AANNAATTOOMMYY
คำนำ
หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียนวิชา ANATOMY โดยมี
จุดประสงค์เพื่อให้ผู้จัดทำได้ฝึกการศึกษาค้นคว้า และนำสิ่งที่ได้ศึกษา
ค้นคว้ามาสร้างเป็นชิ้นงานเก็บไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการเรียน
ทั้งนี้ เนื้อหาได้รวบรวมมาจากหนังสือแบบเรียน ANATOMY
PHYSIOLOGY I และจากหนังสือคู่มือการเรียนอีกหลายเล่ม
ต้องขอขอบคุณอาจารย์ชุติพร ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษา
หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะให้ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน
หากมีข้อเสนอแนะประการใด ผู้จัดทำขอรับไว้ด้วยความขอบพระคุณยิ่ง
ลงชื่อ น.ส.ชนาภัทร จิตตะ
ผู้จัดทำ
สารบัญ
คำนำ
ก
สารบัญ ข
ประวัติส่วนตัว
ค
ประวัติการศึกษา ง
1
บทที่ 1 Introduction to Anatomy 9
บทที่ 2 Introduction to Physiology 20
บทที่ 3 Human Struture 36
บทที่ 4 Integumentary System 44
56
บทที่ 5 Skeletal System 74
บทที่ 6 Muscular System 104
บทที่ 7 The Nervous System
บทที่ 8 The Circulatory System 119
บทที่ 9 Lymphatic System 125
บทที่ 10 The Respiratory System
บรรณานุกรรม
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ: น.ส.ชนาภัทร จิตตะ บิดา ข: ้รอ.ตมู.ลทค.บร
รอรบเจคิดรัวจิตตะ
ชื่อเล่น : ใบเตย โทร : 0854
016758
วันเกิด : 23/11/2545
สัญชาติ : ไทย เชื้อชาติ : ไทย มารดา :
จิตตะ
ศาสนา : พุทธ นาง
สุนีย์
เบอร์ : 0 โทร : 0952958395
สถานศึกษา : วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สวรรค์ประชารัก
ษ์ นครสวรรค์
ที่อยู่
บ้านเลขที่ 14 หมู่ 8
ตำบล ตะเคียนเลื่อน อำเภอเมือง
จังหวัดนครสวรรค์
60000
ประวัติการศึกษา
ระดับชั้นอนุบาล-ประถมศึกษา
โรงเรียนอนุบาลนครสวรรค์
ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น-ตอนปลาย
โรงเรียนสตรีนครสวรรค์
ระดับอุดมศึกษา
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
สวรรค์ประชารักษ์ นครสวรรค์
บทที่ 1
Introduction to
Anatomy
กายวิภาคศาสตร์ (anatomy)
ana = ชิ้น ส่วน (apart)
tomy = การตัดออก (cutting)
รูปที่ 1.1 Anatomical position
Anatomical position คือ ท่ายืนตรง เท้าทั้งสองข้างขนาน ชิดกันหรือ
แยกออกจากกันเล็กน้อย แขนทั้งสองข้างเหยียดตรง ห้อยอยู่แนบข้าง
ลำตัว และฝ่ามือหันตรงไปข้างหน้า ตาทั้งสองข้างมองตรงไปข้างหน้า
ภาพที่ 1.2 แสดงการแบ่งร่างกายตามระนาบ
http://training.seer.cancer.gov
1. Sagittal (median) plane คือ ระนาบในแนวดิ่งที่แบ่งร่างกายออกเป็นซีกซ้ายและขวาส่วน
Midsagittal plane คือ ระนาบในแนวดิ่งที่แบ่งร่างกายออกเป็นซีกซ้ายและขวา เท่าๆกัน
2. Frontal (coronal) plane คือ ระนาบที่ตั้งฉากกับ sagittal plane และแบ่งร่างกายออกเป็น
ซีกส่วนหน้า (anterior) กับส่วนหลัง (posterior)
3. Horizontal (transverse) plane คือระนาบที่ตั้งฉากกับแกนยาวของลำตัว และแบ่งร่างกายออก
เป็นส่วนบนและส่วนล่าง
ศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายตำแหน่งส่วนต่างๆ ของร่างกาย (Directional Terms) ที่สำคัญ
1.Superior หมายถึง ข้างบน 10.Medial หมายถึง ด้านใน หรือด้านใกล้แนวกลางลำตัว
2.Inferior หมายถึง ข้างล่าง 11.Lateral หมายถึง ด้านข้าง
3.Anterior หมายถึง ส่วนหน้า 12.Proximal หมายถึง ใกล้ลำตัว หรือส่วนต้น
4.Posterior หมายถึง ส่วนหลัง 13.Distal หมายถึง ไกลลำตัว หรือส่วนปลาย
5.Dorsal หมายถึง ส่วนหลัง หรือ ด้านหลัง 14.Superficial หมายถึง ใกล้ผิว หรือตื้น
6.Ventral หมายถึง ส่วนหน้า ด้านหน้า หรือ ด้านท้อง 15.Deep หมายถึง ลึก
7.Cranial หมายถึงใกล้ศีรษะมากกว่า
8.Cephalic หมายถึงใกล้ศีรษะมากกว่า
9.Caudal หมายถึงใกล้เท้ามากกว่า
ภาพที่ 1.3 แสดงศัพท์ที่ใช้ในการอธิบายตำแหน่งส่วนต่างๆ ของร่างกาย
http://homepage.psy.utexas.edu
ช่องว่างภายในร่างกาย (Body Cavity)
ภาพที่ 1.4 แสดงช่องว่างภายในร่างกาย
http://training.seer.cancer.gov
ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยช่องว่างภายในร่างกาย 2 ช่องหลัก คือช่องว่างทาง
ด้านหลัง (dorsal cavity) และช่องว่างทางด้านหน้า (ventral cavity) ช่องว่างของ
ร่างกายเปรียบเสมือนเกราะที่ป้องกันอวัยวะภายใน โดย dorsal cavity ประกอบไป
ด้วยสมอง ไขสันหลัง ส่วน ventral cavity จะประกอบไปด้วยอวัยวะภายในช่องอก
ช่องท้อง และอุ้งเชิงกราน
2.1 ช่องว่างทางด้านหลัง (dorsal cavity)
ช่องว่างร่างกายทางด้านหลังประกอบไปด้วยระบบประสาทส่วนกลาง ได้แก่ สมองและไขสันหลัง ซึ่งสามารถ
แบ่งออกเป็น 2 ช่องย่อย คือ cranial cavity ซึ่งเป็นช่องว่างภายในกะโหลกศีรษะ ภายในช่องนี้บรรจุด้วยสมอง
และ spinal cavity เป็นช่องภายในกระดูกสันหลัง ภายในช่องนี้บรรจุด้วยไขสันหลัง
2.2 ช่องว่างทางด้านหน้า (ventral cavity)
ช่องว่างทางด้านหน้าเป็นช่องว่างในส่วนของลำตัวซึ่งอยู่หน้าต่อกระดูกสันหลัง และหลังต่อกระดูกหน้าอก
(sternum) และกล้ามเนื้อที่ประกอบเป็นผนังหน้าท้อง ประกอบด้วย 2 ช่องคือช่องอก (thoracic cavity) และ
ช่องท้องและเชิงกราน (abdominalpelvic cavity)
2.2.1 ช่องอก (thoracic cavity)
ช่องอก ประกอบไปด้วย หัวใจ ปอด หลอดลม กล่องเสียง หลอดอาหาร ต่อมไธมัส และเส้นเลือดใหญ่จำนวนมาก
ผนังของช่องอกคือกล้ามเนื้อและกระดูก ในช่องอกประกอบด้วยช่องย่อยๆ คือช่องรอบหัวใจ (pericardial
