The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อิราวดี รามจันทร์, 2023-01-19 03:02:19

ผลงาน CQI รพ.วชิระภูเก็ต มหกรรมคุณภาพ 1.2566 เล่ม 1

1. ผลงาน CQI เล่ม 1 มหกรรม 1.2566

มหกรรมคุณภาพโรงพยาบาล ครั้งที่ 1/2566 วันที่ 26 มกราคม 2566 "SYNERGY FOR SAFETY AND WELL-BEING ผนึกกำ ลังเพื่อความปลอดภัยและสุขภาวะ" CQI นวัตกรรม วิจัย R2R KM พญ.วลัยพร อรุณรัตน์ พว.วิลาวรรณ พุทธรักษ์ ภญ.วิลาสินีย์ สกุลแพทย์


สารบัญ ล าดับ เรื่อง หน้า ผลงานประเภท CQI 1 Big cleaning day and drug resistant 1 2 SIMPLE ROUND 4 3 ER ช่วยฟื้นคืนชีพปลอดภัย ลดการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 7 4 STOP SSI 9 5 Wristband Identification Matching 11 6 การดูแลผู้ป่วย Stroke Fast Track ที่ห้องฉุกเฉินในยุค New Normal 14 7 การพัฒนารูปแบบการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19กลุ่มภารกิจด้านการพยาบาล โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 17 8 การวางแผนการจ าหน่ายผู้รับบริการ COVID-19 23 9 จดหมายน้อยคอย SCRUB รับ SCOPE 26 10 ลดเวลา ถูกต้อง แม่นย า ด้วย CSSD Program : Lean and Right by CSSD Program 29 11 แนวปฏิบัติเพื่อป้องกัน ETT เลื่อนหลุดในหอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม 38 12 ลดปัญหาความคลาดเคลื่อนทางยาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2,3,4 45 13 “ใบปะหน้า 3 พ. พาความถูกต้อง” 49 14 ยุทธการพิทักษ์เส้น-ไม่เป็น Phlebitis 52 15 ตัดสินใจเร็ว เรียนรู้ด้วยสื่อ ลด VAP save life 57 16 พัฒนาการระบุตัวผู้ป่วย ( Check before Not error ) 60 17 รูปแบบการบริหารจัดการเมื่อการเกิดการระบาดโควิด-19 ภายในหอผู้ป่วย โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต (Management of Spreading Covid-19 in Departments of Vachira Phuket Hospital) 64 18 Sheath จ๋า พี่มา Off แล้ว 70 19 Expired Drug Plaza for Good Medical Care ตลาดนัดแลกเปลี่ยนยาใกล้หมดอายุ 83 20 ลดเวลาท างาน - เพิ่มประสิทธิภาพของงาน 89 21 อย่าเป็นลมนะ....ฉันจะเจอเธอก่อน 91 22 Tack Team Complete Chart 95 23 Lips save พัฒนาแนวทางการป้องกันการเกิดแผลกดทับบริเวณเยื่อบุมุมปากในผู้ป่วย 108 24 Blood transfusion Safety Patient Identify 110 25 รับยาฉับไว ใส่ใจปัญหาวัณโรค 113


ล าดับ เรื่อง หน้า 26 เตรียมให้ถูก ฉีดให้ดี 118 27 ผลงานการพัฒนาคุณภาพการเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด 120 28 พัฒนาคน พัฒนางาน สู่การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน 123 29 ห่วงแขวนแขน แทนความห่วงใย ไร้รอยรัดตรึง (จากใจ Scrub Nurse) 125 30 CCU สัญจร EKG Easy กว่าที่คิด 128 31 Fast track hip surgery 135 32 ส่ง Lab ถูกต้องป้องกันการผิดพลาด 138


1 Big cleaning day and drug resistant 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร : หอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจ (RCU)โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 3. ค ำส ำคัญ : เชื้อดื้อยา (drug resistant) 4. สรุปผลงำนโดยย่อ : การติดเชื้อดื้อยา (drug resistant) เป็นปัญหาต่อระบบสาธารณสุข การป้องกัน การแพร่กระจายเชื้อดื้อยาการเฝ้าระวังการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา การค้นหาปัญหาและยุติการระบาด ของเชื้อดื้อยาได้อย่างรวดเร็ว การประสานงาน การสื่อสารข้อมูลผู้ป่วยกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในและ ภายนอกองค์กร รวมทั้งการรับรู้แนวทางปฏิบัติเพื่อจัดการ ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาจึงมีความจ าเป็น ต่อการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา 5. ปัญหำและสำเหตุโดยย่อ : การติดเชื้อดื้อยา (drug resistant) เป็นปัญหาต่อระบบสาธารณสุขทั่วโลก เนื่องจากพบว่ามีแนวโน้มที่สูงขึ้นและเป็นสาเหตุส าคัญของเชื้อก่อโรคในโรงพยาบาลและชุมชน (World Health Organization, 2014) ผลกระทบของการติดเชื้อดื้อยา (drug resistant) เป็นสาเหตุท าให้ผู้ป่วยต้องนอน โรงพยาบาลนานขึ้น มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต และเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น (นันทดา จีนจ ารัสและคณะ, 2565) หอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจ (RCU) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เป็นหอผู้ป่วยที่ดูแลผู้ป่วย กลุ่มวิกฤตและกึ่งวิกฤตมีการรับย้ายผู้ป่วยระหว่างหน่วยงาน และระหว่างโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนที่มี การรักษาที่ซับซ้อน สิ่งเหล่านี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา (drug resistant) จากข้อมูลปี2563 และ ปี 2564 มีจ านวนผู้ป่วยเฝ้าระวัง ปีละ365 คนในปี 2565 มีจ านวนผู้ป่วยเฝ้าระวัง364 คน (ช่วงเดือนตุลาคม ปี 2564 –มิถุนายน ปี2565) พบว่ามีจ านวนผู้ป่วยเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นทุกปี โดย ปี2563 และ ปี 2564 มีอัตราการติดเชื้อดื้อยา คิดเป็น 12.36 %และในปี 2565 มีอัตราการติดเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้นจากเดิม คิดเป็น 17.28 % (ช่วงเดือนตุลาคมปี 2564 –มิถุนายน ปี2565) จากข้อมูลข้างต้น ทางหอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจ (RCU) ได้มีการทบทวนแนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยเชื้อดื้อยา (WP แนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา ของโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต) มีการให้ความรู้แก่บุคลากรในหน่วยงานทุกระดับโดยทีม ICN โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต แต่ยังพบว่าอัตราการติดเชื้อดื้อยังไม่ลดลง จึงได้มีการทบทวนหาสาเหตุอีกครั้ง พบว่าการท าความสะอาดมือ และการจัดการสิ่งแวดล้อมยังไม่มีประสิทธิภาพพอ จึงได้จัดท าโครงการกระตุ้นการท าความสะอาดมือ มีการสุ่มตรวจพื้นที่สิ่งแวดล้อมรอบเตียงผู้ป่วย และสิ่งแวดล้อมทั่วไป ด้วยวิธี Black Light พบว่ามีพื้นที่ ที่ท าความสะอาดยังไม่ทั่วถึง เมื่อพบปัญหาข้างต้นทางหอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจ(RCU) ได้มีการทบทวน และหาแนวทางปฏิบัติร่วมกัน โดยมีการก าหนดวัน Big cleaning dayสัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อร่วมท าความสะอาดพื้นที่ ที่เป็นจุดเสี่ยง สิ่งแวดล้อมรอบเตียงผู้ป่วย และสิ่งแวดล้อมทั่วไป เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น หลังมีการทบทวนและหาแนวทางปฏิบัติร่วมกัน พบว่าอัตราการติดเชื้อลดลงโดยในเดือน ม.ค.65 อัตราการติดเชื้อดื้อยา คิดเป็น 20.36% (1000 ผู้ป่วย/วัน) เดือน ก.พ.65 อัตราการติดเชื้อดื้อยาคิดเป็น 11.90% (1000 ผู้ป่วย/วัน) เดือน มี.ค.65 อัตราการติดเชื้อดื้อยาคิดเป็น 18.18% (1000 ผู้ป่วย/วัน) และเดือน เม.ย.65 อัตราการติดเชื้อดื้อยา คิดเป็น 15.04% (1000 ผู้ป่วย/วัน)ส่งผลให้อัตราการติดเชื้อดื้อยา จ านวนวันนอนโรงพยาบาลของผู้ป่วยลดลง และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษา พยาบาลและเจ้าหน้าที่ในหอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจ(RCU)จึงมีบทบาทส าคัญ ในการดูแลผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาการเฝ้าระวังการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา การค้นหาปัญหาและยุติ การระบาดของเชื้อดื้อยาได้อย่างรวดเร็ว การประสานงาน การสื่อสารข้อมูลผู้ป่วยกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายใน และภายนอกองค์กร รวมทั้งการรับรู้แนวทางปฏิบัติเพื่อจัดการ ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา


2 6. เป้ำหมำย : 1. เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยา 2. เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติในหน่วยงานต่อการจัดการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา 7.กิจกรรมกำรพัฒนำ : จากการทบทวนแนวทางจัดการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา (Centers for Disease Control & Prevention, 2006)มีประเด็นของการจัดการเชื้อดื้อยาดังนี้ 1) การสนับสนุนจากผู้บริหาร 2) การเฝ้าระวังและการรายงานเชื้อดื้อยา 3) การใช้ยาต้านจุลชีพ 4) หลักการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา 5) การท าความสะอาดมือ 6) การควบคุมสิ่งแวดล้อม 7) การท าลายเชื้อและการท าให้ปราศจากเชื้อ 8) การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 9) การสื่อสาร 10) การให้ความรู้แก่บุคลากร 11) การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติ จากแนวทาง จัดการข้างต้น ได้มีการวางแผนโดยใช้หลัก Plan - Do - Check - Act Plan ทบทวนสถิติอัตราการติดเชื้อดื้อยา Do 1. ทบทวนแนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยเชื้อดื้อยา (WP แนวทางปฏิบัติการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา ของโรงพยาบาลวชิระ ภูเก็ต) 2. ให้ความรู้แก่บุคลากรในหน่วยงานทุกระดับโดยทีม ICN โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต Check พบว่าอัตราการติดเชื้อดื้อยังไม่ลดลง 1. จัดท าโครงการกระตุ้นการท าความสะอาดมือ 2. การสุ่มตรวจพื้นที่สิ่งแวดล้อมรอบเตียงผู้ป่วย และสิ่งแวดล้อมทั่วไป เพื่อค้นหาพื้นที่ ที่เป็นจุดเสี่ยง ด้วยวิธี Black Light Check พบมีพื้นที่ที่ท าความสะอาดยังไม่ทั่วถึง Doทบทวนและหาแนวทางปฏิบัติร่วมกันให้ความรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกัน การแพร่กระจายเชื้อดื้อยากับเจ้าหน้าที่ทุกระดับเพิ่มเติม โดยทีม ICN โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต Act มีการก าหนดวัน Big cleaning dayสัปดาห์ละ 1 ครั้งเพื่อร่วมท าความสะอาดพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยง สิ่งแวดล้อมรอบเตียงผู้ป่วย และสิ่งแวดล้อมทั่วไป เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาเพิ่มขึ้น 8. กำรประเมินผลกำรเปลี่ยนแปลง 1. จากการทบทวนและหาแนวทางปฏิบัติป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่กระจายร่วมกันพบว่าการแพร่กระจาย ของเชื้อดื้อยาลดลง โดย เดือน ม.ค.65 อัตราการติดเชื้อดื้อยาคิดเป็น 20.36% (1000 ผู้ป่วย/วัน) เดือน ก.พ.65 อัตราการติดเชื้อดื้อยาคิดเป็น 11.90% (1000 ผู้ป่วย/วัน) เดือน มี.ค.65 อัตราการติดเชื้อดื้อยาคิดเป็น 18.18% (1000 ผู้ป่วย/วัน) เดือน เม.ย.65 อัตราการติดเชื้อดื้อยาคิดเป็น 15.04% (1000 ผู้ป่วย/วัน) 2. มีแนวทางปฏิบัติในทิศทางเดียวกันภายในหน่วยงานต่อการจัดการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา 9. บทเรียนที่ได้รับ พบว่าการแพร่กระจายของเชื้อดื้อยาลดลงและมีแนวทางปฏิบัติในทิศทางเดียวกันภายในหน่วยงาน ต่อการจัดการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยา 10 .สมำชิกทีม : นางสาวจุฑามาศกิ่งทอง พยาบาลศาสตรบัณฑิตพยาบาลวิชาชีพช านาญการ นางสาวกอบกาญจน์ ใจสนุก พยาบาลศาสตรบัณฑิตพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ นางสาวบัณฑิตา สิทธิศักดิ์ พยาบาลศาสตรบัณฑิตพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ นางสาววรรณนิสา หมีนหวัง พยาบาลศาสตรบัณฑิตพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ


3 11.กำรติดต่อกับทีมงำน : นางสาวจุฑามาศ กิ่งทอง หอผู้ป่วยวิกฤตระบบทางเดินหายใจ (RCU) Tel.098-015-3398 E-mail : [email protected] เอกสำรอ้ำงอิง นันทดา จีนจ ารัส และคณะ. (2565). การศึกษาคสามสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลของพยาบาล วิชาชีพต่อการรับรู้แนวทางการจัดการเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อดื้อยาหลายขนาน, วารสาร วิจัยราชภัฏพระนคร สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 17(1); 17-29. Centers for Disease Control and Prevention. (2006). Management of multi-drug Resistance organisms in healthcare setting 2006. Retrieved from https://www.cdc.gov/ncidod/dhqp/gl_mdrogudeline.html[2016, 1 Oct.] World Health Oranization. (2014). Antimicrobial Resistance global report on Surveillance. Retrieved from http://scholar.google.co.th[2016, 11 Sep.]


