The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงการศิลปนิพนธ์ทางด้านศิลปะการแสดง
การสอบทักษะศิลปะการแสดงชั้นสูง ครั้งที่ ๒๓

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kunjanat Bunthos, 2023-04-20 16:10:07

สูจิบัตร

โครงการศิลปนิพนธ์ทางด้านศิลปะการแสดง
การสอบทักษะศิลปะการแสดงชั้นสูง ครั้งที่ ๒๓

พระพิฆเนศนำ ใจจุดประกายศิลปิน ถิ่นแคว้นแดนสถาน ทิพย์วิมานองค์พิฆเนศ ลูกหลานจากทุกถิ่นเขต ขอน้อมเกศฝากเป็นศิษย์ยา จะตั้งใจ ใฝ่ดี สามัคคี กันทุกทั่วหน้า มีน้ำ ใจใสเย็นศรัทธา น้อมบูชาคุณครูอาจารย์ อ่าองค์พระพิฆเนศนี้ ศูนย์รวมฤดีเป็นศรีสง่า โปรดประทานแผ่พระเมตตา ประสิทธิ์วิชาสร้างงานสานใจ ศิษย์ขอบูชาเหลาคณาอาจารย์ ผู้ประทานวิทยาและกำ ลังใจ สมานไมตรี น้องพี่ร่วมใจ มอบจิตถวาย หลอมเทียนแห่งใจ เป็นเทียนชัยนำ ผองเรา ก่อเกียรติก้องไกลศิลปกรรม ณ มหาสารคาม ๑


ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พีระ พันลูกท้าว คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมศาสตร์ "ศิลปนิพนธ์ทางศิลปะการแสดงครั้งที่ ๒๓" ประจำ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ เป็นกิจกรรมสำ คัญสูงสุด ในการเรียน การสอนของหลักสูตรศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต ภาควิชาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมศาสตร์ ที่สะท้อนถึงพัฒนาการอย่างประสบความสำ เร็จมาถึง ครั้งที่ ๒๓ ประการสำ คัญศิลปนิพนธ์ทางด้านศิลปะการแสดง แต่ละครั้งที่ผ่านมา ได้สร้างคุณูปการต่อวงการศิลปะการแสดงในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างมีนัยสำ คัญ ที่ผสาน และบูรณาการ การเรียนรู้ภาคทฤษฎี ปฏิบัติการ และการบริหารจัดการแสดงต่าง ๆ สำ หรับ “โครงการศิลปนิพนธ์ทางศิลปะการแสดง ครั้งที่ ๒๓ ประจำ ปีการศึกษา ๒๕๖๕” จัดเป็นเวทีสำ คัญ ที่ทำ ให้นิสิตภาควิชาศิลปะการแสดงทั้งนาฏยศิลป์ไทย นาฏยศิลป์พื้นเมือง นาฏยศิลป์ตะวันตก และศิลปะการละคร ได้นำ ประสบการณ์จากการเรียนการสอนในหลักสูตรที่ผ่านมาได้สรรค์สร้างชุดการแสดงเป็นของตนเองเพื่อนำ เสนอ ต่อสาธารณชน และรับการประเมินขั้นสูงสุดของหลักสูตร รวมทั้งเพื่อรับการเสนอแนะเพื่อเป็นแนวทางในการเติบโต เป็นนาฏยศิลปินที่เข้มแข็งต่อไป ในนามของคณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมศาสตร์ผมมีความชื่นชมนิสิตเหล่านี้ เป็นอย่างยิ่ง และโดยเฉพาะความสำ เร็จจากการเรียนและการนำ เสนอผลงานแสดงอย่างต่อเนื่อง จึงขอความชื่นชม ยินดีอย่างยิ่งมา ณ ที่นี้ และขออำ นวยพรให้นิสิตทุกคนได้เติบโตในวงการศิลปะการแสดงอย่างสูงสุดต่อไป ๒


สั่งสม สืบสาน สร้างสรรค์ นี่คือก้าวแรกของการทำ งานศิลปนิพนธ์ทางด้านศิลปะการแสดง เพื่อจะก้าวเป็น บัณฑิตตามปณิธานของภาควิชาศิลปะการแสดง การสอบศิลปนิพนธ์ทางด้านศิลปะการแสดงครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒๓ ถือว่าเป็นการสั่งสม ความรู้ ความสามารถของการปฏิบัติทักษะศิลปะการแสดง เพื่อให้เกิดการสืบสานต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น ทำ ให้นิสิตที่จะก้าวเป็นบัณฑิตมีความรู้ ความเหมาะสมที่จะมีการพัฒนาเป็นบัณฑิตที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ เจริญงอกงามในด้านศิลปะการแสดงสืบไป อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ หัวหน้าภาควิชาศิลปะการแสดง ๓


ตลอดระยะเวลา ๔ ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่นิสิตทุกคนได้ใช้เวลาเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์โดยมี คณาจารย์ภาควิชาศิลปะการแสดงทุกคน เป็นผู้ชี้แนะแนวทางและบ่มเพาะให้นิสิตทุกคนเป็นเมล็ดพันธุ์ทางด้านศิลป วัฒนธรรมชั้นเยี่ยมที่จะแข็งแรงและเติบโต พร้อมที่จะเป็นกำ ลังสำ คัญของประเทศชาติที่จะช่วยอนุรักษ์ เผยแพร่ และสร้างสรรค์ นำ ไปสู่การพัฒนาให้ศิลปะการแสดงนั้นดำ รงอยู่คู่ประเทศชาติของเราต่อไป โครงการศิลปนิพนธ์ทางด้านศิลปะการแสดง ครั้งที่ ๒๓ การสอบทักษะศิลปะการแสดงขั้นสูง ของนิสิตชั้นปี ที่ ๔ ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกที่นิสิตจักได้รวบรวมเรียบเรียง องค์ความรู้ด้านศิลปะการแสดงในการนำ ความรู้จากการ ศึกษา และประสบการณ์เรียนรู้ด้านศิลปะการแสดงมาใช้อย่างเป็นระบบ มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ จาก ศิลปินแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญ ครู ศิลปินพื้นบ้าน จากทั่วทั้งประเทศ การทดสอบในครั้งนี้ยังเป็นสิ่งสุดท้ายที่แสดง ศักยภาพของนิสิต เป็นการประมวลความรู้ที่นิสิตได้ศึกษามาตลอดทั้ง ๔ ปีอีกด้วย ท้ายที่สุดนี้ คณาจารย์ขอขอบใจนิสิตทุกคนที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นใฝ่เรียนรู้ตลอดมา ครั้งนี้เป็นก้าวแรกก่อนที่ จะสำ เร็จการศึกษาออกไปเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพของภาควิชาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรม ศาสตร์ สามารถนำ ความรู้ ประสบการณ์และการวางตัวที่ดีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม คณาจารย์ทั้งสี่ คนขอเป็นกำ ลังใจ พร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนศิษย์ทุกคนและจะคอยมองความเจริญก้าวหน้าของศิษย์ทุกคนด้วย ความภาคภูมิใจ อาจารย์ ดร.นฤทร์บดินทร์ สาลีพันธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ อาจารย์กรณ์ภัสสร กาญจนพันธุ์ อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ อาจารย์ประจำ รายวิชาและอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการ ๔


คณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปะ การแสดง ซึ่งนิสิตทุกคนที่ได้รับศาสตร์วิชาองค์ความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนา จากคณาจารย์ที่มี ความรู้ความสามารถ เพื่อนำ ไปสู่การมีทักษะและทฤษฎีทางด้านศิลปะการแสดง นอกจากจะได้รับการอบรมความรู้ ในเรื่องของทักษะและทฤษฎีด้านศิลปะการแสดงแล้ว คณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาสารคาม ของเรายังปลูกฝังให้เรารู้จักการดำ เนินชีวิต การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ การฝึกฝนบุคลิกภาพ มารยาท ความอ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการอบรมสั่งสอนที่งดงามทำ ให้เราเติบโตไปเป็นศิลปินที่มีคุณภาพได้อย่าง ดี คณาจารย์ทุกท่านเปรียบเสมือนพ่อแม่ผู้ปกครองที่คอยดูแลและให้คำ ปรึกษาในทุก ๆ ด้าน ตลอดระยะเวลา ๔ ปีที่ ผ่านมาไม่ว่าจะมีปัญหาทางด้านการศึกษา ปัญหาส่วนตัว อีกทั้งยังกรุณามอบโอกาสในการแสดงให้สามารถใช้ทักษะ ด้านการแสดงสู่สายตาสาธารณะชนได้อย่างสมบูรณ์ โครงการศิลปนิพนธ์ทางด้านศิลปะการแสดง การสอบทักษะศิลปะการแสดงขั้นสูง ครั้งที่ ๒๓ เป็นอีก หนึ่งบทพิสูจน์เพื่อการันตีคุณภาพการศึกษา ที่จะสำ เร็จการศึกษาในอนาคต และแสดงถึงความรู้ความสามารถในการ ใช้ทักษะวิชาเอกของตนเอง เพื่อที่จะได้นำ มาถ่ายทอดความรู้สู่สายตาสาธารณะชนได้อย่างสมบูรณ์ ให้สมกับวิสัย ทัศน์ที่ว่า “สั่งสม สืบสาน สร้างสรรค์” ของภาควิชาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นายพงศ์พัทธ์ ชนชี ประธานโครงการ ๕


อาจารย์ชัยบดินทร์ สาลีพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะการแสดงพื้นเมือง (กลุ่มวัฒนธรรมอีสานเหนือ) อาจารย์สำ รวม ดีสม ผู้เชี่ยวชาญทางด้านศิลปะการแสดงพื้นเมือง (กลุ่มวัฒนธรรมอีสานใต้) อาจารย์ ดร.พรสวรรค์ พรดอนก่อ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดงศิลปะพื้นเมืองอีสาน ๖


วันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๖ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๓.๓๐ น. พิธีเปิดโครงการศิลปนิพนธ์ทางด้านศิลปะการแสดง การสอบทักษะทางด้านศิลปะการแสดงขั้นสูง ครั้งที่ ๒๓ - พิธีกรเชิญประธานในพิธี (ท่านคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์และวัฒนธรรมศาสตร์ ผศ.ดร.พีระ พันลูกท้าว) รับฟังคำ กล่าวรายงานจากประธานโครงการ - ประธานโครงการฯ กล่าวคำ กล่าวรายงาน - ประธานในพิธีกล่าวเปิดงาน - พิธีมอบของที่ระลึกแก่คณะกรรมการ - บันทึกภาพ - พิธีกรกล่าวขอบคุณ เวลา ๑๓.๓๐ น. เป็นต้นไป การแสดงชุดที่ ๑ ฟ้อนแม่บทอีสาน การแสดงชุดที่ ๒ เรือมม็องก็วลจองได การแสดงชุดที่ ๓ ระบำ อัปสรสราญ การแสดงชุดที่ ๔ มโหรีโคราช การแสดงชุดที่ ๕ เรือมกันตรึม การแสดงชุดที่ ๖ เรือมอันเร การแสดงชุดที่ ๗ เรือมจ๊ะกรั๊บ การแสดงชุดที่ ๘ ปะเรเร การแสดงชุดที่ ๙ ฟ้อนมะหาไซ การแสดงชุดที่ ๑๐ ฟ้อนสาละวัน (ฉบับวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด) การแสดงชุดที่ ๑๑ ฟ้อนเต้ยเกี้ยว การแสดงชุดที่ ๑๒ ฟ้อนมโนราห์เล่นน้ำ การแสดงชุดที่ ๑๓ เซิ้งบั้งไฟ การแสดงชุดที่ ๑๔ ฟ้อนละคอน การแสดงชุดที่ ๑๕ ฟ้อนกลองเตะการแสดงชุดที่ ๑๖ ไหซอง การแสดงชุดที่ ๑๗ ฟ้อนละครภูไท การแสดงชุดที่ ๑๘ ฟ้อนภูไทบ้านโพนสวาง การแสดงชุดที่ ๑๙ ฟ้อนกลองตุ้ม (พักช่วงการแสดง ๓๐ นาที) การแสดงชุดที่ ๒๐ ฟ้อนสาวน้อยเลียบดอนสวรรค์ การแสดงชุดที่ ๒๑ ฟ้อนโก๋ยมือ การแสดงชุดที่ ๒๒ เซิ้งผีหมอ การแสดงชุดที่ ๒๓ มวยโบราณ การแสดงชุดที่ ๒๔ โย้ยกลองเลง การแสดงชุดที่ ๒๕ ฟ้อนไทญ้อ การแสดงชุดที่ ๒๖ ฟ้อนศรีโคตรบูรณ์ (พักช่วงการแสดง ๒๐ นาที) การแสดงชุดที่ ๒๗ ฟ้อนสาละวันลาว การแสดงชุดที่ ๒๘ หมอลำ กลอนฟ้อน ๓๒ ท่า (หมอลำ เคน ดาเหลา) การแสดงชุดที่ ๒๙ ฟ้อนหมากกั๊บแก๊บลำ เพลิน การแสดงชุดที่ ๓๐ วาดท่าหมอลำ สมจิตร บ่อทอง การแสดงชุดที่ ๓๑ ไหว้ครูลำ เพลิน การแสดงชุดที่ ๓๒ ลำ เพลินเจริญจิต การแสดงชุดที่ ๓๓ ฟ้อนหมอลำ เพลิน เรื่อง ขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนตามเมีย การแสดงชุดที่ ๓๔ ลำ เพลินผาแดงลานางไอ่ พิธีปิดโครงการหมายเหตุ *** กำ หนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ๗


แสดงโดย นางสาวกุญจณาท บุญทศ นายจักรกฤษณ์ ปิดตาระโพธิ์ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์ ดร.ชัยณรงค์ ต้นสุข อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมิทรชาติ ประวัติการแสดง ฟ้อนแม่บทอีสาน เป็นการแสดงที่ประดิษฐ์ขึ้นโดย อาจารย์ ดร.ฉวีวรรณ พันธุ (ศิลปินแห่งชาติ) พร้อมด้วย คณะอาจารย์ฝ่ายศิลปะพื้นเมือง วิทยาลัยนาฎศิลป์ร้อยเอ็ด สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ โดยในปี พ.ศ. 2525 ได้ทำ การ สำ รวจเพื่อศึกษา เก็บข้อมูลทางด้านศิลปะหมอลำ ของชาวอีสานและได้รวบรวมท่าฟ้อนของหมอลำ นำ มาแต่งเป็นก ลอนลำ แม่บทอีสาน ซึ่งท่าฟ้อนต่างๆ นั้น มีที่มาจากการเคลื่อนไหวอิริยาบถของ คน สัตว์ ธรรมชาติ วรรณกรรมท้อง ถิ่น เรื่องพระลักพระราม และนำ มาผนวกเข้ากัน จัดทำ ให้เป็นท่าแม่บทตามแบบมาตรฐานของชาวอีสาน ๙


