้นหาค าตอบด้านรูปแบบและความสัมพันธ์ชอบคณิตศาสตร์ การจัดหมวดหมู่ แยกประเภท และแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีท างานกับตัวเอง 3. ความสามารถค้านดนตรี ชอบร้องเพลง ฟังเพลง เล่นดนตรีและตอบสนองต่อเสียงเพลง แยกแยะท านอง เรียนรู้จังหวะคนตรี ได้ดี รู้จักโครงสร้างของคนตรีโครงสร้างในการฟังเพลง ไวต่อ เสียงและคิดทวงท่าท านองจังหวะได้ดี 4. ความสามารถด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว เป็นความสามารถในการควบคุมร่างกาย การเคลื่อนไหวร ่างกายใช้ร ่างกาย รู้จักส่วนต่างๆ ของร่างกายและสามารถแสดงออกได้ ชอบการ เคลื่อนไหว สัมผัส พูดและ ใช้ภายาทางกาย ใช้ร่างกายในการท ากิจกรรมเช่น กีพาเต้นร า การแสดง และประดิษฐ์สิ่งของ สามารถพัฒนาการท างานของร่างกาย เรียนได้ดีถ้ามีโอกาสสัมผัส เคลื่อนไหว และได้ปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่ว่าง 5. ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์สามารถมองเห็นแง ่มุมต ่าง ๆ ความสัมพันธ์ของพื้นที่ หาทิศทางในที ่ว ่างและสามารถแสดงออกด้วยภาพจัดรูปฟอร์มต ่าง ๆ ในสมอง สามารถมองเห็น รูปลักษณ์ ของสิ่งต่างๆ เรียนได้ดีถ้าต้องใช้จินตนาการ มีโอกาสคิดอย่างอิสระ ท างานด้วยสีและภาพ ชอบที่จะวาดและออกแบบตามจินตนาการ 6. ความสามารถค้านความเข้าใจระหว่างบุคคล (ด้านมนุษย์สัมพันธ์) เป็นความสามารถใน การท างานร่วมกับผู้อื่น เข้าใจผู้อื่น รับรู้อารมณ์ ความคิด และความปรารถนาดีของผู้อื่น 7. ความสามารถด้านการเข้าใจตนเอง เป็นความสามารถในการรู้จิตใจตนเอง แยกสภาพ จิตใจตนเองและอารมณ์ ความคิด และความปรารถนาของผู้อื ่น มีสมาธิ มีความคิดของตนเอง ตระหนัก และแสดงความรู้สึกของตนเองได้หลายอย่าง มีความคิดในระดับสูงและมีเหตุและผล 8. ความสามารถในการเข้าใจสภาพธรรมชาติ เป็นความเข้าใจการเปลี ่ยนแปลงของ ธรรมชาติ และปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ตระหนักถึงความสามารถของตนเองที่มีส่วนร่วมในการ อนุรักษ์เข้าใจความส าคัญของตนเองกับสิ่งแวดล้อม และเข้าใจถึงพัฒนาการของมนุษย์และการ ด ารงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต ่เกิดจนตาย จดจ าเข้าใจ จ าแนก แยกแยะ ของความเหมือนความต่าง ที่สัมพันธ์กันของสิ่งของได้ เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสะสาร 9. ความสามารถด้านจิตนิยม หรือการด ารงคงอยู่ของชีวิต เป็นความสามารถในด้านการจับ ประเด็น ค าถาม ที่เกี่ยวกับการค ารงอยู่ของมนุษย์ เช่น ความหมายของชีวิต เรียนรู้บริบทของการ ด ารง คงอยู่ของมนุษย์เข้าใจความสัมพันธ์ของ โลกที่เป็นกายภาพและ โลกของจิตใจมีความรักใน ผู้อื่น มีการตื่นตัว ในการแสดงออกต่อสถานการณ์บางอย่าง ในการเข้าใจวัฒนธรรมในด้านอารมณ์


28 สังคม จริชธรรม เข้าใจ หลักปรัชญา หลักศาสนาๆ ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ ร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ เยาวรัตน์ รัตนธรรม (2561:14-18) กล่าวว่า ได้ท าการศึกษาเอกสารเกี่ยวกับความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์ของนักวิชาการหลายท่าน ดังนี้ 1. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget Piaget ได้สรุปพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์เป็น 4 ระยะ คือ 1. ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensory Motor Stage) ระยะแรกเกิด -2 ปี เด็กวัยนี้จะพัฒนาทักษะทางกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว ซึ่งถือว่า เป็นพื้นฐานส าคัญของพัฒนาการ ทางสติปัญญา เด็กจะพัฒนาการเคลื่อนไหวจากปฏิกิริยาสะท้อนไปสู่การเคลื่อนไหวที่ปรับปรุงให้ เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม 2. ขั้นก่อนปฏิบัติการความคิด (Pre Operational Stage) อายุตั้งแต่ 2-7 ปี เป็นวัยที่ เข้าใจสัญลักษณ์ต่าง 1 เด็กจะเรียนรู้ภาษาพูด สัญลักษณ์ เครื่องหมาย ท่าทางในการสื่อความหมาย รู้จักสิ่งที่เป็นตัวแทน (Representation) โครงสร้างสติปัญญาแบบง่าย ๆ สามารถหาเหตุผลอ้างอิงได้ มีความเชื ่อในความคิดของตนเองอย ่างมากยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentric) เลียนแบบ พฤติกรรมของผู้ใหญ่ 3. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operations Stage) อายุ 7-11 ปี เด็กจะ มีความเข้าใจปัญหาในแง ่มุมต ่าง ๆ เข้าใจกระบวนการเปลี ่ยนแปลง สามารถแก้ปัญหาเกี ่ยวกับ การอนุรักษ์ เข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ในสภาพแวดล้อมแต่ยังไม่สามารถคิดในเชิงนามธรรมได้ เด็กจะอธิบายหรือแก้ปัญหาโดยอาศัยการกระท ากับของจริงหรือสิ่งของที่เป็นวัตถุเท่านั้น 4. ขั้นปฏิบัติความคิดแบบนามธรรม (The Period of Formal Operations Stage) อายุ 11-15 ปี ขั้นนี้เป็นขั้นที่เด็กจะมองเห็นความชัดเจนทางนามธรรมได้เด็กเริ่มเข้าใจเหตุผล โดยจะ สามารถอาศัยหลักเกณฑ์ของความสัมพันธ์ต่าง ๆ มาประกอบกับการใช้เหตุผลได้ สามารถแก้ปัญหา อย่างมีระเบียบ ตั้งสมมุติฐานโดยอาศัยจินตนาการหรือการสังเกตของตนได้ และเป็นระยะที่โครงสร้าง ทางสติปัญญาพัฒนาสูงสุดเด็กวัยนี้จะมีความสามารถเชิงอุปมาน และอนุมานมากขึ้นจะรู้จักคิดหา เหตุผล มีระบบ คาดคะเน แก้ปัญหา พัฒนาสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ มีความคิดเท่าผู้ใหญ่ แบ่งการรับรู้ทางต้านมิติสัมพันธ์ ออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้ 1. ระดับการรับรู้จากประสาทสัมผัส (Perceptual Level) 2. ระดับการรับรู้จากการคิดมโนภาพ (Level of Thinking or Representation) ระดับพัฒนาการการรับรู้ทางด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กที่พ้นวัยทารกขึ้นไปว่ามี 3 ระดับใหญ่ คือ