4 SIMPLE ROUND 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร : หอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม (PICU) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 3. ค ำส ำคัญ : SIMPLEคือ อักษรย่อของหมวดหมู่ใหญ่ๆ ส าหรับ Patient Safety Goals เพื่อความง่ายในการจดจ า และรองรับเป้าหมายหรือความท้าทายใหม่ๆ ที่จะมีมาในอนาคต S = Safe Surgery (2nd Global Patient Safety Challenge) I = Infection Control (Clean Care ใน 1st Patient Safety Challenge) M = Medication Safety P = Patient Care Process L = Line, Tube, Catheter E = Emergency Response 4. สรุปผลงำนโดยย่อ : แบบตรวจสอบขณะรับส่งต่ออาการผู้ป่วยเพื่อป้องกันความเสี่ยงหอผู้ป่วย PICU สามารถลดอุบัติการณ์และค้นหาความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในหอผู้ป่วย PICU ได้ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัย จากการให้บริการ 5. ปัญหำและสำเหตุโดยย่อ จากการเก็บสถิติความเสี่ยงหอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม (PICU) ในช่วงเดือนตุลาคม 2564 – มีนาคม 2565 มีการเกิดอุบัติการณ์ความเสี่ยงด้านคลินิกและความเสี่ยงทั่วไปเกิดขึ้นมาก เช่น ผู้ป่วยไม่มีป้ายข้อมือ จ านวน 4 ราย, ท่อช่วยหายใจหลุด จ านวน 3 ราย, ไม่ติดสติ๊กเกอร์สี Exp. จ านวน 1 ราย, ไม่ท าความสะอาด ห้องผู้ป่วยติดเชื้อดื้อยา จ านวน 1 ราย ซึ่งความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้ ท าให้เกิดผลเสียตามมา อาจท าให้ผู้ป่วย ต้องได้รับการรักษาเพิ่ม นอนโรงพยาบาลนานขึ้น ดังนั้นทางหอผู้ป่วยได้ตระหนักถึงความส าคัญของปัญหาดังกล่าว และได้ร่วมหาแนวทางแก้ไขนี้ จึงเกิดแบบตรวจสอบขณะรับส่งต่ออาการผู้ป่วยเพื่อป้องกันความเสี่ยงหอผู้ป่วย PICU เพื่อให้เกิดการ ตรวจสอบผู้ป่วยก่อนปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้น 6. เป้ำหมำย : เพื่อลดอุบัติการณ์และค้นหาความเสี่ยงที่เกิดขึ้นของผู้ป่วยPICUอย่างต่อเนื่อง ปี 2566 7. กิจกรรมกำรพัฒนำ (process) 1. ออกแบบแบบประเมินเพื่อใช้ตรวจสอบผู้ป่วย โดยจัดท าเป็นแบบตรวจสอบขณะรับส่งต่อ อาการผู้ป่วยเพื่อป้องกันความเสี่ยงหอผู้ป่วย PICU ดังตาราง


5 แบบตรวจสอบขณะรับส่งต่ออำกำรผู้ป่วยเพื่อป้องกันควำมเสี่ยงหอผู้ป่วย PICU รำยกำร วันที่ วันที่ วันที่ วันที่ วันที่ วันที่ วันที่ ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด 1. safe Surgery (กรณี setOR) - ใบเซ็นต์ยินยอม - ใบผ่าตัด 2. Infection control - ventilator circuit/bacteria filter ไม่มีน้ าขัง - humidifierเติมน้ าระดับเหมาะสม - Ambu bag/test lung มีจุกปิด - wound site check - ปากสะอาด,ไม่มีขี้ตา,ผมไม่รุงรัง - จัด Position, เปลี่ยน pampers - ไม่มีขยะรอบเตียง - ทิ้งขยะถูกประเภท 3. Medication & Blood safety - stickerสี Exp. ที่กระเปาะน้ าเกลือ/ ต าแหน่งIV - ป้ายชื่อน้ าเกลือและยา - Rate IV/Limit IV ตามแผนการรักษา - ป้ายแขวน (HAD/CP/NPO/…..) 4. Patient Care Process - ป้ายข้อมือ - sticker chart - restraint ผูกไม่หลวม/แน่นไป - ยกไม้กั้นเตียง 5. Line, Tube, Catheter & Lab - check ต าแหน่ง ETT…..depth…../ HHHFNC/canular อยู่ในจมูก - invasive line (site check, Exp…...) - ต าแหน่ง NG/OG - check ต าแหน่ง Foley cath - ตามผล Lab ต่างๆ 6. Emergency Response - alarm ventilator/monitor Assign


6 2. น าแบบตรวจสอบขณะรับส่งต่ออาการผู้ป่วยเพื่อป้องกันความเสี่ยงหอผู้ป่วย PICU ไปใช้ในหอผู้ป่วย PICU ทุกวัน หลังรับ-ส่งเวร 8. กำรประเมินผลกำรเปลี่ยนแปลง (performance) : จากการการทบทวนหลังการน า SIMPLE ROUND มาใช้ พบว่าอุบัติการณ์ที่เคยเกิดขึ้น มีแนวโน้มลดลง ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นตามข้างต้น จึงได้ท าการทบทวนและวิเคราะห์ในแต่ละข้อ 1. ETT เลื่อนหลุด ได้น าแนวปฏิบัติที่มีมาปรับปรุงและแก้ไขใหม่ มาใช้เป็นแนวทางเดียวกัน 2. c-line เลื่อนหลุด เนื่องจากผู้ป่วยดึง แก้ไขโดยการประเมินผู้ป่วยและท าการผูกมัดให้เหมาะสม 3. ไม่มีป้ายข้อมือ พบว่าส่วนใหญ่เจอในผู้ป่วยรับย้าย แก้ไขโดยการใส่ป้ายข้อมือ 4. ทิ้งขยะไม่ถูกประเภท แก้ไขโดยการแจ้งให้ทุกคนตระหนักและทบทวนการแยกขยะ 9. บทเรียนที่ได้รับ - พบอุบัติการณ์ท่อช่วยหายใจเลื่อนหลุด แม้จะได้รับการตรวจสอบตามแบบฟอร์มข้างต้นแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจาก ปัจจัยของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วย agitate แม้จะได้รับยา sedative เป็นต้น และจะน าปัญหานี้ไปแก้ไขพัฒนาต่อไป - ป้ายข้อมือไม่เหมาะสมกับตัวผู้ป่วย ท าให้หลุดง่าย, sticker เปื่อยลอกง่าย ซึ่งทางหอผู้ป่วยแก้ไข โดย ใช้ scotch tape ใส หุ้มsticker ป้ายข้อมือ ซึ่งต่อไปในอนาคตอาจมีปรับใช้วัสดุอย่างอื่น - ขาดการรายงานความเสี่ยง แก้ไขโดยกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้การรายงานความเสี่ยง 10. สมำชิกทีม : หอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม (PICU) 11. กำรติดต่อกับทีมงำน :คุณพิชญามณฑน์ มุขแม้นเหมือน ต าแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 353 ถ.เยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000 เบอร์ติดต่อ 076-361234 ต่อ 6419-6420 0 1 2 3 4 5 6 7 8 ส.ค.-65 ก.ย.-65 ต.ค.-65 พ.ย.-65 ชื่อแกน ส.ค.-65 ก.ย.-65 ต.ค.-65 พ.ย.-65 ETT เลื่อนหลุด 7 1 1 4 c-line หลุด 1 0 1 0 ป้ายข้อมือ 2 0 0 0 ทิ้งขยะ 0 1 0 5 ชื่อแผนภูมิ


7 ER ช่วยฟื้นคืนชีพปลอดภัย ลดการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร : กลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 3. ค าส าคัญ : COVID-19, ช่วยฟื้นคืนชีพ, 2P safety 4. สรุปผลงานโดยย่อ : พัฒนาแนวทางปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพในห้องฉุกเฉินภายใต้สถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ปลอดภัย 5. ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ : จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส (COVID-19) เป็นวิกฤติที่มีผลกระทบทุกมิติ ของระบบการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน ทางห้องฉุกเฉินก าลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบบริการ โครงสร้าง ทางกายภาพ ส่งผลระบบบริหารจัดการที่มีไม่เพียงพอต่อการตอบสนองการระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส (Covid19) การช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นให้ได้ตามมาตรฐานจึงถือเป็นสิ่งส าคัญที่จะท าให้ ผู้ป่วยกลับมามีสัญญาณชีพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีหลังได้รับการช่วยเหลือ ในทางกลับกันความปลอดภัย จากการติดเชื้อของบุคลากรในห้องฉุกเฉินก็ถือเป็นสิ่งส าคัญ (2P safety) เนื่องจากผู้ป่วย Cardiac arrest ไม่สามารถทราบได้ว่า ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโคโรน่าไวรัส (Covid19) หรือไม่ ดังนั้นผู้ที่มารับ บริการที่ห้องฉุกเฉินจึงเปรียบเสมือนมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งหมด ร่วมกับการท าหัตถการใส่ท่อช่วยหายใจ และการกดหน้าอก ช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) เป็นหัตถการที่ท าให้เกิดละอองฝอย (Aerosol generating procedures) ทั้งสิ้น ทางห้องฉุกเฉินจึงได้พัฒนาแนวทางปฏิบัติการช่วยชีวิตในห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาล วชิระภูเก็ตขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นได้เร็วที่สุด ปลอดภัยและทันท่วงที 6. เป้าหมาย:เพื่อเพิ่มการกลับมามีสัญญาณชีพของผู้ป่วยหลังได้รับการช่วยฟื้นคืนชีพ(ROSC)ในอัตรามากกว่า30% 7. กิจกรรมการพัฒนา : โดยใช้กระบวนการ PDCA ในการพัฒนาต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่เดือน ตุลาคม 2564 - กรกฎาคม 2565 โดยมีการพัฒนา 3S ดังนี้ Structure: ปรับภูมิทัศน์ แยกพื้นที่รักษาผู้ป่วยติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ ท า Isolation room ระบบ Airborne Infection Isolation Rooms (AIIRs), Negative pressure และ Modified negative room ระบบกรองอากาศท าลายเชื้อ Hepa filter, หลอด UV มีแนวทางการปฏิบัติการการกู้ชีพขั้นสูง Staff: 1. มีการฝึกอบรมการใส่ PAPR, การใช้ Auto CPR แบบ Corpuls และการใช้ Auto CPR แบบ LUCUS ในสถานการณ์จ าลอง 2. มีการจัดเตรียมอุปกรณ์ที่ต้องน าเข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยโดยวางไว้ หน้าห้อง Modified negative ตามล าดับก่อน-หลังที่ต้องใช้ดังนี้ เครื่อง Defibrillator, Auto CPR, รถ Airway, รถ IV โดยให้ทีม CPR หยิบก่อนเข้าห้อง System: จัดทีมปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพโดยยึดตาม Standard TRC Guidelines ปัจจุบัน (Position for 6 - Persons High Performance TEAM) ดังนี้ Position for 6 - Persons High Performance TEAM Isolate room


8 8. การประเมินผลการเปลี่ยนแปลง : จากสถิติเดือน ตุลาคม 2564 – กรกฎาคม 2565 ข้อมูลอัตราการกลับมามีสัญญาณชีพของผู้ป่วยหลัง ได้รับการช่วยฟื้นคืนชีพ (ROSC) มีแนวโน้มที่ลดลงและเพิ่มขึ้น จากการมีผู้ป่วยได้รับการช่วยฟื้นคืนชีพมา รับการรักษาโดยญาติน าส่ง หรือไม่ได้ใช้บริการผ่านระบบ EMS ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการรักษา อีกทั้ง ด้วยความรุนแรงของโรคและญาติปฏิเสธการรักษาและขอยุติการช่วยฟื้นคืนชีพ แต่ยังคงเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งมีผลมาจากบุคลากรตระหนัก และปฏิบัติตาม Standard TRC Guidelines และด้วยการ เตรียมพร้อมต่างๆทั้งในส่วนของการใส่ชุด Full PPE และชุดป้องกันตนเอง 5 ชิ้นขณะปฏิบัติงาน เพื่อ เตรียมพร้อมรับผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน และผู้ป่วยที่ต้องช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) 9. บทเรียนที่ได้รับ : การเรียนรู้จากปัญหาที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานน าไปสู่การแก้ปัญหาให้ได้ แนวทางใหม่ที่ท าให้ท างานได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องยุติการให้บริการ เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับการบริการ ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และได้มาตรฐาน และผู้ปฏิบัติงานมีความปลอดภัย 10. สมาชิก : นางสาวอรอุบล สมบูรณ์ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ นางสาวญาณิศา นิสัน พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ 11. การติดต่อกับทีมงาน: นางสาวอรอุบล สมบูรณ์ กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต โทร. 076-361234 ต่อ 1200-1202 Email: [email protected]


9 STOP SSI 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กรณ์: หอผู้ป่วยกึ่งวิกฤติโรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ (ICCU) 3. ค ำส ำคัญ : SSI, CABG 4. สรุปผลงำนโดยย่อ : การสื่อสาร ติดตาม ระหว่างทีมและผู้ป่วยเป็นสิ่งส าคัญที่จะท าให้ลดการเกิดการ ติดเชื้อบริเวณแผลผ่าตัด 5. ปัญหำและสำเหตุ : จากการติดตามอุบัติกาณ์ของโรงพยาบาล ปี 2564 และ 2565 พบว่าการดูแล ผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (CABG) เกิดอุบัติการณ์ที่ท าให้มีความรุนแรงกับผู้ป่วยในระดับ E-F ผู้ป่วย ต้องกลับเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรืออยู่รพ.นานขึ้น ซึ่งมีโอกาสที่เกิดการสูญเสียอวัยวะหรือ เสียชีวิตได้โดยพบว่าการติดเชื้อแผลผ่าตัดหัวใจ ปี 2564 พบทั้งสิ้น 13 ราย และปี 2565 (ต.ค. 64 – มี.ค. 65) พบ 5รายส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยที่มีโรคร่วม เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตวาย อ้วน โดยเฉพาะโรคเบาหวาน เป็นสาเหตุอันดับต้นๆที่พบ อีกทั้งมีการปฏิบัติการดูแลแผลที่แตกต่างกัน การนัดหมายของแพทย์ที่ต่างกัน ดังนั้นทีมงานหอผู้ป่วยกึ่งวิกฤติโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด จึงต้องการให้มีแนวทางการดูแลผู้ป่วยหลัง ผ่าตัดหัวใจแบบเปิดครอบคลุมทุกหน่วยงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติการณ์ซ้ า 6. เป้ำหมำย : 1. เพื่อพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจให้ได้คุณภาพตามบริบทของหน่วยงาน 2. ลดอุบัติการณ์การเกิด การติดเชื้อแผลหลังผ่าตัดหัวใจ <0.3 (เกณฑ์ของรพ. <0.5) 7. กิจกรรมกำรพัฒนำ : 1. วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจัยของการติดเชื้อ การดูแลบาดแผล และการดูแลหลังผ่าตัด ร่วมกับ ทีมสหวิชาชีพ สืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์ 2. ก าหนดแนวทางการฝ้าระวัง การดูแลและการป้องกันการติดเชื้อแผลผ่าตัด 3. ประชุมชี้แจงปฏิบัติให้ความรู้แกทีม น าไปทดลองปฏิบัติ (เม.ย.-พ.ค. 65) 4. ประเมินผลการใช้ปรับปรุงแก้ไข 5. ทบทวน ส่งเสริมการใช้ ติดตาม ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง 8. กำประเมินผลกำรเปลี่ยนแปลง : 1. ชี้แจงหน่วยงานที่รับผู้ป่วยเตรียมตัวก่อนผ่าตัด โดย เย็นก่อนวันผ่าและเช้าก่อนวันผ่าตัด ให้อาบน้ าผู้ป่วยด้วย Hibiscrub 2. การวางแผนจ าหน่ายผู้ป่วยแจกสมุดคู่มือการดูแลตนเองหลังผ่าตัดแจกให้ผู้ป่วยทุกรายพร้อม ทั้งอธิบายผู้ดูแลให้ทราบ เน้นย าเรื่องการดูแลแผล การสังเกตลักษณะแผล หรืออาการผิดปกติ ที่ต้องรีบมาพบแพทย์ก่อนวันนัด 3. หลังผ่าตัดทุกรายให้เช็ดตัวหรืออาบน้ าบนเตียง จนกว่าจะครบ Day 10 หรือจนกว่าแผลจะแห้ง ห้ามแผลโดนน้ าและท าความสะอาดแผลทันทีเมื่อแผลเปื้อน 4. แจกไฟล์คู่มือการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดให้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หลวงพ่อแช่ม ศัลยกรรมชาย ศัลยกรรมหญิง น้อมเกล้า 5. การท าความสะอาดเตียงและสิ่งแวดล้อมผู้ป่วยหลังจ าหน่าย หลังด าเนินการยังพบผู้ป่วยติดเชื้อที่แผลผ่าตัดทางหน่วยงานจึงท าการวิเคราะห์สาเหตุใหม่อีกครั้ง พบว่าผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มีโรคร่วมเบาหวานยังควบคุมระดับน้ าตาลได้ไม่ดีจึงจัดด าเนินการต่อไปนี้


