ผูเรียบเรียงหนังสือเรียน นายชนินทร เฉลิมสุข นายอภิชาติ คําปลิว ผูตรวจหนังสือเรียน นางสาวอารียา ศรีประเสริฐ นายเอิญ สุริยะฉาย นางสาวสุปราณี วงษแสงจันทร นายเบนยามิน วงษประเสริฐ บรรณาธิการหนังสือเรียน ดร.ฉัททวุฒิ พีชผล ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) คู่มือครู ม.2 Teacher Script พิมพครั้งที่ 5 สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา 2248032 ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู ทีมวิชาการ STEM นายสิรันทร เพียรพิทักษ
หนวยการเรียนรูที่ ตัวชี้วัด ว 4.2 ม.2/1 ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณในกำรแก้ปัญหำหรือกำรท�ำงำนที่พบในชีวิตจริง แนวคิดเชิงคํานวณ 1 กับการแกปญหา การเขียนโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพ เริ่มจากการนํา แนวคิดเชิงคํานวณมาชวยในกระบวนการคิดของมนุษย เพื่อหาคําตอบในการแกปญหา เกร็ดแนะครู ในการนําเขาสูบทเรียน ครูอาจจะยกตัวอยางดวยการเปรียบเทียบผลลัพธ จากการแกปญหาในชีวิตประจําวันหลายๆ วิธีที่มีการใชแนวคิดเชิงคํานวณในการ แกปญหา เพื่อใหนักเรียนเห็นความแตกตางระหวางประสิทธิภาพในการแกปญหา แบบที่มีการใชแนวคิดเชิงคํานวณในการแกปญหาและในรูปแบบอื่นๆ เชน การ เดินทางที่ใชเสนทางสั้นที่สุด การปลูกพืชในพื้นที่ที่จํากัดใหไดผลผลิตมากที่สุด ขั้นนํา กระตุนความสนใจ นักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียนหนวยการ เรียนรูที่ 1 แนวคิดเชิงคํานวณกับการแกปญหา เพื่อวัดความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม ขั้นสอน สํารวจคนหา นักเรียนศึกษาความหมายและองคประกอบ ของแนวคิดเชิงคํานวณ จากหนังสือเรียนรายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ม.2 หนวย การเรียนรูที่ 1 เรื่อง แนวคิดเชิงคํานวณกับการแก ปญหา หรือศึกษาเพิ่มเติมผานทางอินเทอรเน็ต จากเครื่องคอมพิวเตอรของตนเอง นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T4 คําแนะนําการใช้ คูมือครู รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ม.2 จัดทําขึ้นเพื่อใหครูผูสอนใชเปนแนวทางวางแผนการจัดการเรียน การสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและประกันคุณภาพผูเรียน ตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โซน 2 ประกอบดวยองคประกอบตาง ๆ ที่เปนประโยชนเพื่อ ชวยลดภาระในการสอนของครูผูสอน ช่วยครูเตรียมสอน เกร็ดแนะครู ความรูเสริมสําหรับครู ขอเสนอแนะ ขอสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรม เพื่อประโยชนในการจัดการเรียนการสอน นักเรียนควรรู ความรูเพิ่มเติมจากเนื้อหา เพื่อใหครูนําไปใชอธิบายใหนักเรียน แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใหแกผูสอน โดยแนะนําขั้นตอนการสอน และการจัดกิจกรรมอยางละเอียด เพื่อใหนักเรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัด ช่วยครูจัด การเรียนการสอน นํา สอน สรุป ประเมิน โซน 1 Chapter Overview โครงสรางแผนและแนวทางการประเมินผูเรียน ประจําหนวยการเรียนรู Chapter Concept Overview สรุปสาระสําคัญประจําหนวยการเรียนรู โซน 1 โซน 2 โซน 3 ความรูเสริม (วิทยาการคํานวณ) อธิบายความรูเสริมที่มีในบทเรียนเพิ่มเติม สื่อ Digital การแนะนําแหลงคนควาจากสื่อ Digital ตาง ๆ
ขอสอบเนน การคิด 1 แนวคิดเชิงค�ำนวณ ในทุก ๆ วัน บุรุษไปรษณีย์จะต้องน�ำจดหมำยหรือ พัสดุส่งไปตำมที่อยู่ที่ได้ระบุไว้เป็นจ�ำนวนมำก ดังนั้น บุรุษไปรษณีย์จะต้องท�ำกำรจัดหมวดหมู่จดหมำยหรือพัสดุ โดยเรียงล�ำดับตำมเลขที่บ้ำน หมู่บ้ำน หมู่ เพื่อให้สะดวกต่อกำรหยิบและรวดเร็วในกำร ท�ำงำน บุรุษไปรษณีย์จึงเป็นหนึ่งในหลำยอำชีพที่อำศัยแนวคิดเชิงค�ำนวณในกำรท�ำงำน โดยแนวคิดเชิงค�ำนวณมีควำมส�ำคัญต่อกำรแก้ปัญหำในชีวิตประจ�ำวันของมนุษย์ได้ อย่ำงมีประสิทธิภำพ มนุษยนําแนวคิดเชิง คํานวณมาประยุกตใชใน ชีวิตประจําวันไดอยางไร แนวคิดเชิงค�ำนวณ มีนักวิชำกำรได้กล่ำวถึงนิยำมของค�ำว่ำ แนวคิดเชิงค�ำนวณไว้มำกมำย ดังนั้น ควำมหมำย ของค�ำว่ำ แนวคิดเชิงค�ำนวณ ได้ถูกถ่ำยทอดออกมำหลำยรูปแบบ แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ กำรน�ำ แนวคิดเชิงค�ำนวณมำใช้ในกำรแก้ปัญหำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ของกำรแก้ปัญหำที่มีประสิทธิภำพ แนวคิดเชิงค�านวณ (Computational Thinking) คือ แนวคิดในกำรแก้ปัญหำต่ำง ๆ อย่ำง เป็นระบบ เป็นกระบวนกำรที่มีล�ำดับขั้นตอนชัดเจน โดยกระบวนกำรแก้ปัญหำดังกล่ำวนี้เป็น กระบวนกำรที่ทั้งมนุษย์และคอมพิวเตอร์สำมำรถเข้ำใจร่วมกันได้ ซึ่งแนวคิดเชิงค�ำนวณเป็นแนวคิด ส�ำคัญส�ำหรับกำรพัฒนำซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ แต่สำมำรถน�ำมำประยุกต์ใช้ในกำรแก้ปัญหำต่ำง ๆ ในชีวิตได้เช่นกัน แนวคิดเชิงค�ำนวณเป็นเครื่องมือในกำรแก้ปัญหำที่มีวิธีแก้ไขที่เป็นล�ำดับขั้นตอนมำกกว่ำ เป็นกำรสร้ำงผลลัพธ์ แนวคิดลักษณะนี้ไม่เพียงน�ำไปใช้กับคอมพิวเตอร์ได้เท่ำนั้น แต่สำมำรถน�ำไป ปรับใช้ได้กับทุกสถำนกำรณ์ เมื่อมีกระบวนกำรที่เป็นล�ำดับขั้นตอนเกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์ สิ่งที่ เกิดขึ้นนี้เรียกว่ำ การเขียนโปรแกรม แต่ถ้ำกระบวนกำรนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจำกแนวคิดเชิงค�ำนวณแล้ว ก็จะกลำยเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ท�ำงำนช้ำและท�ำให้ผู้ใช้งำนผิดหวังเพรำะท�ำงำนไม่ตรงตำมที่ ต้องกำร หลำยคนจึงคิดระบบขึ้นมำซึ่งใช้เวลำนำนในกำรตอบสนอง นั่นเป็นเพรำะวิธีกำรออกแบบ ในบำงจุดไม่มีประสิทธิภำพ หรือไม่ได้สร้ำงกำรเข้ำถึงข้อมูลซึ่งรู้ว่ำอยู่จุดใดให้มีประสิทธิภำพ MAIL BOX 3 แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวขอ นํามาใชแกไขปญหาตางๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ประจําวันเพื่อใหเกิดความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นสอน อธิบายความรู 1. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาอธิบายความ หมายและองคประกอบทั้ง 4 ขอ ของแนวคิด เชิงคํานวณตามที่นักเรียนไดศึกษา 2. ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอวา นักเรียน คิดวา มนุษยนําแนวคิดเชิงคํานวณมาประยุกต ใชในชีวิตประจําวันไดอยางไร 3. จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมวา อาชีพบุรุษไปรษณียจะตองจัดสงจดหมายหรือพัสดุ จํานวนมาก จึงตองจัดหมวดหมูตามบานเลขที่ ซอย เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการ สง ดังนั้น อาชีพบุรุษไปรษณียจึงเปนหนึ่งใน หลายอาชีพที่อาศัยแนวคิดเชิงคํานวณมาใช ในการทํางาน เพื่อใหไดงานที่มีประสิทธิภาพ มากที่สุด 4. ครูนําบัตรภาพ เรื่อง องคประกอบแนวคิด เชิงคํานวณใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนได เห็นภาพการทํางานขององคประกอบแนวคิด เชิงคํานวณ พรอมยกตัวอยางประกอบเพื่อให นักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหนักเรียนลองชวยกันยกตัวอยางอาชีพอื่นๆ ที่ตองใชแนวคิด เชิงคํานวณในการแกปญหาในการทํางานเพื่อใหเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น 3-4 อาชีพ และใหยกตัวอยางการแกปญหาในอาชีพนั้นวา ใชแนวคิดเชิงคํานวณ ในการแกปญหาอยางไร เชน ใชเวลาในการทํางานนอยลง ลดคาใชจายในการ ขนสงสินคาไดมากขึ้น ใชจํานวนคนในการทํางานลดลง ขอใดไมใชตัวอยางผลลัพธที่ดีในการนําแนวคิดเชิงคํานวณมา ใชในการแกปญหา 1. มีคาใชจายเพิ่มขึ้น 5.2% ผลผลิตเทาเดิม 2. ลดคาใชจายรายเดือนลง 15% ผลผลิตเทาเดิม 3. ประหยัดเวลาในการทํางานไดมากขึ้น 1.5 เทา ผลผลิต เพิ่มขึ้น 4. ขั้นตอนการผลิตลดลง จํานวนแรงงานในการผลิตลดลง ระยะเวลาในการผลิตและผลผลิตเทาเดิม (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ 2. ขอ 3. ขอ 4. แกปญหาแลวไดกําไรเพิ่มขึ้น สวนขอ 1. แกปญหา แลวขาดทุน ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T5 ประกอบด้วยแนวทางการจัดกิจกรรม และเสนอแนะ แนวข้อสอบ เพื่ออ�านวยความสะดวกให้แก่ครูผู้สอน โดยใช้หนังสือเรียนเทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ม.2 และแบบฝกหัดเทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ม.2 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จ�ากัด เป็นสื่อหลัก (Core Meterial) ประกอบการสอน และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้อง กับมาตรฐานการเรียนรู้ และตัวชี้วัดของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยคู่มือครูมีองค์ประกอบที่ง่ายต่อการใช้งาน ดังนี้ โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน แนวทางการวัดและประเมินผล การเสนอแนะแนวทางในการวัดและประเมินผลนักเรียนที่สอดคล้อง กับแผนการสอน กิจกรรม 21st Century Skills กิจกรรมที่ให้นักเรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้มาสร้างชิ้นงาน หรือท�ากิจกรรมรวบยอด เพื่อให้เกิดคุณลักษณะที่ระบุใน ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ข้อสอบเน้นการคิด ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อม เฉลยอย่างละเอียด กิจกรรมท้าทาย เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพื่อต่อยอดส�าหรับนักเรียน ที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และต้องการท้าทายความสามารถใน ระดับที่สูงขึ้น กิจกรรมสร้างเสริม เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมส�าหรับนักเรียนที่ ควรได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ โซน 1 โซน 2 โซน 3
ค�ำอธิบายรายวิชา เทคโนโลยี (วิทยาการค�ำนวณ) กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เวลาเรียน 40 ชั่วโมง/ปี ศึกษาการออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณในการแก้ปัญหา หรือการท�ำงานที่พบในชีวิตจริงการออกแบบ และเขียนโปรแกรมที่ใช้ตรรกะและฟังก์ชันในการแก้ปัญหา การเขียนโปรแกรมโดยใช้ซอฟต์แวร์Scratch, python, java และ c อภิปรายองค์ประกอบและหลักการท�ำงานของระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อประยุกต์ใช้งานหรือ แก้ปัญหาเบื้องต้น ตลอดจนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย มีความรับผิดชอบ สร้างและแสดงสิทธิในการเผยแพร่ ผลงาน โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน(Problem-based Learning)และวัฏจักรการเรียนรู้แบบสืบเสาะ หาความรู้(5Es Instructional Model) เพื่อเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติฝึกทักษะการคิด เผชิญสถานการณ์การแก้ปัญหา วางแผนการเรียนรู้ตรวจสอบการเรียนรู้และน�ำเสนอผ่านการท�ำกิจกรรมโครงงาน เพื่อให้เกิดทักษะ ความรู้ความเข้าใจ และทักษะในการวิเคราะห์โจทย์ปัญหา จนสามารถน�ำเอาแนวคิดเชิงค�ำนวณมาประยุกต์ใช้ในการสร้างโครงงานได้ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ การน�ำข้อมูลปฐมภูมิเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ประเมิน น�ำเสนอข้อมูล และสารสนเทศ ได้ตามวัตถุประสงค์ ใช้ทักษะการคิดเชิงค�ำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริง และเขียนโปรแกรม อย่างง่าย เพื่อช่วยในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างรู้เท่าทันและรับผิดชอบต่อสังคม ตลอดจน น�ำความรู้ความเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและการด�ำรงชีวิต จนสามารถพัฒนา กระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการ ตัดสินใจและเป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ตัวชี้วัด ว4.2 ม.2/1 ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณในการแก้ปัญหาหรือการท�ำงานที่พบในชีวิตจริง ว4.2 ม.2/2 ออกแบบและเขียนโปรแกรมที่ใช้ตรรกะและฟังก์ชันในการแก้ปัญหา ว4.2 ม.2/3 อภิปรายองค์ประกอบและหลักการท�ำงานของระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อประยุกต์ ใช้งานหรือแก้ปัญหาเบื้องต้น ว4.2 ม.2/4 ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย มีความรับผิดชอบ สร้างและแสดงสิทธิในการเผยแพร่ผลงาน รวม 4 ตัวชี้วัด