29 1. Topological เป็นระดับพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติของการรับรู้ว่าวัตถุอยู่ข้างๆ (Proxinity) กรรับรู้ล าดับ (Order) การรับรู้รูปปิด (Enclosure) การรับรู้ความต่อเนื่อง (Continuity) รวมถึงการรู้ถึงลักษณะที่แตกต่างกัน (Discimination) ทั้งนี้ เป็นการรับรู้วัตถุที่คงที่เท่านั้น 2. Projective เป็นการเริ ่มที ่จะสามารถคิดมโนภาพภายในจิตใจของตนเองด้วยการ พิจารณาความสัมพันธ์ของจุดที่มองเห็น 3. Euclidean เป็นการน ามโนภาพภายในจิตใจเหล ่านั้น สัมพันธ์กับการเปลี ่ยนแปลง ทางด้านต าแหน่ง ทิศทาง และระยะทางจนกลายเป็นระบบแนวคิดที่เด็กยึดถืออันเหมาะสมส าหรับ การถ่ายทอดความเข้าใจเรื่องการมองวัตถุให้ชัดเจนยิ่งขึ้นภายในโลกของความจริงรอบๆ ตัว ด้วยเหตุนี้ความสัมพันธ์ทาง Projective และ Euclidean จึงมีความคล้ายกันตรงที ่เด็ก สามารถยอมรับความสัมพันธ์กันของวัตถุอย่างมีระบบยิ่งขึ้น Projective และ Eucidean เป็นระดับที่ เกิดขึ้นในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันมาก แม้จะมีลักษณะที่ต่างกัน ระดับทั้งสองเป็นตัวชี้ถึงคุณสมบัติ ของสิ่งต่าง ๆ ภายใต้เงื่อนไขของการเปลี่ยนแปลง มุมมอง แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวทางความคิด อย่างมีระบบของเด็ก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดระหว่างความแตกต่างของ Projective และ Euclidean คือ ลักษณะการล้มของดินสอ กล่าวคือ การที่เด็กรับรู้ต าแหน่งและที่ตั้งของดินสอในขณะที่ตั้งตรง และล้ม นอนในแนวระนาบซึ่งเป็นจุดจบนั้น เป็นขั้น การรับรู้ระดับ Projective แต่การรับรู้ต าแหน่งและที่ตั้ง ของดินสอในช ่วงระหว ่างที ่ดินสอก าลังล้มลงนั้น เป็นการรับรู้ระดับขั้น Euclidean ซึ ่งเป็น ความสามารถในการน าภาพมาสัมพันธ์กันกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านต าแหน่ง ทิศทางของดินสอ ขณะที่ล้ม คุณสมบัติการรับรู้ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ในแต่ละระดับข้างตัน สรุปได้ดังนี้ 1. Topological ประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1.1 การรับรู้วัตถุที่คงที่ 1.2 การรับรู้ว่าวัตถุอยู่ข้าง ๆ กัน 1.3 การรับรู้ล าดับ 1.4 การรับรู้รูปปิด หรือการรายล้อมรอบ 1.5 การรับรู้ความต่อเนื่อง หรือพื้นผิว 1.6 การรับรู้ถึงลักษณะที่แตกต่าง หรือการแยกออก 2. Projective ประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 2.1 การรับรู้ถึงรูปร่างของวัตถุ เส้นตรง และเส้นโค้ง 2.2 การรับรู้วัตถุจากการมองในลักษณะต่าง ๆ 2.2.1 การรับรู้ภาพ 3 มิติ


30 2.2.2 การรับรู้เงา 2.2.3 การรับรู้ต าแหน่ง ทิศทาง เช่น ซ้าย-ขวา หน้า-หลัง 2.3 การรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุ 2 สิ่ง 2.3.1 การรับรู้และการท านายภาพวัตถุเดียวกันจากต าแหน่งการมองที่ต่างกัน 2.3.2 การคิดภาพวัตถุที่อยู่ในลักษณะที่ติดกัน 2.3.3 การพับ 2.3.4 การทับ 2.3.5 การบัง 3. Euclidean ประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 3.1 การรับรู้ความคล้ายคลึงของวัตถุ 3.2 การรับรู้ความสัมพันธ์ของต าแหน่ง ทิศทาง และระยะทาง 3.3 การรับรู้โดยการมีเกณฑ์ในการอ้างอิงในเรื่องต่อไปนี้ 3.3.1 ความยาว 3.3.2 ความกว้าง 3.3.3 ความสูง 3.3.4 แนวตั้ง-แนวนอน 2. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรูเนอร์ ได้จัดล าดับขั้นพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กหรือโครงสร้างทางสติปัญญาเป็น 3 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นสัมผัส (Enactive Stage) เด็กจะเรียนรู้และเข้าใจสิ่งแวดล้อมโดยผ่านการกระท าหรือ การลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้ในขั้นนี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความสามารถด้านการเคลื ่อนไหว การเต้นร า และการใช้ร่างกายหรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการแสดงออกถึงความรู้ของตน 2. ขั้นคิดจากภาพที ่ปรากฎ (Iconic Stage ขั้นนี้เด็กจะเรียนรู้ผ่านการมองรูปภาพหรือ ตัวแบบ เด็กเริ่มพัฒนาวิธีการจ า โดยใช้จินตนาการมากขึ้น ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัวของเด็กจะ ขึ้นอยู่กับการรับรู้โดยการใช้ประสาทสัมผัสมากกว่าการใช้ภาษา การเรียนรู้ในขั้นนี้มีความสัมพันธ์ โดยตรงกับการเรียน หรือการแสดงออกผ่านงานศิลปะซึ่งต้องใช้สายตาและมิติสัมพันธ์ 3. ขั้นสัญลักษณ์ (Symbolic Stage) ขั้นนี้เด็กจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ โดยผ่านระบบสัญลักษณ์ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน และการจัดล าดับ รวมตลอดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นนามธรรม จะช่วยให้เด็ก เข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้น