cavity) ภายในช่องนี้เป็นหัวใจ และช่องปอด (pleural cavity) ซึ่งมีซ้ายขวา ภายในช่องนี้เป็นปอด ส่วนช่องตรง
กลางของช่องอก เรียกว่า mediastinum ภายในบรรจุด้วย หัวใจ เส้นเลือดใหญ่ที่หัวใจ ต่อมไธมัส หลอดลม และ
หลอดอาหาร โดยปอดจะอยู่ด้านนอก mediastinum
2.2.2 ช่องท้องและเชิงกราน (abdominalpelvic cavity)
ช่องท้องและเชิงกราน แยกออกจากช่องอกโดยกะบังลม โดยประกอบไปด้วยช่องท้อง (abdominal cavity) และ
ช่องเชิงกราน (pelvic cavity) ภายในช่องท้องประกอบด้วยอวัยวะของระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ ตับ ถุงน้ำดี
กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ไต ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ ส่วนช่องเชิงกราน ประกอบด้วยอวัยวะภายในของระบบ
สืบพันธุ์ บางส่วนของลำไส้ใหญ่ ไส้ตรง และกระเพาะปัสสาวะ
ศัพท์ที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของส่วนต่างๆ ร่างกายที่สำคัญ
ภาพที่ 1.5 (ซ้าย) แสดงการงอ (flexion) ข้อเข่า และงอข้อไหล่ ข้างขวา
(ขวา) และกำลังเหยียด (extension) ข้อเข่าของขาขวา
https://teachm
eanatomy.info/
1. Flexion คือการงอ ส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น การงอข้อศอก, การงอเข่า, งอลำตัว เป็นต้น
ในกรณีของข้อเท้าจะใช้คำว่า Plantar flexion คือ การเคลื่อนไหวที่งอข้อเท้า ทำให้ปลายเท้าชี้ลง
2. Extension คือการเหยียด ส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่นการเหยียดข้อเข่า ในกรณีของข้อเท้าจะ
ใช้คำว่า Dorsiflexion คือการเคลื่อนไหวที่กระดกข้อเท้าขึ้น ทำให้ปลายเท้าชี้ขึ้น
ภาพที่ 1.6 Adduction (กาง) และ Adduction (หุบ)
https://www.machinedesign.com/
3. Abduction คือ การกาง เป็นการเคลื่อนไหวของส่วนร่างกายในแนว coronal plane
ออกจาก sagittal plane เช่น การกางแขน การกางขา
4. Adduction คือการหุบ กาง เป็นการเคลื่อนไหวของส่วนร่างกายในแนว coronal
plane เข้าหา sagittal plane เช่น การหุบแขน การหุบขา และ การหุบนิ้ว
ภาพที่ 1.7.1 Supination คือ การหงาย และภาพที่ 1.7.2 Pronation การคว่ำ
https://www.quora.com/
5. Circumference การเคลื่อนไหวลักษณะเหมือนกรวยกลม
6. Rotation การหมุน มี 2 แบบคือ medial rotation คือหมุนเข้าหาแนว midline
และ lataral rotation หมุนออกจากแนว midline
7. Pronation การคว่ำ เช่น คว่ำมือ นอนคว่ำ (ภาพที่ 1.7.2)
8. Supination คือ การหงาย เช่น การหงายมือ (ภาพที่ 1.7.1)
9.Eversion คือ การพลิกออกทางด้านนอก โดยหันด้านฝ่าเท้าหงายออกไปทางด้านนอก
10. Inversion คือการพลิกเข้าด้านใน โดยหันด้านฝ่าเท้าหงายเข้ามาทางด้านใน
11. Protraction คือ การเคลื่อนไหวไปข้างหน้า เช่นการเคลื่อนไหวของขากรรไกร หรือ สะบัก
12. Retraction คือ การเคลื่อนไหวไปข้างหลัง เช่นการเคลื่อนไหวของขากรรไกร หรือ สะบัก
13. Elevation คือการยกขึ้น เช่นการเคลื่อนไหวของ สะบัก ขากรรไกร
14. Depression คือการกดลง เช่นการเคลื่อนไหวของ สะบัก ขากรรไกร
15. Deviation คือการเบี่ยงออกจากตำแหน่งเดิม เช่นที่ข้อมือ ถ้าเบี่ยงข้อมือออกไปทางนิ้วหัวแม่มือ
เรียกว่า radial deviation หรือ abduction แต่ถ้าเบี่ยงข้อมือออกไปทางนิ้วก้อย
เรียกว่า ulnar deviation หรือ adduction
16. Opposition คือ การหมุนข้อต่อ metacarpophalangeal joint ของหัวแม่มือ หรือนิ้วก้อยเข้าหาฝ่ามือ
บทที่ 2
Introduction to
Physiology
ภาพที่ 2.1 ของเหลวในร่างกาย (fluid compartmants)
https://www.austincc.edu
ภาพที่ 2.2 การกระจายของ electrolyte ในร่างกาย
(electrolyte distribution in body)
https://www.blendspace.com
กลไกควบคุมย้อนกลับ (feedback mechanism)
ภาพที่ 2.3 negative feedback mechanism
https://bio.libretexts.org
1.negative feedback mechanism เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงใดๆภายในร่างกาย กลไกแบบนี้จะ
พยายามปรับให้กลับมาสู้ภาวปกติที่เคยเป็น (set point)
๐ กลไกควบคุมนี้เป็นกลไกหลักและพบได้ทั่วร่างกาย เช่น การรักษาอุณหภูมิในร่างกายของมนุษย์
เมื่อร้อนไปก็มีการคลายความร้อนและลดการสร้างความร้อนเพื่อให้ร่างกายเย็นขึ้น
๐ การรักษาระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด ถ้าต่ำไปก็จะอาศัยฮอร์โมน เช่น glucagon เพิ่มระดับ
น้ำตาลในเลือด
ภาพที่ 2.4 positive feedback mechanism
https://www.scienceabc.com/
2.positive feedback mechanism
๐ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้สภาวะร่างกายต่างไปจากปกติแล้วระบบนี้ทำให้ความเปลี่ยนแปลงรุนแรง
ขึ้นไปอีก (ออกห่างจาก set point มากขึ้น)
๐ ตัวอย่างกลไกนี้ เช่น การคลอดลูกจะมีฮอร์โมนออกซิโทซินหลั่งออกมา ทำให้ผนังมดลูกเกิดการบีบตัว
และยิ่งบีบตัวแรงเท่าไรฮอร์โมนก็ยิ่งออกมามากเท่านั้น
การลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
Passive transport / การลำเลียงแบบไม่ใช้พลังงาน
การลำเลียงแบบไม่ใช้พลังงาน เป็นการเคลื่อนย้ายสารผ่านเมมเบรน จากด้านที่มีความ
เข้มข้นสูงไปยังอีกด้านหนึ่งที่มีความเข้มข้นต่ำโดยไม่ใช้พลังงาน
1) การแพร่ (Diffusion) มี 2 แบบคือ
ภาพที่ 2.6 เเสดงการแพร่ของเเก็สในปอด
http://www.thaigoodview.com/
1.1) การแพร่แบบธรรมดา (Simple diffusion) เป็นการแพร่ที่ไม่อาศัยตัวพา หรือตัวช่วยขนส่ง
(carrier) ใดๆเลย เช่น การแพร่ของเเก็สในปอด
