คำนำ
คู่มือฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้สถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ที่เป็นกลุ่มทดลองโครงการทดลองการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
และการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชัน้ เรียน ใช้เป็นแนวทางในการจดั การเรียนการสอน และการวัด
และประเมินผลการเรียนรู้โดยใช้ร่างสมรรถนะหลัก 5 ประการของสำนักวิชาการและมาตรฐาน
การศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน ท่ีจดั ทำขน้ึ เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียน จาก
ข้อมูลและปัญหาที่พบ ผู้เรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถนำความรู้ ทักษะและคุณลักษณะต่าง ๆ ท่ีได้เรียนรู้
ไปประยุกตใ์ ช้ให้เกิดประโยชน์กับตวั เองและสงั คมได้ และจากผลการประเมิน PISA เดก็ ไทยมีสมรรถนะ
ที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น อันเป็นเร่ืองที่เสียเปรียบอย่างมากในการแข่งขันกับนานาประเทศ ประกอบกับ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ใช้มากว่า 10 ปีแล้ว จึงเห็นควรปรับให้ทัน
ต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ซึ่งได้นำเสนอแนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การ
พัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษา และการจัดการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะในชนั้ เรยี น ไดแ้ ก่ สมรรถนะการจดั การ
ตนเอง สมรรถนะการสื่อสาร สมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีม สมรรถนะการคิดขั้นสูง และ
สมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง เพื่อใช้เป็นกรอบในการออกแบบการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในการ
พฒั นาผู้เรยี น
ผู้เขียนหวังว่าผู้บริหารสถานศึกษา ครู จะสามารถใช้คู่มือฉบับนี้เป็นแนวทางในการพัฒนา
หลักสูตรสถานศึกษาและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะที่จำเป็น
ในการดำเนินชีวิต
นางพรพรรณ โชตพิ ฤกษวัน
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
ข
สารบัญ
หน้า
คำนำ.................................................................................................................................................... ก
สารบัญ................................................................................................................................................. ข
บญั ชีตาราง...............................................................................................................................................ค
บัญชแี ผนภาพ...........................................................................................................................................ง
ตอนท่ี 1 คำช้ีแจงและวตั ถุประสงค์....................................................................................................... 1
คำช้ีแจง.......................................................................................................................................... 1
วัตถปุ ระสงค์................................................................................................................................... 1
ตอนท่ี 2 บทนำ..................................................................................................................................... 2
เหตผุ ลในการปรบั หลกั สูตร............................................................................................................. 2
ตอนท่ี 3 เนื้อหาสาระ ........................................................................................................................... 4
หนว่ ยที่ 1 การบริหารหลกั สูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะ .............................................................. 4
หน่วยท่ี 2 การจดั การเรียนรูฐ้ านสมรรถนะ..................................................................................... 8
หนว่ ยที่ 3 การวดั และประเมินผลการเรยี นร้ฐู านสมรรถนะ........................................................... 16
หน่วยท่ี 4 แนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ ส่กู ารพัฒนาหลักสตู รสถานศกึ ษา
และการจัดการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะในชน้ั เรยี น ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน
พุทธศักราช 2551................................................................................................................. 19
เอกสารอา้ งองิ ..................................................................................................................................... 30
ภาคผนวก........................................................................................................................................... 31
ภาคผนวก ก (รา่ ง) ระดบั สมรรถนะหลัก 5 ประการ และพฤตกิ รรมบง่ ชีห้ ลกั
ของสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน…………………………………………………………………………..……….32
ภาคผนวก ข การวิเคราะหค์ วามสอดคล้องระหว่างองคป์ ระกอบของสมรรถนะหลักกบั
กลมุ่ สาระการเรียนรูแ้ ละกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน
พุทธศักราช 2551................................................................................................................. 64
ภาคผนวก ค ตัวอย่างคำอธิบายรายวิชา ตวั อย่างแผนการจัดการเรยี นร้ฐู านสมรรถนะ................. 67
ค
บญั ชตี าราง
ตาราง หน้า
1 ตวั อยา่ งโครงสรา้ งรายวชิ า........................................................................................... 24
2 องค์ประกอบการจดั ทำหน่วยการเรยี นรู้ .................................................................... 26
3 องค์ประกอบการจัดทำแผนการจัดการเรยี นรู้ ........................................................... 27
ง
บญั ชแี ผนภาพ
แผนภาพ หนา้
1 การบรหิ ารจัดการหลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ……………………….................... 7
2 กรวยแหง่ การเรียนรู้ ................................................................................................. 13
3 แนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 ............................. 20
4 การนำสมรรถนะหลกั 5 ประการ สูก่ ารพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษา......................... 22
5 การออกแบบและการจดั การเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชั้นเรียน
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ............................ 23
ตอนที่ 1
คำชแ้ี จงและวัตถุประสงค์
คำชแ้ี จง
คู่มือการดำเนินงานตาม “แนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษา และการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชั้นเรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551” เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางให้กับผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน
และผู้เกี่ยวข้อง จำนวน 12 โรงเรียนที่สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการทดลองการนำสมรรถนะหลัก 5
ประการสู่การพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา และการจดั การเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชนั้ เรยี น เน้ือหาในเล่ม
ประกอบด้วย
ตอนที่ 1 คำชี้แจงและวัตถุประสงค์
ตอนที่ 2 บทนำ
ตอนท่ี 3 เนื้อหาสาระ จำนวน 4 หน่วย
หนว่ ยที่ 1 การบรหิ ารหลกั สตู รสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะ
หนว่ ยท่ี 2 การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ
หนว่ ยท่ี 3 การวดั และประเมินผลฐานสมรรถนะ
หน่วยที่ 4 แนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
และการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชั้นเรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551
การศึกษาคู่มือการดำเนินงานตามแนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพัฒนา
หลกั สตู รสถานศึกษา และการจดั การเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชน้ั เรยี น ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เล่มน้ี ให้ศึกษาไปตามลำดับจากหน่วยที่ 1 จนถึงหน่วยที่ 4 ไม่ควรข้ามหน่วย
เพราะจะทำให้ความรู้ ความเข้าใจในเนือ้ หาไมเ่ ปน็ ไปตามลำดับและความต่อเนื่อง
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า เอกสารคู่มือการดำเนินงานตามแนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ
สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชั้นเรียน ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ฉบับน้ีจะเปน็ ประโยชน์สำหรับครใู นการนำสมรรถนะ
หลกั 5 ประการ ไปเชอ่ื มโยงสู่หลกั สูตรสถานศกึ ษาท่ีมี และสามารถจัดการเรียนร้ฐู านสมรรถนะได้อย่าง
มีประสทิ ธิภาพตอ่ ไป
วัตถุประสงค์
เพอ่ื ใชเ้ ป็นแนวทางให้ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาและครผู สู้ อน จำนวน 12 โรงเรียนท่ีสนใจสมคั รเข้า
ร่วมโครงการทดลองนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการจัด
การเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชนั้ เรียน ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
2
ตอนที่ 2
บทนำ
เหตผุ ลในการปรับหลกั สตู ร
สภาพสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วิทยาการด้านต่าง ๆ เจริญก้าวหน้า
ไปอย่างไม่หยุดยั้ง สง่ ผลต่อการเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อม วถิ ีชีวิต และพฤตกิ รรมของคนในสังคมไทย
ในแง่มุมต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะต้องเผชิญสภาวะการพลิกผันทางดิจิทัล (Digital Disruption)
และอยู่ในโลกของความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความสลับซับซ้อน
(Complexity) ความคลุมเครือ (Ambiguity) ซึ่งเป็นสถานการณ์ในยุค “VUCA World” เป็น
สถานการณ์ของโลกที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับโลกในอนาคต รัฐบาลเห็นความ
จำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการกำหนดกรอบ
แนวทางการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าทาง
วิทยาการ โดยมแี ผนยทุ ธศาสตรช์ าตริ ะยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 2579) และการดำเนินงานใหเ้ ชื่อมโยงกับ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี มีวิสัยทัศน์คือ
“ประเทศ มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง” แผนยุทธศาสตร์จะเป็นกรอบการดำเนินงานที่มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ
อย่างยั่งยืน เป็นการปรับโครงสร้างประเทศไทยให้เป็นไทยแลนด์ 4.0 และนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ
กำหนดยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความมั่นคง 2) การสร้างความสามารถในการแข่งขัน
3) การพฒั นาและเสริมสรา้ งศักยภาพคน 4) การสรา้ งโอกาส ความเสมอภาค และเทา่ เทยี มกันทางสังคม
5) การสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 6) การปรับสมดุลและพัฒนา
ระบบการบริหารจัดการภาครัฐ โดยมีความเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 12
ซึ่งมีหลักการสำคัญคือ 1) ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) ยึดคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา
3) ยึดวิสัยทัศน์ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 4) ยึดเป้าหมายอนาคตของประเทศในปี 2579
5) ยึดหลักการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดความเหลื่อมล้ำและขับเคลื่อนการเจริญเติบโต และ
6) ยึดหลักการนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างจรงิ จังใน 5 ปีและไทยแลนด์ 4.0 เป็นวิสัยทัศน์
เชิงนโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม เปลี่ยนจากเดิมที่มี
การลงมือทำมาก แต่ได้ผลตอบแทนน้อย มาเป็นลงมือทำน้อย แต่ได้ผลตอบแทนมหาศาล โดย
นำความคิดสร้างสรรค์เป็นแรงผลักดัน และนำนวัตกรรมเข้ามาช่วย เปลี่ยนจากการผลิตสินค้าไปสู่
การบริการมากขึ้น ฉะนั้น เราต้องเตรียมกำลังคน ความพร้อมของเด็กและเยาวชนให้มีทักษะ
ในการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และมีสมรรถนะเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
มีการปรับตัวให้เข้าสู่สังคมยุคใหม่ และการเรียนรู้เพื่ออนาคต นโยบายและจุดเน้นของ
กระทรวงศึกษาธิการ ปีงบประมาณ 2564 ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์
ในส่วนของการจัดการศึกษาทุกระดับ ทุกประเภท โดยใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ รวมทั้งแนวทาง
การจดั การเรียนรู้เชิงรุกและการวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาผเู้ รียนที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา
3
แห่งชาติส่งเสริมการพัฒนากรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นและหลักสูตรสถานศึกษาตามความต้องการ
จำเป็นของกลุ่มเป้าหมายและแตกต่างหลากหลายตามบริบทของพื้นที่ พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการคิด
วิเคราะห์ สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหนา้ ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยจดั การเรยี นรู้เชิงรุก (Active
Learning) จากประสบการณ์จริงหรอื จากสถานการณ์จำลองผา่ นการลงมือปฏิบัติ ตลอดจนจดั การเรียน
การสอนในเชิงแสดงความคิดเห็นเพื่อเปิดโลกทัศน์มุมมองร่วมกันของผู้เรียนและครูให้มากขึ้น พัฒนา
ผู้เรียนให้มีความรอบรู้และทักษะชีวิต เพื่อเป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตและสร้างอาชีพ อาทิ การใช้
เทคโนโลยีดจิ ิทลั สุขภาวะและทศั นคติท่ดี ตี อ่ การดูแลสขุ ภาพ
การพัฒนาการศึกษาของชาติ จำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ ด้านด้วยกัน แต่
ทส่ี ำคญั ท่ีสดุ และเป็นหัวใจของการศึกษา คือ หลกั สตู ร ซงึ่ ต้องมีการปรับปรุง แก้ไข เปลย่ี นแปลงพัฒนา
อยา่ งเปน็ กระบวนการตอ่ เนื่องเพื่อให้เหมาะสม สอดคล้อง และทันกบั ความเปลย่ี นแปลงของสงั คม และ
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ หลักสูตรที่ใช้ปัจจุบัน คือ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ใช้มากวา่ 10 ปี จงึ ตอ้ งมกี ารปรบั ให้ทันสมยั และสงั คมโลกต้องการคนท่ีมีสมรรถนะ
ที่จำเป็นในการทำงานการแก้ปัญหา และการดำรงชีวิต และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษ
ที่ 21 นอกจากนี้ ข้อมูลจากคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) เกี่ยวกับ
การปฏิรปู หลักสูตรและการเรียนการสอนพบว่า ผูเ้ รยี นยงั ไมม่ คี ุณภาพตามที่พึงประสงค์ ผู้เรียนมีผลลัพธ์
การเรียนรู้ที่ตกต่ำทั้งจากผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) และนานาชาติ (PISA) รวมทั้งยังขาด
คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคห์ ลายประการเช่น มีความรู้แตไ่ ม่สามารถประยกุ ต์ใช้ความรูใ้ นการดำเนินชีวิต
เรียนรู้โดยจดจำความรู้ จึงเข้าใจในระดับผิวเผิน ไม่รู้ลึกไม่รู้จริง ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ศักยภาพและ
ความถนัดของตน ไม่เห็นคุณค่าของการเรียน และการเรียนไม่มีความหมายต่อตนเองและชีวิตของตน
ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลหลักฐานและงานวิจัยต่าง ๆ พบว่า ปัญหาดังกล่าวมีสาเหตุสำคัญมาจาก
การสอนและการวัดและประเมินผลของครู ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากกรอบหลักสูตรที่ได้กำหนด
มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชว้ี ัดจำนวนมากท่ีอิงเน้ือหา รวมท้ังการกำหนดให้ครูต้องสอบตามตัวชี้วัดทุกตัว
ทำให้ครูมุ่งสอนเนื้อหาเป็นสำคัญและต้องเร่งสอนเพื่อให้สามารถสอบผู้เรียนได้ตามที่หลั กสูตรกำหนด
รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ส่งผลให้การเรียนรู้ขาดประสิทธิภาพ
ผู้เรียนมีความรู้แต่ขาดสมรรถนะในการใช้ความรู้ ไม่สามารถนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้
เนื่องจากหลักสูตรเป็นกรอบในการสอนของครู จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับหลักสูตรให้ไปใน
ทิศทางทีน่ ำสู่คุณภาพของผเู้ รยี นตามทีต่ ้องการ ใหม้ เี ป้าหมายม่งุ สกู่ ารพัฒนาสมรรถนะ
จากข้อมูลดังกล่าว เป็นเหตุผลที่ต้องมีการปรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 มีสมรรถนะหลัก 5 ประการที่ได้ปรับปรุงใหม่ให้มีรายละเอียด สามารถนำไปใช้ใน
การพัฒนาผู้เรียนในแต่ละระดับของสมรรถนะได้อย่างชัดเจน สามารถวัดและประเมินผลในระดับ
การพัฒนาในแต่ละสมรรถนะและแต่ละช่วงชั้นได้ ทั้งนี้ยังคงมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดเดิมเป็น
เปา้ หมายในการเรยี นรู้
ตอนที่ 3
เน้อื หาสาระ
หนว่ ยท่ี 1 การบริหารหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ
ปัจจุบันการจัดการศึกษาของประเทศไทยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรที่อิงมาตรฐานการเรียนรู้เป็นหลัก จัดการเรียนรู้ที่เน้นเนื้อหาเป็นหลัก
(Content-Based) แต่ไม่ได้เน้นว่าเมื่อเรียนรู้แล้ว ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะต่าง ๆ
ของตนไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตและการทำงานได้ (Competency-Based) ซึ่งหมายถึงจะมี
สมรรถนะอะไรบ้าง และด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบันส่งผลให้การดำรงชีวิตในโลกปัจจุบัน
ต้องจัดการศึกษาให้พลเมืองของประเทศมีสมรรถนะที่จำเป็น ดังนั้น จึงควรต้องมีการเปลี่ยนแปลง
