เส้นประสาทรับความรู้สึก (Sensory Function)
ภาพที่ 7.13 ภาพแสดงเส้นประสาทรับความรู้สึก
https://healthjade.net/dermatomes/
ในส่วนของการทำงานด้านการรับความรู้สึก (Sensory Function) เส้นประสาทไขสันหลังมีหน้าที่รับความรู้สึกทั้งจากอวัยวะภายใน
และผิวหนังภายนอก โดยในทางการแพทย์เราจะให้ความสำคัญกับการตรวจความรู้สึกที่เราตรวจพบได้จากบริเวณผิวหนังเท่านั้น
การรับความรู้สึก (Sensation)
1.ตัวรับความรู้สึกสัมผัส
การที่ผิวหนังบางบริเวณมีหน่วยรับความรู้สึกสัมผัสมากกว่าส่วนอื่นทำให้ ผิวหนังส่วนนั้น
ไวต่อความรู้สึกมากว่าผิวหนังส่วนอื่น จะเห็นได้จากภาพเปรียบเทียบ (7.14) โดยอวัยวะที่มีขนาดต่างกันในภาพ แสดงถึงความไวใน
การรับความรู้สึกสัมผัสของอวัยวะนั้นๆ จากภาพจะเห็นได้ว่ามือและริมฝีปากเป็นส่วนที่รับความรู้สึกสัมผัสได้มาก
ภาพที่ 7.14 ภาพแสดงส่วนที่รับความรู้สึกสัมผัส
https://il.mahidol.ac.th/e-media/nervous/3_10.htm
2. ตัวรับความรู้สึกเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวหรือตำแหน่งของร่างกาย (Proprioception)
กล้ามเนื้อลายและเอ็นมีตัวรับในกล้ามเนื้อคือ muscle spindle และตัวรับที่ข้อคือ Golgi tendon organ ตัวรับความรู้สึกในกล้ามเนื้อ
ลายประกอบด้วยเส้นใยกล้ามเนื้อเล็ก ๆ หลายอันเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีลายเรียกว่า“ intrafusal muscle fiber "อยู่รวมกับ Motor และ
sensory nerve fiber ทั้งหมดถูกหุ้มโดยปลอกที่มีรูปร่างแหลมหัวและท้ายยาวประมาณ 2 มิลลิเมตรส่วนกล้ามเนื้อลายที่อยู่ล้อมรอบเรียก
ว่า extrafusal muscle fiber"
intrafusal muscles fiber แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ nuclear bag fiber เป็นเส้นใยกล้ามเนื้อที่มีนิวเคลียสรวมอยู่ตรงกลางอีก
ชนิดหนึ่ง ได้แก่ nuclear chain fiber เป็นเส้นใยกล้ามเนื้อ ที่มีนิวเคลียสมาเรียงตัวเป็นแถวเดียวเส้นใยประสาทรับความรู้สึกที่ไปสิ้น
สุดที่ nuclear bag fiber จะพันกันเป็นเกลียวอยู่รอบ ๆ เรียกว่า annutospiral ending และมีส่วนที่ไปพันรอบปลายขั้วทั้งสองข้าง
ของ muscle spindle อีกด้วยเมื่อกล้ามเนื้อลายยืดตัวจะส่งสัญญาณประสาทไปที่ anterior horn cell ของไขสันหลังจากนั้นจึง
มีคําสั่งกลับทำให้ extrafusal muscle fiber และ muscle spindle หดตัว muscle spindle ควบคุมการทำงานกล้ามเนื้อลายโดย
รักษาความตึงของกล้ามเนื้อจึงเรียก stretch receptor
3. ตัวรับอุณหภูมิ (Thermal sensation)
ตัวรับ free nerve ending ที่ผิวหนัง 2 ชนิดคือตัวรับความรู้สึกเย็นร้อนซึ่งตอบสนองต่อการลดและเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังตัวรับ
เหล่านี้จะทำงานร่วมกับตัวรับที่ไฮโปธาลามัสและไขสันหลังเพื่อควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ได้แก่ Ruffini's corpuscle ซึ่งรับความรู้สึก
ร้อนและ Krause's end bulb ซึ่งพบที่ชั้นหนังแท้และเยื่อเมือกต่าง ๆ ทำหน้าที่รับความรู้สึกเย็น
4. ตัวการรับความรู้สึกเจ็บปวด (pain sensation)
ความรู้สึกเจ็บปวดสามารถบอกได้จากการมีสิ่งกระตุ้นมากพอที่ทำให้เกิดการทำลายต่อเนื้อเยื่อสิ่งกระตุ้นอาจเป็นพลังงานกลเช่นรอย
ขีดส่วนสารเคมี (กรด, ความร้อน) ตัวรับความรู้สึกชนิดนี้เรียกว่า nociceptor
ศูนย์รับความรู้สึกทางกาย (Somatosensory cortex)
ข้อมูลที่ส่งมาจาก thalamus จะมาสิ้นสุดที่ cerebral cortex ในส่วนต่าง ๆ ศูนย์รับความรู้สึกทางกายอยู่ที่บริเวณหลัง central
gyrus โดยจะรับสัญญาณประสาทจากวิถีประสาทรับความรู้สึกจากแต่ละส่วนของร่างกายโดยบริเวณรับความรู้สึกที่เท้าจะอยู่ด้านบนและด้าน
ในของ cortex ถัดลงมา ได้แก่ การรับความรู้สึกที่บริเวณต้นขาท้องอกไหล่ต้นแขนมือนิ้วเป็นหัวแม่มือคอลิ้นเพดานปากและกล่องเสียงโดย
บริเวณมือและใบหน้าเป็นบริเวณที่มีเนื้อที่สมองมากที่สุดปลายประสาทที่มาสิ้นสุดที่บริเวณนี้จะกระจายไปทั่ว postcentral gyrus ในแบบที่
เรียก homunculus ข้อมูลที่มาจากระบบตาจะมาสิ้นสุดที่ occipital cortex และจากระบบหู มาสิ้นสุดที่ temporal lobe
การรับความรู้สึกพิเศษ
อวัยวะรับความรู้สึกพิเศษได้แก่ ตา สำหรับการเห็น จมูก สำหรับรับกลิ่น ลิ้น สำหรับรับรส หู สำหรับการฟัง และผิวหนัง รับความ
รู้สึก ทั่วไป ได้แก่ เจ็บ สัมผัส กด ร้อน เย็น
1.การเห็น (Visual sensation)
ภาพที่ 7.15 ภาพแสดงโครงสร้างของตา
https://sites.google.com/site/rokhtohin/home/
โครงสร้างของลูกตา
ผนังของลูกตาประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือ
1.ชั้นนอกสุด ของลูกตาเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน fibrous coat แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
1.1 ชั้น sclera หรือ ตาขาว เป็นผนังตาชั้นนอกซึ่งหนา มีสีขาวทึบ แสงผ่านไม่ได้ ส่วนใหญ่ของตาขาวอยู่ภายในเบ้าตา ประมาณ
5/6 ทางด้านหลัง และมี optic nerve ทะลุเข้ามา
1.2 ส่วน cornea หรือ กระจกตา เป็นส่วนเยื่อที่คลุม 1/6 ทางด้านหน้าของลูกตา มีลักษณะใส โปร่งแสง ไม่มีหลอดโลหิต ส่วนนี้มี
ประโยชน์ คือ สามารถให้แสงผ่านเข้าไปในลูกตาได้
2.ผนังตาชั้นกลาง vascular coat มีลักษณะบางสำหรับให้เส้นเลือดและเส้นประสาทที่ตาทอดผ่านไป ชั้นนี้ประกอบด้วย
2.1 Choroid เป็นผนังบางอยู่ถัดจาก sclera เข้ามา ในชั้นนี้มีเซลล์เม็ดสี (Pigment cells) และเซลล์อื่นๆ ประกอบเป็นร่างแห
ทำให้มีสีเข้ม ทึบแสง ช่วยในการป้องกันการสะท้อนของแสง
2.2 Ciliary body อยู่ต่อจากส่วน Choroid มาทางด้านหน้า ประกอบด้วย cilary muscle และ ciliary process และที่ส่วน
ปลายของ ciliary process นี้มี suspensory ligament ไปยึดกับเลนส์ (Lens) เมื่อมีการหดตัวของ ciliary muscle ทำให้เกิด
การดึง lens ซึ่งจะส่งผลให้ lens มีการปรับความหนา ช่วยในการปรับแสงให้ผ่านไปตกยังเรตินา ได้พอดี นอกจากนี้ Ciliary body ยัง
ทำหน้าที่ผลิต Aqeous humor ด้วย
2.3 Iris หรือ ม่านตา อยู่หน้า lens แต่อยู่หลัง cornea ม่านตาถูกยึดด้วยกล้ามเนื้อ 2 ชนิด คือ
– sphincter pupillae muscle ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณตรงกลางของ iris ควบคุมโดยระบบประสาท พาราซิมพาเธติก มี
ลักษณะการทอดตัวของใยกล้ามเนื้อเป็นวงกลม เมื่อมีการหดตัวของกล้ามเนื้อนี้ จะทำให้รูม่านตาหดเล็กลง (pupil constriction) เช่น
ในกรณีที่มีแสงผ่านเข้าตามากเกินไป
– dilator pupillae จะอยู่บริเวณรอบนอกของ iris โดยเส้นใยกล้ามเนื้อจะเรียงตัวกันเป็นรัศมีออกจากจุดศูนย์กลาง ควบคุม
โดย ระบบประสาทซิมพาเธติก การหดตัวของกล้ามเนื้อ dilator pupillae ทำให้ขนาดของรูม่านตาขยายใหญ่ขึ้น (Pupil
dilatation) เช่น ในภาวะอยู่ในที่ที่มีแสงน้อย ซึ่งกลไกการการขยายหรือหดรูม่านตาต้องอาศัย reflex ที่เรียกว่า light reflex
ร่วมกับการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ
สีของตาขึ้นอยู่กับจำนวนเม็ดสี (Pigment) ในม่านตาด้วย ถ้ามีเม็ดสีน้อยตาจะมีสีฟ้า ถ้ามีเม็ดสีอยู่มาก ตาจะเป็นสีเทา สีน้ำตาล
หรือ สีดำ
3. Retina เป็นส่วนที่อยู่ชั้นในสุดของลูกตา เป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการรับภาพ (Receptor) ประกอบด้วยเซลล์ต่างๆ ที่สำคัญใน
การรับแสง คือ rod cells และ cone cells
Rod cells เป็นเซลล์รูปยาวทรงกระบอก มีความไวต่อแสงประกอบด้วยสีที่เรียกว่า rhodopsin เป็นตัวรับแสง ทำหน้าที่ใน
การรับแสงหรือภาพ ขาว-ดำ และจะทำงานมากเมื่อมองภาพในที่สลัวหรือที่มีแสงน้อย
Cone cells เป็นเซลล์รูปกระสวย มีหน้าที่ในการรับแสงสีต่าง จะทำงานได้ดีในสถานที่ที่มีแสงเพียงพอ
เมื่อแสงผ่านเข้ามาในลูกตาและตกกระทบที่เรตินา เซลล์ทั้งสองชนิดนี้จะทำหน้าที่ส่งกระแสประสาทผ่านเซลล์ประสาทชั้นต่างๆ ที่
อยู่ในเรตินาไปยัง optic nerve ซึ่งทอดทะลุไปสู่เปลือกสมอง (Cerebral cortex) ส่วนที่ทำหน้าที่แปลเป็นสัญญาณภาพให้เราได้
เห็นเป็นภาพ
ความผิดปกติของสายตา
1.สายตาสั้น (Myopia) ส่วนใหญ่เกิดเนื่องจาก กระบอกตายาวเกินไป ส่วนน้อย เกิดจากเลนส์ (Lens) หรือ cornea รวมแสงแล้วไม่ถึง
retina ภาพไม่ focus บนจอตา ทำให้มองเห็นไม่ชัด
2.สายตายาว (Hypermetropia) อาจเกิดเนื่องจากกระบอกตาสั้น เกินไป หรือ เพราะเลนส์ หรือ cornea แบน ทำให้แสงที่ผ่านเข้าลูกตา
ยาวเกิน retina ไม่สามารถ โฟกัสได้บนจอตา การแก้ไข ต้องใช้แว่นเลนส์นูนช่วย เพื่อรวมแสงให้สั้นเข้า
3.สายตาเอียง (Astigmatism) เป็นภาวะที่มองเห็นภาพไม่ชัด เนื่องจากส่วนโค้งของ cornea หรือ lens ไม่เท่ากัน ทำให้การหักเหของแสง
ตามแนวต่างๆ ไม่เท่ากัน การแก้ไขทำได้โดย ใช้แว่นกาบกล้วย (Cylindrical lens) เพื่อทำให้อำนาจการหักเหของแสงทุกแนวเท่ากันได้
