The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิชาอาวุธและการใช้อาวุธ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preparation, 2022-07-11 00:11:45

วิชาอาวุธและการใช้อาวุธ

วิชาอาวุธและการใช้อาวุธ

- 93 -

ศอกข้างท่ีไม่ถนดั (แขนข้างที่อยู่ใตฝ้ าประกับลำกล้อง) ศอกข้างนี้อยู่ในตำแหนง่ ใต้ตัวปนื เพอ่ื ทำให้ผู้
ยิงเกิดความสบายและท่ายิงทม่ี ่ันคงและเมื่อทำการยิงเป้าหมายในพ้ืนท่ีรับผิดชอบที่มีความกว้าง เป้าเคลื่อนที่หรือเป้า
ท่มี ีระดบั ความสงู ต่างกนั นัน้ ผูย้ ิงจะต้องให้ศอกขา้ งนี้เปน็ อสิ ระจากเครือ่ งรองหนนุ

จุดสัมผัสพานท้าย หลักการกำหนดจุดสัมผัสพานท้ายน้ันจะไม่ตายตัว แต่มีหลักสำคัญอยู่
2 ประการคือ จุดสัมผัสพานท้ายจะเอือ้ อำนวยใหเ้ กดิ เส้นเล็งท่ีเป็นธรรมชาตจิ ากนยั นต์ า ผา่ นก่ึงกลางรูศนู ย์หลังไปยัง
ศูนยห์ น้า และไปยังเป้าหมาย ส่วนคอของผู้ยงิ จะต้องไม่เกร็ง และอยู่ในท่าสบาย พอท่ีจะใหแ้ กม้ ของผ้ยู ิงไดส้ ัมผัสกับ
พานท้ายในขณะท่ีทหารทำการฝึกยิงแห้งนั้น ทหารจะต้องฝึกทำท่ายิงจนกระท่ังตนเองสามารถกำหนดจุดสัมผัสพาน
ท้ายในทุกท่ายิง ซ่ึงจะทำให้เกิดความเสมอต้นเสมอปลายและนั้นคือจุดสัมผัสพานท้ายที่ถูกต้องและเหมาะสมกับ
ทหารคนนั้น ระยะห่างระหว่างนยั น์ตากบั ศูนย์หลงั ที่เหมาะสมและถูกต้องจะเกิดขึ้นจากจุดสัมผัสพานท้ายท่ีเหมาะสม
และถูกต้องเช่นกัน แต่ระยะระหว่างนัยน์ตากับศูนย์หลังอาจเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเมื่อทหารเปลี่ยนแปลงท่ายิง
อย่างไรก็ตามทหารควรจะเริ่มต้นจากการวางจุดสัมผัสไปยังปลายจมูกอยู่ใกล้กับคันรั้งโครงนำลูกเล่ือนและค่อย
ปรับเปลยี่ นจนกว่าจะพบตำแหน่งทีเ่ หมาะสมสำหรับตนเอง

เครื่องหนุนรอง ถ้าหากทหารใช้เครื่องหนุนรอง (กระสอบทราย, ท่อนไม้, ขอนไม้) ก็ควรใช้ให้เกิด
ประโยชน์ในการเพ่ิมความมั่นคงให้กับท่ายิงและปืน แต่ถ้าหากไม่มีเคร่ืองหนุนรองดังกล่าวแล้ว ทหารต้องใช้โครง
กระดกู ของร่างกาย (ไม่ใชก้ ลา้ มเนอ้ื ) ในทอ่ นบนเป็นเครือ่ งรองรับปนื

การผ่อนคลายกล้ามเน้ือ เม่ือใช้เครื่องหนุนรองอย่างถูกต้องแล้ว ทหารจะได้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
ของตนเองไดม้ าก การใช้เครือ่ งหนุนรองหรือใช้โครงกระดูกของร่างกายมนุษย์ท่อนบนเพ่ือรองรับปืน จะทำให้ทหารได้
มกี ารผ่อนคลายและวางรากฐานทา่ ยงิ ถ้าหากทหารพยายามใช้ส่วนที่เปน็ กล้ามเนื้อรองรบั น้ำหนักของปืนแล้ว ก็จะทำ
ใหเ้ กิดอาการเกรง็ และปนื จะเคล่ือนไหวไป-มา

จุดเล็งตามธรรมชาติ เม่ือทหารได้ทำท่ายิงในตอนเร่ิมทหารจะต้องวางทิศทางของปืนให้มุ่งไปสู่
เป้าหมายอย่างคร่าว ๆ จากน้ันให้ทหารขยับร่างกายเพ่ือจะนำปืนและเส้นเล็งเขา้ สู่แนวเป้าหมายหรอื จุดเลง็ ที่ต้องการ
เมื่อใช้เคร่ืองหนุนรองและสัมผัสพานท้ายที่ถูกต้องเหมาะสมทหารจะได้แนวเส้นระหว่างปืนแล้วแนวเส้นเล็งเป็น
ธรรมชาติท่ีเหมาะสมไปยังเป้าหมาย เม่ือทหารได้จุดเล็งตามธรรมชาตินี้แล้วจะไม่มีความรู้สึกว่าต้องออกแรงฝืนหรือ
บังคบั ใหศ้ ูนยห์ น้าอย่คู งที่

ถ้าหากทหารไม่ได้อยู่ในจุดเล็งตามธรรมชาติแล้ว ทำการยิงปืนออกไป ทหารอาจไม่รู้สึกอะไรมากใน
นัดแรก แต่ในนัดต่อๆ ไปกล้ามเน้ือของเขาจะรู้สึกว่าฝืน ดังน้ันกล้ามพยายามจะผ่อนคลาย น่ันคือ ไม่สามารถคง
ตำแหน่งของศนู ยห์ น้าเอาไวไ้ ด้

เม่ือทหารต้องทำการยิงต่อเป้าหลายๆ เป้า (หรือทหารได้รับมอบเขตการยิงเป็นพ้ืนท่ี) ทหารจะต้อง
จัดวางตัวให้อยู่ตำแหน่งจุดเล็งตามธรรมชาติน้ี โดยประมาณว่าอยู่ในย่างการของเขตรับผิดชอบ หรือย่านกลางของ
พน้ื ทเ่ี ป้าหมาย

- 94 -

การเลง็ การเพง่ มองศนู ยห์ น้านั้นเป็นสิง่ สำคญั ยง่ิ ท่ีทหารจะต้องได้รบั การฝกึ ฝนให้สามารถปฏบิ ตั ิได้
นอกเหนือไปจากการเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะถือปืนได้อย่างมั่นคงในการยิงแต่ละนัด ทหารจะต้องดำรงทิศทางของ
แนวปืนกับเส้นเล็งเอาไว้ และ ทหารผ้ทู ี่ทำการยิงเท่าน้ันท่ีจะรู้ว่าตาของเขาเพ่งมองอยู่ ณ จุด ใด ครูฝึก/ผฝู้ ึก จะต้อง
เน้นจุดโดยฝึกใหท้ หารหัดเพ่งมองไปยังเป้าหมาย แล้วเปลย่ี นจุดเพง่ มองกลบั มายังศนู ย์หน้า

การจัดศูนย์พอดี การจัดให้ ปลย.มีแนวเส้นเล็งตรงไปยังเป้าหมายน้ันเป็นสิ่งสำคัญอย่างย่ิง ซึ่ง
ประกอบดว้ ย การจดั ภาพของยอดปลายศูนย์หนา้ ให้อยู่ในตำแหนง่ ก่ึงกลางของช่องศูนยห์ ลังการจดั ศูนย์ทีค่ ลาดเคลอื่ น
ระหว่างแนวศูนย์หน้าและศูนย์หลังนั้นจะทบทวีความคลาดเคลื่อนขึ้นในทุกระยะ 1/2 เมตร ที่กระสุนวิ่งไปในอากาศ
ตัวอย่าง เช่น ในระยะ 25 เมตร นั้นความคลาดเคลื่อนของแนวศูนย์จะทวีขึ้น 50 เท่า ถ้าศูนย์พอดีมีความ
คลาดเคลอื่ น 1/10 นวิ้ จะมผี ลทำใหก้ ารยงิ ในระยะ 300 เมตร กระสนุ พลาดเปา้ เป็นระยะ 5 ฟุต

รปู ท่ี 6.2 การจัดศูนยพ์ อดี

การเพ่งมองของนยั น์ตา การจดั ท่ายิงที่ถูกต้องจะทำให้นยั น์ตาของผยู้ ิงอย่ใู นแนวเสน้ ตรงเดยี วกันกับ
ก่ึงกลางของช่องศูนย์หลัง เมื่อตาของผู้ยิงเพ่งมองท่ีศูนย์หน้าแล้ว ความสามารถตามธรรมชาติของนัยน์ตาจะค้นหา
จุดศูนย์กลางของวงกลมของรูศูนย์หลังได้โดยวิธีค้นหาจุดที่ทำให้เกิดภาพการเล็งท่ีมีแสงสว่างมากที่สุด (ก่ึงกลางของ
ช่องศูนย์หลัง) แสงสว่างจะมีมากท่ีสุดก็ต่อเมื่อ ปลายศูนย์หน้าได้อยู่ ณ จุด กึ่งกลางของวงกลม รูศูนย์หลังพอดี
วธิ ีการค้นหาวิธนี ้สี ามารถนำไปใช้ไดใ้ นการยงิ ปลย. ทำนองรบ ดว้ ยเหตุน้ผี ู้ยิงจะสามารถจัดให้ยอดของปลายศนู ย์หน้า
วางอยู่ในตำแหน่งของเป้าหมายตามต้องการ แต่มีข้อแม้ว่าผู้ยิงจะต้องเพ่งมองที่ปลายศูนย์หน้าโดยใช้สมาธิ เมื่อทำ
เช่นนี้แล้ว ภาพท่ีเกดิ ชัดเจนจะมีเพียงปลายศนู ย์หน้าเท่าน้ัน แต่ภาพของเป้าหมายจะไม่ชดั เจนเท่าศูนยห์ น้า เหตุผล
2 ประการ สำหรับการเพง่ มองทีย่ อดของปลายศูนยห์ น้านั้นกค็ ือ

- 95 -

- ความคลาดเคลื่อนในการเล็งจะเกิดเพียงเล็กน้อยเท่าน้ัน เมื่อทหารหรือผู้ยิงเล็งไม่ถูกก่ึงกลางเป้า
อย่างแท้จริง แต่ความคลาดเคลื่อนในการเล็งจะเกิดขึ้นอย่างมากมายถ้าทหารหรือผู้ยิงน้ันมองเห็นศูนย์หน้าไม่ชัดเจน
เพราะไปเพ่งมองที่เปา้ หมายหรอื วัตถอุ น่ื

- การเพ่งมองท่ียอดของปลายศูนย์หน้าจะช่วยให้ทหารหรือผู้ยิงหรือทหารสามารถดำรงภาพการจัด
ศูนยพ์ อดีไว้ได้

การจัดภาพการเล็งศูนย์น่ังแท่น ถ้าหากทหารสามารถจัดภาพศูนย์พอดีได้แล้ว ก็ย่อมสามารถจัด
ภาพการเล็งศูนย์น่ังแท่น (หรือศูนย์พอดีประกอบกับเป้าหมาย) ได้ภาพการเล็งศูนย์นั่งแท่นนั้นจะเกิดจาก เป้าหมาย
ศูนย์หน้า และศูนย์หลังอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันสรุปได้ว่า ภาพการเล็งศูนย์นั่งแท่นจะประกอบด้วย 2 ปัจจัย คือ
ภาพศูนย์พอดี และการวางศนู ยไ์ ปยังจุดเล็งท่ีเปา้ หมาย

กางวางตำแหน่งของศูนย์ไปยังจุดเล็งที่เป้าหมายน้ันจะแปรเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับระยะที่ทำการยิง
ตัวอย่างเช่น รูป แสดงให้เห็นเป้ารูปหุ่นคนในระยะ 250 เมตร จุดเล็งน้ันอยู่ท่ีก่ึงกลางของเป้าหมาย ภาพการจัดศูนย์
พอดีถกู ตอ้ ง สรุปแลว้ นน้ั คือ การจัดภาพการเลง็ ศนู ย์นัง่ แท่น (ทีก่ งึ่ กลางเป้า)

รปู ที่ 6.3 กางวางตำแหน่งของศนู ยไ์ ปยังจดุ เลง็ ท่ีเป้าหมาย
เทคนิคในการจัดภาพศูนย์นั่งแท่นที่ดี ก็คือการใช้วิธีเล็งด้านข้างมองเป้าหมาย ซ่ึงกระโดยการวาง
ศูนย์หน้าไปยังด้านข้างของเป้าหมายในแนวระดับเดียวกับก่ึงกลางเป้า รักษาภาพศูนย์พอดีไว้ จากนั้นให้เล่ือนศูนย์
พอดีมาทางขา้ งจนกระท่งั ก่งึ กลางของเป้านั้นอยู่ทีย่ อดของปลายศนู ยห์ น้า

- 96 -

รูปท่ี 6.4 เทคนคิ ในการจดั ภาพศูนย์นงั่ แท่น

ศูนย์หนา้ นั้นมคี วามสำคัญอย่างยง่ิ ต่อการยิงปืนที่ถูกต้องตามหลักการและถา้ หากศูนย์เกดิ การชำรุด
เสียหาย จะต้องทำการเปลี่ยนเพื่ออยู่สภาพดี นอกจากนี้แล้วศูนย์หน้าจะต้องไม่สะท้อนแสง มีวิธีการทำให้ศูนย์หน้า
เปน็ เช่นนั้นได้โดยการใชต้ ะเกียงลมควัน หรือเขม่าของการเผาไหม้ของไข หากเมอ่ื ใดศูนย์หน้าเกดิ การสะทอ้ นแสงแล้ว
จะทำใหผ้ ยู้ ิงไม่สามารถเพง่ มองศนู ย์หน้าได้อย่างชดั เจน

การฝึกการเล็ง การฝึกการเล็งนั้นจะต้องปฏิบัติก่อนการยิงปืนด้วยกระสุนจริงและสำหรับการยิงปืน
ในเวลากลางวัน ทหารจะต้องได้รับการฝึกให้สามรถจัดศูนย์พอดีได้และวางภาพศูนย์พ อดีนั้นลงไปท่ีจุดเล็ง ณ
เป้าหมาย การฝึกน้ีจะกระทำได้โดยใช้เครื่องช่วยฝึกต่างๆ เช่น แผ่นบัตรภาพฝึกการเล็ง และเคร่ืองมือฝึกจัดภาพการ
เล็ง

การควบคุมการหายใจ เม่ือทหารได้รับการฝกึ ฝนจนเกิดทกั ษะเพ่ิมขึ้นแลว้ การฝกึ ในชั้นสูงขึ้นต่อไป
คอื การยิงต่อเน่ืองในจังหวะต่างๆ หรือการยิงเป้าหมายท่ีเกิดข้ึนหลายๆ เป้าทหารต้องได้รบั การฝึกให้สามารถกลั้นลม
หายใจได้ในทุกจังหวะของวงรอบการหายใจวิธีการควบคุมการหายใจ 2 วิธี จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นการฝึกที่ต้อง
กระทำในระหว่างการฝกึ ยงิ แห้ง

วิธีแรก เป็นการฝึกกล้ันลมหายที่ใช้ในขณะการยิงปรับศูนย์(ซ่ึงมีเวลามากเพียงพอท่ีจะทำการยิงแต่
ละนัด) แสดงให้เห็นถึงจังหวะการหายใจปกติ ซ่ึงทหารสามารถกลั้นลมหายใจในช่วงเวลาที่ลมหายใจออกจากปอด
เกือบจะหมดและกอ่ นสูดลมหายใจเข้าไปใหม่ ทหารจะต้องทำการยิงใหไ้ ด้กอ่ นท่ีจะร้สู กึ ว่าอดึ อัด ไมส่ บาย

วิธีท่ีสอง เป็นการฝึกกลั้นลมหายใจท่ีใช้ในเมื่อทหารต้องทำการยิงในจังหวะเร็ว(เป้าหมายเกิดข้ึนใน
ช่วงเวลาสนั้ ๆ ซึ่งทหารจะต้องกลั้นลมหายใจไดใ้ นทกุ ขณะทตี่ ้องการลัน่ ไก

- 97 -

ก.การควบคมุ ลมหายใจขณะยิงปรบั ศนู ย์

ข.การควบคุมลมหายใจขณะยิงหลายเปา้ หมาย หรือเวลา

การเหน่ียวไกในลกั ษณะบีบไก ทหารใหม่ที่ฝึกหัดการยิงปืนได้รับการฝึกให้สามารถจัดท่ายิงที่มั่นคง
และจัดภาพการยิงเล็งที่ต้องตามหลักการแล้ว ก็ยังอาจยิงพลาดเป้าหมายได้ถ้าหากทหารคนน้ันใช้การเหน่ียวไกไม่ถูก
วิธี เพราะถ้าหากการเหน่ียวไกเป็นลักษณะการกระชากแล้วจะทำให้แนวปืนท่ีจัดไว้ต้องเสียไปภายจังหวะที่ล่ันไก
นน้ั เอง

อาการเคล่อื นไหวของปืน การเหน่ยี วไกในลักษณะบีบการไกนัน้ มีความสำคัญ 2 ประการ คอื
ประการแรก อาการเคล่ือนไหวของนิว้ มอื ทเี่ หน่ียวไกนั้น หากรวดเร็วเกนิ ไปก็จะมผี ลทำให้ปนื เคล่ือน
ออกจากแนวเดมิ ทจ่ี ดั ไว้ ซง่ึ เปน็ สาเหตขุ องการพลาดเป้าหมาย
ประการท่สี อง ในช่วงจงั วะล่นั ไกนั้นอาจทำใหท้ หารเกิดอาการผงะ
อาการสะดุง้ หรือผงะท่ีเกิดขน้ึ กับทหารเม่ือได้ยนิ เสียงปืนและอาการกระตุกเพ่อื อกจากหัวไหล่รับแรง
สะท้อนถอยหลังของปืนก่อนท่ีปืนจะลั่นกระสุนออกไปน้ัน จะทำให้ทหารคนนั้นยิงพลาดเป้าอาการดังกล่าวน้ันล้วน
แล้วแต่เกิดจากสัญชาตญาณของทหารซ่ึงจะตอ้ งใช้เวลาฝึกฝนเพ่ือแก้ไขมิให้เกิดขน้ึ และการที่ครูฝึกจะค้นพบว่าทหาร
มีอาการดังกล่าวหรือไม่น้ันครูฝึกจะสังเกตได้จากการบรรจุกระสุนหัดบรร จุเข้ารังเพลิงโดยมิให้ทหารหรือผู้ท่ีกระทำ
การยงิ นั้นรูล้ ่วงหนา้

- 98 -

การเหนย่ี วไก
นิ้วที่ใช้เหน่ียวไก (โดยมากเป็นน้ิวช้ี) จะถูกวางลงบนไกปืนประมาณข้อนิ้วข้อที่หนึ่ง (แต่ไม่ใช่ปลาย
น้ิว) ซึ่งทหารจะต้องพิจารณาความสมกับขนาดของมือตนเอง อาจปรับได้เล็กน้อยและต้องพิจารณาถึงขนาดของด้าม
ปืน หรือส่วนประกอบอื่นๆ ด้วยการเหนี่ยวไกของนิ้วท่ีจะต้องไปในลักษณะการค่อยๆเพิ่มแรงที่ละน้อยเช่นเดียวกับ
การบีบ และต้องไม่ส่งผลให้เกิดการเคล่ือนไหวของแนวปืนในขณะที่ปืนฟาดไปข้างหน้าเมื่อทำการยิงด้วยกระสุนจริง
นั้น ครูฝึกไม่อาจท่ีจะตรวจสอบได้ว่าทหารได้ใช้วิธีการเหนี่ยวไกถูกต้องหรือไม่ ดังน้ัน การฝึกฝนการลั่นไกและการ
ปรบั ตำแหน่งการวางนิว้ จะต้องทำในระหว่างการฝึกยงิ แหง้
เม่ือทหารได้ฝึกฝนจนมีทักษะเพิ่มขึ้นแล้วก็จะใช้เวลาในการเหน่ียวไกน้อยลง ทหารท่ีเพ่ิงเร่ิมฝึกยิง
นั้น อาจใช้เวลาการเหน่ียวถึง 5 วินาที เพ่ือให้การออกแรงเหนี่ยวไกเป็นไปอย่างน่ิมนวล แต่เม่ือได้ฝึกฝนจนถึงระดับ
หนึ่งทหารอาจใช้เวลาเพียง 1 วินาทีหรือน้อยกว่า การเหนี่ยวไกท่ีถูกวิธีจะต้องเริ่มออกแรงแต่น้อยขณะเร่ิมจัดภาพ
การเล็งแล้วค่อยๆ เพิ่มแรงขึ้นโดยระมัดระวังมิให้ศูนย์เคลื่อนออกจากตำแหน่งภาพการเล็ง ท้ังน้ีทหารจะต้องกลั้นลม
หายใจไวด้ ว้ ย
ในระหว่างการฝึกนั้น ให้ครูฝึกหม่ันสังเกตดูการเหน่ียวไกปืน เน้นถึงวิธีการและข้ันตอนท่ีถูกต้องและ
ตรวจสอบการออกแรงเหน่ียวไกของทหาร ครูฝึกอาจใช้นิ้วของตนเองวางท่ีไกปืน แล้วให้ทหารฝึกเหนี่ยวไกโดย
เหนี่ยวลงบนนิ้วมือของครูฝึกนั้น ครฝู ึก/ผู้ฝึกตอ้ งม่ันใจว่าทหารเหน่ียวไกปืนโดยใช้การเหน่ยี วมาทางดา้ นหลงั จริงๆให้
หลีกเลี่ยงการแรงออกเหน่ียวมาทางด้านซ้ายหรือขวา ซ่ึงทำให้เกิดอาการบิดออกจากทิศทางท่ีถูกต้อง และท่ายิงท่ี
มน่ั คงนั้นจะช่วยลดอาการเคลอ่ื นไหวของปนื ในระหวา่ งการเหนี่ยวไก
จากท่ายงิ ทไ่ี ม่มีเคร่ืองหนนุ รอง ทหารจะพบว่าปืนมีอาการเคลื่อนไหวมากกว่าในท่ายิงที่มเี คร่ืองหนุน
รอง อาการเคล่ือนไหวน้ีสังเกตได้จากภาพการเล็งที่มีศูนย์หน้าเคลื่อนท่ีไปมารอบๆ จุดเล็งที่เป้าหมาย เม่ือทหารได้
ทำท่ายิงที่เหมาะที่สุดแล้ว ถ้าศูนย์หน้าไม่สามารถเกาะอยู่ ณ จุดเล็งได้หรือ เฉออกไปจากเป้าหมาย ให้ทหารระงับ
การเหน่ียวไกไว้ตรงน้ันจนกว่าจะสามารถจัดภาพการเล็งที่ถูกต้องได้ ท่ายิงท่ีเหมาะสมน้ันจะต้องทำให้ลดอาการ
เคลื่อนไหวของปนื ใหเ้ หลอื น้อยท่ีสุด
สำหรับ ท่ายิงท่ีใช้เคร่ืองหนุ นรองนั้ นจะมีอาการเคลื่อนไห วของปืน ได้น้ อยท่ีสุดอยู่แล้วแต่ถ้าการ
เคล่ือนไหวของปืนเกิดข้ึนกับทหารคนใดจนกระท่ังทำให้ศูนย์หน้าเคลื่อนไปจากจุดเล็งทีเป้าหมายแล้ว ครูฝึกต้อง
พิจารณาการฝึกเพิ่มเติมให้กับทหารคนนั้นเป็นพิเศษ ทหารไม่ควรจะรีบร้อนเหนี่ยวไก เพราะเห็นว่าในขณะนั้นศูนย์
ของปืนอยูท่ ่ีจัดเล็ง ณ เปา้ หมายการเหน่ียวไกท่ีถูกต้องนั้น คือ การออกแรงอยา่ งต่อเน่ืองและคอ่ ยๆ เพม่ิ แรงทลี ะนอ้ ย
ในการใชน้ ้ิวเหนย่ี วไก ซึ่งจะไมท่ ำให้เกดิ อาการกระตกุ หรือกระชากให้ปืนเคลอื่ นออกจากแนวเสน้ เลง็ ครูฝึกควรเน้นให้
ทหารเข้าใจวา่ การเหนย่ี วไกไมใ่ ช้การเหนีย่ วตวั ปืน