หลักสูตรสถานศึกษาให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ โดยการปรับจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ทีย่ งั คงใช้ในปัจจบุ ันให้เป็นหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะเพื่อประกันว่า
ผู้เรียนทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ตามความถนัด ความสามารถและศักยภาพในรูปแบบของ
ตนเอง ดังนั้น เพื่อให้เกิดกระบวนการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปใช้ให้เกิดประสิทธิผลและ
ประสิทธิภาพได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนต้องมีการบริหาร
จัดการหลักสูตรระดับสถานศึกษา และรู้บทบาทหน้าที่ของตนเองในการบริหารจัดการหลักสูตร
สถานศกึ ษา ตลอดทง้ั มีความรูค้ วามเข้าใจทเี่ ก่ียวกบั หลกั สตู รฐานสมรรถนะ ซึ่งจะกลา่ วพอสังเขป ดังนี้
สมรรถนะ (Competency) เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสามารถของบุคคลใน
การประยุกตใ์ ช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะตา่ ง ๆ ในการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ การใช้ชวี ิต และ
การแกป้ ัญหาทส่ี อดคล้องกับบริบทของสังคมและวัฒนธรรมในสถานการณ์ที่หลากหลายอย่างมีคุณภาพ
พร้อมจะต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ
ท่ีเกิดขึ้นอยา่ งรวดเร็ว
สมรรถนะหลัก 5 ประการ เป็นร่างสมรรถนะหลัก 5 ประการที่สำนักวิชาการและมาตรฐาน
การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดขึ้นจากแนวคิดที่เกี่ยวกับการพัฒนา
คุณภาพการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งประกอบด้วย ความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะของผู้เรียน
โดยในแต่ละสมรรถนะมีการกำหนดระดับการพัฒนาและคำบรรยาย 10 ระดับ และกำหนดระดับ
ความสามารถเป็นช่วงชั้น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับเริ่มต้น ระดับกำลังพัฒนา ระดับสามารถ และระดับ
เหนือความคาดหวัง นอกจากนั้นยังได้กำหนดองค์ประกอบและพฤติกรรมบ่งชี้หลัก ในแต่ละสมรรถนะ
ที่แตกต่างกันออกไป ประกอบด้วย สมรรถนะที่ 1 การจัดการตนเอง (Self-Management: SM)
สมรรถนะที่ 2 การสอื่ สาร (Communication: CM) สมรรถนะท่ี 3 การรวมพลังทำงานเปน็ ทีม (Teamwork
and Collaboration: TC) สมรรถนะที่ 4 การคิดขั้นสูง (Higher Order Thinking: HOT) สมรรถนะที่ 5
การเปน็ พลเมอื งท่ีเขม้ แข็ง (Active Citizen: AC)
5
หลกั สตู รฐานสมรรถนะ เปน็ หลักสูตรทสี่ ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน มีหลักการ
และเหตุผลในการปรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรฐาน
สมรรถนะท่ีมุ่งพัฒนาความรู้ ทักษะ เจตคติ และค่านิยม อันจะเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตและ
อนาคตของผู้เรียน ซึ่งได้กำหนดสมรรถนะหลัก 5 ประการและปรับปรุงใหม่ให้มีรายละเอียด สามารถ
นำไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนในแต่ละระดับของสมรรถนะได้อย่างชัดเจน สามารถวัดและประเมินผล
ในระดับการพฒั นาในแตล่ ะสมรรถนะและแตล่ ะช่วงช้ันได้ ทงั้ น้ียังคงมาตรฐานการเรยี นร้แู ละตวั ช้ีวดั เดิม
เป็นเปา้ หมายในการเรยี นรู้
เพื่อเป็นแนวทางในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและการจัดการเรียน รู้ให้สถานศึกษา
สามารถจัดทำและนําหลักสูตรไปสู่การปฎิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน จึงจําเป็นต้องเตรียม
ความพร้อมในด้านการบริหารหลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โดยมแี นวดำเนนิ การ ดังนี้
ด้านผู้บรหิ าร
ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้นำสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานการนำสมรรถนะหลัก
5 ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชั้นเรียน ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จึงต้องศึกษาและทําความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร
สถานศึกษาฐานสมรรถนะ และเตรียมความพร้อมในการใช้หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ ซึ่งจะ
ประกาศใชใ้ นโอกาสอนั ใกล้น้ี จึงเสนอแนวทางการบริหารหลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ ดงั นี้
1. สร้างความรู้ความเข้าใจกับทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้ตระหนักและเห็น
ความสำคัญของการจัดทำหลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะ ซึ่งเป็นความคาดหวังใหเ้ กิดขึ้นกับผู้เรียน
ท่ีเขา้ มาเรียนในโรงเรียนน้นั ๆ และการเป็นเจ้าของในการใช้หลกั สูตรฐานสมรรถนะทีต่ ้องการ ให้ผู้เรียน
มีสมรรถนะและคุณลักษณะเมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนั้นไปแล้ว ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามบริบทของ
สถานศึกษา
2. สร้างความเข้าใจแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาให้ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และ
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ การนำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะไปใช้
ในชน้ั เรยี น รวมถงึ การจดั การเรยี นรู้ฐานสมรรถนะ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ โดย
มีระดับสมรรถนะเปน็ เป้าหมาย ตลอดทั้งจัดให้มีการพฒั นาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาอย่างสม่ำเสมอ
ในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ การนิเทศท้ังแบบกลุ่ม และเปน็ รายบุคคลโดยการสอนแนะ (Coaching) การเชิญ
ผู้เชี่ยวชาญให้ฝึกประสบการณ์ การฝึกอบรมเพิ่มเติม การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC)
และมีการประเมินบุคลากรเป็นระยะ ๆ เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพ รวมทั้งสนับสนุนให้มี
แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งสื่อ ICT สื่อดิจิทัล สำหรับการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเอง นอกจากน้ัน
ผู้บรหิ ารสถานศึกษาจะต้องเปน็ ท่ีปรกึ ษาของครูในกรณีที่มีปัญหาทางด้านวิชาการหรือการบริหารจดั การ
3. สนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรที่เอื้อต่อการส่งเสริมสนับสนุนการจัดการเรียนรู้
ให้มีประสิทธิภาพ โดยจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ
และพัฒนาบุคลากร รวมทั้งสนับสนุนห้องปฏิบัติการและแหล่งเรียนรู้ให้เพียงพอ และบริหารทรัพยากร
บุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดครูเข้าสอนเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ควรจัดครู
ให้ไดส้ อนตรงตามความรู้ความสามารถและความถนัด
6
4. เน้นการดำเนินงานแบบมีส่วนนร่วมเพื่อให้การจัดทำและการใช้หลักสูตรสถานศึกษา
ฐานสมรรถนะเป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธภิ าพ เชน่ ผู้ปกครอง ชมุ ชน ครู และผู้เรยี นได้มีส่วนร่วมใน
การวางแผนพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะและตรวจสอบคุณภาพการจัดการศึกษา ควร
จัดสรรเวลาให้ครูได้วางแผนจัดการเรียนรู้ร่วมกัน และสร้างเครือข่ายให้เกิดการมีส่วนร่วม และ
การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา ทั้งเครือข่ายภายใน เช่น เครือข่ายผู้ปกครอง หรือเครือข่ายภายนอก
เช่น เครือข่ายสถานศึกษา เครือข่ายหนว่ ยงานทั้งภาครฐั และภาคเอกชน
5. ให้การสนับสนุนส่งเสริมทางวิชาการ ผู้บริหารควรดำเนินการ ดังนี้ 1) จัดระบบ
การบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นผู้เรียนรายบุคคล และ
โครงการ/กิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ การจัดตารางสอนของสถานศึกษา สง่ เสรมิ ให้ครูใช้การเสริมแรง
ทางบวกแก่ผู้เรียนที่มีสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายที่กำหนด 2) สร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ทั้งห้องสมุด
แหลง่ เรยี นรู้ รวมทงั้ สือ่ ICT ส่ือดจิ ิทัล มมุ ค้นคว้าแก่ครูผสู้ อนและผู้เรียน การพฒั นาส่ืออปุ กรณ์การเรียน
การสอน 3) สนับสนุนให้มีระบบข้อมูลพื้นฐาน สารสนเทศที่จำเป็นเพื่อใช้ในการพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษาฐานสมรรถนะ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ ทรัพยากร เศรษฐกิจ อาชีพ และ
ความตอ้ งการของท้องถ่นิ เพ่ืออำนวยความสะดวกในการจัดการเรยี นร้ขู องครผู ู้สอน
6. สนับสนุนสื่อ/แหล่งเรียนรู้ สื่อ ICT สื่อดิจิทัลที่ส่งเสริมการปลูกฝัง บ่มเพาะ พัฒนาให้
ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ มีความรู้ ทักษะ และเจตคติ และมีสมรรถนะในการสรา้ งภาระงาน ผลงาน/ชิ้นงาน
และนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวติ ได้
7. เป็นผู้นำในการจดั ทำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โดยร่วมประสานกับบุคลากร
ทุกฝ่าย เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ตลอดจนสาระตามหลักสูตร
สถานศกึ ษา
8. มีระบบนเิ ทศภายในเพ่ือนิเทศ กำกบั ติดตามการใช้หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ
อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ด้วยวธิ กี ารตา่ ง ๆ ในยคุ ดจิ ิทัล
9. ส่งเสริมให้มีการวิจัย ติดตามและประเมินผลการใชห้ ลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ
เพื่อปรับปรุง พัฒนาสาระของหลักสูตรสถานศึกษาให้ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน
ชมุ ชน และท้องถ่นิ
ดา้ นครผู สู้ อน
ครูเป็นบุคลากรสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะบรรลุตามเป้าหมาย
ของหลกั สตู รสถานศึกษาที่กำหนดไว้ ดังนัน้ ครูควรรู้บทบาทหนา้ ทข่ี องตนในการบรหิ ารจัดการหลักสูตร
สถานศึกษา ดงั น้ี
1. ศึกษาทำความเข้าใจในหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ ร่วมทั้งแนวปฏิบัติต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ เช่น แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสมรรถนะ การจัดการเรียนรู้
ฐานสมรรถนะ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ฐานสมรรถนะจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่มี
ความรคู้ วามสามารถในการพัฒนาหลกั สูตร
7
2. ร่วมกับสถานศึกษาในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โดยร่วมพิจารณา
จัดทำหลักสูตรสถานศึกษาที่มีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ วิสัยทัศน์ สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น คุณลักษณะ
อันพึงประสงค์ โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา โครงสร้างรายวิชาฐานสมรรถนะ คำอธิบายรายวิชาฐาน
สมรรถนะ เกณฑก์ ารจบหลักสูตร และจดั ทำเอกสารระเบียบการวัดและประเมินผลหลักสูตรสถานศึกษา
ฐานสมรรถนะ
3. ออกแบบหน่วยการเรียนรู้/แผนการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มี
คณุ ภาพตามเปา้ หมาย
4. ศึกษาการวิจัยในชั้นเรียนในระหว่างการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหา พัฒนาผู้เรียนหรือ
การจดั การเรียนการสอนของตนเอง
5. นำแผนการจดั การเรยี นร้ฐู านสมรรถนะไปใช้ ครูควรเนน้ การจัดการเรียนรู้แบบ Active
Learning ให้ผู้เรียนได้ค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ใช้กระบวนการคิดขั้นสูงในการสร้าง
ภาระงาน ผลงาน/ช้ินงาน ที่สามารถแก้ปัญหาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คมและโลก
6. ครูควรศกึ ษาหาความรู้เพิ่มเติ่มเกีย่ วกบั หลักสูตรฐานสมรรถนะ และแนวทางการจัดการ
เรยี นรู้ที่มีประสิทธภิ าพที่สามารถจัดการเรียนรู้ใหผ้ ู้เรียนเกดิ สมรรถนะตามระดับเป้าหมายท่ีกำหนดไว้
7. ครูควรใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) และการแลกเปลี่ยน
เรียนรูใ้ นระหว่างการนำหลักสตู รฐานสมรรถนะไปใช้
8. ประเมินผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะทั้งก่อนการนำไปใช้ ระหว่าง
การใช้ และหลงั การใชห้ ลักสตู ร
สรุปแผนภาพแสดงการบริหารจดั การหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ ตามแผนภาพท่ี 1
แผนภาพท่ี 1 การบรหิ ารจดั การหลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะ
8
หนว่ ยที่ 2 การจดั การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ
การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เป็นการจัดการเรียนรู้เชิงบูรณาการในศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อให้
ผู้เรียนมีวิธีการค้นคว้าหาความรู้ ฝึกทักษะที่จำเป็นในด้านต่าง ๆ มีคุณลักษณะและเจตคติในการ
ปฏิบัติงานหรือสร้างผลงาน/ชิ้นงาน หรือภาระงานจนสำเร็จด้วยตนเอง และประยุกต์ใช้ในสถานการณ์
ตา่ ง ๆ ในการดำรงชวี ติ ท่ีสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม ครูผูส้ อนจึงต้องออกแบบ
การเรียนรู้ให้เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตจริง ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการคิดขั้นสูง การใช้เทคโนโลยี ( ICT)
การออกแบบ การแกป้ ัญหา การสร้างภาระงาน ผลงาน/ช้ินงาน หรือนวัตกรรม และการนำเสนอผลงาน
ด้วยการฟัง การพูด การอ่านและเขียน ตามความถนัดและความสามารถของตน ตลอดทั้งจัดการเรียนรู้
โดยใชเ้ ทคโนโลยี การมสี ว่ นร่วมของชมุ ชนและองคก์ รหลายฝ่าย
1. การจัดการเรยี นรฐู้ านสมรรถนะ
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2562) ได้กล่าวถึง การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ
เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ใช้ผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นเป้าหมาย คือ มุ่งเน้นผลที่จะเกิดกับผู้เรียน
ซึ่งก็คือ ความสามารถของผู้เรียนในการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะต่าง ๆ อย่าง
เป็นองค์รวมในการปฏิบัติงาน การแก้ปัญหา และการใช้ชีวิต เป็นการเรียนการสอนที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง
เรยี นรู้เพ่ือให้สามารถใช้การไดจ้ รงิ ในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชวี ิตจริง เปน็ การเรยี นเพ่ือใช้ประโยชน์ ไม่ใช่
การเรียนเพื่อรู้เท่านั้น ซึ่งการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะช่วยลดเนื้อหาจำนวนมากที่ไม่จำเป็น เอื้อให้
ผู้เรียนมีเวลาในการเรียนรู้เนื้อหาที่จำเป็นในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น และมีโอกาสได้ฝึกฝนการใช้ความรู้
ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะในระดับชำนาญหรือเชี่ยวชาญ ผู้เรียนสามารถ
ใช้เวลาในการเรียนรู้ และมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ไปได้เร็ว-ช้าตามความถนัดและความสามารถของตน
นอกจากนั้นได้พูดถึงหลักการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะว่า “เน้นการปฏิบัติ” โดยมีชุดของเนื้อหา
ความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการนำไปสู่สมรรถนะที่ต้องการ ในระดับที่ผู้เรียน
สามารถปฏบิ ตั งิ านไดจ้ ริง เป็นการเรียนการสอนท่ีมีการบรู ณาการความรใู้ นศาสตร์ต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับ
การปฏิบัติงานใดงานหนึ่ง เพื่อนำไปใช้จนเกิดความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ดังนั้น ครูผู้สอนต้องมี
ความชัดเจนว่า ต้องการพัฒนาสมรรถนะอะไรให้แก่ผู้เรียน คลี่สมรรถนะนั้น ๆ ให้เห็นชัดเจนเป็น
รูปธรรมและวิเคราะห์ว่าผู้เรียนจำเป็นต้องรู้อะไร (ความรู้) ต้องมีเจตคติ และคุณลักษณะอย่างไร และ
ต้องมีทักษะอะไรบ้างที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะตามที่ต้องการ จากนั้นจึงจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้
เรยี นร้ใู นเรือ่ งดงั กลา่ ว โดยมีการสง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนนำความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และคณุ ลักษณะต่าง ๆ ไปใช้
ในการปฏิบตั จิ ริงในสถานการณ์ต่าง ๆ ในการทำงาน และในชีวิตประจำวนั จนกระทัง่ เกดิ เป็นสมรรถนะ
ในระดบั ทต่ี อ้ งการ
กนก จันทรา (ม.ป.ป.) การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะมีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ฐาน
สมรรถนะ สรปุ ได้ดังนี้
1. เน้นที่การปฏิบัติ (Action Orientated/Able to do) การออกแบบกิจกรรม
การเรียนรู้ต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกการปฏิบัติหรือได้รับความรู้ ฝึกทักษะ และพัฒนาเจตคติ
ทเี่ พียงพอและจำเปน็ เพือ่ นำมาสู่การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ตา่ ง ๆ มีการออกแบบกิจกรรมให้นักเรียน
แสดงสมรรถนะจากง่ายไปถึงระดบั ท่ซี บั ซ้อน
9
2. การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้น
นักเรียนเป็นศูนย์กลาง นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนและเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ปฏิสัมพันธ์กับตนเอง ครู
และเพื่อนในชั้นเรียนด้วยการแสดงออกด้วยการพูด ฟัง อ่าน เขียน แสดงความคิดเห็นกับสิ่งที่เรียนรู้ และ
อาศัยกระบวนการคิดขั้นสูงเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองอย่างมีความหมายและเชื่อมโยงกับ
ประสบการณ์ของนกั เรยี น
2.1 ใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย การศึกษาฐานสมรรถนะ
ให้ความสำคัญกับการพัฒนานักเรียนตามความถนัด ศักยภาพและธรรมชาตินักเรียน การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ในห้องเรียนจึงต้องใช้วิธีการที่หลากหลายและมีการวิเคราะห์พื้นฐานและความสนใจของ
นกั เรยี น เพ่อื ตอบสนองวธิ ีการเรียนรู้ของนกั เรยี นที่มคี วามแตกต่าง
2.2 นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้หรือลงมือปฏิบัติ โดยครูเป็นผู้อำนวย
ความสะดวกในการเรียนรู้ ครูเป็นผู้จัดบรรยากาศการเรียนรู้ แนะแนวทางการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียน
ได้ค้นคว้าหาความรู้และสร้างความรู้ด้วยตนเองได้เต็มศักยภาพ คอยกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจ
เพ่อื ใหน้ กั เรยี นม่นั ใจและพฒั นาตนเองเห็นคุณค่าและความหมายของการเรียนรู้ ใช้คำถามเป็นเคร่ืองมือ
ในการพัฒนานักเรียนให้เข้าใจตนเอง อยากเปลี่ยนแปลงและมีเป้าหมายในการเรียนรู้ และให้ข้อมูล