31 3. ทฤษฎีหลายองค์ประกอบ (Group-Factor Theory) Thurstone นักจิตวิทยาชาวอเมริกันผู้น าในการสร้างทฤษฎีนี้ ได้เสนอทฤษฎีเกี ่ยวกับ สมรรถภาพทางสมองของมนุษย์โดยมีความเชื่อว่า ความสามารถทางสมองของมนุษย์สามารถแบ่ง ออกเป็นส่วนย่อย ๆ หลายส่วนแต่ละส่วนท าหน้าที่เป็นอย่าง ๆ ไป โดยเฉพาะหรืออาจท างานร่วมกัน บ้างองค์ประกอบย่อยๆ นั้น ให้ชื่อว่า ความสามารถปฐมภูมิทางสมอง (Primary Mental Abilities) ซึ่งประกอบไปด้วยความสามารถที่มองเห็นได้ชัด 7 ประการ ดังนี้ 1. องค์ประกอบด้านภาษา (Verbal Factor) เป็นความสามารถในการเข้าใจ ค าศัพท์ ข้อความ บทกวีเรื่องราวต่าง ๆ ที่อ่านความมีเหตุผลทางภาษา และการใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสม 2 . องค์ป ระกอบด้ านคว ามคล ่องแคล ่วในก า รใช้ค า (Word Fluency Factor) เป็นความสามารถในการใช้ค าได้ถูกต้องเหมาะสมและรวดเร็ว 3. องค์ประกอบด้านจ านวน (Number Factor) เป็นความสามารถในการคิดค านวณ เบื้องต้นเกี่ยวกับตัวเลขได้อย่างว่องไว และถูกต้องตลอดจนเป็นความสามารถในการแก้ปัญหาเชิง ปริมาณ 4. องค์ประกอบด้านมิติสัมพันธ์ (Space Factor) เป็นความสามารถที่ส่งผลให้คนเข้าใจถึง ขนาด และมิติต่าง ๆ อันได้แก่ ความสั้น-ยาว ไกล-ใกล้ และพื้นที่หรือทรวดทรงที่มีขนาดและปริมาตร แตกต่างกันสามารถสร้างจินตนาการให้เห็นส่วนย่อยและส่วนผสมของวัตถุต่าง ๆ เมื่อน ามาซ้อนทับ กันสามารถรู้ความสัมพันธ์ของรูปทรงเรขาคณิตเมื่อเปลี่ยนแปลงที่อยู่ ความสามารถด้านนี้จะส่งผลใน วิชาเรขาคณิต วาดเขียน แผนที ่ การฝึกฝีมือในชีวิตจริง ความสามารถด้านนี้จะส ่งผลให้เป็นนัก ออกแบบเขียนแปลน นักวางผังเมือง วิศวกร เป็นต้น 5. องค์ประกอบด้านความจ า (Memory Factor) เป็นความสามารถในการระลึกหรือจดจ า เหตุการณ์ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างแม่นย า ถูกต้อง 6. องค์ประกอบด้านสังเกตพิจารณา หรือด้านสังเกตรับรู้ (Perceptual Speed Factor) เป็นความสามารถในการเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้มาก ถูกต้อง และรวดเร็วอาจเป็นไปในรูปของการ พิจารณาความคล้ายคลึงหรือความแตกต่างระหว่างสิ่งของต่าง ๆ ก็ได้ 7. องค์ประกอบด้านเหตุผล (Reasoning Factor) องค์ประกอบนี้แสดงถึง ความสามารถ ด้านการคิดวิจารณญาณ การหาเหตุผล การค้นหาความส าคัญ ความสัมพันธ์ และหลักการทั้งหลายที่ สร้างกฎหรือทฤษฎี 4. ทฤษฎีโครงสร้างเชาวน์ปัญญา (The Structure of Inteligenee) Guil ford นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้ศึกษาพัฒนาการจากทฤษฎีหลายองค์ประกอบของ Thurstone ด้วยวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบแบบทดสอบวัดสติปัญญา แล้วเสนอโครงสร้างทางสมอง


32 ของมนุษย์ในปี ค.ศ. 1967 อธิบายโครงสร้างสมองในรูปแบบจ าลองสามมิติ(Three-Dimensional Model) ดังนี้ มิติที่ 1 กระบวนการคิด (Operations) หมายถึง การปฏิบัติงานทางสมองหรือกระบวน การคิดแบบต่าง ๆ กระบวนการคิดนี้จะเกิดขึ้นตามล าดับจากง่ายไปหายาก ดังนี้ 1. การรู้และเข้าใจ (Cognition) 2. การจ าแนกช่วงเวลาสั้น ๆ (Memory Recording) 3. การจ าช่วงเวลายาว ๆ (Divergent Thinking) 4. การคิดแบบเอกนัย (Convergent Thinking) มิติที่ 2 เนื้อหา (Contents หมายถึง ข้อมูลหรือสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่ปรากฎด้วยระบบประสาท สัมผัสทั้งหลาย แล้วบุคคลแยกแยะเพื่อที่จะรับรู้มีลักษณะ ดังนี้ 1. การมองเห็น (Visual) 2. การได้ยิน (Vuditory) 3. สัญลักษณ์ (Symbolic) 4. ภาษา (Semantic) 5. พฤติกรรม (Behavior) มิติที่ 3 ผลการคิด (Products) หมายถึง ผลผลิตของการคิดที่สมองรับรู้สิ่งเร้าภายนอกและ ใช้ระบบการคิดแบบต่าง ๆ แล้วผลของการคิดจะออกมาในลักษณะต่าง ๆ กัน ดังนี้ 1. หน่วย (Units) 2. จ าพวก (Classes) 3. ความสัมพันธ์ (Relation) 4. ระบบ (Systems) 5. การแปลงรูป (Transformations) 6. การประยุกต์ (Implication) ตามทฤษฎีโครงสร้างทางเชาว์ปัญญาของ Guilford นั้นวัด ความสามารถย่อย ๆ ได้ถึง 180 หน่วย และหน่วยที่กล่าวถึงความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ เช่น CFR, CFS, CFT, NFT จากที ่กล ่าวมาข้างต้นสรุปได้ว ่า ทฤษฎีพัฒนาการด้านมิติสัมพันธ์เป็นความสามารถ ทางด้านสติปัญญาสมองและความคิด การลงมือกระท าด้วยความคิดในรูปแบบของนามธรรมและ รูปธรรมเด็กจะได้สัมผัส รับรู้ต าแหน่งของสิ่งต่างๆ ทิศทางของสิ่งต่างๆและทฤษฎีเป็นความสามารถ พื้นฐานทางสมอง เป็นทฤษฎีที่แบ่งปัญญาและความสามารถของมนุษย์ไว้หลากหลายประการ โดย ส่วนมากเกี่ยวกับการพัฒนาสมองและสติปัญญา