- 99 -

การยงิ จัดกลมุ่ กระสนุ
การยิงจัดกลุ่มกระสุนมีความหมาย 2 ประการ คือ เพ่ือให้ทหารยิงปืนได้กลุ่มกระสุนท่ีเล็กและแน่น
และสามารถทำกลุ่มกระสุนนั้นได้ในตำแหน่งเดียวกัน การยิงจัดกลุ่มกระสุนน้ีควรทำการฝึกหลังจากการฝึกยิงแห้ง
และกอ่ นทำการยิงปรบั ศูนย์ การยงิ ปืนด้วยกระสุนจริงในคร้ังแรกๆนั้น จะต้องเป็นการยิงจดั กลุม่ กระสุน เพ่อื ความมุ่ง
หมายในการฝึกและปรับปรุงหลักพื้นฐานการยิงปืน และการฝึกยิงจัดกลุ่มกระสุนนี้ จะไม่ให้ทหารใช้การปรับศูนย์
หลายคร้ังเพียงแต่ได้กลุ่มกระสุนท่ีตรวจการณ์ได้ก็พอแล้ว เพราะในขั้นต้นนี้ยังไม่ต้องการการยิงให้กระสุนเข้าก่ึงกลาง
เปา้ หมาย และการยงิ จดั กล่มุ กระสนุ นีอ้ าจทำการฝกึ ยงิ ในระยะ 25 เมตร หรอื สนามยิงปนื ทราบระยะกไ็ ด้
แนวปฏบิ ตั ใิ นการยงิ ปรบั ศูนย์
วัตถุประสงค์ในการปรับศูนย์รบนั้น ก็เพ่ือจัดระบบควบคุมการยิง (ศูนย์ปืน) ให้อยู่ในแนวทิศทาง
เดียวกับแกนลำกล้องปืน โดยพิจารณาถึงเร่ืองกระสุนวิถีด้วยเม่ือปรับศูนย์รบเสร็จเรียบร้อยแล้ว แนวศูนย์ปืน เส้น
เล็งและตำบลกระสุนกระทบเป้าหมาย จะเป็นแนวเดียวกันในระยะปรับศูนย์รบแบบมาตรฐาน เช่น ระยะ250 (300)
เมตร

- 100 -

รูปที่ 6.6 กระสุนวิถีและการปรับศูนย์รบ
เปา้ หมายทีจ่ ะถกู ทำการยิงในสนามรบน้ันโดยมากจะอยูใ่ นระยะตงั้ แต่ 0 ถึง 300 เมตร ดงั นนั้ ศูนยร์ บ
ท่ถี กู ปรบั ไว้ในระยะ 250 เมตร จงึ เป็นการปรบั ทยี่ งั ตอ้ งคงไวท้ ่ี ปลย.กระบอกนั้นในระยะ 25 เมตร กระสุนวถิ ีจะอยตู่ ่ำ
กว่าแนวเส้นสายตาประมาณ 1 นิ้ว ว่ิงข้ึนตัดกับแนวเส้นสายตาที่ระยะ 42 เมตร จากนั้นจะข้ึนสู่ยอดกระสุนวิถีข้ึนอยู่
เหนือแนวเส้นสายตาประมาณ 5 นิ้ว ในระยะประมาณ 75 เมตร แล้วว่ิงตัดกับแนวเส้นสายตาอีกครั้งท่ีระยะ 250
เมตร และจะอยู่ต่ำกว่าแนวเส้นสายตาประมาณ 7 นิ้วท่ีระยะ 300 เมตรดังนั้นเป้าหมายในการรบจึงถูกยิงอย่างได้ผล
ถึงระยะ 300 เมตร โดยท่ียงั ไม่ต้องปรับเปล่ียนตำบลเล็งเลย (ถา้ ต้องการยิงให้ไดผ้ ลมากข้ึนอีกก็ควรใช้การปรับเปลี่ยน
ตำบลเล็งเล็กน้อย)

ศนู ย์มาตรฐานของ ปลย. เอ็ม.16 เอ.2 และการปรบั ศนู ย์

เม่ือทหารมีขีดความสามารถในการยิงปืนได้กลุ่มกระสุน 3 นัด ในขนาดกว้างไม่เกิน 1 ซม. ในระยะ
25 เมตร โดยไม่ต้องคำนึงว่ากลมุ่ กระสนุ จะอยู่ ณ ทใ่ี ด ทหารคนน้นั มีความพรอ้ มในการยงิ ปนื เพอื่ ปรบั ศนู ยไ์ ด้

- 101 -

ขอ้ มูลเก่ยี วกับศูนย์หลงั และศนู ยห์ น้า

ศนู ย์หลัง ศูนย์หลังประกอบดว้ ยศูนย์รู 2 ระยะ ควงปรบั ทางทศิ และจานปรบั ทางระยะ

รูปท่ี 6.7 ศนู ยห์ ลังของ ปลย.เอม็ 16 เอ 2
เม่ือใช้จานปรับทางระยะแล้ว ต่อไปการปรับทางสูงต่ำก็จะกระทำโดยการปรับศูนย์หน้าข้ึนหรือลง
เพ่ือให้ขน้ั ตอนของการยิงปรับศนู ย์ไดเ้ สรจ็ สมบูรณ์ ส่วนการปรบั ทางทศิ นัน้ ให้ใชก้ ารหมุนป่มุ ปรบั ทางทิศ
จดุ เร่ิมตน้ ของการใช้ควงปรบั ทางทิศนัน้ คือ จุดท่ีเครอื่ งหมาย 0 - 2 บนศนู ยไ์ ดต้ รงกบั เครือ่ งหมาย
ดรรชนบี นฐานศนู ยห์ ลงั ( รูป 6 – 8 )

- 102 -

รปู 6-8 จดุ เริ่มต้นในการปรับศนู ยห์ ลัง
ศนู ย์หน้า การปรบั ศนู ยห์ น้าของ ปลย. เอม็ .16 เอ.2 นัน้ คงปฏบิ ัติเชน่ เดยี วกบั การปรับศูนย์หนา้
ของ ปลย. เอ็ม.16 เอ.1 ศนู ย์หนา้ ของแบบ เอ .2 มลี กั ษณะเป็นแท่งสเี่ หลี่ยมเล็กๆ หมนุ ได้ 4 ตำแหน่ง มสี ปริงบังคับ
ไว้ ( รูป 6 – 9 ) การปรับกระทำได้โดยใช้เคร่ืองมือปลายแหลมหรือปลายของหวั กระสนุ กดลงไปตรงสลักบังคบั แล้ว
ออกแรงหมุนแท่นศูนยห์ น้าไปตามทิศทางทตี่ ้องการ ( รูป 6 – 10 )

- 103 -

การปรับศูนยข์ น้ั ตน้ สำหรับการยิงปนื ในสนามทราบระยะ (ปลย.เอม็ .16 เอ.2)
เมื่อทำการยิงปรับศูนย์ปืนในสนามยิงปืนทราบระยะหรือสนามยิงปืนแบบดัดแปลงโดยการใช้เป้า
แสดงผลในระยะ 300 เมตรน้ัน ทหารจะต้องจัดศูนย์ในขั้นต้นก่อน กล่าวคือ จัดศูนย์หน้าให้ฐานเสมอกับแท่นรองรับ,
จัดใหก้ ่ึงกลางของศนู ยห์ ลงั 0 - 2 อยู่ตรงกลางของโครงศูนย์หลัง, จัดปุ่มปรบั ศูนย์หลังให้อยทู่ ่ีเคร่ืองหมาย 8/3 ในการ
เล็งต่อเป้ารูปห่นุ ในระยะ 300 เมตร ใหใ้ ช้การเล็งกึ่งกลางเป้าหมาย ในขณะทำการยิงปรับศนู ย์นัน้ ใหท้ หารใชก้ ารปรับ
ทางระยะสูงต่ำท่ีศูนย์หน้าเท่านั้น เพราะหากมีการสับเปล่ียน ปลย. กันจะทำให้การปรับศูนย์กระทำได้ง่ายข้ึนไม่
เสยี เวลามากนกั

รูป 6-11 การปรบั ศูนย์
ด้วยศูนย์หลังที่ได้รับการจัดในลักษณะดังกล่าว ประกอบกับการใช้หลักพื้นฐานของการยิงปืน, ให้ทหารทำการเล็งท่ี
กึ่งกลางเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ตามรูป 6-12 จากนั้นให้ทหารใช้กระสุน 2 ชุด ๆ ละ 3 นัด ยิงไปท่ีเป้าเพื่อทำกลุ่ม
กระสุน 2 กลมุ่ ตามรูป 6-13

- 104 -

รปู 6-12 การเล็งที่ก่ึงกลางเปา้ หมาย
จากกลุ่มกระสุมในรูป 6-13 และข้อมูลบนแผ่นเป้า ให้ทหารคำนวณหาตำแหน่งคลิ๊ก เพื่อการปรับ
ศูนยต์ ามทแ่ี สดงในรูป 6-14 เพ่ือยา้ ยกลุ่มกระสุนมาทางดา้ นลา่ งซา้ ย
เมื่อปรับศูนย์แล้วให้ทหารยิงอีก 2 ชุด ๆ ละ 3 นัด เพ่ือความมั่นใจว่ากลุ่มกระสุนจะได้ถูกย้าย
ตำแหนง่ ลงมาตามความตอ้ งการ (รปู 6-15)
การบันทกึ ข้อมลู การปรับศนู ย์ ปลย.เอ็ม.16 เอ.2
วิธีการบันทึกข้อมูลการปรับศูนย์สำหรับ ปลย.เอ็ม.16 เอ.2 คงเป็นเช่นเดียวกับ ปลย.เอ็ม.16 เอ.1
การดำเนนิ การฝึกในระยะ 25 เมตร ก็คงเปน็ ลักษณะเดยี วกนั จะแตกตา่ งกันเฉพาะการใชเ้ ป้าปรบั ศูนย์ปนื (ปลย.เอม็ .
16 เอ.2) ระยะ 300 เมตรเทา่ นัน้

- 105 -

การยิงปืนในสนามทราบระยะโดยใชเ้ ปา้ แสดงผล
การฝึกยิงปืนโดยใช้เป้าแสดงผลนี้ จะให้ข้อมูลเก่ียวกับสิ่งต่างๆที่เกิดข้ึนบนแผ่นเป้าในระยะที่ทำการ
ยงิ จากระยะ 25 เมตร จนถึงสนามทราบระยะ การท่ีทหารได้มีโอกาสรู้ถึงตำแหน่งท่ีแท้จริงของกระสนุ บนแผ่นเป้าใน
ระยะท่ีทำการยิงน้ัน จะทำให้ทหารทย่ี ิงปนื ไม่ไดผ้ ลดีสามารถแก้ไขปรับปรุงการยิงของตนได้ (โดยการช่วยเหลอื ของครู
ฝึก/ผู้ฝึก) และทหารที่ยิงปืนได้ผลดีก็จะพัฒนาทักษะของตนได้ดีย่ิงขึ้น คือ สามารถทำกลุ่มกระสุนท่ีกลางเป้าได้ การ
ฝกึ ยิงปืนในขนั้ น้ีเป็นข้นั ตอนทต่ี อ้ งกระทำกอ่ นท่ีจะเข้าไปฝึกยิงเปา้ หนุ่ อัตโนมตั ิ

รูป 6-13 กลุ่มกระสุนจากการยงิ เร่ิมแรก

- 106 -

รูป 6-14 การปรบั ศูนย์
รปู 6-15 กลุ่มกระสุนจากการยงิ คร้งั สุดทา้ ย

- 107 -

การดำเนนิ การฝกึ
แผ่นกระดาษเป้าท่ีใช้ในการฝึก คือ เป้าระยะ 75 เมตร, 175 เมตร และ 300 เมตร โดยจะทำการยิง
จดั กลุ่มกระสุนไปตามลำดับจากระยะ 75 เมตร, 175 เมตร และ 300 เมตร ท่ายิงท่ีใช้ในการฝึกน้ัน มีเพียง 2 ท่า คือ
ท่ายืนยิงจากหลุมบุคคลมีเครื่องหนุนรอง และท่านอนยิงไม่ใช้เคร่ืองหนุนรอง ครูฝึกแบ่งกระสุนสำหรับการยิง 2 ท่า
ออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน หลังจากที่ทหารทำการยิงแต่ละชุด (3 นัด) ให้ทหารไปตรวจดูกลุ่มกระสุนพร้อมกับรับฟัง
คำวิจารณแ์ ละแนะนำการแก้ไขปัญหาจากครูฝึก แล้วทำการปรับศูนย์หรือปรับตำบลเล็งตามความจำเป็น สนามยิงปืน
ที่ใช้ในการฝกึ น้สี ามารถใช้การดัดแปลงจากสนามยิงปนื ทราบระยะหรือสนามยิงปนื อนื่ ๆ ท่ีมีระยะถึง 300 เมตร
การฝึกยิงปืนดว้ ยเป้าแสดงผล จะใช้เวลา, กระสุน และสนามยิงปืนอย่างจำกัดภายในขอบเขต ถ้าใช้
จำนวนกระสุน 30 นัดต่อทหาร 1 คน ควรใช้การยิง 10 ครั้ง ๆ ละ 3 นัด จะเหมาะกว่าการใช้กระสุนครั้งละ 5 นัด 6
คร้ัง เม่ือทหารได้เรียนรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการปรับตำบลเล็ง เพ่ือชดเชยแรงลมและแรงดึงดูดของโลกแล้ว ก็จะ
พร้อมสำหรับการฝึกในขน้ั ตอ่ ไปคอื การฝึกยิงเป้าหุน่ อัตโนมัตใิ นสนามทราบระยะ
เพอื่ ความมนั่ ใจในศูนย์ปนื ที่ได้รับการปรับมาน้ัน, ทหารจะต้องอยู่ในแนวยิง และใช้กระสุนอีก 1 ซอง
(6 ถึง 10 นัด) ทำการยิงเพื่อจัดกลุ่มกระสุนในระยะ 175 หรือ 300 เมตร ด้วยเป้าแสดงผล 2 หรือ 3 ชุด ตามแต่
จำนวนกระสนุ ที่มี หลงั จากนั้น ให้ทหารไปตรวจจุดทแ่ี นวเป้า เพื่อดูกลุม่ กระสุนและทำการปรบั ศูนย์หรือตำบลเลง็ ตาม
คำแนะนำของครูฝึก แล้วทำการซ่อมเป้าโดยใชแ้ ผ่นกระดาษปิดเป้า (สีดำปิดบริเวณท่ีเป็นสดี ำ, สีขาวปิดบรเิ วณที่เป็น
สีขาว) แล้วกลบั ไปที่แนวยงิ
การยิงที่ระยะ 75 เมตร สามารถตรวจดูผลการยิงได้ภายหลังการยิงทุก 1 นัด 3 นัด หรือทุก 5 นัด
บนเปา้ แสดงผลในระยะ 75 เมตร ทหารใช้ท่ายงิ ที่มีครื่องหนุนรอง และท่านอนยงิ ไมม่ ีเครอื่ งหนุนรอง เม่อื ทำการยิงจบ
ในแต่ละชุดให้ทหารและครูฝึกไปตรวจดูผลการยิงท่ีแนวเป้า ผลการยิงจะประกอบด้วยคำวิจารณ์การยิง, การปรับ
ตำบลเล็งเพ่ือชดเชยแรงลมและแรงดึงดูดของโลก, การปิดและซ่อมแซมเป้า (รูป ช-30) บริเวณรอยกระสุนเพื่อที่จะ
สามารถมองเห็นไดใ้ นระยะไกล
การยิงท่ีระยะ 175 เมตร ทหารทำการยิงท่ีระยะ 175 เมตร โดยใช้ขั้นตอนเช่นเดียวกับการยิงที่
ระยะ 75 เมตร ใช้ท่ายงิ ทม่ี ีเครอ่ื งหนุนรอง และทา่ นอนยงิ ไมม่ เี ครอ่ื งหนุนรอง
การยิงท่ีระยะ 300 เมตร คงใช้ข้นั ตอนเช่นเดยี วกบั ที่ระยะ 75 เมตร โดยใช้ท่ายิงท่ีมีเคร่ืองหนุนรอง
และทา่ นอนยิงไมม่ ีเคร่ืองหนนุ รอง
การทำเครื่องหมายที่แผ่นเป้า ในการยิงชุดแรกน้ันเม่ือยิงจบให้ทหารใช้แผ่นปิดเป้าปิดที่รอยกระสุน
แต่ละรอย โดยใช้แผน่ สีขาวปดิ ท่ีบรเิ วณตวั ห่นุ และแผน่ สดี ำปดิ รอยกระสุนบรเิ วณนอกตัวหุ่น

- 108 -

เครื่องเล็ง
เครื่องเล็งอยู่ 2 แบบ คือ กล้องเล็งแบบ เอ็ม.3 เอ (M3 A) และศูนย์หลัก กล้องเล็งแบบ เอ็ม.3
เอ (M3 A) น้ีจะช่วยให้พลซุ่มยิงเห็นเส้นเล็งกากบาทและเป้าหมายได้อย่างชดั เจน กล้องเล็งน้ีสามารถทจี่ ะทำการถอด
ออกและใส่กลับเข้าไปใหมไ่ ด้ในเวลาเพียง 1/2 นาทีโดยไม่ทำให้ศูนย์เกิดความคาดเคล่ือนจากท่ไี ด้ปรบั ไว้อย่างไรกต็ าม
ก็ควรปล่อยให้กล้องติดอยู่กับปืน ศูนย์เหล็กนั้นใช้เพียงแต่เป็นการช่วยระบบการยิงให้กระทำได้เม่ือกล้องเล็งเกิด
ปญั หา ศูนย์เหล็กนสี้ ามารถท่จี ะทำการติดต้ังได้รวดเรว็
กล้องเล็ง แบบ เอม็ .3 เอ (M3 A)
กล้องเล็งแบบ เอ็ม.3 เอ (M3 A) เป็นกล้องท่ีใช้เลนส์ขยายที่ช่วยการเห็นของพลซุ่มยิงให้ชัดเจนใน
สถานการณ์ส่วนใหญ่ โดยทั่วๆ ไปแล้วกล้องจะให้ภาพขยายของเป้าหมาย(ข้ึนอยู่กับกำลังขยายของกล้อง) กล้องเล็งน้ี
จะช่วยให้พลยิงสามารถกำหนดเป้าหมายได้อย่างแน่นอน การเพิ่มอัตราการขยายก็จะช่วยให้การปฏิบัติต่อเป้าหมาย
สำเร็จไดแ้ นน่ อนข้นึ
ขอ้ สงั เกต จานปรับถูกฝากันฝุ่นปิดคลุมอยู่
ก. การปรบั กล้องเลง็ แบบ เอม็ .3 เอ (M3 A) พลยิงต้องทำการปรับตามข้นั ตอนดงั ต่อไปน้ี
1) การปรับความชัดเจน จานปรับความชัดเจน (รูปท่ี 2 – 18) จะอยู่ทางด้านซ้ายมือของกล้องเล็ง
จานนี้จะหมุนไปได้สุดท้ังสองทางซ่ึงจะมีเครื่องหมายกำกับไว้เป็นอนันต์ (00) และจุดใหญ่ท่ีสุด จานปรับน้ีจะทำให้
เป้าหมายเกิดความชัดเจน ถา้ เป้าหมายอยู่ใกลก้ ็จะหมุนจานไปทางจุดใหญ่
2) การปรับระยะทาง จานปรับทางระยะ (รูปท่ี 2 – 18) จะอยู่ที่ด้านบนของกล้องเล็งจานนี้จะมีขีด
แบ่งไว้ตั้งแต่ 1 – 10 แต่ละขีดเป็นการบอกระยะที่ต่างกันไป เช่น 1 = 100 เมตร, 2 = 200 เมตร หรือ 7 = 700
เมตร เป็นตน้ จานปรบั ทางระยะแตล่ ะคลิกจะมคี า่ เท่ากับมุม 1/60 ของ 1 องศา
3) การปรับทิศทางลม (ทางทิศ) จานปรับทิศทางลม (รูปที่ 2 – 18) จะอยู่ด้านขวามือของกล้องเล็ง
จานน้ีจะปรับทางด้านข้าง (ทางทิศ) ให้กับกล้อง การปรับให้จานหมุนตามไปทางไหนตำบลกระสุนตกก็จะไปทางนั้น
แตล่ ะคลิกท่จี านปรบั ทิศทางจะมีค่าเทา่ กับ .5/60 ของ 1 องศา
4) การปรับเลนส์ชอ่ งมอง เลนส์ช่องมอง (รูปที่ 2 – 19) ทำได้โดยการหมุนเข้าออกจนกว่าจะได้ภาพ
ท่ีคมชัดเจน การปรับความคมชัดเลนส์ช่องมองน้ีจะกระทำหลังการติดต้ังกล้องเข้ากับปืนแล้ว พลซุ่มยิงจะจับที่ครอบ
เลนส์ดึงกลับออกมาทางด้านหลังให้หลุดจากการยึดของแหวนยึดโดยไม่ต้องคลายแหวนยึดแต่ประการใด (ไม่ต้องใช้
เคร่ืองมือใดๆ) กระบอกเลนส์จะคลายตัวหมุนได้รอบๆโดยท่ีการต้องยืดหรือหดกระบอกเลนส์เพียง 1/8 นิ้ว ต้องทำ
การหมุนหลายๆ รอบด้วยกนั การทำเช่นน้ีทำใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อความชัดเจนของการมองเห็น พลยิง
มองผ่านกล้องไปยังที่สว่างโล่ง เช่น ท้องฟ้าหรือกำแพงว่างๆแล้วปรับให้เห็นเส้นเล็งอย่างคมชัดที่สุดแล้วจึงยึดด้วย
แหวนยึด

