2 แนวปฏิบตั เิ พอ่ื ปอ้ งกนั
และควบคุมการติดเช้อื ในโรงพยาบาล
แนวปฏบิ ัตเิ พอ่ื ปอ้ งกัน
และควบคมุ การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
ISBN : 978-616-11-4376-3
จดั พิมพแ์ ละเผยแพร่ : สถาบนั บ�ำราศนราดรู กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ
พมิ พ์ที่ : ส�ำนักพิมพอ์ กั ษรกราฟฟิคแอนด์ดไี ซน์
พมิ พ์ครงั้ ที่ 1 : สิงหาคม 2563
จ�ำนวน : 2,000 เลม่
แนวปฏิบตั ิเพอ่ื ปอ้ งกัน 3
และควบคุมการตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
ค�ำนำ�
การติดเช้ือในโรงพยาบาลเป็นผลกระทบน�ำไปสู่ความทุกข์ทรมาน ความสูญเสียชีวิต ค่าใช้จ่าย และการ
แพร่กระจายของเชื้อโรค ประเทศไทยได้ตระหนักถึงความส�ำคัญในเร่ืองน้ี จึงได้มีการด�ำเนินงาน เพ่ือการป้องกัน
และควบคุมการติดเชื้อมานานกว่า 30 ปี สามารถแก้ปัญหาได้ดีท้ังด้านลดการติดเชื้อที่พบประจ�ำและควบคุม
การระบาดของโรคตดิ เชื้อ
เพอื่ ใหก้ ารปอ้ งกนั และควบคมุ การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาลมปี ระสทิ ธภิ าพมากขน้ึ กระทรวงสาธารณสขุ จงึ แตง่ ตงั้
คณะอนุกรรมการด้านการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลข้ึน ในวันท่ี 22 เมษายน 2562 ภายใต้
คณะกรรมการควบคมุ โรคตดิ ตอ่ แหง่ ชาติ ทแ่ี ตง่ ตง้ั ขน้ึ ตามพระราชบญั ญตั โิ รคตดิ ตอ่ พ.ศ. 2558 กำ� หนดใหโ้ รคตดิ เชอื้
ในโรงพยาบาลและเช้ือด้ือยาต้านจุลชีพเป็นโรคที่ต้องรายงานตามพระราชกฤษฎีกา ลงวันที่ 27 มกราคม 2563
สถานพยาบาลทุกแหง่ จึงมหี นา้ ทปี่ ฏิบัตติ ามกฎหมายดังกลา่ ว
เพอื่ ใหก้ ารปฏบิ ตั กิ ารปอ้ งกนั และควบคมุ การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาลและปอ้ งกนั การแพรก่ ระจายของเชอื้ ดอ้ื ยา
ต้านจุลชีพด�ำเนินไปด้วยดี กรมควบคุมโรค โดยสถาบันบ�ำราศนราดูรและชมรมควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล
จึงได้จัดท�ำแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันและควบคุมการติดเช้ือในโรงพยาบาลขึ้น เพ่ือเป็นแนวทางการปฏิบัติ ติดตาม
และประเมินผลการด�ำเนินงาน สามารถใชเ้ ป็นหลักฐานเชงิ ประจักษ์ อา้ งองิ การปฏบิ ตั ไิ ด้อย่างมีมาตรฐาน เหมาะสม
ส�ำหรบั ประเทศไทยในปัจจุบนั และจะปรับปรุงตอ่ ไปในอนาคตเพือ่ ใหท้ นั สมยั
คณะผจู้ ดั ทำ� หวงั เปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ แนวปฏบิ ตั ทิ จี่ ดั ทำ� ขน้ึ นจี้ ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ สถานพยาบาลทกุ แหง่ ในประเทศไทย
นพ.สวุ รรณชยั วฒั นายิง่ เจรญิ ชัย
นพ.อภชิ าต วชริ พันธ์
บรรณาธกิ าร
พฤษภาคม 2563
4 แนวปฏบิ ัตเิ พอื่ ป้องกนั
และควบคุมการตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
สารบัญ
ค�ำน�ำ 3
บทท่ี 1 การบรหิ ารและโครงการเพื่อการควบคุมโรคติดเช้ือในโรงพยาบาล 5
บทที่ 2 การดูแลสุขภาพของบุคลากรทางการแพทย์ 10
บทท่ี 3 การเฝา้ ระวงั การติดเช้อื ในโรงพยาบาล 19
บทที่ 4 การท�ำความสะอาดมือสำ� หรบั บคุ ลากรทางการแพทย์ 31
บทท่ี 5 การป้องกนั ปอดอักเสบที่สัมพนั ธก์ ับการใชเ้ ครื่องชว่ ยหายใจ 39
บทท่ี 6 การป้องกันการตดิ เชอ้ื ในระบบทางเดินปัสสาวะท่สี มั พันธ์กับการใสส่ ายสวนปสั สาวะ 42
บทท่ี 7 การปอ้ งกนั การตดิ เชื้อทตี่ �ำแหน่งผา่ ตดั 49
บทท่ี 8 การปอ้ งกันการตดิ เช้ือในกระแสโลหติ ทส่ี ัมพนั ธก์ ับการใส่สายสวนหลอดเลือด 54
บทท่ี 9 การป้องกนั และควบคุมการแพรก่ ระจายของเชอื้ 58
บทท่ี 10 การจดั การการระบาดของการตดิ เช้อื ในโรงพยาบาล 66
บทท่ี 11 การป้องกนั และควบคุมการแพรก่ ระจายของเช้อื ด้ือยาตา้ นจลุ ชีพ 68
บทท่ี 12 การป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเช้ือวัณโรคในโรงพยาบาล 74
บทท่ี 13 หนว่ ยจ่ายกลาง 76
บทที่ 14 การจดั การผา้ ในโรงพยาบาล 81
บทท่ี 15 สิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล 84
บทที่ 16 การจัดการอาหารผู้ปว่ ยในโรงพยาบาล 87
บทที่ 17 การจดั การมลู ฝอยตดิ เชอ้ื 91
บทท่ี 18 ห้องปฏบิ ตั ิการจุลชวี วทิ ยา 95
บทท่ี 19 การประเมินภายในเพ่ือพัฒนาการป้องกันและควบคุมการตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล 97
บทที่ 20 การประเมินภายนอกเพอ่ื พฒั นาการปอ้ งกันและควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล 115
บรรณานุกรม 125
แนวปฏิบัตเิ พอ่ื ป้องกัน 5
และควบคมุ การติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
บ1ทท่ี
การบริหารและโครงการ
เพือ่ การควบคมุ โรคตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
โรคติดเชื้อในโรงพยาบาลเป็นปัญหาใหญ่ท่ีพบทุกโรงพยาบาลทั่วโลกและเป็นโรคที่ป้องกันได้ โรคติดเช้ือใน
โรงพยาบาลเป็นปัญหามาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ไม่ได้รับการแก้ไขจนกระทั่ง 30 ปีก่อน ประเทศสหรัฐอเมริกา
เป็นประเทศแรกท่ีมีการจัดกิจกรรมควบคุมโรคอย่างจริงจังและเป็นประเทศท่ีมีประสบการณ์ในการควบคุมโรค
ติดเช้ือมากที่สุดในปัจจุบัน ผลจากการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ ท�ำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาสามารถลด
อตั ราการตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาลลงไดป้ ระมาณ 1 ใน 3 สามารถลดคา่ ใชจ้ า่ ยปลี ะนบั หมน่ื ลา้ นบาท สำ� หรบั ประเทศไทย
อัตราการติดเชอ้ื สงู ถึงรอ้ ยละ 11.7 ในปี พ.ศ. 2531 และจากการควบคุม ทแี่ ม้จะกระทำ� กนั ไดไ้ ม่เต็มท่ี เน่ืองจาก
การขาดทรัพยากร ยังสามารถลดอัตราการติดเชือ้ ลงเหลือรอ้ ยละ 4.2 ใน พ.ศ. 2561
การบริหารและการจัดท�ำโครงการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ (Infection Prevention and Control
Programme) เปน็ หวั ใจของการปอ้ งกนั และควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล ตง้ั แตร่ ะดบั ประเทศถงึ ระดบั หนว่ ยงาน
โครงการประกอบไปด้วยการวางนโยบาย การจดั ทรัพยากร (คน, งบประมาณ, วสั ดุ ฯลฯ) การด�ำเนินงาน การตรวจ
สอบและพฒั นาคณุ ภาพ ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการ ไดแ้ ก่ องคก์ รปอ้ งกนั และควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาลประกอบดว้ ย
คณะกรรมการควบคมุ โรคติดเชอ้ื (infection control committee) และคณะอนกุ รรมการ (infection control
subcommittee) ซง่ึ ทำ� หนา้ ทีเ่ ฉพาะด้าน เชน่ คณะอนกุ รรมการการควบคุมการใช้ยาตา้ นจุลชพี คณะอนกุ รรมการ
ดูแลสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล หรือเป็นคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจ เช่น คณะอนุกรรมการป้องกันและควบคุม
เชอ้ื ดือ้ ยา
การป้องกันและควบคุมโรคติดเช้ือในโรงพยาบาล เป็นสาระท่ีส�ำคัญในการประเมินเพื่อประกันคุณภาพ
ของโรงพยาบาล เน่ืองจากโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลเป็นโรคท่ีพบบ่อย ส่งผลกระทบมากต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ
การปอ้ งกนั และควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาลโดยการประสานงานของบคุ ลากรทกุ ระดบั จะสามารถลดผลกระทบ
ได้อย่างคุ้มค่า นอกจากน้ยี ังมีดรรชนีชีว้ ดั ที่แน่นอน ประเมินผลได้ การบริหารจัดการเพอื่ การป้องกนั และควบคุมโรค
ติดเชื้อในโรงพยาบาลเป็นหัวใจของการด�ำเนินการทุกระดับ การจัดต้ังองค์กรท่ีเหมาะสมจะท�ำให้มีนโยบายที่ดี
มกี ารวางแผนงานและดำ� เนนิ การใหไ้ ดป้ ระสทิ ธภิ าพสงู สดุ เพอ่ื ปอ้ งกนั ความผดิ พลาดทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพ
และความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากร รวมถึงปัญหาทางการฟ้องร้องซ่ึงมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากขึ้น
ในประเทศไทย
6 แนวปฏบิ ัติเพื่อปอ้ งกนั
และควบคมุ การติดเช้อื ในโรงพยาบาล
นโยบายการควบคมุ โรคตดิ เชื้อ
การวางนโยบายควบคุมโรคติดเช้ือในโรงพยาบาลจะตอ้ งคำ� นึงถึงหลกั ส�ำคญั 3 ประการ
1. ปัจจัยท่ีเกย่ี วขอ้ งกับการวางนโยบาย ต้องพจิ ารณาดังต่อไปน้ี
1.1 โรคตดิ เชื้อในโรงพยาบาลท่สี �ำคัญตามลำ� ดบั ก่อนหลงั สำ� หรบั แตล่ ะโรงพยาบาล ได้แก่
1) โรคทพ่ี บมากและเป็นปญั หา เช่น การติดเชือ้ ด้ือยา วณั โรค
2) อัตราตายสูง เช่น ปอดอักเสบ
3) โรคที่มีผลกระทบในวงกว้าง เชน่ การตดิ เช้อื ไขห้ วัดนก การติดเชอื้ COVID-19 เปน็ ตน้
1.2 ทรพั ยากรทม่ี อี ยู่ อนั ได้แก่ บุคลากร งบประมาณ เครื่องมือ เครื่องใช้ ห้องทดลอง ฯลฯ
1.3 ความรว่ มมอื ของบคุ ลากร เป็นปัจจยั ท่สี ำ� คญั ทส่ี ดุ การควบคุมโรคตดิ เช้อื ในโรงพยาบาลเป็นหน้าที่
ของบุคลากรทุกคนในโรงพยาบาลต้ังแต่ผู้อ�ำนวยการจนถึงพนักงาน แต่ละคนมีหน้าที่และบทบาทของตนเอง
ในการควบคมุ โรคตดิ เช้อื ทั้งสิน้
1.4 องค์กรภายนอกโรงพยาบาล เชน่ สุขาภิบาล เทศบาล การประปา ฯลฯ มีสว่ นในการควบคมุ โรค
เช่น การก�ำจัดขยะติดเชื้ออาจจะก�ำจัดในโรงพยาบาล แต่ส้ินเปลืองมาก ถ้าเทศบาลมีที่เผาขยะติดเชื้อก็จะช่วย
แบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลได้ เปน็ ตน้
2. นโยบายท่ีดนี ้นั ยอ่ มน�ำไปส่กู ารปฏิบัติทีไ่ ดผ้ ลดี ดังน้นั นโยบายควบคมุ โรคติดเช้อื ในโรงพยาบาล จึงควร
เปน็ นโยบายทม่ี ีคณุ ลักษณะ เพอื่
2.1 ประโยชนต์ ่อการป้องกนั และควบคุมการตดิ เชอื้ ของหน่วยงาน
2.2 ชัดเจน เข้าใจง่าย
2.3 บุคลากรยอมรับ
2.4 นำ� ไปปฏบิ ตั ไิ ด้ โดยมที รพั ยากรบคุ คล งบประมาณและวสั ดคุ รภุ ณั ฑเ์ ครอื่ งมอื ใชร้ องรบั อยา่ งเพยี งพอ
2.5 ประเมินผลได้
3. การจดั ทำ� โครงการตามนโยบาย โครงการการควบคมุ โรคตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล โครงการหลกั ทสี่ ำ� คญั ไดแ้ ก่
3.1 การเฝา้ ระวงั โรคตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
3.2 การปอ้ งกนั และควบคมุ โรคตดิ เชอ้ื ทพี่ บบอ่ ย
3.3 การปอ้ งกนั และควบคมุ โรคตดิ เชอ้ื ดอ้ื ยา
3.4 การแยกผปู้ ว่ ยโรคตดิ ตอ่ (isolation/precautions)
3.5 การใชย้ าตา้ นจลุ ชพี อยา่ งสมเหตสุ มผล (antimicrobial stewardship)
3.6 การท�ำความสะอาดมอื (hand hygiene)
3.7 การรักษาความสะอาดในโรงพยาบาล (hospital hygiene) ซึ่งประกอบด้วยการท�ำความสะอาด
การจัดการนำ�้ เสยี การจดั การมลู ฝอย เป็นตน้
สว่ นโครงการพเิ ศษตา่ งๆ อาจจดั ขนึ้ ไดต้ ามความจำ� เปน็ ของแตล่ ะหนว่ ยงาน เชน่ โครงการอาหารสะอาด ฯลฯ
องค์กรท่ีจัดต้ังควรจะจัดการประชุมอย่างสม�่ำเสมอ ส่วนจะประชุมบ่อยเพียงใดข้ึนอยู่กับความจ�ำเป็นและ
ความพร้อมของบุคลากร การประเมินผลของการควบคุมโรค และการรายงานผล ควรกระท�ำอย่างสม�่ำเสมอ เช่น
ทกุ เดอื น ทุก 3 เดือน ฯลฯ แลว้ แต่เหตุการณ์
แนวปฏบิ ัติเพือ่ ปอ้ งกนั 7
และควบคมุ การติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
การจัดต้งั องค์กร
องค์กรป้องกันโรคติดเช้ือในโรงพยาบาลจะต้องท�ำงานประสานกันทุกระดับ ได้แก่ ระดับสากล ระดับชาติ
ระดับเขต ระดับโรงพยาบาล ระดับหน่วยงาน เพ่ือให้เกิดการบูรณาการน�ำไปสู่เป้าหมายและผลลัพธ์การท�ำงาน
ทชี่ ัดเจน
ระดับสากล เชน WHO, CDC
ระดบั ชาต-ิ ของไทย ไดแก คณะอนกุ รรมการดานการปอ งกนั และควบคมุ โรคติดเชื้อในโรงพยาบาล
ระดับเขต เชน เขตสุขภาพ, เขตควบคุมโรค
ระดบั โรงพยาบาล
ระดบั หนวยงาน เชน ไอซียู
คณะอนุกรรมการดา้ นการป้องกันและควบคุมโรคติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
ประเทศไทยมคี ณะกรรมการปอ้ งกนั และควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ระดบั ชาติ ชดุ แรก เมอื่ ปี พ.ศ. 2546 ปรบั เปลย่ี น
เป็นชุดที่ 2 ในปี พ.ศ. 2554 และคร้ังสุดท้ายแต่งต้ังโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2562
เป็นคณะอนุกรรมการด้านการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล ซ่ึงเป็นหน่วยงานของคณะกรรมการ
ควบคมุ โรคตดิ ตอ่ แหง่ ชาตทิ ตี่ งั้ ตามพระราชบญั ญตั โิ รคตดิ ตอ่ พ.ศ. 2558 ในปี พ.ศ. 2562 มปี ลดั กระทรวงสาธารณสขุ
เปน็ ประธาน ผอู้ �ำนวยการสถาบันบ�ำราศนราดรู เป็นเลขานุการ มีอนุกรรมการรวม 25 ทา่ น หน้าทีข่ องอนุกรรมการ
โดยสรุปมดี ังนี้
1. เสนอแนะนโยบาย
2. ขับเคล่อื นนโยบายและทำ� แผนปฏบิ ตั ิ
3. สนบั สนนุ สง่ เสรมิ ติดตาม ประเมนิ ผล
4. ทำ� รายงานประจ�ำปี
คณะกรรมการควบคุมโรคติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
(Infection Control Committee-ICC) มีบทบาท มากทสี่ ุดในการดำ� เนินงาน มอี งค์ประกอบ ดังน้ี
1. ประธานกรรมการ ควรเปน็ ผบู้ รหิ ารสงู สดุ คอื ผอู้ ำ� นวยการโรงพยาบาลหรอื คณบดขี องคณะแพทยศาสตร์
ในกรณีท่ีมีผู้เช่ียวชาญด้านการควบคุมโรคและมีอาวุโสพอ เช่น แพทย์ผู้เช่ียวชาญด้านโรคติดเชื้อ หัวหน้าภาควิชา
จลุ ชีววิทยา ท่ีไดร้ บั การแต่งตัง้ โดยผู้บริหาร เปน็ ตน้ เน่ืองจากการควบคุมโรคตดิ เชอ้ื ที่เก่ียวขอ้ งกับบคุ ลากรทุกระดับ
ในโรงพยาบาล ผสู้ ั่งการจึงต้องมีอาวุโสและบารมเี พยี งพอ และร้ศู ักยภาพของโรงพยาบาลดี
8 แนวปฏบิ ตั เิ พื่อปอ้ งกนั
และควบคมุ การติดเช้อื ในโรงพยาบาล
2. กรรมการที่ส�ำคญั และมีหนา้ ท่โี ดยตรง ประกอบดว้ ย
2.1 แพทย์ควบคุมโรคติดเชอ้ื
2.2 หัวหนา้ กลุ่มงาน หรอื หวั หนา้ ภาควิชาทางคลนิ ิก
2.3 หวั หน้ากลุ่มการพยาบาล
2.4 หวั หนา้ หอ้ งชนั สตู ร หรือหวั หนา้ หอ้ งปฏบิ ัติการจลุ ชีววิทยา
2.5 หัวหน้าแผนกเภสัชกรรม
2.6 นกั ระบาดวิทยา (hospital epidemiologist)
2.7 เลขานกุ าร ควรเปน็ หัวหน้าพยาบาลควบคุมโรคติดเช้ือ
องค์ประกอบนใี้ ห้ปรับเปล่ยี นไดต้ ามบริบทของพยาบาล
หน้าทข่ี องคณะกรรมการควบคุมโรคตดิ เชอื้ ทีส่ �ำคญั คือ
1. วางนโยบายการป้องกันควบคุมโรคตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
2. จดั สรรทรพั ยากร
3. วางแนวปฏิบัติ สนับสนนุ กำ� กับ และตรวจสอบและประเมินผลการปฏบิ ัติงาน
4. อนมุ ตั ิโครงการควบคมุ โรคติดเช้อื ทเี่ สนอมา
5. รายงานโรคติดเชือ้ ในโรงพยาบาลและเชื้อด้ือยาต้านจุลชพี ต่อผูบ้ ริหาร
แพทยค์ วบคมุ โรคติดเชอ้ื
แพทย์ที่รับหน้าท่ีควบคุมโรคติดเชื้อเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงสุดทางด้านวิชาการและปฏิบัติงานควบคุม
โรคตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล ควรมีอย่างนอ้ ย 1 ท่าน ในทุกโรงพยาบาล ควรเปน็ แพทย์ท่ีมีความอาวโุ สและเป็นท่ีเชอ่ื ถอื
ของบคุ ลากรในโรงพยาบาลเพอ่ื ใหส้ ามารถสง่ั การได้ ถา้ เปน็ แพทยท์ มี่ คี วามรทู้ างโรคตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล ทางจลุ ชวี วทิ ยา
และวิทยาการระบาด จะปฏิบตั ิงานได้ดยี งิ่ ขึ้น
หนา้ ท่ีของแพทย์ควบคมุ โรคติดเชือ้ (Infectious Doctor) ประกอบดว้ ย
1. เป็นกรรมการในคณะกรรมการควบคมุ โรคตดิ เช้อื ของโรงพยาบาล
2. วางนโยบาย แนวปฏบิ ตั ิ กำ� กบั ติดตาม ประเมินผลทุกเรอื่ ง โดยเฉพาะ
2.1. การเฝา้ ระวงั
2.2. การศกึ ษา การฝกึ อบรม
2.3. สุขภาพของบคุ ลากรเก่ียวกับการติดเชอ้ื
2.4. การป้องกนั และควบคมุ การแพรก่ ระจายเช้ือ โดยเฉพาะเชื้อดือ้ ยาและโรคระบาด
2.5. ตรวจสอบ เปน็ ทปี่ รกึ ษาและใหค้ ำ� แนะนำ� แกห่ นว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การปอ้ งกนั และควบคมุ โรคตดิ เชอ้ื
ในโรงพยาบาล เชน่ แผนกจดั การมลู ฝอย จดั การนำ�้ เสยี นำ้� อปุ โภคบรโิ ภค แผนกซกั ฟอก แผนกอาหาร หนว่ ยจา่ ยกลาง
เป็นต้น
แนวปฏิบัตเิ พ่อื ป้องกัน 9
และควบคมุ การตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล
พยาบาลควบคุมโรคตดิ เชอื้ (Infection Control Nurse, ICN)