“แม่นว่านอนาย จั่งว่าฟังเด้อท่านทุกท่านที่รอฟัง บางทีกลอนบ่จังสิออกเป็นลายฟ้อน ทั้งโยะย่อนตามกลอนแอ่นฟัง เสียงแคนจ้าว ๆ ยอขึ้นยกมือ ท่าหนึ่งนั้น ชื่อพระนารายณ์ ยกแขนสีกาย ๆ ออกพรหมสี่หน้า ท่านี้เพิ่นเอิ้นว่าทศกัณฐ์โลมนาง น้องมณโฑเอวบางลูบหลังลูบไหล่ มีท่าใหม่หย่างไปหย่างมาฮอดบ่หนีไกลตาเอิ้นช้างเทียมแม่ ยกมือขึ้นแก่แด่ท่าช้างชูงวง คือจั่งเอามือควงข้างพุ้นข้างพี่ ทำ ทรงนี้เอียงกายโยะย่อนเอิ้นว่า กาเต้นก้อน เทิงย้อนบ่เซา เข้าท่านี้หยิกไหล่ลายมวย มีเทิงนวยเทิงแข็งคู่กันไปพร้อมไผก็ยอมจั่งว่านอเฮาแล้ว มวยไทยออกท่าขนมต้มผู้ให้ ลายตั้งท่ามวย กวยขาซ้ายปัดป่ายขาหลัง บ่มีกลัวเกรงหยังท่ารำ แนวนี้ ฟังทางพี้ยังมีท่าใหม่ ท่ามวยไทยกะแล้วยัง แฮ้งหย่อนขา ท่าต่อมาเอิ้นว่า กาตาปีก ฟ้อนจั่งซี้ฟ้อนหลีกแม่เมียให้ลูกเขยไปแหน่เอาไม้แหย่ไปนำ ข่อยสิไปฟังลำ ขอทางไปแหน่ คอยท่าฟังเด้อแม่ ลมพัดตีนภู เสียงมันดังวู ๆ เอิ้น ลมพัดพร้าว หนาวๆ เนื้อคือ เสือออกเหล่า ฟ้อนจั่งซี้ท่า เต่าลงหนอง ฟ้อนจั่งซี้ ตีกลองกินเหล้า เทิงเมาเทิงฟ้อนนำ กันเดินม่วน ดังห่วนๆ แห่บุญบั้งไฟ ฟ้อนกะฟ้อนบ่ไกลเขาเอิ้น คนขาแหย่ง ยกมือขึ้นแป่งแซ่ง ตาขำ ตีงัว เอิ้นเป็นตาอยากหัวตาขำ ออกท่า ฟังสิว่าท่าใหม่ยังมี จักสิดีบ่ดียังมีท่าใหม่ ท่านี่ ควายเถิกใหญ่แล่นเข้าชนกัน เทิงคึกเทิงดันหลังขดหลังโก่ง ท่านี้ สาวลงท่ง แก่งแขนนวยนาย ล่ะเทิงเอียงเทิงอายผู้สาวลงท่ง ท่าเฮ็ดหลังโก่งๆ เกี่ยวข้าวในนา คือกับคนงมปลาหลังขดหลังโก่ง ลำ กลอนฟ้อนยังมีอีกต่อ คอยถ่าฟังเด้อพ่อ ท่าตุ่นเข้าฮู ท่าต่อมาเอิ้นพิเพกถวยครู เฮ็ดมือแนวนี้ มีลายฟ้อนหลายอันฟ้อนคู่เอิ้นว่า ฟ้อนเกี้ยวซู้ วนอ้อมใส่กัน ท่าฟ้อนนั้นออกท่าวางแขนเอิ้นว่า ยูงรำ แพน แอ่นแขนเลยฟ้อน เทิงโยะย่อนคือแหลวบินเวิ่น เขาเอิ้นว่า แหลวเซิ่นเอาไก่น้อย สอยได้เวิ่นหนี ฟ้อนจั่งซี้ทำ ท่าสวยๆ ทำ ทรงสีนวยๆ เอิ้นสาวปะแป้ง เถิงยามแล้งเขาว่า ลำ เลี้ยงข่วง คือจั่งคนป่วงบ้าเดินหน้าอย่างไว ลำ เลี้ยงไท้ลงข่วงเป็นฝูง เกินสนุกหนอลุงท่ารำ แนวนี้ มีเสียงพร้อมคือ พายเฮือส่วง ยามน้ำ ล่วงเดือนสิบสอง ฟังเสียงฉาบเสียงกลองดังมาแปดแป่ง ฟังสิแบ่งท่าฟ้อนออกไป เฮ็ดมือสีไวๆ ท่ากวยจับอู่ ฟ้อนจั่งซี้เอิ้นปู่สิงหลาน เป็นน่าสงสารเทิงฮิกเทิงฮ่อน ๑๐


ฟังเบิ่งก่อนท่าผู้เฒ่านั่งฟังธรรม ปากกะจ่มไปนำ มุมมู้มุมมับ เบิ่งเพิ่นนับผิดแต่หลับตา ท่าต่อมาฟ้อนหมอลำ หมู่ ไปฮอดลำ หมู่เอิ้นว่าลำ เพลินนุ่งกระโปรงเขิน ๆ เทิงลำ เทิงเต้น เห็นไหมท่าลำ เพลินออกท่ายกขาขึ้นท่านี้กระดกซ้ายและขวา มือไขว่คว้า ยกอยู่เทิงบน เขาเอิ้นหงส์บินวน เซิ่นบนเทิงฟ้า หลับตาฟ้อนเดินสามถอยสี่ คันแม่นฟ้อนท่านี้ เมาเหล้าบ่ส่วงเซา ท่านี้เจ้า ผู้เฒ่านั่งผิงไฟ ฮอดบ่หนีไปไกลยกมือขึ้นผ่าง ยกมือขึ้นแล้วกะหย่างถอยไปถอยมา เทิงเล่นหูเล่นตาเอิ้น ลิงหลอกเจ้า ฟังฉันเว้า เขาว่ารำ ลักสุ่มฮอดบ่มือจุ่มสักสุ่มหาปลา ท่าต่อมาเอิ้น เกียจับไม้ใต้พุ่มหมากเล็บแมว เทิงขาเทิงแอวสักกะรันตำ ข้าว ยามตอนเช้าสักกะรันเหยียบย่ำ ท่าเฮ็ดหัวต่ำ ๆ ก้นขึ้นสูง ๆ ท่านี้เด้อคุณลุง งมปลาในน้ำ ยามงมได้หักคอเอามายัดใส่ข้องอยู่หนองน้ำ ท่งนา รำ ท่านี้นกกระเจ่าบินวน ตามันเหลียวหาปลาทุ่งนาหนองม่อง ท่านี้นวลนางน้อง กินรีชมดอก ออกมาชมเที่ยวเล่นดอกไม้กลิ่นหอม พร้อมว่าแล้วยังมีท่าใหม่ยังมี นี่คนเข็นไหมแกว่งไวทางนี้หรือเข็นฝ้ายเดือนหงายลงข่วง พวกผู้สาวซ่ำ น้อยคอยถ่าผู้บ่าวมา ท่านี้สาวแม่ฮ้างลงท่งถือหวิง ไปเก็บหอยเก็บปูฮ้องหาเอากุ้ง จับหวิงได้เอาลงไปแกว่ง ตักข้างขวาข้างซ้ายหากุ้งอยู่หนอง ท่านี้เด้อพี่น้องคือฮ้อง ไถนานี่คือลุงทิดสาไถนาหนองม่อง เทิงฮือเทิงฮ้องเชือกก็ฟาดไปนำ ปากกะจ่มพึมพำ ลุงสาลาวเหนื่อย ฟ้อนบ่เมื่อยนี่คือจ้ำ ลายมวย ยกมือขึ้นถวยเวทีสี่ข้าง ท่าเฮ็ดมือห่าง ๆ นี่คือ นับเงินตรา ผู้นั่นบาทหนึ่ง ผู้ฟังบาทหนึ่ง ให้หมอแคนบาทหนึ่ง ท่ากู้จู้กึ่งจึ่งนี่คือหนุมาน ทั้งหมอบเทิงคลานยอแหวนถวยไท้ เห็นหรือไม่หนุมานถวายแหวน ลำ ฟ้อนแบบใหม่ ได้เรียงไล่ท่าฟ้อนคือ แข้แก่งหาง ฮอดบ่ได้หยับหย่างไปไส แก่งหางไปหางมาท่ารำ แนวนี้ มีลายฟ้อนมโนราห์ฟ้อนหมู่ แต่นางอยู่บ่ได้บินเจ้ยเวิ่นหนี ฟ้อนจั่งนี่ ท่าอุ่นมโนราห์ พรรณนาเป็นตอนบ่อนพอฟังได้ จำ เอาไว้ รำ มีหลายท่า ความเป็นมาจั่งซี้จำ ไว้อย่าหลง อย่าหลง เอ้ย จำ ไว้อย่าหลง” ๑๑