ภาพที่ 2.7 เเสดงการเเพร่เเบบฟาซิลิเทต
https://www.scimath.org
1.2) การแพร่แบบฟาซิลิเทต(Facilitated diffusion) เป็นการแพร่ของสารผ่านโปรตีนตัวพา(Carrier) ที่ฝังอยู่บริเวณเยื่อหุ้ม
เซลล์โดยตรง โปรตีนตัวพา (carrier) จะทำหน้าที่คล้ายประตูเพื่อรับโมเลกุลของสารเข้าและออกจากเซลล์ การแพร่แบบนี้มีอัตรา
การแพร่เร็วกว่าการแพร่แบบธรรมดามาก ตัวอย่างเช่น การลำเลียงสารที่เซลล์ตับและ เซลล์บุผิวลำไส้เล็กการแพร่แบบนี้เกิดใน
เซลล์ของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น
ปัจจัยที่มีผลต่อการแพร่
1.สถานะของสาร โดยแก็สมีพลังงานจลน์สูงสุดจึงมีอัตราการแพร่สูงสุด
2.สถานะของตัวกลางที่สารจะแพร่ผ่าน โดยตัวกลางที่เป็นแก็สจะมีแรงต้านน้อยที่สุดจึงทำให้มีอัตราการแพร่สูงที่สุด
3.ขนาดอนุภาคของสาร โดยอนุภาคยิ่งเล็กยิ่งมีอัตราการแพร่สูง
4.ระยะทางที่สารจะแพร่ในหนึ่งหน่วยเวลา
5.อุณหภูมิ โดยจะมีผลต่อการเพิ่มพลังงานจลน์ให้กับสารทำให้มีอัตราการแพร่เพิ่มสูงขึ้น
6.ความดัน เมื่อความดันเพิ่มสูงขึ้นจะเพิ่มความหนาแน่นให้กับสาร ส่งผลให้มีอัตราการแพร่เพิ่มสูงขึ้น
7.ความแตกต่างของความเข้มข้นสารระหว่าง 2 บริเวณ
2) การออสโมซิส (Osmosis) คือการเคลื่อนที่ของตัวทำละลาย
(มักจะกล่าวถึงน้ำ)ผ่านเยื่อเลือกผ่านจากสารละลายที่เข้มข้นต่ำไปยังสารละลายที่เข้มข้นสูง
ภาพที่ 2.7 เเสดงการออสโมซิส
https://www.scimath.org
สารละลาย hypertonic จะมีผลให้น้ำออกจากเซลล์เม็ดเเดงจนทำให้เซลล์เหี่ยว
สารละลาย Isotonic น้ำเข้าเเละออกจากเซลล์เท่ากันรักษาสภาพเซลล์
สารละลาย hypotonic น้ำเข้าเซลล์จนทำให้เซลล์เเตก
Active transport / การลำเลียงแบบใช้พลังงาน
เป็นการเคลื่ อนที่ของสารจากบริเวณที่มีความหนาแน่นของสารมากไปยังบริเวณที่มี
ความหนาแน่นของสารน้อยโดยอาศัยพลังงาน ATP จากเซลล์
ปัจจัยที่ต้องใช้ในกระบวนการ Active transport
1. โปรตีนตัวพา (Carrier) ซึ่งฝังอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์
2. เอนไซม์ (enzyme) เพื่อใช้ในการเปลี่ยนรูปของตัวพา
3. พลังงาน ATP จากเซลล์
ชนิดของ active transport
1. การขนส่งแบบใช้พลังงานปฐมภูมิ (primary active transport) การขนสงสารที่อาศัยพลังงานจากเม
ตาบอลิซึมของเซลล์โดยตรง เช่น sodium pump, Na+/K+ ATPase pumpใช้พลังงานจาก ATP
2. การขนส่งแบบใช้พลังงานทุติยภูมิ (secondary active transport) การขนส่งสารที่อาศัยพลังงาน
โดยทางอ้อม เปนการใช้ พลังงานที่สะสมไว้ในรูปของความลาดเชิงความเข้มข้น และเชิงศักย์ไฟฟฟ้าของ
สารต่างๆ ส่วนใหญ่ ได้แก่ โซเดียมไอออน
Exocytosis and Endocytosis
สารที่มีโมเลกลขนาดใหญ่เช่น โปรตีน และ คาร์โบไฮเครต ผ่านออกนอกเซลล์
ด้วยกระบวนการ exocytosis และเข้าไปในเซลล์ด้วยกระบวนการ endocytosis
ภาพที่ 2.8 Exocytosis
https://www.thoughtco.com/
1.Exocytosis
เป็นการลำเลียงสารที่มีโมเลกลขนาดใหญ่ออกจากเซลล์โดยสารจะถูกบรรจุในเวสิเคิล (Vesicle) แล้วค่อยๆ
เคลื่อนมาเชื่อมกับเยื่อหุ้มเซลล์แล้วปล่อยออกนอกเซลล์เช่น การหลงเอนไซม์ของเซลล์กระเพาะอาหาร
การหลังฮอร์โมนอินซูลินของเซลล์ในตับอ่อน เข้าสู่กระแสเลือด
2.Endocytosis มี 3 แบบ ได้แก่
2.1 Phagocytosis
2.2 Pinocytosis
2.3 Receptor-mediated endocytosis
Phagocytosis
Phagocytosis (cell eating) เป็นการนำสารเป็นของแข็งเข้าเซลล์ โดยเซลล์ยื่น
ส่วน cytoplasm ไปโอบล้อมสารของแข็งนั้น แล้วเข้าไปในเซลล์เป็น food vacuole แล้ว food vacuole นั้นจะไป
รวมกับ lysosome ซึ่ภายในมี hydrolytic enzymes ที่จะย่อยสลายสารนั้นต่อไป
Pinocytosis
Pinocytosis (cell drinking) เป็นการนำสารที่เป็นของเหลวเขาเซลล์โดยเยื่อหุ้มเซลล์เว้าเข้าไปเพื่อนำสารเข้าไป
กลายเป็นถุงเล็กๆ (vesicle) อยู่ cytoplasm เช่น การดูดซึมไขมันที่ลำไส้เล็กการดูดกลับโปรตีนที่หน่วยไต
Receptor-mediated endocytosis
Receptor-mediated endocytosis เป็นการนำสารเฉพาะบางชนิดเข้าไปในเซลล์โดยที่
ผิวเซลล์มี receptor เฉพาะสาหรับสารบางอย่างเข้ามาจับ แล้วถูกนำเข้าไป ในเซลล์เป็นถุงเล็กๆ เมื่อผ่านการย่อย
แล้ว receptor สามารถถูกนำมาใช้ ใหม่ได้อีก เช่น การนำ cholesterol, lipoprotein ชนิดต่างเข้าเซลล์
บทที่ 3
Human Struture
ลำดับโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต
ภาพที่ 3.1 ลำดับโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต
https://sites.google.com/site/learnaboutscience
การจัดระบบในร่างกายแบ่งได้เป็น 11 ระบบ
1. ระบบผิวหนัง
2. ระบบกล้ามเนื้อ
3. ระบบกระดูก
4. ระบบประสาท
5. ระบบหัวใจและหลอดเลือด
6. ระบบน้ำเหลือง
7. ระบบหายใจ
8. ระบบย่อยอาหาร
9. ระบบขับถ่าย
10. ต่อมไร้ท่อ
11. ระบบสืบพันธุ์
องค์ประกอบของเซลล์
ภาพที่ 3.2 องค์ประกอบของเซลล์
https://ngthai.com
เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane)
พบในเซลล์สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ยกเว้นไวรัส เยื่อหุ้มเซลล์ทำให้เซลล์คงรูปอยู่ได้ และเป็นเยื่อเลือกผ่าน คือ มีคุณสมบัติ
ยอมให้สารบางชนิดผ่านเข้าออกเท่านั้น ควบคุมการเข้าออกของสารต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่เซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์
ประกอบด้วย ฟอสโฟลิพิด (Phospholipid bilayer) โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และคอเลสเตอรอล
