The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยฉบับสมบูรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 63-101พรชิตา นันบุญ, 2024-02-14 03:25:03

วิจัยฉบับสมบูรณ์

วิจัยฉบับสมบูรณ์

43 4. ขั้นเริ ่มต้นเหมือนจริง ( Inceptive Realism Stage) อยู ่ในช ่วงอาย ุ 9 – 11 ปี การแสดงออกทางศิลปะในขั้นนี้มีการมองเห็นสภาพแวดล้อมที ่เป็นจริง เป็นธรรมชาติมากขึ้น เด็กจะพยายามถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ตามที่ตาเห็นถ่ายทอดความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ตามการรับรู้ 5. ขั้นเหมือนจริงเชิงวิเคราะห์ (Analytical Realism Stage) อยู ่ในช ่วงอายุ 11 - 13 ปี โดยการท างานศิลปะในขั้นนี้เริ่มพัฒนาสู่การเขียนแบบเหมือนจริงมากขึ้น มีการใช้สี รูปร่าง ช่องไฟ พื้นผิว 6. ขั้นเหมือนจริง (Realism Stage) พัฒนาการระยะนี้อยู่ในช่วงอายุ 13 - 15 ปี เด็กวัยนี้ รู้จักวิจารณ์ วิเคราะห์ตัวเอง เด็กสามารถดูงานศิลปะได้เข้าใจมากขึ้น 7. ขั้นค้นพบตัวเอง (Recoverable Stage) พัฒนาการระยะนี้อยู่ในช่วงอายุ 15 ปีเป็นต้น ไป ในขั้นนี้เด็กได้รวบรวมเอาปัญหาอุปสรรคและประสบการณ์ต่างๆ น ามาเป็นฐานสู่การค้นพบตัวเอง ประนัดดา รัตนไตรมาส (2557:14 -15 อ้างถึงใน สมชาย พรหมสุวรรณ 2528:18) กล่าวว่า ทฤษฎีที่เกี่ยวของกับศิลปะสร้างสรรคส าหรับเด็กอธิบายถึงพัฒนาการของเด็กในช่วงอายุ 4 - 5 ขวบ ดังนี้ 1. ภาพที่วาดส่วนใหญ่เป็นภาพคน เช่น ตัวเอง พ่อแม่ พี่สาว พี่ชาย 2. เด็กปฐมวัยชอบวาดรูปครู 3. รูปจะใช้วงกลมแทนศีรษะ ตา จมูก ปาก และหู อาจจะวาดหรือไม่วาดติดกับศีรษะ จะเป็นแขนและขา โดยไม่วาดมือและเท้า ศีรษะจะมีขนาดเดียวกับล าตัว 4. เด็กจะวาดภาพคนสูงกว่าปกติ โดยไม่ค านึงถึงความหนาของล าตัว แต่เด็กก็ยังแสดง รายละเอียดของใบหน้า อาจเป็นไปได้ว่า เด็กต้องการเน้นเฉพาะสิ่งที่เด็กเคยเห็นมา 5. เด็กบางคนวาดภาพล าตัวแม่ในขณะที่คนอื่นในภาพไม่แสดงล าตัว 6. ในวัยนี้ขนาดรูปร่างแสดงความส าคัญ เช่น ภาพเด็กผู้ชายอุ้มสุนัข มือที่อุ้มจะมี ความโตเป็นพิเศษ เป็นต้น 7. เด็กในวัยนี้จะไม่วาดสิ่งแวดล้อมรอบตัว คือ ไม่วาดฉากหลัง ส ุคนธ์รัตน์ ศรีอ ่อน (2559:30 อ้างถึงใน ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ 2546:132 ) กล่าวว่า ทฤษฎีที่เกี่ยวของกับศิลปะสร้างสรรคเอาไว ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขีดเขียนไม่เป็นระเบียบ (3 - 4 ปี) เด็กใช้สีเทียนหรือสีน ้าขีดเขียนเป็นเส้นที่ขาดๆ วิ่นๆซิกแซกวนไปมาตั้งแต่ยังควบคุมมือไม่ได้จนควบคุมมือได้เด็กจะส ารวจใช้สีที่ไม่เป็นความจริงเริ่ม เขียนเป็นวงกลมมีเส้นเป็นแขนขา ขั้นที่ 2 เขียนภาพให้มีความหมาย (4 - 7 ปี) ภาพที่เขียนมีความหมายกับเด็กภาพคนจะใช้ วงกลมแทนศีรษะมีเส้นในแนวตั้ง 2 เส้นแทนแขนขาทั้งสองข้างบางครั้งมีปากแขนขาเท้ารองเท้าวาด


44 ภาพสิ่งของต่างๆ จะอยู่อย่างไม่มีระเบียบตรงไหนมีช่องว่างก็จะเขียนลงไปใช้สีตามอารมณ์เมื่ออายุ 7 ปีเด็กจะวาดภาพสิ่งต่างๆ ได้เหมือนกันทุกครั้งที่วาดภาพ ขั้นที่ 3 เขียนภาพได้คล้ายจริง (7 - 9 ปี) ภาพท้องฟ้าจะเป็นสีฟ้าอยู่ด้านบนเส้นพื้นฐานจะ ใช้สีเขียวอยู่ด้านล่างสิ่งต่างๆถูกวาดอยู่ระหว่างเส้นท้องฟ้าและเส้นพื้นฐานอย่างเหมาะสม กฤษณา รักนุช (2560:36 อ้างถึงใน Peterson 1985) กล่าวว่า ทฤษฎีที่เกี ่ยวข้องศิลปะ สร้างสรรค์ หมายถึง เด็กทุกคนมีขีดขั้นความสามารถของความคิดสร้างสรรค์ในด้านศิลปะที่แตกต่าง กัน โดยสามารถปรับปรุงและพัฒนาขึ้นภายในขอบเขตความสามารถเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ศิลปะ เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ การถ่ายทอดความรู้สึกของเด็กออกมาจาก ประสบการณ์และจินตนาการ สายทอง พุ่มเกต (2561:43-46 อ้างถึงใน ทอร์แรนซ์ Toriance 1962) ได้ศึกษาความคิด สร้างสรรค์ โดยการตั้งสมมุติฐานแล้วรวบรวมข้อมูลเพื่อทดสอบสมมติฐานตามขั้นตอน ดังนี้ 1. การค้นหาขังเท็จจริง (Fact-Finding) เริ่มจากความรู้สึกกังวล สับสน วุ่นวาย ขึ้นในใจแต่ ยังไม่ทราบสาเหตุ 2. การค้นพบปัญหา (Problem-Finding) พิจารณาด้วยความมีสติจนเข้าใจและพบว่านั่นคือ ปัญหา 3. การค้นพบแนวคิด (ldea-Finding) คิดและตั้งสมมุติฐานตลอดจนรวบรวมข้อมูล ต่าง ๆ เพื่อทดสอบความคิด 4. การค้นพบค าตอบ (Solution -Finding) ท าการทดสอบสมมุติฐานจนสามารถพบค าตอบ 5. การยอมรับผลจากการค้นพบ (Acceptance-Finding) ยอมรับค าตอบที่ค้นพบเผยแพร่ และคิดต่อไปว่าการค้นพบนี้จะน าไปสู่หนทางที่จะท าให้เกิดแนวคิดหรือสิ่งใหม่ต่อไปอีก ทอร์แรนซ์ Torrance ได้ใช้แนวความคิดแบบอเนกนัยมาเสนอเป็นองค์ประกอบของความคิด สร้างสรรค์ 3 องค์ประกอบ คือ 1. ความคิดคล่องแคล่วในการคิด หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคิดหาค าตอบได้ อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว และสามารถสร้างค าตอบได้ในปริมาณมากในเวลาที่จ ากัด 2. ความคิดริเริ่ม หมายถึง ลักษณะของความคิดแปลกใหม่แตกต่างจากความคิดธรรมดาและ ไม่ซ ้ากับความคิดที่มีอยู่ทั่วไป 3. ความยืดหยุ่นในการคิด หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการคิดหาค าตอบได้หลาย ประเภท หลายทิศทาง หลายรูปแบบ จากแนวความคิดของทอร์แรนซ์ (Torrance) กระบวนการคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการ แก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยขั้นตอน 5 ขั้นตอน คือ การค้นหาข้อเท็จจริง การค้นพบ


45 ปัญหา การค้นพบแนวคิด การค้นพบค าตอบและการยอมรับผลจากการค้นพบ ซึ่งองค์ประกอบของ ความคิดสร้างสรรค์นั้นมี 3 องค์ประกอบ คือ ความคิดคล่องแคล่วในการคิด ความคิดริเริ่มและความ ยืดหยุ่นในการคิด ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ในรูปของการโยงความสัมพันธ์ วอลแลซ และโคแกน (Wallach and Kogan) ได้เนอทฤษฎีว ่า ความคิดสร้างสรรค์ เป็นกระบวนการอันหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง อาการที่สิ่งเร้ากับการตอบสนองแสดง ปฏิกิริยาต่อกัน ท าให้เกิดการระลึกได้ ซึ่งถ้าสิ่งเร้าและการตอบสนองแสดงปฏิกิริยาต่อเนื่องกันไป ได้มากก็ย ่อมจะระลึกได้มาก ผู้ที ่มีความคิดสร้างสรรค์สูงจะระลึกได้มาหลายแง่มุมหลายมุม หลายทิศทาง (DivegentThinking) ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์จะจะลึกได้น้อย การระลึกได้มากย่อมจะ มีโอกาสระลึกในสิ่งที่ผู้อื่นระลึกไม่ได้ บางทีสิ่งที่ระลึกได้นั้นอาจสัมพันธ์ถ้าเป็นสิ่งใหม่ ความสัมพันธ์ ดังกล่าวอาจเป็นไปได้โดยความบังเอิญหรือจงใจก็ได้ ตามทฤษฎีของ วอลแลซและโคแกน (Wallach and Kogan) นี้ความคิดสร้างสรรค์เกิดจากการโยงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ต่างๆ ที่บุคคลสร้าง สมมาจากการเรียนรู้นั ่งเอง การที ่บุคคลจะมีความคิดสร้างสรรค์มากน้อยเพียงใดย ่อมขึ้นอยู ่กับ ความสามารถในการเชื่อมโยงมโนทัศน์ของตนเข้ากับสิ่งใหม่ ให้มากที่สุด แสดงว่า ประสบการณ์และ การเรียนรู้มีผลต่อความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญานี้นับว่าเป็นพื้นฐานใน การศึกษาความคิดสร้างสรรค์เพราะกิลฟอร์ด (Guilford) อธิบายว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นลักษณะ ความคิดอเนกนัย ซึ ่งลักษณะความคิดนี้จะน าไปสู ่การประดิษฐ์สิ ่งแปลกใหม ่เพิ ่มขึ้นข้อสรุปของ กิลฟอร์ด (Guilford) นี้ ท าให้มีการศึกษาเรื่องความคิดสร้างสรรค์อย่างกว้างขวางและลึกซึ่งในเวลา ต่อมา นอกจากนี้แล้วเดวิส (Davis, อ้างใน กรมวิซาการ 2535 หน้า 6-7) ได้รวบรวมแนวคิดเกี่ยวกับ ความคิดสร้างสรรค์ของนักจิตวิทยาที่ได้กล่าวถึงทฤษฎีของความคิดสร้างสรรค์โดยแบ่งกลุ่มเป็นกลุ่ม ใหญ่ได้ 4 กลุ่ม คือ 1. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงจิตวิเคราะห์ นักจิตวิทยาวิเคราะห์หลายคน เช่น ฟรอยด์ (Freud) และ คริส (Kris ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับการเกิดของความคิดสร้างสรรค์ว่า ความคิด สร้างสรรค์เป็นผลมาจากความขัดแย้งภายในจิตใต้ส านึกระหว ่างแรงขับทางเพศ (Libido) กับความรู้สึกทางสังคม (Socialo Conscience) ส ่วนคูบี้ (Kubie) และรักก์ (Rugg) ซึ ่งเป็นนักจิต วิเคราะห์แนวใหม ่กล ่าวว ่า ความคิดสร้างสรรค์นั้นเกิดขึ้นระหว ่างการรู้จากจิตใต้ส านึกซึ ่งอยู ่ใน ขอบเขตของจิตที่เรียกว่าจิตก่อนส านึก 2. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงพฤติกรรมนิยม นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีแนวความคิดเกี่ยวกับ ความคิดสว้างสรรค์ว่าเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ โดยเน้นที่ความส าคัญของการเสริมแรง การตอบสนองที่ถูกต้องกับสิ่งเร้าเฉพาะหรือสถานการณ์ นอกจากนี้ยังได้เน้นความสัมพันธ์ทางปัญญา คือ การโยงความสัมพันธ์จากสิ่งเร้าหนึ่งไปยุ่งสิ่งต่างๆ ท าให้เกิดความคิดใหม่หรือสิ่งใหม่เกิดขึ้น


46 3. ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงมนุษย์นิยม นักจิตวิทยากลุ ่มนี้มีแนวคิดว ่าความคิด สร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่มนุษย์มีติดตัวมาแต่ก าเนิด ผู้ที่สามารถน าความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้คือผู้ที่มี สัจการแห ่งตน คือ รู้จักตนเอง พอใจตนเอง และใช้ตนเองเต็มศักยภาพของตน มนุษย์จะแสดง ความคิดสร้างสรรค์ของตนออกมาได้อย ่างเต็มที ่นั้นขึ้นอยู ่กับการสร้างสภาวะหรือบรรยากาศที่ เอื้ออ านวย นักจิตวิทยากลุ่มนี้ได้กล่าวถึงบรรยากาศที่ส าคัญในการสร้างสรรค์ว่าประกอบด้วยความ ปลอดภัย ในเชิงจิตวิทยา ความมั่นคงของจิตใจ ความปรารถนาที่จะเล่นกับความคิดและการเปิดกว้าง ที่จะรับประสบการณ์ใหม่ 4. ทฤษฎี AUTA ทฤษฎีสุดท้ายนี้เป็นรูปแบบของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นใน ตัวบุคคล โดยมีแนวคิดว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนและสามารถพัฒนาให้สูงได้การ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ตามรูปแบบ AUTA ประกอบด้วย 4.1 การตระหนัก (Awareness) คือ ตระหนักถึงความส าคัญของความคิด สร้างสรรค์ที่มีต่อตนเอง สังคม ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตและตระหนักถึงความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ ในตนเอง 4.2 ความเข้าใจ (Understanding) คือ มีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใน เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ 4.3 เทคนิควิธี (Techniques) คือ การรู้เทคนิควิธีในการพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ทั้งที่เป็นเทคนิคส่วนบุคคลส่วนบุคคลและเทคนิคที่เป็นมาตรฐาน 4.4 การตระหนักในความจริงของสิ่งต่างๆ (Actualization) คือ การรู้จัก และตระหนักในตนเอง พอใจในตนเอง และพยายามใช้ตนเองอย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งการเปิดกว้าง รับประสบการณ์ต่างๆ โดยมีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสม การตระหนักถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันการ ผลิตผลงานด้วยตนเอง และมีความคิดที่ยึดหยุ่นเข้ากับทุกรูปแบบของชีวิต องค์ประกอบทั้ง 4 นี้จะ ผลักดันให้บุคคลสามารถดึงศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ของตนเองออกมาใช้ได้ จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ทฤษฎีที่เกี่ยวของกับศิลปะสร้างสรรคมีหลายทฤษฎีด้วยกัน ซึ่งสามารถน ามาประยุกตใชใหสอดคลองกับการเรียนรูโดยน าแนวคิดในแต่ละทฤษฎีมาใชในการจัด กิจกรรมเพื่อใหบรรลุตามวัตถุประสงคที่คาดหวังไว้ 2.4 ประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดังนี้ พรเพ็ญ บัวทอง (2555: 22 อ้างถึงใน ปริยานุช จุลพรหม 2547: 38) ได้สรุปกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ที่เป็นกิจกรรมประดิษฐ์ สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ วัสดุที่ให้จากรรมชาติ เช่น