- 109 -

รปู ที่ 6 – 16 ปรับความชัด ทางระยะ ทางทิศ (วธิ ีการปรับ)

รูปที่ 6 – 17 การปรบั เลนส์ชอ่ งมอง
คำเตือน

1. ขนั หมุดยึดฐานกลอ้ งใหแ้ น่นเสมอเม่ือตดิ ตง้ั กลอ้ งเข้ากับปนื
การหลวมคลอนที่เกดิ ขึ้นอาจทำให้กล้องหลุดออกจากปนื ได้

ในขณะทำการยงิ และทำให้ผู้ยิงบาดเจ็บ
2. ขณะทีป่ ืนเกิดสะท้อนถอยหลงั กลอ้ งอาจกระแทกกับหน้าผยู้ ิง

เพอื่ เป็นการป้องกนั การกระแทกใหร้ กั ษาระยะหา่ งตา
กับกล้องไวป้ ระมาณ 2 – 3 นิ้ว

- 110 -

รูปที่ 6 – 18 การติดกล้อง

ข. การติดกล้อง เอ็ม.3 เอ (M3 A) กล้องมีร่องสำหรับติดตั้งอยู่สองชุด พลยิงจะเลือกชุดร่องติดต้ังท่ี
เหมาะสมกับการวางตำแหน่งตาของเขา (ตาจะอยู่หลังช่องมองของกล้อง) ซ่ึงระยะที่เหมาะสมจะอยู่ท่ีประมาณ 2 –
3 น้วิ และจะจัดให้สามารถมองได้ครอบคลุมภาพการมองได้โดยกวา้ งฐานกล้องเป็นแผ่นฐานที่มหี มุดเกลียวยึดอยู่สีตัว
ด้วยกนั แหวนรัดกล้องหนง่ึ คู่มหี มดุ เกลียวสำหรับยึดอยู่แปดตวั ลักษณะแหวนเปน็ แหวนสองซีกครอบประกับมีรูเกลยี ว
สำหรับหมุดยึด (รูปท่ี 2 – 20) แผ่นฐานมีรูและหมุดเกลียวสำหรับติดกับตัวปืนอยู่ส่ีจุด หมุดเกลียวน้ีต้องระวังไม่ให้
เจาะทะลุส่วนบนของปืนลงไปขัดขวางการทำงานของลูกเลื่อน เม่ือติดตั้งแผ่นฐานเรียบร้อยแล้วจึงทำการติดต้ังชุด
แหวนรัดกลอ้ ง

1) ก่อนติดตั้งกลอ้ งให้ทำความสะอาดทุกรหู มดุ เกลยี วและแหวน
2) ให้มั่นใจวา่ การเคลื่อนทข่ี องส่วนตดิ ต้งั ท้ังหลายมคี วามราบรน่ื ดี
3) ตรวจดูรอยแหลมคมและสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ระหว่างแหวนรัดและร่องจับยึดถ้ามีก็ให้ทำความ
สะอาดเอาออกให้เรยี บรอ้ ยเสียกอ่ น
4) ติดตง้ั กลอ้ งและชดุ แหวนรัดเขา้ กบั แผน่ ฐาน
ข้อสงั เกต เลือกชดุ ร่องสำหรับติดตงั้ ใหเ้ ปน็ ชดุ เดยี วกบั ท่ใี หท้ ำการปรับปนื ไว้
5) ให้ม่ันใจวา่ พน้ื ผิวชดุ ท่ที ำการติดตั้งทง้ั หมดปราศจากความสกปรก น้ำมนั ไขขัน
6) ใสส่ ลกั หมดุ เกลียวให้ถกู ตอ้ งตามชอ่ งทที่ ำไวใ้ ห้
7) เล่ือนขาจับกล้องถอยหลังจนชิดแผน่ ฐาน แลว้ ใช้มอื ขนั ยึดใหแ้ นน่
8) ถ้าต้องการจัดปรับระยะกล้องให้คลายแหวนเกลียวยึดฐานแล้วปรับให้เล่ือนไปอยู่ท่ีอีกชุดร่องรับ
กล้องบนแผน่ ฐาน
9) เลอ่ื นขาจบั ฐานและขันยึดด้วยแรงน้วิ มอื

- 111 -

10) ใชม้ ือหมนุ รูปตวั “ ที ” (T) ขนั ยึดดว้ ยแรง 65 ปอนด์ ท่ีแหวนยดึ ตัวหลงั

ค. การดูแลและปรนนิบัติบำรุงกลอ้ งเล็ง ความสกปรกและการนำพาไปโดยไม่มีความระมัดระวังหรือ
การใชก้ ล้องหรือเลนส์โดยไม่ระมัดระวังจะทำให้เกิดความผิดพลาดในความแม่นยำหรอื เกิดความบกพร่องของกลอ้ งได้
เมือ่ ไมไ่ ดใ้ ช้ให้เกบ็ กล้องไว้ในกล่องใส่กล่องและปดิ ครอบเลนสไ์ ว้

1) เลนส์ เลนส์นั้นถูกเคลือบไว้ด้วยสารแมกนีเซ่ียมฟลูโอไรด์ชนิดพิเศษเพ่ือเป็นการลดการสะท้อน
แสง การเคลือบนท้ี ำไวบ้ างๆ ซง่ึ ต้องการการดูแลรกั ษาเพ่ือป้องกนั ความเสียหาย

- การทำความสะอาดฝุ่นผงหรอื สง่ิ แปลกปลอมออกจากเลนสใ์ ชแ้ ปรงขนอดู ปัด
- การขจัดคราบน้ำมันฝุ่นผงหรือไขข้นจากผิวเลนส์ ให้หยดน้ำยาทำความสะอาดเลนส์หรือ
แอลกอฮอล์ลงบนกระดาษเช็ดเลนส์ เชด็ ผิวเลนส์เบาๆ ในลักษณะหมุนเป็นวงกลมจากด้านในออกไปด้านนอกแล้วทำ
การเช็ดแห้งด้วยกระดาษเช็ดเลนส์ซ้ำอีกทีหนึ่ง การปฏิบัติในสนามขณะปฏิบัติตามภารกิจไม่สามารถหาสิ่งอำนวย
ความสะดวกตามความจำเป็นไดก้ ็ให้เป่าลมหายใจลงไปแรงๆ ท่ีกระจกเลนสแ์ ล้วทำการเช็ดออกด้วยผ้าสะอาดท่ีอ่อน
น่มุ
2) กล้องเล็ง กล้องเล็งเป็นอุปกรณ์ท่ีต้องนำพาไปด้วยความเอาใจใส่ระมัดระวังเป็นอย่างดีเพ่ือเป็น
การปอ้ งกนั ไม่ให้เกิดความเสยี หายได้
- ตรวจและขันยึดหมุดเกลียวทุกตัวให้มั่นคงตลอดเวลาก่อนการใช้ในปฏิบัติการและระวังไม่ให้จาน
ปรบั ทิศทางลมเคลอ่ื นท่ีเป็นอนั ขาด
- ให้ครอบเลนส์ปิดอยู่ตลอดเวลาเพื่อป้องกันรักษาให้ปราศจากคราบน้ำมันคราบไขและไม่ให้น้ิวมือ
ไปสัมผสั กับเลนส์ เพราะคราบนำ้ มันตา่ งๆ และเหงื่อจะทำความเสียหายใหก้ ับเลนส์ได้
- ไมใ่ ช้กำลงั ในการจัดปรับควงมมุ สงู ควงมุมทิศหรอื ปุ่มปรับตา่ งๆ
- ระวังไม่ให้กล้องอย่กู ลางแดดโดยตรงโดยไม่จำเป็นและหลีกเล่ียงการที่แสงแดดส่องผ่านเลนส์เข้าไป
ด้านใน เพราะแสงแดดทีผ่ ่านเลนส์ขยายจะทำให้เกิดการรวมแสงทมี่ ีความร้อนสงู ซงึ่ จุดรวมแสงจะไปตกท่ีเส้นเล็ง ซ่ึง
อาจไปละลายเส้นเลง็ หรือจุดเลง็ ได้หรือทำความเสยี หายใหก้ ับตัวกล้องได้ ดังน้นั เม่อื ไม่ไดใ้ ชใ้ หท้ ำการปิดฝาครอบเลนส์
และคลมุ ปิดตวั กลอ้ งไว้ด้วย
- หลีกเลี่ยงการตกหรือการกระทบกระแทกใดๆ ของกล้อง เพราะสิ่งน้ีจะทำให้กล้องเกิดความเสียหายอย่าง
ถาวรหรอื ศูนยท์ ่ปี รบั ไว้ดีแล้วเปลีย่ นไปโดยสิ้นเชิง
- หลีกเลี่ยงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกล้องเล็งหรืออุปกรณ์ใดๆ ของพลซุ่มยิง ยุทโธปกรณ์ของพล
ซ่มุ ยิง การนำพาต้องเป็นการนำพาไปโดยบุคคลที่เกี่ยวข้องเท่าน้ัน ผู้ทไ่ี ม่มีความร้เู ก่ียวกับอปุ กรณ์เหล่านอี้ าจทำให้เกิด
ความเสียหายได้
3) สภาพอากาศ สภาพอากาศมสี ว่ นสำคัญอยา่ งยง่ิ ต่อการดแู ลรกั ษากล้องเล็ง

- 112 -

ก) อากาศเย็น ในสภาพอากาศท่เี ย็นจัดจะต้องเพิ่มการรกั ษากล้องอันเน่ืองมาจากการกล่ันตวั ของไอ
นำ้ และการจบั ตัวแข็งของนำ้ มันบนกระจกเลนส์ตา่ งๆ หากอณุ หภูมไิ ม่เพ่ิมขึ้น ฝ้าไอนำ้ ท่ีเกิดข้ึนอาจทำใหห้ มดไปได้
โดยการเก็บเอาไวใ้ นท่อี ุ่นไม่ใชก่ ารใหค้ วามร้อนกลอ้ งเพราะจะทำใหเ้ กิดการขยายตัวของวสั ดซุ ึ่งอาจจะทำความ
เสียหายให้กับระบบกลอ้ งได้ ไอชน้ื สามารถถูกดดู ซบั ออกได้โดยการใชก้ ระดาษเช็ดเลนส์หรอื ผ้าแหง้ อ่อนนุ่ม ในอากาศ
ท่เี ยน็ จัดความ
หนืดของน้ำมันอาจเป็นตัวขัดขวางการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ หรือทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ส่วนปรับความ
ชดั เจนมคี วามไวต่อการจับตวั แข็งของนำ้ มันต่างๆ มากจนตลอดการจับตวั แข็งของไอลมหายใจดว้ ย ดังนัน้ กระจกเลนส์
ต้องได้รับการทำความสะอาดด้วยการใช้กระดาษเช็ดเลนส์เช็ด มักนิยมที่ใช้กระดาษชุบแอลกอฮอล์เล็กน้อยพอให้ช้ืน
แตห่ า้ มการหยดแอลกอฮอล์ลงบนผิวเลนส์อย่างเด็ดขาด

ข) อากาศร้อนช้ืน (ในป่าดิบช้ืน) ในสภาพอากาศร้อนชื้นต้องปิดฝาครอบเลนส์ไว้ตลอดเมื่อไม่มีการใช้
เมอ่ื เกิดฝา้ ความชื้นหรือราเกดิ ข้นึ ภายในกล้องตอ้ งรีบทำความสะอาดเอาออก

ค) ปฏบิ ัตกิ ารในทะเลทราย ต้องปอ้ งกันกลอ้ งให้พ้นจากฝุน่ รังสีของแดด
ง) อากาศร้อนและไอนำ้ เค็ม กล้องมีความเปราะบางตอ่ สภาพความรอ้ น ความชื้น และสภาพอากาศ
ทะเล ต้องคอยระวังไม่ให้กระทบแสงแดดโดยตรง ในสภาพอากาศท่ีช้ืนและอากาศทะเลท่ีมีไอน้ำเค็ม กล้องต้องได้รับ
การตรวจดูเสมอ ทำความสะอาด และทาน้ำมันเคลือบกันสนิมไว้ตลอดเวลา เหง่ือที่ร่างกายขับออกมาก็อาจเป็นเหตุ
ใหเ้ กดิ สนมิ ขน้ึ ได้ ดงั นั้นอุปกรณต์ า่ งๆ ตอ้ งไดร้ บั การเช็ดแห้งและเคลือบผิวดว้ ยน้ำมนั ไว้
ง. การใช้กล้องเล็ง เมื่อใช้กล้องเล็งพลซุ่มยงิ มองไปท่เี ปา้ หมายและกะระยะด้วยการใชจ้ ุดแบง่ มุม(เป็น
มิล)บนเส้นเล็งท้ังทางดิ่งและทางระดับ จุดแบ่งมุม (รูปที่ 2 – 21) ทำเป็นสองแบบด้วยกันบนเส้นเล็งเป็นเส้นหนาท่ี
ดา้ นนอกและเส้นบางท่ดี ้านใน ส่วนสำคัญอยู่ที่ด้านในบริเวณเส้นตัดตรงกลางซงึ่ จะทำเคร่ืองหมายเป็นจุดไว้ 4 จุด ที่
บนเสน้ บางแต่ละดา้ น คา่ ระหวา่ งจดุ มีคา่ เท่ากบั 1 มิล (1 มิลเท่ากบั 1/60 ของ 1 องศา)

- 113 -

รูปที่ 6 – 19 จุดแบง่ มุม (มลิ ) บนเสน้ เลง็ ของกล้อง
ช่องวา่ งระหวา่ งจุดแบ่งมมุ น้ีจะเปน็ เครื่องชว่ ยใหพ้ ลซมุ่ ยิงทำการกะระยะไดอ้ ย่างใกล้เคียงต่อ
เป้าหมายที่เกดิ ข้นึ โดยเปรยี บเทยี บกับขนาดของเป้าหมายท่ีทราบ (โดยประมาณ) จากการที่มองเห็น ดังตวั อยา่ งเช่น
เป้าหมายเป็นคนทม่ี คี วามสงู ประมาณ 1.70 เมตร ท่รี ะยะ 500 เมตร จะมคี ่าเทา่ กับ 3.4 มลิ หรือ 3.4 ช่วงจุดแบ่งมุม
โดยประมาณ หรืออีกตัวอย่างหน่งึ ขนาดของเปา้ หมาย 1 เมตร จะมคี ่าเท่ากบั ความห่าง 2 จดุ แบ่งมุม ท้ังทางดงิ่ หรือ
ทางระดบั หากพลซุ่มยงิ กะขนาดของเปา้ หมายหรือส่งิ อ้างอิงได้ถกู ต้องแลว้ เขาก็สามารถทคี่ าดระยะถึงเป้าหมายได้
อย่างถูกต้องแม่นยำในทางกลับกนั ด้วยระบบจดุ แบ่งมุมนน่ั เอง
จ. การปรับกล้องกับปืน การปรับปืนต้องทำในสนามทราบระยะ (นิยมใช้ในการปรับในระยะ 900
เมตร) ต่อเป้าวงกลมทป่ี กติใช้ยงิ ในระยะ 200 เมตร เม่อื จะทำการปรบั กลอ้ ง พลยิงจะต้องปฏบิ ตั ิดังน้ี
1) ทำการนอนยิงในระยะห่างจากเป้า 100 เมตร
2) หมนุ จานมมุ สงู ใหต้ รงกับหมายเลข “ 1 ” (ขีดบอกเลขระยะ) และจานมุมทศิ ท่ี “ 0 ”
3) เล็งไปทจี่ ุดศูนยก์ ลางเปา้ แล้วทำการยงิ 3 นดั ทีละนดั ณ จุดเดียวกัน
4) หลังจากทำการยิงครบชุดบันทกึ การหมนุ ปรบั ทงั้ จานมมุ สงู และมุมทศิ ทีต่ อ้ งการปรบั กล้อง
- แตล่ ะคลกิ ของจานมมุ สงู จะเปล่ยี นตำบลกระสนุ ตกไป 3 ซม. (สงู /ตำ่ )โดยประมาณ
- แตล่ ะคลกิ ของจานมมุ ทิศจะเปล่ียนตำบลกระสุนตกทางขา้ ง 1.5 ซม. โดยประมาณ
5) ทำการยิงซ้ำตามข้ันตอน 3 และ 4 ไปอีกคร้งั ละ 3 นัด
6) เม่ือกลุ่มกระสุนอยู่ท่ีกึ่งกลางของเป้าหมายได้อย่างแน่นอนแล้วให้คลายหมุดเกลียวยึดจานมุมสูง และจานมุมทิศที่
หวั หมุดเปน็ รหู กเหลย่ี มด้วยไขควงหกเหล่ียม แล้วจงึ เลอ่ื นขีดท่ีจานมุมสูงให้ไปอย่ทู ่ี
“ 1 ” และขีดทจี่ านมุมทศิ ไปอยูท่ ่ี “ 0 ” แลว้ จงึ ใช้ไขควงหกเหล่ียมขนั ยดึ จานทงั้ สองใหแ้ น่นตอ่ ไป

- 114 -

7) หลังจากทำการปรับเรียบร้อยแลว้ ใหท้ ำการยิงเพื่อยนื ยันความแมน่ ยำดว้ ยการทำการยิงบันทกึ
การปรับ ท่ีระยะ 100 เมตร และเพิ่มระยะเรอื่ ยๆจนถึง 900 เมตร

ฉ. การปรับปนื เพื่อยนื ยันความแมน่ ยำในสนาม บางครง้ั พลยงิ อาจจำเปน็ ต้องทำการปรบั ปืนในสนาม
อย่างรวดเรว็ เน่ืองมาจากคำสั่งปฏบิ ัติการดว่ น ปนื ตกหรือกระแทกอยา่ งแรง สภาพของอากาศทเ่ี ปลี่ยนแปลงอย่าง
มากต่างจากท่เี คยปรับปนื ไว้ การไปปฏิบตั ิการต่างภมู ภิ าคทีห่ ่างไกลมากๆ มกี ารปรับโดยการเรง่ อยู่ 2 วธิ ี คือ การ
ปรบั ปนื ในสนามยงิ 25 เมตร/ 1,000 นิว้ และการสงั เกตตำบลกระสุนตก

1) สนามยิงปืน 1,000 นว้ิ ให้ทำการหมนุ จานมุมสูงไปอยู่ที่ “ 3 ” และจานมุมทิศอยู่ท่ี “ 0 ” ทำการ
เล็งและยิง แล้วทำการปรับกล้องเล็งให้ตำบลกระสุนตกอยู่ที่ 1.6 ซม. เหนือจุดเล็งแล้วทำการปรับยืนยันอีกครั้งโดย
หมนุ จานมุมสูงไปอย่ทู ่ี “ 5 ” ตำบลกระสุนตกทถ่ี กู ตอ้ งอยทู่ ่ี 5.7 ซม. เหนอื จดุ เลง็ ก็เป็นอันใชไ้ ด้

2) สังเกตตำบลกระสนุ ตก เมื่อไม่มีสนามทราบระยะใหใ้ ช้ใหท้ ำการเลอื กเป้าหมายทผี่ ู้ตรวจการณ์
สงั เกตเห็นตำบลกระสนุ ตกกระทบไดอ้ ยา่ งชัดเจนแล้วกำหนอระยะท่แี นน่ อนไปยงั เปา้ หมายปรบั จานมมุ สงู ให้ตรงกบั
ระยะท่จี ะยงิ แล้วทำการเลง็ ไป ผู้ตรวจการณ์คอยเฝา้ ตรวจดูตำบลกระสนุ ตกกระทบแล้วแจ้งใหผ้ ู้ยิงทราบแล้วทำการ
ปรับจนกระท่ังกระสนุ ตกกระทบที่จุดเล็งสำเรจ็