10 1. ผู้ป่วยที่มีโรคร่วมเบาหวานหลังผ่าตัดทุกรายให้ on RI (1:1) iv และ monitor DTX ทุก 1-2 ชม. จนกระทั่งคงที่จึงปรับเป็นทุก 4-6 ชม. ให้3วันจึงปรับเป็น RI ตาม Scale 2. ก าหนดการนัดหมายผู้ป่วย มาพบอีกครั้ง หลังจ าหน่าย 1-2 สัปดาห์ หลังด าเนินการพบว่ามีผู้ป่วยและญาติหลังจ าหน่ายโทรมาสอบถามอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นหลัง กลับบ้านว่าควรปฏิบัติอย่างไร และความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติหลังให้ความรู้ยังมีความแตกต่าง เช่น แนะน าท าแผลทุกวัน ผู้ป่วยบางรายกลับไปท าแผลเอง หรือ การแนะน าให้ท าแผลทุกวันแต่บางรายทาง สถานพยาบาลนัดท าแผล3วันครั้ง ทางหน่วยงานจึงได้มีการจัดท าแผนการติดตามหลังกลับบ้าน Day 3 , 5 , 7 โดยการจัดท าแบบบันทึกและโทรติดตามอาการพร้อมบันทึกอาการทุกรายที่จ าหน่ายจาก ICCU 9. บทเรียนที่ได้รับ : 1. การท างานเป็นทีม และการสื่อสารระหว่างทีมกับผู้ป่วยและญาติเป็นสิ่งส าคัญที่จะท าให้งาน ประสบความส าเร็จตามเป้าหมาย 2. การน าแนวทางการ Drip RI ในผู้ป่วยเบาหวานยังปฏิบัติไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน 3. ผู้ป่วยและญาติยังขาดความรู้ในการประเมินแผลที่มีอาการผิดปกติ โดยการสอบถามผู้ป่วยและญาติ เช่น แผลมี discharge ซึม หลังกลับบ้านแต่ยังไม่ถึงวันนัดท าแผล แนะน าให้ไป ท าแผลที่รพ.ใกล้บ้านและ เปลี่ยนการท าแผลเป็นทุกวันพร้อมถ่ายรูปลักษณะแผลเพื่อปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอีกครั้ง 10. สมำชิกทีม : ทีมแพทย์และพยาบาลหอผู้ป่วยกึ่งวิกฤติโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด ผู้น าเสนอ นางนฤมล มโหฬาร 11. กำรติดต่อกับทีมงำน : นางเนาวรัตน์ นิลพัฒน์ หอผู้ป่วยกึ่งวิกฤติโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต โทรศัพท์ติดต่อ 076- 361234 ต่อ 2100 2101


11 Wristband Identification Matching 2. ชื่อและที่อยู่องค์กร : งานห้องคลอด โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 3. ค ำส ำคัญ : Identification การระบุตัวทารกในห้องคลอด, ป้ายข้อมือ 4. สรุปผลงำนโดยย่อ : พัฒนารูปแบบ การ Identification ป้ายข้อมือและป้ายข้อเท้าทารก โดยใช้ระบบ HOSxP ยืนยันระบุตัวทารกถูกต้องและการเขียนที่ผิดพลาด พยาบาลปฏิบัติเป็นแนวทางกัน 5. ปัญหำและสำเหตุโดยย่อ : ห้องคลอดเป็นหน่วยงานที่รับดูแลทารกแรกเกิด จนถึง 2 ชั่วโมงหลังคลอด จากสถิติการให้บริการทารกแรกเกิด พบว่าในแต่ละปีมีจ านวนทารกแรกเกิดมากกว่า 3,000 คน โดยใน ปีงบประมาณ 2562 - 2564 มีจ านวน 4,697, 4,385 และ 3,429 รายตามล าดับ จากการทบทวน อุบัติการณ์ความเสี่ยง ไม่พบการระบุทารกและการส่งต่อทารกคืนสู่มารดาผิดพลาด แต่มีอุบัติการณ์ รายงานความผิดพลาดจาก Human error เช่น การเขียนชื่อ-สกุลผิด ลายมืออ่านยาก ชื่อ-สกุลยาว ระบุเพศ และน าหนักผิด ป้ายเลอะเลือน คิดเป็นร้อยละ 2 ต่อการคลอดทั งหมด ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูล มารดาและครอบครัวขาดความเชื่อมั่น หน่วยงานได้เล็งเห็นความส าคัญของปัญหาดังกล่าวจึงพัฒนาต่อยอด แนวทางการปฏิบัติรูปแบบเดิม มาเป็นรูปแบบใหม่โดยการใช้ระบบ HOSxP 6. เป้ำหมำย : 1) เพื่อพัฒนาการระบุตัวทารกถูกคน 100 % 2) เพื่อลดอุบัติการณ์การเขียนป้ายข้อมือข้อเท้าผิดพลาด 0 % 7. กิจกรรมกำรพัฒนำ : PLAN 1) ทบทวนแนวทางวิธีการปฏิบัติเดิม 2) ทบทวนอุบัติการณ์ปัญหาการระบุตัวทารกและเก็บรวบรวมข้อมูล DO 1) ชี แจงการระบุตัวทารกและอุบัติการณ์ความเสี่ยงแก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับในหน่วยงาน 2) ชี แจงทีมและให้ปฏิบัติตามแนวทางการระบุตัวทารกแบบใหม่ CHECK 1) นิเทศงานและติดตามผลการปฏิบัติตามแนวทางการระบุตัวทารกแบบใหม่โดยหัวหน้าเวร ACT 1) ทบทวนสาเหตุและแก้ไขเมื่อเกิดอุบัติการณ์ 2) เปรียบเทียบข้อมูลเป็นรายเดือน 8. กำรประเมินผลกำรเปลี่ยนแปลง : 1) การยืนยันการระบุตัวทารกถูกต้องคิดเป็น 100 % 2) ไม่พบอุบัติการณ์การเขียนป้ายข้อมือข้อเท้าผิดพลาดตั งแต่เดือนเมษายน - เดือนสิงหาคม ปี2565 9. บทเรียนที่ได้รับ : 1) ไม่พบความผิดพลาดในการระบุตัวทารก 2) ลดระยะเวลาในการท างาน 3) การท างานไม่สะดวกเนื่องจากอุปกรณ์พิมพ์stickerไม่มีเพียงพอ 4) สามารถพัฒนาต่อยอดในการscan Barcode ระบุตัวทารกยืนยันร่วมกับมารดาทุกคน 10. สมำชิกทีม : นางโชติกา รัตนาลัย พยาบาลวิชาชีพช านาญการและทีมงานห้องคลอด 11. กำรติดต่อกับทีมงำน : นางโชติกา รัตนาลัย พยาบาลวิชาชีพช านาญการและทีมงานห้องคลอด งานห้องคลอด โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เบอร์โทรติดต่อ 076361247 e-mail : [email protected] กำรเตรียมควำมพร้อมก่อนรับทำรกแรกคลอด งำนห้องคลอด โรงพยำบำลวชิระภูเก็ต แนวทำงกำรปฏิบัติกำรระบุตัวทำรก 1. การเตรียมความพร้อมก่อนทารกคลอด 1.1 แรกรับตรวจสอบรูปพรรณสัณฐานผู้คลอด 2 แหล่งข้อมูล คือ ตัวผู้คลอด และจากภาพถ่าย บัตรประชาชน หรือจากเอกสารที่ทางราชการออกให้ที่มีรูปถ่าย


12 1.2 เมื่อผู้คลอดมาถึงห้องคลอด สอบถามหรือให้ผู้คลอดอ่าน ชื่อ - สกุล ของตนเองทุกครั ง ตรวจสอบให้ตรงกับฐานข้อมูล HOSxP และเวชระเบียน ให้ผู้คลอดเขียน ชื่อตนเอง และชื่อสามี ในเวชระเบียนด้วยตนเอง 1.3 เขียนป้ายข้อมือ 2 ชิ น ชิ นที่ 1: เขียนชื่อ - สกุล ผู้คลอด ตามบัตรประชาชนผูกให้ผู้คลอดที่ข้อมือ ชิ นที่ 2: เขียนชื่อ - สกุล ผู้คลอด ตามบัตรประชาชนในป้ายข้อมือทารก (สีขาว) เว้นที่ว่าง ส าหรับการเติม วันที่ เวลา คลอด เพศ (กรณีผ่าตัดคลอด) คล้องป้ายสีขาวนี ไว้กับป้ายชื่อผู้คลอด (มารดาทารก) กรณีคลอดปกติเมื่อทารกคลอด พยาบาลผู้ท าคลอด ยกทารกให้มารดาดูทารก ดูเพศ (ให้มารดาโอบกอด กรณีทารก Active ดี AS > 7 คะแนน ) พยาบาลผู้ดูแลทารกจะน าป้ายข้อมือสีขาวแกะจากป้ายข้อมือผู้คลอด ให้มารดาอ่านก่อนน ามาผูกที่ข้อมือให้กับทารกทันที กรณีทารก Active น้อยยกทารกให้มารดาดูเพศ ตัวทารก และส่งทารกไปยัง warmmer ปลายเตียงมารดา เพื่อดูแลต่อ พยาบาลผู้ดูแลทารกจะแกะป้ายชื่อให้ มารดาอ่านและน าไปผูกที่ข้อมือทารก กรณีผ่ำตัดคลอด เมื่อผู้คลอดเข้าห้องผ่าตัด ก่อนผู้คลอดจะสลบ ผู้ช่วยเหลือคนไข้ในห้องผ่าตัดแกะป้าย ข้อมือทารกให้ผู้คลอดอ่านอีกครั งและมาเตรียม เขียน วันที่เวลา เพศทารกที่คลอด พยาบาลรับทารก จะดูแลทารกแรกคลอด มีการขานชื่อ วันที่ เวลา เพศและผูกป้ายข้อมือทารกสีขาว ที่ข้อมือ ยกทารกให้มารดาดู กรณีมารดารู้สึกตัวดี ชิ นที่ 3 : หลังจากตรวจร่างกายท าความสะอาดวัดสัดส่วน ชั่งน าหนัก พยาบาลผู้ดูแลทารก จะลงข้อมูลทารกในระบบ HOSxP เมื่อลงข้อมูลเสร็จ จะปริ นข้อมูล 2 ค าสั่งคือใบย่อคลอด และป้ายข้อมือทารก รายละเอียดในป้ายข้อมือทารก แสดง อักษร ย่อ ดช. ดญ. บุตร…….คลอดวันที่….. เวลา…. น าหนัก ….กรัม กรณีทารกแฝด จะระบุแฝดพี่แฝดน้อง หากมากกว่า 2 คนจะระบุเป็นล าดับ 1,2,3 และน าสติ๊กเกอร์ป้าย ข้อมือมาติดที่ป้ายให้เลือกสีของป้ายตามเพศทารก สีชมพู เพศหญิง สีฟ้า เพศชายแล้วน าป้ายผูกข้อเท้าทารก ป้ำยระบุตัวทำรกแบบเดิม เริ่มใช้ปี 2555 ป้ายข้อมือ : กรณีผ่าตัดคลอด เขียนเวลาคลอดเพศจาก OR ผูกข้อมือ ทารก กรณีคลอดที่ห้องคลอด จะไม่เขียนเพิ่ม มีเพียงชื่อ-สกุล มารดา ป้ายข้อเท้า : กรณีผ่าตัดคลอด เขียน บุตรชื่อ-สกุลมารดา เพิ่ม น าหนักทารก


13 กรณีคลอดปกติที่ห้องคลอด เขียน เขียน บุตรชื่อ-สกุลมารดา เพศ วันที่ เวลาคลอด น าหนัก พัฒนำป้ำยระบุตัวทำรกแบบใหม่ เริ่มใช้งานปีงบ 2565 ออกแบบข้อมูลที่ต้องการใช้ในระบบHOSxP และพิมพ์Sticker ติดป้ายโดยแยกเพศตามสี


14 การดูแลผู้ป่วย Stroke Fast Track ในยุค New Normal 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร : กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 353 ถ.เยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000 3. ค าส าคัญ : Stroke Fast Track, New Normal 4. สรุปผลงานโดยย่อ พัฒนาการดูแลผู้ป่วย Stroke Fast Track ในห้องฉุกเฉินภายใต้สถานการณ์โรคอุบัติใหม่ (COVID-19) เพื่อให้ผู้ป่วย Door to CT <25 min น าไปสู่การได้ยา rt-PA ตามมาตรฐาน 5. ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ จากสถิติผู้ป่วย Stroke Fast Track ที่มารับบริการในห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตในเดือนต.ค. 2564 - ม.ค. 2565 พบว่าเกณฑ์Door to CT <25 min ต่ ากว่าร้อยละ 80 คือคิดเป็นร้อยละ 64, 77, 67 และ 72 ตามล าดับประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่โรคอุบัติใหม่ (COVID-19) มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ อย่างหนักการปรับพื้นที่รองรับและคัดกรองผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการทุกรายไม่เว้นแม้แต่ผู้ป่วย Stroke Fast Track จึงเป็นสิ่งจ าเป็น แต่ในทางกลับกันก็พบว่าการดูแลผู้ป่วย Stroke Fast Track ใช้เวลานานขึ้นจากการคัดกรอง โรค COVID-19 นานไม่มีพื้นที่ที่ดูแลผู้ป่วยชัดเจนทีมแพทย์พยาบาลเวรconsult ใช้เวลาในการหาผู้ป่วยตาม zone ต่างๆ และเสียเวลาย้ายโซนผู้ป่วยอุปกรณ์ที่ใช้ท าหัตถการอยู่ไกลท าให้ผู้ป่วยอาจเสียโอกาสในการได้ยา rt-PA และบุคลากรท างานไม่ได้สะดวกเกิดความตึงเครียด 6. เป้าหมาย เพื่อพัฒนาการดูแลผู้ป่วยStroke Fast Track ในห้องฉุกเฉินได้Door to CT <25 min มากกว่า หรือเท่ากับร้อยละ 80 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธุ์2565 7. กิจกรรมการพัฒนา 1. Staff - ทบทวนกระบวนการดูแลผู้ป่วยให้กับพยาบาลน้องใหม่และบุคลากรในหน่วยงานเมื่อมีการปรับเปลี่ยน - ติดโปสเตอร์Stroke Fast Track จุดTriage เพื่อให้บุคลากรตระหนักและมีความรู้ความเข้าใจกลุ่มโรค - เน้นย้ าแพทย์เวรห้องฉุกเฉินรีบตรวจATK ผู้ป่วยหลังจากซักประวัติเสร็จ 2. Structure - จัดโซนเฉพาะส าหรับดูแลผู้ป่วยตั้งแต่แรกรับจนออกจากห้องฉุกเฉินพร้อมมีเตียงstroke เพื่อรับผู้ป่วย - ย้ายรถstroke ส าหรับท าหัตถการมาไว้ในโซนที่เตรียมรับผู้ป่วย 3. System - ทบทวนการดูแลผู้ป่วยทุกเดือนจากone page บันทึกทางการพยาบาลการดูแลผู้ป่วยตั้งแต่แรกรับ จนถึง ward stroke unit - สอบถามความคิดเห็นของบุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการดูแลผู้ป่วย - หากแพทย์เวร consult med ไม่สามารถลงมาประเมินผู้ป่วยได้ภายใน 20 นาทีหลังจากผู้ป่วย มาถึงห้องฉุกเฉินให้ไปประเมินผู้ป่วยที่ห้อง CT