47 ใบไม้ ดอกไม้ กิ่งไม้ เมล็ดพืช เปลือกหอย ฯลฯ และวัสดุที่เป็นของเหลือใช้ เช่น กล่องยาสีฟัน เศษผ้า ฝ่าขวดน ้าอัดลม ฯลฯ รวิพร ผาด่าน (2557: 38 อ้างถึงใน ยณรงค์ เจริญพาณิชย์กุล 2533:51) กล่าวว่า ประเภท ของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ แบ่งได้ 5 ประเภท ดังนี้ 1.กิจกรรมวาดเส้น (Drawing) หมายถึง การขีด เขียน วาดเส้นเป็นรูปร่างเกิดภาพลงบน กระดาษ 2. กิจกรรมระบายสี (Painting) หมายถึง การใช้อุปกรณ์ในการระบายสี การจุ่มสี รวมไปถึง การล้างท าความสะอาดอุปกรณ์ 3. กิจกรรมภาพพิมพ์ (Print making) หมายถึงการพิมพ์จากแม่พิมพ์นูน ใช้สีทาแล้วทับลง กระดาษให้เกิดลวดลาย 4. กิจกรรมประติมากรรม (Sculpture) หมายถึง การปั้นดิน การกดวัสดุต่างๆลงบนแผ่นดิน 5. กิจกรรมประดิษฐ์ตกแต่ง (Crafts) หมายถึงการท าหน้ากาก การท าหุ่นจากถุง กระดาษ การท าภาพปะติด เป็นต้น ประนัดดา รัตนไตรมาส (2557: 18-19 อ้างถึงใน เกนี นิสัยเจริญ 2527: 5-6) กล ่าวถึง ประเภทของศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับเด็กปฐมวัยว่าสามารถจัดได้ดังต่อไปนี้ 1. กิจกรรมวาดภาพระบายสี เป็นการสร้างภาพที่เด็กเขียนมาจากความรู้สึกของตนเองให้เป็น สัญลักษณ์ที่สวยงาม มีจังหวะ และสีสันต่าง ๆ แทนการใช้ค าพูด 2. กิจกรรมการฉีก ปะ และติดกระดาษ เป็นกิจกรรมที่ใช้กระดาษต่าง ๆ มาฉีก ตัดและน ามา ติดบนกระดาษให้เป็นภาพ เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์ กระดาษวารสาร เป็นต้น 3. การปั้น เป็นกิจกรรมที่เด็กชอบมาก วัสดุที่ใช้ปั้นคือ ดินเหนียว ดินน ้ามัน แป้งโด การปั้น ควรมีวัสดุส าหรับการปั่นที่มีผิวมัน เช่น พลาสติก โลหะ โฟเมก้า เป็นต้น 4. การพิมพ์ การพิมพ์ท าได้หลายวิธี ได้แก่ การพิมพ์ภาพด้วยนิ้วมือ การพิมพ์ภาพจากเศษ และวัสดุที่จากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ ก้านกล้วย ก้านบัว เป็นต้น 5. งานพับกระดาษ เป็นการประดิษฐ์กระดาษให้มีลักษณะเป็นภาพ 3 มิติที่ต้องอาศัยการ ท างานประสานสัมพันธ์ะหว่างมือกับตาในการพับกระดาษให้เป็นภาพสัญลักษณ์ต่าง ๆตามล าดับและ ตามขั้นตอนการพับ


48 6. งานประดิษฐ์เศษวัสดุเป็นของเล ่นของใช้ เป็นการรวบรวมเศษวัสดุจากกระดา ษมา ประดิษฐ์เป็นของเล่นต่าง 1 ตามแบบอย่าง ในการประกอบหรือตกแต่งอาจใช้กาว กรรไกร เศษไหม พรม ไม้ไอศกรีม หลอดกาแฟ เป็นส่วนประกอบ นฤมล ไกรฤกษ (2558:17-18 อ้างถึงใน ฉัตรชัย ศิริพันธุ์ 2546:27) กล่าวว่า ประเภทของ ความคิดสร้างสรรค์ว่า 1. ความคิดสร้างสรรค์ทางความคิด (creative in thinking ) หมายถึง การคิดแสวงหา แนวทางแก้ปัญหาและพัฒนางาน หรือการบริหารงานให้ประสบความส าเร็จ และเจริญก้าวหน้า รู้จัก การศึกษาวิเคราะห์ปัญหา สาเหตุของปัญหา และแนวทางแก้ปัญหา เพื่อน ามาวางแผนงานต่อไป เช่น การประชุมสัมมนาระดมสมองในการพัฒนางาน 2. ความคิดสร้างสรรค์ทางความงาม (creative in beauty) หมายถึง การสร้างสรรค์ความ งามที ่แปลกใหม ่ให้งคงามและมีค ุณค ่ายิ ่งขึ้น ซึ ่งเป็นความคิดสร้างสรรค์ในทางปฏิบัติ เช ่น การสร้างสรรค์งานศิลปะ การออกแบบสีสันและลวดลายเสื้อผ้า การตกแต ่งห้องเรียน บ้าน ส านักงาน ให้มีความงามและแปลกใหม่ เป็นต้น 3. ความคิดสร้างสรรค์ทางประโยชน์ใช้สอย (creative in function ) หมายถึง สร้างสรรค์ ดัดแปลงสิ่งต่างๆ ให้มีคุณค่าทางประโยชน์ใช้สอย เช่น งานสิ่งประดิษฐ์ งานศิลปะที่น าวัสดุต่างๆมา ผลิตขึ้นให้เกิดประโยชน์ใช้สอย เป็นต้น จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ประเภทของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์มีหลากหลาย วิธีที่จะใช้ในการก าหนดกฎเกณฑ์ในการแบ่งประเภทซึ่งสามารถโดยจะใช้ในการลงมือท าแบ่งเป็น กิจกรรมต่าง ๆ กิจกรรมวาดเส้น กิจกรรมระบายสีกิจกรรมภาพพิมพ์กิจกรรมประติมากรรม การ ประดิษฐ์ตกแต่ง การปั้น การฉีกตัดปะ การพับ ท าให้เด็กได้ใช้ความคิดในการสร้างสรรค์ผลงานและ สามารถใช้ประโยชน์ได้ต่อ 2.5 แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับเด็กปฐมวัย มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงแนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับ เด็กปฐมวัย ดังนี้ ประนัดดา รัตนไตรมาส (2557: 17 อ้างถึงใน สิริพรรณ ตันติรัตน์ไพศาล 2545: 22) ก าหนดแนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับเด็กปฐมวัย เอาไว้ดังนี้


49 1. จัดเนื้อหาและหลักสูตร เน้นให้เด็กมีโอกาสจัดกระท ากับวัด (Manipulation) เพราะเด็กในวัยนี้จะเรียนรู้โดยอาศัยประสาทสัมผัส การรับรู้ การเคลื่อนไหว (Sensory - Motor) เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา 2. การจัดกิจกรรมควรโดยเน้นให้เด็กใช้ประสาทสัมผัสให้มากที่สุด กิจกรรมกระตุ้น ให้คิดและจัดกระท าหรือลงมือปฏิบัติกิจกรรม รวมทั้งสัมผัสแตะต้องสิ่งต่างๆ หรือเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว 3. การเลือกวัสดุควรให้เด็กมีโอกาสสัมผัสหรือจับต้องสิ่งของที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น ดิน หิน ทราย น ้า ฯลฯ ซึ่งจะช่วยสี่ปีพัฒนาประสาทสัมผัสการเคลื่อนไหวของเด็ก ให้เข้าใจสภาพ ความเป็นจริงของวัตถุ เช่น น ้าหนัก เนื้อสาร จะน าไปสู่การเชื่อมโยงกับโครงสร้างอื่น จึงให้เด็กได้ท า เพื่อพัฒนาประสาทสัมผัสมากที่สุด รวิพร ผาด่าน (2557: 35-36) กล่าวว่า หลักในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับเด็ก ปฐมวัยนั้นมีความส าคัญเปรียบเสมือนหัวใจของการจัดกิจกรรมที่ครูและผู้ที่เกี่ยวข้อง จะน าไปปรับใช้ กับเด็กในการจัดกิจกรรมให้กับเด็ก จึงต้องค านึงถึงพัฒนาการของเด็กเป็นส าคัญและจัดให้เหมาะสม สอดคล้องกับวัยความสนใจ และควรเปิดโอกาสให้เด็กมีอิสระในการคิด การแสดงออก ได้ทดลอง ค้นคว้าได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองผ่านการเล่น และมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อวัสดุที่หลากหลายและเหมาะสม กับเด็กหรืออาจเป็นวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ใบไม้ เปลือกไม้ เปลือกหอย เมล็ดพืชชนิดต่างๆ มณีรัตน์ ภูทะวัง (2560:38 อ้างถึงใน เลิศ อานันทนะ 2535:44) กล่าวว่า กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับความสนใจความสามารถและสอดคล้องกับหลักพัฒนาการของ เด็กเป็นอย่างยิ่งกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ไม่เพียงส่งเสริมการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตาและ การผ่อนคลายความเครียดทางอารมณ์เท่านั้นแต ่ยังส่งเสริมความคิดอิสระ คิดจินตนาการฝึกรู้จัก ท างานด้วยตนเองและฝึกการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ทั้งความคิดและการกระท าซึ่งถ่ายทอดออกมา เป็นงานศิลปะที ่น าไปสู ่การเรียนอ่านเขียนอย ่าสร้างสรรค์ต ่อไปกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ได้แก่ การวาดภาพ การพิมพ์ การฉีกปะ การตัดปะ การปั้น และการประดิษฐ์เศษวัสดุ วิวัฒน์ ค่ามาก (2561:31) แนวการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับเด็กปฐมวัยมีการ ฝึกฝนให้เด็กได้แสดงออกทางความคิดความเข้าใจความรู้สึก และการสร้างสรรค์ผลงานออกมาจาก จินตนาการของตนเอง โดยผ่านกระบวนการท างานศิลปะ ควรค านึงถึงว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เด็ก เป็นอิสระในการทดลอง ค้นคว้าและสามารถสื่อสารสิ่งที่เขาทดลองกับผู้อื่น มีปฏิสัมพันธ์กับสื่อวัสดุที่ หลากหลายและเหมาะสมกับเด็กหรืออาจเป็นวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ


50 สายทอง พุ่มเกตุ (2561:50-52 อ้างถึงใน สัตยา สายเชื้อ 2541:52-54) ได้สรุป กิจกรรม ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ดังนี้ 1. กิจกรรมส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวเป็นทักษะที่จ าเป็น แก ่การด ารงชีวิตที ่ควรจะได้รับการฝึกฝนตั้งแต ่เยาว์วัย เพื ่อช ่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที ่ดี โดยธรรมชาติเด็กจะตอบสนองต ่อสิ ่งต ่างๆ ด้วยการเคลื ่อนไหว โดยใช้ศีรษะ แขน ขา และล าตัว ตัวอย่างเช่น เมื่อเด็กได้ยินเสียงเพลงและนตรี เด็กจะแสดงออกด้วยการท าท่าทางไปตามจินตนาการ กิจกรรมการเคลื่อนไหวยังช่วยให้เกิดการเรียนรู้ชั้นพื้นฐานที่เกี่ยวกับพื้นที่ ซึ่งเป็นปัจจัยส าคัญต่อการ พัฒนาความคิดเรื่องเวลา เนื้อที่ และทิศทาง ดังนั้นครูจึงควรเปิดโอกาสให้เด็กได้คิด และแสดงท่าทาง การเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นพื้นฐานโดยใช้เทคนิคต่างๆ เข้ามาช่วย เช่น เพลง นิทาน ค าคล้องจอง และบทบาทสมมุติ เป็นต้น ข้อควรค านึงในการจัดกิจกรรมสงเสริมความคิดสร้างสรรค์ด้านการเคลื่อนไหว 1. ควรเริ่มจากการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ 2. ให้เด็กได้แสดงออกด้วยตนเองอย่างอิสระและเป็นไปตามธรรมชาติ 3. ควรให้โจกาสเด็กคิดหาวิธีการเคลื่อนไหวทั้งแบบที่ต้องเคลื่อนที่เป็นราบบุคคล เป็นคู่และเป็นกลุ่มตามล าดับ 4. ส่งเสริมให้เด็กได้เลียนแบบในเรื่องต่างๆ เช่น 4.1 กิจกรรมตามธรรมชาติในชีวิตประจ าวัน เช่น แบก หาม ไต่เชือกเดินขึ้น ลงบันได ยกของ จับ ถือ ฯลฯ 4.2 กิจกรรมเลียนแบบสัตว์ต่างๆ เช่น กบ ม้า ร้างเป็นต้น 4.3 ปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ เช่น ลมพัด ฝนตก ต้นไม้ไหว เป็นต้น 4.4 ยานพาหนะต่างๆ เช่น ขับรถยนต์ พายเรือ แจวเรื่อ ขี่ม้า เป็นต้น 4.5 ความรู้สึกนึกคิด เช่น หัวเราะ ร้องให้ ยิ้ม ตกใจ โกรธ รัก เป็นต้น 5. พยายามใช้สิ่งของและวัสดุที่อยู่รอบตัวเด็ก เช่น ผ้า เชือก กระดาษหนังสือพิมพ์ ฯลฯ มาใช้ประกอบการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหว 6. ควรก าหนดจังหวะหรือสัญญาณเมื่อเปลี่ยนท่าหรือหยุด 7. สร้างบรรยากาศอิสระในห้องเรียนให้เด็กรู้สึกอบอุ่น เพลิดเพลินและปลอดภัย 8. ไม่ควรบังคับเด็กเข้าร่วมกิจกรรมถ้าเด็กยังไม่พร้อม