ความแม่นยำในการยิงปนื
การเลง็
พลซุม่ ยิงเริ่มขน้ั ตอนการเลง็ ด้วยการหนั ปนื ไปยงั เป้าหมาย เมอ่ื ทำทา่ ยิงและปลอ่ ยใหป้ ืนหนั กระบอก
ไปโดยเป็นไปตามธรรมชาติ ไปยังเปา้ หมายหากไม่ตรงกใ็ ห้ขยับปรบั ให้ปนื หนั ไปยังเป้าหมายเม่อื ทำการเลง็ โดยไม่มีการ
ฝืนหากใช้กล้ามเนื้อเพื่อบังคบั ปนื ให้ตรงไปยงั เป้าหมายแล้ว เมือ่ ทำการผอ่ นคลายกล้ามเน้ือ เพื่อจะทำการยิงปืนกจ็ ะ
เบนมาอยู่ในแนวธรรมชาติเอง สาเหตุเพราะการเคลื่อนไหวนจ้ี ะเกิดขนึ้ ก่อนการทล่ี กู กระสนุ จะหลดุ ออกจากปากลำ
กลอ้ งไป ปนื จะเคลือ่ นในขณะท่ีลูกกระสุนพ้นปากลำกล้องไป และส่งิ น้ที ำให้เกดิ ความผิดพลาดในการยิงโดยไม่
ทราบสาเหตุ (การสะท้อนถอยหลังของปืนเปน็ ตัวแสดงให้เหน็ ได้) เมื่อจัดท่ายิงแลว้ พลซุ่มยงิ จึงทำการเล็งต่อเปา้ หมาย
ส่ิงทเี่ กี่ยวข้องตอ่ การเล็งทีส่ ำคัญ คือ ความห่างของตากบั กล้อง การจัดศูนยป์ ืน และภาพทีป่ รากฏในศูนยป์ นื
ก. ความห่างของตากบั กลอ้ ง คือระยะห่างระหว่างตาของพลยงิ กับเลนส์ชอ่ งมองของกลอ้ งเลง็ เมื่อใช้
ศูนย์เหล็ก พลซุ่มยิงต้องรักษาระยะห่างของตากับแผ่นรูศูนย์หลังให้เท่าๆ กันทุกนัดที่ทำการยิงเพื่อรักษาภาพที่
มองเห็นได้จากรูศูนย์หลังเทา่ ๆกัน อย่างไรก็ตามระยะห่างน้กี ็แตกต่างกันออกไปตามทา่ ยิงที่ไมเ่ หมือนกันและพลยิงแต่
ละคนซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความยาวของคอของพลยิง มุมของศีรษะที่ก้มลงประทับกับพานท้ายปืน ความลึกของร่องไหล่
และท่าที่ใช้ยิง ระยะห่างนี้ (รูปที่ 6 – 20) เน้นเมื่อใช้ยิงด้วยกล้องเล็งมากว่าศูนย์เล็ง พลยิงต้องเอาใจใส่เพ่ือเป็นการ
ป้องกันอันตรายท่ีจะเกิดจากการบาดเจ็บอันเนื่องมาจากส่วนท้ายของกล้องกระแทกเข้าท่ีคิ้วเมื่อปืนเกิดสะท้อนถอย
หลัง ในการใช้ศูนย์ระบบนี้ เขาต้องตั้งศีรษะให้ตั้งตรงข้ึนให้มากที่สุดเท่าท่ีจะทำได้โดยให้ดวงตาอยู่ตรงกับหลังเลนส์
ช่องมอง การวางศีรษะในลักษณะน้ีจะทำให้กล้ามเน้ือรอบดวงตาไม่ต้องเครียดในการเพ่งมอง การวางศีรษะท่ีไม่

- 115 -

ถกู ต้องทำให้ผู้ยงิ ต้องมองผ่านส่วนบนหรือมุมด้านข้างของดวงตา ซ่ึงจะเป็นเหตุให้เกิดมีความลา้ ของกล้ามเน้ือตา พล
ยิงสามารถที่จะป้องกันความล้าของกล้ามเนื้อตาได้ โดยการไม่เพ่งมองกล้องหรือศูนย์เหล็กเป็นเวลานานๆ
ตอ่ เน่ืองกัน ส่ิงที่ชว่ ยรักษาระยะห่างของตาใหค้ งท่ีสม่ำเสมอดีทีส่ ดุ ได้แก่ การรกั ษาจดุ สัมผสั ของใบหนา้ กับพานท้ายปืน
ใหอ้ ยูท่ ี่เดยี วกันทุกนดั การยิง

รปู ท่ี 6 – 20 การเลง็
ข. การจัดศูนย์ปืน การจัดศูนย์ปืนด้วยกล้องเล็งเป็นความสัมพันธ์กันระหว่างเส้นเล็งกากบาทกับทั้ง
ปวงท่ีท่ีพลยิงมองผ่านกล้องไปเห็น พลยิงต้องวางศีรษะลงไปให้เห็นภาพท่ีปรากฏขึ้นเต็มกล้องเล็งโดยไม่มีเงาดำหรือ
ขอบดำที่ไม่เท่ากันเกิดขึ้น ซ่ึงจะเป็นผลให้การยิงขาดความแม่นยำ เขาต้องจัดให้เส้นกากบาทตัดกันที่ก่ึงกลางภาพท่ี
เกดิ ข้นึ เตม็ กระบอกกล้องเลง็ และใหแ้ น่ใจว่าเสน้ เล็งกากบาทเส้นตั้งอยู่ในแนวต้ังจรงิ ๆ เพ่ือไม่ให้ปนื เกิดการเอยี งข้นึ ได้
และเมื่อจัดเส้นต้ังได้เรียบร้อยแล้ว การจัดให้จุดตัดอยู่กึ่งกลางศูนย์กล้องก็ง่ายขึ้น สำหรับการจัดศูนย์เหล็กก็เป็น
ความสัมพันธ์ของศูนย์หลังและศูนย์หน้าท่ีพลยิงมองเห็นผ่านรูศูนยห์ ลังออกไป (รูปที่ 3 – 17) พลยิงต้องจัดให้ยอดใบ
ศูนย์หน้าที่ตั้งตรงอยู่ที่กึ่งกลางช่องรูศูนย์หลัง (ก่ึงกลางช่องรูศูนย์หลังสามารถมองกำหนดได้ง่าย ซ่ึงทำให้พลยิงจัดใบ
ศนู ยห์ นา้ ไดง้ ่าย)

- 116 -

รปู ที่ 6 – 21
ค. ภาพที่ปรากฏในศนู ย์ปืน เมอื่ ใช้กล้องเลง็ ภาพที่ปรากฏเปน็ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งเสน้ เล็งกากบาท
การมองเห็นเต็มกล้อง และภาพเป้าหมาย (การจัดศูนย์ปืนและเป้าหมาย) โดยที่ผู้ยิงทำการจัดศูนย์ดังท่ีได้กล่าว
มาแล้ว (ข้อ 6 – 22) แล้วจึงนำเอาจดุ ตัดของเส้นเล็งกากบาทไปวางไว้ที่จุดท่ีต้องการยิงท่ีเป้าหมาย สำหรับศูนยเ์ หล็ก
ก็ให้จุดที่ใบศูนย์หน้าแตะที่จุดที่ต้องการจะยิง บริเวณกลางเป้าหมายเป็นจุดยิงที่ง่ายที่สุดในการวางจุดยิง เพราะเป็น
เป้าหมายในการตกกระทบของลูกกระสุนที่โตและเป็นเป้าหมายท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุด ศูนย์เหล็กน้ันเป็นความสัมพันธ์
ระหว่างภาพการจัดศูนย์และเป้าเช่นกัน แต่การวางจุดยิงให้วางไว้ก่ึงกลางบริเวณที่เป็นส่วนท่ีใหญ่ที่สุดของเป้าที่
สามารถมองเห็นได้ (ไม่เพ่งเล็งไปที่ศีรษะท่ีมีขนาดเล็กแต่ให้ใชก้ ารเลง็ ท่ีกงึ่ กลางลำตัวของบคุ คล)

- 117 -

รูปท่ี 6 – 22
ง. การจัดศนู ยผ์ ดิ พลาด เมื่อมกี ารจัดศนู ย์และวางตำบลยิงต่อภาพท่ีปรากฏในศนู ยป์ ืนได้สมบรู ณ์แล้ว
และขั้นตอนการยิงทุกอย่างถกู ต้อง ลูกกระสุนก็จะยิงถูกเป้าหมาย ณ ตำบลเล็งอย่างถูกต้องอยา่ งไรก็ตามการจัดศนู ย์
ท่ีไมด่ ี เมื่อทำการยิงลูกกระสนุ ก็จะไปผิดทศิ ทางเพราะเส้นเล็งและเส้นแกนของลำกล้องปืนไปกันคนละทาง (รปู ที่ 6 –
22) ยิ่งระยะไกลออกไปเท่าใดก็จะยิ่งผิดพลาดมากขึ้นเท่านั้น การยิงในระยะใกล้จะเหน็ ความผิดพลาดได้เลก็ น้อยหรือ
อาจไม่เหน็ กไ็ ด้ การยงิ ในระยะไกล ความผิดพลาดหรือยิงพลาดเป้าหมายกจ็ ะเกิดข้ึนเน่อื งจากการจัดศูนย์ไมด่ ี พลยิงท่ี
ขาดประสบการณ์ก็เกิดความผิดพลาดในการยิงได้แม้แต่ท่านอนยิง หากเขาไม่แน่ใจว่าการจัดศูนย์ที่ดีและถูกต้องมี
ภาพเป็นอย่างไร (โดยเฉพาะอย่างย่ิงภาพการจัดศูนย์ภายในกล้องเล็ง) และการที่พลยิงไม่รักษาตำแหน่งของศีรษะให้
คงที่ (ระยะหา่ งของดวงตา) ของการยงิ แตล่ ะนัดน้นั เขาเองก็จะเปน็ ผู้ทีท่ ำให้การยงิ เกิดความผดิ พลาดได้
จ. การจัดตำแหน่งภาพในศูนย์ปืนผิดพลาด (รูปที่ – 22) ความผิดพลาดจัดภาพที่เห็นในกล้องเล็ง
เปน็ การวางจุดยงิ ท่ีไมถ่ ูกต้อง ในกรณีนไี้ มม่ ีความผดิ พลาดในการจดั ศนู ยอ์ ยู่ในแกนแนวลำกลอ้ งปืน แต่เปน็ ที่การวาง
จดุ ยิงผิดจุดในเป้าหมายอนั เน่ืองมาจากตำแหนง่ ของยอดใบศูนย์หน้าหรือเส้นกากบาทวางอยู่ ณ ท่ีใดในขณะที่ปนื ทำ
การยิง พลยิงจะพบความผิดพลาดน้ีได้บ่อยในทุกๆ ครั้งท่ีทำการยิง ท้ังนี้เน่ืองจากความม่ันคงของท่ายิง การท่ีปืนมี
การส่ันไหว ปืนท่ีมีการหนุนรองจะมีการสั่นไหวที่นุ่มนวลมากว่าการท่ีไม่ได้หนุนรอง แต่การส่ันไหวของการยิงท้ังสอง
แบบเราเรยี กกันวา่ การแกวง่ ของปืน พลยิงต้องพยายามจัดท่ายงิ เพือ่ ให้การแกว่งของปืนเกิดได้นอ้ ยที่สุดเท่าทจี่ ะทำได้
และจัดให้การวางจุดยิงอยู่บริเวณก่ึงกลางของเป้าหมาย ในการจัดท่ายิง การจัดศูนย์ การจัดภาพ การวางจุดยิงที่
ถกู ต้องเหมาะสมทำให้สามารถที่จะกำหนดใหย้ อดใบศูนย์หนา้ หรอื จุดตดั ของเส้นเล็งกากบาท วางไดต้ รงหรอื ใกล้เคียง
จุดที่กำหนดไว้มากที่สุดในขณะที่ทำการยิงการที่ยอดใบศูนย์หน้าหรือจุดตดั ของเส้นเล็งกากบาทเกดิ ความผดิ พลาดไป
มากน้อยเพียงใดและในทิศทางใดผู้ยิงสามารถทราบได้ทันทีเมื่อจุดยิงแตะเป้าหมายขณะกระสุนระเบิดออกจากลำ
กล้องปนื ไป

- 118 -

ฉ. ตาท่ีควบคุมการมอง (ตาที่ถนัดใช้) อธิบายได้โดยการที่พลยิงยืดแขนข้างใดข้างหนึ่งออกไป
ข้างหน้าใหส้ ุดแลว้ ยกนวิ้ ชี้ข้ึนต่อจากน้ันเลือกเป้าหมายแล้วเอาปลายน้ิวแตะที่เปา้ หมายโดยทีล่ ืมตาท้ังสองข้างไว้เพ่งให้
นว้ิ ชตี้ รงไปที่จดุ เป้าหมาย จากน้ันหลับตาลงท่ีละข้าง โดยใช้ตาเพียงขา้ งเดยี ว มองเปา้ หมายจะปรากฏวา่ ท่ีตาข้างหนึ่ง
เม่ือหลับตาอีกข้างหน่ึงแล้วนิ้วชี้ไม่ตรงกับเป้าหมาย แตต่ าอีกข้างหนึ่งภาพของน้ิวยังคงชีต้ รงต่อเป้าหมายอยู่ดังนั้นตา
ข้างที่ยังมองเห็นน้ิวตรงกับเป้าหมายจึงเป็นตาที่ใช้ในการควบคุมการมองหรือตาข้า งที่ถนัดน่ันเองในบางกรณีพลยิง
อาจไม่สามารถทำการใช้ตาข้างนั้นทำการเล็งได้เน่ืองจากอุปสรรคใดก็ตามพลยิงก็อาจจำเป็นจะต้องใช้การยิงอีกด้าน
หนึ่งของปืน (ผู้ยิงด้วยมือขวาจะต้องกลับมายิงมือซ้าย) ซ่ึงหากเป็นเช่นน้ีแล้ว ผู้ยิงก็ต้องทำการหลับตาข้างที่เคยใช้ยิง
ลงไปในขณะทท่ี ำการเล็งและทำการยิงดว้ ย

การควบคุมลมหายใจ
การควบคุมลมหายใจเป็นส่ิงสำคัญอย่างยิ่งต่อกรรมวิธีในการเล็งและการลั่นไกปืน หากพลยิงทำการ
หายใจไปในขณะท่ีพยายามทำการเล็งปืน หน้าอกของเขาก็จะขยบั ขึ้นและลงตามการหายใจเขา้ และออกก็จะทำให้ปืน
ทเี่ ล็งอยู่เกิดความเคล่ือนไหว ฉะน้ันต้องทำการจดั ศนู ย์ให้ดีเรียบร้อยเสียตั้งแต่ยงั ทำการหายใจเขา้ ออกอยู่ ในการดังนี้
ต้องทำการหายใจเข้าแล้วผ่อนลมหายใจออกให้เป็นปกติแล้วหยุดช่ัวขณะแล้วจึงทำการหายใจเข้าและออกต่อไปให้
เป็นวงรอบการหยดุ กล้นั ลมหายใจช่วั ขณะ
ก.หน่ึงวงรอบของการกลั้นลมหายใจ มักใช้น้อยกว่า 4 – 5 วนิ าที การหายใจเข้า และออกจะใช้เวลา
ประมาณ 2 วินาที ดังนั้นในหนึ่งรอบจะมีเวลาที่จะหยุดหายใจประมาณ 2 – 3 วินาที การหยุดกลั้นลมหายใจนี้
สามารถท่ีจะขยายออกไปได้ถงึ 10 วนิ าที โดยไมต่ อ้ งมีเครือ่ งช่วยใดๆ หรือเกิดความรู้สกึ ไม่สบายขึน้ พลยงิ ควรที่จะทำ
การยิงในระหว่างที่หยุดการหายใจน้ี ซ่ึงเป็นขณะเดียวกับท่ีกล้ามเนื้อท่ีควบคุมการหายใจทำการผ่อนคลายอยู่ และนี่
เป็นการเสี่ยงทีจ่ ะเกิดความลา้ ของกลา้ มเน้ือกระบังลม
ข.การควบคุมท่ายิงและการหายใจให้เป็นปกติไปจนกว่าการจับเป้าจะเร่ิมขึ้นพลยิงหลายๆ คนนิยม
ท่ีจะทำการหายใจเข้าออกให้ลึกข้ึนแล้วจึงผ่อนลมหายใจออกและหยุด จากนั้นก็จะทำการยิงในขณะท่ีทำการหยุดลม
หายใจนี้ หากไม่สามารถที่จะจับเป้าหมายได้แน่นอน ในขณะท่ีหยุดกล้ันลมหายใจน้ีได้ พลยิงก็จะเริ่มการหายใจเข้า
ออกใหม่และทำการเลง็ และยิงตามขน้ั ตอนใหม่อกี คร้ังตอ่ ไป
ค. วงรอบการหยุดกล้ันลมหายใจน้ีต้องไม่เกิดความรู้สึกฝืนธรรมชาติ ถ้าหากกลั้นลมหายใจนาน
เกนิ ไปก็จะเกิดการขาดออกซเิ จน และส่งสัญญาณเตือนให้กลับมาเริ่มหายใจใหม่ต่อไป ซึ่งสัญญาณน้ีจะก่อให้เกดิ ความ
เคล่ือนไหวของช่องท้องกระบังลมและจะรบกวนสมาธิในการเล็งยิงของพลยิง เวลาท่ีหยุดกล้ันลมหายใจที่ปลอดภัย
ท่ีสุดอยู่ท่ี 8 – 10 วินาที ในการยิงต่อเนื่องหลายนัด พลยิงต้องรีบจับเป้าให้เร็ว วงรอบการหายใจก็ควรรีบหายใจ
อย่างเร็ว บีบจังหวะวงรอบของการเล็ง และการยิงให้แคบเข้าในระหว่างการยิงนัดต่อนัด แทนการกลั้นลมหายใจ
ต่อเน่ืองนานหรอื ทำการหายใจขณะทำการยงิ การยงิ จะประสบความสำเร็จเมือ่ บังคบั วงรอบการหยุดกลั้นลมหายใจได้

- 119 -

การควบคมุ การลัน่ ไกปนื
การควบคุมการล่ันไกปืนเป็นเร่ืองท่ีสำคัญท่ีสุดสำหรับความแม่นยำในการยิงของพลยิง สิ่งน้ีทำได้
โดยท่ีกระสุนปืนล่ันออกไปในขณะที่การวางจุดยิงดีท่ีสุดและไม่มีสาเหตุใดทำให้ปืนเกิดการส่ันไหว การบีบไกกระทำ
ด้วยการเพ่มิ น้ำหนักอยา่ งสมำ่ เสมอบบี ใหไ้ กปืนถอยหลงั ไปจนกวา่ ปนื จะล่ันออกไปเอง
ก. การควบคมุ การล่ันไก ท่ถี ูกต้องเกิดข้นึ เมื่อพลยิงวางตำแหน่งของนว้ิ ช้ที ่ใี ชล้ ั่นไกลงที่ส่วนลา่ งของ
ไกปืนให้ต่ำมากท่ีสดุ โดยไม่ไปสมั ผัสกับโกร่งไกปนื ซงึ่ จะทำใหก้ ลไกตา่ งๆ ทำงานไดส้ ะดวกทส่ี ุดและความเคล่ือนไหว
ของน้วิ ทีล่ นั่ ไกเปน็ อิสระจากปืนท้ังกระบอก
ข. พลยงิ รักษาการควบคุมการลั่นไกด้วยการจัดทา่ ยงิ ที่ม่นั คง การจดั ปรบั ปนื เข้าหาเป้า และเรม่ิ
วงรอบการหายใจ และเม่ือหายใจครง้ั สดุ ท้ายกอ่ นหยดุ หายใจตามวงรอบก็จะเรม่ิ แตะนว้ิ ที่ไกปนื ในขณะทย่ี อดใบ
ศูนย์หนา้ หรอื จดุ ตัดของเสน้ เลง็ กากบาทแตะทีจ่ ดุ เป้าหมายการเล็งการหยุดกลัน้ ลมหายใจกจ็ ะเริม่ ขนึ้ และพลยงิ กจ็ ะ
เริ่มเพิ่มนำ้ หนักกดที่ไกปืน เขาจะเพิ่มน้ำหนกั กดลงบนไกปืนตอ่ ไปเร่ือยๆ ตราบเท่าทยี่ อดใบศนู ย์หน้าหรือจุดตดั ของ
เส้นเลง็ กากบาทยงั คงจับอยู่ที่ตำบลยงิ ทเ่ี ปา้ ทดี่ ีอยูห่ ากจดุ เล็งเคล่ือนออกจากจดุ ทตี่ ้องการยิง โดยท่ีการหยุดกล้ันลม
หายใจยังไม่ล้าหรือเกดิ ความเครียดก็ตาม พลยิงจะต้องหยุดกระบวนการล่ันไก แล้วเริ่มจับเปา้ หมายใหม่แล้วจึงทำ
การลนั่ ไกใหม่ต่อไป หากมีการสัน่ ไหวมากหรือการหยุดกลั้นลมหายใจนานเกินไป พลยิงกค็ วรท่ีจะผ่อนน้ำหนกั กดท่ีไก
ปนื ใหห้ มดไปแล้วเรม่ิ วงรอบการหายใจ การหยดุ กลั้น แลว้ ทำการเลง็ ยิงใหม่
ค. เมือ่ ความม่นั คงของทา่ ยิงลดลง การแกวง่ ของปืนกจ็ ะเพิ่มมากขนึ้ ปนื ยิง่ แกว่งมากข้ึนกย็ ง่ิ ยากต่อ
การควบคุมไม่ให้เกิดปฏิกิรยิ าตอบโต้มากขึ้นดว้ ย ปฏกิ ิรยิ าตอบโต้เกิดขึ้นเม่ือพลยิง
1) พลยิงโตแ้ รงสะท้อนถอยหลังของปืน ไหลท่ ่ีรับพานท้ายปืนเร่ิมเคล่ือนที่ไปข้างหน้าก่อนท่ีการยงิ จะ
เกดิ ขนึ้
2) กระตุกไกปืน นิ้วท่ีเหน่ียวไกปืนทำการดึงไกปืนอย่างรวดเร็ว กระตุกลั่นไก เกิดการเกร็งจนปืน
ลนั่ ออกไป ก่อนทีจ่ ดุ เลง็ จะเคลื่อนที่ออกไปจากตำบลเลง็
3) ผงะถอย ร่างกายส่วนบนท้ังหมดหรือบางส่วนผงะถอยหนีจากเสียงหรือแรงสะท้อนถอยหลังของ
ปืน สิ่งน้เี กดิ จากความไม่คนุ้ เคยกบั อาวธุ
4) หลีกเล่ียงแรงสะท้อนถอยหลังของปืน เม่ือพลยิงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงจากแรงสะท้อนถอยหลัง
หรือเสียงปืนโดยการถอยห่างจากปืนหรือหลับตาลงก่อนที่ปืนจะล่ันออกไป นี่ก็เช่นกันเกิดจากการขาดความรู้ความ
เข้าใจในเรอ่ื งการทำงานของอาวุธปนื ทใ่ี ช้ จะเกิดขนึ้ เมือ่ ทำการยิง
การเลง็ ตาม
เพื่อพัฒนาพื้นฐานการยิงให้เพ่ิมข้ึน เมื่อได้ทำการยิงจากการเล็งและวางจุดยิงที่ดีแล้ว เม่ือเกิดความ
ชำนาญจนสามารถท่ีจะทำการฆ่าได้ในการยิงกระสุนเพียงนัดแรกก็ยังมีความชำนาญอื่นอีกที่จะยังผลให้มีความ
แน่นอนมากขึ้น และความชำนาญนัน้ กค็ อื การเล็งตาม