Pedagogy คู่มือครู รายวิชา เทคโนโลยี (วิทยาการค�ำนวณ) ม.2 จัดท�ำขึ้น เพื่อให้ครูผู้สอนน�ำไปใช้เป็นแนวทางวางแผนการสอนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยผู้สอนสามารถวางแผนการจัด การเรียนรู้ประกอบการใช้หนังสือเรียน รายวิชาเทคโนโลยี (วิทยาการค�ำนวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (ฉบับอนุญาต) ที่ทางบริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จ�ำกัด จัดพิมพ์จ�ำหน่าย เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ (Instructional Design) สอดคล้องตามรูปแบบการเรียนรู้ที่ส�ำคัญ 2 รูปแบบ คือ รูปแบบการสอนแบบ 5Es และรูปแบบการสอนแบบ ใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) โดยมีรายละเอียด ดังนี้ เลือกใช้วัฏจักรการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) เนื่องจากเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ ด้วยตนเองผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติ และใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนได้ฝึกวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม เลือกใช้รูปแบบการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เพราะเป็นรูปการสอนที่ให้ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่จากการใช้ปัญหา ที่เกิดขึ้นจริงในโลก ซึ่งเป็นบริบทของการเรียนรู้ที่ท�ำเพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์และคิดแก้ปัญหาการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการท�ำงานที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการแก้ไขปัญหาเป็นหลัก ซึ่งสอดคล้องกับวิชาวิทยาการค�ำนวณ • การใช้กรณีตัวอย่าง • การอภิปรายกลุ่มย่อย • การใช้สถานการณ์ จ�ำลอง วิธีการสอน • ใช้ค�ำถาม • ใช้ผังกราฟิก • ใช้ตัวอย่างกรณีศึกษา เทคนิคการสอน กระตุ้นความสนใจ อธิบายความรู้ ตรวจสอบผล ส�ำรวจค้นหา ขยายความรู้ 1 Engage 2 Explore 3 Explain Expand Evaluate 4 5 รูปแบบการสอน 5Es รูปแบบการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-Based Learning: PBL) • การคิดเชิงค�ำนวณ • การสื่อสาร • การท�ำงานร่วมกัน • การแก้ปัญหา • การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะการเรียนรู้ที่ได้ 1 2 3 4 5 6 ก�ำหนดปัญหา ด�ำเนินการศึกษาค้นคว้า สรุปและประเมินค่าของค�ำตอบ ท�ำความเข้าใจปัญหา สังเคราะห์ความรู้ น�ำเสนอและประเมินผลงาน หัวข้อ (Topic) เช่น พลังงาน สาระส�ำคัญ (Theme) ผลกระทบของ วิกฤติพลังงาน ต่อมนุษย์และ สิ่งแวดล้อม สถานการณ์ (Situation) สถานีพลังงานในพื้นที่ ที่นักเรียนอาศัยอยู่ ได้ถูกปิดลง ซึ่งเป็นผลมาจากแสงอาทิตย์ นักเรียนต้องประเมินสถานการณ์ ในการหาแหล่งพลังงานใหม่ และแนวทางการแก้ปัญหาใน การสูญเสียพลังงาน ค�ำถามที่เกี่ยวกับ ปัญหา (Problem Question) เราจะลดผลกระทบ ต่อพื้นที่ของเรา จากการปิดสถานี พลังงานได้อย่างไร บทบาทของนักเรียน (Student Role) นักเรียน คือ ประชาชนในพื้นที่นั้น ซึ่งอยู่ในทีมที่ต้อง คอยช่วยเหลือฉุกเฉิน กิจกรรมปิดท้าย (Culminating Activity) นักเรียนน�ำเสนองานและ หนทางการแก้ปัญหาของ พวกเขาต่อคณะกรรมการ ที่ดูแลพื้นที่นี้ เพื่อตัดสินใจ ส�ำหรับประเด็นที่สูญเสีย พลังงาน องค์ประกอบพื้นฐานในการออกแบบหน่วยการเรียนรู้แบบ PBL คู่มือครู รายวิชา เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2
เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 หน่วย การเรียนรู้ ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้ 1 แนวคิด เชิงคำ�นวณกับ การแก้ปัญหา - ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้ แนวคิดเชิงค�ำนวณในการ แก้ปัญหาหรือการท�ำงาน ที่พบในชีวิตจริง (ว4.2 ม.2/1) - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการคิดเชิงคำนวณ - ทักษะการแก้ปัญหา - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - ทักษะการสังเกต - ทักษะการทำงานร่วมกัน 4 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจชิ้นงาน/ภาระงาน(รวบยอด) - ประเมินการนำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรมการทำงาน รายบุคคล - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 - ใบงาน - PowerPoint - บัตรภาพ - แบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน 2 การออกแบบ ขั้นตอนการ ทำ�งานและการ เขียนโปรแกรม ด้วยภาษา Python - ออกแบบและเขียนโปรแกรม ที่ใช้ตรรกะและฟังก์ชัน ในการแก้ปัญหา (ว4.2 ม.2/2) - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการแก้ปัญหา - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - ทักษะการสังเกต - ทักษะการทำงานร่วมกัน 18 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจชิ้นงาน/ภาระงาน(รวบยอด) - ประเมินการนำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรมการทำงาน รายบุคคล - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 - ใบงาน - PowerPoint - แบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน 3 ระบบ คอมพิวเตอร์ - อภิปรายองค์ประกอบและ หลักการท�ำงานของระบบ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี การสื่อสาร เพื่อประยุกต์ ใช้งานหรือแก้ปัญหาเบื้องต้น (ว4.2 ม.2/3) - ทักษะการสังเกต - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล - ทักษะการท�ำงานร่วมกัน - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการให้เหตุผล 10 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจชิ้นงาน/ภาระงาน(รวบยอด) - ประเมินการนำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรมการทำงาน รายบุคคล - สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 - ใบงาน - PowerPoint - แบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน 4 การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอยา่ง ปลอดภัย - ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างปลอดภัย มีความ รับผิดชอบ สร้างและแสดง สิทธิในการเผยแพร่ผลงาน (ว4.2 ม.2/4) - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการท�ำงานร่วมกัน - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการสังเกต - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล 8 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจชิ้นงาน/ภาระงาน(รวบยอด) - ประเมินการนำเสนอผลงาน - สังเกตพฤติกรรมการทำงาน รายบุคคล - สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน - หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ม.2 - ใบงาน - PowerPoint - แบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน Teacher Guide Overview
Chapter Title Chapter Overview Chapter Concept Overview Teacher Script หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 แนวคิดเชิงคํานวณกับการ แก้ปัญหา T2 T3 T4 • แนวคิดเชิงคํานวณ • ตัวอยางการแกปญหาโดยใชแนวคิดเชิงคํานวณ ทายหนวยการเรียนรูที่ 1 T5 -T6 T7 -T15 T16 -T17 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การออกแบบขั้นตอนการ ทํางานและการเขียนโปรแกรม ด้วยภาษา Python T18 -T19 T20 -T21 T22 • การออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม • การเขียนโปรแกรมดวยภาษาไพทอน (Python) • การเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานตามโครงสรางของ โปรแกรมคอมพิวเตอร ทายหนวยการเรียนรูที่ 2 T23 -T25 T26 -T46 T47 -T67 T68 -T69 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ระบบคอมพิวเตอร์ T70 -T71 T72 -T73 T74 • องคประกอบของระบบคอมพิวเตอร • หลักการทํางานของระบบคอมพิวเตอร • เทคโนโลยีการสื่อสาร • การประยุกตใชงานและการแกปญหาเบื้องตน ทายหนวยการเรียนรูที่ 3 T75 -T78 T79 -T80 T81-T89 T90 -T95 T96 -T97 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างปลอดภัย T98 -T99 T100 -T101 T102 • การใชเทคโนโลยีสารสนเทศ • การปฏิบัติตนเมื่อพบเนื้อหาที่ไมเหมาะสม • ความรับผิดชอบตอการใชงานเทคโนโลยีสารสนเทศ • ทรัพยสินทางปญญา ทายหนวยการเรียนรูที่ 4 T103 -T106 T107-T111 T112 -T115 T116 -T119 T120 -T121 บรรณานุกรม T122 สารบัญ
แผนการจัด การเร�ยนรู สื่อที่ใช จ�ดประสงค ว�ธ�สอน ประเมิน ทักษะที่ได คุณลักษณะ อันพึงประสงค แผนฯ ที่ 1 แนวคิด เชิงคํานวณ 1 ชั่วโมง - แบบทดสอบกอนเรียน - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ม.2 - บัตรภาพ - ใบงาน เรื่อง องคประกอบของ แนวคิดเชิงคํานวณ 1. บอกความหมายของ แนวคิดเชิงคํานวณได (K) 2. อธิบายองคประกอบของ แนวคิดเชิงคํานวณได (K) 3. เขียนภาพการทํางานของ องคประกอบแนวคิด เชิงคํานวณได (P) 4. สนใจใฝรูในการศึกษา (A) แบบสืบเสาะ หาความรู (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบทดสอบ กอนเรียน - ตรวจใบงาน - สังเกตพฤติกรรม การทํางานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ขอมูล - ทักษะการคิดวิเคราะห - ทักษะการคิด เชิงคํานวณ - ทักษะการแกปญหา - ทักษะการสืบคนขอมูล - มีวินัย - ใฝเรียนรู - มุงมั่นใน การทํางาน แผนฯ ที่ 2 ตัวอยาง การแกปญหา โดยใชแนวคิด เชิงคํานวณ 3 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ม.2 - ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) - แบบทดสอบหลังเรียน 1. บอกวิธีการแกปญหา การเขาแถวตามลําดับ ความสูงของนักเรียน ใหเร็วที่สุดได (K) 2. บอกวิธีการแกปญหา การจัดเรียงเสื้อผา ใหหางายที่สุดได (K) 3. เขียนวิธีการแกปญหา โดยใชแนวคิด เชิงคํานวณได (P) 4. เล็งเห็นถึงความสําคัญ ของการแกปญหา โดยใช แนวคิดเชิงคํานวณ (A) แบบใชปญหา เปนฐาน (ProblemBased Learning) - ตรวจชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - ประเมินการนําเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การทํางานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การทํางานกลุม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ขอมูล - ทักษะการคิด เชิงคํานวณ - ทักษะการแกปญหา - ทักษะการสังเกต - ทักษะการทํางาน รวมกัน - ทักษะการสืบคนขอมูล - มีวินัย - ใฝเรียนรู - มุงมั่นใน การทํางาน Chapter Overview T2