51 2. กิจกรรมส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะ กิจกรรมที่มีความส าคัญอย่างยิ่ง ได้แก่ กิจกรรมทางศิลปะ เป็นศาสตร์ที ่ช ่วยในเรื ่องพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ โดยเด็กสามารถพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์จากการที่เด็กได้ลงมือท า งานศิลปะในรูปแบบที่แตกต่างกันและเป็นกิจกรรมที่ สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก เด็กจะได้รักการพัฒนาทั้งทางด้านอารมณ์ จิตในสังคม ร ่างกาย และสติปัญญา ข้อควรค านึงในการจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ทางศิลปะ 1. ควรแนะน าหรือจัดหาวัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาใช้ให้มากที่สุด 2. ให้อิสระแก่เด็กในการประดิษฐ์สิ่งต่างๆ 3. แสดงความชื่นชมและยอมรับในผลงานของเด็กโดยไม่มุ่งที่ความสวยงาม 4. การเลือกวัสดุต้องค านึงถึงความปลอดภัยของเด็กก่อนเสมอ 5. จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้เพียงพอส าหรับเด็ก 6. เปิดโอกาสให้เด็กได้ท ากิจกรรมทั้งเป็นราบบุคคลและเป็นกลุ่มแต่เพียงอย่างเดียว 7. ควรสนทนาซักถามเกี่ยวกับสิ่งที่เด็กได้สร้างสรรค์ 8. ควรจัดแสดงผลงานของเด็กทุกคน จากที ่กล ่าวมาข้างต้นสรุปได้ว ่า แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ส าหรับเด็ก ปฐมวัย เน้นให้เด็กมีโอกาสจัดกระท าใช้ประสาทสัมผัสให้มาก กระตุ้นให้เด็กได้ใช้ความคิดโดยเน้นใช้ วัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ จัดให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็ก ไม่บังคับแต่เน้นสร้างบรรยากาศที่ ปลอดภัย น่าเรียนรู้และจัดเตรียมสิ่งต่างๆให้พร้อมกับเด็ก 2.6 พัฒนาการทางด้านศิลปะส าหรับเด็กปฐมวัย มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงพัฒนาการทางด้านศิลปะส าหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้ รัฐนนท์ สว่างผล (2558: 20 อ้างถึงใน Torrance 1962: 84-103) สรุปลักษณะพัฒนาการ ของความคิดสร้างสรรค์ของเด็กในวัยต่าง ๆ ดังนี้ เด็กวัยทารก - วัยก่อนเข้าเรียน (อายุ 0 - 6 ปี) ตั้งแต่แรกเกิด- 2 ปี เด็กจะเริ่มมีจินตนาการ ในระยะนี้ในช่วงขวบแรกเด็กต้องการรู้เรื่องต่าง ๆ พยายามเลียนแบบเสียงและจังหวะ เมื่ออายุสอง ขวบ เด็กต้องการให้มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นเด็กต้องการกระตือรือร้นที่จะได้สัมผัส ชิมและดูทุกสิ่งทุกอย่าง เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นแต่วิธีการแสดงออกนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของเด็กแต่ละคน อายุ 2-4 ปี เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับโลกโดยประสบการณ์ตรงและท าสิ่งนั้น ๆ ซ ้าโดยการเล่นที่ใช้ จินตนาการ เด็กตื่นตัวกับสิ่งแปลกใหม่ตามธรรมชาติ ช่วงความสนใจของเด็กจะสั้นโดยเปลี่ยนจากการ


52 เล่นอย่างหนึ่งไปเล่นอีกอย่างหนึ่งเสมอ เด็กเริ่มพัฒนาความรู้สึกเป็นตัวของตัวเองเด็กวัยนี้มักท าในสิ่ง ที่เกินความสามารถของตนเอง ท าให้เกิดความรู้สึกโกรธและคับข้องใจ อายุ 4-6 ปี เด็กเริ่มสนุกสนานกับการวางแผน การเล่น การท างานเด็กเรียนรู้บทบาทของ ผู้ใหญ ่โดยการเล ่นสมมติ มีความอยากรู้อยากเห็นสิ ่งที ่เป็นจริงและถูกต้องเด็กสามารถเชื ่อมโยง เหตุการณ์ต่างๆแม้ว่าจะไม่เข้าใจเหตุผลนัก เด็กทดลองเล่นบทบาทต่างๆ โดยใช้จินตนาการเอง ปริยานุช พรหมร ่วมแก้ว (2559: 49 อ้างถึงใน พีระพงษ์ กุลพิศาล 2546:159) กล ่าวว่า พัฒนาการทางศิลปะหมายถึงกระบวนการแสดงออกทางศิลปะที ่มีลักษณะเฉพาะตัวของเด็ก ซึ่งปรากฏอยู่ในผลงานพัฒนาการจากวัยหนึ่งไปสู่วัยหนึ่งอย่างต่อเนื่อง พัฒนาการดังกล่าวจะด าเนิน ไปช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับพื้นฐานความสนใจและความสามารถทางศิลปะ ประกอบกับสิ่งแวดล้อม และแรงจูงใจของแต่ละบุคคล พัฒนาการทางศิลปะจะมีลักษณะเป็นสากล เด็กทุกชาติจะมีลักษณะ การแสดงออกคล้ายๆ กัน ยกเวันกรณีที่พัฒนาการนั้นถูกสกัดกั้นอันเป็นผลให้พัฒนาการนั้นขาดช่วง หรือหยุดไป เด็กอายุ 25 ปีช่วงก่อนประถมศึกษาส่วนใหญ่ยังอยู่บ้าน โดยมีพี่เลี้ยงหรือพ่อแม่ดูแล โอกาสที่จะได้รับประสบการณ์ทางศิลปะจึงมีน้อยหากพ่อแม่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในศิลปะ ขาด ความสนใจในพฤติกรรมทางด้านศิลปะของเด็กด้วยแล้วจะส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการไปอย่างเชื่องช้า พัชราวรรณ โฝงสูงเนิน (2562:51 อ้างถึงใน Urban 2005) กล่าวว่า ขั้นของพัฒนาการของ ความสามารถด้านการคิดสร้างสรรค์ของเด็กอนุบาลที ่ได้จากการศึกษาแบบทดสอบ TCT-DP ประกอบด้วย 6 ขั้น ดังนี้ 1. ขั้นขีดเขียน (Autonomous scribbling/Drawing) เด็กขีดเขียน วาดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับ รูปร่างที่มีอยู่ ไม่สนใจที่จะรับรู้ดัดแปลง ข้อมูลหรือปัญหา 2. ขั้นคัดลอก (Imitation) เด็กคัดลอกรูปร ่างที ่มีอยู ่ เริ ่มการใช้รูปร ่างนั้นแต ่ไม ่พบการ เพิ่มเติม สร้างรูปร่างหรือเปลี่ยนแปลง 3. ขั้นต่อเติม (Concluding/Com pleting) ขั้นเด็กต่อเติมรูป ร่างที่ให้ไว้เป็นภาพสมบูรณ์ รูปร ่างปิด มากขึ้นหรือเป็นรูปร ่างพื้นฐาน เช ่น วงกลม สี ่เหลี ่ยม เป็นต้น แต ่ยังไม ่ พบการวาดที่ สร้างสรรค์ 4. ขั้นรูปวัตถุเดี่ยว (solated animation/Objectivation) ขั้นเด็กเริ่มใช้รูปแบบของตนเอง มีความเป็นปัจเจก และซับซ้อนมากขึ้น การน ารูปร่างที่ให้ไว้น ามาเชื่อมโยงโดยเกิดความหมายในการ สร้างสรรค์ออกมาเป็นวัตถุหรือสัตว์เดี่ยว


53 5. ขั้นสร้างความเชื ่อมโยง (Producing The Matical Relations) ขั้นเด็กเริ ่มสร้างความ เชื่อมโยงภายในระหว่างรูปร่าง วัตถุของภาพวาดแบบโครงสร้างที่ไม่เป็นอิสระ หรือความตั้งใจในการ ใช้รูปร่าง และองค์ประกอบต่างๆ 6. ขั้นสร้างภาพและองค์รวม (Formed Holistic Composition) ขั้นสูงสุดที่เกิดการมองใน ภาพรวมของรูปร่างต่างๆ มีความหมายเป็นหนึ่งเดียวสมบูรณ์ ณัฏฐ์ชญา หอมจัด (2563:42-43) ได้กล่าวว่า พัฒนาการทางความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ปฐมวัยที่ได้น าเสนอจะเห็นได้ว่าพัฒนาการของเด็กปฐมวัยเริ่มตั้งแต่อายุแรกเกิด โดยอายุแรกเกิดถึง 2 ปี เด็กเริ่มถามชื่อสิ่งของต่าง ๆ เด็กมีความกระตือรือร้นในการส ารวจ ชิม สัมผัส แสวงหาโอกาสใน การอยากรู้อยากเห็น อายุ 2-4 ปี เด็กจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากประสบการณ์ตรงเด็กอยากรู้และถาม ปัญหากับผู้ใหญ่ ต้องการท าสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เมื่ออายุ 4-6 ปี เด็กมีการวางแผนในการเรียนรู้ การ เล่น เริ่มเลียนแบบบทบาทผู้ใหญ่ มีความอยากรู้อยากเห็น พยายามหาข้อเท็จจริง เริ่มมีจินตนาการ ความคิดเป็นของตนเองรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นและเริ่มคิดได้ว่าการกระท าของตนเองจะท าให้ผู้อื่นรู้สึก อย่างไร ความเชื่อมั่นจะพัฒนาในช่วงวัยนี้โดยผ่านงานศิลปะในทางสร้างสรรค์ ดังนั้น ครู พ่อแม่หรือ บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดควรเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยด้วยการให้เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่น ตามช่วงอายุพัฒนาการที่เหมาะสม เพื่อให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า พัฒนาการทางด้านศิลปะส าหรับเด็กปฐมวัยมีความแตกต่าง เช่น วิธีการอบรมเลี้ยงดู ระดับอายุ เป็นปัจจัยที่จะส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านศิลปะ ส่งผลท าให้เด็ก แต่ละคนมีพัฒนาการทางศิลปะไม่เหมือนกันรวมถึงระดับความสามารถในการเรียน เช่น การเขียน และการอ่านของเด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย 2.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ในประเทศ มีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ใน ประเทศ ดังนี้ พรสุดา ภู่จีน (2561:บทคัดย่อ) ได้ท าวิจัยเรื่อง การพัฒนาพฤติกรรมความร่วมมือของเด็ก ปฐมวัยด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์ โดยศิลปะจากธรรมชาติส าหรับนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนอนุบาล ก าแพงเพชร การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมความร่วมมือของเด็กปฐมวัยที่ ได้รับการสอนโดยใช้แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมสร้างสรรค์โดยศิลปะจากธรรมชาติ ก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมการจัดประสบการณ์โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นอนุบาล 3/3 โรงเรียนอนุบาลก าแพงเพชร จ านวน 29 คน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive


54 samplins) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมสร้างสรรค์ และแบบ สังเกตพฤติกรรมความร่วมมือ และการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด ประสบการณ์กิจกรรมสร้างสรรค์โดยศิลปะจากธรรมชาติ มีพัฒนาการหลังสอนสูงกว ่าก ่อนสอน การศึกษาวิจัยในชั้นเรียนครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรมความร่วมมือ ของเด็ก ปฐมวัย ที่ได้รับการสอน โดยใช้แผนการจัดประสบการณ์กิจกรรมสร้างสรรค์โดยศิลปะจากธรรมชาติ ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการจัดประสบการณ์ โดยนักเรียนชั้นอนุบาล 3 จ านวน 29 คนเป็นชาย 19 คนหญิง 10 คน โรงเรียนอนุบาลก าแพงเพชร และมีเครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1.แผนการจัด ประสบการณ์ กิจกรรมสร้างสรรค์จ านวน 15 แผน 2.แบบสังเกตพฤติกรรมความร ่วมมือ จ านวน 12 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัยในชั้นเรียนได้แก่ค่าร้อยละความก้าวหน้าด าเนินการจัดกิจกรรม จ านวน 15 ครั้ง ผลการวิจัยในครั้งนี้พบว ่าพฤติกรรมความร ่วมมือของเด็กปฐมวัยโดยการจัด ประสบการณ์กิจกรรมสร้างสรรค์มีคะแนนเฉลี่ยก่อนการจัดกิจกรรม 19.59 และหลังการจัดกิจกรรม 30.55 โดยมีคะแนนหลังการจัดกิจกรรมสูงขึ้นกว่าก่อนการท ากิจกรรมเมื่อเปรียบเทียบทางชั้นเรียน พบว่ามีร้อยละความก้าวหน้าทางชั้นเรียนเท่ากับ 30.64 กุลชาติ พันธุวรกุล (2563: บทคัดย่อ) ได้ท าวิจัยเรื่อง การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วย วัสดุเหลือใช้เพื ่อส ่งเสริมทักษะทางสังคมของเด็กวัยอนุบาลมีวัตถุประสงค์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบทักษะทางสังคมของเด็กวัยอนุบาลใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการช่วยเหลือผู้อื่น ด้านการ แบ่งปันสิ่งของ และด้านร่วมมือในการท างาน ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุ เหลือใช้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ เด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสุลักขณะ จังหวัดปทุมธานี จ านวน 20 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster random sampling) ระยะเวลาในการวิจัย ทั้งสิ้น 12 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดประสบการณ์ศิลปะสร้างสรรค์ ด้วยวัสดุเหลือใช้ และแบบสังเกตทักษะทางสังคมของเด็กวัยอนุบาลวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า หลังการทดลอง เด็กวัยอนุบาลมีค่าเฉลี่ยคะแนนทักษะทางสังคมใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการช่วยเหลือผู้อื่น ด้านการ แบ่งปันสิ่งของ และด้านการร่วมมือในการท าน สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิตที่ ระดับ .05 ณัฏฐ์ชญา หอมจัด (2563:บทคัดย่อ) ได้ท าวิจัยเรื่อง การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Williams การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อ 1 เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ตามแนวคิดของ Wiliams และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัย ต ่อการจัดกิจกรรมศิลปะ