- 120 -

ก. การเล็งตาม เป็นปฏิกิริยาต่อเนื่องของหลักการพื้นฐานของพลซุ่มยิงท่ีทำให้เกิดผลการยิงที่ดี
เชน่ เดียวกบั การปฏิบตั ติ ่อเนอ่ื งในทนั ทีหลงั จากทีป่ นื ลั่นไกออกไป ซง่ึ ประกอบดว้ ย

1) รกั ษาศีรษะให้อยทู่ จี่ ุดสมั ผสั กบั พานทา้ ยปนื ที่จุดสมั ผสั เดิมอยา่ งมน่ั คง
2) รกั ษาน้วิ ทีเ่ หนี่ยวไกใหค้ า้ งไว้ท่ีตำบลลน่ั ไกด้านหลงั สดุ
3) ดำรงการมองผ่านชอ่ งรูศนู ยห์ ลงั หรอื เลนส์ชอ่ งมองของกล้องเล็งไว้
4) ปลอ่ ยให้กลา้ มเนือ้ ทุกสว่ นผอ่ นคลายเช่นเดมิ (ขณะทำการยงิ )
5) หลีกเล่ียงปฏิกริ ิยาตอบโตต้ ่อการสะทอ้ นถอยหลงั หรือเสียงของปืน
6) ผอ่ นปล่อยไกปืนต่อเมือ่ หมดส้นิ การสะท้อนถอยหลงั ของปนื แล้วเทา่ นน้ั
ข.การเลง็ ตามทด่ี ีเป็นการยนื ยันว่าการยิงและการสะทอ้ นถอยหลังของปืนเป็นปกติดี พลซุ่มยิงและ
ปนื ทำงานร่วมกนั เปน็ เหมอื นการทำงานสว่ นเดียวกนั
การขานตำบลกระสุนตก
การขานตำบลกระสุนตกเป็นความสามารถในการบอกได้ว่ากระสุนไปตกกระทบถูกเป้า ณ ที่ใด
เพราะเปา้ ทมี่ ชี ีวิตจะมีความเคล่ือนไหวได้หลายๆ แบบเม่อื ถกู ยิงเกือบเป็นไปไม่ได้เลยท่ีพลยิงจะสามารถบอกได้วา่ ลูก
กระสุนไปถูกเป้าหมายที่จุดใดด้วยกล้องติดปืนของเขาหลังจากทำการยิงไปแล้ว และด้วยศูนย์เหล็กพลยิงก็จะพบว่า
เป็นการเกินขีดความสามารถของเขาในการมองหาจุดตกกระทบของลูกกระสุนปืน เขาต้องสามารถที่จะขานตำบล
กระสุนตกได้อย่างแม่นยำ การขานตำบลกระสุนตกสามารถบอกได้จากการเล็งตามท่ีดี องค์ประกอบท่ีสามารถช่วย
ทำให้ขานตำบลกระสุนตกได้ก็คอื การทีร่ ู้วา่ จุดตัดของเส้นเล็งกากบาทหรือยอดใบศนู ยห์ น้าอยู่ที่ตำแหนง่ ไหน ในขณะ
ท่ลี ูกกระสนุ ระเบิดออกจากลำกล้องปนื จดุ ยงิ ที่เห็นไดใ้ นครั้งสุดทา้ ยน้ีเรียกว่า “ จุดเลง็ สดุ ทา้ ย ”
ก. เมื่อใช้ศูนย์เหล็ก จุดเล็งสุดท้ายจะอยู่ท่ียอดใบศูนย์หน้า ใบศูนย์หน้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภาพ
การจัดศูนย์ต่อเป้า ซ่ึงจะมีความแกวง่ ไหวได้ การเพ่งมองทยี่ อดใบศูนย์หน้าจะเป็นเครื่องช่วยการขานตำบลกระสุนตก
และเป็นการค้นหาข้อผิดพลาดในการจัดศูนย์และการจัดภาพศูนย์ตอ่ เป้า แน่นนอนว่าการจัดศูนย์และการวางจุดยิงที่
เปา้ หมาย พลซุ่มยิงตอ้ งเปล่ียนจดุ เพง่ มองทเ่ี ปา้ และใบศูนย์หน้ากลบั ไปมาจนแนใ่ จว่าจดั ศนู ยใ์ หต้ ำบลยิงเขา้ ส่เู ปา้ หมาย
ได้อย่างถูกต้องแน่นอนการเปลี่ยนระยะเพ่งมองน้ีจะกระทำมากว่าสองครั้งข้ึนไป สายตาตอ้ งทำการปรับระยะการมอง
จากสง่ิ ทอี่ ยู่ใกล้ (ใบศนู ย์หน้า) และส่งิ ท่ีอยไู่ กลออกไป (เป้าหมาย)
ข. จดุ เลง็ สดุ ทา้ ยสำหรบั เม่ือใชก้ ล้องเลง็ จะเปน็ การหาที่งา่ ยกวา่ เน่ืองจากประสิทธภิ าพของเลนสก์ าร
เล็งผ่านกล้องอย่างถูกต้องน้ันกล้องจะให้ท้ังภาพท่ีปรากฏและเสน้ เลง็ กากบาทที่คมชัดเจน ดังน้นั จุดเลง็ สดุ ท้ายจะอยู่ที่
เป้าหมาย ขณะท่ีทำการเล็งตอ่ เป้าพลซุ่มยิงจะขยับศีรษะจากด้านหน่ึงไปอกี ดา้ นหนึ่ง ทำให้การมองเห็นเหมอื นเส้นเล็ง
กากบาทเคล่ือนที่ผ่านหน้าเป้าหมายทั้งท่ีปืนและกล้องเล็งไม่มีความเคล่ือนไหว ภาพเคลื่อนไหวท่ีเกิดข้ึนเรียกว่าภาพ
มุมกลับ ภาพมุมกลับเกิดข้ึนเม่ือภาพเป้าหมายไม่ได้ถูกปรับความชัดเจนให้อยู่กับระนาบความชัดเจนของเส้นเล็ง
กากบาท ดังนน้ั ภาพเป้าหมายและภาพเส้นเล็งกากบาทจึงอยู่กนั คนละที่ภายในตวั กลอ้ งเล็งเดียวกันนนั้ เองจึงทำให้เกิด

- 121 -

มองเห็นเส้นเล็งเคลื่อนท่ีผ่านเป้าหมายได้ ในกล้องแบบ เอ็ม. 3 เอ (M3 A) หรือกล้องในปัจจุบันน้ีมีการปรับความ
ชัดเจนที่สามารถขจัดมุมกลับออกไปได้ พลยิงควรปรับจานปรับความชัดเจนไปจนกระท่ังภาพของเป้าหมายเกิดความ
ชัดเจนเช่นเดียวกันกับเส้นเล็งกากบาทท่ีปรับความชัดเจนไว้ก่อนแล้ว อธิบายได้ว่าหากปรับภาพเป้าหมายได้ชัดเจน
แล้วพลยิงควรขยับศีรษะไปทางซ้ายและขวาเล็กน้อย เพื่อดูว่าเส้นเล็งมีการเคล่ือนท่ีหรือไม่ ถ้าไม่มีความเคลื่อนไหว
ใดๆ เกิดขึ้นก็แสดงว่าการปรบั ความชัดเจนถูกตอ้ งแลว้ และภาพมมุ กลับกจ็ ะไม่มีเกิดขน้ึ

มุมการยิง
การฝกึ ซ้อมสว่ นมากชุดพลยงิ จะนยิ มใชส้ นามยิงปนื ของทางทหารทม่ี ีอยู่ ซ่ึงส่วนใหญเ่ ป็นสนามเรียบ
และเป็นการยิงในระนาบเดยี วกัน อยา่ งไรก็ตามเม่ือพลซุ่มยิงถกู ส่งออกไปปฏิบัติงานในสนาม โอกาสท่ีจะต้อง
ปฏบิ ัติงานในพน้ื ท่ี ภเู ขา ลูกเนนิ หรอื พื้นที่ตามสภาพในชนบท นเ่ี ป็นเหตใุ ห้ต้องทำการยิงต่อเปา้ หมายที่อยใู่ นระดับ
ท่ีสงู กวา่ หรอื ต่ำกว่า นอกเสียจากว่าพลซมุ่ ยิงได้ทำการปรบั แก้แลว้ กระสนุ จงึ จะตกกระทบเหนอื จุดเล็ง กระสุนท่จี ะตก
กระทบสงู แค่ไหนน้ัน อธิบายไดด้ ว้ ยระยะยงิ และมุมทีท่ ำกบั เป้าหมาย (ตารางท่ี 3–3) ความสูงทเี่ ปล่ียนแปลงไปทที่ ำ
ต่อกล้องเล็งติดปนื เกิดเปน็ มุมการยิง เรยี กกันวา่ “ คา่ ท่เี พมิ่ ข้นึ เนือ่ งจากความลาดชนั ”

ระยะยงิ มุมที่ทำกับพื้นระนาบ
(เมตร) 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50 55 60
100 .01 .04 .09 .16 .25 .36 .49 .63 .79 .97 1.2 1.4
200 .03 .09 .2 .34 .53 .76 1.0 1.3 1.7 2.0 2.4 2.9
300 .03 .1 .3 .5 .9 1.2 1.6 2.1 2.7 3.2 3.9 4.5
400 .05 .19 .43 .76 1.2 1.7 2.3 2.9 3.7 4.5 5.4 6.3
500 .06 .26 .57 1.0 1.6 2.3 3.0 3.9 4.9 6.0 7.2 8.4
600 .08 .31 .73 1.3 2.0 2.9 3.9 5.0 6.3 7.7 9.2 10.7
700 .1 .4 .9 1.6 2.5 3.6 4.9 6.3 7.9 9.6 11.5 13.4
800 .13 .5 1.0 2.0 3.0 4.4 5.9 7.7 9.6 11.7 14.0 16.4
900 .15 .6 1.3 2.4 3.7 5.3 7.2 9.3 11.6 14.1 16.9 19.8
1,000 .2 .7 1.6 2.8 4.5 6.4 8.6 11.0 13.9 16.9 20.2 23.7
* รกะรยะะสจุนรทงิ ตต่ี ากมสลงู าขดน้ึ ชตนั าเมปมน็ มุ เตม่าตงรๆ(ไแมลใ่ ชะ่ระยะรมะุมนใานบรใะนบแบผน1ท/่ี) 60 ของ 1 องศา

ผลกระทบของสภาพอากาศ
ในการฝึกพลยิงข้ันสูงๆนั้น ผลกระทบของสภาพอากาศเป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาดในการตก
กระทบเป้าหมายของลูกกระสุนปืน ลม ภาพที่เกิดจากเปลวแดด แสงสว่าง และความช้ืนของอากาศ มีผลต่อพลยิง

- 122 -

ลูกกระสุนปืน หรือทั้งสองอย่าง ผลกระทบบางประการอาจเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามการยิงมักจะต้องกระทำใน
สภาพอากาศที่รนุ แรงอยูบ่ อ่ ยคร้งั และผลกระทบตา่ งๆ จะต้องเขา้ มามีส่วนเกีย่ วขอ้ งด้วย

การจำแนกประเภทของลม
กระแสลมเป็นปัญหาใหญ่ของพลซุ่มยิง เพราะกระแสลมที่กระทำต่อลูกกระสุนปืนจะมีมากข้ึนใน
ระยะทางที่ไกลขึ้น และเป็นส่ิงสำคัญในการทำให้ลูกกระสุนปืนลดความเร็วลงประกอบกับเวลาวิ่งในอากาศของลูก
กระสุนปืนท่ีนานขึ้น นี่คือผลกระทบที่มากข้ึนต่อลูกกระสุนปืนในระยะทางที่เพิ่มมากข้ึนผลท่ีเกิดข้ึนนี้คือ การสูญเสีย
ความแม่นยำ
ก. ลมก็มีผลต่อตัวของพลยิงด้วย ลมท่ีพัดแรงก็เป็นการยากที่จะรักษาท่ายิงให้มั่นคงได้ การแก้ไขใน
ส่วนน้ีทำได้โดยการฝึก การใช้สภาพแวดล้อม และการใช้ท่ายิงที่มีเคร่ืองหนุนรองให้เกิดความมั่นคงของท่ายิงท่ี
เลือกใช้
ข. พลยิงต้องทราบว่าผลกระทบมีมากเพียงไรต่อลูกกระสุนปืน เขาต้องสามารถท่ีจะจำแนกประเภท
ของกระแสลมได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ การใช้ระบบนาฬิกา(รูปท่ี 3 – 19) โดยท่ีตัวของพลยิงอยู่ที่จุดศูนย์กลางของนาฬิกา
และให้เป้าหมายอยู่ที่ 12 นาฬิกา ส่วนค่าของลมกำหนดเป็นสามค่าคือ เตม็ ที่ คร่ึง และไม่มีผลเต็มที่ หมายถึง แรงลม
ท่ีมีผลกระทบเต็มทต่ี อ่ การเคลื่อนที่ของกระสุนปืน ลมที่ว่าน้จี ะพัดมาจาก 3 และ 9 นาฬิกา คา่ ครงึ่ กระแสลม หมายถึง
ลมท่ีพดั ดว้ ยความเร็วสม่ำเสมอแต่พดั จาก 1, 2, 4, 5, 7, 8, 10 และ 11 นาฬกิ า ที่จะเปลี่ยนทิศทางของลกู กระสุนปืน
ไปคร่ึงหน่ึงของกระแสลมท่ีพัดกระทบเต็มที่ สว่ นลมทไ่ี ม่มีผลตอ่ การเปลีย่ นทิศทางของลกู กระสุนปืน คือ ลมท่พี ัดจาก
6 หรอื 12 นาฬิกา

รูปที่ 6 – 27 ระบบนาฬิกา

- 123 -

ความเรว็ ลม
ก่อนที่จะปรับศูนย์ให้สัมพันธ์กับความเร็วลมนั้น พลซุ่มยิงต้องกำหนดทิศทางและความเร็วลมได้
เสียก่อน โดยอาจใช้ส่ิงต่างๆ เป็นตัวบ่งชี้ได้ สิ่งต่างๆ เหล่าน้ีคือ ธงในสนามยิงปืน ควัน ต้นไม้ สายฝน และสัมผัส
รู้สึกได้ อย่างไรก็ตามวิธีที่นิยมใช้ในการที่จะกำหนดทิศทางและความเร็วลม คือ การอ่านภาพเปลวแดด (จะกล่าวใน
ยอ่ หน้าต่อไปขอ้ ง.) โดยสว่ นใหญแ่ ล้วทศิ ทางลมสามารถกำหนดได้งา่ ยๆ โดยเครือ่ งมอื บอกทศิ ทางลม
ก. การกำหนดความเร็วลมโดยประมาณ ในระหว่างการฝึกซ้อมก็คือการสังเกตใบธงในสนามยิงปืน
(รูปท่ี 3 – 20) โดยการกำหนดจากมุมท่ีเกิดขึ้นระหว่างขอบใบธงและเสาธงว่าทำมุมกันก่ีองศาแล้วหารด้วย “4”
ผลลพั ธท์ ไ่ี ด้เป็นความเร็วลมโดยประมาณคดิ เปน็ ไมลต์ ่อชั่วโมง

รปู ท่ี 6-28 วธิ ีคำนวนจากใบธง
ข. หากไม่มีธงให้สังเกตเห็นได้ พลยงิ จะกำวัสดทุ ่ีมนี ้ำหนกั เบาๆ เชน่ เศษกระดาษ หญา้ ใบไมแ้ ห้ง
สำลี เป็นต้น แล้วเหยยี ดแขนออกไปในระดับไหล่แล้วปล่อยออกไปแลว้ อ่านมุมทีเ่ กิดข้นึ จากแนววัสดุปลวิ ไปตกกบั มอื ที่
ปล่อยลากตงั้ ตรงลงกบั พน้ื มุมทไ่ี ดห้ ารดว้ ย “4” ได้ความเร็วลมโดยประมาณเป็นไมลต์ อ่ ช่ัวโมง
ค. หากไม่สามารถทำตามวิธีท่ีได้กล่าวมาแล้วได้ ข้อมูลต่อไปนี้สามารถนำมาใช้ช่วยได้ คือ ถ้าลมพัด
ต่ำกว่า 3 ไมล์/ชม. สามารถรู้สึกได้เบาๆและควันเปลี่ยนทิศทางได้ ลมพัด 3 – 5 ไมล์/ชม. ใบหน้าสามารถรับรู้
ความรู้สึกได้ ลมพัด 5 – 8 ไมล์/ชม. ใบไม้มีความเคล่ือนไหวสม่ำเสมอ และท่ีความเร็วลม 12 – 15 ไมล์/ชม. ต้นไม้
เล็กและยอดไมส้ งู มกี ารไหวโอนเอน
ง. ภาพสะท้อนเปลวแดด เกิดจากการที่ความร้อนท่ีพื้นผิวดินสะท้อนขึ้นไปในอากาศ ผ่านช้ันของ
อากาศ ที่มีอุณหภูมิที่แตกต่างกันไปและความชื้นที่ต่างกัน ทำให้มองเห็นได้ในวันที่มีอากาศอุ่น (รูปที่ 3 – 21) เมื่อ
มองผ่านกล้องส่องทางไกล พลซุ่มยิงสามารถมองเห็นปรากฏการณ์น้ีได้ตราบเท่าที่อุณหภูมิของผิวดินและอากาศมี
ความแตกต่างกัน การอ่านค่าของภาพสะท้อนเปลวแดดน้ีทำให้พลซยิงสามารถที่จะคาดคะเนได้ทั้งความเร็วลมและ
ทิศทางได้ค่อนข้างมีความถูกต้องในการใช้กล้องส่องทางไกลแบบ เอ็ม. 49 (M49) ส่องสังเกตและอ่านค่าภาพสะท้อน
เปลวแดด ในเมื่อกระแสลมทีบ่ ริเวณย่านกึ่งกลางระยะยิงมีผลต่อลกู กระสนุ ปืนมากทสี่ ุด เขาก็ต้องพยายามท่จี ะกำหนด
ความเรว็ ลม ณ จุดน้ใี หไ้ ด้ ซงึ่ สามารถกระทำได้สองวธิ ี คือ

- 124 -

1) ปรับความชดั เจนของกล้องกับวัตถใุ ดๆ ที่อยู่ในบริเวณย่านก่งึ กลางระยะยงิ ต่อจากนัน้ จึงหนั กลอ้ ง
ไปหาเปา้ หมายโดยไม่ตอ้ งปรบั ระยะความชัดเจนใหม่

2) ทำการปรับความชัดเจนทีเ่ ป้าหมายเสยี ก่อนแลว้ จงึ หมนุ ปุ่มปรับความชัดเจนทวนเขม็ นาฬิกากลับ
หลัง 1/4 รอบ การทำเชน่ นจ้ี ะทำให้ภาพเปา้ หมายพร่ามวั ไมช่ ัดเจนแต่ภาพสะท้อนเปลวแดดจะเห็นไดช้ ดั เจน

