The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chanaphat.333, 2021-11-28 07:44:28

PORTFOLIO

-

ระบบกระดูก (Skeletal System)

หน้าที่ของกระดูก
1. ช่วยรองรับอวัยวะต่างๆ ให้ทรงและตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ควรอยู่(Organ of support)
2. เป็นส่วนที่ใช้ในการเคลื่อนไหว เช่น พาร่างกายย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง (Instrument of locomotion)
3. เป็นโครงของส่วนแข็ง (Framework of hard material)
4. เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อต่างๆ และ Ligament เพื่อทำหน้าที่เป็นคานให้กล้ามเนื้อทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
5. ช่วยป้องกันอวัยวะส าคัญไม่ให้ได้รับอันตราย เช่น สมอง ปอดและหัวใจ เป็นต้น
6. ทำให้ร่างกายคงรูปได้ (Shape to whole body)
7. ภายในกระดูกมีไขกระดูก (Bone marrow) ที่ท าหน้าที่ผลิตเม็ดเลือด (Blood cell)
8. เป็นที่เก็บแร่ธาตุ Calcium ในร่างกาย
9. ป้องกันเส้นประสาทและหลอดเลือดที่ทอดอยู่ตามแนวของกระดูกนั้น

กระดูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่
กระดูกแกนกลาง ประกอบด้วยกะโหลกศีรษะ คอ
กระดูกสันหลัง กระดูกซี่โครง ก้นกบ และเอว รวม 80 ชิ้น
กระดูกรยางค์ เป็นกระดูกที่เจริญออกมาจากกระดูก
แกนกลาง ประกอบด้วย กระดูกแขน ขา สะบัก ไหปลาร้า ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ นิ้วเท้า กระดูกเชิงกราน รวม 126 ชิ้น
- กระดูกที่แทรกอยู่ระหว่างกระดูกรยางค์กับกระดูกแกนกลาง ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น
กระดูกในหูชั้นกลางกระดูกขากรรไกร จมูก ใบหู

ภาพที่ 5.1 tendon
https://socratic.org/

กระดูกแต่ละชิ้นจะมีเอ็นเรียกว่า ลิกาเมนต์ (Ligament) ซึ่งมีความเหนียวมากยึดติดกันทำให้กระดูกเคลื่อนไหวได้ในวงจำกัด
บริเวณที่กล้ามเนื้อยึดติดกับกระดูกยังมีเอ็นเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเรียกว่า เท็นดอน (Tendon) ช่วยยึดกล้ามเนื้อให้ติดกระดูก

ภาพที่ 5.2 หมอนรองกระดูก
http://theworldmedicalcenter.com

กระดูกสันหลัง มีหน้าที่ค้ำจุนร่างกายมีกระดูกชิ้นเล็กๆ เป็นข้อๆ แต่ละข้อมีแผ่นกระดูก
อ่อน เรียกว่า หมอนรองกรดูก รองรับ ป้องกันการเสียดสีขณะเคลื่อนไหว และยังมีเอ็นและกล้ามเนื้อยึดต่อกันแตละข้อ
ทำให้บิดตัว เอียงตัว ก้มตัว และโน้มตัวได้

กระดูกแกนกลางของร่างกาย (Axial skeletal) มีทั้งหมด 80 ชิ้น

1. กระดูกกะโหลกศรีษะ (Cranium)
กระดูกหน้าผาก (Frontal bone) 1 ชิ้น
กระดูกด้านข้างศรีษะ (Parietal bone) 2 ชิ้น
กระดูกขมับ (Temporal bone) 2 ชิ้น
กระดูกท้ายทอย (Occipital bone) 1 ชิ้น
กระดูกขื่อจมูก (Ethmoid bone) 1 ชิ้น
กระดูกรูปผีเสื้อ (Sphenoid bone) 1 ชิ้น

ภาพที่ 5.3 Cranium
https://www.dentalcare.ca/

2.กระดูกใบหน้า (Bone of face) ภาพที่ 5.4 Bone of face
https://radiopaedia.org/articles
กระดูกสันจมูก (Nasal bone) 2 ชิ้น
กระดูกกั้นช่องจมูก (Vomer) 1 ชิ้น ภาพที่ 5.5 Bone of ear
กระดูกข้างในจมูก (Inferior concha) 2 ชิ้น https://www.stanfordchildrens.org
กระดูกถุงน้ าตา (Lacrimal bone) 2 ชิ้น
กระดูกโหนกแก้ม (Zygomatic bone) 2 ชิ้น
กระดูกเพดาน (Palatine bone) 2 ชิ้น
กระดูกขากรรไกรบน (Maxillary) 2 ชิ้น
กระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible) 1 ชิ้น

3. กระดูกหู (Bone of ear)

กระดูกรูปฆ้อน (Malleus) 2 ชิ้น
กระดูกรูปทั่ง (Incus) 2 ชิ้น

กระดูกรูปโกลน (Stapes) 2 ชิ้น

4. กระดูกโคนลิ้น (Hyoid bone) 1 ชิ้น

ภาพที่ 5.6 Hyoid bone
nfobodyparts.blogspot.com
5. กระดูกสันหลัง (Vertebrae)
กระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical vertebrae) 7 ชิ้น
กระดูกสันหลังส่วนอก (Thoracic vertebrae) 12 ชิ้น
กระดูกสันหลังส่วนเอว (Lumbar vertebrae) 5 ชิ้น
กระดูกกระเบนเหน็บ (Sacrum) 1 ชิ้น
กระดูกก้นกบ (Coccyx) 1 ชิ้น

ภาพที่ 5.7 Vertebrae
https://en.wikipedia.org/wiki/Vertebra

6. กระดูกทรวงอก (Sternum) 1 ชิ้น
7. กระดูกซี่โครง (Rib) 24 ชิ้น

ภาพที่ 5.8 Rib and Sternum
https://teachmeanatomy.info/
กระดูกระยางค์ (Appendicular skeletal) ประกอบด้วย กระดูก 126 ชิ้น
1. กระดูกไหล่ (Shoulder girdle)
กระดูกไหปลาร้า (Clavicle) 2 ชิ้น
กระดูกสะบัก (Scapular) 2 ชิ้น

ภาพที่ 5.9 Shoulder girdle
https://orthoinfo.aaos.org

2. กระดูกต้นแขน (Humerus) 2 ชิ้น

ภาพที่ 5.10 Humerus
https://www.shutterstock.com

3. กระดูกปลายแขน (Bone of forearm)
กระดูกปลายแขนท่อนใน (Ulna) 2 ชิ้น
กระดูกปลายแขนท่อนนอก (Radius) 2 ชิ้น

ภาพที่ 5.11 Bone of forearm
https://medicalartlibrary.com/

ภาพที่ 5.12 Carpal bone
Metacarpal bone Phalanges
https://teachmeanatomy.info

4. กระดูกข้อมือ (Carpal bone) 16 ชิ้น
5. กระดูกฝ่ามือ (Metacarpal bone) 10 ชิ้น
6. กระดูกนิ้วมือ (Phalanges) 28 ชิ้น

ภาพที่ 5.13 Carpal bone
Metacarpal bone Phalanges

ttps://www.ncbi.nlm.nih.gov

7. กระดูกเชิงกราน (Hip bone) 2 ชิ้น

ภาพที่ 5.14 Hip bone
https://www.shutterstock.com/
8. กระดูกต้นขา (Femur) 2 ชิ้น

ภาพที่ 5.15 Femur ภาพที่ 5.16 Femur
https://www.vectorstock.com/ https://mammothmemory.net/

9. กระดูกหน้าแข้ง (Tibia) 2 ชิ้น
10. กระดูกน่อง (Fibula) 2 ชิ้น

ภาพที่ 5.17 Tibia Fibula
https://www.researchgate.net

11. กระดูกข้อเท้า (Tarsal bone) 14 ชิ้น
12. กระดูกฝ่าเท้า (Metatarsal bone) 10 ชิ้น
13. กระดูกนิ้วเท้า (Phalanges) 28 ชิ้น

ภาพที่ 5.18 Tarsal bone Metatarsal
bone Phalanges

http://www.futu
ra-sciences.us

จำนวนของกระดูก (Number of bone)

จำนวนของกระดูกทั้งหมดในร่างกาย หมายถึง กระดูกในผู้ใหญ่ที่เจริญเต็มที่
แล้ว มีทั้งสิ้น 206 ชิ้น โดยแบ่งเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้
กะโหลกศรีษะ ( Cranium) 8 ชิ้น
กระดูกหน้า (Face) 14 ชิ้น
กระดูกหู (Ear) 6 ชิ้น :กระดูกโคนลิ้น (Hyoid bone) 1 ชิ้น
กระดูกสันหลัง 26 ชิ้น
กระดูกหน้าอก (Sternum) 1 ชิ้น
กระดูกซี่โครง (Ribs) 24 ชิ้น
กระดูกแขน (Upper extremities) 64 ชิ้น
กระดูกขา (Lower extremities) 62 ชิ้น

กระดูกมีองค์ประกอบ 2 ส่วน

1. ส่วนที่มีชีวิต เป็นส่วนที่ทำให้
กระดูกเหนียวแน่นและยืดหยุ่น
สามารถทำลายด้วยความร้อนได้
ประกอบด้วยเซลล์กระดูก เส้นเลือด
เยื่อประสาท

2. ส่วนที่ไม่มีชีวิต เป็นส่วนที่ทำให้กระดูกมีความแข็งแรง
สามารถทำลายด้วยกรดได้ประกอบด้วยแคลเซียม
คาร์บอเนต แคลเซียมฟอสเฟต ซึ่งเป็นสารทำให้กระดูก
แข็งแรงมีปริมาณสองในสามของเนื้อกระดูก

ภาพที่ 5.19 โครงสร้างของกระดูก
http://www.pw.ac.th/bodysystem

ข้อต่อ (Joint)

ข้อต่อเป็นส่วนเชื่อมต่อกันระหว่างกระดูกกับกระดูก หรือระหว่างกระดูกกับ
กระดูกอ่อน หรือระหว่างกระดูกอ่อนด้วยกัน ท าให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้หลายทิศทาง

ข้อต่อที่เชื่อมต่อกระดูกแต่ละชิ้นในร่างกายมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

1.ข้อต่อที่เคลื่ อนไหวไม่ได้
เป็นข้อต่อที่ประกอบด้วยกระดูก 2 ชิ้น หรือบางส่วนของ
กระดูกมารวมกัน โดยมีเนื้อเยื่อหรือกระดูกอ่อนแทรกอยู่ ทำหน้าที่ยึดกระดูกเอาไว้ไม่
สามารถเคลื่อนไหวได้ เช่น รอยต่อของกะโหลกศีรษะ

2.ข้อต่อที่เคลื่ อนไหวได้
เป็นข้อต่อที่ประกอบด้วยกระดูกตั้งแต่
2 ชิ้นขึ้นไป และที่หัวและท้ายของกระดูก
จะมีกระดูกอ่อนมาหุ้มเพื่อช่วยให้ข้อ

ต่อเคลื่ อนไหวได้สะดวก

ภาพที่ 5.20 ข้อต่อที่เคลื่อนไหวได้
ttps://sites.google.com/site

บทที่ 6

Muscular System

ระบบกล้ามเนื้อ (Muscular system)

ภาพที่ 6.1 ส่วนของกล้ามเนื้อลายของร่างกาย
https://www.wise-geek.com/

กล้ามเนื้อ (Muscle) เป็นเนื้อเยื่อที่หดตัวได้ในร่างกาย เปลี่ยนแปลงมาจากเมโซเดิร์ม (mesoderm) ของชั้น
เนื้อเยื่อในตัวอ่อน และเป็นระบบหนึ่งของร่างกายที่สำคัญต่อการเคลื่อนไหวทั้งหมดของร่างกาย แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
ได้แก่ กล้ามเนื้อโครงร่าง (skeletal muscle) กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) และกล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac
muscle)
หน้าที่สำคัญของกล้ามเนื้อ

1.คงรูปร่างท่าทางของร่างกาย (Maintain Body Posture)
2.ยึดข้อต่อไว้ด้วยกัน (Stabilize Joints)
3.ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหว (Provide Movement) โดยการเปลี่ยนพลังงานที่ได้จากสารอาหาร

มาเป็นพลังงานกล(Mechanical Energy) หรือพลังงานที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว
4.รักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย(Maintain Body Temperature) โดยผลิตความร้อนออก