๑๓ แสดงโดย นางสาวปวรวรรณ กมลฤกษ์ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์สำ รวม ดีสม อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กรณ์ภัสสร กาญจนพันธุ์ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ ประวัติการแสดง ม็องก็วล แปลว่า มงคลหรือสิ่งที่ดีงาม จองได แปลว่า ผูกข้อมือ ม็องก็วลจองได จึงหมายถึง การผูกข้อมือเพื่อ รับแต่สิ่งที่ดีงามเข้ามาสู่กาย โดยจะนำ เอาฝ้ายเส้นเล็กพอให้ผูกกับข้อมือได้ มาทำ พิธีเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ นัยยะ ของฝ้ายนั้นแสดงถึงความผูกพัน ความห่วงใย ความเป็นมิตร อันนำ มาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ให้และผู้รับเรือมม็อง ก็วลจองได เป็นการรำ ประกอบพิธีบายศรีสู่ขวัญ ซึ่งแต่เดิมเป็นการรำ แบบพื้นบ้านที่ไม่มีรูปแบบชัดเจน แต่เพื่อให้เกิด ความสวยงามและพร้อมเพรียงกัน ปัจจุบันจึงได้มีการพัฒนาท่ารำ และความหมายที่สอดคล้องกับพิธีกรรม กล่าวคือ เรือมม็องก็วลจองไดถือว่าเป็นการเรียกขวัญของเจ้าภาพให้มาอยู่กับตัว จัดได้ทั้งในโอกาสแสดงความชื่นชมยินดีและ เป็นการปลอบใจให้เจ้าของขวัญพร้อมคณะญาติมิตรและบุคคลทั่วไปได้มีโชค


๑๔ โมเวยปีส่งโมเวยโมเวย ปีลึง ตาจาร เฮาปลีง ออนโจลโม ฮอยด็อล (ซ้ำ ) เอย...ก็อมอาลัย เพ็ดเพย ก็อมเนิว ชแง ซงอล โจลโม ฮอยด็อล ตานึง จองได (ซ้ำ ) โมปี รุมเรียม ปีเปียม ตำ เร็ย ออยแจ๊ะ ปรือเน็ย ทาสละ เจริน เกรือนเอ๊า: โม ปรือเน็ย สละ เจริน เกรือน เนอ...เอ๊ อาะ เตียงเมือน เตียงจรูก เอ๊าะ ประเมิน ประเปื้อน เอ๊าะเตีย เอ๊าะเมือน จองตันเริว ปีถึง (ซ้ำ ) ก็อมเนิว ตามดบ ก็อมชบ ตามปรีย ก็อมอ็อด ปราเน็ย โจลโม ออยบีด (ซ้ำ ) มือ กเต็ย ออว ปุ มนาย บอง ปโอน เยียด เยียด โจลโม ออยบีด ก็อมเพ็ด โตวอีนา (ซ้ำ ) ตาจาร เฮา โมเวย โอ ปีลึง เมียะ ทลา ก็อมเนิว เติวอีนา โจลโม กน็อง เรียงกาย (ซ้ำ ) แดล คอม ทวือ การ เตียงบีด เตียงชงาย โอเมียะ จระวัดไว โจลโม เติว เจ๊าะ (ซ้ำ ) ออย อาเนิด ออย ซราเนาะ บอง ปโอน จุม ชเวง เตียงจ๊ะ เตียง กเมย รับตตูล บองงา (ซ้ำ ) โม ด็อล เฮย เนียะ เมียะ ซเนฮา กอม เพ็ด เพย โตว อีนา โจลโม ออยบีด(ซ้ำ ) โจล โม ออย บีด มนาย นึง จองได เนียะ เมียะ จรือไว ชงอบ เจิด ชงอบ ทเลิง (ซ้ำ ) เมียะ เวย เมียะ ปัน ดุล มุ ขร้อฮ บองเอย ปู ปเรือม ออย ก็อม ซรางื่อม เนอ เมียะ ไทล ทลา (ซ้ำ ) นึง จองได ชเวง ก็อมออย เมียน กรรม ทาจองได ซดำ ออย กีด อาลัย (ซ้ำ ) เนียะ วงวัง เติว อีนา นึง ดบ เตียง ปรีย เนียะ ขเดิง จรือไว ก็อม ชอด ก็อม ลง่วง (ซ้ำ ) โมดอล เฮย นา บอง ปโอน รับ ตะตูล เนียะ เมียะ ปันดูล ก็อม นอ วงวีง (ซ้ำ ) บอง ปโอน โกน เจา อันเติด บองเวย อันเตย กีดดอล บองแอย ซตีร นึง ตัจ คยีอล (ซ้ำ ) ปร็อฮ เฮย ปโอน กีด (ซ้ำ ) กน็อง ทเลิม ปมัด นอ คลอง ปซากน็อง ทเลิม ปมัด ซตีล นึง ปซากีด จอง แต จูบ นึง เมียะ ชแนฮา บองเนิวแอนา ก็อม จอง เจิด เคิง (ซ้ำ )


๑๖ แสดงโดย นางสาวน้ำ ทิพย์ การงาน นางสาวมธุริน การสูงเนิน อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัชราพร สุขทอง อาจารย์สุภาวดี หลวงกลาง อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมิทรชาติ ประวัติการแสดง อัปสรสราญเป็นระบำ ที่คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ โดยนำ รูปแบบกระบวนท่ารำ พื้นบ้านสุรินทร์ ประกอบกับท่ารำ ที่เป็นแบบแผนจากนาฏศิลป์ส่วนกลาง ผสมผสานท่ารำ ตลอดจนการแต่งกาย ที่พัฒนามาจากปฏิมารวิทยา ทัพหลัง ปราสาทหินศีขรภูมิ และปราสาทนครวัดประดิษฐ์เป็นระบำ อัปสรสราญประกอบทำ นองเพลงกันตรึม ใช้แสดงในงาน นักขัตฤกษ์หรืองานมงคลทั่วไป


๑๘ แสดงโดย นางสาวจิราภรณ์ นาคหมื่นไวย์ นางสาวศิริรัตน์ จันทร์กำ จร อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์สมศักดิ์ บัวบุตร อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมิทรชาติ ประวัติการแสดง มโหรีโคราช เป็นการแสดงนาฏยศิลป์ประยุกต์ เกิดจากแรงบันดาลใจที่ได้รับฟังความไพเราะของท่วง ทำ นองการบรรเลงวงดนตรีพื้นบ้านโคราชที่มีอยู่ในท้องถิ่น ซึ่งชาวโคราชเรียกว่า วงมโหรีโคราช หรือ วงปี่แก้ว ซึ่งมี ลีลาในการบรรเลงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประยุกต์กับกิริยาท่าร่ายรำ ของชาวสตรีโคราชในขบวนแห่ต่างๆ เช่น งานบวชนาค งานรื่นเริงประเพณีในเทศกาลต่างๆ ของชาวโคราช มีลีลาท่ารำ ที่แตกต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้างอย่าง อิสระ ประกอบไปตามท่วงทำ นองของเสียงเพลงตามวงดนตรีพื้นบ้านนั้นๆ ต่อมาวิทยาลัยนาฏศิลปนครราชสีมา จึงนำ มาสร้างสรรค์ประดิษฐ์ให้มีลีลาท่ารำ ที่เป็นแบบแผนมีความสวยงามยิ่งขึ้น ผสมผสานกับการสร้างสรรค์ผลงาน ด้านนาฏศิลป์ไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการสร้างสรรค์ผลงานการแสดงขึ้น เพื่อสะท้อนเอกลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ของชาวจังหวัดนครราชสีมา


๒๐ แสดงโดย นางสาวสายใจ พานเงิน อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์สำ รวม ดีสม อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ ประวัติการแสดง กันตรึม เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวไทยเชื้อสายเขมรในเขตอีสานใต้ ซึ่งเป็นชุมชนที่ใช้ภาษาเขมรเป็น ภาษาถิ่น เช่น จังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ สามารถเล่นได้ทุกโอกาสไม่กำ หนดว่าเป็นงานมงคลหรืออวมงคล กันตรึมถือเป็นแม่บทของเพลงพื้นบ้านและการละเล่นพื้นบ้านอื่นๆ ของจังหวัดในแถบอีสานใต้ ที่สื่อสารกันด้วยภาษา เขมร เรือมกันตรึมไม่มีแบบแผนของท่ารำ ที่แน่นอน เพราะไม่เน้นทางด้านการรำ แต่เน้นความไพเราะของเสียงร้อง และความสนุกสนานของทำ นองเพลง