ในการป้องกนั และควบคุมโรคตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล บคุ ลากรทีร่ บั ผดิ ชอบงานโดยตรงมากที่สดุ คือ พยาบาล
ควบคุมโรคตดิ เช้อื ซงึ่ มหี นา้ ทด่ี งั ตอ่ ไปน้ี
1. เฝ้าระวงั โรค (Surveillance) และรายงาน
2. การศึกษา ฝกึ อบรมบคุ ลากรในโรงพยาบาล
3. ร่วมกบั แพทยจ์ ัดท�ำแนวปฏิบตั ิ
4. ใหค้ �ำปรึกษาแก่บคุ ลากร
5. ร่วมในการสอบสวนโรคระบาด
6. เป็นกรรมการหรอื กรรมการและเลขานกุ ารของ คณะกรรมการควบคมุ โรคตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล
7. ตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่อื งมอื , เคร่ืองใช้ ท่ใี ชใ้ นการป้องกนั และควบคมุ โรคติดเช้ือในโรงพยาบาล
8. ตรวจสอบ ให้ค�ำแนะน�ำแก่เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมโรคติดเช้ือ
ในโรงพยาบาล เชน่ แผนกจดั การมลู ฝอย นำ�้ บรโิ ภคและอปุ โภค แผนกซกั ฟอก แผนกอาหาร หนว่ ยจา่ ยกลาง เปน็ ตน้
9. รายงานผลการเฝ้าระวังโรค โรคระบาด เช้ือด้ือยาต้านจุลชีพ และเหตุการณ์ส�ำคัญให้แพทย์ควบคุม
การตดิ เชือ้ พจิ ารณาและนำ� เสนอตอ่ คณะกรรมการโรคตดิ เชือ้ (Infection Control Committee: ICC) จะเหน็ ไดว้ า่
พยาบาลควบคุมโรคติดเช้ือมีบทบาทที่ส�ำคัญในการควบคุมโรคและมีหน้าที่หลายอย่าง จึงต้องเป็นคนที่มีความรู้
ทั้งดา้ นการพยาบาล โรคติดเชื้อ วิทยาการระบาด สถิติ และเป็นผู้ที่มีมนษุ ย์สมั พนั ธ์ทด่ี ี
เจา้ หน้าท่หี ้องชันสูตร
ในโรงพยาบาลที่มีนักจุลชีววิทยา (microbiologist) ซ่ึงท�ำหน้าท่ีย้อมสี เพาะเชื้อและการทดสอบที่เกี่ยวกับ
เชอ้ื โรค เชน่ ตรวจปฏกิ ิริยาน้ำ� เหลือง ตรวจทางโมเลกลุ การตรวจหาเช้อื ดื้อยา เพอื่ ช่วยในการดูแลรกั ษา ป้องกนั
และควบคมุ การติดเชอื้ บทบาทหนา้ ทข่ี องนักจลุ ชวี วทิ ยา ไดแ้ ก่
1. การวนิ จิ ฉยั โรคติดเชือ้ ว่าการตดิ เช้ือน้ันเกดิ จากเชอ้ื อะไร
2. การรักษา เช่น การทดสอบความไวของเช้ือต่อยา การทดสอบว่าเช้ือด้ือยาหรือไม่ ระดับยาในร่างกาย
เพยี งพอตอ่ การรกั ษาหรอื ไม่ ฯลฯ
3. การวินิจฉัยและจดั การระบาด
4. การตรวจสอบคุณภาพของเครอื่ งมือและผลติ ภัณฑ์วา่ ไดเ้ กณฑ์มาตรฐานหรือไม่
หวั หนา้ แผนกเภสัช (หรือผู้ได้รบั มอบหมาย)
มหี น้าทีจ่ ดั หา เกบ็ เบิกจ่ายเวชภณั ฑ์ วัสดุอปุ กรณ์เก่ียวกบั การป้องกันและควบคุมการติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
เชน่ นำ้� ยา เครื่องป้องกนั ร่างกาย ฯลฯ
การปฏิบัติงานด้านการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล ต้องประสานและบูรณาการกันตั้งแต่
ผู้บรหิ ารสงู สุดจนถึงเจา้ หนา้ ท่ีทุกคน แต่ละคนมีบทบาทและความรบั ผิดชอบของตน สว่ นผู้ท่ีมหี นา้ ทีโ่ ดยตรง ไดแ้ ก่
แพทย์ พยาบาลควบคมุ โรคตดิ เช้ือและนกั จุลชวี วทิ ยา
10 แนวปฏิบตั ิเพ่อื ป้องกัน
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
บ2ทท่ี
การดูแลสขุ ภาพ
ของบคุ ลากรทางการแพทย์
บคุ ลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะผทู้ ป่ี ฏบิ ตั งิ านดแู ลผปู้ ว่ ยและตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารจะเสยี่ งตอ่ การตดิ เชอื้
มากกว่าบุคลากรทั่วไป และเส่ียงต่อการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตจากการได้รับเช้ือจากการปฏิบัติงานซึ่งถือว่าเป็น
การติดเช้ือในโรงพยาบาล ส่วนบุคลากรท่ีท�ำงานด้านเอกสารและงานอ่ืน เช่น งานท�ำความสะอาด งานฝึกอบรม
งานช่าง มีความเส่ียงน้อยกว่า แต่ก็ยังเสี่ยงมากกว่าคนท่ัวไปท่ีไม่ได้ท�ำงานในโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาล
เปน็ สถานทท่ี ่ีมีเชือ้ โรคมากทั้งจากตวั ผปู้ ว่ ย อาคารสถานที่ เครือ่ งมือ เครือ่ งใช้ท่ปี นเป้อื นเช้อื โรค
นอกจากนบ้ี คุ ลากรทางการแพทยเ์ จบ็ ปว่ ยดว้ ยโรคตดิ ตอ่ มโี อกาสแพรเ่ ชอื้ ไปสผู่ ปู้ ว่ ย บคุ ลากรผรู้ ว่ มงาน สมาชกิ
ในครอบครัวและชมุ ชนไดด้ ว้ ย สถานพยาบาลจึงควรมนี โยบายและแนวทางปฏบิ ัติทเี่ หมาะสมเพอื่ ลดความเสยี่ งของ
บคุ ลากรในการรบั หรือแพรเ่ ชือ้ หลักการทส่ี �ำคัญ คือ การปฏิบตั ิตอ้ งไม่เปน็ การลงโทษบคุ ลากรทเี่ จบ็ ป่วย บุคลากร
ที่เจ็บป่วยยงั สามารถเจรญิ กา้ วหน้าในหน้าทีก่ ารงานไดต้ ามปกติ และการเจบ็ ปว่ ยของบคุ ลากรตอ้ งเกบ็ เป็นความลบั
ทงั้ นเี้ พอ่ื ใหบ้ คุ ลากรไมป่ กปดิ การเจบ็ ปว่ ยของตนเองดว้ ยโรคตดิ ตอ่ ทอี่ าจสง่ ผลกระทบตอ่ บคุ คลอนื่ การตง้ั ใจไมร่ ายงาน
ตอ่ ผ้บู ังคบั บัญชาอาจเขา้ ข่ายมีความบกพรอ่ งวา่ ละเวน้ การปฏิบัติ
โรงพยาบาลและสถานพยาบาลทกุ แหง่ ควรมนี โยบายตรวจสขุ ภาพกอ่ นเขา้ ปฏบิ ตั งิ านใหแ้ กบ่ คุ ลากรบรรจใุ หม่
คัดกรองให้ได้บุคลากรที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ และมีภูมิคุ้มกันปกติต่อโรคติดเช้ือต่างๆ เพื่อให้
สามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มความสามารถและไม่มีความเส่ียงต่อการรับเชื้อจากผู้ป่วยหรือแพร่เชื้อแก่ผู้ป่วยและ
ผู้ร่วมงานอ่ืนๆ นอกจากนี้สถานพยาบาลยังต้องมีมาตรการในการจัดการให้ภูมิคุ้มกัน ให้การรักษา จัดสวัสดิการ
มีแนวทางปฏบิ ตั ิ และอบรมเพือ่ ป้องกนั การแพรก่ ระจายเช้ือหากบคุ ลากรปว่ ยดว้ ยโรคตดิ ต่อ
การดูแลสขุ ภาพของบุคลากร เปน็ หนา้ ท่ขี องหลายหน่วยงานปฏิบตั ิงานรว่ มกนั เพื่อให้การดำ� เนินการป้องกัน
และควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สถานพยาบาลควรมีหน่วยงานและผู้รับผิดชอบ
ท่เี กี่ยวข้องกับสขุ ภาพของบคุ ลากร ก�ำหนดบทบาทหน้าทข่ี องแตล่ ะหน่วยงานและผูร้ บั ผดิ ชอบใหช้ ัดเจน ไดแ้ ก่
1. ผ้อู ำ� นวยการโรงพยาบาลหรอื หวั หนา้ สถานพยาบาล
2. หน่วยทรพั ยากรบุคคล
แนวปฏิบตั เิ พ่ือป้องกนั 11
และควบคมุ การติดเช้อื ในโรงพยาบาล
3. หนว่ ยบริการสขุ ภาพและอาชีวอนามยั
4. หนว่ ยสร้างเสริมสขุ ภาพ
5. หนว่ ยควบคุมการติดเช้ือ
ทำ� งานประสานกนั ดงั แผนภูมิ
แผนภูมิแสดงหนว ยงานทร่ี ับผดิ ชอบดา นสุขภาพของบุคลากรในสถานพยาบาล
ผูอำนวยการโรงพยาบาล หรอ� หัวหนาสถานพยาบาล
หนา ที่
แตงตัง้ หนวยงาน ออกนโยบาย วางแผนแนวปฏิบตั ิ ตดิ ตาม และประเมินการดำเนินงานใหบ รรลเุ ปาหมาย
ใหก ารสนบั สนนุ ดา นงบประมาณ
ประสานงานกบั องคกรภายนอก
หนว ยบรก� ารสุขภาพและอาชวี อนามัย หนว ยสรา งเสรม� ภูมิคมุ กัน
หนา ที่ หนา ที่
ประเมนิ และตรวจสุขภาพกอนและหลงั ปฏิบัติงาน ใหความรูดา นการสรา งเสริมภูมิคุม กันโรค
บริการตรวจสุขภาพบคุ ลากร แกบ คุ ลากร
ใหความรูก ารดแู ลสุขภาพแกบคุ ลากร ดำเนินการใหวัคซนี ที่จำเปน ตอบคุ ลากร
ใหคำปรึกษาแกบคุ ลากรดา นความเสย่ี งและ
การปอ งกันและรักษาโรคท่เี กดิ จากการทำงาน
หนวยทรัพยากรบคุ คล หนวยควบคมุ การติดเชอ้ื ของโรงพยาบาล
หนา ที่ หนาท่ี
จัดทำทะเบียนสุขภาพบคุ ลากรกอ นเขา ทำงาน เฝาระวังการติดเชือ้ ในบคุ ลากร
จัดสรรบคุ ลากรเพอื่ ใหสขุ ภาพเหมาะสมกบั งาน ประสานงานและบรหิ ารจดั การรว มกับ
บริหารจัดการบุคคลกรณมี ีการเจ็บปวย อาชวี อนามยั กบั หนว ยงานตางๆ
ในกรณีเกดิ โรคติดตอ ในโรงพยาบาล
ใหแนวทางการจัดการหลังสัมผสั โรค
ใหค วามรูการดูแลสุขภาพแกบ คุ ลากร
ใหค ำปรกึ ษาแกบคุ ลากรดานความเสี่ยงและ
การปองกันและรักษาโรคทเ่ี กดิ จากการติดเชื้อ
12 แนวปฏบิ ตั ิเพ่ือป้องกัน
และควบคมุ การติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
การประเมินสุขภาพบุคลากรก่อนและหลงั เขา้ ปฏบิ ัติงานในโรงพยาบาล
ก. การประเมนิ สขุ ภาพบคุ ลากรก่อนเข้าปฏิบัตงิ านในโรงพยาบาล (Pre-placement evaluation)
การตรวจสุขภาพบุคลากรก่อนเข้าท�ำงาน ประกอบด้วยการซักประวัติเก่ียวกับความเส่ียงต่อการเกิดโรคหรือ
อันตรายจากการทำ� งาน โรคประจำ� ตัว อาการเจบ็ ปว่ ยท่มี ีอยู่ ประวตั กิ ารได้รับวัคซีนป้องกนั โรค การตรวจร่างกาย
เพอ่ื หาความผดิ ปกติ และการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารทจี่ ำ� เปน็ สำ� หรบั งานแตล่ ะหนา้ ที่ เพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ประกอบการ
พจิ ารณาวา่ บคุ ลากรมสี ขุ ภาพแขง็ แรง มภี มู คิ มุ้ กนั โรคทจ่ี ำ� เปน็ ตอ่ การปฏบิ ตั งิ านในแตล่ ะหนา้ ท่ี และพรอ้ มทจ่ี ะทำ� งาน
ในตำ� แหนง่ ทไ่ี ดร้ บั มอบหมายหรอื ไม่
แผนภูมิขนั้ ตอนการประเมินสุขภาพบคุ ลากรกอนเขา ปฏิบัตงิ าน
ซักประวัติ
ตรวจรางกาย มกี ารเจ็บปวย/ ปฏิเสธการรับ
ความเสี่ยง ใหคำแนะนำ
ตรวจเพ�ม่ เติมทางหองปฏิบัติการ
มีสุขภาพเหมาะสม พจ� ารณารบั ไว
แปลผลตรวจ กับการปฏิบตั ิงาน ปฏบิ ัตงิ าน
ทางหอ งปฏบิ ตั กิ าร
และประเมินผลสุขภาพโดยรวม
การจ�ำแนกบคุ ลากรตามความเสยี่ งต่อการติดเช้อื จากการปฏิบัติงาน
บุคลากรมีความเสี่ยงต่อการติดเช้ือและเส่ียงต่อการแพร่เชื้อจากการปฏิบัติงานโดยการมีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย
เลือดหรือสารคดั หล่ังของผ้ปู ว่ ย ได้เป็น 4 กลุ่ม ดังต่อไปน้ี
1. บคุ ลากรทปี่ ฏบิ ตั งิ านสมั ผสั กบั ผปู้ ว่ ยโดยตรง มโี อกาสไดร้ บั หรอื แพรเ่ ชอื้ โรคทต่ี ดิ ตอ่ ผา่ นทางอากาศ ละอองฝอย
และการสัมผัสเลอื ดหรอื สารคดั หลั่ง มคี วามเส่ียงต่อการรับเชอ้ื
2. บุคลากรที่ไม่ได้ปฏิบัติงานสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง แต่เส่ียงต่อการสัมผัสเลือดหรือสารคัดหล่ังของผู้ป่วย
มคี วามเสีย่ งตอ่ การรับเชอ้ื
แนวปฏิบัตเิ พ่อื ปอ้ งกัน 13
และควบคมุ การตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
3. บุคลากรท่ีปฏิบัติงานด้านประกอบอาหาร สัมผัสอาหาร มีความเส่ียงต่อการแพร่เช้ือสู่ผู้ท่ีรับประทาน
อาหาร
4. บคุ ลากรที่ปฏิบตั งิ านอ่นื ๆ เชน่ ส�ำนักงาน ฯลฯ มีความเสยี่ งนอ้ ย
บุคลากรทางการแพทยแ์ บ่งตามความเสย่ี งตอ่ การรบั เชอ้ื และแพรเ่ ชอื้ จากการปฏบิ ัติงาน
กลุม่ 1 บคุ ลากรทปี่ ฏิบัติงานสัมผัสกบั ผู้ปว่ ยโดยตรง
แพทย์ นักศกึ ษาแพทย์ นกั ศกึ ษากายภาพบำ� บัด
พยาบาล นกั ศึกษาพยาบาล พนกั งานประจำ� หอผ้ปู ่วย
ผชู้ ่วยพยาบาล ทนั ตแพทย์ พนกั งานแผนกรงั สี
ผชู้ ว่ ยทันตแพทย์ พนกั งานเขน็ เปล
เภสชั กรประจำ� หอผู้ป่วย เจ้าหนา้ ท่เี วชระเบยี นหอผู้ปว่ ยนอก
นักกายภาพบ�ำบัด พนักงานขบั รถพยาบาล
กลมุ่ 2 บุคลากรท่ีไม่ได้ปฏิบตั ิงานสัมผสั ผู้ปว่ ยโดยตรง
แตท่ ำ� งานที่เสย่ี งตอ่ การสมั ผสั เลือดหรือสารคดั หล่ังของผ้ปู ว่ ย
พนักงานหอ้ งปฏิบตั กิ าร พนกั งานจัดการขยะ
พนักงานพยาธวิ ิทยา พนกั งานท�ำความสะอาด
พนกั งานธนาคารเลอื ด พนักงานงานบรกิ ารผ้า
กลมุ่ 3 บคุ ลากรทีท่ �ำงานดา้ นประกอบอาหาร สมั ผสั อาหาร
พนกั งานฝ่ายโภชนาการ
ผแู้ จกจา่ ยอาหาร
กลุม่ 4 บคุ ลากรท่ีไม่ได้ปฏบิ ัตงิ านสมั ผสั ผปู้ ว่ ยโดยตรง
และทำ� งานท่ีไมเ่ สย่ี งต่อการสัมผสั เลอื ดหรอื สารคัดหลั่งของผปู้ ่วยและไม่แพร่เชอื้ สู่ผปู้ ่วย
พนักงานงานบรหิ าร พนักงานรักษาความปลอดภัย
พนกั งานซ่อมบ�ำรงุ เภสัชกรที่ไม่สัมผสั ผู้ป่วย
พนกั งานขบั รถท่วั ไป เจ้าหน้าทเี่ วชระเบยี นพนกั งานของสำ� นกั งาน
14 แนวปฏิบตั เิ พ่ือป้องกนั
และควบคุมการติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
การตรวจสขุ ภาพบคุ ลากรกอนปฏิบตั ิงาน
ซกั ประวตั ิ ตรวจรา งกาย ตามหัวขอ A และ B
ความเสีย่ งในการปฏิบัติงานท่มี โี อกาสสมั ผสั ผูปวย สัมผัสเลอื ดหร�อสารคัดหลงั่ ของผปู ว ย
กลมุ 1 กลุม 2 กลมุ 3 กลุม 4
ตรวจทางหองปฏิบัติการ ตรวจทางหอ งปฏบิ ัติการ ตรวจทางหอ งปฏบิ ัตกิ าร ตรวจทางหอ งปฏิบัตกิ าร
ตามหัวขอ C1-C3 ตามหัวขอ C1-C2 ตามหัวขอ C1, C4-C5 ตามหวั ขอ C1
A. การซักประวัติ
• การซกั ประวตั เิ พอ่ื ค้นหาภูมิคมุ้ กนั โรค การติดโรค และการไดร้ ับวัคซนี
B. การตรวจรา่ งกาย
• ตรวจรา่ งกายเพื่อประเมินสขุ ภาพและความต้านทานตอ่ โรคตดิ เชือ้
C. การตรวจทางห้องปฏิบตั กิ าร
C1. ตรวจภาพถา่ ยรังสีทรวงอก
C2. ตรวจหาการตดิ เชอ้ื ไวรสั ตบั อกั เสบบแี ละหาภมู คิ มุ้ กนั ตอ่ ไวรสั ตบั อกั เสบบี (HBsAg และ anti-HBsAb)
C3. ตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อสุกใส คางทูม หัด หัดเยอรมัน (Varicella IgG, Mumps IgG,
Measles IgG, Rubella IgG)
C4. ตรวจหาแอนตบิ อดีต้ ่อการตดิ เชื้อไวรัสตับอกั เสบเอ (anti-HAV IgG)
C5. ตรวจเพาะเชือ้ และพยาธใิ นอจุ จาระ
ข. การประเมนิ และจดั การสขุ ภาพหลงั ปฏบิ ตั งิ าน (Post-placement evaluation and management)
ส่ิงท่ตี ้องปฏิบัติแก่บคุ ลากรทุกประเภท
1. ทำ� ประวตั สิ ุขภาพและการเจบ็ ป่วยของบุคลากร
2. ตรวจภาพถา่ ยรังสที รวงอกทกุ ปี
3. บคุ ลากรท่ปี ่วยด้วยอาการทอ่ี าจเป็นโรคตดิ ต่อใหร้ ายงานต่อหน่วยงานทร่ี บั ผิดชอบ ประกอบดว้ ย
3.1 ไข้ออกผ่นื
3.2 ไอเฉียบพลนั และไอเร้ือรัง
3.3 อุจจาระร่วง
3.4 รอยโรคตามผวิ หนงั ประกอบด้วย ผืน่ ตมุ่ นำ�้ หนอง
4. ให้การรักษาและใหค้ ำ� แนะน�ำ เมื่อบุคลากรปว่ ย เกี่ยวกบั การหยดุ งาน การเปล่ยี นงาน การใหค้ วามรู้
แกบ่ คุ ลากรประกอบดว้ ย
4.1 การดูแลสขุ ภาพทัว่ ไป ไดแ้ ก่ อาหาร ท่ีพักอาศัย การออกกำ� ลงั กาย การพักผ่อน
4.2 การดแู ลอนามัยส่วนบุคคล ได้แก่ การรกั ษาความสะอาดรา่ งกาย การทำ� ความสะอาดมอื
แนวปฏบิ ตั เิ พื่อป้องกัน 15
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
4.3 การหลกี เลย่ี งสมั ผสั โรค เชน่ การเข้าไปในทีช่ มุ ชนแออดั
4.4 ความรูท้ เี่ หมาะสมส�ำหรับบคุ ลากรทสี่ ัมผสั ผูป้ ว่ ยโดยตรง ประกอบดว้ ย
1) Standard precautions
2) Transmission-based precautions
• Contact precautions
• Airborne precautions
• Droplet precautions
การสร้างเสริมภมู คิ ุม้ กนั โรค
การปอ้ งกนั การเจบ็ ปว่ ยของบคุ ลากรทางการแพทยด์ ว้ ยการใหภ้ มู คิ มุ้ กนั อยา่ งเหมาะสมจะชว่ ยลดการเจบ็ ปว่ ย
ดว้ ยโรคตดิ ต่อและลดการแพรก่ ระจายส่ผู ู้ป่วยทม่ี ารับบริการในสถานพยาบาล
วคั ซีนส�ำหรบั บคุ ลากรในโรงพยาบาล
ตามความเส่ยี งอนั เนือ่ งมาจากลกั ษณะการทำ� งานของบคุ ลากรแต่ละกลมุ่
กลุม่ บุคลากร Influenza HBV วคั ซีน
MMR Varicella dT/Tdap HAV Meningococcal
1 บคุ ลากรทส่ี มั ผสั /ดูแล
ผปู้ ว่ ยโดยตรง * **
2 บุคลากรท่กี ารปฏิบัติงาน
มีโอกาสสัมผสั เลอื ดและ
สารคัดหลัง่
3 บคุ ลากรผู้ประกอบ/
สมั ผสั อาหาร
4 บุคลากรหนว่ ยงานอนื่ ๆ
ควรไดร้ บั วคั ซนี ดงั กลา่ ว (ยกเวน้ วา่ มหี ลกั ฐานของการตรวจเลอื ดพบภมู ติ า้ นทาน, หลกั ฐานการไดร้ บั วคั ซนี ครบถว้ น,
หรอื การติดเชอื้ ในอดีตทีม่ ีหลักฐานการตรวจรกั ษาในสถานพยาบาล) และไม่มขี อ้ ห้ามในการรับวคั ซีน
ให้พจิ ารณาตามความเสีย่ งเฉพาะราย
ใหพ้ ิจารณาตามขอ้ บง่ ชข้ี องบุคลากรแต่ละรายตามคำ� แนะนำ� การให้วัคซีนปอ้ งกนั โรคสำ� หรบั ผใู้ หญแ่ ละผู้สงู อายุ
* เฉพาะบุคลากรทเ่ี ก่ยี วข้องกับผปู้ ว่ ยเด็ก ท้ังผู้ป่วยนอกและใน
** เฉพาะบคุ ลากรทสี่ ัมผสั กับผูป้ ว่ ยหรือปฏิบตั ิงานในพนื้ ทเี่ สี่ยง เชน่ ไปประกอบพิธฮี ัจจ์
16 แนวปฏิบตั เิ พอื่ ป้องกัน
และควบคมุ การติดเชื้อในโรงพยาบาล
การประเมินบคุ ลากรก่อนการรบั วคั ซีน
วัคซีน การประเมนิ บคุ ลากรเก่า การประเมนิ บคุ ลากรใหม่
Influenza • ประวตั วิ คั ซนี ไขห้ วดั ใหญส่ ายพนั ธล์ุ า่ สดุ • ประวตั วิ คั ซนี ไขห้ วดั ใหญส่ ายพนั ธล์ุ า่ สดุ
Hepatitis B ในขณะนั้น ถ้าไม่ได้รับหรือรับแล้ว ในขณะน้ัน ถ้าไม่ได้รับหรือรับแล้ว
แต่เกิน 1 ปี ใหฉ้ ีดซ้�ำ แตเ่ กิน 1 ปี ให้ฉดี ซ�ำ้
MMR* • บุคลากรท่ีเกิดหลัง พฤษภาคม 2535 • บุคลากรท่ีเกิดหลัง พฤษภาคม 2535
Varicella** น่าจะได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ถา้ ไดว้ คั ซนี ครบ 3 เขม็ แนน่ อน ไมต่ อ้ งฉดี