มาตามที่ร่างกายต้องการ

คุณสมบัติของกล้ามเนื้อ

· มีความรู้สึกต่อสิ่งเร้า (Irritability) คือ สามารถรับ Stimuli และตอบสนองต่อ Stimuli โดยการหดตัวของ กล้ามเนื้อ เช่น
กระแสประสาทที่กล้ามเนื้อเวลาที่จับโดนความร้อนหรือ กระแสไฟฟ้า เรามักมีการหนีหรือหลบเลี่ยง

· มีความสามารถที่จะหดตัวได้ (Contractelity) คือ กล้ามเนื้อสามารถเปลี่ยนรูปร่างให้สั้นหนา และแข็งได้

· มีความสามารถที่จะหย่อนตัวหรือยืดตัวได้ (Extensibility) กล้ามเนื้อสามารถ ที่จะเปลี่ยน รูปร่างให้ยาวขึ้นกว่าความยาว
ปกติของมันได้ เมื่อถูกดึง เช่น กระเพาะอาหาร กระเพาะ ปัสสาวะ มดลูก เป็นต้น

· มีความยืดหยุ่นคล้ายยาง (Elasticity) คือ มีคุณสมบัติที่เตรียมพร้อมที่จะ กลับคืนสู่สภาพ เดิมได้ ภายหลังการ ถูกยืดออก
แล้ว ซึ่งคุณสมบัตินี้ทำให้ เกิด Muscle Tone ขึ้น

· มีความสามารถที่จะดำรงคงที่อยู่ได้ (Tonus) โดยกล้ามเนื้อมีการหดตัว บ้างเล็กน้อย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะ ทำงานอยู่เสมอ

การทำงานของกล้ามเนื้อ

ภาพที่ 6.2 แสดงการทำงานของกล้ามเนื้อแขน
https://anatomyfivelife.wordpress.com/
1. การเคลื่อนไหวของร่างกาย เกิดจากการทำงานร่วมกันของโครงกระดูก กล้ามเนื้อ และระบบประสาท โดยมี
การหดตัวของกล้ามเนื้อที่ยึดติดกับโครงกระดูก ทำให้กระดูกและข้อต่อเกิดการเคลื่อนไหว
2. การหดตัวของกล้ามเนื้อ มีผลทำให้เกิดการเคลื่อนเซลล์ของกล้ามเนื้อได้พัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อการหดตัว
โดยเฉพาะ กล้ามเนื้อบางชนิดสามารถหดตัวได้เร็วมาก เช่น การเคลื่อนไหวของนัยน์ตา หารเคลื่อนไหวจะเกิดขึ้น
เร็วหรือช้าก็ตามกล้ามเนื้อจะทำงานโดยการหดตัว และเมื่อหยุดทำงานกล้ามเนื้อจะคลายตัว

กล้ามเนื้อคือ ส่วนที่เป็นเนื้อของเรา กล้ามเนื้อแต่ละมัดประกอบด้วยใยกล้ามเนื้อจำนวนมากรวมกันเป็นมัด ที่
ปลายมัดคือ เอ็น ทำหน้าที่เชื่อมกล้ามเนื้อเข้ากับกระดูก เมื่อกล้ามเนื้อหดตัวใยกล้ามเนื้อแต่ละเส้นจะสั้นลง กล้าม
เนื้อทั้งมัดจะหดตัวลงดึงเอ็น ซึ่งจะดึงกระดูกเข้ามาใกล้กันมากขึ้น เช่น การเคลื่อนไหวของนักกีฬา กล้ามเนื้อด้าน
หลังและด้านหน้าต้นขาหัวเข่างอและเหยียดตามลำดับ ขณะที่กล้ามเนื้อน่องและหน้าแข้งจะงอและเหยียดข้อเท้า
ตามลำดับ

ประเภทของกล้ามเนื้อ



1.กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscle)
พบได้ที่อวัยวะภายในของร่างกาย และเป็นกล้ามเนื้อที่ทำงานอยู่ตลอด กล้ามเนื้อแบบนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า กล้ามเนื้อนอก
อำนาจจิตใจ (Involuntary Muscle) เพราะเราไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อชนิดนี้ได้ สมองและร่างกายขจะสั่งให้กล้ามเนื้อ
เรียบทำงานด้วยตัวของมันเอง เช่น ในกระเพาะ (Stomach) และระบบการย่อยอาหาร (Digestive System) กล้ามเนื้อเหล่า
นี้จะหดตัวแน่นขึ้นและขยายตัวออก เพื่อให้อาหารเดินทางไปตามระบบย่อยอาหารส่วนอื่นๆของร่างกายได้

2. กล้ามเนื้อหัวใจ (Cardiac Muscle)
กล้ามเนื้อที่ประกอบขึ้นเป็นหัวใจมีชื่อเรียกว่ากล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อชนิดนี้เป็นกล้ามเนื้อนอกอำนาจจิตใจเหมือนกับกล้าม
เนื้อเรียบ ทำให้เกิดการเต้นของหัวใจ (Heart Beat) อยู่ตลอดเวลา กล้ามเนื้อหัวใจจะบีบตัว (Contract) เพื่อดันเลือดส่ง
ออกไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และคลายตัว (Relax) เพื่อให้เลือดไหลกลับเข้ามาสู่หัวใจหลังจากที่ไหลวนไปสู่ส่วนอื่นๆของ
ร่างกายแล้ว

3.กล้ามเนื้อลาย (Skeletal Muscle)
กล้ามเนื้อลายเป็นกล้ามเนื้อภายใต้อำนาจจิตใจ (Voluntary Muscle) ชนิดเดียวในร่างกาย กล้ามเนื้อลายเป็นกล้ามเนื้อที่
สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อชนิดนี้ได้ กล้ามเนื้อลายจะห่อหุ้มโครงกระดูกของเราไว้ และทั้งสองอย่างจะ
ทำงานร่วมกัน ทำให้ร่างกายสามารถทำงาน กล้ามเนื้อลายมีรูปร่างและขนาดที่หลากหลาย จึงทำงานได้หลากหลายรูปแบบ

กลไกการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย
เส้นเยื่อไมโอไฟบริล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการหดตัวของกล้ามเนื้อลาย ประกอบด้วยเส้นที่ประกอบด้วยโปรตีน 2 ชนิด คือ

1.เส้นหนาประกอบด้วยโปรตีนหรือที่เรียกว่าเส้นใยไมโอซิน (Myosin filament)

2.เส้นบางประกอบด้วยโปรตีนหรือที่เรียบว่าเส้นใยแอ็คทิน (Actin filament)

การหดหรือคลายตัวของกล้ามเนื้อ
เกิดจากการเลื่อนเข้าหากัน หรือเลื่อนออกจากกันของฟิลาเมนต์ชนิดหนาและชนิดบาง
(1)โดยเริ่มจากโมเลกุลของไมโอซินในฟิลาเมนต์ชนิดหนา ซึ่งส่วนปลายลักษณะเป็นตะขอยื่นออกมาเชื่อมต่อกับโมเลกุลของ
แอกทินในฟิลาเมนต์ชนิดบาง
(2) จากนั้นจะมีการปลดปล่อย ADP+P ออกมาทำให้สะพานที่เชื่อมต่อฟิลาเมนต์ทั้งสองชนิดโค้งงอ และดันให้ฟิลาเมนต์ทั้ง
สองเลื่ อนเข้าซ้อนกัน
(3) ต่อมาพลังงานจาก ATP จะทำให้โมเลกุลของไมโอซินหลุดออกจากโมเลกุลของแอกทิน
(4) และเมื่อเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลิซิส ก็จะทำให้ส่วนปลายของโมเลกุลไมโอซินกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม
(5) และจับเกาะกับโมเลกุลของแอกทินอีกครั้งที่ตำแหน่งใหม่
(6) แล้วจะเกิดการโค้งงอของสะพานที่เชื่อมต่อฟิลาเมนต์ทั้งสอง ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของฟิลาเมนต์เข้าซ้อนกันหรือเลื่อน
ออกจากกันได้ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหดตัวหรือคลายตัวและก่อให้เกิดการเคลื่อนตัวของร่างกายนั่นเอง

ชนิดของเส้นใยกล้ามเนื้อลาย
จำแนกเส้นใยกล้ามเนื้อลายตามลักษณะการทำงานให้เห็นได้ชัดเจน 3 ชนิด คือ

1.เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบหดตัวช้าและต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหดตัว (Slow, Oxidative fiber) หรือ
ที่เรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอสโอ (SO Fiber)

2. เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบหดตัวเร็ว และต้องใช้ออกซิเจนตลอดจนกลูโคสช่วยในการหดตัว (Fast,Oxidative, Glycolytic fiber)
หรือที่เรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอฟโอจี (FOG fiber)

3. เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบหดตัวเร็ว และต้องใช้กลูโคสช่วยในการหดตัวเพียงชนิดเดียว (Fast glycolytic fiber)
หรือที่เรียกย่อๆ ว่า เส้นใยกล้ามเนื้อลายแบบเอฟจี (FG fiber)

บริเวณจุดเกาะของกล้ามเนื้อ

1.จุดเกาะต้น (Origin) คือจุดเริ่มต้นที่กล้ามเนื้อเกาะ ตำแหน่งเกาะมักอยู่ใกล้แนวแกนของร่างกาย
และอยู่กับที่ไม่มีการเคลื่ อนไหว

2. จุดเกาะปลาย (Insertion) จุดเกาะปลายของกล้ามเนื้อ ที่อยู่ห่างจากแนวแกนของร่างกาย โดยจุดนี้สามารถ
เคลื่อนไหวได้ ส่วนใหญ่มักเกาะที่กระดูก แต่บางมัดอาจเกาะอยู่กับกระดูกอ่อนและผิวหนัง เช่น ใบหน้า

3. Body คือมัดกล้ามเนื้อที่อยู่ระหว่างจุดเกาะต้นและจุดเกาะปลาย เป็นส่วนที่มีหลอดเลือดและเส้นประสาทมาเลี้ยง

กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย

1.กล้ามเนื้อใบหน้า

เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ตื้น คือ อยู่ใต้ผิวหนัง (Subcutaneous tissue) ด้านหนึ่งเกาะกับกระดูกหน้า อีกด้านหนึ่งติดกับผิวหนัง
ของใบหน้าทำหน้าที่แสดงความรู้สึกบนใบหน้าในลักษณะต่าง ๆ เช่น ดีใจ เสียใจ โกรธ และแสดงอาการทางสีหน้า เช่น ยิ้ม
หัวเราะร้องไห้ เป็นกล้ามเนื้อที่เน้นบุคลิกภาพของแต่ละคนได้เป็นอย่างดี กล้ามเนื้อที่ใช้แสดงความรู้สึกของใบหน้า (Muscle
of facial expression) ที่สำคัญ ได้แก่

Frontalis อยู่ที่หน้าผาก ทำหน้าที่ ยกคิ้วขึ้นลง ทำหน้าผากย่น

Nasalis อยู่ที่จมูก ทำหน้าที่ หุบปีกจมูก เวลาดมกลิ่น

Corrugator อยู่บริเวณคิ้ว – เหนือคิ้ว ทำหน้าที่ ขมวดคิ้ว ครุ่นคิด

Orbiculalisocculi อยู่รอบดวงตา ทำหน้าที่ ปิดตา หรือหลับตา

Zygomaticus major เกาะอยู่บริเวณโหนกแก้ม – ปากบน ทำหน้าที่ยกปาก

Orbicularis oris อยู่บริเวณรอบปาก ทำหน้าที่ หุบปาก ทำริมฝีปากยื่น ทำปากจู๋ ภาพที่ 6.3 กล้ามเนื้อใบหน้า
Risorius อยู่ถัดออกมาทางด้านข้างของปาก ทำหน้าที่เวลาแสยะยิ้ม https://www.pravinia.net/

กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยว (Muscle of mastication) มี 4 มัด คือTempolaris muscle อยู่ที่ขมับด้านข้างของกระโหลกศรีษะ
แผ่เป็นรัศมีเต็มขมับทำหน้าที่อ้า หุบและยื่นปาก เวลาเคี้ยวอาหารMasseter muscle อยู่ด้านนอกมุมขากรรไกรล่างของใบหน้า
รูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำหน้าที่ยกกระดูกขากรรไกรล่างขึ้นเวลาเคี้ยวอาหารPterigiod muscle เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกยื่นจากส่วน
มาตรฐานของกระโหลกศรีษะไปยังบริเวณขากรรไกรล่าง มี 2 คู่ คือ External และ Internal pterigoid muscle ช่วยในการอ้าปาก
หุบปาก เคลื่อนกรามไปทางด้านข้าง