นิวเคลียส (Nucleus)
มีลักษณะค่อนข้างกลม อยู่บริเวณกลางเซลล์ ประกอบด้วยเยื่อหุ้มนิวเคลียส และนิวคลีโอพลาซึมซึ่งเป็นส่วนที่อยู่
ภายในเยื่อหุ้มนิวเคลียส นิวเคลียสทำหน้าที่ควบคุมการทำงานต่าง ๆ ภายในเซลล์ แบ่งเซลล์ และบรรจุสารพันธุกรรม
DNA
ไซโทพลาซึม (Cytoplasm)
อยู่ระหว่างนิวเคลียสและเยื่อหุ้มเซลล์ ประกอบด้วยส่วนที่เป็นของเหลว เรียกว่าไซโทซอล (Cytosol) และส่วนที่เป็น
ของแข็ง เรียกว่า ออร์แกเนลล์ (Organelle)
ร่างแหเอนโดพลาซึม (Endoplasmic Reticulum, ER)
แบ่งออกเป็นชนิดผิวเรียบและผิวขรุขระ ชนิดผิวเรียบ (Smooth Endoplasmic Recticulum, SER) จะไม่มีไรโบโซมเกาะ
ทำหน้าที่สร้างไขมัน กำจัดสารพิษ ส่วนชนิดผิวขรุขระ (Rough endoplasmic recticulum, RER) จะมีไรโบโซมเกาะอยู่
ทำหน้าที่สร้างโปรตีน และส่งโปรตีนออกนอกเซลล์
ไรโบโซม (Ribosome)
เป็นแหล่งสร้างโปรตีน และทำหน้าที่ส่งโปรตีนออกไปยังนอกเซลล์ มี 2 หน่วยย่อย ประกอบด้วยหน่วยใหญ่และหน่วยเล็ก
แต่ละหน่วยจะมี Ribosomal RNA (rRNA)
ไลโซโซม (Lysosome)
เป็นออร์แกเนลล์ที่มีเยื่อหุ้มเพียงชั้นเดียว มีลักษณะเป็นถุง ทำหน้าที่ย่อยสลายอนุภาค โมเลกุลสารอาหารภายในเซลล์
ทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่เซลล์ และทำลายเซลล์ที่ตายแล้ว
https://ngthai.com
ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria)
เป็นแหล่งผลิตสารพลังงานสูง คือ ATP เกี่ยวข้องกับการสลายอาหารหรือการหายใจระดับเซลล์แบบใช้ออกซิเจน
เป็นออร์แกเนลล์ที่ประกอบด้วยเยื่อหุ้ม 2 ชั้น มีของเหลวภายในเรียกว่า matrix ภายในมี DNA และไรโบโซมเป็นของตัวเอง
กอลจิบอดี (Golgi Body) หรือกอลจิคอมเพล็กซ์ (Golgi Complex)
มีลักษณะเป็นถุงแบน ๆ วางซ้อนกัน ทำหน้าที่รับสาร เก็บสารต่าง ๆ ภายใน ตัดแต่งหรือต่อเติมโปรตีนให้สมบูรณ์
แล้วเคลื่อนย้ายไปสู่จุดหมายปลายทางต่าง ๆ ทั้งภายในเซลล์และภายนอกเซลล์
ภาพที่ 3.3 ส่วนประกอบของไมโทคอนเดรีย
https://ngthai.com/
เนื้อเยื่อแบ่งออกเป็น 4 ชนิด
แต่ละชนิดประกอบด้วยเซลล์ที่มีขนาด รูปร่าง และการจัดตัวเป็นแบบเฉพาะ ได้แก่
1. เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial tissue หรือ epithelim)
2. เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue)
3. เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (muscle tissue)
4. เนื้อเยื่อประสาท (nervous tissue)
ภาพที่ 3.4 เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial tissue หรือ epithelim)
https://th.wikipedia.org
1. เนื้อเยื่อบุผิว (epithelial tissue หรือ epithelim)
เนื้อเยื่อบุผิว เป็นเนื้อเยื่อที่ปกคลุมผิวนอกร่างกายหรือผิวท่ออวัยวะภายใน มีหน้าที่รับความรู้สึก เช่น ที่ผิวหนัง เกี่ยวกับ
การดูดซึม เช่น เยื่อบุผิวทางเดินอาหาร การสร้างสารและการหลั่งสาร เช่น ที่ต่อมน้ำลายและต่อมเหงื่อ
ชนิดของเนื้อเยื่อบุผิวแบ่งตามรูปร่างได้เป็น 3 ชนิด คือ
1.squamous epitheliumเซลล์มีรูปร่างแบนบาง
2.cuboidal epitheliumเซลล์มีรูปร่างทรงกระบอกไม่สูงมาก หรือคล้าย
ลูกบาศก์ มองทางด้านข้างคล้ายลูกเต๋า แต่แท้จริงแล้วมีรูปร่างเป็นทรง
แปดเหลี่ยม
3.columnar epitheliumเซลล์คล้ายทรงกระบอก หรือเสาเล็ก ๆ เมื่อ
มองทางด้านข้าง นิวเคลียสมักใกล้ฐานของเซลล์ ถ้ามีซีเลียที่ผิวหน้าด้านที่
เป็นอิสระ ทำหน้าที่โบกพัดสารต่าง ๆ ไปทิศทางเดียว เรียกเป็น ciliated
columnar epithelium เช่น ที่ทางเดินหายใจของคน
ภาพที่ 3.5 ชนิดของเนื้อเยื่อบุผิวแบ่งตามรูปร่าง
https://sites.google.com/site/learnaboutscience
1.simple epithelium ประกอบด้วยเซลล์เรียงกันเป็นชั้นเดียว มักพบในบริเวณที่สารต้องแพร่ผ่านเนื้อเยื่อ หรือบริเวณที่สารต้อง
ถูกหลั่งหรือถูกกำจัด หรือถูกดูดซึมแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
1.1.simple squamous epithelium เซลล์มีลักษณะแบนบาง เรียงตัว 1 ชั้นบนเยื่อรองรับพื้นฐานนิวเคลียสรูปกลม
พบที่ชั้นนอกของโบว์แมนแคปซูล (Bowman’s capsule) ผนังหลอดเลือด เยื่อบุช่องท้องช่องหัวใจและปอด
1.2.simple cuboidal epitheliumเซลล์มีลักษณะรูปร่างลูกบาศก์ นิวเคลียสกลม เรียงตัว 1 ชั้นอยู่บนเยื่อรองรับพื้นฐาน
พบที่ท่อต่าง ๆ เช่น ท่อรวม (collecting duct) ท่อน้าลาย ท่อตับอ่อน และหลอดลม
1.3.simple columnar epitheliumเซลล์ทรงกระบอกสูง นิวเคลียสรูปรีเรียงตัว 1 ชั้นอยู่บนเยื่อรองรับพื้นฐาน
พบที่เยื่อบุทางเดินอาหารส่วนต่าง ๆ ยกเว้นหลอดอาหารและทวารหนัก
2.stratified epithelium ประกอบด้วยเซลล์เรียงซ้อนกัน 2 ชั้นขึ้นไป พบที่ผิวหนัง และเยื่อบุหลอดอาหารของคนและ
สัตว์มีกระดูกสันหลังอื่น ๆแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้
2.1.stratified squamous epitheliumเซลล์ชั้นบนสุดแบนบาง เรียงตัวซ้อนกันหลายชั้น เซลล์ชั้นล่างรูปร่าง
ลูกเต๋า พบที่บริเวณผิวหนัง เยื่อบุช่องปาก หลอดอาหาร ทวารหนัก
2.2.stratified cuboidal epitheliumเซลล์มีลักษณะรูปร่างลูกบาศก์เรียงซ้อนกัน 2-3 ชั้นบนเยื่อรองรับพื้นฐาน
พบที่ภายในท่อขนาดกลางของต่อมต่าง ๆ เช่น ต่อมน้าลาย ตับอ่อน ต่อมเหงื่อ
2.3.stratified columnar epitheliumเซลล์มีลักษณะรูปร่างทรงกระบอกสูงเรียงซ้อนกัน 2-3 ชั้น ชั้นล่างเป็น
เซลล์ที่มีรูปร่างหลายเหลี่ยมตั้งอยู่บนเยื่อรองรับพื้นฐาน พบได้น้อย เช่นที่บริเวณท่อปัสสาวะของเพศชาย