ป้อนกลับ (feedback) เชิงบวกสร้างข้อคิดในการพัฒนานักเรียนจูงใจให้เห็นข้อดีของตนเองและเรียนรู้
บทเรียนจากความผดิ พลาดในการปรบั ปรุงพัฒนาตนเองจนเต็มศักยภาพ
2.3 นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อ ครูและเพื่อนร่วมชั้นเรียน กระตุ้น
ความกระตือรือร้นในการเรียนและเกิดแรงจูงใจในการเรียน ปัจจุบันความรู้วิทยาการไม่ได้มีเพียง
ในตำราที่กำหนดตามหลกั สูตรเทา่ นัน้ แต่ยังอยู่ในสิ่งแวดลอ้ มรอบตัวนักเรียน ชุมชน และสังคม ควรฝกึ
ให้นักเรียนได้ฝึกพัฒนาทักษะในการสื่อสารเพื่อการค้นคว้า และสืบค้นข้อมูล รวมถึงจัดบรรยากาศ
การเรียนรู้ที่ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทัศนคติ
ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอย่างมีเหตุผล กระตุ้นให้นักเรียนอยากเรียนรู้และมีส่วนร่วมในการอภิปราย
จัดบรรยากาศการเรียนรูท้ ่สี ง่ เสริมความสมั พันธ์เชงิ บวก สง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นมัน่ ใจในตนเองในการคิดและ
การแสดงออกทถี่ กู ตอ้ งและสรา้ งสรรค์และกล้าท่ีจะเรยี นรู้ โดยอาศยั การเสริมแรงทางบวกและแรงจงู ใจ
2.4 นักเรียนมีโอกาสแสดงออกด้วยการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน การสะท้อนคิด
และพัฒนาการคิดขั้นสูง การคิดเป็นพื้นฐานทส่ี ำคัญในการเข้าถึงความรู้ ควรไดร้ ับการฝึกฝนและพัฒนา
อย่างต่อเนื่อง ครูไม่ได้พัฒนาทักษะการคิดโดยตรง แต่พัฒนานักเรียนผ่านกิจกรรมการเรียนรู้
โดยอาศัยเนื้อหาเป็นสิ่งที่ช่วยฝึกทักษะการคิด ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนา
การคิดจงึ สามารถช่วยพัฒนาทกั ษะการคิดได้
2.5 นักเรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากการเชื่อมโยงประสบการณ์กับสิ่งที่ได้
เรียนรู้เพื่อฝึกให้นักเรียนรู้จักวิธีในการแสวงหาความรู้ ซึ่งในโลกปัจจุบันการศึกษาต้องเป็นการเรียนรู้
ตลอดชีวิต การจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้แสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
อย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่นักเรียนร่วมกันกำหนดเรื่องที่ต้องการเรียนรู้แล้ว
ดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้นักเรียนได้เรียนรู้
จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้ ส่งผลให้นักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้ มีความ
กระตือรือร้นที่จะเรียน คิดเป็น ทำเป็น และถ่ายทอดเป็น สิ่งที่นักเรียนได้รับไม่ใช่เพียงความรู้
(Knowledge) แต่เป็นวิธีการหาความรู้ (Searching) รวมถึงการประเมินข้อมูลความรู้ ซึ่งจะเป็น
สมรรถนะตดิ ตัวนักเรยี น
10
2. กระบวนการเรียนรู้เชงิ รุก (Active Learning)
การปรับหลักสูตรให้เป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ เป็นทางเลือกหนึ่งที่มีศักยภาพที่จะตอบ
โจทยป์ ญั หาของครแู ละนกั เรียนที่เกดิ ขึน้ เนือ่ งจากเป็นหลักสูตรท่ีมีความยดื หยุ่น และการจัดการเรียนรู้
โดยใช้กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาสมรรถนะที่จำเปน็
ตอ่ การใชช้ ีวติ การทำงาน การเรียนรู้ และการแกป้ ัญหาต่าง ๆ ช่วยใหค้ รูสามารถพัฒนาเด็กทมี่ ีความพร้อม
แตกต่างกันได้รับการพัฒนาเป็นลำดับขั้น รวมทั้งช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะ สามารถปรับตัวได้
ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และความต้องการใหม่ ๆ ของสังคมและโลกในศตวรรษที่ 21 ดังน้ัน
กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) จึงเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ครูผู้สอนควรนำมาใช้เพื่อให้
ผู้เรียนมิได้เป็นผู้รับความรู้หรือข้อมูลที่ผู้อื่นถ่ายทอดมาให้เท่านั้น ผู้เรียนจะต้องเป็นฝ่ายรุก คือ
มีความตื่นตัวที่จะต้องศึกษาจัดกระทำข้อมูล และสร้างความเข้าใจในข้อมูล หรือความรู้นั้น ๆ ให้แก่
ตนเองเพ่อื ทำใหส้ ง่ิ ทเี่ รยี นรู้มีความหมายต่อตนเอง อันจะสง่ ผลให้สามารถนำความรู้น้นั ไปใช้ประโยชน์ได้
ซึ่งในกระบวนการสร้างความเข้าใจให้แก่ตนเองจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้อย่างตื่นตัว ( active
learning) ทั้งทางกาย (physically active) สติปัญญา (intellectually active) สังคม (socially
active) และอารมณ์ (emotionally active) และกระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มาจากทฤษฏี
การเรียนรแู้ บบสร้างสรรค์ (Constructivist) ซึง่ แทม เอ็ม (2000) ได้กำหนดคุณลักษณะกลยุทธ์พ้ืนฐาน
การสอนโดยการเรียนแบบสร้างสรรค์ไว้ 4 ประการ คอื
1. มีการแบง่ ปันความรรู้ ะหว่างครูและนักเรียน
2. ครูและนักเรยี นมีความสำคัญเทา่ เทียมกนั
3. บทบาทของครเู ป็นผูอ้ ำนวยความสะดวกหรอื เป็นผ้แู นะนำ ช้แี นะ
4. กลุม่ การเรยี นรูจ้ ะประกอบดว้ ยนักเรยี นท่มี ีความแตกต่างกันในจำนวนน้อย
กระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก มีนักวิชาการและนักการศึกษาได้สรุปกระบวนการ
จดั การเรียนรู้เชงิ รุก ดงั นี้
มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เชิงรุก
(Active Learning) ว่า สงิ่ สำคญั คอื ต้องวิเคราะหว์ า่ นักเรียนควรเรียนรู้อะไรและอย่างไรในชั้นเรียนหรือ
นอกชน้ั เรียน ไมว่ ่าจะเรยี นดว้ ยตนเองหรือเรียนกบั ผู้อืน่ ตลอดจนวธิ ีดำเนนิ กิจกรรมในช้ันเรียนและนอก
ชั้นเรียนที่ใช้กลยุทธ์การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) มากขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ จำนวน 6
ขนั้ ตอน ดังน้ี
11
ขน้ั ตอนท่ี 1 วิเคราะห์ความต้องการในการใช้กลยุทธ์การเรยี นรเู้ ชิงรกุ (Analyzing needs
for implementing an Active Learning strategy) เปน็ การถามตนเองก่อนท่จี ะตัดสนิ ใจเลอื กกลยุทธ์
การเรยี นรูเ้ ชิงรุก (Active Learning) ให้วิเคราะห์ความต้องการว่า
1) หลักฐานและข้อมูล มีหลักฐานอะไรบ้างที่แสดงว่ากลยุทธ์การเรียนรู้เชิงรุกจะช่วย
เพิ่มประสิทธิภาพการเรยี นการสอนหรือปรบั ปรุงการเรยี นรู้ กลยทุ ธ์การเรียนรู้เชงิ รกุ นี้จะชว่ ยให้นักเรียน
บรรลุวัตถุประสงค์การเรียนรู้ได้อย่างไร มีข้อมูลเชิงสังเกตหรือเป็นรูปธรรมอะไรบ้างเกี่ยวกับห้องเรียน
ทส่ี ามารถแจง้ ให้ทราบว่าเหตใุ ดจงึ ต้องเปล่ียนแปลงและจะเปล่ียนแปลงอยา่ งไร เอกสารงานวิจัยแนะนำ
อะไรเก่ยี วกบั หัวขอ้ เฉพาะและแนวทางที่ดีท่ีสดุ ในการสอนเรือ่ งน้ี
2) ความท้าทายในการสอน อะไรคือความท้าทายในชั้นเรียนปัจจุบัน แนวคิดหรือ
หัวข้อใดที่นักเรียนมีปัญหามากที่สุดจากการสังเกต การตอบกลับของนักเรียนในชั้นเรียน คะแนน
แบบทดสอบ/ทดสอบ และ/หรอื งานมอบหมายอ่นื ๆ
3) กลยุทธ์ ตามความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะและข้อมูลที่ได้รวบรวมในชั้นเรียนและ
นักเรียน กลยุทธ์การเรียนรู้เชิงรุกมีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร มีตัวอย่างกลยุทธ์การเรียนรู้เชิงรุก
ทเ่ี ปน็ ประโยชน์ต่อนกั เรยี นหรือไม่
ข้ันตอนท่ี 2 ระบุหัวข้อและคำถาม (Identify Topic and Questions)
เริ่มแรกคือ การระบุหัวข้อที่ต้องการใช้กลยุทธ์การเรียนรู้เชิงรุก และระบุคำถาม
ทีค่ รอบคลุมเกย่ี วกับหวั ข้อน้ี
ตวั อย่าง: หวั ขอ้ : มลพษิ ทางน้ำในแม่นำ้ ฮัดสนั นครนิวยอร์ก
คำถาม: แม่น้ำฮัดสันมีมลพิษจริงหรือ ระดับที่ยอมรับได้คืออะไร ใครเป็น
ผกู้ ำหนดระดับเหลา่ น้ี มคี ำตอบที่ถกู ตอ้ งสำหรบั ปัญหานีห้ รอื ไม่
ขั้นตอนที่ 3 ระบุวัตถุประสงค์และผลลัพธ์การเรียนรู้ (Identify learning objectives
& outcomes)
กำหนดวัตถุประสงคแ์ ละผลลพั ธ์การเรยี นรู้สำหรับแตล่ ะหัวขอ้
- ตัวอย่างการเขียนวัตถุประสงค์และผลลัพธ์การเรียนรู้ : นักเรียนจะร่วมมือกันเป็น
กลุ่มเลก็ (2-3 คน) เพ่ือทำการศกึ ษาวิจยั เรอ่ื งมลพิษทางน้ำ
- ผลลัพท์การเรียนรู้ : นักเรียนจะแสดงความเข้าใจโดยการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์
ข้อมูล และรายงานผลตามมาตรฐานการวิจัยระดับมืออาชีพ พร้อมทั้งนำเสนอผลลัพธ์การเรียนรู้ด้วย
วาจาและภาพตอ่ ชัน้ เรียน
ขั้นตอนท่ี 4 วางแผนและออกแบบกจิ กรรม (Plan and Design the Activity)
เมือ่ กำหนดวัตถุประสงค์และผลลัพธ์การเรยี นรู้ได้ชัดเจนแล้ว สามารถเร่มิ วางแผนและ
ออกแบบกจิ กรรมโดยพจิ ารณาจากคำถามต่อไปน้ี
- กิจกรรมจะเกิดขึ้นในห้องเรียน นอกห้องเรียน หรือทั้งสองอย่าง เตรียมแผน
ระยะเวลาเพือ่ จัดกิจกรรมและใหน้ ักเรยี นทำงานได้
- ใหค้ ำแนะนำท่ีชดั เจนและเฉพาะเจาะจงแกน่ กั เรยี นก่อนเร่ิมกจิ กรรม
- อธิบายว่านักเรยี นจะมีส่วนร่วมกันและทำกิจกรรมอยา่ งไร รา่ งขน้ั ตอน
- กำหนดและสือ่ สารกฎพนื้ ฐานและแนวทางสำหรบั มารยาทในกล่มุ
12
- กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบสำหรบั งานกลุ่ม การทำงานหรือการอภปิ รายรว่ มกัน
- จัดเตรียมวาระการประชุมที่มีไทม์ไลน์ของหัวข้อและกิจกรรมที่จะกล่าวถึงในช่วงทำ
กจิ กรรม
- แสดงความคดิ เห็นดว้ ยวาจาทส่ี อดคล้องและยตุ ธิ รรม
- พิจารณาว่ากิจกรรมในชั้นเรียนจะดำเนินต่อไปอย่างไรหลังเลิกเรียนเพื่อขยาย
กระบวนการเรยี นรู้และประสบการณ์
- สื่อสารกับนักเรียนหลังจบกิจกรรม เตรียมเกณฑ์การประเมิน (Rubric) เพื่อประเมิน
ความพยายามของนักเรียน กำหนดประเภทเทคโนโลยีหรือสื่อที่ต้องการสำหรับห้องเรียน เพื่อให้
นักเรยี นเข้าถงึ นอกหอ้ งเรียน ฯลฯ
ขั้นตอนที่ 5 ระบุลำดบั เหตุการณ์การเรียนรู้ (Identify Sequence of Learning Events)
ต่อไป ให้วางแผนลำดับเหตุการณ์การเรียนรู้ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์และผลลัพธ์การเรียนรู้ได้ดีที่สุด
การเรียนรู้เชิงรุกไม่จำเป็นต้องมาแทนที่การบรรยายแบบเดิม ๆ อาจจะสลับกับวิธีที่มักจะดำเนินการ
ในชั้นเรียน ตัวอย่างเช่นผู้สอนสามารถบรรยายเป็นเวลา 10-15 นาที ทำกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก
จากนั้นกลับไปทีก่ ารบรรยาย หรือหนึง่ สัปดาห์สามารถบรรยาย แต่มอบหมายกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก
สำหรับการบ้าน จากนั้นในสัปดาห์หน้า สามารถพลิกชั้นเรียนและทำแบบฝึกหัดการเรียนรู้เชิงรุกกับ
นกั เรียนที่คุน้ เคยกับส่ือการสอนในช่วงเวลาเรยี นอยู่แลว้ มีหลายวิธใี นการจัดลำดับเหตุการณ์การเรียนรู้
งานของผู้สอนคือการคิดอย่างรอบคอบผ่านการวางแผนและออกแบบกิจกรรมเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้
ของผูเ้ รียน
ขั้นตอนท่ี 6 ประเมินและสรุปผล (Evaluate and Assess) ขั้นนี้ควรวิเคราะห์
ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกและประเมินว่ากิจกรรมนั้นช่วยให้นักเรียนเข้าใจและบรรลุ
วตั ถุประสงค์การเรยี นรทู้ ี่เก่ยี วขอ้ งหรอื ไม่
หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2562) ได้สรุปว่า
Active Learning เป็นกระบวนการเรียนการสอนอย่างหนึ่งที่เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติหรือการลงมือทำ
ซึง่ ความร้ทู เี่ กดิ ข้ึนก็เป็นความรู้ท่ีได้จากประสบการณ์ กระบวนการในการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียน
ต้องได้มีโอกาสลงมือกระทำมากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว ครูต้องจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดย
การอ่าน การเขียน การโต้ตอบ และการวิเคราะห์ปัญหา อีกทั้งให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดขั้นสูง ได้แก่
การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า Active Learning จงึ เปน็ กระบวนการเรียนร้ทู ีใ่ ห้ผเู้ รยี น
ได้เรียนรู้อย่างมีความหมาย โดยการร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน ในการนี้ ครูต้องลดบทบาทในการ
สอนและการให้ข้อความรู้แก่ผู้เรียนโดยตรง แต่ไปเพิ่มกระบวนการและกิจกรรมที่จะทำให้ผู้เรียนเกิด
ความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น และอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ โดยการพูด การเขียน การอภิปรายกับเพื่อน ๆ กระบวนการเรียนรู้ Active Learning
ทำให้ผู้เรียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้ Passive
Learning เพราะกระบวนการเรียนรู้ Active Learning สอดคล้องกับการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับ
ความจำ โดยสามารถเก็บและจำสิ่งที่ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ผู้สอน
สิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ได้ผ่านการปฏบิ ัติจริง จะสามารถเก็บความจำในระบบความจำระยะยาว (Long
Term Memory) ทำใหผ้ ลการเรียนรูย้ งั คงอยูไ่ ด้ในปริมาณท่ีมากกว่า ระยะยาวกวา่ ซงึ่ อธบิ ายไว้ ดังรปู
13
แผนภาพที่ 2 กรวยแหง่ การเรียนรู้ (The Cone of Learning) (ที่มา : Dale. E., 1969)
จากภาพจะเห็นได้ว่า กรวยแห่งการเรียนรู้นี้ได้แบ่งเป็น 2 กระบวนการ คือ กระบวน
การเรียนรู้ Passive Learning และกระบวนการเรียนรู้ Active Learning ในที่นี้ จะกล่าวถึง ในส่วน
ที่เปน็ active learning
3. รูปแบบของการจัดการเรยี นรู้เชงิ รุก
นักวิชาการและนกั การศกึ ษาได้สรุปรูปแบบการจดั การเรยี นรูเ้ ชงิ รุก ดังนี้
หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน (2562) ได้สรุปรูปแบบ
การจดั การเรียนรเู้ ชิงรกุ ดังนี้
1. การเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) เป็นการสอนที่ส่งเสริม
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจเชิงนามธรรม
เหมาะกบั รายวิชาท่เี นน้ ปฏบิ ัตหิ รือเน้นการฝึกทักษะ สามารถใช้จดั การเรยี นการสอนได้ทง้ั เป็นกลุ่ม และ
เป็นรายบุคคล หลักการสอนคือ ผู้สอนวางแผนจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์จำเป็นต่อ
การเรียนรู้ กระตุ้นให้ผู้เรียนสะท้อนความคิด อภิปราย สิ่งที่ได้รับจากสถานการณ์ ตัวอย่างเทคนิคการสอน
ท่ีใชใ้ นการจัดการเรียนรแู้ บบเนน้ ประสบการณ์ ได้แก่ เทคนิคการสาธติ และเทคนิคเน้นการฝึกปฏิบัติ
1.1 เทคนิคการสอนแบบการสาธิต ผู้สอนวางแผนการสอนและออกแบบกิจกรรม
การเรียนรู้ โดยแบ่งสัดส่วนเวลาสำหรับการบรรยายเน้ือหาและการสาธิต พร้อมกับคัดเลือกวิธีการที่จะ
ลงมือปฏิบัติให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โดยถ้าเป็นกิจกรรมกลุ่มจะต้องมีการวางโครงสร้างการทำงานกลุ่ม
การแบ่งหน้าที่ และมีการสลับหมุนเวียนกันทุกครั้ง จากนั้นดำเนินการบรรยายเนื้อหาและส าธิต
โดยขณะสาธิตจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนซักถาม ผู้สอนแนะนำเทคนิคปลีกย่อย จากนั้นให้ผู้เรียนลงมือ
ปฏิบัตแิ ละผู้สอนประเมินผู้เรียนโดยการสงั เกตพร้อมกับให้คำแนะนำในจุดท่บี กพร่องเป็นรายบุคคลหรือ
เป็นรายกลุ่ม เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติกิจกรรม ผู้สอน และผู้เรียนร่วมกันอภิปราย สรุปผลสิ่งที่ได้เรียนรู้
จากการลงมือปฏิบตั ิ
14
1.2 เทคนิคการสอนแบบเน้นฝึกปฏิบัติ ผู้สอนวางแผนและออกแบบกิจกรรมทีเ่ น้น
การฝึกทักษะ เช่น การฝึกทักษะทางภาษาโดยจัดกิจกรรมทีก่ ระตุ้นให้ผู้เรยี นได้ฝึกทักษะช้า ๆ อาจเป็น
ในลักษณะใช้โปรแกรมช่วยสอน สำหรับการฝึกโดยผู้สอนมีบทบาทให้คำแนะนำอำนวยความสะดวก
กระตนุ้ ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในช้ันเรียน
2. การสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning) โดยการสอนแบบโครงงาน
สามารถจัดเป็นกิจกรรมกลุ่มหรือกิจกรรมเดี่ยวก็ได้ ให้พิจารณาจากความยาก–ง่าย และ
ความเหมาะสมของโจทย์งาน และคุณลักษณะที่ต้องการพัฒนาวางแผนและกำหนดเกณฑ์อย่างกว้าง ๆ
แล้วให้ผู้เรียนวางแผนดำเนินการศึกษาค้นคว้าข้อมูลด้วยตนเอง โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้ให้คำปรึกษา
จากนั้นให้ผูเ้ รียนนำเสนอแนวคิดการออกแบบช้ินงานพร้อมให้เหตผุ ลประกอบจากการค้นคว้า ให้ผู้สอน
พจิ ารณาร่วมกับการอภปิ รายในช้ันเรียน จากนั้นผูเ้ รียนลงมือปฏบิ ตั ิทำชิน้ งาน และส่งความคืบหน้าตาม
กำหนดการประเมินผลจะประเมนิ ตามสภาพจริง โดยมเี กณฑ์การประเมนิ กำหนดไวล้ ว่ งหน้าและแจ้งให้
ผเู้ รียนทราบก่อนลงมอื ทำโครงการ และมีการเชญิ ผู้ทรงคณุ วฒุ ิรว่ มประเมินผล
3. การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) เป็นการสอน
ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดจากเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ีกำหนด ด้วยการศึกษาปัญหาที่สมมติขึ้นจาก
ความจรงิ แล้วผูส้ อนกับผ้เู รียนรว่ มกันวิเคราะหป์ ัญหาเสนอวิธีแก้ปัญหา หลักของการสอนแบบใช้ปัญหา
เป็นฐานคือการเลือกปัญหาท่ีสอดคล้องกับเนื้อหาการสอนและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคำถาม วิเคราะห์
วางแผนกำหนดวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง โดยผู้สอนมีบทบาทให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนขณะลงมือแก้ปัญหา
สุดท้ายเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแก้ปัญหา ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปผลการแก้ปัญหา
และแลกเปลี่ยนเรียนรถู้ งึ สง่ิ ทไี่ ดจ้ ากการลงมอื แกป้ ัญหา
4. การสอนที่เน้นทักษะกระบวนการคิด (Thinking Based Learning) เป็นกระบวนการ
สอนทีผ่ สู้ อนใชเ้ ทคนิค วิธกี ารกระต้นุ ให้ผเู้ รียน คดิ เป็นลำดบั ขน้ั แล้วขยายความคิดต่อเนื่องจากความคิด
เดิมพิจารณาแยกแยะอย่างรอบด้าน ด้วยให้เหตุผล และเชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่มี จนสามารถสร้าง
สิง่ ใหม่หรือตดั สินประเมินหาขอ้ สรปุ แลว้ นำไปแก้ปญั หาอย่างมีหลกั การ
4.1 การคิดวิเคราะห์ หมายถึง การพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ในส่วนย่อย ๆ ซึ่งประกอบด้วย
การวิเคราะห์เนื้อหา ด้านความสัมพันธ์และด้านหลักการจัดการโครงสร้างของการสื่อความหมาย และ
สอดคล้องกับกระบวนการคิดวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ คือ การคิดจำแนก รวบรวมเป็นหมวดหมู่ และ
จับประเด็นต่าง ๆ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ ดังนั้น การคิดเชิงวิเคราะหเ์ ปน็ ทักษะการคิดที่สามารถพฒั นา
ใหเ้ กดิ กับผเู้ รียน
4.2 การคิดสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการคิดที่ดึงองค์ประกอบต่าง ๆ
มาหลอมรวมกันภายใต้โครงรา่ งใหม่อย่างเหมาะสม เพอ่ื ใหเ้ กิดสิ่งใหมท่ ่ีมลี ักษณะเฉพาะแตกตา่ งไปจากเดิม
การคิดสังเคราะห์ครอบคลุมถึงการค้นคว้า รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะคิดซึ่งมีมากหรือ