ครบ 3 เข็มแล้ว ไม่ต้องฉีด • ถ้าไม่ได้รับวัคซีนหรือประวัติไม่แน่นอน
Tetanus, diphtheria, • ตรวจ AntiHBs และ HBsAg กรณีเกดิ ให้ตรวจ AntiHBS และ HBsAg ถ้าได้
pertussis (Tdap); อบุ ตั เิ หตทุ างการแพทยแ์ ละผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ผลลบให้ฉีด
tetanus, diphtheria (Td) ในหอผปู้ ว่ ยเส่ยี งสูง เชน่ dialysis unit
Hepatitis A ถ้าได้ผลลบใหฉ้ ดี • ถ้าไม่เคยรบั ฉดี 2 เขม็ คดั กรองขอ้ หา้ ม
(เฉพาะบุคลากรผ้ปู ระกอบการ • ถา้ ไม่เคยรับ ฉดี 2 เขม็ คดั กรองขอ้ ห้าม ในการฉีดวัคซนี
หรอื สมั ผสั อาหาร) ในการฉดี วคั ซีน • การตรวจ Varicella IgG ถ้าไม่มี
Meningococcal, conjugate • กรณีผู้สัมผัสโรค ตรวจ Varicella IgG ภูมคิ ุ้มกันให้ฉดี
(MenACWY); meningococcal, ไดผ้ ลลบ หรอื ไมม่ ปี ระวตั กิ ารไดร้ บั วคั ซนี
polysaccharide (MPSV4) สุกใสครบ 2 เขม็ • ประวัตกิ ารไดร้ บั วคั ซีน dT
(เฉพาะบุคลากรทม่ี ีโอกาสสัมผัสเชอ้ื • ไมม่ ปี ระวตั กิ ารเปน็ โรคสกุ ใส หรอื งสู วดั ภายใน 10 ปี ไมต่ ้องฉดี
ในห้องปฏบิ ตั ิการและการวจิ ยั ) ในอดตี วนิ จิ ฉยั โดยบคุ ลากรทางการแพทย์ • ประวตั ิการได้รบั วัคซีน Tdap
ตอ้ งฉดี ทงั้ 2 กรณี ภายใน 10 ปี ไมต่ อ้ งฉีด
• ประวัติการได้รับวคั ซนี dT • การตรวจ Anti-HAV IgG
ภายใน 10 ปี ไมต่ ้องฉีด ถา้ มีภมู คิ มุ้ กนั ไม่ต้องฉดี
• ประวตั กิ ารได้รบั วัคซีน Tdap • ถ้าไม่เคยรบั วัคซนี ให้ 1 เขม็
ภายใน 10 ปี ไมต่ ้องฉีด หากไมม่ ขี ้อหา้ มในการให้วคั ซนี
• การตรวจ Anti-HAV IgG
ถ้ามภี มู ิคุ้มกันไมต่ อ้ งฉดี
• ถ้าไม่เคยรับวคั ซีนให้ 1 - 3 เขม็ ขึน้ อยู่
กับชนิดของวัคซีน หากไม่มีข้อห้าม
ในการใหว้ ัคซนี
หมายเหตุ
* พจิ ารณาตรวจ Mumps IgG, Measles IgG และ Rubella IgG กอ่ นพจิ ารณาฉดี ถา้ ไมม่ ปี ญั หาเรอื่ งคา่ ใชจ้ า่ ย เพราะคา่ ตรวจแพง
** ในกรณีที่มีงบประมาณจ�ำกัดอาจพิจารณาตรวจเฉพาะกรณีหลังสัมผัสโรคและบุคลากรที่ปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยเสี่ยงสูงก่อน
เชน่ หอผู้ปว่ ยโรคเลือดและมะเรง็ ท่ีไดย้ าเคมีบำ� บัด หอผปู้ ว่ ยปลกู ถา่ ยไขกระดกู หรอื อวัยวะ และหอผูป้ ่วยกมุ าร
แนวปฏิบัติเพ่ือป้องกนั 17
และควบคุมการตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล
การคัดกรองขอ้ หา้ มและขอ้ ควรระวงั ในการฉดี วคั ซนี
วคั ซนี ขอ้ ห้ามในการฉดี วคั ซนี ขอ้ ควรระวงั ในการฉีดวัคซนี
Influenza, • แพ้วคั ซนี สว่ นประกอบวัคซนี • เจ็บปว่ ยเฉียบพลันอาการรนุ แรง
inactivated (IIV) รวมถึงแพ้โปรตนี ไข่ไกร่ ุนแรง ปานกลางถงึ รุนแรงมาก
Hepatitis B เชน่ anaphylaxis • มีอาการ Guillain-Barre Syndrome
Measles, mumps, ภายใน 6 สปั ดาห์หลงั ไดว้ คั ซนี คร้ังกอ่ น
rubella (MMR) • แพ้วคั ซีน ส่วนประกอบวัคซนี รนุ แรง • แพโ้ ปรตีนไข่ไก่แบบเป็นลมพิษ
เช่น anaphylaxis อาจฉดี วคั ซนี ไดแ้ ตต่ อ้ งระมดั ระวงั พเิ ศษ
Varicella • แพว้ ัคซนี สว่ นประกอบวคั ซนี รุนแรง • เจ็บปว่ ยเฉียบพลนั อาการรนุ แรง
เชน่ anaphylaxis ปานกลางถงึ รนุ แรงมาก
Tetanus, diphtheria, • ภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง (เชน่ โรคมะเรง็ ไดร้ บั • เจบ็ ป่วยเฉียบพลนั อาการรุนแรง
pertussis (Tdap); tetanus, ยาเคมีบำ� บดั กนิ ยากดภมู ิระยะยาว ปานกลางถึงรุนแรงมาก
diphtheria (Td) ติดเชื้อไวรสั เอชไอวที ี่มีภมู ิคุ้มกนั ตำ่� ) • ได้รับผลิตภณั ฑ์จากเลือดท่มี ภี ูมิคมุ้ กนั
• ตั้งครรภ์ โรคดังกลา่ วภายใน 1 ปี
Hepatitis A (เฉพาะบุคลากร • แพ้วัคซีน สว่ นประกอบวคั ซีน รนุ แรง • มีประวัตเิ กลด็ เลือดตำ่� หรือ immune
ผู้ประกอบการหรอื สัมผสั อาหาร) เช่น anaphylaxis thrombocytopenic purpura
Meningococcal, conjugate • ภมู คิ มุ้ กนั บกพรอ่ ง (เชน่ โรคมะเรง็ ไดร้ บั • ถา้ มคี วามจำ� เปน็ ตอ้ งท�ำ tuberculin
(MenACWY); meningococcal, ยาเคมีบำ� บัด กินยากดภมู ิระยะยาว skin test
polysaccharide (MPSV4) ตดิ เช้อื ไวรสั เอชไอวที ี่มภี มู ิคุ้มกันต�ำ่ ) • ไดร้ บั ผลติ ภณั ฑจ์ ากเลือดทมี่ ีภูมคิ มุ้ กนั
• ต้ังครรภ์ ภายใน 1 ปี
• เจบ็ ป่วยเฉียบพลนั อาการรนุ แรง
• แพ้วคั ซีน สว่ นประกอบวคั ซีน รุนแรง ปานกลางถงึ รุนแรง
เชน่ anaphylaxis • ได้ยา acyclovir, famciclovir หรอื
• สำ� หรบั วคั ซีนทมี่ ีสว่ นผสมของวัคซนี valacyclovir 24 ช่ัวโมง
ไอกรนมีอาการสมองอกั เสบ ก่อนได้รบั วคั ซีน (ไม่ควรใหย้ าเหลา่ นี้
ภายใน 7 วนั หลังฉดี วคั ซีนครัง้ ก่อน ภายใน 14 วันหลงั ไดร้ บั วัคซนี )
• เจบ็ ปว่ ยเฉียบพลันอาการรนุ แรง
• แพ้วคั ซีน ส่วนประกอบวัคซีน รุนแรง ปานกลางถงึ รนุ แรง
เช่น anaphylaxis • มีอาการ Guillain-Barre Syndrome
• แพว้ คั ซนี ส่วนประกอบวัคซนี ภายใน 6 สัปดาห์หลังได้วคั ซีนครั้งก่อน
รนุ แรง เชน่ anaphylaxis • เคยแพว้ ัคซีนคอตบี มาก่อน
• ส�ำหรับวคั ซนี ที่มสี ่วนผสมของวคั ซีน
ไอกรนมอี าการสมองอักเสบ
ภายใน 7 วนั หลงั ฉดี วคั ซนี ครง้ั กอ่ นและ
ได้รบั การรกั ษาจนดขี ้ึนแลว้
• เจบ็ ปว่ ยเฉยี บพลนั อาการรุนแรง
ปานกลางถึงรนุ แรงมาก
• เจ็บปว่ ยเฉยี บพลัน อาการรนุ แรง
ปานกลางถงึ รนุ แรงมาก
18 แนวปฏบิ ัติเพ่ือป้องกัน
และควบคมุ การตดิ เช้อื ในโรงพยาบาล
การจดั การหลังสัมผัสหรือตดิ เชอ้ื โรคติดต่อในบคุ ลากรทางการแพทย์
1. ในกรณที ย่ี ังไมท่ ราบการวนิ ิจฉยั ของโรคให้พจิ ารณาตามกลมุ่ อาการ ดงั ตาราง
กลมุ่ อาการ การป้องกนั การแพร่ ระยะตดิ เช้อื การปฏิบัติงาน
อุจจาระร่วง + กระจายเชือ้ ตลอดระยะเวลา
อาเจยี น ท่มี ีอาการ ให้หยุดงานจนกว่าจะไม่มีอาการ ยกเว้นบุคลากรที่
Contact precautions ปฏิบัติงานด้านการประกอบอาหารต้องมาพบแพทย์
เพื่อรับการตรวจ/เพาะเชื้ออุจจาระจนกว่าเช้ือก่อโรค
ไขอ้ อกผ่นื Contact & Droplet ตลอดระยะเวลาท่มี ี จะหมด
precautions อาการนานสดุ 7 วัน ให้พบแพทย์เพ่ือรับการวินิจฉัยหยุดงาน 4-7 วัน
หลงั ผนื่ ขนึ้ หลังผ่ืนเร่ิมขึ้น หลีกเลี่ยงใกล้ชิดหญิงตั้งครรภ์และ
ผ้ปู ่วยภูมิต้านทานตำ่�
ไข้ ไอจาม และมนี ำ�้ มกู Droplet precautions ตลอดระยะเวลา สวมหนา้ กากอนามยั และพบแพทยเ์ พอ่ื รบั การวนิ จิ ฉยั
ที่มีอาการ หยุดงานตามความเหน็ ของแพทย์
สวมหนา้ กากอนามยั และพบแพทยเ์ พอื่ รบั การวนิ จิ ฉยั
ไอต่อเนือ่ งเกิน 2 Airborne precautions ตลอดระยะเวลา หยุดงานตามความเห็นของแพทย์
สปั ดาห์ และ/หรอื มีไข้ ท่ีมอี าการ
หมายเหตุ Standard precautions ต้องใช้กับผูป้ ่วยทกุ รายและทุกโอกาสปฏบิ ตั ิงาน
2. การจัดการบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผสั หรอื ป่วยด้วยโรคตดิ ต่อกรณที ราบการวินจิ ฉยั ของโรคการตดิ เชอ้ื
ทพ่ี บบ่อย
1. Conjunctivitis 11. Measles
2. Cytomegalovirus 12. Meningococcal disease
3. Diphtheria 13. Mumps
4. Enterovirus/HFMD 14. Parvovirus
5. Hepatitis A 15. Pertussis
6. Hepatitis B 16. Rabies
7. Hepatitis C 17. Rubella
8. Herpes simplex 18. Scabies
9. HIV 19. Tuberculosis
10. Influenza 20. Varicella
รายละเอียดดูไดจ้ ากบรรณานุกรม หมายเลข 17
แนวปฏิบัติเพ่อื ปอ้ งกัน 19
และควบคุมการตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล
บ3ทที่
การเฝา้ ระวัง
การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
การเฝา้ ระวัง คือ กระบวนการทปี่ ระกอบดว้ ย การเก็บ รวบรวม วเิ คราะห์ สงั เคราะหข์ ้อมูลอยา่ งเปน็ ระบบ
ตามหลกั วทิ ยาศาสตร์ การแปลผล และการน�ำผลไปปฏิบัติ
การเฝ้าระวังการติดเช้ือในโรงพยาบาล เป็นการปฏิบัติท่ีมีความส�ำคัญ เพ่ือให้ได้ข้อมูลของขนาดและ
ความสำ� คญั ของปญั หาการตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล เพอื่ นำ� ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการแกไ้ ขปญั หาโรคตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาลนน้ั ๆ
และได้ข้อมูลประสิทธิผลของการป้องกันและควบคุมการติดเช้ือในโรงพยาบาลนั้นๆ และใช้เปรียบเทียบกับอัตรา
การติดเช้ือของโรงพยาบาลอน่ื ๆ ได้
หลักการทั่วไป
1. คณะกรรมการปอ้ งกนั และควบคุมการติดเชอ้ื ตอ้ งก�ำหนดเปา้ หมาย วตั ถปุ ระสงค์ของโรงพยาบาล โดยมี
หลักการส�ำคัญ คือ ข้อมูลท่ีได้จากการเฝ้าระวังการติดเช้ือ ต้องเอื้อต่อการป้องกันและควบคุมการติดเช้ือของ
โรงพยาบาลนนั้ ๆ
2. เกณฑ์การวินิจฉัยหรือค�ำจ�ำกัดความของการติดเชื้อในโรงพยาบาล ต้องสอดคล้องกับเกณฑ์การวินิจฉัย
ซงึ่ เปน็ ทยี่ อมรบั ในระดบั สากล เนอ่ื งจากมคี วามหลากหลายของขอ้ มลู ของโรงพยาบาลแตล่ ะแหง่ ทใี่ ชส้ ำ� หรบั การวนิ จิ ฉยั
การติดเช้ือในโรงพยาบาล การวินิจฉัยจึงต้องปรับให้เหมาะสมกับบริบทของโรงพยาบาลแต่ละแห่ง เช่น การตรวจ
พเิ ศษบางอยา่ งจะมเี ฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญบ่ างแหง่ เทา่ นน้ั มอิ าจนำ� มาใชเ้ ปน็ เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั ในโรงพยาบาล
ที่ไม่มีการตรวจพิเศษนั้นๆ อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยต้องอาศัยข้อมูลทางคลินิก และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ทจี่ ำ� เปน็
3. ผทู้ ำ� หนา้ ทเ่ี ฝา้ ระวงั การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล ตอ้ งมคี วามรเู้ รอ่ื งการตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาลและสถติ เิ บอ้ื งตน้
มเี วลาเพยี งพอสำ� หรับการปฏิบัตงิ าน และมใี จในการป้องกนั และควบคุมการติดเชือ้ ตรงข้ามไมค่ วรท�ำการเฝา้ ระวงั
โดยคนท่ไี ม่มีความรู้ ไม่มเี วลา และไม่มใี จ ในการปอ้ งกันและควบคุมการตดิ เชื้อ เพราะจะน�ำไปสกู่ ารไดม้ าซึง่ ข้อมูล
ไมค่ รบถ้วน ไม่ถูกต้อง
4. การเฝ้าระวังควรท�ำแบบ prospective active surveillance คือ ท�ำการเฝ้าระวังขณะที่ผู้ป่วยยังอยู่
ในโรงพยาบาล เพอ่ื จะไดข้ อ้ มลู ทจ่ี ะนำ� ไปใชใ้ นการปอ้ งกนั ควบคมุ และแกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งทนั สถานการณ์ ถา้ มขี อ้ ซกั ถาม
20 แนวปฏิบัติเพื่อป้องกัน
และควบคมุ การตดิ เช้อื ในโรงพยาบาล
หรอื ต้องการขอ้ มูลอะไรเพ่มิ ก็สามารถกระทำ� ได้ ไมค่ วรเฝ้าระวงั โดยใชข้ อ้ มูลในเวชระเบยี นของผปู้ ่วยที่จ�ำหน่ายแลว้
(retrospective passive surveillance)
5. วิธีการเฝ้าระวังท่ีได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์และเป็นท่ียอมรับเพ่ือการป้องกันและควบคุม
การติดเช้ือในโรงพยาบาล ประกอบด้วย
5.1 การเฝา้ ระวงั อตั ราชกุ (prevalence survey) คอื การเฝา้ ระวงั ณ เวลาใดเวลาหนงึ่ (point prevalence
survey) หรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง (period prevalence survey) เพ่ือให้ทราบขนาดและชนิดของปัญหาของ
โรงพยาบาลน้ันๆ อันจะนำ� ไปสู่การแก้ไขปญั หาต่อไป โดยควรทำ� อย่างนอ้ ยปีละ 1 คร้งั
5.2 การเฝ้าระวังแบบจ�ำเพาะเจาะจง (targeted surveillance) เปน็ การเฝา้ ระวังอยา่ งต่อเน่อื งส�ำหรบั
การตดิ เชื้อซึ่งเป็นปัญหาทส่ี �ำคัญของหน่วยงาน เช่น ตำ� แหนง่ การตดิ เชอื้ เช้ือก่อโรค หรือปจั จัยที่เกยี่ วกับการติดเชอ้ื
ท่ีได้จากข้อมูลการเฝ้าระวังอัตราชุก เพ่ือติดตามและประเมินประสิทธิผลของการด�ำเนินงานป้องกันและควบคุม
การตดิ เชือ้
ไมท่ ำ� passive และ hospital-wide surveillance เพราะสิ้นเปลอื งทรพั ยากรอยา่ งมากและขอ้ มูลท่ีได้
ไม่มีความแม่นย�ำ ไม่สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ได้
6. ผู้ท�ำหนา้ ทีเ่ ฝ้าระวังการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล จะได้ข้อมูลการเฝ้าระวังการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล จาก
6.1 การตรวจเยี่ยมอาการ อาการแสดงของผู้ป่วย ร่วมกับความคิดเห็นของผู้ให้การรักษาพยาบาล
ได้แก่ แพทย์ และพยาบาล
6.2 เวชระเบียน
6.3 รายงานผลการตรวจทางห้องปฏบิ ัตกิ าร
7. รวบรวมขอ้ มลู ท่ไี ด้ น�ำมาวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และแปลผล เพอ่ื ประเมินว่ามีการเปลย่ี นแปลงจากปกติ
หรือไม่ และรายงานไปยังคณะกรรมการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล เพ่ือรับทราบและแก้ไขปัญหาต่อไป
ในกรณีท่ีพบปัญหาส�ำคัญและเร่งด่วน ต้องรายงานทันที เช่น พบการระบาด การปนเปื้อนของยา การปนเปื้อน
ในเครอื่ งมือเครือ่ งใช้ เป็นตน้
ขั้นตอนการเฝาระวงั การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
1. กำหนดเปา หมาย วตั ถุประสงค
2. กำหนดแบบฟอรม
3. เฝาระวัง Prevalence survey อยา งนอยปล ะ 1 ครง้ั
Targeted surveillance เพอ่� ติดตามและแกไขปญหา
4. รวบรวม วเ� คราะห สงั เคราะห แปลผล
5. รายงานและเสนอแนะ
6. นำขอมลู ไปแกปญหาการติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
สิ�งสำคัญ ขอ มลู ถกู ตอง ขอมลู สามารถนำไปใชแ กปญหาได
แนวปฏบิ ัตเิ พอื่ ป้องกัน 21
และควบคมุ การติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
ลำ� ดับการปฏิบัติเพื่อเฝ้าระวงั การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
1. ส�ำรวจวา่ มีการติดเชื้อหรือไม่ โดยใชข้ อ้ มลู ตอ่ ไปนี้
• ไข้ (อณุ หภมู ิกายมากกวา่ 38 องศาเซลเซยี ส)
• อาการอนื่ ๆ เชน่ ไอ อจุ จาระร่วง มหี นองไหล เปน็ ต้น
• การตดิ เชอ้ื ในเดก็ อายนุ อ้ ยกวา่ 1 ปี ประกอบดว้ ย ไข้ (อณุ หภมู กิ ายวดั ทางทวารหนกั 38 องศาเซลเซยี ส
หรือสูงกว่า) หรือตัวเย็น (อุณหภูมิกายวัดทางทวารหนักต�่ำกว่า 37 องศาเซลเซียส) หยุดหายใจ
หวั ใจเต้นช้า ซึม อาเจยี น เปน็ ต้น
• ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น เม็ดเลือดขาวสูงหรือต�่ำกว่าปกติ การย้อมเชื้อ การเพาะเช้ือ
ภาพถา่ ยรงั สี อลุ ตราซาวด์ เอม็ อาร์ไอ การตรวจทางวทิ ยาอิมมนู การตรวจทางโมเลกลุ เป็นตน้
2. ถ้ามกี ารติดเช้อื เปน็ การติดเชอื้ ทอี่ วัยวะใดและเช้อื กอ่ โรคเป็นเชอื้ อะไร
3. เม่ือทราบเชื้อก่อโรคจะทราบระยะฟักตัวของการติดเช้ือนั้นๆ ถ้าผู้ป่วยเร่ิมมีอาการภายในระยะฟักตัว
ของการติดเช้ือ (ระยะเวลาตงั้ แตต่ ิดเชอ้ื จนถึงมีอาการ) กอ่ นเขา้ โรงพยาบาลให้ถอื ว่าเปน็ การติดเชอ้ื นอกโรงพยาบาล
(community-acquired infection หรือ Present on admission-POA) ถ้าพ้นระยะนี้แล้วเป็นการติดเชื้อ
ในโรงพยาบาล (hospital-acquired infection) ในกรณที ร่ี บั ยา้ ยผปู้ ว่ ยจากโรงพยาบาลอน่ื ใหใ้ ชเ้ กณฑใ์ นการวนิ จิ ฉยั
เชน่ เดียวกบั การตดิ เชอ้ื จากโรงพยาบาลอื่นหรือตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาลของตนเอง
ค�ำแนะน�ำทั่วไปส�ำหรบั การวนิ ิจฉัยการติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
1. อาศัยเกณฑ์หรอื ค�ำจำ� กดั ความของการตดิ เช้ือแต่ละอวยั วะของรา่ งกายซึ่งเปน็ สากล
2. ในกรณีท่ีมีข้อมูลจ�ำกัดหรือมีความขัดแย้งกันว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ แพทย์ผู้รักษาจะเป็นผู้ให้ความเห็น
เพอื่ เปน็ การชข้ี าดวา่ มกี ารตดิ เชอื้ หรอื ไม่ เนอื่ งจากบางกรณไี มม่ ขี อ้ มลู อนื่ พสิ จู นไ์ ด้ นอกจากแพทยผ์ ใู้ หก้ ารรกั ษา เชน่
ผ่าตัดพบหนอง หรือฝใี นชอ่ งทอ้ ง เปน็ ตน้
3. การแปลผลเชอ้ื ทต่ี รวจพบวา่ เปน็ เชอ้ื กอ่ โรคจรงิ หรอื ไม่ อาศยั เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั เชอ้ื กอ่ โรค ในกรณที ไี่ มอ่ ยู่
ในเกณฑต์ อ้ งอาศยั ความรเู้ รอื่ งเชอื้ ประจำ� ถน่ิ การปนเปอ้ื นเชอื้ เชอื้ กอ่ โรคในอวยั วะตา่ งๆ กรณที สี่ งสยั วา่ เชอ้ื ทพ่ี บนนั้
