แนวปฏิบตั ิเพ่ือป้องกัน 49
และควบคมุ การติดเชื้อในโรงพยาบาล
บ7ทที่
การปอ้ งกนั
การตดิ เชอ้ื ทต่ี �ำแหนง่ ผ่าตดั
การติดเช้ือที่ต�ำแหน่งแผลผ่าตัด (surgical site infection–SSI) เป็นต�ำแหน่งที่ติดเช้ือในโรงพยาบาลเป็น
อนั ดบั 3 รองจากการตดิ เชอ้ื ระบบทางเดนิ หายใจและทางเดินปสั สาวะ
การวินจิ ฉัย
การวินิจฉัยการติดเชื้อต�ำแหน่งผ่าตัด แบ่งการติดเชื้อต�ำแหน่งผ่าตัดออกเป็น 3 ประเภทคือ Superficial
incisional SSI, Deep incisional SSI และ Organ/space SSI การตดิ เชื้อต้องเกดิ ขึ้นภายใน 30 วัน หรอื
ภายใน 90 วัน หลังการผ่าตัด (นับวันผ่าตัดเป็นวันท่ี 1) ตามต�ำแหน่งการผ่าตัด มีลักษณะครบตามเกณฑ์ คือมี
อาการและอาการแสดง ปวด บวม แดง ร้อน มีหนองในต�ำแหน่งผ่าตัด หรือแผลแยก ส่วนการตรวจหาเชื้อเป็น
ข้อมูลของการตดิ เชอ้ื นั้นวา่ เกิดจากเชอ้ื อะไร
ความเสีย่ งตอ่ การตดิ เชื้อทตี่ �ำแหนง่ ผา่ ตัด ขึน้ อยู่กบั ประเภทของแผลผา่ ตัด
การแบง่ ประเภทของแผลผา่ ตัด (classification of wound types)
1. แผลผา่ ตดั สะอาด (clean wound) คือ
• แผลผ่าตัดทเ่ี ตรียมการผา่ ตดั ล่วงหน้า เยบ็ ปดิ แผลหลงั ผา่ ตดั (primary closure) ไมใ่ สท่ อ่ ระบาย หรอื
ระบายแบบเปดิ (open drainage)
• แผลผ่าตัดท่ีผา่ ผา่ นเน้ือเยื่อทไ่ี มช่ ำ้� ไมม่ กี ารติดเช้อื
• แผลผ่าตัดท่ีผา่ ผา่ นเนอื้ เยื่อทีไ่ มม่ กี ารอักเสบ
• ระหวา่ งผ่าตัด ไม่มเี หตุการณ์ทลี่ ะเมดิ มาตรการปลอดเชือ้ (aseptic technique)
• แผลผา่ ตัดทไ่ี มไ่ ดผ้ ่าผ่านทางเดินหายใจ ทางเดนิ อาหาร ทางเดินปัสสาวะ และระบบสืบพนั ธุ์
2. แผลผา่ ตดั ปนเป้ือนเชอ้ื โรคเลก็ นอ้ ย (clean-contaminated wound) ได้แก่
• แผลผ่าตดั ทผ่ี า่ ผ่านทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบสบื พนั ธุ์
• แผลผา่ ตดั ทผ่ี ่าผา่ นทางเดินน้�ำดี
• ระหวา่ งผ่าตดั ทม่ี กี ารละเมิดมาตรการปลอดเช้อื เล็กน้อย
50 แนวปฏิบตั เิ พอ่ื ป้องกัน
และควบคุมการตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล
3. แผลผ่าตัดปนเป้ือน (contaminated wound) ได้แก่
• แผลผ่าตัดที่ผ่าผ่านแผลภยันตรายท่ีเป็นแบบเปิดและเกิดข้ึนใหม่ๆ ไม่เกิน 4 ชั่วโมง (open, fresh
traumatic wound)
• แผลผา่ ตดั ทผ่ี า่ ผ่านทางเดินอาหารทม่ี ีการร่วั ทเ่ี หน็ ไดด้ ว้ ยตาเปล่า
• แผลผ่าตัดท่ีผ่าผ่านทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ หรือทางเดินน�้ำดี ในขณะท่ีมีการติดเชื้อ
ของปสั สาวะหรอื นำ้� ดี
• แผลผ่าตดั ทีม่ เี หตุการณ์ละเมิดมาตรการปลอดเชือ้ อยา่ งมาก
4. แผลผา่ ตดั สกปรก (dirty wound) ได้แก่
• แผลผา่ ตดั ท่ีผา่ ผ่านแผลภยันตรายทีม่ ีเน้อื เยอ่ื ตาย มสี ิง่ แปลกปลอม มีการปนเปอื้ นของอจุ จาระ หรือ
แผลภยนั ตรายที่เกดิ ข้นึ เกนิ 4 ชั่วโมง
• แผลผ่าตัดชอ่ งทอ้ งกรณีอวยั วะภายในทะลุ
• แผลผ่าตัดที่ผา่ ผา่ นเนื้อเยอื่ ท่เี ปน็ หนอง
ดชั นบี ง่ ชีค้ วามเส่ยี งตอ่ การติดเชอ้ื ของแผลผ่าตัด (SSI Risk Index)
ดชั นบี ง่ ชถี้ งึ ความเสยี่ งการตดิ เชอื้ ทแ่ี ผลผา่ ตดั เรยี กวา่ NNIS (national nosocomial infection surveillance
risk index) เป็นดัชนีท่ีใช้เปรียบเทียบอัตราการติดเชื้อของแผลผ่าตัดระหว่างศัลยแพทย์หรือระหว่างโรงพยาบาล
โดยอาศยั ปัจจยั เสีย่ งหลกั 3 ประการ คือ
1. ผู้ปว่ ยท่มี ี ASA score เทา่ กับ 3 หรือมากกวา่
2. แผลผ่าตดั ทจ่ี ดั อยู่ในประเภทปนเป้ือนหรือแผลสกปรก
3. ระยะเวลาในการผ่าตัดมากกว่า percentile ที่ 75 ของการผา่ ตดั แตล่ ะชนดิ
แต่ละข้อมีค่าเท่ากับ 1 ซ่ึงหมายความว่า ถ้าผู้ป่วยมีเพียงข้อใดข้อหน่ึงข้างต้น ก็จะมีค่า NNIS risk index
เท่ากบั 1 ถา้ มีครบทงั้ 3 ขอ้ ก็จะมี NNIS risk index เทา่ กบั 3 โดยค่า risk index ท่ีเท่ากบั 3 จะมีโอกาสติดเชอื้
แผลผ่าตัดมากทีส่ ุด เม่อื เทยี บกับค่า risk index ทเ่ี ทา่ กบั 2, 1 หรอื 0
ตารางแสดง คะแนนความสมบูรณข์ องร่างกายตาม American Society of Anesthesiologists
(ASA Score)
คะแนน สภาพร่างกาย
1 ปกติ
2 มีโรคเล็กนอ้ ย
3 มโี รครนุ แรง แตม่ ถี ึงพกิ าร
4 มโี รครนุ แรง อาจถงึ กับเสยี ชวี ติ
5 สภาพใกล้ตายภายใน 24 ชั่วโมง ผปู้ ว่ ยท่ีมีโรคซึ่งอาจทำ� ใหเ้ สยี ชีวิตได้ ภายใน 24 ช่วั โมง
6 ผปู้ ว่ ยสมองตาย เปน็ Donor สำ� หรับเปล่ียนอวัยวะ
แนวปฏิบัตเิ พอื่ ป้องกัน 51
และควบคมุ การตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
การปอ้ งกนั การตดิ เชื้อท่แี ผลผ่าตัด (prevention of surgical site infection)
ช่วงระยะเวลาท่ีท�ำให้แผลผ่าตัดมีโอกาสติดเช้ือได้ แบ่งเป็น ก่อนผ่าตัด (preoperative period) และ
ขณะผ่าตัด (intraoperative period) ดังนั้นมาตรการในการป้องกันการติดเช้ือที่ต�ำแหน่งผ่าตัดส่วนใหญ่จะเน้น
ไปในช่วงเวลาดังกลา่ ว ดงั มีรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้
1. การเตรยี มผปู้ ่วยก่อนผา่ ตัด
• รบั ผู้ป่วยไวใ้ นโรงพยาบาลก่อนการผา่ ตดั ใหส้ นั้ ทสี่ ุด
• เตรียมสภาพร่างกายของผปู้ ่วยใหแ้ ข็งแรงกอ่ นผา่ ตัด
• ผปู้ ว่ ยทกุ รายควรไดร้ บั การควบคมุ ระดบั นำ้� ตาลในเลอื ดใหไ้ มเ่ กนิ 180 มก./ดล. ทง้ั ระยะกอ่ นการผา่ ตดั
ระหว่างการผา่ ตัด และภายใน 48 ชั่วโมงหลังการผา่ ตดั
• ผู้ปว่ ยทสี่ ูบบุหรี่ ควรงดสูบบหุ ร่ีอย่างนอ้ ย 30 วันกอ่ นการผา่ ตัด
• ถา้ มกี ารตดิ เชือ้ ที่ต�ำแหนง่ อื่นของร่างกายควรรกั ษาใหห้ ายกอ่ น
• ให้ผ้ปู ว่ ยอาบน้ำ� ฟอกตวั และสระผมให้สะอาดในเย็นวันก่อนการผา่ ตดั และเชา้ วนั ผ่าตัด
• เตรยี มผวิ หนงั กอ่ นผา่ ตดั ไมค่ วรโกนขนถา้ ไมจ่ ำ� เปน็ แตถ่ า้ จำ� เปน็ ตอ้ งโกนขนควรขลบิ ขนดว้ ย clipper
และควรจะทำ� ใกล้กับเวลาทีผ่ ่าตดั ท่สี ุดเท่าทเี่ ปน็ ไปได้ และทำ� นอกห้องผ่าตัด
• ท�ำความสะอาดและเตรียมผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัดและบริเวณโดยรอบให้ท�ำในห้องผ่าตัด ด้วย
น�้ำยาท�ำลายเช้ือท่ีมีส่วนผสมของ alcohol เช่น 2% chlorhexidine in 70% alcohol หากไม่มี
ข้อหา้ ม (หากมี ข้อห้าม ใหใ้ ช้ 10% iodophores หรอื 0.5% chlorhexidine in water)
• ใช้ยาต้านจลุ ชพี เพ่อื ปอ้ งกันการตดิ เช้อื ท่แี ผลผ่าตัดอยา่ งเหมาะสม
2. การเตรยี มส่ิงแวดล้อมในหอ้ งผา่ ตัด
• ห้องผ่าตัดควรมีเคร่ืองกรองอากาศ ปรับความดันของอากาศในห้องให้สูงกว่านอกห้องเพื่อให้อากาศ
ถ่ายเทสภู่ ายนอก (positive pressure room)
• มีการเปลยี่ นถ่ายอากาศในห้องผ่าตัดอยา่ งนอ้ ย 15 รอบตอ่ ชวั่ โมง โดย 3 รอบ เปน็ การเปลย่ี นถ่าย
กับอากาศภายนอก
• หา้ มเปดิ พัดลมขณะผ่าตัด
• ปิดประตูห้องผา่ ตัดตลอดเวลา จะเปิดให้คนผ่านเฉพาะเท่าท่ีจ�ำเป็นเท่านัน้
• จ�ำกัดจ�ำนวนบคุ ลากร และการเคลือ่ นไหวของบคุ ลากรในห้องผ่าตัด
• ท�ำความสะอาดห้องผ่าตดั หลงั การผ่าตัดแตล่ ะรายในกรณีเป้ือนเลือดหรอื สารคดั หลั่งจากผปู้ ่วย
• ทำ� ความสะอาดห้องผ่าตดั อย่างเหมาะสมหลังการผา่ ตดั รายสุดทา้ ยของวัน
• เคร่ืองมอื ผ่าตัดตอ้ งปราศจากเชื้อ
3. การผ่าตัด
• แพทย์และพยาบาลท่ีช่วยในการผ่าตัดควรท�ำความสะอาดมือให้ถูกต้องเพ่ือท�ำหัตถการ (surgical
hand scrub)
• แพทย์และพยาบาลทีช่ ว่ ยในการผา่ ตดั ไมค่ วรสวมแหวน ก�ำไล หรอื สายสรอ้ ยข้อมอื
• บคุ ลากรทเี่ ข้าห้องผา่ ตัดควรใส่กระจังหนา้ (face shield) ใส่หน้ากากอนามยั (surgical mask) และ
เสอ้ื คลมุ แขนยาว (long sleeve gown) ปราศจากเชื้อ
52 แนวปฏบิ ตั ิเพื่อป้องกนั
และควบคุมการติดเช้อื ในโรงพยาบาล
• ใชเ้ วลาในการผา่ ตัดให้น้อยทีส่ ดุ
• ทำ� ใหเ้ กดิ ภยนั ตรายตอ่ เนอื้ เยอ่ื ใหน้ อ้ ยทสี่ ดุ ในการผา่ ตดั ไมม่ ลี ม่ิ เลอื ดคา้ งในแผล ไมม่ ชี อ่ งอบั (dead space)
ไมม่ ีส่ิงแปลกปลอมค้างในแผลและไมท่ ำ� ใหเ้ กดิ การขาดเลือด
• ใช้ท่อระบายในรายท่ีมีความจ�ำเป็น หลีกเล่ียงการใส่ท่อระบายผ่านแผลผ่าตัด และควรใช้ท่อระบาย
ระบบปิด (closed drainage)
• รักษาอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยอยู่ในเกณฑ์ปกติ ด้วยการใช้อุปกรณ์เพิ่มความอบอุ่นทั้งในระหว่าง
การผา่ ตดั และหลงั ผ่าตัดใหมๆ่ ยกเวน้ ผปู้ ่วยทต่ี ้องผ่าตดั ในภาวะอณุ หภูมริ ่างกายตำ่�
• ใหอ้ อกซเิ จนอย่างเพียงพอ
4. การดแู ลหลังผ่าตัด
• ลา้ งมือแบบ Hygienic handwashing ก่อนและหลงั ท�ำแผลผา่ ตดั
• ทำ� แผลโดยใช้หลกั ปลอดเช้อื (aseptic technique) ควรสวมถงุ มอื ทุกครัง้ ทท่ี ำ� แผล
• แผลสะอาดใหเ้ ปิดแผลน้อยครงั้ ทสี่ ดุ สว่ นแผลสกปรกควรเปิดแผลทำ� ความสะอาดบ่อยๆ
5. การใชย้ าต้านจุลชพี เพือ่ ป้องกันการติดเชอ้ื ท่แี ผลผ่าตดั
(antimicrobial prophylaxis in surgery)
5.1 ขอ้ บง่ ชีใ้ นการใชย้ าตา้ นจลุ ชพี มดี ังน้ี
• แผลสะอาด (clean wound) ให้ใช้เฉพาะการผ่าตัดเปิดหัวใจ ศัลยกรรมกระดูกท่ีเก่ียวข้องกับ
ขอ้ ทีร่ ับน้�ำหนกั หรอื มีการใส่ข้อเทยี ม
• แผลปนเปื้อนเล็กน้อย (clean-contaminated wound)
• แผลปนเป้อื น (contaminated wound)
ส่วนแผลสกปรก (dirty wound) การใชย้ าปฏิชีวนะถือเป็นการรักษา ไม่ใช่การป้องกัน
5.2 การเลอื กยาปฏิชีวนะ ควรเลือกใหเ้ หมาะสมกับชนดิ ของการผ่าตัดทส่ี มั พนั ธ์กบั เชอ้ื กอ่ โรค
5.3 ควรให้ยาโดยการฉีด ดีท่ีสุดขณะลงมีดหรือภายใน 30-60 นาทีก่อนลงมีด หรือให้ขณะเริ่มให้
ยาสลบ (induction of anesthesia) และไม่ควรเกิน 2 ช่ัวโมงหลังจากเริ่มผ่าตัด ส่วน vancomycin และ
fluoroquinolones ให้ 2 ชวั่ โมงก่อนผ่าตดั
5.4 ยาตา้ นจลุ ชพี เพอื่ ปอ้ งกนั การตดิ เชอ้ื ทแ่ี ผลผา่ ตดั แนะนำ� ใหค้ รง้ั เดยี ว จะพจิ ารณาใหย้ าซำ�้ (redosing)
ในระหว่างทที่ �ำการผา่ ตัด ในกรณดี งั ตอ่ ไปน้ี
ก. ระยะเวลาของการผา่ ตัดนานเกนิ กว่าสองเทา่ ของค่าครึ่งชวี ติ ของยาต้านจุลชพี (half life) ท่ีให้
เช่น cefazolin half life = 1-2 ช่วั โมง จึงให้ยาซำ้� ที่ 4 ชวั่ โมงต้ังแตเ่ ริม่ ผา่ ตดั
ข. ผปู้ ว่ ยเสียเลอื ดมาก หรือ ใช้เคร่ืองปอดหัวใจเทยี มระหวา่ งผา่ ตัด ใหย้ าซ�ำ้ อกี 1 คร้งั ขณะทเ่ี ร่ิม
เข้าเคร่ืองปอดหวั ใจเทยี ม
5.5 พจิ ารณาหยดุ ยาตา้ นจลุ ชพี เพอ่ื การปอ้ งกนั ภายใน 24 ชวั่ โมง หลงั การผา่ ตดั ยกเวน้ การผา่ ตดั หวั ใจ
(cardiothoracic surgery) แนะน�ำให้หยุดยาตา้ นจุลชีพเพอื่ การป้องกนั ภายใน 48 ชว่ั โมง
แนวปฏิบตั เิ พ่ือปอ้ งกนั 53
และควบคุมการตดิ เช้อื ในโรงพยาบาล
ตาราง ยาต้านจลุ ชพี ทีเ่ หมาะสมส�ำหรับปอ้ งกันการตดิ เช้อื ที่แผลผา่ ตัด
การผ่าตดั ยาตา้ นจลุ ชีพ
Cefoxitin
Amputation of lower limb Cefazolin, cefuroxime, or
Cardiac (coronary bypass, valve vancomycin
replacement, pacemaker insertion)
General surgery Cefazolin
Gastric resection Cefazolin
Cholecystectomy Oral neomycin and erythromycin base or cefoxitin
Colon surgery Cefoxitin
Appendectomy Cefoxitin
Penetrating abdominal trauma
Gynecologic Cefazolin
Hysterectomy Cefazolin
Cesarean section Cefazolin
Abortion
Head and Neck Cefazolin or clindamycin
Procedure with incision through oral
or pharyngeal mucosa Cefazolin or vancomycin
Neurosurgery Cefazolin or vancomycin
CSF shunt procedures
Craniotomy Cefazolin or vancomycin
Orthopedic Topical gentamicin, tobramycin, or neomycin-gramicidin-polymixin
Joint replacement B, or subconjunctival cefazolin
Ophthalmic (lens extraction) Cefazolin or vancomycin
Cefazolin or vancomycin
Thoracic (lung resection)
Vascular surgery
54 แนวปฏิบัติเพอื่ ปอ้ งกัน
และควบคมุ การตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
บ8ทท่ี
การปอ้ งกันการตดิ เชื้อในกระแสโลหิต
ที่สัมพนั ธก์ บั การใส่สายสวนหลอดเลือด
การใส่สายสวนหลอดเลือดด�ำส่วนปลายเป็นเวชปฏิบัติที่ท�ำบ่อยเพ่ือการให้สารน้�ำ ส่วนการใส่สายสวนเข้า
หลอดเลอื ดดำ� สว่ นกลาง (central venous catheter) เพอื่ ใหส้ ารอาหาร ใหย้ าเคมบี ำ� บดั ทางหลอดเลอื ด หรอื ประเมนิ
ระบบไหลเวียนโลหติ เปน็ หัตถการทที่ ำ� มากขึ้นในปจั จบุ ันโดยเฉพาะผปู้ ่วยเร้อื รัง ผ้ปู ว่ ยมะเร็ง ฯลฯ ภาวะแทรกซ้อน
หนึ่งที่ส�ำคัญ คือ การติดเช้ือ เน่ืองจากเป็นการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง (Central Line Associated
Bloodstream Infection–CLABSI) จึงเป็นภาวะที่รุนแรงและมีอัตราตายสูง การใส่สายสวนเข้าหลอดเลือดเพื่อ
ฟอกเลือดก็มีมากข้ึน เช่นเดียวกับการใส่สายสวนเข้าหลอดเลือดแดงท่ีปอดเพ่ือการประเมินการท�ำงานของหัวใจใน
ผู้ป่วยวิกฤติ ท�ำให้มีภาวะแทรกซ้อนโดยเฉพาะการติดเช้ือในกระแสโลหิตได้ การป้องกันการติดเช้ือท่ีสัมพันธ์กับ
การใสส่ ายสวนเข้าหลอดเลอื ดจงึ เป็นมาตราการสำ� คัญที่ป้องกนั การปว่ ยและเสียชีวิตของผู้ป่วยได้
การวนิ จิ ฉยั การตดิ เชอ้ื ในกระแสโลหติ ทสี่ มั พนั ธก์ บั การใสส่ ายสวนหลอดเลอื ด ตอ้ งมกี ารตดิ เชอ้ื ในเลอื ดทไี่ ดร้ บั
การยืนยันด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการและมีการใช้สายสวนหลอดเลือดด�ำส่วนกลาง หรือสายสวนหลอดเลือด
ทีส่ ะดือมาแลว้ เปน็ เวลาอย่างนอ้ ย 2 วนั ปฏทิ ิน ณ วนั ทเ่ี กิดการตดิ เช้อื (date of event) และในวันท่วี ินิจฉยั จะต้อง
ยงั มีการใช้สายสวนหลอดเลือดดงั กล่าวอยู่ หรอื ถอดสายออกไปไมเ่ กิน 1 วัน
1. มาตรการทวั่ ไป