๒๑ เพลงที่ ๑ ซาระยัง ละออเฮย ละออนะ ละออเฮย น่อ ละออนะ ละออเฮย ละออนะ ละออเฮย น่อ ละออนะ ทามันเมียน บอนควะ ละออละอะ นอรูปรีญ ทามันเมียน บอนควะ ละออละอะ นอรูปรีญ เพลงที่ ๒ เชิบเชิบ เชิบเชิบ เนียงเชิบ เชิบเชิบ เนียงเชิบ ทาโกนเจาตีวบ็อด เปรียะฮปุด หรือตีวดา ทาโกนเจาตีวบ็อด เปรียะฮปุด หรือตีวดา โกนเจา บองเอย แมนา โกนเจา บองเอย แมนา ทาละออละอะ อยเจียงกี ทาละออละอะ อยเจียงกี เชิบเชิบ เนียงเชิบ เชิบเชิบ เนียงเชิบ เพลงที่ ๓ กัญจัญเจ้จ ออกัญจัญเจ้จเอย ลูดตุมกัญจัญเจ้จ ออกัญจัญเจ้จเอย ลูดตุมกัญจัญเจ้จ โกนปซา โจลเด้จ แมกะเม้จ ลวบมือ บองเวย แมกะเม้จ ลวบมือ เพลงที่ ๔ ปัญแชร์ นียะฮเปราะฮ บองเอย เนียะฮเปราะช นอ มูลเลียะ นอบองเอย เนียะฮเปราะฮ นอ มูลเลียะ ประแอมเอย ตรือเจียะ เบียะเนียะ นอ ลูมปะโอน ประแอมเอย ตรือเจียะ เปียะเนียะ นอ ลูมปะโอน เพลงที่ ๕ อมตู้ก เนียงอมตู้กโตว จังวา นอบองเอย ลูดเปรียด เนียงแซร์จ เนียงแชร์จ ประดับเยียด เนียงเคลียด บองเวย นอ โตวเฮย เนียงแซร์จ เนียงแซร์จ ประดับเยียด เนียงเคลียด บองเวย นอ โตวเฮย เพลงที่ ๖ มงก็วลจองได ทาอุ่มเอย นอบองเอย บองอุ่ม ทาอุ่มเอย นอบองเอย บองอุ่ม กรือมม เจรินจุม เป็นคมุม ยัวปะกา กรือมม เจรินจุม เปินคมุม ยัวปะกา


๒๓ แสดงโดย นายสรศักดิ์ พูพวง อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์สำ รวม ดีสม อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กรณ์ภัสสร กาญจนพันธุ์ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ ประวัติการแสดง เรือมอันเรหรือลูดอันเร เป็นการละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมรจังหวัดสุรินทร์ ที่เล่นกันในเดือนห้า (แค แจด) ซึ่งถือเป็นวันพักผ่อนประจำ ปี ช่วงวันหยุดสงกรานต์มาแต่โบราณ เรียกว่า “งัยตอม” โดยถือเอาวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันขึ้นปีใหม่ ชาวบ้านจะพากันหยุดทำ งาน ๒ ช่วง ช่วงแรกหยุด ๓ วัน คือวันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง วันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๕ เรียกว่า “ตอมตู๊จ” ช่วงที่สองหยุด ๗ วัน เรียกว่า “ตอมทม” วันแรม ๑ ค่ำ ถึงวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๕ การหยุด ในช่วงที่สองนี้ก่อนจะมีการหยุดพักผ่อน ชาวบ้านจะก่อเจดีย์ทรายที่วัดใกล้บ้าน ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ พอเช้าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ทำ บุญตักบาตร หลังจากนั้นก็จะหยุด ๗ วัน ในช่วงนี้เองเป็นการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวที่รักใคร่ชอบพอกันได้มา พบประกันด้วยการละเล่นพื้นบ้านที่เรียกว่า “เรือมอันเร” หรือ “ลู้ดอันเร”


๒๕ แสดงโดย นางสาวอริสรา โชติไสว นายเอกชัย บุญถูก อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์สำ รวม ดีสม อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กรณ์ภัสสร กาญจนพันธุ์ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ ประวัติการแสดง เรือมจ๊ะกรั๊บ เป็นการละเล่นของชาวเขมรสุรินทร์ที่มีมาช้านาน รูปแบบของการแสดงเป็นการร่ายรำ เกี้ยว พาราสีกันระหว่างชายหญิง โดยมีกรับเป็นอุปกรณ์ประกอบการร่ายรำ นักแสดงจะต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว อย่างสูงในการใช้กรับกระทบกันให้เกิดเสียงเข้ากับดนตรีและท่ารำ อีกทั้งยังเป็นการแสดงที่มีจังหวะดนตรีทำ นองช้า และเร็ว เพื่อให้ผู้ชมได้ชมลีลาของนักแสดงได้อย่างสนุกสนาน


๒๗ แสดงโดย นางสาวโสรญา จันปัญญา นางสาวเยาวลักษณ์ ศรีอาภรณ์ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์สมศักดิ์ บัวบุตร อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ ประวัติการแสดง ปะเรเร เป็นชื่อเพลงชนิดหนึ่งของชาว ญัฮกุร หรือ เนียะกุล เป็นกลุ่มคนที่ใช้ภาษามอญโบราณ อาศัยอยู่ใน เขตจังหวัดเพชรบูรณ์ ชัยภูมิ และนครราชสีมา กลุ่มคนดังกล่าวเรียกตัวเองว่า ญัฮกุร แปลว่า คนภูเขา คนไทยในเมือง จะเรียกกลุ่มนี้ว่า ชาวบน ปะเรเร เป็นการร้องเพลงและสร้างความสนุกสนานของชาวญัฮกุร โดยใช้เครื่องดนตรีในการ ตีควบคุมจังหวะ (ม่องแมว) เมื่อร้องถูกใจหรือโดนใจตัวเอง ก็จะปรบมือพร้อมทั้งออกมาแสดงความสนุกสนานร่าเริง ในการใช้จังหวะดนตรี ที่สื่อถึงความเป็นผู้มีสุนทรีทางด้านอารมณ์และความงามของการร่ายรำ


๒๙ แสดงโดย นางสาววรรญา โสดากุล นายประดิษฐ์ ศรีวงษ์ษา นายพงศกร น้อยจันวงษ์ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์ยอดยิ่ง ราชตั้งใจ อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ ประวัติการแสดง ฟ้อนมะหาไซ เป็นการแสดงฟ้อนรำ อีกชุดหนึ่ง ที่มาจากการขับลำ มะหาไซ ซึ่งมีต้นกำ เนิดมาจาก แขวงคำ ม่วน เมืองมะหาไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยมีแม่กองแสง พงพิมคำ คุณครูโรงเรียนศิลปะแห่ง ชาติลาว ได้ประดิษฐ์ท่ารำ ประกอบการขับลำ มหาชัย และทำ การบันทึกเทปการแสดงชุดนี้ไว้ เมื่อคราวไปเยี่ยมศูนย์ ลาวอพยพ เมื่อปี พ. ศ. 2518 ต่อมาอาจารย์ยอดยิ่ง ราชตั้งใจ และคณะอาจารย์จากชมรมนาฏศิลป์ หนองคาย ได้ นำ การขับลำ มะหาไซมาเรียบเรียงคำ ร้องและกระบวนท่ารำ ขึ้นใหม่ แต่ยังคงยึดแบบต้นฉบับของทางสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในเนื้อหาคำ ร้องมีการพรรณนาถึงการเกี้ยวพาราสีของชายหนุ่มและหญิงสาวทางฝั่ง ขวาของแม่น้ำ โขงและการเป็นอยู่อาศัยของประชากรแถบภาคอีสาน


๓๐ โอ๊ย…น้อ….มหาชัย……โอย เฮียมเอย โอนอ…แสนมาดีแม่นใจแท้ เต็มทรวงหนอซมซื่น เห็นซุมซาวพี่น้อง สบายบ้างผู้สุคน อีหลีได้ตามเอย………. โอย…คำ เอย พอนางมาหนอเห็นอ้าย ซายงามหนอวาดค่อง มองบ่อนใด๋ก็หากได้ ไผก็ย้องว่าแม่นไผ อีหลีได้คนงามนี่นา โอย…คำ เอย ไปบ่หนอแม่นนำ น้อง โอยนำ น้อง เมืองลาวงามเยี่ยมยอด ดินดอนสองปากแม่น้ำ โขงกว้างแม่นที คิงกลมผู้งามเอย มหาชัยของเฮียมนี่นา คำ เอย คันอ้ายไปหนอนำ น้อง โอยนำ น้อง ค่าเฮือแพบ่ให้จ้าง ค่าเฮือบินบ่ให้จ่าย เฮียมสิพาแม่นหม่อมอ้าย ไปขี่ซ้างฮ่วมพระนาง อีหลีได้คนงามเอย โอย…คำ เอย ไปเบิ่งสาวลาวพู้น โอยลาวพู้น ผลิตผลดั่งใจแท้ การทำ นาและก่อสร้าง แปงบ้านอยู่จั่งใด๋ คำ เอย มันสิเฮืองหนอฮำ ฮอน เหมือนดั่งคนหนอเค้าเก่า บอกว่าองค์พระเจ้า วัดวานั้นแม่นบ่มี อีหลีบ่ผู้ดีเอ๋ย…..เอย โอย…คำ เอย เฮาซวนกันก็นานแล้ว ก็นานแล้ว บ่เห็นซายอ้ายถามข่าว หรือตินางว่าขี้ฮ้าย รูปฮ้างฮ้าย ตนอ้ายจึงอยู่เมิน สมัยลาวเจริญเอ๋อ….เอย โอย…น้อ……คำ เอย เฮียมขอแถมพรแก้ว โอยพรแก้ว พรชัยอันยิ่งใหญ่ ขอให้พงศ์พี่น้อง จงยืนมั่นผู้สุคน ขอลาลงละหนา………….