33 1.4 แนวทางในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงแนวทางในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ดังนี้ ปริยกร จันทรักษ์ (2556:43) กล่าวว่า ควรจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาความสมารถ เช่น ให้ ท างานศิลปะ งานประดิษฐ์ เพื่อเปิดโอกาสให้คิดได้อย่างอิสระพไปชมนิทรรศการศิลปะ พิพิธภัณฑ์ ต่างๆ ฝึกให้ใช้กล้อง ถ่ายภาพ การวาดภาพ สเก็ตซ์ภาพ จัดเตรียมอุปกรณ์การวาคภาพให้พร้อมจัด สิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อ การท างานด้านศิลปะ ฝึกให้เล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ เกมตัวเลข เกมที่ต้อง แก้ปัญหา จะเรียนได้ดีหากได้ใช้จินตนาการ หรือความคิดที่อิสระ ชอบเรียนด้วยการได้เห็นภาพ การดู การรับรู้ทางตา ฝึกให้ใช้หรือเขียนแผนที่ความคิด (Mind Mapping) การใช้จินตนาการ ให้เล่น เกมเกี ่ยวกับภาพ เกมตัวต ่อเลโก้ เกมจับผิดภาพ ฯลฯย ุทธศาสตร์ในการสอนคือการให้ดู ให้วาดให้ระบายสี ให้คิดจินตนาการ ผู้ที่มีความสามารถทางด้านนี้มีความเหมาะสมที ่จะประกอบ อาชีพเป็นศิลปีน สถาปนิก มัณฑนากร นักประดิษฐ์ ฯลฯ เบญจภรณ์ แสนรัตนทวีสุข (2556:25-26 อ้างถึงใน แชปแมน Chapman, 1999) กล่าวถึง กิจกรรมที่จะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ส าหรับความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ไว้ดังนี้ 1. วัสดุอุปกรณ์ทางศิลปะที่หลากหลาย 2. กล้องถ่ายรูป 3. การใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ลงมือจับต้องได้ในการค้นคว้าเสาะแสวงหาอย่างสร้างสรรค์ 4. ผังจัดระบบความคิดแบบต่างๆ 5. กล่องรวมของกระจุกกระจิกในศูนย์ศิลปะ 6. สภาพแวดล้อมที่พรั่งพร้อมไปด้วยภาพและสิ่งพิมพ์ 7. โปสเตอร์ ชาร์ต ภาพ 8. ภาพวาด ภาพสเก็ตซ์ ภาพเขียน 9. เวลาส าหรับปั่น แกะสลักและสร้างสิ่งต่างๆ 10. การใช้เครื่องฉายแผ่นใส และกระดาน 11. การใช้เครื่องประกอบฉาก การแสดงอื่นๆ 12. การเล่นตี๋ต่าง 13. การใช้ค าตอบแฝง 14. ระบบการจินตนาการ 15. ระบบการใช้รหัสสี 16. การสาธิต


34 เสาวนีย์ จันทร (2558:30) กล่าวว่า การส่งเสริมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ นักเรียนควร ได้รับการส่งเสริมพัฒนาตั้งแต่เด็กเล็กจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับวัย โดยเน้นการจัดกิจกรรมให้ นักเรียนมีโอกาสในการค้นพบความสัมพันธ์จากกระบวนการ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมุ่งที่จะส่งเสริมให้ นักเรียนมีความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ในเรื่องความเหมือนแถะความแตกต ่าง ความสัมพันธ์ของ ต าแหน่งสิ่งต่างๆ การต่อชิ้นส่วนภาพ การแยกออกจากกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความส าคัญในน าความรู้ไปสู่ ด้านอื่น ๆ และการด ารงชีวิตประจ าวันของบุคคล จรรยา รอดคืน (2560:39) กล ่าวว ่า การส ่งเสริมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็ก ปฐมวัยกิจกรรมที ่ ครูจัดควรให้เด็กได้มีส ่วนในการลงมือกระท ากับวัตถุอย ่างสม ่าเสมอ โดยมี ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม และค านึงถึงระดับความรู้ทักษะและวัชของเด็ก โดขจัดประสบการณ์ให้เด็ก ได้ส ารวจ สืบเสาะสิ่งต่าง ๆ ผ่านการท ากิจกรรมศิลปะ การเล่นทราย-น ้า เล่นเครื่องเล่นสนาม เล่นเกม ต่าง ๆ เป็นต้น ในขณะที่เด็กลงมือกระท ากิจกรรมต่างๆ ครูใช้ค าถามกระตุ้นให้เด็กบอกแสดงต าแหน่ง ระยะทิศทาง สถานการณ์ต่างๆ ทั้งการเคลื่อนที่และคงที่ของคนและสิ่งของต่างๆ ที่เด็กได้รับจากการ จัดกิจกรรม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ด้านมิติสัมพันธ์ให้แก่เด็กปฐมวัย นิดาววรรณ ทองไทย (2562:49-50 อ้างถึงใน Hillet al 2010) กล่าวว่า แนวทางในการ ส่งเสริมการพัฒนาความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ที่พัฒนาความสามารถด้านมิติสัมพันธ์จะต้องมีการ ปรับทัศนคติของผู้เข้ารับการพัฒนาจากครอบครัว คุณครู และผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้ 1. ต้องอธิบายให้ผู้เข้ารับการพัฒนาเข้าใจว ่าความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ไม ่ใช่ ความสามารถที่มีมาแต่ก าเนิด แต่สามารถพัฒนาได้เช่นเดียวกับความสามารถด้านอื่น ๆ 2. ส ่งเสริมให้มีการท ากิจกรรมที ่ต้องใช้การประสานงานกันระหว ่างตากับมือ เช่น การหัดสเก๊ตซ์ภาพวัตถุ เป็นต้น 3. การใช้อุปกรณ์แบบถือมือ (Hand held mode! เพื่อช่วยในการมองสิ่งที่มองไม่เห็นแค่ ในกระดาษ ซึ่งจากที่กล่าวมานั้นกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นจะพัฒนาความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ได้ ต้องได้รับการฝึกฝน อบรม และการเรียนอย่าง เพื่อให้ผู้เข้ารับการพัฒนาได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ใน แต่ละกิจกรรมต่าง ๆ และน ามา ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่พบเจอในชีวิตประจ าวัน ผู้ที่มีความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ดีจะมีความสามารถในการมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่ง ต่าง ๆ อย่างเชื่อมโยง สามารถเรียนรู้และวางแผนแก้ปัญหาสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้สามารถ ท าความเข้าใจเชื ่อมโยงเหตุการณ์ ใช้เหตุผล สร้างความคิดนามธรรม และพัฒนาทักษะต ่างๆ ที่เกี่ยวกับการรับรู้ต าแหน่งมิติของวัตถุต่าง ๆ การจินตนาการเชื่อมโยงระหว่างพื้นที่ ซึ่งผู้ที่มีทักษะ ด้านมิติสัมพันธ์มักจะเห็นภาพโดยรวมได้อย่างชัดเจน การพัฒนาความสามารถด้านมิติสัมพันธ์จึงเป็น พื้นฐานทางความคิดและการจินตนาการภาพที่ครูผู้สอนควรส่งเสริมให้เกิดแก่ผู้เรียน