1.1 อบรมให้ความรู้ในเรือ่ ง ขอ้ บง่ ช้ี การใส่สายสวนและการป้องกันการติดเชือ้ แกบ่ ุคลากรสขุ ภาพ และ
ประเมินความรู้และการปฏบิ ัติของบุคลากรสขุ ภาพเป็นระยะๆ
1.2 ทำ� ความสะอาดมอื ตามขอ้ บง่ ชเี้ มอื่ จะใสห่ รอื ทำ� กจิ กรรมกบั สายสวนหลอดเลอื ด โดยการลา้ งมอื ดว้ ย
น�ำ้ กับนำ�้ ยาท�ำลายเชื้อหรือลบู มอื ด้วยแอลกอฮอล์ (surgical handwashing)
แนวปฏิบตั ิเพอ่ื ป้องกัน 55
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
2. การใสส่ ายสวนหลอดเลอื ด
2.1 ปฏิบัติตามเทคนิคปลอดเชื้อ (Aseptic technique) อย่างเคร่งครัด ถ้ามีการละเมิดเทคนิคน้ี
ใหเ้ ปล่ียนสายใหมโ่ ดยเร็วท่ีสุด
2.2 การใส่สายสวนหลอดเลอื ดด�ำสว่ นปลาย ให้ปฏบิ ตั ิดงั นี้
2.2.1 เช็ดผวิ หนงั บรเิ วณทใี่ ส่สายสวนหลอดเลอื ดดว้ ย 70% alcohol หรอื 2% chlorhexidine
in alcohol (ไม่แนะน�ำให้ใช้ chlorhexidine กับทารกอายุน้อยกว่า 2 เดือนหรือทารก
เกิดก่อนก�ำหนด)
2.2.2 สวมถงุ มอื ปราศจากเชอ้ื
2.3 การใสส่ ายสวนหลอดเลอื ดด�ำส่วนกลางให้ปฏิบตั ิดังน้ี
2.3.1 ใส่โดยผ้ชู ำ� นาญและควรท�ำในหอ้ งผา่ ตดั
2.3.2 ใช้สายสวนทมี่ ีจ�ำนวนสายน้อยท่ีสดุ
2.3.3 พิจารณาใช้สายสวนท่ีเคลือบ antiseptic (เช่น chlorhexidine-silver sulfadiazine
catheters) หรือ antimicrobial (เช่น minocycline-rifampin catheters) ส�ำหรับ
ผ้ปู ว่ ยผใู้ หญ่ ในกรณดี ังต่อไปนี้
1) โรงพยาบาลหรือหน่วยงานทีม่ ีอัตรา CLABSI สงู เกนิ เปา้ หมายของสถาบัน
2) ผปู้ ว่ ยที่มีหลอดเลือดส�ำหรับใสส่ ายสวนจ�ำกัดหรือมีประวัติตดิ เชือ้ CLABSI หลายคร้ัง
3) ผปู้ ว่ ยทม่ี คี วามเสย่ี งสงู ตอ่ ภาวะแทรกซอ้ นจากการตดิ เชอ้ื CLABSI เชน่ ใสล่ นิ้ หวั ใจเทยี ม
2.3.4 เลอื กตำ� แหนง่ ใสท่ าง Subclavian vein หากทำ� ไดแ้ ละไมม่ ขี อ้ หา้ ม และหลกี เลย่ี งการใสท่ าง
Femoral vein พิจารณาใช้ ultrasound guide เมื่อท�ำหตั ถการใสส่ ายสวนทาง internal
jugular vein
2.3.5 ในผปู้ ว่ ยไตวายเรอ้ื รงั ทจ่ี ะทำ� Hemodialysis พจิ ารณาเลอื กใช้ arteriovenous fistula หรอื
grafts ส่วนผู้ป่วยทีล่ ้างไตช่ัวคราว ควรใช้แบบ tunneled cuffed catheter แม้ว่าจะใส่
ไม่เกิน 3 สปั ดาห์
2.3.6 ปฏิบัติตามหลัก maximum sterile barrier precautions โดยสวมใส่ mask, cap,
sterile gown และ sterile gloves และคลมุ ตวั ผู้ป่วยด้วย large (full-body) sterile
drape
2.3.7 เช็ดผิวหนงั บรเิ วณที่ใสส่ ายสวนดว้ ย 2% chlorhexidine in 70% alcoholic solution
ถ้าผู้ป่วยแพ้ chlorhexidine ค่อยใช้ tincture of iodine หรือ 70% alcohol แทน
ไมแ่ นะนำ� ให้ใช้ chlorhexidine กบั ทารกอายุน้อยกว่า 2 เดือน หรอื ทารกเกิดก่อนกำ� หนด
2.3.8 ปิดบริเวณแผลทีใ่ สส่ ายสวนด้วย transparent dressings
2.4 การใส่สายสวนหลอดเลือด Peripheral arterial catheters ส�ำหรับผู้ป่วยผู้ใหญ่ ให้ใส่ทาง
หลอดเลือด radial, brachial หรือ dorsalis pedis หลกี เลีย่ งการใสท่ างหลอดเลือด femoral หรือ axillary สว่ น
ผปู้ ว่ ยเดก็ ใหใ้ สท่ างหลอดเลอื ด radial, dorsalis pedis, และ posterior tibial และหลกี เลย่ี งการใสท่ างหลอดเลอื ด
brachial, femoral หรอื axillary
56 แนวปฏบิ ตั เิ พอื่ ป้องกัน
และควบคุมการตดิ เช้อื ในโรงพยาบาล
3. การดแู ลผปู้ ว่ ยใสค่ าสายสวนหลอดเลอื ด
3.1 ประเมินความจ�ำเป็นในการใส่คาสายสวนหลอดเลือดทุกวัน และให้ถอดสายสวนหลอดเลือดออก
ทนั ทีเม่ือหมดความจำ� เป็น
3.2 ประเมนิ บรเิ วณทสี่ อดใสส่ ายสวนหลอดเลอื ดทกุ วนั โดยคลำ� ผา่ น dressing หรอื ดผู า่ น transparent
dressing เปิด dressing เฉพาะเพื่อประเมินต�ำแหน่งที่ใส่สายสวนกรณีท่ีผู้ป่วยมีการบวมตึงบริเวณท่ีใส่สายสวน
หลอดเลอื ด มไี ข้โดยหาสาเหตไุ มไ่ ด้ หรือมีลกั ษณะท่ีสงสัยว่าจะมีการตดิ เช้อื เฉพาะท่หี รอื ติดเช้อื ในกระแสเลือด
3.3 เปลีย่ น transparent dressing ทุก 5-7 วัน หรือทนั ทที ีแ่ ผลสกปรก เปยี กช้ืน หรือ dressing หลุด
ส่วน gauze dressing เปลี่ยนทุก 2 วัน หรือเมื่อผ้าปิดแผลสกปรก เปียกช้ืน หรือหลุด เช็ดรอบแผลด้วย
น�้ำยา chlorhexidine-based antiseptic
3.4 ทา antimicrobial ointments เช่น povidone iodine ointment ที่ต�ำแหน่งใส่สายสวน
หลอดเลือดเฉพาะสายสวนเพ่ือท�ำ hemodialysis เทา่ นน้ั
3.5 ไมใ่ ห้ antimicrobial prophylaxis เพือ่ ป้องกันการติดเช้อื ในกระแสเลอื ดหรอื ปอ้ งกัน catheter
colonization
3.6 ใส่ antimicrobial locks ในสายสวนหลอดเลอื ดด�ำส่วนกลางสำ� หรบั ผ้ปู ่วยดังตอ่ ไปน้ี
3.6.1 ผู้ปว่ ยท่ีใส่ hemodialysis catheters เปน็ ระยะเวลานาน
3.6.2 ผู้ปว่ ยท่ีมีหลอดเลอื ดสำ� หรับใส่สายสวนจำ� กัดหรอื มีประวตั ิการติดเชอ้ื CLABSI หลายคร้งั
3.6.3 ผู้ป่วยที่มีความเส่ียงสูงต่อการเกิดผลกระทบจากการติดเช้ือ CLABSI ท่ีรุนแรง เช่น
ใส่ลิ้นหัวใจเทียม การป้องกัน systemic toxicity จากยาต้านจุลชีพให้ใช้วิธีดูดออก
(aspirate) แทนการล้าง (flush) antimicrobial lock solution
3.7 เช็ดถู (scrub) catheter hubs, needleless connectors และ injection ports กอ่ นการทำ�
กิจกรรมกับส่วนน้ันด้วย 70% alcohol หรือ 2% chlorhexidine in 70% alcohol โดยใช้แรงถูพอสมควร
นานอยา่ งน้อย 5 วินาที
3.8 เปลี่ยนหรอื ถอดสายสวนหลอดเลือดดงั น้ี
3.8.1 สายสวนหลอดเลือดด�ำส่วนปลาย ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ให้เปล่ียนไม่บ่อยกว่า 96 ชั่วโมง
ส่วนผู้ป่วยเด็กให้เปล่ียนเม่ือมีอาการผิดปกติ หรือเมื่อเกิดอาการของ Phlebitis (ร้อน
บวมตึง แดง หรือคล�ำเส้นเลอื ดเป็นล�ำ) มกี ารติดเชือ้ หรือร่วั อุดตัน
3.8.2 สายสวนหลอดเลือดส่วนกลาง เช่น CVCs (Central Venous Catheter), PICCs
(Peripherally Inserted Central Catheter), hemodialysis catheter, หรอื pulmonary
artery catheter ไมต่ ้องเปลย่ี นเป็นประจ�ำ
3.8.3 สายสวน umbilical artery catheter ให้เอาออกและไม่ใส่ซ้�ำอีกเม่ือเกิดการติดเช้ือ,
vascular insufficiency ท่สี ่วนขา และ thrombosis และควรใส่คาไวไ้ ม่เกนิ 5 วัน
3.8.4 สายสวน umbilical venous catheters ให้เอาออกและไม่ใส่ซ�้ำอีกเม่ือเกิดการติดเชื้อ
และ thrombosis และควรใสค่ าไวไ้ มเ่ กนิ 14 วนั
แนวปฏิบตั เิ พ่ือป้องกัน 57
และควบคมุ การติดเช้ือในโรงพยาบาล
3.9 การเปลี่ยนชุดให้สารน�ำ้ ให้ปฏบิ ัตดิ งั นี้
3.9.1 กรณีให้เลือดหรือผลิตภัณฑ์ของเลือดหรือสารไขมัน (ที่มีส่วนผสมของ amino acids
และ glucose) ให้เปลยี่ นภายใน 24 ชวั่ โมง
3.9.2 กรณีที่ให้สารน้�ำที่ไม่ใช่เลือดหรือผลิตภัณฑ์ของเลือดหรือสารไขมันให้เปลี่ยนไม่บ่อยกว่า
96 ชั่วโมง แตไ่ ม่เกิน 7 วนั
3.10 การเปลย่ี น needleless intravascular catheter systems ใหเ้ ปลยี่ นตามการเปลยี่ นชดุ ใหส้ ารนำ้�
3.11 เช็ดตัวผู้ป่วยที่ใส่สายสวนเข้าหลอดเลือด ด้วย 2% chlorhexidine gluconate วันละคร้ัง
แต่ไม่แนะน�ำให้ใช้กับทารกอายุน้อยกว่า 2 เดือน เพราะอาจเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ท�ำให้มีการดูดซึมยา
เขา้ รา่ งกายได้
58 แนวปฏบิ ตั ิเพอื่ ปอ้ งกัน
และควบคุมการติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
บ9ทท่ี
การปอ้ งกนั และควบคุม
การแพร่กระจายของเชื้อ
ค�ำจ�ำกดั ความ
1. การแยกผปู้ ่วย (Isolation & Precautions)
หมายถึง การปฏิบัติเพ่ือป้องกันการแพร่กระจายเช้ือโรคจากผู้ป่วย ผู้ติดเชื้อ หรือผู้ที่เป็นพาหะไปสู่
ผู้ป่วยอื่น ญาติผู้ป่วย รวมถึงบุคลากรในทีมสุขภาพโดยการแยกห้องหรือจ�ำกัดบริเวณผู้ป่วยหรือการจัดให้ผู้ป่วย
ท่เี ปน็ โรคหรอื มเี ช้ือชนิดเดียวกันอยู่ในห้องเดยี วกัน ประกอบดว้ ย
1.1 การปอ้ งกันมาตรฐาน (Standard precautions)
1.2 มาตรการปอ้ งกนั ตามวธิ กี ารทแ่ี พรก่ ระจายเชอื้ (Transmission-based precautions) แบง่ ออกเปน็
3 วธิ ี คือ
1.2.1 การปอ้ งกันการแพรก่ ระจายเชอื้ โรคทางอากาศ (Airborne precautions)
1.2.2 การปอ้ งกนั การแพรก่ ระจายเช้ือโรคจากละอองฝอย (Droplet precautions)
1.2.3 การป้องกันการแพร่กระจายเชือ้ โรคโดยการสมั ผสั (Contact precautions)
2. สารน�ำ้ และสารคัดหลง่ั จากร่างกาย
หมายถงึ เลอื ดและสว่ นประกอบของเลอื ด นำ�้ ไขสนั หลงั นำ้� ในชอ่ งทอ้ ง (ascitic fluid) นำ้� ในชอ่ งเยอ่ื หมุ้ ปอด
(pleural fluid) นำ้� ในชอ่ งเย่อื ห้มุ หวั ใจ (pericardial fluid) นำ�้ คร�่ำ (amniotic fluid) น้ำ� ในข้อ (synovial fluid)
น�้ำอสุจิ (semen) สารคดั หลัง่ ในชอ่ งคลอด (vaginal secretion) นำ้� ลาย หนอง เสมหะ อุจจาระ และปัสสาวะ
3. เครอื่ งปอ้ งกนั รา่ งกาย ได้แก่
1. หมวก (cap)
2. กระจังหน้า (face shield)
3. แว่นปอ้ งกันตา (eye ware)
แนวปฏบิ ตั เิ พ่อื ปอ้ งกัน 59
และควบคุมการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
4. หน้ากากอนามัย (mask)
5. ถงุ มือ (glove)
6. เสอ้ื คลุม (gown)
7. ผ้ากันเป้อื น (apron)
8. รองเท้า (foot ware)
แผนภมู กิ ารดูแลผปู ว ยเพ�อ่ การปอ งกนั และควบคมุ การแพรกระจายเช้ือ
ผูปว ยทกุ ราย การปองกนั มาตรฐาน (Standard Precautions)
การปฏิบัตเิ สร�มถามกี ารแพรก ระจายเชือ้
การปองกันการแพรกระจายทางอากาศ การปองกนั การแพรกระจาย
(Airborne Precautions) ทางละอองฝอย (Droplet Precautions)
การปอ งกนั การแพรกระจายทางสัมผสั
(Contact Precautions)
1. การปอ้ งกันแบบมาตรฐาน (Standard precautions)
หมายถงึ การปฏบิ ตั ใิ นการดแู ลผปู้ ว่ ยทกุ รายทไี่ มว่ า่ ผปู้ ว่ ยจะมอี าการตดิ เชอื้ หรอื ไม่ หรอื ไดร้ บั การวนิ จิ ฉยั วา่
ปว่ ยเปน็ โรคใด โดยมงุ่ เนน้ การปอ้ งกนั การแพรก่ ระจายเชอ้ื จากเลอื ด สารนำ้� สารคดั หลง่ั ของรา่ งกาย (blood body
fluid) เยอ่ื บเุ มอื ก (mucous membrane) ผวิ หนงั ทม่ี รี อยฉกี ขาด (non intact skin) รวมถงึ การปฏบิ ตั ติ อ่ ชนิ้ เนอ้ื
หรอื สารคดั หลงั่ ทสี่ ง่ ตรวจทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารดว้ ย การปฏบิ ตั :ิ
1. การทำ� ความสะอาดมอื (Hand hygiene)
2. การสวมอปุ กรณป์ อ้ งกนั รา่ งกายใหเ้ หมาะสม
3. การปอ้ งกนั อบุ ตั เิ หตจุ ากของแหลมคม และสารนำ�้ ทก่ี ระจายสเู่ ยอื่ เมอื กและผวิ หนงั ทเี่ ปน็ แผล
4. การจดั การสง่ิ แวดลอ้ มใหป้ ลอดภยั
60 แนวปฏบิ ัตเิ พ่อื ป้องกนั
และควบคมุ การตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
2. การปอ้ งกันตามวธิ ีการทแี่ พรก่ ระจายเช้ือ (Transmission-based precautions)
หมายถงึ การคดั กรองและใหก้ ารดแู ลตามชอ่ งทางการแพรก่ ระจายเชอ้ื เปน็ การปฏบิ ตั เิ สรมิ ในการดแู ลผปู้ ว่ ย
ทม่ี กี ารแพรก่ ระจายเชอ้ื รว่ มกบั การปอ้ งกนั แบบมาตรฐาน (standard precaution) แบง่ ออกเปน็ 3 ประเภท คอื
2.1 การปฏบิ ตั ติ อ่ ผปู้ ว่ ยทแ่ี พรก่ ระจายเชอื้ ทางอากาศ (airborne precautions) เปน็ มาตรการเสรมิ
ส�ำหรับผู้ป่วยที่สงสัยหรือทราบว่ามีการติดเช้ือท่ีสามารถแพร่กระจายทางละอองฝอยขนาดเล็ก ที่ลอยอยู่ใน
อากาศไดน้ านและไกล หรอื จบั กบั ฝนุ่ ละออง ซงึ่ เมอ่ื สดู ดมจะเขา้ ถงึ ปอดทำ� ใหเ้ กดิ โรคได้ เชน่ โรควณั โรค หดั อสี กุ อใี ส
เปน็ ตน้
วธิ ีด�ำเนนิ การ
หอ้ งผปู้ ว่ ย • แยกผปู้ ่วยไว้ในหอ้ งทม่ี ีการควบคมุ ความดนั อากาศภายในห้องเปน็ ลบ
(negative pressure) ปดิ ประตูตลอดเวลา
• กรณไี มม่ หี อ้ งแยกความดนั ลบ ใหใ้ ชห้ อ้ งแยกเดยี่ วทมี่ กี ารจดั การอากาศทเี่ หมาะสม
หรอื ใหผ้ ้ปู ว่ ยติดเชอื้ ชนดิ เดยี วกันอย่หู อ้ งเดียวกนั ได้
• อปุ กรณท์ ี่ใชใ้ นห้อง ให้ใชก้ บั ผปู้ ว่ ยเฉพาะราย
• แขวนป้ายแจ้งเตือน
อปุ กรณป์ อ้ งกนั รา่ งกาย ผู้ให้การดแู ล
• สวมหน้ากรองอนภุ าคชนิด N95 เมอ่ื ให้การดูแลผู้ปว่ ย
• สวมถงุ มอื ชนดิ ใชค้ รงั้ เดยี วทง้ิ สวมเสอ้ื คลมุ แขนยาว (long sleeve gown) ทกุ ครง้ั
ที่สัมผสั ผ้ปู ่วยและส่ิงแวดลอ้ ม ตามกิจกรรมและความจ�ำเปน็
ผู้ปว่ ย
• ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัย (surgical mask) ตลอดเวลา
• ใช้ผา้ หรอื กระดาษปิดปาก-จมูกเวลาไอ จาม
การเคลอ่ื นยา้ ยผปู้ ว่ ย • ทำ� เม่ือจำ� เป็น และใหผ้ ้ปู ่วยสวมหน้ากากอนามยั (Surgical Mask)
และแจ้งหน่วยงานที่รบั ย้ายทราบถงึ การแพร่กระจายเช้อื
2.2 การปฏบิ ตั ติ อ่ ผปู้ ว่ ยทแ่ี พรก่ ระจายเชอ้ื โดยฝอยละออง (droplet precautions) เปน็ มาตรการเสรมิ
ส�ำหรับผู้ป่วยท่ีสงสัยหรือทราบว่ามีการติดเชื้อท่ีสามารถแพร่กระจายได้ทางละอองฝอยได้แก่ เสมหะ น�้ำมูก
นำ�้ ลาย ซงึ่ เกดิ จากการพูด ไอ จาม รดกนั เนอื่ งจากละอองมขี นาดใหญ่จึงลอ่ งลอยไปไดไ้ มไ่ กลเกินระยะ 1-2 เมตร
เชอ้ื จะเข้าสู่รา่ งกายทางจมกู ปาก และเยอื่ บุตาหรือผวิ หนงั ท่ีมแี ผล
วิธีดำ� เนนิ การ แนวปฏิบัติเพ่อื ปอ้ งกนั 61
หอ้ งผปู้ ว่ ย และควบคมุ การตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
• แยกผูป้ ่วยไว้ในห้องแยก ปดิ ประตูตลอดเวลา กรณไี มม่ หี อ้ งแยก
จดั ให้ผูป้ ว่ ยตดิ เชือ้ ชนิดเดียวกนั อยู่ห้องเดยี วกันได้ อยหู่ า่ งกนั เกนิ 3 ฟตุ
• อุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นหอ้ ง ใหใ้ ช้เฉพาะราย
• แขวนป้ายแจง้ เตือน
อปุ กรณป์ อ้ งกนั รา่ งกาย ผใู้ หก้ ารดแู ล
• สวมหนา้ กากอนามัย (surgical mask) เมือ่ ให้การพยาบาลผปู้ ่วย
• สวมถงุ มอื ชนดิ ใชค้ รงั้ เดยี วแลว้ ทง้ิ สวมเสอื้ คลมุ แขนยาว (long sleeve gown) ทกุ ครงั้