เป็นเชอื้ กอ่ โรคหรอื เปน็ เชือ้ ทปี่ นเป้ือน ให้ปรกึ ษาแพทยห์ รือห้องปฏิบตั กิ ารจลุ ชวี วทิ ยา
ค�ำจ�ำกัดความของการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล ประกอบด้วย
1. การตดิ เชอ้ื ทผ่ี ปู้ ว่ ยไดร้ ับเช้ือขณะรับการตรวจ/รักษาในสถานพยาบาล
2. การตดิ เชือ้ ของบคุ ลากรทางการแพทย์ อันเนื่องมาจากการปฏบิ ัตงิ าน
จากการส�ำรวจความชุกของการติดเช้ือในโรงพยาบาลในประเทศไทย พบต�ำแหน่งของการติดเชื้อจากมาก
ไปหานอ้ ย ตามล�ำดับ ดงั น้ี
1. ปอด
2. ทางเดินปัสสาวะ
22 แนวปฏบิ ัตเิ พื่อป้องกนั
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
3. ตำ� แหนง่ ผา่ ตัด
4. ผวิ หนงั และเนือ้ เย่อื ใตผ้ ิวหนงั
5. กระแสโลหิต
6. ทางเดนิ อาหาร
7. อ่นื ๆ เชน่ หวั ใจและหลอดเลือด ประสาทส่วนกลาง กระดกู และขอ้ เป็นต้น
เกณฑ์การวนิ ิจฉัยการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
การตดิ เชอ้ื ท่ีปอด (pneumonia)
เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั การตดิ เชอ้ื ทร่ี ะบบทางเดนิ หายใจสว่ นบน (URI; pharyngitis, laryngitis, epiglottitis)
ผูป้ ่วยตอ้ งมีลกั ษณะเขา้ ไดก้ บั เกณฑ์การวินิจฉยั อย่างนอ้ ย 1 ขอ้ ตอ่ ไปน้ี
1. มอี าการหรอื อาการแสดงต่อไปนอ้ี ย่างนอ้ ย 2 อยา่ ง คอื มีไข้ (อุณหภูมิ >38.0 องศาเซลเซยี ส) คอแดง*
เจ็บคอ* ไอ* เสยี งแหบ* หรอื มเี สมหะคลา้ ยหนองในลำ� คอ*
ร่วมกับขอ้ ใดขอ้ หนง่ึ อย่างน้อย 1 ข้อ ต่อไปนี้
1.1 ตรวจพบเชื้อด้วยการเพาะเช้ือหรอื วธิ ีการอืน่ จากทางเดินหายใจสว่ นบนคอื larynx, pharynx และ
epiglottis (ไม่นบั รวมเสมหะเป็นสงิ่ สง่ ตรวจในกรณนี ้)ี
1.2 ตรวจพบ IgM antibody ต่อเชื้อก่อโรคสูงถึงระดับท่ีใช้วินิจฉัย 1 คร้ัง หรือ IgG antibody ต่อ
เชือ้ ก่อโรค เพ่ิมข้นึ 4 เท่าข้นึ ไปในการตรวจครง้ั ท่สี อง
1.3 แพทย์ใหก้ ารวินจิ ฉัย
2. ตรวจพบฝหี นอง (abscess) จากการตรวจทางกายวภิ าคหรือทางพยาธิวิทยา
3. ผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี มีไข้ (อุณหภูมิ >38.0 องศาเซลเซียส) อุณหภูมิกายต่�ำผิดปกติ
(อุณหภูมิ <36.0 องศาเซลเซียส) หยุดหายใจช่ัวขณะ* ชีพจรช้าผิดปกติ* มีน้�ำมูก* หรือมีเสมหะคล้ายหนอง
ในล�ำคอ* รว่ มกับขอ้ ใดข้อหนึ่งจากขอ้ 1.1-1.3 อย่างน้อย 1 ข้อ
*โดยไม่มสี าเหตุอืน่
เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉัยปอดอักเสบจากการติดเชอ้ื (pneumonia)
เกณฑ์การวินิจฉัย pneumonia ประกอบด้วยเกณฑ์ภาพรังสี เกณฑ์อาการและอาการแสดงทางคลินิกและ
การตรวจด้วยเคร่ืองวัดและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เกณฑ์การวินิจฉัย pneumonia ท่ีเกี่ยวข้องกับการใส่
เครื่องชว่ ยหายใจ (VAP)
• วันแรกทใี่ ส่เครื่องช่วยหายใจนบั เป็นวนั ปฏิทนิ ท่ี 1
• ผปู้ ่วยได้รับการใสเ่ ครื่องช่วยหายใจมากกวา่ 1 วนั ปฏทิ ินข้นึ ไป (ตอ้ งนับตงั้ แต่วันปฏทิ ินท่ี 3 เปน็ ตน้ ไป)
และวินจิ ฉยั VAP ขณะทย่ี ังใสเ่ ครอ่ื งช่วยหายใจอยู่ หรอื วนิ ิจฉัย VAP หลงั จากถอดเคร่อื งช่วยหายใจออก
ไมเ่ กนิ 2 วันปฏิทนิ (ภายในวันทถ่ี อดเครอ่ื งช่วยหายใจหรอื วนั รุ่งขนึ้ เท่านน้ั )
แนวปฏบิ ตั เิ พื่อป้องกัน 23
และควบคุมการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
Ventilator: อุปกรณ์ท่ชี ่วยหรือควบคมุ การหายใจ รวมท้งั ในระยะ weaning ผ่านทาง tracheostomy หรอื
endotracheal tube
หมายเหต:ุ Lung expansion devices ได้แก่ intermittent positive-pressure breathing (IPPB); nasal
positive end-expiratory pressure (PEEP); และ continuous nasal positive airway pressure
(CPAP) ไม่นับเป็น ventilators ยกเว้นใช้อุปกรณ์ผ่านทาง tracheostomy หรือ endotracheal
intubation (เช่น ET-CPAP, ET-BIPAP)
ข้อพจิ ารณาท่วั ไปเก่ียวกับเกณฑ์การวินจิ ฉัยปอดอกั เสบจากการติดเชอ้ื
1. คำ� วนิ ิจฉยั ของแพทยไ์ ม่ถือเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉยั
2. เชื้อกล่มุ Normal respiratory flora ไม่ถือเปน็ เช้อื ก่อโรคส�ำหรับภาวะการติดเชื้อน้ี
3. เชื้อตอ่ ไปน้ีไมถ่ ือเป็นเช้อื ก่อโรค ยกเว้นเพาะเชือ้ ไดจ้ ากเนือ้ ปอดหรือนำ�้ ในชอ่ งเยอ่ื ห้มุ ปอด
3.1 Candida species* หรือ yeast ท่ีไม่ไดร้ ะบุไว้เฉพาะ
3.2 Coagulase-negative Staphylococcus species
3.3 Enterococcus species
เกณฑก์ ารวินจิ ฉยั การติดเชือ้ ทรี่ ะบบทางเดนิ ปัสสาวะ
เกณฑ์การวินิจฉัยการติดเช้ือที่ระบบทางเดินปัสสาวะแบบมีอาการ (Symptomatic UTI, SUTI)
กรณีคาสายสวนปัสสาวะ Catheter-associated UTI, CAUTI ต้องมีลักษณะ และอาการหรืออาการแสดง
ครบถว้ นตามเกณฑ์ 3 ข้อ ดังน ี้
1. ผู้ป่วยมีการคาสายสวนปัสสาวะมามากกว่า 2 วันปฏิทิน และมีอาการหรืออาการแสดงในขณะ
คาสายสวนปสั สาวะ หรือถอดสายสวนปสั สาวะออกไปไม่เกนิ 1 วัน
2. มอี าการ อย่างนอ้ ย 1 ขอ้ ต่อไปนี้
2.1 มไี ข้ (> 38.0 องศาเซลเซียส)
2.2 กดเจ็บบรเิ วณหัวหน่าวโดยไม่มสี าเหตอุ ่นื
2.3 ปวดหลังหรือกดเจบ็ บรเิ วณ Costovertebral angle โดยไมม่ ีสาเหตุอน่ื
2.4 กลั้นปสั สาวะไมไ่ ด้
2.5 ปัสสาวะบ่อย
2.6 ปสั สาวะขัด
ผู้ป่วยท่ีคาสายสวนปัสสาวะอยู่อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะบ่อย และปัสสาวะขัด โดยไม่มี
การตดิ เชื้อ จึงไม่ใชอ้ าการสามอยา่ งนีใ้ นการวนิ ิจฉัยภาวะน้ใี นผปู้ ่วยทีย่ ังมสี ายสวนปัสสาวะคาอยู่
3. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบเช้ือไม่เกิน 2 ชนิด โดยเช้ือแบคทีเรียอย่างน้อย 1 ชนิดมีจ�ำนวน
≥105 CFU/ml
24 แนวปฏบิ ัติเพอื่ ป้องกนั
และควบคมุ การติดเช้ือในโรงพยาบาล
เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั การตดิ เชอื้ ระบบทางเดนิ ปสั สาวะทไี่ มม่ อี าการแตต่ รวจพบเชอื้ ในเลอื ด (Asymptomatic
Bacteremic Urinary Tract Infection, ABUTI) ผู้ป่วยมีลักษณะ และอาการหรืออาการแสดงครบถ้วน
ตามเกณฑ์ 3 ข้อ
1. ผปู้ ว่ ยคาหรอื ไมค่ าสายสวนปสั สาวะกต็ าม ทไี่ มม่ อี าการเขา้ เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั SUTI (ผปู้ ว่ ยอายเุ กนิ 65 ปี
ทไ่ี มม่ ีการคาสายสวนปสั สาวะ อาจจะมไี ขไ้ ด้ และยงั ถือวา่ อยู่ในเกณฑ์ ABUTI)
2. ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบเช้ือไม่เกิน 2 ชนิด โดยเช้ือแบคทีเรียอยา่ งน้อย 1 ชนิดมีจ�ำนวน
≥105 CFU/ml
3. ตรวจพบเชื้อเดียวกันท้ังในเลอื ดและปสั สาวะอย่างน้อย 1 ชนดิ
การตดิ เชอ้ื ทตี่ �ำแหน่งผ่าตัด
การติดเชอื้ ทีต่ ำ� แหนง่ ผา่ ตดั ท่ผี วิ หนังและเนือ้ เย่อื ใต้ผวิ หนงั (Superficial incisional SSI) ตอ้ งมีลักษณะ
ครบตามเกณฑ์ 3 ขอ้ ตอ่ ไปนี้
1. การตดิ เชอ้ื เกิดขนึ้ ภายใน 30 วันหลงั การผ่าตัด (นับวันผ่าตดั เปน็ วันท่ี 1)
2. เปน็ การตดิ เชื้อที่ผิวหนงั และเน้อื เยื่อใตผ้ ิวหนังบรเิ วณท่ีผ่าตดั เท่านั้น
3. มลี ักษณะอย่างน้อย 1 ขอ้ ต่อไปนี้
3.1 มีหนองออกมาจากแผลผ่าตัด
3.2 แยกเช้อื ได้จากของเหลวหรอื เนอื้ เยือ่ จากแผลผ่าตดั ทีเ่ ก็บโดยวิธี Aseptic technique
3.3 แพทยท์ ด่ี แู ลผปู้ ว่ ยใหเ้ ปดิ ปากแผล โดยไมไ่ ดท้ ำ� การเพาะเชอื้ ไว้ และ ผปู้ ว่ ยมอี าการหรอื อาการแสดง
อยา่ งนอ้ ย 1 อยา่ งคอื ปวดหรือกดเจ็บ แผลบวม แดง หรอื รอ้ น
3.4 แพทยท์ ่ดี ูแลผู้ปว่ ยเป็นผใู้ หก้ ารวนิ ิจฉัย SSI
หมายเหต ุ ไมร่ วม cellulitis, burn, circumcision, stitch abscess, stab wound หรือ pin site infection
การตดิ เชอ้ื แผลผา่ ตดั ชนั้ พงั ผดื และกลา้ มเนอ้ื (deep incisional SSI) ตอ้ งมลี กั ษณะครบตามเกณฑ์ 3 ขอ้
ตอ่ ไปน้ี
1. การตดิ เช้อื เกิดขน้ึ ภายใน 30 วนั หรอื ภายใน 90 วนั หลงั การผ่าตัด ดังตารางท่ี 1
2. เป็นการติดเช้ือทเ่ี นื้อเยอ่ื ชั้นพังผืดและกลา้ มเนอ้ื
3. มลี ักษณะอยา่ งน้อย 1 ข้อ ต่อไปน้ี
3.1 มีหนองไหลจากชน้ั ใตผ้ วิ หนงั บรเิ วณผ่าตดั
3.2 แผลผา่ ตดั แยกเอง หรอื ศลั ยแพทยห์ รอื แพทยอ์ นื่ เปดิ แผล และผปู้ ว่ ยมไี ข้ (อณุ หภมู ิ > 38.0 องศาเซลเซยี ส)
หรือปวด หรือกดเจบ็ บรเิ วณแผล แตไ่ มไ่ ด้ทำ� การเพาะเชือ้ (ถา้ ท�ำการตรวจหาเช้ือด้วยการเพาะเชอื้ หรอื วธิ ีการอน่ื
แล้วไมพ่ บเช้อื ก่อโรค ถอื วา่ ไม่เข้าเกณฑข์ ้อ 3.2 นี้)
3.3 พบฝี (Abscess) หรือหลักฐานอ่ืน ท่ีแสดงการติดเชื้อ จากการตรวจพบโดยตรง ขณะผ่าตัดใหม่
หรอื จากการตรวจเนอ้ื เย่ือหรอื การตรวจทางรังสีวทิ ยา
แนวปฏิบัติเพ่ือปอ้ งกนั 25
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
เกณฑ์การวินิจฉัยการติดเช้ือท่ีอวัยวะหรือช่องโพรงภายในร่างกายจากการผ่าตัด (organ/space SSI)
ต้องมลี กั ษณะครบตามเกณฑ์ 4 ข้อ ต่อไปนี้
1. การติดเช้ือเกดิ ขึ้นภายใน 30 วนั หรือภายใน 90 วนั หลงั การผา่ ตดั ดงั ตารางท่ี 1
2. เป็นการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับส่วนต่างๆ ของร่างกายท่ีลึกกว่าผิวหนังบริเวณรอบแผลผ่าตัด พังผืด หรือ
กล้ามเนือ้ ทีไ่ ด้รบั การผ่าตดั
3. มีลักษณะอย่างนอ้ ย 1 ข้อ ต่อไปน้ี
3.1 มหี นองออกจากทอ่ ท่ใี ส่ไว้ภายในอวัยวะหรือชอ่ งโพรงในร่างกาย
3.2 แยกเชอ้ื ได้จากของเหลวหรอื เนือ้ เยอ่ื จากอวัยวะ หรอื ช่องโพรงในรา่ งกาย
3.3 พบฝี (Abscess) หรอื หลกั ฐานการตดิ เชอื้ จากการตรวจพบโดยตรง ขณะผา่ ตดั ใหม่ หรอื จากการตรวจ
เน้ือเย่อื หรือการตรวจทางรังสวี ิทยา
4. มีลักษณะท่ีเขา้ เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉัยการติดเชื้อในระบบอวยั วะต่างๆ ทร่ี ะบใุ นตารางที่ 2 อย่างน้อย 1 ข้อ
ในแต่ละต�ำแหน่งทม่ี ีการตดิ เช้ือ
ตารางที่ 1 แสดงระยะเวลาเฝ้าระวังการติดเชอ้ื แผลผ่าตัดชนั้ พงั ผดื และกลา้ มเนือ้ ตามหัตถการ
30 - day Surveillance
Code Operative Procedure Code Operative Procedure
AAA Abdominal aortic aneurysm repair LAM Laminectomy
AMP Limb amputation LTP Liver transplant
APPY Appendix surgery NECK Neck surgery
AVSD Shunt for dialysis NEPH Kidney surgery
BILI Bile duct, liver or pancreatic surgery OVRY Ovarian surgery
CEA Carotid endarterectomy PRST Prostate surgery
CHOL Gallbladder surgery REC Rectal surgery
COLO Colon surgery SB Small bowel surgery
CSEC Cesarean section SPLE Spleen surgery
GAST Gastric surgery THOR Thoracic surgery
HTP Heart transplant THYR Thyroid and/or parathyroid surgery
HYST Abdominal hysterectomy VHYS Vaginal hysterectomy
KTP Kidney transplant XLAP Exploratory Laparotomy
26 แนวปฏบิ ัติเพือ่ ปอ้ งกัน
และควบคมุ การติดเช้ือในโรงพยาบาล
90 - day Surveillance
Code Operative Procedure
BRST Breast surgery
CARD Cardiac surgery
CBGB Coronary artery bypass graft with both chest and donor site incisions
CBGC Coronary artery bypass graft with chest incisions only
CRAN Craniotomy
FUSN Spinal fusion
FX Open reduction of fracture
HER Herniorrhaphy
HPRO Hip prosthesis
KPRO Knee prosthesis
PACE Pacemaker surgery
PVBY Peripheral vascular bypass surgery
VSHN Ventricular shunt
ตารางที่ 2 การตดิ เชอื้ ทอ่ี วยั วะหรอื ชอ่ งโพรงภายในรา่ งกายทอี่ าจเกยี่ วขอ้ งกบั การผา่ ตดั ซง่ึ ตอ้ งใชเ้ กณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั
การตดิ เชอื้ เหลา่ นป้ี ระกอบกบั เกณฑอ์ น่ื ในการวนิ จิ ฉยั การตดิ เชอ้ื ทอี่ วยั วะหรอื ชอ่ งโพรงภายในรา่ งกาย
จากการผา่ ตดั
Code Site Code Site
BONE Osteomyelitis MEN Meningitis or ventriculitis
BRST Breast abscess or mastitis ORAL Oral cavity (mouth, tongue or gums)
CARD Myocarditis or pericarditis OREP Other infections of the male or female
reproductive tract
DISC Disc space PJI Periprosthetic Joint Infection
EAR Ear, mastoid SA Spinal abscess without meningitis
EMET Endometritis SINU Sinusitis
ENDO Endocarditis UR Upper respiratory tract
GIT GI tract USI Urinary system infection
IAB Intraabdominal, not specified VASC Arterial or venous infection
IC Intracranial, brain abscess or dura VCUF Vaginal cuff
แนวปฏิบตั เิ พ่ือปอ้ งกัน 27
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
การตดิ เช้ือในกระแสเลอื ด Bloodstream Infections
การติดเชื้อในกระแสเลือดแบบปฐมภูมิ (Primary bloodstream infections, BSI) หรือการติดเชื้อ
ในกระแสเลอื ดทไี่ ดร้ บั การตรวจยนื ยนั ทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร (Laboratory-confirmed bloodstream infection, LCBI)
ดว้ ยการเพาะเชอื้ หรอื วธิ กี ารอื่น โดยท่ีไม่มีการติดเชือ้ นั้นในต�ำแหนง่ อืน่ ใดของร่างกาย
เกณฑ์การวินิจฉัยติดเช้ือในเลือดที่ได้รับการยืนยันด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (LCBI) ใช้เกณฑ์
ขอ้ ใดขอ้ หน่ึงดงั ตอ่ ไปน้ี
1. ผปู้ ว่ ยทกุ รายทไี่ ดร้ บั การตรวจ พบเชอ้ื ในเลอื ดอยา่ งนอ้ ย 1 ตวั อยา่ ง และเชอื้ นน้ั เปน็ เชอื้ ทยี่ อมรบั โดยทว่ั ไป
วา่ เป็นเชื้อก่อโรค (เช่น E. coli)
2. ถา้ เชอื้ ทต่ี รวจพบจากเลอื ด เปน็ เชอ้ื ในกลมุ่ commensal organism (หรอื normal flora, เชอ้ื ประจำ� ถนิ่ )
เชน่ diphtheroids (Corynebacterium spp. ทไ่ี ม่ใช่ C. diphtheriae), Bacillus spp. (ยกเวน้ B. anthracis),
Propionibacterium spp., coagulase-negative staphylococci (รวมท้งั S. epidermidis), viridans group
streptococci, Aerococcus spp. Micrococcus spp., และ Rhodococcus spp. จะต้องมีลักษณะต่อไปน้ี
ครบทัง้ สองข้อ คือ
2.1 ตรวจพบเชื้ออย่างน้อย 2 คร้ัง จากการเจาะเลือดต่างต�ำแหน่ง หรือต่างเวลาในวันเดียวกัน หรือ
สองวันตอ่ เน่ืองกนั
2.2 ผู้ป่วยมีอาการไข้ (อุณหภูมิกายสูงกว่า 38.0 องศาเซลเซียส) หนาวส่ัน หรือความดันต่�ำ อย่างใด
อยา่ งหนง่ึ และในกรณที เ่ี ปน็ เดก็ อายนุ อ้ ยกวา่ 1 ปี อาจมอี ณุ หภมู กิ ายตำ�่ กวา่ 36.0 องศาเซลเซยี ส หยดุ หายใจชวั่ ขณะ
(apnea) หรือชพี จรเต้นชา้ กวา่ ปกติ
เกณฑ์การวินิจฉัยการติดเชื้อในกระแสเลือด ท่ีสัมพันธ์กับสายสวนหลอดเลือดด�ำส่วนกลาง (Central
line-associated BSI, CLABSI) วนิ จิ ฉัยเมือ่ มลี กั ษณะต่อไปน้ีท้ังสองขอ้
1. มีการตดิ เชอื้ ในเลือดท่ไี ด้รบั การยืนยันด้วยการตรวจทางหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร
2. มีการใช้สายสวนหลอดเลือดด�ำส่วนกลาง หรือสายสวนหลอดเลือดท่ีสะดือมาแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย
2 วันปฏทิ นิ ณ วนั ท่เี กดิ การติดเช้ือ (date of event) และในวนั ทว่ี ินจิ ฉยั จะต้องยังมีการใช้สายสวนหลอดเลอื ด
ดงั กลา่ วอยู่ หรอื ถอดสายออกไปไมเ่ กนิ 1 วนั
* ข้อยกเว้น ในเด็กทารกอายุไม่เกิน 6 วัน ถ้าตรวจพบเชื้อ Group B streptococcus ในเลือด แม้จะมี
การใส่สายสวนหลอดเลือดด�ำส่วนกลาง ก็ให้นับว่าเป็นการติดเชื้อในเลือด โดยไม่นับว่าเป็นการติดเช้ือท่ีสัมพันธ์
กับการใช้สายสวนหลอดเลอื ด
สายสวนหลอดเลือดด�ำส่วนกลาง หมายถึงสายสวนหลอดเลือดด�ำที่ใช้ส�ำหรับการให้สารน้�ำ
สารอาหาร ยา หรือส�ำหรับฟอกไต (hemodialysis) โดยมีปลายสายสวนส้ินสุดอยู่ในหลอดเลือดด�ำใหญ่ หรือ
หลอดเลอื ดแดงใหญ่ ไดแ้ ก่ aorta, pulmonary artery, superior vena cava, inferior vena cava, brachiocephalic
veins, internal jugular veins, subclavian veins, external iliac veins, common iliac veins, femoral veins,
และในเดก็ แรกเกดิ จะรวมถงึ umbilical artery/vein.