15 8. การประเมินผลการเปลี่ยนแปลง วิธีการประเมินผล คือ ผู้ป่วยStroke Fast Track ในห้องฉุกเฉินได้Door to CT <25 min คิดเป็นร้อยละ≥80 จากการปรับกระบวนการดูแลผู้ป่วยเดือนมกราคม 2565 พบว่าผู้ป่วยได้ Door to CT <25 min มีแนวโน้มดีขึ้นผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้โดยในด้านโซนดูแลผู้ป่วยที่ปรับให้ดูแลสิ้นสุดเพียงจุดเดียวและมีรถstroke พร้อมใช้ส าหรับท าหัตถการสามารถช่วยลดความสูญเปล่าของเวลาจากการเดินหยิบของหลายครั้งการย้าย ผู้ป่วยไปหลายจุดเพื่อตรวจ ATK ก่อนAdmit และลดความตึงเครียดจากงานของบุคลากรได้ด้านบุคลากรการ ทบทวนกระบวนการและการติดโปสเตอร์ช่วยเตือนความจ าท าให้พยาบาลห้องฉุกเฉินมีความมั่นใจและให้การ ดูแลรักษาที่เร็วขึ้นและด้านกระบวนการดูแลผู้ป่วยการตรวจ ATK ผู้ป่วยตั้งแต่แรกหลังแพทย์เวรER ซักประวัติ เสร็จสามารถช่วยลดระยะเวลาดูแลผู้ป่วยในห้องฉุกเฉินได้ดีกว่าการตรวจ ATK หลังจากท าหัตถการต่างๆเสร็จ และในระหว่างพัฒนากระบวนการยังพบปัญหาที่ค่อนข้างควบคุมได้ยากจากการที่มีผู้ป่วย COVID-19 ก าลัง CT อยู่ ในห้องซึ่งท าให้ผู้ป่วย Stroke Fast Track ได้Door to CT >25 min น าไปสู่ Door to Drug >60 min หรือ ผู้ป่วยหมดเวลาที่จะได้ยาละลายลิ่มเลือดได้ 9. บทเรียนที่ได้รับ 1. ความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่อย่างรวดเร็ว ท าให้ต้องจัดสรรพื้นที่และคัดกรอง ผู้ป่วยทุกรายที่มารับบริการ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ป่วย Stroke Fast Track ท าให้ใช้เวลาในกระบวนการ ดูแลผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จึงจัดสรรพื้นที่เฉพาะส าหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้และอุปกรณ์ที่ต้องใช้ให้อยู่ในพื้นที่เดียวกัน พร้อมทั้งแพทย์ตรวจ ATK ไปพร้อมกับการซักประวัติ 2. สิ่งที่บุคลากรในแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแม้จะแข่งกับเวลาในการดูแลผู้ป่วย คือ การเตรียมพร้อมโดยใส่ชุดป้องกันตนเอง 5 ชิ้น เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้ว่าผู้ป่วยจะมา รับบริการเมื่อไหร่และมีโรคอุบัติใหม่แฝงมาด้วยหรือไม่ ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ปี งบ 64 100 100 83 83 94 76 100 50 65 83 89 89 ปี งบ 65 64 77 67 72 100 82 100 92 100 86 เป้ าหมาย 80 80 80 80 80 80 80 80 80 80 80 80 0 10 20 30 40 50 60 70 80 90 100 ร้อยละของผู้ป่วย กราฟแสดงผู้ป่วย Stroke Fast Track ที่ได้ Door to CT <25 min


16 3. สิ่งที่จะท าแตกต่างไปจากเดิมในคราวหน้า คือ การแจกโปสเตอร์ติดโต๊ะหรือฝาผนังที่บอกอาการ และอาการแสดงของผู้ป่วย Stroke Fast Track ให้แก่ทีมสหวิชาชีพที่ร่วมดูแลผู้ป่วย เช่น เจ้าหน้าที่เอ็กซเรย์และ CT เวรเปล เพื่อให้ตระหนักถึงเวลาว่ามีความส าคัญมากกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ 10. สมาชิกทีม นางสาวอมรรัตน์ กองธรรม พยาบาลวิชาชีพช านาญการ นางสาวนูรีดา อาแว พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ 11. การติดต่อกับทีมงาน นางสาวอมรรัตน์ กองธรรม กลุ่มงานการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต โทร. 076-361234 ต่อ 1200-1202 Email : [email protected]


17 การพัฒนารูปแบบการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 กลุ่มภารกิจ ด้านการพยาบาล โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร/ภาควิชา กลุ่มงานการพยาบาลด้านการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ ในโรงพยาบาล 3. ค าส าคัญ : บุคลากรติดเชื้อ COVID-19,สอบสวนการติดเชื้อ 4. สรุปผลงานโดยย่อ การสอบสวนการติดเชื้อ COVID-19 ในกลุ่มบุคลากรที่สัมผัสผู้ติดเชื้อเข้าข่าย/ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ COVID-19 ในหอผู้ป่วย มีความส าคัญ และจ าเป็นอย่างยิ่งในการตัดวงจรการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้ผู้ป่วย และ บุคลากรอื่น อีกทั้งส่งผลต่ออัตราก าลังในการปฏิบัติงานที่มีจ านวนจ ากัดการพัฒนารูปแบบ และ แบบฟอร์มรายงานการสัมผัสติดเชื้อ COVID-19 โดยใช้ Google sheet ท าให้ลดระยะเวลาการสอบสวน การจัดการ Active case finding และสามารสรุปผลการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม ได้อย่างรวดเร็ว และทันท่วงที 5. ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ จากสถานการณ์โรคอุบัติใหม่โควิด 19 ที่แพร่ระบาดเป็นวงกว้างไปทั่วโลกส่งผลกระทบให้เกิดการตื่นตัว ในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อเป็นอย่างมาก โดยโรงพยาบาลวชิระภูเก็ตเริ่มได้รับการแจ้งเตือนให้ เตรียมพร้อมรับโรคอุบัติใหม่โควิด 19 ครั้งแรกจากสถาบันบ าราศนราดูรในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2563 ซึ่งข้อมูลรายงานผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ด้วยการตรวจด้วยวิธีPCR ของจังหวัดภูเก็ตข้อมูล ณ. วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565 มีรายงานผู้ติดเชื้อรวมทั้งหมด 74,167 คนเป็นรายงานจากโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต จ านวน 22,606 คน ซึ่งผู้ติดเชื้อเหล่านี้มีทั้งต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม โรงแรมส าหรับกักตัว และกักตัวเองที่บ้าน ทั้งยังพบผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลและญาติเฝ้าไข้จ านวนหนึ่งที่ผลตรวจ PCR DET detected ขณะรักษาตัวในหอผู้ป่วยทั่วไปที่ไม่ได้ถูกจัดให้เป็น cohort ward ส่งผลให้บุคลากร และผู้ป่วยอื่นมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 พยาบาลควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล(Infection Control Nurse [ICN]) เป็นผู้รวบรวม ข้อมูลบุคลากรติดเชื้อทั้งหมดในโรงพยาบาลและท าหน้าที่สอบสวนการติดเชื้อ รวมถึงประเมินผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ าทั้งหมด ในช่วงแรก ต่อมามีจ านวนผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น สัมพันธ์กับบุคลากรติดเชื้อที่มี จ านวนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ด้วยภาระงานที่ต้องประเมินผู้ป่วยติดเชื้อทุกรายเพื่อน าเข้าสู่การรักษา ในสถานพยาบาลทั้งในสังกัดโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และประสานส่งต่อการเข้าสู่การรักษากับเครือข่าย ในจังหวัดและนอกจังหวัดสูงสุดวันละประมาณ 200 ราย อีกทั้งยังต้องช่วยแก้ปัญหาส่วนบุคคลให้ผู้ป่วย ในบางรายในการเข้าสู่การรักษา ต่อมาจึงแบ่งการสอบสวนกับงานอาชีวเวชกรรมโดยICNจะรับหน้าที่ สอบสวนบุคลากรติดกลุ่มที่อยู่ในกลุ่มภารกิจด้านการพยาบาลและองค์กรแพทย์ ซึ่งขั้นตอนเริ่มตั้งแต่ ห้องปฏิบัติการรายงานผลICN จะเป็นผู้ตรวจสอบว่าเป็นผู้ป่วย หรือญาติที่มาเฝ้าไข้ในโรงพยาบาล ซึ่งในช่วงที่มีการระบาดหนัก มีรายงานการติดเชื้อในหอผู้ป่วยสูงสุดวันละประมาณ5 หอผู้ป่วย ซึ่งในช่วงที่ มีผู้ป่วยติดเชื้อ านวนมาก ห้องปฏิบัติการจะรายงานผลในช่วงเวลากลางคืนประมาณ 22.00 น. เป็นต้นไป ท าให้ ICN ไม่สามารถลงหน่วยงานเพื่อสอบสวนและประเมินความเสี่ยงหน้างานได้ทันที ดังนั้นจึงต้อง พยายามหาวิธีสอบสวนการติดเชื้อในบุคลากรผู้ป่วย และญาติให้เร็วที่สุดเพื่อตัดวงจรการแพร่กระจายเชื้อ ทักษะดิจิทัลเป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขและกองการพยาบาล ดังนั้น ICN จึงต้องใช้ เทคโนโลยีมาช่วยในการท างานเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูล น าไปสู่การปฏิบัติวางแผนป้องกัน ให้ทันเวลา ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผู้ป่วยและบุคลากรปลอดภัย


18 บุคลากร งบประมาณ ขั้นตอนการด าเนินการ ใช้ระยะเวลานาน เทคโนโลยี การวิเคราะห์สาเหตุ : การสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 ล่าช้า 6. เป้าหมาย พัฒนารูปแบบการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 โดยใช้ google data เพื่อลดระยะเวลา การสอบสวน และลดระยะเวลาการสรุปผลการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม 7. กิจกรรมการพัฒนา (process) : ใช้กรอบแนวคิด PDCA PLAN - ประชุมทีมงาน ติดตามประเมินสถานการณ์ ศึกษาแนวทางการปฏิบัติส าหรับบุคลากรทาง การแพทย์และสาธารณสุขที่สัมผัสผู้ป่วยยืนยัน COVID-19 วางแผนการกักตัวและ swab ส าหรับผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ า DO 1) จัดท ารูปแบบการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 ตามนโยบายของศูนย์บริหาร สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ตั้งแต่สถานการณ์ การระบาดของ COVID-19 บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขสัมผัสโรคและ จ านวนหนึ่งเกิดการติดเชื้อหลังการสัมผัสโรค 2) ก าหนดค านิยามเฉพาะกรณีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข การประเมินความ เสี่ยงของผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง เสี่ยงต่ า และผู้ที่ไม่ได้สัมผัสโรค 3) ก าหนดค านิยามของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับวัคซีน 4) ก าหนดแนวทางการปฏิบัติทั่วไปเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในสถานพยาบาล และการเฝ้าระวังในโรงพยาบาล 5) สื่อสารให้บุคลากรในโรงพยาบาลทราบ CHECK - ติดตามประเมินผลรูปแบบการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต พบว่ายังไม่รวดเร็วในการประเมินความเสี่ยงของผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เสี่ยงต่ า ต้องใช้เวลา ในการ รวบรวมรายชื่อผู้สัมผัส ระยะเวลาที่สัมผัส ระยะห่าง การได้วัคซีนจากบุคลากรที่รวบรวมข้อมูล เพื่อให้ ICN การวิเคราะห์ความเสี่ยงแต่ละบุคคล ก าหนดวัน swab ตามระดับความเสี่ยง ACTION -การพัฒนารูปแบบการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 แบ่งเป็น 3 วงล้อดังนี้ ขาดความรู้ (โรค, ขั้นตอนการรายงาน) การสอบสวน บุคลากรติดเชื้อ COVID-19 ล่าช้า ระบุข้อมูลไม่ครบถ้วน ภาระงานมาก ไม่มีผู้รับผิดชอบหลัก ขาดความมั่นใจ เสียค่าใช้จ่ายท า Active Case Finding ในรายที่ไม่จ าเป็น ซับซ้อน หลายขั้นตอน เป็นแบบ manual เหตุเกิดนอกเวลา ขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัย


19 วงล้อที่ 1 -รูปแบบการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อโดยซักประวัติจากหัวหน้าเวรหอผู้ป่วยเป็น รายบุคคลในเบื้องต้น แล้วการเขียนส่งในกระดาษ แล้ว ICN ประเมินความเสี่ยง พบว่าบางรายให้ข้อมูลไม่ครบ จึงไม่สามารถประเมินความเสี่ยงได้ ใช้เวลาในการ โทรศัพท์สอบถามหลายครั้ง วงล้อที่ 2 -จัดท าฟอร์มสัมผัสการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 โดยใช้ตารางเอ็กซ์เซลล์ (Excel) พบว่าผู้ประเมินทั้งจากหอผู้ป่วย และ ICN มีความสะดวกในการ ประเมินมากขึ้น แต่ยังคงต้องประเมินความเสี่ยงย้อนกลับด้วยการพิมพ์ลงตาราง ซึ่งต้องใช้เวลาและอาจประเมินพลาดได้ วงล้อที่ 3 -จัดท าฟอร์มสัมผัสการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 โดยใช้กูเกิ้ลชีท (google sheet) พบว่าผู้ประเมินทั้งจากหอผู้ป่วย และ ICN มีความสะดวกใน การประเมินมากกว่าการใช้ตารางเอ็กซ์เซลล์ (Exel) เนื่องจากรูปแบบการ สอบสวนถูกออกแบบให้ระบุข้อมูลให้ครบ เพิ่มความสะดวกในการลงข้อมูล และสามารถประเมินกลับได้ทันที ในกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ าอย่างเป็น รูปแบบเดียวกัน ท าให้หอผู้ป่วยเข้าใจง่ายขึ้น วงล้อที่ 4 -การบันทึกข้อมูลบุคลากรติดเชื้อโดยใช้กูเกิ้ลชีท (google sheet) และแสดงผล ในรูปแบบ google data studio ซึ่งส านักระบาดช่วยออกแบบให้ พบว่ามีรูปแบบ ที่เป็นสากล สวยงาม เข้าใจง่าย แสดงผลให้ผู้บริหารน าใช้ได้ทันทีเป็นปัจจุบัน 8. การประเมินผลการเปลี่ยนแปลง (performance) ตารางที่1 : เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของการใช้ฟอร์มสัมผัสการสอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID -19 โดยจ าแนกตามรูปแบบการรายงาน รูปแบบการสอบสวน บุคลากรติดเชื้อ ข้อดี ข้อเสีย เขียนส่งด้วยกระดาษและ ถ่ายรูปส่งแอปพลิเคชั่น ไลน์ - ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ยุ่งยาก - เข้าถึงง่าย - อ่านลายมือไม่ออก - ภาพไม่ชัด - ใช้เวลาในการประเมินทั้งจากหอผู้ป่วยและ ICN - ไม่สามารถย้อนดูข้อมูลได้เมื่อหมดอายุการใช้ งานในแอปพลิเคชั่นไลน์ ใช้ฟอร์มสัมผัสการ สอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 โดยใช้ตาราง เอ็กซ์เซลล์ (Excel) - สะดวกในการประเมินมากขึ้น - ต้องใช้เวลาในการพิมพ์ส่งกลับ - การใช้ค าของผู้ประเมินกลับมีความแตกต่างกันบ้าง - ต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการพิมพ์ ไม่สามารถ ไม่ สะดวกในการสอบสวน ใช้ฟอร์มสัมผัสการ สอบสวนบุคลากรติดเชื้อ COVID-19 โดยใช้กูเกิ้ลชีท (google sheet) - รูปแบบการสอบสวนถูกออกแบบให้ระบุข้อมูล ให้ครบและเป็นรูปแบบเดียวกัน - สามารถประเมินความเสี่ยงได้ทุกสถานการณ์ ผ่านมือถือหรือ iPad - ทราบความเสี่ยงของบุคลากรผู้สัมผัส และปฏิบัติ ตามขั้นตอนการคัดกรองได้รวดเร็วขึ้น - ข้อมูลมีความปลอดภัยเข้าถึงได้เฉพาะผู้มีสิทธิ์ - ข้อมูลเป็นปัจจุบัน (real time) - ผู้ประเมินต้องแจ้ง ICN เมื่อได้ประเมินมาแล้ว - เหมาะส าหรับบุคลากรด้าน clinic - ต้องปรับข้อมูลการ swab และการกักตัวให้ทัน สถานการณ์ ใช้กูเกิ้ลชีท (google sheet) และแสดงผลใน รูปแบบ google data studio - รูปแบบสวยงาม - แสดงผลเป็นปัจจุบัน (real time) - ประมวลผลได้ทันที - มีข้อจ ากัดในการเผยแพร่ข้อมูลโรงพยาบาล