35 สรุปได้ว่า แนวทางในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์สามารถจัด กิจกรรมให้เด็กได้กระท าสัมผัสสิ ่งต่าง ๆ กับวัตถุและส่งเสริมได้ตั้งแต ่เด็กในระดับปฐมวัยด้านมิติ สัมพันธ์ในเรื่องความเหมือนแถะความแตกต่าง ความสัมพันธ์ของต าแหน่งสิ่งต่าง ๆ การต่อชิ้นส ่วน ภาพ การแยกออกจากกัน ซึ่งมีกระบวนการและขั้นตอนเฉพาะในการจัดประสบการณ์และกิจกรรม ทางมิติสัมพันธ์ที ่เหมาะสม ดังนั้นการจัดประสบการณ์และกิจกรรมทางด้านมิติสัมพันธ์จึงต้องมี กระบวนการและขั้นตอนที่ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาและท าความเข้าใจ เพื่อที่จะได้ด าเนินการ ได้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยมากที่สุด 1.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ในประเทศ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ในประเทศ ดังนี้ เบญจา สนธยานาวิน (2556: 80-82) ศึกษาเรื่องผลการจัดประสบการณ์ทัศศึกษาแหล่ง เรียนรู้ในชุมชนบ้านวังลานที่มีต่อ ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์และพฤติกรรมร่วมมือของเด็กปฐมวัย โรงเรียนบ้านวังลาน จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัด ประสบการณ์ทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ในชุมชนบ้านวังลาน 2. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมร่วมมือของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ทัศน ศึกษาแหล่งเรียนรู้ในชุมชนบ้านวังลาน จังหวัดกาญจนบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1. แผนการจัดประสบการณ์ทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ ในชุมชน 24 แผน 2. แบบวัดความสามารถด้านมิติสัมพันธ์เชิงสถานการณ์ และแบบสังเกต พฤติกรรมร่วมมือ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าขนาด อิทธิพลผลการวิจัย พบว่า 1. ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยหลังจากได้รับประสบการณ์ทัศนศึกษา แหล ่งเรียนรู้ในชุมชนโรงเรียนบ้านวังลาน สูงขึ้นในระดับมาก เด็กปฐมวัยมีความสามารถในการ มองเห็นรับรู้ถึงความสัมพันธ์มิติต่างๆ เมื่อวิเคราะห์แยกเป็นรายด้าน พบว่า สามารถน าชิ้นส่วนต่างๆ ของภาพ สิ่งของที่ก าหนดให้มาต่อเข้าด้วยกันเกิดเป็นภาพที่สมบูรณ์ สามารถปฏิบัติและบอกความ เหมือนความต่างของขนาด รูปร่างและรูปทรงปฏิบัติและบอกต าแหน่งของวัตถุ ข้างหน้า-ข้างหลัง ข้างบน-ข้างล ่าง ข้างใน - ข้างนอก ระหว ่าง ปฏิบัติและบอกทิศทางของวัตถุ ทางตรง-ทางอ้อม ทางซ้าย-ทางขวา สูงขึ้น ในระดับมาก


36 2. พฤติกรรมร่วมมือของเด็กปฐมวัยหลังจากได้รับประสบการณ์ทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ใน ชุมชนโรงเรียนบ้านวังลาน มีพฤติกรรมร่วมมือ การแสดงออก ด้วยการปฏิบัติ หรือค าพูดของเด็ก ปฐมวัย ที่แสดงถึงความร่วมมือ สังเกตได้ในขณะเล่นหรือท างานร่วมกับผู้อื่นเป็นกลุ่มจากการทัศน ศึกษาแหล่งเรียนรู้ชุมชนมีลักษณะพฤติกรรม พูดแสดงความคิดเห็น รับฟังความคิดเห็น ปฏิบัติตาม ข้อตกลง และท างานร่วมกับเพื่อนจนเสร็จ สูงขึ้นในระดับมาก และสูงขึ้นทุกด้าน จิตรวรรณ ประจุดทะเนย์. (2557:82-83) ศึกษาเรื ่องการพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ ส าหรับนักเรียนชั้นอนุบาล 2 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของ เด็กปฐมวัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการเรียนด้วย ชุดกิจกรรมศิลปะ เพื่อพัฒนาความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมความสามารถด้ามมิติสัมพันธ์ กลุ ่มตัวอย ่างคือนักเรียนชั้นอนุบาลปีที ่ 2 จ านวน 27คน โรงเรียนอนุบาลบ้านด ่าน ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์เขต 1 ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ด้วยการจับฉลาก โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ชุดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์จ านวน 20 ชุด แผนการจัดประสบการณ์ประกอบ ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จ านวน 20 แผนแบบทดสอบวัดความสามารถด้ามมิติสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ เพื ่อส ่งเสริมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ส าหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที ่ 2 มี ประสิทธิภาพ 85.43/84.26 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้2. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมความสามารถด้นมิติสัมพันธ์ส าหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 หลังการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนการใช้ชุดกิจกรรม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที ่มีต ่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมความสามารถด้ามมิติสัมพันธ์ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก บานเย็น ชุมภู (2561:90) ได้ท าวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที ่ได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยกิจกรรมพิมพ์ภาพจากการตัดแต ่งวัสดุ ธรรมชาติ ผลการวิจัยพบว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดประสบการณ์ด้วยกิจกรรมพิมพ์ภาพจากการตัดแต่งวัสดุธรรมชาติอยู่ในระดับดีทั้งในภาพรวม และรายด้านทั้ง 4 ด้าน ได้แก ่ ด้านการคงรูปของวัตถุ ด้านความเหมือน-ความต ่าง ต้านการบอก