55 สร้างสรรค์กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนสาธิตคริสเตียนวิทยา ภาค เรียนที ่ 2 ปีการศึกษา 2562 จ านวน 20 คน ซึ ่งได้มาจากการสุ ่มแบบกลุ ่ม (Cluster Random Sampling) เครื ่องมือที ่ใช้ในการทดลอง ได้แก ่ 1) แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 2) แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก ่ ค ่าเฉลี ่ย ร้อยละ ส ่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค ่าที ่ ชนิดกลุ ่มไม ่อิสระกัน (Dependent Samples t-test) ผลการวิจัยพบว ่า 1. เด็กปฐมวัยมีความคิดสร้างสรรค์หลังจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สูงกว่าก่อนจัดกิจกรรม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. เด็กปฐมวัย มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X =2.53, S.D = 0.89) อมรรัตน์ สารบัญ (2563: บทคัดย ่อ) ได้ท าวิจัยเรื ่อง การพัฒนาพฤติกรรมท างสังคมของ นักเรียนชั้นปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้นกระบวนการกลุ่ม มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบพฤติกรรมทางสังคมของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์เน้นกระบวนการกลุ่ม 2.เปรียบเทียบพฤติกรรมการท างานกระบวนการกลุ ่มของ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างก่อนและหลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้นกระบวนการกลุ่ม 3.ศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อพฤติกรรมทางสังคมและพฤติกรรมการท ากระบวนการ กลุ่มของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้นกระบวนการกลุ่มกลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๑ (ถนนภูผาภักดี) จ านวน 29 คน ด าเนินการทดลอง 6 สัปดาห์ เครื ่องมือที ่ใช้ในการศึกษา คือ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้น กระบวนการกลุ่ม จ านวน 18 แผน แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมทาง สังคม แบบสังเกตพฤติกรรมด้านกระบวนการกลุ่มและแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครอง สถิติ ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การ ทดลองส ่งผลให้พฤติกรรมทางสังคมของนักเรียน หลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้น กระบวนการกลุ่มสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้นกระบวนการกลุ่ม อย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที ่ระดับ 0.05 และนักเรียนมีพฤติกรรมทางกระบวนการกลุ ่ม หลังการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์เน้นกระบวนการกลุ่มสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้นกระบวนการกลุ่ม อย ่างมีนัยส าคัญทางสถิติที ่ระดับ 0.05 ส ่วนผู้ปกครองมีความพึงพอใจต ่อการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์เน้นกระบวนการกลุ่มสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะเน้นกระบวนการกลุ่ม มีระดับความ พึงพอใจอยู่ในระดับมาก


56 รัตนพร ช้อยสามนาค (2564:บทคัดย่อ) ได้ท าวิจัยเรื่อง การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของ เด็กปฐมวัยด้วยการจัดประสบการณ์ศิลปะสร้างสรรค์ การวิจัยครั้งนี้มีมุ่งหมายเพื่อศึกษาการพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยด้วยการจัดประสบการณ์ศิลปะสร้างสรรค์ กลุ่มตัวอย่างนักเรียน ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 นักเรียนชาย - หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี ก าลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนอัตตาภิวัฒน์ อ าเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร สังกัด ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ปีการศึกษา 2564 จ านวน 20 คน โดยได้มาจากการเลือก แบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินความพึง พอใจต่อการจัดกิจกรรมการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยด้วยการจัดประสบการณ์ศิลปะ สร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ ทดสอบที (t-test) แบบ dependent ผลการเปรียบเทียบผลการศึกษาการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ของเด็กปฐมวัยด้วยการจัดประสบการณ์ศิลปะสร้างสรรค์ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้น อนุบาลปีที่ 1 นักเรียนชาย-หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี ก าลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนอัตตาภิวัฒน์ อ าเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร สังกัดส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาเอกชน ปีการศึกษา 2564 จ านวน 20 คน พบว ่า ค ่าเฉลี ่ยของคะแนน ผลสัมฤทธิ์ก่อนการทดลองเท่ากับ 12.90 และการทดสอบหลังการทดลอง เท่ากับ 16.60 ปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยด้วยการจัดประสบการณ์ศิลปะสร้างสรรค์ หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทอลองอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สามารถพัฒนาเด็กได้ทั้งใน เรื่องของร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญา โดยผ่านการลงมือท าการใช้ความคิดจินตนาการ พัฒนาการก่อนและหลังการจัดประสบการณ์แตกต่างกัน โดยใช้กิจกรรมศิลปะที่แตกต่างกัน งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ในต่างประเทศ มีนักวิชาการหลายท ่านได้กล ่าวถึงงานวิจัยที ่เกี ่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ต่างประเทศ ดังนี้ Phillip (1986 อ้างถึงใน ประนัดดา รัตนไตรมาส 2557:25) ได้ท าวิจัยเรื ่อง ศึกษาความ เข้าใจของผู้สอนระดับปฐมวัยในด้านกระบวนการความงามทางศิลปะและศิลปศึกษา ผลการวิจัย พบว่า มีความเห็นเหมือนกันในทรรศนะเกี่ยวกับการเรียนศิลปะ โดยวิธีด าเนินการทดลองโดยลงมือ กระท าโดยตรงกับสื่อที่หลากหลายและเน้นการสร้างสรรค์ผลงานกับสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์อย ่างอิสระ และมีความคิดเห็นแตกต ่างกันในทรรศนะเกี ่ยวกับศิลปศึกษา


57 ในโรงเรียนประถมที ่การสอนศิลปะเป็นจุดเล็ก ๆ และถูกมองว ่าเป็นวิชาหนึ ่งในโรงเรียนเท ่านั้น แต่ในมหาวิทยาลัย ศิลปะจะมีการสอนที่เข้มงวดเกี่ยวกับความรู้ มโนทัศน์ ค าศัพท์ สื่อศิลปะโดยตรงที่ ใช้ในการศึกษานอกจากนี้ยังพบครูผู้สอนต้องการเรียนเกี่ยวกับวิธีสอนศิลปะมากกว่าความรู้ มโนทัศน์ ค าศัพท์ สื่อทางศิลปะ และหลักสูตรที่ใช้ในการสอนศิลปะยังเป็นที่ต้องการของครูผู้สอนเช่นเดิม Stapp (1964 อ้างถึงใน รวิพร ผาด ่าน 2557:4 ) ได้ท าวิจัยเรื ่อง ความสัมพันธ์ระหว ่าง ความคิดสร้างสรรค์และสติปัญญาของนักเรียนที่เรียนศิลปะและไม่เรียนศิลปะความคิดสร้างสรรค์และ สติปัญญาไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่นักเรียนที่เรียนศิลปะได้คะแนนแนวความคิดสร้างสรรค์สูงกว่าพวก ที่ไม่เรียนศิลปะ Krall (1982 อ้างถึงใน มณีรัตน์ ภูทะวัง2560:53) ได้ท าวิจัยเรื ่อง การส ่งเสริมความคิด สร้างสรรค์โดยใช้วิชาศิลปะของครูโรงเรียนคริสต์ศาสนาในการจัดประสบการณ์ภาคปฏิบัติพบว่าครู สามารถช่วยเด็กให้เกิดประสบการณ์ในการเรียนรู้ได้ดีขึ้น โดยใช้สื่อทางศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ Wiliam (1917 อ้างถึงใน สายทอง พุ่มเกตุ 2561:58) ได้ท าวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่าง ความคิดสร้างสรรค์ด้านความคิดริเริ ่มกับ คะแนนของหมวดวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม ศึกษา ศิลปศึกษาและดนตรี ผลปรากฎว่า ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดริเริ่มกับคะแนนรวมหมวด ศิลปศึกษาและวิชาดนตรีมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง Guerra และ Zuccoli (2012 อ้างถึงใน พัชราวรรณ โฝงสูงเนิน2562:104) ได้ท าวิจัยเรื่อง การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กผ่านสื่อปลายปิดและปลายเปิด ผู้วิจัยส ารวจการใช้สื่อวัสดุ ระหว ่างสื ่อแบบปลายปิดหรือส าเร็จรูปกับสื ่อแบบปลายเปิดของโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียน ประถมศึกษาในประเทศอิตาลี พบว่า การใช้สื่อทั้งสองประเภทสามรถส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ ของเด็กได้ขึ้นอยู่กับวิธีการใช้สื่อของแต่ละประเภท ได้แก่ การใช้สื่อแบบปลายปิดหรือส าเร็จรูป เช่น ส้อม เมื่อน ามาใช้ในวิธีการที่แตกต่างไปจากการใช้แบบเดิมสามารถกระตุ้นและส่งผลต่อพัฒนาการ ด้านความคิดสร้างสรรค์ของเด็กได้ และการใช้สื่อแบบปลายเปิดส่งเสริมให้เด็กส ารวจและทดลองสื่อ นั้นๆ ในรูปแบบที่หลากหลายซึ่งกระตุ้นให้เกิดการคิดอย่างสร้างสรรค์ในขั้นที่สูงขึ้นไป ดังนั้นครูมี หน้าที่ในการจัดเตรียมสื่อซึ่งเป็นส่วนส าคัญของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับเด็ก ในการเลือก สื่อวัสดุควรมีการผสมผสานของสื่อชนิดต่างๆ และควรค านึงถึงวิธีการใช้งานของสื่อชนิดนั้นๆ การจัด ให้เด็กมีประสบการณ์กับสื่อที่หลากหลายเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้อย่างอิสระและเป็นการ พัฒนาทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์ของเด็ก


58 จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ให้กับเด็กปฐมวัยสามารถ ส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ – จิตใจ สังคมและสติปัญญา ซึ่งผู้ที่มีส่วน เกี ่ยวข้องต้องส ่งเสริมการจัดทั้งเป็นรายบุคคล รายกลุ ่มใหญ ่ และกลุ ่มย ่อยการจัดกิจกรรมไว้ หลากหลาย ให้เด็กสามารถเลือกทาได้ตามความสนใจ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จึงมีคุณค่ามากในการ พัฒนาเด็กปฐมวัยทุกด้าน จึงเป็นเหตุผลให้ผู้รายงานเลือกเอากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นกลุ่มมา เป็นกิจกรรมประกอบการศึกษาพฤติกรรมทางสังคม


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ ผู้วิจัยได้ดำเนินตาม ขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ผู้วิจัยได้ก ำหนดหัวข้อกำรด ำเนินกำรวิจัยตำมล ำดับ ดังนี้ 1. ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง 2. เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย 3. กำรเก็บรวบรวมข้อมูล 4. กำรวิเครำะห์ข้อมูล 5. สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชำกรที่ใช้ในกำรวิจัย ได้แก่ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบำลที่ 3/3 โรงเรียนเทศบำล 10 อนุบำลหนูดี สังกัดส ำนักงำนเทศบำลนครอุดรธำนีภำคเรียนที่ 2 ปีกำรศึกษำ 2566 จ ำนวน 104 คน จำกห้องเรียน จ ำนวน 3 ห้อง 1.2 กลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัย ได้แก่ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบำลที่ 3/3 โรงเรียนเทศบำล 10 อนุบำลหนูดี สังกัดส ำนักงำนเทศบำลนครอุดรธำนีภำคเรียนที่ 2 ปีกำรศึกษำ 2566 จ ำนวน 35 คน จำกห้องเรียน จ ำนวน 3 ห้อง ซึ่งกลุ่มตัวอย่ำงที่ใช้ในกำรวิจัยได้มำโดยวิธีกำรสุ่มอย่ำงง่ำย (Simple Random Sampling) 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในกำรเก็บรวบรวมข้อมูลในกำรวิจัย ครั้งนี้ ประกอบด้วยเครื่องมือ 2 ชนิด ได้แก่ - แผนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ด้วยกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้จ ำนวน 24 แผน แผนละ 30 นำที สัปดำห์ละ 3 แผน รวม 8 สัปดำห์


60 - แบบทดสอบทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย แบบทดสอบ ดังนี้ - ด้ำนกำรจ ำแนกควำมเหมือนควำมต่ำง จ ำนวน 10 ข้อ - ด้ำนกำรต่อเข้ำด้วยกัน จ ำนวน 10 ข้อ - ด้ำนต ำแหน่งของสิ่งต่ำงๆที่สัมพันธ์กัน จ ำนวน 10 ข้อ แบบทดสอบทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์เป็นแบบทดสอบปรนัยแบบ รูปภำพชนิดเลือกตอบ 2 หรือ 3 ตัวเลือก ก ำหนดเกณฑ์กำรให้คะแนน คือตอบถูกต้องให้ 1 คะแนน และตอบผิด ให้ 0 คะแนน 2.1 วิธีการสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จากผลไม้ จ านวน 24 แผน ผู้วิจัยด ำเนินกำรสร้ำงและหำคุณภำพ ดังนี้ 1. ศึกษำหลักสูตรกำรศึกษำปฐมวัย พุทธศักรำช 2560 2. ศึกษำแนวคิด ทฤษฎีต ่ำงๆที ่เกี ่ยวกับทักษะพื้นฐำนคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์และ งำนวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทำงในกำรสร้ำงกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐำน คณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ของ ปิยพร บุญยะพงศ์ไชย (2557) บำนเย็น ชุมภู (2556) นพรัตน์นำม บุญมี (2556) ปริยกร จันทรักษ์ (2556) 3. ด ำเนินกำรสร้ำงแผนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ด้วยกิจกรรมคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ จ ำนวน 18 แผน โดยมีกำรบูรณำกำรกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์มีแผนกำรจัดกิจกรรม 1 แผนใช้ในกำร จัดกิจกรรม 1 วัน โดยมีระยะเวลำใน กำรจัดกิจกรรม 8 สัปดำห์ สัปดำห์ละ 3 วัน ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ในกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์ มีทั้งหมด 24 กิจกรรม โดยใช้ระยะเวลำ 8 สัปดำห์ สัปดำห์ ละ 3 วัน เวลำวันละ 1 กิจกรรม กิจกรรมละ 15-20 นำที มีรำยละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมที่สอดคล้อง กับหน่วยกำรจัดประสบกำรณ์ที่ใช้ในกำรทดลองกำรจัดกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์เพื่อส่งเสริมทักษะ พื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ดังแสดงใน ตำรำงที่ 3.1 ตารางที่ 3.1 การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ สัปดาห์ที่ วันที่ทำ การทดลอง การจัดจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 1 จันทร์ พุธ ศุกร์ ตุ๊กตาพาเพลิน ไอศกรีมสร้างสรรค์ ต้นไม้แสนสนุก ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน


61 ตารางที่ 3.1 การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ (ต่อ) สัปดาห์ที่ วันที่ทำ การทดลอง การจัดจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ 2 จันทร์ พุธ ศุกร์ ยานอวกาศ นกยูงรำแพน มงกุฎจิ๋ว ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน 3 จันทร์ พุธ ศุกร์ พิซซ่าฮัท ต.เต่าหลังตุง เรือน้อยลอยน้ำ ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน 4 จันทร์ พุธ ศุกร์ ดอกไม้งามตา กระต่ายน้อย ออมสินคิดสนุก ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน 5 จันทร์ พุธ ศุกร์ บ้านนี้มีรัก ปลาน้อยลอยน้ำ บอลลูนเริงรื่น ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน 6 จันทร์ พุธ ศุกร์ แอปเปิ้ลแสนอร่อย แตงโมแปลงร่าง องุ่นนางฟ้า ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน 7 จันทร์ พุธ ศุกร์ ผลไม้ที่รัก แคนตาลูปว่ายน้ำ ผีเสื้อแสนสวย ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน 6 จันทร์ พุธ ศุกร์ สับปะรดเต้นระบำ บ้านแสนรัก ผลไม้สานสัมพันธ์ ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน ตำรำงที่ 3.1 กำรจัดกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์ที่ใช้ในกำรทดลองกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ทักษะ พื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ 4. น ำแผนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์คณิตศำสตร์ด้ำนมิติ สัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้เสนอต่ออำจำรย์ที่ปรึกษำเพื่อปรับปรุงแก้ไข 5. น ำแผนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์คณิตศำสตร์ด้ำนมิติ สัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้เสนอต ่อผู้เชี ่ยวชำญด้ำนปฐมวัยจ ำนวน 3 ท่ำน เพื่อพิจำรณำตรวจสอบควำมเหมำะ


62 คุณครูปุณยาพร อำนวย ครูปฐมวัย โรงเรียนเทศบำล 10 อนุบำลหนูดี คุณครูบัวเงิน ศรีเงิน ครูปฐมวัย โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรัญญา ศรีบัว อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมและสอดคล้องขององค์ประกอบของแผนการจัด กิจกรรมตามจุดประสงค์แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาลงความ คิดเห็น โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ (สุวิมล ติรกานนท์, 2549 :148 ให้คะแนน + 1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม และสอดคล้องกัน ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสม และสอดคล้อง ให้คะแนน – 1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแผนการจัดกิจกรรมนั้นไม่มีความเหมาะสม และไม่สอดคล้องกัน จำกนั้นน ำคะแนนที ่ได้จำกผู้เชี ่ยวชำญค ำนวณหำดัชนี ( Index of Item Objective Congruence : IOC) ได้ค่ำดัชนีควำมสอดคล้องเท่ำกับ 1.00 ทุกองค์ประกอบ แสดงว่ำองค์ประกอบ ในแผนชุดกิจกรรมคณิตศำสตร์มีควำมสอดคล้องกัน


63 6. น ำแผนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์คณิตศำสตร์ด้ำนมิติ สัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วน ำเสนอต่ออำจำรย์ที่ปรึกษำ เพื่อตรวจสอบควำมถูกต้องอีกครั้ง 7. น ำแผนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์คณิตศำสตร์ด้ำนมิติ สัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ที่แก้ไขปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่ำงแล้วน ำมำปรับปรุงแก้ไข จำกนั้นน ำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่ำงตำมเนื้อหำที่ก ำหนดต่อไป โดยขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้าง ตามลำดับดังแสดงใน ภาพที่ 2 ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและตำราที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทักษะ พื้นฐานทางคณิตศาสตร์คณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ ดำเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้จำนวน 18 แผน โดยมีแผนการ จัดกิจกรรม 1 แผนใช้ในการจัดกิจกรรม 1 วัน โดยมีระยะเวลาในการจัดกิจกรรม 6 สัปดาห์ สัปดาห์ ละ 3 วัน ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ในกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ที่สอดคล้องกับหน่วยการจัด ประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์ นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์คณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไข นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์คณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัยจำนวน 3 ท่าน เพื่อ พิจารณาตรวจสอบความเหมาะสม นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์คณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ที่ปรับปรุงแก้ไข แล้วนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง


64 2.2 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ 1. ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 เนื้อหา วัตถุประสงค์และเอกสารที่ เกี่ยวข้องกับแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย ของ วรางคณา เครือพิลา (2558) บานเย็น ชุมภู (2556) นพรัตน์ นามบุญมี (2556) 2. กำหนดประเด็น และเกณฑ์การให้คะแนนแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย เป็นข้อสอบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 2 หรือ 3 ตัวเลือก โดยมีขอบเขต ดังนี้ - ด้ำนกำรจ ำแนกควำมเหมือนควำมต่ำง จ ำนวน 10 ข้อ - ด้ำนกำรต่อเข้ำด้วยกัน จ ำนวน 10 ข้อ - ด้ำนต ำแหน่งของสิ่งต่ำงๆที่สัมพันธ์กัน จ ำนวน 10 ข้อ 3. กำหนดเกณฑ์การวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ดังนี้ เกณฑ์การให้คะแนนการทำแบบทดสอบ 1 หมายถึง เมื่อเด็กทำถูก 0 หมายถึง เมื่อเด็กทำผิด 4. นำแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยเสนอต่อ อาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไข 5. นำแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยให้ ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน พิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง ความตรงของเนื้อหาและสอดคล้องกับ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย แล้วลงความเห็น ดังนี้ (สุวิมล ติร กานันท์. 2549: 148) คุณครูปุณยาพร อำนวย ครูปฐมวัย โรงเรียนเทศบำล 10 อนุบำลหนูดี คุณครูบัวเงิน ศรีเงิน ครูปฐมวัย โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี นำแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์คณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ที่แก้ไขปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่างแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข จากนั้นนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างตามเนื้อหาที่กำหนดต่อไป ภาพที่ 2 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์


65 ผู้ช่วยศาสตราจารย์วรัญญา ศรีบัว อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมและสอดคล้องขององค์ประกอบของแบบทดสอบตามเนื้อหา แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาลงคงความคิดเห็น โดยมีเกณฑ์การให้ คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน + 1 เมื่อเห็นว่าข้อสอบมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัย ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัย ให้คะแนน – 1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรของเด็กปฐมวัย จากนั้นนำคะแนนที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญมาคำนวณหาดัชนีความสอดคล้อง (Index of Item Objective Congruence : IOC) ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ 6. นำแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย ไปทดลอง กับเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง (Try out) จำนวน 35 คน แล้วนำคะแนนที่ได้มีวิเคราะห์ มีค่าความยากง่าย (p) อยู่ในช่วง 0.50-0.65 มีค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.36-0.84 และค่า ความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.94 7. นำแบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ปรับปรุง แก้ไขแล้วไปใช้เก็บข้อมูลกับเด็กปฐมวัยที่เป็นกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล กำรวิจัยในครั้งนี้เป็นกำรวิจัยที ่มีแบบแผนกำรวิจัยเชิงกึ ่งทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design (ล้วน สำยยศ และอังคณำ สำยยศ. 2538: 248-249) มีลักษณะกำร ทดลองดังภำพที่ 3 กลุ่ม ทดสอบก่อนเรียน ทดลอง ทดสอบหลังเรียน กลุ่มตัวอย่ำง O1 X O2


66 เมื่อ O1 แทน กำรทดสอบก่อนเรียน (Pretest) O2 แทน กำรทดสอบหลังเรียน (Posttest) X แทน กำรจัดกิจกรรมโดยใช้แบบทดสอบ ภำพที่ 3 รูปแบบกำรทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design กำรวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยด ำเนินกำรทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมก่อนกำรทดลอง 1.1 เตรียมกลุ่มตัวอย่ำง โดยกำรจัดท ำบัญชีรำยชื่อนักเรียน จัดท ำตำรำงก ำหนด วันเวลำในกำรทดลอง พร้อมทั้งท ำเรื่องขออนุญำตทำงโรงเรียน 1.2 จัดเตรียมสถำนที่และเครื่องมือในกำรทดลอง 1.3 ผู้วิจัยแนะน ำกลุ่มตัวอย่ำงเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในกำรเรียนด้วยแบบทดสอบ โดย กำรน ำแบบทดสอบเรื่องอื่นมำให้กลุ่มตัวอย่ำงทดลองเรียนก่อน โดยใช้เวลำในกำรแนะน ำเด็กปฐมวัย ประมำณ 15-20 นำที 2. ขั้นด ำเนินกำรทดลอง 2.1 ผู้วิจัยท ำกำรทดสอบโดยใช้แบบทดสอบทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยกลุ่มตัวอย่ำงก่อนกำรท ำกิจกรรม 2.2 ท ำกำรทดลองกำรจัดกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้โดยใช้กิจกรรม กับกลุ่มตัวอย่ำง จ ำนวน 18 กิจกรรม กิจกรรมละ 3 วัน เป็นเวลำ 8 สัปดำห์ วันจันทร์ วันพุธ และวัน ศุกร์ รวม 24 แผน 2.3 ผู้วิจัยท ำกำรทดสอบโดยใช้แบบทดสอบทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยฉบับเดิมให้เด็กกลุ่มตัวอย่ำงทดลองทดสอบหลังกำรจัดกิจกรรม 2.4 น ำคะแนนไปวิเครำะห์ 4. การวิเคราะห์ข้อมูล กำรวิเครำะห์ข้อมูล ผู้ศึกษำวิเครำะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส ำเร็จรูป โดย ด ำเนินกำรวิเครำะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. ผลกำรวิเครำะห์ทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับกำร จัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ 2. ผลกำรวิเครำะห์เปรียบเทียบทักษะพื้นฐำนคณิตศำสตร์ระหว ่ำงก่อนและหลังกำรจัด กิจกรรมที่ได้รับโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ของเด็กปฐมวัย


67 5. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล กำรวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้สถิติในกำรวิเครำะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบเครื่องมือ 1.1 หำค่ำควำมตรงรำยข้อของแบบสังเกตโดยใช้ผู้เชี่ยวชำญ เรียกว่ำดัชนีควำม สอดคล้อง (IOC : Index of Item Objective Congruence) เป็นควำมสอดคล้องระหว่ำงข้อค ำถำม กับจุดประสงค์ โดยอำศัยควำมคิดเห็นของผู้เชี่ยวชำญเป็นหลัก มีสูตรในกำรค ำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 153) R IOC N = เมื่อ IOC แทน ดัชนีควำมสอดคล้องระหว่ำงข้อค ำถำมกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมควำมคิดเห็นของผู้เชี่ยวชำญทุกคน N แทน จ ำนวนผู้เชี่ยวชำญทั้งหมด 1.2 กำรหำค่ำควำมยำก (P) ของข้อสอบแต่ละข้อโดยค ำนวณ จำกสูตรของ (นฤมล แสงพรม, 2563, หน้ำ 154-156) P = R N เมื่อ P แทน ค่ำควำมยำกของข้อสอบ R แทน จ ำนวนคนตอบถูก N แทน จ ำนวนคนทั้งหมด 1.3 หำค ่ำอ ำนำจจ ำแนก (Discrimination) ของแบบทดสอบวัดควำมสำมำรถ กำรใช้กล้ำมเนื้อเล็กของเด็กปฐมวัย โดยใช้สูตรของ Brennan (นฤมล แสงพรม, 2563, หน้ำ 154- 156) สูตร B= B N1 − U N2 เมื่อ B แทน ดัชนีค่ำอ ำนำจจ ำแนกของข้อสอบแบบอิงเกณฑ์ U แทน จ ำนวนผู้เรียนที่ตอบถูกของกลุ่มที่สอบผ่ำนเกณฑ์ L แทน จ ำนวนผู้เรียนที่ตอบถูกของกลุ่มที่สอบไม่ผ่ำนเกณฑ์


68 N1 แทน จ ำนวนผู้เรียนที่สอบผ่ำนเกณฑ์ N2 แทน จ ำนวนผู้เรียนที่สอบไม่ผ่ำนเกณฑ์ เกณฑ์ในกำรพิจำรณำค่ำอ ำนำจจ ำแนก ค่ำอ ำนำจจ ำแนกมีค่ำตั้งแต่ -1.00 ถึง +1.00 ข้อสอบ ที่ดีควรมีค่ำอ ำนำจจ ำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป ส่วนค่ำอื่นๆ มีควำมหมำย ดังนี้ 0.40 < B < 1.00 แสดงว่ำ จ ำแนกได้ดี เป็นข้อสอบที่ดี 0.30 < B < 0.39 แสดงว่ำ จ ำแนกได้เป็นข้อสอบที่ดีพอสมควรอำจต้องปรับปรุงบ้ำง 0.20 < B <0.29 แสดงว่ำ จ ำแนกพอดี แต่ต้องปรับปรุง -1.00 < B < 0.19 แสดงว่ำ ไม่สำมำรถจ ำแนกได้ หรือต้องตัดทิ้ง 1.4 หำค ่ำควำมเชื ่อมั ่น (Reliabilty) ของแบบทดสอบวัดควำมสำมำรถในกำรใช้ กล้ำมเนื้อเล็กของเด็กปฐมวัย โดยวิธีของ Kuder & Richardson (KR – 20) (นฤมล แสงพรม, 2563, หน้ำ 154-156) tt r = 2 k pq 1 - k -1 S เมื่อ tt r แทน ค่ำควำมเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ p แทน ค่ำควำมยำกของข้อสอบแต่ละข้อ q แทน สัดส่วนค่ำควำมยำกแต่ละข้อ (q = 1 - p) S 2 แทน ค่ำควำมแปรปรวนของคะแนนรวม k แทน จ ำนวนข้อสอบในแบบทดสอบ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2.1 ค่ำเฉลี่ย ( X ) มีสูตรในกำรค ำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 213) X X = n เมื่อ X แทน ค่ำเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่ำง X แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน n แทน จ ำนวนกลุ่มตัวอย่ำง