๓๒ แสดงโดย นายมงคลชัย เขาแก้ว นายพงศ์พัทธ์ ชนชี อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์ ดร.ชัยณรงค์ ต้นสุข อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ ประวัติการแสดง ลำ สาละวัน เป็นวัฒนธรรมของชนชาติลาวอีกประเภทหนึ่ง โดยเป็นมหรสพของชุมชน ต่อมาได้ประยุกต์ เพิ่มกลอนลำ ประกอบท่าทางการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยอิสระตามธรมชาติ นอกจากนั้นท่วงทำ นองของการลำ ยังมีการเอื้อนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ลำ สาละวันจึงเป็นเอกลักษณ์ของชาวสาละวันมายาวนาน โดยการแสดงชุด ฟ้อนสาละวัน คณาจารย์จากวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ดได้เล็งเห็นคุณค่าความไพเราะของทำ นองและบทร้อง ตลอด จนท่าฟ้อนรำ ที่สื่อความหมายตามแบบศิลปะพื้นบ้านที่บริสุทธ์ ซึ่งพยายามอนุรักษ์การฟ้อนแบบดั้งเดิมไว้ให้มากที่สุด โดยไปศึกษาการขับลำ สาละวันและท่าฟ้อนสาละวัน ณ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวแล้วนำ กลับมาเผย แพร่ในประเทศไทยอีกครั้ง จึงได้นำ ฟ้อนประกอบลำ สาละวันมาจัดระเบียบแบบแผนในการแสดงใหม่ ในปี พ.ศ. 2542 นำ เสนอ ณ วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย โดยดัดแปลงเพื่อใช้ประกอบการแสดงวงโปงลาง แต่ยังคงรูปแบบดั้งเดิม เอาไว้อย่างครบถ้วน


๓๓ (เกริ่น) โอ๋ ..โอย…น้อ โอ…หนา โอ๋หนออ้ายเอย มา..มาแล้ว สาละวันมาแล้ว มาเอาแนวไปไว้ มาเอาในมันไปหว่านอ้ายเอย เอาเมือปลูกไว้บ้านพอสิได้ดอกเฮ็ดแนว..เฮ็ดแนวหนา โอหนออ้ายเอย ยามน้องมาเห็นหน้าอยากถามข่าวถามถึงเด้หนอ สุขสำ บายดีบ่ หือได๋อยากฮู้ข่าวท่านเอย น้องนี่มาฟ้าวฟ้าวอยากเห็นหน้าอยากข่าวถามข่าวถามหนา โอ…โอย…หนา โอ๋ ..โอย…น้อ โอ…หนา โอ๋หนออ้ายเอย เชิญอ้ายมาลำ ฟ้อน สาละวันให้มันคล่องอ้ายเอย ขอเชิญอ้ายและน้องมาลงฟ้อนเตี้ยเข้าใส่กัน ใส่กันหนา เตี้ยลงสาละวันเตี้ยลง (ซ้ำ ) เตี้ยลงให้คือหงส์เล่นน้ำ อยากให้งามให้เตี้ยลงต่ำ ๆ เตี้ยต่ำ ๆให้เตี้ยลงต่ำ ๆ เตี้ยลงแล้วฟังน้องสิเดี่ยวกลอน ฟ้อนอ่อนๆ เด้อชายสาละวัน ฟ้อนอ่อนๆ ละเด้อสาวสาละวัน เฮามาฟ้อนนำ กันให้เตี้ยลงต่ำ ๆ เตี้ยต่ำ ๆ เตี้ยลงต่ำ ๆ เกี้ยวให้งามให้เตี้ยต่ำ จำ ดิน เตี้ยลงแล้วลุกขึ้นสาละวัน สาละวันลุกขึ้น ลุกขึ้นลุกขึ้นสาละวัน ลุกขึ้นแล้วกะฟ้อนอยู่ตรงๆ มารำ วงนำ กันเป็นหมู่ เดินเป็นคู่สอดสายมาลัย จักแฟนไผกะซางมางามแท้น้อ รูปหล่อๆ น้องอยากขอเมือนำ ตาดำ ๆ สิฮักน้องบ่นอ (ซ้ำ ) โอ…โอย…หนา โอ๋ ..โอย…น้อ โอ…หนา โอ๋หนออ้ายเอย ยามน้องมาเห็นน้ำ วังใส คึดอยากอาบหลายเด บาดเทือมาฮอดแล้ววังน้ำ ย้านเพิ่นหมาย เพิ่นหมายหนา คึดอยากเมือนำ อ้ายย้านบ่อนนั่งนั้นมีแต่ขอนเด้ ย้าน บ่อนนอนนั้นมีตั้งแต่เสี้ยน หาบ่อนเมี้ยนคีงน้องหย้านบ่มี บ่มีหนา โอหนออ้ายเอย เฮาได้มาลำ ฟ้อนสาละวันกันเป็นหมู่นั่นแล้ว เดินเป็นคู่เกี่ยวก้อย สาวซำ เล็กบ่าวซำ น้อย มาลอยหน้าต่อไป ต่อไปหนา สาละวันเดินหน้า เดินหน้า เดินหน้าสาละวัน สาละวันถอยหลัง ถอยหลังถอยหลังสาละวัน (ซ้ำ ) ถอยหลังแล้วเชิญยิ้มหวานๆ อ้ายบ่สงสารสาวหมอลำ บ่ บ่ฮักน้องบ้อ บ่ฮักน้องบ่ บ่ฮักน้อง…บ่ สาละวันขาเดียว ขาเดียว ขาเดียวสาละวัน สาละวันแขนเดียว แขนเดียว แขนเดียวสาละวัน สาละวันขาเดียว ขาเดียวแขนเดียวสาละวัน แขนเดียวแล้วเชิญยิ้มหวานๆ อ้ายบ่สงสารสาวหมอลำ บ่ บ่ฮักน้องบ้อ บ่ฮักน้องบ่ บ่ฮักน้อง…บ่ โอ…โอย…หนา โอ๋ ..โอย…น้อ โอ…หนา โอ๋หนออ้ายเอย พอแต่มาถึงนี้ สาละวันสิลงก่อนท่านเอย ขอแถมพรบาดท้าย สิลาอ้ายแล้วต่าวลง ต่าวลงหนา ขอลาลง……. สาละวันลาลง ลาลง ลาลงสาละวัน สาละวันลาลง ลาลง ลาลงสาละวัน ลา..ลงลาลงสาละวัน ลา..ลงลาลง สา…ละวัน โอ…โอย…หนา


๓๕ แสดงโดย นายศิวกร ทองโส นายอัครพล บุญแผน อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์ ดร.ชัยณรงค์ ต้นสุข อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กรณ์ภัสสร กาญจนพันธ์ุ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ ประวัติการแสดง ลำ เต้ยเกี้ยว เป็นการลำ (ร้อง)เต้ย ที่มีท่ารำ การเกี้ยวพาราสีประกอบ ซึ่งส่วนมากผู้รำ จะฟ้อนและออกลีลา ประกอบการรำ เอง โดยที่วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ดได้ศึกษาค้นคว้ามาจากการรำ ประกอบ การลำ เต้ยของชาว จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดชัยภูมิ โดยการรวบรวมประดิษฐ์ท่ารำ เต้ยเกี้ยวที่มีอยู่ มาจัดลำ ดับและรูปแบบให้ สอดคล้องกับวลีของการลำ “เต้ยเกี้ยว” หมายถึง การรำ เพี่อการเกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว ในโอกาสที่ได้มา พบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนทัศนคติและปฏิภาณไหวพริบในรูปแบบของการลำ