2. กล้ามเนื้อคอ

ภาพที่ 6.4 กล้ามเนื้อคอ
https://delphipages.live/th/

กล้ามเนื้อคอ ที่สำคัญในการเคลื่อนไหวของคอ มีอยู่ 3 มัด คือ
1.Sternomastoidหรือ Sternocleidomastoideusเป็นกล้ามเนื้อที่ใหญ่ที่สุดของคอเกาะพาดจากกระดูกหน้าอก
กับกระดูกไหปลาร้าไปยังด้านนอกของกระดูก Mastoid และกระดูกท้ายทอย ทำหน้าที่เอียงคอ หันและหมุนคอ
2. Splenius capitisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านข้างของคอ มีจุดเกาะเริ่มจากกระดูกสันหลังส่วนลำตัว (thoracic spine)

อันที่ 3 และ 4 ไปยังจุดเกาะปลายที่กระดูกท้ายทอย ทำหน้าที่ยืดคอ เอียงคอและเงยหน้า
3. Semispinaliscapitisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหน้าของคอ จุดเกาะต้นเริ่มจากกระดูกสันหลังส่วนคอ (cervical

spine) อันที่ 4 และ 5 ไปยังจุดเกาะปลายที่กระดูกท้ายทอย ทำหน้าที่ยืดคอ เอียงคอและเงยหน้า

3. กล้ามเนื้อส่วนลำตัว

ภาพที่ 6.5 กล้ามเนื้อส่วนลำตัวด้านหน้า
http://mymuscle01.blogspot.com/

3.1 กล้ามเนื้อส่วนลำตัวด้านหน้ากล้ามเนื้อส่วนลำตัวด้านหน้าที่เห็นเด่นชัด และมัดใหญ่ มีดังนี้
- Pectoralis minor เป็นกล้ามเนื้อรูปสามเหลี่ยมแบนเล็กอยู่ภายใต้กล้ามเนื้อPectoralis major เกาะจากผิวนอกของกระดูก
ซี่โครงซี่ที่ 3 – 5 ไปยัง Coracoid process ของกระดูกสะบัก ทำหน้าที่ดึงหัวไหล่ไปทางด้านหน้าและลงล่าง และช่วยรับน้ำหนัก
ตัวขณะที่ยืนเอามือยัน
- Pectoralis major เป็นกล้ามเนื้อทรวงอกมัดใหญ่รูปร่างคล้ายพัดคลุมอยู่บนอกและทับอยู่บนกล้ามเนื้อ Pectoralis minor
และเป็นกล้ามเนื้อที่เกาะจากแนวกลางของกระดูกหน้าอกไปยังกระดูกต้นแขน เป็นกล้ามเนื้อที่เน้นลักษณะเพศชายได้ชัดเจนคือมี
ลักษณะอกผายไหล่ผึ่ง ทำหน้าที่หุบ งอ หมุนต้นแขนเข้าด้านใน ช่วยในการผลัก ขว้าง ปีนป่าย การหายใจเข้ารั้งแขนให้มาทางด้าน
หน้าทำให้ไหล่คงรูปอยู่กับที่
- Rectus abdominisเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้องมีลักษณะเป็นแถบยาวเป็นปล้อง ๆ เมื่อออกแรงเกร็งมีจุดเกาะต้นจากกระดูกหัวเห
น่า (Pubic bone) ทอดขึ้นบนและค่อย ๆกว้างขึ้นไปเกาะที่ปลายผิวหน้าของกระดูก Xiphoid และกระดูกซี่โครงที่ 5, 6,7 ทำ
หน้าที่เกร็งช่องท้องเวลายกของหนัก ช่วยในการขับถ่ายและคลอดบุตร

- Oblique externusหรือ External oblique เป็นกล้ามเนื้อลำตัวด้านข้างตั้งต้นจากกระดูกที่ 4 -12 ทอดเฉียงจากบนมาล่าง ยึด
เกาะที่ Iliac crest ของกระดูกเชิงกรานทำหน้าที่เหมือนกับกล้ามเนื้อ Rectus abdominis
- Serratus anterior เป็นกล้ามเนื้อด้านในของรักแร้ อยู่ทางด้านข้างของอกมีรูปร่างเป็นแฉก ๆ ยึดติดกับกระดูกซี่โครงทางด้านหน้า
ไปยังกระดูกสะบัก ทำหน้าที่ยึดดึงกระดูกสะบักให้อยู่กับที่และช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อ Deltoid เวลายกแขน

3.2 กล้ามเนื้อส่วนลำตัวด้านหลังในส่วนลำตัวด้านหลัง มีกล้ามเนื้อที่สำคัญดังนี้

ภาพที่ 6.6 กล้ามเนื้อส่วนลำตัวด้านหลัง
http://mymuscle01.blogspot.com/
- Trapezius เป็นกล้ามเนื้อรูปสามเหลี่ยมคลุมบริเวณคอด้านหลังลงมาถึงหลังโดยยึดเกาะจากแนวกลางของแผ่นหลังส่วนบนไป
เกาะที่กระดูกไหปลาร้าทั้งซ้ายและขวา ทำหน้าที่รั้งกระดูกสะบักมาข้างหลัง กล้ามเนื้อส่วนบนเมื่อหดตัวไหล่จะยกขึ้น ส่วนกลางหดตัว
จะดึงสะบัก 2 ข้างเข้ามาหากัน ส่วนล่างหดตัวจะทำให้ไหล่ถูกดึงลง
- Latissimusdorsiเป็นกล้ามเนื้อรูปสามเหลี่ยมแบนกว้าง คลุมอยู่ตอนล่างของแผ่นหลังและบั้นเอวทอดผ่านไปมุมล่างของ
กระดูกสะบัก ทำหน้าที่ดึงแขนเข้าชิดลำตัวดึง แขน ลงมาข้างล่าง ด้านหลังและหมุนแขนเข้าด้านใน กล้ามเนื้อนี้ใช้มากในการปีนป่าย
ว่ายน้ำ และกรรเชียงเรือ จะหดตัวทันทีในขณะที่จาม

4. กล้ามเนื้อส่วนหัวไหล่และแขน
กล้ามเนื้อส่วนหัวไหล่และแขน ที่ช่วยในการทำงานของหัวไหล่และแขนที่สำคัญ คือ




ภาพที่ 6.7 กล้ามเนื้อส่วนหัวไหล่และแขน
http://mymuscle01.blogspot.com/

4.1 กล้ามเนื้อส่วนหัวไหล่
- Deltoid เป็นกล้ามเนื้อคลายขนนกหลาย ๆ อันมารวมกันเป็นมัดใหญ่หนารูปสามเหลี่ยมจุดเกาะอยู่ที่ไหปลาร้า และกระดูกสะบัก แล้วไปเกาะที่
ตอนกลางของกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่ยกไหล่และยกต้นแขน เป็นส่วนที่บ่งบอกลักษณะเพศชายได้อย่างชัดเจน
- Supraspinatus เริ่มเกาะจากกระดูกสะบักไปยังกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่ช่วยกล้ามเนื้อ Deltoid ในการยก หรือกางแขน
- Infraspinatusเริ่มเกาะจากกระดูกสะบักไปยังกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่หมุนต้นแขนออกด้านนอก และดึงแขนไปด้านหลัง
- Teres minor และ Teres major เกาะที่กระดูกสะบัก แล้วมาเกาะที่กระดูกต้นแขนโดย Teres minor ทำหน้าที่หมุนแขนออกด้านนอก Teres
major ทำหน้าที่หมุนแขนเข้าด้านใน
- Subscapularisมีจุดเกาะที่กระดูกสะบักและกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่หมุนต้นแขนเข้าด้านใน

4.2 กล้ามเนื้อแขนส่วนต้นที่สำคัญได้แก่

- Biceps brachiiเป็นกล้ามเนื้อด้านหน้าของต้นแขน มีที่เกาะส่วนบนแยก 2 ทาง คือ เกาะจาก Coracoid process และ Supraglenoid
tubercle ไปยัง Tuberosity ของกระดูกปลายแขนท่อนนอก (Radius) ทำหน้าที่งอต้นแขนและปลายแขน หมุนแขนเข้าและดึงออก

- Brachialis เป็นกล้ามเนื้อต้นแขนที่อยู่ตรงกลางค่อนมาด้านล่าง เกาะจากกระดูกต้นแขนไปยัง Tuberosity ของกระดูกปลายแขนท่อนใน
(Ulna) ทำหน้าที่งอข้อศอก

- Coracobrachialisเกาะจาก Coracoid process ของกระดูกสะบักไปยังกึ่งกลางของกระดูกต้นแขน ทำหน้าที่งอต้นแขน

- Triceps brachiiเป็นกล้ามเนื้อด้านหลังของต้นแขน ปลายบนแยก 3 ทางเกาะที่กระดูกสะบักหนึ่งที่ และอีก 2 ทางเกาะที่กระดูกต้นแขน และมี
จุดเกาะปลายที่กระดูกปลายแขนท่อนใน (Ulna) กล้ามเนื้อมัดนี้จะทำหน้าที่ตรงกันข้ามกับกล้ามเนื้อ Biceps brachiiคือ ทำหน้าที่เหยียดปลาย
แขน

4.3 กล้ามเนื้อส่วนปลายแขน

- Brachioradialisเป็นกล้ามเนื้อด้านนอกของปลายแขน มีจุดเกาะต้นที่ตอนล่างของกระดูกแขน ไปเกาะที่ด้านนอกของกระดูกปลายแขน
ท่อนนอก (Radius) ทำหน้าที่งอปลายแขน

- Flexor carpi radialisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหน้าของปลายแขน มีจุดเกาะที่กระดูกต้นแขนแล้วมาเกาะที่กระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 2 และ 3 ทำ
หน้าที่งอข้อมือและกางมือ

- Palmaris longusเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ทางด้านหน้าของแขน จุดเกาะต้นเริ่มจากกระดูกต้นแขนไปยังกระดูกปลายแขน แล้วกลายเป็นเอ็น
(Tendon) ไปเกาะที่ฝ่ามือทำหน้าที่งอข้อมือ

- Flexor carpi ulnarisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ทางด้านหลังของกระดูกปลายแขนท่อนใน (Ulna) ผ่านมาที่ข้อมือ ทำหน้าที่งอข้อมือ

- Extensor carpi radialislongusเป็นกล้ามเนื้อที่มีจุดเกาะต้นจากกระดูกต้นแขนแล้วไปเกาะที่กระดูกฝ่ามือทางด้านหลัง ทำหน้าที่กาง
และเหยียดข้อมือ

- Extensor digitorumเป็นกล้ามเนื้อที่มีจุดเกาะต้นจากกระดูกต้นแขน และมีปลายเป็นเอ็น 4 อัน ไปเกาะยังกระดูกนิ้วมือทั้ง 4 นิ้ว ทำ
หน้าที่เหยียดนิ้วมือและข้อมือ

4.4 กล้ามเนื้อส่วนมือและนิ้ว
กล้ามเนื้อส่วนมือและนิ้วมือ เป็นกล้ามเนื้อขนาดเล็กและสั้น ส่วนมากจะเป็นเอ็นของกล้ามเนื้อซึ่งติดต่อมาจากแขนท่อนล่าง ทำหน้าที่ช่วย
ในการงอและเหยียดมือและข้อมือรวมทั้งช่วยให้นิ้วหัวแม่มือสามารถเคลื่อนไปแตะนิ้วอื่น ๆ ได้จึงเรียกว่า Opposition กล้ามเนื้อในกลุ่มนี้
ที่สำคัญ ได้แก่
- Thenar eminence เป็นกล้ามเนื้อหัวแม่มือเกาะที่ฝ่ามือ โดยเฉพาะที่ได้ฐานหัวแม่มือจะเห็นเป็นเนินชัดเจน ทำหน้าที่งอนิ้วหัวแม่มือ
- Hypothenar eminence เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้นิ้วก้อย มีรอยนูนเด่นชัด ทำหน้าที่งอนิ้วก้อย
- Dorsal interosseusเป็นกล้ามเนื้อที่กระดูกฝ่ามือชิ้นที่ 1 และ 2 ผ่านมาเกาะที่นิ้วชี้ ทำหน้าที่กางนิ้วชี้และหมุนหัวแม่มือ
- Abductor pollicisเกาะอยู่ที่ฐานของนิ้วหัวแม่มือ ทำหน้าที่งอนิ้วหัวแม่มือ
5. กล้ามเนื้อส่วนสะโพกและขาที่สำคัญดังนี้