69 2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (S) มีสูตรในกำรค ำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 225) n X - X ( ) S = n(n - ) 2 2 1 เมื่อ S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน X แทน ข้อมูลแต่ละค่ำของกลุ่มตัวอย่ำง X แทน ค่ำเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่ำง n แทน จ ำนวนกลุ่มตัวอย่ำง 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน เปรียบเทียบคะแนนผลกำรทดสอบทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ ของเด็กปฐมวัยก่อนเรียน (Pre-test) กับหลังเรียน (Post-test) ของกลุ่มตัวอย่ำง โดยใช้ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) มีสูตรในกำรค ำนวณ ดังนี้ (นฤมล แสงพรหม. 2563 : 244) D t = n D - ( D ) n - 2 2 1 , df = n - 1 เมื่อ t แทน ค่ำสถิติที่จะใช้เปรียบเทียบกับค่ำวิกฤตเพื่อทรำบ ควำมมีนัยส ำคัญ D แทน ผลต่ำงระหว่ำงคู่คะแนน n แทน จ ำนวนกลุ่มตัวอย่ำงหรือจ ำนวนคู่คะแนน


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ส ำหรับกำรวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยก ำหนดสัญลักษณ์และอักษรย่อที่ใช้ในกำรวิเครำะห์และแปรข้อมูล ดังนี้ N แทน จ ำนวนเด็กปฐมวัยในกลุ่มตัวอย่ำง ̅แทน ค่ำเฉลี่ย S.D. แทน ควำมเบี่ยงเบนมำตรฐำน t แทน ค่ำสถิติพื้นฐำนใน t-distribution การวิเคราะห์ข้อมูล กำรวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้เสนอผลกำรวิเครำะห์ข้อมูลตำมล ำดับ ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลกำรวิเครำะห์กำรศึกษำทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็ก ปฐมวัยที่ได้รับกำรจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ ตอนที่ 2 ผลกำรวิเครำะห์เปรียบเทียบทักษะพื้นฐำนคณิตศำสตร์ระหว่ำงก่อนและหลังกำรจัด กิจกรรมที่ได้รับโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ของเด็กปฐมวัย ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลกำรวิเครำะห์กำรศึกษำทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็ก ปฐมวัยที่ได้รับกำรจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ ประสิทธิภำพของกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ เพื่อพัฒนำทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย โดยน ำคะแนนระหว่ำงเรียนและคะแนนหลังเรียนมำวิเครำะห์ปรำกฏผลดัง ตำรำงที่ 4.1


71 ตารางที่ 4.1 ผลกำรวิเครำะห์ทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ ได้รับกำรจัดกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้โดยน ำคะแนนก่อนเรียนและคะแนนหลังเรียนมำวิเครำะห์ ปรำกฏผลดังตำรำง ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ N คะแนนก่อน กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์จากผลไม้ คะแนนหลังกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ จากผลไม้ ̅ S.D. ̅ S.D. ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง 35 5.40 0.50 9.06 0.80 ด้านการต่อเข้าด้วยกัน 35 5.43 0.50 9.20 0.76 ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน 35 5.49 0.51 9.06 0.76 จากตารางที่ 4.1 ผลการทดสอบความแตกต่างการเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม จำแนกเป็น 3 ด้าน พบว่า ด้านการจำแนกความเหมือนความต่าง พบว่า คะแนนหลังทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ สูงกว่าก่อนการได้รับการจัดกิจกรรม ซึ่งมีคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้คะแนน เฉลี่ย เท่ากับ 5.40 และหลังการจัดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ย 9.06 คะแนนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียน เท่ากับ 0.50 และการจัดกิจกรรม เท่ากับ 0.80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านการต่อเข้าด้วยกัน พบว่า คะแนนหลังทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้สูงก่อนการได้รับ การจัดกิจกรรม ซึ่งมีคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 5.43 และหลังการจัดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ย 9.20 คะแนนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียนเท่ากับ 0.50 และ หลังการจัดกิจกรรม เท่ากับ 0.76 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านตำแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน พบว่าคะแนนหลังทำกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ สูงก่อนการได้รับการจัดกิจกรรมซึ่งมีคะแนนก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้คะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 5.49 และหลังการจัดกิจกรรมมีคะแนนเฉลี่ย 9.06 คะแนนส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานก่อนเรียน เท่ากับ 0.51 และหลังการจัดกิจกรรม เท่ากับ 0.76 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตารางที่ 4.2 ประสิทธิภำพของกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ เพื่อพัฒนำทักษะพื้นฐำนทำง คณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย คะแนน คะแนนเต็ม ̅ S.D. ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียน หลังเรียน 30 30 16.31 27.31 0.87 1.53 54.40 91.00


72 จำกตำรำงที่ 4.2 พบว่ำ คะแนนเฉลี่ยระหว่ำงเรียนมีค่ำเท่ำกับ 16.31 คิดเป็นร้อยละ 54.40 และ คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่ำเท่ำกับ 27.31 คิดเป็นร้อยละ 91.00 ซึ่งแสดงว่ำ กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำก ผลไม้ เพื่อพัฒนำทักษะพื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยหลังกำรจัดกิจกรรมสูงกว่ำ ก่อนกำรจัดกิจกรรม ตอนที่ 2 ผลกำรวิเครำะห์เปรียบเทียบทักษะพื้นฐำนคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ระหว่ำงก่อน และหลังกำรจัดกิจกรรมที่ได้รับโดยใช้ศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ของเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยได้วิเครำะห์เปรียบเทียบทักษะพื้นฐำนคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์ระหว่ำงก่อนและหลัง กำรจัดกิจกรรมที่ได้รับโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้ของเด็กปฐมวัยโดยน ำคะแนนก่อนเรียน และคะแนนหลังเรียนมำวิเครำะห์ ปรำกฏผลดังตำรำงที่ 4.3 การทดสอบ N ̅ S.D. t ก่อนการจัดกิจกรรม 35 16.31 0.87 หลังจัดกิจกรรม 35 27.31 1.53 จำกตำรำงที่ 4.3 พบว่ำ เด็กปฐมวัยที่ได้รับกิจกรรมศิลปะสร้ำงสรรค์จำกผลไม้มีคะแนนทักษะ พื้นฐำนทำงคณิตศำสตร์ด้ำนมิติสัมพันธ์หลังกำรจัดกิจกรรมสูงกว ่ำก ่อนกำรจัดกิจกรรม ก ่อนกำรจัด กิจกรรมมีคะแนนเฉลี ่ย เท ่ำกับ 16.31 และหลังกำรจัดกิจกรรมมีคะแนน เท ่ำกับ 27.31 คะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนก่อนเรียน เท่ำกับ 0.87 และหลังกำรจัดกิจกรรม เท่ำกับ 1.53 อย่ำงมีนัยส ำคัญ ทำงสถิติที่ระดับ .05 37.95*


บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนา ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์โดยใช้กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี โดยใช้กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์ ซึ่งมีขั้นตอนการน าเสนอผลดังนี้ 1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2. สมมติฐานการวิจัย 3. วิธีการด าเนินการวิจัย 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สรุปผลการวิจัย 7. การอภิปรายผล 8. ข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื ่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ สมมติฐานการวิจัย เด็กปฐมวัย หลังได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้มีทักษะพื้นฐาน ทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้


74 วิธีการด าเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลที่ 3/3 โรงเรียนเทศบาล 10 อนุบาลหนูดี สังกัดส านักงานเทศบาลนครอุดรธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 104 คน จากห้องเรียน จ านวน 3 ห้อง 1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลที่ 3/3 โรงเรียนเทศบาล 10 อน ุบ าลหนูดี สังกัดส านักง านเทศบ าลนครอ ุด รธ านี ภ าคเ รียนที ่ 2 ปีก า รศึกษ า 2566 จ านวน 35 คน จากห้องเรียน จ านวน 3 ห้อง ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบ เจาะจง Purposive Sampling 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยเครื่องมือ 2 ชนิด ได้แก่ 2.1 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ จ านวน 24 แผน แผนละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 แผน รวม 8 สัปดาห์ 2.2 แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย ด้านการจ าแนกความเหมือนความต่าง ด้านการต่อเข้าด้วยกัน และด้านต าแหน่งของสิ่ง ต่างๆที่สัมพันธ์กัน การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยด าเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมก่อนการทดลอง 1.1 เตรียมกลุ่มตัวอย่าง โดยการจัดท าบัญชีรายชื่อนักเรียน จัดท าตารางก าหนดวัน เวลาในการทดลอง พร้อมทั้งท าเรื่องขออนุญาตทางโรงเรียน 1.2 จัดเตรียมสถานที่และเครื่องมือในการทดลอง 1.3 ผู้วิจัยแนะน ากลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติในการเรียนด้วยแบบทดสอบ โดยการ น าแบบทดสอบเรื ่องอื ่นมาให้กลุ ่มตัวอย ่างทดลองเรียนก ่อน โดยใช้เวลาในการแนะน าเด็กปฐมวัย ประมาณ 15-20 นาที


75 2. ขั้นด าเนินการทดลอง 2.1 ผู้วิจัยท าการทดสอบโดยใช้แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยกลุ่มตัวอย่างก่อนการท ากิจกรรม 2.2 ท าการทดลองการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้โดยใช้กิจกรรม กับกลุ่มตัวอย่าง จ านวน 18 กิจกรรม กิจกรรมละ 3 วัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ รวม 24 แผน 2.3 ผู้วิจัยท าการทดสอบโดยใช้แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยฉบับเดิมให้เด็กกลุ่มตัวอย่างทดลองทดสอบหลังการจัดกิจกรรม การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูป โดยด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. น าคะแนนก่อนการทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย และหลังได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้มาท าการวิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2. น าคะแนนการทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยก่อน เรียนและหลังเรียนมาวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็ก ปฐมวัยก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples t-test) สรุปผลการวิจัย 1. เด็กปฐมวัยที ่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยที ่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้ศิลปะ สร้างสรรค์จากผลไม้ พบว่า โดยรวมมีการเปลี่ยนสูงและเมื่อจ าแนกเป็นรายด้านพบว่า ด้านการจ าแนก ความเหมือนความต่างคิดเป็นร้อยละ 90.60 และ ด้านต าแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน คิดเป็นร้อยละ 90.60 มาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ด้านการต่อเข้าด้วยกันคิดเป็นร้อยละ 92.00 ตามล าดับ มีคะแนน เฉลี่ยทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ ก่อนเรียนเท่ากับ 16.31 คะแนน หลังเรียนเท่ากับ 27.31 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน ซึ่งมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน


76 2. ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ ที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์จากผลไม้ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที ่ 3 มีคะแนนทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การอภิปรายผล การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ก่อน และหลังการท ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้และเพื ่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยในการท ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ ผลการวิจัยพบว่า 1. เด็กปฐมวัยที ่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยที ่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้ศิลปะ สร้างสรรค์จากผลไม้ พบว ่า โดยรวมมีการเปลี ่ยนแปลงสูงและเมื ่อจ าแนกเป็นรายด้านพบว่า ด้านการจ าแนกความเหมือนความต่างคิดเป็นร้อยละ 90.60 และ ด้านต าแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน คิดเป็นร้อยละ 90.60 มาเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ด้านการต ่อเข้าด้วยกันคิดเป็นร้อยละ 92.00 ตามล าดับ มีคะแนนเฉลี่ยทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ ก่อนเรียนเท่ากับ 16.31 คะแนน หลังเรียนเท่ากับ 27.31 คะแนน จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน ซึ่งมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้สามารถอภิปรายได้ดังนี้ 1.1 ด้านการจ าแนกความเหมือนความต่าง คิดเป็นร้อยละ 90.60 ในขณะที่เด็กท ากิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้ผลไม้ ในช่วงแรกเด็กจะไม่ได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ใน การท ากิจกรรมซึ่งวัสดุอุปกรณ์มีความแตกต่างกัน ทั้งชนิด สี ลักษณะ ขนาด สี รูปร่าง รายละเอียดของ วัสดุอุปกรณ์ที่มีความแตกต่างกันให้สามารถน ามาจ าแนกความเหมือนความแตกต่างกัน จนกระทั้งเด็กได้ ท ากิจกรรมซ ้าๆในสัปดาห์ที ่ 4 ท าให้เด็กมีความสามารถในการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์มากยิ ่งขึ้น ซึ ่งเด็กสามารถจ าแนกความเหมือนความต ่างของวัสดุอุปกรณ์เพื ่อให้การท ากิจกรรมของเด็กประสบ ความส าเร็จ จึงท าให้มีคะแนนที่สูงขึ้น สอดคล้องกับแนวคิด นพรัตน์ นามบุญมี (2556) กล่าวว่า ผู้เรียนที่ ได้รับการพัฒนาความสามารถในจินตนาการ ท าให้เด็กมองเห็นการเปรียบเทียบ การแปลง การจ าแนก และการคิดอย่างอิสระ การท าความเข้าใจสิ่งที่เป็นพื้นฐาน หรือโครงสร้าง เด็กสามารถถ่ายโยงระหว่าง กิจกรรมที่กระท าไปสู่ความนึกคิดในการสังเกต ความเหมือนความต่างของพืชผักผลไม้ จ าแนก รูปร่าง รูปทรง สี ขนาด ผิวสัมผัส ของผลไม้และอุปกรณ์เมื่อหยิบผลไม้มาสร้างสรรค์ผลงานด้วยการต่อเข้าด้วยกัน แยกออกจากกันและหาความสัมพันธ์ของต าแหน ่งของสิ ่งที ่สร้างสรรค์ขึ้น และสอดคล้องกับงานวิจัย คันธรส วงศ์ศักดิ์ (2553) ที่ท าการทดลองความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด


77 กิจกรรมศิลปะประดิษฐ์โดยใช้พืชผักผลไม้ ซึ่งเด็กได้พัฒนาทักษะด้านการจ าแนกความเหมือนความต ่าง ในการสังเกต จ าแนกความเหมือนความต่าง รูปร่าง ขนาด สี ของพืชผักผลไม้แต่ละชนิดได้ ผลการวิจัย พบว่า เด็กได้รับการพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านการจ าแนกความเหมือน ความต่าง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองที่ระดับนัยส าคัญ .05 1.2 ด้านการต่อเข้าด้วยกัน คิดเป็นร้อยละ 92.00 ในขณะที่เด็กได้ท ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จากผลไม้ เด็กจะเกิดการลองผิดลองถูกน าวัสดุต่างๆมาต่อเข้าด้วยกันได้ เด็กใช้เวลานานในการเลือกหยิบ จับวัสดุอุปกรณ์ จ าแนกชนิด สี ลักษณะ ขนาด สี รูปร ่าง ตัดสินใจและแก้ปัญหาต ่างๆด้วยตนเอง เสร็จแล้วน าวัสดุตกแต ่งให้สวยงาม ช ่วงสัปดาห์ต ่อมาเด็กใช้เวลาในการท ากิจกรรมที ่ใช้เวลาน้อยลง ความสามารถในการน าวัสดุที ่มีรูปร ่างรูปทรง สี และขนาดต่างๆ มาใช้ในการสร้างงาน หรือประกอบ ชิ้นส่วนต่างๆเข้าด้วยกัน หรือน าเค้าโครง ชิ้นส่วนต่างๆ มาต่อเข้าด้วยกันผ่านการลงมือปฏิบัติ ท าให้มี คะแนนที่สูงขึ้นและสามารถปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ชวลิต ดาบแก้ว (2533) กล่าวว่า เด็กจะเรียนรู้ลองผิดลองถูกจากการเลือกหยิบดินเหนียว ในแต่ละวันเด็กจะพิจารณาเลือกขนาดดินเหนียว สังเกต ได้จ าแนกวัสดุจากการมองเห็น ด้วยตนเอง ในการคิดจินตนาการออกแบบผลงานว่าควรต่อเข้า หรือแยกออกอยู ่ในต าแหน่งใดหรือทิศทางใด เด็กเกิดการเรียนรู้เรื่องความเหมือนความต่างของวัตถุ การวางวัตถุให้เข้ากับต าแหน่งให้สัมพันธ์กัน และการใช้วัสดุต่อเข้าแยกส่วนออกให้เป็นรูปร่างทรงมิติ และสอดคล้องกับงานวิจัยของ สนธิยา โกมลเปริน (2554) ที่ท าการทดลองความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เปเปอร์มาร์เช่ด้านการต่อเข้าด้วยกัน การแยก ออกจากกันของวัตถุนั้น ผลการวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เปเปอร์มาร์เช่ ด้านการต ่อเข้าด้วยกันผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการทดลองสูงกว ่าก ่อนการทดลองที ่ระดับ นัยส าคัญ .05 1.3 ด้านต าแหน่งของสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน คิดเป็นร้อยละ 92.00 ในขณะที่เด็กปฏิบัติกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ ในช่วงแรกเด็กยังไม่สามารถแยกแยะลักษณะต่างๆ ของผลไม้ได้ ซึ่งผลไม้บาง ชนิดมีความแข็งและผลไม้บางชนิดมีผิวสัมผัสที่อ่อน ท าให้ระยะแรกเด็กไม่สามารถน าผลไม้ต่างๆมาจัดวาง วัสดุต่างๆที่มีจุดเชื่อต่อให้สัมพันธ์กันได้ และในสัปดาห์ต่อมาเด็กได้เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ เลือกใช้ผลไม้ผ่าน ประสาทสัมผัสทั้งห้า ท าให้เด็กสามารถน าผลงานมาจัดวาง ซึ่งสอดคล้องกับเพียเจต์และอินเฮลเดอร์ (วรว รรณ เหมชะญาติ. 2536: 31-33; อ้างอิงจาก Piaget; & Inhelder) ที่กล่าวว่า ความสนใจระดับการรับรู้ จากการคิดมโนภาพนี้ เป็นระดับที ่อาศัยกระบวนการคิดนอกเหนือไปจากการรับรู้ทางกายภาพจาก ประสาทสัมผัสทั้งห้า การรับรู้จากการคิดมโนภาพ การลงมือกระท ามีความเชื ่อมโยงกันอย ่างยิ ่งกับ


78 ประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของ พิทักษ์ชาติ สุวรรณไตรย์ (2544:48-50) ได้กล่าว่า เด็กเกิดการเรียนรู้ เปรียบเสมือนการที่ เด็กได้เล่น ซึ่งเด็กได้ลงมือสัมผัส สามารถเล่นได้ด้วย ตนเองมีความเพลิดเพลินขณะเล่น ผลการศึกษาพบว่า ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยหลัง การจัดกิจกรรมนอกชั้นเรียนสูงขึ้น เมื ่อจ าแนกรายด้าน พบว ่า ความสามารถทางมิติสัมพันธ์ ด้านการจ าแนก ความเหมือนความแตกต่างของวัตถุ และการบอกต าแหน่งของวัตถุที่ สัมพันธ์กับต าแหน่ง ของตนเองมีความแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงส่งผลให้ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้ผักผลไม้มีพัฒนาการสูงขึ้น เช่น การที่เด็กต่อเป็น รูปร่างท าให้เด็กได้เกิดจินตนาการในรูปแบบของรูปทรงเรขาคณิตมาต่อเข้าด้วยกันและแยกออกจากกัน หาความสัมพันธ์ของต าแหน่งของสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยการขึ้นรูป ผ่านการสังเกตเด็กได้ใช้ความคิดในการจัด วางวัสดุในต าแหน่งต่างๆที่มีความสัมพันธ์กัน จึงท าให้มีคะแนนที่สูงขึ้น 2. ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ ที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์จากผลไม้ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 มีคะแนนทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์ หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไป ตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ ท าให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยใช้ ลักษณะต่างๆในการสร้างสรรค์ผลงาน เช่น การใช้แม่พิมพ์รูปทรงเรขาคณิต การใช้ไม้จิ้มฟันในการต่อเข้า ด้วยกัน ท าให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า ในการสังเกต การฟังค าอธิบายในการท ากิจกรรม การดมกลิ่น ของผลไม้แบบต่างๆ ที่มีลักษณะต่างกัน ใช้มือในการกดทับลงแม่พิมพ์ให้ได้รูปทรงเรขาคณิตและสุดท้าย ในการท ากิจกรรมแล้วเสร็จเด็กได้ชิมรสชาติของผลไม้แบบต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ (มณีนุช ไวท ยะชาติ 2554) กล่าวว่า ส ่งเสริมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดีโดยการสัมผัสกับสื่อที่เป็น รูปทรงเรขาคณิตรูปวงกลม สี่เหลี่ยมผืนผ้ารูป สีเหลี่ยมรูปอิฐบล็อก รูปวงกลม รูปทรงกระบอก ฯลฯ เป็นการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม เพราะสื่อของเล่นจะเป็นตัวกลางท าหน้าที่เชื่อมให้เข้าใจทางด้านมิติสัมพันธ์ ด้านความเหมือนความต่าง ด้านสิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน ด้านการแยกออกจากกัน ซึ่งการจัดการเรียนการที่ดี นั้นจ าเป็นต้องมีสื่อเข้ามาช่วยสอน จะท าให้ครูผู้สอนประสบความส าเร็จง่ายยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับ งานวิจัยของ ประพิมพ์พักตร์ พละพงศ์ (2550) ได้วิจัย ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยใน การท ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยกระดาษเส้น ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็ก ปฐมวัยหลังการทดลองท ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยกระดาษเส้นโดยรวมสูงขึ้นอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .05


79 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะส าหรับการน าไปใช้ 1.1 การส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย โดยใช้กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ ไม่ปิดกั้นความคิดและความสามารถของเด็ก เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ของตนเองอย ่างเต็มที ่ โดยพยายามขจัดอุปสรรคหรือข้อจ ากัดต ่างๆที ่มีต่อ ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กให้น้อยลง 1.2 ควรจัดจัดกิจกรรมที ่มีหลากหลายรูปแบบทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ให้ผู้เรียนได้สัมผัสกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่เป็นจริง เช่น บรรยากาศท้องฟ้า พื้นผิวต้นไม้ ดอกไม้ เสียงนก เสียงแมลง อาคารเรียน เป็นต้น เพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการรับรู้จากการสัมผัส ส่งเสริมความสามารถของตัวเด็ก 1.3 กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยจากผลไม้ในการท างานต้องมีการใช้วัสดุที่มีความหลากหลาย และยังมีวัสดุบางชนิดที ่อาจเกิดอันตราย เช ่น มีด แม ่พิมพ์ ไม้จิ้มฟัน ที ่อาจจะท าให้บาดมือเด็กได้ ครูควรดูแลและอธิบายในการใช้วัสดุอุปกรณ์อย ่างละเอียด เพื ่อความปลอดภัยของเด็กในขณะที่ ท ากิจกรรม 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรท าการวิจัยโดยน าชุดกิจกรรมอื่นๆมาปรับใช้เพื่อพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ในระยะยาวสามารถปรับใช้ในระดับชั้นอื่นๆ 2.2 ควรศึกงานเอกสาร แนวทางการจัดกิจกรรมโดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์จากผลไม้ที่ พัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์หลายๆ เรื่อง หลายๆรูปแบบ


บรรณานุกรม


81 บรรณานุกรม กชพรรณ ยังมี (2562). ปฏิสัมพันธ์ของรูปแบบเกมแอปพลิเคชันกับการเรียนรู้ทางศิลปะและมิติ สัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย. ปริญญาศิลปกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาศิลปะและการ ออกแบบ มหาวิทยาลัยนเรศวร. กุลชาติ พันธุวรกุล. (2563). การจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุเหลือใช้เพื่อส่งเสริมทักษะ ทางสังคมของเด็กวัยอนุบาล. ปริญญานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยราช ภัฎวไลยอลงกรณ์ในพระบรมราชูปถัมภ์. กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2550). แผนกิจกรรมการเรียนรู้ระดับอนุบาลศึกษาแบบจิตปัญญา กรุงเทพฯ: เบรนเบส บุ๊คส์ เก้าเอี้ยน. (2556). ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้แนวคิดของวิลเลียมส์ ที่มีต่อ ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย. วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ. กฤษณา รักนุช (2560). การพัฒนาชุดกิจกรรมสร้างสรรค์ตามแนวคิดของ Gesell เพื่อ พัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของนักเรียนระดับปฐมวัย . มหาวิทยาลัยธุรกิจ บัณฑิตย์/กรุงเทพมหานคร. คันธรส วงศ์ศักดิ์(2553). ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะ ประดิษฐ์โดยใช้พืชผักผลไม้. ปริญญาบิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยศรีนคริมทรวิโรต. จิตรวรรณ ประจุดทะเนย์ (2557). การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริม ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ ส าหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2. ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฎบุรีรัมย์. จรรยา รอดคืน (2560). ผลการจัดกิจกรรมการเล่านิทานโดยใช้ภาพประกอบสามมิติที่มีต่อ ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยโรงเรียนอนุบาลศรอารีย์ จังหวัดระยอง. ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตแขนงวิชาหลักสูตรและการสอน สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ชวลิต ดาบแก้ว. (2533). หนังสือเสริมความรู้และอ่านเพิ่มเติมกลุ่มสร้างเสริมลักษณะนิสัยศิลปศึกษา. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช.


82 ถนอมรัตน์ ประสิทธิเมตต์(2557). พัฒนาการเด็กปฐมวัยไทย เขตบริการสุขภาพที่ 4. ศูนย์อนามัยที่ 2 สระบุรี. นิดาวรรณ ทองไทย (2562). ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที่ สอดคล้องกับชีวิตจริงร่วมกับความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ที่มีต่อทักษะการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ในโรงเรียนขนาดเล็ก. ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอนคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นงเยาว์ สุนาคราช. (2556). การพัฒนาพฤติกรรมด้านสัมพันธภาพทางสังคมของเด็กอนุบาลปีที่ 1 โดยการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบร่วมมือ. ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา หลักสูตรและการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. นพรัตน์ นามบุญมี (2556). การพัฒนาความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรม สร้างสรรค์แบบร ่วมมือเทคนิคกลุ่มสืบสอบ. ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยขอนแก่น. นฤมล ไกรฤกษ (2558). การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่ 2 โดยใชกิจกรรมศิลปะ ต่างรูปแบบ โรงเรียนวัดดุสิตาราม. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการ เรียนการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี. บานเย็น ชุมภู(2556). การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรด้านมิติสัมพันธของเด็กปฐมวัยที่ ไดรับการจัดประสบการณด้วยกิจกรรมพิมพภาพจากการตัดแต่งวัสดุธรรมชาติ. ปริญญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ. บุบผา เรืองศิลป์ (2553). ผลของการจัดกิจกรรมหิถปะสร้างสรรค์ที่มีต่อทักษะการเขียนของเด็ก ปฐมวัย.วิทยานิพนธ์ค.ม. (สาขาการวิชาการศึกษาปฐมวัย) เพชรบุรีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี. เบญจา สนธยานาวิน (2556). ผลการจัดประสบการณ์ทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ในชุมชนบ้านวังลาน ที่มีผลต่อความสามารถด้านมิติสัมพันธ์และพฤติกรรมร่วมมือของเด็กปฐมวัย โรงเรียนบ้านวัง ลาน จังหวดกาญจนบุรี. สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ แขนงวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. เบ็ญจภรณ์ แสนรัตนทวีสุข (2556). การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรด้านมิติสัมพันธของ เด็กปฐมวัยที่ไดรับการจัดกิจกรรมการปนดินเหนียวตามแนวการศึกษาวอลดอรฟ. ปริญญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ.