28 แนวปฏบิ ตั ิเพอ่ื ปอ้ งกนั
และควบคุมการติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
อปุ กรณท์ ไ่ี มถ่ อื วา่ เปน็ central venous catheter ไดแ้ ก่ arterial catheters, arteriovenous
fistula, arteriovenous graft, extracorporeal membrane oxygenation (ECMO), hemodialysis reliable
outflow (HERO) dialysis catheters, intra-aortic balloon pump (IABP) devices, central line ที่ไม่มี
การใชง้ าน สายสวนหลอดเลอื ดด�ำสว่ นปลาย และ Ventricular Assist Device (VAD)
การนับ device-day สำ� หรับ port ใหถ้ ือหลักดงั น้ี
1. ถ้าไม่มีการใช้ port เลย ไม่ตอ้ งนบั central-line day
2. ถา้ มกี ารใช้ port ให้นบั วันท่ีเรม่ิ ใช้เปน็ วันที่ 1 และใหน้ ับ CVC-day ไปจนกวา่ ผ้ปู ่วยจะกลบั บ้าน หรือ
มีการสอดสายสวนออก และให้เฝา้ ระวังการติดเชื้อไปจนผูป้ ว่ ยกลบั บ้าน หรอื หลังจากถอดสายสวน 1 วนั
การติดเช้ือระบบทางเดนิ อาหาร (Gastrointestinal tract infection)
เกณฑก์ ารวินจิ ฉัย Gastroenteritis (ไม่รวมการตดิ เชือ้ Clostridium difficile) Gastroenteritis ตอ้ งมี
อาการอย่างน้อย 1 ข้อ ต่อไปน้ี
1. ผปู้ ว่ ยมอี จุ จาระร่วง อย่างเฉยี บพลนั (อจุ จาระเป็นน้ำ� นานกวา่ 12 ชั่วโมง) โดยไมพ่ บสาเหตอุ ่นื
2. ผปู้ ว่ ยมอี าการอยา่ งนอ้ ย 2 อยา่ ง ตอ่ ไปน้ี เชน่ คลนื่ ไส้ อาเจยี น หรอื ปวดทอ้ ง มไี ข้ (อณุ หภมู ิ > 38.0 องศาเซลเซยี ส)
หรือ ปวดศรี ษะ และตอ้ งมอี ยา่ งน้อย 1 ข้อ ต่อไปนี้
2.1 เพาะเช้ือก่อโรคไดจ้ ากอุจจาระหรอื จากการทำ� Rectal swab หรือ ตรวจโดยวธิ ีอื่น
2.2 พบเช้ือก่อโรคจากการตรวจดว้ ยกล้องจุลทรรศน์
2.3 ตรวจพบ IgM antibody ต่อเช้ือก่อโรคสูงถึงระดับท่ีใช้วินิจฉัย 1 คร้ัง หรือ IgG antibody ต่อ
เช้ือกอ่ โรค เพิ่มขึ้น 4 เทา่ ขึน้ ไปในการตรวจครัง้ ที่สอง
เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั การตดิ เชื้อ C. difficile หรือ pseudomembranous colitis
ผูป้ ว่ ยตอ้ งมลี กั ษณะเข้าไดก้ บั เกณฑ์การวนิ จิ ฉัยอยา่ งนอ้ ย 1 ขอ้ ตอ่ ไปน้ี
1. ตรวจพบ Clostridium difficile toxin ในอุจจาระท่เี หลว
2. ตรวจพบ pseudomembranous colitis โดยลักษณะทางกายวิภาคหรือทางพยาธวิ ิทยา
เกณฑ์การวนิ ิจฉัย Necrotizing enterocolitis (NEC)
เดก็ ทารกที่มกี ารอกั เสบของลำ� ไส้แบบ Necrotizing enterocolitis จะต้องมลี ักษณะตามเกณฑก์ ารวินจิ ฉยั
อยา่ งนอ้ ย 1 ขอ้ คอื
1. ทารกมลี ักษณะทางคลินกิ อยา่ งน้อย 1 ข้อ และลกั ษณะทางภาพรังสอี ย่างน้อย 1 ขอ้ ดังนี้
1.1 ลกั ษณะทางคลนิ กิ ไดแ้ ก่ ดดู ไดน้ ำ้� ดจี ากกระเพาะอาหาร อาเจยี น ทอ้ งอดื และมเี ลอื ดออกปนมากบั
อจุ จาระจนเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า หรอื ตรวจพบ occult blood
1.2 ลกั ษณะภาพทางรงั สี (ถา้ ไมช่ ดั เจน อาจตอ้ งใชข้ อ้ มลู อน่ื มาประกอบ เชน่ แพทยส์ ง่ั การรกั ษาแบบ NEC)
ได้แก่ pneumatosis intestinalis, portal venous gas (hepatobiliary gas), หรือ pneumoperitoneum
แนวปฏิบัติเพอื่ ป้องกนั 29
และควบคุมการติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
2. Surgical NEC: ตอ้ งมีส่ิงตรวจพบในระหว่างการผ่าตัด อยา่ งน้อย 1 ข้อ คือ
2.1 extensive bowel necrosis ทีม่ ีความยาวอยา่ งนอ้ ย 2 เซนติเมตร
2.2 pneumatosis intestinalis
เกณฑ์การวินิจฉัยการติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร (หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ล�ำไส้เล็ก ล�ำไส้ใหญ่
และ rectum) ยกเว้น gastroenteritis, appendicitis, และการตดิ เช้อื C. difficile)
การติดเช้อื ระบบทางเดินอาหาร ตอ้ งมีลกั ษณะตามเกณฑต์ อ่ ไปนี้ อยา่ งน้อย 1 ข้อ คือ
1. ผ้ปู ่วยมีฝี หรือมหี ลกั ฐานทางกายวิภาคหรือการตรวจทางพยาธวิ ิทยาของระบบทางเดินอาหารทแ่ี สดงถงึ
การติดเช้ือ
2. ผปู้ ว่ ยมอี าการหรอื อาการแสดงทเี่ ขา้ ไดก้ บั การตดิ เชอื้ ในอวยั วะนน้ั ๆ อยา่ งนอ้ ย 2 ขอ้ คอื มไี ข้ (> 38.0 องศา
เซลเซยี ส) คล่ืนไส้* อาเจียน* ปวด*หรือกดเจ็บ* กลืนเจ็บ* กลืนล�ำบาก* ร่วมกับการตรวจพบต่อไปนี้ อย่างน้อย
1 ขอ้ คือ
2.1 ตรวจพบเช้อื กอ่ โรคจากสารน้�ำท่รี ะบายออกมาหรือจากเนือ้ เย่ือด้วยการเพาะเชื้อหรอื วิธอี น่ื
2.2 ตรวจพบเชอ้ื จากการยอ้ มสกี รัม พบเชื้อราจากการย้อมด้วย KOH หรอื ตรวจพบ multinucleated
giant cells
2.3 ตรวจพบเช้ือจากเลือด ร่วมกับมีภาพถ่ายรังสีหรือจากการส่องกล้องตรวจที่ช้ีว่ามีการติดเชื้อที่
ระบบทางเดินอาหาร (ถ้าไม่ชัดเจน อาจต้องใช้ข้อมูลอ่ืนมาประกอบ เช่น แพทย์ส่ังการรักษาการติดเชื้อท่ีระบบ
ทางเดินอาหาร)
* โดยไมม่ สี าเหตอุ ่ืน
เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉัยการติดเชอื้ ในโรงพยาบาลตำ� แหน่งการติดเช้ือ Episiotomy
ต้องมลี ักษณะเขา้ ไดก้ บั อย่างนอ้ ยหน่งึ ข้อต่อไปนี้
1. ภายหลังการคลอดทางช่องคลอดมหี นองออกมาจากแผล Episiotomy
2. ภายหลงั การคลอดทางชอ่ งคลอดมีฝีทแี่ ผล Episiotomy
เกณฑ์การวนิ ิจฉัย Omphalitis
Omphalitis ในทารกแรกเกดิ (อายุ ≤ 30 วนั ) ผปู้ ว่ ยตอ้ งมลี กั ษณะเขา้ ไดก้ บั เกณฑก์ ารวนิ จิ ฉยั อยา่ งนอ้ ย 1 ขอ้
ตอ่ ไปน้ี
1. สะดือของทารกมลี กั ษณะแดงหรอื แฉะผดิ ปกติ และมสี ิ่งต่อไปนอ้ี ยา่ งน้อย 1 ขอ้
1.1 ตรวจพบเชอ้ื ก่อโรคจากการเพาะเช้ือหรอื วิธกี ารอ่ืนจากส่ิงสง่ ตรวจท่ไี ดจ้ ากการใชเ้ ขม็ ดูด
1.2 เพาะเช้ือไดจ้ ากเลอื ด
2. สะดือของทารกมลี กั ษณะแดงและมีหนอง
30 แนวปฏิบตั เิ พ่ือป้องกนั
และควบคมุ การติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
การติดเชอ้ื อื่นๆ
เกณฑ์การวนิ ิจฉัยการติดเชอ้ื ที่ผวิ หนังและเนื้อเย่ือใตผ้ ิวหนัง
ผปู้ ว่ ยมอี าการเฉพาะทอ่ี ยา่ งนอ้ ย 2 ขอ้ คอื ปวด กดเจบ็ บวม แดง รอ้ น โดยไมม่ สี าเหตอุ นื่ รว่ มกบั การตรวจพบ
อย่างน้อย 1 ขอ้ ตอ่ ไปน้ี
1. ตรวจพบเชื้อก่อโรคจากการเพาะเช้ือส่ิงส่งตรวจท่ีได้จากการใช้เข็มดูดหรือจาก drainage ท่ีเก็บโดย
วิธี Aseptic Technique บริเวณท่ีมกี ารติดเช้ือ หรอื การตรวจเชอื้ ดว้ ยวิธกี ารอ่นื เชน่ ตรวจแอนติเจน หรือ DNA
ในเน้ือเยื่อที่มีการติดเชื้อ (เช่น herpes simplex, varicella zoster) หากเป็นเชื้อประจ�ำถิ่นของผิวหนัง (ได้แก่
coagulase negative staphylococci, micrococci, diphtheroids) จะตอ้ งพบเชอื้ เพยี งชนดิ เดยี ว (Pure culture)
2. ตรวจเนือ้ เย่ือที่มีการตดิ เชอ้ื ดว้ ยกล้องจลุ ทรรศน์ พบ Multinucleated giant cells
3. ตรวจพบ IgM antibody ต่อเชอ้ื ก่อโรคสูงถงึ ระดับทีใ่ ช้วนิ จิ ฉัย 1 ครั้ง หรือ IgG antibody ต่อเชอื้ กอ่ โรค
เพม่ิ ขน้ึ 4 เท่าข้ึนไปในการตรวจครั้งท่ีสอง
เกณฑก์ ารวินิจฉยั การติดเช้ือแผลจากความรอ้ นหรอื สารเคมี (Burn wound)
การตดิ เชื้อแผลจากความรอ้ นหรือสารเคมี ต้องมีลักษณะตามเกณฑต์ อ่ ไปนท้ี ้ังสองขอ้
1. จะตอ้ งมกี ารเปลย่ี นแปลงของสหี รอื ลกั ษณะของแผลไฟไหม้ เชน่ Eschar หลดุ อยา่ งรวดเรว็ หรอื มสี นี ำ�้ ตาลเขม้
หรอื ดำ� หรือม่วงคลำ�้ หรอื ขอบแผลบวม
2. เพาะเชอื้ ก่อโรคได้จากเลอื ด
แนวปฏบิ ัติเพ่อื ปอ้ งกนั 31
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
บ4ทท่ี
การทำ� ความสะอาดมอื
ส�ำหรบั บคุ ลากรทางการแพทย์
กลไกการแพร่กระจายเชื้อท่ีพบบ่อยท่ีสุด คือ การแพร่กระจายเช้ือจากแหล่งเช้ือโรคไปยังผู้ป่วยผ่านมือ
ของบุคลากรสุขภาพ มาตรการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโดยกลไกนี้ที่ส�ำคัญคือ การท�ำความสะอาดมือ ดังนั้น
การท�ำความสะอาดมือจึงเป็นสิ่งส�ำคัญท่ีบุคลากรสุขภาพในโรงพยาบาลต้องปฏิบัติตามอย่างถูกต้องเพ่ือลด
การติดเช้อื ในโรงพยาบาล
การท�ำความสะอาดมือเป็นตัวชี้วัดท่ีส�ำคัญอย่างหนึ่งของความปลอดภัยของผู้ป่วย (patient safety)
ในปี 2550 กระทรวงสาธารณสขุ ไดเ้ ขา้ รว่ มกบั องคก์ ารอนามยั โลกในโครงการ Global Patient Safety Challenge:
Clean Care is Safer Care ซง่ึ เป็นโครงการหลกั ภายใต้ World Alliance for Patient Safety ในการทำ� งาน
ร่วมกับเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขทั่วโลก เพื่อส่งเสริมวิธีการปฏิบัติท่ีเห็นว่าดีท่ีสุดและการปรับปรุงระบบเพื่อเพ่ิม
ความปลอดภัยของผ้ปู ว่ ย
เชอื้ จลุ ชพี บนมือ
ผวิ หนงั เปน็ ปราการปอ้ งกนั รา่ งกายจากสง่ิ แวดลอ้ มภายนอก ปอ้ งกนั การสญู เสยี นำ้� และสกดั กน้ั ไมใ่ หเ้ ชอื้ จลุ ชพี
เข้าสู่ร่างกาย นอกจากน้ีต่อมไขมันที่ใต้ผิวหนังยังผลิตสารที่เป็นกรดไขมันและกรดแลคติคมาต่อต้านแบคทีเรีย
และเชอ้ื รา และไขมนั ยงั ชว่ ยปอ้ งกนั ผวิ แหง้ และแตก โดยธรรมชาตผิ วิ หนงั ทปี่ กคลมุ มอื ของคนเราประกอบดว้ ยเนอื้ เยอ่ื
2 ช้นั ไดแ้ ก่ ช้ันหนังกำ� พรา้ (Epidermis) เป็นชั้นทอ่ี ยบู่ นสดุ และช้นั หนงั แท้ (Dermis) เปน็ ช้ันท่อี ยูใ่ ตช้ ้นั หนังก�ำพรา้
ใต้ช้ันหนังแท้จะเป็น Hypodermis หรือ Subcutaneous tissues ซ่ึงประกอบด้วยเน้ือเยื่อเก่ียวพันที่อยู่กัน
อยา่ งหลวมๆ และไขมัน
ผวิ หนงั ปกตมิ ีเชอื้ จุลชีพอาศยั อยู่ แบง่ เปน็ 2 ประเภท ได้แก่
1. เชื้อจุลชีพประจ�ำถิ่น (Resident flora) เป็นเชื้อจุลชีพท่ีอาศัยอยู่ในผิวหนังช้ันท่ีลึกลงไปในส่วนของ
หนังแท้ จนถึงต่อมต่าง ๆ ใต้ผิวหนัง และสามารถเจริญแบ่งตัวได้ ขจัดออกได้ยากโดยการล้างมือด้วยน�้ำกับสบู่
การใช้น�้ำยาฆ่าเชื้อจะสามารถลดเช้ือจุลชีพชนิดนี้บนมือได้แต่ไม่หมด เชื้อจุลชีพประเภทน้ีมีความแตกต่างกันทั้ง
ชนดิ และปรมิ าณในแตล่ ะบุคคลและแต่ละสว่ นของร่างกาย โดยท่วั ไปจะไม่ก่อโรค เช่น เชอื้ Coagulase-negative
Staphylococci, Propionibacteria spp. เป็นตน้
32 แนวปฏบิ ัตเิ พ่อื ป้องกัน
และควบคมุ การตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
2. จลุ ชพี ทีอ่ ยูช่ วั่ คราว (Transient flora) เป็นเช้อื จุลชีพท่อี าศัยอยู่ในผวิ หนังชั้นตน้ื เป็นส่วนใหญ่ บุคลากร
สขุ ภาพมกั จะไดเ้ ชอ้ื จลุ ชพี นม้ี าจากการสมั ผสั ตวั ผปู้ ว่ ยโดยตรงหรอื สมั ผสั กบั อปุ กรณห์ รอื สง่ิ แวดลอ้ มทมี่ กี ารปนเปอ้ื น
เช้ือ เช้ือจุลชีพประเภทน้ีมักจะอาศัยอยู่บนผิวหนังแบบไม่ติดแน่น และมักไม่มีการเจริญแบ่งตัวบนผิวหนัง
จงึ สามารถกำ� จดั ออกไดง้ า่ ยโดยทางกายภาพ เชน่ การลา้ งมอื หรอื แมแ้ ตก่ ารลา้ งดว้ ยนำ้� เปลา่ อยา่ งไรกต็ ามเชอื้ จลุ ชพี
ประเภทนเ้ี ปน็ สาเหตสุ ำ� คญั ของการตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล นอกจากนมี้ อื ของบคุ ลากรสขุ ภาพบางคนยงั อาจมเี ชอ้ื จลุ ชพี
ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ โรค (Pathogenic flora) อยู่ เชน่ Staphylococcus aureus, Gram-negative bacilli, หรอื ยสี ต์ เปน็ ตน้
จุลชีพบนผิวหนังของผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลมีมากกว่าของคนปกติ และในผู้ป่วยบางรายพบ
เชื้อจุลชีพที่ด้ือยา เช่น เช้ือ Methicillin-resistant staphylococcus aureus (MRSA) หรือ Vancomycin
resistant enterococcus (VRE)
การปนเปื้อนเช้อื จลุ ชพี บนมอื ของบุคลากรสุขภาพ
เชอื้ จลุ ชพี ในสงิ่ แวดลอ้ มมชี วี ติ อยไู่ ดเ้ ปน็ เวลานาน เชน่ เชอ้ื Noroviruses มชี วี ติ อยบู่ นพรมไดน้ านสดุ ถงึ 12 วนั
เชื้อ Hepatitis B virus มีชีวิตอยู่บนอิเล็คโตรดส�ำหรับวัดคลื่นหัวใจได้นาน 7 วัน เชื้อ Clostridium difficile
มีชีวิตอยู่บนพ้ืนได้นานถึง 5 เดือน เชื้อ MRSA มีชีวิตอยู่บนพื้นที่แห้งได้นานสุดถึง 9 สัปดาห์ และมีชีวิตอยู่บน
พน้ื ลามเิ นทพลาสตกิ ไดน้ าน 2 วนั และเชอื้ VRE มชี วี ติ อยบู่ นเคานเ์ ตอรไ์ ดน้ านสดุ ประมาณ 2 เดอื น เชอ้ื Acinetobacter
baumannii อยูบ่ นพนื้ ผวิ ที่แห้งไดน้ านถงึ 4 เดอื น นอกจากเช้ือจลุ ชพี จะสามารถมีชีวิตอยูใ่ นสิ่งแวดล้อมได้ดงั กล่าว
ข้างตน้ แลว้ เชอื้ จุลชพี ยังสามารถมีชวี ิตอยูบ่ นมอื ไดน้ าน
การปนเปื้อนเชื้อบนมือของบุคลากรสุขภาพจะมากข้ึนหลังการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมและตัวผู้ป่วย สิ่งคัดหล่ัง
เชน่ เลอื ด หนอง ปัสสาวะ เปน็ ตน้ การปนเป้ือนเชอ้ื จุลชีพจะมีมากขึ้น เมอื่ ทำ� กิจกรรมท่ีต้องสมั ผสั กับสงิ่ สกปรก เชน่
การทำ� แผล การดูแลสายให้สารนำ้� ทางหลอดเลือด การดแู ลทางเดินหายใจและการจบั ต้องเสมหะ เป็นตน้
ในการรกั ษาพยาบาลบคุ ลากรสขุ ภาพตอ้ งสมั ผสั ทง้ั ตวั ผปู้ ว่ ย อปุ กรณแ์ ละสง่ิ แวดลอ้ ม จงึ ทำ� ใหม้ อื ของบคุ ลากร
สุขภาพมีโอกาสท่ีจะเกิดการปนเปื้อนเช้ือจุลชีพ ดังนั้นบุคลากรสุขภาพต้องระมัดระวังในการจัดการกับเชื้อจุลชีพ
บนมอื เพือ่ ลดการแพร่กระจายเชือ้
การแพรก่ ระจายเช้ือจลุ ชีพผ่านมอื ของบคุ ลากรสุขภาพ
การแพร่กระจายเช้ือจุลชีพทางการสัมผัส (contact transmission) โดยมือของบุคลากรสุขภาพเป็นการ
แพรก่ ระจายเชอื้ ในโรงพยาบาลทพ่ี บไดบ้ อ่ ยกวา่ การแพรก่ ระจายทางอน่ื อาจเปน็ การสมั ผสั โดยตรง (direct contact)
กบั ผู้ปว่ ยหรือสงิ่ แวดล้อมท่ีเป็นแหล่งของเช้ือจุลชพี หรอื สัมผสั ทางออ้ ม (indirect contact) โดยผ่านตวั กลาง เช่น
อปุ กรณเ์ ครือ่ งใช้ที่ปนเป้อื นเช้อื กอ่ โรค เปน็ ตน้
การแพร่กระจายเชื้อจุลชีพผ่านมือของบุคลากรสุขภาพจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาขณะให้การดูแลรักษา
ผู้ปว่ ย โดยมีวงจร ดังนี้