37 ความสัมพันธ์ และด้านการบอกต าแหน่งสัมพันธ์กับพื้นที่ และทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยหลังการจัดประสบการณ์สูงกว่าก่อนการจัดประสบการณ์ด้วยกิจกรรมพิมพ์ ภาพจากการตัดแต่งวัสดุธรรมชาติอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งในภาพรวมและรายด้าน นิดาวรรณ ทองไทย (2562:บทคัดย่อ) ได้ท าวิจัยเรื่อง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม แนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที ่สอดคล้องกับชีวิตจริงร่วมกับความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ที่มีต่อ ทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในโรงเรียนขนาดเล็ก ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้เรียนที่ได้รับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที่สอดคล้องกับชีวิตจริงร่วมกับความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังเรียนแตกต่างจากก ่อน เรียนอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 โดยคะแนนทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) ผู้เรียนที่ได้รับการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที่สอดคล้องกับชีวิตจริงร่วมกับความสามารถ ด้านมิติสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์แตกต่างจากผู้เรียนที่ได้รับ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์แบบปกติอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 โดยคะแนนทักษะผู้เรียน กลุ ่มทดลองสูงกว ่ากลุ ่มควบคุม 3) ผู้เรียนที ่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวการศึกษา คณิตศาสตร์ที่สอดคล้องกับชีวิตจริงร่วมกับความสามารถด้านมิติสัมพันธ์มีทักษะในการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ที่ดีขึ้น จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ จะช่วยให เด็กได้พัฒนาสมองทางด้านสติปัญญาหลังจากการได้รับการลงมือท ากิจกรรมที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ท าให้เด็กได้รับความรู้ในด้านต ่าง สามารถปรับใช้ในการใช้ชีวิตประจ าวัน โดยเน้นการใช้สิ ่งที่อยู่ รอบๆตัวเด็กจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์อีกทั้งยัง สอดคล้องกับการพัฒนา งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ในต่างประเทศ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ต่างประเทศ ดังนี้ Kline (2000 อ้างถึงใน บานเย็น ชุมภู2556:64) ได้ท าวิจัยเรื ่อง ความคิดเกี ่ยวกับการ จัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ส าหรับเด็กวัยอนุบาล โดยการสัมภาษณ์ครูผู้สอนระดับอนุบาล พบว่า นอกจากการที่ครูจะมีส่วนในการจัด เตรียมกิจกรรมการสอนคณิตศาสตร์แล้วนั้น ผู้ปกครองยัง มีส่วนอย่างมากในการให้การสนับสนุนให้เวลาในการท า กิจกรรมคณิตศาสตร์ร่วมกับเด็ก นอกจากนี้ ครูผู้สอน ควรมีการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการสอนคณิตศาสตร์ส าหรับเด็กวัย อนุบาลซึ่งกันและกัน


38 Cheser (1979 อ้างถึงใน นพรัตน์ นามบุญมี 2556:42) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาในด้าน มิติสัมพันธ์ตามทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียจท์ โดยศึกษาตามตัวแปร เพศ อายุ และ วัฒนธรรมศึกษาเกี่ยวกับความยาว ทิศทาง เส้นตั้งฉาก ตลอดจนการแก้ปัญหาพบว่า สมรรถภาพด้าน มิติสัมพันธ์ของนักเรียนจะพัฒนาขึ้นตามอายุ นักเรียนชายจะมีสมรรถภาพทางสมองด้านนี้สูงกว่า นักเรียนหญิงและพบว่าสภาพที่อยู่อาศัยหรือวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมีผลต่อความสามารถค้านนี้ด้วย นอกจากนี้ยังพบว่านักเรียนในถิ่นเจริญมีการพัฒนาสมรรถภาพด้านนี้ดีกว่าเด็กในถิ่นที่ยังไม่เจริญ และ เมื่ออายุ 12 ปีเด็กจะสามารถพัฒนาสมรรถภาพทางสมองด้านมิติสัมพันธ์ได้ในระดับที่ไล่เลี่ยกัน Cockburm (1996: 2350-A-2351-A อ้างถึงใน วารินทิพย์ ศรีกุลา 2560:43) ได้ท าวิจัย เรื ่อง การศึกษาประสบการณ์การเล ่นของเล ่นที ่มีต ่อทักษะการจินตนาการภาพในความคิดของ เด็กหญิง อายุ 4 ปี และ 6 ปี ศึกษาเกี่ยวกับการแปลภาพ 2 มิติ เป็นวัตถุ 3 มิติ และการแปลวัตถุ 3 มิติเป็นภาพ 2 มิติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทักษะการเรียนรู้ด้านมิติสัมพันธ์ ของเล่นที่ใช้ในการศึกษาครั้ง นี้ คือ LEGO DUPLO บล็อกกับบัตรกิจกรรมและชุด การสร้างบล็อกกับบัตรกิจกรรม ผลการศึกษา พบว่ากิจกรรมการเล่นของเล่นช่วยส่งเสริมทักษะการจินตนาการภาพในความคิดของเด็ก David and Damiela (1996 อ้างถึงใน จรรยา รอดคืน 2560:42) ได้ท าวิจัยเรื่องการศึกษา เปรียบเทียบความสามารถทางด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กที่มีเพศแตกต่างกันและผลของการปฏิบัติด้าน ร่างกายอย่างเข้มงวดที่วัดด้วยเครื่องมือ KAT กับกลุ่มตัวอย่างอายุ 4 ปี ผลการวิจัยพบว่า เด็กชายมี คะแนนความสามารถด้านมิติสัมพันธ์สูงกว ่าเด็กหญิง และความสามารถทางด้านมิติสัมพันธ์มี ความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับ ผลของการปฏิบัติด้านร่างกาย Pittalis and Christou (2010 อ้างถึงใน เยาวรัตน์ รัตนธรรม 2561:22) ได้ท าวิจัยเรื่องการ ใช้เหตุผลในการคิดเรขาคณิต 3 มิติ และความสัมพันธ์กับความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ พบว่า การคิด เชิงเรขาคณิต 3 มิติ สามารถอธิบายชนิดของการใช้เหตุผลที ่แตกต ่าง 4 ชนิด ได้อย ่างชัดเจน ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ ประกอบด้วย 3องค์ประกอบส าคัญที่ใช้พยากรณ์การใช้เหตุผลในการ คิดเรขาคณิต 3 มิติ ได้เป็นอย ่างดี คือ SpatialVisualisation Spatial Orientation และ Spatial Relations และการสร้างภาพมิติสัมพันธ์มีบทบาทส าคัญในการคิดสร้างสรรค์ในวิชาคณิตศาสตร์ จากที ่กล ่าวมาข้างต้นสรุปได้ว ่า พบว ่าทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ สามารถช่วยพัฒนาความรู้ความสามารถขอผู้เรียนท าให้ผู้เรียนเกิดการรับรู้ โดยผ่านกระบวนการคิด การสัมผัสและการลงมือกระท าให้เห็นถึงความแตกต ่างหลังจากการใช้กิจกรรมต ่างๆในการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้