2.การได้ยินและการทรงตัว (Sense of hearing and equilibrium)
หูเป็นอวัยวะรับสัมผัสที่ทำหน้าที่ทั้งการได้ยินเสียง และการทรงตัว หูของคนแบ่งได้เป็น 3 ส่วน คือหูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน
ภาพที่ 7.16 ภาพแสดงโครงสร้างของหู
https://www.coolenglishth.com/2019/07
โครงสร้างภายในของหูคน
- หูส่วนนอก ประกอบด้วยใบหูและช่องหูซึ่งนำไปสู่หูส่วยกลางใบหูมีกระดูกอ่อนค้ำจุนอยู่ ภายในหูมีต่อมสร้างไขมาเคลือบไว้ทำให้ผนังช่องหู
ไม่แห้ง และป้องกันอันตรายไม้ให้แมลงและฝุ่นละอองเข่าสู่ภายใน ต้านการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ เมื่อมีมากจะสะสมกลายเป็นขี้หูซึ่ง
จะหลุดออกมาเอง จึงไม่ควรให้ช่างตัดผมแคะหูให้ เพราะอาจเป็นอันตราย ทำให้เยื่อแก้วหูขาดและกลายเป็นคนหูหนวก
ตรงรอยต่อระหว่างหูส่วนนอกกับหูส่วนกลาง มีเยื่อบางๆกั้นอยู่เรียกว่า เยื่อแก้วหู (ear drum หรือ tympanic membrane)
ซึ่งสามารถสั่นได้เมื่อได้รับคลื่นเสียง เช่นเดียวกับหนังหน้ากลองเมื่อถูกตีหูส่วนนอกจึงทำหน้าที่รับคลื่นเสียงและเป็นช่องให้คลื่นเสียงผ่าน
- หูส่วนกลาง มีลักษณะเป็นโพรง ติดต่อกับโพรงจมูกและมีท่อติดต่อกับคอหอย ท่อนี้เรียกว่า ท่อยูสเตเชียน (Eustachian tube)
ปกติท่อนี้จะตีบ แต่ในขณะเคี้ยวหรือกลืนอาหารท่อนี้จะขยับเปิดเพื่อปรับความดัน 2 ด้านของเยื่อแก้วหูให้เท่ากัน นอกจากนี้เมื่อ
ความดันอากาศภายนอกลดลงหรือสูงกว่าความดันในหูส่วนกลางอย่างรวดเร็ว ความแตกต่างระหว่างความดันอากาศภายนอกและ
ภายในหูส่วนกลางอาจทำให้เยื่อแก้วหูถูกดันให้โป่งออกไป หรือถูกดันเข้า ทำให้การสั่นและการนำเสียงของเยื่อแก้วหูลดลง เราจะรู้สึก
ว่าหูอื้อ หรือปวดหู จึงมีการปรับความดันในช่องหูส่วนกลางโดยผ่านแรงดันอากาศบางส่วนไปทางท่อยูสเตเชียน นอกจากนี้ภายใน
หูส่วนกลางประกอบด้วยกระดูก 3 ชิ้น ได้แก่ กระดูกค้อน (milieus)กระดูกทั่ง (incurs) และ กระดูกโกลน (stapes) ยึดกันอยู่เมื่อ
มีการสั่นสะเทือนเกิดขึ้นที่เยื่อแก้วหูจะถ่ายทอดมายังกระดูกค้อนและกระดูกทั่ง ทำให้กระดูกหู 2 ชิ้นนี้เคลื่อนและเพิ่มแรงสั่นสะเทือน
และส่งแรงสั่นสะเทือนนี้ต่อไปยังกระดูกโกลนเพื่อเข่าสู่หูส่วนในต่อไป คลื่นเสียงที่ผ่านเข้ามาถึงหูส่วนในจะขยายแอมพลิจูดของ
คลื่นเสียงเพิ่มจากหูส่วนนอกประมาณ 22 เท่า
- หูส่วนใน(Middle ear) ประกอบด้วยประสาทที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัวของร่างกาย รวมเรียกว่า Labyrinth ซึ่งประกอบ
ด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นกระดูก (Osseous labyrinth) และส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อ (Membranous labyrinth) โดยส่วนที่เป็นกระดูก
ประกอบด้วย Vestibule cochlea และ Semicircular canals มีส่วนที่เป็นเนื้อเยื่ออยู่ภายใน Vestibule เป็นส่วนกลางของ โบนี
ลาบีรินธ์ ทางหลังติดต่อกับ ช่อง เซมิเซอร์คูลาร์ และทางหน้าติดต่อกับ ช่องโคเคลียร์ Semicircular canal มี 3 ช่อง อยู่หลังช่องเว
สติบูล ท่อทั้งสามวางตั้งฉากซึ่งกันและกัน จึงให้มีชื่อตามที่อยู่ คือ อันหน้า (Anterior) อันหลัง (Posterior) และอันใกล้ริม
(Lateral) ช่องนี้อยู่ในกระดูกประมาณ 2/3 วงกลม ซึ่งปลายหนึ่งจะโป่งออก เรียกว่า แอมพูลลา (ampulla) แต่แอมพูลลาจะมีเพียง
5 รู เนื่อง จากปลายใกล้กลางของช่องอันหน้า (Anterior) กับปลายบนของอันหลัง (Posterior) รวมกัน Semicircular duct มี
ลักษณะเป็นท่ออยู่ภายใน Semicircular canal บริเวณของ Semicircular duct ส่วนใดโป่ง Semicircular canal ส่วนนั้นก็โป่ง
ด้วยภายในท่อ Semicircular duct ที่โป่งออก มีสันขวางประกอบด้วยเซลล์รับความรู้สึกเกี่ยวกับ การทรงตัว
Cochlea เป็นโพรงคล้ายก้นหอย ฐานกว้าง 9 มิลลิเมตร จากฐานถึงยอดยาว 5 มิลลิเมตร มีกระดูกเป็น แกนกลางเรียก
โมดิโอลุส (modiolus) ยาว 3 มิลลิเมตร โดยมีช่องโค เคลียร์วนรอบโมดิโอลุส ท่อทั้งหมดยาว 32 มิลลิเมตร และมีเส้นผ่าน
ศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตรจากกระดูกแกน มีแผ่นกระดูกบาง (osseus spiral lamina) ยื่นออกวนรอบโมดิโอลุส คล้ายตะปู
ควง ยื่นเข้าไปประมาณครึ่งหนึ่งของช่องโคเคลียร์ จึงแบ่งช่องโคเคลียร์ออกเป็นสองช่องแต่ไม่สมบูรณ์จากปลายของแผ่นกระดูกวน
รอบ มี แผ่นพังผืดบาสิลาร์ (basilar membrane) ไปติดกับผนังของช่องโคเคลียร์ ทำให้แบ่งช่องโคเคลียร์เป็นสองช่องโดย
สมบูรณ์Cocchlea duct เป็นท่อวนรอบอยู่ภายในช่องโคเคลียร์ เป็นท่อรูปสามเหลี่ยม ด้านล่างเป็นแผ่นบาสิลาร์ และด้านบนเป็น
แผ่นเยื่อบาง ๆ อีกแผ่นหนึ่ง เรียกว่า แผ่นเวสติบูลาร์ (vestibular membrane) ขึงจากด้านบนของ แผ่นกระดูกวนรอบไปยังผนัง
ของช่องโคเคลียร์ อีกด้านหนึ่งเป็นแผ่นเยื่อของ ช่องโคเคลียร์ ด้านในช่องโคเคลียร์ที่ด้านบนของแผ่นบาสิลาร์มีอวัยวะสำหรับ รับ
เสียง (organs of corti) ซึ่งมีเซลล์สำหรับรับความรู้สึกในการได้ยิน
การทรงตัว (Equilibrium)
การทรงตัว จะเกี่ยวข้องกับหูส่วนในเพราะมี Receptors อยู่ที่บริเวณ vestibular และ semicircular canals ที่มี hair cells ติดต่อ
vestibular nerve (เป็นอีกแขนงหนึ่งของ vestibulocochlea nerve) และมี endolymph ซึ่งอยู่ภายในไหลไปกระตุ้น hair cells
ทำให้เกิดกระแสประสาท ขึ้นไปตาม vestibular nerve เข้าสู่ cerebellum ในสมองทำให้เกิดความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัวของร่างกาย
กลไกการได้ยิน (Hearing)
เมื่อคลื่นเสียงผ่านมาทางใบหู รูหู และกระทบกับเยื่อแก้วหู ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน และไปกระทบกับกระดูกหู ในหูส่วนกลางทั้ง 3 ชิ้น
กระดูกหู จะทำหน้าที่ปรับระดับคลื่นเสียง แล้วถ่ายทอดไปยัง oval window ทำให้ perilymph ใน cochlea มีการเคลื่อนไหวเป็นระลอก
คลื่น ซึ่งทำให้ vestibular membrane มีการเคลื่อนไหว และต่อเนื่องไปถึง endolymph ที่จะไปกระตุ้นที่ hair cells ของ organ of
corti ที่อยู่ในกระดูกรูปขดหอย Cocchlea เกิดการกระตุ้นของประสาท ซึ่งแปลเป็นสัญญาณประสาทส่งต่อไปตาม cochlea nerve
(เป็นแขนงหนึ่งของ vestibulocochlea nerve) เข้าสู่ auditory area ในสมองแล้วแปลผลเป็นเสียงต่างๆ ที่เราสามารถได้ยิน
3.การได้กลิ่น (Olfactory sense)
ภาพที่ 7.17 ภาพแสดงโครงสร้างภายในของจมูก
https://anatomyfivelife.wordpress.com/
อวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการได้กลิ่นคือ จมูก (nose) บริเวณที่เกี่ยวกับการได้กลิ่นิยู่ที่ผิวภายในจมูก ส่วนบนเรียกว่า Olfactory region
ประกอบด้วยเยื่อบุผิวที่เกี่ยวข้องกับการได้กลิ่น เป็นแผ่นเล็กๆ มีเยื่อจากเซลล์ เยื่อบุจมูกมี เซลล์ประสาทรับกลิ่น (olfactory neuron) ที่
สามารถเปลี่ยนสารที่ทำให้เกิดกลิ่นเป็นกระแสประสาทแล้วส่งต่อไปตาม เส้นประสาทรับกลิ่น (olfactory nerve) ซึ่งเป็นเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1
ผ่านออลแฟกทอรีบัลบ์ เพื่อส่งต่อไปยังสมองส่วนเซรีบรัมให้แปลเป็นกลิ่นต่อไป
4.การรับรส (Taste or Gustatory sense)
อวัยวะที่เกี่ยวกับการรับรส คือ ลิ้น (Tonque) ตรงบริเวณพื้นผิวของลิ้นมี mucous membrane ที่ยื่นนูนออกมา ตุ่มนูนนี้
เรียกว่า papillae จะประกอบด้วย ตุ่มรับรส (Taste buds) ใน papillae หนึ่งอัน จะประกอบด้วย taste buds อยู่ประมาณ 250 อัน
เป็น receptors สำหรับรับรส การรับรสต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ต่อ taste buds ซึ่งมีเซลล์ประสาทรับรส คือ
ประสาทสมองคู่ที่ 7 (Facial nerve) และคู่ที่ 9 (Glossopharyngeal nerve) ไปยังศูนย์กลางการรับรส ตั้งอยู่ด้านล่างสุดของ
Post central gyrus ใน cerebral cortex
ภาพที่ 7.18 ภาพแสดงส่วนที่รับรสต่างๆของลิ้น
https://anatomyfivelife.wordpress.com/
ตำแหน่งรับรส
ส่วนใหญ่ของ taste buds พบที่ด้านหน้าและด้านข้างของลิ้น พบข้างบนต่อมทอนซิล และรอบๆ nasopharynx
โดยทั่วไปการรับรสบนลิ้น จะรับรสได้ 4 ชนิด คือ
รสเปรี้ยว (Sour) อยู่ด้านข้างของลิ้นทั้งสองข้าง
รสหวาน (Sweet) รับได้ดีที่ปลายลิ้น
รสเค็ม (Salt) รับได้ที่ด้านข้างค่อนไปทางปลายลิ้นทั้งสองข้าง
รสขม (Bitter) อยู่กลางโคนลิ้น
บทที่ 8
The Circulatory System
เลือด
เป็นสื่อกลางในร่างกายที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการหายใจ การขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ระบบ
ภูมิคุ้มกัน รักษาสมดุลกรด-เบส สมดุลน้ำ และการติดต่อสื่อสารภายในเซลล์ ในเลือดมีสารอาหารที่ส่งไปเลี้ยงเซลล์ เลือดเป็น
Connective tissue ชนิดหนึ่ง
ภาพที่ 7.19 ภาพแสดงส่วนประกอบของเลือด
https://www.lifetrendshop.com/