1. มเี ชื้อจุลชพี อยูบ่ นตวั ผูป้ ว่ ยหรอื บนผวิ หนังท่ลี อกหลุด หรืออยใู่ นสง่ิ แวดลอ้ มรอบตวั ผปู้ ว่ ย
2. เช้ือจุลชีพตดิ มือของบคุ ลากรสขุ ภาพขณะท�ำกจิ กรรมการดแู ลรกั ษาผูป้ ่วย
3. เชือ้ จลุ ชีพท่ีอยู่บนมอื บคุ ลากรสุขภาพเจรญิ แบ่งตัว
แนวปฏิบัติเพอื่ ป้องกัน 33
และควบคุมการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
4. บุคลากรสุขภาพที่มีเชื้อจุลชีพบนมือไปสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยหรือเครื่องมือเคร่ืองใช้ในการตรวจรักษา
ผปู้ ว่ ยหรอื สิง่ แวดล้อมในโรงพยาบาล ท�ำให้เกดิ การแพร่กระจายเชอ้ื ไปสู่ผปู้ ว่ ยหรือสิง่ ของนัน้ ๆ
เช้ือจุลชีพสามารถแพร่กระจายผ่านมือของบุคลากรสุขภาพไปสู่ผู้ป่วย และสิ่งแวดล้อมได้ทั้งทางตรงและ
ทางอ้อม ดังนั้นบุคลากรสุขภาพควรท�ำความสะอาดมือให้ถูกต้องและอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกัน
การแพรก่ ระจายเช้ือจุลชพี ผา่ นทางมอื
การทำ� ความสะอาดมอื
การท�ำความสะอาดมือ หมายถึง การขจดั สิง่ สกปรกและเช้อื จลุ ชีพออกจากมอื โดยวธิ ีการลา้ งด้วยน�้ำกับสบู่
หรอื นำ�้ ยาฆา่ เชอื้ หรอื การใชแ้ อลกอฮอลถ์ มู อื บคุ ลากรสขุ ภาพตอ้ งทำ� ความสะอาดมอื เมอื่ สกปรกหรอื มกี ารปนเปอ้ื น
เช้ือจุลชีพ หลังจากท�ำกิจกรรมท่ีคาดว่าจะมีการปนเปื้อนของเช้ือจุลชีพบนมือได้ ควรใช้อุปกรณ์จับแทนการใช้มือ
หรอื ใส่ถุงมอื ขณะจับ เนื่องจากการทำ� ความสะอาดมอื ไม่สามารถขจดั เชอ้ื จลุ ชพี ที่ปนเป้อื นบนมือได้หมด
ข้อบ่งช้ีในการทำ� ความสะอาดมอื
บุคลากรสขุ ภาพในโรงพยาบาลควรทำ� ความสะอาดมอื ในเวลาสำ� คญั 5 เวลา (5 moments) ได้แก่
1. ก่อนสัมผัสผู้ปว่ ย
2. กอ่ นท�ำกจิ กรรมสะอาดหรือปราศจากเช้ือ
3. หลังสัมผสั กับสารคดั หล่ัง หรอื สง่ิ สกปรก
4. หลังสัมผัสผู้ป่วย
5. หลังสัมผัสสงิ่ แวดล้อมรอบตวั ผปู้ ่วย
วิธกี ารท�ำความสะอาดมือ
การท�ำความสะอาดมอื ทำ� ได้ 2 วิธี คือ
1. การลา้ งมือดว้ ยน�ำ้ กบั สบหู่ รอื นำ้� ยาฆ่าเช้ือ (handwashing or hand antiseptic) เม่ือมือเปื้อนสิง่ สกปรก
อยา่ งเหน็ ได้ชัด การล้างมือด้วยน�ำ้ แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ
1.1 การลา้ งมอื ดว้ ยนำ้� กบั สบธู่ รรมดา (Plain/non-antimicrobial soap) ชว่ ยขจดั สง่ิ สกปรก ฝนุ่ ละออง
เหงอ่ื ไคล ไขมนั สารอนิ ทรีย์ และเชอื้ จลุ ชีพออกจากมอื สบทู่ �ำให้ผวิ แห้งและระคายเคืองได้ แม้จะมกี ารผสมสารเพ่ิม
ความช้ืน นอกจากน้ียังพบว่า สบู่ยังอาจมีการปนเปื้อนเช้ือ การล้างด้วยสบู่และน�้ำใช้ในการท�ำความสะอาดมือ
กรณี หลงั ถอดถงุ มอื กอ่ นและหลงั สมั ผสั ผวิ หนงั ผปู้ ว่ ยปกตทิ ไี่ มม่ กี ารปนเปอ้ื นเชอ้ื จลุ ชพี กอ่ นปฏบิ ตั กิ จิ กรรมพยาบาล
ทัว่ ไปทไี่ ม่ต้องใชเ้ ทคนคิ ปลอดเช้อื และหลงั สัมผสั วัสดุท่ีไมป่ นเป้อื น เชน่ ขวดนำ้� ด่ืม จาน อาหาร ฯลฯ
1.2 การล้างมือด้วยน้�ำกับสบู่ยาฆ่าเช้ือ (Antiseptic soaps) เช่น 7.5% povidone iodine, 4%
chlorhexidine gluconate เป็นตน้ การลา้ งมือดว้ ยน้ำ� กับสบู่ยาฆา่ เช้อื จะขจดั สง่ิ สกปรกและเชื้อจลุ ชีพออกจากมือ
สามารถขจัดเช้ือจุลชีพได้มากกว่าสบู่ จึงใช้ในกรณีก่อนท�ำหัตการ เช่น การผ่าตัด การสอดใส่อุปกรณ์เข้าร่างกาย
ผู้ป่วย ก่อนการสัมผัสหรือท�ำกิจกรรมกับผู้ป่วยท่ีมีภูมิคุ้มกันต�่ำ หลังสัมผัสผิวหนังท่ีมีบาดแผลและส่ิงสกปรก
ที่มกี ารปนเปอื้ นเชื้อจุลชพี
34 แนวปฏบิ ัติเพือ่ ปอ้ งกนั
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
ในหอผู้ป่วยควรมีอุปกรณ์ในการท�ำความสะอาดมือครบถ้วน ได้แก่ อ่างล้างมือ โดยก๊อกน�้ำควรใช้แบบ
เปิด-ปิดด้วยข้อศอกหรือขาเพื่อป้องกันการปนเปื้อนเช้ือจุลชีพของมือ สบู่หรือน้�ำยาฆ่าเชื้อท่ีใช้ล้างมือควรมีไว้ใช้
อย่างเพียงพอเสมอ สบู่ท่ีใช้อาจใช้ในรูปสบู่เหลว ก้อน ผงหรือเกล็ด แต่สบู่ก้อนมักมีการปนเปื้อนเชื้อจุลชีพจาก
ผู้ใช้คนก่อน ภาชนะท่ีวางสบู่ก้อนอาจมีน�้ำขังและกลายเป็นแหล่งเพาะเช้ือจุลชีพ จึงต้องวางสบู่ในภาชนะที่มีทาง
ระบายน�้ำ เพ่อื ป้องกนั การเปียกแฉะ ผา้ เช็ดมือควรใชผ้ ้าทสี่ ะอาดและแห้ง ทั้งนคี้ วรใชเ้ ปน็ ผ้าทเี่ ชด็ ครงั้ เดียวแลว้ ทิ้ง
หรือนำ� กลบั ไปซกั ใหม่ หรอื อาจใช้กระดาษเชด็ มอื แทน ซง่ึ จะสะดวกในแง่ทไ่ี ม่ตอ้ งนำ� ไปซกั
ก่อนล้างมือให้ถอดแหวนหรือเครื่องประดบั อ่ืนออก เพือ่ ให้ทำ� ความสะอาดได้ท่ัวถึง เปิดน้�ำราดให้ทั่วมือ
แลว้ ฟอกดว้ ยสบหู่ รอื นำ้� ยาฆา่ เชอื้ โดยใชส้ บหู่ รอื นำ้� ยาฆา่ เชอ้ื ประมาณ 3-5 มลิ ลลิ ติ รเพอื่ ใหเ้ พยี งพอทำ� ความสะอาดมอื
ได้ทกุ ส่วน การล้างมือควรประกอบด้วย 7 ข้ันตอน ดังนี้
แนวปฏบิ ัติเพือ่ ป้องกัน 35
และควบคมุ การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
ลา้ งคราบสบหู่ รอื นำ้� ยาฆา่ เชอ้ื ออกใหห้ มดดว้ ยนำ�้ สะอาด เชด็ มอื ใหแ้ หง้ ดว้ ยผา้ หรอื กระดาษทสี่ ะอาด แลว้ ใชผ้ า้
หรอื กระดาษเชด็ มอื ปดิ กอ๊ กนำ�้ (หากตอ้ งใชม้ อื ในการปดิ ) เพอื่ ไมใ่ หม้ อื ทสี่ ะอาดสมั ผสั กบั กอ๊ กนำ�้ ทอ่ี าจมกี ารปนเปอ้ื น
เชือ้ จลุ ชีพ
ข้อควรระวังในการล้างมือ คือ ต้องล้างให้ทั่วทุกส่วนของมือและใช้เวลานานอย่างน้อย 20 วินาที เพ่ือขจัด
ส่ิงสกปรกและเชอื้ จลุ ชีพออกจากมือใหม้ ากท่ีสดุ ถ้าใชเ้ วลายิ่งนานจะขจดั เชือ้ จุลชีพออกได้มากข้นึ
2. การถมู อื ดว้ ยแอลกอฮอล์ (alcohol-based hand rubs) แอลกอฮอลท์ ใ่ี ชท้ ำ� ความสะอาดมอื มคี วามเขม้ ขน้
60%-95% แอลกอฮอล์มีฤทธ์ิท�ำให้สารโปรตีนแข็งตัวและท�ำลายเย่ือหุ้มเซลล์ของเชื้อจุลชีพ แอลกอฮอล์ถูมือ
มีประสิทธิภาพในการลดเชือ้ แบคทเี รยี บนมือไดด้ ี ถา้ ผสมแอลกอฮอลก์ บั คลอเฮกซิดนี จะท�ำให้ฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้นานขนึ้
จึงเหมาะท่ีจะใช้ในการท�ำความสะอาดมือเพื่อการผ่าตัด แอลกอฮอล์ไม่สามารถท�ำลายสปอร์ของแบคทีเรีย
ไวรสั แบบ non-enveloped และ protozoan cysts ได้
แอลกอฮอลท์ ำ� ใหผ้ วิ หนงั ทม่ี อื แหง้ หรอื ระคายเคอื งนอ้ ยกวา่ การลา้ งดว้ ยนำ้� กบั สบหู่ รอื นำ้� ยาฆา่ เชอ้ื นอกจากน้ี
ยงั เหมาะกรณเี รง่ ดว่ น และการทำ� กจิ กรรมตอ่ เนอื่ ง ขอ้ ดขี องการใชแ้ อลกอฮอลใ์ นการทำ� ความสะอาดมอื คอื ออกฤทธเิ์ รว็
ไม่ต้องมีอ่างล้างมือ และผ้าเช็ดมือ ขวดใส่แอลกอฮอล์สามารถวางไว้ใช้ได้ทุกท่ีในท่ีทำ� งาน ข้างเตียงผู้ป่วย หรือพก
ติดตัวบคุ ลากรท�ำให้ใช้สะดวก
การถูมือด้วยแอลกอฮอล์ ใช้ท�ำความสะอาดมือในกรณีที่มือไม่ได้เปื้อนส่ิงสกปรก เลือดหรือสารคัดหล่ัง
อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากแอลกอฮอล์จะเส่ือมประสิทธิภาพเม่ือสัมผัสกับส่ิงสกปรก ปนเปื้อนเลือดและสารคัดหลั่ง
การใช้แอลกอฮอล์ควรใช้ในปริมาณ 3-5 มิลลิลิตรใส่ฝ่ามือแล้วลูบให้ท่ัวฝ่ามือ หลังมือและน้ิวมือ จนกระท่ัง
แอลกอฮอลร์ ะเหยจนแหง้ ซง่ึ ใช้เวลาประมาณ 20-30 วนิ าที
แอลกอฮอล์ติดไฟได้ ดังน้ันขวดใส่แอลกอฮอล์ควรเก็บห่างจากบริเวณท่ีมีอุณหภูมิสูงและมีไฟ แอลกอฮอล์
ระเหยได้ ท�ำให้ความเข้มข้นลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ดังน้ันภาชนะท่ีใส่แอลกอฮอล์จึงควรมีฝาปิดมิดชิด เพ่ือป้องกัน
การระเหย อยา่ งไรกต็ ามแอลกอฮอล์ 70% ในภาชนะแบบกด หลงั การตงั้ ทงิ้ ไวใ้ นหอ้ งทอี่ ณุ หภมู ปิ กติ แอลกอฮอลจ์ ะยงั
คงมคี วามเข้มขน้ มากกวา่ 60% ในระยะเวลา 30 วนั ซงึ่ เป็นความเขม้ ขน้ ท่ีเพียงพอใช้ในการท�ำความสะอาดมอื ได้
กรณหี ลงั การสมั ผสั ผปู้ ว่ ยอจุ จาระรว่ งทเี่ กดิ จากตดิ เชอ้ื Clostridium difficile หรอื virus ทเี่ ปน็ สาเหตทุ อ้ งรว่ ง
ไม่ควรใช้แอลกอฮอล์ท�ำความสะอาดมือ เพราะแอลกอฮอล์ไม่สามารถท�ำลายเช้ือเหล่านี้ได้ ควรล้างมือด้วย
นำ้� กับสบู่หรอื นำ�้ ยาฆา่ เช้อื เช่น 4% chlorhexidine gluconate
การทำ� ความสะอาดมอื เพื่อการผา่ ตัด
กอ่ นการทำ� ผา่ ตดั บคุ ลากรตอ้ งทำ� ความสะอาดมอื อยา่ งถกู ตอ้ งเพอ่ื ปอ้ งกนั ผปู้ ว่ ยตดิ เชอื้ ทแ่ี ผลผา่ ตดั เนอื่ งจาก
ถงุ มอื ทใ่ี สข่ ณะทำ� ผา่ ตดั อาจรวั่ ได้ ควรถอดแหวน เครอ่ื งประดบั และนาฬกิ าออก ตดั เลบ็ ใหส้ นั้ และแคะขเ้ี ลบ็ ออกกอ่ น
เปดิ นำ้� ราดใหม้ อื และแขนเปยี กนำ�้ จนทวั่ และชะลา้ งสงิ่ สกปรกออก แลว้ ใชน้ ำ้� ยาฆา่ เชอื้ เชน่ 7.5% povidone iodine,
4% chlorhexidine gluconate เปน็ ตน้ ประมาณ 3-5 มลิ ลลิ ติ ร ฟอกมอื จนถงึ ขอ้ ศอกทงั้ 2 ขา้ งจนทว่ั นานประมาณ
2-5 นาที แล้วลา้ งน�ำ้ จนคราบน้ำ� ยาฆ่าเชอื้ ออกหมด ปดิ ก๊อกน�้ำด้วยข้อศอก เท้าหรือขาแทนการใชม้ อื เดนิ เข้าหอ้ ง
ผา่ ตดั โดยยกมอื ไวส้ งู เหนอื ขอ้ ศอก เชด็ มอื ใหแ้ หง้ ดว้ ยผา้ เชด็ มอื ทปี่ ราศจากเชอื้ ชนดิ ใชค้ รง้ั เดยี ว เชด็ แบบไมซ่ ำ�้ บรเิ วณ
ไม่ควรใช้แปรงในการขัดท�ำความสะอาดมือ ยกเว้นกรณีที่มือเปื้อนมาก แต่ต้องระวังการท�ำให้เกิดบาดแผลจาก
ขนแปรง จึงควรเลอื กใชแ้ ปรงท่ีมขี นออ่ นนมุ่ และผ่านการทำ� ใหป้ ราศจากเชอ้ื
36 แนวปฏิบตั เิ พ่อื ปอ้ งกัน
และควบคุมการติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
การทำ� ความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอลเ์ พื่อการผ่าตัด ให้ใช้ 60-95% alcohol หรือ 50-95% alcohol ที่
ผสมกับน้�ำยาฆ่าเชื้อชนิดอ่ืน เช่น chlorhexidine gluconate, quaternary ammonium compound หรือ
hexachlorophene เพื่อให้มีฤทธิ์คงค้างยับย้ังการเจริญเติบโตของเช้ือจุลชีพบนมือที่ใส่ถุงมือได้นาน ก่อนใช้
แอลกอฮอล์ในการท�ำความสะอาดมือในคร้ังแรกของวันให้ล้างมือด้วยน้�ำกับน้�ำยาฆ่าเชื้อเพ่ือชะล้างสิ่งสกปรกและ
สปอรข์ องเช้อื แบคทีเรยี ออกจากมือกอ่ น เช็ดมอื และแขนใหแ้ หง้ แลว้ จงึ ใช้ alcohol–based hand rubs ปรมิ าณ
ไมน่ อ้ ยกวา่ 6 มลิ ลิลิตร ลูบให้ทว่ั ฝ่ามอื หลงั มอื นิ้วมือ และแขน 2 ขา้ ง ถึงข้อศอกซำ�้ ๆ จนกระท่งั แอลกอฮอล์ระเหย
จนแหง้ ท้งั หมดใชเ้ วลาประมาณ 2-5 นาที
ขอ้ ปฏิบตั ิอน่ื ๆ ทเี่ ก่ียวข้องกบั การท�ำความสะอาดมือ
การลดการปนเปื้อนของเชื้อจุลชีพบนมือและประสิทธิผลของการท�ำความสะอาดมือยังขึ้นกับข้อปฏิบัติอื่นๆ
ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ การใสถ่ งุ มือ การใส่แหวน การท�ำเลบ็ และการใช้โลชัน่ ทามอื ดังนี้
การใส่ถงุ มอื
การใส่ถุงมือของบุคลากรสุขภาพช่วยลดการปนเปื้อนเช้ือจุลชีพจากผู้ป่วยได้ นอกจากนี้ถุงมือยังป้องกัน
การแพร่กระจายเช้ือจุลชีพบนมือของบุคลากรสุขภาพไปสู่ผู้ป่วยและลดการปนเปื้อนเช้ือจากผู้ป่วยรายหน่ึงแล้ว
แพร่กระจายไปสผู่ ูป้ ว่ ยรายอนื่ การใสถ่ งุ มอื ไม่สามารถป้องกนั การปนเปื้อนได้ 100% เนื่องจากถงุ มืออาจร่วั ระหวา่ ง
ใช้งาน นอกจากน้ีอาจมีการปนเปื้อนมือขณะถอดถุงมือได้ ดังน้ันแม้ว่าจะใส่ถุงมือในการปฏิบัติกิจกรรมกับผู้ป่วย
บุคลากรสุขภาพยังต้องท�ำความสะอาดมือท้ังก่อนและหลังการถอดถุงมือ ห้ามใส่ถุงมือคู่เดียวในการท�ำกิจกรรมกับ
ผู้ป่วยมากกว่า 1 คน ให้เปล่ียนถุงมือ หลังการสัมผัสกับส่วนสกปรกก่อนสัมผัสส่วนท่ีสะอาดในผู้ป่วยรายเดียวกัน
การใสถ่ งุ มอื อาจมผี ลตอ่ การทำ� ความสะอาดมอื ของบคุ ลากรสขุ ภาพ เนอ่ื งจากความรสู้ กึ วา่ การใสถ่ งุ มอื มคี วามปลอดภยั
จึงท�ำให้บุคลากรสุขภาพไม่ท�ำความสะอาดมือหลังถอดถุงมือ หรือใส่ถุงมือท�ำกิจกรรมต่อเนื่องโดยไม่เปล่ียนถุงมือ
ไม่ควรทำ� ความสะอาดมอื โดยล้างน�ำ้ หรอื ถูด้วยแอลกอฮอล์บนถุงมอื ทส่ี วมอยู่เพอื่ ใช้ถุงมือซ้�ำอกี
การใสแ่ หวน
การใส่แหวนขณะปฏิบัติงาน ท�ำให้เกิดการปนเปื้อนเชื้อจุลชีพบนมือมากข้ึนและล้างออกไม่หมด นอกจากน้ี
การใสแ่ หวนยังอาจท�ำให้ถงุ มือรัว่ และฉกี ขาดไดง้ า่ ย ดังน้นั บคุ ลากรสขุ ภาพจงึ ไมค่ วรใสแ่ หวนขณะปฏิบัติงาน
แฟชัน่ การท�ำเลบ็
เล็บท่ียาวจะเป็นแหล่งสะสมสิ่งสกปรกและเช้ือจุลชีพ การลอกของสีทาเล็บจะท�ำให้เป็นแหล่งสะสมของ
เชอ้ื จุลชพี นอกจากนกี้ ารใส่เลบ็ ปลอมยังท�ำให้มีเชอ้ื จุลชีพปนเปื้อนมากกวา่ เล็บธรรมชาติ การใสเ่ ลบ็ ปลอมยงั ทำ� ให้
บุคลากรล้างมอื นอ้ ยลงและทำ� ใหถ้ ุงมือขาดไดง้ า่ ย ดังนน้ั บคุ ลากรสุขภาพจึงไม่ควรใส่เล็บปลอมและไม่ควรไว้เลบ็
การใช้โลชัน่ ทามอื
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการท�ำความสะอาดอาจมีผลลดปริมาณไขมันในผิวหนังและเพ่ิมการสูญเสียน้�ำ นอกจากน้ี
ยังเพ่ิมการลอกหลุดของเซลล์ ท�ำให้ผิวแห้งและอักเสบ ดังนั้นบุคลากรท่ีมีความเสี่ยงต่อการเกิดผิวหนังแห้ง แตก
ควรใช้สารเพ่มิ ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง เชน่ โลชั่นหรือครมี ทาผวิ
แนวปฏบิ ตั เิ พ่ือปอ้ งกนั 37
และควบคมุ การตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
ปญั หาการทำ� ความสะอาดมือของบคุ ลากรสขุ ภาพ
บุคลากรสขุ ภาพท�ำความสะอาดมือโดยเฉลยี่ ต�ำ่ กว่า 50% ของขอ้ บ่งช้ี และลา้ งไม่ทว่ั มอื การใชแ้ อลกอฮอล์
ในปริมาณที่น้อยเกินไปท�ำให้ลูบไม่ทั่วมือ และไม่รอให้แอลกอฮอล์ระเหยแห้งก่อนปฏิบัติงานต่อไป การที่บุคลากร
สขุ ภาพไม่ท�ำความสะอาดมอื ตามขอ้ กำ� หนดดังกลา่ วเนอ่ื งจากหลายปจั จัย พอสรปุ ไดด้ ังนี้
1. ปจั จยั ส่วนบคุ คล ไดแ้ ก่
• ไม่มคี วามร้เู กี่ยวกับความส�ำคญั ของการท�ำความสะอาดมือ
• ไม่เข้าใจในวธิ กี ารทำ� ความสะอาดมอื ที่ถูกตอ้ ง
• ลา้ งมอื บ่อยแล้วทำ� ให้มือแหง้ แตก
• ไมย่ อมปฏิบัตติ ามท่ีกำ� หนด
• ใส่ถุงมือ แล้วไม่ต้องท�ำความสะอาดมอื