3.pseudostratified epithelium มีการเรียงตัวกันของเซลล์ที่มองดูเหมือนกับมีเซลล์อยู่ซ้อนกันหลายชั้น แต่ความ
จริง ทุกเซลล์ยังติดอยู่บนเยื่อรองรับฐานทั้งสิ้น เพียงแต่บางเซลล์ไม่สูงพอที่จะยื่นไปถึงผิวหน้าอิสระของเนื้อเยื่อ และถูก
เบียดอยู่ด้านล่าง ทำให้เห็นเหมือนมี 2 ชั้นหรือมากกว่านั้น พบที่ทางเดินหายใจบางส่วน ซึ่งเซลล์ชั้นบนสุดมีซีเลีย และพบที่
ท่อของต่อมหลายชนิด สำหรับเนื้อเยื่อบุผิวชนิด stratified ยังพบชนิดพิเศษชนิดหนึ่งซึ่งเซลล์อาจเปลี่ยนรูปร่างได้
ชั่วคราวหรือเปลี่ยนรูปร่างกลับไปกลับมาได้ เช่น ที่ผนังกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งมีการยืดขยายตัวในบางครั้งเพื่อรองรับปริมาณ
ปัสสาวะที่เพิ่มขึ้น เซลล์ที่บุผิวจะเปลี่ยนแปลงจากรูปลูกบาศก์เป็นแบนราบลงกว่าเดิม เมื่อผนังกระเพาะปัสสาวะขยายออก
เรียกเนื้อเยื่อบุผิวชนิดว่า เป็นแบบ stratified transitional epithelium
ต่อม (glandular epithelium)
ทำหน้าที่สร้างและหลั่งสาร สารที่ถูกสร้างมีหลายชนิด เช่น สารพวกโปรตีนจากเซลล์ตับอ่อน ไขมันจากต่อมหมวกไต และ
สารประกอบของโปรตีนและแป้งจากต่อมน้ำลาย โดยแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ดังนี้
1) ต่อมเซลล์เดียว (unicellular gland) มีลักษณะสาคัญ คือ เซลล์หนึ่งเซลล์ท าหน้าที่เป็นต่อม มีชื่อเรียกพิเศษว่า globlet
cell พบบริเวณเยื่อบุทางเดินอาหารหรือทางเดินหายใจ
2) ต่อมหลายเซลล์ (multicellular gland) เป็นต่อมที่เกิดจากกลุ่มเซลล์ที่ทำหน้าที่ร่วมกันเป็นต่อมโดยสร้างสารและขับสาร
ออกสู่ภายนอกต่อม
3) ต่อมมีท่อ(exocrine gland) เป็นต่อมหลายเซลล์ที่มีท่อน าสารออกสู่ภายนอก เช่น ตับ ตับอ่อน ต่อมน้ำลาย ต่อมเหงื่อ
4) ต่อมไร้ท่อ (endocrine gland) เป็นต่อมหลายเซลล์ที่ไม่มีท่อน าสารออกสู่ภายนอก เช่น ไอส์เลตออฟเลงเกอร์ฮานส์ (Islet
of Langerhans) สร้างสารและขับสารออกสู่ภายนอกต่อม
2. เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue)
ภาพที่ 3.6 ชนิดของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน
https://sites.google.com/site/kaywiphakhsastr
เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำหน้าที่สำคัญ คือ เป็นตัวเชื่อมหรือประสานระหว่างเนื้อเยื่ออื่น ๆ ในร่างกาย ช่วยค้ำจุนร่างกายหรือ
โครงสร้างต่าง ๆ และป้องกันอวัยวะที่อยู่ข้างใต้ โดยเกือบทุกอวัยวะในร่างกายจะต้องมีเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเป็นร่างแห
ค้ำจุน ช่วยทำหน้าที่คล้ายกันชน หรือหมอนกันกระเทือน เนื้อเยื่อเกี่ยวพันมีหลายชนิดหลัก ๆ 8 ชนิด ได้แก่
1. เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดโปร่งบาง (loose หรือ areolar connective tissue)
2. เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดแน่นทึบ (dense connective tissue)
3. เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดอิลาสติก (elastic connective tissue)
4. เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดตาข่าย (reticular connective tissue)
5. เนื้อเยื่อไขมัน (adipose tissue)
6. กระดูกอ่อน (cartilage)
7. กระดูก (bone)
8. เลือด (blood)
เนื้อเยื่อเกี่ยวพันเป็นเนื้อเยื่อที่พบแทรกอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชนิดอื่นๆ พบทั่วร่างกายทำหน้าที่พยุงและยืดเหนี่ยวให้เนื้อเยื่อเหล่านั้นคงรูป
และอยู่รวมกันได้ และสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายประกอบด้วยเซลล์เรียงกันอยู่ห่างๆ อยู่ในสารระหว่างเซลล์ (matrix) ที่มีปริมาณมาก
สารระหว่างเซลล์ประกอบด้วยเส้นใย และสารประกอบที่มีลักษณะใสและมีความหนืด
เนื้อเยื่อเกี่ยวพันแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
1.เนื้อเยื่อเกี่ยวพันสมบูรณ์ (connective tissue proper)
2.กระดูกอ่อน (cartilage)
3.กระดูกแข็ง(bone)
4.เลือด (blood)
5.เนื้อเยื่อเกี่ยวพันสมบูรณ์ (connective tissue proper)
1.เนื้อเยื่อเกี่ยวพันสมบูรณ์ (connective tissue proper)
ลักษณะเมทริกซ์เป็นเส้นใยกระจายอยู่แตกต่างกัน ทำให้แบ่งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดนี้เป็น 2 ประเภทคือ
1.เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดโปร่งบาง (loose connective tissue) เป็นเนื้อเยื่อมีเส้นใยเรียงตัว ไม่เป็นระเบียบ ชนิดที่พบมาก
ได้แก่คอลลาเจนและ อิลาสติก สำหรับเส้นใยร่างแหพบเล็กน้อย
เซลล์ที่พบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ชนิดโปร่งบาง ได้แก่
– เซลล์ไฟโบรบลาสต์(fibroblast)
– เซลล์แมโครฟาจ (macrophage)
– เซลล์แมสต์ (mast cell)
– เซลล์พลาสมา (plasma cell)
– เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดแน่นทึบ (dense connective tissue)
– เนื้อเยื่อไขมัน(adipose tissue) เซลล์ประเภทนี้พบอยู่ระหว่างเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ
2.เนื้อเยื่อเกี่ยวพันชนิดแน่นทึบ พบปริมาณเส้นใยมากอยู่ติดกันแน่นทึบ ทำให้มีช่องว่าง ระหว่างเซลล์น้อยแบ่งเป็น
3 ลักษณะคือ
1.ชนิดเกี่ยวพันทึบ พบตามเอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) และเอ็นยึด (ligament) ประกอบด้วยเส้นใย คอลลาเจนเรียงตัว
หนาแน่นสีขาว
2.ชนิดยืดหยุ่น (elastic connectivetissue)พบที่ผนังหลอดเลือด กล่องเสียง หลอดลม และปอด ประกอบด้วยเส้นใยอิ