เลือด ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. น้ำเลือดหรือพลาสมา (plasma) มี 55% โดยปริมาตร ประกอบด้วยน้ำประมาณ 91% นอกนั้นเป็นสารอื่นๆ ได้แก่ สารอาหารต่างๆ
เอนไซม์ และแก๊ส น้ำเลือดจะทำหน้าที่ ลำเลียงอาหารไปยังเซลล์ และนำของเสียรวมทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์ ไปยังอวัยวะขับ
ถ่าย เพื่อกำจัดออกนอกร่างกาย นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ วิลเลียม ฮาร์วีย์ เป็นผู้ที่พบการค้นพบการหมุนเวียนของเลือด และ
อธิบายว่า เลือดมีการไหลไปในทิศทางเดียวกัน
2. เม็ดเลือด มี 45% โดยปริมาตร ได้แก่
– เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red blood cell) รูปร่างค่อนข้างกลมแบน ตรงกลางบุ๋ม ไม่มีนิวเคลียส มีรงควีตถุสีแดง เรียกว่า ฮีโมโกลบิน
(hemoglobin) ทำหน้าที่ลำเลียงก๊าซออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย แหล่งที่สร้างเม็ดเลือดแดง คือ ไขกระดูก มีอายุอยู่
ประมาณ
110 – 120 วัน หลังจากนั้นจะถูกส่งไปทำลายที่ตับและม้าม
– เซลล์เม็ดเลือดขาว (White blood cell) รูปร่างกลม มีขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ดเลือดแดง แต่มีจำนวนน้อยกว่า ไม่มีสี มีนิวเคลียส
แหล่งที่สร้างเม็ดเลือดขาว คือ ม้าม ไขกระดูก และต่อมน้ำเหลือง ทำหน้าที่ ทำลายเชื้อโรค มีอายุประมาณ 7 – 14 วัน
– เกล็ดเลือดหรือแผ่นเลือด (Blood platelet) ไม่ใช่เซลล์ แต่เป็นชิ้นส่วนของเซลล์ มีรูปร่างกลม ไม่มีสี ไม่มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ
4 วัน ทำหน้าที่ ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
เม็ดเลือดขาว
ทำหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันคอยทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม ให้แก่ร่างกาย เซลล์เม็ดเลือดขาวไม่ภาพแสดงเม็ดเลือดขาวมีฮีโมโกลบิน
แต่มีนิวเคลียสอยู่ด้วย เซลล์เม็ดเลือดขาวมีอายุประมาณ 2-3 วัน เม็ดเลือดขาวแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามลักษณะของเม็ดเล็กๆ
(granule) ที่อยู่ในเซลล์ คือ
1) แกรนูโลไซต์ (granulocytes)
เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีเม็ดเล็กๆ อยู่ภายในเซลล์ด้วย สร้างมาจากไขกระดูกแบ่งตามลักษณะของนิวเคลียสและการย้อมติดสีได้
เป็น 3 ชนิด คือ
1.1 นิวโทรฟิล (neutrophil) แกรนูลย้อมติดสีน้ำเงินม่วงและแดงคละกัน ทำให้เห็นเป็นสีเทาๆ มีนิวเคลียสหลายพู ทำลายสิ่งแปลก
ปลอมโดยการกินแบบฟาโกไซโทซิส แล้วจึงปล่อยน้ำย่อยจากไลโซโซมออกมาย่อย นิวโทรฟิลมีประมาณร้อยละ 65-75 ของเม็ดเลือดขาว
ทั้งหมด นิวโทรฟิลมักกินสิ่งแปลกปลอมที่มีขนาดเล็กจึงเรียกว่าไมโครเฟก (macrophages) ซากของแบคทีเรียที่นิวโทรฟิลกินและ
นิวโทรฟิลที่ตายจะกลายเป็นหนอง (pus) และกลายเป็นฝีได้
1.2 อีโอซิโนฟิล (eosinophils) หรือแอซิโดฟิล (acidophiles) แกรนูลย้อมติดสีชมพู มีนิวเคลียส 2 พู ทำหน้าที่เช่นเดียวกับนิวโทรฟิล
และช่วยในการป้องกันการแพ้พิษต่างๆ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ทำลายพยาธิที่เข้าสู่ร่างกายได้ด้วย อีโอซิโนฟิลมีประมาณร้อยละ 2-5 ของ
เม็ดเลือดขาวทั้งหมด
1.3 เบโซฟิล (basophils) แกรนูลย้อมติดสีม่วงหรือน้ำเงินทำหน้าที่ปล่อยสารเฮพาริน (heparin)ซึ่งเป็นสารพวกพอลิแซ็กคาไรด์ช่วย
ป้องกันการแข็งตัวของเลือดในเส้นเลือดและ สร้างฮิสทามีนซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้หรืออักเสบ เบโซฟิลมีประมาณร่อยละ 0.5 ของเม็ด
เลือดขาวทั้งหมด
2) อะแกรนูโลไซต์ (agranulocyte)
เป็นพวกที่ไม่มีเม็ดแกรนูลเล็กๆ ในเซลล์ สร้างมากจากม้ามและต่อมน้ำเหลือง แบ่งออกเป็น 2ชนิด คือ
2.1 ลิมโฟไซต์ (lymphocyte) เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีนิวเคลียสใหญ่เกือบเต็มเซลล์ สามารถสร้างแอนติบอดี (antibody) ขึ้นมาต่อ
ต้านสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคได้ ลิมโฟไซต์มีประมาณร้อยละ 20-25ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด ลิมโฟไซต์แบ่งออกเป็นหลายชนิด คือ
ลืมโฟไซต์ชนิดบี (B-lymphocyte) หรือ เซลล์บี (B-cell) ซึ่งเจริญพัฒนาที่ไขกระดูก หรือไปเจริญพัฒนาที่เนื้อเยื่อน้ำเหลืองบริเวณลำไส้
ส่วนอีกชนิดหนึ่งเรียกว่าลิมโฟไซต์ชนิดที (T-lymphocyte) หรือ เซลล์ที (T-cell) ซึ่งจะเจริญและพัฒนาที่ต่อมไทมัส (thymus gland)
2.2 มอโนไซต์ (monocyte) เป็นเม็ดเลือดขาวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีนิวเคลียสใหญ่ รูปเกือกม้าอยู่ที่บริเวณกลางเซลล์ มอโนไซต์มีประมาณ
ร้อยละ 2-6 ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมด มอโนไซต์กินแบคทีเรียแบบฟาโกไซโทซิสเช่นเดียวกับนิวโทรฟิลและมักกินของโตๆ
ที่เม็ดเลือดขาวอื่นกินไม่ได้จึงถูกเรียกแมโครเฟก (macrophages)
ความผิดปกติของเลือดแดง
- Polycythemia คือ ภาวะที่มีเมล็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ
- Primary Polycythemia สาเหตุเกิดจากขาดน้ำทำให้เลือดข้น สาเหตุอื่นๆ ที่พบร่วมได้แก่สูบบุหรี่ อาหารเป็นพิษ ถุงลมโป่งพอง อยู่
ในที่ที่มีความกดดันอากาศสูง ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ ผลเสียของภาวะเลือดข้นคือ ความดันโลหิตสูง เลือดมีความหนืด ภาวะเลือดข้น
เรื้อรัง ทำให้เกิด embolism, stroke และ heart failure
- ภาวะโลหิตจาง (Anemia) คือภาวะที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ผลของโลหิตจาง เนื้อเยื่อขาดออกซิเจน เหนื่อยง่ายหายใจหอบ
ผิวหนังซีด เนื่องจากฮีโมโกลบินต่ำ โลหิตจางที่รุนแรงทำให้เนื้อเยื่อได้รับออกซิเจน ไม่เพียงพอ เนื้อเยื่อสมอง เนื้อเยื่อหัวใจ และไตขาด
ออกซิเจน ทำให้เสียชีวิต ความเข้มข้นของเลือดลดลง (Osmolarity of th blood) น้ำออกจากหลอดเลือดเข้ามาในช่องว่างระหว่าง
เซลล์เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดภาวะบวมน้ำ(edema) ความดันเลือดลดลง เนื่องจากปริมาตรและความหนืดของเลือดลดลง แรงต้านทานการ
ไหลของเลือดลดลง
การแข็งตัวของเลือด
ตามปกติเลือดในหลอดเลือดจะไม่แข็งตัว แต่เวลาออกมาจากหลอดเลือดจะแข็งตัว การเกิดการแข็งตัวของเลือดมีประโยชน์ป้องกัน
การเสียเลือดมาก
กลไกการแข็งตัวของเลือด (Blood cloting) กระบวนการแข็งตัวของเลือดเกิดการจากการเปลี่ยนแปลง fibrinogen ซึ่งเป็น
soluble blood protein ให้กลายเป็น fibrin ซึ่งเป็นเส้นใยเล็กๆ การเปลี่ยนแปลงของ fibrinogen ให้เป็น fibrin เป็นสิ่งสำคัญ
ในการแข็งตัวของเลือด
กระบวนการแข็งตัวของเลือด แบ่งได้เป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 การเกิด Thromboplastin
ระยะที่ 2 การเกิด Thrombin
ระยะที่ 3 การเกิด Fibrin
การเกิด thromboplastin ได้มาจากการที่เลือดไหลออกจากเส้นเลือด เลือดที่มเกล็ดเลือดสะสมอยู่ เกล็ดเลือดจะทำปฏิกิริยากับแคลเซียม
และโปรตีนในเลือดทำให้เกิด plasma thromboplastin
การเกิด thrombin เกิดจากการเปลี่ยน prothrombin ให้เป็น thrombin โดย prothrombin รวมกับ thromboplastin
blood protein และแคลเซียม ทำให้เกิด thrombin prothromnin สร้างจากตับ โดยมีวิตามินเคเป็นตัวสำคัญในการสร้าง
prothrombin ถ้าร่างกายขาดวิตามินเค จะทำให้ตับไม่สามารถผลิต prothrombin ได้เพียงพอ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการตกเลือดได้
โปรตีนในเลือดอีกชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดคือ fibrinogen ซึ่งเป็น Soluble protein , thrombin ที่เกิดในระยะที่ 2
จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้ fibrinogen เปลี่ยนเป็น fibrin มีลักษณะแข็งไม่ละลายและเป็นเส้นใยเล็กๆ เป็นที่ยึดเกาะของเม็ดเลือด และทำให้
เลือดแข็งตัว เหลือส่วนที่เป็นน้ำเหลืองใส คือ blood serum ซึ่งมีลักษณะคล้ายพลาสมา แต่ไม่มี fibrinogen และสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
การแข็งตัวของเลือด
หมู่โลหิต
หมู่โลหิต หมายถึง สารชีวเคมีพวกกลัยโคโปรตีน หรือกลัยโคไลปิค ที่ร่างกายสร้างขึ้นและปรากฏบนผิวเม็ดโลหิต
ต่าง ๆ โดยเฉพาะเม็ดโลหิตแดง อาจพบบนเซลล์เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ผม ผิวหนัง ในโลหิตบางหมู่ เช่น ABO หรืออาจพบในพลาสมา
หรือน้ำคัดหลั่งในโลหิตบางหมู่
การให้และการรับเลือดในหมู่เลือด
1.คนเลือดกรุ๊ป Rh-ve ต้องรับจาก Rh-ve เท่านั้น แต่ต้องดูกรุ๊ปเลือดตามระบบ ABO ด้วย (หากคนเลือดกรุ๊ป Rh-ve รับเลือดจาก
Rh+veอาการข้างเคียงจะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ในครั้งถัดๆไป)
2.คนเลือดกรุ๊ป O รับได้จาก O เท่านั้น แต่ให้กับกรุ๊ปอื่นได้ทุกกรุ๊ป