กระจายกันอยู่มาหลอมรวมกัน คนที่คิดสังเคราะห์ได้เร็วกว่าย่อมได้เปรียบกว่าคนที่สังเคราะห์ไม่ได้
ซ่งึ จะทำใหเ้ ข้าใจและเห็นภาพรวมของสิ่งน้นั ได้มากกว่า การคดิ สงั เคราะหแ์ บง่ เปน็ 2 ลักษณะ คอื
- การคิดสังเคราะห์เพื่อสร้างสิ่งใหม่ เช่น ประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ อุปกรณ์
ตา่ ง ๆ ตามตอ้ งการ
15
- การคิดสังเคราะห์เพื่อสร้างแนวคิดใหม่ เป็นการพัฒนาและคิดค้นแนวคิดใหม่
ถา้ เราสามารถคดิ สงั เคราะห์ไดด้ ี จะทำใหพ้ ัฒนาความคดิ หรือสิ่งใหม่ ๆ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ สังคม
4.3 การคิดสร้างสรรค์ หมายถึง ความคิดใหม่ ๆ แนวทางใหม่ ๆ ทัศนคติใหม่ ๆ
ความเข้าใจและการมองปัญหาในรูปแบบใหม่ ผลลัพธ์ของความคิดสร้างสรรค์ที่ชัดเจน คือ ดน ตรี
การแสดง วรรณกรรม ละคร สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรมทางเทคนิค แต่บางครั้งความคิดสร้างสรรค์ก็มอง
ไม่เห็นชัดเจน เช่น การตั้งคำถาม บางอย่างที่ช่วยขยายกรอบของแนวคิดซึ่งให้คำตอบบางอย่าง หรือ
การมองโลกหรือปัญหาในแนวนอกกรอบความคิดสร้างสรรค์ คือ ความคิดเชื่อมโยงที่พยายาม
หาทางออกหลาย ๆ ทาง ใช้ความคิดที่หลากหลาย แสวงหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ และนอกกรอบ คัดสรร
หาทางเลอื กใหม่ ๆ และพยายามปรับปรุงใหด้ ขี ึ้นเรือ่ ย ๆ ซง่ึ มีวธิ ีการอยู่ 6 ขนั้ ตอน คอื
1) แสวงหาขอ้ บกพร่อง (Mess Finding)
2) รวบรวมขอ้ มูล (Data Finding)
3) มองปัญหาทุกด้าน (Problem Finding)
4) แสวงหาความคิดทีห่ ลากหลาย (Idea Finding)
5) หาคำตอบทรี่ อบด้าน (Solution Finding)
6) หาขอ้ สรปุ ท่ีเหมาะสม (Acceptance Finding)
กระบวนการของความคิดสร้างสรรค์ อาจเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือโดยความตั้งใจ
ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการศึกษา การอบรมฝึกฝน การระดมสมอง (Brain-storming) มากกว่าครึ่งหน่ึง
ของการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของโลก เกิดจากการค้นพบโดยบังเอิญ (Serenity) หรือการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ
ในขณะท่กี ำลังต้องการค้นพบส่ิงอ่ืนมากกว่า
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2562) ได้สรุปรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ Active
Learning ไว้ดงั นี้
การจัดการเรียนการสอนเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
สามารถสรา้ งใหเ้ กิดขึ้นได้ทั้งในและนอกห้องเรยี น รวมทงั้ สามารถใช้ได้กบั ผ้เู รียนทุกระดบั ท้ังการเรียนรู้
เปน็ รายบคุ คล การเรยี นรู้แบบกล่มุ เล็ก และการเรยี นรู้แบบกลุ่มใหญ่ รูปแบบการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
ท่จี ะชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเกิดการเรยี นร้แู บบ Active Learning ไดด้ ี มดี งั น้ี
1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) คือการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับประเด็นที่กำหนดคนเดียว 2-3 นาที (Think) จากนั้นให้แลกเปลี่ยน
ความคดิ กับเพ่ือนอกี คน 3-5 นาที (Pair) และนำเสนอความคิดเห็นต่อผเู้ รียนท้ังหมด (Share)
2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative Learning Group) คือการจัดกิจกรรม
การเรยี นรูท้ ี่ให้ผเู้ รยี นไดท้ ำงานรว่ มกบั ผู้อืน่ โดยจัดกล่มุ ๆ ละ 3-6 คน
3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led Review Sessions) คือ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทบทวนความรู้และพิจารณาข้อสงสัยต่าง ๆ ในการ
ปฏบิ ตั ิกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยครูจะคอยช่วยเหลือกรณีทม่ี ปี ัญหา
4. การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนำเกม
เข้ามาบูรณาการในการเรียนการสอน ซึ่งใช้ได้ทั้งในขั้นการนำเข้าสู่บทเรียน การสอน การมอบหมายงาน
และหรอื ขน้ั การประเมินผล
16
5. การเรียนรูแ้ บบวิเคราะหว์ ีดีโอ (Analysis or Reactions to Videos) คือการจดั
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ดูวีดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็น หรือสะท้อน
ความคิดเกยี่ วกบั สง่ิ ทไี่ ด้ดู อาจโดยวธิ ีการพดู โต้ตอบกนั การเขียน หรือการรว่ มกนั สรุปเปน็ รายกลุม่
6. การเรียนรู้แบบโต้วาที (Student Debates) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัด
ให้ผู้เรียนไดน้ ำเสนอข้อมูลทไ่ี ด้จากประสบการณ์และการเรียนรู้ เพอ่ื ยืนยนั แนวคิดของตนเองหรอื กลุม่
7. การเรียนรู้แบบผู้เรียนสร้างแบบทดสอบ (Student Generated Exam Questions)
คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทใ่ี หผ้ เู้ รียนสรา้ งแบบทดสอบจากส่งิ ทไ่ี ด้เรียนรู้มาแลว้
8. การเรียนรู้แบบกระบวนการวิจัย (Mini-research Proposals or Project) คือ
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่อิงกระบวนการวิจัย โดยให้ผู้เรียนกำหนดหัวข้อที่ต้องการเรียนรู้
วางแผนการเรียน เรียนรู้ตามแผน สรุปความรู้หรือสร้างผลงานและสะท้อนความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้
หรอื อาจเรยี กว่าการสอนแบบโครงงาน (Project-Based Learning) หรอื การสอนแบบใช้ปญั หาเปน็ ฐาน
(Problem-Based Learning)
9. การเรียนรู้แบบกรณีศึกษา (Analyze Case Studies) คือการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้อ่านกรณีตัวอย่างที่ต้องการศึกษา จากนั้นให้ผู้เรียนวิเคราะห์และแลกเปลี่ยน
ความคดิ เห็นหรอื แนวทางแกป้ ญั หาภายในกลุม่ แลว้ นำเสนอความคิดเห็นตอ่ ผู้เรยี นทัง้ หมด
10. การเรียนรู้แบบการเขียนบันทึก (Keeping Journals or Logs) คือการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้พบเห็น หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
รวมท้ังเสนอความคิดเพ่มิ เติมเก่ียวกบั บนั ทึกที่เขียน
11. การเรียนรู้แบบการเขียนจดหมายข่าว (Write and Produce a Newsletter)
คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนร่วมกันผลิตจดหมายข่าว อันประกอบด้วย บทความ ข้อมูล
สารสนเทศ ข่าวสาร และเหตกุ ารณ์ทเี่ กิดข้ึน แล้วแจกจ่ายไปยังบุคคลอื่น ๆ
12. การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด (Concept Mapping) คือการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอความคิดรวบยอด และความเชื่อมโยงกัน
ของกรอบความคิด โดยการใช้เส้นเป็นตัวเชื่อมโยง อาจจัดทำเป็นรายบุคคลหรืองานกลุ่ม แล้วนำเสนอ
ผลงานตอ่ ผู้เรยี นอื่น ๆ จากนัน้ เปดิ โอกาสให้ผู้เรยี นคนอื่นไดซ้ กั ถามและแสดงความคิดเห็นเพ่ิมเติม
หนว่ ยที่ 3 การวัดและประเมินผลการเรยี นรฐู้ านสมรรถนะ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ คณะทำงานยกร่างสาระสำคัญของ
การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาจารย์
ประจำกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ฝ่ายมัธยม (กนก จันทรา, 2563) กล่าวถงึ มติ ขิ องการประเมินว่าเปน็ การประเมนิ ประสบการณ์การเรียนรู้
ที่มีความหมาย สร้างแรงจูงใจ และส่งเสริมให้นักเรียนแสดงออกถึงการพัฒนาสมรรถนะตามเกณฑ์
การปฏบิ ัติ (Performance Criteria) ท่ีกำหนดเป็นการวดั แบบอิงเกณฑ์ การประเมนิ ความก้าวหน้าของ
ตนเองเมื่อนักเรียนพร้อม นักเรียนได้รับทราบเกณฑ์การประเมินและข้อมูลพัฒนาการของตนเอง
ที่ชัดเจนเพื่อเป็นข้อมูลป้อนกลับในการพัฒนาสมรรถนะ นักเรียนสามารถเลื่อนระดับการพัฒนาได้
(Advancement) หากแสดงถึงหลักฐานหรือร่องรอยการปฏิบัติ (Evidence) ที่บ่งบอกความชำนาญ
17
(Mastery) ของนักเรียน หากไม่ผ่านนักเรียนจะได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีเพื่อพัฒนาสู่ระดับ
สมรรถนะข้ันถัดไป ซ่ึงมีแนวทางการประเมนิ ดงั นี้
1. การประเมินพฤติกรรมที่สะท้อนสมรรถนะ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนานักเรียน
เป็นรายบุคคลให้มีระดับความเชี่ยวชาญที่สูงขึ้น ทุกคนสามารถได้รับการประเมินบนฐานของ
ความแตกต่างตามศักยภาพของนกั เรยี น
2. เป็นการประเมินที่ต้องใช้วิธีการและเครื่องมือที่หลากหลาย มีความเที่ยงตรง โปร่งใส
ยุตธิ รรม เช่ือมน่ั ได้ สอดคล้องตามสภาพปัจจบุ ันที่เป็นจริง ใช้การวดั และประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่ง
ของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ต้องดำเนินการวิธีการที่หลากหลาย น่าเชื่อถือ เพื่อให้สามารถวัดและ
ประเมินผลนักเรียนได้อย่างรอบด้านทั้งด้านความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะตามความเป็นจริง
และเปน็ ความสามารถทย่ี งั คงติดตวั นกั เรยี นทีเ่ ป็นปจั จุบนั
3. การประเมินมาจากร่องรอยหรือข้อมูลหลักฐานที่แสดงออกหรือผลงาน/ชิ้นงานที่สร้าง
เก็บรวบรวมหลกั ฐานในรปู แบบของแฟ้มสะสมงาน
4. ใช้การประเมินเป็นการเรียนรู้ การประเมินเพื่อการเรียนรู้ และการประเมินผล
การเรียนรู้เน้นการลงมือปฏิบัติ เพื่อให้โอกาสนักเรียนแสดงทักษะสำคัญในสถานการณ์จริงหรือ
สถานการณจ์ ำลองท่ใี กลเ้ คยี งกับความเป็นจรงิ
5. สนบั สนนุ ให้นกั เรยี นมีสว่ นร่วมในการประเมิน รวมทั้งติดตามการพัฒนาความเช่ยี วชาญ
ในแต่ละสมรรถนะของนักเรยี น เปิดโอกาสให้นักเรยี นและผูเ้ กี่ยวข้องรับรู้ และมีส่วนรว่ มในการกำหนด
วิธีการ รปู แบบและเกณฑก์ ารประเมนิ ท่จี ะใชว้ ัดและประเมินนักเรยี นอยา่ งรอบดา้ น
6. ให้สารสนเทศจากการประเมินเป็นข้อมูลย้อนกลับในการพัฒนานักเรียนรายบุคคล
ใหส้ ามารถพัฒนาสรู่ ะดับทส่ี ูงขนึ้
วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล (2562) ได้กล่าววา่ การประเมินตามสภาพจริงอิงสมรรถนะ
หมายถึง การประเมินทักษะความสามารถของผู้เรียนที่นำความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งทัศนคติ
มาแสดงออกหรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามระดับมาตรฐานที่กำหนด โดยใช้วิธีการประเมิน และ
แหล่งขอ้ มูลสำหรับประเมินอย่างหลากหลาย สอดคล้องกับสภาพการจดั การเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะ
ที่ประเมินมุ่งเน้นการประเมินเพื่อพัฒนา (Assessment for Improvement) การประเมินตามสภาพจริง
อิงสมรรถนะช่วยทำให้ผู้สอน ผู้บริหาร ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษามีสารสนเทศเพื่อนำไป
ปรับปรุงและพัฒนาผู้เรียนใหม้ สี มรรถนะตามท่ีมาตรฐานหลักสูตรกำหนด โดยสามารถใชว้ ธิ กี ารประเมิน
ได้อยา่ งหลากหลายตอบสนองธรรมชาตขิ องตัวชวี้ ดั เชงิ พฤตกิ รรมตามแนวทางดังตอ่ ไปน้ี
1. การประเมินจากการปฏิบัติในสภาพจริงควบคู่กับการจัดการเรียนการสอนและ
การเรยี นรู้
2. การประเมินท่คี ำนึงถึงรูปแบบการเรียนรขู้ องผ้เู รยี นตามความถนัดและความสนใจ
3. การกำหนดเกณฑ์การประเมินต้องสามารถยอมรับได้ทั้งผู้เรียน ผู้สอนและผู้เกี่ยวข้อง
รวมท้งั การประเมินแบบมสี ว่ นร่วมระหว่างเพือ่ น ผู้สอน และผู้เกย่ี วขอ้ ง
4. การประเมินตนเองจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองด้านทักษะการเรียนรู้ คุณภาพ
ของผลงาน
18
5. วธิ กี ารประเมนิ อาจเลอื กใช้วธิ กี ารดงั ต่อไปนี้
5.1 การสงั เกตแบบมโี ครงสรา้ งและไม่มโี ครงสรา้ ง
5.2 การสมั ภาษณ์
5.3 การรายงานตนเอง
5.4 การบนั ทึกจากผเู้ กย่ี วข้อง
5.5 การใชแ้ บบประเมินการปฏิบตั จิ ริง
5.6 การประเมนิ โดยใชแ้ ฟม้ ผลงาน
5.7 การทดสอบภาคปฏิบตั ิ
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2563) กล่าวถึงการวัดสมรรถนะ
เป็นการช่วยให้เห็นความสามารถที่เป็นองค์รวมของผู้เรียน โดยครูทำการทดสอบพฤติกรรมการปฏิบัติ
(Performance Assessment) ของผู้เรียน ตามเกณฑ์ทก่ี ำหนด (Performance Criteria) ซง่ึ จะเน้นการ
ประเมินองค์รวมของสมรรถนะ ดว้ ยเครือ่ งมือประเมินตามความเหมาะสมและประเมินเม่ือผู้เรียนพร้อม
ที่จะรับการประเมิน หากประเมินผ่านผู้เรียนจะสามารถก้าวสู่จุดประสงค์การเรียนรู้ขั้นต่อไปได้ หาก
ยังไม่ผ่านผู้เรียนจะได้รับการสอนซ่อมเสริม จนกระทั่งบรรลุผล ผู้เรียนแต่ละคนจะก้าวหน้าไปตาม
ความสามารถของตน อาจก้าวหน้าไปได้เร็วในบางสาระ และอาจไปได้ช้าในบางสาระตามความถนัดของตน
จำเป็นต้องมกี ารปรับเปลย่ี นใหส้ อดคลอ้ งการจัดการเรยี นรฐู้ านสมรรถนะ โดยมลี ักษณะสำคัญ ดังน้ี
1. การประเมินผลรวบยอดจะมุ่งวดั สมรรถนะท่เี ป็นองค์รวมของความร้ทู ักษะเจตคติ และ
คุณลกั ษณะต่าง ๆ ไม่ใชเ้ วลามากกบั การสอบตามตวั ชวี้ ัดจำนวนมาก
2. วัดจากพฤติกรรมการกระทำการปฏิบัติที่แสดงออกถึงความสามารถในการใช้ความรู้
ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะต่าง ๆ ตามเกณฑ์การปฏิบัติ (Performance Criteria) ที่กำหนดเป็น
การวัดอิงเกณฑ์ มิใช่อิงกลมุ่ และมหี ลักฐานการปฏบิ ัติ (Evidence) ทตี่ รวจสอบได้
3. ใช้การประเมนิ ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) จากสิ่งท่ีผู้เรียนไดป้ ฏบิ ัติจรงิ
และความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน เช่น การประเมินจากการปฏิบัติ (Performance Assessment)
การใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio Assessment) การประเมินตนเอง (Student Self-Assessment)
และการประเมนิ โดยเพ่ือน (Peer Assessment)
4. ใช้สถานการณ์เป็นฐาน เพื่อให้บริบทการวัดและประเมินเป็นสภาพจริงมากขึ้น เช่น
เตรียมบริบทเป็นข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว สถานการณ์จำลอง หรือสถานการณ์เสมือนจริง
ในคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถประเมินไดห้ ลายประเด็นในสถานการณ์เดยี วกัน
5.ประเมินผู้เรียนไปตามลำดับขั้นของสมรรถนะที่กำหนด หากไม่ผ่านจะต้องได้รับ
การซ่อมเสรมิ จนกระทัง่ ผ่านจงึ จะกา้ วไปส่ลู ำดบั ข้ันต่อไป
6. การรายงานผลโดยการให้ข้อมูลพัฒนาการและความสามารถของผู้เรียน ตามลำดับขั้น
ท่ผี เู้ รยี นทำได้ตามเกณฑ์ทก่ี ำหนด
สรุปได้วา่ การประเมินผลการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะ เปน็ การประเมินความสามารถของผู้เรียน
ในการปฏิบัติ (Performance Assessment) การนำองค์ความรู้ ทักษะและเจตคติ จากการจัดการ
เรียนรู้สู่การสร้างภาระงาน ผลงาน/ชิ้นงานตามเป้าหมายของการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้ของ
ผ้เู รียน ตามศักยภาพ ความถนัดและความสนใจ เป็นการประเมนิ การพฒั นา (Formative Assessment)
19
เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (Assessment for Learning) และเพื่อสรุปผลการเรียนรู้ (Summative
Assessment) ซึ่งครูจะต้องวัดและประเมินโดยเริ่มตั้งแต่การจัดการเรียนรู้ ขณะเรียนรู้จนถึงการ
นำเสนอภาระงาน ผลงาน/ชิ้นงาน ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การจดบันทึก การทดสอบ
การสอบถาม และการประเมินคุณภาพของภาระงาน ผลงาน/ชิ้นงาน และใช้เครื่องมือชนิดต่างๆ เช่น
แบบตรวจสอบรายการ แบบทดสอบ แบบสอบถาม เกณฑ์การประเมนิ และการตดั สนิ เปน็ ตน้ ซึง่ จะเปน็
การประเมินรายบคุ คล แบบองิ เกณฑ์ และสรปุ ผลเปน็ ระดับความสามารถ
หน่วยที่ 4 แนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
และการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชั้นเรียน ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551
สมรรถนะหลัก 5 ประการเป็นกรอบสมรรถนะที่สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ได้พัฒนาขึ้นเพื่อมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะ
ที่ต้องการ ดังนี้ 1) สมรรถนะการจัดการตนเอง (Self-Management: SM) 2) สมรรถนะการสื่อสาร
(Communication: CM) 3) สมรรถนะการรวมพลัง ทำงานเป็นทีม (Teamwork and Collaboration: TC)
4) สมรรถนะการคิดขั้นสูง (Higher Order Thinking: HOT) และ 5) สมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง
(Active Citizen: AC) และจะประกาศใช้เมื่อมีความพร้อมในการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ ผู้วิจัยจึงได้
ศึกษาแนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ ส่กู ารพัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษาและการจัดการเรียนรู้
ฐานสมรรถนะในชั้นเรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อนำผล
การศกึ ษาไปเป็นแนวทางในการพัฒนาหลกั สตู รสถานศึกษาต่อไป โดยได้จดั ทำแนวทางการนำสมรรถนะ
หลัก 5 ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียน ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 เปน็ 2 ระยะ คือ ระยะท่ี 1 การนำสมรรถนะหลัก 5
ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 และ ระยะที่ 2 การออกแบบและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชั้นเรียน ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตามแผนภาพที่ 3–4 ดงั นี้
ระยะที่ 1 การนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551
20
ศกึ ษาโครงสรา้ งหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
และสมรรถนะหลกั 5 ประการ
จดั ทำโครงสรา้ งหลักสตู รชั้นปีในระดบั ประถมศึกษา/ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้
/ชว่ งชน้ั ในระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลาย
จดั ทำคำอธิบายรายวชิ าทุกรายวิชาฐานสมรรถนะหลัก 5 ประการ
จดั ทำหลกั สตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โดยใช้องคป์ ระกอบ
ของหลักสตู รสถานศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
ขอความเห็นชอบหลักสูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะ
จากคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน
ใชห้ ลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะ
แผนภาพที่ 3 แนวทางการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา
ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
จากแผนภาพ หลักสูตรสถานศึกษาเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ที่ได้
กำหนดคุณภาพของผู้เรียนเมื่อผู้เรียนจบการศึกษาจากสถานศึกษาแล้ว ซึ่งการดำเนินงานผู้บริหาร
สถานศึกษาต้องตระหนักและให้การสนับสนุน ส่งเสริมในทุกด้านเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตาม
วัตถุประสงค์ และสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ผู้ปกครอง ชุมชน องค์กรต่าง ๆ
ตลอดทั้งคณะกรรมการสถานศึกษา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
ในการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ ส่กู ารพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษา ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สถานศึกษาโดยผู้บริหารสถานศึกษา คณะครูควรศึกษาทำความเข้าใจ
ในสว่ นทีเ่ กยี่ วข้องใหถ้ ูกต้องและชดั เจน และดำเนินงานพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษาฐานสมรรถนะ ดงั น้ี
1. โครงสร้างหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งเป็นแกนหลัก
ในการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการเข้าไปสูห่ ลักสูตรสถานศึกษา โดยทบทวนปรับปรุงเอกสารหลักสูตร
สถานศึกษาฐานสมรรถนะในส่วนของบทนำที่ประกอบด้วย ความเป็นมา วิสัยทัศน์ อัตลักษณ์
เอกลักษณ์ สมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นต้น และศึกษาสมรรถนะหลัก 5 ประการ
ทีส่ ำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐานกำหนดใช้ ซ่ึงเปน็ สมรรถนะข้ามศาสตร์และวิชา จะได้รับ
การพัฒนาผ่านการเรยี นรู้แบบบูรณาการ เพื่อให้ผู้เรียนฝึกฝน บ่มเพาะ พัฒนา และแสดงความสามารถ
อย่างสร้างสรรค์ เต็มพลัง และยืดหยุ่น ซึ่งกำหนดระดับความสามารถในแต่ละสมรรถนะเป็น 10 ระดับ
21
โดยในแต่ละสมรรถนะได้กำหนดนิยาม ระดับสมรรถนะ องค์ประกอบ พฤติกรรมบ่งชี้หลัก ตามระดับ
สมรรถนะ เพื่อเป็นเป้าหมายในการพัฒนาสมรรถนะที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนเมื่อจบในแต่ละช่วงชั้น
ที่สอดคล้องตามช่วงวัย การเติบโต และบริบทสิ่งแวดล้อมของผู้เรียน โดยสถานศึกษาศึกษาสมรรถนะ
หลกั 5 ประการ (ในภาคผนวก)
2. จัดทำโครงสร้างหลักสูตรชั้นปีในระดับประถมศึกษา/ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/
ช่วงชั้นในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยปรับปรุงโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วย
โครงสรา้ งเวลาเรียน โครงสร้างหลกั สตู รชัน้ ปี (ยงั คงใช้โครงสร้างหลกั สตู รที่สถานศกึ ษาได้กำหนดไว้ก่อน
แล้ว เน่ืองจากยังไม่มีการประกาศใช้) ซึ่งสถานศึกษาอาจปรับเวลาเรียนโดยกำหนดสมรรถนะหลัก
ในลักษณะการบูรณาการไว้ในรายวิชาพื้นฐาน หรือรายวิชาเพิ่มเติม ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ทุกระดับช้ัน
ได้ตามความเหมาะสม
3. จัดทำคำอธิบายรายวิชาทุกรายวิชาฐานสมรรถนะหลัก 5 ประการ โดยปรับปรุง
คำอธิบายรายวิชาในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้
และพฤติกรรมบ่งชี้ขององค์ประกอบในแต่ละระดับของสมรรถนะแต่ละตัวที่สอดคล้องกับตัวชี้วัด/
ผลการเรียนรู้ แล้วเขียนคำอธิบายรายวิชาเป็นความเรียงและข้อความรายละเอียดของมาตรฐาน
ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ และพฤติกรรมบ่งชี้หลัก และการทบทวนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยสถานศึกษา
สามารถนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ บรู ณาการในการจัดกิจกรรมตามบรบิ ท
4. จดั ทำหลกั สูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ โดยใช้องค์ประกอบของหลักสูตรสถานศึกษา
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยการรวบรวมส่วนที่มีการปรับปรงุ /
พัฒนาคำอธิบายรายวิชาทกุ รายวชิ าเพอ่ื จดั ทำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะ ตามองค์ประกอบของ
หลักสูตรสถานศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รวมทั้ง
สถานศึกษาทบทวนเกณฑ์การจบหลักสูตร ซึ่งยังคงใช้เกณฑ์เดิมตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และนำหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะขอความเห็นชอบจาก
คณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน เพือ่ นำหลกั สูตรสถานศกึ ษาฐานสมรรถนะไปใช้ในชัน้ เรยี น
ส่วนเกณฑ์การประเมินสมรรถนะหลัก 5 ประการ สถานศึกษากำหนดเกณฑ์การประเมิน
สมรรถนะตามช่วงชั้นในแตล่ ะสมรรถนะ
โดยแสดงภาพของการนำสมรรถนะหลัก 5 ประการเข้าไปสู่การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
ดังแผนภาพท่ี 4
22
สมรรถนะการจัดการตนเอง
1. การเห็นคุณค่าในตนเอง
2. การมีเป้าหมายในชีวิต
3. การจัดการอารมณแ์ ละความเครียด
4. การจดั การปญั หาและภาวะวกิ ฤต
สมรรถนะการเป็นพลเมอื งทีเ่ ข้มแข็ง ระดับช้ัน หลักสูตรฯ 2551 สมรรถนะการสอื่ สาร
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
1. พลเมืองรู้เคารพสทิ ธิ 1. การรบั สารอยา่ งมีสติและถอดรหสั เพ่อื ให้เกดิ
2. พลเมืองรบั ผดิ ชอบตอ่ บทบาทหนา้ ที่ รายวิชา ความเขา้ ใจ
3. พลเมืองมสี ว่ นรว่ มอย่างมีวจิ ารณญาณ
4. พลเมอื งผู้สรา้ งการเปลย่ี นแปลง หนว่ ยการเรียนรู้ 2. การรบั ส่งสารบนพื้นฐานความเข้าใจและความเคารพ
ในความคิดเหน็ และวฒั นธรรมทแ่ี ตกต่าง
แผนการจดั การเรียนรู้
กจิ กรรมเสริมอ่ืน 3. การเลือกใชก้ ลวธิ ีการสอ่ื สารอย่างเหมาะสมโดย
คำนึงถงึ ความรับผิดชอบตอ่ สงั คมเพอ่ื บรรลุ
วัตถุประสงค์ในการสื่อสาร
สมรรถนะการคดิ ขน้ั สงู สมรรถนะการรวมพลงั ทำงานเป็นทมี
1. การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ 1. เป็นสมาชิกทีมทีด่ ีและมีภาวะผู้นำ
2. การคิดเชงิ ระบบ 2. กระบวนการทำงานแบบร่วมมือรวมพลงั
3. การคดิ สรา้ งสรรค์
4. การคิดแกป้ ัญหา อย่างเป็นระบบ
3. สรา้ งความสัมพันธท์ ่ดี ีและการจัดการความ
ขัดแยง้
แผนภาพที่ 4 การนำสมรรถนะหลัก 5 ประการ สู่การพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา
23
ระยะที่ 2 การออกแบบและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชั้นเรียน ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551
จดั ทำโครงสร้างรายวิชาฐานสมรรถนะหลัก 5 ประการ
จดั ทำหนว่ ยการเรยี นรฐู้ านสมรรถนะหลัก 5 ประการ
จัดทำแผนการจดั การเรยี นรู้ฐานสมรรถนะตามหนว่ ยการเรียนรู้ทพ่ี ฒั นาขน้ึ
จดั การเรียนรู้ตามหนว่ ยการเรียนร้แู ละแผนการจดั การเรยี นรู้
ฐานสมรรถนะที่พัฒนาขน้ึ
วดั และประเมินผลการเรียนรู้
ตามหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรยี นรูฐ้ านสมรรถนะที่พัฒนาข้ึน
บันทกึ และรายงานผลหลังการจัดการเรยี นรู้
ตามหน่วยการเรียนรแู้ ละแผนการจดั การเรียนรฐู้ านสมรรถนะท่ีพฒั นาขน้ึ
นำผลไปใชใ้ นการปรบั ปรุงพัฒนาผู้เรียนและพฒั นาการจัดการเรยี นรู้
ตามหนว่ ยการเรียนรู้และแผนการจดั การเรยี นรฐู้ านสมรรถนะที่พฒั นาขึ้น
แผนภาพที่ 5 การออกแบบและการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในชั้นเรียนตามหลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551
จากแผนภาพที่ 5 เป็นขั้นตอนการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาที่สำคัญในการกำหนดความ
ต้องการให้ผู้เรียนมีคุณภาพ คุณลักษณะและสมรรถนะอย่างไร ในขั้นตอนนี้ ครู เพื่อนนักเรียน
ครอบครัวและชุมชน ซึ่งมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของผูเ้ รยี นควรมีส่วนรว่ มในการดำเนินงานตัง้ แต่เริ่มตน้
ในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นเจ้าของในการนำหลักสูตรไปใช้ในชั้นเรียน และผู้เรียน
มีคุณภาพ คุณลักษณะและสมรรถนะตามความต้องการ โดยการออกแบบและการจัดการเรียนรู้ฐาน
สมรรถนะในชั้นเรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ผู้บริหาร
สถานศกึ ษา ครูผู้สอนและผ้มู สี ่วนรว่ มดำเนินการ ดังนี้
24
1. นำคำอธิบายรายวิชาฐานสมรรถนะหลัก 5 ประการ มาจัดทำโครงสร้างรายวิชาฐาน
สมรรถนะหลัก 5 ประการ โดยการวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวดั แตล่ ะกล่มุ สาระการเรียนรู้ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนา
ผู้เรียนกับสมรรถนะหลัก 5 ประการ หรือพิจารณาว่าสามารถจัดเป็นกิจกรรมเสริม/สอดแทรกได้
(เปน็ กิจกรรมเสริมทคี่ รผู ้สู อนจดั การเรยี นการสอนเพ่ิมเติม ทีท่ ำใหผ้ ู้เรยี นเกิดสมรรถนะหลัก 5 ประการ)
ซึ่งเป็นการตรวจสอบว่ากิจกรรมที่จัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
และกิจกรรมเสริมหลักสูตรทั้งหมดในสถานศึกษาในแต่ละระดับชั้น สามารถพัฒนา/ส่งเสริมผู้เรียนให้
เกิดสมรรถนะครบทัง้ 5 ประการ ตามระดับช้ันและเม่ือจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งสถานศึกษาสามารถ
จัดทำตารางวิเคราะห์โครงสร้างรายวชิ าดงั ตารางที่ 1 ดังน้ี
ตารางที่ 1 ตัวอย่างโครงสร้างรายวชิ า
โครงสรา้ งรายวิชา
รหัสรายวชิ า......................ชอ่ื รายวิชา...................................... ชั้น .................. เวลา ................ ชั่วโมง
ท่ี ชือ่ หน่วย มาตรฐาน สมรรถนะหลัก สาระ สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั ภาระงาน/
การเรียนรู้ การเรยี นร/ู้ การเรยี นรู้ หรือความคดิ คะแนน ชิ้นงาน รวบยอด
ตัวช้ีวัด รวบยอด
คะแนนระหวา่ งภาค/ปี
คะแนนปลายภาค/ปี
รวม
2. นำผลการวิเคราะห์ไปออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะหลัก 5 ประการ และจัดทำ
แผนการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะตามหน่วยการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบ/
พฤติกรรมบ่งชี้หลักตามสมรรถนะหลักกับมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ หรือปรับ
จุดประสงคต์ ามหนว่ ยการเรยี นรู้/แผนการจัดการเรยี นรู้ โดยวิเคราะห์ความสอดคล้องระหวา่ งพฤติกรรม
บ่งชี้หลักตามสมรรถนะหลักกับจุดประสงค์ตามหน่วยการเรียนรู้/แผนการจัดการเรียนรู้
หน่วยการเรยี นรู้หรอื แผนการจัดการเรยี นรู้ (เนน้ KPA) ซ่งึ ประกอบดว้ ยสมรรถนะหลัก 5 ประการ ระดับ
สมรรถนะ 10 ระดับ ตามระดับความสามารถของแต่ละช่วงชั้น และนำไปจัดทำหน่วยการเรียนรู้หรือ
แผนการจัดการเรียนรู้ โดยจุดประสงค์การเรียนรู้ที่แสดงว่าผู้เรียนมีความสามารถหรือมีพฤติกรรมบ่งช้ี
อย่างไร ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning ที่ครูผู้สอนพิจารณาว่าเมื่อนำมาจัดการเรียนรู้
จะทำใหผ้ ู้เรยี นเกดิ พฤตกิ รรมบง่ ชตี้ ามสมรรถนะหลัก 5 ประการ
25
การจัดทำหน่วยการเรียนรู้หรือแผนการจัดการเรียนรู้ ครูผู้สอนสามารถจัดทำหรือปรับ
ส่วนนำของหน่วยการเรียนรู้หรือแผนการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ความคิดรวบยอด/สาระสำคัญ และ
จุดประสงค์การเรียนรู้/ผลการเรียนรู้ เชิงพฤติกรรมอิงสมรรถนะ (พฤติกรรมบ่งชี้หลักในแต่ละ
องค์ประกอบของแต่ละสมรรถนะ) ส่วนกิจกรรมนำ เป็นกิจกรรมการทบทวนบทเรียน การสร้าง
แรงจูงใจ/แรงบันดาลใจให้สนใจ เห็นความสำคัญ/คุณค่าของสิ่งที่จะเรียน ส่วนกิจกรรมสร้างเสริม
สมรรถนะ เป็นกิจกรรมเพือ่ สร้างองค์ความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณลกั ษณะต่าง ๆ สร้างเสริมสมรรถนะ
ให้เกดิ กับผเู้ รียนตามที่กำหนดไว้ในจุดประสงค์การเรยี นรู้/ผลการเรียนรู้ ซ่งึ ต้องออกแบบกิจกรรมท่ีผ่าน
กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยผู้เรียนศึกษา ค้นคว้าหาคำตอบ สามารถเชื่อมโยง
ประสบการณ์การเรียนรู้กับโลกแห่งความเป็นจริง สร้างและปรับปรุงภาระงาน ผลงาน/ชิ้นงาน และ
นำเสนอภาระงาน ผลงาน/ชิ้นงาน ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) และส่วนสรุป/
ประเมินผล เป็นขั้นสรปุ ถึงสิ่งที่ผู้เรียนได้รับจากการเรยี นรู้ รวมทั้งการนำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต
และมีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ตามสภาพจรงิ ด้วยวิธีการและ
เครอื่ งมือทีห่ ลากหลาย
นอกจากนั้น การจัดกิจกรรมตามหลักสูตรสถานศึกษาฐานสมรรถนะและกระบวนการจัด
การเรียนรู้สู่ชั้นเรียน เพื่อปลูกฝัง/บ่มเพาะ/พัฒนาผู้เรียนให้เกิดสมรรถนะหลักทั้ง 5 ประการผ่าน
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 สามารถกำหนดกิจกรรมพัฒนาได้ เช่น
1) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกลุ่มสาระการเรียนรู้ (สาระ/มาตรฐาน/รายวิชา/หน่วยการเรียนรู้/
แผนการจัดการเรียนรู้) 2) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (แนะแนว/ลูกเสือ-เนตรนารี-
ยุวกาชาด-ผู้บำเพ็ญประโยชน์/จิตอาสา) 3) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมพัฒนาการอ่าน
คิดวิเคราะห์และเขียน/คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ซึ่งสถานศึกษาควรวิเคราะห์ตัวชี้วัดและสมรรถนะ
ที่สอดคล้องกันมาออกแบบการสอนร่วมกัน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ทั้งเนื้อหาสาระและทักษะตามที่
ตัวชี้วัดกำหนดไปพร้อม ๆ กันกับการพัฒนาสมรรถนะหลักที่ต้องการ ขั้นตอนการดำเนินงาน
1) พิจารณาเนื้อหา สาระการเรียนรู้ตามหลักสูตรและตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับสมรรถนะหลักที่เลือก
2) กำหนดองค์ประกอบและพฤติกรรมบ่งชี้สมรรถนะหลักที่ต้องการพัฒนาผู้เรียน 3) ออกแบบ
แผนการจัดการเรียนรู้ที่เสริมสร้างสมรรถนะหลักให้ผู้เรียน และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
4) กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้ และกิจกรรมให้ครอบคลุมสมรรถนะหลัก โดยเน้นการสอนเชิงรุก
5) วางแผนการประเมนิ ผลโดยเน้นสภาพจรงิ และตอบรับวตั ถปุ ระสงค์ทกี่ ำหนดไว้
สถานศึกษาอาจจะจัดทำตารางสำหรับวิเคราะห์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจและ
ครอบคลุมสมรรถนะหลัก 5 ประการ ตามบริบทของสถานศึกษา ดังตารางวิเคราะห์ความสอดคล้อง
ระหว่างองค์ประกอบของสมรรถนะหลักกับกลุ่มสาระการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (รายละเอียดตามภาคผนวก)
26
ตารางที่ 2 องคป์ ระกอบการจดั ทำหนว่ ยการเรียนรู้
หน่วยการเรยี นรฐู้ านสมรรถนะท่ี ...... เรอ่ื ง..........................................................
รหสั รายวิชา .......................... รายวชิ า.......................................................... ชั้น................................
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้............................................. ภาคเรียนที่ ................. เวลา .................... ชวั่ โมง
ช่ือครผู สู้ อน .........................................................................................................................................
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชีว้ ัด
………………………………………………………..…………………………………………………………….….…
2. สมรรถนะหลกั
…………………………………………………………………………………….………………….………..…………
3. สาระสำคญั หรือความคิดรวบยอด
………………………………………………………………..………………………………………………..………
4. สาระการเรียนรู้
………..………………………………………………………………………………..…………………………………
5. สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียน
………..……………..……………………………………………………………………………………………………
6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
………..………………………………………………..…………………………………………………………………
7. ช้ินงานหรอื ภาระงาน
………...………………………………………………………………………….………………………………………
8. การวดั และประเมนิ ผล
………..………………………………………………..…………………………………………………………………
9. กิจกรรมการเรียนรู้
………..………………………………………………………..…………………………………………………………
10. สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้
………..…………………………………………………………..………………………………………………………
จากตารางท่ี 2 การจดั ทำหน่วยการเรยี นรู้ จะเขียนรายละเอียดแต่ละหวั ข้อให้ชดั เจน ดงั นี้
1. มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชี้วดั เขียนรายละเอียดรหสั และข้อความตัวชว้ี ัดให้ครบ
2. สมรรถนะหลัก เขียนรายละเอียดข้อความของสมรรถนะหลักที่เกี่ยวข้อง และ
องค์ประกอบแตล่ ะสมรรถนะ
3. สาระสำคัญหรือความคิดรวบยอด เขียนเป็นข้อความความคิดรวบยอดที่ต้องการให้
ผเู้ รียนมีความร้อู ะไรบา้ ง จะนำไปประยุกต์ใชอ้ ยา่ งไร
4. สาระการเรยี นรู้ เขยี นเนือ้ หาพอสังเขปขององค์ความรู้ ทกั ษะทตี่ อ้ งการใหเ้ กดิ กบั ผู้เรียน
27
5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน เขียนข้อความสมรรถนะสำคัญเดิมตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่เกี่ยวข้อง เมื่อจบการเรียนรู้หน่วยนี้แล้วเกิดสมรรถนะและ
สามารถประเมนิ ได้
6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เขียนข้อความคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องโดยตรงและสามารถ
ประเมนิ ได้
7. ชนิ้ งานหรอื ภาระงาน เขยี นขอ้ ความท่ีบ่งบอกลกั ษณะชิ้นงานหรือภาระงานที่ต้องการให้
ผู้เรียนทำหรือแสดงโดยละเอียดว่าเป็นงานมีลักษณะหรือมีเงื่อนไขอะไรบ้าง มีเกณฑ์การประเมินและ
ตดั สนิ อย่างไรกับภาระงานหรือชน้ิ งาน
8. การวัดและประเมินผล เขียนข้อความที่บอกวิธีการวัดและประเมินผลว่าจะวัดผลด้วย
วธิ ีใด จะวดั อยา่ งไร ใชเ้ คร่อื งมืออะไร และจะประเมินอยา่ งไร (เกณฑ์การประเมนิ )
9. กจิ กรรมการเรียนรู้ เปน็ กจิ กรรม/วิธกี าร/ขนั้ ตอน/รูปแบบทำอย่างไร อธิบายพอสังเขป
ไมต่ ้องลงรายละเอียด
10. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ เขียนบอกลักษณะของสื่อที่ใช้ในแต่ละกิจกรรมชองแต่ละ
กิจกรรมการเรียนรู้ และบอกแหล่งเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าโดยบอกแหล่งอ้างอิงของ
แหลง่ เรียนรู้แตล่ ะแห่ง
ตารางท่ี 3 องคป์ ระกอบการจัดทำแผนการจดั การเรยี นรู้
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ...... เรอื่ ง.........................................................
หนว่ ยการเรียนรู้ฐานสมรรถนะที่ …....... เร่ือง..................................................เวลา ................ ช่ัวโมง
รหัสรายวชิ า ................... รายวชิ า........................................................................ ชน้ั ..........................
กลมุ่ สาระการเรยี นร้.ู .................................................. ภาคเรยี นที่ .....................เวลา ............. ชวั่ โมง
ชือ่ ครผู ้สู อน .........................................................................................................................................
1. มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชีว้ ดั
………………………………………………………………………………………………………………………
2. สมรรถนะหลัก
………………………………………………………………………………………………………………………
3. สาระสำคญั หรอื ความคดิ รวบยอด
………………………………………………………………………………………………………………………
4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
………………………………………………………………………………………………………………………
5. สาระการเรียนรู้
………………………………………………………………………………………………………………………
6. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
………………………………………………………………………………………………………………………
7. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์
………………………………………………………………………………………………………………………
8. กจิ กรรมการเรยี นรู้
………………………………………………………………………………………………………………………
9. การวัดและประเมินผล
………………………………………………………………………………………………………………………
10. สือ่ และแหล่งการเรยี นรู้
………………………………………………………………………………………………………………………
11. บันทึกหลงั การจัดการเรยี นรู้
………………………………………………………………………………………………………………………
28
จากตารางท่ี 3 การจดั ทำแผนการจัดการเรียนรู้ จะเขียนรายละเอยี ดแต่ละหัวข้อให้ชัดเจน
ดังนี้
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวัด เขียนรายละเอยี ดรหสั และขอ้ ความตัวช้วี ัดให้ครบ
2. สมรรถนะหลัก เขียนรายละเอียดข้อความของสมรรถนะหลักท่ีเกี่ยวข้อง องค์ประกอบ
แต่ละสมรรถนะและพฤตกิ รรมบง่ ชหี้ ลกั ทเ่ี กี่ยวข้อง
3. สาระสำคัญหรือความคิดรวบยอด เขียนเป็นข้อความความคิดรวบยอดที่ต้องการให้
ผู้เรียนมีความรูอ้ ะไรบา้ ง จะนำไปประยุกต์ใช้อยา่ งไร
4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เขียนเป็นขอ้ ความที่เปน็ องคค์ วามรู้ ทกั ษะ เจตคติและสมรรถนะ
ทีต่ อ้ งการใหเ้ กดิ กบั ผ้เู รยี น โดยใหส้ อดคลอ้ งกับมาตรการเรียนรู้และตวั ชี้วัด
5. สาระการเรียนรู้ เขยี นเนอื้ หาองค์ความรู้ ทกั ษะทตี่ อ้ งการให้เกิดกบั ผเู้ รยี นพอสังเขป
6. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน เขียนข้อความสมรรถนะสำคัญเดิมตามหลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่เกี่ยวข้อง พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นเมื่อจบการเรียนรู้
ในแผนการจดั การเรยี นรูน้ แ้ี ล้วและสามารถประเมนิ ได้
7. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ เขียนคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องโดยตรง ตัวชี้วัดที่จะเกิดขึ้น
เม่อื จบในแผนการจัดการเรยี นรู้และสามารถประเมินได้
8. ชิ้นงานหรือภาระงาน เขียนข้อความที่บ่งบอกลักษณะชิ้นงานหรือภารงานที่ต้องการ
ใหผ้ เู้ รยี นทำหรือแสดงโดยละเอียดวา่ เป็นงานมีลักษณะหรือมีเงื่อนไขอะไรบ้าง มเี กณฑ์การประเมินและ
ตัดสินอย่างไรกบั ภาระงานหรอื ชิน้ งาน
9. การวัดและประเมินผล เขียนข้อความที่บอกวิธีการวัดและประเมินผลว่าจะวัดผลด้วย
วิธใี ด จะวัดอย่างไร ใชเ้ คร่ืองมืออะไร และจะประเมินอยา่ งไร (เกณฑ์การประเมิน)
10. กิจกรรมการเรียนรู้ เป็นกิจกรรม/วิธีการ/ขั้นตอน/รูปแบบอยา่ งไร โดยละเอียดที่เปน็
การจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ที่ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนสามารถ
ศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากปหล่งต่างๆ ได้ฝึกทักษะ มีการวางแผน มีการลงมือปฏิบัติตามแผน
มีการนำเสนอผลงาน มีการปรับปรุงผลงาน โดยครูเป็นผู้กระตุ้นจากการใช้คำถามขั้นสูง และการ
เช่ือมโยงสู่วถิ ีชวี ิตของผเู้ รียน
11. สื่อและแหล่งการเรียนรู้ เขียนบอกลักษณะของสื่อที่ใช้ในแต่ละกิจกรรมการเรียนรู้
และบอกแหลง่ เรียนรทู้ ผ่ี เู้ รียนสามารถศึกษาคน้ ควา้ โดยบอกแหล่งอ้างอิงของแหลง่ การเรยี นรแู้ ตล่ ะแห่ง
12. บันทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ เป็นข้อความบันทึกที่ครผู ู้สอนจะต้องบันทึกในส่ิงท่ีได้จัด
กิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างไร อะไรที่เกิดขึ้นในระหว่างผู้เรียนกระทำในแต่ละกิจกรรม
และผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนคืออะไร (ข้อความต้องสะท้อนให้เห็นถึงตัวแปรต้น กิจกรรม/สื่อ และตัวแปรตาม
ผลลัพท์ที่เกิด)และผลงานที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ตรงตามตัวชี้วัดหรือวัตถุประสงค์/ผลการเรียนรู้หรือไม่
เพอ่ื นำไปสูก่ ารพฒั นากระบวนการจดั การเรยี นรู้หรือจดั ทำวจิ ัยในช้ันเรียน
29
3. การจดั การเรยี นร้ตู ามหน่วยการเรยี นรู้/แผนการจัดการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะท่ีพัฒนาขึน้
การจัดการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้/แผนการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะที่พัฒนาขึ้น
นั้น ครูผู้สอนมีหน้าที่ในการเป็นผู้กระตุ้น ผู้ชี้แนะให้ผู้เรียนได้ศึกษา ค้นคว้าหาคำตอบ หาแหล่งเรียนรู้
ใชก้ ระบวนการคิดขั้นสูง สรา้ งและปรับปรุงผลงาน/ช้ินงาน ภาระงาน และนำเสนอผลงาน/ชิ้นงาน ภาระงาน
ในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) ใช้สื่อ/แหล่งเรียนรู้ที่เป็นปัญหาและความต้องการ
ของตัวเอง สงิ่ รอบตวั ท้องถน่ิ ชุมชน ประเทศและโลก รวมถงึ เช่ือมโยงให้ผู้เรยี นนำสมรรถนะท่ีได้รับจาก
การเรียนรู้ นำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชวี ติ และในระหว่างการจัดการเรียนรู้ ครูผู้สอนต้องดำเนินการ
วัดและประเมินผลการเรยี นรู้ตามหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะท่ีพัฒนาขึ้น โดย
ใชเ้ ครื่องมือตามสภาพจริง และเมือ่ จบการจัดการเรียนรู้ในแตล่ ะหนว่ ยการเรยี นร้/ู แผนการจัดการเรียนรู้
ใหส้ อดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์การเรยี นร้ทู ี่ตัง้ ไว้ รวมท้ังมกี ารบนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้ตามหน่วยการ
เรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะที่พัฒนาขึ้น สรุปผลเป็นภาพรายสมรรถนะของ
รายบุคคลในแต่ละระดับชั้นเพื่อนำผลไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาผู้เรียนและพัฒนาการจัดการเรียนรู้
ตามหน่วยการเรยี นรูแ้ ละแผนการจัดการเรยี นรฐู้ านสมรรถนะท่ีพัฒนาขนึ้
4. การประเมนิ สมรรถนะผู้เรียน ระหว่างการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูแ้ ละส้ินสุดการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้หรือแผนการจัดการเรียนรู้ ครูผู้สอนอาจประเมินสมรรถนะผู้เรียน
(Assessment for Learning) หรือให้ผู้เรียนประเมินตนเอง (Assessment as Learning) ตามที่ได้
ออกแบบไว้และสรุปผลเป็นรายสมรรถนะ เช่น 1) การสรุปผลภาพรวมจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดย
ครูผู้สอนแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้สรุปรวมของแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ หรือสรุปรวมแต่ละ
หน่วยการเรียนรู้ สถานศึกษาสรุปเป็นภาพรวมทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2) การสรุปผลภาพรวมจาก
กิจกรรมอื่น ๆ (กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน กิจกรรมส่งเสริมคุณลักษณะอันพึงประสงค์
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กิจกรรมส่งเสริมสมรรถนะสำคัญ) โดยสรุปเป็นภาพรวมแต่ละกิจกรรม
3) นำสรุปผลภาพรวมของกลุ่มสาระการเรียนรู้และสรุปผลภาพรวมจากกิจกรรมอืน่ ๆ สรุปผลเป็นภาพ
รายสมรรถนะและรายบคุ คลในแตล่ ะระดับช้นั
5. บันทึกและรายงานผลหลังการจัดการเรียนรู้ ตามหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัด
การเรียนรู้ฐานสมรรถนะที่พัฒนาขึ้น โดยบันทึกผลการจัดการเรียนรู้หลังการจัดการเรียนรู้
ในทุกแผนการจัดการเรียนรู้ และมีการสรุปผลการเรียนรู้เมื่อจบหน่วยการเรียนรู้และรายงานผล
รายบุคคลตามระดับความสามารถของแต่ละสมรรถนะหลกั ใหผ้ ู้เรยี น ผูป้ กครองและผเู้ กีย่ วข้องทราบ
6. นำผลจากการวัดและประเมินผลไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาผู้เรียนและพัฒนาการจัด
การเรียนรู้ ตามหนว่ ยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรยี นรู้ฐานสมรรถนะทพ่ี ฒั นาขน้ึ ต่อไป
30
เอกสารอ้างองิ
กนก จันทรา. (ม.ป.ป.). การจัดการศึกษาฐานสมรรถนะ. วารสารประกอบการประชุมคณะทำงานยก
ร่างสาระสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร
การศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน, อาจารย์ประจำกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม.
กรุงเทพมหานคร: โรงเรยี นสาธติ จฬุ าลงกรณมหาวิทยาลยั ฝ่ายมัธยม.
. (2560). การพัฒนาตัวบ่งชี้สมรรถนะสากลสำหรับมัธยมศึกษาตอนปลาย. วารสาร
สังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ปีที่ 20 เดือนมกราคม–ธันวาคม 2560.
กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ.
วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล. (2562). การประเมินตามสภาพจริงอิงสมรรถนะ (Authentic
competency–based assessment) กรงุ เทพฯ: ศูนย์ผนู้ ำนวตั กรรมหลกั สูตรและการเรียนรู้.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2563). ร่าง สมรรถนะหลัก 5 ประการ (Five Core
Competencies). กรุงเทพฯ: สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. (อดั สำเนา).
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, กระทรวงศึกษาธิการ. (2562). แนวทางการพัฒนาสมรรถนะ
ผูเ้ รยี น ระดบั การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน. นนทบรุ :ี บรษิ ัท 21 เซน็ จูรี่ จำกัด.
. (2563). การจดั การเรียนร้ฐู านสมรรถนะเชิงรุก. นนทบรุ :ี บรษิ ัท 21 เซ็นจรู ี่ จำกัด.
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. ( 2553).
แนวทางการบริหารจัดการหลักสูตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551.(พิมพ์ครั้งที่ 2) กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง
ประเทศไทย จำกัด.
.(2557). แนวปฏิบัติการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. (พิมพค์ รงั้ ท่ี 4). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตร
แหง่ ประเทศไทย จำกดั .
หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2562). แนวทางการนิเทศ
เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรกุ (Active Learning) ตามนโยบายลดเวลาเรียน
เพม่ิ เวลารู้. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน.
Dale, E. (1969). Audiovisual methods in teaching (3rd ed.). New York: Dryden Press, p. 108.
New York University. Steps to Creating an Active Learning Environment. Retrieved from
https://www.nyu.edu/faculty/teaching-and-learning-resources/strategies-for-teaching-
with-tech/best-practices-active-learning/steps-to-creating-an-active-learning-
environment.html
31
ภาคผนวก
32
ภาคผนวก ก
(ร่าง) ระดับสมรรถนะหลกั 5 ประการ และพฤตกิ รรมบง่ ชห้ี ลัก
ของสำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน
33
ระดบั สมรรถนะการจดั การตนเอง
ระดับการพฒั นา ระดบั ความสามารถ
ป.1-3 ป.4-6 ม.1-3 ม.4-6
ระดบั คำบรรยายระดับ
เรม่ิ ต้น
รู้จกั ตนเอง (Knowing Self) ทางดา้ นกายภาพ ความชอบ ความสนใจ
1 จดั การชวี ิตประจำวันของตนเอง รับร้แู ละจัดการอารมณแ์ ละความรสู้ กึ
พืน้ ฐาน ปฏบิ ัติตนตามบรรทดั ฐานทางสงั คมภายใตก้ ารดแู ลของผอู้ ่นื
รู้จักตนเองในจุดเด่น จดุ ควรพัฒนา มวี ินัยในการดูแลจดั การชวี ิตประจำวัน
2 ของตนเอง รับรแู้ ละจัดการอารมณ์และความรู้สกึ พ้ืนฐาน รู้ถกู ผดิ ในการ กำลงั
ปฏิบตั ิตนตามบรรทัดฐานทางสังคม ภายใต้การดแู ลของผอู้ ่ืน ตระหนักรู้ พัฒนา
ในสถานการณ์ทเ่ี ป็นปัญหาในชีวิตประจำวนั
รจู้ ักความสามารถของตนเอง มวี ินัยในการดแู ลจัดการชีวิตประจำวันของ
3 ตนเอง รบั รู้และจัดการอารมณ์และความเครยี ด แยกแยะสิ่งถูกผดิ หลีกเล่ียง สามารถ เรม่ิ ตน้
การนำพาตัวเองเข้าไปสูภ่ าวะเสยี่ งตามคำแนะนำ อดทนตอ่ ปญั หาใน
ชวี ติ ประจำวันและการเรียน
4 รู้จกั ความสามารถของตนเอง มวี ินยั ในการดูแลจดั การชวี ิตประจำวันของ เหนือ กำลงั
ตนเอง รบั ร้แู ละจัดการอารมณ์และความเครยี ด ตระหนกั รผู้ ิดชอบช่ัวดี ความ พัฒนา
จัดการปญั หาชีวติ ประจำวันและการเรยี นตามคำแนะนำ พรอ้ มเผชิญและ คาดหวัง
ยอมรบั ปญั หาที่เกิดขึ้น
มีมโนทัศนเ์ กีย่ วกบั ตวั เอง (Self Concept) ทีถ่ ูกตอ้ ง สามารถตัดสินใจและ
มุ่งมนั่ ที่จะจัดการสงิ่ ทจี่ ำเป็นสำหรับชวี ิตและการเรยี นของตนเอง รับรแู้ ละ
5 จดั การอารมณแ์ ละความเครยี ดละเว้นการกระทำที่ไม่ควรทำ รูท้ ันการ สามารถ เร่มิ ตน้
เปลย่ี นแปลงทีเ่ กิดขน้ึ จดั การปญั หาชีวติ ประจำวันและการเรียนตาม
คำแนะนำ
มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem) สามารถตดั สินใจและ
วางแผนเก่ียวกับชีวิตและการเรียนของตนเอง มีวินยั และจงู ใจตนเองให้ไป เหนือ กำลงั
6 สเู่ ปา้ หมาย รบั รแู้ ละจดั การอารมณแ์ ละความเครียด มจี ุดยนื และความเช่ือ ความ พัฒนา
คาดหวงั
ของตวั เอง ปรับตัวรบั การเปลยี่ นแปลงท่เี กดิ ขึ้นและสามารถฟื้นคืนจาก
สภาพปัญหาเมอ่ื เผชิญภาวะวกิ ฤตตามคำแนะนำ
มคี วามภาคภมู ใิ จในตนเอง มกี รอบความคดิ แบบเติบโต (Growth
Mindset) สามารถกำกับตนเองให้ลงมอื ทำตามแผนเกีย่ วกับชวี ติ และ
7 การเรียนของตนเอง รับรแู้ ละจดั การอารมณ์และความเครยี ด แสดงออกตาม สามารถ เริม่ ตน้
ความเช่ือและจุดยนื ของตัวเอง แกไ้ ขปัญหา มีความรบั ผิดชอบในผลของ
การกระทำของตนเอง และฟื้นคืนจากสภาพปัญหาเมื่อเผชิญภาวะวกิ ฤต
ตามคำปรกึ ษา
มีกรอบความคิดแบบเติบโต สามารถกำกับตนเองให้ลงมือทำตามแผน
เกย่ี วกับชวี ิตและการเรยี นของตนเอง และสะทอ้ นความก้าวหน้าของตนเอง เหนอื กำลัง
8 รทู้ ันและจัดการอารมณแ์ ละความเครียด มีความรบั ผิดชอบในผลของการ ความ พัฒนา
คาดหวงั
กระทำของตนเอง วางแผนปอ้ งกนั ปัญหาและความเส่ียง และฟ้ืนคืนจาก
สภาพปัญหาเมื่อเผชิญภาวะวิกฤต
มภี าพอนาคตของตนเอง (Ideal Self) ท่ีตอ้ งการจะเป็น มองเห็นขอ้ จำกัด
และแนวทางการพัฒนาตนเอง กำหนด ลงมือทำ ปรบั เปลี่ยนพฤติกรรม
9 ค่านยิ ม และความเช่อื ของตนเอง ตามแผนพัฒนาตนเอง รทู้ ันและจดั การ สามารถ
อารมณ์และความเครียด และสามารถฟื้นคืนจากสภาพปญั หาได้ด้วยตนเอง
เมื่อเผชญิ ภาวะวิกฤต
34
ระดับการพฒั นา ระดบั ความสามารถ
ระดบั คำบรรยายระดบั ป.1-3 ป.4-6 ม.1-3 ม.4-6