83 ปนัดดา รัตนไตรมาส (2557). ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบต่อเติมที่มีต่อ พัฒนาการด้านการเขียนของเด็กปฐมวัย. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาการศึกษา ปฐมวัย. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปิยพร บุญยะพงศ์ไชย (2557). การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้วยกิจกรรมศิลปะ ส าหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนอ านวยวิทย์ จังหวัดสมุทรปราการ. ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี. ปิยวรรณ วัฒนสืบสิน (2559). ประสิทธิผลของสารสกัดพรมมิต่อความสามารถด้านมิติสัมพันธ์และ คลื่นสมอง. ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. ประพิมพ์พักตร์พละพงศ์(2550). ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยในการท าศิลปะ สร้างสรรค์ด้วยกระดาษเส้น. วิทชานิพนธ์กศ.ม. (สาขาการวิชาการศึกษาปฐมวัย) กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร. ปริยกร จันทรักษ์ (2556). การพัฒนาความสามารถด้านศิลปะตามแนวคิดพหุปัญญาด้านมิติ สัมพันธ์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2. ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและ การสอน บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ปริยานุช พรหมร่วมแก้ว (2559). ผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เป็นกลุ่มเพื่อพัฒนา พฤติกรรมทางสังคมของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านควนเสม็ด. สังกัดส านักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 3 ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. ปริญญานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. พิทักษ์ชาติ สุวรรณไตรย์. (2544). การจัดกิจกรรมนอกชั้นเรียนเพื่อพัฒนาความสามารถด้าน มิติสัมพันธ์ส าหรับเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. เพ็ญทิพา อ่วมมณี. (2547). ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ใช้ลวดก ามะหยี่สีใน การท ากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. พรสุดา ภู่จีน (2561). การพัฒนาพฤติกรรมความร่วมมือของเด็กปฐมวัยด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์


84 โดยศิลปะจากธรรมชาติส าหรับนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนอนุบาลก าแพงเพชร. รายงาน สืบเนื่องการประชุมวิชาการระดับชาติคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏก าแพงเพชร. ภาวนา แดนดี(2559). การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็ก ปฐมวัย. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี. มณีนุช ไวทยะชาติ (2554). ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ การเล่นของเล่นรูปทรงสัมพันธ์. ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัย ศรีนครินทรวิโรฒ. มณีรัตน์ ภูทะวัง (2560). การพัฒนากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เพื่อฝึกสมาธิเด็กปฐมวัย. ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการเรียนการสอน มหาวิทยาราชภัฏมหาสารคาม. มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ (ม.ป.ป). การพัฒนาเด็กปฐมวัยในยุค 4.0. สืบค้นเมื่อ 7 ธันวาคม 2566 จาก https://fcdthailand.org/ออนไลน์ เยาวรัตน์ รัตนธรรม (2561). การเพิ่มการรับรู้ด้านมิติสัมพันธ์ และความใส่ใจของนักเรียนปฐมวัย โดยใช้กิจกรรมเคลื่อนไหวร่างกาย. วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยและสถิติทาง วิทยาการปัญญาวิทยาลัยวิทยาการวิจัยและวิทยาการปัญญา มหาวิทยาลัยบูรพา. รัฐนนท์ สว่างผล (2558). การศึกษาเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ก่อนและหลังการทดลองสอน ด้วยชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ตามแนวคิดวิธีการของอารี สุทธิพันธุ์. ปริญญานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต (Master's thesis) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิกรุงเทพฯ. รัตนพร ช้อยสามนาค (2564). การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยด้วยการจัด ประสบการณ์ศิลปะสร้างสรรค์. วารสาร“ศึกษาศาสตร์มมธ”คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัย มหาม-กุฏราชวิทยาลัย. รวิพร ผาด่าน (2557). ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์การฉีก ตัด ปะเศษวัสดุ. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชา การศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. วราภรณ์ นาคะศิร. (2546). การคิดเชิงเหตุและผลของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์โดยใช้ทรายสี. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ:บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. วรางคณา เครือพิลา (2558). ผลการเล่านิทานเสริมด้วยการพับกระดาษต่อความสามารถ


85 ด้านมิติสัมพันธ์และความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็กของเด็กปฐมวัย. ปริญญาครุศาสตรม หาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. วารินทิพย์ ศรีกุลา (2560). การใช้กิจกรรมการพับกระดาษ เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านมิติ สัมพันธ์ของเด็กปฐมวัย. ปริญญาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราช ภัฏมหาสารคาม. ศิรินันท์ รูปเทวิน (2559). การพัฒนาชุดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์โดยใช้วัสดุท้องถิ่นเพื่อพัฒนา ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ส าหรับเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์มหาบัณฑิตสาขาหลักสูตร และการจัดการเรียนรู้ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี. สุคนธ์รัตน์ ศรีอ่อน. (2559). การพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย โดยใช้กิจกรรมศิลปะประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ. ปริญญานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2551). ตัวอย่างการประเมินผลวิทยาศาสตร์ นานาชาติ: PISA และ TIMSS. กรุงเทพฯ: อรุณการพิมพ์. สนธิยา โกมลเปริน. (2554). ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์เปเปอร์มาร์เช่. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์. (2538). แนวคิดสู่แนวปฏิบัติ: แนวการจัดประสบการณ์ปฐมวัยศึกษา. (หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: ดวงกมล. ถ่ายเอกสาร. สุธีกร ทะนงไธสง. (2559). การศึกษาทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านจ านวนและพฤติกรรมทาง สังคมของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 จากการจัดประสบการณ์การเรียนรู้. (รายงานผลการวิจัย). นครราชสีมา: โรงเรียนบ้านโคกพระ. สายทอง พุ่มเกตุ (2561). การพัฒนากิจกรรมศิลปะจากวัสดุธรรมชาติที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ของเด็กปฐมวัย. ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิตสาขาวิซาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัย นเรศวร. สุภาวดี พึ่งฉิ่ง (2562). ผลการจัดกิจกรรมศิลปะจากวัสดุธรรมชาติ โดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้ SSAPA เพื่อพัฒนาการก ากับตนเองและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย. ปริญญา การศึกษามหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและวิธีการสอน มหาวิทยาลัยศิลปากร. สุมาลี สมนึก (2562). การพัฒนาโปรแกรมจีออนส์แจมส าหรับเพิ่มความสามารถด้านมิติสัมพันธ์


86 และความสามารถทางคณิตศาสตร์ของวัยเด็กตอนต้น. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการ วิจัยและสถิติทางวิทยาการปัญญา วิทยาลัยวิทยาการวิจัยและวิทยาการปัญญา มหาวิทยาลัย บูรพา. ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2536). ประสิทธิภาพการบริหารโรงเรียน ประถมศึกษา. ชุดฝึกอบรมด้วยตนเอง เล่ม 3 กรุงเทพฯ : ส านักงานคณะกรรมการ การประถมศึกษาแห่งชาติ. เสาวนีย์ จันทร (2558). การพัฒนาชุดกิจกรรมความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์เรื่อง มิติสัมพันธ์ ส าหรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ อุตรดิตถ์. ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุตรดิตถ์. อมรรัตน์ สารบัญ. (2563). การพัฒนาพฤติกรรมทางสังคมของนักเรียนชั้นปฐมวัยโดยการจัด กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เน้นกระบวนการกลุ่ม. โรงเรียนเทศบาล ๑ (ถนนภูผาภักดี) ส านัก การศึกษาเทศบาลเมืองนราธิวาส. อลิสณา อนันตะอาด (2561). การพัฒนาชุดกิจกรรมทัศนศิลป์ เพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านมิติ สัมพันธ์ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1โรงเรียนในสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาเพชรบูรณ์เขต1. ปริญญาสาขาศิลปกรรม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ Bruner, J.S. (1960). The Process of Education. Harward University Press Cambridge Massachusetts. Cheser, D.W. (1979, May). Effect of Age, Sex and Cutural Habital on Development of Piagetain sptial Concept Among Rural and Urban Children From Togo West Africa.Dissertation Abstracts International.39 : 6644-A. Kelley, Ramona M; & Daniel. (1986). "Effects of An Administrative Plan for Excellence in Creative Arts Experience on the Development of Creativity in first Graders," Dissertation Aastracts International. 44(01) : 32 - A ; July 1986 Phillips, L. J. (1993). A study of Early Childhood Educators Understanding of the artistic ProcessAnd of Art Education. (online). Available. E-mail http://www.thailis.uni.net.th/dao/:Pub.No.AAI9112718.


ภาคผนวก


ภาคผนวก ก - คู่มือการแผนการจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ - แผนการจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้


89 คู่มือการใช้แผนการจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ ค าชี้แจง คู่มือการใช้แผนการจัดกิจกรรมศิลปะจากสื่อวัสดุเหลือใช้ ประกอบด้วยส่วนส าคัญ 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 คู่มือการใช้แผนการจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ ตอนที่ 2 แผนการจัดกิจกรรมจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ ตอนที่1 คู่มือการใช้แผนการจัดกิจกรรมศิลปะจากสื่อวัสดุเหลือใช้ หลักการและเหตุผล กิจกรรมศิลปะจากผลไม้ เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่ผู้วิจัย น าวัสดุที่ได้มาจากผลไม้ที่มีอยู่ ในท้องถิ่น และอยู่ตามรอบตัวเด็กมาประกอบหรือประดิษฐ์เป็นผลงานศิลปะ ซึ่งวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้มีอยู่ใน ท้องถิ ่น ชุมชนที ่เด็กพักอาศัยอยู ่ เช ่น มะม ่วง องุ ่น แอปเปิ้ล แตงโม แคนตาลูป สับปะรด ไม้จิ้มฟัน แม่พิมพ์แบบต่างๆ และอื่นๆ เป็นต้น เพื่อน าไปสู่การเรียนรู้ที่ ส่งเสริมความสามารถทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์และเพื่อจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับธรรมชาติและความต้องการพื้นฐานของ เด็กปฐมวัย โดยผู้วิจัยได้จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ประกอบจากวัสดุเหลือใช้ จ านวนทั้งสิ้น 24 กิจกรรม จุดมุ่งหมาย เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ โดยใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ จากผลไม้ ส าหรับนักเรียนชั้นปฐมวัยปีที่ 3 เวลาที่ใช้ในการจัดกิจกรรม ผู้วิจัยด าเนินการจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ด้วยตนเองเป็นเวลา 8 สัปดาห์ช ่วงเวลาการจัด กิจกรรมศิลปะ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง จ านวน 24 ครั้งๆ ละ 30 นาที ของวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ จนสิ้นสุดการทดลอง ผู้ด าเนินการต้องศึกษาคู่มือและแผนการสอนให้เข้าใจวิธีการจัดกิจกรรมทั้งหมด และ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้ตรงตามแผนการจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ แนวทางการด าเนินการจัดกิจกรรม ในการจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ทุกครั้งที่การด าเนินการตาม ขั้นตอน ดังนี้


90 1. ขั้นน า คุณครูน าเด็กเข้าสู่บทเรียน เช่น การร้องเพลง การท่องค าคล้องจอง การใช้ค าถาม และสร้างข้อตกลงร่วมกันระหว่างครูกับเด็ก 2. ขั้นสอน เป็นการอภิปรายซักถามจากสื่อที่เป็นของจริง คุณครูแนะน าวัสดุ อุปกรณ์รวมทั้ง ข้อตกลงในการท ากิจกรรมศิลปะจากผลไม้และสื่อวัสดุอื่นๆที่มาใช้ประกอบกิจกรรม สาธิตและให้เด็กได้มี ส่วนร่วมในการลงมือปฏิบัติจริง เด็กสามารถแสดงความคิดเห็น มีการท างานเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม 3. ขั้นสรุป เด็กและคุณครูร่วมกันสนทนา สรุปเนื้อหาทบทวนหลังจากการปฏิบัติกิจกรรม บทบาทของครูในการจัดกิจกรรม ในการจัดกิจกรรมศิลปะจากสื่อวัสดุเหลือใช้ คุณครูควรปฏิบัติ ดังนี้ 1. ศึกษาแผนการจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ให้เข้าใจ 2. จัดเตรียมสื่อ อุปกรณ์ และสถานที่ประกอบกิจกรรมให้พร้อม 3. สร้างข้อตกลงเบื้องต้นกับเด็กเกี่ยวกับการปฏิบัติตนในการจัดกิจกรรม 4. ระหว่างด าเนินกิจกรรม คุณครูใช้ค าถามเกี่ยวกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติ สัมพันธ์ และอ านวยความสะดวก 5. ในการทบทวนกิจกรรม คุณครูเชิญชวนให้เด็กทุกคนได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ คุณครูขี้แนะให้ถูกต้อง บทบาทของเด็กในการจัดกิจกรรม 1. ปฏิบัติตามข้อตกลงในการจัดกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ 2. ตั้งใจท างานและร่วมกิจกรรมศิลปะจากผลไม้ 3. แสดงความคิดเห็น และทบทวนหลังจากจบกิจกรรม สื่อการเรียนการสอน 1. เพลง และค าคล้องจอง 2. วัสดุ อุปกรณ์ในการปฏิบัติกิจกรรม เช่น ไม้จิ้ม แม่พิมพ์และผลไม้ต่างๆ เป็นต้น การประเมินผล 1. สังเกตจากการสนทนาและตอบค าถาม 2. สังเกตจากการท ากิจกรรมการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นของเด็ก 3. สังเกตจากผลงาน


91 สัปดาหที่ 1 ครั้งที่ 1 วันจันทร ชื่อกิจกรรม ตุ๊กตาพาเพลิน ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์ …………………………………………………………………………………………………………………………………….... จุดประสงคการเรียนรู 1. เพื่อฝึกทักษะการจ าแนกความเหมือนความต่าง 2. เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการได้ 3. เพื่อพัฒนาการใช้ประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา ขั้นตอนด าเนินกิจกรรม ขั้นน า 1. ครูและเด็กร่วมกันร้องเพลง เจ้านกน้อย พร้อมท าท่าประกอบเพลง 2. ครูและเด็กร่วมกันสร้างข้อตกลงในการท ากิจกรรม ดังนี้ -รู้จักแบ่งปันอุปกรณ์ให้เพื่อน -เก็บอุปกรณ์เข้าที่เดิมเมื่อใช้เสร็จแล้ว ขั้นสอน 3. ครูแนะน าวัสดุ อุปกรณ์และสาธิตการท ากิจกรรมประดิษฐ์ตุ๊กตาพาเพลิน แล้วให้เด็กลงมือ ปฏิบัติตามความคิดจินตนาการของตนเอง 4. เมื่อใกล้หมดเวลาครูให้สัญญาณโดยการใช้เครื่องเคาะจังหวะ และให้เด็กช่วยกันเก็บ อุปกรณ์เข้าที่ให้เรียบร้อย ขั้นสรุป 5. ครูให้เด็กออกมาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผลงานของตนเองหน้าชั้นเรียน 6. ครูและเด็กร่วมกันสรุปสิ่งที่ได้จากการท ากิจกรรม สื่อการเรียนรู 1. เพลงเจ้านกน้อย 2. ไม้จิ้มฟัน 3. แม่พิมพ์ 4. ผลไม้ต่างๆ


92 การวัดและการประเมินผล 1. วิธีการวัดการประเมินพัฒนาการ - สังเกตการจ าแนกความเหมือนความต่าง - สังเกตความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ - สังเกตการใช้ประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา 2. เครื่องมือที่ใช้ - แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ด้านมิติสัมพันธ์


Click to View FlipBook Version