3.คนเลือดกรุ๊ป AB รับได้จากทุกกรุ๊ป แต่ให้เลือดแก่ผู้อื่นได้เฉพาะคนที่เป็นเลือดกรุ๊ป AB
4.คนเลือดกรุ๊ป A รับได้จาก A,O ให้ได้กับ A,AB
5.คนเลือดกรุ๊ป B รับได้จาก B,O ให้ได้กับ B,AB
ภาพที่ 7.20 ภาพแสดงการให้เลือดรับเลือด
https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/1956920
หัวใจ(Heart)
หัวใจอยู่ในช่องอกเยื้องไปทางด้านซ้าย และยึดอยู่ในช่องอกโดยหลอดเลือดขนาดใหญ่ที่อยู่ทางด้านป้านเป็นส่วนฐาน (base) ชี้ไปทาง
ด้านแครนิโอ-ดอร์ซอล ด้านตรงกันข้ามเป็นปลายแหลม เรียกว่า เอเพ็กซ์ (apex) ชี้ไปทางด้านเวนโทร-คัวดอล หัวใจมีโครงสร้าง
หลายส่วนได้แก่ ผนังหัวใจ ห้องหัวใจ และลิ้นหัวใจ
ภาพที่ 7.20 ภาพแสดงโครงสร้างของหัวใจ
https://www.bangkokhearthospital.com/
ผนังของหัวใจประกอบด้วยเนื้อเยื่อสามชั้น ได้แก่
- ผนังหัวใจชั้นนอก (Epicardium) เป็นชั้นที่ติดต่อกับเยื่อหุ้มหัวใจชั้นใน (Visceral layer of pericardium) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่
เหนียวและแข็งแรง
- ผนังหัวใจชั้นกลาง (Myocardium) เป็นชั้นที่มีความหนามากที่สุด และประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจเกือบทั้งหมด
- ผนังหัวใจชั้นใน (Endocardium) เป็นชั้นบางๆที่เจริญมาจากเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด
ห้องหัวใจ
หัวใจจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ห้อง (heart chambers) และทิศทางการไหลของเลือดเข้าสู่แต่ละห้องจะถูกควบคุมโดยลิ้นหัวใจ
(cardiac valves) ทำให้เลือดไม่ไหลย้อนเมื่อมีการบีบตัวและคลายตัว ในที่นี้จะกล่าวถึงห้องของหัวใจตามลำดับของการไหลของเลือด
ภายในหัวใจ
หัวใจห้องบนขวา (Right atrium) มีหน้าที่รับเลือดที่มาจากหลอดเลือดดำใหญ่ซุพีเรียเวนาคาวา (superior vena cava) ซึ่งรับ
เลือดมาจากร่างกายส่วนบน และหลอดเลือดดำใหญ่อินฟีเรียร์เวนาคาวา (Inferior vena cava) รับเลือดมาจากร่างกายช่วงล่าง ผนัง
ของหัวใจห้องนี้ค่อนข้างบาง โดยเฉพาะทางด้านที่ติดกับหัวใจห้องบนซ้าย จะมีรอยบุ๋มที่เรียกว่า ฟอซซา โอวาเล (Fossa ovale) ซึ่งเป็น
ทางเชื่อมระหว่างหัวใจห้องบนทั้งสองห้องระหว่างที่อยู่ในครรภ์ โดยปกติจะไม่มีช่องเปิดใดๆ แต่ในกรณีที่รอยบุ๋มดังกล่าวนี้ยังคงเหลือ
ช่องเปิดอยู่ อาจทำให้การไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจผิดปกติได้ เลือดจากหัวใจห้องบนขวาจะไหลเข้าสู่หัวใจห้องล่างขวา ผ่านทางลิ้น
หัวใจไทรคัสปิด (Tricuspid valve)
หัวใจห้องล่างขวา (Right ventricle) จะอยู่ทางด้านหน้าสุดของหัวใจ และพื้นผิวทางด้านหลังของหัวใจห้องนี้จะติดกับกะบังลม
หัวใจห้องล่างขวาทำหน้าที่รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา แล้วส่งออกไปยังปอด ผ่านลิ้นหัวใจพัลโมนารี (pulmonary valve) และหลอด
เลือดแดงพัลโมนารี (pulmonary arteries) ที่ผนังของหัวใจห้องที่จะมีแนวของกล้ามเนื้อหัวใจที่สานต่อกัน และมีเอ็นเล็กๆที่ควบคุม
ลิ้นหัวใจไทรคัสปิด ซึ่งเรียกว่า คอร์ดี เท็นดินี (chordae tendinae) ซึ่งทำหน้าที่ยึดลิ้นหัวใจไทรคัสปิดไม่ให้ตลบขึ้นไปทางหัวใจห้องบน
ขวาระหว่างการบีบตัวของหัวใจห้องล่าง ดังนั้นจึงป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
หัวใจห้องบนซ้าย (Left atrium) มีขนาดเล็กที่สุดในห้องหัวใจทั้งสี่ห้อง และวางตัวอยู่ทางด้านหลังสุด โดยหัวใจห้องนี้จะรับเลือดที่
ได้รับออกซิเจนจากปอดผ่านทางหลอดเลือดดำพัลโมนารี (pulmonary veins) และจึงส่งผ่านให้หัวใจห้องล่างซ้ายทางลิ้นไมทรัล
(Mitral valve)
หัวใจห้องล่างซ้าย (Left ventricle) จัดว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดและมีผนังหนาที่สุด ทำหน้าที่หลักในการสูบฉีดเลือดไปยังทั่วทั้ง
ร่างกายผ่านทางลิ้นหัวใจเอออร์ติก(Aortic valve) และหลอดเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา (Aorta)
ลิ้นหัวใจ
ภาพที่ 7.21 ภาพแสดงลิ้นหัวใจ
https://sites.google.com/a/hatyaiwit.ac.th/circulatory-system
เป็นแผ่นของกล้ามเนื้อหัวใจและเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่แข็งแรงที่ยื่นออกมาจากผนังของหัวใจ เพื่อควบคุมทิศทางการไหลของเลือดภายในหัวใจ
ให้เป็นไปในทิศทางเดียว โดยอาศัยความแตกต่างของความดันโลหิตในแต่ละห้อง ลิ้นหัวใจที่สำคัญได้แก่
- ลิ้นหัวใจไตรคัสปิด (Tricuspid valve) มีสามกลีบ (cusps) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนขวาและล่างขวา
- ลิ้นไมตรัล (Mitral valve) มีสองกลีบ บางครั้งจึงเรียกว่า ลิ้นหัวใจไบคัสปิด (bicuspid valve) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนซ้ายและล่างซ้าย
- ลิ้นหัวใจพัลโมนารี่เซมิลูนาร์ (pulmonary semilunar valve) มีสามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างขวาและหลอดเลือดแดงพัลโมนารี่
- ลิ้นหัวใจเอออร์ติกเซมิลูนาร์ (Aortic semilunar valve) มีสามกลีบ อยู่ระหว่างหัวใจห้องล่างซ้ายและหลอดเลือดแดงใหญ่ ใกล้ๆกับโคน
ของ ลิ้นหัวใจนี้จะมีรูเปิดเล็กๆ ซึ่งเป็นทางเข้าของเลือดที่จะเข้าสู่ระบบหลอดเลือดหัวใจ
หลอดเลือด
มีอยู่ทุกส่วนของร่างกาย มีหน้าที่นำสารอาหาร และก๊าซออกซิเจนที่ลำเลียงไปกับเลือด เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อไปถึง
เซลล์จะมีการแลกเปลี่ยนอาหารและก๊าซต่างๆ ถ้านำหลอดเลือดในร่างกายมาต่อกันจะมีความยาวประมาณ 100,000 ไมล์
หลอดเลือดในร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
- หลอดเลือดแดง ( Artery )
- หลอดเลือดดำ ( Vein )
- หลอดเลือดฝอย ( Capillary )
หลอดเลือดแดง ( Artery ) หมายถึง หลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ ซึ่งจะเป็นเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนสูงเป็นเลือดที่มี
สีแดงสด ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ( ยกเว้นหลอดเลือดที่ไปสู่ปอดชื่อ pulmonary artery ซึ่งจะนำเลือดดำจากหัวใจที่มี
คาร์บอนไดออกไซด์สูงไปฟอกที่ปอด )
ลักษณะของหลอดเลือดแดง
– มีผนังหนา โดยจะมีลักษณะเป็นชั้นกล้ามเนื้อที่หนาและยืดหยุ่น ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือเนื้อเยื่อด้านในสุดเป็น
เนื้อเยื่อบุผิว ชั้นกลางเป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่สามารถยืดหยุ่นได้ เนื้อเยื่อชั้นนอกเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยืดหยุ่นได้
หลอดเลือดแดงมี 3 ขนาด เรียงจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ
– เอออร์ตา ( aorta ) หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่สุด ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดแดงที่ถูกสูบฉีดออกจากหัวใจห้องล่างซ้ายโค้งไปทาง
ด้านหลัง ทอดผ่านช่องอกและช่องท้อง ขนาดใหญ่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว
– อาร์เทอรี ( artery ) หลอดเลือดแดง ทำหน้าที่นำเลือดไปเลี้ยวส่วนต่างๆ ของร่างกาย หลอดเลือดมีผนังกล้ามเนื้อหนาเพื่อให้ทนต่อ
แรงดันเลือด
– อาร์เทอริโอล ( arteriole ) หลอดเลือดแดงเล็ก ซึ่งสามารถจะขยายตัวหรือหดตัวได้ เพื่อบังคับการไหลของเลือด
หลอดเลือดดำ ( Vein ) หมายถึง หลอดเลือดที่นำเลือดที่มีของเสีย และคาร์บอนไดออกไซด์ ( เลือดดำ ) ที่ร่างกายใช้แล้วจากส่วน
ต่างๆ ของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา ( Right atrium ) เพื่อนำกลับไปฟอกที่ปอด ( ยกเว้นหลอดเลือดดำปอดที่ชื่อ
pulmonary vein ซึ่งจะนำเลือดแดงที่ผ่านการฟอกจากปอดแล้วนำกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย ) ภายในหลอดเลือดดำจะมีความดันต่ำ
ถ้าหลอดเลือดดำฉีกขาด เลือดที่ไหลออกมาจะไหลรินๆคงที่ และสม่ำเสมอ ห้ามเลือดหยุดได้ง่ายกว่าหลอดเลือดแดงฉีกขาด
ลักษณะของเส้นเลือดดำ
– มีผนังบาง ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น เช่นเดียวกับหลอดเลือดแดงแต่บางกว่า
– ผนังมีความยืดหยุ่นได้น้อย เพราะมีเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันน้อย
– มีลิ้นกั้นไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
หลอดเลือดฝอย ( Capillary ) หมายถึง หลอดเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก ไปยังหลอดเลือดดำขนาดเล็ก โดยจะแทรก
อยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ สมอง และอวัยวะอื่นๆ ยกเว้นเส้นผม และเล็บจะไม่มีหลอดเลือดฝอย
ลักษณะของเส้นเลือดฝอย
– หลอดเลือดฝอยเป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุดในร่างกายมีทั้งเส้นเลือดแดงฝอย และเส้นเลือดดำฝอย
– มีเนื้อเยื่อบางมาก มีจำนวนมากเพราะเป็นส่วนที่ต้องแยกไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย มีผนังบาง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7