มีความสุขกบั ชีวิตท่ีตนเองเป็นอยู่ มุง่ มน่ั เพือ่ ความสำเร็จแม้ต้องเผชญิ ความ เหนอื
ความ
10 ทา้ ทายทเ่ี ข้ามาในชวี ิต รทู้ ันและจัดการอารมณแ์ ละความเครียด สามารถ คาดหวงั
สรา้ งมมุ มอง คา่ นยิ มใหมใ่ ห้กบั ตนเอง และสามารถฟืน้ คนื จากสภาพปัญหา
เมอ่ื เผชิญภาวะวิกฤต
ระดับสมรรถนะการสื่อสาร
ระดับการพัฒนา ระดบั ความสามารถ
ระดับ คำบรรยายระดับ ป.1-3 ป.4-6 ม.1-3 ม.4-6
ใช้ประสาทสัมผัสในการรับและสง่ สารอยา่ งต้ังใจ เข้าใจความแตกต่างทาง
1 กายภาพท่มี ีผลต่อการสื่อสาร ใช้สอื่ ภาพ เสยี ง คำพูด ท่าทาง สัญลักษณ์ใกล้ตวั เรม่ิ ต้น
และผลงานอย่างง่าย ๆ ในการสอ่ื สารแบบตรงไปตรงมา
รบั และสง่ สารอย่างตั้งใจโดยใช้ประสาทสัมผัส เขา้ ใจนยั ตรง บอกข้อมูลและ
2 ความรู้สึกที่มตี ่อสารในสถานการณ์ใกล้ตัวแบบตรงไปตรงมา โดยเลือกและ กำลัง
ผลิตส่ือที่เหมาะสมกบั บุคคลผ่านการเคล่อื นไหว ท่าทาง เสยี ง ภาษา ภาพ พฒั นา
สญั ลกั ษณ์ และผลงานแบบง่าย ๆ พร้อมท้งั คำนึงถงึ ประโยชนแ์ ละโทษของ
การสอื่ สารทมี่ ีผลกระทบตอ่ ตนเอง
รับและส่งสารที่เป็นข้อมูล ข้อเท็จจริง และความรู้สึกท่ีมีรายละเอียดมากข้ึน
ในสถานการณ์ใกล้ตัว มีความอดทนในการรบั สาร แลกเปลีย่ นประสบการณ์
3 และสอ่ื สาร โดยตระหนักถึงความแตกตา่ งระหวา่ งตนเองกบั บุคคลใกล้ตวั สามารถ เริม่ ตน้
คำนึงถงึ ประโยชนแ์ ละโทษของสอ่ื ทม่ี ีตอ่ ตนเอง สามารถสือ่ สารเรือ่ งราวใกล้ตวั
ทง้ั ท่ีเป็นภาษา ภาพ เสียง สัญลักษณ์ ท่าทาง การแสดงออกทางศิลปะ
อย่างงา่ ย โดยเลอื กและผลิตสอ่ื ให้เหมาะกบั บุคคลและกาลเทศะ
รับและสง่ สารที่เก่ยี วข้องกบั สถานการณท์ ีใ่ กลต้ ัว จับประเด็นสำคัญ หรือ
4 วตั ถปุ ระสงคข์ องผู้สง่ สารได้ อธิบายความรู้สกึ ที่เกดิ ข้ึนจากการรับสาร เหนือ กำลงั
ประเภทตา่ ง ๆ ท่มี ีความซบั ซ้อนมากข้นึ มีความอดทนในการรับและสง่ สาร ความ พัฒนา
ใชส้ ื่อที่มคี วามหลากหลายข้ึน เข้าใจผลกระทบของสอ่ื ที่มตี ่อตนเอง คาดหวงั
มีจดุ มุ่งหมาย และกลวิธีในการสื่อสารและการผลิตสื่อ เพื่อสอื่ สาระท่เี ป็น
ประโยชนต์ อ่ ตนเองไดอ้ ย่างเหมาะสม
รบั และส่งสารท่ีเกีย่ วข้องกับสถานการณ์ในชุมชน สงั คม อย่างมีสติ
จบั ประเดน็ สำคญั ขอ้ คดิ ทง้ั เชงิ บวกและลบที่ไดร้ บั ตามวัตถุประสงคข์ อง
5 ผู้ส่งสาร แลกเปลี่ยนประสบการณอ์ ยา่ งมสี ตกิ ับบุคคลท่ีหลากหลายขนึ้ สามารถ เรม่ิ ตน้
ในสถานการณท์ ่มี ีความซับซ้อน ทง้ั โลกจรงิ และโลกเสมอื น มีมารยาทและ
จรยิ ธรรมในการสอื่ สาร เลือกใช้กลวิธใี นการผลติ สื่อและสอื่ สารทเ่ี หมาะสม
และเกิดประโยชนต์ ่อตนเองและตอ่ กลุ่ม ตามจุดมุ่งหมายทก่ี ำหนดไว้
รับและส่งสารผ่านส่อื ที่หลากหลาย โดยปราศจากอคติ สรุปประเด็น ตีความ
และประเมินคณุ ค่า ในมติ ิความจรงิ (ข้อมูลข่าวสาร) ความดี (แก่นแนวคดิ ) และ
ความงาม (อารมณ์ สุนทรยี ะ) แบบง่ายได้ สื่อสารอย่างสร้างสรรคเ์ พื่อการอยู่ เหนอื
ความ
6 รว่ มกนั ในสังคมโดยคำนึงถึงผลกระทบของการส่ือสารรู้ผลกระทบของส่ือ คาดหวัง กำลงั
ประเมินคณุ คา่ และจริยธรรมในการส่อื สาร ผ่านส่ือประเภทต่าง ๆ มีจุดมุ่งหมาย พัฒนา
ในการส่ือสาร การผลิตส่ือ และออกแบบการส่อื สาร เพอื่ ให้เกิดประโยชน์ตอ่
ตนเอง ต่อกลุ่ม และต่อสงั คม
35
ระดับการพัฒนา ระดบั ความสามารถ
ป.4-6 ม.1-3 ม.4-6
ระดบั คำบรรยายระดับ ป.1-3
สามารถ เริ่มตน้
รับและสง่ สารผา่ นสอื่ ที่หลากหลาย โดยปราศจากอคติ สรุปประเดน็ ตีความ
วเิ คราะห์ และประเมินคุณคา่ ในมิตคิ วามจรงิ ความดี ความงาม ที่มีความ
7 ซบั ซ้อนมากขนึ้ และเขา้ ใจกฎหมายที่เกย่ี วข้องกบั การสอื่ สาร สามารถ
ออกแบบการส่อื สารท่ีซบั ซอ้ นได้อย่างมศี ลิ ปะ และสร้างสรรค์ในการส่ือสาร
มากข้นึ โดยคำนงึ ถึงประโยชน์ทั้งตอ่ ตนเอง กลมุ่ และสงั คมของตนเอง
ตามจดุ มุ่งหมายท่กี ำหนดไว้ เหนือ กำลงั
ความ พัฒนา
รบั และสง่ สารท่มี ีความซับซอ้ นผา่ นส่ือท่หี ลากหลาย โดยปราศจากอคติ คาดหวงั
ตีความ วิเคราะห์ วพิ ากษ์จุดเด่น จุดดอ้ ย ประเมนิ คุณค่าของสารทเ่ี กิด
ประโยชนก์ บั คนหมูม่ าก หรือท่ีทดสอบได้ว่าเป็นประโยชน์จรงิ หรือท่ีเป็นไป
8 ตามอุดมการณ์ สอื่ สารทางบวก ผลิตสอ่ื ที่ใชเ้ ทคโนโลยีการสือ่ สารที่ซบั ซ้อน
ได้ โดยคำนึงถงึ กฎหมายทเี่ กี่ยวข้อง และสามารถออกแบบการสอื่ สารผา่ น
ส่อื หลากหลายประเภทไดอ้ ย่างเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายทต่ี อ้ งการ
คำนงึ ถึงสิทธิและประโยชน์ของสว่ นรวมและมีความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม
รับและสง่ สารที่มีความซับซอ้ นและมีนัยแฝงผ่านส่ือท่ีหลากหลาย โดย
ปราศจากอคติ ตีความ วิเคราะห์ วิพากษ์ จดุ เด่น จุดด้อย ประเมินคุณค่าของ
9 สารนน้ั ได้ลึกข้ึน มีพฤตกิ รรมทางกาย วาจาและใจในการส่ือสารกับบุคคล
ท่มี ีความต่างอยา่ งเห็นอกเห็นใจได้อย่างเหมาะสม รู้สกึ ร่วมและเข้าใจ สามารถ
ความรู้สกึ ต่อบุคคลทม่ี ีความตา่ งจากตนเอง มกี ลยุทธ์ในการผลิตสอื่ และ เหนอื
ความ
สอ่ื สารผ่านสอื่ หลากหลายประเภทได้อย่างมีศิลปะและมีพลงั ด้วยความ คาดหวงั
รับผดิ ชอบตอ่ สังคม (Social Responsibility)
รับและสง่ สารผา่ นส่อื ท่ีหลากหลายรูปแบบและมีความซับซ้อนหรอื
มนี ยั มากข้นึ เขา้ ใจ วิเคราะห์ วพิ ากษ์ และนำสารที่ได้รบั ไปใชป้ ระโยชน์เพื่อ
10 การพัฒนาตนเอง ชุมชน หรอื สังคมได้ ใชก้ ลยุทธ์ในการผลิตสอื่ และสื่อสาร
ได้อย่างมสี ตแิ ละวจิ ารณญาณ และรู้สกึ รว่ มและเข้าใจความรูส้ กึ
(Empathy) เพื่อสรา้ งความเข้าใจโดยคำนงึ ถงึ ความแตกต่างในทกุ มติ ิด้วย
ความรับผิดชอบต่อสังคมและการสร้างสังคมที่พัฒนาอย่างยัง่ ยืน
36
ระดับสมรรถนะการรวมพลังทำงานเปน็ ทมี
ระดบั การพฒั นา ระดับความสามารถ
ป.4-6 ม.1-3
ระดบั คำบรรยายระดับ ป.1-3 ม.4-6
เร่ิมตน้
รบั รู้บทบาทหน้าทข่ี องตนเอง ทำกจิ กรรมร่วมกับผู้อ่ืนได้ตามคำแนะนำ เร่มิ ต้น
กำลัง กำลัง
1 ข้อตกลง กฎ กตกิ า และแสดงออกอย่างเหมาะสมในสถานการณต์ า่ ง ๆ พัฒนา พัฒนา
สามารถ
ตามคำชแี้ นะ สามารถ เหนอื
ความ
รูแ้ ละรบั ผิดชอบในบทบาทหน้าทีข่ องตนเอง ปฏิบตั ติ ามกฎ กตกิ า ของทีม เหนือ คาดหวงั
ความ
2 เมื่อได้รบั การชีแ้ นะ เพื่อสนับสนุนการทำกิจกรรมรว่ มกบั ผู้อ่ืนให้บรรลผุ ล คาดหวงั
สำเรจ็ สามารถรบั รคู้ วามรสู้ กึ ของผ้อู ื่น และตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ
ตามคำแนะนำ
มีความรับผิดชอบและใชจ้ ุดเด่นของตนเองในการทำงาน เป็นสมาชิกทีมท่ีมี
3 สว่ นร่วมในการตัดสินใจ การกำหนดเปา้ หมาย การสร้างข้อตกลง และการ เรมิ่ ต้น
ทำงานของทีม แสดงออกถึงความเข้าใจตอ่ เพอ่ื นในทีมด้วยความเปน็ มิตร
ตามคำแนะนำ
เปน็ สมาชกิ ทีมท่รี ับผดิ ชอบตอ่ บทบาทและงานตามที่ได้รับมอบหมายทง้ั กำลัง
4 ของตนเองและช่วยเหลือเพอ่ื นในทมี ปฏบิ ัติตอ่ ผู้อื่นอยา่ งเป็นมิตร พฒั นา
เป็นสมาชิกที่ริเร่ิมกำหนดเปา้ หมาย วิธกี ารทำงานของทมี สะท้อนการทำงาน
5 ของตนเอง แสดงความคดิ เห็น และสนับสนุนการทำงานของสมาชกิ ในทีม สามารถ เร่ิมต้น
ใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย
เป็นผู้นำตนเอง มีสว่ นร่วมในการตดั สินใจและการทำงานเพอื่ ให้บรรลุ เหนือ กำลงั
ความ พฒั นา
6 เป้าหมายของทีม สามารถสะท้อนผลการทำงานของทีม และใหค้ วาม คาดหวัง
คิดเห็นโดยตระหนกั ถึงเป้าหมายและสมั พันธภาพเชิงบวกของทีม
เปน็ ผู้นำตนเอง สร้างการมีสว่ นรว่ มในการตดั สินใจและกระบวนการทำงาน
มวี ิธีการทำงานท่ีโปร่งใส ตรวจสอบได้ สร้างสัมพันธภาพเชิงบวก และ
7 จัดการความขดั แย้งดว้ ยความเขา้ ใจและยอมรบั ความแตกตา่ ง ความ สามารถ
เสมอภาคและเท่าเทียมกนั โดยไม่เลือกปฏบิ ตั ิ เห็นคณุ คา่ ของทุกคนในทีม
อยา่ งเทา่ เทียมกนั
มีภาวะผนู้ ำ ใช้ทกั ษะการคิดขัน้ สงู เพ่ือมองเหน็ ภาพความสำเร็จ ตดั สินใจ เหนือ
ความ
8 และทำงานอยา่ งมีส่วนร่วม เพื่อขับเคลือ่ นทีมให้บรรลุเป้าหมายด้วย คาดหวัง
กระบวนการทำงานทโ่ี ปรง่ ใส ตรวจสอบได้ อกี ทง้ั รกั ษาสัมพันธภาพ
เชงิ บวกในทมี
มีภาวะผ้นู ำ เสริมสร้างความสัมพันธ์เชงิ บวกและคณุ ค่าของการรวมพลงั
9 ทำงานเป็นทีม มีความสามารถในการประสานความคดิ เห็นที่แตกตา่ ง และ
ทำงานดว้ ยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสามารถจดั การความขดั แย้งได้
มคี ณุ ลักษณะของผู้ที่สรา้ งการเปลีย่ นแปลง และเห็นคุณค่าของทกุ คนอย่าง
10 เทา่ เทียมกัน กระตนุ้ สรา้ งแรงบนั ดาลใจ และยกระดบั การรวมพลังทำงาน
เป็นทีม เพอื่ ขบั เคลอ่ื นสู่เปา้ หมายความสำเร็จของทมี
37
ระดบั สมรรถนะการคดิ ขั้นสูง
ระดบั การพัฒนา ระดบั ความสามารถ ม.4-6
ระดบั คำบรรยายระดบั ป.1-3 ป.4-6 ม.1-3
ระบุปัญหาอยา่ งง่ายและไม่ซับซอ้ น เสนอความคิดอิสระ คดิ คลอ่ ง เสนอ
1 ทางเลือกในการแกป้ ัญหาและตัดสินใจเลือกคำตอบเพยี งคำตอบเดยี ว เริม่ ตน้
พรอ้ มระบุเหตผุ ลของการเลอื กคำตอบนั้น
ระบปุ ัญหาอยา่ งงา่ ยและไม่ซับซอ้ น รวบรวมขอ้ มูลและแนวคดิ
ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับปัญหา โดยสามารถระบคุ วามสัมพนั ธข์ องปัจจัยตา่ ง ๆ
2 สามารถผลิตช้ินงานตามจนิ ตนาการในรปู แบบท่แี ตกต่างจากต้นแบบ กำลัง
ภายใตเ้ ง่อื นไขงา่ ย ๆ ได้ เสนอความคดิ หาคำตอบได้หลายประเภทและ พัฒนา
หลายทิศทางและตัดสินใจเลือกคำตอบเพียงคำตอบเดยี ว พร้อมประเมิน
ความเหมาะสมของคำตอบ
ระบุปญั หาอยา่ งงา่ ยและไม่ซบั ซ้อน รวบรวมขอ้ มูลและแนวคิด
ท่เี กยี่ วข้องกับปญั หาโดยคำนึงถึงความเหมาะสมของการออกแบบวิธีการ
แกป้ ัญหา หรอื ใช้การดดั แปลงจากความคิดเดมิ และสามารถระบุ
3 ความสมั พันธข์ องปัจจัยต่าง ๆ สามารถพฒั นาชิน้ งานหรอื วิธกี ารโดยใช้ สามารถ เรมิ่ ตน้
ความคดิ ทีแ่ ปลกใหม่ท่ีไม่ซำ้ ใคร และสามารถบอกผลลพั ธ์ตามข้อเท็จจริง
ประเมินความเหมาะสมของคำตอบและแสดงการแปลความหมายข้อมูล
ด้วยหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์
ระบปุ ัญหาหรือสถานการณอ์ ยา่ งง่ายและไมซ่ ับซอ้ น วเิ คราะห์และ
4 จัดลำดับสาเหตขุ องปัญหา โดยสามารถรวบรวมปจั จัยอนื่ ๆ เหนือ กำลัง
ที่เกยี่ วข้องกับปญั หาหรอื สถานการณแ์ ละวเิ คราะห์ความสัมพันธ์เชงิ เหตุ ความ พฒั นา
และผลของปัจจยั ตา่ ง ๆ สามารถพัฒนาช้นิ งานหรือวิธีการโดยใช้ความคิด คาดหวัง
ทีแ่ ปลกใหมท่ ่ีไม่ซำ้ ใครหรอื พัฒนาตอ่ ยอดจากของเดิม พร้อมแสดงการ
แปลความหมายข้อมลู และหลักฐานเชิงประจักษ์
ระบปุ ัญหาหรอื สถานการณท์ ี่ซับซอ้ น วเิ คราะหแ์ ละจดั ลำดับสาเหตขุ อง
ปัญหา สามารถพัฒนาช้ินงานหรือวิธีการโดยใช้ความคดิ ทแี่ ปลกใหม่ที่ไม่
5 ซ้ำใครหรือพัฒนาตอ่ ยอดจากของเดมิ ระบแุ บบแผนของพฤติกรรมและ สามารถ เร่มิ ตน้
องค์รวมขององคป์ ระกอบต่าง ๆ ในปัญหาหรือสถานการณ์น้ัน เพื่อสรา้ ง
แบบจำลองอยา่ งง่าย พร้อมแสดงการแปลความหมายข้อมลู และหลักฐาน
เชิงประจกั ษ์ และลงข้อสรปุ ไดอ้ ย่างถูกต้อง
ระบุปัญหาหรอื สถานการณ์ท่ีซบั ซอ้ น ระบสุ าเหตขุ องปญั หา แยกปญั หา
เป็นปัญหายอ่ ย ๆ เปรยี บเทียบแหลง่ ขอ้ มูลและขอ้ เท็จจรงิ ได้ วเิ คราะห์
แนวโน้มของการเปล่ยี นแปลงในปญั หาหรือสถานการณ์และสร้าง เหนือ
ความ
6 แบบจำลองเพื่อแสดงโครงสรา้ งของปญั หาหรือสถานการณไ์ ด้ พัฒนา คาดหวัง กำลัง
ชิ้นงาน วธิ กี ารหรอื นวัตกรรม โดยใช้ความคดิ ทแ่ี ปลกใหม่ทไี่ ม่ซ้ำใครหรอื พฒั นา
พฒั นาต่อยอดจากของเดมิ ใหเ้ หมาะสมตอ่ การใชง้ านจริง แจกแจง
รายละเอียดของวธิ ีการแกป้ ญั หาหรือขยายความคิดได้ โดยสามารถลง
ขอ้ สรุปไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง และระบุข้อโต้แยง้ ได้
38
ระดับการพัฒนา ป.1-3 ระดับความสามารถ
ระดับ คำบรรยายระดับ ป.4-6 ม.1-3 ม.4-6
ระบปุ ญั หาหรอื สถานการณ์ท่ยี ากและซับซอ้ น พรอ้ มเสนอวิธกี ารระบุ สามารถ เร่มิ ต้น
สาเหตุของปญั หา แยกปัญหาเป็นปัญหายอ่ ย ๆ เปรยี บเทยี บแหลง่ ข้อมูล เหนอื กำลัง
ความ พัฒนา
และข้อเท็จจริงได้ ประเมินผลกระทบของปัญหาโดยใช้วธิ ีการทเี่ หมาะสม คาดหวัง
และครอบคลุมทุกมิติ สรา้ งแบบจำลองเพอ่ื แสดงโครงสรา้ งของปญั หา
7 หรือสถานการณ์ได้ พัฒนาชน้ิ งาน วิธีการหรอื นวัตกรรม โดยใช้ความคิด
ท่ีแปลกใหม่ท่ีไม่ซำ้ ใครหรอื พัฒนาต่อยอด จากของเดิมให้เหมาะสมต่อการ
ใชง้ านจริง แจกแจงรายละเอียดของวิธีการแก้ปัญหา หรือขยายความคิด
ได้ โดยสามารถลงขอ้ สรปุ ได้อยา่ งถูกต้อง ระบุเหตผุ ลของข้อโตแ้ ย้ง
ท่ีสอดคล้องกบั สถานการณ์
ระบุปญั หาหรอื สถานการณท์ ่ียากและซับซอ้ น พรอ้ มเสนอวธิ กี ารระบุ
สาเหตุของปญั หา แยกปญั หาเป็นปัญหาย่อย ๆ สามารถเปรียบเทยี บ
แหลง่ ข้อมลู และขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ ประเมนิ ผลกระทบของปญั หาโดยใช้วิธีการ
ทเ่ี หมาะสมและครอบคลมุ ทุกมิติ สร้างแบบจำลองความคดิ เพอื่ อธิบาย
8 แนวคิดที่ใช้ในการออกแบบระบบได้ สามารถพัฒนาชน้ิ งาน วิธีการหรอื
นวัตกรรม โดยใช้ความคิดที่แปลกใหม่ท่ีไม่ซ้ำใครหรือพัฒนาต่อยอดจาก
ของเดิมใหเ้ หมาะสมต่อการใช้งานจริง ระบุเหตผุ ลของข้อโต้แย้งทส่ี อดคล้อง
กับสถานการณ์ และมีความเป็นเหตเุ ป็นผลกัน
ระบปุ ัญหาหรอื สถานการณ์ที่ยากและซับซอ้ น ระบสุ าเหตขุ องปัญหา
สามารถแยกปัญหาเปน็ ปญั หายอ่ ย ๆ เปรยี บเทียบแหลง่ ขอ้ มูลและ
ข้อเทจ็ จริงได้ ประเมินผลกระทบของปญั หาโดยใช้วิธกี ารทเี่ หมาะสมและ
ครอบคลมุ ทุกมติ ิ สามารถสรา้ งแบบจำลองความคิดเพอ่ื อธิบายแนวคิด
9 ทใ่ี ช้ในการออกแบบการแก้ปญั หา ทำนายหรือประเมินผลลัพธข์ องการ สามารถ
แทรกแซงระบบทย่ี ากและซับซ้อนได้ พัฒนาช้ินงาน วธิ ีการหรือนวัตกรรม
โดยใช้ความคิดทีแ่ ปลกใหม่ท่ีไม่ซำ้ ใครหรอื พัฒนาต่อยอดจากของเดิม
ใหเ้ หมาะสมต่อการใช้งานจรงิ สามารถแจกแจงรายละเอียดของวธิ กี าร
แก้ปญั หา หรอื ขยายความคดิ ไดอ้ ยา่ งครบถว้ น เขยี นสะท้อนความคิด
เกย่ี วกับเนื้อหาและกระบวนการเรยี นรู้
ระบุปญั หาหรือสถานการณท์ ย่ี ากและซบั ซ้อน ระบสุ าเหตุของปัญหา
แยกปัญหาเปน็ ปัญหาย่อย ๆ สามารถเปรียบเทียบแหลง่ ข้อมูลและ
ข้อเท็จจริงได้ ประเมินผลกระทบของปญั หาโดยใช้วิธกี ารที่เหมาะสม
และครอบคลุมทกุ มิติ สรา้ งแบบจำลองความคดิ เพอ่ื อธิบายแนวคิด
ที่ใช้ในการออกแบบการแก้ปัญหา ทำนายหรอื ประเมินผลลัพธ์ของการ เหนอื
ความ
10 แทรกแซงระบบทีย่ ากและซับซ้อนได้ พัฒนาชิ้นงาน วิธีการหรือนวัตกรรม คาดหวัง
โดยใช้ความคดิ ท่แี ปลกใหม่ที่ไม่ซำ้ ใครหรอื พฒั นาต่อยอด จากของเดิม
ใหเ้ หมาะสมตอ่ การใช้งานจรงิ สามารถแจกแจงรายละเอยี ดของวิธีการ
แก้ปญั หา หรอื ขยายความคิดไดอ้ ยา่ งครบถว้ น รวมท้งั มกี ารประเมิน
พฒั นาและปรบั ปรงุ นวตั กรรมโดยวิเคราะหจ์ ากมมุ มองทห่ี ลากหลาย