รูปที่ 6 – 29 ภาพสะท้อนเปลวแดดชนิดต่างๆ
จ. ขณะที่ทำการตรวจการณ์ผ่านกล้องส่องทางไกล ภาพสะท้อนเปลวแดดท่ีเกิดข้ึนมีความ
เคล่ือนไหวในความเร็ว เช่นเดียวกับกระแสลม ยกเว้นแต่ลมจะพัดเข้าหาหรือออกไปจากกล้องท่ีส่องอยู่ ภาพสะท้อน
เปลวแดดจะปรากฏเคล่ือนท่ีขึ้นเป็นแนวตรง และไม่มีความเคล่ือนไหวทางด้านข้างหรือโอนเอียง ปรากฏการณ์น้ี
เรยี กว่าภาพสะท้อนแบบนำ้ เดือดหรือเปลวแดดจัด ภาพสะท้อนเช่นน้ีอาจเกิดข้ึนและมองเห็นได้ในขณะเม่ือลมเปล่ียน
ทิศทาง ตัวอย่างเช่น ลมท่ีพัดกระทำเต็มที่พัดจาก 3 นาฬิกาไปยัง 9 นาฬิกา และลมเกิดเปลี่ยนทิศทางการพัด
กระทันหันภาพเปลวแดดท่ีเคล่ือนท่ีจากทางซ้ายไปขวา จะหยุดความเคลื่อนไหวปรากฏเป็นภาพสะทอ้ นแบบน้ำเดือด
เกดิ ข้ึน เมือ่ เกดิ ภาพในลักษณะน้ีเกดิ ขึ้น พลซมุ่ ยิงทข่ี าดความชำนาญเมือ่ เหน็ ค่าของลมเป็น “0” กจ็ ะทำการยิงออกไป
ก่อนที่กระสุนจะถึงเป้าหมายลมก็เริ่มพัดแนวเดิมอีกเป็นเหตุให้กระสุนปืนพลาดเป้าหมาย ดังนั้นการยิงในสภาพที่
ภาพเปลวแดดหยุดการเคล่ือนไหวชั่วขณะเป็นการยิงที่สุ่มเส่ียง นอกจากว่าภาพเปลวแดดแบบน้ำเดือดนี้เป็นภาพ
สะท้อนเปลวแดดที่มีค่าของลมเป็น “0” หรือไม่มีค่าเท่าน้ัน ดังน้ันพลยิงต้องคอยจนกว่าภาพสะท้อนเปลวแดด
แบบน้ำเดือดหรือเปลวแดดร้อนจัดจะหายไป โดยทั่วไปแล้วการเปล่ียนแปลงความเร็วลมท่ีไม่เกิน 12 ไมล์/ชม.
สามารถสังเกตเห็นภาพสะท้อนเปลวแดดได้แต่เกินกว่านี้ไปแล้ว ความเคลื่อนไหวของภาพเปลวแดดจะเร็วเกินไป
สำหรบั การสงั เกตดูความเปลีย่ นแปลงที่เกดิ ข้นึ แม้แตเ่ ล็กนอ้ ย

- 125 -

การเปล่ียนคา่ ความเรว็ ลมเปน็ คา่ มุมในระบบ 1/60 ของ 1 องศา

ในกลอ้ งสอ่ งทางไกลทุกกล้องจะมีการจดั ปรับค่าความเรว็ ลมอยใู่ นระบบค่ามมุ ในระบบ 1/60 ของมุม

1 องศา (รูปท่ี 3 – 22) เรียกว่ามุม 1 นาที และท่มี ุมท่เี กิดขึ้นน้ี 1 นาที ทำใหก้ ระสุนตกเปลย่ี นไป 1 นิ้ว โดยประมาณ

(1.145 นว้ิ ) ในทกุ ๆ ระยะ 100 เมตร

ตวั อยา่ ง เชน่ 1 นาที เท่ากบั 2 น้ิว ที่ระยะ 200 เมตร

1 นาที เทา่ กบั 5 นิว้ ทรี่ ะยะ 500 เมตร

ก. เมื่อพลยิงใช้ระบบมุมเปน็ นาที (รูปที่ 3-22) เพื่อกำหนดและการจัดปรับทั้งทางระยะและทางทิศท่ี

กล้องติดปืนแล้ว หลังจากท่ีคำนวณหาค่าความเร็วและทิศทางลมได้แล้วก็ทำการเปลี่ยนค่าท่ีได้มาเป็นค่าของมุมใน

ระบบนาที ซงึ่ สตู รในการคำนวณมีดังนี้

ระยะทางเปน็ 100 เมตร(ระยะทาง/100) คูณ ความเร็วลม(ไมล์/ชม.) = นาที

ค่าคงที่

จำนวนนาทีทไี่ ด้ เปน็ คา่ ของลมเตม็ ที่ ท่พี ัดจาก 3 หรือ 9 นาฬิกา

คา่ คงทที่ ่นี ำมาใชข้ น้ึ อยู่กับระยะยิง

100 – 500 เมตร ค่าคงที่ คอื 15

600 เมตร คา่ คงท่ี คือ 14

700 – 800 เมตร ค่าคงที่ คือ 13

900 เมตร คา่ คงท่ี คอื 12

1,000 เมตร คา่ คงที่ คือ 11

ถา้ เปา้ หมายอย่หู ่างออกไป 700 เมตร และลมมคี วามเร็ว 10 ไมล์/ชม. แล้ว

7 x 10 = 5.38 นาที หรือ 5 1/2 นาที

13

ค่าที่ได้น้ี เป็นจำนวนนาทีของมุมท่ีค่าของลมเป็นค่าเต็มที่ และถ้าเป็นค่าท่ีคร่ึงกระแสลมก็จะนำค่าที่

ได้น้หี ารด้วย 2

- 126 -

รูปท่ี 6 – 30 คา่ นาทขี องมุม
ผลกระทบของแสง
แสงสว่างไม่ไดม้ ีผลต่อวิถขี องลูกกระสุนปืนแต่อย่างไรกต็ ามมนั ก็มีผลต่อการมองเห็นต่อเป้าหมายเม่ือ
มองผ่านกล้องเล็งออกไป ผลกระทบน้ีก็เปรียบเทียบได้กับการเบี่ยงเบนของแสงเม่ือสอ่ งผ่านตัวกลาง เช่น แผ่นปริซึม
หรือแผ่นกระจก ผลกระทบเช่นท่ีว่านี้ถึงแม้จะไม่มีผลท่ีรุนแรง แต่สามารถตรวจพบได้ในเวลากลางวันท่ีมีความช้ืนสูง
และแสงแดดที่ส่องลงมาเป็นมุมสูง พลซุ่มยิงสามารถท่ีจะปรับผลกระทบนี้ได้ แต่เพียงผลจากการยิงที่ผ่านมาและได้
บันทึกเอาไว้ก่อนแล้วเท่านั้น ในสมุดบันทึกราย ละเอียดของพลซุ่มยิง เขาจึงจะสามารถทำการเปรียบเทียบ สภาพ
รว่ มกับความชื้นของอากาศและผลทีเ่ กิดขน้ึ ต่อความแม่นยำในการยิงปืน แสงก็อาจมีผลต่อการยิง ในสภาพที่ไม่ทราบ
ระยะได้ เน่อื งจากการทแ่ี สงมผี ลกระทบตอ่ ความสามารถในการประเมนิ ระยะทาง
ผลกระทบของอณุ หภมู ิ
อุณหภูมิของอากาศมีผลกระทบต่อพลยิง กระสุนปืน และความชืน้ – ความหนาแนน่ อากาศ เมื่อลูก
กระสุนปืนถูกท้ิงไว้ในแสงแดดโดยตรง อัตราการเผาไหม้ของดินส่งกระสุนก็จะเพิ่มข้นึ เป็นผลให้ความเร็วต้นที่ปากลำ
กล้องเพิ่มมากขึ้นและตำบลกระสุนตกก็เพ่ิมข้ึนด้วย ผลกระทบท่ีมีมากที่สุดก็คือ ผลกระทบต่อความหนาแน่นของ
อากาศ เมื่ออณุ หภูมิสูงข้ึนความหนาแน่นของอากาศก็จะลดลง ทำให้ความต้านทานของอากาศน้อยลง ความเร็วของ
กระสุนปืนสูงข้นึ และทำให้ตำบลกระสุนตกสูงขึ้น และนี่ก็เป็นความเกี่ยวพันกันกับการที่ได้ปรบั การยงิ ไว้ก่อนแลว้ เช่น

- 127 -

ถ้าพลซุ่มยิงทำการยงิ ปรับปืนทีเ่ ม่ืออุณหภูมิ 50 องศาฟาเรนไฮท์ แลว้ ไปทำการยิงจริงเม่ืออุณหภูมิสูงข้ึนเป็น 90 องศา
ฟาเรนไฮท์ จุดกระทบก็จะอยู่สูงข้ึนไป กระสุนจะตกสูงข้ึนเท่าใดนั้นสิ่งที่บอกได้ดีท่สี ุดก็คอื การที่ไดท้ ำการบันทึกไว้ใน
สมดุ บันทึกของพลยิงของการยิงครั้งทผ่ี ่านๆ มา อย่างไรก็ตามการปฏิบัตโิ ดยทั่วๆ ไป เมอื่ ทำการปรบั การยิงไวแ้ ลว้ เมื่อ
อณุ หภูมิเพิ่มสงู ขน้ึ 20 องศาฟาเรนไฮท์ จะทำให้ตำบลกระสนุ ตกสูงขนึ้ 1 นาทขี องมมุ เชน่ กนั

ผลกระทบของความชนื้ ของอากาศ
ความเปล่ียนแปลงความชื้นของอากาศข้ึนอยู่กับความสูงและอุณหภูมิ พลยิงสามารถปรับเข้าถึง
ปัญหานี้ได้ถ้าหากสภาพความช้ืนของอากาศในพื้นท่ีปฏิบัติการมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเกิดขึ้น จำไว้ว่าหาก
ความชื้นของอากาศเพ่ิมมากขึ้น ตำบลกระสุนตกจะต่ำลง และหากความชื้นลดลงกระสุนก็จะตกสูงข้ึน ในอัตรา
เปรียบเทียบโดยประมาณ เมื่อความชื้นเปลี่ยนไปร้อยละ 20 แล้วตำบลท่ีกระสุนตกจะเปลี่ยนไปเท่ากับ 1 นาที ของ
มมุ โดยประมาณ พลยิงควรเก็บขอ้ มลู เหลา่ นไ้ี ว้อย่างดีในสมุดบันทึกรายละเอียดของพลยิง
สมุดบันทึกรายละเอยี ดของพลยงิ
สมุดบันทึกน้ีจะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่พลยงิ บันทึกไว้ ขอ้ มูลรายละเอียดของผลการยิง และส่งิ ต่างๆ
ซ่ึงมีผลกระทบต่อการยิงปืน และนี่รวมทั้งการเปล่ียนแปลงต่างๆ ของสภาพอากาศและสภาพร่างกายของผู้ยิงในวัน
นั้น พลซุ่มยิงต้องคำนึงถึงข้อมูลเหล่าน้ีเพื่อทำความเข้าใจในอาวุธของตนเองผลกระทบของสภาพอากาศ และ
ประสิทธิภาพในการยิงปืนในวันท่ีกำหนด สิ่งที่สำคัญท่ีสุดประการหน่ึงของข้อมูลก็คือจะต้องทำการบันทึกผลการยิง
ปรับปืนในสภาพลำกลอ้ งเยน็ ซึ่งบ่งให้ทราบถึงการยิงกระสนุ นัดแรกในสนามยิงปืนท่กี ำหนดให้ยิง มนั เป็นความสำคัญ
อย่างย่ิงในการที่พลยิง ในการยิงกระสุนนัดแรกที่สนามต่างระยะกันในแต่ละวัน ตัวอย่าง เช่น วันจันทร์ ยิงในสนาม
ระยะ 400 เมตร วันอังคารยิงในระยะ 500 เมตร วันพุธยิงในระยะ 600 เมตร ฯลฯ เม่ือลำกล้องปืนอุ่นข้ึน กระสุนนัด
ต่อๆ ไปจะจับกลุ่มอยู่สูงข้ึนหรือต่ำลง 1 – 2 นาทีของมุม ซ่ึงก็จะขึ้นอยู่กับปืนแต่ละกระบอก ข้อมูลที่ได้จะทำการ
บนั ทึกลงไว้ในแผน่ บันทกึ รายละเอยี ดในสมุดบันทกึ รายละเอียดของพลซมุ่ ยิง แบบฟอร์มนีม้ ิไดพ้ ิมพ์แจกจา่ ยต้องทำข้ึน
เอง
การบันทึกข้อมูลรายละเอียด
ขั้นตอนการกรอกแบบฟอร์มในใบบันทึกรายละเอียด ทำท้ังสิ้น 3 ข้ันตอนด้วยกัน คือ ก่อนการยิง ระหว่างทำการยิง
และหลังจบการยงิ ลงในแบบฟอร์ม
ก. กอ่ นการยงิ ข้อมูลทต่ี อ้ งบนั ทกึ มีดงั นี้
1) สนามทใี่ ช้ยงิ และระยะทางทใี่ ชย้ ิง
2) หมายเลขปนื และกล้องเลง็ ท่ใี ชท้ ำการยงิ
3) วันท่ีซึ่งทำการยงิ
4) ชนิดและเลขงานของกระสุนท่ีใชย้ งิ ในครัง้ นัน้ ๆ
5) ลกั ษณะของแสงสว่าง (แสงจา้ มาก, สว่างชัดเจน และคร้ึมสลัว)

- 128 -

6) สภาพของเปลวแดด ว่าสามารถมองเห็นหรือไม่ (ด,ี เลว, พอใช้, เหน็ ได้ยาก)
7) อณุ หภมู ิในสนามยงิ ปนื ขณะทำการยิง
8) เวลาที่เรม่ิ ทำการยิง
9) ทศิ ทางของแสงทีก่ ระทำต่อพื้นผวิ สนามยิงปืน แสดงด้วยลกู ศร
10)ทิศทางลมท่พี ัดกระทำต่อแนววถิ กี ระสุน แสดงด้วยลูกศรและความเร็วลมเฉลย่ี
ข. ขณะทำการยงิ สงิ่ ท่ีต้องทำการบันทกึ มีดงั น้ี
1) มมุ สงู ของศนู ย์ท่ีใชย้ งิ และการปรับแก้ทจี่ ำเป็น ตวั อย่างเช่น ทีร่ ะยะยิง 600 เมตร พลซุ่มยิงจะตงั้ ท่ี
จานมุมสูงไว้ที่ 6 แล้วทำการยิงไป ปรากฏว่ากระสุนตกต่ำไปประมาณ 6 น้ิว ใต้จุดศูนย์กลางของการเล็ง ดังน้ันเขาจึง
ตอ้ งเพิม่ มมุ สูงทจี่ านมุมสงู ขึ้น 1 นาที (1 คลกิ ) แลว้ บนั ทึกลงไปว่า มุมสงู เดิม 6 แกไ้ ขเป็น 6+1
2) ตั้งจานมมุ ทิศตามต้องการถา้ ไมม่ ีการเปลี่ยนแปลงจากท่ีปรับไว้ กต็ ั้งที่ 0 แล้วบันทึกลงไปวา่ มุมทิศ
เดิม 0 แล้วทำการยิงไป ปรากฏว่ากระสุนตกท่ีทางขวาของจุดศูนย์กลางการเล็งไปประมาณ 15 น้ิว เขาจึงทำการปรับ
ดว้ ยมุมทิศไปที่ ซา้ ย 2/12 นาที แล้วบันทกึ การแกไ้ ขไว้
3) บนั ทกึ กระสนุ นดั ทที่ ำการยิงลงในชอ่ งแต่ละช่อง เช่น ชอ่ งท่ี 5 คอื กระสุนนดั ท่ี 5
4) มมุ สงู เดมิ ใชเ้ ทา่ ไรกอ่ นการยงิ แต่ละนัดน้ันต้องบนั ทึกลงไปก่อนการยงิ
5) มุมทิศ กอ่ นการยิงเทา่ ไรใหบ้ นั ทกึ ไว้แตล่ ะนัดทุกนดั ไปเชน่ กัน
6) ขานและบนั ทึกตำบลกระสนุ ตกและทำการบันทึกลงไปนัดต่อนดั
7) ภาพผลการยิงโดยรวม แสดงด้วยตัวเลขของกระสุนนัดน้ันท่ีไปตกกระทบบนตัวเป้าให้ตรงกับ
ตำแหนง่ ท่ีลกู กระสนุ กระทบเป้า
ค. หลงั การยิง พลยิงต้องทำการบันทึกข้อสังเกตหรือความเห็นไวใ้ นชอ่ ง “ข้อสังเกต” ซ่ึงสามารถท่ี
จะแสดงความคิดเห็นได้ เช่น สภาพของปืน สภาพโดยท่ัวไปของการยิง (สภาพสิ่งแวดล้อมที่ไมเ่ หมาะสมต่อการยิงที่
ดี หรือเวลาที่ใช้ยิงจำกัดเกินไป เป็นต้น) รวมท้ังสภาพของผู้ยิงเอง (เช่น ต่ืนเต้น รู้สึกไม่ค่อยสบาย สบายดี ไม่
สามารถคาดเดาได้)
การเล็งนอกเป้า
การเล็งนอกเป้า คือ การเล่ือนจุดเล็งออกไปจากจุดที่ได้กำหนดไว้เดิมท่ีจุดกระสุนตกออกไป
เน่ืองจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เกิดเป้าหมายข้ึนหลายๆเป้าและต่างระยะยิงกันออกไปและกระแส
ลมที่เปล่ียนไปอย่างทันทีทันใด (อย่างรวดเร็ว) ซ่ึงไม่มีเวลาให้เพียงพอในการปรบั เปลี่ยนท้ังควงมุมสูงและมุมทิศอย่าง
เหมาะสม ดังนั้นความคุ้นเคยท่ีได้จากการฝกึ ฝนในการเลง็ เผื่อหรอื การเล็งนอกเปา้ จะเปน็ การเตรยี มใหพ้ ลซมุ่ ยงิ พรอ้ ม
ท่ีจะต้องพบกับสถานการณ์เชน่ น้ีได้

- 129 -

ทางระยะ
เทคนิคน้ีจะถูกนำมาใช้เมื่อพลยิงไม่มีเวลาพอที่จะทำการปรับเปล่ียนศูนย์ได้ พลยิงจะเปลี่ยนจุดเล็ง
เพียงเล็ดน้อย ในการเล็งเผื่อนอกจุดที่ได้กำหนดไว้ ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจากการกะระยะทางหรือการยิงที่ขาด
ความแม่นยำเพียงเลก็ นอ้ ยกอ็ าจจะทำให้กระสนุ ผิดจากเปา้ หมายได้ เขาจะใชก้ ารเล็งนอกเปา้ นี้ดว้ ยกล้องตดิ ปืนเทา่ น้ัน
เมือ่ ปรากฏเป้าหมายขึ้นหลายๆ เป้าในระยะท่ีต่างกันออกไปและเวลาไม่อำนวยให้ในการท่จี ะทำการปรับกลอ้ งในการ
ยิงตอ่ แตล่ ะเปา้
ก. พลซุ่มยิงใช้การเลง็ เผื่อ เพอื่ ต้องการยิงเปา้ หมายในระยะที่นอกเหนือจากระยะยิงทไ่ี ด้เตรียมการไว้
ในระยะยิงท่ีไกลออกไปลูกกระสุนจะตกต่ำกว่าจุดเล็งและในทางกลับกัน ในระยะที่ใกล้เข้ามากระสุนจะตกสูงข้ึนจาก
จุดท่ีทำการเล็ง ถ้าพลยิงเข้าใจถึงวิถีกระสุนดีแล้วว่ากระสุนท่ียิงไปนั้นจะตกที่ใด เขาก็จะสามารถท่ีจะยิงให้ถูก
เป้าหมายที่อยู่ในระยะที่ต่างออกไปจากท่ีได้เตรียมการยิงไว้ก่อนแล้วได้ ตัวอย่างเช่น พลยิงทำการปรับปืนไว้ยิงที่
ระยะทาง 500 เมตร แต่มีเป้าหมายเกิดข้ึนท่ีระยะ 600 เมตร ดังนั้นจุดที่ต้องการเลง็ เผือ่ จะเป็น 25 น้ิว เพ่อื ให้กระสุน
ตกกระทบเป้าหมายท่ีก่ึงกลางเป้า (รูปที่ 6-31) และถ้าเกิดมีเป้าหมายอื่นเกิดข้ึนอีกท่ีระยะ 400 เมตร พลยิงก็จะต้อง
เล็งทใี่ ตจ้ ุดกึง่ กลางเปา้ ลงมา 14 น้ิว เพอ่ื ให้กระสุนตกทีก่ ่ึงกลางเป้าหมาย ตามตารางกระสนุ วิถี (รปู ที่ 6–32)

รูปท่ี 6 – 31 ภาพการเลง็ นอกเปา้ ทางระยะ

รปู ที่ 6 – 32 แผนผังของกระสุนวิถี

- 130 -

ข. จุดในแนวต้ังของเส้นเล็งกากบาทสามารถนำมาใช้เป็นจุดเล็งได้ เมื่อต้องทำการเล็งนอกเป้าหรือ
การเล็งเผ่ือ ตัวอย่างเช่น เม่ือจบั เป้าได้ท่ีระยะ 500 เมตร แต่ปรับการยิงของกล้องไว้ที่ 400 เมตร เขาจะ ต้องนำเอา
จุดแรกของเส้นเล็งเส้นที่อยู่ด้านล่างไปจับท่ีใต้จุดก่ึงกลางเป้า 4 น้ิว ก็จะทำให้กระสุนท่ีปรับไว้ท่ี 400 เมตร เมื่อไปถึง
500 เมตร ตกต่ำลง 20 น้ิวตามผังกระสุนวิถี เลื่อนตำบลที่กระสนุ ตกขึน้ ไปส่กู ลางเป้าหมายตามต้องการ น่ีคือ การเล็ง
นอกเปา้ 15 นิ้ว ( 1 จุด ) ในการยงิ ระยะ 500 เมตร