แนวคิด การแยกย่อย แนวคิด การออกแบบ ขั้นตอนวิธี แนวคิด การหารูปแบบ แนวคิดเชิง นามธรรม Chapter Concept Overview หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 แนวคิดเชิงค�านวณ คือ แนวคิดในการแก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ และเป็นกระบวนการที่มีล�าดับขั้นตอนชัดเจน โดยกระบวนการ แก้ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นกระบวนการที่มนุษย์และคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจร่วมกันได้ ซึ่งแนวคิดเชิงค�านวณนี้เป็นแนวคิดที่ส�าคัญส�าหรับ การพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ เพราะการเขียนโปรแกรมถ้าไม่ได้เกิดขึ้นจากแนวคิดเชิงค�านวณ จะท�าให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ท�างานช้า ไม่ตรงตามที่ต้องการ ดังนั้น จึงควรน�าแนวคิดเชิงค�านวณเข้ามาใช้ในการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ของการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ แนวคิดเชิงค�านวณ แบ่งออกเป็น 4 องค์ประกอบ ดังนี้ แนวคิดเชิงค�านวณเป็นกระบวนการที่มีล�าดับขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งถูกน�ามาใช้เพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจ�าวันอย่างเป็น ระบบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการค�านวณเส้นทางที่สั้นที่สุดในการเดินทางไปโรงเรียน การวางแผนประหยัดค่าใช้จ่ายประจ�าวัน การค�านวณ ดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งในระดับชั้น ม.2 นักเรียนจะได้ศึกษาตัวอย่างที่มีความละเอียดมากขึ้น เช่น การเข้าแถวตาม ล�าดับความสูงของนักเรียนโดยใช้วิธีการเรียงล�าดับ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ส�าคัญในการต่อยอดไปสู่การเรียนเขียนโปรแกรมในอนาคต รวมถึง การจัดท�าโครงงานโดยใช้แนวคิดเชิงค�านวณที่มีความละเอียดซับซ้อนมากขึ้นด้วย การแก้ปัญหาโดยใช้แนวคิดเชิงค�านวณอาจได้ผลลัพธ์ ออกมาเป็นนวัตกรรม วิธีการ หรือระบบการจัดการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการท�างาน เช่น เพิ่มความปลอดภัย ประหยัดเวลา ประหยัด ค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาโดยท�าให้ดีขึ้นกว่าเดิมในด้านใดด้านหนึ่ง หรือสามารถจัดการกับอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้หมดไปได้ ส�าหรับการน�าแนวคิดเชิงค�านวณไปใช้ในการเขียนโปรแกรมนั้น ขั้นตอนในการเขียนโปรแกรมหรืออัลกอริทึมของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความรู้ ทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์ของผู้เขียนอัลกอริทึมในโจทย์ปัญหาเดียวกัน ซึ่งในหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 นี้ จะให้ ความรู้พื้นฐานที่จ�าเป็นเพื่อน�าไปสู่การฝึกเขียนโปรแกรม แนวคิดเชิงค�านวณ ตัวอยางการแก้ปัญหาโดยใช้แนวคิดเชิงค�านวณ 1. แนวคิดการแยกย่อย (Decomposition) เป็นการแตกปัญหาใหญ่ออกเป็นปัญหาย่อย ให้ปัญหานั้น มีขนาดเล็กลง เพื่อให้สามารถจัดการปัญหาในแต่ละส่วนได้ ง่ายขึ้น 4. แนวคิดการออกแบบขั้นตอนวิธี (Algorithm Design) เป็นการออกแบบล�าดับขั้นตอนการแก้ปัญหา ด้วยการใช้ แนวคิดการออกแบบขั้นตอนวิธี เป็นแนวคิดที่สามารถน�าไปใช้ ในการแก้ปัญหาที่มีลักษณะแบบเดียวกันได้ 3. แนวคิดเชิงนามธรรม (Abstraction) เป็นการหาแนวคิดเชิงนามธรรมหรือแนวคิดรวบยอดของ ปัญหา ซึ่งเป็นการก�าหนดหลักการทั่วไป มุ่งเน้นเฉพาะส่วนที่ ส�าคัญของปัญหา โดยไม่สนใจรายละเอียดที่ไม่จ�าเป็น 2. แนวคิดการหารูปแบบ (Pattern Recognition) เป็นการก�าหนดแบบแผนหรือรูปแบบที่มีลักษณะคล้ายคลึง กันจากปัญหาแต่ละส่วนย่อยต่าง ๆ กล่าวคือ ปัญหาย่อยแต่ละ ปัญหานั้นสามารถใช้รูปแบบในการแก้ปัญหาที่คล้ายคลึงกันได้ ? ? T3
หนวยการเรียนรูที่ ตัวชี้วัด ว 4.2 ม.2/1 ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณในกำรแก้ปัญหำหรือกำรท�ำงำนที่พบในชีวิตจริง แนวคิดเชิงคํานวณ 1 กับการแกปญหา การเขียนโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพ เริ่มจากการนํา แนวคิดเชิงคํานวณมาชวยในกระบวนการคิดของมนุษย เพื่อหาคําตอบในการแกปญหา เกร็ดแนะครู ในการนําเขาสูบทเรียน ครูอาจจะยกตัวอยางดวยการเปรียบเทียบผลลัพธ จากการแกปญหาในชีวิตประจําวันหลายๆ วิธีที่มีการใชแนวคิดเชิงคํานวณในการ แกปญหา เพื่อใหนักเรียนเห็นความแตกตางระหวางประสิทธิภาพในการแกปญหา แบบที่มีการใชแนวคิดเชิงคํานวณในการแกปญหาและในรูปแบบอื่นๆ เชน การ เดินทางที่ใชเสนทางสั้นที่สุด การปลูกพืชในพื้นที่ที่จํากัดใหไดผลผลิตมากที่สุด ขั้นนํา กระตุนความสนใจ นักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียนหนวยการ เรียนรูที่ 1 แนวคิดเชิงคํานวณกับการแกปญหา เพื่อวัดความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม ขั้นสอน สํารวจคนหา นักเรียนศึกษาความหมายและองคประกอบ ของแนวคิดเชิงคํานวณ จากหนังสือเรียนรายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ม.2 หนวย การเรียนรูที่ 1 เรื่อง แนวคิดเชิงคํานวณกับการแก ปญหา หรือศึกษาเพิ่มเติมผานทางอินเทอรเน็ต จากเครื่องคอมพิวเตอรของตนเอง นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T4
ขอสอบเนน การคิด 1 แนวคิดเชิงค�ำนวณ ในทุก ๆ วัน บุรุษไปรษณีย์จะต้องน�ำจดหมำยหรือ พัสดุส่งไปตำมที่อยู่ที่ได้ระบุไว้เป็นจ�ำนวนมำก ดังนั้น บุรุษไปรษณีย์จะต้องท�ำกำรจัดหมวดหมู่จดหมำยหรือพัสดุ โดยเรียงล�ำดับตำมเลขที่บ้ำน หมู่บ้ำน หมู่ เพื่อให้สะดวกต่อกำรหยิบและรวดเร็วในกำร ท�ำงำน บุรุษไปรษณีย์จึงเป็นหนึ่งในหลำยอำชีพที่อำศัยแนวคิดเชิงค�ำนวณในกำรท�ำงำน โดยแนวคิดเชิงค�ำนวณมีควำมส�ำคัญต่อกำรแก้ปัญหำในชีวิตประจ�ำวันของมนุษย์ได้ อย่ำงมีประสิทธิภำพ มนุษยนําแนวคิดเชิง คํานวณมาประยุกตใชใน ชีวิตประจําวันไดอยางไร แนวคิดเชิงค�ำนวณ มีนักวิชำกำรได้กล่ำวถึงนิยำมของค�ำว่ำ แนวคิดเชิงค�ำนวณไว้มำกมำย ดังนั้น ควำมหมำย ของค�ำว่ำ แนวคิดเชิงค�ำนวณ ได้ถูกถ่ำยทอดออกมำหลำยรูปแบบ แต่สิ่งที่เหมือนกัน คือ กำรน�ำ แนวคิดเชิงค�ำนวณมำใช้ในกำรแก้ปัญหำเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ของกำรแก้ปัญหำที่มีประสิทธิภำพ แนวคิดเชิงค�านวณ (Computational Thinking) คือ แนวคิดในกำรแก้ปัญหำต่ำง ๆ อย่ำง เป็นระบบ เป็นกระบวนกำรที่มีล�ำดับขั้นตอนชัดเจน โดยกระบวนกำรแก้ปัญหำดังกล่ำวนี้เป็น กระบวนกำรที่ทั้งมนุษย์และคอมพิวเตอร์สำมำรถเข้ำใจร่วมกันได้ ซึ่งแนวคิดเชิงค�ำนวณเป็นแนวคิด ส�ำคัญส�ำหรับกำรพัฒนำซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ แต่สำมำรถน�ำมำประยุกต์ใช้ในกำรแก้ปัญหำต่ำง ๆ ในชีวิตได้เช่นกัน แนวคิดเชิงค�ำนวณเป็นเครื่องมือในกำรแก้ปัญหำที่มีวิธีแก้ไขที่เป็นล�ำดับขั้นตอนมำกกว่ำ เป็นกำรสร้ำงผลลัพธ์ แนวคิดลักษณะนี้ไม่เพียงน�ำไปใช้กับคอมพิวเตอร์ได้เท่ำนั้น แต่สำมำรถน�ำไป ปรับใช้ได้กับทุกสถำนกำรณ์ เมื่อมีกระบวนกำรที่เป็นล�ำดับขั้นตอนเกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์ สิ่งที่ เกิดขึ้นนี้เรียกว่ำ การเขียนโปรแกรม แต่ถ้ำกระบวนกำรนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจำกแนวคิดเชิงค�ำนวณแล้ว ก็จะกลำยเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ท�ำงำนช้ำและท�ำให้ผู้ใช้งำนผิดหวังเพรำะท�ำงำนไม่ตรงตำมที่ ต้องกำร หลำยคนจึงคิดระบบขึ้นมำซึ่งใช้เวลำนำนในกำรตอบสนอง นั่นเป็นเพรำะวิธีกำรออกแบบ ในบำงจุดไม่มีประสิทธิภำพ หรือไม่ได้สร้ำงกำรเข้ำถึงข้อมูลซึ่งรู้ว่ำอยู่จุดใดให้มีประสิทธิภำพ MAIL BOX 3 แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวขอ นํามาใชแกไขปญหาตางๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ประจําวันเพื่อใหเกิดความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย หรือมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขั้นสอน อธิบายความรู 1. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาอธิบายความ หมายและองคประกอบทั้ง 4 ขอ ของแนวคิด เชิงคํานวณตามที่นักเรียนไดศึกษา 2. ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอวา นักเรียน คิดวา มนุษยนําแนวคิดเชิงคํานวณมาประยุกต ใชในชีวิตประจําวันไดอยางไร 3. จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมวา อาชีพบุรุษไปรษณียจะตองจัดสงจดหมายหรือพัสดุ จํานวนมาก จึงตองจัดหมวดหมูตามบานเลขที่ ซอย เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการ สง ดังนั้น อาชีพบุรุษไปรษณียจึงเปนหนึ่งใน หลายอาชีพที่อาศัยแนวคิดเชิงคํานวณมาใช ในการทํางาน เพื่อใหไดงานที่มีประสิทธิภาพ มากที่สุด 4. ครูนําบัตรภาพ เรื่อง องคประกอบแนวคิด เชิงคํานวณใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนได เห็นภาพการทํางานขององคประกอบแนวคิด เชิงคํานวณ พรอมยกตัวอยางประกอบเพื่อให นักเรียนเขาใจมากยิ่งขึ้น เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหนักเรียนลองชวยกันยกตัวอยางอาชีพอื่นๆ ที่ตองใชแนวคิด เชิงคํานวณในการแกปญหาในการทํางานเพื่อใหเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น 3-4 อาชีพ และใหยกตัวอยางการแกปญหาในอาชีพนั้นวา ใชแนวคิดเชิงคํานวณ ในการแกปญหาอยางไร เชน ใชเวลาในการทํางานนอยลง ลดคาใชจายในการ ขนสงสินคาไดมากขึ้น ใชจํานวนคนในการทํางานลดลง ขอใดไมใชตัวอยางผลลัพธที่ดีในการนําแนวคิดเชิงคํานวณมา ใชในการแกปญหา 1. มีคาใชจายเพิ่มขึ้น 5.2% ผลผลิตเทาเดิม 2. ลดคาใชจายรายเดือนลง 15% ผลผลิตเทาเดิม 3. ประหยัดเวลาในการทํางานไดมากขึ้น 1.5 เทา ผลผลิต เพิ่มขึ้น 4. ขั้นตอนการผลิตลดลง จํานวนแรงงานในการผลิตลดลง ระยะเวลาในการผลิตและผลผลิตเทาเดิม (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ 2. ขอ 3. ขอ 4. แกปญหาแลวไดกําไรเพิ่มขึ้น สวนขอ 1. แกปญหา แลวขาดทุน ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T5
ขอสอบเนนการคิด แนวคิดเชิงค�ำนวณ สำมำรถแบ่งออกเป็น 4 องค์ประกอบ ดังนี้ จำกองค์ประกอบของแนวคิดเชิงค�ำนวณ จะเห็นได้ว่ำ กำรใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณเพื่อ แก้ปัญหำอย่ำงเป็นระบบ ไม่ได้เป็นกระบวนกำรทำงควำมคิดเฉพำะนักวิทยำศำสตร์หรือนักพัฒนำ ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เท่ำนั้น แต่สำมำรถน�ำมำประยุกต์ใช้ในกำรแก้ปัญหำต่ำง ๆ ในชีวิตได้ แนวคิดเชิงคํานวณ 1 แนวคิดการ แยกย่อย (Decomposition) กำรแตกปัญหำใหญ่ ออกเป็นปัญหำย่อย ให้ ปัญหำนั้นมีขนำดเล็กลง เพื่อให้สำมำรถจัดกำร ปัญหำในแต่ละส่วนได้ ง่ำยขึ้น 3 แนวคิด เชิงนามธรรม (Abstraction) กำรหำแนวคิดเชิง นำมธรรมหรือแนวคิด รวบยอดของปัญหำ ซึ่ง เป็นกำรก�ำหนดหลักกำร ทั่วไป มุ่งเน้นเฉพำะส่วน ที่ส�ำคัญของปัญหำ โดย ไม่สนใจรำยละเอียดที่ ไม่จ�ำเป็น 2 แนวคิดการ หารูปแบบ (Pattern Recognition) กำรก�ำหนดแบบแผน หรือรูปแบบที่มีลักษณะ คล้ำยคลึงกันจำกปัญหำ แต่ละส่วนย่อยต่ำง ๆ กล่ำวคือ ปัญหำย่อยแต่ละ ปัญหำนั้น สำมำรถใช้ รูปแบบในกำรแก้ปัญหำ ที่คล้ำยคลึงกันได้ 4 แนวคิดการ ออกแบบขั้นตอนวิธี (Algorithm Design) กำรออกแบบล�ำดับ ขั้นตอนกำรแก้ปัญหำ ด้วยกำรใช้แนวคิดกำร ออกแบบขั้นตอนวิธี เป็น แนวคิดที่สำมำรถน�ำ ไปใช้ในกำรแก้ปัญหำ ที่มีลักษณะแบบเดียว กันได้ แนวคิด การแยกย่อย แนวคิด การออกแบบ ขั้นตอนวิธี แนวคิด การหารูปแบบ แนวคิด เชิงนามธรรม ? ? 4 ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลโดยการสังเกตการตอบคําถาม และการรวมกันทําผลงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของผลการทําใบงาน เรื่อง องคประกอบของแนวคิดเชิงคํานวณ 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับแนวคิด เชิงคํานวณ ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจแบบทดสอบ กอนเรียน แบบทดสอบ กอนเรียน ประเมินตาม สภาพจริง ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลของนักเรียน โดย ศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางาน รายบุคคลที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 2 หนวยการเรียนรูที่ 1 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นักเรียนคิดวา สูตรการแปลงอุณหภูมิระหวางหนวยองศา เซลเซียสกับหนวยองศาฟาเรนไฮต C 5 = F - 32 9 จัดเปนแนวคิด เชิงคํานวณในขอใด 1. แนวคิดการแยกยอย 2. แนวคิดเชิงนามธรรม 3. แนวคิดการหารูปแบบ 4. แนวคิดการออกแบบขั้นตอนวิธี (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดใหวิเคราะหไดวา สูตรการแปลงอุณหภูมิระหวางหนวยองศาเซลเซียสกับหนวย องศาฟาเรนไฮต เปนความคิดรวบยอดในการแปลงหนวยอุณหภูมิ ที่สามารถนําไปใชแปลงคาอุณหภูมิทั้ง 2 หนวยไดทุกคา จึงจัดเปน แนวคิดเชิงนามธรรม ดังนั้น ตอบขอ 2.) ขั้นสอน ขยายความเขาใจ 1. ครูซักถามนักเรียนเพื่อตรวจสอบความเขาใจ วา องคประกอบของแนวคิดเชิงคํานวณแบง ออกเปนกี่องคประกอบ (แนวตอบ องคประกอบของแนวคิดเชิงคํานวณ แบงออกเปน 4 องคประกอบ) 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง องคประกอบของ แนวคิดเชิงคํานวณ โดยเขียนภาพการทํางาน ขององคประกอบแนวคิดเชิงคํานวณจาก สถานการณที่กําหนดให นํา สอน สรุป ประเมิน T6