ท่ีสัมผสั ผปู้ ว่ ยและสิง่ แวดล้อม ตามกิจกรรมและความจ�ำเปน็
ผ้ปู ว่ ย
• ผปู้ ว่ ยสวมหนา้ กากอนามยั (surgical mask) ตลอดเวลา และใชผ้ า้ หรอื กระดาษ
ปดิ ปาก-จมูก เวลาไอ จาม
การเคลอื่ นยา้ ยผปู้ ว่ ย • ท�ำเมื่อจ�ำเปน็ และให้ผ้ปู ว่ ยใสห่ นา้ กากอนามยั (surgical mask)
รวมทงั้ แจ้งหน่วยงานทรี่ บั ยา้ ยทราบถึงการแพร่กระจายเชอ้ื
2.3 การปฏบิ ตั ติ อ่ ผปู้ ว่ ยทแี่ พรก่ ระจายเชอื้ จากการสมั ผสั (contact precautions) เปน็ มาตรการเสรมิ
ส�ำหรับผู้ป่วยท่ีสงสัยหรือทราบว่ามีการติดเชื้อท่ีสามารถแพร่กระจายได้โดยการสัมผัสทางตรง (direct contact)
เช่น การสัมผัสผิวหนังท่ีมีแผล สิ่งคัดหลั่ง ผู้ป่วยติดเช้ือแบคทีเรียดื้อยา เช่น Acinetobacter baumannii,
Methicillin-resistant Staphylococcus aureus (MRSA), Enterococci, spp, VRE เปน็ ต้น
วธิ ีดำ� เนินการ
หอ้ งผปู้ ว่ ย • แยกผปู้ ่วยไวใ้ นห้องแยก กรณีไมม่ ีหอ้ งแยกจดั ใหผ้ ้ปู ว่ ยตดิ เช้อื ชนดิ เดยี วกนั
อยู่หอ้ งเดยี วกนั ได้
• อุปกรณ์ทใ่ี ช้ในห้อง ใหใ้ ช้กับผูป้ ว่ ยเฉพาะราย
• แขวนปา้ ยแจ้งเตอื น
อปุ กรณป์ อ้ งกนั รา่ งกาย ผู้ใหก้ ารดแู ล
• ใชเ้ ครอ่ื งปอ้ งกนั ร่างกายในการดแู ลผ้ปู ว่ ยเฉพาะราย
• สวมถงุ มอื ชนดิ ใชค้ ร้งั เดยี วเมื่อเขา้ พื้นที่รอบตัวผู้ปว่ ย
• สวมเส้ือคลมุ แขนยาง (long sleeve gown) เมื่อใหก้ ารดูแลผ้ปู ่วย
การเคลอ่ื นยา้ ยผปู้ ว่ ย • เคลือ่ นย้ายผ้ปู ่วยเมือ่ จ�ำเป็น คลมุ รอยโรคให้มิดชิดขณะเคลอ่ื นยา้ ย
และแจ้งหน่วยงานท่จี ะยา้ ยไปให้ทราบ
• ทำ� ความสะอาดพาหนะทเี่ คล่ือนย้ายดว้ ยน้�ำยาทำ� ลายเชอ้ื ทีเ่ หมาะสม
62 แนวปฏิบตั เิ พอ่ื ป้องกัน
และควบคมุ การติดเช้อื ในโรงพยาบาล
การป้องกันและควบคมุ การแพรก่ ระจายเชอื้ ตามกลมุ่ อาการกอ่ นทราบการวนิ จิ ฉยั เช้อื กอ่ โรค
(syndromic precautions)
ในเวชปฏิบัติ ผู้ป่วยท่ีแพร่กระจายเชื้อได้ควรได้รับการดูแลรักษาร่วมกับการป้องกันและควบคุมการแพร่
กระจายเชื้อเสมอ ผู้ปว่ ยทีม่ กี ารติดเชื้อและมีกลุ่มอาการ (syndrome) ทตี่ อ้ งปฏบิ ตั ิ ไดแ้ ก่
1. กลมุ่ อาการทางเดนิ อาหาร ไดแ้ ก่ อาเจยี น อจุ จาระรว่ ง อจุ จาระเปน็ มกู เลอื ด ใหใ้ ช้ Contact precautions
2. กลุม่ อาการทางเดนิ หายใจ ไดแ้ ก่ ไอ มีเสมหะ เจ็บคอ เจบ็ หนา้ อก ฯลฯ ใหใ้ ช้ Droplet precautions
(ถ้าไอมากกว่า 2 สปั ดาห์ มีอาการที่สงสยั วณั โรค ให้ใช้ Airborne precautions)
3. กลมุ่ มไี ขแ้ ละมีผนื่ ตามตวั ท่สี งสยั หดั หรือ อสี กุ อีใส ใหใ้ ช้ Airborne precautions
4. กลุม่ อาการทางผิวหนงั ไดแ้ ก่ ผิวหนังอกั เสบ มแี ผล มีตุ่ม มีหนองหรือนำ�้ เหลืองไหล ฯลฯ ใหใ้ ช้ Contact
precautions
ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามขา้ งตน้ เพอ่ื ปอ้ งกนั และควบคมุ การแพรก่ ระจายเชอ้ื จนกวา่ จะทราบการวนิ จิ ฉยั โรคและเชอ้ื กอ่ โรค
การแยกผูป้ ว่ ยและการป้องกนั การแพร่กระจายของเชือ้ โรคทีท่ ราบการวนิ จิ ฉยั โรค
ชือ่ โรค ห้องแยก หนา้ กาก เส้อื คลมุ ถุงมือ ระยะเวลา หมายเหตุ
อนามยั แขนยาว
Abscess - + จนกว่าจะหาย -
Adenovirus + (long sleeve + จนกวา่ จะออก ผู้ปว่ ยโรคเดยี วกัน
(respiratory Infections gown) จากโรงพยาบาล อยูห่ อ้ งเดียวกนั ได้
in pediatrics)
Anthrax - ± -
• Cutaneous + จนกวา่ จะหาย -
• Pulmonary + - + จนกว่าจะหาย -
Bronchiolitis + จนกว่าจะหาย -
Brucellosis - จนกวา่ จะหาย
Burns -
• Major (>20%) + - - + จนกวา่ แผลแห้ง -
• Minor - + + + จนกวา่ แผลแห้ง
Cellulitis + + + -
• Intact skin - - ± ± - -
• Draining - จนกว่าแผลแห้ง โรคเดียวกันอยู่
Chickenpox + + + + จนกวา่ ตุ่มน้�ำแห้ง ห้องเดยี วกันได้
- ± ± -
Chlamydia trachomatis -
infection - - - จนกว่าจะหาย โรคเดียวกนั อยู่
Cholera + - - + หอ้ งเดยี วกันได้
+ + + จนกว่าเชอ้ื หมด
Common cold (Infant) + -
Conjunctivitis - - - ± -
จนกว่าจะหาย
- + + จนกวา่ จะหาย
- ± ±
- - +
แนวปฏิบตั เิ พื่อปอ้ งกนั 63
และควบคมุ การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
การแยกผปู้ ่วยและการปอ้ งกนั การแพร่กระจายของเช้อื โรคท่ที ราบการวนิ จิ ฉัยโรค (ตอ่ )
ช่ือโรค ห้องแยก หน้ากาก เสื้อคลมุ ถงุ มอื ระยะเวลา หมายเหตุ
อนามัย แขนยาว
+ 7 วนั แรก -
(long sleeve + จนกว่าเช้อื หมด -
gown) ± -
ตลอดไป
Coxsackie virus disease + - ± + -
Covid-19 + + จนกว่าจะหาย -
Creutzfeldt-Jakob - + + จนกวา่ จะหาย
disease + -
Croup + - - จนกวา่ จะหาย
Dermatophytosis - + โรคเดียวกนั
(ring worm) - ± จนกว่าเชอื้ หมด อยู่ห้องเดยี วกันได้
Diarrhea + - - +
Diphtheria + -
• Pharyngeal + - ± ± จนกว่าเชือ้ หมด -
± จนกวา่ จะหาย -
• Cutaneous + + ± ± -
Ebola + + 7 วันแรก -
Echovirus disease + - ± 7 วันแรก -
Encephalitis + + + - จนกว่าจะหาย
Enterocolitis ± - ± + 24 ชว่ั โมงแรก -
Epiglottitis + - ± ของการให้ยา -
- ± ± 7 วนั แรก
Erythema infectiosum + + - ± จนกวา่ จะหาย -
Food poisoning- + + -
Salmonella + - ± จนกวา่ จะหาย -
Furunculosis ± - ± + จนกว่าจะหาย -
Gangrene - + จนกว่าจะหาย -
Gastroenteritis + - ± จนกว่าจะหาย -
Giardiasis ± - ± ± 24 ช่ัวโมงหลงั ให้ยา
Gonococcal ophthalmia + - ± -
Hand, foot and mouth + - ± - 7 วนั แรก
disease - - + -
Herpangina ± - + ± 7 วนั แรก -
Herpes simplex + -
• Encephalitis - - ± - -
• Disseminated + จนกวา่ จะหาย
• Mucocutaneous - - - จนกวา่ จะหาย
• Neonatal + - + จนกว่าจะหาย
- -
- +
64 แนวปฏบิ ัตเิ พอ่ื ปอ้ งกนั
และควบคุมการติดเช้อื ในโรงพยาบาล
การแยกผปู้ ่วยและการปอ้ งกันการแพรก่ ระจายของเชือ้ โรคท่ที ราบการวินิจฉัยโรค (ตอ่ )
ช่อื โรค หอ้ งแยก หนา้ กาก เสื้อคลุม ถงุ มอื ระยะเวลา หมายเหตุ
อนามัย แขนยาว
+ จนกวา่ จะหาย -
(long sleeve ± จนกวา่ จะหาย -
gown) + 24 ชั่วโมงหลงั รักษา -
- โรคเดียวกนั อยู่
Herpes zoster + + + - ห้องเดยี วกันได้
• Disseminated ± - - + -
• In normal patient + - + + จนกวา่ จะหาย -
Impetigo + - - + จนกวา่ จะหาย -
Infectious mononucleosis ± - -
+ + + จนกว่าจะออก
Influenza + + + ± จากโรงพยาบาล -
Lassa fever + - + + 24 ชั่วโมงหลังรกั ษา -
Leprosy - - - + จนกว่าจะหาย โรคเดียวกันอยู่
Leptospirosis 4 วันหลังผ่นื ข้ึน หอ้ งเดียวกนั ได้
± - ± -
Lice + + + ± -
Marburg virus disease + + + + 7 วันแรก
Measles 24 ช่ัวโมงหลงั ใหย้ า -
+ -
Meningitis ± - ± - 24 ชัว่ โมงหลังให้ยา -
• Viral + + - + 24 ชว่ั โมงหลงั ใหย้ า
• Haemophilus -
influenza + + - + จนกว่าเชือ้ หมด -
• Meningococcal + + - + -
Meningococcemia + + + + จนกว่าเชือ้ หมด -
MERS + จนกว่าเชอื้ หมด โรคเดียวกนั
Multiple resistant bacteria + - ± - จนกว่าเชือ้ หมด อยหู่ อ้ งเดียวกนั ได้
• Gastrointestinal + - - จนกวา่ เชื้อหมด โรคเดยี วกนั
• Respiratory + - ± ± 9 วันหลังจาก อยู่หอ้ งเดยี วกนั ได้
• Skin + - - ต่อมนำ�้ ลายเริ่มบวม -
• Urinary + ± - + จนกวา่ จะหาย
Mumps -
+ - ± ± -
Necrotizing enterocolitis + 7 วันหลังรกั ษา
+ + +
Pertussis 3 วนั หลงั รกั ษา
Plague - - ± 3 วนั หลงั รกั ษา
• Bubonic + + +
• Pneumonic
แนวปฏบิ ตั ิเพ่ือปอ้ งกนั 65
และควบคุมการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
การแยกผูป้ ่วยและการป้องกันการแพรก่ ระจายของเช้ือโรคทที่ ราบการวนิ จิ ฉยั โรค (ต่อ)
ช่อื โรค ห้องแยก หนา้ กาก เส้อื คลมุ ถุงมือ ระยะเวลา หมายเหตุ
อนามัย แขนยาว
Pneumonia + + แลว้ แต่เชอื้ ก่อโรค -
Poliomyelitis ± (long sleeve + 7 วนั แรก -
Rabies + gown) + ตลอดไป -
Rat-bite fever - + -
Rubella + + ± - 24 ชว่ั โมงหลังรกั ษา -
Salmonellosis + + 7 วนั แรก -
Scabies ± - ± + -
Shigellosis + + จนกวา่ จะหาย -
Smallpox + + + + 24 ชัว่ โมงหลังรักษา -
Staphylococcal diseases
• Skin ± - - + จนกว่าเชอื้ หมด -
• Enterocolitis ± + จนกว่าจะหาย -
• Pneumonia + ± - + -
• Scalded skin + + จนกว่าจะหาย -
syndrome - ± จนกว่าจะหาย
• Toxic shock - ± 48 ชว่ั โมงหลงั รกั ษา -
syndrome - ± 48 ช่ัวโมงหลังรกั ษา
• MRSA, VISA, VRSA + + -
Streptococcal disease - ± จนกวา่ จะหาย
• Endometritis ± ± -
• Skin ± + + + จนกว่าเช้ือหมด -
• Pharyngitis ± - -
• Pneumonia ± - ± ± 24 ชว่ั โมงหลังรักษา -
• Scarlet fever ± - ± - 24 ชวั่ โมงหลงั รักษา -
Syphilis-skin and + ± ± + -
mucous membrane - + -
Trachoma - ± 24 ชวั่ โมงหลงั รักษา -
Tuberculosis - ± 24 ชวั่ โมงหลงั รักษา
• Pulmonary + - 24 ชั่วโมงหลงั ใหย้ า -
• Extrapulmonary - - + + -
Wound infections - + จนกว่าจะหาย -
- ±
- ± 2 สัปดาหห์ ลงั ให้ยา
- - จนกวา่ หนองจะแหง้
± ±
- - จนกว่าจะหาย
- -
- -
+ +
- +
- +
66 แนวปฏบิ ตั เิ พอื่ ปอ้ งกัน
และควบคมุ การติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
บ1ท0ที่
การจัดการการระบาด
ของการตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
1. วัตถปุ ระสงค์
เพ่อื หยดุ ยงั้ การระบาดของโรคติดเช้อื ในโรงพยาบาล
2. ผูร้ บั ผิดชอบ ไดแ้ ก่ กลุ่มใดกลมุ่ หนง่ึ หรอื รว่ มกนั ดงั ต่อไปน้ี
1. ผู้บรหิ ารในโรงพยาบาล
2. นักระบาดวิทยา
3. ทมี ผูร้ กั ษาพยาบาล
4. แพทย์โรคติดเชอื้
5. พยาบาลควบคมุ โรคตดิ เช้ือ
6. เจ้าหนา้ ที่ห้องปฏบิ ตั ิการจลุ ชวี วทิ ยา
7. หน่วยงานอ่นื ๆ ท่เี ก่ียวขอ้ งกับการระบาด
3. คำ� จ�ำกัดความ
การระบาดของการติดเชื้อ หมายถึง การเพ่ิมข้ึนของการติดเช้ือจากอัตราพ้ืนฐานโดยอาจเป็นการติดเชื้อ
ทต่ี ำ� แหนง่ ใดตำ� แหนง่ หนงึ่ มากอยา่ งผดิ ปกตหิ รอื การตดิ เชอื้ ทเ่ี กดิ จากโรคชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ เพม่ิ ขน้ึ อยา่ งผดิ สงั เกต หรอื
มีการติดเช้ือท่ีมคี วามส�ำคญั ทางระบาดวทิ ยา เช่น ไขห้ วัดนก โรคติดเชื้อไวรสั โควิด-19 เปน็ ตน้
แนวปฏบิ ตั ิเพื่อป้องกนั 67
และควบคมุ การตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
4. ขั้นตอนการจดั การการระบาด
ประกอบดว้ ย
1. การแจ้งเม่อื มหี รอื สงสัยวา่ มีการระบาดของการติดเช้อื ใหร้ บี แจง้ ผ้เู ก่ียวขอ้ งโดยด่วน (ทางโทรศพั ท์
แลว้ ตามดว้ ยเอกสาร)
2. การสอบสวนการระบาดตามขน้ั ตอน และควบคุมการระบาด
3. การรายงาน
4. การตดิ ตามและประเมินผล
แผนภมู ขิ ้ันตอนการประเมนิ สขุ ภาพบคุ ลากรกอ นเขา ปฏิบัติงาน
1. 3.
ทมี ผรู กั ษาพยาบาลผปู วย
หอ งปฏิบตั ิการ ฯลฯ สอบสวนการระบาด โดย
พยาบาลควบคมุ โรคติดเชอ้ื
สงั สัยวาจะมีการระบาด แพทยโรคติดเชื้อ
แพทยแ ละเจาหนาทหี่ อ งปฏบิ ัติการจลุ ชวี วทิ ยา
2. บุคลากรอ่ืนๆ ทเี่ กย่ี วของ
แจงคณะกรรมการควบคมุ
โรคตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล 5. ไมใ ช สรุปผลและรายงาน I.C.C
(I.C.C.) มกี ารระบาด
6.
7. ใช หาขอมูลเพ่�มเตมิ
ควบคุมการระบาด
8. จากผปู ว ย
แยกผปู วย แจง I.C.C. เปนระยะๆ จากหอ งปฏิบัตกิ าร
ใหการรกั ษา จากผเู ก่ยี วของ
ตรวจสอบและจัดการปจ จัย
ท่เี ปนแหลงของเชอ้ื 9.
ปฏบิ ตั เิ พอ่ื ควบคุมการระบาด สรุปผลสง I.C.C.
และปอ งกัน
10.
ติดตามจนกวา จะแนใจวาโรคสงบ
หมายเหตุ : การจดั การควรร่วมมือกับหน่วยงานท่เี ก่ียวขอ้ ง
68 แนวปฏิบตั เิ พ่ือป้องกัน
และควบคุมการติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
บ1ท1ท่ี
การป้องกนั และควบคุม
การแพรก่ ระจายของเชอื้ ดือ้ ยาต้านจลุ ชีพ
เชอื้ กอ่ โรคดอ้ื ยาเปน็ ปญั หาทวั่ โลกและมากขนึ้ ตามลำ� ดบั จงึ มคี วามจำ� เปน็ รว่ มกนั ทงั้ โลกเพอื่ ปอ้ งกนั และควบคมุ
การบริหารระดับนานาชาติและระดบั ชาติ
องค์การอนามัยโลกได้ให้ความส�ำคญั อย่างมากต่อปัญหาน้ีและเชิญชวนรัฐบาลของต่างประเทศต่างๆ รว่ มกนั
จัดการ ดังนั้น ประเทศสมาชิกขององค์กรอนามัยโลกจึงมีหน้าที่ที่จะร่วมด�ำเนินการและมีการประชุมผู้บริหาร
ทางสาธารณสุขระดับสูงท่ีมีผู้แทนประเทศไทยร่วมอยู่ด้วย ประเทศไทยแต่งต้ังคณะกรรมการการดื้อยาต้านจุลชีพ
แหง่ ชาติ ตามคำ� สงั่ สำ� นกั นายยกรฐั มนตรี ลงวนั ที่ 10 มนี าคม 2560 มผี ทู้ ำ� งานจากกระทรวงสาธารณสขุ กระทรวงเกษตร
กระทรวงศกึ ษาธิการ โดยมีรองนายยกรฐั มนตรที า่ นหนึ่งเปน็ ประธานกรรมการ
การป้องกนั และควบคมุ การติดเชือ้ ในโรงพยาบาลมหี ลักการเหมือนกนั ในทุกระดับ จะแตกต่างในรายละเอียด
ของสถาบันต่างๆ ควรเน้นเชอื้ ที่มีปญั หามาก ไดแ้ ก่
1. เช้อื กอ่ โรคดอื้ ยาทพี่ บบอ่ ย
2. เช้อื กอ่ โรคที่ทำ� ให้มีอัตราปว่ ย-ตายสงู หรอื ตอ้ งรกั ษานาน
3. เชื้อทีเ่ ป็นปัญหาทางเศรษฐกิจจากการดูแลรักษาคน การปศุสตั ว์ และการประมง
4. เชื้อท่มี แี นวโน้มท่จี ะเป็นปญั หาใหญ่ในอนาคต
คณะกรรมการดอ้ื ยาตา้ นจุลชีพแห่งชาติ ได้วางแผนยทุ ธศาสตร์สำ� หรับ พ.ศ. 2560-2564 ไว้ 6 ด้าน คอื
1. การเฝา้ ระวังการด้อื ยาตา้ นจลุ ชพี ภายใตแ้ นวคดิ สุขภาพหนึง่ เดยี ว (มนุษย์ สตั ว์ พืชและสิง่ แวดล้อม)
2. การควบคุมการกระจายยาต้านจลุ ชีพในภาพรวมของประเทศ
3. การป้องกันและควบคุมการติดเช้ือในสถานพยาบาลและควบคุม ก�ำกับ ดูแลการใช้ยาต้านจุลชีพ
อยา่ งเหมาะสม
4. การป้องกันและควบคุมเช้ือด้ือยาต้านจุลชีพและควบคุม ก�ำกับดูแลใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม
ในภาคเกษตรกรและสัตวเ์ ล้ยี ง
แนวปฏิบตั ิเพอื่ ป้องกัน 69
และควบคุมการตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
5. การส่งเสริมความรู้ด้านเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพและความตระหนักด้านการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม
แก่ประชาชน
6. การบรหิ ารและพฒั นากลไกระดับนโยบายเพอ่ื ขบั เคลือ่ นงานดา้ นการดื้อยาต้านจุลชีพอยา่ งยัง่ ยืน
การบริหารระดับโรงพยาบาล
การดำ� เนนิ งานการปอ้ งกนั และควบคมุ เชอื้ กอ่ โรคดอ้ื ยาหลายขนานนน้ั เกย่ี วขอ้ งกบั บคุ ลากรหลายสาขาวชิ าชพี
และหลายหน่วยงาน คณะกรรมการระดับโรงพยาบาล ควรประกอบด้วย
1. ประธาน ควรเปน็ ผอู้ ำ� นวยการหรือรองผู้อำ� นวยการทไี่ ด้รับมอบหมาย
2. กรรมการหลัก ควรเป็นแพทยโ์ รคติดเชื้อ ถ้าไมม่ คี วรเป็นอารยุรแพทย์ หรอื กมุ ารแพทย์ หรอื ศลั ยแพทย์
หรอื แพทย์ทส่ี นใจ
3. กรรมการ ประกอบดว้ ย หวั หนา้ หรอื ผแู้ ทนจากหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง เชน่ แผนกอายรุ กรรม กมุ ารเวชกรรม
ศลั ยกรรม เภสัชกร พยาบาล หัวหนา้ หอ้ งปฏบิ ัตกิ ารจลุ ชวี วิทยา พยาบาลควบคุมโรคติดเชื้อ เปน็ ต้น
มีแพทย์อย่างน้อย 1 คน ได้รับการอบรมการจัดการเชื้อด้ือยาต้านจุลชีพ เช่นเดียวกับนักเทคนิคการแพทย์
พยาบาลและเภสัชกร และโรงพยาบาลควรจัดการอบรมเกี่ยวกับการจัดการเช้ือด้ือยาต้านจุลชีพแก่บุคลากร
ในหน่วยงานทเ่ี กีย่ วข้อง อยา่ งนอ้ ยปลี ะ 1 ครั้ง
เช้อื ด้อื ยาที่ส�ำคัญใน พ.ศ. 2560-2564
1. แบคทีเรยี
แบคทเี รยี กรัมลบ
• Klebsiella pneumoniae ท่ีด้ือต่อยากลุ่ม 3rd generation cephalosporins, carbapenems,
colistin
• Escherichia coli ท่ีด้ือต่อยากลุ่ม 3rd generation cephalosporins, fluoroquinolones,
carbapenems, colistin
• Acinetobacter baumannii ทด่ี ื้อตอ่ ยากล่มุ carbapenems, colistin
• Pseudomonas aeruginosa ดือ้ ตอ่ ยากลุ่ม carbapenems, colistin
• Salmonella spp. ทดี่ อ้ื ตอ่ ยากลมุ่ 3rd generation cephalosporins, fluoroquinolones, colistin
• Neisseria gonorrheae ทด่ี อ้ื ตอ่ ยากลุ่ม 3rd generation cephalosporins
แบคทเี รยี กรมั บวก
• Staphylococcus aureus ทดี่ อื้ ตอ่ ยากลมุ่ methicillin, vancomycin
• Streptococcus pneumoniae ทด่ี อื้ ตอ่ ยากลมุ่ penicillin, ceftriaxone
2. เชอ้ื วณั โรคด้อื ยา rifampicin และ isoniacid
3. มาลาเรีย
4. เอชไอวี
เชื้อในกลุม่ ที่ 1 เป็นเชอ้ื จุลชพี ทอี่ งคก์ ารอนามยั โลกใหค้ วามส�ำคัญและแนะน�ำใหร้ ายงาน
70 แนวปฏิบตั เิ พอ่ื ปอ้ งกัน
และควบคุมการติดเช้อื ในโรงพยาบาล
การใช้ยาตา้ นจุลชพี อยา่ งเหมาะสม (Antimicrobial stewardship)
การใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม ท�ำให้ผลการรักษาได้ตามจุดประสงค์ ลดผลข้างเคียงจากยาและลด
การใชย้ า ทำ� ใหล้ ดคา่ ใชจ้ า่ ยและลดการกระตนุ้ ใหเ้ ชอ้ื พฒั นาการเชอื้ ดอ้ื ยาตา้ นจลุ ชพี เปน็ วธิ ชี ะลอการเกดิ เชอื้ ดอื้ ยา
ตา้ นจลุ ชพี การใชย้ าตา้ นจลุ ชพี อยา่ งเหมาะสมเป็นกระบวนการซ่ึงประกอบดว้ ย
1. มผี ู้บริหารเปน็ ผู้นำ�
2. มนี โยบายชัดเจน
3. มีบุคลากรท่ีรับผิดชอบงานน้ี
4. บุคลากรเขา้ ใจและรว่ มมือ
5. มกี ารใช้ยาตา้ นจุลชีพทางคลินกิ อย่างเหมาะสม
6. มีการตรวจสอบความถูกต้องของการใชย้ า มกี ารรายงานและใหข้ ้อมูลย้อนกลบั
การใช้ยาต้านจลุ ชพี อยา่ งเหมาะสมต้องการความร่วมมือของทกุ ฝา่ ยท้ังผู้บริหาร แพทย์ ผู้ป่วยและประชาชน
มาตรการ Contact Precautions
1. การแยกผปู้ ว่ ย
• จดั ผปู้ ว่ ยใหอ้ ยใู่ นหอ้ งแยกโรค หรอื Isolation zone ทม่ี อี า่ งลา้ งมอื หอ้ งนำ้� หอ้ งสว้ ม จดั ไวโ้ ดยเฉพาะ
• แขวนป้ายสัญลักษณ์แจ้งการพบเชื้อ/ป้าย contact precautions/ข้อปฏิบัติ ท่ีเตียง/หน้าห้องของ
ผู้ปว่ ย/หน้าแฟม้ รายงานผ้ปู ่วย
• หอ้ งแยกโรคทด่ี ที สี่ ดุ คอื หอ้ งเตยี งเดย่ี ว แตเ่ กอื บเปน็ ไปไมไ่ ดใ้ นทางปฏบิ ตั เิ นอ่ื งจากผปู้ ว่ ยมจี ำ� นวนมาก
หากจดั หอ้ งเดยี่ วใหก้ บั ผปู้ ว่ ยเชอ้ื ดอ้ื ยา กจ็ ะมพี น้ื ทไ่ี มเ่ พยี งพอทง้ั ผปู้ ว่ ยทตี่ รวจพบเชอ้ื ดอื้ ยาตา้ นจลุ ชพี
และผปู้ ว่ ยอน่ื ทางเลอื กคอื การจดั ใหผ้ ปู้ ว่ ยทพ่ี บเชอ้ื ดอ้ื ยาตา้ นจลุ ชพี อยใู่ นบรเิ วณเดยี วกนั ถา้ เปน็ ไปได้
ไมค่ วรใหผ้ ปู้ ว่ ยเชอื้ ดอื้ ยาตา้ นจลุ ชพี คนละชนดิ อยใู่ นบรเิ วณเดยี วกนั หากยงั ทำ� ไมไ่ ด้ อาจใหอ้ ยบู่ รเิ วณ
เดียวกัน แต่ต้องเคร่งครัดมากๆ เรื่องการท�ำความสะอาดมือและการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน และ
ควรเปลย่ี นชุดอปุ กรณป์ อ้ งกนั เมอื่ จะไปปฏิบตั ิงานกบั ผ้ปู ่วยเช้ือดื้อยารายต่อไป
• หากไม่สามารถแยกผู้ป่วยได้เลย ก็ไม่ควรจัดให้ผู้ป่วยน้ันอยู่ในบริเวณเดียวกับผู้ที่มีความเส่ียงสูง
ตอ่ การติดเชือ้ เช่น ผ้ทู ่มี ีการคาสายสวนหรอื อปุ กรณก์ ารแพทย์ชนดิ ตา่ งๆ หรือผ้ทู ่มี แี ผลเปดิ เป็นตน้
• ในสถานการณ์ท่ีการแพร่เชื้อมีโอกาสก่อผลกระทบน้อย เช่น ท่ีแผนกผู้ป่วยนอก อาจไม่จ�ำเป็นต้อง
แยกผู้ป่วย เพราะผู้ป่วยที่มารับบริการท่ีแผนกผู้ป่วยนอกเกือบท้ังหมดไม่มีแผลเปิด หรือไม่มีการ
ใช้อุปกรณ์การแพทย์ที่เป็นช่องทางให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยเช้ือด้ือยาจึงมี
โอกาสน้อยมากที่จะน�ำไปสู่การติดเช้ือ นอกจากน้ัน ยังเป็นไปไม่ได้ท่ีจะจ�ำกัดให้ผู้ป่วยเชื้อดื้อยา
อยู่ในบริเวณเฉพาะในแผนกผู้ป่วยนอก ยกเว้นหากจะมีการท�ำหัตถการ ก็อาจจะต้องระมัดระวัง
เป็นพิเศษในเร่ืองการท�ำความสะอาดมือ การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันตามความจ�ำเป็น และการแยก
ของใช้
แนวปฏิบตั เิ พ่อื ปอ้ งกัน 71
และควบคมุ การติดเชื้อในโรงพยาบาล
2. การทำ� ความสะอาดมือกอ่ นและหลังสมั ผสั ผ้ปู ว่ ย
• กรณีท่ีมือไม่เปื้อนส่ิงคัดหล่ัง (ซ่ึงก็คือเกือบท้ังหมดของกิจกรรมและช่วงเวลาท่ีปฏิบัติงานกับผู้ป่วย)
ให้ใชแ้ อลกอฮอล์เจล (alcohol-based hand rub) ถูมอื สองข้างให้ทว่ั และรอจนน�้ำยาแห้ง
• ถา้ มอื เปอ้ื นสารคดั หลง่ั หรอื เปอ้ื นแปง้ บนถงุ มอื ใหล้ า้ งมอื ดว้ ยสบนู่ ำ้� ยาทาํ ลายเชอ้ื 4% chlorhexidine
gluconate แลว้ ซับมือใหแ้ ห้งด้วยกระดาษหรอื ผ้าเชด็ มอื
3. การใชเ้ ครื่องปอ้ งกนั รา่ งกาย
• ใหส้ วมถุงมอื ทกุ คร้ังที่ดแู ลผปู้ ว่ ยและสวมเสอ้ื คลมุ แขนยาว (long sleeve gown) เม่ือตอ้ งอย่ใู กล้ชดิ
ผู้ป่วยหรือคาดว่าจะต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมและสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย เม่ือเสร็จกิจกรรมแล้ว
ให้ถอดถุงมือและเสื้อคลุมทันทีแล้วท�ำความสะอาดมือและเปลี่ยนเครื่องป้องกันร่างกายใหม่ทุกคร้ัง
ก่อนที่จะใหก้ ารดแู ลผปู้ ่วยรายอืน่
• ผ้ากันเปื้อนแบบครึ่งตัว แบบไม่มีแขน หรือเสื้อคลุมแขนยาวแบบผ้าไม่เหมาะที่จะใช้ในกรณีผู้ป่วย
มเี ชื้อดือ้ ยา
• ไม่ควรใช้เส้ือคลุมพลาสติกซ้�ำ ไม่วา่ จะเป็นแบบใด
• บุคลากรโรงพยาบาลส่วนใหญ่ใช้ถุงมือชนิดมีแป้ง ซึ่งมีราคาถูกแต่มีข้อเสียคือแป้งบนถุงมือเป็น
ส่ือน�ำ latex บนถุงมือเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ บางคนจะเกิดอาการแพ้ได้แม้พบไม่บ่อยมาก
และยังจับกับ gel เมื่อท�ำความสะอาดมือด้วย alcohol hand rub ถ้าสามารถจัดหาถุงมือชนิด
ไม่มีแป้งมาใช้ได้ไม่ยากและราคาไม่สูงเกินไป ก็ควรพิจารณาใช้ถุงมือชนิดน้ีแทน ซึ่งถุงมือชนิด
ไมม่ แี ปง้ นเี้ ปน็ ถงุ มอื สำ� หรบั ใชใ้ นโรงพยาบาลตามมาตรฐานสนิ คา้ อตุ สาหกรรมทก่ี ระทรวงอตุ สาหกรรม
ประกาศแล้ว
4. การแยกอุปกรณท์ างการแพทย์ เครือ่ งใช้ตา่ งๆ
• อาจจัดเป็นชดุ สำ� เรจ็ รปู (Kit) เพอื่ ปอ้ งกนั การแพรก่ ระจายเชื้อดอ้ื ยา ได้แก่ Stethoscope เคร่อื งวดั
ความดัน BP cuff ปรอทวัดอุณหภูมิ ชุดอุปกรณ์ Bed bath bed pan ขวดปัสสาวะ/Urinal
ใหใ้ ช้อุปกรณเ์ ฉพาะกับผูป้ ่วยรายนนั้ ๆ
• ถ้าไม่สามารถจัดหาอุปกรณ์มาใช้ได้เพียงพอจ�ำเป็นต้องใช้ซ�้ำ ต้องท�ำความสะอาดอย่างถูกต้อง โดย
บุคลากรที่ท�ำหน้าที่น้ีควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเช้ือดื้อยาเพื่อให้มีความเข้าใจและตระหนัก
ในเรอื่ งความสะอาดของเคร่ืองมือ
• อุปกรณ์และของใช้บางอย่างอาจเป็นชนิดใช้ครั้งเดียวท้ิง เช่น ถุงบรรจุอาหารเหลวและชุดสายยาง
ที่มากบั ถุง สายยางดดู เสมหะ สาย nasogastric tube มักเปน็ สง่ิ ท่ที �ำความสะอาดไดย้ าก ไมค่ วรน�ำ
กลบั มาใชซ้ �ำ้ แต่อปุ กรณท์ ี่ออกแบบให้ใชซ้ ำ้� ได้ กอ็ าจน�ำมาใช้ซ�้ำแตต่ อ้ งท�ำความสะอาดและกำ� จัดเชื้อ
ใหถ้ กู ตอ้ งอยา่ งเคร่งครัด
5. การท�ำลายเช้อื ในอุปกรณก์ ารแพทยแ์ ละสิ่งแวดล้อม
• อุปกรณ์การแพทย์ท่ีจ�ำเป็นต้องใช้ร่วมกับผู้ป่วยอ่ืน ต้องท�ำลายเช้ือก่อนน�ำไปใช้กับผู้ป่วยรายอ่ืน
โดยให้ปฏิบัติทันทีภายหลังการใช้งานทุกคร้ัง เช่น เคร่ืองตรวจน�้ำตาล เคร่ืองตรวจคลื่นหัวใจ
ใหเ้ ช็ดดว้ ย 70% alcohol หรอื Disinfectant Wipes
72 แนวปฏบิ ัติเพือ่ ปอ้ งกนั
และควบคมุ การติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
• ส่งิ แวดลอ้ มรอบตัวผ้ปู ว่ ยใหใ้ ช้น้ำ� ยาท�ำลายเชือ้ ตามความเหมาะสม (เชน่ 70% alcohol หรอื น้ำ� ยา
ทำ� ลายเชื้อกล่มุ ammonium chloride หรือ sodium hypochlorite) อยา่ งนอ้ ยวนั ละ 1 ครั้ง
• ผ้าทกุ ชนดิ ทีใ่ ช้กับผ้ปู ่วย ใหส้ ง่ ซักแบบผ้าเปื้อนตดิ เชือ้
• ขยะทุกชนดิ ในห้องผู้ป่วย ให้ก�ำจดั แบบขยะตดิ เชื้อ
• จำ� กัดการเคลือ่ นย้าย ถา้ จ�ำเปน็ ต้องเคลอ่ื นย้าย เชน่ ตรวจพิเศษ ให้ปฏบิ ัติดังนี้
► แจ้งใหห้ น่วยงานท่ีจะยา้ ยไปทราบเร่ืองการปอ้ งกนั การแพร่กระจายเช้ือของผ้ปู ว่ ย
► ปูผ้าคลมุ บนเปลนอน/รถนัง่
► บคุ ลากรท่ีเคลอ่ื นยา้ ยผปู้ ว่ ย ใสเ่ ครอ่ื งปอ้ งกันรา่ งกาย ไดแ้ ก่ ถงุ มือและเสือ้ กาวน์
► ผปู้ ว่ ยที่มมี ีบาดแผล หรือ ผิวหนังท่ีมีรอยโรคใหป้ ิดบาดแผลให้มดิ ชดิ
► เม่ือเสร็จส้ินกิจกรรมให้เช็ดท�ำความสะอาดรถน่ังหรือรถนอนด้วยน้�ำยาท�ำลายเช้ือตาม
ทีโ่ รงพยาบาลกำ� หนด
• เมื่อผู้ป่วยนั้นได้รับการย้ายไปยังหอผู้ป่วยอ่ืน หรือจ�ำหน่ายออกจากโรงพยาบาล ให้ท�ำความสะอาด
สิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์การแพทย์ให้เหมาะสมตามข้อก�ำหนดของเช้ือและช่องทางการแพร่กระจาย
เช้ือแตล่ ะประเภท
ทงั้ น้ี การแยกผปู้ ว่ ยเชอ้ื ดอ้ื ยาตา้ นจลุ ชพี เปน็ สง่ิ ทโ่ี รงพยาบาลทกุ ระดบั ควรทำ� ได้ บคุ ลากรในโรงพยาบาล
ต้องได้รับการฝึกอบรมให้มีความเข้าใจในจนถึงข้ันปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง การปฏิบัติขั้นต่�ำสุดในกรณีท่ีมีข้อจ�ำกัด
ด้านทรัพยากร คือ บุคลากรต้องมีความเคร่งครัดอย่างย่ิงในการท�ำความสะอาดมืออย่างถูกต้อง และการใส่ถุงมือ
เม่ือต้องปฏิบัติกิจกรรมการดูแลและรักษาพยาบาลผู้ป่วยเช้ือด้ือยาต้านจุลชีพ และหากต้องมีการสัมผัสใกล้ชิด
ต้องสวมเส้ือกาวน์พลาสติกชนิดแขนยาวเสมอ ดังนั้น ระบบริการสาธารณสุข อันได้แก่โรงพยาบาลแต่ละแห่งเอง
สำ� นกั งานสาธารณสขุ จงั หวดั ตลอดจนหนว่ ยงานระดบั กรมและกระทรวงทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ควรมกี ารสนบั สนนุ ทางนโยบาย
และทรพั ยากรเพื่อให้สถานบริการสามารถปฏิบัตไิ ดอ้ ยา่ งย่งั ยืน
การยตุ กิ ารปฏิบตั เิ พ่ือปอ้ งกนั การแพร่กระจายของเชอ้ื ด้ือยาท่ีจ�ำเปน็ ตอ้ งควบคมุ
เปน็ กรณพี เิ ศษ
เมอื่ ตรวจพบผปู้ ว่ ยเชอ้ื ดอื้ ยาตา้ นจลุ ชพี และไดท้ ำ� การแยกผปู้ ว่ ยแลว้ สงิ่ ทเ่ี ปน็ ความสนใจมากทส่ี ดุ คอื เมอื่ ใดจะ
ยกเลกิ การแยกผปู้ ว่ ยนน้ั เพอ่ื จะไดป้ ระหยดั ทรพั ยากร เวลา และกำ� ลงั คน แตเ่ ปน็ การยากมากทจี่ ะระบแุ นน่ อนตายตวั
วา่ ตอ้ งแยกผปู้ ว่ ยนานเทา่ ใด เพราะเปน็ ทท่ี ราบกนั วา่ เชอ้ื ดอ้ื ยาตา้ นจลุ ชพี แตล่ ะชนดิ จะยงั คงอยกู่ บั ผปู้ ว่ ยไปเปน็ เวลานาน
และการตรวจไม่เช้ือด้ือยาต้านจุลชีพก็ไม่ได้หมายความว่าเช้ือด้ือยาต้านจุลชีพหมดไปจริง ๆ ถ้าเชื้อมีปริมาณน้อย
อาจจะตรวจไมพ่ บได้ คำ� แนะนำ� ลา่ สดุ ทไี่ ดร้ บั การตพี มิ พใ์ นปี พ.ศ. 2561 พจิ ารณาการยกเลกิ contact precautions
ตามชนิดของเช้ือ ดงั นี้
1. เชอื้ MRSA และ VRE ถา้ ผ้ปู ่วยรายนัน้ ไมไ่ ดร้ บั ยาสำ� หรบั การรักษาการตดิ เช้ือ MRSA หรือ VRE พิจารณา
หยุดแยกได้ เม่ือตรวจไม่พบเช้ือ 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งห่างกันประมาณ 1 สัปดาห์ ต�ำแหน่งท่ีจะเก็บสิ่งส่งตรวจ
ส�ำหรบั หา MRSA คอื เยอ่ื บุโพรงจมูกส่วนหนา้ (anterior nares) สำ� หรับ S. aureus และ stool หรือ rectal swab
สำ� หรับ enterococci
2. ผู้ปว่ ยภมู ติ า้ นทานตำ่� เชน่ ผูป้ ่วยที่ได้รบั การปลูกถ่ายไขกระดกู หรือผปู้ ่วยทยี่ งั ไดย้ าตา้ นจุลชีพอยู่ อาจจะ
ตอ้ งขยายระยะเวลาการแยกผ้ปู ว่ ยนานกว่าผูป้ ่วยทว่ั ไป แตไ่ ม่มีกำ� หนดแน่ชดั ว่าควรจะขยายออกไปนานเท่าใด
แนวปฏิบตั เิ พื่อป้องกัน 73
และควบคุมการติดเช้ือในโรงพยาบาล
3. ส�ำหรับเช้ือกลุ่ม Enterobacteriaceae ที่ด้ือยากลุ่ม carbapenem แนะน�ำให้แยกผู้ป่วยตลอด
ระยะเวลาของการอยู่โรงพยาบาล แต่หากจะหยุดแยกผู้ป่วย อาจจะต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป โดยผู้ป่วยรายน้ัน