ไมโครเมตร
– ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว มีหน้าที่เป็นแหล่งที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซ และสารต่างๆระหว่างเลือดกับเซลล์ของร่างกายโดยวิธีการแพร่
การนำไฟฟ้า
ภาพที่ 7.22 ภาพแสดงการนำไฟฟ้าของหัวใจ
https://anatomyfivelife.wordpress.com/
คุณสมบัติประการหนึ่งที่น่าสนใจของหัวใจ คือการที่กล้ามเนื้อหัวใจสามารถกระตุ้นการทำงานได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยระบบนำไฟฟ้า
(conduction system) ภายในผนังของหัวใจ โครงสร้างที่สำคัญของระบบนำไฟฟ้าของหัวใจได้แก่
ระบบนำไฟฟ้าของหัวใจ
คุณสมบัติประการหนึ่งที่น่าสนใจของหัวใจ คือการที่กล้ามเนื้อหัวใจสามารถกระตุ้นการทำงานได้ด้วยตัวเอง โดยอาศัยระบบนำ
ไฟฟ้า (conduction system) ภายในผนังของหัวใจ โครงสร้างที่สำคัญของระบบนำไฟฟ้าของหัวใจได้แก่
- ไซโนเอเตรียลโนด (Sinaoatrial node) หรือเอสเอโนด (SA node) เป็นกลุ่มของเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจที่มีการเปลี่ยนรูปไปเป็น
เซลล์ของระบบนำไฟฟ้า โดยอยู่ในผนังของหัวใจห้องบนขวา เอสเอโนดทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นในการส่งกระแสไฟฟ้าไปตาม
กล้ามเนื้อหัวใจห้องบน ด้วยความถี่ประมาณ 60-70 ครั้งต่อนาที
- เอตริโอเวนตริคิวลาร์โนด (Atrioventricular node) หรือเอวีโนด (AV node) อยู่ระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่าง โดยจะรับ
กระแสไฟฟ้าที่ส่งมาตามหัวใจห้องบน แล้วจึงนำกระแสไฟฟ้าส่งลงไปยังหัวใจห้องล่างผ่านทางเส้นใยนำไฟฟ้าที่อยู่ในผนังกั้นหัวใจ
ห้องล่างขวาและล่างซ้าย ซึ่งเรียกว่า บันเดิล ออฟ ฮิส (Bundle of His) และนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่หัวใจห้องล่างทางเส้นใยปัวคินเจ
(Purkinje fiber) นอกจากนี้ในกรณีที่เอสเอโนดไม่สามารถกระตุ้นหัวใจได้ เอวีโนดจะทำหน้าที่เป็นตัวเริ่มต้นแทน
เสียงที่เกิดจากการทำงานของหัวใจ
เสียงแรก กล้ามเนื้อ ventricles บีบตัว ลิ้น AV valves ปิด ความดันในVentricles เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ลิ้น Semilunar
valves เปิด เลือดไหลออกจาก ventricle เสียงที่เกิดส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ ลิ้น AV
valves และกล้ามเนื้อผนังหัวใจเกร็ง ส่วนปลายของเสียงแรก อาจเกิดจากการไหลของเลือดผ่าน Semilunar valves สู่หลอด
เลือดแดงใหญ่
- เสียงสอง Semilunar valves ปิดทำให้เกิดการสั่นของชั้น
- เสียงสาม Ventricle คลายตัว ลิ้น AV Valves เปิด
- เสียงสี่ Atrium บีบตัวดันเลือดไป Ventricles ไม่ค่อยได้ยินเสียง กรณีเมื่อ Atrium บีบตัวแรง ความดันใน Atrium เพิ่ม
ขึ้นจะได้ยินเสียง
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ภาพที่ 7.23 ภาพแสดงกราฟไฟฟ้าหัวใจ
https://www.pinterest.com/pin/766949011516708926/
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นวิธีการตรวจหาโรคหัวใจที่ง่ายและได้ผลดี การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นตรวจกระแสไฟฟ้าที่
กล้ามเนื้อหัวใจผลิตออกมาขณะที่หัวใจบีบตัว โดยเริ่มต้นที่จุดที่เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจชนิดพิเศษที่สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้เอง
เราเรียกจุดนี้ว่า Sinus node กระแสไฟฟ้าจะวิ่งผ่านกล้ามเนื้อหัวห้องบน เกิดกระแสไฟฟ้าที่เราตรวจได้เรียก P wave กระแสจะมา
หยุดที่รอยต่อระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่างเรียกว่า AV Node หลังจากนั้นกระแสไฟฟ้าจะวิ่งไปหัวใจห้องล่างซ้ายและขวาและ
ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่เรียกว่า QRS complex ดูตัวอย่างกราฟไฟฟ้าหัวใจของคนปกติ
วงจรการทำงานของหัวใจ
ภาพที่ 7.24 ภาพแสดงวงจรการทำงานของหัวใจ
http://mycirculatorysystem.blogspot.com/2012/03/cardiac-circle.html
วงจรการทำงานของหัวใจ หมายถึง วงจรการไหลเวียนของเลือดในหัวใจ รวมทั้งสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการทำงานของหัวใจ
เช่น การหดตัวและคลายตัวที่เกิดต่อเนื่องกัน การปิด – เปิดของลิ้นหัวใจ การเปลี่ยนแปลงความดันและปริมาตรของเลือดภายในหัวใจ
ในช่วงระยะคลายตัว หัวใจห้องบนจะคลายตัวก่อนหัวใจห้องล่าง ดังนั้น เลือดดำจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะไหลเข้าสู่หัวใจ
ห้องบนขวา และเลือดที่ฟอกแล้วจากปอดก็จะไหลเข้าสู่ห้องบนซ้าย เมื่อเลือดไหลเข้าสู่หัวใจห้องบนทั้งสองแล้วลิ้นของหัวใจที่กั้นอยู่
ระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่างซ้ายและขวาเปิดออก ทำให้เลือดไหลลงสู่ห้องล่างได้ เมื่อสิ้นสุดระยะคลายตัวของ หัวใจห้องบนแล้ว
หัวใจห้องบนก็จะเริ่มหดตัว แต่หัวใจห้องล่างยังคลายตัวอยู่ ดังนั้น จึงเป็นการไล่เลือดจากหัวใจห้องบนไหลเข้าสู่หัวใจห้องล่างเพิ่มขึ้น
เมื่อสิ้นสุดการหดตัวของหัวใจห้องบน หัวใจห้องล่างก็จะเริ่มหดตัว เมื่อหัวใจห้องล่างหดตัว ก็จะทำให้ความดันภายในหัวใจห้องล่างสูง
ทำให้ลิ้นของหัวใจที่กั้นระหว่างห้องบนและห้องล่างปิดทันที ซึ่งการปิดของลิ้นหัวใจทำให้เกิดการสั่นสะเทือนออกสู่ภายนอก หัวใจห้อง
ล่างจะทำการหดตัวต่อไป เพื่อเป็นการเพิ่มความดันภายในให้สูงขึ้น เมื่อความดันภายในหัวใจห้องล่างสูงขึ้นมาก ๆ ก็จะดันเลือดให้ไหล
ออกไปจากห้องล่างขวาเลือดจะไหลออกไปตาม Pulmonary Artery และห้องล่างซ้ายก็จะดันเลือดให้ไหลไปตาม Aorta ซึ่งตอนนี้
Pulmonary Valve และ Aortic Valve จะเปิดให้เลือดไหลผ่านออกไป เมื่อสิ้นสุดการหดตัวของหัวใจห้องล่างแล้ว หัวใจห้องล่างก็จะ
เริ่มคลายตัว ในขณะนี้ความดันในหัวใจห้องล่างจะต่ำลง เมื่อความดันต่ำลงจะทำให้เลือดใน Pulmonary Valve และ Aorta ไหลกลับ
เข้าไปในห้องล่างอีกในตอนนี้ Pulmonary Valve และ Aortic Valve จะปิดทำให้เกิดเสียงอีกครั้ง เมื่อหัวใจห้องล่างเริ่มคลายตัว
เลือดจากหัวใจห้องบนก็จะไหลเข้าสู่หัวใจห้องล่างอีกเป็นวงจรเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ
ปริมาณเลือดที่ถูกบีบออกจากหัวใจ
อัตราการไหลของเลือดออกจากหัวใจ (Cardiac Output : CO) จะมากหรือน้อยขึ้นกับอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate : HR)
และปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อการบีบตัวแต่ละครั้ง (Stroke Volume : SV)
CO = HR X SV
( มล. หรือลิตร/ นาที)
( ครั้ง/ นาที) (มล. หรือลิตร/ ครั้ง)
-ผู้ใหญ่ปกติขณะพักมี CO = 5 – 6 ลิตร/ นาที ขณะออกกำลังกายจะเพิ่มได้ถึง 20 ลิตรต่อนาที
นักกีฬาที่ฝึกฝนอย่างดี อาจมีถึง 40 ลิตรต่อนาที
– ปริมาณเลือดที่หัวใจบีบออกแต่ละครั้ง หรือ SV คือ ผลต่างระหว่างปริมาณเลือดในหัวใจก่อนบีบตัวและหลังบีบตัว
– อัตราเต้นของหัวใจปกติขณะพัก = 70 ครั้งต่อนาที เด็ก = 130 ครั้ง/ นาที อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยต่าง ๆ
ความดันเลือด
ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ (คล้ายแรง ลมที่ดัน
ผนังยางรถเวลาสูบลมเข้า) ซึ่งสามารถวัดโดยใช้ เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดความดัน (Sphygmomano meter) วัดที่แขน
และมีค่าที่วัดได้ 2 ค่าคือ
ความดันช่วงบน หรือความดันซิสโตลี (Systolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดขณะที่หัวใจบีบตัว ซึ่งอาจจะสูง
ตามอายุ ความดันช่วงบนในคน ๆ เดียวกันอาจมีค่าแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ตามท่าของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์
และปริมาณของการออกกำลัง
- ปกติ มีค่าต่ำกว่า 130 มม.ปรอท (ทอรร์)
- ปกติแต่ค่อนข้างสูง มีค่าระหว่าง 130-139 มม.ปรอท
- ความดันสูงเล็กน้อย มีค่าระหว่าง 140-159 มม.ปรอท
- ความดันสูงปานกลาง มีค่าระหว่าง 160-179 มม.ปรอท
- ความดันสูงรุนแรง มีค่าระหว่าง 180-209 มม.ปรอท
- ความดันสูงรุนแรงมาก มีค่าตั้งแต่ 210 มม.ปรอทขึ้นไป
ความดันช่วงล่าง หรือความดันไดแอสโตลี (Diastolic blood pressure ) หมายถึง แรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว ในปัจจุบัน
ได้มีการกำหนดค่าความดันโลหิต และระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป (โดยการวัดในท่า
นั่ง วัดอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป แล้วคิดเป็นค่าเฉลี่ย)
- ปกติ มีค่าต่ำกว่า 85 มม.ปรอท
- ปกติแต่ค่อนข้างสูง มีค่าระหว่าง 85-89 มม.ปรอท
- ความดันสูงเล็กน้อย มีค่าระหว่าง 90-99 มม.ปรอท
- ความดันสูงปานกลาง มีค่าระหว่าง 100-109 มม.ปรอท