จากท้ังของตนเองและของผู้อืน่ เขยี นสะทอ้ นความคิดเกีย่ วกับเนือ้ หา
และกระบวนการเรยี นรู้ของตนทงั้ จุดเด่นและจดุ ท่ีควรจะปรบั ปรุง
39
ระดับสมรรถนะการเป็นพลเมืองท่ีเข้มแขง็
ระดบั การพัฒนา ระดับความสามารถ
ระดบั คำบรรยายระดบั ป.1-3 ป.4-6 ม.1-3 ม.4-6
เขา้ ใจผลกระทบของการกระทำอะไรที่ตามใจตนเอง รบั ผิดชอบและ
1 ปฏบิ ัติตนตามคำแนะนำอยา่ งเหมาะสม มีส่วนร่วมในกจิ กรรมส่วนรวม เร่มิ ต้น
และแจง้ ผเู้ กีย่ วขอ้ งเม่ือพบปญั หาในชนั้ เรยี น
มคี วามสามารถในการยบั ย้งั ชงั่ ใจ เคารพสทิ ธิเสรภี าพของผอู้ น่ื รู้จักปฏิเสธ
ชว่ ยเหลือผู้อนื่ เม่อื ได้รับการรอ้ งขอ รับผิดชอบและปฏิบัติตนอย่าง กำลัง
2 เหมาะสมตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง มสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมส่วนรวม พัฒนา
ต่าง ๆ ท่โี รงเรียนจัดข้ึนหรอื ครมู อบหมายและแจง้ ผู้เกยี่ วข้องเมื่อพบ
ปญั หาหรอื ความขัดแยง้ ในช้ันเรียน
อิสระทีจ่ ะคิดและแสดงออกทรี่ ับผดิ ชอบและไม่ทำใหผ้ ู้อ่ืนเดือดรอ้ น
เคารพสิทธิเสรภี าพของผ้อู ่ืน ช่วยเหลือผูอ้ ่ืน รับผิดชอบและปฏิบตั ิตนอยา่ ง
3 เหมาะสมตามบทบาทหน้าที่ของตนเอง เคารพตอ่ สถาบันหลกั ของชาติ สามารถ เร่ิมตน้
ติดตามขอ้ มูลข่าวสารทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั ตนเอง ครอบครัว เพอ่ื นร่วมชั้นเรียน
มีส่วนรว่ มในกจิ กรรมส่วนรวมต่าง ๆ ในระดบั ชนั้ เรยี นหรอื โรงเรยี น แกไ้ ข
ปญั หาความขดั แยง้ ในชั้นเรยี นอย่างมเี หตผุ ล
อดทนอดกล้ันในความคดิ เหน็ และการแสดงออกท่แี ตกต่าง ยอมรบั ความ
แตกตา่ งหลากหลาย ชว่ ยเหลอื และแบง่ ปนั กบั ผอู้ ่ืน รับผิดชอบและปฏบิ ัติ
4 ตนอยา่ งเหมาะสมตามบทบาทหน้าที่ในฐานะพลเมืองในระบอบ เหนือ กำลัง
ประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ เคารพต่อสถาบันหลกั ความ พัฒนา
ของชาติ ติดตามและตรวจสอบขอ้ มูลขา่ วสาร เข้ารว่ มกิจกรรมและร่วม คาดหวัง
เปน็ อาสาสมัครในกิจกรรมสาธารณประโยชน์ระดบั โรงเรียนและชมุ ชน
หาทางออกรว่ มกันกบั ผูเ้ กย่ี วขอ้ งในการแกป้ ญั หาหรอื ความขัดแยง้
อย่างมเี หตผุ ล
รจู้ กั และปกป้องสิทธเิ สรีภาพของตนเอง และผู้อืน่ ยอมรบั และเคารพ
ความแตกต่างหลากหลาย พยายามท่ีจะเห็นอกเห็นใจ ชว่ ยเหลอื และ
แบ่งปนั กับผู้อื่น รบั ผดิ ชอบและปฏบิ ัตติ นอยา่ งเหมาะสมตามบทบาท
หนา้ ทีใ่ นฐานะพลเมืองในระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษตั ริย์ สามารถ เริ่มต้น
5 ทรงเป็นประมขุ เคารพตอ่ สถาบันหลักของชาติ ติดตามและตรวจสอบ
ขอ้ มลู ข่าวสาร เขา้ ร่วมกจิ กรรมและร่วมเป็นอาสาสมคั รในกจิ กรรม
สาธารณประโยชนร์ ะดบั โรงเรยี นและชุมชน หาทางออกร่วมกนั กับ
ผเู้ ก่ยี วขอ้ งในการแกป้ ัญหา โดยใช้กระบวนการปรกึ ษาหารือตามวิถี
ประชาธิปไตย
รู้จักและปกป้องสิทธิเสรภี าพของตนเอง และผอู้ ่นื พยายามท่จี ะเหน็ อก
เห็นใจและชว่ ยเหลือผู้อื่น เคารพและปฏบิ ัตติ นตามกฎ กติกาทางสงั คม
มคี วามรบั ผิดชอบต่อผลการกระทำตามบทบาทหน้าท่ีพลเมอื ง
ประชาธปิ ไตย ติดตามและประเมินความถูกต้องและนา่ เชอื่ ถือของข้อมลู เหนอื กำลัง
6 ริเรมิ่ และมีส่วนร่วมทางสงั คมในประเดน็ ที่สนใจระดับท้องถน่ิ และประเทศ ความ พฒั นา
คาดหวัง
ด้วยจติ สาธารณะ กระตอื รอื ร้นในการหาทางออกและรว่ มสรา้ งการ
เปลีย่ นแปลงรว่ มกันเกยี่ วกับประเด็นปญั หา โดยคำนงึ ถงึ ความเทา่ เทยี ม
เปน็ ธรรมด้วยสนั ตวิ ธิ ีและวถิ ีประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็น
ประมขุ
40
ระดบั การพัฒนา ป.1-3 ระดับความสามารถ
ป.4-6 ม.1-3 ม.4-6
ระดบั คำบรรยายระดับ
สามารถ เริม่ ต้น
รูจ้ กั และปกปอ้ งสิทธิเสรีภาพของตนเอง และผู้อน่ื พยายามท่จี ะเหน็ อก
เหนอื กำลัง
เหน็ ใจผู้อนื่ ทั้งในโลกจริงและโลกเสมอื น ใหเ้ กียรติ ชว่ ยเหลือผู้อื่นโดยไม่ ความ พฒั นา
คาดหวัง
เลือกปฏบิ ตั ิ เคารพและปฏบิ ัติตนตามกฎ กตกิ าทางสงั คมมีความ
สามารถ
รับผิดชอบตอ่ บทบาทหน้าท่ีพลเมืองประชาธิปไตย ติดตามและประเมนิ
เหนอื
ความถูกตอ้ งและน่าเช่อื ถอื ของขอ้ มูลทเี่ ก่ียวข้องกบั การเปลยี่ นแปลงทาง ความ
7 สงั คม เศรษฐกจิ การเมือง และวัฒนธรรม รเิ ริ่มและมสี ่วนร่วมทางสังคม คาดหวงั
ในประเด็นที่สนใจระดับท้องถิ่นและประเทศ ด้วยจิตสาธารณะ กระตอื รือร้น
ในการหาทางออกร่วมกนั และรเิ ร่ิมในการสร้างการเปล่ยี นแปลงของ
ท้องถิน่ ภูมภิ าค และประชาคมโลก เกย่ี วกับประเดน็ ปัญหา โดยคำนึงถงึ
ความเท่าเทียมเป็นธรรม ด้วยสันติวิธีและวถิ ปี ระชาธปิ ไตยอันมี
พระมหากษตั รยิ ์ทรงเป็นประมุข
ยึดมน่ั ในหลกั สิทธเิ สรีภาพและความเสมอภาค พยายามที่จะเหน็ อกเห็นใจ
ผอู้ น่ื ท้งั ในโลกจริงและโลกเสมอื นบนพน้ื ฐานของการพึง่ พาอาศยั กันโดย
ปราศจากอคติ ใช้วจิ ารณญาณในการติดตามสถานการณแ์ ละประเดน็
8 ปญั หา ริเร่ิมและมีสว่ นร่วมทางสงั คมในประเด็นทีห่ ลากหลายระดับ
ภูมภิ าคและประชาคมโลก ด้วยจิตสาธารณะและสำนึกสากล กระตอื รอื รน้
ในการร่วมสร้างการเปลยี่ นแปลงเชิงบวก เกี่ยวกับประเด็นปัญหาของ
ทอ้ งถ่นิ ดว้ ยคา่ นยิ มประชาธิปไตย
ยึดมน่ั ในหลักสิทธิเสรภี าพและความเสมอภาค เคารพและปฏิบัติตามกฎ
กตกิ าทางสงั คม พยายามท่ีจะเห็นอกเหน็ ใจผู้อื่นท้ังในโลกจริงและโลก
เสมือนบนพื้นฐานของการพึ่งพากันโดยปราศจากอคติ ไม่เลอื กปฏิบตั ิ
มคี วามรบั ผิดชอบตอ่ บทบาทหน้าที่พลเมืองประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ ยอมรบั ความแตกต่างหลากหลาย
9 ใชว้ จิ ารณญาณในการตดิ ตามสถานการณ์และประเด็นปัญหา ริเร่ิมและ
มีสว่ นรว่ มทางสังคมในประเดน็ ทีห่ ลากหลายระดบั ภูมภิ าคและประชาคมโลก
ด้วยจิตสาธารณะและสำนึกสากล กระตือรอื ร้นในการรว่ มสร้างการ
เปลย่ี นแปลงเชงิ บวกเก่ียวกับประเด็นปัญหาของทอ้ งถ่นิ ดว้ ยความเชอื่ ม่ัน
ในสงั คมที่เท่าเทียมเป็นธรรม ค่านิยมประชาธิปไตย และแนวทางท่ีไมเ่ กดิ
ความรุนแรงต่อสงั คมและตอ่ ตัวเอง
ยดึ มน่ั และปกปอ้ งในหลกั สิทธิเสรภี าพและความเสมอภาค สื่อสารผ่าน
ชอ่ งทางสาธารณะระดับภมู ิภาคและประชาคมโลก ด้วยจิตสาธารณะ
10 สำนึกสากลด้วยความเชื่อมั่นในสังคมทีเ่ ทา่ เทียมเป็นธรรม ค่านิยม
ประชาธิปไตย และแนวทางท่ีไมเ่ กิดความรุนแรงตอ่ สงั คมและต่อตัวเอง
แนวทางสนั ติวธิ ี
พฤตกิ รรมบ่งชี้หลักตามระดับ
ระดับ คำนิยามบรรยายระดบั การเห็นคุณคา่ ในตนเอง
1 รจู้ ักตนเอง (Knowing Self) ทางด้านกายภาพ - บอกความชอบ
ความชอบ ความสนใจ จัดการชวี ิตประจำวันของ ความสนใจ และเพศสภาพ
ตนเอง รบั รูแ้ ละจดั การอารมณ์และความรสู้ กึ ของตนเองได้
พืน้ ฐาน ปฏบิ ตั ิตนตามบรรทัดฐานทางสังคม
ภายใตก้ ารดแู ลของผู้อืน่
2 ร้จู ักตนเองในจดุ เด่น จดุ ควรพฒั นา มีวนิ ยั ในการดแู ล - บอกสิ่งท่ีตนและเพ่ือน
จดั การชีวิตประจำวนั ของตนเอง รบั ร้แู ละจดั การ ทำได้ดี
อารมณแ์ ละความรสู้ กึ พน้ื ฐาน รู้ถกู ผดิ ในการปฏบิ ตั ิตน
ตามบรรทดั ฐานทางสังคมภายใต้การดแู ลของผ้อู ื่น
ตระหนกั รใู้ นสถานการณ์ทเ่ี ป็นปญั หาใน
ชีวิตประจำวนั
3 รู้จกั ความสามารถของตนเอง มวี นิ ัยในการดแู ล - ระบคุ วามสามารถของตนเอง
จัดการชีวติ ประจำวันของตนเอง รบั รู้และจดั การ และเพอ่ื นได้
อารมณแ์ ละความเครยี ด แยกแยะส่งิ ถูกผิด หลีกเลยี่ ง - บรรยายกิจกรรม/งานทตี่ นเอง
การนำพาตวั เองเขา้ ไปสภู่ าวะเสี่ยงตามคำแนะนำ และเพื่อนอาจตอ้ งการความ
อดทนตอ่ ปญั หาในชวี ติ ประจำวนั และการเรยี น ช่วยเหลือเพ่ือทำใหส้ ำเรจ็
4 รจู้ กั ความสามารถของตนเอง มวี นิ ยั ในการดูแล - เลอื กกจิ กรรมท่เี หมาะ
จัดการชวี ติ ประจำวนั ของตนเอง รบั รู้และจดั การ กับตนเอง
อารมณแ์ ละความเครียด ตระหนกั ร้ผู ดิ ชอบชว่ั ดี - ยอมรบั ความแตกตา่ ง
จดั การปญั หาชวี ติ ประจำวนั และการเรยี นตาม ในความชอบ ความสนใจ
คำแนะนำ พรอ้ มเผชญิ และยอมรบั ปญั หาทเี่ กิดข้ึน และเพศวิถขี องผ้อู ่ืน
41
บสมรรถนะการจดั การตนเอง
พฤตกิ รรมบ่งช้ีหลัก
การมเี ปา้ หมายในชีวิต การจัดการอารมณ์และ การจัดการปัญหาและ
ความเครียด ภาวะวกิ ฤต
- ทำกจิ วัตรประจำวัน - บอกและเรยี กอารมณ์และ - ปฏบิ ตั ติ นตามขอ้ ตกลงของสังคม
ทัง้ การเรียน เล่น กนิ ความรสู้ ึกพื้นฐานของ - บอกทางเลือกและตัดสินใจ
ชว่ ยทำงาน พกั ผ่อน ใช้เงนิ ตนเองทง้ั ทางบวกและ เกีย่ วกับกจิ วัตรประจำวัน
อยา่ งพอดี ภายใต้ ทางลบ
คำแนะนำของผอู้ น่ื
- สามารถควบคมุ ตนเอง - บอกสถานการณท์ ที่ ำใหเ้ กดิ - ระบทุ างเลอื กทีอ่ าจกอ่ ใหเ้ กดิ
ในการปฏบิ ตั กิ ิจวัตร อารมณแ์ ละความรู้สกึ ปัญหาในกิจวัตรประจำวนั
ประจำวัน ภายใตก้ ารดูแล พื้นฐาน - บอกได้วา่ สถานการณ์ใดเป็น
ของผอู้ ่ืน - บอกวธิ กี ารควบคุม/จัดการ ปญั หาและเกิดจากสาเหตใุ ด
กบั อารมณ์ และความรู้สึก
ของตนเอง
- สามารถควบคมุ ตนเอง - แสดงออกถึงการควบคมุ - สามารถรับรไู้ ด้ถึงสถานการณ์
ในการปฏบิ ัติกิจวตั ร อารมณ์และความรสู้ กึ ท่ีเปน็ ปัญหาหรอื ก่อให้เกดิ ปญั หา
ประจำวัน ภายใต้การติดตาม พ้นื ฐานทเ่ี กดิ ขึน้ - บอกผลของทางเลือกทีต่ ดั สนิ ใจ
ของผู้อน่ื บา้ ง ท่อี าจเกิดข้นึ ในแงบ่ วกและแงล่ บ
กับตนเองและผอู้ ่ืน
- สามารถควบคมุ ตนเอง - บอกระดับความรนุ แรง - บอกผลกระทบของทางเลอื กท่ี
ในการปฏบิ ัติกจิ วัตร ของอารมณ์ และความรสู้ กึ ตัดสนิ ใจ ที่อาจเกิดขนึ้ ในแง่บวก
ประจำวันอย่างสม่ำเสมอ ทางลบ และแง่ลบกับตนเองและผู้อ่ืน
- สามารถส่อื สารขอความ - ระบสุ ถานการณท์ เ่ี พื่อนมแี รง
ช่วยเหลือในการจัดการ กดดนั ต่อการตดั สนิ ใจของตนเอง
ความเครียด - ใช้ทางเลือกและรับผดิ ชอบใน
ผลทเี่ กิดขน้ึ จากการตดั สินใจ
ระดบั คำนิยามบรรยายระดบั การเห็นคณุ ค่าในตนเอง
5 มมี โนทัศนเ์ กยี่ วกบั ตวั เอง (Self Concept) - บอกลกั ษณะนสิ ยั จดุ แขง็
ท่ีถูกตอ้ ง สามารถตดั สินใจและมุง่ ม่นั ที่จะจดั การ และส่ิงท้ายทายของตนเอง
สิง่ ทจ่ี ำเป็นสำหรับชีวิตและการเรยี นของตนเอง ในดา้ นวิชาการ สถานการณ์
รับรู้และจดั การอารมณ์และความเครียด ละเวน้ ทางสงั คม
การกระทำทไี่ ม่ควรทำ รู้ทนั การเปลี่ยนแปลง - บรรยายทกั ษะและความ
ทเี่ กิดขน้ึ จัดการปัญหาชีวติ ประจำวนั และ สนใจของตนทตี่ อ้ งการ
การเรยี นตามคำแนะนำ พฒั นา
6 มีความมน่ั ใจและภาคภมู ใิ จในตนเอง (Self Esteem) - บอกคณุ ลกั ษณะทางบวก
สามารถตดั สินใจและวางแผนเกย่ี วกบั ชีวิตและ จุดยนื และความเช่ือของ
การเรยี นของตนเอง มวี ินยั และจงู ใจตนเองใหไ้ ปสู่ ตนเอง
เปา้ หมาย รับรแู้ ละจดั การอารมณแ์ ละความเครยี ด - แสดงออกถึงความเช่อื
มจี ดุ ยนื และความเช่อื ของตัวเอง ปรบั ตัวรบั การ ทางบวกในความสามารถ
เปลีย่ นแปลงทเ่ี กดิ ข้ึนและสามารถฟ้นื คืนจาก ของตัวเองที่จะประสบ
สภาพปญั หาเม่อื เผชญิ ภาวะวิกฤตตามคำแนะนำ ความสำเร็จ
- มสี ่วนรว่ มตงั้ คำถาม
อย่างกระตอื รือรน้
7 มีความภาคภมู ิใจในตนเอง มีกรอบความคดิ - มีความรูส้ ึกทดี่ เี ก่ียวกบั ตนเอง
แบบเตบิ โต (Growth Mindset) สามารถกำกบั ตนเอง - เขา้ รว่ มกจิ กรรมใหม่ ๆ
ใหล้ งมือทำตามแผนเกย่ี วกบั ชีวติ และการเรยี นของ ทีไ่ ม่คุ้นเคย
ตนเอง รบั รแู้ ละจดั การอารมณแ์ ละความเครยี ด - ยอมรับคำวจิ ารณ์หรอื
แสดงออกตามความเช่อื และจดุ ยนื ของตวั เอง ความไม่ร้ขู องตนเอง
แกไ้ ขปัญหา มีความรบั ผดิ ชอบในผลของการกระทำ - แสดงพฤตกิ รรมตามความเชื่อ
ของตนเอง และฟ้ืนคืนจากสภาพปัญหาเมอื่ เผชญิ และจดุ ยนื ของตนเอง
ภาวะวกิ ฤตตามคำปรึกษา
42
พฤตกิ รรมบง่ ชหี้ ลกั
การมีเป้าหมายในชีวิต การจดั การอารมณ์และ การจดั การปัญหาและ
ความเครยี ด ภาวะวิกฤต
- กระตือรอื รน้ และเกาะตดิ - บอกวิธีการควบคมุ /จดั การ - บอกความเปลีย่ นแปลง
ทีเ่ กดิ ขน้ึ ท่ีสง่ ผลตอ่ การดำเนิน
กบั งาน และการเรยี นของ อารมณ์ และความรู้สึก ชวี ิต
- สามารถสะทอ้ นผลของทางเลอื ก
ตนเอง - บอกกลวิธีในการควบคุม ที่มตี อ่ ตนเองและผู้อนื่ ในมิตขิ อง
ประโยชน์ ความเปน็ ธรรม หรอื
หรอื บรรเทาความเครยี ด ผลกระทบที่เกิดข้นึ
- บรรยายขอบเขตของอารมณ์ - ระบุความหลากหลายของปัญหา
และการตดั สนิ ใจ ที่มผี ลตอ่ ชวี ิต
และสถานการณ์ทีเ่ ป็น ของตนเอง
- อธบิ ายลักษณะของที่สถานการณ์
สาเหตุของอารมณแ์ ละ ปลอดภยั และไม่ปลอดภยั
รวมถงึ ความปลอดภัยทาง
ความเครียด ออนไลนแ์ ละภัยพิบตั ิ
- สามารถเผชญิ กบั ความผดิ หวังหรอื
- บอกเปา้ หมายและแนวทาง - บอกวิธีการในการจัดการ ความเปลย่ี นแปลงที่เกดิ ขนึ้ ในชวี ิต
- ยอมรับผลท่เี กดิ ขึน้ จาก
ในการไปสเู่ ปา้ หมายชวี ติ ความเครยี ด อารมณแ์ ละ การกระทำหรอื ทางเลอื กในการ
แกป้ ัญหา
และการเรยี นของตนเอง ความรสู้ กึ ทางลบ - บอกวิธีฟ้นื คนื จากภาวะวกิ ฤต
- จัดการเวลา ใช้ทรพั ยากร - แสดงออกถงึ ความสามารถ
และปฏิบตั ติ ามข้นั ตอน ในการจดั การสถานการณ์
ทจ่ี ะนำไปสเู่ ป้าหมาย ที่เปน็ สาเหตขุ อง
ความเครียด
- แสดงออกถงึ ความสามารถ - ตระหนกั และสื่อสารอารมณ์
ทีจ่ ะรเิ ร่มิ สรา้ งสรรคแ์ ละ ไปยงั ผู้อนื่ อย่างเหมาะสม
ทำงานด้วยตวั เอง - สามารถบอกกลวิธี
- ติดตามและประเมินผล ในการสง่ เสรมิ สุขภาวะ
การดำเนินการตามข้นั ตอน ทางจติ ของตน
ระดับ คำนยิ ามบรรยายระดับ การเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง
8 มกี รอบความคดิ แบบเตบิ โต สามารถกำกับตนเอง - แสดงออกถึงความเชือ่
ใหล้ งมือทำตามแผนเก่ียวกับชีวติ และการเรยี นของ ทางบวกในความสามารถ
ตนเอง และสะทอ้ นความก้าวหนา้ ของตนเอง รทู้ ัน ของตนเองท่จี ะประสบ
และจดั การอารมณ์และความเครียด มคี วาม ความสำเรจ็
รบั ผิดชอบในผลของการกระทำของตนเอง - ประเมินจดุ แขง็ และ
วางแผนปอ้ งกนั ปัญหาและความเส่ียง และฟื้นคนื ขอ้ จำกดั ของตนเอง
จากสภาพปญั หาเมอ่ื เผชญิ ภาวะวกิ ฤต ท่จี ะประสบความสำเรจ็ ได้
9 มภี าพอนาคตของตนเอง (Ideal Self) ท่ตี ้องการ - บอกลกั ษณะของบุคคล
จะเป็น มองเหน็ ขอ้ จำกดั และแนวทางการพฒั นา ทีต่ อ้ งการยดึ เปน็ แบบอยา่ ง
ตนเอง กำหนด ลงมือทำ ปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรม ได้
คา่ นิยม และความเช่อื ของตนเอง ตามแผนพฒั นา - มีภาพอนาคตของตนเอง
ตนเอง ร้ทู นั และจัดการอารมณ์และความเครยี ด ท่ีต้องการพฒั นาไปให้ถงึ
และสามารถฟื้นคนื จากสภาพปัญหาไดด้ ้วยตนเอง - ระบุข้อจำกดั และแนวทาง
เม่ือเผชิญภาวะวิกฤต การพัฒนาตนเอง
10 มีความสขุ กบั ชีวติ ทต่ี นเองเปน็ อยู่ มงุ่ ม่นั เพอ่ื - บรรยายลักษณะการใชช้ วี ติ
ความสำเร็จแมต้ อ้ งเผชญิ ความท้าทายที่เข้ามา ที่มีความสุขของตนเอง
ในชีวติ ร้ทู นั และจดั การอารมณ์และความเครยี ด
สามารถสร้างมุมมอง ค่านิยมใหม่ ให้กบั ตนเอง และ
สามารถฟืน้ คนื จากสภาพปัญหาเมอ่ื เผชิญภาวะ
วกิ ฤต