20 ตารางที่ 2 : แสดงข้อมูลเปรียบเทียบระยะเวลาการสอบสวน ค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม กรณีพบผู้ติดเชื้อเข้าข่าย/ ผู้ป่วยยืนยัน ติดเชื้อ COVID-19 ในหอผู้ป่วยโดยจ าแนกตามรูปแบบการรายงาน ล าดับ กระบวนการ รายละเอียดงาน ระยะเวลา ร า ย ง า น โ ด ย เขียนใส่กระดาษ ร า ย ง า น โ ด ย พิ ม พ์ ล ง ใ น Excel ร า ยง า นโ ด ยใ ช้ Google sheet 1 หน่วยงาน จัดท ารายงานผู้ สัมผัส ระบุข้อมูล ผู้สัมผัส วันที่สัมผัส กิจกรรม/หัตถการ ระยะเวลา ระยะห่าง อุปกรณ์ป้องกัน วัคซีน 8 ชม. - 3 วัน 8 ชม. - 1 วัน 30 นาที – 8 ชม. 2 แพทย์ ID / ICN ประเมิน ความเสี่ยงผู้ สัมผัส ระบุระดับความเสี่ยง การสังเกตอาการ และ มาตรการส่วนบุคคลที่ต้องด าเนินการต่อ 8 ชม. - 1 วัน 4 ชม. - 1 วัน 10 นาที - 4 ชม. 3 ปฏิบัติตาม มาตรการ และ สรุปผลการ ค้นหาผู้ป่วย เพิ่มเติม - ด าเนินการ Active Case Findingใน ผู้ป่วยและบุคลากรที่สัมผัสเสี่ยงสูง - ด าเนินการแยกผู้ป่วย และบุคลากรที่ สัมผัสเสี่ยงสูง แต่ตรวจATK หรือ RT PCR ผลลบ - ระบุกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงที่ยังต้องเฝ้าติดตาม อาการ สรุปจ านวน และรายงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 16 ชม. - 4 วัน 12 ชม. - 2 วัน 40 นาที - 12 ชม. ตารางที่ 3 แสดงจ านวน และร้อยละความพึงพอใจของบุคลากรต่อการใช้ฟอร์มสัมผัสการสอบสวน บุคลากรติดเชื้อ COVID-19 โดยจ าแนกตามรูปแบบการรายงาน (n = 128) ความพึงพอใจ น้อยที่สุด จ านวน (ร้อยละ) น้อย จ านวน (ร้อยละ) ปานกลาง จ านวน (ร้อยละ) มาก จ านวน (ร้อยละ) มากที่สุดจ านวน (ร้อยละ) รายงานโดยเขียนใส่กระดาษ 6 (4.69) 33 (25.78) 68 (53.13) 20 (15.62) 1 (0.78) รายงานโดยพิมพ์ลงใน Excel 1 (0.78) 11 (8.59) 63 (49.22) 48 (37.50) 5 (3.91)


21 ความพึงพอใจ น้อยที่สุด จ านวน (ร้อยละ) น้อย จ านวน (ร้อยละ) ปานกลาง จ านวน (ร้อยละ) มาก จ านวน (ร้อยละ) มากที่สุดจ านวน (ร้อยละ) รายงานโดยใช้ Google Sheet 0 (0) 5 (3.90) 29 (22.66) 73 (57.03) 21 (16.41) ภาพรวมของการพัฒนาการ รายงานผู้สัมผัส COVID-19 0 (0) 4 (3.13) 39 (30.47) 77 (60.15) 8 (6.25) กราฟที่ 1 : แสดงร้อยละความพึงพอใจของบุคลากรต่อการใช้ฟอร์มสัมผัสการสอบสวนบุคลากร ติดเชื้อ COVID-19 โดยจ าแนกตามรูปแบบการรายงาน (n = 128) 9. บทเรียนที่ได้รับ - ICN ต้องใช้เวลาในการสื่อสารท าความเข้าใจกับบุคลากร เช่น นิยามผู้สัมผัสในแต่ละสถานการณ์ ตามค าสั่งศบค. - ต้องให้บุคลากรเห็นความส าคัญในการรายงานผู้สัมผัสที่พัฒนาในแต่ละวงล้อ ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ในการประเมินด้วยการใช้รูปแบบที่แตกต่างกัน - ICN บุคลากรการแพทย์ต้องรู้เท่าทันและติดตามเทคโนโลยีเพื่อน ามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับงาน เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการวิเคราะห์ วางแผนปรับปรุงระบบงาน - ICN บุคลากรการแพทย์ต้องพัฒนาทักษะทางเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการปฏิบัติงาน เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพิ่มเวลาในการดูแลผู้รับบริการให้มากขึ้น - ควรสร้างแบบรายงานที่มีการส่งสัญญานเตือน เมื่อมีข้อมูลพบผู้ติดเชื้อ ผลการประเมินความเสี่ยง ผู้สัมผัส มาตรการปฏิบัติ ถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อให้เกิดการป้องกันที่รวดเร็ว ลดการแพร่กระจาย ของเชื้อได้อย่างทันท่วงที 4.69 0.78 0 25.78 8.59 3.90 53.13 49.22 22.66 15.62 37.50 57.03 0.78 3.91 16.41 รายงานโดยเขียนใส่กระดาษ รายงานโดยพิมพ์ลงใน EXCEL รายงานโดยใช้GOOGLE SHEET ร้อยละของความพึงพอใจต่อการใช้ฟอร์มสัมผัสการสอบสวน บุคลากรติดเชื้อ Covid-19 จา แนกตามรูปแบบการรายงาน (n = 128) น้อยที่สุด น้อย ปานกลาง มาก มากที่สุด


22 10. สมาชิกทีม : พยาบาลควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ (ICN) โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 1. สมฤดี ชัชเวช พยาบาลวิชาชีพช านาญการพิเศษ 2. ยุวดี รัตนคช พยาบาลวิชาชีพช านาญการ 3. ชุติกาญจน์ เสงี่ยม พยาบาลวิชาชีพช านาญการ 11. การติดต่อกับทีมงาน ชุติกาญจน์ เสงี่ยม : กลุ่มงานการพยาบาลด้านการควบคุมและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล โทรศัพท์ : 076-361234 ต่อ 6206 E-mail address: [email protected]


23 การวางแผนการจ าหน่ายผู้รับบริการ COVID-19 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร/ภาควิชา หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย 2 3. ค าส าคัญ การวางแผนจ าหน่าย, โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) 4. สรุปผลงานโดยย่อ การวางแผนจ าหน่ายโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มีความส าคัญท าให้พยาบาล ผู้รับบริการและผู้ดูแลมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติตัวเมื่อจ าหน่ายออกจากโรงพยาบาล สามารถปฏิบัติตัวเพื่อลดการกลับมารักษาในโรงพยาบาลรวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากโรค 5. ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) เป็นโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่มีความรุนแรง และสามารถ แพร่กระจายเชื้อไปสู่คนได้อย่างรวดเร็ว โดยการสัมผัสและทางฝอยละออง (contact and droplet precaution) ผู้รับบริการจะมีอาการ ไอ จาม มีน้ ามูก เจ็บคอไม่ได้กลิ่น หอบเหนื่อย ในรายที่รุนแรงอาจท าให้ปอดอักเสบ ระบบทางเดินหายใจล้มเหลว และอาจเสียชีวิตได้ซึ่งในผู้รับบริการภาวะวิกฤติที่ต้องท าหัตถการซึ่งต้องจัด อยู่ในห้องแยกความดันลบ (Negative pressure room) หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย 2(Cohort ward) มีจ านวนผู้รับบริการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 (COVID-19) ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2564 ถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 ทั้งหมดจ านวน 387 รายและมีผู้รับบริการ ที่จ าหน่ายจากหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย 2(Cohort ward) จ านวน 147 คนแต่เนื่องจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นี้ เป็นโรคอุบัติขึ้นใหม่ท าให้แนวทางเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการดูแลผู้รับบริการและการเข้าถึงสื่อความรู้ ที่เข้าใจได้และเชื่อถือได้มีค่อนข้างจ ากัด ส่งผลให้บุคลากรในหอผู้ป่วย ตัวผู้รับบริการเองและผู้ดูแลซึ่งเป็น ผู้ใกล้ชิดผู้รับบริการโดยตรงขาดความรู้ความมั่นใจในการเตรียมจ าหน่ายผู้รับบริการโดยทางหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย 2 (Cohort ward) ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงวางแผนในการเตรียมความพร้อมเพื่อจ าหน่ายผู้รับบริการ ดังนี้ (1) เตรียมความพร้อมของพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ (2) เตรียมความพร้อมของผู้รับบริการและผู้ดูแล เพื่อให้พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ ผู้รับบริการ และผู้ดูแล มีความรู้ความมั่นใจในการเตรียมจ าหน่าย ผู้รับบริการกลับบ้าน ป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรืออาการที่อาจเกิดขึ้นกับผู้รับบริการโควิด-19 หลังจาก ได้รับเชื้อนาน 4 สัปดาห์ไปจนถึง 12 สัปดาห์ขึ้นไปหรือที่เรียกว่า ภาวะ Long COVID และเพื่อให้พยาบาลวิชาชีพ ปฎิบัติการมีกระบวนการในการวางแผนจ าหน่ายอย่างมีคุณภาพ ผู้รับบริการปลอดภัยตามหลัก 2P SAFETY 6. เป้าหมาย - พยาบาลวิชาชีพในหอผู้รับบริการอายุรกรรมชาย 2 (cohort ward) มีความรู้ความเข้าใจในการ เตรียมผู้รับบริการจ าหน่ายติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ร้อยละ 100 - ผู้รับบริการและผู้ดูแลมีความรู้ความเข้าใจในการเตรียมจ าหน่ายติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ร้อยละ 100 - ผู้รับบริการและผู้ดูแลมีความพึงพอใจในการเตรียมจ าหน่ายติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) มากกว่าร้อยละ 80


24 7. กิจกรรมพัฒนา มีกระบวนการท างานดังนี้ 1. รวบรวมข้อมูลปละปัญหาในการวางแผนการจ าหน่ายผู้รับบริการที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( COVID-19)รวมทั้งท าแบบประเมินความรู้ก่อนได้รับข้อมูลในการเตรียมจ าหน่าย 2. ประชุมชี้แจงบุคลากรในหน่วยงาน ร่วมกันวางแผนและปรับเปลี่ยนแบบฟอร์มการจ าหน่าย Discharge Planing ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( COVID-19) 3. ศึกษาข้อมูลและรวบรวมสื่อความรู้เกี่ยวกับการวางแผนจ าหน่ายจากอินเตอร์เน็ตและข้อมูล จากแพทย์ผู้ให้การรักษาที่เชื่อถือได้ 4. ได้น าใช้แบบฟอร์มการจ าหน่ายDischarge Planing ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ตามหลัก METHOD 5. จัดท าสื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการเตรียมจ าหน่าย Discharge Planing ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( COVID-19)ในรูปแบบแผ่นพับ และQR code ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับ อาการของโรค การปฎิบัติตัว ทั้งขณะติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( COVID-19) และหลังจ าหน่ายกลับบ้าน รวมทั้งการเฝ้าระวังอาการที่ไม่พึงประสงค์ป้องกันภาวะ Long Covid ที่อาจจะเกิดได้หลัง ได้รับเชื้อนาน 4 สัปดาห์ไปจนถึง 12 สัปดาห์ขึ้นไป โดยจัดท าสื่อที่มีทั้งข้อมูลที่เป็นตัวอักษร สามารถอ่านได้ และมีข้อมูลที่เป็นคลิปวิดีโอที่ท ามาในรูปแบบของ QR code ที่เข้าถึงได้ง่าย เพื่อให้ญาติและผู้รับบริการมีความเข้าใจมากขึ้นและเป็นแนวทางที่สามารถสืบค้นข้อมูลในการ ดูแลตัวเองและผู้รับบริการต่อไปได้ 6. พยาบาลวิชาชีพให้ความรู้ตามแผนการจ าหน่าย Discharge Planing ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ( COVID-19) 7. ประเมินความรู้ของพยาบาลวิชาชีพ ผู้รับบริการและผู้ดูแลหลังการวางแผนจ าหน่าย Discharge Planing ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ( COVID-19) 8. การประเมินผลการเปลี่ยนแปลง 1. มีการประเมินความรู้ความเข้าใจของพยาบาลวิชาชีพ ผู้รับบริการและผู้ดูแลดังนี้ หัวข้อ พยาบาลวิชาชีพ (11คน) ผู้รับบริการและญาติ (10 คน) ก่อน (%) หลัง (%) ก่อน (%) หลัง (%) 1.ความรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019(COVID-19) และอาการของโรค 100 100 80 100 2.ความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่2019(COVID-19) 100 100 80 100 3.ความรู้เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในผู้รับบริการติดเชื้อไวรัส โคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019(COVID-19) 81.81 100 50 80 4.ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภาวะ Long covid 81.81 100 60 80 5.ความรู้เกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังผู้รับบริการติดเชื้อ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 (COVID-19) 90.90 100 60 90