ขอสอบเนน การคิด 2 ตัวอย่ำงกำรแกปญหำโดยใช แนวคิดเชิงค�ำนวณ 2.1 ตัวอย่ำงปญหำกำรเขำแถวตำมล�ำดับ ควำมสูงของนักเรียนใหเร็วที่สุด แนวคิดเชิงคํานวณ มีสวน ชวยการเรียงลําดับขอมูล (Sorting) อยางไร แนวคิดเชิงค�านวณในการแก้ปญหาการเข้าแถวตามล�าดับความสูงของนักเรียนให้เร็วที่สุด 1. แนวคิดการแยกย่อย (Decomposition) คือ กำรแตกปัญหำใหญ่ออกเป็นปัญหำย่อย ในที่นี้ เช่น ปัญหำกำรเข้ำแถว ซึ่งปัญหำใหญ่ คือ กำรเข้ำแถวตำมล�ำดับควำมสูงของนักเรียน ทั้งหมด หำกน�ำนักเรียนทุกคนมำเข้ำแถวตำมล�ำดับควำมสูงในครำวเดียว อำจท�ำให้ใช้เวลำนำน ในกำรเรียงล�ำดับ แต่หำกแตกปัญหำออกเป็นปัญหำย่อย และแก้ปัญหำย่อยนั้น ๆ ทีละปัญหำ จะ ท�ำให้สำมำรถแก้ปัญหำใหญ่ได้เร็วขึ้น ซึ่งสำมำรถแบ่งปัญหำกำรเข้ำแถวให้เรียงตำมควำมสูงออก เป็นขั้นตอนย่อยได้ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ก�ำหนดนักเรียนคนแรกเป็นนักเรียนต�ำแหน่งหลัก ขั้นตอนที่ 2 แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม โดยมีเงื่อนไข ดังนี้ 1) กลุ่มที่ 1 นักเรียนที่มีควำมสูงน้อยกว่ำนักเรียนต�ำแหน่งหลัก ให้ไปตั้งแถวอยู่ ด้ำนซ้ำยของนักเรียนที่เป็นต�ำแหน่งหลัก 2) กลุ่มที่ 2 นักเรียนที่มีควำมสูงเท่ำกับหรือมำกกว่ำนักเรียนต�ำแหน่งหลัก ให้ไปตั้งแถวอยู่ด้ำนขวำของนักเรียนที่เป็นต�ำแหน่งหลัก นักเรียนทุกคนยืนหันหลังให้ผู้อ่าน นักเรียนทุกคนยืนหันหลังให้ผู้อ่าน ต�ำแหน่งหลัก กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 5 ขั้นนํา ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอเพื่อกระตุน ความสนใจของนักเรียนวา แนวคิดเชิงคํานวณมี สวนชวยการเรียงลําดับขอมูลอยางไร ขั้นสอน กําหนดปญหา 1. ครูถามคําถามทาทายความคิดของนักเรียนวา นักเรียนสามารถเขียนวิธีการแกปญหาโดยใช แนวคิดเชิงคํานวณไดหรือไม (แนวตอบ นักเรียนแสดงความคิดเห็นโดยตอบ ตามประสบการณของตนเอง) 2. ครูอธิบายสถานการณจากตัวอยางปญหาการ เขาแถวตามลําดับความสูงของนักเรียนใหเร็ว ที่สุด ใหนักเรียนฟง ทําความเขาใจปญหา 1. ครูถามคําถามนักเรียนวา ปญหาของ สถานการณ ตัวอยางนี้คืออะไร (แนวตอบ ครูตองการหาวิธีการเขาแถวตาม ลําดับความสูงของนักเรียนใหเร็วที่สุด) 2. นักเรียนศึกษาตัวอยางปญหาการเขาแถวตาม ลําดับความสูงของนักเรียนใหเร็วที่สุดจาก หนังสือเรียน ดําเนินการศึกษาคนควา 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน จากนั้นให แตละกลุมทดลองแกปญหา โดยใชองคประกอบ ของแนวคิดเชิงคํานวณหาวิธีการเขาแถวตาม ลําดับความสูงของนักเรียนใหเร็วที่สุด แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวขอ ใชในการวิเคราะหปญหา ออกแบบวิธีการ แกปญหา และขั้นตอนการดําเนินการแกปญหา ใหนักเรียนเขียนอธิบาย ลักษณะธงชาติของประเทศ สิงคโปรไมเกิน 5 ขอ เพื่อให คนที่ไมเคยเห็นภาพธงชาติ สามารถวาดไดถูกตอง (แนวตอบ - พื้นหลังเปนสีแดงกับสีขาวอยางละครึ่งตามแนวนอน - ครึ่งสีแดงอยูขางบน - มีดวงจันทรเสี้ยวสีขาวหันปลายแหลมไปทางขวา และวางอยู ที่ดานซายของพื้นหลังสีแดง - มีดาวสีขาว 5 ดวง เรียงกันเปนรูป 5 เหลี่ยมอยูขางขวาของ ดวงจันทรเสี้ยว) เกร็ดแนะครู ครูอาจจะทําแบบจําลอง สื่อการสอน หรือใหนักเรียนจํานวนหนึ่งออกมาเปน ตัวอยางในการสาธิตกระบวนการแกปญหาโดยใชแนวคิดเชิงคํานวณในแตละ องคประกอบ เพื่อสรางความมีสวนรวมใหเกิดความเขาใจ พอทําเสร็จแลวจึง เปลี่ยนกลุมเด็กที่ออกมาสาธิตใหทดลองทําเพิ่มอีกรอบ เพื่อใหนักเรียนไดมี สวนรวมในการทดลองอยางทั่วถึง สิ่งสําคัญที่ตองคํานึงถึง คือ ตัวอยางปญหา ตองมีรายละเอียดที่นักเรียนจะทําความเขาใจทีละขั้นตอน เพราะฉะนั้นใน ระหวางการอธิบายหรือการดําเนินกิจกรรม ครูตองควบคุมไมใหการทํากิจกรรม เรงรีบจนเกินไป เพื่อใหนักเรียนสามารถทําความเขาใจกระบวนการไดอยาง ถูกตอง นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T7
ขอสอบเนนการคิด ขั้นตอนที่ 3 ทั้ง 2 กลุ่ม ท�ำซ�้ำขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 2 จนกระทั่งไม่สำมำรถ แบ่งกลุ่มได้อีก และนักเรียนเข้ำแถวเรียงตำมล�ำดับควำมสูงจำกน้อยไปมำกได้อย่ำงถูกต้อง 3. แนวคิดเชิงนามธรรม (Abstraction) คือ กำรคิดรวบยอดปัญหำ และไม่สนใจสิ่งที่ ไม่จ�ำเป็น โดยกำรเข้ำแถวเรียงตำมล�ำดับควำมสูงนั้น แนวคิดหลัก คือ กำรเรียงล�ำดับนักเรียน ตำมควำมสูงจำกน้อยไปมำก ซึ่งนักเรียนที่มีควำมสูงน้อยกว่ำจะต้องอยู่ด้ำนซ้ำยของนักเรียนที่มี ควำมสูงมำกกว่ำเสมอ 2. แนวคิดการหารูปแบบ (Pattern Recognition) คือ กำรเข้ำใจรูปแบบของปัญหำ โดยใน กรณีนี้ กำรเข้ำแถวตำมล�ำดับควำมสูงในแต่ละรอบ จะมีกำรแบ่งกลุ่มในรูปแบบที่เหมือนกัน โดย นักเรียนที่มีควำมสูงน้อยกว่ำให้เข้ำแถวทำงด้ำนซ้ำยของนักเรียนที่เป็นต�ำแหน่งหลัก และนักเรียน ที่มีควำมสูงเท่ำกับหรือมำกกว่ำให้เข้ำแถวทำงด้ำนขวำของนักเรียนที่เป็นต�ำแหน่งหลัก ดังนี้ นักเรียนทุกคนยืนหันหลังให้ผู้อ่าน นักเรียนทุกคนยืนหันหลังให้ผู้อ่าน นักเรียนที่มีควำมสูงน้อยกว่ำนักเรียนที่เป็นต�ำแหน่งหลัก นักเรียนที่เป็นต�ำแหน่งหลัก นักเรียนที่มีควำมสูงเท่ำกับหรือมำกกว่ำนักเรียนที่เป็นต�ำแหน่งหลัก 6 8 + 7 = 8 + (2 + 5) = (8 + 2) + 5 = 10 + 5 = 15 วิธีการหาคําตอบขางบนจัดเปนการใชแนวคิดเชิงคํานวณขอใด 1. แนวคิดการแยกยอย 2. แนวคิดเชิงนามธรรม 3. แนวคิดการหารูปแบบ 4. แนวคิดการออกแบบขั้นตอนวิธี (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา วิธีการในตัวอยางใชแนวคิดการแยกยอยในการแยก 7 ออกเปน 2 + 5 ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน ดําเนินการศึกษาคนควา 2. ครูอธิบายเชื่อมโยงวา ผลจากการใชแนวคิด แยกยอยจะทําใหนักเรียนสามารถสรางรูปแบบ ในการเขาแถวเรียงตามลําดับขึ้นมาได ผลจาก การใชแนวคิดการหารูปแบบจะชวยใหนักเรียน สรุปแนวคิดเชิงนามธรรมของการเขาแถวเรียง ตามลําดับได เกร็ดแนะครู ระหวางดําเนินกิจกรรม ครูอาจจะอธิบายเสริมใหนักเรียนทราบวา กระบวนการ แกปญหาการเขาแถวตามลําดับความสูงโดยใชแนวคิดเชิงคํานวณ เมื่อทําเสร็จ ขั้นการออกแบบขั้นตอนวิธีแลวนั้น เราสามารถนําขอมูลดังกลาวไปตอยอดเขียน เปนผังงานเพื่อใชเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอรสําหรับรับขอมูลความสูงของนักเรียน เพื่อนํามาเรียงลําดับไดทันที นํา สอน สรุป ประเมิน T8
ขอสอบเนน การคิด 4. แนวคิดการออกแบบขั้นตอนวิธี (Algorithm Design) มีล�ำดับขั้นตอน ดังนี้ 1) ก�ำหนดนักเรียนคนแรก (ซ้ำยสุด) ของนักเรียนทั้งหมด เป็นต�ำแหน่งหลัก ต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 2 ต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 1 3) ก�ำหนดนักเรียนคนแรก (ซ้ำยสุด) ของนักเรียนแต่ละกลุ่ม เป็นต�ำแหน่งหลักของ กลุ่มที่ 1 และ 2 นักเรียนทุกคนยืนหันหลังให้ผู้อ่าน นักเรียนทุกคนยืนหันหลังให้ผู้อ่าน นักเรียนทุกคนยืนหันหลังให้ผู้อ่าน ต�ำแหน่งหลัก 2) แบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ (1) กลุ่มที่ 1 นักเรียนที่มีควำมสูงน้อยกว่ำนักเรียนต�ำแหน่งหลัก ให้ไปตั้งแถวอยู่ ด้ำนซ้ำยของนักเรียนต�ำแหน่งหลัก (2) กลุ่มที่ 2 นักเรียนที่มีควำมสูงเท่ำกับหรือมำกกว่ำนักเรียนต�ำแหน่งหลัก ให้ไป ตั้งแถวอยู่ด้ำนขวำของนักเรียนต�ำแหน่งหลัก ต�ำแหน่งหลัก กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ 2 7 กลา เกง และกร รับประทานอาหารดวยกันในรานอาหาร แหงหนึ่ง โดยตกลงจายคาอาหารแบบหารเทากัน ถาจะคํานวณ คาอาหารตอคนโดยใชแนวคิดเชิงนามธรรม ขอใดจัดเปนขอมูล สวนที่ไมจําเปนในการคํานวณ 1. รายชื่อของอาหาร 2. ราคาของอาหารแตละรายการ 3. จํานวนคนที่รับประทานอาหาร 4. จํานวนอาหารที่สั่งแตละรายการ (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การ คํานวณคาอาหารแบบหารเทากัน คือ การหาคาเฉลี่ย โดยนําราคา อาหารตอรายการคูณดวยจํานวนอาหารที่สั่งแตละรายการแลวนํา มาบวกกัน จากนั้นหารดวยจํานวนคนที่รับประทานอาหาร ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน สังเคราะหความรู เมื่อนักเรียนคิดวิธีการเขาแถวตามลําดับ ความสูงใหเร็วที่สุดเสร็จแลว ใหแตละกลุมนํามา เขียนอธิบายขั้นตอนการเรียงลําดับตามวิธีการ ที่คิดคนขึ้นมา โดยใชแนวคิดการออกแบบ ขั้นตอนวิธี พรอมกับวาดภาพประกอบในแตละ ขั้นตอน เกร็ดแนะครู ในปจจุบันแนวคิดการหารูปแบบนั้นถูกนําไปใชประโยชนในหลากหลาย วงการ เชน การทํานายหุนหรือคาเงิน ระบบปญญาประดิษฐในเกม การประดิษฐ อวัยวะเทียม รวมทั้งระบบจดจําลักษณะเฉพาะบุคคล เชน ลายนิ้วมือ ใบหนา ครูสามารถหาตัวอยางดังกลาวจากอินเทอรเน็ตมาใชเปนสื่อการสอนเสริมได นํา สอน สรุป ประเมิน T9
4) แบ่งนักเรียนในกลุ่มที่ 1 และ 2 ดังนี้ (1) กลุ่มที่ 1 นักเรียนที่มีควำมสูงน้อยกว่ำต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 1 ให้ไปตั้งแถวอยู่ ด้ำนซ้ำยของต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 1 และนักเรียนที่มีควำมสูงเท่ำกับหรือมำกกว่ำต�ำแหน่งหลักของ กลุ่มที่ 1 ให้ไปตั้งแถวอยู่ด้ำนขวำของต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 1 (2) กลุ่มที่ 2 นักเรียนที่มีควำมสูงน้อยกว่ำต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 2 ให้ไปตั้งแถวอยู่ ด้ำนซ้ำยของต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 2 และนักเรียนที่มีควำมสูงเท่ำกับหรือมำกกว่ำต�ำแหน่งหลักของ กลุ่มที่ 2 ให้ไปตั้งแถวอยู่ด้ำนขวำของต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 2 ต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 2 ต�ำแหน่งหลักของกลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 นักเรียนทุกคนยืนหันหลังให้ผู้อ่าน 5) จะได้แถวเรียงล�ำดับควำมสูงจำกน้อยไปหำมำก นักเรียนทุกคนยืนหันหลังให้ผู้อ่าน 8 เกร็ดแนะครู การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอรมีวิธีการเรียงลําดับขอมูลหลายรูปแบบที่ นาสนใจ เชน Bubble sort, Merge sort, Quick sort ครูอาจจะลองศึกษาเพิ่มเติม จากยูทิวบ โดยใชคียเวิรดขางตนในการสืบคนแลวนํามาประยุกตเปนกิจกรรม การสอนเพิ่มเติมในหนวยการเรียนนี้ดวยก็ได กิจกรรม 21st Century Skills แบงนักเรียนออกเปน 4 กลุม และใหสถานการณวา ถาหองสมุด จะจัดเรียงชั้นหนังสือเรียนแบบใหม โดยมีหนังสือเรียนทุกวิชา ในระดับชั้น ม.1-ม.6 หนังสืออานนอกเวลา และหนังสือการตูน ครู ใหเวลาประมาณ 15 นาที สําหรับใหแตละกลุมคิดวิธีการจัดเรียง ที่คิดวา งายตอการคนหามากที่สุด แลวออกมานําเสนอ ขั้นสรุป สรุปและประเมินคาของคําตอบ 1. หลังจากทุกกลุมทําขั้นสังเคราะหความรูใน หนา 7 ครบแลว ครูสุมเลือกนักเรียนในหองมา 11 คน มายืนหนาชั้น ทําการทดลองจับเวลา การเรียงลําดับตามวิธีการของแตละกลุม จนครบ นํา สอน สรุป ประเมิน T10