ทางทศิ
พลยิงสามารถท่ีจะทำการเล็งนอกเป้าได้ 3 วิธี ด้วยกันในการแก้ทิศทางลมหรือแก้ผลกระทบท่ีเกิด
จากลม
ก. เม่ือใช้กล้องติดปืน พลยงิ ใช้จุด มิล. บนเส้นเล็งเส้นระดับในการเล็งเผื่อ ดังตัวอย่างเช่น ถ้าพลยิง
ต้องการเล็งเผ่ือประมาณ 10 นิ้ว เขาจะต้องวางกึ่งกลางเป้าหมายไว้ที่คร่ึงหน่ึงระหว่างจุดตัดของเส้นเล็งกากบาทและ
จดุ มิล. จุดแรก (1/2 มิล.)
ข. เม่ือทำการเล็งที่นอกเปา้ พลยิงจะทำการเล็งไปที่ทิศทางทล่ี มพัดมา เช่น ถ้าลมพัดจากขวามาซ้าย
เขาก็ตอ้ งเลง็ ไปทางขวา แตถ่ ้าลมพดั จากซ้ายมาขวาก็เล็งไปทางซ้าย
ค. การหมั่นฝึกซ้อมคาดคะเนความเร็วลมจะทำให้เกดิ ประสทิ ธิภาพมากขึ้นในการปรับศูนย์กล้องและ
เรียนรู้การเล็งเผ่ือนอกเป้าได้อย่างถูกต้อง ถ้าพลซุ่มยิงยิงพลาดเป้าและกระสุนนัดนั้นสามารถท่ีจะทำการตรวจพบ
ตำบลกระสุนตกได้ เขาก็สามารถที่จะทราบความผิดพลาดทางทิศในระยะทางนั้นและทำการยิงไปใหม่ด้วยการเล็งนอก
เป้าไปในทศิ ทางตรงข้ามกบั ท่ียงิ พลาดไปเท่ากับความหา่ งท่ียิงผดิ

รูปที่ 6 – 33 การเล็งนอกเปา้ ทางทิศ

การเลง็ ตอ่ เป้าเคลอื่ นที่
ในการเล็งยิงต่อเป้าเคล่ือนท่ีน้ันไม่เพียงแต่พลยิงต้องกำหนดระยะเป้าหมายผลกระทบของลมที่มีต่อ
ลกุ กระสุนปืนเท่านั้น เขายังต้องคำนึงถึงการเคล่ือนท่ีไปทางด้านข้างและความเร็วของมุมท่ีเป้าเคลื่อนที่อยู่ตลอดจน
เวลาแล่นของลูกกระสุนในอากาศท่ีจะต้องวางจุดยิงล่วงหน้าได้อย่างถูกต้องเหมาะสมควบคู่ไปด้วยกัน และน่ีเป็นการ

- 131 -

เพ่ิมโอกาสของความผิดพลาดให้เกิดข้ึนได้อย่างมาก พลยิงจะทำการยิงต่อเป้าเคล่ือนท่ีเม่ือจำเป็นจึงเลือกเป็นโอกาส
สดุ ทา้ ย

เทคนิคการยงิ
- การเลง็ นำ
- การเลง็ ติดตาม
- การเลง็ ดักหรือซุ่มยิง
- การเล็งติดตามหรือจบั เปา้
- การยิงเรว็
ก. การเล็งนำ ในการเล็งต่อเป้าเคลื่อนท่ีนั้นพลยิงต้องวางจุดตัดของเส้นเล็งกากบาทนำหน้าทิศ
ทางการเคลื่อนท่ีของเป้าหมาย ระยะที่จุดตัดเส้นเล็งกากบาทนำหน้าเป้านี้ เรียกว่า “การเล็งนำ” ซ่ึงมีปัจจัยอยู่ 4
ประการในการกำหนดว่าจะทำการเล็งนำแคไ่ หน
1) ความเร็วของเป้า หากเป้าเคล่ือนที่ด้วยความเร็วที่มากขนึ้ เท่าไร ในระยะเวลาท่ีลูกกระสุนแล่นอยู่
ในอากาศน้ันเป้าก็จะเคลือ่ นท่ีไปได้มากขึ้นเท่าน้นั ดงั นน้ั เมอื่ ความเร็วของเป้ามากขนึ้ การเล็งนำกจ็ ะมากข้ึนด้วย
2) มุมของการเคลื่อนท่ี หากเป้าเคล่ือนท่ีตั้งฉากกับทิศทางการยิงแล้วในเวลาท่ีเท่าๆ กันการ
เคลื่อนท่ีทางข้างของเป้าหมายจะมีมากว่าการที่เป้าหมายเคล่ือนท่ีเข้าหาหรือออกจากจุดยิง ดังนั้นการท่ีเป้าหมาย
เคล่ือนท่ที ำมุม 45 องศาจะได้ระยะทางข้างน้อยกว่าการเคลื่อนทตี่ ง้ั ฉากกับแนวยงิ
3) ระยะถึงเป้า ย่งิ ระยะไกลออกไปเท่าใดกระสุนก็จะใช้เวลาแล่นในอากาศมากข้ึนเท่าน้ัน ดังน้นั การ
เลง็ นำตอ้ งมากขึน้ เม่ือระยะทางไกลขึ้นด้วย
4) ผลกระทบของลม พลยิงต้องระลึกอยู่เสมอว่าลมมีผลกระทบต่อกระสุนวิถีอย่างไรบ้างถ้าลมพัด
สวนทศิ ทางการเคล่ือนท่ีของเปา้ จะใชก้ ารเล็งนำน้อยกวา่ ทลี่ มพดั ไปในทิศทางเดยี วกับการเคลื่อนท่ขี องเปา้ หมาย
ข. การเล็งติดตาม วิธนี ้ีคอื การทีพ่ ลยิงทำการเล็งนำต่อเป้าหมายแลว้ รักษาภาพการเล็งน้ีไวต้ ลอดเวลา
ท่ีเคลื่อนจุดเล็งนำเป้าหมายไปตลอดเวลาจนกว่าปืนจะล่ันออกไป การเล็งยิงเช่นน้ีต้องการการเคล่ือนที่ของปืนและ
ร่างกายของผู้ยงิ ทไี่ ดจ้ ัดท่ายิงไวแ้ ล้วให้เคลื่อนที่ไปเชน่ เดยี วกบั เปา้ หมายและทำการยงิ
ค. การเล็งดักหรือการซุ่มยิง วิธีการนี้พลซุ่มยิงชอบที่จะใช้กับเป้าท่ีมีการเคล่ือนที่ พลยิงต้อง
เตรียมการยิงให้จุดเล็งอยู่ทางด้านหน้าของทิศทางการเคล่ือนที่ของเป้าและทำการเหน่ียวไกปืนเมื่อเป้าเคลื่อนที่มายัง
จดุ ที่ไดเ้ ตรียมการยิงไวแ้ ลว้ นนั้ ในการยงิ ดว้ ยวธิ ีนี้ตัวของพลยิงและปนื จะต้องไม่มีความเคล่ือนไหวใดๆ พลยงิ สามารถที่
จะกำหนดได้วา่ จะต้องทำการเลง็ ดกั หนา้ เป็นระยะเท่าไรน้ัน ก็ขึน้ อยู่กับการฝึกซ้อมและดว้ ยการใชจ้ ุด มิล.ตามเส้นเล็ง
เส้นนอนในกล้องเลง็ ช่วย
ง. การเล็งติดตามและจับเป้า พลยิงจะเลือกใช้วิธีน้ีต่อเป้าท่ีเคลื่อนที่ไม่หยุดนิ่งไปๆ มา ๆพลซุ่มยิง
ต้องพยายามรักษาการเล็งที่ดี คือ ให้จุดตัดเส้นเล็งกากบาทอยู่กึ่งกลางกล้องเล็งไว้ตลอดเวลาและเคลื่อนที่จับติดตาม

- 132 -

เปา้ ไปโดยตลอด เมือ่ เป้าหมายหยุดเคล่อื นทีพ่ ลซมุ่ ยิงก็หยดุ การเลง็ ตามมาจบั เปา้ ใหแ้ นน่ อนอย่างรวดเรว็ และทำการยิง
การยิงด้วยวิธีนี้ต้องการการมีสมาธิสูงและมีวินับในการยิงที่ดี ที่จะไม่ทำการยิงออกไปท่ีเป้าหมายจะหยุดการ
เคล่ือนไหวโดยสมบูรณ์

จ. การยิงเร็ว พลยิงมักจะพบเสมอๆว่าเป้าหมายปรากฏให้เห็นเป็นระยะเวลาส้ันๆไม่มีเวลาท่ีจะทำ
การเล็งโดยละเอียด ดังนั้นจึงสังเกตรูปแบบของการปรากฏของเป้าเสียก่อน ต่อจากน้ันจึงสามารถทำการเล็งไปยัง
ตำบลที่คาดว่าเป้าหมายน่าจะปรากฏให้เห็นได้ไว้ก่อน และเม่ือทำการยิงในขณะท่ีเป้าหมายปรากฏออกมาให้เห็นด้วย
การยิงอย่างรวดเรว็

- 133 -

คำถามท้ายบท

1.หลกั พืน้ ฐานของการยิงปืน มกี ป่ี ระการ อะไรบ้าง
2.การแก้ไขเหตตุ ิดขดั แบบทนั ทีทันใด มีกีข่ ั้นตอน อะไรบา้ ง
3.จงอธบิ ายหลกั การจดั ศูนยพ์ อดี
4.ศนู ยร์ บของ ปลย.เอ็ม.16 เอ.1 มรี ะยะเทา่ ใด
5.ศนู ย์รบของ ปลย.เอ็ม.16 เอ.2 มีระยะเท่าใด
6.ศูนยร์ ูปตัว “L” วิถีกระสนุ จะตดั กับแนวสายตาท่รี ะยะแรก กีเ่ มตร
7.ศนู ย์รปู ตัว “L” จะมียอดกระสนุ วถิ สี งู กว่าแนวสายตาท่ีระยะแรก กีน่ ว้ิ ในระยะกี่เมตร
8.จานปรับทางระยะของศูนยห์ ลงั ปลย.เอม็ .16 เอ.2 ใช้สำหรบั ยงิ ในระยะเท่าใด
9.ศูนย์รใู หญท่ ีม่ เี คร่อื งหมาย 0-2 ใช้สำหรบั การยงิ แบบใด
10.การยิงจัดกลุ่มกระสนุ จะต้องได้กลมุ่ กระสนุ ขนาดกวา้ งไมเ่ กินเท่าใด ในระยะกเ่ี มตร

*********************************

- 134 -

บทท่ี 7

ปก.38 (แมก๊ 58 )

1. กล่าวนำ ปก.38 เป็นปืนกลเอนกประสงค์สามารถต้ังยิงบนพ้ืนดินบนยานพาหนะยานรบ ฮ. ที่มี
แทน่ ยึดปนื ไดก้ องทัพบกมคี วามประสงค์ทจี่ ะใช้ทดแทน ปก.เอม็ .60ที่ชำรุดการใช้เช่นเดยี วกบั ปก.เอ็ม.60

2. รายการท่ัวไป เป็นอาวุธยิงแบบอัตโนมัติทำงานด้วยแก๊สระบายความร้อนด้วยอากาศ ป้อน
กระสุนด้วยสายกระสุนมีขีดความสามารถในการยิงด้วยปริมาตรการยิงหนาแน่น สามารถยิงด้วยอัตราการยิงสูงสุด
ต่อเนื่องกันได้ในระยะเวลานานพอสมควร สามารถปรับอัตราการยิงได้ มีน้ำหนักในเกณฑ์ค่อนข้างเบาจึงสามารถจัด
อยู่ในประเภทอาวุธกลที่ใช้ยิงจากการต้งั บนขาทรายและอาวุธยิงอัตโนมตั ิประเภทปืนกลเบาที่ใช้ในการยิงจากาการตั้ง
บนขาหย่ัง สามารถถอดประกอบชิ้นส่วนโดยใช้เวลาน้อย ทนทานสภาพการณ์ต่างๆ ได้เช่นส่ิงสกปรกหรือโคลนหรือ
ฝุ่นผงรบกวน สามารถตดิ ตัง้ บนยานพาหนะแบบต่างๆ รวมท้งั บนอากาศยานได้

รูปที่ 7 – 1 สว่ นประกอบต่างๆ

3. คุณลกั ษณะและขีปนวิธี
- ปก.38 เป็นอาวุธท่ีทำงานด้วยแก๊ส มีเคร่ืองควบคุมปริมาณแก๊สหรือกรวยจัดแก๊สเพ่ือระบายแก๊ส
ออก
- ลำกลอ้ งสามารถถอดและเปลี่ยนลำกลอ้ งไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว
- กรวยจดั แก๊สสามารถปรับได้ เพือ่ ใหก้ ารทำงานต่อเน่ือง และยังสามารถใช้ปรับอัตราการยิงได้หลาย
จังหวะและอตั รา ระหวา่ ง 650 ถึง 1,000 นดั ต่อนาที
- มีระบบนิรภัยอยู่ท่ีการทำงานของลูกเล่ือนขั้นตอนก่อนท่ีกระสุนจะยิงออกไปนั้น จอกกระทบแตก
ของกระสุนจะไมถ่ ูกเขม็ แทงชนวนเจาะ ถ้าการขัดกลอนยังไมส่ นทิ

- 135 -

- ป้อนกระสุนด้วยสายกระสุนโลหะแบบยดึ ครง่ึ นัด
- ทำการยิงจากท่าลูกเล่ือนเปิด สามารถป้องกันการทำงานผิดปกติในลักษณะรังเพลิงร้อนจัดทำให้
กระสุนลัน่ ออกไปเองได้โดยท่ไี ม่ไดเ้ หนีย่ วไก (COOK OFF)
- ส่วนเคลื่อนที่และกลไกต่างๆ จะปอ้ งกนั ด้วยโครงปืนท้ังหมด ช่องคัดปลอกกระสุนมีแผ่นเหล็กเปิด
ปดิ ไดส้ ำหรับป้องกันส่ิงสกปรกและฝุ่นผง การเคลื่อนที่ของลูกสูบไปข้างหนา้ และมาข้างหลงั จะเปิดฝาปิดช่องคัดปลอก
กระสุนโดยอัตโนมัติ
- ศูนย์ปืนประกอบด้วย ศูนย์หน้าสามารถปรบั ได้ทางทิศและทางระยะ ศูนย์หลังสามารถปรับได้คร้ัง
ละ 100 เมตร ต้ังแต่ 200 เมตรถึง 800 เมตร บนใบศูนย์หลังด้านหน่ึงอีกด้านหน่ึงมีมาตราตัวเลขต้ังแต่ 800 เมตรถึง
1,800 เมตร
4.รายการหลกั ฐานของปนื

ขนาดและนำ้ หนัก กวา้ งปากลำกล้อง 7.62 มม.
ขนาดและน้ำหนัก ใชก้ ระสุนขนาด 7.62 x 51 มม.นาโต้
น้ำหนกั ปืนรวมพานท้ายและขาทราย 11 กก.หรือ
ศนู ย์ปนื 24.2 ปอนด์ (โดยประมาณ)
น้ำหนักของลำกล้อง (พร้อมด้วยชดุ กรวยจัดแกส๊
ปลอกป้องกนั แสงและด้ามหิ้ว) 3 กก. หรือ 6.6
ปอนด์ (โดยประมาณ)
ความยาวของปนื โดยตลอด รวมปลอกป้องกันแสง
1,255 มลิ ลเิ มตร หรอื 49.4 นวิ้ (โดยประมาณ)
รศั มีศนู ย์ เมื่อพับศูนยล์ ง 844 มลิ ลเิ มตร หรอื 33.4
นิ้ว (โดยประมาณ)
รศั มีศนู ย์ เม่ือตัง้ ศูนยข์ ึน้ 785 มิลลเิ มตร หรอื 30.9
นวิ้ (โดยประมาณ)
ความยาวลำกลอ้ งไม่รวมปลอกปอ้ งกนั แสง 545
มิลลเิ มตร หรือ 21.4 น้ิว (โดยประมาณ)
เกลียวภายในลำกลอ้ ง 4 เกลียวเวยี นขวา 1 รอบ
เกลียว เทา่ กับ 305 มิลลเิ มตร หรือ 12 นวิ้ (ความ
ยาวลำกล้อง)
ศูนยห์ ลังเปน็ ศนู ยร์ ู และศนู ย์บากเพิ่มระยะคร้งั ละ

- 136 -

อตั ราการยิงสูงสดุ 100 เมตร
ขีดจำกดั ของการส่ายทางขา้ ง(โดยตลอด) เมือ่ พบั ลงใชศ้ นู ยร์ ู 200 ถึง 800 เมตร
ระยะยงิ เม่อื ยกตงั้ ขนึ้ ใช้ศูนยบ์ าก 800 ถึง 1,800 เมตร
ปรบั ไดร้ ะหวา่ ง 650 ถึง 1,000 นัด ตอ่ 1 นาที
(ปรับทีก่ รวยจัดแกส๊ )
บนขาทราย 90 องศาหรอื 1,600 มิลเลยี ม
บนขาหยัง่ (เอม็ 122) 875 มิลเลียม
ไกลสุด 3,500 เมตร
หวังผล 1,800 เมตร
ยงิ กวาดบนพนื้ ทล่ี าดเสมอ 600 เมตร

การถอดและการประกอบ
การถอดประกอบปกติมี2ข้นั หน้าทผี่ ู้ใช้
การถอดปกติขนั้ ท1่ี ม5ี หมูช่ น้ิ สว่ น
1. ชดุ ลำกลอ้ งพร้อมชดุ กรวยจัดแกส๊ และด้ามห้ิวปนื
2. ชดุ พานท้าย
3. ชุดเคลอื่ นท่ี(ลกู เลื่อน ลกู สูบ กา้ นสูบ และแหนบกา้ นสูบ)
4. ชดุ โครงเคร่อื งลั่นไกและด้ามปืน
5. ชดุ โครงปืนพรอ้ มขาทรายและฝาปดิ หอ้ งลูกเล่ือน

ชดุ พานทา้ ย ชดุ เคล่อื นท่ี ชดุ ลำกลอ้ ง

ชดุ โครงเครอื่ งลนั่ ไก ชดุ โครงปนื พร้อมขาทราย

และดา้ มปืน และฝาปิดหอ้ งลกู เลื่อน

รูปที่ 7 – 2 การถอดและการประกอบ

- 137 -

การถอดประกอบปกติขนั้ ที่ 2 ถอดประกอบ 2 ชุด
1. ชดุ เคลอื่ นที่มี 3 ช้ิน

1.1 ลกู เลอื่ นและข้อตอ่ คันขึน้ นกและกลอนลูกเล่ือน
1.2 ก้านสูบและโครงตอ่ ท้ายก้านสบู และเขม็ แทงชนวน
1.3 แหนบและแกนแหนบส่งก้านสบู
2. ชุดลำกลอ้ งมี 3 ชนิ้
2.1 ปลอกเกลยี วกรวยจัดแก๊ส
2.2 ลิ้มยดึ กรวยจดั แกส๊ มี 2 อัน
2.3 กรวยจัดแกส๊

รูปท่ี 7 – 3 กรวยจดั แกส๊

การถอดประกอบโดยละเอียดเป็นหนา้ ที่ของชา่ งอาวธุ
การถอดประกอบข้ันท่ี 1
1. ชุดลำกล้องใช้มือซ้ายกดกลอนยึดลำกล้องด้านซ้ายมือลงใช้มือขวาจับด้ามหิ้วลำกล้องผลักมา
ทางซ้ายให้ต้งั ตรงแล้วดันออกไปทางด้านหน้า (ถ้าด้ามหวิ้ ยังไม่ยึดกับบากท่ีท้ายลำกล้องให้ใช้น้ิวช้ีมือขวาดงึ คนั ยึดบาก
ลำกลอ้ งข้ึนแล้วผลกั ดา้ มหว้ิ ไปมาให้ยดึ ตดิ กบั บากทีท่ ้ายลำกล้องให้แน่นแลว้ ปล่อยคันยดึ
2. ชุดพานท้ายกดกลอนยึดพานท้ายด้านใต้ล่างหลังด้ามปืนแล้วยกพานท้ายข้ึนตรงๆพานท้ายก็จะ
หลุดออก
3.ชุดเคล่ือนที่กดแกนแหนบก้านสูบเข้าไปข้างในและยกขึ้นแล้วดึงออกดึงคันร้ังลูกเล่ือนให้ชุด
เคลอ่ื นท่โี ผลอ่ อกมาแลว้ จบั ทโี่ ครงตอ่ ท้ายกา้ นสบู ดึงออกมา
4.ชุดโครงเครื่องลั่นไกและด้ามปืนใช้ปลายลูกกระสุนดันสลักยึดชุดโครงเครื่องล่ันไกและด้ามปืนออก
ทางซ้ายใชม้ ือจับดา้ มปืนกดลงตรงๆแล้วดงึ ออกทางดา้ นหลงั
5. ที่เหลือคือชดุ โครงปืนพร้อมขาทรายและฝาปดิ ห้องลกู เลื่อน
การถอดประกอบปกตขิ ้ันท่ี 2 ชุดเคลือ่ นที่

- 138 -

1.ชุดเคลื่อนท่ีใช้ปลายลูกกระสุนกดสลักยึดข้อต่อคันขึ้นนกและกลอนลูกเล่ือนออกลูกเลื่อนและข้อ
ต่อคันข้นึ นกและกลอนลูกเลือ่ นจะหลดุ ออก

2. โครงตอ่ ทา้ ยก้านสูบและก้านสบู มเี ขม็ แทงชนวนตดิ อย่หู า้ มถอดออก
การถอดประกอบปกตขิ ั้นท่ี 2 ชดุ ลำกลอ้ ง
1. กดทห่ี างคนั ดชั นแี ลว้ คลายเกลียวออกจนหลดุ ดึงปลอกเกลียวกรวยจัดแก๊สออก
2. จบั ล่มิ ยดึ กรวยจัดแก๊สออกจากกรวยจดั แกส๊ 2อัน
3. กดกรวยจดั แกส๊ ลงข้างล่างดงึ ออกถ้าไม่ออกให้ใชค้ ้อนยางเคาะเบาๆ
การประกอบจากการถอดปกตขิ น้ั ที่ 2
1. ชดุ ลำกลอ้ ง