25 2. มีการประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการต่อการเตรียมจ าหน่าย - ผู้รับบริการและญาติมีความพึงพอใจต่อการวางแผนจ าหน่ายคิดเป็นร้อยละ 85 9. บทเรียนที่ได้รับ ในการวางแผนการจ าหน่ายผู้รับบริการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 (COVID-19) พยาบาลวิชาชีพพยาบาลเป็นบุคลากรที่มีความส าคัญในการให้ข้อมูล ให้ความรู้และเตรียมความพร้อม ให้แก่ผู้รับบริการและผู้ดูแลให้มีความรู้ และเกิดความมั่นใจในการดูแลตนเองและครอบครัว เพื่อให้ผู้รับบริการ และญาติปลอดภัย ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) 10. สมาชิกทีม 1. นางสาวสุภาภรณ์ สุรินทร์ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ 2. นางสาวศิรารัตน์ สุทธิสาร พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ 11. การติดต่อกับทีมงาน หอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย 2(Cohort ward) โทร. 2330 - 2331 1.นางสาวสุภาภรณ์ สุรินทร์ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ E-mail : [email protected] 2.นางสาวศิรารัตน์ สุทธิสาร พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ E-mail : [email protected]


26 จดหมายน้อยคอย SCRUB รับ SCOPE 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร : งานห้องผ่าตัด โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 3. ค าส าคัญ : การพัฒนา/การจัดเก็บกล้อง 4. สรุปผลงานโดยย่อ : พัฒนารูปแบบการจัดเก็บข้อมูลกล้องส่องตรวจให้มีประสิทธิภาพ น าข้อมูลที่มี มาใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่า 5. ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ เนื่องจากห้องผ่าตัดโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เป็นโรงพยาบาลศูนย์ ให้บริการการส่องตรวจ ระบบทางเดินอาหารส่วนต้นและส่วนปลาย สถิติการส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้น เฉลี่ย 1,000 - 1,200 รายต่อปี และระบบทางเดินอาหารส่วนปลายเฉลี่ย 500-800 รายต่อปี มีแพทย์ที่ท าการส่องกล้อง เพื่อรักษาโรคระบบทางเดินอาหาร จ านวน 15 ราย และทีมพยาบาลที่ให้บริการและดูแลท าความสะอาดกล้อง จ านวน 51 ราย เป็นการให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยกล้องส่องตรวจทุกตัวต้องอยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน ตลอดเวลา แต่หน่วยงานพบว่า การหมุนเวียนใช้กล้อง ไม่มีการบันทึกการใช้งาน ซึ่งการท าหัตถการบางอย่าง หรือการใช้งานซ้ าในกล้องตัวเดียวกันบ่อยครั้ง อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวกล้องได้ง่ายขึ้น และ ความเสียหายต่อตัวกล้องดังกล่าว ไม่สามารถหาที่มาที่ไป ว่าเกิดจากสาเหตุใด เกิดเมื่อใด ประกอบกับ กล้องส่องตรวจเป็นครุภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง จึงเห็นสมควรว่าเมื่อมีการใช้งานกล้องส่องตรวจเกิดขึ้น ควรมีการบันทึกข้อมูล การใช้งานกล้องส่องตรวจเป็นรายตัว เพื่อให้ง่ายต่อการสืบค้นและการใช้ประโยชน์ของข้อมูล 6. เป้าหมาย 1. เพื่อให้กล้องส่องตรวจแต่ละตัว มีประวัติการใช้งาน ให้สามารถสืบค้นข้อมูลย้อนหลังได้โดยง่ายและสะดวก 2. เพื่อการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ในการจัดซื้อกล้องส่องตรวจระบบทางเดินอาหาร 3. เพื่อการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ในการวางแผนพัฒนาบุคคลากรได้ตรงความต้องการ 7. กิจกรรมการพัฒนา จากปัญหากล้องไม่พร้อมใช้งาน หรือมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการใช้งาน หน่วยงานจึงจัดประชุมภายใน และมีแนวคิดให้มีการบันทึกข้อมูลผู้ใช้งานและท าความสะอาดกล้องส่องตรวจขึ้น แบบอย่างง่าย ดังรูป ก่อนท า 1. ไม่พร้อมใช้หรือเสียหายโดยไม่ทราบสาเหตุ 1-2 ครั้ง/เดือน 2. ใช้งานซ้ าในกล้องตัวเดียวมีความถี่ เดิมหน่วยงานไม่มีข้อมูล แต่จากการสังเกตลักษณะการหยิบใช้งาน คือ หยิบตัวที่สะดวก ใกล้ประตูของตู้เก็บกล้อง 3. ไม่มีการยกเลิก/งดหัตถการเพราะกล้องไม่พร้อมใช้เพราะหน่วยงานมีกล้องหมุนเวียน 2-3 ตัว แต่จะ เพิ่มความยุ่งยากในการปฏิบัติงานแทน เช่น การเคลื่อนย้ายชุดแหล่งก าเนิดแสงของอีกบริษัทมาใช้แทน การบริหารจัดการสลับเคส เพื่อรองรับการหมุนเวียนกล้องให้ทันใช้ ผลลัพธ์หลังท า 1. ไม่พบสถานการณ์กล้องไม่พร้อมใช้งาน หรือเสียหายจากการไม่ทราบสาเหตุ หรือหาที่มาที่ไปไม่ได้ 2. กล้องแต่ละตัวมีการหมุนเวียนใช้ในจ านวนที่เท่าๆกันในแต่ละเดือน 3. ไม่มีการสลับเคสไปมา เพื่อการหมุนเวียนกล้องที่พร้อมใช้งาน


27 รูปที่ 1 แสดงแบบบันทึกการใช้งานกล้องส่องตรวจ ระยะเริ่มต้น หลังการใช้งานแบบบันทึกรูปที่ 1 ทีมยังพบจุดอ่อนคือรูปแบบการใช้งานไม่เป็นทางการ มีความยุ่งยาก ต่อการสืบค้นข้อมูลย้อนหลัง จึงได้จัดประชุมในหน่วยงานขึ้น น าปัญหาที่พบมาเสนอและหาแนวทางใหม่ ในการแก้ไขจุดอ่อนดังกล่าว จึงเกิดเป็นใบบันทึกข้อมูลหลังการใช้งานและท าความสะอาดกล้อง ส่องตรวจขึ้น ดังรูปที่ 2 รูปที่ 2 แสดงแบบบันทึกการใช้งานกล้องส่องตรวจ ระยะที่สอง หลังการใช้งานแบบบันทึกรูปที่ 2 พบว่า ทีมสามารถน าข้อมูลมาใช้ได้ง่ายขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาใน การนับหรือไล่ดูข้อมูลการใช้กล้องแต่ละตัว ประกอบกับปริมาณงานการส่องกล้องที่มากขึ้น จ านวนกล้อง ก็มากตาม โดยเฉพาะความหลากหลายของชนิดกล้อง กล้องรุ่นเดียวกัน มี Serial number ต่างกัน แบบบันทึกดังกล่าวไม่รองรับ /ไม่มีการระบุ Serial number ท าให้การน าข้อมูลมาใช้เกิดความสับสน เกิดความยุ่งยากและใช้ระยะเวลานานในการสืบค้น ทีมจึงได้มีการออกแบบใบบันทึกในการจัดเก็บกล้องหลังการท าความสะอาดกล้องส่องตรวจใหม่ โดยมีการระบุชื่อกล้อง รุ่น Serial number กล้องไว้ต่างหากประจ าต าแหน่งกล้องที่แขวนแต่ละตัว อีกทั้ง มีการใช้แถบสีที่ต่างกันในการแยกกล้องแต่ละชนิด (สีเขียว คือ Gastroscope, สีแดง คือ Colonoscope และสีน้ าเงิน คือ ERCP) เพื่อให้สะดวกและรวดเร็วต่อการน าไปใช้งาน มีใบเซ็นชื่อหลังการใช้งานและ การล้างแยกของกล้องแต่ละตัว เพื่อให้ผู้บันทึกสะดวกขึ้น ใช้เวลาในการบันทึกน้อยลง


28 รูปที่ 3 แสดงแบบบันทึกการใช้งานกล้องส่องตรวจปัจจุบัน รูปที่ 4 แสดงแบบบันทึกการใช้งานกล้องส่องตรวจ และป้ายชื่อกล้อง 8. การประเมินผลการเปลี่ยนแปลง - ผู้ใช้ข้อมูลสามารถน าข้อมูลมาใช้ได้ง่าย ต้องการข้อมูลกล้องตัวไหน ก็หยิบใบบันทึกของกล้องตัวนั้น ไม่เสียเวลาในการมาไล่นับประวัติการใช้งาน - ผู้บันทึกข้อมูลสะดวก ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องเขียนชื่อกล้องทุกครั้งที่เซ็นชื่อหลังการใช้งาน - ความพึงพอใจของผู้ใช้งาน 100% - ข้อมูลประวัติการใช้งานที่มี สามารถน ามาวางแผนในการพัฒนาบุคลากรได้ตรงตามความต้องการ - ข้อมูลประวัติการใช้งานที่มี สามารถน ามาวางแผนในการจัดซื้อครุภัณฑ์ตัวใหม่ทดแทนได้ 9. บทเรียนที่ได้รับ - การจัดการที่เป็นระบบ ก่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติงาน ลดความคลาดเคลื่อนของข้อมูล - การน าข้อมูลที่ได้รับมาใช้ประโยชน์ได้จริง จะสร้างความตะหนักและความร่วมมือในการบันทึกข้อมูล 10. สมาชิกในทีม : 1. นางพัชรี ประทีปไพศาลกุล พยาบาลวิชาชีพช านาญการ ที่ปรึกษา 2. นางอัญชนา เสมอภาค พยาบาลวิชาชีพช านาญการ ที่ปรึกษา 3. น.ส.ศิลป์สุภา พึ่งแรง พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ 4. น.ส.นิลาวัลย์ มะลิวรรณ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ 11. การติดต่อกับทีมงาน 1. นางสาวศิลป์สุภา พึ่งแรง พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ โทร 098-9982254 E-mail : [email protected] 2. นางสาวนิลาวัลย์ มะลิวรรณ พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ โทร 084-3071455 E-mail : [email protected]


29 Lean and Right by CSSD Program 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร/ภาควิชา งานจ่ายกลาง กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 3. ค าส าคัญ 1) การจ่ายอุปกรณ์เชื้อผิดชนิด ผิดจ านวน 2) การจ่ายอุปกรณ์ผิดหน่วยงาน 3) การจ่ายอุปกรณ์ ไม่ทันเวลา 4) CSSD Program 4. สรุปผลงานโดยย่อ การใช้โปรแกรมการลงข้อมูลแบบเชื่อมโยงและระบบบาร์โค้ดพร้อมเสียงเตือน ในกระบวนการ ตรวจรับนับ แพ็ค/ห่อ จัดแจกอุปกรณ์ในงานจ่ายกลาง ลดการจ่ายอุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดชนิด ผิด จ านวน ผิดหน่วยงานและผิดเวลาให้กับหน่วยงานทั้งโรงพยาบาล เท่ากับ 0 ครั้ง และสามารถระบุตัว ผู้ป่วยที่ใช้งานอุปกรณ์ชุดนั้นได้ 5. ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ งานจ่ายกลางเป็นหน่วยงานเฉพาะที่ส าคัญเกี่ยวข้องกับการรับอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่ผ่านการ ใช้งานกับผู้ป่วยแล้วมาผ่านกระบวนการท าลายเชื้อและท าให้ปราศจากเชื้อ(Reprocessing) เพื่อน ามาใช้ กับผู้ป่วยซ้ า จึงต้องมีระบบการด าเนินการที่มีประสิทธิภาพในการจัดจ่ายอุปกรณ์ถูกต้อง ครบถ้วน และ ทันเวลาในการใช้งาน และสามารถระบุตัวผู้ป่วยที่ใช้งานอุปกรณ์ชุดนั้นได้ จากระบบการจัดจ่ายอุปกรณ์ให้หน่วยงานในปัจจุบันไม่สามารถระบุตัวผู้ป่วยที่ใช้งานอุปกรณ์ได้ และจากสถิติตัวชี้วัดของงานจ่ายกลาง ปี 2562 – 2564 เรื่องการจัดอุปกรณ์เครื่องมือครบถ้วนถูกต้อง ถูกหน่วยงาน และรับส่งอุปกรณ์ตรงเวลา มีแนวโน้มลดลง โดยพบอุบัติการณ์การจ่ายอุปกรณ์ผิดชนิด ผิดจ านวนเท่ากับ 13, 14 และ 218 ครั้ง อุบัติการณ์จ่ายอุปกรณ์ผิดหน่วยงานเท่ากับ 2, 5 และ 26 ครั้ง และการรับ – ส่งอุปกรณ์ผิดเวลา เท่ากับ 810, 1,770 และ 2,842 ครั้ง ดังกราฟ


30 ทางทีมจึงจัดท าโครงการการใช้โปรแกรมลงข้อมูลแบบเชื่อมโยงและใช้ระบบบาร์โค๊ดพร้อมเสียงเตือน ในกระบวนการตรวจรับนับ แพ็ค/ห่อ จัดแจกและน าส่งอุปกรณ์เครื่องมือ ลดการจ่ายอุปกรณ์ปราศจาก เชื้อผิดชนิด ผิดจ านวน ผิดหน่วยงานและไม่ทันเวลาโดยให้อุบัติการณ์ลดลง 70% ของสถิติที่น้อยที่สุดใน 3ปีที่ผ่านมา 6.เป้าหมาย – จ านวนการจ่ายอุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดชนิด ผิดจ านวน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 4 – จ านวนการจ่ายอุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดหน่วยงาน เท่ากับ 0 ครั้ง – จ านวนการส่งอุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดเวลา น้อยเท่ากับ 240 ครั้ง 7.กิจกรรมการพัฒนา (process) : ด าเนินการโดยใช้วงจร PDCA


31 Plan : วางแผน 1. ทีมได้มีการระดมสมองทบทวนหาสาเหตุของการจ่ายอุปกรณ์ผิดชนิด ผิดจ านวน ผิดหน่วยงาน และผิดเวลา โดยใช้แผนภูมิก้างปลาในการวิเคราะห์ ดังภาพ 2. วิเคราะห์หาแนวทางที่ช่วยลดอุบัติการณ์ดังกล่าว โดยใช้แนวคิด Lean ในการลดขั้นตอน ลดระยะเวลาการท างาน ลดความผิดพลาดจากบุคคล แต่เพิ่มความถูกต้อง แม่นย า การมองเห็นข้อมูล แบบ Real time ทราบสถานะ ตรวจสอบได้ โดยการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนี้