ตอ้ งไมไ่ ด้รบั ยาต้านจลุ ชีพใดๆ แลว้ และใหเ้ พาะเชอ้ื จากทวารหนกั อยา่ งนอ้ ยสองครัง้ ห่างกัน 1 สปั ดาห์ ถา้ ไมพ่ บเชอ้ื
แล้วอาจจะหยดุ แยกได้ แต่ต้องระมัดระวงั วา่ เช้อื อาจจะกลับมาใหม่
4. เชอื้ C. difficile อาจพจิ ารณาหยุดแยกได้เมือ่ อาการอจุ จาระรว่ งหยดุ ไปแล้ว 48 ชว่ั โมงขึน้ ไป
การให้คำ� แนะน�ำผูป้ ่วย
ผปู้ ว่ ยทม่ี เี ช้อื ดื้อยาจะมีความวติ กกังวล และอาจจะมีความร้สู กึ ถูกทอดทิ้ง โดดเดีย่ วจากการทตี่ อ้ งอยูใ่ นพน้ื ท่ี
แยกหรือหอ้ งแยก จึงควรไดร้ ับการแนะน�ำดงั นี้
1. ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลรักษาตามมาตรฐาน แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรอ่ืนที่เก่ียวข้องจะเข้ามาให้
การดแู ลรกั ษาพยาบาลผู้ป่วยตามปกติ (ซง่ึ บคุ ลากรกค็ วรท�ำเช่นนดี้ ้วย ไม่หลกี เลี่ยงการตรวจเย่ียมผูป้ ่วยประจำ� วัน)
2. ความจำ� เปน็ ท่ีจะตอ้ งแยกบรเิ วณ เพื่อปอ้ งกันการแพร่กระจายเช้ือ
3. บุคลากรที่เข้ามาตรวจเย่ียม จะต้องท�ำความสะอาดมือ และสวมชุดป้องกนั ร่างกาย และสวมชุดอุปกรณ์
ป้องกันการปนเปื้อน ซึ่งทางหน่ึงเป็นการป้องกันมิให้ผู้ป่วยรายนั้นรับเชื้อจากผู้อื่นเพ่ิม และช่วยป้องกันมิให้เช้ือ
จากผปู้ ่วยนั้นแพร่กระจายไปสผู่ ู้อืน่
4. การปฏิบตั ิตวั ของผูป้ ่วย คือ
• รกั ษาความสะอาดของมือ ด้วยการลา้ งมอื
► หลังถา่ ยอุจจาระ/ปัสสาวะ
► หลงั สมั ผัสแผลหรอื น�ำ้ มกู น้�ำลายจากการไอ จาม
► กอ่ นรับประทานอาหาร
• ไม่ใช้ของใช้สว่ นตวั ร่วมกับผอู้ น่ื
• หลีกเลยี่ งการสัมผัส คลุกคลีกบั ผ้อู ่ืน
การให้ค�ำแนะนำ� แกญ่ าตแิ ละผ้เู ข้าเยีย่ ม
1. จ�ำกดั ผ้เู ข้าเยยี่ ม โดยให้เยีย่ มเฉพาะที่จ�ำเป็นเท่านน้ั
2. ทำ� ความสะอาดมือ
3. ญาติทเี่ ขา้ เยย่ี มใหใ้ สถ่ งุ มอื เสื้อกาวน์ และหา้ มไปสมั ผสั ผปู้ ว่ ยรายอืน่ /สง่ิ แวดล้อม
4. ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับการติดเชื้อด้ือยาผู้ป่วย และการปฏิบัติตัวในการเข้าเย่ียมผู้ป่วยเพื่อป้องกัน
การแพร่กระจายเชอื้
กรณีผู้ปว่ ยเสยี ชีวติ
ให้ใชม้ าตรการ Contact precautions เชน่ เดียวกบั ขณะยงั มีชวี ติ และต้องแจง้ ให้เจา้ หน้าท่ีห้องพกั ศพทราบ
และเตรียมอุปกรณ์ป้องกันร่างกายให้เจ้าหน้าที่ห้องพักศพ ซึ่งควรมีความเข้าใจว่าเช้ือบนศพ อาจมีโอกาสปนเปื้อน
มือบุคคลท่ีเข้ามาปฏิบัติงานกับศพได้แต่น้อยมากเมื่อเทียบกับโอกาสการปนเปื้อนท่ีจะเกิดข้ึนกับบุคลากรบนหอ
ผู้ป่วย เนื่องจากมีการปิดส่วนของร่างกายที่อาจเป็นแหล่งของเช้ือมิดชิดแล้ว นอกจากน้ัน โอกาสท่ีจะเกิดโรคจาก
เชอื้ เหลา่ นน้ั แทบไมม่ เี ลย เพราะเชอื้ จะอยทู่ ผ่ี วิ หนงั เทา่ นนั้ เมอ่ื ลา้ งมอื หรอื ทำ� ความสะอาดรา่ งกายแลว้ เชอ้ื จะหมดไป
แตใ่ นขณะปฏิบัติงานจ�ำเป็นตอ้ งสวมอปุ กรณป์ อ้ งกันเพือ่ ลดโอกาสการสมั ผัสเช้อื ใหน้ ้อยท่สี ุด
74 แนวปฏบิ ตั ิเพอื่ ป้องกนั
และควบคมุ การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
บ1ท2ท่ี
การปอ้ งกนั และควบคุม
การแพรก่ ระจายเช้ือวณั โรคในโรงพยาบาล
วณั โรคยงั เปน็ โรคติดต่อส�ำคัญของประเทศไทยท่ีมอี ตั ราการติดเช้ือสงู 1 ใน 14 อันดบั แรกของโลก ผู้ปว่ ยท่ี
ต้องการการรักษาทั้งผู้ป่วยใหม่และผู้ป่วยกลับเป็นซ�้ำสูงถึง 172 ต่อหนึ่งแสนประชากร เชื้อวัณโรคแพร่ทางอากาศ
โรงพยาบาลเป็นที่แออัดไปด้วยผู้ป่วย ญาติและบุคลากรท่ีอาจจะติดเชื้อวัณโรคได้ สถานพยาบาลทุกแห่งจึงต้องมี
มาตรการป้องกันและควบคมุ การแพรก่ ระจายของเชอ้ื วณั โรค ซง่ึ ประกอบดว้ ยกลยุทธ์ 3 ดา้ น คือ
1. การบรหิ าร
2. การจดั การส่ิงแวดล้อม
3. การใช้เคร่ืองป้องกนั สว่ นบุคคล
กลยุทธ์ทางดา้ นการบรหิ าร
การปอ้ งกันและควบคมุ การแพรก่ ระจายของเชื้อวณั โรคทางด้านบริหาร ประกอบด้วย
1. นโยบายแน่ชัด
2. คณะทำ� งาน
3. บคุ ลากร งบประมาณ และแนวทางปฏิบัติเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร
4. การให้ความรู้ อบรม บคุ ลากร ผปู้ ว่ ยและญาติ
5. การปฏิบัติ
6. การตดิ ตาม ตรวจสอบ และประเมนิ ผล
7. การจดั การคดั กรองผปู้ ว่ ยทีเ่ ปน็ หรือสงสยั วา่ เปน็ วณั โรค
8. จดั สถานท่สี �ำหรบั รองรบั ผู้ปว่ ยวัณโรค และสถานทเ่ี กบ็ เสมหะเพอื่ ตรวจหาเช้ือวัณโรค
9. การดูแลรักษาผู้ป่วยแผนกผู้ป่วยนอกท่ีเหมาะสม โดยลดขั้นตอนการดูแลให้เหลือที่จุดเดียว ให้ผู้ป่วย
สวมหน้ากากอนามยั และใหค้ วามร้เู ก่ียวกบั วัณโรค
10. การดแู ลรักษาผู้ปว่ ยท่รี ับไว้รักษาในโรงพยาบาล ประกอบด้วย
• การใสเ่ ครอ่ื งปอ้ งกันร่างกายของบคุ ลากร โดยเฉพาะ N95 mask
• ใหผ้ ูป้ ว่ ยสวม surgical mask
• จ�ำกดั การเข้าเย่ยี มของญาติ
แนวปฏิบัตเิ พอ่ื ปอ้ งกัน 75
และควบคุมการตดิ เช้ือในโรงพยาบาล
• มหี ้องแยกเพอ่ื ป้องกนั การแพร่กระจายเชอ้ื ทางอากาศ (airborne infection isolation room: AIIR)
ดแู ลผปู้ ่วยวัณโรคระยะแพรเ่ ชอื้ (ตรวจพบเชื้อในเสมหะ) ในโรงพยาบาลและหออภบิ าล
• มกี ารบรหิ ารจัดการหอ้ งถ่ายภาพรงั สี เพื่อปอ้ งกันและควบคมุ การแพรก่ ระจายเชอ้ื
• ตรวจย้อมหรอื เพาะเชอ้ื วัณโรคในตนู้ ริ ภยั ชนดิ safety cabinet class II
• มกี ารระวงั เพอื่ ปอ้ งกนั และควบคมุ การแพรเ่ ชอื้ เปน็ พเิ ศษในหออภบิ าล หอ้ งผา่ ตดั และหอ้ งสอ่ งกลอ้ ง
ตรวจทางหลอดลม
กลยุทธท์ างดา้ นการจัดการส่งิ แวดล้อม
การป้องกนั และควบคุมการแพรก่ ระจายของเช้ือวัณโรคโดยการจดั การส่ิงแวดล้อม ประกอบด้วย
1. การทำ� ใหเ้ ชอื้ วณั โรคเจอื จางโดยการระบายอากาศในโรงพยาบาล หอ้ งตรวจโรค หอ้ งผปู้ ว่ ย และหอ้ งพเิ ศษอนื่ ๆ
มีการจัดการระบายอากาศโดยวิธีธรรมชาติ (natural) หรือเครื่องระบายอากาศ (mechanical) อย่างเหมาะสม
เพอ่ื ลดความเส่ยี งตอ่ การแพร่กระจายเชอื้ วัณโรค
2. การกรองและฆา่ เชอ้ื วณั โรคในหอ้ งทมี่ คี วามเสย่ี งตอ่ การแพรก่ ระจายเชอ้ื วณั โรคมาก เชน่ หอ้ งรกั ษาผปู้ ว่ ย
วณั โรค หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารตรวจเสมหะ หอ้ งสอ่ งกลอ้ งตรวจทางหลอดลม ฯลฯ โดยการตดิ ตง้ั เครอ่ื งกรองเชอ้ื โรค (filter)
และ/หรือ หลอดไฟ ultraviolet อย่างเหมาะสม
3. ห้องตรวจผปู้ ่วยควรมกี ารจดั การอากาศทเ่ี หมาะสม หรอื เป็นพนื้ ทีเ่ ปดิ โล่งที่มกี ารจัดการอากาศทีด่ ี
4. มีห้องเกบ็ เสมหะ หรอื จุดเก็บเสมหะ มอี ่างล้างมอื ในบรเิ วณใกล้เคยี ง ไม่เก็บเสมหะในหอ้ งน้�ำ
กลยุทธท์ างด้านการใชเ้ ครื่องป้องกนั สว่ นบุคคล
การปอ้ งกนั และควบคุมการแพร่กระจายของเชอ้ื วณั โรคในบคุ ลากร ประกอบดว้ ย
1. การตรวจคัดกรองบคุ ลากรท่ีเรม่ิ ปฏิบัติงาน
1.1 การตรวจภาพรังสีทรวงอก
1.2 การตรวจ tuberculin test หรือ IGRA (Interferon gramma release assay) เพื่อตรวจว่า
ผู้ป่วยเคยได้รบั เชื้อวณั โรค จะทำ� เม่ือวนั เร่มิ เข้าปฏบิ ตั ิงาน
• ถา้ ไดผ้ ลลบ ใหต้ รวจซำ้� อกี 1 ปี ถา้ ครง้ั ทส่ี องไดผ้ ลลบไมต่ อ้ งทำ� อะไรพเิ ศษ ถา้ ครง้ั ทสี่ องไดผ้ ลบวก
พจิ ารณาใหก้ ารรกั ษา
• ถา้ ไดผ้ ลบวก ให้ติดตามโดยการตรวจภาพรงั สีทรวงอกทกุ ปีดังเช่นบคุ ลากรทัว่ ไป
2. ให้บุคลากรสวม N95 mask ในการปฏบิ ัติงานทเี่ สยี่ งตอ่ การรบั เช้อื วัณโรค เช่น การใส่ท่อเขา้ หลอดลมคอ
การตรวจทางหลอดลมโดยใช้กล้อง การทำ� กายภาพบ�ำบดั ผปู้ ว่ ยวัณโรค การดูแลผู้ป่วยวัณโรคระยะแพร่เชื้อ ฯลฯ
3. ใหก้ ารรกั ษาแบบ Latent tuberculosis แกบ่ คุ ลากรทม่ี ผี ลตรวจ tuberculin เปลย่ี นจากลบเปน็ บวกใน
ช่วงไม่นาน
4. ส�ำหรับบุคลากรที่ป่วยเป็นวัณโรคให้การรักษาจนกว่าจะหาย และให้หยุดพักงาน 2 สัปดาห์หลังเร่ิม
การรกั ษา หรอื จนกวา่ ตรวจเสมหะไม่พบเชื้อ
76 แนวปฏิบัติเพ่ือปอ้ งกนั
และควบคมุ การติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
บ1ท3ที่
หนว่ ยจ่ายกลาง
สถานพยาบาลต้องมีนโยบายส�ำหรับหน่วยจ่ายกลางที่เป็นลายลักษณ์อักษรครอบคลุมการด�ำเนินงาน
ดา้ นการป้องกนั และควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล เพ่ือ
1. ลดการแพรก่ ระจายเช้ือ
2. ลดขน้ั ตอนการทำ� งาน
3. ลดค่าใชจ้ ่าย
4. ปฏบิ ตั ิงานถกู มาตรฐานและเปน็ แบบเดยี วกัน
หนว่ ยจา่ ยกลางตอ้ งมแี ผนภมู โิ ครงสรา้ งการปฏบิ ตั งิ านและแผนการดำ� เนนิ งานการทำ� ลายเชอื้ และทำ� ใหป้ ราศจาก
เชื้อส�ำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงการก�ำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลากรผู้ปฏิบัติงานเป็น
ลายลกั ษณ์อกั ษร
หนว่ ยจา่ ยกลางควรดำ� เนนิ งานแบบครบวงจรไดแ้ ก่ การลา้ ง ตรวจสอบอปุ กรณ์ การจดั ชดุ อปุ กรณท์ ำ� ลายเชอื้ /
ทำ� ใหป้ ราศจากเชอื้ การจดั เก็บชุดอุปกรณแ์ ละแจกจ่ายใหแ้ กห่ นว่ ยงานต่างๆ ในโรงพยาบาล
บคุ ลากรท่ปี ฏิบัตงิ านในหนว่ ยจา่ ยกลาง ประกอบด้วย
1. หวั หนา้ หนว่ ยงาน (พยาบาลวชิ าชพี หรอื ผสู้ ำ� เรจ็ การศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรดี า้ นวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทยท์ ี่
ผ่านการอบรมด้านหนว่ ยจ่ายกลาง)
2. นักวิชาการประจ�ำหน่วยงาน (พยาบาลวิชาชีพหรือผู้ส�ำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์
การแพทย์ทีผ่ า่ นการอบรมดา้ นหน่วยจา่ ยกลาง)
3. พนักงานจ่ายกลาง (พยาบาลเทคนิคหรือบุคคลทัว่ ไปวุฒกิ ารศกึ ษาอยา่ งตำ�่ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 ทีผ่ ่านการ
อบรมดา้ นหนว่ ยจ่ายกลาง) ซ่งึ มีหน้าที่
• รบั อุปกรณท์ ี่ใชแ้ ล้ว
• ลา้ งท�ำความสะอาดอปุ กรณ์
• จดั ชุดอปุ กรณ์
แนวปฏิบัตเิ พ่อื ปอ้ งกนั 77
และควบคุมการติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
• ทำ� ลายเชอ้ื /ทำ� ใหป้ ราศจากเชอ้ื
• จัดเก็บอุปกรณ์ทีผ่ ่านการท�ำลายเชื้อและจดั ระบบแจกจา่ ย
• แจกจ่ายอปุ กรณ์
• ธรุ การและบนั ทึกขอ้ มูล
จำ� นวนบุคลากรหนว่ ยจ่ายกลางท่คี วรมตี ่อจ�ำนวนเตียงของโรงพยาบาล
จำ� นวนเตยี ง RN* TN/PN* พนกั งาน ธรุ การ/แม่บา้ น
10-60 1 - 2-3 1
3-5 1
61-120 1 1 5-8 1
8-12 1
121-200 1 1 12-16 1
16-25 1
201-300 1 1-2 25-35 1
35-45 2
301-400 1 2-4 45-80 2
401-500 1 2-4
501-1000 2 3-8
1001-2000 2 8-10
> 2000 3 17-27
* RN = พยาบาลวิชาชีพ TN = พยาบาลเทคนิค PN = ผ้ชู ว่ ยพยาบาล
โครงสรา้ งอาคาร สถานที่ สง่ิ แวดล้อมและความปลอดภยั
การแบง่ พน้ื ที่ในหน่วยจา่ ยกลาง แบ่งออกไดเ้ ป็น
1. พนื้ ทส่ี ำ� นกั งานและหอ้ งอนื่ ๆ ประกอบดว้ ย หอ้ งสำ� นกั งาน หอ้ งประชมุ หอ้ งพกั บคุ ลากร หอ้ งเปลยี่ นเสอ้ื ผา้
และมจี ำ� นวนหอ้ งสขุ าตามสดั สว่ นจำ� นวนบุคลากร
2. พน้ื ท่ีปฏิบตั ิงาน พ้ืนทใ่ี นหน่วยจ่ายกลาง แบง่ ออกไดเ้ ป็น 5 บริเวณ คอื
• บริเวณล้างอุปกรณ์ (Decontamination area)
• บริเวณจัดเตรียมและหอ่ อุปกรณ์ (Assembly and Processing area)
• บรเิ วณทำ� ใหอ้ ปุ กรณป์ ราศจากเชือ้ (Sterilizing area)
• บริเวณเกบ็ ห่ออปุ กรณป์ ราศจากเชอื้ (Sterile storage area)
• บริเวณเตรียมน�ำสง่ อุปกรณ์ (Distribution area)
กระบวนการทำ� งานในหนว่ ยจ่ายกลาง
การปฏบิ ัติเกี่ยวกบั การทำ� ความสะอาดอุปกรณ์
1. อุปกรณท์ ีใ่ ชแ้ ล้ว ถูกนำ� ส่งมายังหนว่ ยจา่ ยกลางอย่างเหมาะสมเพื่อปอ้ งกนั การแพร่กระจายเชือ้
78 แนวปฏิบัติเพ่ือปอ้ งกัน
และควบคุมการตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
2. บคุ ลากรสวมอปุ กรณป์ อ้ งกนั อยา่ งถกู ตอ้ งขณะปฏบิ ตั งิ าน ไดแ้ ก่ ผา้ กนั เปอ้ื นชนดิ กนั นำ�้ ถงุ มอื ยางอยา่ งหนา
แว่นตา หน้ากากอนามัย และรองเท้าบู๊ท
3. การล้างทำ� ความสะอาดเครอ่ื งมอื อย่างถูกวิธีและเหมาะสมกับเครื่องมอื แตล่ ะประเภท
• แยกอุปกรณท์ ่ีมคี วามแหลมคมออกก่อนการลา้ ง
• ส�ำรวจสภาพอปุ กรณก์ ่อนล้าง หากพบคราบใหเ้ ชด็ ออกก่อน
• อปุ กรณท์ ม่ี ขี อ้ ตอ่ หรอื ชน้ิ สว่ นทสี่ ามารถถอดได้ ใหถ้ อดออกกอ่ น อปุ กรณท์ มี่ ลี อ็ ค ใหค้ ลายลอ็ ค อปุ กรณ์
ที่ง้างออกได้ ให้งา้ งออกให้มากทีส่ ุด
• เลือกสารซักล้างที่มคี วามเหมาะสม กับอปุ กรณแ์ ต่ละชนิด
• การล้างอุปกรณ์ในอา่ งล้างท�ำโดยผา่ นน�้ำทีไ่ หลตลอดเวลา
• ในกรณีทตี่ ้องใช้แปรงขัดล้างอุปกรณ์ ให้ท�ำใต้น�ำ้
• อปุ กรณ์ทมี่ รี กู ลวง ทอ่ หรอื ช่องโพรง ตอ้ งล้างภายในให้สะอาด ดว้ ยการฉดี น�้ำและ/หรอื เป่าลม
• เคร่อื งมอื ท่ผี า่ นกระบวนการลา้ งทำ� ความสะอาดแล้ว ต้องสะอาดไมม่ สี ิ่งสกปรกติดอย่กู บั เคร่อื งมอื
• ส�ำหรับการท�ำความสะอาดโดยการล้างด้วยเคร่ือง ต้องเลือกอุปกรณ์ที่น�ำมาล้างให้เหมาะสมกับ
เคร่อื งลา้ งแตล่ ะชนิดและปฏิบตั ติ ามคำ� แนะนำ� ในการใช้เครอ่ื งลา้ งแตล่ ะชนิดอยา่ งเครง่ ครัด
การปฏิบัตเิ กยี่ วกบั การเตรยี มห่ออปุ กรณ์และการหบี ห่อ
1. มีคู่มือการจัดชุดเคร่ืองมือ (Instrument book) ท่ีง่ายต่อการปฏิบัติและตรงตามความต้องการของ
หนว่ ยงานทใ่ี ช้ ควรมีการจดั ตั้งคณะท�ำงานก�ำหนดมาตรฐานและจัดห่ออปุ กรณร์ ว่ มกบั ทกุ หนว่ ยงานท่รี ับบรกิ าร
2. ปฏบิ ัตติ ามแนวทางการเตรียมและห่ออุปกรณ์อย่างเหมาะสม ดงั นี้
• ตรวจสอบความสะอาดและสภาพความพรอ้ มในการใช้งานของอปุ กรณท์ กุ ช้ิน
• เครื่องมอื ทีม่ ีกลไกหรือไฟฟ้า ตอ้ งได้รับการทดสอบถงึ ความปลอดภยั และการคงสภาพการใชง้ าน
• อปุ กรณท์ ี่มลี อ็ คต้องตรวจสอบและคลายลอ็ คกอ่ นเสมอ
• ใช้ถาดท่ีมีรูให้ไอน�้ำผ่านทะลุได้ในการจัดวางอุปกรณ์ประเภทเคร่ืองมือผ่าตัด หรือใช้ถาดทึบแทนได้
แต่ตอ้ งจัดให้ไอนำ้� ผา่ นไดท้ ่ัวถึง
• ปิดหอ่ อปุ กรณด์ ว้ ยเทปกาว ไมใ่ ช้เข็มหมุด เข็มกลดั ลวดเยบ็ กระดาษหรอื เชือกฟางผูก