• ประเภทบุคลากรโดยพบว่าแพทยม์ กั จะท�ำความสะอาดมอื น้อยกว่าบคุ ลากรประเภทอ่นื
2. ปจั จยั ในหนว่ ยงาน ไดแ้ ก่ ปญั หาเกย่ี วกบั อปุ กรณก์ ารทำ� ความสะอาดมอื ไมเ่ พยี งพอหรอื ไมเ่ หมาะสม เชน่
อ่างล้างมือมีน้อย หรืออยู่ไกลจากบริเวณที่ปฏิบัติงาน ผ้าหรือกระดาษเช็ดมือ สบู่หรือน้�ำยาล้างมือมีไม่เพียงพอ
สบู่ก้อนมีคราบสกปรกติดอยู่ ท�ำให้ไม่อยากใช้ต่อ ก๊อกน�้ำเป็นแบบหมุนที่มีคราบสกปรกติดอยู่ ท�ำให้ไม่อยากจับ
ยังมปี ัจจยั อื่นอกี เช่น
• ขาดแนวปฏบิ ัติหรอื ค่มู อื การทำ� ความสะอาดมือ
• จ�ำนวนบคุ ลากรสขุ ภาพในหนว่ ยงานมนี ้อย ทำ� ใหม้ ีงานมาก งานยุ่ง ไม่มเี วลาท�ำความสะอาดมอื
• ตอ้ งรบี เรง่ ในการทำ� งาน เชน่ ในหอผูป้ ว่ ยหนกั ห้องฉกุ เฉิน เปน็ ตน้
• ไมเ่ คยมกี ารอบรมเรอื่ งการทำ� ความสะอาดมอื ขาดการกระตนุ้ จากผู้น�ำ
• ไมม่ ีตน้ แบบในกลมุ่ เพอื่ นร่วมงานหรือหัวหนา้ งาน
• ไมม่ กี ารประเมินผลหรือให้ข้อมลู ยอ้ นกลบั
• ไมม่ บี ทลงโทษ ในกรณที ี่ไมท่ ำ� หรอื ใหร้ างวลั ในกรณีท่ที �ำ
การส่งเสริมการท�ำความสะอาดมือของบุคลากรสุขภาพ
การกระตนุ้ และส่งเสรมิ ให้บคุ ลากรสุขภาพมกี ารทำ� ความสะอาดมอื เพม่ิ ขน้ึ มหี ลายวธิ กี าร ไดแ้ ก่ การอบรมให้
ความรู้ การแจกแผ่นพับ การตดิ โปสเตอร์เตอื น การใหผ้ ปู้ ว่ ยกระตนุ้ เตอื น การให้เพ่อื นเตอื นเพ่ือน การเพมิ่ อปุ กรณ์
เช่น อ่างล้างมือ ผา้ เช็ดมอื การก�ำหนดเป็นนโยบายของหน่วยงาน การเปลย่ี นเป็นการใชส้ บ่ทู ี่มสี ารเพ่ิมความนุม่ ของ
ผิวหนังและการเพ่ิมการใช้แอลกอฮอล์ ควรใช้หลายวิธไี ปพรอ้ ม ๆ กัน
การสง่ เสรมิ การท�ำความสะอาดมอื มกี ลยทุ ธ์ 5 ประการ ดงั น้ี
1. การเปลยี่ นระบบ เชน่ การสง่ เสริมการใช้แอลกอฮอลถ์ มู อื
2. การอบรม
3. การประเมินผลและให้ขอ้ มลู ยอ้ นกลับ
4. การเตอื นดว้ ยเอกสารแผน่ พับ เสยี ง หรือใหเ้ พอื่ นร่วมงานหรอื ผูป้ ่วยเตือน
5. การสรา้ งวฒั นธรรมในองคก์ รเกยี่ วกบั ความปลอดภยั ของผปู้ ว่ ย บคุ ลากร และการทำ� ความสะอาดมอื
38 แนวปฏบิ ัตเิ พอ่ื ป้องกัน
และควบคมุ การตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
การประเมินผลการทำ� ความสะอาดมอื ของบุคลากรสขุ ภาพ
ภายหลังการด�ำเนินการส่งเสริมการท�ำความสะอาดมือของบุคลากรสุขภาพในโรงพยาบาล โรงพยาบาลอาจ
ตดิ ตามประเมนิ ผลดังนี้
1. การสังเกตการปฏิบัติของบุคลากรสุขภาพในการท�ำความสะอาดมือ โดยสังเกตพฤติกรรมการท�ำ
ความสะอาดมือขณะปฏิบัติงานว่า ท�ำตามข้อบ่งช้ี ท�ำความสะอาดได้ทั่วมือ (ครบข้ันตอน) และใช้เวลานานตามที่
กำ� หนดหรอื ไม่ การสงั เกตควรทำ� กบั บคุ ลากรสขุ ภาพทกุ ประเภททสี่ มั ผสั กบั ผปู้ ว่ ย โดยใชว้ ธิ กี ารสมุ่ สงั เกตใหค้ รอบคลมุ
ทุกหนว่ ยงานและรอบเวลาการท�ำงาน (เวร)
2. การรายงานปรมิ าณการใชแ้ อลกอฮอล์ สบู่ หรอื นำ�้ ยาฆา่ เชอ้ื ทใี่ ชท้ ำ� ความสะอาดมอื เปน็ วธิ กี ารประเมนิ ผล
ทางอ้อม
3. การรายงานจ�ำนวนการใช้ผา้ หรอื กระดาษเชด็ มอื ตอ่ เดอื น
4. การรายงานผลกระทบจากการทำ� ความสะอาดมอื เชน่ การลดลงของการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล การลดลง
ของการแพร่กระจายเช้อื ดอ้ื ยา ค่าใชจ้ า่ ยในการสง่ เสริมการทำ� ความสะอาดมอื เปรียบเทียบกับคา่ ใช้จา่ ยในการรักษา
การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล เป็นตน้
แนวปฏบิ ตั เิ พ่ือปอ้ งกัน 39
และควบคมุ การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
บ5ทท่ี
การป้องกัน
ปอดอกั เสบทสี่ ัมพันธก์ บั การใช้เครื่องช่วยหายใจ
ปอดอักเสบจากการใช้เครอื่ งช่วยหายใจ (ventilator–associated pneumonia: VAP) หมายถึง ปอดอักเสบ
ในผปู้ ว่ ยทใี่ ชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ โดยผปู้ ว่ ยตอ้ งไดร้ บั การใสเ่ ครอ่ื งชว่ ยหายใจมากกวา่ 1 วนั ปฏทิ นิ ขน้ึ ไป (ตอ้ งนบั ตงั้ แต่
วันปฏิทินท่ี 3 เปน็ ตน้ ไป) และวนิ ิจฉัย VAP ขณะท่ียงั ใสเ่ ครือ่ งชว่ ยหายใจอยู่ หรอื วินจิ ฉัย VAP หลังจากถอดเครอื่ ง
ช่วยหายใจออกไม่เกิน 2 วันปฏิทิน (ภายในวันที่ถอดเคร่ืองช่วยหายใจหรือวันรุ่งขึ้นเท่าน้ัน) และในผู้ป่วยท่ีมี
ปอดอกั เสบอยแู่ ลว้ และได้รบั การรกั ษาจนอาการดีข้ึนแล้ว (เช่น ไข้ลดลงตดิ ต่อกนั เสมหะน้อยลง ผ้ปู ว่ ยหายใจดขี ึ้น)
แลว้ มอี าการของปอดอกั เสบเกดิ ขนึ้ ใหม่ ซง่ึ อาจมสี าเหตจุ ากเชอื้ ตวั เดมิ หรอื เชอื้ ตวั ใหม่ ใหถ้ อื เปน็ การเกดิ ปอดอกั เสบ
คร้งั ใหม่
ปอดอักเสบทีส่ มั พนั ธก์ ับการใช้เครอื่ งชว่ ยหายใจ เปน็ ต�ำแหน่งการติดเช้อื ทพี่ บมากทสี่ ดุ ในประเทศไทย และมี
อตั ราตายสูง การปอ้ งกนั ภาวะนี้ต้องกระท�ำในทุกข้ันตอนทเี่ ก่ยี วข้อง ไดแ้ ก่
1. การท�ำความสะอาดมอื (hand hygiene)
2. การใสท่ ่อหลอดลมคอและการเจาะคอ
3. การจดั ทา่ ผูป้ ่วย
4. การดูดเสมหะ
5. การดูแลเครอื่ งช่วยหายใจ
6. การดูแลสขุ ภาพช่องปาก
7. การหยา่ เครอื่ งชว่ ยหายใจ
8. การปอ้ งกนั การตดิ เช้อื
40 แนวปฏบิ ตั ิเพื่อปอ้ งกัน
และควบคุมการติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
การทำ� ความสะอาดมือ (hand hygiene)
ทำ� ความสะอาดมือกอ่ น และหลังการปฏิบตั ิแต่ละกจิ กรรมกับผู้ปว่ ยอย่างถกู ต้องตามวิธีการทก่ี ำ� หนด
การใส่ทอ่ หลอดลมคอและการเจาะคอ
ถา้ เป็นไปได้ แนะนำ� ใช้ Noninvasive positive pressure ventilator เพือ่ หลกี เลี่ยงการใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ
แต่ถ้าจ�ำเป็นต้องใส่ ควรท�ำในห้องผ่าตัด เลือกท่อ (endotracheal/tracheostomy tube) ที่ขนาดพอเหมาะกับ
ผู้ป่วย ยดึ หลักเทคนิคปลอดเชอื้ (Aseptic technique) ขณะใหก้ ารดแู ลผปู้ ่วย
การดูแลแผลเจาะคอ ควรท�ำความสะอาดแผลเจาะคออย่างน้อยวันละ 3 คร้ัง หรือเม่ือสกปรกด้วยเทคนิค
ปลอดเช้อื และรองดว้ ยผ้าก๊อซปราศจากเชื้อทกุ ครัง้ ทำ� ความสะอาดท่อช้นั ในของทอ่ เจาะคออย่างน้อยทกุ 8 ชัว่ โมง
การจดั ท่าผู้ป่วย
ให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง 30-45 องศา เพ่ือป้องกันการส�ำลัก ในกรณีท่ีไม่ได้ปฏิบัติกิจกรรมที่จ�ำเป็นต้อง
นอนราบ และไมม่ ีข้อห้ามทางการแพทย์ เช่น hemodynamic instability
การดูดเสมหะ
ดดู เสมหะเม่ือมีขอ้ บ่งช้ี และดูดใหถ้ ูกวิธี ต้องดดู สารคัดหลงั่ ในชอ่ งปากก่อนดดู เสมหะในทอ่ ช่วยหายใจ โดยใช้
สายดดู เสมหะอกี เสน้ หนง่ึ พจิ ารณาการใชส้ ายดดู เสมหะระบบปดิ (closed suction) โดยเฉพาะถา้ ผปู้ ว่ ยตดิ เชอ้ื ดอ้ื ยา
ถ้ามีท่อช่วยหายใจท่ีมี subglottic suction จะช่วยให้ดูดเสมหะบริเวณเหนือ cuff ซ่ึงเป็นสาเหตุของปอดอักเสบ
ท่สี มั พันธก์ บั การใชเ้ ครอ่ื งชว่ ยหายใจ
ข้อบง่ ช้ีการดดู เสมหะ
1. หลังเจาะคอใหม่ๆ
2. เมอื่ มเี สมหะปริมาณมาก
3. ก่อนพลกิ ตวั ผปู้ ่วยหรือจัดทา่ ใหม่
4. กอ่ นจะดดู ลมออกจาก cuff ของท่อชว่ ยหายใจ (deflate cuff) เพอ่ื เอาท่อหลอดลมคอออก
5. กอ่ นให้อาหารทางสายยางท่ใี สเ่ ข้าทางจมกู
การเตรยี มเครื่องดูดเสมหะและการดดู เสมหะ
ตั้งแรงดูดส�ำหรับเด็กเล็ก 90-120 มิลลิเมตรปรอท ผู้ใหญ่ 160-180 มิลลิเมตรปรอท สายดูดเสมหะ
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกไม่เกินครึ่งหนึ่งของเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อใส่หลอดลม ขวดรองรับเสมหะเปล่ียน
ทกุ 8 ชวั่ โมง
การดดู เสมหะ ผปู้ ฏบิ ตั สิ วมหนา้ กากอนามยั (Surgical Mask ถา้ เปน็ โรคตดิ ตอ่ อบุ ตั ใิ หม/่ อบุ ตั ซิ ำ�้ ใหใ้ ช้ N95 mask)
และสวมแว่นปอ้ งกันตา สวมถงุ มอื ปราศจากเชือ้ ทีม่ ือขา้ งถนดั ทจ่ี ับสายดดู เสมหะ เปิดเครอ่ื งดว้ ยมอื อีกข้าง ใหผ้ ู้ป่วย
ไอก่อนดูด ปลดสายต่อเข้าเครื่องช่วยหายใจออกจากท่อช่วยหายใจของผู้ป่วย ต้องเช็ดปลายเปิดท่อช่วยหายใจ
แนวปฏบิ ตั เิ พ่ือปอ้ งกัน 41
และควบคมุ การตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
และปลายขอ้ ต่อของเครื่องช่วยหายใจ ดว้ ยแอลกอฮอล์ 70% และแขวนหรอื วางไวโ้ ดยระมดั ระวงั การปนเปอ้ื น สอด
สายดูดในผู้ป่วยผู้ใหญ่ให้ลึก 15-20 เซนติเมตร จากปากท่อหลอดลมคอ เอามืออีกข้างอุดท่อตัว Y เพ่ือให้เกิด
แรงดูด คอ่ ยๆ ดงึ สายดูดออกพร้อมกับหมนุ สายดูดไปซา้ ยและขวา ใชเ้ วลาสอดและดงึ สายดูดออกไม่เกนิ 10 วนิ าที
ในผใู้ หญ่ และ 5 วนิ าทีในเด็ก ถ้าต้องการดดู เสมหะซ�้ำต้องรอใหผ้ ปู้ ว่ ยหายใจกอ่ น 2-3 นาที เมือ่ ดดู เสมหะเสร็จแลว้
ใหถ้ อดสายดดู ทิง้ ถังมูลฝอยติดเช้ือที่มฝี าปิดมดิ ชิด ถอดถุงมอื ล้างมอื แบบ hygienic handwashing
การดแู ลเครอ่ื งช่วยหายใจ
1. ไม่ควรเปลยี่ น Ventilator circuits และ/หรือ in-line closed suction catheters บ่อยกวา่ ทุก 7 วนั
ยกเว้นสกปรก หรือช�ำรุด
2. ระวังและเทน�้ำที่ตกค้างใน Ventilator circuits ออกอย่างสม�่ำเสมอโดยเฉพาะก่อนเปล่ียนท่าผู้ป่วย
ทกุ คร้ัง โดยใชเ้ ทคนิคปลอดเช้อื ระมัดระวงั เปน็ พิเศษไม่ให้น�้ำไหลเข้าทางผูป้ ่วยและ inline nebulizers
3. ยดึ ตรึงทอ่ หลอดลม ระมัดระวังไม่ใหท้ ่อหลอดลมเลอื่ นหลดุ และป้องกนั มิใหผ้ ปู้ ว่ ยดึงท่อหลอดลม
4. วดั intracuff pressure ของทอ่ หลอดลมอย่างน้อยทุก 12 ชว่ั โมง และปรบั intracuff pressure ให้มี
ค่า 20-30 เซนติเมตรน�ำ้
5. ใช้น�้ำปราศจากเชื้อในเคร่ืองสร้างความช้ืน (humidifier) ของเครื่องช่วยหายใจชนิดระบบเปิด การเปิด
ปิดฝา การสัมผัสเคร่ืองให้ใช้เทคนิคปลอดเชื้อ ให้เปลี่ยนขวด humidifier ทุก 8 ชั่วโมง ถ้าเป็นเครื่องสมัยใหม่
ตอ่ กับขวดน�้ำแบบระบบปิดไม่ต้องเปลีย่ น
6. ใช้ resuscitator bag และหวั ต่อ 1 ชดุ ต่อผู้ปว่ ย 1 ราย สำ� หรบั หวั ตอ่ ของ resuscitator bag ให้เช็ดดว้ ย
แอลกอฮอล์ 70% และหุ้มปิดด้วยวัสดุสะอาดก่อนเก็บเข้าท่ีและควรเปลี่ยน resuscitator bag ใหม่เมื่อสกปรก
แขวน resuscitator bag ในทีส่ ะอาด อย่าวาง resuscitator bag บนเตยี งผู้ปว่ ย
การดแู ลสขุ ภาพช่องปาก
แปรงฟัน หรือท�ำความสะอาดช่องปากอย่างน้อยวันละ 4 คร้ัง ด้วยวิธีที่เหมาะสม แนะน�ำให้ใช้ 0.12%
Chlorhexidine oral rinse ถา้ ไม่มขี อ้ หา้ ม เช่น แพ้ CHG, oral ulcer, mucositis จดั ให้ผปู้ ว่ ยนอนในท่าศีรษะสงู
ตะแคงหน้าไปดา้ นใดด้านหนง่ึ ขณะทำ� ความสะอาดชอ่ งปาก เพื่อปอ้ งกันการสำ� ลกั
การหย่าเคร่อื งชว่ ยหายใจ
ใชย้ าคลายกลา้ มเนอ้ื หรอื ยานอนหลบั นอ้ ยทส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ำ� เปน็ แนะนำ� ใหห้ ยดุ ยานอนหลบั หรอื ยาคลายกลา้ มเนอ้ื
วนั ละ 1 คร้งั (spontaneous awakening trials) ถ้าไม่มีข้อห้าม ประเมินความสามารถในการหายใจไดเ้ องของ
ผปู้ ว่ ย และความพรอ้ มสำ� หรบั การถอดทอ่ ชว่ ยหายใจ (spontaneous breathing trials) ผปู้ ว่ ยอยา่ งนอ้ ยวนั ละ 1 ครงั้
ถา้ อาการดีข้นึ ใหค้ ่อยๆ หย่าเคร่ืองชว่ ยหายใจจนหยุดการใช้เครอื่ งช่วยหายใจ
42 แนวปฏิบตั ิเพ่อื ป้องกนั
และควบคุมการตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
บ6ทที่
การปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื
ในระบบทางเดนิ ปัสสาวะที่สัมพนั ธ์กบั การใสส่ ายสวน
ปัสสาวะ (Catheter-associated Urinary Tract
Infection)
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะท่ีสัมพันธ์กับการใส่สายสวนปัสสาวะ (Catheter-associated Urinary
Tract Infection) หมายถึง การติดเช้ือระบบทางเดินปัสสาวะโดยผู้ป่วยต้องมีการคาสายสวนปัสสาวะมามากกว่า
2 วนั ปฏทิ นิ และมอี าการหรอื อาการแสดงในขณะคาสายสวนปสั สาวะ หรอื ถอดสายสวนปสั สาวะออกไปไมเ่ กนิ 1 วนั
ระบาดวทิ ยาการตดิ เชื้อในระบบทางเดินปสั สาวะท่ีสมั พนั ธก์ บั การใสส่ ายสวนปัสสาวะ
การตดิ เชือ้ ในระบบทางเดนิ ปัสสาวะท่สี ัมพนั ธ์กบั การใสส่ ายสวนปสั สาวะ เปน็ การติดเช้ือในโรงพยาบาลท่พี บ
ได้บอ่ ย เนือ่ งมาจากการใส่สายสวนปสั สาวะเป็นหตั ถการท่ีทำ� บ่อย และคาสายสวนปสั สาวะไวเ้ ปน็ เวลานาน
เช้ือก่อโรคของการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนใหญ่เป็นเชื้อแบคทีเรียทรงแท่งกรัมลบ เช่น
Escherichia coli, Klebsilla pneumoniae และ Pseudomonas aeruginosa ฯลฯ
ชุดการดูแลเพอ่ื ปอ้ งกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะที่สัมพนั ธ์
กับการใส่สายสวนปัสสาวะ
ชุดการดแู ล (bundle of care) เพือ่ ป้องกันการตดิ เชื้อในระบบทางเดนิ ปสั สาวะทส่ี มั พนั ธ์กบั การใส่สายสวน
ปัสสาวะ ประกอบด้วย
1. ใส่สายสวนปสั สาวะเฉพาะในรายทมี่ ขี อ้ บง่ ช้ี
2. ใช้เทคนิคปลอดเชอื้ ขณะใสส่ ายสวนปสั สาวะ
3. ดแู ลผปู้ ่วยทีค่ าสายสวนปสั สาวะตามแนวปฏิบตั ิ
4. ประเมนิ ความจ�ำเปน็ ในการใสส่ ายสวนปัสสาวะทกุ วันและถอดออกทนั ที เม่ือหมดข้อบ่งชี้
แนวปฏิบตั เิ พื่อปอ้ งกัน 43
และควบคมุ การตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
ข้อบง่ ชี้ในการใสส่ ายสวนปัสสาวะ
1. มภี าวะอดุ กนั้ ระบบทางเดนิ ปสั สาวะ
2. เกิดภาวะวกิ ฤตจ�ำเป็นต้องบันทึกปรมิ าณปสั สาวะ เชน่ ผู้ป่วยชอ็ ค
3. ผู้ป่วยท่ีได้รับการผ่าตัดในระบบทางเดินปัสสาวะ การผ่าตัดระบบอวัยวะสืบพันธุ์ที่อยู่ใกล้เคียงกับ
ระบบทางเดนิ ปสั สาวะ การผา่ ตดั ทใ่ี ชเ้ วลานาน การผา่ ตดั ทมี่ กี ารใหย้ าขบั ปสั สาวะขณะผา่ ตดั การผา่ ตดั ทต่ี อ้ งบนั ทกึ
ปรมิ าณปัสสาวะขณะผา่ ตัด
4. ผู้ป่วยทมี่ ีแผลบรเิ วณฝีเย็บหรอื บรเิ วณก้นกบ และกล้ันปัสสาวะไม่ได้