ขอสอบเนน การคิด จากขั้นตอนขางตนสรุปได ดังนี้ เริ่มตนใหนักเรียนเขาแถวโดยไมสนใจความสูง ซึ่ง กําหนดนักเรียนคนแรกใหเปนตําแหนงหลัก แบงออกเปน 2 กลุม โดยกลุมที่ 1 คือ กลุมที่มีความ สูงนอยกวาตําแหนงหลัก ใหเขาแถวอยูดานซายของตําแหนงหลัก และกลุมที่ 2 คือ กลุมที่มีความสูง เทากับหรือมากกวาตําแหนงหลัก ใหเขาแถวอยูดานขวาของตําแหนงหลัก เมื่อแบงกลุมเรียบรอย แลว ใหทําซํ้าการแบงกลุมในลักษณะเชนเดียวกันนี้ไปเรื่อย ๆ จนกวาจะไมสามารถแบงกลุมไดอีก และนักเรียนเขาแถวเรียงตามลําดับความสูงจากนอยไปมากไดอยางถูกตอง โดยจํานวนรอบในการ ทําซํ้าขึ้นอยูกับจํานวนนักเรียนที่เขาแถว เมื่อเปรียบเทียบกับการเขาแถวแบบปกติแลว การเขาแถวแบบการใชแนวคิดเชิงคํานวณ เขามาชวยในการแกปญหาจะมีความเปนระเบียบ มีความเปนขั้นตอน และสามารถจัดแถวได อยางเปนระบบระเบียบ โดยใชการลําดับขั้นตอนในการเขาแถวเขามาชวยในการแกปญหา ดังนั้น การเขาแถวแบบการใชแนวคิดเชิงคํานวณ จึงมีความเปนขั้นตอนและเปนระบบมากกวาการ เขาแถวแบบปกติ การเรียงลําดับแบบเลือก (Selection Sort) เปนการเปรียบเทียบขอมูลที่อยูซายสุดในแถว กับขอมูลทางดานขวาที่เล็กที่สุดในแถว โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1. หาขอมูลที่เล็กที่สุดทางดานขวาของขอมูลตัวแรก 2. สลับตําแหนงของขอมูลถาหาเจอ 3. เลื่อนไปทางขวา 1 ตําแหนง 4. ทําซํ้าตามขอ 1.-3. จนกวาจะหมดขอมูลในแถว Com Sci Focus ¡ÒÃàÃÕ§ÅӴѺẺàÅ×Í¡ 8 23 32 45 56 78 สลับขอมูล 23 กับ 8 สลับขอมูล 78 กับ 23 สลับขอมูล 45 กับ 32 สลับขอมูล 78 กับ 45 ไมมีการสลับขอมูล 23 78 45 8 56 32 8 78 45 23 56 32 8 23 45 78 56 32 8 23 32 78 56 45 8 23 32 45 56 78 Sorted Data Sorted Data Sorted Data Sorted Data 9 ขอสอบเนน การคิด ¡ÒÃàÃÕ§ÅӴѺẺàÅ×Í¡ 1 ขอใดไมใชตัวอยางขอมูลที่เหมาะสมในการนําขั้นตอนของ แนวคิดเชิงคํานวณมาใชในการจัดแถวตามลําดับความสูง 1. ลิปสติก-สี 2. อาชีพ-รายไดเฉลี่ย 3. ชื่อนักเรียน-นํ้าหนัก 4. ชื่อหนังสือ-จํานวนหนา (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ 2. ขอ 3. และขอ 4. มีขอมูลที่สามารถนํามาเรียงจัดลําดับได คือ รายไดเฉลี่ยนํ้าหนัก จํานวนหนา สวน ขอ 1. สีไมสามารถนํามา เขียนแทนดวยตัวเลขเพื่อบอกปริมาณได จึงไมเหมาะสมในการ นําขั้นตอนของแนวคิดเชิงคํานวณในการจัดแถวตามลําดับความ สูงมาใชในการแกปญหา แตสามารถใชแนวคิดเชิงคํานวณในการ จําแนกตามโทนสีเพื่อประหยัดเวลาในการคนหาได ดังนั้น ตอบ ขอ 1.) เกร็ดแนะครู หลังจากที่สรุปเนื้อหาเสร็จแลว ครูอาจจะสุมนักเรียน 2-3 คน ใหลอง ยกตัวอยางปญหาในชีวิตประจําวันที่สามารถนําขั้นตอนวิธีที่สรุปไดไปใชแก ปญหาได มาคนละ 1 ตัวอยาง เพื่อตรวจสอบความเขาใจของนักเรียนดวย นักเรียนควรรู 1 การเรียงลําดับแบบเลือก เปนหนึ่งในวิธีการเรียงลําดับในการเขียน โปรแกรมขั้นพื้นฐาน ซึ่งจะมีการเรียงลําดับหลายแบบใหศึกษาและเลือกใชให เหมาะสม นักเรียนสามารถศึกษาคนควาขอมูลความรูในเรื่องการเรียงลําดับ เพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ตได ขั้นสรุป สรุปและประเมินคาของคําตอบ 2. ครูกับนักเรียนรวมกันนําเสนอและสรุปผลการ ทดลอง 3. ครูใหนักเรียนศึกษาความรูเสริมจากเนื้อหาเพื่อ ขยายความรูของผูเรียน (Com Sci Focus) เรื่อง การเรียงลําดับแบบเลือก 4. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเรียงลําดับแบบ เลือกวา การเรียงลําดับแบบเลือกเปนขั้นตอน การเรียงลําดับอยางงาย โดยใชวิธีการเปรียบเทียบ ซึ่งโดยสวนใหญจะพบเห็นไดในวิชา คณิตศาสตร ครูอาจเสริมความรูใหนักเรียน เพิ่มเติมดวยวาในการเรียนพื้นฐานการเขียน โปรแกรมในระดับอุดมศึกษานั้น นักเรียนจะ ไดเรียนการเขียนโปรแกรมการเรียงลําดับ (Sorting) ในหลายรูปแบบ เชน Bubble sort, Merge sort, Quick sort หากนักเรียนมี ความสนใจก็สามารถสืบคนขอมูลจากเว็บไซต ตางๆ เองได นํา สอน สรุป ประเมิน T11
2.2 ตัวอย่ำงปญหำกำรจัดเรียงเสื้อผำใหหำง่ำยที่สุด ในกรณีนี้จะยกตัวอย่ำงกำรจัดเรียงด้วยกำรแบ่งกลุ่มประเภทของเสื้อผ้ำเป็น 2 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทหลัก จะแบ่งเป็นประเภทย่อย แนวคิดเชิงค�านวณในการแก้ปญหาการจัดเรียงเสื้อผ้าให้หาง่ายที่สุด 1. แนวคิดการแยกย่อย (Decomposition) คือ กำรแตกปัญหำใหญ่ออกเป็นปัญหำย่อย ในที่นี้ ปัญหำใหญ่ คือ กำรจัดเรียงเสื้อผ้ำให้หำง่ำยที่สุด โดยสำมำรถแบ่งปัญหำออกเป็นขั้นตอนย่อย ได้ ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 หำวัตถุประสงค์หลักในกำรค้นหำว่ำ จะค้นหำจำกคุณสมบัติของ เสี้อผ้ำ เช่น ประเภท สี เพื่อน�ำไปใช้เป็นเกณฑ์ในกำรแบ่งกลุ่มเสื้อผ้ำ ขั้นตอนที่ 2 แบ่งกลุ่มเสื้อผ้ำ โดยแบ่งเป็นกลุ่มเสื้อและกลุ่มกระโปรงหรือกำงเกง ขั้นตอนที่ 3 จัดเรียงเสื้อผ้ำในแต่ละกลุ่ม โดยยึดตำมประเภทและสีของเสื้อผ้ำ 10 ขั้นสอน กําหนดปญหา ครูอธิบายสถานการณจากตัวอยางปญหาการ จัดเรียงเสื้อผาใหหางายที่สุด โดยใชองคประกอบ ของแนวคิดเชิงคํานวณใหนักเรียนฟง เกร็ดแนะครู ครูอาจจะสุมถามนักเรียนใหบอกคุณสมบัติตางๆ ของเสื้อผา เพื่อนํามาใช เปนตัวเลือกในการกําหนดเกณฑสําหรับแบงกลุมเสื้อผาในขั้นตอนที่ 1 แลวจึง ถามคําถามใหนักเรียนคิดตอในขั้นตอนที่เหลือจนครบ เพื่อตรวจสอบความเขาใจ ของนักเรียนในแตละขั้นตอนของกระบวนการจนจบกิจกรรม กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนแบงกลุมประมาณ 4-5 กลุม แลวลองชวยกันคิดวา ที่บานและที่โรงเรียนมีสิ่งของเครื่องใชใดบางที่ควรนํามาจัดกลุม เพื่อใหเกิดความสะดวกในการนํามาใชกลุมละ 2-3 อยาง เชน อุปกรณทําความสะอาดบาน เครื่องมือชาง ของเลน หนังสือการตูน นิตยสาร เครื่องประดับ เครื่องสําอาง ทําความเขาใจปญหา 1. ครูถามคําถามนักเรียนวา ปญหาของ สถานการณตัวอยางนี้คืออะไร (แนวตอบ ครูตองการหาวิธีการจัดเรียงเสื้อผา ใหหางายที่สุด) 2. นักเรียนศึกษาตัวอยางปญหาการจัดเรียง เสื้อผาใหหางายที่สุดจากหนังสือเรียน ดําเนินการศึกษาคนควา 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน หรือตาม ความเหมาะสม จากนั้นใหนักเรียนแตละ กลุมทดลองแกปญหาโดยใชองคประกอบของ แนวคิดเชิงคํานวณหาวิธีการจัดเรียงเสื้อผา ใหหางายที่สุด นํา สอน สรุป ประเมิน T12
2. แนวคิดการหารูปแบบ (Pattern Recognition) คือ เข้ำใจรูปแบบของปัญหำ ในกรณีนี้ กำรจัดเรียงเสื้อผ้ำให้หำง่ำยที่สุด จะมีรูปแบบ ดังนี้ 1) หำวัตถุประสงค์หลักในกำรค้นหำเสื้อผ้ำ 2) แบ่งกลุ่มเสื้อผ้ำตำมวัตถุประสงค์หลัก 3) จัดเรียงเสื้อผ้ำตำมกลุ่ม 3. แนวคิดเชิงนามธรรม (Abstraction) คือ กำรคิดรวบยอดปัญหำ และไม่สนใจสิ่งที่ ไม่จ�ำเป็น โดยในกำรจัดเรียงเสื้อผ้ำให้หำง่ำยที่สุด แนวคิดหลัก คือ จะต้องหำวัตถุประสงค์หลัก ให้ได้ก่อนเสมอ จำกนั้นจึงจะท�ำกำรแบ่งกลุ่มตำมวัตถุประสงค์หลัก โดยไม่สนใจสิ่งที่ไม่จ�ำเป็น ซึ่งในตัวอย่ำงนี้ สิ่งที่ไม่จ�ำเป็น คือ ยี่ห้อและขนำด 4. แนวคิดการออกแบบขั้นตอนวิธี (Algorithm Design) ล�ำดับขั้นตอนในกำรแก้ไขปัญหำ มีดังนี้ 1) หำวัตถุประสงค์หลักในกำรค้นหำเสื้อผ้ำ โดยตัวอย่ำงนี้จะค้นหำจำกประเภทเสื้อผ้ำ และสี ตำมล�ำดับ 2) แบ่งกลุ่มเสื้อผ้ำ โดยแบ่งกลุ่มเสื้อผ้ำเป็นกลุ่มเสื้อและกลุ่มกำงเกงหรือกระโปรง กลุ่มเสื้อ กลุ่มกำงเกงหรือกระโปรง 11 ขั้นสอน ดําเนินการศึกษาคนควา 2. ครูอธิบายเชื่อมโยงวา ผลจากการใชแนวคิด แยกยอยจะทําใหนักเรียนสามารถสรางรูปแบบ ในการจัดเรียงเสื้อผาใหหางายที่สุดขึ้นมาได ผลจากการใชแนวคิดการหารูปแบบจะชวยให นักเรียนสรุปแนวคิดเชิงนามธรรมของการจัด เรียงเสื้อผาใหหางายที่สุด ใหนักเรียนแบงกลุมประมาณ 4-5 กลุม แลวใหแตละกลุม กําหนดวัตถุประสงคในการซื้อโทรศัพทมือถือที่แตกตางกัน เชน สําหรับถายรูป สําหรับเลนเกม และใหแตละกลุมลองชวยกันระบุ คุณสมบัติตางๆ ของโทรศัพทมือถือ จากนั้นใหอภิปรายรวมกัน วา คุณสมบัติใดมีความสอดคลองกับวัตถุประสงคในการตัดสินใจ ซื้อ คุณสมบัติใดไมจําเปน พรอมใหเหตุผลประกอบ กิจกรรม 21st Century Skills นํา สอน สรุป ประเมิน เกร็ดแนะครู ในขั้นแนวคิดเชิงนามธรรมควรใหนักเรียนบอกเหตุผลประกอบการตัดสินใจ วา คุณสมบัติใดของเสื้อผาควรเปนวัตถุประสงคหลักในการคนหา และคุณสมบัติ ใดไมจําเปน นอกจากนี้ ครูลองยกตัวอยางอื่นๆ มาถามเพิ่มเติม เชน การแบง ขอบเขตประเทศตางๆ ในแผนที่ การจัดกลุมรูปเรขาคณิต เพื่อใหนักเรียน เกิดความเขาใจมากขึ้น T13
3) แบ่งกลุ่มเสื้อเป็นเสื้อยืดกลุ่มหนึ่งกับเสื้อเชิ้ตอีกกลุ่มหนึ่ง และแบ่งกลุ่มกำงเกง หรือกระโปรงเป็นกำงเกงกลุ่มหนึ่งกับกระโปรงอีกกลุ่มหนึ่ง 4) แบ่งกลุ่มเสื้อยืดตำมสี แบ่งกลุ่มเสื้อเชิ้ตตำมสี แบ่งกลุ่มกำงเกงตำมสี และแบ่งกลุ่ม กระโปรงตำมสี 12 ขั้นสอน สังเคราะหความรู เมื่อนักเรียนจัดเรียงเสื้อผาใหหางายที่สุดเสร็จ แลว ใหแตละกลุมนํามาเขียนอธิบายขั้นตอนการ เรียงลําดับตามวิธีการที่คิดคนขึ้นมาจากการใช แนวคิดการออกแบบขั้นตอนวิธี โดยการอธิบาย พรอมวาดภาพประกอบในแตละขั้นตอน เกร็ดแนะครู ครูอาจจะเตรียมตัวอยางปญหาเพิ่มเติมมาเพื่อฝกใชกระบวนการแนวคิด เชิงคํานวณในการแกปญหาใหนักเรียน เชน การจัดของใสกระเปา โดยเรียงลําดับ จากการใชงานกอน-หลัง ประยุกตใชในวิชาอื่นๆ เชน การหาผลบวกของ จํานวนเต็มตั้งแต 1-10 การหาจํานวนถัดไปของแบบรูปหรืออนุกรม กิจกรรม ทาทาย ใหนักเรียนแบงกลุมตามความเหมาะสมแลวใหแตละกลุม ชวยกันคิดตัวอยางสิ่งของที่สามารถนํามาจัดกลุมตามเงื่อนไข ตอไปนี้ไดมาอยางนอยขอละ 1 ตัวอยาง 1. สิ่งของที่สามารถจัดกลุมไดไมเกิน 2 ระดับ เชน ภาพถาย 1) จัดกลุมตามโทนสีของภาพ เชน ภาพสี ภาพขาวดํา 2) จัดกลุมตามประเภทกลองที่ใชถายภาพ เชน กลอง ดิจิทัล กลองฟลม 2. สิ่งของที่สามารถจัดกลุมไดมากกวา 2 ระดับ เชน แกวนํ้า จัดกลุมตาม 1) ขนาด เชน เล็ก กลาง ใหญ 2) สี เชน ขาว แดง 3) รูปราง เชน มีหู ไมมีหู ทรงกระบอก ทรงกรวย 4) ยี่หอ นํา สอน สรุป ประเมิน T14
ขอสอบเนน การคิด ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 1. ทักษะกำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศ 2. ทักษะกำรคิดและกำรแก้ปัญหำ 3. ทักษะกำรสื่อสำร ให้นักเรียนอธิบำยกำรน�ำแนวคิดเชิงค�ำนวณไปใช้ในกำรแก้ปัญหำของสถำนกำรณ์ต่อไปนี้ สมชำยมีอำชีพเป็นพนักงำนจัดส่งสินค้ำให้กับร้ำนสะดวกซื้อต่ำง ๆ โดยสินค้ำที่สมชำยจะต้องน�ำไปส่ง ได้แก่ เครื่องดื่ม ขนม และนมผง ซึ่งสินค้ำแต่ละชนิดนั้นมีหลำกหลำยยี่ห้อ แต่ในระหว่ำงกำรเดินทำงไปส่งสินค้ำนั้น เกิดอุบัติเหตุระหว่ำงทำงท�ำให้สินค้ำปะปนกัน แนวคิดเชิงค�ำนวณ Com Sci activity จำกขั้นตอนข้ำงต้นสรุปได้ ดังนี้ กำรจัดเสื้อผ้ำโดยใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณเข้ำมำแก้ปัญหำ จะมีวิธีในกำรแก้ปัญหำโดยแบ่งกลุ่มของเสื้อผ้ำออกเป็นประเภทกำรใช้งำน สีของเสื้อผ้ำ เพื่อเป็น กำรประหยัดเวลำในกำรค้นหำเสื้อผ้ำแต่ละชนิด และสะดวกรวดเร็วกับกำรใช้งำนในชีวิตประจ�ำวัน มำกกว่ำกำรไม่แบ่งประเภทเสื้อผ้ำ เพรำะเสื้อผ้ำจะปะปนกันท�ำให้เสียเวลำในกำรค้นหำเสื้อผ้ำ แต่ละชนิดและเกิดควำมยุ่งยำก 13 สินคาในขอใดสามารถนํามาแบงประเภทตามยี่หอเพื่อความ สะดวกในการคนหาได แตไมนิยมแบงประเภทตามขนาดหรือ ปริมาณตามแนวคิดเชิงนามธรรม 1. ยาทาเล็บ 2. ดินสอไม 2B 3. รองเทากีฬา 4. นาฬกาขอมือ (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ 2. ดินสอไม 2B ไมนิยมแบงประเภทตามความยาว เพราะแตละ ยี่หอมีความยาวไมตางกันมาก และเมื่อใชงานไปแลวดินสอจะ สั้นลงเรื่อยๆ จึงไมใชสาระสําคัญในการแบงประเภทตามแนวคิด เชิงนามธรรม ดังนั้น ตอบขอ 2.) เกร็ดแนะครู หลังจากสรุปเนื้อหาครูอาจจะสุมถามนักเรียนเพิ่มเติมวา นอกจากเรื่องการ ประหยัดเวลาในการคนหาแลว การแบงกลุมเสื้อผามีประโยชนอะไรอีกบาง และ ประโยชนดังกลาวนักเรียนคิดวา มีความเหมาะสมที่จะนํามาตั้งเปนโจทยปญหา ในการแบงกลุมเสื้อผาดวยการใชแนวคิดเชิงคํานวณไดหรือไม พรอมใหเหตุผล ประกอบ ขั้นสรุป สรุปและประเมินคาของคําตอบ 1. หลังจากทุกกลุมทําขั้นสังเคราะหความรูใน หนา 12 ครบแลว นักเรียนสงตัวแทนกลุม ออกมานําเสนอขั้นตอนการจัดเรียงเสื้อผา ใหหางายที่สุดจนครบทุกกลุม 2. นักเรียนทํากิจกรรมที่สอดคลองกับเนื้อหา โดย การฝกปฏิบัติเพื่อพัฒนาความรูและทักษะการ เรียนรู (Com Sci Activity) โดยใหนักเรียน อธิบายการนําแนวคิดเชิงคํานวณมาใชแก ปญหาของสถานการณตามที่โจทยกําหนด 3. นักเรียนตรวจสอบความเขาใจของตนเอง โดย พิจารณาขอความใน Self Check วาถูกหรือผิด หากนักเรียนพิจารณาไมถูกตองใหนักเรียน กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวขอที่กําหนดให 4. นักเรียนทําแบบฝกหัดประจําหนวยการเรียนรู ที่ 1 โดยใหนักเรียนตอบคําถามใหถูกตองและ บันทึกลงในสมุดประจําตัว พรอมทําชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) เรื่อง การแกปญหาโดยใช แนวคิดเชิงคํานวณ เพื่อตรวจสอบความเขาใจ ของนักเรียนและนํามาสงในชั่วโมงถัดไป 5. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนหนวยการ เรียนรูที่ 1 เรื่อง แนวคิดเชิงคํานวณกับการแก ปญหา นํา สอน สรุป ประเมิน T15