- ความดันสูงรุนแรง มีค่าระหว่าง 110-119 มม.ปรอท
- ความดันสูงรุนแรงมาก มีค่าตั้งแต่ 120 มม.ปรอทขึ้นไป
บทที่ 9
Lymphatic System
ระบบน้ำเหลือง
สารในน้ำเหลือง ส่วนใหญ่เป็นโปรตีน มีโมเลกุลขนาดใหญ่ มีเอนไซม์ ฮอร์โมนเม็ดเลือดขาว น้ำเหลือง ทำหน้าที่ เป็นตัวกลางแลกเปลี่ยน
สารต่าง ๆ ระหว่างเซลล์และเส้นเลือดฝอย น้ำเหลือง ช่วยกำจัดแบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอม ซึ่งทำลายโดยเซลล์เม็ดเลือดขาวในต่อมน้ำ
เหลืองโดยวิธีฟาโกไซโทซีส
ภาพที่ 8.1 ภาพแสดงการทำงานของระบบน้ำเหลือง
https://69diet.com/
องค์ประกอบของระบบน้ำเหลือง
ในการขนส่งสารอาหารและน้ำไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยระบบไหลเวียนเลือดนั้นที่บริเวณหลอดเลือดฝอยจะมีของเหลว
ซึมผ่านออกไปสู่พื้นที่ระหว่างเซลล์ (intercellular space) อยู่โดยรอบเสมอ ของเหลวเหล่านี้ส่วนใหญ่จะซึมกลับคืนสู่หลอดเลือด
ได้เอง แต่บางส่วนจะถูกระบายเข้าสู่ระบบน้ำเหลือง โดยเฉพาะส่วนที่เป็นสารอาหารหรือของเสียที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ เริ่มจากการ
ซึมผ่านเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองฝอย (lymph capillary) ที่มีลักษณะเป็นท่อปลายตันแทรกอยู่ระหว่างกลุ่มหลอดเลือดฝอย รวบรวม
น้ำเหลืองระบายเข้าสู่หลอดน้ำเหลือง (lymph vessels) แล้วจึงลำเลียงในทิศทางเดียวเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ระหว่างทางจะมีต่อมน้ำเหลือง (lymph node) คั่นอยู่เป็นระยะๆเพื่อทำหน้าที่กรองและกำจัดสิ่งแปลกปลอมบางชนิด จากนั้นจึง
ระบายเข้าสู่ท่อน้ำเหลืองขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า thoracic duct และ right. lymphatic duct เพื่อระบายกลับเข้าสู่หลอดเลือดดำใหญ่
ที่บริเวณคอ
นอกจากนี้ระบบน้ำเหลืองยังประกอบไปด้วยอวัยวะน้ำเหลืองอื่นๆ เช่น ทอนซิล ม้าม เละต่อมไทมัส ซึ่งจะได้กล่าวถึงใน
รายละเอียดต่อไป กล่าวโดยสรุป ระบบน้ำเหลือง เป็นระบบป้องกันอันตรายจากสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย
ประกอบด้วยส่วนที่เป็นของเหลว เรียกว่า น้ำเหลือง (lymph) มีส่วนประกอบคล้าย plasma หลอดน้ำเลือง (lymph vessels)
สำหรับขนส่งน้ำเหลืองจากส่วนต่างๆของร่างกาย เนื้อเยื่อและอวัยวะน้ำเหลืองต่างๆ (lymphatic tissue / organs)
น้ำเหลือง (Lymph)
น้ำเหลืองเป็นของเหลวที่เกิดจาก plasma แต่มีลักษณะใสและเจือจางกว่า มีองค์ประกอบเช่นเดียวกับของเหลวที่อยู่ระหว่าง
เซลล์ (intercellular fluid) ประกอบด้วย H2O, albumin, antibody, vitamins, glucose, fatty acid, และ cell debris. น้ำ
เหลืองมีหน้าที่ที่สำคัญคือ ลำเลียงสารอาหารหรือของเสียที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ จากช่องว่างระหว่างเซลล์เนื้อเยื่อ (intercellular
space) ไหลไปตามท่อน้ำเหลือง โดยไหลผ่าน lymph node ที่คั่นอยู่เป็นระยะๆ เพื่อเป็นการกรองและกำจัดสิ่ง
แปลกปลอม แล้วจึงเทกลับสู่ venous system ของระบบเลือด
ภาพที่ 8.2 ภาพแสดงการไหลของระบบน้ำเหลือง
https://sites.google.com/site/ibiologyislife
การไหลเวียนน้ำเหลือง
โดยทั่วไปของเหลวที่อยู่ภายนอกเซลล์จะมีการถ่ายเทได้ 2 ทางคือ การซึมจาก ช่องว่างระหว่างเซลล์กลับเข้าสู่หลอดเลือดฝอย
(blood capillary) โดยตรง หรือซึมเข้าสู่หลอดน้ำเหลืองฝอย (lymph capillary) เพื่อลำเลียงส่งไปทางระบบน้ำเหลืองตามลำดับ
ดังนี้ Intercellular fluid lymph capillary lymph vessels แขนขวาและศรีษะซีกขวา Rt. Lymphatic duct แขนซ้ายและ
ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย Thoracic duct
- Lymph capillary
บุด้วย single endothelial cells (squamous epithelium) ด้านหนึ่งเป็นปลายปิด แทรกอยู่ใน intercellular spaces อีกด้าน
หนึ่งเป็นปลายเปิดติดต่อกับ lymph vessels ที่มีอยู่ทั่วร่างกาย ตัวอย่างของ lymph capillary ได้แก่ central lacteal ที่แทรก
อยู่ภายในแกนกลางของ villi ในลำใส้เล็ก อย่างไรก็ตาม ไม่พบ lymph capillary ในเนื้อเยื่อที่ไม่มีหลอดเลือดไปเลี้ยงโดยตรง
เช่น central nervous system, และ bone marrow
ภาพที่ 8.3 ภาพแสดงหลอดน้ำเหลืองฝอย (lymp capillary)
https://sites.google.com/site/ibiologyislife
- Lymph vessels หมายถึง ท่อรับน้ำเหลืองจาก lymph capillary โดยทั่วไปจะทอดขนานไปกับหลอดเลือดต่างๆ ทั่ว
ร่างกาย ประกอบด้วยผนัง 3 ชั้น ลักษณะบางคล้ายกับ vein แต่มี valve แทรกโดยตลอดเพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับ
และจะมี lymph nodes คั่นอยู่เป็นระยะๆ
- Cisterna chyli เป็นถุงที่เกิดจากการโป่งพองของหลอดน้ำเหลืองที่อยู่ในช่องท้อง ยาวประมาณ 5 ซม. อยู่ตรงกับกระดูกสัน
หลัง (vertebra) ที่ระดับ L 1 – 2 ทำหน้าที่รับระบายน้ำเหลืองจากส่วนต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ ขาทั้ง 2 ข้าง อวัยวะในช่องท้อง
และในอุ้งเชิงกราน แล้วส่งต่อขึ้นไปยัง thoracic duct
- Thoracic duct เป็นท่อน้ำเหลืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ยาวประมาณ 40 ซม. นับเป็นท่อลำเลียงหลักของระบบน้ำเหลือง รับ
น้ำเหลืองจาก cisterna chyli แล้วทอดยาวไปตามแนวกระดูกสันหลังเพื่อไปเทเข้าสู่หลอดเลือดดำที่บริเวณรอยต่อระหว่าง left
internal jugular vein กับ left subclavian vein
- Rt. Lymphatic duct เป็นท่อน้ำเหลืองสั้นๆ อยู่ตรงบริเวณต้นคอ รับน้ำเหลืองมาจากแขนขวา หน้าอกซีกขวา
รวมทั้งส่วนคอ และศีรษะซีกขวา เพื่อไปเทเข้าสู่ right subclavian vein
อวัยวะน้ำเหลือง ( Lymph organ )
อวัยวะน้ำเหลืองเป็นศูนย์กลางในการผลิตเซลล์ที่ใช้ในการต่อต้านเชื้อโรคหรือสิ่งแปลก ปลอมประกอบด้วย ต่อมน้ำเหลือง
ต่อมทอนซิล ม้าม ต่อมไทมัส และเนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่อยู่ที่ลำไส้
- ต่อมน้ำเหลือง ( Lymph node ) พบอยู่ระหว่างทางเดินของท่อน้ำเหลืองทั่วไปในร่าง กายลักษณะเป็นรูปไข่ กลม หรือรี เส้นผ่าน
ศูนย์กลางประมาณ 1.5 มิลลิเมตร จะมีท่อน้ำเหลืองเข้าและท่อน้ำ เหลืองออกภายในเต็มไปด้วยเม็ดเลือดขาวชนิดโฟไซต์ ต่อมน้ำ
เหลืองจะทำหน้าที่กรองน้ำเหลืองให้สะอาดทำลาย แบคทีเรีย และทำลายเม็ดเลือดขาวที่อยู่ในวัยชรา
- ต่อมทอนซิล ( Thonsil gland ) เป็นกลุ่มของต่อมน้ำเหลืองมีอยู่ 3 คู่คู่ที่สำคัญอยู่ รอบๆหลอดอาหาร ภายในต่อมทอนซิลจะมีลิ
มโฟไซต์ทำลายจุลินทรีย์ที่ผ่านมาในอากาศไม่ให้เข้าสู่หลอดอาหารและ กล่องเสียงถ้าต่อมทอนซิลติดเชื้อจะมีอาการบวมขึ้น เรียกว่า
ต่อมทอนซิลอักเสบ
- ม้าม ( spleen ) เป็นอวัยวะน้ำเหลืองที่ใหญ่ที่สุด มีเส้นเลือดมาเลี้ยงมากมายไม่มีท่อน้ำ เหลืองเลย สามารถยืดหดได้ นุ่มมีสีม่วง
อยู่ใกล้ๆกับกระเพาะอาหารใต้กระบังลมด้านซ้าย รูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว ภายในจะมีลิมโฟไซต์อยู่มากมาย ม้ามมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือด
ในระยะเอ็มบริโอในคนที่คลอดแล้วม้ามทำหน้าที่
1. ทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุแล้ว
2. สร้างเม็ดเลือดขาว พวกลิมโฟไซต์ และโมโนไซต์ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคที่เข้า ไปในกระแสเลือด
3. สร้างแอนติบอดี
4. ในสภาพผิดปกติ สามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้ เช่น มะเร็งเม็ดเลือด
- ต่อมไทมัส ( Thymus gland ) เป็นต่อมที่มีขนาดใหญ่ตอนอายุน้อย และถ้าอายุมากจะเล็ก ลงและฝ่อในที่สุด เป็นต่อมไร้ท่ออยู่
ตรงทรวงอกรอบเส้นเลือดใหญ่ของหัวใจ ทำหน้าที่สร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด ลิมโฟไซต์T มีหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคและสารแปลก
ปลอมเข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งการต้านอวัยวะที่ปลูกถ่ายจากผู้อื่นด้วย
โครงสร้างของต่อมน้ำเหลือง
ภายในต่อมน้ำเหลืองประกอบด้วยโครงสร้างที่เป็น reticular fibers และกลุ่มของ reticular cells ได้แก่ fibroblast และ
macrophage เนื้อภายในของต่อมน้ำเหลือง แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน คือ
- Cortex ประกอบด้วยกลุ่มของ lymphatic nodules จำนวนมาก
- Medulla ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่เรียกว่า medullary cord และช่องว่างเรียกว่า medullary sinuses
- Paracortical zone หมายถึงบริเวณที่อยู่โดยรอบ cortex บางทีเรียกว่า thymus dependent zone
หน้าที่ของต่อมน้ำเหลือง
1. กรองน้ำเหลือง
2. กำจัดสิ่งแปลกปลอม
3. สร้าง lymphocyte
4. สร้าง antibody
กลุ่มของต่อมน้ำเหลืองที่สำคัญของร่างกาย
1. Cervical lymph nodes อยู่แถวต้นคอ กรองน้ำเหลืองจากส่วนหัวและคอ