39 2.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2.1 ความหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดังนี้ รวิพร ผาด่าน (2557:26) กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หมายถึง กิจกรรมที่เด็กได้มีโอกาส ทดลอง ได้ปฏิบัติจริงอย ่างอิสระ เป็นการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด ความคิด สร้างสรรค์และจินตนาการผ่านกิจกรรมต่าง ๆ นอกจากนั้นกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ยังเป็นกิจกรรมที่ สร้างความสุขความประทับใจให้กับเด็ก เด็กเกิดความภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง อีกทั้งยังส่งเสริม พัฒนาการเด็กทุก ๆ ด้านด้วย นฤมล ไกรฤกษ (2558:17) หมายถึง ความสามารถระดับสติปัญญา เป็นคนที่มีความคิดที่ จะก่อให้เกิดพฤติกรรมอันน ามาซึ่งผลงานที่ปรากฎให้เห็น เกี่ยวกับความคิดริเริ่มที่น าไปสู่ความส าเร็จ สามารถประดิษฐ์คิดค้นสิ ่งแปลกใหมีที ่แตกต ่างจากที ่เคยปรากฎ และเป็นประโยชน์ มีลักษณะ ความคิดอเนกนัยคือคิดหลายทาง หลายแง่ หลายมุม คิดได้กว้างไกล เป็นกระบวนการทางสมองที่ รวมถึงการน าประสบการณ์เดิมของแต่ละคนออกมา แล้วน ามาจัดในรูปแบบใหม่ มีความสามารถ เชื่อมโยงสัมพันธ์ ในกระบวนการต่างๆ ที่จะท าให้งานสู่ความส าเร็จ ปริยานุช พรหมร ่วมแก้ว (2559:45) ได้กล ่าวว ่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หมายถึง กิจกรรมที่ใช้ศิลปะซึ่งได้แก่การวาดภาพ ระบายสี พิมพ์ภาพ พับ ปั้น ฉีก ตัดปะ การประดิษฐ์ ในการ ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ธรรมชาติ ประสบการณ์ อารมณ์ ความรู้สึก และสะท้อน ความคิดของตัวเองออกมาเป็นผลงานผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งในระหว่างการท ากิจกรรม หรือ สร้างสรรค์งานศิลปะนั้น เด็กจะมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง และสิ่งแวดล้อมรอบตัว สุคนธ์รัตน์ ศรีอ่อน (2559:22) ได้กล่าวว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หมายถึง ผลงานทาง ศิลปะที ่รับรู้ได้ด้วยประสาทตา รวมทั้งการพัฒนากล้ามมัดเล็กส าหรับเด็กปฐมวัย รวมถึงการ แสดงออกโดยผ่านสื่อต่างๆ สุภาวดี พึ่งฉิ่ง (2562:24) ได้กล่าวว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หมายถึง กิจกรรมที่ส่งเสริม พัฒนาการครบทุกด้านของเด็กแสดงออกผ่านการสร้างสรรค์ผลงานตามความต้องการและความสนใจ โดยครูเป็นผู้อ านวยความสะดวกจัดเตรียมสื่อ อุปกรณ์ต่างๆ และคอยให้ค าแนะน าในปฏิบัติกิจกรรม จึงเป็นกิจกรรมหนึ่งที่จะพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่ถ่ายทอดความคิด และความรู้สึกด้วยวิธีการที ่หลากหลาย เช ่น การวาดภาพ การปั้น การฉีก การติด การปะ การประดิษฐ์ ฯลฯ นอกจากนั้นกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ยังส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก


40 2.2 ความส าคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับเด็กปฐมวัย มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความส าคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับ เด็กปฐมวัย ดังนี้ อรทัย บุญเที่ยง (2555:20 อ้างถึงใน ดารารัตน์ อุทัยพยัคฆ์ 2552) ได้กล่าวว่า งานศิลปะใน ความคิดของคนเป็นจ านวนมากเน้นไปที่ความสวยงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น แต่งาน ศิลปะมีความหมายเละกุณค่ามหาศาล เริ่มตั้งแต่คุณค่าในกระบวนการท างานศิลปะ ที่ท าให้พัฒนา กล้ามเนื้อเล็ก-ใหญ ่ พัฒนาประสาทสัมพันธ์ระหว ่างตากับมือ ส ่งเสริมให้มีอารมณ์แจ ่มใส ร ่าเริง เพลิดเพลิน การแสดงออกความมั่นใจในตนเอง พัฒนาด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ด้านมิติสัมพันธ์ คุณธรรมที่ปลูกฝังความเป็นมนุษย์ซึ่งจ าเป็นต้องเริ่มในวัยเด็กเล็ก คือความพอใจ ความวิริยะอุตสาหะ การมีสมาธิในการท างาน ความมีวินัยและความภูมิใจในตนเอง เป็นต้น พรเพ็ญ บัวทอง (2555:18 อ้างถึงใน สิริพรรณ ตันติรัตน์ไพศาล 2545:31-32) ได้กล่าวว่า การสอนศิลปะในระดับปฐมวัย เป็นการฝึกฝนเบื้องต้น มิได้มุ่งให้เด็กวาดรูปเก่ง แต่เพื่อปลูกฝังให้เด็ก มีนิสัยอันดีงาม และมีความพร้อมในการเรียนดังมีความมุ่งหมาย ดังนี้ 1. เพื่อฝึกและเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ให้เด็กรู้จักใช้ประสาทสัมผัสให้สัมพันกัน ได้อย่างเหมาะสม 2. เพื่อส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การจักสังเกต การมีไหมพริบสามารถ แสดงออกตามความถนัด ความสามารถของแต่ละคน และชื่นชมต่อสิ่งที่สวยงามต่างๆ 3. เพื่อการพัฒนาทางกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และบุคลิกภาพ 4. ปลูกฝังค่านิยม เจตคติ และคุณสมบัติที่ดีของศิลปะและวัฒนธรรมไทย 5. เพื่อให้เด็กเริ่มต้นรู้จักการใช้เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆในการท างานศิลปะ รู้จักการ เก็บรักษา และการท าความสะอาดอย่างถูกต้อง 6. เพื่อฝึกให้รู้จักการท างานเป็นกลุ่ม เป็นคนมีระเบียบ ประณีต 7. เพื่อให้เด็กมีโอกาสแสดงออกอย่างอิสระ สนุกสนานเพลิดเพลิน และใช้เวลาว่าง ให้เกิดประโยชน์ 8. เพื่อน าไปใช้ให้สัมพันธ์กับการจัดประสบการณ์ด้านอื่นๆ สงกรานต์ อนุสุเรนทร์ (2556:10 อ้างถึงใน กิติยา เก้าเอี้ยน 2551:45) ได้กล่าวว่า กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์มีความส าคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. ด้านร่างกาย กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สามารถส่งเสริมพัฒนาการการเคลื่อนไหว ของอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5