• การปิดผนึกหอ่ อุปกรณ์ทีต่ ้องผ่านความรอ้ น ต้องห่างจากขอบซองอย่างน้อย 1 นิว้
• ตอ้ งมฉี ลากตดิ หอ่ อปุ กรณ์ ซง่ึ มกี ารระบรุ ายละเอยี ดใหค้ รบถว้ น คอื ประเภทของอปุ กรณ์ หมายเลขเครอื่ ง
ทท่ี ำ� ใหป้ ราศจากเชอ้ื หมายเลขบรรจหุ อ่ อปุ กรณเ์ ขา้ เครอื่ งทำ� ใหป้ ราศจากเชอ้ื วนั ผลติ และวนั หมดอายุ
การใชง้ าน
• เลอื กวสั ดทุ ใ่ี ชห้ อ่ อปุ กรณใ์ หเ้ หมาะสมกบั อปุ กรณแ์ ละวธิ กี ารทำ� ใหป้ ราศจากเชอื้ และเลอื กใชซ้ องบรรจภุ ณั ฑ์
ทใี่ ช้ในการห่ออปุ กรณ์สำ� หรบั การท�ำใหป้ ราศจากเชอื้ เช่น พีวีซี โพลเี อธลิ นี โพบโี พรไพลีน
กรณที ี่ใชผ้ า้ ในการห่ออปุ กรณ์
• ใชผ้ า้ หอ่ อปุ กรณอ์ ยา่ งเหมาะสม ไดแ้ กผ่ า้ ประเภท 140 เสน้ ใย เชน่ ผา้ ฝา้ ย ผา้ มสั ลนิ ใชห้ อ่ 2 ชน้ั 2 ผนื
ประเภท 180 เส้นใย เชน่ ผา้ ฝ้ายผสมโพลเิ อสเตอร์ ใช้หอ่ 2 ชั้น 1 ผืน และประเภท 270-280 เส้นใย
เชน่ ผา้ ยนี สอ์ ยา่ งหนาใชห้ อ่ 1 ชน้ั 1 ผนื
• ผา้ ทใี่ ช้ในการห่ออุปกรณ์ต้องผ่านการซักกอ่ นน�ำมาใช้ทุกครั้ง
แนวปฏิบตั เิ พอ่ื ป้องกนั 79
และควบคมุ การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
• สำ� รวจรอยฉีกขาดของผา้ หอ่ อปุ กรณ์ทโ่ี ต๊ะสอ่ งผ้า
• หอ่ อปุ กรณห์ รอื หอ่ ผา้ ใหม้ ขี นาดไมเ่ กนิ 12x12x20 นว้ิ และนำ�้ หนกั ไมเ่ กนิ 12 ปอนด์ หรอื 5.5 กโิ ลกรมั
กรณีทใ่ี ช้กระดาษในการหอ่ อปุ กรณ์
• ใช้กระดาษท่ีได้มาตรฐานในการห่ออุปกรณ์ เช่น กระดาษดราฟฟอกสี กระดาษดราฟสีน้�ำตาล
มาตรฐาน 30-40 ปอนด์ และมีความพรนุ 175-180
• ห่ออุปกรณด์ ้วยกระดาษต้องห่อ 2 ชน้ั เสมอ
การปฏบิ ัตเิ กีย่ วกับการทำ� ให้ปราศจากเชอื้
1. เลอื กวธิ แี ละโปรแกรมการท�ำให้ปราศจากเชือ้ เหมาะสมกบั อปุ กรณ์
2. ปฏิบัตเิ ก่ยี วกบั การใช้เคร่อื งท�ำให้ปราศจากเช้อื ตามคู่มอื การใชง้ าน
3. ปฏบิ ตั ติ ามแนวทางการนำ� หอ่ อปุ กรณเ์ ขา้ เครอื่ งทำ� ใหป้ ราศจากเชอ้ื อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมกบั ประเภทของ
อุปกรณแ์ ละวธิ ีการท�ำให้ปราศจากเชอื้ คอื
• ห่ออปุ กรณ์ขนาดใหญห่ รือห่อผา้ วางไวช้ ัน้ ลา่ งของเครื่องและวางห่างกันประมาณ 2-4 นวิ้
• หอ่ อุปกรณข์ นาดเล็ก วางไวช้ นั้ บนของเคร่ืองและวางห่างกัน ประมาณ 1-2 นวิ้
• ไมว่ างห่ออุปกรณต์ ิดฝาผนงั พืน้ หรือเพดานของเคร่อื งทำ� ให้ปราศจากเชอื้
• อุปกรณ์ประเภทยาง วางไว้ด้านริม เรียงกันอย่างหลวมๆ ห่อถุงมือวางช้ันเดียวจัดเรียงในตะแกรง
โปร่งและวางชนั้ บนสดุ
• อุปกรณ์ทเ่ี ป็นชามอา่ ง วางตะแคงกึ่งคว่�ำ
• นำ� หอ่ อุปกรณท์ ่เี ปน็ ซองกระดาษและอีกดา้ นเป็นพลาสตกิ เข้าเครื่องอบแก๊สเอธิลนี ออกไซด์ โดยเรยี ง
ตะแคงและให้ด้านท่เี ปน็ พลาสตกิ อยู่ติดกนั เสมอ
• มีการตรวจสอบห่ออุปกรณ์หลังเสร็จส้ินกระบวนการท�ำให้อุปกรณ์ปราศจากเชื้อว่าอยู่ในสภาพ
เรยี บร้อย แห้ง ตัวบง่ ชที้ างเคมีภายนอกเปลย่ี นสีสมบรู ณ์ชัดเจน
การปฏบิ ตั ิเก่ียวกบั การตรวจสอบประสิทธิภาพการทำ� ให้ปราศจากเชื้อ
1. ตรวจสอบทางเชิงกล (Mechanical monitoring) ทำ� ทุกครงั้ ทมี่ ีการใชเ้ ครื่องท�ำให้ปราศจากเชื้อ ได้แก่
• มาตรวัดอุณหภูมิ
• มาตรวดั ความดัน
• แผ่นกราฟ/กระดาษท่บี ันทึก การทำ� งานของเครอ่ื ง
• สญั ญาณไฟตา่ งๆ
ท�ำทุกครั้งท่ที ำ� ให้อุปกรณ์ปราศจากเชอ้ื
2. ตรวจสอบทางเคมี (Chemical monitoring) มกี ารตรวจสอบการทำ� ใหป้ ราศจากเชอื้ ดว้ ยตวั บง่ ชท้ี างเคมี
ดงั นี้
• ใชต้ วั บง่ ชที้ างเคมภี ายนอกกบั หอ่ อปุ กรณท์ กุ หอ่ เปน็ แถบเทปทเ่ี ปลย่ี นสถี า้ ผา่ นการทำ� ใหป้ ราศจากเชอ้ื
• ใช้ตัวบ่งชี้ทางเคมีภายในส�ำหรับห่ออุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่ รวมถึงชุดเจาะต่างๆ และเครื่องมือผ่าตัด
ทกุ ห่อ ตรวจสอบตัวบง่ ชี้ทางเคมภี ายใน โดยดูการเปลย่ี นสขี องแถบทดสอบทุกครั้งท่เี ปิดหอ่ ทดสอบ
• ตรวจสอบด้วย Bowie-Dick ส�ำหรับเครอื่ งน่ึงไอน�ำ้ ชนิดดดู อากาศออก ทกุ วนั
80 แนวปฏิบัติเพ่ือปอ้ งกัน
และควบคุมการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
3. ตรวจสอบทางชวี วทิ ยา (Biological monitoring) มกี ารตรวจสอบการทำ� ใหป้ ราศจากเชอ้ื ดว้ ยตวั บง่ ชที้ าง
ชีววิทยา คือ สปอรถ์ ูกทำ� ลายหรอื ไม่
• เลอื กใช้ตัวบง่ ชท้ี างชีวภาพไดถ้ ูกต้องตามชนิดของเครอ่ื งท�ำใหป้ ราศจากเชอื้
• ตรวจสอบตวั บง่ ช้ีทางชวี ภาพ (spore test) อย่างนอ้ ยสัปดาห์ละครงั้
• ตรวจสอบตัวบง่ ชี้ทางชีวภาพกับอปุ กรณอ์ วยั วะเทียมท่ีท�ำให้ปราศจากเชือ้ ทกุ ครงั้
การบนั ทึกขอ้ มูลการทำ� ให้ปราศจากเช้อื ไดแ้ ก่
• วันท่ีท�ำให้อปุ กรณป์ ราศจากเช้ือ
• ชนดิ และหมายเลขเครือ่ ง
• ลำ� ดับ (หมายเลข) ของอุปกรณ์ที่เขา้ เครอื่ ง
• การทดสอบตัวบ่งช้ีทางเคมีท้ังภายนอกและภายใน และ Bowie Dick test (กรณีเครื่องน่ึงไอน�้ำ
ชนดิ ดูดอากาศออก)
• ผลการตรวจสอบด้วยตัวบ่งชี้ทางชีววทิ ยา (Spore test)
• ผู้น�ำอุปกรณ์เข้าเคร่ือง
การปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั การเกบ็ หอ่ อปุ กรณป์ ราศจากเชอื้ ปฏบิ ตั ติ ามวธิ กี ารเกบ็ หอ่ อปุ กรณป์ ราศจากเชอื้ ดงั น้ี
• บคุ ลากรตอ้ งท�ำความสะอาดมอื แบบ hygienic handwashing กอ่ นจับต้องห่ออุปกรณท์ ุกครั้ง
• สำ� รวจสภาพห่ออปุ กรณ์ปราศจากเชือ้ กอ่ นนำ� ไปเกบ็ ถา้ พบหอ่ เปยี กช้ืนต้องแยกออก
• จัดเรียงอุปกรณ์ตามล�ำดับวันผลิตและวันหมดอายุ ใช้ระบบหมุนเวียนห่ออุปกรณ์แบบเข้าก่อน-ออก
ก่อน (first in-first out)
• บนั ทึกชนิดและจ�ำนวนห่ออปุ กรณป์ ราศจากเชอื้ ท่ีเกบ็ เขา้ ชน้ั ทุกคร้ัง
การปฏบิ ัติเก่ียวกับการแจกจ่ายอปุ กรณป์ ราศจากเชื้อ
• บคุ ลากรตอ้ งทำ� ความสะอาดมอื แบบ hygienic handwashing กอ่ นหยบิ จบั หอ่ อปุ กรณ์
• ตรวจสภาพภายนอกของห่ออุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก่อนน�ำไปแจกจ่ายให้หน่วยงานต่างๆ
หากพบความไม่ถกู ตอ้ งควรแยกออกและแก้ไข
• ไมโ่ ยนห่ออปุ กรณ์
• รถเขน็ ทใ่ี ชใ้ นการแจกจา่ ยหอ่ อปุ กรณ์ เปน็ รถเขน็ ทป่ี ดิ มดิ ชดิ สะอาด และใชเ้ ฉพาะการแจกจา่ ยหบี หอ่
อุปกรณ์เท่านั้น ในกรณีที่ไม่มีรถเข็นท่ีปิดมิดชิด อาจใช้กล่องพลาสติก ปิดฝามิดชิดหรือห่อด้วย
ผา้ สะอาดอย่างหนาหรือผ้ายางคลมุ
• เม่อื เสรจ็ จากการใช้งานต้องทำ� ความสะอาดรถเขน็ และเช็ดใหแ้ หง้ ทุกครั้ง
แนวปฏบิ ัติเพื่อปอ้ งกนั 81
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
บ1ท4ท่ี
การจดั การผ้าในโรงพยาบาล
หนว่ ยซกั ฟอกเปน็ หน่วยงานทส่ี �ำคญั หนว่ ยหนง่ึ ในโรงพยาบาล โดยมีกจิ กรรมในงานเกี่ยวกบั เคร่ืองผา้ ท้งั หมด
ซ่ึงได้แก่ การจัดหาและจัดท�ำชุดเคร่ืองผ้า ได้แก่ เสื้อผ้าผู้ป่วย เคร่ืองแบบในการปฏิบัติงาน เคร่ืองผ้าประจ�ำเตียง
ผปู้ ว่ ย (ผา้ ปเู ตยี ง ปลอกหมอน) และอน่ื ๆ รวมทง้ั การทำ� ความสะอาดเครอื่ งผา้ ไดแ้ ก่ การคดั แยกชดุ เครอื่ งผา้ ทใ่ี ชแ้ ลว้
ตามประเภท ซกั และทำ� ความสะอาดชดุ เครอ่ื งผา้ การทำ� ใหแ้ หง้ รดี ผา้ การจดั เกบ็ แจกจา่ ยและการบำ� รงุ รกั ษาครภุ ณั ฑ์
บุคลากรทปี่ ฏบิ ัติงานในหน่วยซักฟอก
หวั หน้าหนว่ ยซักฟอก มคี วามรเู้ กี่ยวกับการบริหารผ้าในโรงพยาบาล และระเบียบพัสดุ
ผปู้ ฏบิ ตั งิ านในหนว่ ยซกั ฟอก มหี นา้ ทใี่ นการซกั อบ รดี ผา้ หรอื วสั ดทุ ใี่ ชแ้ ทนผา้ ดแู ลบำ� รงุ รกั ษาทำ� ความสะอาด
เคร่อื งมอื เครื่องใช้ในการปฏบิ ตั ิงานให้อยใู่ นสภาพพร้อมใช้
โครงสร้างอาคาร สถานท่ี ส่ิงแวดลอ้ มและความปลอดภยั
หน่วยซักฟอก ควรตั้งอยู่ไม่ไกลจากหน่วยจ่ายกลาง แผนกผ่าตัด แผนกสูติกรรม แผนกผู้ป่วยหนัก และ
แผนกผู้ป่วยใน รวมทั้งมีเส้นทางการสัญจรท่ีสามารถเช่ือมต่อระหว่างหน่วยงานและอาคารต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น
โดยสะดวก และสามารถปอ้ งกันแดดและฝนได้ตลอดเส้นทาง
การแบ่งพืน้ ท่ีในหน่วยซกั ฟอก
พนื้ ทใี่ ชส้ อยทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั การใหบ้ รกิ ารและการปฏบิ ตั งิ านของเจา้ หนา้ ทภี่ ายในแผนกซกั ฟอก ควรมกี ารแบง่
เขตการใช้พ้นื ท่ใี ช้สอยภายในออกเป็น 3 เขตให้เปน็ สดั สว่ นชดั เจน ไดแ้ ก่
1) เขตพน้ื ทีส่ กปรก (Dirty zone) ประกอบด้วย
1.1 บริเวณลงทะเบยี นชดุ เคร่อื งผ้าปนเปื้อนจากหนว่ ยงานต่างๆ
1.2 บรเิ วณคัดแยกผา้ เปื้อน/ชง่ั น้ำ� หนักผา้
1.3 บริเวณแช่/แปรงผา้ เป้ือนดว้ ยมือ (ถา้ ม)ี
1.4 บริเวณลา้ ง/ตากรถเข็นและภาชนะใสผ่ า้ ปนเปอื้ น
82 แนวปฏบิ ัตเิ พอ่ื ปอ้ งกนั
และควบคมุ การติดเชื้อในโรงพยาบาล
2) เขตพ้นื ที่ขจดั ส่งิ ปนเปื้อน (Decontamination zone) ประกอบด้วย
2.1 บริเวณติดตง้ั เคร่อื งซกั ผา้
2.2 บรเิ วณติดตั้งระบบปรับปรงุ คณุ ภาพน้ำ�
2.3 บรเิ วณล้าง/ตากรถเข็นและภาชนะใสผ่ ้าสะอาด
3) เขตพนื้ ทส่ี ะอาด (Clean zone) ประกอบดว้ ย
3.1 บรเิ วณติดตั้งเคร่อื งอบผ้า
3.2 บรเิ วณตดิ ตงั้ เครือ่ งรีดผา้ /โต๊ะรดี ผ้า
3.3 บริเวณตรวจสอบสภาพของผ้า
3.4 บรเิ วณเย็บ/ซอ่ มแซมผา้ ช�ำรดุ
3.5 บรเิ วณพบั และจัดชดุ เครอ่ื งผา้
3.6 บรเิ วณลงทะเบียนชุดเคร่ืองผ้าก่อนจดั เกบ็
3.7 ห้องเกบ็ ชุดเคร่ืองผา้ ที่ผ่านการซักรดี แลว้
3.8 หอ้ งเกบ็ สำ� รองผ้า/ชุดผูป้ ่วย/ชดุ เจ้าหน้าท่ี
3.9 บริเวณลงทะเบียนชดุ เครอื่ งผ้าทจี่ ะแจกจ่าย
3.10 บรเิ วณจดั ชุดเครือ่ งผา้ ใสร่ ถเขน็ เพ่ือน�ำส่งตามหนว่ ยงานต่างๆ
4) พนื้ ทที่ ั่วไป (General Zone) ประกอบดว้ ย
4.1 สำ� นกั งาน
4.2 ห้องประชมุ
4.3 หอ้ งเอนกประสงค/์ พักเจา้ หน้าที่
4.4 หอ้ ง/บรเิ วณเตรยี มอาหารวา่ งและเครอื่ งดม่ื
4.5 หอ้ งเกบ็ วัสดอุ ุปกรณ/์ เคมีภณั ฑท์ ี่ใชใ้ นการทำ� ความสะอาด
4.6 หอ้ งเปล่ียนรองเทา้ /เส้อื ผ้าผปู้ ฏบิ ัตงิ าน
4.7 ห้องสขุ า (แยกชาย/หญงิ )
4.8 หอ้ งซกั ลา้ ง/เกบ็ อุปกรณ์ทำ� ความสะอาดอาคาร
ประเภทของผา้ ในโรงพยาบาล
ผ้าที่ใช้ในโรงพยาบาลที่ใช้กับผู้ป่วย ได้แก่ เส้ือผ้าผู้ป่วย ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว
และผา้ ม่าน และผา้ ทีใ่ ช้กบั บุคลากร ไดแ้ ก่ ชุดผ่าตดั ผ้าเชด็ มอื ผ้าทใ่ี ช้ในการผา่ ตัดและท�ำหัตถการ เสื้อผา้ หมวก
หนา้ กากอนามยั ฯลฯ ผ้าเหล่านแ้ี บ่งตามความปนเปื้อนเชอ้ื โรคได้ 2 ประเภท คือ
1. ผา้ ปนเปือ้ นธรรมดา ได้แก่ ผา้ ทีเ่ ปอื้ นเหงื่อ อาหาร คราบสกปรกทัว่ ๆ ไป ท่ไี มใ่ ช้กบั ผปู้ ว่ ยตดิ เชื้อ หรอื
หอ้ งแยกโรค
2. ผา้ ทปี่ นเปอ้ื นเชอื้ โรค ไดแ้ ก่ ผา้ ทป่ี นเปอ้ื นสารคดั หลง่ั ไดแ้ ก่ เลอื ด อจุ จาระ ปสั สาวะ นำ้� ลาย เลอื ด นำ้� เหลอื ง
หนอง นำ้� ไขสนั หลงั นำ้� ในชอ่ งทอ้ ง นำ้� ในชอ่ งเยอื่ หมุ้ ปอด นำ้� ในชอ่ งเยอ่ื หมุ้ หวั ใจ นำ้� ครำ�่ นำ้� ในขอ้ นำ้� อสจุ ิ สารคดั หลง่ั
ในชอ่ งคลอด ฯลฯ ทอ่ี าจแพร่เชื้อสูผ่ ปู้ ว่ ย บุคลากร และส่งิ แวดลอ้ ม จงึ ตอ้ งจัดการพเิ ศษ
แนวปฏบิ ตั ิเพ่อื ป้องกนั 83
และควบคุมการตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
ขัน้ ตอนการจัดการผ้าในโรงพยาบาล
1. การขนส่งผา้ เปื้อน
1.1 ผู้รับและส่งผ้าเปื้อน ควรสวมเคร่ืองป้องกันร่างกายท่ีถูกต้องเหมาะสม ประกอบด้วย หมวก
หนา้ กากอนามยั เสอ้ื คลุม ถุงมอื ยางหนา และรองเทา้ บูท๊
1.2 ขนย้ายผ้าเปื้อนตามเวลาและเส้นทางที่ก�ำหนด
1.3 การขนย้ายผา้ เป้ือนให้อย่ใู นภาชนะทปี่ ดิ มดิ ชิด
2. การซักผา้
2.1 ผซู้ ักผา้ ควรสวมชดุ ปฏิบตั งิ านเฉพาะของหนว่ ยงาน
2.2 ผ้ซู ักสวมเครื่องป้องกนั ร่างกายที่ถกู ตอ้ งเหมาะสม (ผ้ายางกันเป้ือน ถงุ มอื ยางหนา หน้ากากอนามยั
รองเทา้ บูท๊ )
2.3 ปฏบิ ัติตามขอ้ กำ� หนดการจดั การผ้าเปือ้ นเชอ้ื โรค ดังนี้
• ซกั ในเครื่องซกั ผ้าปรบั อณุ หภูมิไม่ตำ�่ กวา่ 71 องศา นาน 25 นาที
• ในกรณีที่ไม่สามารถปรับอุณหภูมิน้�ำได้ ให้แช่ผ้าในน้�ำยา 0.5% Sodium hypochlorite
นาน 30 นาทีกอ่ นซัก
2.4 หลกี เลย่ี งการเทผ้าเปื้อนลงบนพืน้
2.5 ในกรณที ตี่ ้องมีการฉีดลา้ งสิง่ คดั หลัง่ ทป่ี นเปื้อนก่อนเขา้ เคร่ืองซักผ้า ควรทำ� ในพื้นทเี่ ฉพาะ
3. การจัดเก็บผา้ ทซ่ี กั และท�ำให้แหง้ แล้ว
3.1 พน้ื ทีพ่ บั ผา้ ควรยกพ้ืนสูงหรืออยบู่ นโตะ๊ ทสี่ ะอาดและแห้ง
3.2 ผา้ ท่ผี ่านการซัก และท�ำแห้งแล้วใหเ้ ก็บในตูห้ รอื ชั้นผา้ ทีส่ ะอาดและปิดมิดชิด
4. การขนส่งผ้าทซี่ ักและทำ� ให้แหง้ แล้ว
4.1 ขนส่งผา้ สะอาดโดยการหีบห่อและ/หรอื รถขนส่งทปี่ ดิ มดิ ชดิ ตามความเหมาะสม
4.2 รถขนส่งผา้ สะอาดควรไดร้ ับการท�ำความสะอาดและแหง้
4.3 แยกรถขนสง่ ผ้าเปอ้ื นและรถขนผ้าสะอาด
สิง่ ที่ไม่ควรปฏบิ ตั ิ
1. ตรวจนบั ผ้าเป้ือนเชื้อโรคในหอผูป้ ่วย
2. แชผ่ ้าเป้ือนดว้ ยน้ำ� ยาฆ่าเชอื้ บนหอผู้ปว่ ย
3. เพาะเชอ้ื จากผ้าเปน็ ประจำ�
84 แนวปฏิบัตเิ พอ่ื ปอ้ งกัน
และควบคุมการติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
บ1ท5ที่
ส่งิ แวดลอ้ มในโรงพยาบาล
ส่ิงแวดล้อมในโรงพยาบาลมีการปนเปื้อนด้วยเชื้อก่อโรคและสารพิษ จึงต้องจัดการส่ิงแวดล้อมเพื่อให้มี
เชอื้ กอ่ โรคและสารพษิ นอ้ ยกวา่ ทจี่ ะเปน็ อนั ตรายตอ่ ผปู้ ว่ ย บคุ ลากร ญาตผิ ปู้ ว่ ยและประชาชน สงิ่ แวดลอ้ มประกอบดว้ ย
1. สิ่งมชี วี ิต เช่น คน สตั ว์ พชื
2. สิง่ ไมม่ ีชีวิต เชน่ อาคาร ทางเดนิ สนาม เครอ่ื งมอื ทางการแพทย์ ของใชต้ า่ งๆ รวมถงึ อากาศและน้�ำด้วย
การจดั การเกี่ยวกับสง่ิ มชี วี ติ (Animate)
คน ได้แก่ ผู้ป่วย บุคลากร ญาติผู้ป่วย บุคคลที่อาจมีโรคติดต่อได้ เช่น ไข้หวัด อีสุกอีใส วัณโรค ฯลฯ ซ่ึง