ขอสอบเนนการคิด แนวคิดเชิงค�ำนวณ กับกำรแกปญหำ Summary แนวคิดเชิงค�ำนวณ แนวคิดเชิงค�ำนวณ (Computational Thinking) คือ แนวคิดในกำรแก้ปัญหำต่ำง ๆ อย่ำง เป็นระบบ และเป็นกระบวนกำรที่มีล�ำดับขั้นตอนอย่ำงชัดเจน โดยกระบวนกำรแก้ปัญหำดังกล่ำวนี้ เป็นกระบวนกำรที่ทั้งมนุษย์และคอมพิวเตอร์สำมำรถเข้ำใจร่วมกันได้ ซึ่งแนวคิดเชิงค�ำนวณ สำมำรถน�ำมำประยุกต์ใช้แก้ปัญหำต่ำง ๆ ในชีวิตประจ�ำวันได้ เช่น ตัวอย่ำงปัญหำกำรจัดเรียง เสื้อผ้ำให้หำง่ำยที่สุด กำรใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณในกำรแก้ปัญหำกำรจัดเรียงเสื้อผ้ำให้หำง่ำยสุด 1. แนวคิดแยกย่อย (Decomposition) คือ กำรแตกปัญหำใหญ่ออกเป็นปัญหำย่อย 2. แนวคิดกำรหำรูปแบบ (Pattern Recognition) คือ เข้ำใจรูปแบบของปัญหำ 3. แนวคิดเชิงนำมธรรม (Abstraction) คือ กำรคิดรวบยอดปัญหำ และไม่สนใจสิ่งที่ไม่ จ�ำเป็น โดยกำรจัดเรียงเสื้อผ้ำให้หำง่ำยที่สุด 4. แนวคิดกำรออกแบบขั้นตอนวิธี (Algorithm Design) คือ ล�ำดับขั้นตอนในกำรแก้ปัญหำ มีดังนี้ • หำวัตถุประสงค์หลักในกำรค้นหำเสื้อผ้ำ • แบ่งกลุ่มเสื้อผ้ำ โดยแบ่งเป็นกลุ่มเสื้อ กลุ่มกระโปรง และกลุ่มกำงเกง • แบ่งกลุ่มเสื้อเป็นเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต และแบ่งกลุ่มกำงเกงกับกลุ่มกระโปรง • แบ่งกลุ่มเสื้อยืด เสื้อเชิ้ต กระโปรง และกำงเกงตำมสี 14 นักเรียนคิดวา การใชแนวคิดเชิงคํานวณในการแกปญหาอยูใน สวนใดของหลักการเขียนโปรแกรม (วิเคราะหคําตอบ การกําหนดและวิเคราะหปญหาสามารถ นําแนวคิดเชิงคํานวณมาใชไดในทุกขั้นตอนของการออกแบบ โปรแกรม ในขั้นตอนแรก คือ การออกแบบอัลกอริทึม ซึ่งตรงกับ แนวคิดการออกแบบขั้นตอนวิธีของแนวคิดเชิงคํานวณ สวน การเขียนโปรแกรม คือ การนําผลลัพธที่ไดจากขั้นการออกแบบ โปรแกรม เชน ภาษาธรรมชาติ รหัสจําลอง ผังงาน มาเขียนเปน โปรแกรมจริงๆ และการทดสอบโปรแกรม คือ การนําโปรแกรม ที่เขียนขึ้นเสร็จแลวมาทดลองตรวจสอบความถูกตอง เพื่อแกไข ขอผิดพลาดที่เกิดขึ้นใหโปรแกรมมีความถูกตองสมบูรณตรงตาม ความตองการของผูใชงาน) ขั้นประเมิน นําเสนอและประเมินผลงาน ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน แบบทดสอบ หลังเรียน รอยละ 60 ผานเกณฑ ตรวจชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) แบบประเมิน ชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางานกลุม แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคลและ การทํางานกลุมของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลและแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางาน กลุมที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 2 หนวยการเรียนรูที่ 1 แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่อง ที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานกลุ่ม ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ ชื่อ–สกุล ของนักเรียน การแสดง ความคิดเห็น การยอมรับ ฟังคนอื่น การท างาน ตามที่ได้รับ มอบหมาย ความมีน้ าใจ การมี ส่วนร่วมใน การปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 15 คะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............./.................../............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T16
เหตุใดจึงควรใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณมำช่วยแก้ปัญหำต่ำง ๆ ให้นักเรียนอธิบำยเหตุผล ให้ชัดเจน ยกตัวอย่ำงปัญหำในชีวิตประจ�ำวันมำ 5 ปัญหำ แล้วแก้ปัญหำโดยน�ำแนวคิดเชิงค�ำนวณ มำใช้แก้ปัญหำ หำกแก้ปัญหำโดยใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณ แต่ขำดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไป จะส่งผลอย่ำงไร เปรียบเทียบกำรแก้ปัญหำ โดยใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณเกี่ยวกับกำรเดินทำงจำกบ้ำนไป โรงเรียน โดยรถยนต์ส่วนตัว รถประจ�ำทำง และกำรเดินว่ำ วิธีใดท�ำให้ถึงโรงเรียนได้เร็วที่สุด แก้ปัญหำกำรหำผลรวมของเลขจ�ำนวนเต็ม ตั้งแต่ 1 ถึง 20 โดยใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณ 1 2 3 4 5 Unit Question 1 ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ ถูก/ผิด ทบทวนหัวข้อ 1. กำรคัดแยกสำระส�ำคัญเพื่อให้สำมำรถมองเห็นแนวทำง กำรแก้ปัญหำได้ชัดเจนมำกขึ้น คือ แนวคิดเชิงนำมธรรม 1 2. กำรค้นหำสินค้ำในซูเปอร์มำร์เก็ตสำมำรถน�ำแนวคิด เชิงค�ำนวณมำประยุกต์ใช้ได้ 1 3. แนวคิดเชิงค�ำนวณช่วยให้จดจ�ำข้อมูลได้เป็นจ�ำนวนมำก 1 4. แนวกำรคิดแยกย่อย คือ กำรแตกปัญหำใหญ่ออกเป็นปัญหำย่อย 1 5. กำรแก้ปัญหำโดยใช้แนวคิดเชิงค�ำนวณช่วยท�ำให้ประหยัดเวลำ ในกำรแก้ปัญหำ 2 Self Check บั น ทึ ก ล ง ใ น ส มุ ด 15 แนวตอบ Self Check 1. ถูก 2. ถูก 3. ถูก 4. ผิด 5. ถูก เฉลย Unit Question 1. เพราะแนวคิดเชิงคํานวณชวยใหวิเคราะหปญหาไดงาย ทําใหไดทางเลือกในการแกปญหาที่มีประสิทธิภาพ เชน ทําใหใชเวลาในการเดินทางสั้นลง ทําให สามารถบรรทุกสินคาไดจํานวนมากขึ้นโดยไมมีคาใชจายเพิ่มเติม 2. 1) การพับเสื้อผาใสกระเปาเดินทาง โดยใชวิธีพับผาที่ทําใหมีขนาดและรูปรางที่สามารถบรรจุลงในกระเปาเดินทางไดมากที่สุด 2) การจัดหองเก็บของ โดยแบงของเปนหมวดหมูเพื่อใหคนหาไดงาย 3) การวางแผนการเลนเครื่องเลนในสวนสนุกใหไดมากที่สุดในเวลาที่จํากัด 4) การวางแผนไปเที่ยวตางประเทศโดยการลาพักรอนใหติดกับชวงวันหยุดยาว 5) การทํานายคาเงินเพื่อซื้อเก็งกําไร 3. สามารถแกปญหางายๆ ที่ไมซับซอนได แตสําหรับการแกปญหาที่มีความซับซอน การใชครบทุกองคประกอบจะชวยใหเกิดประสิทธิภาพไดมากกวา 4. นักเรียนตอบตามประสบการณของตนเอง 5. แนวคิดการแยกยอย ซึ่งจะเปลี่ยนวิธีการนับผลรวมจาก 1 + 2 + 3 + … + 20 เปนการนําจํานวน 1-20 มาจับคูจํานวนสูงสุดและตํ่าสุดบวกกันทีละคู จะได (20 + 1) + (19 + 2) + … + (11 + 10) จะไดผลรวมเทากับ 21 ทุกคู จากนั้นใชแนวคิดการหารูปแบบนับผลรวมที่ไดมาทั้งหมด 10 จํานวน และ แนวคิดเชิงนามธรรม หาผลรวมดวยการคูณจะได 21 × 10 = คําตอบ ไดความคิดรวบยอดเปนสูตรคํานวณ คือ ผลบวกของจํานวนเต็มตั้งแต a ถึง b = (ผลบวกของจํานวนสูงสุดและตํ่าสุด 1 คู × จํานวนของคูผลบวกทั้งหมด) แนวคิดการออกแบบขั้นตอนวิธี ลงมือหาคือตอบ (20 + 1) × 10 = 210 นํา สอน สรุป ประเมิน T17
Chapter Overview แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 การออกแบบ ขั้นตอน การท�างานของ โปรแกรม 2 ชั่วโมง - แบบทดสอบก่อนเรียน - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง การออกแบบ ขั้นตอนการท�างานโดยใช้ ภาษาธรรมชาติ - ใบงาน เรื่อง การออกแบบ ขั้นตอนการท�างานโดยใช้ รหัสจ�าลอง - ใบงาน เรื่อง การออกแบบ ขั้นตอนการท�างานโดยใช้ ผังงาน 1. อธิบายความหมายของ การออกแบบขั้นตอน การท�างานแต่ละแบบ ได้ถูกต้อง (K) 2. ออกแบบขั้นตอนการท�างาน โดยใช้ภาษาธรรมชาติได้ ถูกต้อง (P) 3. ออกแบบขั้นตอนการท�างาน โดยใช้รหัสจ�าลองได้ถูกต้อง (P) 4. ออกแบบขั้นตอนการท�างาน โดยใช้ผังงานได้ถูกต้อง (P) 5. ใฝ่เรียนรู้ในการศึกษาและ น�าไปใช้ในชีวิตประจ�าวันได้ (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ประเมินการน�าเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�างานกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการท�างาน ร่วมกัน - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน แผนฯ ที่ 2 ตัวแปรใน ภาษาไพทอน 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง ตัวแปร ในภาษาไพทอน 1. อธิบายความหมายของ ตัวแปรได้ถูกต้อง (K) 2. สามารถตั้งชื่อตัวแปร ตามกฎการตั้งชื่อได้ ถูกต้อง (P) 3. เห็นถึงประโยชน์และ ความส�าคัญของการเขียน โปรแกรมโดยใช้ภาษา ไพทอน (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน แผนฯ ที่ 3 รหัสควบคุม รหัสรูปแบบ ข้อมูล และ ตัวด�าเนินการ ในภาษาไพทอน 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง รหัสควบคุม และรหัสรูปแบบข้อมูล - ใบงาน เรื่อง ตัวด�าเนินการ 1. อธิบายความหมายของรหัส ควบคุมและรหัสรูปแบบ ข้อมูลได้ถูกต้อง (K) 2. อธิบายหน้าที่การท�างาน ของตัวด�าเนินการแต่ละ ประเภทได้ถูกต้อง (K) 3. เขียนโปรแกรมโดยใช้รหัส ควบคุมและรหัสรูปแบบ ข้อมูลได้ถูกต้อง (P) 4. ใช้ตัวด�าเนินการประเภท ต่าง ๆ มาช่วยในการค�านวณ ได้ (P) 5. เห็นถึงประโยชน์และ ความส�าคัญของการเขียน โปรแกรมโดยใช้ภาษา ไพทอน (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - ประเมินการน�าเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�างานกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการท�างาน ร่วมกัน - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน แผนฯ ที่ 4 การเขียน โปรแกรมด้วย ภาษาไพทอน 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง การเขียน โปรแกรมด้วยภาษา ไพทอน 1. อธิบายขั้นตอนในการเขียน โปรแกรมได้ถูกต้อง (K) 2. เขียนโปรแกรมโดยใช้ภาษา ไพทอนได้ถูกต้อง (P) 3. เห็นถึงประโยชน์และ ความส�าคัญของการเขียน โปรแกรมโดยใช้ภาษา ไพทอน (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการแก้ปัญหา - ทักษะการสังเกต - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน T18
แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 5 การใช้งาน ฟังก์ชันใน โปรแกรมไพทอน 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�ำนวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง การใช้งาน ฟังก์ชันค�ำสั่งแสดงผล ทางหน้าจอ - ใบงาน เรื่อง การใช้รหัส รูปแบบข้อมูลร่วมกับ ฟังก์ชัน print( ) - ใบงาน เรื่อง การใช้งาน ฟังก์ชันค�ำสั่งรับข้อมูล ทางแป้นพิมพ์ 1. อธิบายการท�ำงานของ ฟังก์ชันค�ำสั่งแสดงผล ทางหน้าจอได้ถูกต้อง (K) 2. อธิบายการท�ำงานของ ฟังก์ชันค�ำสั่งรับข้อมูล ทางแป้นพิมพ์ได้ถูกต้อง (K) 3. เขียนโปรแกรมโดยใช้ ฟังก์ชันค�ำสั่งแสดงผล ทางหน้าจอได้ถูกต้อง (P) 4. เขียนโปรแกรมโดยใช้ ฟังก์ชันค�ำสั่งรับข้อมูล ทางแป้นพิมพ์ได้ถูกต้อง (P) 5. เห็นถึงประโยชน์และ ความส�ำคัญของการเขียน โปรแกรมโดยใช้ภาษา ไพทอน (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - ประเมินการน�ำเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 6 โครงสร้าง การท�ำงาน แบบเรียงล�ำดับ 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�ำนวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง การเขียน โปรแกรมการท�ำงาน แบบเรียงล�ำดับ 1. อธิบายโครงสร้างการท�ำงาน แบบเรียงล�ำดับได้ถูกต้อง (K) 2. เขียนโปรแกรมการท�ำงาน แบบเรียงล�ำดับได้ถูกต้อง (P) 3. เห็นถึงประโยชน์และ ความส�ำคัญของการเขียน โปรแกรมโดยใช้ภาษา ไพทอน (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 7 โครงสร้าง การท�ำงาน แบบเลือกท�ำ 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�ำนวณ) ม.2 - แบบฝึกหัด รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�ำนวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง การท�ำงาน แบบ Single Selection - ใบงาน เรื่อง การท�ำงาน แบบ Double Selection - ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายโครงสร้างการท�ำงาน แบบเลือกท�ำได้ถูกต้อง (K) 2. เขียนโปรแกรมการท�ำงาน แบบเลือกท�ำได้ถูกต้อง (P) 3. เห็นถึงประโยชน์และ ความส�ำคัญของการเขียน โปรแกรมโดยใช้ภาษา ไพทอน (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - ตรวจชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - ประเมินการน�ำเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน T19