1.1 ประกอบกรวยจัดแก๊สเข้ากบั แท่นยดึ กรวยจดั แกส๊ โดยใหบ้ ากตรงกันเข้ากบั แทน่ ยึดกรวยจดั
แกส๊ สนิท

1.2 นำล่มิ 2อันมาประกบเข้าท่เี ดมิ
1.3 นำปลอกเกลยี วกรวยจัดแก๊สใสล่ งตรงและหมุนขันเข้าใหส้ ดุ แล้วคลายออกให้
ดรรชนชี เ้ี ลข1ตำแหน่ง (NORMAL) การจดั กรวยจัดแก๊สข้ันต้อนห้ามหมนุ ให้ดรรชนีชไี้ ปที่เลขอื่น
2.ชดุ เคลอื่ นท่ีใหน้ ำลูกเล่ือนและขอ้ ตอ่ คนั ข้นึ นกและกลอนลูกเลอื่ นประกอบตรงชอ่ งสลักแล้วใสส่ ลกั
ยดึ ข้อต่อคันขึน้ นกจากทางซา้ ยหรือทางขวากไ็ ด้
การประกอบจากการถอดปกติข้ันที่ 1
1. ชุดโครงเคร่ืองลั่นไกและด้ามปืนจับด้ามปืนยกด้านหน้าให้เข้าไปขัดกับบากที่ใต้โครงปืนแล้วยก
ท้ายโครงเคร่อื งล่ันไกขึ้นใหร้ ูรอ้ ยสลักตรงรทู ใี่ ต้โครงปืนดนั สลกั ยึดโครงเคร่ืองล่นั ไกและดา้ มปืนให้เข้าที่
2.ชุดเคล่ือนท่ีจับท่ีโครงต่อท้ายก้านสูบดันลูกเลื่อนให้ขึ้นนกใส่เข้าไปในโครงปืนโดยต้องใช้น้ิวเหน่ียว
ไกปนื ไว้ดันโครงต่อทา้ ยก้านสูบเข้าให้สดุ ใส่แหนบและแกนแหนบโดยดันเข้าไปตรงๆแลว้ กดลงใหท้ ้ายแกนแหนบยึดกับ
ชอ่ งบากดา้ นบนในท้ายโครงปืน
3. ชดุ พานท้ายจบั พานท้ายใส่จากดา้ นบนทา้ ยโครงปืนกดลงไปใหก้ ลอนยึดพานท้ายยดึ แนน่
4.ชุดลำกล้องจับท่ีด้ามหิ้วลำกล้องใส่เข้ากับหน้าโครงปืนโดยให้กรวยจัดแก๊สเข้าไปในบากกระบอก
สบู มอื ซา้ ยกดกลอนยดึ ลำกล้องลงผลกั ด้ามห้ิวลงด้านขวาใหค้ ลีบทา้ ยลำกลอ้ งเขา้ ขัดกบั ชอ่ งคลีบทีช่ อ่ งหนา้ โครงปืน
ตรวจสอบการถอดประกอบโดยดงึ คันรั้งลกู เล่ือนมาข้างหลังแลว้ ใช้มือซา้ ยล่นั ไกมือขวาค่อยๆผ่อนคันรงั้ ลกู เล่ือนเบาๆ
จนไปหน้าสุดถา้ ปนื ล่นั ไกได้ถือไดว้ ่าการถอดประกอบถกู ต้อง
การบรรจุ, เลกิ บรรจุ และการตรวจความปลอดภัย
1. การบรรจุ
1.1 ดงึ คนั ร้งั ลกู เล่อื นมาข้างหลังสุดแลว้ ดันคนั ร้งั ลกู เล่ือนไปขา้ งหนา้ สดุ

- 139 -

1.2 หา้ มไก
1.3 ยกฝาปิดห้องลกู เล่ือนขน้ึ
1.4 วางกระสุนนัดแรกลงบนร่องแผ่นเหลก็ รองกระสุน
1.5 ปิดฝาปิดหอ้ งลูกเลือ่ น
2. การเลกิ บรรจุ
2.1 ห้ามไก
2.2 ยกฝาปดิ หอ้ งลกู เลือ่ นข้ึน
2.3 ถอดสายกระสุนออก
2.4 ใชแ้ สแ้ ยงจากปากลำกลอ้ งดูทร่ี ังเพลิงวา่ ปลอดภยั
2.5 ปิดฝาปดิ ห้องลกู เล่ือน
2.6 เปิดหา้ มไก
2.7 ใสม่ อื ซ้ายลัน่ ไกมือขวาดงึ คันรงั้ ลกู เลื่อนมาขา้ งหลังสุดแลว้ ค่อยๆผ่อนใหล้ ูกเลอื่ นเคลือ่ นไป
ข้างหน้าสดุ เบาๆโดยไม่มเี สียงดัง
2.8 ปดิ ฝากนั ฝ่นุ ชอ่ งคดั ปลอกกระสุน
3.การตรวจอาวุธ
3.1 เปดิ ฝาปดิ ห้องลกู เลื่อนขึ้น
3.2 ถอดสายกระสุนออก (ถ้ามี)
3.3 ดงึ คันร้ังลูกเลื่อนมาขา้ งหลงั สดุ
3.4 ดันคันร้ังลูกเล่อื นไปขา้ งหนา้ สุด
3.5 หา้ มไก
3.6 ใช้แส้แยงจากปากลำกลอ้ งวา่ รงั เพลงิ ปลอดภัย
3.7 ดึงคันรั้งลูกเลื่อนมาขา้ งหลังสุดจับไว้
3.8 เปดิ หา้ มไก
3.9 ลัน่ ไกโดยคอ่ ยๆผ่อนคันรง้ั ลกู เล่อื นไม่ใหล้ ูกเล่ือนกระทบเสยี งดัง
3.10 ปิดฝาปดิ หอ้ งลกู เลอ่ื น
3.11 ปดิ ฝากันฝนุ่ ช่องคัดปลอกกระสุนปก.38เมอื่ ไม่ขึ้นนกจะห้ามไกไม่ได้
วงรอบการทำงานของเคร่อื งกลไก
พลประจำปืนทุกคนต้องมีความรู้และมีความสามารถในการใช้ปืนกล38ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย
จดจำการทำงานของปืนกฎทางระยะทางมุมทิศของปืนและสามารถแก้ไขเหตุติดขัดซ่ึงเกิดข้ึนระหว่างการยิงได้
ปืนกล 38 ยิงอัตโนมัติปืนจะลั่นออกไปได้นานเท่านานตราบเท่าท่ีกระสุนจะมีบรรจุอยู่หรือจนกว่าจะปล่อยไกชิ่นส่วน

- 140 -

ของเครื่องกลไกของปืนจะทำงานตามลำดับอย่างแน่นอนบางชิ้นส่วนหรือหลายๆชจะทำงานพร้อมๆกันในเวลา
เดียวกันดังน้ันการแยกแยะการทำงานออกก็เพ่ือความมุ่งหมายในการสอนเท่านั้นลำดับขั้นในการปฏิบัติของปืน
เรียกว่า “วงรอบการทำงานของปนื ” จะอธบิ ายแตล่ ะข้ันตอนดงั ต่อไปน้ี

1. การป้อนกระสุน เมื่อลูกเล่ือนเคล่ือนที่ไปข้างหน้าลูกเบ้ียวจะเคลื่อนที่ในร่องคันเล่ือนสายกระสุน
ที่มีส่วนโค้งบังคับให้คันเลื่อนสายกระสุนขยับไปทางขวาส่งผลให้ก้านต่อคันเลื่อนสายกระสุนบังคับให้ล้ินป้อนกระสุน
ตัวหน้าและตัวหลังด้านนอกเคล่ือนที่มาทางขวาดันข้อต่อและกระสุนนัดต่อไปมาทางขวาล้ินป้อนกระสุนด้านในมีตัว
เดยี วจะเคล่ือนที่มาทางซ้ายเข้ายึดกระสนุ และขอ้ ตอ่ นัดที่ล้ินป้อนกระสุนด้านนอกตัวหน้า และตวั หลงั ดันส่งให้มายึดไว้
เมื่อลูกเลื่อนเคลื่อนท่ีมาข้างหลังลูกเบี้ยวจะเคล่ือนที่ในร่องคันเลื่อนสายกระสุนบังคับให้ล้ินป้อนกระสุนด้านนอก
เคล่ือนท่ีมาทางซ้ายจบั ยึดกระสุน และสายกระสุนนัดต่อไปขณะเดียวกนั น้ันก้านต่อคันรั้งลูกเล่ือนจะบังคับให้ล้ินป้อน
กระสุนด้านในดันกระสุนนัดที่จับไว้ให้เคลื่อนที่มาทางขวามาอยู่ตรงช่องป้อนกระสุนและถูกเหล็กกดกระสุนที่อยู่
ด้านบนกดไว้เป็นการส้ินสุดการป้อนกระสุนเม่ือพลยิงเหน่ียวไกเดือยลูกเลื่อนจะว่ิงมาชนจานท้ายกระสุนให้มุดเข้าไป
ในรังเพลงิ เรมิ่ วงรอบการยิงต่อไป

2. การเข้าสู้รังเพลิง จะเริ่มต้นเม่ือวางกระสุนนัดแรกเข้าไปในเครื่องป้อนกระสุนและเหนี่ยวไกมา
ข้างหลังทำใหแ้ งท่ ้ายกระเดื่องไกลดต่ำลงหลุดจากบากท่ีกา้ นสูบแหนบกา้ นสูบขยายตัวดันชุดเคลื่อนทไี่ ปข้างหน้าเดือย
ท่ีหน้าลูกเลื่อนจะดันกระสุนนัดแรกพุ่งเข้าสู่รังเพลิงปลายลูกกระสุนจะสัมผัสกับส่วนลาดของโครงต่อท้ายลำกล้องทำ
ให้ลูกกระสุนถูกกดให้ต่ำลงเข้าไปในรังเพลิงและเมื่อกระสุนเข้าไปอยู่ในรังเพลิงแล้วจานท้ายของกระสุนวางตัวติดกับ
หน้าลกู เลื่อนกดเหล็กคัดปลอกกระสุนอดั แหนบให้จบเข้าไปในหน้าลูกเล่ือนขณะเดียวกันนั้นขอรั้งปลอกกระสุนจะเงย
ขนึ้ จับขอบจานทา้ ยปลอกกระสุนไว้

3. การขัดกลอน เมื่อหน้าลูกเล่ือนบรรจุกระสุนจนกับท้ายรังเพลิงแล้ววจะหยุดแต่โครงท้ายก้านสูบ
จะเคล่ือนที่ต่อไปอีกดันต่อข้อต่อคันขึ้นนกและกลอนลูกเล่ือนทำให้ข้อต่อคันข้ึนนกและกลอนลูกเล่ือนหมุนตัวลงทาง
ด่งิ ดนั ใหก้ ลอนลกู เล่ือนเข้าไปขดั กับแท่งขัดกลอนซง่ึ อยตู่ ดิ กับโครงปืนเปน็ การขดั กลอนของลูกเลื่อน

4. การยงิ เม่ือกลอนลูกเลื่อนขัดกลอนสนทิ กับแทน่ ขดั กลอนโครงต่อท้ายก้านสูบยังคงเคล่ือนทตี่ ่อไป
อีกเล็กน้อยโดยจะดันเข็มแทงชนวนให้วิ่งไปข้างหน้าโผล่ท่ีหน้าลูกเล่ือนตีต่อจอกกระทบแตกที่จานท้ายปลอกกระสุน
เกดิ ระเบดิ เปน็ แกส๊ เผาไหม้ขบั ดันลกู กระสุนใหว้ ่งิ หมนุ ตามเกลียวภายในลำกลอ้ งออกไปทางปากลำกล้อง

5. การปลดกลอน เม่ือลูกกระสุนวิ่งไปถึงช่องระบายแก๊สใต้ลำกล้องตรงกับรูท่ีชุดกรวยจัดแก๊สแก๊ส
ส่วนหน่ึงจะไหลผ่านเข้าไปในรูกรวยจัดแก๊สออกทางรรู ะบายแก๊สที่ปลอกเกลียวกรวยจัดแก๊สและดันไปต่อหน้าลูกสูบ
ในกระบอกแก๊สลูกสูบจะดันต่อก้านสูบก้านสูบจะดันต่อโครงท้ายก้านสูบโครงต่อท้ายก้านสู บจะดึงให้ข้อต่อคันขึ้นนก
และกลอนลูกเลื่อนถอยมาข้างหลังแต่ยังถอยทันทไี มไ่ ดเ้ พราะกลอนลูกเลื่อนยังขัดกลอนกันอยู่คันข้ึนนกจะถูกดึงให้ยก
ตัวขึ้นดึงกลอนลกู เลอ่ื นให้หลดุ จากการขัดกลอนช่วงทีข่ อ้ ตอ่ ทิ้งระยะเวลาช่ัวขณะหน่งึ นี้เพื่อให้ลูกกระสุนวิ่งผ่านปากลำ

- 141 -

กล้องออกไปกอ่ นปอ้ งกันมิให้ลูกเลื่อนเปิดจากรังเพลิงกอ่ นทีล่ ูกกระสนุ จะว่งิ ออกจากปากลำกล้องป้องกันอันตรายจาก
แก๊สจะเกิดกับพลยงิ เป็นการปลดกลอน

6. การรั้งปลอกกระสุน เม่ือลูกเล่ือนถูกดึงให้ถอยมาข้างหลังด้วยคันข้ึนนกขอร้ังปลอกกระสุนซึ่งจับ
ขอบจานท้ายปลอกกระสุนไว้จะดึงปลอกกระสุนออกมาจากรังเพลิงตรงๆด้วยเป็นการรั้งปลอกกระสุนซ่ึงขอร้ังปลอก
กระสนุ จะอยดู่ ้านล่างของหน้าลกู เลอ่ื น

7. การคัดปลอกกระสุน ขณะทลี่ ูกเล่อื นดึงปลอกกระสุนให้อกมาจากรังเพลงิ น้ันเหล็กคดั ปลกกระสุน
ซ่ึงอยู่ด้านบนลูกเลื่อนแหนบเหล็กคัดปลอกกระสุนจะขยายตัวดันปลอกกระสุนให้ลงไปในช่องคัดปลอกข้างล่างท่ีมีฝา
ปิดกนั ฝนุ่ เปดิ ออกแล้วเปน็ การคัดปลอกกระสนุ

8. การขึน้ นก ขณะเม่ือก้านสูบอัดแหนบก้านสูบและถอยมาข้างหลงั โครงต่อท้ายก้านสูบดึงข้อตอ่ คัน
ขึ้นนกและกลอนลูกเลื่อนให้พลิกตัวหมุนข้ึนตามลาดของแท่งขัดกลอนให้กลอนลูกเล่ือนข้ึนไปบนแท่งขัดกลอนหลุด
จากการขัดกลอนแล้วกลอนลูกเลื่อนซ่ึงเป็นอันต่อกันกับคันข้ึนนกจะดึงคันขึ้นนกขึ้นข้างบ นเป็นแนวเส้นตรง
ขณะเดียวกันน้ันโครงต่อท้ายก้านสูบจะดึงเข็มแทงชนวนให้ถอยออกผลุบเข้าไปในหน้าลูกเลื่อนและถอยออกมาพร้อม
กบั ลูกเล่อื นเม่ือลกู เลื่อน, คนั ขึ้นนกและกลอนลูกเลอ่ื นข้ึนจากลาดแท่งขัดกลอนเป็นแนวเดียวกันแล้วโครงต่อท้ายก้าน
สูบจะดึงท้ังหมดถอยมาข้างหลังจนท้ายโครงต่อท้ายก้านสูบชนกันเคร่ืองรับแรงสะท้อนถอยหลังซ่ึงอยู่ด้านหน้าพาน
ท้ายปืนเป็นการส้ินสุดการเคล่ือนที่มาข้างหลังขณะน้ันบากก้านสูบที่อยู่ใต้ก้านสูบจะถอดพ้นแง่ท้ายกระเดื่องไกถ้าพล
ยงิ ปล่อยไกปนื ท้ายกระเด่อื งไกจะสูงข้ึนไปขัดกับบากก้านสูบไวเ้ ปน็ การขน้ึ นก

การแก้ไขเหตตุ ิดขัด
1. การท่ปี ืนไม่ทำงานเหตุตดิ ขัดและวิธแี ก้ไข
ปก.38 หากได้ทำความสะอาดและมีการหล่อล่ืนปืนจะไม่ติดขัดหากเกิดการติดขัดส่วนมากเกิดจาก
การขาดการปบ. ทถ่ี ูกวธิ หี รือมีชน้ิ ส่วนชำรุดแตกหักเน่อื งมาจากการใช้งานมานาน
2. การแก้ไขเหตตุ ดิ ขดั
การท่พี ลยงิ กระทำต่อปืนไมถ่ ูกต้อง, กระสุนผดิ รปู , ปืนสกปรกไม่ถือวา่ ปืนตดิ ขัด

2.1 การแกไ้ ขทันทที ันใดในกรณีเม่ือเหนย่ี วไปแลว้ ปืนไมล่ ่ันใหป้ ฏิบัตดิ ังนี้
- ดึงคนั รงั้ ลกู เล่ือนมาข้างหลงั สุด – สังเกตวา่ มีกระสุน, ปลอกกระสนุ , ข้อตอ่ สายกระสนุ หลดุ

ออกมาหรือไม่ (กระสนุ อาจด้านหรอื ไม่บรรจเุ ขา้ รังเพลิงและข้อตอ่ สายกระสนุ อาจจะไปขัดกบั หนา้ ลูกเล่ือน
- ดนั คนั ร้งั ลูกเลื่อนไปขา้ งหน้าสุด
- เล็งยิงตอ่ ไป

2.2 การแกไ้ ขทนั ทีทนั ใดแล้วไม่สามารถทำการยิงต่อไปได้ให้ปฏิบตั ดิ งั น้ี
- ถือปืนในทา่ พร้อมยิง
- ดึงคนั รง้ั ลกู เลื่อนมาขา้ งหลงั , ห้ามไก, ดนั คนั รง้ั ไปข้างหน้า

- 142 -

- เปิดฝาปดิ ห้องลูกเลื่อนนำสายกระสุนออกใหแ้ ส้แยงลำกลอ้ งเพ่ือความปลอดภยั
- เปดิ ห้ามไกแลว้ เหน่ยี วไกให้สงั เกตดูว่าลกู เลือ่ นวง่ิ ไปข้างหนา้ สดุ หรอื ไม่ (ถ้าไม่สดุ ให้คน้ หา
สาเหตตุ ามตารางการแก้ไขเหตุตดิ ขัด)
2.3 การแก้ไขเมอ่ื เหน่ียวไกไปแลว้ ปนื ยิงออกไปได้ทลี ะ 1 – 2 นัดหรอื ปนื ทำงานฝดื ช้าให้ปรบั ที่
กรวยจัดแก๊สใหต้ ัวเลขมากขนึ้ ตามลำดบั (1 – 2 – 3 )
- เม่อื ปรบั แลว้ ไม่ได้ผลให้เปลี่ยนลำกลอ้ งอะไหล่ (ชดุ กรวยจดั แก๊สอาจจะอุดตนั )
2.4 เมื่อลันไกไปแล้วเสียงปนื ดังเบาและมีควันมากหา้ มใช้วิธีแก้ไขทันทที นั ใดใหส้ ันนฐิ านวา่
กระสุนอาจจะคาในลำกล้องให้ปฏิบัตดิ ังนี้
- ดงึ คนั รัง้ ลูกเลอ่ื นมาข้างหลงั , ห้ามไก, ดนั คนั รง้ั ไปขา้ งหน้า
- เปิดฝาปิดหอ้ งลกู เล่ือนแล้วนำสายกระสุนออก
- ใช้แส้แยงลำกล้องถ้ามีกระสุนคาอยู่ในลำกล้องพยายามเอาออกให้ได้ถ้าไม่ได้ให้นำส่งนาย
สบิ ช่างอาวุธแลว้ เปลย่ี นลำกล้องอะไหล่
- ถา้ ไมม่ ีกระสนุ คาอยู่ในลำกล้องให้ทำการบรรจแุ ละยิงต่อไป
2.5 ในขณะท่ที ำการยิงปนื เม่ือปล่อยไกแลว้ ปืนยังยงิ ติดต่อกนั เร่ือยไปใหป้ ฏบิ ัติดังน้ี
- ดึงคันรงั้ ลกู เลือ่ นมาขา้ งหลงั สุดแล้วจบั ไวใ้ หแ้ น่น
- จบั สายกระสุนบิดขวาง
- เปิดฝาปดิ ห้องลกู เล่ือน
2.6 ถ้ายิงกระสุนด้วยอัตราการยิง 650 – 1,000 นัด/นาที ติดต่อกันเป็นเวลานานจนทำให้ลำ
กล้องปืนมีความร้อนมากเมื่อเหน่ียวไกแล้วปืนไม่ลั่นให้คอย5นาทีจึงตรวจอาวุธเพื่อป้องกันการลั่นช้า (การฝึกคอย
15 นาท)ี
ขอ้ ควรระมัดระวัง
1. อย่าเปล่ียนลำกล้องจนกว่าจะตรวจสอบแล้วว่าลูกเล่ือนเปิดอยู่แผ่นเหล็กรองกระสุนและรังเพลิง
ไมม่ กี ระสุน
2. ตรวจรงั เพลิง, ลำกล้อง, กรวยจัดแกส๊ ลำกล้องเดิมสภาพปกตหิ รือไม่

หวั ข้อการทป่ี นื ไม่ทำงานเกดิ การตดิ ขดั และวธิ แี กไ้ ข

ปนื ไม่ทำงานหรอื เหตุตดิ ขดั เน่ืองมาจากสาเหตุ วิธแี ก้ไข


Click to View FlipBook Version