ภาพที่ 6.8 กล้ามเนื้อส่วนสะโพกและขา
https://sites.google.com/site/kaywiphakhsastr
5.1 กล้ามเนื้อส่วนสะโพกและก้นกบ
- Gluteus maximusเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และหน้าที่สุดของส่วนสะโพก มีจุดเกาะที่ Ilium และ Sacrum ของกระดูกเชิงกราน
แล้วไปเกาะยังกระดูกต้นขา ทำหน้าที่เหยียดขา กางต้นขา หมุนต้นขา ไปทางด้านข้าง
- Tensor fasciae lataeเป็นกล้ามเนื้อทางด้านข้างของสะโพก เกาะอยู่ที่ส่วนหน้าของกระดูกเชิงกรานทำหน้าที่กางและหมุนขาเข้า
ด้านใน

2.กล้ามเนื้อส่วนโคนขา

กล้ามเนื้อส่วนนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ตามตำแหน่งหน้าที่ และประสาทที่มาเลี้ยง ด้านหลังของต้นขาเรียกว่า Flexor surface เป็นที่อยู่
ของกล้ามเนื้อกลุ่มเอ็นหลังต้นขาด้าล่าง(Hamstring group) อีกกลุ่มหนึ่งคือ กล้ามเนื้อกลุ่มดึงข้อ (Adductor group) และยังมี
กล้ามเนื้อกลุ่มด้านหน้าของต้นขา (Anterior group) กล้ามเนื้อส่วนโคนขามัดที่สำคัญ มีดังนี้

- Biceps femorisเป็นกล้ามเนื้อในกล้ามเนื้อกลุ่มเอ็นหลังต้นขาด้านล่าง จุดเกาะเริ่มจากกระดูก Ischium และกระดูกต้นขาไปยังส่วน
หัวของกระดูกปลายขาท่อนเล็ก (Fibula)ทำหน้าที่เหยียดต้นขาและงอเข่า

- Rectus femorisเป็นกล้ามเนื้อในกลุ่มด้านหน้าของต้นขา (Anterior group)เป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่อยู่ทางด้านหน้าของต้นขา จุด
เกาะเริ่มจากกระดูก lliumไปยังกระดูกปลายขาท่อนใหญ่ (Tibia) ทำหน้าที่งอต้นขาและเหยียดปลายขา

- Satoriusเป็นกล้ามเนื้อในกลุ่มด้านหน้าของต้นขา มีลักษณะยาวแบนพาดเฉียงบนโคนขา จุดเกาะเริ่มจาก Iliac spine ไปยังส่วนบน
ของกระดูกปลายขาท่อนใหญ่ (Tibia)ทำหน้าที่งอต้นขา และปลายขา

3.กล้ามเนื้อส่วนปลายขา

กล้ามเนื้อส่วนปลายขาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มด้านหน้าของปลายขา(Anterior compartment) กลุ่มด้านข้างของปลายขา
(Lateral compartment) และกลุ่มด้านหลังของปลายขา (Posterior compartment) กล้ามเนื้อส่วนปลายขาที่สำคัญ ได้แก่

- Tibialisanticusเป็นกล้ามเนื้อในกลุ่มด้านหน้าของปลายขา เกาะจากด้านข้างของกระดูกปลายขาท่อนใหญ่ (Tibia) และจากผังผืด ซึ่ง
ยึดระหว่างกระดูกปลายขาท่อนใหญ่และท่อนเล็ก และเกาะที่กระดูกฝ่าเท้าทำหน้าที่กระดกข้อเท้า และบิดข้อเท้าเข้าด้านใน

- Gastrocnemius เป็นกล้ามเนื้อในกลุ่มด้านหลังของปลายขา เป็นกล้ามเนื้อน่องเกาะจากส่วนปลายของกระดูกต้นขาทั้งสองด้าน ส่วน
ปลายกลายเป็นเอ็นเกาะที่กระดูกส้นเท้า(Achillis tendon) ทำหน้าที่งอหลังเท้า เหยียดนิ้วเท้า ถีบฝ่าเท้าลงและช่วยงอเข่าด้วย

- Soleus เป็นกล้ามเนื้อใหญ่ รูปร่างคล้ายปลาอยู่ใน Gastrocnemius ทำหน้าที่งอฝ่าเท้า

4. กล้ามเนื้อส่วนเท้าสำคัญ มีดังนี้

ภาพที่ 6.9 กล้ามเนื้อส่วนสะโพกและขา
https://sites.google.com/site/kaywiphakhsastr
- Flexor hallucislongus เกาะจากด้านหลังของกระดูกช่วงล่าง ส่วนปลายเป็นเอ็นเกาะที่กระดูกหัวแม่เท้า ท่อนปลาย
ทำหน้าที่งอปลายนิ้วหัวแม่เท้า ทำหน้าที่กระดกข้อเท้าลง และบิดเท้าเข้าด้านใน
- Extensor digitorumbrevis เป็นกล้ามเนื้อด้านหลังเท้า ตรงปลายเป็นเอ็นไปเกาะที่นิ้วเท้าทั้ง 4 ยกเว้นนิ้วหัวแม่เท้า
ทำหน้าที่เหยียดข้อของนิ้วเท้าทั้ง 4
- Adductor hallucisเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกสุด ทำหน้าที่เหยียดหัวแม่เท้า
- Flexor digitorumbrevis เป็นกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเท้า ทำหน้าที่ช่วยในการเคลื่อนไหว เป็นกล้ามเนื้อที่ควบคุมการ
เคลื่ อนไหวของเท้าเวลาเดิน

การเป็นหนี้ออกซิเจน (Oxygen debt)

หนี้ออกซิเจนเป็นปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยาที่เกิดขึ้นเมื่อมีคนใช้ออกซิเจนในอัตราที่เร็วกว่าที่จะถูกแทนที่ได้นำไปสู่การขาด
ออกซิเจนซึ่งทำให้เกิดการหายใจเพิ่มขึ้นขณะที่ร่างกายพยายามแทนที่ออกซิเจนที่ใช้แล้ว หนี้สินออกซิเจนแบบคลาสสิกเกิดขึ้นเมื่อผู้คน
ออกกำลังกายซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนหายใจอย่างหนักหลังจากออกกำลังกาย จากการฝึกอบรมนักกีฬาสามารถเพิ่มความอดทนทาง
ร่างกายซึ่งจะช่วยลดอัตราการเป็นหนี้ออกซิเจนซึ่งจะช่วยให้พวกเขาทำงานหนักขึ้นและยาวนานกว่าคนที่ไม่ได้อยู่ในสภาพร่างกายที่ดี

มีหลายปัจจัยที่นำไปสู่การพัฒนาของหนี้ออกซิเจน เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดีจะต้องมีออกซิเจน ออกซิเจนยังใช้ในการผลิต ATP
ซึ่งเป็นสารที่มีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ เมื่อปริมาณออกซิเจนในร่างกายเริ่มลดลงมันจะเปลี่ยนเป็นการหายใจแบบไร้
อากาศเป็นพลังงานของกล้ามเนื้อทำให้เกิดการสะสมของกรดแลคติคเป็นผลพลอยได้ กรดแลคติคสามารถนำไปสู่การเป็นตะคริวและวิธี
เดียวที่จะทำลายมันคือการออกซิไดซ์ ปัจจัยเหล่านี้รวมกันเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายให้ออกซิเจนมากขึ้นผ่านวิธีการเช่นการขยายหลอดเลือด
เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจที่เพิ่มขึ้น

กล้ามเนื้อหัวใจ

กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) เป็นกล้ามเนื้อของหัวใจโดยเฉพาะ มีลักษณะเป็นแถบลาย เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อยึด
กระดูก เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจมีรูปร่างลักษณะเป็นทรงกระบอกโดยส่วนปลายของ เซลล์จะแตกแขนงเชื่อมโยงกับเซลล์ที่อยู่ใกล้เคียง
กัน เนื่องจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจต้องการพลังงานปริมาณ มากภายในเซลล์จึงมีไมโทคอนเดรียจํานวนมาก การทํางานของกล้าม
เนื้อหัวใจอยู่ภายนอกเหนืออํานาจจิตใจ ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้การหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อหัวใจเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่ง
ถูกควบคุมโดย ระบบประสาทอัตโนมัติ (autonomic nervous system)

การนำไฟฟ้าในหัวใจ

จุดเริ่มของการ นำไฟฟ้าในหัวใจ เริ่มที่หัวใจห้องบนขวาในบริเวณที่เราเรียกว่า SA node หรือ sinoatrial node หรือ sinus
nodeจากนั้นสัญญาณไฟฟ้าจะกระตุ้นไปตามผนังของหัวใจห้องบนทั้งขวาและซ้ายและลงสู่บริเวณที่เราเรียกว่า AV node หรือ
Atrioventricular node และที่ตำแหน่งนี้สัญญาณจะถูกหน่วงเวลาให้ช้าลงชั่วครู่ก่อนจะส่ง สัญญาณไฟฟ้าต่อลงไปข้างล่าง ซึ่ง
จะเป็นจังหวะเดียวกับที่รอให้หัวใจห้องบนบีบเลือดลงสู่หัวใจห้องล่าง จาก AV node สัญญาณไฟฟ้าจะเดินทางต่อมายัง มัดเส้นใย
ประสาทที่เราเรียกว่า Bundle of His และแยกออกเป็น 2 แขนงซ้ายขวา โดยแขนงด้านขวาทอดยาวมาตามด้านขวาของผนังกั้น
หัวใจห้องล่าง ส่วนแขนงด้านซ้ายซึ่งใหญ่กว่าจะแทงทะลุผ่านผนังกั้นหัวใจไปทางซ้าย และแยกออกเป็น 2 แขนงคือ ด้านหน้าและ
ด้านหลังจากนั้นจะผ่านเข้าไปยังร่างแหของเส้นใยประสาทที่เราเรียกว่า Purkinje fibers ซึ่งอยู่ใต้ต่อเยื่อบุ ด้านในของ
หัวใจ(endocardium) และไปกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจด้านล่างทำให้เกิดการบีบตัวในที่สุด

กล้ามเนื้อเรียบ

กล้ามเนื้อเรียบสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้ตามอวัยวะที่พบ และโครงสร้างหลักที่ใช้นำกระแสประสาท ดังนี้

1.กล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะภายใน (Visceral smooth muscle) เซลล์ของกล้ามเนื้อเรียบชนิดนี้เชื่อมต่อกันด้วยช่องเล็กๆ
(Nexus or tight junction) ชนิดพิเศษที่มีความต้านทานไฟฟ้าต่ำ จึงยินยิมให้มีการเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าจากเซลล์ข้างเคียงได้ง่าย
ด้วยเหตุนี้เซลล์ชนิดนี้จึงมีเส้นประสาทเพื่อนำหน้าที่ส่งผ่านกระแสประสาทไม่มากซึ่งต่างจากกล้ามเนื้อลาย

2. กล้ามเนื้อเรียบที่มีเส้นประสาทมาเลี้ยงจำนวนมากเหมือนกล้ามเนื้อลาย (Multiunit smooth muscle) กล้ามเนื้อชนิดนี้พบได้
น้อยมากในร่างกาย เชื่อกันว่ามีเพียงประมาณ 1 % เท่านั้น กล้ามเนื้อเรียบชนิดนี้ไม่มีช่องพิเศษที่ช่วยส่งผ่านกระแสไฟฟ้า แต่ละเซลล์
จึงต้องอาศัยการสั่งการจากเส้นประสาท อย่างไรก็ตาม กล้ามเนื้อเรียบชนิดนี้ยังคงทำงานนอกเหนืออำนาจจิตใจของมนุษย์ พบได้ที่
ม่านตา และกล้ามเนื้อที่ควบคุมการลุกชันของขนบริเวณผิวหนัง เป็นต้น

การหดตัวของเซลล์กล้ามเนื้อเรียบ

เซลล์กล้ามเนื้อเรียบมี SR เจริญไม่ดีพอที่จะเป็นแหล่งเก็บแคลเซียมภายในเซลล์ได้แคลเซียมที่ใช้ในการหดตัวมาจากน้ำนอก
เซลล์เป็นส่วนใหญ่แคลเซียมที่เคลื่อนเข้าสู่ sarcoplasm ต้องใช้เวลานานประมาณ 200-300 มิลลิวินาทีจึงแพร่ไปทั่วเซลล์ดังนั้น
latent period ของเซลล์กล้ามเนื้อเรียบจึงนานกว่าเซลล์กล้ามเนื้อชนิดอื่น