Chapter Concept Overview การออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม การออกแบบขั้นตอนการท�างานของโปรแกรม เปนการออกแบบขั้นตอนการท�างานของโปรแกรมก่อนที่จะเขียนจริง โดยแบ่งออกเปน 3 ลักษณะ ได้แก่ 1. การใช้ภาษาธรรมชาติ เปนการอธิบายขั้นตอนการท�างานของโปรแกรม โดยใช้ภาษามนุษย์ที่เข้าใจง่าย 2. การใช้รหัสจ�าลอง เปนรูปแบบของภาษาที่มีโครงสร้างชัดเจนและกระชับ สามารถแปลงเปนภาษาคอมพิวเตอร์ได้ง่าย 3. การใช้ผังงาน เปนการใช้แผนภาพสัญลักษณ์เพื่อแสดงล�าดับขั้นตอนการท�างานของโปรแกรม การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาไพทอน (Python) ตัวด�าเนินการที่ใช้ในการเขียนภาษาไพทอน แบ่งออกเปน 4 ประเภท ได้แก่ 1. ตัวแปรในภาษาไพทอน คือ สัญลักษณ์ เครื่องหมาย และตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ผู้เขียนโปรแกรมตั้งชื่อขึ้นมาเอง เพื่อใช้เก็บข้อมูล ต่าง ๆ ในชุดค�าสั่งภาษาโปรแกรมหรือโค้ดโปรแกรม ท�าหน้าที่เสมือนภาชนะเก็บข้อมูลตามที่ถูกก�าหนดขึ้นภายในโปรแกรม หรือจากการ รับค่าเข้ามาจากภายนอก 2. รหัสควบคุมและรหัสรูปแบบข้อมูล รหัสควบคุม คือ รหัสพิเศษที่แทรกไว้ในข้อความตัวอักษร เพื่อใช้ควบคุมการแสดงผลของ ตัวอักษรออกมาทางจอภาพในลักษณะต่าง ๆ รหัสรูปแบบข้อมูล คือ รหัสที่ใช้แทนชนิดของข้อมูล โดยใช้ร่วมกับค�าสั่งการแสดงผลและค�าสั่ง รับข้อมูล 3. ตัวด�าเนินการ เปนเครื่องหมายหรืออักขระที่ใช้ส�าหรับค�านวณหรือประมวลผลต่าง ๆ โดยในภาษาไพทอนมีตัวด�าเนินการหลายชนิด ได้แก่ ตัวด�าเนินการทางคณิตศาสตร์ ตัวด�าเนินการส�าหรับก�าหนดค่า ตัวด�าเนินการเปรียบเทียบ และตัวด�าเนินการตรรกะ 4. ล�าดับการประมวลผลของตัวด�าเนินการ ในนิพจน์ที่เขียนขึ้นภายในโปรแกรมอาจจะมีตัวด�าเนินการได้หลายประเภท โดยตัวด�าเนิน การแต่ละตัวจะมีล�าดับการท�างานก่อนหลัง โปรแกรมภาษาไพทอนจะท�าการประมวลผลนิพจน์ตามล�าดับความส�าคัญของตัวด�าเนินการ เนื่องจากโปรแกรมที่ใช้ในการเขียนภาษาไพทอนมีหลายโปรแกรมให้เลือกใช้ แต่ละโปรแกรม ซึ่งจะมีการใช้งานฟังก์ชันโปรแกรม ภาษาไพทอนเหมือนกัน และมีฟังก์ชันพื้นฐานที่ส�าคัญ ได้แก่ ฟังก์ชัน print( ) ส�าหรับแสดงผลทางหน้าจอและฟังก์ชัน input( ) ส�าหรับ รับข้อมูลทางแป้นพิมพ์ การเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานตามโครงสร้างของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 1. โครงสร้างการท�างานแบบเรียงล�าดับ (Sequence Structure) ท�างานเปนเส้นตรงไม่มีการข้าม ย้อนกลับ วนซ�้าขั้นตอน หรือการ ตัดสินใจใด ๆ เกิดขึ้นในระหว่างการท�างานจนจบกระบวนการ 2. โครงสร้างการท�างานแบบเลือกท�า (Selection Structure) มีกระบวนการท�างานที่จะต้องมีการพิสูจน์เงื่อนไขและตัดสินใจ แบ่งออก เปน 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) แบบ Single Selection ต้องมีการพิสูจน์เงื่อนไข 1 ครั้ง ถ้าเปนจริง ให้ท�างานตามค�าสั่งภายใต้เงื่อนไขที่เปนจริง ถ้าเปนเท็จ จะไม่ท�างานใด ๆ การเขียนผังงาน เงื่อนไข False คําสั่ง True คําสั่งภาษาไพทอน if เงื่อนไข : ค�าสั่งการท�างาน ค�าสั่งการท�างาน ……. ……. T20
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 2) แบบ Double Selection ต้องมีการพิสูจน์เงื่อนไข 1 ครั้ง ถ้าเปนจริง ให้ท�างานตามค�าสั่งภายใต้เงื่อนไขที่เปนจริง ถ้าเปนเท็จ ให้ท�างานตามค�าสั่งภายใต้เงื่อนไขที่เปนเท็จแทน 3) แบบ Multi Selection มีการพิสูจน์เงื่อนไขหลายเงื่อนไข ถ้าเปนจริง ให้ท�างานตามค�าสั่งในล�าดับถัดไป และไม่ต้องพิสูจน์ เงื่อนไขถัดไป ถ้าเปนเท็จ ให้พิสูจน์เงื่อนไขถัดไปแทน คําสั่งภาษาไพทอน if เงื่อนไข : ค�าสั่งการท�างาน ค�าสั่งการท�างาน ……. ……. else : ค�าสั่งการท�างาน ค�าสั่งการท�างาน ……. ……. การเขียนผังงาน เงื่อนไข คําสั่ง คําสั่ง คําสั่ง False True เงื่อนไข 1 เงื่อนไข 2 เงื่อนไข 3 เงื่อนไข N คําสั่ง คําสั่ง คําสั่ง คําสั่ง คําสั่ง False False False False True True True True การเขียนผังงาน คําสั่งภาษาไพทอน if เงื่อนไขที่ 1 : ค�าสั่งการท�างาน 1 ……. elif เงื่อนไขที่ 2 : ค�าสั่งการท�างาน 2 ……. elif เงื่อนไขที่ 3 : ค�าสั่งการท�างาน 3 ……. elif เงื่อนไขที่ N : ค�าสั่งการท�างาน N ……. else : ค�าสั่งการท�างาน M ……. T21
หนวยการเรียนรูที่ ตัวชี้วัด ว 4.2 ม.2/2 ออกแบบและเขียนโปรแกรมที่ใช้ตรรกะและฟังก์ชันในกำรแก้ปัญหำ การออกแบบขั้นตอน การทํางาน และการเขียน โปรแกรมดวยภาษา Python กอนการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร ผูเขียนจะตอง ออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม และศึกษา รายละเอียดการเขียนใหเขาใจกอนเสมอ เพื่อใหไดโปรแกรม ตามวัตถุประสงคที่ตั้งไว 2 กิจกรรม ทาทาย ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. นักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียนหนวย การเรียนรูที่ 2 เรื่อง การออกแบบขั้นตอน การทํางาน และการเขียนโปรแกรมดวยภาษา Python เพื่อวัดความรูเดิมของนักเรียนกอน เขาสูกิจกรรม เกร็ดแนะครู การจัดการเรียนการสอนในหนวยที่ 2 ครูผูสอนควรทบทวนพื้นความรูเดิม ที่จําเปนของนักเรียน เชน การเขียนภาษาธรรมชาติ รหัสจําลอง ผังงาน แลว จัดกิจกรรมที่เนนความเขาใจเกี่ยวกับการออกแบบขั้นตอนการทํางานและ การเขียนโปรแกรมดวยภาษาไพทอนหรือโปรแกรมภาษาที่ครูเลือกใชในการสอน จากนั้นฝกฝนความถูกตองในการเขียนโปรแกรม เพื่อใหนักเรียนสามารถเขาใจ กระบวนการทํางานของชุดคําสั่งในแตละบรรทัดไดอยางถูกตองและสามารถ คนหาขอผิดพลาดเพื่อแกไขไดอยางรวดเร็ว โดยครูอาจจะตองเตรียมตัวอยาง ชุดคําสั่ง มาอธิบายหลายๆ ตัวอยาง เพื่อใหนักเรียนไดฝกฝนทักษะการวิเคราะห อีกทั้งตรวจสอบการพัฒนาความรู ความเขาใจในการเขียนโปรแกรมไดมากยิ่งขึ้น ใหนักเรียนแบงเปน 3 กลุม จากนั้นแตละกลุมสงตัวแทน จับสลากเลือกหัวขอที่ครูกําหนดให เมื่อนักเรียนแตละกลุมทราบ หัวขอที่ไดรับแลว ครูจะใหโจทยปญหางายๆ เชน การหาพื้นที่ วงกลม สําหรับใหแตละกลุมออกแบบอัลกอริทึมตามลักษณะที่ จับสลากได โดยใหเวลาประมาณ 5 นาที สําหรับเขียน อัลกอริทึม แลวออกมานําเสนอ โดยสลากที่ครูกําหนดใหกับ นักเรียน มีดังนี้ 1. ผังงาน 2. รหัสจําลอง 3. ภาษาธรรมชาติ นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T22
1 การออกแบบขั้นตอนการ ท�างานของโปรแกรม การออกแบบขั้นตอนการท�างานของโปรแกรม หรือการออกแบบอัลกอริทึม เป็นกำรออกแบบล�ำดับ ขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม สำมำรถแบ่งออกได้ 3 ลักษณะ คือ กำรใช้ภำษำธรรมชำติ กำรใช้รหัสจ�ำลอง และกำรใช้ผังงำน นักเรียนคิดวาการออกแบบ ขั้นตอนการทํางานของ โปรแกรมมีความสําคัญ อยางไรตอการเขียน โปรแกรมคอมพิวเตอร การออกแบบขั้นตอนการท�างานของโปรแกรม สถานการณ์ : ถ้ำนักเรียนต้องกำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรมค�ำนวณพื้นที่ รูปสี่เหลี่ยม โดยให้แสดงผลลัพธ์ที่ได้จำกกำรค�ำนวณทำงหน้ำจอ นักเรียน สำมำรถออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรมได้ ดังนี้ 1. การออกแบบขั้นตอนการท�างานโดยใช้ภาษาธรรมชาติ (NaturalLanguage) เป็นกำร บรรยำยขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรมใด ๆ โดยใช้ภำษำมนุษย์ที่เข้ำใจง่ำย เพื่ออธิบำย ล�ำดับขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรมตำมล�ำดับกำรท�ำงำนก่อนหลัง ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มกำรท�ำงำน 2 น�ำเข้ำข้อมูลควำมกว้ำงของรูปสี่เหลี่ยม 3 น�ำเข้ำข้อมูลควำมยำวของรูปสี่เหลี่ยม 4 ค�ำนวณพื้นที่รูปสี่เหลี่ยม = ควำมกว้ำง × ควำมยำว 5 แสดงผลพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยม 6 จบกำรท�ำงำน ตัวอย่าง 17 แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวข้อ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของตนเอง โดย คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน เชน ชวยให มองเห็นลําดับขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม ทั้งหมด ชวยลดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจาก การเขียนโปรแกรมได ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน เพื่อคนหา ลักษณะการออกแบบขั้นตอนการทํางานของ โปรแกรมจากอินเทอรเน็ต 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอเกี่ยวกับ ลักษณะการออกแบบขั้นตอนการทํางานของ โปรแกรม พรอมอภิปรายรวมกันในชั้นเรียน 3. นักเรียนศึกษาและสังเกตการออกแบบขั้นตอน การทํางานของโปรแกรมทั้ง 3 ลักษณะ จาก หนังสือเรียน หนา 17-19 อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเกี่ยวกับการใชภาษาธรรมชาติวา ภาษาธรรมชาติเปนการบรรยายลําดับขั้นตอน การทํางานของโปรแกรมโดยใชภาษามนุษย ที่เขาใจงาย ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 2. ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอวา นักเรียน คิดวา การออกแบบขั้นตอนการทํางานของ โปรแกรมมีความสําคัญอยางไรตอการเขียน โปรแกรมคอมพิวเตอร ความรูเสริม การเริ่มเรียนขั้นตอนการออกแบบการทํางานของโปรแกรมดวยภาษาธรรมชาติ เปนการเริ่มตนที่งายที่สุดตอการทําความเขาใจใน 3 ลักษณะ และเปนพื้นฐานที่ดี ในการเรียนอีก 2 ลักษณะที่เหลือ โดยอาศัยการนําภาษาธรรมชาติมาเรียบเรียง ความคิด เพื่อเขียนเปนรหัสจําลองหรือผังงานใหเกิดความชํานาญจนผูเรียน สามารถเขียนรหัสเทียม หรือผังงานโดยไมตองเรียบเรียงเขียนเปนภาษา ธรรมชาติกอนได กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนเขียนภาษาธรรมชาติจากโจทยที่ครูกําหนดให จํานวน 2-3 ขอ แลวใหจับคูแลกกันดูผลงานประมาณ 5 นาที จากนั้นครูสุมถามนักเรียน 2-3 คนวา ภาษาธรรมชาติที่ตนเขียน ในแตละขอนั้นเหมือนหรือตางจากของเพื่อนอยางไร และมีจุดที่ ตองแกไขหรือไม อยางไร นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T23
ขอสอบเนนการคิด 2. การออกแบบขั้นตอนการท�างานโดยใช้รหัสจ�าลอง (Pseudo Code) เป็นรูปแบบ ภำษำที่มีโครงสร้ำงที่ชัดเจนและกระชับ เพื่อใช้อธิบำยขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ใด ๆ โดยไม่ขึ้นกับภำษำของโปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง และสำมำรถแปลงรหัสจ�ำลองเป็น ภำษำคอมพิวเตอร์ได้ง่ำย รหัสจ�าลอง 1 START 2 INPUT width 3 INPUT length 4 COMPUTE area = width * length 5 OUTPUT area 6 STOP 3. การออกแบบขั้นตอนการท�างานโดยใช้ผังงาน (Flowchart) เป็นกำรใช้แผนภำพ สัญลักษณ์เพื่อแสดงล�ำดับขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้ เพรำะท�ำให้ เห็นภำพในกำรท�ำงำนของโปรแกรมได้ง่ำย และเมื่อมีข้อผิดพลำดสำมำรถตรวจสอบจำก ผังงำนได้ ซึ่งจะท�ำให้กำรแก้ไขหรือปรับปรุงโปรแกรมท�ำได้ง่ำยขึ้น โดยสัญลักษณ์ที่ใช้ ในกำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนโดยใช้ผังงำน มีดังนี้ สัญลักษณ์ ชื่อเรียก ความหมาย เริ่มต้นและสิ้นสุด (Termination) จุดเริ่มต้นและสิ้นสุดกำรท�ำงำนของ โปรแกรม ทิศทำง (Flow Line) ลูกศรแสดงทิศทำงกำรท�ำงำนของ โปรแกรมและกำรไหลของข้อมูล กระบวนกำร (Process) ค�ำสั่งในกำรประมวลผล หรือก�ำหนด ค่ำข้อมูล 18 ระหวางการใชภาษาธรรมชาติ รหัสจําลอง และผังงาน นักเรียน คิดวาการออกแบบขั้นตอนการทํางานลักษณะใดมีความเหมาะสม กับการเขียนโปรแกรมแบบเปนทีม (แนวตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การเขียน ผังงาน เปนการนําสัญลักษณเขามาชวยในการอธิบายขั้นตอน เพื่อใหเห็นภาพการทํางานอยางเปนลําดับ ซึ่งงายตอการที่ทีมงาน จะทําความเขาใจและตรวจสอบรายละเอียด ตามเหตุผลดังกลาว ผังงานจึงเปนวิธีการที่เหมาะสมกับการทํางานเปนทีมมากที่สุด และไดรับความนิยมมาจนถึงปจจุบัน) ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ครูอธิบายเกี่ยวกับการใชรหัสจําลองวา การใช รหัสจําลองเปนรูปแบบภาษาที่มีโครงสราง ที่ชัดเจนและกระชับ เพื่อใชอธิบายขั้นตอน การทํางานของโปรแกรม 3. ครูอธิบายเกี่ยวกับการใชผังงานวา การใช ผังงานเปนการใชแผนภาพสัญลักษณเพื่อ แสดงลําดับขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม 4. ครูยกตัวอยางการออกแบบขั้นตอนการทํางาน โดยใชรหัสจําลองและผังงานตามหนังสือเรียน เพื่ออธิบายขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม โดยใชภาษาคอมพิวเตอร และแผนภาพ สัญลักษณ ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การออกแบบขั้นตอน การทํางานโดยใชภาษาธรรมชาติ เพื่อใหเกิด ความเขาใจขั้นตอนการเขียนภาษาธรรมชาติ จากการลงมือปฏิบัติจริง 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การออกแบบขั้นตอน การทํางานโดยใชรหัสจําลอง เพื่อใหเกิดความ เขาใจขั้นตอนการเขียนรหัสจําลองจากการ ลงมือปฏิบัติจริง 3. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การออกแบบขั้นตอน การทํางานโดยใชผังงาน เพื่อใหเกิดความเขาใจ ขั้นตอนการเขียนผังงานจากการลงมือปฏิบัติ จริง เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหนักเรียนนําปญหาที่เขียนเปนภาษาธรรมชาติไวแลว มาเขียน เปนรหัสจําลองและผังงาน เพื่อความตอเนื่องที่ดี โดยใหโจทย 1 ขอ ฝกเขียนทั้ง 3 ลักษณะ เพื่อใหผูเรียนไดเปรียบเทียบ ขอดี-ขอเสียและความแตกตางของแตละลักษณะในโจทยขอเดียวกัน แลวให นักเรียนอภิปรายแสดงความคิดเห็นเปรียบเทียบคุณสมบัติของการออกแบบ ขั้นตอนการทํางานแตละลักษณะ นํา สอน สรุป ประเมิน T24