ลาสติกสีเหลือง ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงและยืดหยุ่นได้ดี
3.ชนิดร่างแห (reticularconnective tissue) ตัวเซลล์เป็นเซลล์ร่างแห (reticular cell) มีแขนง
แยกออกไปติดต่อกับเซลล์ข้างเคียง
2.กระดูกอ่อน (cartilage)
พบอยู่ตามส่วนของโครงกระดูก โดยเฉพาะบริเวณที่กระดูกมีการเสียดสีกัน ประกอบด้วย เมทริกซ์ ซึ่งเป็นสารพวก
มิวโคพอลิแซ็กคาไรด์ ชนิดคอนโดรมิวคอยด์ (condromucoid) มีลักษณะคล้าย วุ้นเซลล์กระดูกอ่อน เรียกว่า
คอนโดรไซต์ (chondrocyte) มีรูปร่างกลมหรือ รูปไข่ อาจพบ 1-4 เซลล์ เรียงตัวอยู่ในช่องว่างที่เรียกว่า ลาคูนา
(lacuna) กระดูกอ่อนสามารถพบได้ที่ใบหู ฝาปิดกล่องเสียง (epiglottis)กล่องเสียง(trachea) กระดูกอ่อนกั้น
ระหว่าง กระดูกสันหลังแต่ละข้อ (intervertebral disc) เป็นต้นกระดูกอ่อนแบ่งได้ 3 ชนิด คือ
1.Hyaline cartilageมี collagen fiber มาก พบบริเวณข้อต่อ ช่วยให้กระดูกเคลื่อนไหวได้ง่าย
2.Fibrocartilageมีความเหนียวและแข็งแรง ทนต่อแรงกดมาก พบที่ข้อเข่า ขากรรไกร
3.Elastic cartilageพบ elastic fiber ปน collagen fiber และ proteoglycan เป็นกระดูกอ่อนที่มีความ
ยืดหยุ่นมาก
เช่น ที่ใบหู จมูก
3.กระดูกแข็ง (bone)
ประกอบด้วยเซลล์กระดูกที่เรียกว่า ออสทีโอไซต์ (osteocyte) อยู่ในช่องลาคูนา โดยเซลล์กระดูก จัดเรียงตัวเป็นวงรอบช่อง
ฮาเวอร์เชียน (harversian canal) ที่มีเส้นเลือดนำอาหารมาเลี้ยงเซลล์กระดูกและเรียกลักษณะ การเรียงตัวของเซลล์
กระดูกนี้ว่า ระบบฮาร์เวอร์เชียน (harversian system) ช่องฮาร์เวอร์เชียนสามารถติดต่อกับ ช่องลาคูนาหรือระหว่างช่องลา
คูนาด้วยกันเองโดยผ่านช่องเล็ก ๆ ที่เรียกว่า คานาลิคูไล (canaliculi) สารระหว่างเซลล์กระดูก ประกอบด้วยแคลเซียมและ
ฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบสำคัญกระดูกจำแนกได้ 2 ชนิด
Spongy bone ( cancellous bone )กระดูกชนิดนี้มีลักษณะคล้ายฟองน้ำ มีลักษณะเปราะบางและแตกง่าย พบที่ skull ,
sternum pelvis
Compact boneเป็นกระดูกแข็งอัดตัวกันอย่างหนาแน่น เป็นกระดูกโครงร่างของร่างกาย
4.เลือด
ประกอบด้วย
น้ำเลือด (plasma)
เซลล์เม็ดเลือด ซึ่งแบ่งเป็น
– เซลล์เม็ดเลือดแดง (red blood cell or erythrocyte) เซลล์เม็ดเลือดแดง มีรงควัตถุฮีโมโกลบิน (hemoglobin)ทำ
หน้าที่ลำเลียงออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
– เซลล์เม็ดเลือดขาว (white blood cell or leucocyte) เซลล์เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่ทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
มี 2 ประเภท คือ
พวกที่มีเม็ดแกรนูล (granule) พิเศษในไซโทพลาสซึม (granulocyte) สามารถย้อมติดสี ได้ดี เซลล์เม็ดเลือดขาวในกลุ่มนี้
ได้แก่นิวโทรฟิล (neutrophil) เซลล์มีนิวเคลียส 2-6 พู โอซิโนฟิล (eosinophil) เซลล์มีนิวเคลียสไม่เกิน 3 พู และเบโซฟิล
(basophil) เซลล์มีนิวเคลียสขนาดใหญ่ แยกเป็นพูรูปตัวเอส (s) หรือรูปร่างไม่แน่นอน
พวกที่ไม่มีเม็ดแกรนูลในไซโทพลาสซึม (agranulocyte) ได่แก่ ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) เซลล์มีนิวเคลียสกลมมีขนาดใหญ่
ขนาดใกล้เคียงกับเซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์โมโนไซต์ (monocyt) นิวเคลียสมีขนาดใหญ่ รูปไต หรือรูปรี เกล็ดเลือด
(thrombocyte) เกล็ดเลือด เป็นชิ้นส่วนของไซโทพลาซึม (cytoplasm) ของเซลล์ชนิดหนึ่ง ในไขกระดูกที่แตกออกจากกัน
เข้ามาอยู่ในกระแสเลือดไม่มีสี และไม่มีนิวเคลียส ทำหน้าที่เกี่ยวกับ การแข็งตัวของเลือด
3.เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (muscular tissue)
เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ มีลักษณะเฉพาะ คือ เซลล์กล้ามเนื้อ (muscle cell) มีลักษณะยาวมาก จึงเรียกอีกชื่อว่า เส้นใยกล้ามเนื้อ
(muscle fiber) เยื่อหุ้มเซลล์มีชื่อเรียกเฉพาะว่า sarcolemma และไซโทพลาสซึมมีชื่อเรียกเฉพาะว่า sarcoplasm เรียก
endoplasmic reticulum ว่า sarcoplasmicreticulumในสัตว์มีกระดูกสันหลัง พบเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ มี 3 ชนิด ได้แก่
1.กล้ามเนื้อเรียบ (smoothmuscle)
2.กล้ามเนื้อลาย(skeleton muscle)
3.กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle)
ภาพที่ 3.7 ชนิดของเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ
http://www.neutron.rmutphysics.com
1.กล้ามเนื้อเรียบ (smoothmuscle) พบที่อวัยวะภายใน เช่นที่ผนังของทางเดิน
อาหารมดลูก เส้นเลือด และอวัยวะภายในอื่น ๆ รูปร่างของเซลล์มีลักษณะยาว
หัวท้ายแหลม แต่ละเซลล์มี1 นิวเคลียสอยู่ตรงกลางเซลล์ เมื่อมองด้วย
กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสงธรรมดา จะไม่เห็นมีลาย แต่เห็นเป็นเนื้อเยื่อเดียวกัน
หมด กล้ามเนื้อเรียบหดตัวได้ช้า แต่หดตัวได้นานมาก และการทำงานอยู่นอก
อำนาจจิตใจ
ภาพที่ 3.8 กล้ามเนื้อเรียบ
http://tawanngian.blogspot.com
2.กล้ามเนื้อลาย (skeleton muscle) เป็นกล้ามเนื้อขนาดใหญ่อยู่ติดกับกระดูก
เช่น กล้ามเนื้อที่แขนขา จึงทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยตรง
เมื่อดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์ชนิดใช้แสงธรรมดา จะเห็นแถบสีเข้มและจางพาด
ขวางสลับกันไป เรียกว่าลาย (striations) เซลล์กล้ามเนื้อนี้มีลักษณะเป็นทรง
กระบอกยาว แต่ละเซลล์มีหลายนิวเคลียสซึ่งเรียงกันอยู่ทางด้านข้างบริเวณใต้