5. ผู้ป่วยท่ีจ�ำเป็นต้องจ�ำกัดการเคล่ือนไหวเป็นเวลานาน เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะบาดเจ็บรุนแรงบริเวณ
กระดกู สนั หลัง ผ้ปู ว่ ยทีไ่ ดร้ บั บาดเจ็บหลายอวยั วะ ฯลฯ
ในกรณที ต่ี อ้ งระบายปสั สาวะเปน็ เวลานาน อาจใชว้ ธิ กี ารสวนเปน็ ครง้ั คราว (intermittent catheterization)
หรือใช้วิธีการอนื่ แทนการคาสายสวนปสั สาวะ เพือ่ ช่วยลดอัตราการตดิ เชอ้ื
ไม่ควรใส่สายสวนปสั สาวะในกรณี :
1. เพือ่ ทดแทนการพยาบาลผู้ป่วยหรือผทู้ ี่อาศยั ในสถานดูแลท่ีกลั้นปสั สาวะไม่ได้
2. เพ่ือเก็บปัสสาวะส่งตรวจเพาะเช้ือหรือส่งตรวจเพื่อการวินิจฉัยอย่างอื่น กรณีท่ีผู้ป่วยสามารถถ่าย
ปัสสาวะไดเ้ อง
ข้อพิจารณาการเลือกใช้วิธีการอื่นแทนการสวนคาสายสวนปัสสาวะ ให้พิจารณาตามความเหมาะสม
ดังนี้
1. ใช้ถุงยางอนามัยรองรบั ในผ้ปู ว่ ยชายทไ่ี ม่มภี าวะปสั สาวะอดุ ก้ันของระบบทางเดินปสั สาวะ
2. การสวนเปน็ ครัง้ คราว (intermittent catheterization)
ในผู้ป่วยที่จ�ำเป็นต้องคาสายสวนปัสสาวะ ป้องกันการติดเช้ือได้โดยการท�ำหัตถการและการดูแลท่ีถูกต้อง
การใส่สายสวนปสั สาวะต้องกระท�ำโดยผทู้ ่ีได้รบั การฝึกอบรม
การปอ้ งกนั การติดเชอ้ื ในระบบทางเดินปสั สาวะทีส่ ัมพันธก์ ับการใสส่ ายสวนปัสสาวะ แบง่ เปน็ 2 ระยะ คอื
1. การใสส่ ายสวนปสั สาวะ
2. การดูแลสายสวนและระบบระบายน้ำ� ปสั สาวะ
การสวนปสั สาวะ
การสวนปัสสาวะในสถานพยาบาล ใช้เทคนิคปลอดเชื้อ
1. ลา้ งมอื แบบ hygienic handwashing ก่อนการจดั เตรยี มชดุ สวนปสั สาวะ
2. เตรยี มชดุ ทำ� ความสะอาดอวยั วะสบื พนั ธภ์ุ ายนอกและอปุ กรณส์ ะอาดทจี่ ำ� เปน็ อนื่ ๆ สำ� หรบั การใสส่ วนปสั สาวะ
เชน่ ถงุ มอื สะอาด ผ้าปิดตาผปู้ ่วย สบู่ น�ำ้ กลน่ั ชามรูปไต และพลาสเตอร์ เป็นตน้
3. อธิบายให้ผู้ป่วยทราบกอ่ นใส่สายสวนปสั สาวะ
4. จัดท่านอนผปู้ ว่ ย โดยผ้ปู ว่ ยชาย นอนหงาย เท้าราบ แยกขาออก และผู้ป่วยหญิง นอนหงาย ชันเขา่
44 แนวปฏิบัตเิ พอื่ ปอ้ งกนั
และควบคมุ การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
5. ล้างมือด้วยน�้ำและสบู่ (normal handwashing) หรือน้�ำกับน�้ำยาฆ่าเชื้อ (hygienic handwashing)
สวมถุงมือสะอาด เช็ดท�ำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ด้วยน�้ำและสบู่ และเช็ดรูเปิดท่อปัสสาวะด้วยน�้ำ
ปราศจากเชอ้ื
6. ถอดถุงมอื สะอาดออก
7. ล้างมือแบบ hygienic handwashing
8. เตรียมอุปกรณส์ วนปัสสาวะปราศจากเชื้อโดยใช้เทคนิคปลอดเชอ้ื ไดแ้ ก่ สายสวนปสั สาวะปราศจากเช้อื
ขนาดเหมาะสมกับผู้ป่วย เพื่อลดการบาดเจ็บที่ท่อปัสสาวะ (เพศชาย 14-16 Fr. เพศหญิง 12-14 Fr. ผู้ป่วย
สูงอายุ 22-24 Fr. และผู้ป่วยเด็ก 8-10 Fr.) ถุงรองรับปัสสาวะ ถุงมือปราศจากเช้ือ ผ้าปูปราศจากเชื้อ น�้ำยา
ฆ่าเชื้อทเ่ี หมาะสมส�ำหรบั การทำ� ความสะอาดรอบๆ ท่อปัสสาวะ น้�ำกล่ันปราศจากเชื้อ กระบอกฉีดยาปราศจากเช้อื
และสารหลอ่ ลื่นปราศจากเช้อื ชนดิ ใชค้ ร้งั เดียวทิ้ง
9. สวมถงุ มือปราศจากเชอ้ื หลอ่ ลนื่ สายสวนด้วยสารหล่อลืน่ ปราศจากเชอ้ื
10. ปผู ้าสเ่ี หลีย่ มเจาะกลางปราศจากเชอ้ื
11. เช็ดทำ� ความสะอาดอวัยวะสบื พนั ธแุ์ ละรเู ปิดท่อปสั สาวะดว้ ยนำ�้ สะอาด
12. สอดใสส่ ายสวนปัสสาวะ
• ผปู้ ่วยชาย ร้ังองคชาตให้ท�ำมุม 60-90 องศากับล�ำตัว จับสายสวนปัสสาวะสอดเขา้ ทอ่ ปสั สาวะด้วย
ความนุ่มนวล ใส่เข้าไปลึก 6-8 นิ้ว หรือจนสุดสายสวน หรือจนกว่าจะมีปัสสาวะไหลออกมา และ
รอจนปสั สาวะหยุดไหล
• ผปู้ ว่ ยหญงิ ใชน้ ว้ิ หวั แมม่ อื และนว้ิ ชแ้ี หวก labia จนเหน็ รเู ปดิ ทอ่ ปสั สาวะ แลว้ จงึ สอดสายสวนปสั สาวะ
เข้าท่อปัสสาวะด้วยความนุ่มนวล ใส่เข้าไปลึกประมาณ 2-3 นิ้ว หรือจนกว่าจะมีปัสสาวะไหลออก
และรอจนปสั สาวะหยุดไหล
12.1 กรณที ไี่ ม่ตอ้ งการคาสายสวนปสั สาวะ
12.1.1 ดึงสายสวนปัสสาวะออกดว้ ยความนุ่มนวล
12.1.2 ถอดถุงมือ แลว้ ลา้ งมือด้วยน้�ำและน้ำ� ยาฆ่าเชือ้ (hygienic handwashing)
12.2 กรณีท่ตี อ้ งการคาสายสวนปัสสาวะ
12.2.1 ฉีดนำ้� เขา้ ลูกโปง่ สายสวนประมาณ 10-20 มล. แลว้ คอ่ ยๆ ดงึ สายสวนออกจนลูกโป่งตรึง
ติดกระชับกับส่วนล่างของกระเพาะปัสสาวะ ต่อสายสวนปัสสาวะเข้ากับท่อระบาย
ลงสถู่ ุงปสั สาวะ
12.2.2 ตรึงสายสวนด้วยพลาสเตอร์ ส�ำหรับผู้ป่วยผู้ชายตรึงกับโคนขาด้านหน้าหรือหน้าท้อง
สว่ นผู้ปว่ ยหญงิ ตรึงกับโคนขาด้านใน
12.2.3 จดั สายสวนและสายต่อเข้าถุงปัสสาวะให้ลาดลงสู่ถงุ ปัสสาวะ
12.2.4 แขวนถงุ ปสั สาวะไว้ข้างเตียง ให้ถงุ สงู จากพื้น และต่�ำกว่าระดับกระเพาะปัสสาวะเสมอ
12.2.5 ถอดถงุ มอื แลว้ ลา้ งมอื แบบ hygienic handwashing
แนวปฏิบตั เิ พือ่ ปอ้ งกัน 45
และควบคุมการติดเช้อื ในโรงพยาบาล
การดูแลสายสวนและระบบระบายน�้ำปสั สาวะ
1. ล้างมอื และสวมถุงมอื สะอาดก่อนจบั ตอ้ งสายสวนปสั สาวะและถุงปัสสาวะทุกคร้ัง
2. ท�ำความสะอาดบริเวณอวัยวะสบื พันธแุ์ ละรูเปดิ ทอ่ ปสั สาวะดว้ ยนำ�้ และสบูอ่ ย่างน้อยวันละ 2 คร้ัง และ
ทกุ ครงั้ หลงั ถ่ายอุจจาระหรือเมอ่ื สกปรก
3. ดแู ลสายสวนปัสสาวะให้เป็นระบบปดิ ตลอดเวลา
4. ดูแลสายสวนปัสสาวะไมใ่ ห้หักพับงอ ใหน้ �้ำปสั สาวะไหลลงถุงได้สะดวก จดั ใหถ้ ุงปัสสาวะอยตู่ �่ำกว่าระดบั
กระเพาะปัสสาวะ ไม่วางถงุ รองปัสสาวะไว้บนพ้ืน
5. การเคลอ่ื นยา้ ยผปู้ ว่ ย ตอ้ งใหถ้ งุ รองรบั ปสั สาวะอยตู่ ำ�่ กวา่ ระดบั กระเพาะปสั สาวะเสมอ กรณที ไี่ มส่ ามารถ
ใหถ้ งุ ปัสสาวะอยู่ต่ำ� กว่าระดับกระเพาะปสั สาวะใหห้ นีบสายสวนปัสสาวะ
6. การเทปัสสาวะ ให้เทปสั สาวะเมอื่ ปัสสาวะมีปรมิ าณ ¾ ของถงุ หรือตามเวลาที่กำ� หนด สวมถุงมอื สะอาด
เทปสั สาวะออกจากถงุ รองรบั ปสั สาวะดว้ ยเทคนคิ ปลอดเชอื้ โดยใชน้ ำ�้ ยาทำ� ลายเชอ้ื เชด็ บรเิ วณรอบปลายเปดิ ถงุ รองรบั
ปัสสาวะก่อนและหลังเทปัสสาวะ เทน�้ำปัสสาวะจากถุงรองรับปัสสาวะโดยใช้ภาชนะรองรับปัสสาวะแยกกันใน
ผู้ป่วยแตล่ ะราย เปลยี่ นถงุ มอื คใู่ หมใ่ นการเทปสั สาวะในผ้ปู ว่ ยแตล่ ะราย
7. กรณีที่มีการอุดตันของสายสวนปัสสาวะ ไม่แนะน�ำให้สวนล้างกระเพาะปัสสาวะ ควรเปลี่ยนสายสวน
ปัสสาวะทั้งระบบ
8. การสวนล้างกระเพาะปัสสาวะ ไม่ควรปฏิบัติเป็นประจ�ำ เมื่อจ�ำเป็นต้องสวนล้างกระเพาะปัสสาวะเพ่ือ
การรักษา ควรสวนล้างกระเพาะปสั สาวะด้วยระบบปดิ โดยใชเ้ ทคนิคปลอดเชอื้
9. การเก็บปัสสาวะเพ่อื ส่งตรวจ ใหใ้ ช้เทคนิคปลอดเชือ้
9.1 กรณีต้องการตรวจวิเคราะห์ปสั สาวะ (urine examination) หรือตรวจเพาะเชือ้ (urine culture)
ควรดูดปัสสาวะจากสายสวนปัสสาวะด้วยเข็มปราศจากเชื้อขนาดเล็ก (No. 23) และใช้เทคนิค
ปลอดเชื้อ
9.2 กรณีต้องการปริมาณปัสสาวะจ�ำนวนมากเพ่ือส่งตรวจ ให้เทจากถุงรองรับปัสสาวะโดยใช้เทคนิค
ปลอดเชอ้ื
10. ผปู้ ว่ ยทค่ี าสายสวนปสั สาวะไวน้ าน ควรพจิ ารณาสวนปสั สาวะแบบครงั้ คราว (intermittent catheterization)
11. ไม่ต้องเปล่ียนสายสวนปัสสาวะและถุงรองรับปัสสาวะเป็นประจ�ำ ให้พิจารณาเปล่ียนสายสวนปัสสาวะ
และถงุ รองรบั ปสั สาวะในกรณีท่มี กี ารอุดตนั หรือรัว่
การถอดสายสวนปสั สาวะ
1. ควรถอดสายสวนปสั สาวะออกทันทเี มือ่ หมดขอ้ บ่งช้ี
2. ท�ำความสะอาดมือดว้ ยน้�ำและสบู่ (normal handwashing) ใส่ถงุ มือสะอาด
3. อธิบายใหผ้ ปู้ ว่ ยทราบกอ่ นถอดสายสวนปัสสาวะ เพ่ือให้ผูป้ ่วยใหค้ วามรว่ มมอื
4. ทำ� ความสะอาดอวยั วะสืบพนั ธ์ุภายนอกด้วยสบแู่ ละน้�ำสะอาด
46 แนวปฏบิ ัติเพอื่ ปอ้ งกนั
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
5. ดดู น�้ำออกจากบอลลนู
6. ดงึ สายสวนปสั สาวะออกด้วยความนุ่มนวล
7. ถอดถุงมอื ออก และท�ำความสะอาดมอื (hygienic handwashing)
การเปลย่ี นสายสวนและชุดระบายน้�ำปสั สาวะ
เปลยี่ นสายสวน ทอ่ ระบาย และถุงรองรบั ปสั สาวะ เม่ือชำ� รดุ ร่ัว หรืออดุ ตัน
ส่งิ ที่ไมค่ วรปฏบิ ัติ
1. การใส่ยาต้านจลุ ชีพหรือน้ำ� ยาท�ำลายเช้อื เข้าถงุ ปสั สาวะ
2. ทำ� ความสะอาดอวัยวะเพศด้วยน�ำ้ ยาฆ่าเชอื้
3. การส่งปัสสาวะตรวจ และ/หรือ เพาะเช้ือในผู้ปว่ ยทีไ่ ม่มอี าการของการตดิ เช้อื ทางเดนิ ปสั สาวะ
4. การสวนล้างกระเพาะปสั สาวะ โดยไม่มีข้อบ่งชี้
5. การให้ยาต้านจุลชพี เพ่อื ปอ้ งกันการตดิ เชอื้
6. การเปลีย่ นสายสวนและชดุ ระบายนำ�้ ปสั สาวะเป็นประจ�ำ (routine)
7. การส่งปลายสายสวนปัสสาวะเพาะเชือ้
การสวนปสั สาวะเปน็ ครั้งคราวโดยใช้เทคนิคสะอาด
การสวนปสั สาวะนอกสถานพยาบาล ในผูป้ ว่ ยทม่ี ีความจำ� เปน็ ต้องสวนปสั สาวะเป็นครงั้ คราว (intermittent
catheterization) เปน็ ระยะเวลานาน สามารถท�ำไดโ้ ดยใชเ้ ทคนคิ สะอาด (clean intermittent catheterization)
ประโยชนข์ องการสวนปัสสาวะเป็นคร้ังคราวโดยใช้เทคนิคสะอาด
1. ช่วยลดปัญหาการติดเชอื้ ของระบบทางเดินปสั สาวะและการเสื่อมสภาพของไตไดด้ ีกวา่ วธิ ีอื่น
2. ช่วยให้การทำ� งานของกระเพาะปสั สาวะกลับเขา้ สู่สภาพปกตไิ ด้เรว็ ขนึ้ ในบางกรณี
3. หลกี เลีย่ งภาวะแทรกซ้อนทีอ่ าจเกิดข้นึ จากการใส่คาสายสวนปสั สาวะ
4. กรณีท่ีผู้ปว่ ยสวนปัสสาวะด้วยตนเอง จะช่วยลดภาระต่อผู้อืน่ และเพมิ่ กำ� ลงั ใจของผ้ปู ว่ ย
5. ช่วยใหผ้ ู้ป่วยมีคณุ ภาพของชวี ิตดีขนึ้
การสวนปัสสาวะเป็นครั้งคราวโดยใช้เทคนคิ สะอาด แบ่งเป็น 2 ชนดิ คอื
1. การสวนปสั สาวะโดยตัวผปู้ ว่ ยเอง สำ� หรบั ผูท้ ่สี วนปัสสาวะดว้ ยตนเอง โดยเฉพาะผู้หญิง อาจมีความยาก
ล�ำบากในระยะเร่ิมต้น แต่เม่อื ทำ� บ่อยๆ กจ็ ะท�ำให้เกดิ ความช�ำนาญ และท�ำได้ง่ายขน้ึ
2. การสวนปัสสาวะโดยผอู้ นื่ เช่น ญาตหิ รือผู้ดูแล กรณีทเ่ี ปน็ ผ้ปู ว่ ยเดก็ พอ่ แม่หรือญาตหิ รอื ผ้ดู แู ลจะเปน็
ผ้ทู �ำให้
ในกรณที ม่ี ีการอุดก้ันของทางเดนิ ปสั สาวะส่วนล่างอาจทำ� ให้สวนปัสสาวะลำ� บาก ควรรบี ปรกึ ษาแพทย์
แนวปฏบิ ัติเพือ่ ป้องกนั 47
และควบคุมการติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
อุปกรณ์การสวนปสั สาวะ
1. สายสวนปสั สาวะ อาจเปน็ สายยางแดง หรือสายซลิ ิโคน
2. สบู่ หรอื นำ�้ ยาฆา่ เชือ้ เชน่ เบตา้ ดนี หรอื คลอเฮกซิดนี
3. นำ้� ตม้ สกุ
4. สำ� ลสี ะอาด ประมาณ 7 ก้อน
5. สารหลอ่ ลื่นสายสวนปสั สาวะก่อนทจ่ี ะสวนปสั สาวะ
6. ภาชนะใสส่ บู่หรอื น�ำ้ ยาฆา่ เชอื้ และอกี 1 ใบใสน่ ำ�้ ปสั สาวะทสี่ วนออกมาจากตวั ผู้ป่วย
7. กระจกเงา ก่อนจะสวนปัสสาวะให้ผู้ป่วยใช้กระจกเงาส่องดูท่อปัสสาวะ เพ่ือให้เห็นชัดเจนข้ึน แต่ถ้า
ผปู้ ่วยสวนปัสสาวะชำ� นาญแลว้ ไมจ่ �ำเป็นตอ้ งใช้กระจกเงา
วธิ กี ารสวนปสั สาวะ
1. ลา้ งมอื ใหส้ ะอาดดว้ ยน้ำ� และสบู่
2. เตรยี มอปุ กรณก์ ารสวนใหพ้ รอ้ ม กรณที สี่ ายสวนเปน็ สายทใี่ ชซ้ ำ้� และแชอ่ ยใู่ นนำ้� ยาฆา่ เชอ้ื ใหน้ ำ� สายสวนปสั สาวะ
ออกจากน้�ำยาฆ่าเชื้อ แลว้ ใหล้ ้างดว้ ยน้ำ� ตม้ สกุ กอ่ นท่จี ะน�ำมาสวนปัสสาวะ
3. จดั ทา่ สำ� หรับการสวนปัสสาวะดว้ ยตนเองหรอื ใหผ้ อู้ นื่ สวนให้
ผูห้ ญิง : นง่ั ยองๆ แยกขา หรอื นอนแยกขาออก หรอื ยนื โดยใหเ้ ทา้ ขา้ งหนง่ึ เหยยี บบนเกา้ อี้ ใชก้ ระจกสอ่ งดู
ทอ่ ปสั สาวะหรอื ใชน้ ว้ิ มอื คลำ�
ผชู้ าย : ยนื นอน หรอื นงั่
4. ทำ� ความสะอาดมือดว้ ยนำ�้ และน้�ำยาฆ่าเชื้อหรือแอลกอฮอลท์ ำ� ความสะอาดมอื
5. ทำ� ความสะอาดบริเวณอวัยวะสบื พนั ธุแ์ ละรูเปิดท่อปัสสาวะดว้ ยน�้ำสะอาด
6. หลอ่ ลนื่ ปลายสายสวน
7. สอดใส่สายสวนเข้าท่อปัสสาวะ ในผู้หญิงใส่เข้าไปลึกประมาณ 2-3 น้ิว ส่วนผู้ชายใส่ลึก 6-8 น้ิว หรือ
จนสุดสายสวน หรอื จนกว่าจะมีปสั สาวะไหลออกมา ปลอ่ ยใหป้ สั สาวะไหลลงภาชนะรองรับ
8. เมอื่ ปสั สาวะหยดุ ไหลใหใ้ ชม้ อื ขา้ งหนง่ึ จบั สายสวน สว่ นมอื อกี ขา้ งหนงึ่ กดเหนอื หวั เหนา่ อาจมนี ำ�้ ปสั สาวะ
ไหลออกมาอกี รอจนปสั สาวะหยดุ ไหล ใหด้ งึ สายสวนออกทลี ะนดิ พรอ้ มกบั กดเหนอื หวั เหนา่ ทำ� ซำ้� จนแนใ่ จวา่ ปสั สาวะ
ไหลออกหมดแล้วจึงดึงสายสวนออกจากทอ่ ปสั สาวะ
9. ท�ำความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์และรูเปิดท่อปัสสาวะด้วยน�้ำสะอาดเช็ดบริเวณดังกล่าวให้แห้ง
ทกุ คร้งั หลังสวนปัสสาวะเสร็จ
ข้อควรปฏบิ ัติ
1. จ�ำนวนครงั้ ของการสวนในแต่ละวัน ควรใหแ้ พทยเ์ ป็นผูก้ ำ� หนด
2. ควรสวนใหต้ รงกบั เวลาทก่ี ำ� หนดทุกคร้งั
48 แนวปฏิบตั ิเพอื่ ป้องกัน
และควบคุมการติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
การล้างท�ำความสะอาดและการดูแลรกั ษาอปุ กรณ์ที่ใช้การสวนปสั สาวะ
1. ลา้ งอุปกรณท์ ใี่ ช้สวนปัสสาวะทงั้ หมดดว้ ยน้�ำและสบู่ แลว้ ลา้ งออกดว้ ยน�ำ้ สะอาด และเช็ดให้แหง้
2. น�ำสายสวนที่ล้างสะอาดและเช็ดให้แห้งแล้ว ใส่ในหลอดพลาสติกที่บรรจุน้�ำยาฆ่าเชื้อจนเต็มหรือจนถึง
ขีดท่ีก�ำหนด ปล่อยให้น้�ำยาฆ่าเช้ือไหลเข้าไปอยู่ภายในสายสวนปัสสาวะ แล้วน�ำฝาจุกปิดปลายสายสวนปัสสาวะ
และปิดหลอดทอ่ พลาสติกไว้ให้เรยี บรอ้ ย นำ้� ยาฆ่าเชอื้ ทใี่ ช้แชส่ ายสวน เช่น แอลกอฮอล์ 70%
3. เปลีย่ นน้�ำยาฆ่าเช้อื ที่ใชแ้ ช่สายสวน เช่น แอลกอฮอล์ 70% ทุกวนั ตอนเชา้ ก่อนสวนปัสสาวะ
4. ควรต้มสายสวนปสั สาวะในน�้ำเดอื ดประมาณ 3-5 นาที ทกุ 1 สัปดาห์
5. ตรวจสอบสภาพของสายสวนก่อนต้มและก่อนใช้สวนปัสสาวะทุกคร้ัง โดยส�ำรวจดูความผิดปกติ เช่น
รอยชำ� รดุ รอยเปอ้ื น หรอื คราบสกปรก เปน็ ตน้ หลงั จากนน้ั ใชน้ ว้ิ หวั แมม่ อื และนวิ้ ชร้ี ดู ไปรอบๆ สาย เพอื่ หารอยสะดดุ
หรือรอยหกั ถ้าพบว่าสายสวนชำ� รุดควรเปล่ียนสายใหมท่ ันที เพอ่ื ปอ้ งกนั การบาดเจบ็ จากท่อปสั สาวะ