กระบวนการหดตัวและคลายตัวกล้ามเนื้อเรียบมีทั้ง actin, tropomyosin และ myosin แต่ไม่มี troponin ดังนั้นการหดตัว
จึงแตกต่างจากกล้ามเนื้อชนิดอื่นโดยการเกิด action potential ทำให้แคลเซียมจากน้ำนอกเซลล์เคลื่อนเข้าสู่ sarcoplasm เมื่อ
แคลเซียมภายในเซลล์สูงขึ้นจะจับกับโปรตีนชื่อ calmodulin ได้เป็น Ca2- calmodulin complex ซึ่ง complex นี้จะไปกระตุ้น
enzyme ATPase ที่อยู่ในส่วนหัวของ myosin เกิดการสลาย ATP ไปเป็น ADP และ Pi พร้อมพลังงานเป็นผลให้ myosin จับกับ
actin และกล้ามเนื้อหดตัวกระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นช้ากว่าในกล้ามเนื้อลายเพราะ ATPase activity มีค่าต่ำกว่าในกล้ามเนื้อลาย
ทำให้การสลาย ATP เกิดขึ้นค่อนข้างช้าส่วนกระบวนการคลายตัวก็ใช้เวลานานเช่นเดียวกันเนื่องจาก Ca2- ATPase ที่ผนังŚRและ
sarcolemma มี activity (ต่ำ) ทำให้การนำแคลเซียมกลับสู่แหล่งเดิมช้าสาเหตุเหล่านี้ทำให้ระยะเวลาเกิดการหดและคลายตัวของ
กล้ามเนื้อเรียบมีนานกว่าของกล้ามเนื้อลายและกล้ามเนื้อหัวใจ

บทที่ 7

Nervous System

ระบบประสาทเป็นระบบที่ควบคุมการทำหน้าที่ของส่วนต่างๆ ของทุกระบบในร่างกายให้ทำงานประสานสัมพันธ์กัน เพื่อให้
ร่างกายสามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ นอกจากนี้ระบบประสาท
ยังเป็นแหล่งที่มาของความคิด ความรู้สึก สติปัญญา ความฉลาดไหวพริบ การตัดสินใจ การใช้เหตุผลและการแสดงอารมณ์

ภาพที่ 7.1 ก: ตำแหน่งสมองและไขสันหลัง (มองทางด้านข้าง)
ข:ไขสันหลังและ เส้นประสาทไขสันหลัง (มองทางด้านหลัง)
ค:โครงสร้างของเซลล์ประสาท

https://il.mahidol.ac.th/e-media/nervous/ch1/chapter1

เซลล์ประสาทประกอบด้วย

1.ตัวเซลล์ (cell body) มีลักษณะค่อนข้างกลมเป็นส่วนของไซโทพลาสซึมและนิวเคลียส มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-25 ไมโครเมตร
ภายในมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ ไมโตคอนเดรีย

เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม และกอลจิคอมเพล็กซ์ จำนวนมาก

2. ใยประสาท ( nerve fiber) เป็นส่วนของเซลล์ที่ยื่นออกจากตัวเซลล์ มี 2 ลักษณะคือ

2.1 เดนไดรต์ (dendrite) เป็นส่วนของเซลล์ประสาทที่ยื่นออกไป ส่วนใหญ่จะอยู่รอบๆตัวเซลล์ ทำหน้าที่รับกระแสประสาทเข้าสู่ตัว
เซลล์ เซลล์ประสาทหนึ่งตัวจะมีเดนไดรต์ (dendrite) ได้หลายแขนง ลักษณะที่สำคัญของ (dendrite) คือมี นิสเซส บอดี้ (Nissl body)
ไมโตคอนเดรีย(mitochondria) และมี นิวโรฟิลาเม้นท์ (neurofilament) รวมกันเป็นมัด กระจายทั่วไป เดนไดรต์ (dendrite)ต่างจาก
แอกซอนคือ ส่วนมากมักไม่มีปลอกหุ้มและที่ปลายมีส่วนที่ยื่นออกไปเป็นต่อมเล็กๆ เรียกว่าหนาม (spine) ซึ่งเป็นที่สำหรับเชื่อมต่อกับกิ่ง
แอกซอนหรือเดนไดรต์ (dendrite) อื่นๆที่เรียกว่าบริเวณซิแนปส์ (synapse)

2.2 แอกซอน (axon) เป็นใยประสาทที่นำกระแสประสาทออกจากตัวเซลล์ เซลล์ประสาทตัวหนึ่งจะมีแอกซอนเพียงหนึ่งแอกซอน
เท่านั้น โดยเป็นส่วนยื่นของเซลล์ที่ยาวทำหน้าที่นำกระแสประสาท ออกจากตัวเซลล์ ภายในแอกซอน (axon) ไม่มีนิสเซส บอดี้
(Nissl body) และจุดที่แอกซอน (axon) ออกจากตัวเซลล์ประสาทมีลักษณะนูนขึ้นเรียกว่า แอกซอน ฮิลล็อค (axon hillock) ซึ่งเป็นจุด
เริ่มต้นของการเกิดกระแสประสาท และต่อเนื่องตลอดความยาวของแอกซอน ปลายแอกซอนจะมีแขนงแตกออกไปมีลักษณะเป็นตุ่มซึ่งจะ
ซิแนปส์ (synapse) กับเซลล์ประสาทตัวอื่น

ภาพที่ 7.2 ส่วนประกอบของเซลล์ประสาท
https://il.mahidol.ac.th/e-media/nervous/ch1/chapter1

เปลือกหุ้มแอกซอนจะมี 3 ชั้นดังนี้

1.ชั้นในสุด เรียกว่า ปลอกหรือเยื่อไมอีลิน ( myelin sheath) จะทำหน้าที่ป้องกันอันตรายและเป็นฉนวนกั้นการถ่ายเทประจุไฟฟ้า
ระหว่างข้างนอกกับข้างในแอกซอน นอกจากนี้ยังช่วยให้กระแสประสาทเดินทางได้เร็วขึ้น เนื่องจากมีโนดออฟแรนเวียร์ (node of ranvier)
ซึ่งเป็นส่วนของแอกซอนตรงบริเวณรอยต่อระหว่างเซลล์ชวันน์แต่ละเซลล์ที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ้มอยู่เป็นระยะๆโดยช่วงความยาวระหว่างโนด
ออฟแรนเวียร์ (node of ranvier) เรียกว่า อินเตอร์โนด (internode) ซึ่งจะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับความยาวของแอกซอน (axon)
กระแสประสาทจะเดินทางได้เร็ว เมื่อเส้นใยประสาทนั้นมีเปลือกหุ้ม

2.ชั้นกลาง เรียกว่า เยื่อนิวริเล็มม่า (neurilemma sheath) ชั้นนี้จะมีเซลล์ที่เรียกว่า เซลล์ชวันน์
(Schwann cell) อยู่ โดยจะมีหนึ่งเซลล์ต่อหนึ่ง อินเตอร์โนด (internode) ตลอดความยาวของแอกซอน (axon) และมีไซโทพลาซึม
(cytoplasm) ของเซลล์ชวันน์ (schwann cell) เป็นนิวริเล็มม่า (neurilemma)

3.ชั้นนอกสุด เรียกว่า เอ็นโดนิวเรียม (endoneurium) เป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มแอกซอน (axon) ไว้ทั้งอัน

แอกซอน (axon) ที่มีปลอกหรือเยื่อไมอีลิน (myelin sheath) หุ้มเรียกว่า ใยประสาทไมอีลินเนท (myelinated nerve fiber)มักจะเป็น
เส้นประสาทที่หนาและมีขนาดใหญ่ ส่วนแอกซอน (axon) ที่ไม่มีปลอกหรือเยื่อไมอีลิน ( myelin sheath)หุ้มเรียกว่า ใยประสาทอันไมอีลินเนท
(unmyelinated nerve fiber) มักมีขนาดเล็ก โดยปลอกหรือเยื่อไมอีลิน (myelin sheath) ในระบบประสาทรอบนอก จะสร้างโดยเซลล์ชวันน์
(schwann cells) ส่วนเยื่อไมอีลิน ( myelin sheath) ในระบบประสาทส่วนกลางจะสร้างโดยเซลล์โอริโกเดนโดรเกลีย (oligodendroglia)

ชนิดของเซลล์ประสาท จำแนกตามหน้าที่และรูปร่างดังนี้

ภาพที่ 7.3 เซลล์ประสาทจำแนกตามหน้าที่จำแนก
http://app.eduzones.com/portal/health/37988/

1.จำแนกตามหน้าที่มี 3 ชนิด ได้แก่
1.1 เซลล์ประสาทรับความรู้สึก (sensory neurons)
เป็นเซลล์ประสาทนำเข้า (afferent neuron) ซึ่งจะนำกระแสประสาทจากตัวรับ

ความรู้สึก (receptors) ในผิวหนังและอวัยวะรับความรู้สึกไปยังสมองและไขสันหลัง
1.2 เซลล์ประสาทสั่งการ (motor neurons)
เป็นเซลล์ประสาทนำออก (efferent neurons)ที่มีใยประสาทแอกซอนยาวกว่าเดนไดรต์โดยอาจยาวถึง 1 เมตร มี หน้าที่ส่ง

กระแสประสาทออกจากไขสันหลังไปยังหน่วยปฏิบัติงาน (effector organs หรือ motor neurons) ได้แก่ กล้ามเนื้อแขนขา ที่อยู่
ห่างไกลจากไขสันหลัง

1.3 เซลล์ประสาทประสานงาน (association neurons หรือ interneurons)
เป็นเซลล์ประสาทที่อยู่ในสมองและไขสันหลัง มีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างเซลล์

ประสาทรับความรู้สึกและประสาทสั่งการ ใยประสาทประเภทนี้จะสั้นอาจมีความยาวเพียง 4-5 ไมโครเมตร

2. จำแนกตามรูปร่างโดยอาศัยจำนวนของส่วนที่ยื่นออกจากเซลล์เป็นหลักมี 3 ประเภท ได้แก่

ภาพที่ 7.4 รูปร่างเซลล์ประสาท
ก. เซลล์ประสาทขั้วเดียว
ข. เซลล์ประสาทสองขั้ว
ค. เซลล์ประสาทหลายขั้ว

https://il.mahidol.ac.th/e-media/nervous/

2.1 เซลล์ประสาทขั้วเดียว (unipolar neuron หรือ pseudounipolar neuron)
ส่วนใหญ่เป็นเซลล์ประสาทรับความรู้สึก(sensory neuron)ที่มีส่วนที่ยื่นแยกจากตัวเซลล์เพียง 1 เส้น แล้วแยกออกเป็นแขนง

กลาง (central branch) ทำหน้าที่เป็นแอกซอน และส่วนที่เป็นแขนงปลาย(peripheral branch) ทำหน้าที่เป็นเดนไดรต์ (dendrite)
พบได้ที่ปมประสาทด้านหลังของไขสันหลัง (dorsal root ganglion) ปมประสาทของประสาทสมองคู่ที่ 5 (trigeminal ganglion )

2.2 เซลล์ประสาทสองขั้ว (bipolar neuron )
ส่วนใหญ่เป็นเซลล์ประสาทรับความรู้สึก(sensory neuron) ที่มีส่วนที่ยื่นแยกจากตัวเซลล์ 2 ข้างคือมี 1 เดนไดรต์ (dendrite)

และ 1 แอกซอน (axon) พบได้ที่เซลล์ประสาทบริเวณเรตินาในดวงตา เซลล์รับกลิ่นในจมูกและเซลล์ของหูชั้นใน

2.3 เซลล์ประสาทหลายขั้ว (multipolar neuron )
เป็นเซลล์ประสาทส่วนใหญ่ของร่างกาย มีเดนไดรต์แยกออกจากตัวเซลล์หลายอัน

แต่มีแอกซอนเพียงอันเดียว พบได้ที่ เซลล์ประสาทสั่งการของสมองและไขสันหลัง(motor neuron) และเซลล์เปอร์คินเจ
(Purkinje cell) ในซีรีเบลลัม ส่วนใหญ่เป็นเซลล์ประสาทสั่งการและเซลล์ประสาทประสานงาน (motor and association neuron)

นอกจากนี้ในการทำงานของเซลล์ประสาทยังต้องอาศัยเซลล์ค้ำจุน (supporting cell) ที่มีหน้าที่แตกต่างกันดังนี้