ไม่ควรอยู่ในโรงพยาบาล บุคลากรควรได้รับการป้องกันโรคติดต่อด้วยวัคซีนอย่างเหมาะสม บุคลากรท่ีป่วยด้วย
โรคติดต่อไม่ควรปฏิบัติงานท่ีเสี่ยงต่อการแพร่โรคน้ัน ผู้ป่วยด้วยโรคติดต่อควรแยกไว้ เพื่อไม่ให้แพร่เช้ือ ญาติและ
คนเข้าเยี่ยมที่เป็นโรคติดต่อไม่ควรเข้ามาในโรงพยาบาลและไม่ควรเข้าเยี่ยมผู้ป่วย คนที่ติดโรคได้ง่าย เช่น เด็กเล็ก
ไม่ควรเขา้ เย่ียมผ้ปู ่วย
สัตว์ อาจเป็นพาหะของโรคได้ เช่น สุนัข แมว ไม่ควรมีอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนสัตว์พาหะของโรค เช่น ยุง
แมลงวนั แมลงสาบ หนู ฯลฯ ควรก�ำจดั ใหห้ มด หรือเหลือน้อยที่สดุ
การจดั การเกีย่ วกับสิ่งไมม่ ชี ีวิต (Inanimate)
1. สิง่ กอ่ สร้าง และสนาม
2. เครอ่ื งมือเครือ่ งใช้ต่างๆ
3. อากาศ
4. น�ำ้
5. มลู ฝอย
แนวปฏบิ ตั เิ พอื่ ป้องกัน 85
และควบคมุ การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
อาคารสถานท่ี
โรงพยาบาลต้องมีหน่วยงานจัดการอาคารสถานที่เพื่อให้ดูสะอาดและปลอดภัยจากเชื้อก่อโรค โดยเฉพาะ
หน่วยท�ำความสะอาดทีม่ ีหน้าทที่ ำ� งานตามข้อกำ� หนดท่เี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรโดยเฉพาะเกยี่ วกับ
1. สถานท่ีรับผิดชอบ
2. ตารางการทำ� ความสะอาด
3. วิธกี ารท�ำความสะอาดพืน้ ผิว
• สถานทที่ วั่ ไป
• สถานที่พเิ ศษ เชน่ ห้องแยกโรค หอผู้ป่วยภูมคิ ้มุ กันต�่ำ
• กรณีพิเศษ เช่น มีการหกหล่นของสิ่งที่มีเชื้อโรค (เลือด สารคัดหลั่งอื่นๆ) และระหว่างการระบาด
ของโรค
4. กรณีที่มีการซ่อม สร้าง อาคารสถานท่ีที่ท�ำให้เกิดฝุ่น จะต้องมีหน่วยงานดูแล เพื่อลดการฟุ้งกระจาย
ของเช้อื โรค โดยเฉพาะเชอ้ื รา Aspergillus ด้วยวธิ ีท่เี หมาะสม
การทำ� ความสะอาดพนื้ ผิวต่างๆ ในโรงพยาบาลต้องทำ� โดยผมู้ ีความรู้ ผา่ นการอบรม มเี คร่ืองใช้พรอ้ ม รวมท้งั
นำ้� ยาทำ� ลายเช้ือ
เครอ่ื งมือ เครอ่ื งใช้
เคร่อื งมือทางการแพทย์ ท�ำความสะอาด ทำ� ลายเชือ้ และท�ำให้ปราศจากเช้ือตามมาตรฐาน เคร่ืองใชส้ ่วนตวั
เช่น แก้วน้�ำ ชาม ช้อน โต๊ะ เก้าอ้ี ข้างเตียง ให้ท�ำความสะอาดธรรมดา ยกเว้นปนเปื้อนด้วยสารคัดหลั่งหรือของ
ทมี่ เี ชือ้ โรค ใหเ้ ชด็ ออกใหม้ ากที่สุด แล้วราด/เชด็ ด้วยนำ้� ยาทำ� ลายเช้อื ก่อนการท�ำความสะอาดตอ่ ไป
เคร่ืองนอน ได้แก่ ปลอกหมอน หมอน ผ้าปูเตียง ผา้ หม่ ผา้ เช็ดตัว และเสอื้ ผา้ ให้ซกั ลา้ งตามปกติ หรือแบบ
ผ้าปนเป้ือนเชือ้ โรคตามวธิ ปี ฏิบัติการจดั การผ้า
อากาศ
จัดการให้อากาศถ่ายเทเพื่อสุขภาพและลดการแพร่เชื้อ อาจใช้วิธีการถ่ายเทอากาศตามธรรมชาติ (Natural
ventilation) หรอื ใชเ้ ครอ่ื งกล (Mechanical ventilation) เชน่ ใชพ้ ดั ลม เครอ่ื งปรบั อากาศ ฯลฯ ตามความเหมาะสม
สถานท่ีต้องการความสะอาดของอากาศ เช่น ห้องผ่าตัด ใช้เครื่องกรองอากาศกรองอากาศท่ีจะเข้าห้อง
สถานที่ที่ต้องการป้องกันเช้ือโรคออกจากห้อง เช่น ห้องแยกผู้ป่วยโรคติดต่อ ใช้เครื่องกรองอากาศกรองอากาศท่ี
ออกจากหอ้ ง
การหมุนเวียนอากาศภายในห้องต้องจัดตามลักษณะของห้อง เช่น ห้องท�ำงาน ห้องผู้ป่วย ห้องผ่าตัด
ยอ่ มต้องการอากาศหมนุ เวยี น (Air change) แตกตา่ งกัน จึงตอ้ งจัดตง้ั เครอ่ื งกล (Mechanical ventilators) เช่น
พัดลม เครอ่ื งปรับอากาศ เคร่ืองดูดอากาศออกจากหอ้ ง เพอื่ ให้ได้อากาศหมุนเวียนตามมาตรฐาน
การเจอื จางเชื้อโรคในอากาศ เช่น การดดู อากาศออกจากหอ้ งหรือเข้าในห้อง จะลดความเสีย่ งตอ่ การแพร่เชอ้ื
การฆ่าเชอ้ื โรคในอากาศท่นี ิยมใช้ คือ การใช้รงั สีอุลตรา้ ไวโอเลต (Ultraviolet irradiation) เพือ่ ลดปรมิ าณ
เช้ือวัณโรคในอากาศในหอผู้ป่วยวัณโรค หรือห้องปฏิบัติการทางจุลชีววิทยา และใช้ท�ำลายเช้ือในน้�ำยาล้างไต
(Dialytic fluid) ไม่แนะน�ำให้ใชโ้ ดยทั่วไป
86 แนวปฏิบัตเิ พ่อื ป้องกนั
และควบคมุ การติดเชอื้ ในโรงพยาบาล
นำ�้
น้�ำบริโภคต้องมีคุณสมบัติตามก�ำหนดเกี่ยวกับเช้ือแบคทีเรียและสารเคมีในน้�ำ จะท�ำโดยการต้ม การกลั่น
การกรองขนึ้ อยกู่ บั ปริมาณทต่ี ้องการ เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ และค่าใชจ้ ่าย
น�้ำท่ีใช้ล้างเครื่องมือทางการแพทย์ต้องเป็นน�้ำสะอาด ไม่มีสารตกตะกอนมากเกินก�ำหนด ถ้าใช้ส�ำหรับ
ลา้ งเคร่ืองมอื ทีท่ �ำให้ปราศจากเชอ้ื แล้วตอ้ งเปน็ น้ำ� กลั่นปราศจากเชอื้
นำ้� อปุ โภค โดยเฉพาะนำ้� ทใ่ี ชล้ า้ งมอื บคุ ลากรตอ้ งเปน็ นำ้� ทไี่ มม่ กี ารปนเปอ้ื นแบคทเี รยี จงึ ตอ้ งดแู ลความสะอาด
ของท่อ กอ๊ กน้ำ� ไมใ่ ช้ผ้าพันหวั ก๊อกน้�ำเพราะจะเป็นทีส่ ะสมเชือ้ โรค
นำ�้ อปุ โภคและบรโิ ภคอาจจะเปน็ นำ�้ ประปา นำ�้ บาดาล หรอื นำ้� จากแหลง่ นำ�้ ธรรมชาตอิ น่ื ซงึ่ ตอ้ งผา่ นกระบวนการ
ทำ� ให้ตกตะกอน ลดสารเจอื ปน และฆา่ เช้อื โรค เช่น การใช้ผงคลอรนี เพอ่ื ใหไ้ ดค้ ุณภาพตามกำ� หนด
น้�ำเสียจากโรงพยาบาลถือว่าเป็นน้�ำท่ีมีสารเคมีอันตรายและมีเช้ือโรค จึงต้องมีระบบจัดการน้�ำเสียต้ังแต่
แหลง่ ก�ำเนดิ ของน�ำ้ ได้แก่ อ่าง ระบบท่อ และโรงจดั การน้�ำเสยี ที่สามารถท�ำให้น�้ำเสียนัน้ ตกตะกอน และทำ� ลาย
เชอื้ โรคกอ่ นปลอ่ ยสูแ่ หล่งน้ำ� ธรรมชาติ น้ำ� เสยี ท่ีบ�ำบดั แล้วต้องมีคุณสมบัตติ ามที่ก�ำหนด
มูลฝอย
มูลฝอยจากโรงพยาบาลทเ่ี ปน็ อนั ตรายมมี าก จงึ ตอ้ งจัดเกบ็ รวบรวม ขนสง่ และกำ� จัด ตามมาตรฐาน (ศกึ ษา
เพิม่ เติมในบทการจดั การมูลฝอย)
โดยสรปุ การดแู ลสงิ่ แวดลอ้ มในโรงพยาบาลแตกตา่ งจากสงิ่ แวดลอ้ มทบี่ า้ น เพราะสง่ิ แวดลอ้ มในโรงพยาบาล
มีส่ิงท่ีเป็นอันตราย เช่น สารเคมี กัมมันตรังสี ของแหลมคม และเช้ือโรคต่างๆ จึงต้องจัดการอย่างถูกวิธีเพ่ือ
ความสะอาดและสุขอนามัย
แนวปฏบิ ัตเิ พื่อป้องกัน 87
และควบคมุ การติดเช้อื ในโรงพยาบาล
บ1ท6ที่
การจดั การอาหาร
ผู้ป่วยในโรงพยาบาล
หนว่ ยโภชนาการมหี นา้ ทจ่ี ดั หาและผลติ อาหารสำ� หรบั ผปู้ ว่ ย/บคุ ลากร เผยแพรค่ วามรดู้ า้ นอาหาร โภชนาการ
บคุ ลากรทปี่ ฏบิ ตั งิ านในหน่วยโภชนาการ
• หวั หนา้ หน่วยโภชนาการ
• เจ้าหนา้ ท่ผี ูป้ ฏบิ ัติงาน
คณุ สมบัตขิ องหัวหน้ากลมุ่ งานโภชนศาสตร์
• วุฒกิ ารศกึ ษาท่เี หมาะสม: ปริญญาตรีเป็นอยา่ งตำ�่ วทิ ยาศาสตรบ์ ัณฑติ สาขาโภชนาการ
การดูแลสขุ ภาพบคุ ลากร
• ควรไดร้ บั ความรู้ ค�ำแนะนำ� เกีย่ วกับการปฏิบตั เิ ม่ือเกดิ การเจบ็ ปว่ ย โดยเฉพาะโรคระบบทางเดนิ อาหาร
และระบบทางเดนิ หายใจ ความสำ� คญั ของสขุ อนามยั สว่ นบคุ คล และการลา้ งมอื การเตรยี ม การประกอบการ
น�ำส่ง และการเก็บอาหารอย่างเหมาะสม การท�ำความสะอาดอุปกรณ์ สถานที่เตรียมอาหาร และ
การจดั การมูลฝอย
• ควรมกี ารตรวจสุขภาพประจำ� ปี การไดร้ บั ภมู คิ ุม้ กันท่ีจำ� เป็น ตรวจ HbSAg และเชอื้ กอ่ โรคในอจุ จาระ
1. การปฏิบัติตนของบคุ คลากรท่ีปรงุ และจดั จ่ายอาหารในหน่วยโภชนาการ
1.1 แตง่ กายสะอาด สวมหมวกหรอื ผ้าคลมุ ผมและผา้ กันเปื้อน ใส่รองเทา้ หุ้มส้น
1.2 ตัดเล็บให้ส้ัน ไม่สวมแหวน ล้างมือและเล็บให้สะอาดด้วยสบู่และน้�ำก่อนเตรียมอาหาร ภายหลัง
การสัมผสั สิ่งของท่ีไม่สะอาดและหลังจากเข้าห้องน�ำ้
1.3 สวมหน้ากากอนามยั ขณะปฏบิ ตั งิ าน
1.4 บุคคลากรท่มี ีอุจจาระร่วงหรือเปน็ บดิ หรอื มแี ผลเปดิ หรอื ตุ่มหนองทมี่ อื ใหล้ ะเว้นการปฏบิ ัติงาน
1.5 ไมส่ บู บหุ รี่
88 แนวปฏบิ ตั ิเพ่ือปอ้ งกนั
และควบคมุ การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
2. การจดั การส่ิงแวดลอ้ มในโรงครัวและการจัดการมูลฝอย
2.1 บริเวณพน้ื ควรสะอาดและแห้ง ทอ่ ระบายน้�ำมฝี าปดิ
2.2 มสี ถานที่เกบ็ วัตถดุ บิ เตรยี ม ผลติ บรรจุและแจกจ่ายอาหาร
2.3 การสญั จรของอาหารดบิ และอาหารพรอ้ มบรโิ ภคควรแยกออกจากกนั
2.4 มที รี่ องรบั มูลฝอยในท่ีเตรียมหรอื ปรุงอาหารและบรเิ วณทลี่ ้างภาชนะและอปุ กรณ์
2.5 เศษอาหารทเี่ หลอื แตล่ ะมอ้ื ไมน่ ำ� ไปเลย้ี งสตั ว์ (ยกเวน้ ไดผ้ า่ นกระบวนการทำ� ลายเชอื้ ดว้ ยการตม้ กอ่ น)
2.6 ควรมีการควบคุมป้องกนั และก�ำจัดแมลง สัตว์พาหะนำ� โรค
3. อปุ กรณ์ เครอื่ งมือ เครอ่ื งใช้
3.1 เคร่ืองมือ เคร่ืองใช้ เป็นวัสดุที่มีผิวเรียบ เพื่อให้ง่ายต่อการท�ำความสะอาด ไม่เป็นสนิม และไม่มี
รอยแตกรา้ ว
3.2 เขยี ง เป็นแผ่นเรยี บ มั่นคง แข็งแรง ไมด่ ูดซับน�้ำ ท�ำความสะอาดงา่ ย ไม่มเี ช้ือรา
3.3 มดี และเขยี งแยกประเภทการใช้งานกบั อาหารสุก เน้ือสัตว์ ผักและผลไม้
3.4 ภาชนะใสอ่ าหารต้องสะอาด และแห้งกอ่ นนำ� มาใช้เตรยี มอาหาร
3.5 โตะ๊ ทใี่ ชเ้ ตรยี มอาหารมนั่ คง แขง็ แรง ทำ� ดว้ ยวสั ดทุ ไ่ี มด่ ดู ซบั นำ�้ ทำ� ความสะอาดงา่ ย ภายหลงั ประกอบ
อาหาร ให้ล้างอุปกรณ์เครื่องใชใ้ หส้ ะอาดและผ่ึงใหแ้ หง้
3.6 รถน�ำส่งอาหารผู้ป่วยท�ำด้วยวัสดุแข็งเรียบ มีท่ีระบายน�้ำ ไม่อับช้ืน ปิดมิดชิด เพ่ือป้องกันสัตว์
พาหะน�ำโรค และง่ายต่อการท�ำความสะอาด หลังส่งอาหารให้ล้างท�ำความสะอาด เช็ดให้แห้ง ถ้ามีอาหารหก
ให้เชด็ ท�ำความสะอาดทันที
3.7 ตู้เย็นเก็บอาหารต้องมีการท�ำความสะอาดสม่�ำเสมอ ขอบยางไม่มีเช้ือรา และตรวจสอบอุณหภูมิ
ของตูเ้ ยน็ ทุกวัน
4. การเลอื กซอื้ วัตถดุ บิ
4.1. เลือกวัตถุดบิ อาหารและเคร่อื งดม่ื ทีใ่ หม่และสด จากแหล่งผลติ ท่มี คี ณุ ภาพดแี ละไดม้ าตรฐาน
4.2. ตรวจสอบสภาพอาหารขณะท่ผี ผู้ ลติ /ผจู้ �ำหน่ายมาส่ง
5. การประกอบอาหาร
5.1. พนื้ ที่ในการปรงุ อาหารควรสูงจากพืน้ อยา่ งน้อย 60 เซนตเิ มตร
5.2. ลา้ งอาหารสดกอ่ นนำ� ไปประกอบอาหาร
5.3. ประกอบอาหารให้ได้อุณหภมู ิเพียงพอและเวลาที่เหมาะสมตามประเภทอาหาร
5.4. ล้างผกั และผลไม้ให้สะอาดกอ่ น
5.5. ใส่ถงุ มือหรอื ใชช้ ้อนหรอื ทพั พีเม่ือตอ้ งสมั ผสั อาหารท่ปี รงุ สุกแล้วหรอื อาหารทพี่ รอ้ มบรกิ าร
5.6. ชิมอาหารโดยตกั ใสถ่ ้วยแบง่
5.7. บคุ ลากรทไี่ ม่เก่ยี วขอ้ ง ไม่ควรเข้าไปในบรเิ วณทีเ่ ตรยี มหรอื ประกอบอาหาร
6. การเกบ็ รักษาอาหารทีป่ รุงแล้วกอ่ นน�ำส่งและตกั แบ่ง
ถ้าไม่สามารถแจกจ่ายอาหารท่ีปรุงเสร็จทันทีให้เก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิท่ีเหมาะสมส�ำหรับอาหารแต่ละ
ประเภท
แนวปฏบิ ัตเิ พือ่ ป้องกนั 89
และควบคุมการติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
7. การแจกจ่ายอาหาร
อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วให้น�ำแจกจ่ายทันที ถ้าไม่สามารถท�ำได้ทันทีให้เก็บรักษาไว้ในภาชนะท่ีมีฝาปิด
หรือเก็บในตเู้ ยน็
8. การล้างภาชนะและเครื่องใช้
8.1. ขจดั เศษอาหารออกก่อนลา้ ง
8.2. ล้างภาชนะดว้ ยเครอื่ งลา้ งจานที่มอี ุณหภมู ิ 82 oC/180 oF ถา้ ไม่มีใหล้ วกหรอื ต้มหลังจากลา้ ง
8.3. การล้างดว้ ยมือใหใ้ ส่ถงุ มือยางหนา ใช้น้ำ� และน้�ำยาล้างจานล้างใหส้ ะอาดและผึง่ ใหแ้ หง้
9. การตรวจสอบการปนเปอื้ นของอาหารเม่ือมีหรือสงสยั วา่ มีการระบาด
ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการควบคุมโรคติดเชื้อในการสอบสวนโรคในกรณีเกิดการเจ็บป่วยของ
โรคระบบทางเดินอาหารในผูป้ ว่ ยหรือบุคลากรทสี่ งสัยวา่ จะเกดิ จากการปนเป้อื นของอาหาร
ส่งิ ท่ีไมค่ วรปฏบิ ตั ิ
1. วางอาหารบนพ้นื
2. นำ� สัตว์เลยี้ งเขา้ มาในบรเิ วณอาคารโภชนาการ
3. ฉดี ยาฆ่าแมลงบรเิ วณอาคารและบริเวณใกล้เคยี ง
4. บุคลากรท่ีมีการติดเช้ือหรือเป็นพาหะของเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการ
ประกอบอาหาร
อาหารเหลว
1. การจดั สถานที่
ห้องเตรียมอาหารและประกอบอาหาร ควรเปน็ ห้องแยกเฉพาะและเป็นหอ้ งปรบั อากาศ
2. การปฏิบตั ติ นของเจา้ หนา้ ที่ผลติ อาหารเหลว
2.1. เปลีย่ นรองเทา้ ก่อนเข้าห้องเตรยี มและประกอบอาหาร
2.2. สวมเสอ้ื คลุม สวมหมวกหรือผา้ คลุมผม หนา้ กากอนามยั เมอื่ เขา้ หอ้ งเตรยี มและประกอบอาหาร
2.3. เคร่งครัดต่อการล้างมือให้ท่ัวถึงด้วยสบู่ผสมน้�ำยาท�ำลายเช้ือนาน 10-15 วินาที สวมถุงมือสะอาด
เมอ่ื เตรยี มและประกอบอาหารทุกครั้ง
3. การท�ำความสะอาดอปุ กรณแ์ ละภาชนะ
3.1. เครือ่ งปัน่ อาหารเหลว ลา้ งท�ำความสะอาดภายหลังใชง้ าน แลว้ สง่ อบไอน้�ำร้อน
3.2. อุปกรณ์และภาชนะอนื่ ๆ ลา้ งทำ� ความสะอาด ภายหลังใชง้ านและตม้ ในนำ้� เดือดนาน 20 นาที
3.3. อุปกรณ์ที่ใช้บรรจุอาหารเหลวท่ีจะใช้ให้อาหารผู้ป่วยจะต้องสะอาด ส่วนถุงบรรจุ หรือชุดหยด
อาหารเหลว ซ่ึงท�ำความสะอาดและท�ำลายเช้ือยาก ควรใชเ้ พียงครัง้ เดยี ว
4. การเตรยี มส่วนประกอบอาหาร
4.1. ล้างทำ� ความสะอาดอาหารสดและไข่ให้สะอาดกอ่ นนำ� มาประกอบอาหาร
4.2. สว่ นประกอบอาหารตา่ งๆ เชน่ เกลือ น�้ำมัน น�้ำเช่ือม น้ำ� ต้ม ให้เตรยี มใชเ้ ฉพาะม้ือ
4.3. บรรจอุ าหารในภาชนะทีม่ ีฝาปิดตลอดเวลา
90 แนวปฏิบตั ิเพ่อื ป้องกัน
และควบคมุ การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาล
5. การดแู ลอาหารที่ผลิตแลว้
5.1. บรรจอุ าหารเหลวในขวดแกว้ หรอื ภาชนะบรรจทุ สี่ ะอาดใหป้ รมิ าณเพยี งพอตอ่ มอื้ ตอ่ ผปู้ ว่ ย 1 คน เทา่ นนั้
5.2. แจกจา่ ยอาหารไปยงั หอผปู้ ่วยทนั ทีภายหลังผลิต
5.3. ในกรณีไมส่ ามารถแจกไดท้ ันที ต้องเกบ็ อาหารเหลวไว้ในตู้เย็นท่มี อี ณุ หภมู ิ 2-8oC
5.4. ที่หอผู้ป่วย เมื่ออาหารเหลวมาถึงให้แจกแก่ผู้ป่วยทันที เฉพาะมื้อกลางคืนให้เก็บไว้ในตู้เย็นท่ีมี
อณุ หภูมิ 2-8 oC ตลอดเวลาจนกวา่ จะให้ผ้ปู ว่ ย
6. การขนสง่
ใช้ภาชนะที่ม่ันคงแข็งแรงมิดชิดและท�ำความสะอาดง่ายเพ่ือบรรจุขวดอาหารเหลวหรือภาชนะบรรจุใน
การขนสง่
7. การตรวจสอบคุณภาพอาหารเหลว