เยื่อหุ้มเซลล์ การทำงานของกล้ามเนื้อนี้อยู่ภายใต้อำนาจจิตใจ
ภาพที่ 3.9 กล้ามเนื้อลาย
https://sites.google.com/site/kaywiphakhsastr
3.กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) พบที่ผนังหัวใจ เซลล์มีรูปร่างยาว
ทรงกระบอก มีนิวเคลียสอันเดียวอยู่ตรงกลางบริเวณส่วนปลายของ
เซลล์มีการแตกแขนงแยกออกเป็น 2 แฉก เรียกว่า การแตกแบบ
ไบเฟอเคท(bifurcate) และบริเวณส่วนปลายเยื่อหุ้มเซลล์ของด้านทั้ง
สองของเซลล์ทั้งสองที่มีประชิดกันทำให้เห็นรอยตามขวางที่มีสีเข้ม และ
เห็นเด่นชัด เรียกว่า intercalated disk เมื่อมองด้วยกล้องจุลทรรศน์
แบบใช้แสงธรรมดา จะเห็นเป็นลาย แต่การทำงานไม่เหมือนของเซลล์
กล้ามเนื้อยึดกระดูกเพราะอยู่นอกอำนาจจิตใจ
ภาพที่ 3.10 กล้ามเนื้อเรียบ
http://tawanngian.blogspot.com
4.เนื้อเยื่อประสาท (neurous tissue)
เนื้อเยื่อประสาท ประกอบด้วย
1.เซลล์ประสาท (neuron) ทำหน้าที่รับส่งกระแสประสาท
2.เซลล์เกี่ยวพันประสาท (neuroglia) มีหน้าที่สนับสนุนการทำงานของเซลล์ประสาท เช่นยึดเหนี่ยหรือค้ำจุนเซลล์
ประสาท ซ่อมแซมบาดแผลที่เกิดขึ้นกับเซลล์ประสาท เป็นต้น
เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ ประกอบด้วย
ตัวเซลล์ ซึ่งอยู่ในชั้นสีเทา (grey matter) ของระบบประสาทไขสันหลังและระบบประสาท ส่วนกลาง เซลล์ประสาทมี
ลักษณะกลมขนาดใหญ่ มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลาง
แขนงประสาท แบ่งเป็น 2 พวก คือ
– เดนไดรต์ (dendrite) ที่เป็นแขนงประสาทขนาดสั้นทำหน้าที่รับกระแสประสาท (impulse) เข้าสู่ตัวเซลล์
– แอกซอน(axon) เป็นแขนงประสาทลักษณะยาวไม่มีแขนงแตกออกใกล้กับตัวเซลล์แอกซอน ทำหน้าที่นำ
กระแสประสาทออกจากตัวเซลล์
บทที่ 4
Integumentary System
ระบบห่อหุ้มร่างกาย (integumentary system)
ภาพที่ 4.1 ระบบห่อหุ้มร่างกาย
http://nasaijing.blogspot.com
หน้าที่ของระบบห่อหุ้มร่างกาย
1. ป้องกันและปกปิดอวัยวะภายในไม่ให้ได้รับ อันตราย
2. ป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกายโดยง่าย
3. ขับของเสียออกจากร่างกาย โดยต่อมเหงื่อ ขับเหงื่อออกมา
4. ช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ โดย ระบบหลอดเลือดฝอยและการระเหยของเหงื่อ
5. รับความรู้สึกสัมผัส เช่น ร้อนหนาว เจ็บ ฯลฯ
6. ช่วยสร้างวิตามินดีให้แก่ร่างกาย โดยแสง แดดจะเปลี่ยนไขมันชนิดหนึ่งที่ผิวหนังให้เป็นวิตามินดีได้
7. ขับไขมันออกมาหล่อเลี้ยงเส้นผม และขน ให้เป็นเงางามอยู่เสมอและไม่แห้ง
ภาพที่ 4.2 ชั้นหนังกำพร้า
https://www.shutterstock.com/
1. หนังกำพร้า (Epidermis)
Epidermis เป็นชั้นของผิวหนังที่ปกคลุมอยู่บนสุด มีต้นกำเนิดมาจาก Surface ectoderm ชั้นนี้ประกอบไปด้วย
เซลล์ที่มีการเกิด เจริญเติบโตพัฒนาการ และตายลอกหลุดออกไปจากร่างกายตลอดเวลา และเป็นชั้นที่ให้กำเนิดโครง
สร้างต่าง ๆ (skin derivatives or appendages) อันได้แก่ ขน รูขุมขน และต่อมไขมันรวมเรียกว่า Pilosebaceous
units ต่อมเหงื่อ (Eccrine Apoeccrine Apocrine apocrine sweat glands) และเล็บ (Nails)
ชั้น epidermis มีความหนาโดยเฉลี่ยประมาณ 0.4 ถึง 1.5 มิลลิเมตร เทียบกับความหนาทั้งหมดของผิวหนัง
(skin) ซึ่งมีความหนาเฉลี่ยโดยประมาณ 1.5-4.0 มิลลิเมตร แต่ความหนาของชั้น epidermis นี้จะแตกต่างกันไปใน
แต่ละบริเวณของร่างกาย ทำให้สามารถแบ่งผิวหนังตามความหนาของ epidermis ออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
1.Thick skin คือ ผิวหนังที่มีชั้น epidermis หนา โดยเฉพาะชั้น
stratum corneum พบบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า (palms and soles) ซึ่ง
thick skin นี้จะไม่มี ขน รูขุมขน และกล้ามเนื้อ Arrector pili muscles
(Pilosebaceous unit) อยู่ในบริเวณเหล่านี้ แต่จะมีต่อมเหงื่อ eccrine
sweat glands เป็นจำนวนมาก ดังนั้น บริเวณฝ่ามือฝ่าเท้าของร่างกาย
จึงไม่พบว่ามีเส้นขนหรือน้ำมันจากต่อมไขมัน (sebum) เหมือนบริเวณอื่น
ของร่างกาย เช่น ใบหน้า แต่จะมีเหงื่อออกมากบริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า
ภาพที่ 4.3 thick skin
http://cai.md.chula.ac.th
2. Thin skin คือ ผิวหนังที่มีชั้นepidermisบาง
พบได้ทั่วร่างกาย ยกเว้น บริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า ซึ่ง
ผิวหนัง ชนิดนี้จะมี skin derivatives ทุกชนิด
คือ รูขุมขน ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ และต่อม
Apocrine sweat gland
ภาพที่ 4.4 Thin skin
http://cai.md.chula.ac.th
ชั้นต่างๆของหนังกำพร้า
1.Stratum germinativum
หรือ Germinative layer หรือ Malpighian layer เป็นชั้นที่อยู่ล่างสุดของ epidermisเป็น ชั้นที่มีการเจริญมากที่สุด โดยเนื้อเยื่อ
ชั้นนี้จะเจริญ ขยับขึ้นมาสู่ชั้นนอก กลายเป็นเนื้อเยื่อชั้นอื่นๆ สามารถแบ่งได้ออกเป็นสองชั้นย่อยๆ ได้ คือStratum basale
เป็นชั้นที่มี malanin อยู่และ Stratum spinosum เป็นชั้นที่มีเซลส์ลักษณะคล้ายหนาม ประสานกันเป็นร่างแห
2.Stratum granulosum
เป็นชั้นที่ถัดขึ้นมา ลักษณะเฉพาะคือ ในเซลส์ของชั้นนี้ จะมีลักษณะ granule เล็กๆหรือเม็ดเล็กๆ อยู่ภายในเซลส์
เรียกชื่อว่าKeratohyaline granule ลักษณะของนิวเคลียสเริ่มจางลงและค่อยๆหายไป
3.Stratum lucidum
เป็นชั้นที่ถัดออกมาด้านนอก เปลี่ยนแปลงมาจากชั้น Stratum granulosum โดยสารKeratohyaline จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ใส