1.นิวโรเกลีย (neuroglia) มี 4 ชนิดได้แก่

1.1 แอสโตรเกลียหรือแอสโตรไซด์ (astroglia or astrocytes)
- เซลล์พวกนี้มีรูปร่างคล้ายดาวทำหน้าที่ควบคุมการซึมผ่านเข้าออกของสารเคมีต่างๆจากเส้นเลือดสู่เนื้อเยื่อประสาท

1.2 โอลิโกเดนโดรเกลีย (oligodendroglia)
- เป็นเซลล์ขนาดเล็กทำหน้าที่สร้างเยื่อไมอีลินในระบบประสาทส่วนกลาง

1.3 ไมโครเกลีย (microglia)
- ทำหน้าที่เก็บกินสิ่งแปลกปลอมหรือเซลล์ที่ตายแล้ว

1.4 เซลล์อีเพนไดมอล (ependymal cells)
- เป็นเซลล์ที่คาดที่ผนังของช่องว่างในสมอง ทำหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างและดูดซึม

น้ำไขสันหลัง

2.เซลล์ชวันน์ (Schwann cell)
- ทำหน้าที่สร้างปลอกหุ้มเยื่อไมอีลินในระบบประสาทรอบนอก(ระบบประสาทส่วนปลาย)

3.เซลล์เซทแทลไลท์ (satellite cell)
- เป็นเซลล์ที่อยู่รอบๆเซลล์ประสาทในปมประสาทของระบบประสาทรอบนอก
อย่างไรก็ตามเซลล์ประสาทมิได้อยู่เดี่ยวๆ แต่จะสานต่อกันเป็นเครือข่าย ส่วนปลาย

แอกซอนของเซลล์ประสาทอาจแตกออกเป็นกิ่งก้านหลายอัน แล้วไปอยู่ชิดกับตัวเซลล์ประสาท
หรือเดนไดรต์ของเซลล์ประสาทหรือเซลล์กล้ามเนื้อหรือหน่วยปฏิบัติงานเพื่อถ่ายทอด
กระแสประสาท โดยบริเวณที่อยู่ชิดกันนั้นเรียกว่า ซิแนปส์ (synapse)

การถ่ายทอดกระแสประสาท (synapse)

หมายถึง บริเวณปลายประสาทระหว่าง แอกซอน (axon) ของเซลล์ประสาทหนึ่งกับเดนไดรต์ (dendrite) ของอีกเซลล์หนึ่ง
เมื่อกระแสประสาทจากแอกซอนมาถึงบริเวณซิแนปส์ (synapse) ปลายแอกซอน (axon) จะผลิตสารสื่อประสาท ซึ่งทำหน้าที่
กระตุ้นให้เกิดกระแสประสาทที่เดนไดรต์ (dendrite) ของเซลล์ถัดไป โดยเหตุการณ์นี้จะเกิดเช่นเดียวกับที่ปลายแอกซอน (axon)
ของเซลล์ประสาทสั่งการ (motor neuron) ที่ติดกับกล้ามเนื้อ (skeletal muscle) ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้ กล้ามเนื้อทำงาน

การส่งผ่านสัญญาณนี้มี 2 แบบคือ

1.ส่งผ่านโดยอาศัยสารเคมีบางชนิดเรียกว่า chemical synapse

2.ส่งผ่านโดยอาศัยการไหลของกระแสไฟฟ้าเรียกว่า electrical synapse

การซิแนปส์ (synapse) อาจจะเกิดจาการต่อกันระหว่าง แอกซอน (axon) กับเดนไดรต์(dendrite) หรือระหว่างเดนไดรต์
(dendrite) กับเดนไดรต์ (dendrite) หรือระหว่างแอกซอน(axon) กับเซลล์ร่างกาย (cell body) ก็ได้

ลักษณะของ ซิแนปส์ (synapse) เมื่อศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ พบว่าประกอบด้วย

1.บริเวณก่อนซิแนปส์ (presynaptic components) เป็นบริเวณส่วนปลายแอกซอนซึ่งมีถุงซิแนปส์ที่มีสารสื่อประสาทอยู่
ภายใน

2.ช่องซิแนปส์ (synaptic cleft) เป็นช่องว่างระหว่างเยื่อบุก่อนซิแนปส์ (presynapticmembrane) กับหลังซิแนปส์
(postsynaptic membrane)

3. บริเวณหลังซิแนปส์ (postsynaptic components) ประกอบด้วยเยื่อบุ (membrane)ของเซลล์ประสาทอีกตัวหนึ่งซึ่งหนา
ขึ้นเรียกเยื่อบุหลังซิแนปส์ (postsynaptic membrane)และออการ์แนล (organells)

ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System)



ระบบประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System) คือระบบศูนย์กลางการควบคุมการทำงานของร่างกาย ทั้งด้านกลไกการ
เคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อโครงร่างและกระดูก รวมถึงการตอบสนองทางปฏิกิริยาเคมีภายใต้อำนาจของจิตใจ ประกอบด้วยเส้นประสาท
จำนวนหลายล้านเส้น ทำหน้าที่จัดส่งข้อมูลในรูปของกระแสประสาทจากศูนย์กลางการควบคุม ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะสำคัญ 2 ส่วน คือ
สมองและไขสันหลังที่ทำงานร่วมกันผ่านเซลล์ประสาท มีหน้าที่ประสานงานการรับและส่งข้อมูล หรือกระแสประสาท จากทุกส่วนของ
ร่างกาย

1. สมอง (Brain)
เป็นศูนย์กลางการควบคุมและการสั่งการของระบบภายในร่างกายทั้งหมด ทั้งควบคุมการเคลื่อนไหว การแสดงออกด้านพฤติกรรม
รวมไปถึงการรักษาสมดุลภายในร่างกาย อีกทั้งสมองยังเป็นแหล่งที่มาของความสามารถทางด้านสติปัญญา ความคิด ความรู้สึก
และการแสดงออกทางด้านอารมณ์ของสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรับรู้ การจดจำ การใช้เหตุผล และการตัดสินใจ

ภาพที่ 7.5 ภาพแสดงโครงสร้างของไขสันหลัง
https://www.trueplookpanya.com/knowledge/

2. ไขสันหลัง (Spinal Cord)
เป็นเนื้อเยื่อประสาทที่ทอดยาวจากก้านสมองเข้าไปยังโพรงกระดูกสันหลัง มีลักษณะเป็นรูปแท่งทรงกระบอก ห่อหุ้มด้วยเยื่อหุ้มไขสันหลัง
รูปร่างคล้ายผีเสื้อ (Butterfly Shape) เนื้อเยื่อไขสันหลังแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ เนื้อสีขาวด้านนอก (White Matter) ซึ่งเป็นที่อยู่ของ
ใยประสาท และเนื้อเยื่อสีเทาด้านใน (Grey Matter) ซึ่งประกอบขึ้นจากเซลล์ประสาทจำนวนมาก

1.สมองส่วนหน้า (forebrain) ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ของสมองได้แก่
1.1 ออลแฟกทอรีบัลบ์ (olfactory bulb) สมองส่วนนี้ของคนจะเป็นส่วนที่อยู่ทางด้านหน้าสุดและไม่ค่อยเจริญ ทำหน้าที่เกี่ยวกับ

การดมกลิ่น
1.2 ไฮโพทาลามัส (hypothalamus) เป็นส่วนที่อยู่ด้านล่างของสมองส่วนหน้า

ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย การเต้นของหัวใจ ความดันเลือดและความต้องการพื้นฐานของร่างกาย เช่น น้ำ อาหาร
การพักผ่อน ความต้องการทางเพศ และการสร้างฮอร์โมนหลายชนิด ซึ่งควบคุมการหลั่งฮอร์โมนของต่อมใต้สมองส่วนหน้า

1.3 ทาลามัส (thalamus) อยู่เหนือไฮโพทาลามัส มีหน้าที่เป็นศูนย์รวมกระแสประสาทที่ผ่านเข้าออกแล้วแยกกระแสประสาทไปยัง
สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระแสประสาทนั้นๆ

1.4 ซีรีบรัม (Cerebrum) มีขนาดใหญ่สุด มีรอยหยักเป็นจำนวนมาก ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ ความสามารถต่างๆ เป็นศูนย์
การทำงานของกล้ามเนื้อ การพูด การมองเห็น การดมกลิ่น การชิมรส แบ่งเป็นสองซีก แต่ละซีกเรียกว่า Cerebral hemisphere และ
แต่ละซีกจะแบ่งได้เป็น 4 พูดังนี้

ภาพที่ 7.6 ภาพแสดงพื้นที่ของสมองแต่ละกลีบ
https://www.news-medical.net/health

1.) Frontal lobe ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว การออกเสียง ความคิด ความจำ สติปัญญา บุคลิก ความรู้สึก พื้นอารมณ์
2.) Temporal lobe ทำหน้าที่ควบคุมการได้ยิน การดมกลิ่น
3.) Occipital lobe ทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็น
4.) Parietal lobe ทำหน้าที่ควมคุมความรู้สึกด้านการสัมผัส การพูด การรับรส

1.5 ระบบลิมบิค (Limbic System)
ประกอบด้วยศูนย์ประสาทที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ทาลามัส ทำงานเป็นระบบที่ซับซ้อน ศูนย์ประสาทในระบบลิมบิคควบคุมพฤติกรรม

อัตบาล เช่น การทำงานของหัวใจ การย่อยอาหาร และควบคุมระบบอุณหภูมิของร่างกาย อารมณ์ แรงจูงใจ ตลอดจนการจำ จะขออธิบาย
ส่วนที่สำคัญๆ ของระบบลิมบิคดังนี้

- ไอโปทาลามัส (Hypothalamus) มีขนาดประมาณเม็ดถั่วลิสง อยู่ข้างใต้ทาลามัส ทำหน้าที่ควบคุมความหิว ความกระหายน้ำ ความก้าวร้าว
ความรู้สึกทางเพศ ความรู้สึกว่า “มีความสุข” ปริมาณน้ำตาลในโลหิต วัฏจักรการหลับและการตื่นของคน ตลอดจนควบคุมให้ร่างกายมี
อุณหภูมิอยู่ในระดับปกติ เช่น เมื่ออุณหภูมิของร่างกายลดตํ่าลง ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในไฮโปทาลามัสก็จะทำงานเพื่อยังผลให้ร่างกายสั่นอัน
เป็นการออกกำลังที่จะทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นกว่าปกติ ศูนย์ควบคุมอุณหภูมินก็จะทำให้
เหงื่อออกเพื่อลดอุณหภูมิ กระบวนการปรับอุณหภูมิให้กลับอยู่ในระดับปกติทุกครั้งที่อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มมากขึ้นหรือลดน้อยลงนี้
เรียกว่า โฮเมโอสเตซิส (Homeostasis)

- บริเวณเซ็ปตัล (septal Area) ตั้งอยู่ด้านหน้าของไฮโปทาลามัส แต่อยู่ในระดับที่สูงกว่าเล็กน้อย บริเวณเซ็ปตัลมีใยประสาทเชื่อมโยง
กับไฮโปทาลามัส การทำลายบริเวณเซ็ปตัลจะทำให้สัตว์มีความดุร้าย และก้าวร้าว เป็นที่สันนิษฐานกันว่ากระแสประสาทที่ส่งจากสมองส่วน
หน้าผ่านบริเวณเซ็ปตัลเข้าไปในไฮโปทาลามัส จะทำหน้าที่ระงับอารมณ์โกรธ

- อมิกดาลา (Amygdala) ตั้งอยู่ด้านข้างของไฮโปทาลามัส มีใยประสาทเชื่อมโยงกับไฮโปทาลามัสเช่นเดียวกันกับที่บริเวณเซ็ปตัล การทำ
ลายอมิกดาลาจะทำให้สัตว์ที่เคยดุร้ายและก้าวร้าวกลายเป็นสัตว์ที่เซื่องซึมไม่สู้คนอื่นเลย จึงเป็นที่สันนิษฐานกันว่ากระแสประสาทที่ส่ง
จาก อมิกดาลาเข้าไปในไฮโปทาลามัส จะกระตุ้นให้สัตว์มีอารมณ์โกรธ และก้าวร้าว นอกจากนี้การกระตุ้นอมิกดาลายังทำให้สัตว์หยุดรับ
ประทานอาหารและทำให้เลิกพฤติกรรมทางเพศ

- ซิงกิวเลต ไจรัส (cingulate Gyrus) เป็นส่วนที่อยู่บนสุดของระบบลิมบิค ส่วนนอกเป็นเปลือกหรือ คอร์เท็กซ์ (Cortex) ด้านบนของ
ระบบลิมบิค ทำหน้าที่คล้ายอมิกดาลา หากถูกทำลายจะทำให้เซื่องซึมไม่สู้ใคร

- ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ตั้งอยู่ข้างใต้ด้านข้างทาลามัส และไฮโปทาลามัส ทำหน้าที่ควบคุมความต้องการทางเพศและ
จำประสบการณ์ ผู้ที่สูญเสียฮิปโปแคมปัสจะจำสิ่งต่างๆ ได้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ความจำนนจะหายสาปสูญไปทันที

2.สมองส่วนกลาง (midbrain)

ภาพที่ 7.6 ภาพแสดงส่วนประกอบของก้านสมอง
https://slidetodoc.com/lab-activity-14-the-brain-portland-community-college/

สมองส่วนกลาง (midbrain) เจริญไปเป็น
- บางส่วนของก้านสมอง (brainstem) โดยก้านสมองทั้งหมดจะประกอบไปด้วย เมดัลลาออบลองกาตาและพอนส์ซึ่งอยู่ในบริเวณ
ของสมองส่วนหลัง และมิดเบรน
- มิดเบรน (midbrain) เป็นส่วนที่อยู่เหนือ brainstem ควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตา
3.สมองส่วนหลัง (hindbrain) เจริญไปเป็น
- พอนส์ (pons) ควบคุมการเคี้ยว การกลืน การหลั่งน้ำลาย และการแสดงสีหน้า
- เมดัลลาออบลองกาตา (medulla oblongata) ทำหน้าที่ควบคุมการหายใจ การเต้นของหัวใจ และเป็นศูนย์กลางของระบบประสาท
อัตโนมัติ (ANS) โดยทำงานร่วมกับไฮโพทาลามัส
- ซีรีเบลลัม (cerebellum) ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย การทรงตัว

2. ไขสันหลัง (Spinal Cord)

ภาพที่ 7.7 ภาพแสดงส่วนประกอบไชสันหลัง
https://www.trueplookpanya.com/knowledge/

content/87737/-scibio-sci-

ไขสันหลังนั้น ก็จะมีลักษณะคล้ายสมอง คือจะประกอบไปด้วย 2 ส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
– บริเวณที่เป็นเซลล์ประสาท (Neuron) อยู่ในส่วนตรงกลาง ซึ่งตัวเซลล์ประสาทนี้ เวลาที่มาอยู่รวมตัวกันเยอะๆ จะมีสีเทาลักษณะ
คล้ายรูปผีเสื้อ เราจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “Gray Matter”
– บริเวณรอบนอกของไขสันหลังจะเป็นบริเวณของ”แขนงเซลล์ประสาท” หรือที่เราเรียกว่า Axon ซึ่งส่วนนี้จะมีส่วนประกอบที่เป็นไข
มันอยู่เยอะ จึงทำให้มีสีออกขาวนวล เราจึงเรียกส่วนนี้ว่า “White matter”
หน้าที่หลักของไขสันหลัง
คือการทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง ในการส่งกระแสประสาท ทั้งในแง่ของการสั่งให้กล้ามเนื้อหรืออวัยวะต่างๆทำงาน (motor funtion)
และในแง่ของการรับความความรู้สึก (sensory function) จากส่วนต่างๆของร่างกาย
ไขสันหลังจะกินบริเวณตั้งแต่กระดูกคอชิ้นที่ 1 (C1) ลงไปจนถึงประมาณกระดูกเอวส่วนที่ 1 หรือ 2 (L1 , L2) ซึ่งในช่องระหว่าง
กระดูกสันหลังแต่ละข้อ ก็จะมีการแตกแขนงของไขสันหลัง ออกไปเป็น เส้นประสาทไขสันหลัง (Spinal nerve root) อีกทีหนึ่ง

เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลัง (meninges)

ภาพที่ 7.8 ภาพแสดงโครงสร้างของหุ้มสมองและไขสันหลัง
https://sites.google.com/site/thenervoussystembcnpy

Meninges คือ เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลัง ที่หุ้มติดต่อกันมาจากสมองลงไปถึงไขสันหลังประกอบด้วย 3 ชั้น คือ
1.Dura mater เป็นเยื่อหุ้มสมองที่ประกอบขึ้นจาก fibrous connective tissue ที่หุ้มอยู่ชั้นนอกของสมองและไขสันหลัง มีลักษณะ
เหนียวและหนา dura mater ส่วนที่หุ้มสมองอยู่อาจ จะมีการแยกออกเป็น 2 ชั้น โดยชั้นนอกหุ้มติดกับเยื่อหุ้มกะโหลกศีรษะ ชั้นใน
แทรกเข้ามาอยู่ในระหว่าง longitudinal fissure ของสมองทำหน้าที่แบ่งสมองออกเป็น 2 ซีก เรียกว่า falx cerebri และส่วนที่กั้น
ระหว่าง cerebrum กับ cerebellum เรียกว่า tentorium cerebelli และส่วนที่แทรกเข้าไปแบ่งระหว่าง cerebellum 2 ซีก
เรียกว่า falx cerebelli
2. Arachnoid mater เป็นเนื้อเยื่อชั้นกลางที่หุ้มสมองและไขสันหลัง มีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อบางๆและมีโครงสร้างที่คล้ายกับร่างแห
ไปเชื่อมกับชั้นของ pia mater
3. pia mater เป็นเนื้อเยื่อชั้นในสุดหุ้มติดกับเนื้อสมองและไขสันหลังและหุ้มเข้าไปในร่องของสมอง เป็นเนื้อเยื่อชั้นที่บางที่สุดและแยก
ออกจากเนื้อสมองและไขสันหลังได้ยากเหนือต่อ dura mater หรือ ช่องที่อยู่ระหว่าง dura mater กับกะโหลกศรีษะ เรียกว่า
eidural space ระหว่างชั้น dura mater กับ arachnoid mater มีช่อง เรียกว่า subdural space มีน้ำหล่อลื่นอยู่เล็กน้อย
ระหว่างชั้น arachnoid mater กับ pia mater มีช่อง เรียกว่า subaracchnoid space ซึ่งมีน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง
(cerebrospinal fluid) ที่ช่วยป้องกันสมองและไขสันหลังจากอันตรายและยังให้สารอาหารบางอย่างมาเลี้ยงด้วย

น้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid : CSF)

ภาพที่ 7.9 ภาพแสดงโครงสร้างของหุ้มสมองและไขสันหลัง

https://sites.google.com/site/t
henervoussystembcnpy/
Cerebrospinal fluid เป็นของเหลวที่มีส่วนประกอบคล้ายกับ plasma ของเลือด และสร้างมาจาก choroid plexus ใน
ventricle มีหน้าที่ป้องกันอันตรายและนำสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อสมองและไขสันหลัง Cerebrospinal fluid สร้างจาก choroid
plexus ใน ventricle โดยมีวงจรการไหลเวียนจาก lateral ventricle ผ่าน foramen of Monro ไปยัง third ventricle จาก third
ventricleไหลผ่าน cerebral aqueduct ที่อยู่ใน midbrainไปยัง fourth ventricle แล้วไหลผ่านช่องเปิด3รู ของ fourth ventricle
ซึ่งประกอบด้วย foramen of Luschka ที่เปิดออกด้านข้าง 2 รู และ foramen of Magendie ที่เปิดออกตรงกลางด้านล่าง 1 รู เพื่อ
เข้าสู่ subarachnoid space ก็จะระบายกลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตที่ dural sinus โดยโครงสร้างที่เรียกว่า arachnoid granulation
ซึ่งยื่นจาก arachnoid mater เข้าไป dural venous sinus ของ dura mater ที่หุ้มสมองอยู่ หากเกิดการอุดตันภายในระบบการไหล
เวียนของ cerebrospinal fluid ใน ventricular system จะทำให้เกิดการคั่งของ CSF ใน ventricle และทำให้ ventricle ขยายใหญ่ใน
สมองจนทำให้เด็กหัวโต ขึ้นได้เนื่องจากกะโหลกเด็กยังไม่ปิด เรียกภาวะนี้ว่า hydrocephalus

หลอดเลือดเลี้ยงสมอง (cerebral vasculature)
cerebral vasculature ถูกแบ่งออกเป็น 2 ระบบ carotid system และ vertebro-basilar system

ภาพที่ 7.10 ภาพแสดงหลอดเลือดที่นำไปเลี้ยงสมอง
https://sites.google.com/site/thenervoussystembcnpy/hlxd

1.Carotid system เป็นหลอดเลือดเลี้ยงสมองที่เริ่มจากหลอดเลือด common carotid artery 2 เส้น ทางขวาตั้งต้นจาก
brachiocephalic trunk ส่วนทางซ้ายเป็นแขนงที่แยกจากจุดสูงสุดของ aortic arch หลอดเลือด common carotid artery
สิ้นสุดโดยแยกออกเป็น internal และ external carotid arteries
- External carotid artery แยกจาก common carotid artery ให้แขนงไปเลี้ยงโครงสร้างที่อยู่ในใบหน้าและคอ
- Internal carotid artery แยกจาก common carotid artery แล้วทอดขึ้นไปในโพรงกะโหลกศีรษะ internal carotid artery
แบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือ carvical,petrous,cavernous และ cerebral segments. ส่วนที่สำคัญ คือ cerebral ซึ่งมีแขนงส่วน
ปลายแยกออกเป็น anterior และ middle cerebral arteries

หลอดเลือดที่สำคัญของ carotid system

-Anterior cerebral artery : ACA
Anterior cerebral artery เป็นแขนงปลายของ internal carotid artery หลอดเลือดนี้ให้แขนงเลี้ยงhypothalamus,ผิว
ด้านmedial surface ของ frontal lobe จนถึง parietal lobeและผิวด้าน lateral surface ส่วนบนของ cerebral hemisphere

-Middle cerebral artery : MCA
Middle cerebral artery เป็นแขนงที่ใหญ่ที่สุดของ internal carotid artery ทอดเข้าไปใน lateral fissure หลอดเลือด middle
cerebral artery ให้แขนงเลี้ยง internal capsule ส่วนหน้าของ temporal lobe, frontal lobe, ผิวด้านข้างส่วนบนของ cerebral
hemisphere ทั้งเหนือและใต้ต่อ lateral fissure และบางส่วนของ parietal
temporal-occipital lobe Middle cerebral artery เป็นแขนงที่เกิดอุดตันค่อนข้างบ่อย ถ้าเกิดปัญหากับหลอดเลือดนี้จะมีผลทำให้
เกิดการสูญเสียการรับรู้ความรู้สึกและระบบประสาทสั่งการอย่างรุนแรงในใบหน้าส่วนล่างและรยางค์บนของร่างกายซีกตรงข้าม

2.Posterior or vertebro-basilar system ประกอบด้วยหลอดเลือดดังต่อไปนี้

-Vertebral artery เป็นหลอดเลือดที่แยกจาก subclavian arteries ทอดผ่าน foramen transversarium ของกระดูกสันหลัง
ส่วนคอระดับ C6-C1 แล้วเข้าสู่โพรงกะโหลกศีรษะทาง foramen magnum ในขณะที่ vertebral artery ผ่านเข้า cranial cavity มี
แขนง posterior spinal artery แยกออกและผ่านลงมาเลี้ยงทางด้านหลังของไขสันหลังและvertebral artery ทั้งสองข้างจะให้
แขนงมาเชื่อมกันทางด้านหน้าเป็น anterior spinal arteries 1 เส้น เพื่อให้เลือดเลี้ยงทางด้านหน้าของไขสมอง vertebral
artery จะรวมกันกลายเป็นหลอดเลือดที่เรียกว่า basilar artery ซึ่ง basilar artery จะให้แขนงหลายแขนงเลี้ยงก้านสมองและสมอง
น้อย(cerebellum)

-Basilar artery เป็นหลอดเลือดที่เกิดจากการรวมกันของ right and left vertebral arteries แล้วทอดอยู่ทางด้านหน้าของ pons
ขึ้นไปสิ้นสุดในระดับ midbrain โดยแยกเป็น right and left posterior cerebral arteries:PCA
Posterior cerebral artery มี 2 ข้าง แต่ละข้างเชื่อมกับ posterior communicating arteries ของ circle of Willis จึงทำให้
carotid system และ vertebro-basilar system เชื่อมต่อกัน posterior cerebral artery มีแขนงแยกไปเลี้ยง brainstem และ
cerebral cortex บริเวณด้านล่างของ temporal lobe และ occipital lobe
ถ้าเกิดปัญหากับหลอดเลือด posterior cerebral artery มีผลทำให้เกิดปัญหากับการมองเห็นที่เรียกว่า contralateral
homonymous hemianopsia

ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nervous System)

ระบบประสาทส่วนปลาย (Peripheral Nervous System: PNS) คือส่วนของระบบประสาทที่แตกแขนงออกมาจากระบบ
ประสาทส่วนกลาง (Central Nervous System: CNS) ทำหน้าที่รับและส่งกระแสประสาทหรือข้อมูลที่ได้รับจากส่วนต่างๆ ของ
ร่างกายเข้าสู่สมองและไขสันหลัง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการควบคุมและประมวลผล และนำคำสั่งหรือผลของสิ่งเร้าที่ได้จากการประมวลผล
ส่งต่อไปปฏิบัติยังหน่วยรับความรู้สึกและอวัยวะรับสัมผัสต่างๆ รวมถึงเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่อยู่นอกระบบประสาทส่วนกลาง
เพื่อให้ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้อย่างถูกต้อง เช่น ความรู้สึกเจ็บปวด ความรู้สึกร้อนและเย็น การรับรู้แรงกดทับที่ผิวหนัง และ
การเคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นต้น

องค์ประกอบของระบบประสาทส่วนปลาย

- เส้นประสาทสมอง (Cranial Nerve) 12 คู่ – ทำหน้าที่ รับส่งกระแสประสาทสู่สมองและนำคำสั่งการจากสมองส่งต่อไปยังหน่วยปฏิบัติการ

- เส้นประสาทไขสันหลัง (Spinal Nerve) 31 คู่ – ทำหน้าที่ รับส่งกระแสประสาทสู่ไขสันหลังและนำคำสั่งการจากไขสันหลังส่งต่อไปยัง
หน่วยปฏิบัติการ เช่น กล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ

- เซลล์ประสาท (Neuron) นอกระบบประสาทส่วนกลาง – ทำหน้าที่ รับข้อมูลจากร่างกายและนำส่งไปยังสมองและไขสันหลัง

การทำงานของระบบประสาทส่วนปลายจำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ

- ระบบประสาทภายใต้อำนาจจิตใจ หรือระบบประสาทโซมาติก (Somatic Nervous System: SNS) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงาน
ของกล้ามเนื้อโครงร่างที่อยู่ภายใต้อำนาจจิตใจ (Voluntary) เช่น การเดิน การนั่ง การยืน การวาดภาพ หรือการเคลื่อนไหวของ
กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ปาก และลำคอ
- ระบบประสาทภายนอกอำนาจจิตใจ หรือระบบประสาทอัตโนวัติ (Autonomic Nervous System: ANS) ประกอบไปด้วยเซลล์
ประสาทและเส้นประสาทจำนวนมาก ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหัวใจ และระบบของอวัยวะภายในต่างๆ ที่อยู่
นอกเหนือการสั่งการของจิตใจ (Involuntary) เช่น การเต้นของหัวใจ การย่อยของกระเพาะอาหาร การหดและขยายตัวของปอด
เป็นต้น

นอกจากนี้ ระบบประสาทอัตโนวัติยังทำหน้าที่ควบคุมการตอบสนองกิริยาฉับพลัน หรือ “ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์” (Reflex Action)
เมื่อมีสิ่งเร้าจากภายนอกเข้ามากระตุ้นที่อวัยวะรับสัมผัส เช่น ข้อศอก หรือหัวเข่า กระแสประสาทจากกล้ามเนื้อดังกล่าวถูกส่งตรงไป
ยังไขสันหลัง ก่อนที่ไขสันหลังจะสั่งการตอบสนองไปยังกล้ามเนื้อโดยตรง โดยไม่ผ่านกระบวนการประมวลผลในสมอง เพื่อให้กล้าม
เนื้อบริเวณรับสัมผัสเกิดการหดตัว หรือหลบหลีกจากสิ่งกระตุ้นทันที

ระบบประสาทอัตโนวัติ ยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระบบย่อย ได้แก่

ภาพที่ 7.11 ภาพแสดงระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบ
ประสาทพาราซิมพาเทติก

https://ngthai.com/science/26889/





- ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) มีศูนย์กลางอยู่บริเวณไขสันหลัง เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้ในสภาวะ
ฉุกเฉิน เมื่อร่างกายถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจากสิ่งเร้าภายนอก เพื่อให้ร่างกายเกิดการตื่นตัวและทำการตอบสนอง (สู้ หรือ หนี)
โดยร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น ขนลุก มีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น เหงื่อออกมากขึ้น รูม่านตาขยายขึ้น
- ระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System) มีศูนย์กลางอยู่ที่ก้านสมอง (Medulla) และไฮโปทาลามัส
(Hypothalamus) เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้เมื่อระบบซิมพาเทติกทำงานสิ้นสุดลง เพื่อให้ร่างกายได้ผ่อนคลายและปรับสมดุลเข้าสู่
สภาวะปกติ โดยก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เช่น อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานได้ดีขึ้นและหลั่งน้ำลาย

เส้นประสาทสมอง 12 คู่

ภาพที่ 7.12 ภาพแสดงเส้นประสาทสมอง 12 คู่
https://ngthai.com/science/26889/

- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 เส้นประสาท ออลแฟกทอรี (olfactory nerve) รับความรู้สึกเกี่ยวกับกลิ่น เยื่อหุ้มจมูก เข้าสู่ทอรีบัลล์ แล้วเข้าสู่
ออลแฟกทอรีโลบของสมองส่วนซรีบรัมอีกที่หนึ่ง
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 เส้นประสาทออพติก (optic nerve) รับความรู้สึกเกี่ยวกับการมองเห็นจากเรตินาของลูกตาเข้าสู่
ออพติกโลบ แล้วส่งไปยังออพซิพิทัลโลบของซีรีบรัมอีกที่หนึ่ง
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 เส้นประสาทออคิวโลมอเตอร์ (oculomotor nerve ) เส้นประสาท สั่งการจากสมองส่วนกลางไปยังกล้ามเนื้อลูก
ตา 4 มัด ทำให้ลูกตาเคลื่อนไหวกลอกตาไปมาได้ และยังไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ทำให้ลืมตา ทำให้ม่านตาหรี่หรือขยายและไปยังกล้ามเนื้อปรับ
เลนส์ตาอีกด้วย
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 4 เส้นประสาททอเคลีย (trochlea nerve ) เป็นเส้นประสาทสั่งการ ไปยังกล้ามเนื้อลูกตา มองลงและมองไปทางหาง
ตา

- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 เส้นประสาทไตรเจอมินัล(trigerminal nerve) แบ่งออกเป็น 3 แขนงทำหน้าที่รับความรู้สึกจากใบหน้า ลิ้นฟัน
ปากเหงือก กลับเข้าสู่สมอง
ส่วนพาเรียทัลโลบ และทำหน้าที่สั่งการไปควบคุมกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 6 เส้นประสาทแอบดิวเซนส์ (abducens nerve) เป็นเส้นประสาทสั่งการออกจากพอนส์ไปยังกล้ามเนื้อลูกตาทำให้
เกิดการชำเลือง

- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 เส้นประสาทเฟเชียล (facial nerve) เป็นเส้นประสาทที่สั่งการไปยัง กล้ามเนื้อหน้าทำให้เกิดสีต่าง ๆ กัน
และยังเป็นเส้นประสาทรับความรู้สึกรับรสจากปลายลิ้นเข้าสู่ซีรีบรัมส่วนพาเรียทัลโลบ
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 8 เส้นประสาททออดิทอรี (auditory nerve) เส้นประสาทรับความรู้สึกแยกออกเป็น 2 แขนง แขนงหนึ่งจาก
คลอเคลียของหู ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยินเข้าสู่ซีรีบรัม ส่วนเทมพอรัลโลบอีกแขนงหนึ่งนำความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัวจาก
เซมิเซอร์์คิวลาร์แคแนลเข้าสู่ซีรีเบลลัม

- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 9 เส้นประสาทกลอสโซฟารินเจียล (glossopharyngeal nerve) เป็นเส้นประสาท รับความรู้สึกจากช่องคอ
เช่น ร้อน เย็น และรับรสจากโคนลิ้นเข้าสู่ซีรีบรัมส่วนพาเรียทัลโลบ และนำกระแสประสาทสั่งการจากสมอง ไปยังกล้ามเนื้อบริเวณคอหอย
ที่เกี่ยวกับการกลืน และต่อมน้ำลายใต้หูให้หลั่งน้ำลาย
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 เส้นประสาทเวกัส (vegus nerve) เป็นเส้นประสาทรับความรู้สึกจากลำคอ กล่องเสียง ช่องอก ช่องท้อง
ส่วนเส้นประสาทสั่งการจะออกจากเมดัลลาออบลองกาตาไปยังกล้ามเนื้อลำคอ กล่องเสียง อวัยวะภายใน ช่องปาก และช่องท้อง
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 11 เส้นประสาทแอกเซสซอรี (accessory nerve) เป็นเส้นประสาทสั่งการจากเมดัลลาออบลองกาตา และ
ไขสันหลัง ไปยังกล้ามเนื้อคอช่วยในการเอียงคอและยกไหล่
- เส้นประสาทสมองคู่ที่ 12 เส้นประสารทไฮโพกลอสซัล (hypoglossal nerve) เป็นเส้นประสาทสั่งการไปยังกล้ามเนื้อลิ้นทำให้เกิด
การเคลื่ อนไหวของลิ้น

เส้นประสาทสมองทั้ง 12คู่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ

1. กลุ่มเส้นประสาทรับความรู้สึกอย่างเดียว เรียกว่า เส้นประสาทรับความรู้สึก (sensory nerve) เส้นประสาทกลุ่มนี้มีตัวเซลล์
ประสาทอยู่ในปมประสาทเซลล์สมอง ได้แก่ ส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 คู่ที่ 2 และคู่ที่ 8
2. กลุ่มเส้นประสาทสั่งการอย่างเดียว โดยสั่งการจากสมองไปยังอวัยวะตอบสนอง เรียกว่าเส้นประสาทสั่งการหรือนำคำสั่ง
เส้นประสาทกลุ่มนี้มีตัวเซลล์ประสาทอยู่ที่เปลือกสมองหรือซีรีบัลคอร์เทกซ์ (cerebral cortex) ได้แก่ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 3
คู่ที่ 4คู่ที่ 6 คู่ที่ 11และคู่ที่12
3. กลุ่มเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ทั้งรับความรู้สึกและสั่งการ เรียกว่าเส้นประสาทประสม(mixed nerve) ได้แก่ เส้นประสาทสมอง
คู่ที่ 5 คู่ที่ 7คู่ที่ 9 และคู่ที่ 10

เส้นประสาทสันหลัง (Spinal nerve)

มีทั้งหมด 31 คู่ และมีชื่อเรียกตามตำแหน่งที่มันแตกแขนงออกมาจากกระดูกสันหลัง

– เส้นประสาทส่วนคอ Cervical nerve มี 8 เส้น คือ C1-8

– เส้นประสาทส่วนอก Thoracic nerve มี 12 เส้น คือ T1-12

– เส้นประสาทส่วนเอว Lumbar nerve มี 5 เส้น L1-5

– เส้นประสาทส่วนกระเบนเหน็บ Sacral nerve มี 5 เส้น S1-5

– เส้นประสาทส่วนก้นกบ Coccygeal nerve มี 1 เส้น

หน้าที่หลักๆของเส้นประสาทสันหลัง มี 2 อย่าง คือ 1.สั่งงานกล้ามเนื้อ,อวัยวะต่างๆ และ 2.รับความรู้สึก
โดยที่เส้นประสาทสันหลังแต่ละตำแหน่งก็จะมีหน้าที่แตกต่างกัน

เส้นประสาทที่ทำหน้าที่ในการสั่งงานกล้ามเนื้อ (Motor Function)
ที่สำคัญ

– C5 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกางแขน – L1,L2 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการงอข้อสะโพก
– C6 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อ ที่ใช้ในการงอข้อศอก และกระดกข้อมือ – L3 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเหยียดหัวเข่า
– C7 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเหยียดข้อศอก และงอข้อมือ – L4 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกระดกข้อเท้า
– C8 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการงอนิ้วมือ – L5 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกระดกนิ้วโป้งเท้าขึ้น
– T1 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกางนิ้วมือ – S1 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกระดกข้อเท้า และนิ้วเท้าลง
– S2,S3 : ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลั้นปัสสาวะ อุจจาระ


Click to View FlipBook Version