สมุ่ เกบ็ ตวั อยา่ งอาหารเหลวเพาะเชอ้ื อยา่ งนอ้ ยปลี ะ 1 ครง้ั (อา้ งองิ มาตรฐานโรงพยาบาลอาหารปลอดภยั
ปี 2560)
แนวปฏบิ ัตเิ พื่อปอ้ งกนั 91
และควบคุมการตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
บ1ท7ที่
การจัดการมูลฝอยติดเชอ้ื
มลู ฝอยในโรงพยาบาล แบ่งออกเปน็
1. มลู ฝอยรีไซเคิล (recycle waste) เชน่ กระดาษ โลหะ แกว้ พลาสตกิ ซึ่งสามารถน�ำกลบั มาใชไ้ ด้ใหม่
2. มูลฝอยทัว่ ไป (general waste) หมายถึง มลู ฝอยท่เี กิดจากหอพกั โรงอาหาร บริเวณสาธารณะ และ
ส�ำนกั งานซึ่งไม่เก่ยี วข้องกบั บริการการตรวจ วนิ ิจฉัย การดแู ลรักษา การให้ภูมคิ ุม้ กนั โรค การศึกษาวิจยั และมลู ฝอย
ที่ไม่สามารถน�ำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก เช่น เศษเนื้อ เศษผัก เศษผลไม้ เศษอาหาร น้�ำ เคร่ืองดื่มต่างๆ นอกจากน้ี
ยังรวมถงึ ใบไม้ ใบหญ้า
3. มูลฝอยอันตราย (hazardous waste) หมายถึง มูลฝอยทางการแพทย์ที่มีพิษอาจก่อให้เกิดอันตราย
กับมนษุ ย์และสภาพแวดล้อม ต้องการวิธกี ารทำ� ลายเป็นพเิ ศษ ไดแ้ ก่
• ถา่ นไฟฉาย หลอดฟลูออเรสเซนต์ แบตเตอร่ี กระปอ๋ งสเปรย์
• ยา สารเคมีต่างๆ ขวดใส่ยาเคมบี ำ� บดั ขวดยาตา้ นจลุ ชพี น�ำ้ ยาและสารเคมีจากหอ้ งปฏิบัติการ และ
จากหอผูป้ ว่ ย รวมทง้ั ยาท่หี มดอายุ
• สารกมั มนั ตรังสที ่ีใชใ้ นการวนิ ิจฉยั หรอื รกั ษาโรค
4. มลู ฝอยตดิ เชอ้ื (infectious waste) หมายถงึ มลู ฝอยทางการแพทยท์ มี่ หี รอื อาจมเี ชอ้ื โรค มลู ฝอยทสี่ มั ผสั
หรอื สงสยั ว่าไดส้ มั ผสั กบั เลอื ด หรอื สว่ นประกอบของเลอื ด หรอื สารน้�ำจากร่างกาย ประกอบดว้ ย
4.1 มูลฝอยทีเ่ ป็นของเหลวหรือสารคัดหลงั่ เชน่ เลือด สว่ นประกอบของเลือด ปัสสาวะ อจุ จาระ น้�ำ
ไขสนั หลัง เสมหะ ฯลฯ
4.2 มลู ฝอยท่เี ป็นอวัยวะหรอื ชนิ้ ส่วนของอวยั วะ เชน่ ชน้ิ เนอื้ เนือ้ เยอื่ อวยั วะทไ่ี ดจ้ ากการท�ำหตั ถการ
ต่างๆ มูลฝอยจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจศพ ซากสัตว์ทดลอง รวมทั้งวัสดุท่ีสัมผัสระหว่างการท�ำ
หตั ถการและการตรวจนัน้ ๆ
4.3 มูลฝอยของมีคมติดเช้ือที่ใช้แล้ว เช่น เข็ม ส่วนปลายแหลมคมของชุดให้สารน�้ำทางหลอดเลือด
หรือชุดให้เลือดและผลิตภัณฑ์ของเลือด ใบมีด หลอดแก้ว กระบอกฉีดยา สไลด์ แผ่นกระจกปิดสไลด์ เคร่ืองมือ
ท่แี หลมคมตา่ งๆ ท่ีใช้กบั ผ้ปู ว่ ยแล้ว
92 แนวปฏบิ ัตเิ พอื่ ป้องกัน
และควบคมุ การติดเชอ้ื ในโรงพยาบาล
4.4 มูลฝอยจากกระบวนการเก็บและเพาะเชือ้ เช่น เช้ือ อาหารเล้ียงเช้ือ จานเลย้ี งเชอ้ื ฯลฯ
4.5 มูลฝอยทเี่ ปน็ วคั ซีนทำ� จากเชือ้ โรคท่มี ชี ีวติ และภาชนะบรรจุ เชน่ วัคซนี ปอ้ งกนั วณั โรค โปลิโอ หัด
หดั เยอรมัน คางทูม อีสกุ อใี ส ไข้รากสาดนอ้ ยชนิดกิน เป็นตน้
4.6 มูลฝอยตดิ เชอ้ื อืน่ ๆ ครอบคลมุ ถึงวสั ดุทปี่ นเป้อื นเชอ้ื โรค เช่น
• วสั ดุท�ำจากผา้ เช่น ส�ำลี ผ้าก๊อซ เสื้อคลุม ผา้ ตา่ งๆ
• วัสดุท�ำจากพลาสติกและยาง เช่น ถุงมือใช้คร้ังเดียวทิ้ง กระบอกฉีดยาชนิดพลาสติก ท่อยาง
ถงุ ใส่ปสั สาวะ ภาชนะรองรับสารคัดหลง่ั และเสมหะ ถงุ เลอื ดและผลิตภัณฑ์ของเลอื ด อุปกรณ์
ทใ่ี ช้กับผ้ปู ่วยลา้ งไต
• วัสดุท�ำจากกระดาษ เช่น กระดาษซบั เลือด เส้ือคลุมใช้ครั้งเดียวท้งิ ผา้ ปิดปากและจมูก เป็นต้น
การจดั การมลู ฝอยตดิ เชื้อ
1. จัดเตรียมอปุ กรณ์
จัดหาภาชนะรองรบั มลู ฝอยแตล่ ะประเภทให้เพียงพอและเหมาะสม
2. เตรยี มบคุ คลากร
2.1 มกี ารประชาสมั พันธ์แนวทางปฏิบตั ิเพ่ือการบรหิ ารจัดการมูลฝอย
2.2 มกี ารอบรมให้ความรผู้ ู้มีหนา้ ทเ่ี กบ็ รวบรวมและกำ� จดั มลู ฝอย
3. การเตรียมอปุ กรณส์ ำ� หรบั มลู ฝอยตดิ เชื้อ
มภี าชนะทใี่ ชร้ องรับมลู ฝอยตดิ เชือ้ ทีม่ ลี ักษณะเหมาะสม ดังน้ี
3.1 ถงุ พลาสติก
• ท�ำด้วยวัสดุท่ีมีคุณสมบัติพิเศษและเหมาะสม เช่น ถุงพลาสติก ท่ีมีความทนทานต่อสารเคมี
เหนยี ว กนั นำ้� ได้
• สขี องถงุ ใสม่ ลู ฝอยตดิ เชอ้ื จะตอ้ งมลี กั ษณะเดน่ ชดั เชน่ สแี ดงสดและทบึ แสงและมคี ำ� เตอื นเฉพาะ
• ขนาดของถุงควรมีหลายขนาดให้เลือกใช้ และมีความจุเพียงพอส�ำหรับบรรจุมูลฝอยติดเช้ือ
ไมเ่ กนิ 1 วัน
3.2 กลอ่ งหรือภาชนะท่ีใช้บรรจุมลู ฝอยติดเชอื้
ประเภทของมีคม เช่น เข็ม มีด เศษแก้ว ฯลฯ จะต้องท�ำด้วยวัสดุท่ีแข็งทนทานต่อการแทงทะลุ
เชน่ พลาสตกิ แขง็ หรอื กระดาษแขง็ กนั นำ้� ได้ ฝากลอ่ งหรอื ถงั สามารถปดิ ไดม้ ดิ ชดิ และปอ้ งกนั การรวั่ ไหลของของเหลว
ภายในกลอ่ ง ยกหรอื หิ้วได้โดยสะดวก สีของภาชนะดังกล่าว จะตอ้ งมีลกั ษณะเด่นชัด
3.3 รถเข็นสำ� หรับขนเคลอ่ื นย้ายมูลฝอย ควรมขี ้อก�ำหนด คือ
3.3.1 เป็นรถท่ใี ช้ขนมูลฝอยติดเชอื้ เท่านน้ั หา้ มนำ� ไปใชใ้ นกจิ การอ่ืน
3.3.2 ท�ำด้วยวัสดุที่ท�ำความสะอาดง่าย ผิวเรียบ ไม่มีซอกมุมอันจะเป็นแหล่ง หมักหมมของ
เชื้อโรค และมีชอ่ งระบายน�ำ้
3.3.3 มผี นงั ทบึ และมฝี าปดิ เพอื่ ปอ้ งกนั สตั วแ์ ละแมลงเขา้ ไปในรถ ในกรณไี มม่ รี ถเขน็ ตามคณุ สมบตั ิ
ท่กี �ำหนดไว้ ใหใ้ สถ่ งุ มูลฝอยในภาชนะมฝี าปิดมิดชิดกอ่ นวางบนรถเขน็
แนวปฏบิ ัติเพือ่ ปอ้ งกนั 93
และควบคมุ การตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล
3.4 เรือนพักมูลฝอยตดิ เชือ้ มีลกั ษณะ ดังน้ี
3.4.1 แยกจากอาคารอืน่
3.4.2 ขนาดเพียงพอท่ีจะรวบรวมมูลฝอยได้อย่างน้อย 2 วัน ในกรณีจ�ำเป็นต้องเก็บกักนานเกิน
7 วัน ต้องเปน็ เรือนพักทีม่ ีเครอ่ื งปรบั อากาศ
3.4.3 ตดิ ค�ำเตอื นส�ำหรบั เรือนพกั มูลฝอย
3.4.4 มรี ะบบระบายอากาศทดี่ ี ไมอ่ บั ช้นื หรอื ร้อนจนเกินไป มมี งุ้ ลวดกนั แมลงเขา้
3.4.5 ประตเู ขา้ ออกแยกจากกนั ชอ่ งใตห้ ลงั คามมี งุ้ ลวดกนั แมลงเขา้ ประตกู วา้ งพอใหส้ ะดวกสำ� หรบั
การฏบิ ัตงิ าน และปิดอยูเ่ สมอและมกี ญุ แจล็อคเม่อื ปฏบิ ตั งิ านเสรจ็
3.4.6 ผนงั พนื้ เรียบ ระบายนำ�้ ลงสรู่ ะบบบำ� บัดนำ�้ เสีย
3.4.7 มลี านส�ำหรับล้างรถเข็นอยู่ตดิ กับประตทู างออก
4. การเกบ็ และการแยกมลู ฝอย
4.1 มีการแยกมลู ฝอยติดเช้อื ตามค�ำจำ� กดั ความ
4.2 การเกบ็ แยกให้กระทำ� ตรงแหลง่ ก�ำเนดิ ของมูลฝอย หา้ มเก็บรวมและน�ำมาแยกภายหลัง เพราะอาจ
ท�ำใหเ้ ชือ้ แพรก่ ระจายได้
4.3 การเก็บขยะมลู ฝอยในถุงไมค่ วรมีปรมิ าณหรอื น้ำ� หนกั มากจนทำ� ใหถ้ งุ ขาดทะลุหรือมัดถุงไม่ได้
4.4 เมอ่ื บรรจมุ ูลฝอยไดป้ ระมาณสามในส่ขี องถงุ แล้ว ให้มัดปากถงุ ใหแ้ น่นดว้ ยเชือก แลว้ วางไว้ทมี่ มุ ใด
มมุ หน่งึ ของห้องเพอ่ื รอการขนยา้ ย
4.5 มูลฝอยท่ีเป็นของเหลวหรือสารคัดหล่ังต่างๆ เทส่วนท่ีเป็นของเหลวทิ้งในอ่างที่หน่วยงานก�ำหนด
ซงึ่ มีท่อระบายไหลลงสโู่ รงบำ� บัดน้ำ� เสยี ราดน�้ำตามจนอา่ งสะอาด
4.6 มูลฝอยที่เป็นอวัยวะหรือชิ้นส่วนของอวัยวะ ท้ิงในภาชนะรองรับท่ีท�ำจากวัสดุท่ีแข็งแรง มีฝาปิด
มิดชดิ ใช้เท้าเหยียบส�ำหรับเปดิ ปิด หากเป็นชนิ้ ส่วนทม่ี ีขนาดใหญ่ หรืออวัยวะ ได้แก่ แขน ขา ซ่งึ ไมต่ อ้ งการส่งตรวจ
ทางพยาธิวิทยา ใหห้ อ่ ใหม้ ิดชิดก่อน จากน้ันใส่หรอื หอ่ ดว้ ยถุง มลู ฝอยตดิ เชอ้ื
4.7 มูลฝอยมีคมติดเช้ือ ทิ้งในภาชนะรองรับที่ท�ำจากวัสดุแข็งแรงทนต่อการแทงทะลุ มีฝาปิดมิดชิด
ติดปา้ ย “ของมคี มติดเช้ือ” เห็นไดช้ ัดเจน
4.8 มูลฝอยจากกระบวนการเกบ็ และเพาะเชื้อ ทิง้ ในภาชนะรองรับทท่ี ำ� จากวัสดแุ ข็งแรง มฝี าปดิ มิดชดิ
มลู ฝอยท่ไี ดผ้ ่านกระบวนการท�ำลายเชือ้ ดว้ ยความรอ้ นแลว้ สามารถทงิ้ เป็นมลู ฝอยทว่ั ไปได้
4.9 มลู ฝอยตดิ เชอื้ อนื่ ท้ิงในภาชนะรองรับที่ท�ำจากวสั ดุแขง็ แรง มีฝาปิดมิชิด
5. การเคล่อื นยา้ ยและการเก็บรวบรวม
5.1 บคุ ลากรทีป่ ฏบิ ัติหนา้ ทต่ี ้องสวมถุงมือยางหนา หมวก หรอื ผ้าคลุมผม ผ้าปิดปาก-จมกู ผ้ากนั เปือ้ น
และรองเท้าบทู๊ ทำ� ดว้ ยยาง ตลอดเวลาท่ีปฏิบัติงาน
5.2 ตรวจดูถุงมูลฝอยก่อนเคล่ือนย้ายเพ่ือให้แน่ใจว่าถุงไม่รั่ว คอถุงผูกเชือกเรียบร้อย ยกและวางถุง
อย่างนุ่มนวล โดยจับตรงคอถุง ไม่ให้อุ้มถุง เม่ือมีมูลฝอยตกหล่นห้ามหยิบด้วยมือเปล่า ใช้คีมคีบหรือหยิบด้วยมือ
ที่ใส่ถุงยางหนา เก็บใส่ถุงมูลฝอยติดเช้ืออีกใบ หากมีสารน�้ำให้ซับด้วยกระดาษแล้วท้ิงกระดาษลงถุงมูลฝอยติดเชื้อ
แล้วจึงราดดว้ ยน�ำ้ ยาท�ำลายเชอ้ื ก่อนเช็ดถตู ามปกติ
94 แนวปฏิบตั ิเพอ่ื ป้องกนั
และควบคมุ การตดิ เชื้อในโรงพยาบาล
5.3 เคลื่อนย้ายตามระยะเวลาท่ีก�ำหนด โดยมีเสน้ ทางทีแ่ น่นอน
5.4 เมื่อเสรจ็ สิน้ ภารกิจให้ถอดถงุ มอื และชดุ ปฏบิ ตั ิการแล้วน�ำไปทำ� ลายเชื้ออย่างถูกวธิ ี
5.5 อาบน�ำ้ ทันที หลังเสร็จภารกจิ ประจำ� วนั
6. การกำ� จดั มูลฝอยติดเช้อื
6.1 เผา หรอื นำ� ไปทำ� ใหป้ ราศจากเช้อื โดยการอบไอนำ�้ ร้อนแล้วก�ำจดั เหมือนมูลฝอยท่ัวไป
6.2 รก ใหท้ ้ิงในบอ่ เกรอะหรือฝงั ในทโ่ี รงพยาบาลจัดเตรยี มไว้หรอื นำ� ไปเผา
แนวปฏิบตั เิ พื่อปอ้ งกัน 95
และควบคุมการติดเช้ือในโรงพยาบาล
บ1ท8ที่
ห้องปฏิบัติการจุลชวี วทิ ยา
หน้าทีข่ องห้องปฏบิ ัตกิ ารจลุ ชวี วิทยา เก่ยี วกับการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ
1. การวินิจฉัยยนื ยนั การตดิ เชอื้ ในโรงพยาบาล
2. การรกั ษาการติดเชื้อโดยการตรวจหาเชอ้ื ก่อโรค และความไวของเชือ้ กอ่ โรคตอ่ ยาต้านจุลชีพ
3. การติดตามผลการรกั ษา โดยการตรวจว่าเชอ้ื หมดจากรา่ งกายหรือยงั
4. วนิ จิ ฉยั การระบาดของการติดเช้ือ โดยการตรวจหาเชอ้ื จากผปู้ ว่ ยและสงิ่ แวดลอ้ ม
5. ประเมนิ คณุ ภาพและประสทิ ธิภาพของผลิตภณั ฑเ์ กยี่ วกับการปอ้ งกนั และควบคมุ การตดิ เช้ือ
การตรวจทางจุลชวี วทิ ยา มหี ลายวิธี ดงั นี้
1. การตรวจโดยการใช้กล้องจลุ ทรรศน์
2. การตรวจโดยการเพาะเช้ือจุลชพี
3. การตรวจทางปฏิกริ ิยาอิมมโู นวทิ ยา
4. การตรวจทางโมเลกุล
5. การตรวจทางรงั สวี ทิ ยา
96 แนวปฏบิ ตั ิเพอ่ื ป้องกนั
และควบคุมการติดเช้ือในโรงพยาบาล
ขีดความสามารถของหอ้ งปฏิบัติการจลุ ชีววิทยา
1. โรงพยาบาลชมุ ชน-การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
2. โรงพยาบาลทว่ั ไป-มขี ดี ความสามารถเพม่ิ คือ การตรวจโดยการเพาะเชื้อแบคทีเรยี
3. โรงพยาบาลศูนย์-ขดี ความสามารถเพิม่ จากโรงพยาบาลทว่ั ไป คือ การตรวจทางอิมมูโนวทิ ยา
4. กรมวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ โรงพยาบาลมหาวทิ ยาลยั และสถานพยาบาลพเิ ศษบางแห่ง - ความสามารถ
เพ่มิ จากโรงพยาบาลศูนย์ คอื การตรวจทางโมเลกุล
โรงพยาบาลท้ัง 4 ระดับ ท�ำงานประสานกันอย่างใกล้ชิด โดยสถานพยาบาลท่ีมีสมรรถนะต่�ำกว่าสามารถ
ขอความชว่ ยเหลอื จากโรงพยาบาลท่ีมีสมรรถนะสูงกวา่ ได้
ข้อปฏิบัติ มีข้อปฏิบัติเป็นลายลักษณ์อักษรเก่ียวกับการเก็บและขนส่งตัวอย่างส่งตรวจท้ังในและนอก
โรงพยาบาล วิธกี ารตรวจ และการรายงานผล
การปฏบิ ตั งิ านของหอ้ งปฏบิ ตั ิการจลุ ชวี วิทยา
1. มคี มู่ อื ข้อปฏิบตั ิ
2. มีสถานท่ี เคร่อื งมอื อุปกรณ์ พรอ้ มใชง้ าน
3. มอี ุปกรณค์ วามปลอดภยั พร้อม ไดแ้ ก่ เครอื่ งปอ้ งกนั รา่ งกาย ต้นู ิรภยั ระดบั ทเี่ หมาะสมแก่งาน
4. บคุ ลากรสวมชดุ ปอ้ งกนั ร่างกายอย่างเหมาะสม
5. มีแผนปฏิบัตฉิ ุกเฉนิ เมอ่ื มอี บุ ตั ิเหตุ
แนวปฏบิ ตั เิ พื่อปอ้ งกนั 97
และควบคมุ การติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
บ1ท9ที่
การประเมินภายใน
เพอ่ื พัฒนาการป้องกนั และควบคมุ การติดเชื้อ
ในโรงพยาบาล
กระบวนการปอ้ งกนั และควบคมุ การตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาลตอ้ งมกี ระบวนการทถี่ กู ตอ้ ง ไดแ้ ก่ การวางนโยบาย
วตั ถปุ ระสงค์ แนวทางปฏบิ ตั ิ การตดิ ตาม การประเมนิ ผล และการพฒั นา นอกจากนสี้ ถาบนั ทางการแพทยห์ ลายๆ แหง่
มีจุดเด่นที่เป็นตัวอย่าง เช่น การรณรงค์การล้างมือ การแยกผู้ป่วย ฯลฯ เป็นข้อมูลส�ำคัญส�ำหรับผู้ประเมิน เช่น
จากหนว่ ยงานชั้นเหนือ สถาบนั รบั รองคุณภาพสถานพยาบาล องค์กรระหว่างประเทศ ฯลฯ รับทราบเพือ่ เผยแพร่
ใหส้ ถาบนั อน่ื นำ� ไปพัฒนาดว้ ย
หวั ขอ้ สำ� คญั ส�ำหรบั การประเมิน IC ไดแ้ ก่
• ปัจจยั พ้นื ฐาน (Infrastructure)
• Nosocomial infection (NI) ที่พบบ่อย
► Ventilator-associated pneumonia (VAP)
► Catheter-associated urinary tract infection (CAUTI)
► Surgical site infection (SSI)
► Central line-associated bloodstrcam infection (CLABSI)
• การปอ้ งกนั และควบคุมเชือ้ ก่อโรคเช้ือดือ้ ยาตา้ นจุลชพี (Multidrug resistant organisms-MDROs)
• การทำ� ความสะอาดมอื (Hand hygiene)
ผู้ประเมิน
• ICN/ICP
เสนอ
• I.C.C.
98 แนวปฏบิ ัตเิ พอื่ ปอ้ งกนั
และควบคุมการติดเชือ้ ในโรงพยาบาล
ความถี่ในการประเมนิ
• ทุก 3-6 เดอื น
ระดับคะแนน
1 = ตอ้ งปรับปรงุ
2 = ควรปรับปรงุ
3 = ยงั มีชอ่ งทางพฒั นา
4 = พัฒนาเพ่อื ให้ดยี ่งิ ชน้ึ
Scoring ตาม I.P.C. AF/ WHO
0-200 • inadequate: ตอ้ งปรับปรุงมาก
201-460 • Basic: มี core components บา้ งแตไ่ มเ่ พียงพอ ตอ้ งปรับปรงุ
401-600 • Intermediate: มี core components ส่วนใหญ่ควรพฒั นา
601-800 • Advanced: มี core components ครบ
(หมายเหตุ : ครอบคลุมทกุ core components โดยเปล่ยี นหัวข้อให้เหมาะกบั บริบทของประเทศไทย)
สายการรายงานอตั ราชุกของการตดิ เชอ้ื ในโรงพยาบาลและเชอื้ ดอ้ื ยา
พยาบาล/แพทย ควบคมุ การติดเช้ือ
รายงานตอ
คณะกรรมการควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล
สาธารณสขุ จงั หวดั
สถาบนั บำราศนราดูร
คณะอนุกรรมการดานการปองกันและควบคุมโรคตดิ เชือ้ ในโรงพยาบาล
คณะกรรมการโรคตดิ ตอแหง ชาติ