ขึ้นเรียกชื่อว่า Eledin จึงทำให้ชั้นนี้มีความใสสว่างกว่าชั้นอื่น
4.Stratum corneum
เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุด หนามาก ประกอบไปด้วยเซลส์ที่ตายแล้ว และลอกหลุดออกมาเสมอๆ โปรตีนที่
อยู่ในชั้นนี้มีชื่อเรียกว่าKeratin เปลี่ยนแปลงมาจาก eledin ในชั้นStratum lucidum
2. หนังแท้ (Dermis)
ภาพที่ 4.5 หนังแท้ (Dermis)
https://en.wikipedia.org/wiki/Dermis
หนังแท้ (Dermis) เป็นชั้นของ ผิวหนัง ที่อยู่ใต้ หนังกำพร้า (epidermis) ประกอบด้วย เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective
tissue) ลดการกระแทกจากแรงดึงต่างๆ หนังแท้ยึดติดกับหนังกำพร้าอย่างแน่นหนาโดย เยื่อฐาน (basement membrane)
และมีปลายประสาทมากมายซึ่งรับความรู้สึกเช่นสัมผัสหรือความร้อน ในหนังแท้ยังมี รากขน (hair follicle) , ต่อมเหงื่อ
(sweat gland) , ต่อมไขมัน (sebaceous gland) , ต่อมเหงื่อแบบอะโพครายน์ (apocrine sweat glands) , และ หลอด
เลือด (blood vessel) หลอดเลือดในชั้นหนังแท้มีประโยชน์ในการให้อาหารมาเลี้ยงและขับของเสีย เช่นเดียวกับ สตราตัม เบซาเล
ของหนังกำพร้า
Papillary layer
เป็นชั้นที่ติดกับ eptdermis มีลักษณะเป็นคลื่น และพบพวกปลายประสาท, เส้นเลือด, ท่อ น้ำเหลือง, Hair
follicle, Sebaceous glands และกล้ามเนื้อเรียบของขน (Arrectorpili muscle)
Reticular layer
ประกอบไปด้วย collagen fiber สานกันอย่างแน่นหนา มีเนื้อเยื่อไขมัน (Asdipose tissue)
ปนอยู่มาก และยังพบ เส้นเลือดเส้นประสาท ต่อมเหงื่อ pigment cell และอื่นๆ
Hypodermis
เป็นชั้นที่อยู่ใต้ต่อ Dermis ประกอบไปด้วย loose connective tissue มีส่วนของต่อมเหงื่อ collagen, elastic fibers ที่ต่อเ
ลงมาจากชั้น dermis และเซลล์ไขมัน (Fat or adipose tissues) โดยผมหรือขนที่กำลังเจริญเติบโต (Actively growing hair
follicles) จะยื่นลงมาอยู่ในชั้นนี้ด้วย
เซลล์ไขมันเป็นองค์ประกอบหลักของชั้นนี้ ซึ่งเซลล์ไขมัน
นี้ จะอยู่รวมกันเป็น lobule ที่มีตัวแบ่งกั้นที่เรียกว่า fibrous
อวัยวะชนิดต่างๆ ที่กำเนิดมาจากผิวหนัง (derivatives of skin) ได้แก่
1. ขน (Hair) เป็นส่วนของหนังกำพร้าที่เจริญหวำลงในส่วนของหนังแท้ (dermis) หรือใต้ต่อหนังแท้ (hypodermis) ขนประกอบด้วย ตัว
ขน (shaft) ซึ่งเป็น cornified cells และรากขน (root) โดยทั้ง 2 ส่วน มีเปลือกหุ้มหลายชั้นรวมเรียกว่าต่อมขน (hair follicle) รากของ
ต่อมขนมีลักษณะเป็นกระเปาะเรียกว่า hair bulb ซึ่งประกอบด้วยเนื้อประสานส่วน hair papilla และ hair root ต่อมขนส่วนใหญ่มีความ
สัมพันธ์กับต่อมไขมัน เปลือกของต่อมขนประกอบด้วยชั้นต่างๅ
2. ต่อมไขมัน (Sebaceous gland) มีลักษณะคล้ายถุงชนิด saccules และมักมีความสัมพันธ์กับต่อมขน ต่อมไขมันเป็นชนิด branched
alveolar holocrine glands สร้างไขมัน (sebum) ผ่านออกทางท่อสั้นเทลงสู่ส่วนคอของต่อมขน
3.ต่อมเหงื่อ (Sweat gland) เป็น simple, coiled tubular glands ที่มีส่วนสร้างและหลั่งน้ำเหงื่อเรียกว่า secretory portion ซึ่ง
ประกอบด้วย simple cuboidal epithelium ในระดับ EM เนื้อผิวนี้ประกอบด้วย dark cells และ light cells นอกจากนั้นพบ
myoepithelial cells รองรับ secretory cells ท่อที่นำน้ำเหงื่อออกคือ excretory portion (duct) ดาดด้วย stratified cuboidal
epithelium ซึ่งเซลล์พวกนี้มีขนาดเล็กและติดสีเข้ม ต่อมเหงื่อมี 2 ชนิดคือ Merocrine (eccrine) sweat gland (Figure 17) สร้างน้ำ
เหงื่อใส และพบทั่วไปยกเว้นที่ glans penis, clistoris และ labia minora พบมากที่ฝ่ามือฝ่าเท้า และต่อมชนิดนี้มีท่อตรงออกมาที่
ผิวหนัง ต่อมเหงื่อชนิดที่ 2 คือ Apocrine sweat glands ต่อมมีขนาดใหญ่ สร้างเหงื่อข้นเหนียว และมีท่อเทลงสู่ต่อมขน มีลักษณะทางฮิ
สโตแตกต่างจากชนิดแรก (Figure 18) และเริ่มทำงานในระยะวัยหนุ่มสาว พบบริเวณเฉพาะคือรักแร้, areola และ nipple ของต่อมน้ำนม
ส่วน Ceruminus glands พบที่หูส่วนนอก, Glands of Moll (บริเวณเปลือกตา) และต่อมน้ำนม จัดอยู่ในพวก modified apocrine
sweat gland
4. เล็บ (Nail) เป็นโครงสร้างที่แข็ง (dense keratinised nail plate) พบบริเวณปลายนิ้วมือและนิ้วเท้า คลุมอยู่บน nail bed ซึ่ง
ประกอบด้วยชั้น basale และ spinosum ของหนังกำพร้า ขอบด้านข้างของแผ่นเล็บเรียกว่า nail wall โดยมีร่องที่ฐานเรียก lateral
nail groove หนังกำพร้าชั้น stratum corneum ที่ยื่นออกมาคลุมเหนือต่อ nail plate เรียกว่า eponychium (cuticle) แต่ถ้าพบอยู่
ใต้ต่อแผ่นเล็บส่วนที่ยื่นออก เรียกว่า hyponychium บริเวณโคนแผ่นเล็บทางด้านหลังและคลุมบน nail matrix เรียก nail root ตรง
โคนแผ่นเล็บมีลักษณะสีขุ่นขาวเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เรียกว่า Lunula เนื้อผิวที่อยู่ใต้ต่อ lunula คือ nail matrix เป็นส่วนที่เจริญให้
เป็น nail plate
ระบบประสาทที่ผิวหนัง (The Cutaneous Sense)
ระบบประสาทจะกระจายอยู่เป็นจุดๆ จุดเหล่านี้จะมีความรู้สึกเฉพาะต่อสิ่งที่มาสัมผัสคือ
- ความรู้สึกร้อน เย็น
- ความเจ็บปวด
ความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้จะมีปริมาณไม่เท่ากัน คือ ความรู้สึกเจ็บมากที่สุด
ความรู้สึกสัมผัสรองลงมา ความรู้สึกเย็นมากเป็นลำดับสาม ส่วนความรู้สึกร้อนจะน้อยที่สุด
บทที่ 5
Skeletal System