๓๖ เต้ยเดือนห้า (ชาย) สวยเอ้ย…..สวยหลายน้อ นอน้อง แม่ทองปอนก้อนน้ำ คั่ง...อุ่น…คนงามของอ้ายนี่เอย… สวยหลายน้อหม่อมน้องแม่นไผปั้นหล่อมา อาดหลาดธาตุใหญ่ธาตุพนม อ้ายอยากโจมไปตั้งร้อยเอ็ดคำ ให้มันเดื่อง เบิ่งเด้น้อง โอเด้ ให้มันเหลืองเอ้อเห้อ คือแป้นว่าแผ่นทอง ละจั่งว่าแก้มอ่องต่อง ใสยองยองเด (หญิง) ออกจากบ้านกวยข้อ ยอแขน ตานางทำ ซอนแลนแอ่นกายกะเลยฟ้อน ไปซอนลอนกับอ้าย แขนก่าย เปื้องป่าย ไปนำ กันสะหล่าย หล่าย เดินนำ กันสะหล่าย หล่าย เดินผ่ายผ่านถนน ดังจ้นๆ คนกะเห่เลไหล ไปไวไวเลยเขิน หว่างเนินเขินน้ำ …. เต้ยหัวโนนตาล (ชาย) โอเด พระนางเอย พระนางเอ้ย อ้ายนี่มาเสียอกตั้งแต่บ้านอ้ายอยู่ไกล อ้ายนี่มาเสียใจละตั้งแต่บ้านอ้ายอยู่ห่าง หลายเด พระนางเอย อ้ายโลดพอ อยากต้าน โนนบ้านเข้าใส่กัน ละจั่งว่าแก้มปั่นหวั่น สันปลากะมันเอย ..มันเอย..สันปลากะมันเอย เต้ยธรรมดา (หญิง) โอ๋ย ละพี่ชายเอ้ย ฟังคารมชายเว้ามันมีนัยละคันเจ้าหลายวาด พาลให้คลาดลาดล้ม เดือนห้าแม่นก่อนฝน นั่นละนาหนานวลนา ละนาหนานวลนา สังสิมาลวงล่อ อย่าสอพลอให้นางล้ม เต้ยพม่า (ชาย) มาพบหน้านงคราญ แม่ตาหวานยิ่งล้ำ วาสนาชักนำ ให้ได้มาพบเจอ อ้ายบ่ได้นึกฝัน ว่าจะมาเจอะเจอ คนสวยเลิศเลอหยาดฟ้ามาดินๆ เต้ยโขง (หญิง) โออ้ายเอ๋ย น้องขอชิดเชยบ่เคยหน่ายแหนง ๆ น้ำ โขงบ่เคยเหือดแห้ง ความฮักแพงบ่ได้นึกหวั่น ใจกระสันยังห่วงละเมอๆ…….. มาอ้ายมา น้องสิพาไปล่องโขง ๆ ไปลงเรือเขมราฐ ฟังเสียงน้ำ โตนตาด ดังอยู่ลื่น หลื่นลื่น หลื่นลื่น ๆ สิบคืนอีน้องสิถ่า ซาวพรรษาละอีน้องสิอยู่ มีซู้อีน้องบ่เว้า สิคอยเจ้าแต่ผู้เดียว เกี้ยวไว้ก่อนออนซอนนา ๆ อย่าป๋าอย่าไลกันนา อย่าป๋าอย่าไล..กันนา……


๓๘ แสดงโดย นางสาวพิชาภัสร์ มิสา อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์ ดร.ฉวีวรรณ พันธุ อาจารย์ ดร.ชัยณรงค์ ต้นสุข อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ ประวัติการแสดง การแสดงชุดมโนราห์เล่นน้ำ ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดย ดร.ฉวีวรรณ พันธุ หรือ ดร.ฉวีวรรณ ดำ เนิน โดยนำ มาจาก ละครพื้นบ้านเรื่องสีทน-มโนราห์ โดยคณะหมอสำ รังสิมันต์นำ มาแสดง ซึ่งตัวนางมโนราห์แสดงโดย ดร. ฉวีรรณ พันธุ มีลักษะเด่นคือการใช้ท่ารำ ที่มีท่วงท่าลีลาใกล้เคียงกับธรรมชาติ เลียนแบบท่าบินของนกมีลีลาการบินแบบกระพือปีก และท่าร่อนลมที่มีการทำ สีลาใกล้เคียงกับการบินของนก การร่ายรำ จะไม่เป็นการรำ ลงจังหวะ แต่จะเป็นการร่ายรำ ในช่วงจังหวะใหญ่นุ่มนวลสวยงาม ผู้แสดงจะต้องเชื่อว่าตัวเองเป็นตัวละครนั้นจริงๆ จึงจะถ่ายทอดกระบวนท่าและ บทบาทที่แสดงออกมาอย่างสมจริงอย่างนางมโนราห์ ดังชื่อชุดการแสดงว่า “มโนราห์เล่นน้ำ ”


๔๐ แสดงโดย นางสาวจุฑารัตน์ ชูคำ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์ ว่าที่ร้อยตรี ดร.ชัยนาทร์ มาเพ็ชร อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ ประวัติการแสดง เซิ้งบั้งไฟ เป็นประเพณีและพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล จากคตินิยมและความเชื่อเรื่อง ตำ นานพญาคันคาก (คางคก) ซึ่งเป็นทั้งวรรณกรรมมุขปาถะและลายลักษณ์อักษรเรื่องหนึ่ง คือ ตำ นาน "ท้าวผาแดงนางไอ่คำ " ซึ่งปราชญ์ชาวอีสานได้แต่งวรรณกรรมจากสังคมและความเป็นอยู่ของชุมชนชาวขอม การแสดงเซิ้งบั้งไฟ นั้นมีหลายแห่งที่คิดประดิษฐ์ในรูปแบบต่างกัน ในปี พ.ศ.2525 นายจีระพล เพชรสม ผู้ช่วยผู้อำ นวยการวิทยาลัย นาฏศิลปร้อยเอ็ดในขณะนั้น ได้ออกพื้นที่ไปศึกษาคนคว้าเรื่องราวในงานประเพณีแห่บั้งไฟ จากบ้านสังข์สงยางและ บ้านสีแก้ว อำ เภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด และการเซิ้งบั้งไฟของชาวกมลาไสย จังหวัดกาพสินธุ์ และนำ มาสร้างสรรค์ ผลงานทางนาฏศิลป์เป็นการแสดงชุด "เซิ้งบั้งไฟ" โดยมีวัตถุประสงค์จะใช้กิจกรรมทางด้านนาฏศิลป์ เพื่อเป็นสื่อให้ ชุมชนมีส่วนร่วมรับรู้ถึงอดีต และความเป็นมาของวัฒนธรรมนเป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการสืบสาน และเผยแพร่สู่ชนคนรุ่นหลังต่อไป อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ


๔๑ โอ้เฮาโอเฮาโอ้เฮาโอ นะโมนะมาวันทาใส่เกล้า ไหว้พระเจ้าองค์เลิศนาโถ ทั้งนะโมสังโฆพร้อมพรัง ไหว้ผู้สั่งครูบาอาจารย์ ผู้ประทานสอนศิลปศาสตร์ ผู้ฉลาดผู้ฮู้แต่งกลอน ขอวิงวอนชาวไทยทุกหมู่ ที่เกิดอยู่ในถิ่นแหลมทอง พวกเฮาครองมรดกสืบไว้ รักษาไว้เป็นเกียรติเป็นศรี ของเฮาดีเอามาอวดอ้าง ให้กระจ่างได้ฟังได้ยิน นาฏศิลป์เป็นคู่ของเก่า พวกผู้เฒ่าฟังแล้วม่วนหู พวกเป็นครูสั่งสอนสืบไว้ รักษาไว้ในฮีตโบราณ ตามตำ นานหนองหารเมืองใหญ่ รักษาไว้หุ้นลูกหุ้นหลาน ในตำ นานล่ะผู้มาติดต่อ ผู้เพิ่นก่อสร้างบุญบั้งไฟ มีเงื่อนไขบั้งไฟมาแข่ง ผู้เพิ่นแต่งคือพระยาขอม พวกคนซอมพญาหาญห่าว ทำ ฝั่งฟ้าวให้ศรีวิไล ประกาศไปทุกหนทุกแห่ง บ่ได้แบ่งบ้านนอกบ้านนา มีธิดาคนสวยนางไอ่ นับว่าได้เป็นยอดนารี บุญนางมีได้เป็นลูกเจ้า ซาไปเว้าผาแดงเชียงเหียน ทำ พากเพียรบั้งไฟไผขึ้น สิยอยื่นยกให้ธิดาตามบัญชาเพิ่นประกาศไว้ เป็นลูกใภ้ล่ะอีพ่อของกู ใจอดสูเสียดายนางไอ่ ขอยกไว้ล่ะในเขตหนองหาน เสียงวิจารณ์เว้าพื้นนางไอ่ พวกลูกไท้ล่ะว่าสวยว่างาม ไปได้ถามว่าบุญเหลือเกล้า พวกผู้เฒ่าได้ย้องได้ยอ สมพ้อพอลูกชายผู้ข่า พอได้มาสินสอดท่อได๋ ความพอใจเป็นแสนเป็นล้าน พอได้มาได้พักพอใจ แม่นผู้ได๋มาเว้ายั่วหน้า เสียงคนส่าไปฮอดพระองค์ เพียงประสงค์เสียงนางไอ่ สิยกให้เป็นมิ่งเทวีบุญไผดีบั้งไฟเสี่ยงขึ้น เสียงเว้าพื้นล่ะไปฮอดแดนไกล เป็นลูกไผสิเห็นคราวนี้ บุญแต่กี้บ่ได้ถึงกันความกระสันผาแดงเพียรมั่น เว้าดังๆอยากได้ไฟหลอน งามออนซอนจนคนเขาส่า ไผกะว่านางไอ่ใจเมิน ถิ่นทางอื่นอยากไปเห็นหน้า เสียงคนส่าล่ะอิหลีบ่หนอ คิดพดพ้ออยากได้เป็นชู้ ตั้งใจสู้เฮ็ดบั้งไฟหลอน งามคักน้อในใจอยากได้ คิดอยากให้แม่หญิงเป็นเมีย บ่ได้เสียเจ้าชายหมายไว้ ให้พวกไพร่นำ ของถวาย ว่าพี่ชายพระองค์มาฮอด เว้ากันหลอนให้นางไอ่ฟัง อนิจจังสังขารบ่เที่ยง บ่ได้เพียงเว้าอย่างสุดใจ บรรยายไปพระองค์เพียงนี้ เว้าถ้วนถี่ประวัตินิทาน ตามตำ นานพระองค์กล่าวไว้ ต่อสิได้เมืองนาคนาคา มีธิดาพระองค์ไว้ก่อน โอ้เฮาโอเฮาโอ้เฮาโอ โอ้เฮาโอล่ะเฮาโอ้เฮาโอ่


ชาวภูไทบ้านโพน มีศิลปะการฟ้อนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในแบบชาวบ้านดั้งเดิม และมีการสืบทอดจนเกิด เป็นพัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน ฟ้อนละคอน เกิดขึ้นในประเพณีบุญบั้งไฟ ก่อนสมัยรัชกาลที่ 5 และปัจจุบันยังมีการ อนุรักษ์การฟ้อนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการฟ้อนในงานบุญบั้งไฟหรืองานพิธีการสำ คัญ ซึ่งมีบทบาทในการสร้างชื่อ เสียงให้กับชุมชนและสังคมเป็นอย่างมาก ฟ้อนละคอน เกิดจากความต้องการของซาวภูไท เพื่อฟ้อนถวายองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในปี พ.ศ.2521 เอกลักษณ์การฟ้อนจะเน้นลีลาความอ่อนช้อย และมีการ กำ หนดระยะของการจัดวางท่าอย่างชัดเจน ๔๓ แสดงโดย นายอดิศร มะโนรา อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์ ดร.พรสวรรค์ พรดอนก่อ อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์กรณ์ภัสสร กาญจนพันธ์ุ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ ประวัติการแสดง


โอ้ย..น้อ... ละท่าน ผู้ฟังเอ๋ย โอน้อ อันว่าเมืองกะสินธุ์นี้ ดินดำ เจ้าน้ำ สุ่ม มีเทิงปลากุ่มบอน คือแข้เจ้าแก่งหางคันว่าปลานางบ้อน คือขางดอกฟ้าลั่น อันว่าจักกะจันฮ้อง จังว่าจักกจันฮ้อง คือฟ้าล่วงบน ท่านเอ๋ย. โอ้น้อ….จังว่าแตกอยู่จนจ้น คนซื่นเจ้าโหแซว กาฬสินธุ์เพิ่นเว่า มีคุอันคุแนว แอ่วระบำ เจ้ารำ ฟ้อน ท่าเอ้ย…. ๔๔


๔๖ แสดงโดย นางสาวภูวนันท์ ข้องนอก อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์ ดร.ชัยณรงค์ ต้นสุข อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์วิภารัตน์ ข่วงทิพย์ ประวัติการแสดง ฟ้อนกลองเตะ สร้างสรรค์ขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2552 โดยวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด ได้เห็นความสำ คัญศิลปะ การแสดงพื้นบ้านในการเส็งกลองกิ่งนั้นจะนำ กลองเตะ และกั๊บแก๊บมาเล่นร่วมกับการเส็งกลอง โดยศิลปินพื้นบ้าน จังหวัดสกลนคร นายสุขสันต์ สุวรรณเจริญ เป็นผู้ถ่ายทอดศิลปะการแสดงทางการตีกลองกิ่ง,กลองเตะ และกั้บแก้บ ให้กับครูและนักเรียนวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด โดยได้รับการถ่ายทอดต่อท่าจากบิดา ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชียวชาญใน การเส็งกลอง ฟ้อนกลองเตะ เป็นชุดการแสดงสร้างสรรค์ในเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านที่วิทยาลัยนาฏศิลป ร้อยเอ็ดได้คิดสร้างสรรค์ขึ้นเพื่ออนุรักษ์และสืบทอดศิลปะการแสดงพื้นบ้านอีสานจังหวัดสกลนครไว้ให้ลูกหลานต่อไป มิให้สูญหาย โดยการตีกลองจะใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย กระทบกับหน้าเพื่อให้เกิดเสียง เช่น กระทบกับหน้า ผาก หัวไหล่ มือ ศอก สะโพก หลังเท้า และส้นเท้า เพื่อแสดงลีลาท่าทางการเคลื่อนไหวให้เกิดความสุขสนุกสนานใน การแสดง


๔๘ แสดงโดย นางสาวซูเซินท์ เกร็กกอรี่ อาจารย์ผู้ถ่ายทอดกระบวนท่ารำ อาจารย์ ดร.พรสวรรค์ พรดอนก่อ อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ ดร.นฤทร์บดินทร์ สาลีพันธ์ ประวัติการแสดง ไหซอง เป็นเครื่องชาวดนตรีอีสาน ทำ จากไหน้ำ หรือไหปลาร้าที่ไม่ใช้แล้ว บริเวณของปากไหขึงตึงด้วยหนังยาง จัดเป็นชุดวางเรียงต่อกันมีขนาดที่แตกต่างลดหลั่นกันไป โดยการบรรเลงนั้นจะใช้นิ้วดีดทำ ให้เกิดเสียงทุ้ม คล้ายเสียงกีต้าร์ เบส ทำ หน้าที่ประกอบจังหวะ นิยมบรรเลงอยู่ในวงดนตรีอีสาน (เรียกว่าวงโปงลาง) ปัจจุบัน ไหซองเป็นเพียงการแสดง ลีลาการดีดไหประกอบท่าฟ้อนรำ นิยมใช้ผู้หญิงดีด เรียกว่า "นางไห"


Click to View FlipBook Version