32 3. ประสานงานกับฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพยาบาลในการออกแบบระบบร่วมกับบริษัท ที่จัดจ าหน่ายสติ๊กเกอร์ให้มีการเพิ่มบาร์โค้ดลงบนสติ๊กเกอร์ และออกแบบระบบเชื่อมโยงข้อมูลทั้งสามจุด ตั้งแต่จุดรับนับอุปกรณ์จากหน่วยงาน จุดจัดจ่ายอุปกรณ์ปราศจากเชื้อ และจุดแพ็ค/ห่ออุปกรณ์ เพื่อให้ ทุกจุดท างานสามารถดูข้อมูลได้พร้อมกัน แบบReal time ใช้ระบบยิงบาร์โค้ดในการจัดจ่ายอุปกรณ์ มีระบบเสียงเตือนจ านวนและชนิดของอุปกรณ์เมื่อมีการคีย์ข้อมูล/ยิงบาร์โค้ดเพื่อช่วยจัดนับอุปกรณ์ มีระบบล็อคชื่อและจ านวนอุปกรณ์ตามรายการที่ลงข้อมูล มีระบบรายงานข้อมูลรายการและสถานะของ อุปกรณ์ สามารถพิมพ์ใบรายการได้ รวมถึงการทวนสอบข้อมูลอุปกรณ์ย้อนกลับได้ (Traceability) เพื่อความรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นย า ควบคุมตรวจสอบการจัดจ่ายอุปกรณ์ให้ถูกต้องทั้งชนิด จ านวน หน่วยงาน การตรวจสอบย้อนกลับ และจัดส่งได้ทันเวลา โดยมีขั้นตอนการด าเนินงาน ดังนี้ 1. ออกแบบและติดตั้งโปรแกรมรวมถึงการเชื่อมโยงโครงข่ายในงานจ่ายกลาง 2. เตรียมข้อมูลที่ต้องใช้ในระบบให้กับโปรแกรมเมอร์ได้แก่ รายชื่อเจ้าหน้าที่งานจ่ายกลาง รายการอุปกรณ์/Set รายชื่อหน่วยงานทั้งหมดที่มารับบริการ วิธีการท าให้ปราศจากเชื้อ อายุ และราคาของอุปกรณ์ 3. เตรียมและจัดหาอุปกรณ์ ได้แก่ คอมพิวเตอร์ 4 เครื่อง ตัวยิงบาร์โค้ด เครื่องพิมพ์รายการอุปกรณ์ที่จัดจ่าย และเครื่องกระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ตภายในงานจ่ายกลาง โดยขอสนับสนุนจากบริษัทที่จ าหน่าย สติ๊กเกอร์ 4. งานเทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพยาบาลและบริษัทให้ความรู้และสาธิตการใช้งานระบบ โปรแกรมแก่เจ้าหน้าที่งานจ่ายกลางพร้อมการสาธิตย้อนกลับและจัดท าคู่มือการใช้งาน Do : น าไปปฏิบัติ 1. ทดลองใช้งานจนทุกคนสามารถใช้โปรแกรมได้พร้อมปรับปรุงระบบให้สอดรับกับบริบทหน้างาน 2. ทดลองใช้ CSSD program และประเมินผล พบว่าระยะเวลาในการจัดแจกและน าส่งลดลง จ านวน บุคลากรในการปฏิบัติงานลดลง มีการทวนสอบด้วยเสียงจากคอมพิวเตอร์ทั้งชื่อและจ านวนของอุปกรณ์ ลดความผิดพลาดในการจัดอุปกรณ์ผิดชนิด ผิดจ านวน และมีใบรายการอุปกรณ์และชื่อหน่วยงาน ช่วยลด การจัดจ่ายอุปกรณ์ผิดหน่วยงาน ดังภาพ


33 Check : ติดตาม เก็บรวบรวมข้อมูลอุบัติการณ์ในแบบรายงานอุบัติการณ์ของหน่วยงานและในไลน์สื่อสารจ่ายกลางซึ่งมีเจ้าหน้าที่ งานจ่ายกลางทั้งหมดและเจ้าหน้าที่ในทุกหน่วยงานที่รับบริการ ในเรื่อง จ านวนการจ่ายอุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดชนิด ผิด จ านวน จ านวนการจ่ายอุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดหน่วยงาน จ านวนการส่งอุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดเวลา ช่วงเวลาตั้งแต่ ตุลาคม2564 ถึง มีนาคม 2565 (6เดือน) พบว่ามีความผิดพลาดลดลง โดยพบอุบัติการณ์การจ่ายอุปกรณ์ผิดชนิด ผิดจ านวนเท่ากับ 5ครั้ง อุบัติการณ์จ่ายอุปกรณ์ผิดหน่วยงานเท่ากับ 0 ครั้ง และการรับ –ส่งอุปกรณ์ผิดเวลา เท่ากับ 12 ครั้ง ดังกราฟ


34


35 Act : ด าเนินการ หมุนวงล้อ PDCA ที่2 เนื่องจากผลการประเมินพบว่า การจ่ายอุปกรณ์ผิดชนิด ผิดจ านวนยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เกิด อุบัติการณ์ท่ากับ 5 ครั้ง จึงได้หมุนวงล้อ PDCA วิเคราะห์หาสาเหตุพบว่ามีการลงข้อมูลที่จุดรับนับไม่ถูกต้อง จากการขาดสมาธิ ผู้ลงข้อมูลในใบรายการเขียนไม่ชัด และผู้ลงข้อมูลอ่านภาษาอังกฤษไม่คล่อง ซึ่งถือเป็นจุดตั้ง ต้นของข้อมูล และมีปัญหาสัญญาณไม่เสถียร เมื่อมีการลงข้อมูลผิดจะส่งผลต่อการจัดจ่ายและแพ็ค/ห่ออุปกรณ์ ผิดชนิด ผิดจ านวนได้ จึงได้ระดมสมองหาแนวทางร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติการณ์ซ้ า โดยการจัดท าแนวทางการ ตรวจสอบการลงข้อมูล (Double check) ให้ผู้ที่ตรวจนับรับอุปกรณ์ช่วยตรวจสอบผู้ที่คีย์ข้อมูลลงโปรแกรมทุก รายการ และให้ทางบริษัทเปลี่ยนจากการใช้ตัวกระจายสัญญาณเป็นระบบ WIFI แทน โดยท าบันทึกถึง ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศของโรงพยาบาลในการขออนุญาตใช้สัญญาณอินเตอร์เน็ต จากนั้นท าการเก็บรวบรวมข้อมูลอุบัติการณ์ในแบบรายงานอุบัติการณ์ในเรื่อง จ านวนการจ่าย อุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดชนิด ผิดจ านวน จ านวนการจ่ายอุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดหน่วยงาน จ านวนการ ส่งอุปกรณ์ปราศจากเชื้อผิดเวลา ช่วงเวลาตั้งแต่ พฤษภาคม ถึง กรกฎาคม 2565 (2 เดือน) พบว่ามีความ ผิดพลาดลดลง โดยพบอุบัติการณ์การจ่ายอุปกรณ์ผิดชนิด ผิดจ านวนเท่ากับ 1 ครั้ง อุบัติการณ์จ่าย อุปกรณ์ผิดหน่วยงานเท่ากับ 0 ครั้ง และการรับ – ส่งอุปกรณ์ผิดเวลา เท่ากับ 8 ครั้ง ดังกราฟ


36 Act : ด าเนินการ น าใช้ CSSD program ในงานจ่ายกลาง โดยปฏิบัติตามแนวทางและคู่มือที่ก าหนด และได้มีการ ขยายผลการใช้ CSSD program ให้กับโรงพยาบาลอื่น จากการรับการศึกษาดูงานนักศึกษาปริญญาโท หลักสูตรพยาบาลป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จ านวน 9 โรงพยาบาล 8. การประเมินผลการเปลี่ยนแปลง (performance) 1. มี CSSD program ใช้ในระบบงานจ่ายกลาง ในกระบวนการรับ นับ แพ็ค/ห่อ จัดจ่าย และน าส่ง อุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ช่วยลดจ านวนคนลงเหลือ 6 คน จาก 11 คน และลดเวลาลงเหลือ2 ชั่วโมง จาก 5 ชั่วโมงโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถรองรับภาระงานได้มากขึ้นในเวลาเท่าเดิม เพื่อความพึงพอใจของ ผู้รับบริการและความปลอดภัยสูงสุดต่อผู้ป่วย 2. อุบัติการณ์การจ่ายอุปกรณ์ผิดชนิด ผิดจ านวนเท่ากับ 5 ครั้ง (วงล้อ1) และ 0 ครั้ง (วงล้อ2) 3. อุบัติการณ์จ่ายอุปกรณ์ผิดหน่วยงานเท่ากับ 0 ครั้ง (วงล้อ1และ2) 4. อุบัติการณ์การรับ – ส่งอุปกรณ์ผิดเวลา เท่ากับ 12 ครั้ง(วงล้อ1) และ 8 ครั้ง (วงล้อ2) 9.บทเรียนที่ได้รับ 1. CSSD program สามารถตรวจสอบความถูกต้องของการจัดจ่ายอุปกรณ์ปราศจากเชื้อใน เจ้าหน้าที่งานจ่ายกลาง รวมถึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการจ่ายอุปกรณ์ให้กับหน่วยงานได้ 2. ต่อยอดติดตั้งระบบการเบิกอุปกรณ์แบบออนไลน์แทนการใช้สมุด ช่วยลดโอกาสการ แพร่กระจายเชื้อโรค และลดค่าใช้จ่ายให้กับโรงพยาบาลในการจัดซื้อสมุดเบิกอุปกรณ์


37 3. ต่อยอดการใส่ระบบการสืบค้นเพื่อตามรอยการติดเชื้อในผู้ป่วย และทราบจ านวนครั้งการใช้ งานของอุปกรณ์ SUD รวมถึงจ านวนคงคลังของอุปกรณ์ปราศจากเชื้อในงานจ่ายกลางและในหน่วยงาน 4. ออกแบบระบบให้สอดรับกับการเก็บ/ใช้ข้อมูล ตัวชี้วัด ข้อมูลอุบัติการณ์จากหน่วยงาน เช่น มี ของมีคมติดมากับชุดอุปกรณ์ ไม่Pre-cleaning อุปกรณ์หมดอายุ และอุปกรณ์ช ารุด/สูญหาย เป็นต้น 5. CSSD program ท าให้มีBig data จึงควรมีการน าข้อมูลมาวิเคราะห์ พยากรณ์และใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุด 10.สมาชิกทีม 1. นางสาวดวงพร พงษ์ศรีลา พยาบาลวิชาชีพช านาญการ 2. นางสาวอุดมพร ติกขปัญญกุล พยาบาลวิชาชีพช านาญการ 3. นางสาวพลอยนภัส ธนากุลธัญสิทธิ์ พยาบาลวิชาชีพช านาญการ 4. นางสาวชมพูนุท ดุลยธรรม พยาบาลวิชาชีพช านาญการ 5. นางสาวพรพรหม ใจสมคม พยาบาลเทคนิคช านาญงาน 11.การติดต่อกับทีมงาน นางสาวดวงพร พงษ์ศรีลา และนางสาวพลอยนภัส ธนากุลธัญสิทธิ์ งานจ่ายกลาง รพ.วชิระภูเก็ต เบอร์โทรศัพท์ 076-271345 ต่อ 2780-1 e-mail address [email protected]


38 แนวปฏิบัติเพื่อป้องกัน ETT เลื่อนหลุดในหอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม 2. ชื่อและที่อยู่องค์กร : หอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 3. ค าส าคัญ : การป้องกัน ETT เลื่อนหลุด 4. สรุปผลงานโดยย่อ แนวปฏิบัติเพื่อป้องกัน ETT เลื่อนหลุดในหอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรมเพื่อลดอุบัติการณ์และ ค้นหาความเสี่ยงเพื่อเป็นแนวปฏิบัติร่วมกันในหน่วยงาน ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยจากการให้บริการ 5. ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ หอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม เป็นหอผู้ป่วยที่ให้การดูแลผู้ป่วยเด็กวิกฤต โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มี ภาวะหายใจล้มเหลวได้รับการใส่ท่อหลอดลม ซึ่งการเลื่อนหลุดของท่อช่วยหายใจเป็นอุบัติการณ์ที่พบได้บ่อย ซึ่งปี2561, 2562, 2563, 2564 และ 2565 จ านวน 29, 8, 11, 11 และ 12 ครั้งตามล าดับ ของผู้ป่วย ที่ได้รับการรักษาทั้งหมดในหอผู้ป่วยวิกฤต ดังนั้นหอผู้ป่วยจึงได้ตระหนักความส าคัญถึงปัญหา ดังกล่าว น ามาสู่การทบทวน RCA ร่วมกัน ในหอผู้ป่วยวันที่ 10 สิงหาคม 2563โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยมีเจ้าหน้าที่พยาบาล พนักงานช่วยเหลือคนไข้ คนงาน จ านวน 20 คน พบว่าสาเหตุของปัญหา เกิดจาก 1. การดึงรั้งของท่อช่วยหายใจ จากการพ่นยา circuit ventilator หนักและดึงรั้ง 2. ผู้ป่วยดิ้น กระสับกระส่าย ขยับหน้า แอ่นตัว กัดท่อ 3. พลาสเตอร์ไม่แน่นพอ จากพลาสเตอร์ไม่เหนียว การมีสารคัดหลั่งเช่นน้ าลาย 4. เจ้าหน้าที่ขาดความระมัดระวัง ขณะท าการพยาบาลเช่น ขณะอาบน้ า การเปลี่ยนลาสเตอร์ การประเมินต าแหน่ง ETT tube ในทุกเวร ทีมร่วมกันทบทวนวรรณกรรม การแก้ไขปัญหา และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการดูแลผู้ป่วย โดยเกิดเป็น CQI แนวปฏิบัติเพื่อป้องกัน ETT เลื่อนหลุดในหอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม เพื่อเป็นแนว ปฏิบัติร่วมกันในหน่วยงาน 6. เป้าหมาย : เพื่อลดอุบัติการณ์ ETT เลื่อนหลุดโดยไม่ได้วางแผนในหอผู้ป่วย PICU ในปี 2566 7. กิจกรรมการพัฒนา 1. ประดิษฐ์ขดลวดช่วยยึดตรึงท่อหลอดลมคอ (bar) วิธีการ - ใช้ลวดอ่อนมาดัดให้ได้ตามขนาดของใบหน้าเด็กและดัดขดเป็นตัว U - หุ้มส่วนปลายด้วยก็อซดังรูป


39 2. คิดวิธีในการติดยึดท่อหลอดลมคอที่มั่นคง อุปกรณ์ 1. Bar 2. Micropore 3. พลาสเตอร์ 3M multipore dry surgical tape 4. Fixomull วิธีการ 1. ใช้ micropore ติดผิวหนังบริเวณกระพุ้งแก้มทั้งสองข้างเพื่อป้องกันผิวหนังถูเสียดสี 2. ตัดพลาสเตอร์ 3M multipore dry surgical tape ขนาดตามใบหน้าเด็กเป็นรูปตัว Y สอง ชิ้น ชิ้นที่หนึ่งแปะทาบบนริมฝีปากบน พันอีกส่วนรอบท่อช่วยหายใจสองรอบ ชิ้นที่สองแปะทาบ ริมฝีปากล่าง และพันอีกส่วนรอบท่อช่วยหายใจสองรอบ 3. วางขดลวด bar ครอบบนใบหน้าเด็กโดยให้ส่วนปลายของขดลวดอยู่บริเวณกระพุ้งแก้ม 4. ใช้ micropore ยึดส่วนปลายของขดลวดทั้งสองข้างกับกระพุ้งแก้ม และใช้ fixomull ยึด ขดลวดเข้ากับท่อช่วยหายใจ ดังรูป 3. สร้างแบบประเมินความเสี่ยงต่อท่อเลื่อนหลุดในผู้ป่วยที่ใสท่อช่วยหายใจ ประชุมชี้แจ้งในหน่วยงาน พร้อมอธิบายแนวปฏิบัติร่วมกันครั้งที่1วันที่ 12/08/2563 มีการปรับปรุง แบบประเมินครั้งที่ 2 วันที่ 1/12/2565 แบบประเมินความเสี่ยงท่อหลอดลมเลื่อนหลุดในผู้ป่วยเด็ก PICU (ฉบับแรกก่อนปรับปรุง) ปัจจัยเสี่ยง ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด 1.การยึดติดท่อหลอดลมคอ 3 = พลาสเตอร์ไม่แนบสนิท 2 ข้าง,ฐาน bar หลุดออกทั้ง 2 ข้าง 2 = พลาสเตอร์ไม่แนบสนิท1ข้าง,ฐาน bar หลุดออกทั้ง 1 ข้าง 1 = พลาสเตอร์และบาร์ติดแน่นดี 2. ต าแหน่ง ETT 2=ผิดต าแหน่ง 1= ถูกต าแหน่ง