41 2. ด้านอารมณ์-จิตใจ ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ความคับข้องใจ 3. ด้านสังคม ท าให้เด็กกล ้าาคิดกล้าท า ส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ อย่างเสรี สร้างความเชื่อมั่นและพึงพอใจในตนเอง 4. ด้านสติปัญญา ส ่งเสริมกระบวนการทางความคิดสร้างสรรค์โดยถ ่ายทอดเป็น ผลงานศิลปะ จากความส าคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่กล่าวมา สรุปได้ว่ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ให้เกิดขึ้นกับเด็กได้ โดยมีความส าคัญต่อพัฒนาการเด็ก ดังนี้ 1. พัฒนาการด้านร่างกาย ส่งเสริมพัฒนาการการเคลื่อนไหวของอวัยวะทุกส่วนของ ร่างกายเด็กได้ลงมือท ากิจกรรมด้วยตนเอง หยิบ จับ สิ่งต่างๆ เคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายใน การท ากิจกรรมท าให้มีพัฒนาการทางด้านร่างกายดีขึ้น 2. พัฒนาการทางด้านอารมณ์ จิตใจ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ท าให้เด็กรู้สึกผ่อน คลาย ความรู้สึก ทั้งความกังกล ความสุข ความขับข้องใจ ความรู้สึกต่างๆ จะถูกถ่ายทอดผ่านกิจกรรม ศิลปะ 3. พัฒนาการด้านสังคม กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส ่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้การ ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น การแบ่งปันอุปกรณ์ การร่วมมือกันระหว่างคนในกลุ่ม การเรียนรู้ที่จะ เป็นผู้น าและผู้ตาม กล้าคิดกล้าแสดงออกด้วยความมั่นใจ และพึงพอใจในผลงานของตนเองและผู้อื่น 4. พัฒนาการทางด้านสติปัญญากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ยังช่วยส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์ จิตนาการ เด็กได้ประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่เกิดขึ้น รวมทั้งการใช้ค าพูดในการอธิบายขึ้นงาน ของตนให้ผู้อื่นเข้าใจ ประนัดดา รัตนไตรมาส (2557:11 อ้างถึงใน วรรณี เพชรวัตน์ 2538:2) กล ่าวว่า การสร้างสรรค์งานศิลปะให้มีลักษณะที่วิจิตรงดงามสามารถประดิษฐ์ให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้มากมาย หลายหลายรูปแบบเป็นงานที่มี 3 ลักษณะคือ แบบรูปร่าง รูปทรง พื้นที่ ขนาด ทรงลอยตัว แบบสาม มิติคือ ประกอบด้วยด้านกว้าง ด้านยาวและด้านสูงท าให้เกิดคุณค่าทางศิลปะดังต่อไปนี้ 1.ใช้เป็นสื่อส าหรับการเรียนการสอนในโรงเรียน 2. ใช้ประดับตกแต่งร่างกายและอาคารสถานที่ 3. ใช้แสดงประกอบการละเล่น แสดงละคร 4. ใช้ประดิษฐ์เป็นผลงานเป็นของขวัญ


42 5. เป็นงานฝีมือที่มีคุณค่าทางด้านศิลปะ ท าให้เกิดความเพลิดเพลิน ในรูปแบบที่ สวยงาม 6. ฝึกให้นักเรียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 7. เพื่อเป็นงานอดิเรกในเวลาว่างและพักผ่อนจิตใจได้ดี สุคนธ์รัตน์ ศรีอ่อน (2559:24) กล่าวว่า ความส าคัญของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ หมายถึง กิจกรรมจะช่วยให้เด็กเกิดความเพลิดเพลินแล้วเด็กยังมีโอกาสแสดงความรู้สึกนึกคิดเกิดการเรียนรู้ และค้นพบสิ่งต ่างๆ จากการส ารวจทคลองกับสื่ออุปกรณ์ทางศิลปะด้วยตัวของเด็กเอง ขณะที ่ท า กิจกรรมเด็กจะมีความเชื่อมั่นในตนเองและเกิดความภาคภูมิใจในผลงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคิด ในสิ่งที่มีความหมายส าหรับเด็ก จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ แสดงออกทางความคิด ความรู้สึกอย ่างอิสระเสรี การท างานร ่วมกับผู้อื ่น รวมทั้งการส ่งเสริม พัฒนาการของเด็กในด้านต ่างๆ ทั้งพัฒนาการทางด้านร ่างกาย ด้านสังคม ด้านอารมณ์ - จิตใจ และด้านสติปัญญา 2.3 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ นักจิตวิทยาและนักการศึกษาได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดังนี้ พัชรี ผลโยธิน และวรนาท รักสกุลไทย (2557:16 อ้างถึงใน โลเวนเฟลด์ 1954) กล่าวว่า ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องศิลปะสร้างสรรค์ของโลเวนเฟลด์ คือ การแบ่งล าดับขั้นพัฒนาการทางศิลปะของเด็ก ในแต่ละขั้นพร้อมกับก าหนดช่วงอายุในแต่ละขั้นไว้ ดังนี้ 1. ขั้นการขีดเขี่ย (Scribbling Stage) อยู่ในช่วงอายุ 2 - 4 ปีในขั้นแรกพฤติกรรมของเด็ก แสดงออกในลักษณะการขีดเขี่ยไม่สามารถ บังคับทิศทางได้ เมื่อเด็กสามารถบังคับกล้ามเนื้อใหญ่ได้ดี ลักษณะเส้นจะยาวมากขึ้น มีทิศทางใกล้เคียงกัน เส้นซ ้าๆ วนๆ เมื่อเด็กผ่านขั้นขีดเขี่ยที่ควบคุมได้เด็ก จะมีพฤติกรรมที่ควบคู่กับการขีดเขี่ยคือ การเล่าเรื่อง บางครั้งภาพที่เด็กวาด จะเข้าใจก็ต่อเมื่อได้ฟัง จากการเล่าของเด็ก ในช่วงนี้เด็กจะมีจินตนาการสูง 2. ขั้นก่อนสัญลักษณ์ (Pre - Symbolic Stage) อยู่ในช่วงอายุ 4 – 7 ปี เป็นการพัฒนาต่อ จากขั้นสุดท้ายของการขีดเขี่ยที่เด็กสามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น เด็กจะสามารถขีดเขียนเป็น รูปร่างตามความคิดของตน ความส าเร็จในขั้นนี้จะมีผลต่อความเชื่อมั่นในตนเอง 3. ขั้นสัญลักษณ์ (Symbolic Stage) อยู่ในช่วงอายุ 7 - 9 ปีในขั้นนี้เด็กจะแสดงออกมาเป็น สัญลักษณ์ ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงความคิดรวบยอดของคนและสิ่งแวดล้อม


Click to View FlipBook Version