2. Axillary lymph nodes อยู่บริเวณรักแร้ กรองน้ำเหลืองจากส่วนแขน และทรวงอก
3. Tracheo - bronchial lymph nodes อยู่บริเวณ trachea และ bronchus กรองน้ำเหลือง
จากอวัยวะใน thoracic cavity
4. Inguinal lymph node อยู่บริเวณขาหนีบ รับกรองน้ำเหลืองจากส่วนขา และ perineum
บทที่ 10
The Respiratory
System
การหายใจ (breathing) เป็นกระบวนการซึ่งนำอากาศเข้าหรือออกจากปอด สิ่งมีชีวิตที่ต้องการออกซิเจนต้องการไปเพื่อ
ปลดปล่อยพลังงานผ่านการหายใจระดับเซลล์ในรูปเมแทบอลิซึมโมเลกุลพลังงานสูง เช่น กลูโคส การหายใจเป็นเพียงกระบวนการ
เดียวซึ่งส่งออกซิเจนไปยังที่ที่ต้องการในร่างกายและนำคาร์บอนไดออกไซด์ออก อีกกระบวนการหนึ่งที่สำคัญเกี่ยวข้องกับ
การเคลื่อนที่ของเลือดโดยระบบไหลเวียน การแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้นในถุงลมปอดโดยการแพร่ของแก๊สระหว่างแก๊สในถุงลมและ
เลือดในหลอดเลือดฝอยปอด เมื่อแก๊สที่ละลายนี้อยู่ในเลือด หัวใจปั๊ มเลือดให้ไหลไปทั่วร่างกาย
นอกเหนือไปจากการนำคาร์บอนไดออกไซด์ออก การหายใจส่งผลให้เกิดการสูญเสียน้ำจากร่างกาย อากาศที่หายใจออกมี
ความชื้นสัมพัทธ์เท่ากับ 100% เพราะน้ำแพร่ข้ามพื้นผิวที่ชุ่มชื้นของทางเดินหายใจและถุงลมปอด
ภาพที่ 9.1 ภาพแสดงระบบหายใจ
https://americanaddictioncenters.org/
การหายใจของคนประกอบด้วย 2 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
1.การหายใจภายนอก (external respiration) เป็นการนำอากาศเข้าสู่ปอด การแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างปอดกับเลือด
2.การหายใจภายใน (internal respiration) การขนส่งแก๊สจากเลือดไปยังเซลล์และเนื้อเยื่อ ซึ่งจะทำให้ได้พลังงานใน
รูปของความร้อนทำให้ร่างกายอบอุ่นและ ATP ที่นำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆของเซลล์ซึ่งเป็นจุดประสงค์สำคัญที่สุด
ของการหายใจ
ระบบหายใจของคนประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้คือ
1.ส่วนนำอากาศเข้าสู่ร่างกาย
(conducting division) ส่วนนี้ประกอบด้วยอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศเข้าสู่ส่วนที่มีการ
แลกเปลี่ยนแก๊ส โดยเริ่มตั้งแต่รูจมูก โพรงจมูก (nasal cavity) คอหอย (pharynx) กล่องเสียง (larynx) หลอดลมคอ (trachea)
หลอดลมหรือขั้วปอด (bronchus) หลอดลมฝอย (bronchiole) ซึ่งยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือหลอดลมฝอยเทอร์มินอล
(terminal brochiole) และหลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส (respiratory bronchiole)
2.ส่วนแลกเปลี่ยนแก๊ส (respiratory division) ส่วนแลกเปลี่ยนแก๊สเป็นส่วนของหลอดลมฝอยที่ต่อจากหลอดลมฝอยเทอร์มินอล
คือ หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส ซึ่งจะมีการโป่งพองเป็นถุงลมย่อย (pulmonary-alveoli) ซึ่งทาให้แลกเปลี่ยนแก๊สได้ สำหรับ
ส่วนที่ต่อจากท่อลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊สจะเป็นท่อลม (alveolar duct) ถุงลม (alveolar sac) และถุงลมย่อย(pulmonary
alveoli)โครงสร้างตั้งแต่หลอดลม (bronchus) ที่มีการแตกแขนงและมีขนาดเล็กลงไปเรื่อย ๆ คือหลอดลมฝอย ท่อลม ถุงลม
ถุงลมย่อย จะเรียกว่า บรอนเคียลทรี(broncheal tree) ซึ่งจะถูกบรรจุอยู่ในปอดยกเว้นหลอดลมตอนต้น ๆ ที่อยู่นอกปอด
นอกจากนี้โครงสร้างที่กล่าวมาแล้วยังมีส่วนประกอบที่สำคัญซึ่งเป็นองค์ประกอบร่วม คือกระดูกซี่โครง (rib) และกล้ามเนื้อยึด
กระดูกซี่โครง (intercostal muscle)ซึ่งจะร่วมกันทำงานให้เกิดการหายใจเข้า หายใจออกและป้องกันอันตรายให้แก่ระบบหายใจด้วย
จมูกและปาก (nose and mouth)
ทั้งจมูกและปากจะต่อถึงคอหอยและหลอดลมคอได้ อากาศเมื่อผ่านเข้าสู่รูจมูกแล้วก็จะเข้าสู่โพรงจมูก ที่โพรงจมูกจะมีขนเส้นเล็กๆ
และต่อมน้ำมันช่วยในการกรองและจับฝุ่นละอองไม่ให้ผ่านลงสู่ปอด นอกจากนี้ที่โพรงจมูกยังมีเยื่อบุจมูกหนาช่วยให้อากาศที่เข้ามามี
ความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้นและมีอุณหภูมิสูงขึ้นเนื่องจากเส้นเลือดจำนวนมากที่อยู่ใต้เยื่อบุผิวของโพรงจมูก ถ้าหากเป็นหวัดนาน ๆ เชื้อหวัด
อาจทำให้เยื่อบุในโพรงอากาศบริเวณจมูกเกิดการอักเสบ และทำให้ปวดศีรษะซึ่งเรียกว่า เป็นไซนัสหรือไซนัสอักเสบ (sinusitis)
ขึ้นได้ ในจมูกจะมีบริเวณที่เรียกว่า ออลแฟกเทอรีแอเรีย (olfactory area) หรือบริเวณที่ทำหน้าที่รับกลิ่นโดยมีเซลล์เยื่อบุผิวซึ่ง
เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่โดยเฉพาะเรียกว่า ออลแฟกทอรีเซลล์(olfactory cell) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 10 ตารางเซนติเมตร และจะมี
ขนาดเล็กลงเมื่ออายุมากขึ้น
ภาพที่ 9.2 ภาพแสดงโพรงจมูก
https://meded.psu.ac.th/binlaApp/class04
คอหอย (pharynx)
คอหอย (pharynx)เป็นบริเวณที่พบกันของช่องอากาศจากจมูกและช่องอาหารจากปาก อากาศจะผ่านเข้าสู่กล่องเสียง (larynx)
ที่กล่องเสียงจะมีอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการปิดเปิดกล่องเสียงเรียกว่า ฝาปิดกล่องเสียง (epiglottis) ป้องกันไม่ให้อาหารตกลงสู่
หลอดลม ที่กล่องเสียงจะมีเยื่อเมือกที่มีใยเอ็นยืดหยุ่นได้เรียกว่า เส้นเสียง (vocal cord) เมื่อลมผ่านกล่องเสียงจะทำให้
เส้นเสียงสั่นและเกิดเป็นเสียงขึ้น
หลอดลมคอ (trachea)
หลอดลมคอ (trachea)เป็นท่อกลวงมีผนังแข็งและหนาเพราะมีกระดูกอ่อนเรียงเป็นรูปเกือกม้าทำให้หลอดลมคอไม่แฟบและการที่
กระดูกอ่อนของหลอดลมคอเป็นรูปเกือกม้าทำให้หลอดอาหาร ซึ่งอยู่ด้านหลังสามารถขยายขนาดได้เมื่อมีการกลืนอาหารผ่าน
หลอดอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร หลอดลมคอของผู้ใหญ่ยาวประมาณ 9-15 เซนติเมตร โดยจะเริ่มจากกระดูกคอชิ้นที่ 6 จนถึง
กระดูกอกชิ้นที่ 5 แล้วจึงแตกแขนงเป็นหลอดลม (bronchus) เข้าสู่ปอดอีกทีหนึ่ง หลอดลมคอส่วนแรก ๆ จะมีต่อมไทรอยด์
(thyroidgland) คลุมอยู่ทางด้านหน้า ทางด้านนอกของหลอดลมจะมีต่อมน้ำเหลือง
หลอดลมเล็กหรือขั้วปอด( bronchus)
เป็นส่วนที่แตกแขนงแยกจากหลอดลม แบ่งออกเป็น 2 กิ่งคือซ้ายหรือขวา โดยกิ่งซ้ายจะเข้าสู่ปอดซ้าย และกิ่งขวาแยกเข้าปอด
ขวาพร้อม ๆ กับเส้นเลือดและเส้นประสาท
หลอดลมฝอย (bronchiole)แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.หลอดลมฝอยเทอร์มินอล (terminal bronchiole) เป็นท่อที่แยกออกจากหลอดลมแขนงมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5-1
มิลลิเมตร พบกล้ามเนื้อเรียบและเยื่ออิลาสติกไฟเบอร์(elastic fiber)เป็นองค์ประกอบของผนังหลอดลมฝอยเทอร์มินอล แต่ไม่พบ
โครงสร้างที่เป็นกระดูกอ่อน
2.หลอดลมฝอยแลกเปลี่ยนแก๊ส(respiratory bronchiole) เป็นส่วนแรกที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊ส เนื่องจาก มีถุงลมย่อยมา
เปิดเข้าที่ผนัง ซึ่งจะพบในส่วนที่อยู่ท้าย ๆ ซึ่งจะมีมากกว่าส่วนที่อยู่ติดกับหลอดลมฝอยเทอร์มินอล
ท่อลม (alveolar duct)
เป็นท่อส่วนสุดท้ายของส่วนที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊ส (respiratory division)ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่ถุงลม (alveolar sac)
ถุงลมและถุงลมย่อย
ถุงลมและถุงลมย่อย(alveolus หรือ alveolar sac และ pulmonary alveoli) ถุงลมเป็นช่องว่างที่มีถุงลมย่อยหลาย ๆ ถุงมา
เปิดเข้าที่ช่องว่างอันนี้ ส่วนถุงลมย่อยมีลักษณะเป็นถุงหกเหลี่ยมมีเซลล์พิเศษหลั่งสารพวกฟอสโฟลิพิด (phospholipid) เรียกว่า
เซอร์แฟกแทนท์(surfactant) เข้าสู่ถุงลมย่อยเพื่อลดแรงตึงผิวของถุงลมย่อยไม่ให้ติดกัน เมื่อปอดแฟบเวลาหายใจออกผนังของ
ถุงลมย่อยที่อยู่ติดกันจะรวมกันเป็นอินเตอร์อัลวีโอลาร์เซปทัม(interalveolar septum) ซึ่งมีเส้นเลือดฝอยอยู่ภายใน นอกจากนี้ยังมี
รูซึ่งเป็นช่องติดต่อระหว่างถุงลมย่อยทำให้อากาศภายในถุงลมย่อยมีแรงดันเท่ากันทั้งปอด ทั้งถุงลมและถุงลมย่อยจะรวมเรียกว่า
ถุงลมปอด ปอดแต่ละข้างจะมีถุงลมปอดประมาณ 300 ล้านถุง แต่ละถุงจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยประมาณ 0.25 เซนติเมตร
คิดเป็นพื้นที่ทั้งหมดของการแลกเปลี่ยนแก๊สของถุงลมปอดทั้งสองข้างประมาณ 90 ตารางเมตรหรือคิดเป็น 40 เท่าของพื้นที่ผิวของ
ร่างกาย การที่ปอดยืดหยุ่นได้ดีและขยายตัวได้มากและการมีพื้นที่ของถุงลมปอดมากมายขนาดนั้นจะทำให้ร่างกายได้รับแก๊สออกซิเจน
อย่างเพียงพอและคายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วยปอดของคนมีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงอย่างมากมายจึงทำให้เกิด
การแลกเปลี่ยนแก๊สได้มากและรวดเร็วจนเป็นที่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย
ภาพที่ 9.3 ภาพแสดงโครงสร้างของระบบหายใจ
https://sites.google.com/site/nasenxreuxngrabbhayci
ปอด (lung)
ภาพที่ 9.4 ภาพแสดงโครงสร้างของปอด
https://www.pinterest.com/pin/483222235024174810/
ปอด (lung) เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการหายใจ ปอดตั้งอยู่ภายในทรวงอกมีปริมาตรประมาณ 2 ใน3ของทรวงอก ปอดขวาจะสั้น
กว่าปอดซ้าย เนื่องจากตับซึ่งอยู่ทางด้านล่างดันขึ้นมา ส่วนปอดซ้ายจะแคบกว่าปอดขวาเพราะว่ามีหัวใจแทรกอยู่ ปอดมีเยื่อหุ้มปอด
(pleura) 2 ชั้น ชั้นนอกติดกับผนังช่องอก ส่วนชั้นในติดกับผนังของปอด ระหว่างเยื่อทั้งสองชั้นมีของเหลวเคลือบอยู่ การหุบและการ
ขยายของปอดจะเป็นตัวกำหนดปริมาณของอากาศที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนถ่ายเทคาร์บอนไดออกไซด์ออก
ตามที่ร่างกายต้องการ
ปอดและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
หน้าที่หลักของถุงลมในปอดคือการแลกเปลี่ยนแก๊สจากถุงลมไปยังหลอดเลือดฝอยเพื่อให้ฮีโมโกลบินในเลือดจับตัวกับ
ออกซิเจนและนำพาไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยใช้ การแพร่ (simple diffusion) ซึ่งการแพร่จะเกิดขึ้นได้ดีขี้นอยู่กับความ
บางของผนังและชื้นของถุงลม ผนังของถุงลมประกอบด้วยเซลล์เยื่อบุผิวเพียงชั้นเดียว และมีลิโพโปรตีนเคลือบเป็นชั้นบางๆ
เพื่อลดแรงตึงผิวของน้ำและป้องกันไม่ให้ถุงลมยุบตัว ซึ่งคล้ายคลึงกับโครงสร้างของหลอดเลือดฝอย โดยหลอดเลือดและถุงลม
จะอยู่ชิดติดกันง่ายต่อการแพร่ เมื่อความเข้มข้นของออกซิเจนในถุงลมสูงก็จะถูกแพร่ไปยังที่ที่ความเข้มข้นน้อยกว่าอย่างใน
หลอดเลือดฝอย และกับคาร์บอนไดออกไซด์ก็เช่นเดียวกัน เมื่อหายใจออก คาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกลำเลียงมากับฮีโมโกลบินก็จะ
แพร่ตัวไปยังถุงลมที่มีความเข้มข้นของแก๊สในขณะนั้นน้อยกว่า
การหายใจเข้า (inspiration)และการใจออก(expiration)
รวมเรียกว่า การหายใจ (breathing) โดยมีกล้ามเนื้อกะบังลม กล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครงซี่โครงด้านนอกและกล้ามเนื้อยึดกระดูกซี่โครง
ด้านในเป็นตัวกระทำ การหายใจที่เกิดจากกล้ามเนื้อกระบังลมเรียกว่า การหายใจส่วนท้อง (abdominal breathing)ซึ่งมีความสำคัญ
ประมาณ 75% และการหายใจซึ่งเกิดจากกระดูกซี่โครงและกล้ามเนื้อยึดซี่โครงด้านนอกเรียกว่าการหายใจส่วนอก (chest breathing)
ซึ่งมีความสำคัญประมาณ 25% การหายใจส่วนท้องและการหายใจส่วนอกนี้จะทำงานร่วมกันทำให้เกิดการหายใจเข้าและหายใจออกอย่าง
สม่ำเสมอ
การหายใจเข้า (inspiration)
เมื่อกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อยึดซี่โครงด้านนอกหดตัว จะทำให้ทรวงอกและปอดขยายตัวขึ้นปริมาตรภายในปอดเพิ่มขึ้น
ดังนั้นความดันภายในปอดจึงลดลงและต่ำกว่าบรรยากาศภายนอก อากาศภายนอกจึงเคลื่อนตัวเข้าสู่ปอด จนทำให้ความดันภายนอก
และภายในปอดเท่ากันแล้วอากาศก็จะไม่เข้าสู่ปอดอีก
การหายใจออก (expiration)
เมื่อกล้ามเนื้อกระบังลมและกล้ามเนื้อยึดซี่โครงด้านนอกคลายตัวลง ทำให้ปอดและทรวงอกมีขนาดเล็กลง ปริมาตรของอากาศใน
ปอดจึงลดไปด้วย ท าให้ความดันภายในปอดสูงกว่าบรรยากาศภายนอก อากาศจึงเคลื่อนที่ออกจากปอดจนความดันในปอดลดลง
เท่ากับความดันภายนอก อากาศก็จะหยุดการเคลื่อนที่
การหายใจเข้าและการหายใจออกนี้จะเกิดสลับกันอยู่เสมอในสภาพปกติผู้ใหญ่จะหายใจประมาณ 15 ครั้งต่อนาที ส่วนในเด็กจะมี
อัตราการหายใจสูงกว่าผู้ใหญ่เล็กน้อย ในขณะที่ร่างกายเหนื่อยเนื่องจากทำงานหรือเล่นกีฬาอย่างหนักอัตราการหายใจจะสูงกว่านี้มาก
ภาพที่ 9.5 ภาพแสดงการหายใจเข้า และการหายใจออก
https://ngthai.com/science/17617/respirstorysystem/
กล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจ
กล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจของมนุษย์ เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่รอบผนังทรวงอก โดยเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของระบบทางเดินหายใจ
เนื่องจากตามปกติแล้วปอดไม่ให้สามารถขยายขนาดเพื่อรับอากาศจากการหายใจได้เอง แต่จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยแรงของกล้ามเนื้อ
เหล่านี้เพื่อขยายผนังของทรวงอกให้กว้างมากขึ้น และเกิดการลดลงของความดันภายในทรวงอกมากพอจนทำให้อากาศจากภายนอก
ไหลเข้าสู่ปอดได้ โครงสร้างหลักของผนังทรวงอกได้แก่
- ซี่โครง
- กล้ามเนื้อที่ยึดระหว่างซี่โครง (intercostal muscles) ซึ่งมี 3 ชั้นคือ ชั้นนอก (External) ชั้นใน (Internal) และชั้นในสุด
(innermost)
- กล้ามเนื้อกะบังลม และปอด กับ ถุงลม
- เนื้อเยื่อที่ห่อหุ้มด้านในของผนังทรวงอก เรียกว่า เยื่อหุ้มปอด (Pleura) ซึ่งมีอยู่ 2 ชั้นคือ ชั้นนอก (Parietal pleura) และชั้นใน
(Visceral pleura) กล้ามเนื้ออื่น ๆ ที่มีส่วนช่วยในกระบวนการหายใจ ได้แก่ กล้ามเนื้อท้อง กล้ามเนื้อรอบกระดูกหน้าอก กล้ามเนื้อ
บริเวณไหปลาร้าและต้นคอ (Sternocleidomastoid และ Scalenus)
กล้ามเนื้อยึดระหว่างซี่โครงชั้นนอก (External intercostal muscles)
มีทั้งหมด 11 คู่ ซึ่งกล้ามเนื้อแต่ละมัด มีขอบเขตเริ่มจากบริเวณปุ่มกระดูกของซี่โครงจากทางด้านหลัง และสิ้นสุดที่รอยต่อ
ระหว่างกระดูกซี่โครงกับกระดูกอ่อนของซี่โครงทางด้านหน้าโดยที่จุดสิ้นสุดส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อจะเปลี่ยนเป็นเยื่อหนา ๆ
แทน ใยของกล้ามเนื้อมัดนี้จะมีลักษณะเฉียงจากทางด้านหลังมาด้านหน้า และจากบนลงล่าง โดยกล้ามเนื้อมีจุดยึดเกาะเริ่มต้นที่
บริเวณขอบล่างของกระดูกซี่โครงชิ้นบน และเฉียงลงทางด้านหน้ามาเกาะยึดสิ้นสุดที่บริเวณขอบบนของกระดูกซี่โครงชั้นล่าง
สำหรับกล้ามเนื้อมัดล่าง ๆ ของทรวงอก ซึ่งอยู่ติดกับผนังช่องท้อง กล้ามเนื้อนี้จะเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกับกล้ามเนื้อ
ผนังช่องท้องชั้นนอก (External oblique) กล้ามเนื้อนี้จะทำงานโดยการหดตัวในระยะที่มีการหายใจเข้า
กล้ามเนื้อยึดระหว่างซี่โครงชั้นใน (Internal intercostal muscles)
มีทั้งหมด 11 คู่เช่นกัน กล้ามเนื้อกลุ่มนี้อยู่ชั้นลึกใต้กล้ามเนื้อชั้นนอก และมีแนวกล้ามเนื้อตั้งฉากกับกล้ามเนื้อชั้นนอก โดยมี
แนวการเกาะยึดจากร่องของกระดูกซี่โครงชิ้นบน เฉียงลงทางด้านหลังมาเกาะยึดอยู่ที่บริเวณขอบบนของกระดูกซี่โครงชิ้นล่าง
บรรณานุกรม
วิไล ชินธเนศ. (2564). กายวิภาคศาสตร์ของมนุษย์ (HUMAN ANATOMY). (พิมพ์ครั้งที่2). กรุงเทพ:
โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Achieve. (2561). หน้าที่และประโยชน์ของผิวหนังมีอะไรบ้าง.
สืบค้นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2564. จาก. https://amprohealth.com/beauty/healthy-skin/
สายน้ำผึ้ง ซินเขียว และคณะ. (2559). คลังความรู้ของกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาของมนุษย์.
สืบค้นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2564. จาก. https://anatomyfivelife.wordpress.com/
ทันทิชา. (2559). เซลล์ของสิ่งมีชีวิตการศึกษาเซลล์.
สืบค้นเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2564. จาก. https://sites.google.com/site/31thanticha/lesson/lesson-2
บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน). (2564). ระบบกระดูกของมนุษย์.
สืบค้นเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2564. จาก. https://ngthai.com/science/33254/human-bones-skeletal-system/
พรพิมล ใหญ่ดุ้ม. (2564). ระบบกล้ามเนื้อ.
สืบค้นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2564. จาก. https://sites.google.com/site/30289pornpimol/rabb-tang-khxng-
rangkay/1-4-rabb-klam-neux
วุฒิภัทร. (2561). ทำความรู้จัก ศูนย์ควบคุมระบบประสาท.
สืบค้นเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2564. จาก. https://sites.google.com/site/wutthipat45439/-rabb-prasath-swn-
klang/3-sell-prasath-neuron
Thai Health. (2561). เส้นประสาทสมอง (Cranial nerve).
สืบค้นเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2564. จาก. https://s3.amazonaws.com/thai-health/
ทรู ปลูกปัญญา. (2562). หน้าที่ของหัวใจในแต่ละห้อง.
สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2564. จาก. https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/69354/-scibio-sci-
นางสาวภัทรลดา เอี่ยมพันธ และคณะ. (2562). ระบบหายใจ.
สืบค้นเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2564. จาก. https://sites.google.com/site/systembody302/respiratory_system