40 ปัจจัยเสี่ยง ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด 3. ผู้ป่วย 3 = น้ าลายเยอะ ดิ้นมาก แอ่นตัว ส่ายหน้าไปมาตลอดเวลา 2 = น้ าลายน้อย ดิ้นน้อย ส่ายหน้าเป็นบางครั้ง 1 = ไม่มีน้ าลาย ไม่ดิ้น 4.sedation level 6 = ตื่น ดิ้นไปมา ขยับแขนขาตลอดเวลา 5 = ง่วงซึม ตื่นเมื่อกระตุ้น เคลื่อนไหวได้เอง ขยับศีรษะ 4 = หลับเป็นส่วนใหญ่ ตื่นเมื่อกระตุ้นให้เจ็บ เคลื่อนไหวเล็กน้อย 3 = หลับตื่นเมื่อกระตุ้นให้เจ็บ เคลื่อนไหวเล็กน้อย ไม่ขยับศีรษะ 2 = หลับ ตอบสนองเล็กน้อยเมื่อถูกกระตุ้น ไม่หายใจเอง ไม่มีการ เคลื่อนไหว 1 = หลับ ไม่ขยับตลอดเวลา รวมคะแนน ลงชื่อผู้ประเมิน วันที่ใส่...................วันที่ off……………… คะแนน 4-8 หมายถึง มีความเสี่ยงต่ าต่อการเลื่อนหลุดของท่อหลอดลม คะแนน 9-14 หมายถึง มีความเสี่ยงสูงต่อการเลื่อนหลุดของท่อหลอดลม ต้องเฝ้าระวังและแก้ไข ระยะเวลาด าเนินการ เดือน ส.ค.ปี 63 ถึง ปัจจุบัน 8. การประเมินผลการเปลี่ยนแปลง ตารางแสดงข้อมูลอุบัติการณ์ท่อหลอดลมเลื่อนหลุดในตึก picu โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ปี จ านวน (ครั้ง) จ านวนวันที่ onETT 2561 29 1072 2562 8 796 2563 11 565 2564 11 651 2565 12 575 2566 5 83 (ต.ค.-พ.ย.) สติกเกอร์ชื่อผู้ป่วย


41 อุบัติการณ์กราฟแนวโน้มท่อหลอดลมเลื่อนหลุดโดยไม่ได้วางแผน จากการทบทวน case ที่ผ่านมา พบว่า caseที่ ETT เลื่อนหลุดเกิดจาก ผู้ป่วยตื่น ดิ้นมาก มี ความเสี่ยงสูงต่อการเลื่อนหลุดของท่อหลอดลม ต้องเฝ้าระวังและแก้ไข ซึ่งการประเมินการได้รับยา sedative จะท าให้เราเฝ้าระวังไม่ให้เกิดอุบัติการณ์เลื่อนหลุดของท่อหลอดลมได้ จึงได้มีการน าแบบ ประเมินมาใช้ในปี 2563 , 2564,2565 พบว่า ยังมีอุบัติการณ์เลื่อนหลุดของท่อหลอดลมปี 2565 ในช่วง เดือน ต.ค.-ธ.ค.2565 จ านวน 5 ครั้งซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทางหอผู้ป่วยจึงคิดทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้น โดยการปรับปรุงแบบประเมินให้ครอบคลุมในการเก็บข้อมูล และสามารถน าข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อ แก้ปัญหาได้จริง โดยมุ่งเน้นให้พยาบาลเห็นความส าคัญในการประเมินผู้ป่วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจทุกเคส และน าแนวปฏิบัติมาใช้เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดอย่างแท้จริง โดยมีการปรับปรุงแบบประเมินใหม่ ธันวาคม 2565 เพิ่มเติมดังนี้ แบบประเมินความเสี่ยงท่อหลอดลมเลื่อนหลุดในผู้ป่วยเด็ก PICU เดือน.................. Dx……………………………………วันที่ใส่ ET-tube ……………………..size/deep………… ปัจจัยเสี่ยง ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ข้อที่1.การยึดติดท่อหลอดลมคอ 3 = พลาสเตอร์ไม่แนบสนิท 2 ข้าง,ฐาน bar หลุดออกทั้ง2 ข้าง 2 = พลาสเตอร์ไม่แนบสนิท1ข้าง,ฐาน bar หลุดออกทั้ง1 ข้าง 1 = พลาสเตอร์และบาร์ติดแน่นดี ข้อที่ 2. ต าแหน่ง ETT 2 = ผิดต าแหน่ง 1 = ถูกต าแหน่ง ปี 2561 ปี 2562 ปี 2563 ปี 2564 ปี 2565 ปี 2566 ชุดข้อมูล 1 29 8 11 11 12 5 0 5 10 15 20 25 30 35 ครั้ง:100วันETT อุบัติการณ์กราฟแนวโน้มท่อหลอดลมเลื่อนหลุดโดยไม่ได้วางแผนปี2561-ปัจจุบัน


42 ปัจจัยเสี่ยง ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ช บ ด ข้อที่ 3. ผู้ป่วย 3 = น้ าลายเยอะ ดิ้นมาก แอ่นตัว ส่ายหน้าไปมาตลอดเวลา 2 = น้ าลายน้อย ดิ้นน้อย ส่ายหน้าเป็นบางครั้ง 1 = ไม่มีน้ าลาย ไม่ดิ้น ข้อที่ 4.sedation level 6 = ตื่น ดิ้นไปมา ขยับแขนขาตลอดเวลา 5 = ง่วงซึม ตื่นเมื่อกระตุ้น เคลื่อนไหวได้เอง ขยับศีรษะ 4 = หลับเป็นส่วนใหญ่ ตื่นเมื่อกระตุ้นให้เจ็บ เคลื่อนไหวเล็กน้อย 3 = หลับตื่นเมื่อกระตุ้นให้เจ็บ เคลื่อนไหวเล็กน้อย ไม่ขยับศีรษะ 2 = หลับ ตอบสนองเล็กน้อยเมื่อถูกกระตุ้น ไม่หายใจเอง ไม่ มีการเคลื่อนไหว 1 = หลับ ไม่ขยับตลอดเวลา รวมคะแนน ลงชื่อผู้ประเมิน คะแนน 4-8 หมายถึง มีความเสี่ยงต่ าต่อการเลื่อนหลุดของท่อหลอดลม คะแนน 9-14 หมายถึง มีความเสี่ยงสูงต่อการเลื่อนหลุดของท่อหลอดลม ต้องเฝ้าระวังและแก้ไข ให้ประเมินต่อในส่วนที่สอง วันที่ off ET- tube……………………… จ านวนวันที่ใส่ ETT ทั้งหมด..................วัน วันที่ ET-tube เลื่อนหลุด....................สาเหตุ ผู้ป่วยดึง tube ผู้ป่วยดิ้น อื่นๆ...................... การแก้ไข re-intubation on o2…………… ส่วนที่สอง กรณีที่ได้คะแนนมากกว่า 9-14 คะแนน วันที่/เวร คะแนน ปัจจัยเสี่ยง การแก้ไข ประเมินซ้ า ผู้บันทึก ข้อที่1.การยึดติดท่อหลอดลมคอ ข้อที่ 2. ต าแหน่ง ETT ข้อที่ 3. ผู้ป่วย ข้อที่ 4.sedation level ข้อที่1.การยึดติดท่อหลอดลมคอ ข้อที่ 2. ต าแหน่ง ETT ข้อที่ 3. ผู้ป่วย ข้อที่ 4.sedation level


43 วันที่/เวร คะแนน ปัจจัยเสี่ยง การแก้ไข ประเมินซ้ า ผู้บันทึก ข้อที่1.การยึดติดท่อหลอดลมคอ ข้อที่ 2. ต าแหน่ง ETT ข้อที่ 3. ผู้ป่วย ข้อที่ 4.sedation level ข้อที่1.การยึดติดท่อหลอดลมคอ ข้อที่ 2. ต าแหน่ง ETT ข้อที่ 3. ผู้ป่วย ข้อที่ 4.sedation level ข้อที่1.การยึดติดท่อหลอดลมคอ ข้อที่ 2. ต าแหน่ง ETT ข้อที่ 3. ผู้ป่วย ข้อที่ 4.sedation level ข้อที่1.การยึดติดท่อหลอดลมคอ ข้อที่ 2. ต าแหน่ง ETT ข้อที่ 3. ผู้ป่วย ข้อที่ 4.sedation level ข้อที่1.การยึดติดท่อหลอดลมคอ ข้อที่ 2. ต าแหน่ง ETT ข้อที่ 3. ผู้ป่วย ข้อที่ 4.sedation level 9. บทเรียนที่ได้รับ - ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานทุกคน - มีแนวปฏิบัติเพื่อป้องกัน ETT เลื่อนหลุดในหอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรมที่ใช้ร่วมกัน - ทุกคนในหน่วยงานและญาติพึงพอใจ 10. สมาชิกทีม หอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม (PICU) 11. การติดต่อกับทีมงาน -คุณพิชญามณฑน์ มุขแม้นเหมือน ต าแหน่งหัวหน้าหอผู้ป่วยวิกฤตกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 353 ถ.เยาวราช ต.ตลาดใหญ่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000 เบอร์ติดต่อ 076-361234 ต่อ 6419-6420


44 เอกสารอ้างอิง 1. ฉัตรชฎา พะยอมหอม (2550) แนวปฏิบัติการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยเด็กที่ใส่ท่อทางเดิน หายใจ เพื่อลดอัตราการหลุดของท่อทางเดินหายใจในผู้ป่วยเด็กในขณะที่ยังไม่พร้อมต่อการหย่า เครื่องช่วยหายใจ 2. เยาวภา จันทร์มา(2553) การพัฒนาและการใช้แนวปฏิบัติทางคลินิกส าหรับการป้องกันท่อ ทางเดินหายใจ เลื่อนหลุดในผู้ป่วยทารกและเด็ก หอผู้ป่วยหนักกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ 3. อังคนา จันคามิ. 2557. การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันท่อหลอดลมคอเลื่อนหลุด ในทารกแรกเกิดโรงพยาบาลมหาสารคาม.


45 ลดปัญหาความคลาดเคลื่อนทางยาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภทที่ 2,3,4 2. ชื่อและที่อยู่ขององค์กร : งานบริการจ่ายยาผู้ป่วยใน กลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 3. ค าส าคัญ : Processing error, Dispensing error 4. สรุปผลงานโดยย่อ : การพัฒนาระบบการท างานเพื่อลดความคลาดเคลื่อนจากกระบวนการจัดยา(Processing error) โดยปรับสถานที่ในการเก็บยา แยกเก็บยาเป็นหมวดหมู่และเป็นสัดส่วน ปรับฉลากยาให้ชื่อยาและจ านวน มีตัวอักษรหนาและใหญ่ขึ้น สามารถลดProcessing error จาก 0.33ครั้ง/1000วันนอน ในปี 2562 เป็น 0.19ครั้ง/1000วันนอนในปี 2565จึงเพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วยได้ 5. ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ งานบริการจ่ายยาผู้ป่วยใน มีรายการยาควบคุมดังนี้ยาเสพติดให้โทษประเภท 3 ได้แก่ TWC และ Ropectยาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 ได้แก่ methylphenidate (Rubifen®) และ pseudoephedrineยาวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่4 ได้แก่, Diazepam 2 mg, Diazepam 5 mg, Diazepam inj,Clonazepam, Lorazepam,Phenobarbital 30 mg, Phenobarbital 60 mg, Phenobarbital injและยาอันตรายได้แก่ Tramadol tab และ Tramadol injความคลาดเคลื่อนทางยา จากการจัดยาที่ไม่ถูกต้องตามแผนการรักษาในยาควบคุมอาจส่งผลให้เกิดการใช้ยาในทางที่ผิดและผู้ป่วย เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้การแก้ไขปัญหาเพื่อลดคลาดเคลื่อนในการจัดยา (Processing error) อย่างเป็นระบบจึงเป็นสิ่งส าคัญเพื่อความปลอดภัยต่อผู้ป่วยที่รับยา และมีผลการรักษาที่ดีขึ้นจึงจ าเป็นต้อง มีการทบทวนการท าCQIและออกแบบระบบเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา จากการเก็บข้อมูลความคลาดเคลื่อนในการจัดยาที่เกิดขึ้นในห้องยาผู้ป่วยใน ในปี2562พบ ความคลาดเคลื่อนในการจัดยา 0.33 ครั้ง:1000วันนอนซึ่งเกินเป้าหมาย คือ < 0.2 ครั้ง/1000 วันนอน


46 6. เป้าหมาย : เพื่อลดความคลาดเคลื่อนในการจัดยา (Processing error) ของห้องจ่ายยาผู้ป่วยใน< 0.20ครั้ง/ 1000 วันนอน ภายในปี 2565 7. กิจกรรมการพัฒนา : CQI ครั้งที่ 1 ปี 2563 - มีการวางแผนและทบทวนวิธีการด าเนินงาน - จัดระเบียบตู้ยาให้เป็นสัดส่วนแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท - จัดท าป้ายยาให้เป็นสัดส่วนในล็อกยา CQI ครั้งที่ 2 ปี 2564 - จัดท าฉลากยาให้เด่นชัด โดยใช้ตัวอักษรหนาและใหญ่ขึ้นทั้งชื่อยาและจ านวน Before After


47 CQI ครั้งที่ 3 ปี 2565 - อบรมปฐมนิเทศน้องใหม่ - ติดป้ายเตือน "ความแรง" บนหน้าชื่อยา LASA เพื่อให้เจ้าหน้าที่ระวังในการจัดยามากขึ้น 8. การวัดผลและผลของการเปลี่ยนแปลง : 0.33 0.25 0.16 0.19 0 0.05 0.1 0.15 0.2 0.25 0.3 0.35 Before CQI1 CQI2 CQI3 กราฟแสดง Processing errors ก่อนและหลังพัฒนา Processing error ครั้ง/1000 วันอน เป้าหมาย < 0.2 Before After 0 0.05 0.1 0.15 0.2 0.25 0.3 0.35 ชนิดยา Item จ านวน ความแรง รูปแบบ Processing error 0.12 0.1 0.08 0.02 0.01 0.33 0.06 0.06 0.05 0.02 0 0.19 กราฟแสดงประเภทของ Processing error ก่อนและหลังพัฒนา Before CQI1 CQI2 CQI3


Click to View FlipBook Version