ดังนั้น เมื่อน�ำสัญลักษณ์มำเขียนผังงำนแสดงขั้นตอนกำรท�ำงำนจะได้ ดังรูป สัญลักษณ์ ชื่อเรียก ความหมาย รับข้อมูล (Manual Input) กำรน�ำเข้ำข้อมูลด้วยกำรรับค่ำทำง แป้นพิมพ์ กำรแสดงผล (Display) กำรแสดงผลทำงจอภำพ กำรตัดสินใจ (Decision) กำรตรวจสอบเงื่อนไขเพื่อตัดสินใจ ว่ำเป็นจริง (True) หรือเท็จ (False) จุดเชื่อมต่อ (Connector) จุดเชื่อมต่อของผังงำนภำยใน START STOP width length area = width * length area ผังงาน 19 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานกลุ่ม ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ ชื่อ–สกุล ของนักเรียน การแสดง ความคิดเห็น การยอมรับ ฟังคนอื่น การท างาน ตามที่ได้รับ มอบหมาย ความมีน้ าใจ การมี ส่วนร่วมใน การปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 15 คะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............./.................../............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม การนําเสนอหนาชั้นเรียน การทํา กิจกรรมกลุมดวยความตั้งใจ และการทําใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับการ ออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรมวา การออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม เปนการออกแบบลําดับขั้นตอนกอนนําไปเขียน โปรแกรมจริง สงผลใหการเขียนโปรแกรมทําได งายขึ้นและเกิดขอผิดพลาดนอย เนื่องจาก เปนการเขียนอยางเปนลําดับขั้นตอนการ ทํางานตามโปรแกรมการทํางานกอน-หลัง กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนชวยกันวิเคราะหตัวอยางผังงานเปลา (ไมมีการเขียน ขอมูล) ที่ครูเตรียมไวใหประมาณ 10 ตัวอยาง แลวใหนักเรียน แยกกลุมเปนผังงานที่เขียนลําดับไดถูกและผิด ในผังงานที่ผิด ใหนักเรียนใหเหตุผลประกอบดวยวาจุดที่ผิดอยูที่ขั้นตอนใด ในผังงาน เชน ผิด เพราะไมใชสัญลักษณเริ่มตนเปนสัญลักษณ แรกของผังงาน ผิด เพราะใชลูกศรแสดงลําดับขั้นตอนผิดทาง แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล และทํางานกลุมของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก แบบประเมินการนําเสนอผลงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล และแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจแบบทดสอบ กอนเรียน แบบทดสอบ กอนเรียน ประเมินตาม สภาพจริง ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางานกลุม แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ นํา สอน สรุป ประเมิน T25
2 การเขียนโปรแกรมด้วยภาษา ไพทอน (Python) ภำษำไพทอนเป็นภำษำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ เหมำะส�ำหรับผู้เริ่มต้นเขียนโปรแกรมไปจนถึงกำรประยุกต์ ใช้งำนในระดับสูง เนื่องจำกเป็นภำษำที่มีโครงสร้ำงและ ไวยำกรณ์ค่อนข้ำงง่ำย ไม่ซับซ้อน ท�ำให้ง่ำยในกำรท�ำควำมเข้ำใจ 2.1 ตัวด�าเนินการที่ใช้ในการเขียนภาษาไพทอน 1. ตัวแปรในภาษาไพทอน ตัวแปร คือ สัญลักษณ์ในลักษณะค�ำภำษำอังกฤษที่ผู้พัฒนำ โปรแกรมหรือผู้เขียนโปรแกรมตั้งชื่อนั้นขึ้นมำเองเพื่อใช้เก็บข้อมูลต่ำง ๆ ในชุดค�ำสั่งภำษำ โปรแกรมหรือโค้ดโปรแกรม ตัวแปรเปรียบเสมือนภำชนะที่ใช้เก็บข้อมูล โดยข้อมูลเหล่ำนั้นสำมำรถ เปลี่ยนแปลงได้ตำมควำมต้องกำรของผู้เขียน 1) การตั้งชื่อตัวแปร ในกำรใช้โปรแกรมภำษำไพทอน มีกฎกำรตั้งชื่อ ดังนี้ ชื่อตัวแปรจะต้องประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมำย “_” ขีดเส้นใต้ (Underscore) ตัวอักษรตัวแรกของตัวแปรต้องเป็นตัวอักษรภำษำอังกฤษตัวพิมพ์เล็ก หรือตัวอักษร ภำษำอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ หรือเครื่องหมำยขีดล่ำง “_” เท่ำนั้น ชื่อตัวแปรห้ำมมีอักขระพิเศษ เช่น @, #, + ชื่อตัวแปรที่สะกดด้วยตัวอักษรภำษำอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ ถือว่ำเป็นคนละตัวแปรกับ ชื่อตัวแปรที่สะกดด้วยตัวอักษรภำษำอังกฤษตัวพิมพ์เล็ก เช่น Num1 ถือว่ำเป็นคนละ ตัวแปรกับ num1 ตัวอักษรตัวแรกของตัวแปรห้ำมเป็นตัวเลข ห้ำมตั้งชื่อตัวแปรซ�้ำกับค�ำสงวนในภำษำไพทอน เช่น int, str, max, sum, abs ห้ำมมีเว้นวรรค 1 2 3 4 5 6 7 ถาเปรียบคอมพิวเตอร เปนรางกายมนุษย จะเปรียบหนวยประมวล ผลกลางไดกับอวัยวะใด ประวัติความเปนมาของโปรแกรมไพทอน Python 20 กิจกรรม 21st Century Skills ใหนักเรียนแบงเปน 2 กลุม โดยการจับคู ในแตละคูใหคนหนึ่ง อยูกลุม A คนที่เหลืออยูกลุม B แลวลองใหเขียนชื่อตัวแปรที่ถูก และผิดตามกฎการตั้งชื่อมาคนละ 3 ชื่อ จากนั้นสงชื่อใหอีกฝายดู และตรวจสอบวาชื่อใดบางที่ตั้งถูกตามกฎ ชื่อใดบางที่ผิด พรอม ขีดเสนใตตรงจุดที่ผิดและใหเหตุผลประกอบดวย หากเพื่อนทายถูก 1 ชื่อ ทีมของคนที่ทายถูกจะได 1 คะแนน หากเพื่อนทายผิด 1 ชื่อ ทีมของคนที่เขียนชื่อจะได 1 คะแนน เมื่อจบเกมทีมใดไดคะแนน มากที่สุดเปนทีมชนะ ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. ครูถามนักเรียนวา ถานักเรียนตองการเขียน โปรแกรมเพื่อคํานวณหาคาขอมูลตางๆ นักเรียนรูหรือไมวาขอมูลที่เรานํามาใชในการ คํานวณจะถูกเก็บไวที่สวนใดในโปรแกรม (แนวตอบ ขอมูลที่นํามาใชในโปรแกรมนั้นจะ ถูกเก็บไวในตัวแปร) 2. นักเรียนศึกษาขอมูลเกี่ยวกับตัวแปรในภาษา ไพทอนและการตั้งชื่อตัวแปรในภาษาไพทอน จากหนังสือเรียน ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. ครูถามคําถามกระตุนความสนใจของนักเรียน วา จากการออกแบบขั้นตอนการทํางานของ โปรแกรมที่ไดเรียนมาแลว นักเรียนคิดวา สามารถนําไปเขียนในโปรแกรมอะไรไดบาง ที่นักเรียนรูจัก (แนวตอบ นักเรียนตอบตามประสบการณของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ ครูผูสอน เชน โปรแกรม Scratch โปรแกรม ภาษาไพทอน) 2. วาดรูปคอมพิวเตอรลงบนกระดาน และถาม คําถามสําคัญประจําหัวขอกับนักเรียนวา ถา เปรียบคอมพิวเตอรเปนรางกายมนุษย จะ เปรียบหนวยประมวลผลกลางกับอวัยวะใด เกร็ดแนะครู ครูควรนําตัวอยางการตั้งชื่อที่ถูกและผิดหลายๆ ตัวอยางมาใหนักเรียน วิเคราะหตามกฎการตั้งชื่อตัวแปร และใหนักเรียนไดลองฝกเขียนชื่อตัวแปร ทั้งแบบที่ถูกและผิด เพื่อใหเกิดความเขาใจและความคุนเคยเกี่ยวกับคําสงวน ที่มีในโปรแกรม ซึ่งจะเปนประโยชนในการเขียนโปรแกรม แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวข้อ สมอง เพราะทําหนาที่ในการคิดคํานวณและ ตัดสินใจเหมือนกับ CPU นํานํา สอนสอน สรุป ประเมิน T26
ขอสอบเนน การคิด 2) การตั้งชื่อตัวแปรที่ดี หรือชื่ออื่นๆ ในค�ำสั่งโปรแกรมภำษำไพทอน ที่ผู้พัฒนำ โปรแกรมหรือผู้เขียนโปรแกรมตั้งขึ้น สำมำรถแบ่งออกได้ 2 รูปแบบ ดังนี้ (1) Camel Case เป็นรูปแบบกำรตั้งชื่อที่มีกำรใช้ตัวอักษรภำษำอังกฤษทั้งตัวพิมพ์ เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่สลับกันไป โดยจะก�ำหนดให้ตัวอักษรตัวแรกของค�ำเป็นตัวพิมพ์ใหญ่แล้วตำม ด้วยตัวอักษรที่เหลือของค�ำเป็นตัวพิมพ์เล็ก ท�ำให้ชื่อตัวแปรมีลักษณะสูงต�่ำคล้ำยกับลักษณะของ หลังอูฐ ทั้งนี้ยกเว้นตัวแรกของชื่อที่ตั้ง โดยทั่วไปจะให้ขึ้นต้นด้วยตัวอักษรตัวพิมพ์เล็ก เช่น studentScoreFinal, productPrice, isCheckedValue (2) Snake Case เป็นรูปแบบกำรตั้งชื่อตัวแปรที่แยกค�ำด้วยเครื่องหมำย “_” ท�ำให้ ชื่อตัวแปรมีลักษณะคล้ำยล�ำตัวงูที่ก�ำลังเลื้อยไปมำ เช่น student_score_final, product_price, is_checked_value 3) การสร้างและก�าหนดค่าให้กับตัวแปร ภำษำไพทอนเป็นภำษำประเภท Dynamicallytyped Language หมำยถึง ภำษำที่มีกำรสร้ำงตัวแปร โดยไม่ต้องมีกำรก�ำหนดชนิดของตัวแปร แต่ชนิดของตัวแปรจะถูกก�ำหนดด้วยข้อมูลที่เก็บไว้ในตัวแปรโดยอัตโนมัติ ซึ่งรูปแบบกำรสร้ำง และก�ำหนดค่ำตัวแปร สำมำรถท�ำได้ ดังนี้ ชื่อตัวแปร = ค่าที่เก็บไว้ในตัวแปร หรือนิพจน์ หรือตัวแปรอื่น ๆ การสร้างและก�าหนดค่าให้กับตัวแปร number = 10 หมำยถึง ตัวแปร number เก็บค่ำ 10 score = 90.59 หมำยถึง ตัวแปร score เก็บค่ำ 90.59 productPrice = 20 หมำยถึง ตัวแปร productPrice เก็บค่ำ 20 mylastname = “ใจดี” หมำยถึง ตัวแปร mylastname เก็บค่ำ ใจดี school = “อักษรวิทยำ” หมำยถึง ตัวแปร school เก็บค่ำ อักษรวิทยำ myName = “สมชำย” หมำยถึง ตัวแปร myName เก็บค่ำ สมชำย ตัวอย่าง 21 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ในทางคณิตศาสตรการแกสมการไดคําตอบเปน x = 5 หรือ 5 = x มีความหมายเหมือนกัน คือ คําตอบของตัวแปร x มีคา เทากับ 5 ในการเขียนโปรแกรมสามารถกําหนดคาตัวแปรเหมือน กับทางคณิตศาสตรทั้ง 2 แบบ ไดหรือไม และมีความหมายเหมือน กันหรือตางกัน อยางไร (วิเคราะหคําตอบ ตามหลักการเก็บคาคงที่ไวในตัวแปรของ การเขียนโปรแกรมทั่วไป x = 5 จะหมายความวา เปนการเก็บคา 5 ไวในตัวแปร x สวน 5 = x จะกลายเปนเก็บคา x ไวในตัวแปร 5 ซึ่งผิดกฎการตั้งชื่อตัวแปร เพราะอักษรแรกของการตั้งชื่อตัวแปร ในภาษาไพทอนจะตองเปนภาษาอังกฤษตัวพิมพเล็กหรือใหญ หรือ เครื่องหมายขีดลางอยางใดอยางหนึ่งเทานั้น จึงไมสามารถเขียนชุด คําสั่งในการกําหนดคาตัวแปรในลักษณะดังกลาวได) ขั้นสอน อธิบายความรู ครูอธิบายถึงการตั้งชื่อตัวแปรที่ดีในโปรแกรม ภาษาไพทอน ลักษณะพื้นฐานของโปรแกรมภาษา ไพทอน และชนิดขอมูลของตัวแปรในภาษาไพทอน ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม และการทําใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใชงาน ตัวแปรในโปรแกรมภาษาไพทอนวา ตัวแปร คือ สัญลักษณในลักษณะคําภาษาอังกฤษที่ ตั้งขึ้น เพื่อใชในการเก็บขอมูลตางๆ ตามความ ตองการของผูเขียน โดยตั้งชื่อตัวแปรตามกฎ ของโปรแกรมภาษาไพทอน ขยายความเขาใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง ตัวแปรในภาษา ไพทอน โดยใหนักเรียนตอบคําถามที่กําหนด ใหโดยละเอียด แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลของนักเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ นํา สอน สรุป ประเมิน T27
4) ชนิดข้อมูลของตัวแปร เป็นกำรก�ำหนดประเภทให้กับตัวแปรที่สร้ำงขึ้นมำว่ำ ข้อมูล นั้นมีลักษณะเป็นอย่ำงไร โดยชนิดของข้อมูลที่มักจะใช้งำนบ่อย ได้แก่ ข้อมูลชนิดที่เป็นตัวเลข จ�ำนวนเต็ม จ�ำนวนจริง อักขระ หรือข้อควำม (1) ข้อมูลชนิดที่เป็นตัวเลขจ�ำนวนเต็ม (Integer: int) เป็นกำรก�ำหนดชนิดของ ข้อมูลให้กับตัวแปรที่สร้ำงขึ้นว่ำ ข้อมูลชนิดนั้นเป็นข้อมูลที่เป็นตัวเลขจ�ำนวนเต็ม (2) ข้อมูลชนิดที่เป็นจ�ำนวนจริง (Float) เป็นกำรก�ำหนดชนิดของข้อมูลให้กับ ตัวแปรที่สร้ำงขึ้นว่ำ ข้อมูลชนิดนั้นเป็นข้อมูลที่เป็นจ�ำนวนจริง (3) ข้อมูลชนิดที่เป็นอักขระหรือข้อควำม (String: str) เป็นกำรก�ำหนดชนิดของ ข้อมูลให้กับตัวแปรที่สร้ำงขึ้นว่ำ ข้อมูลชนิดนั้นเป็นข้อมูลที่เป็นอักขระหรือข้อควำมต่ำง ๆ เช่น ข้อมูลที่เป็นชื่อคน ชื่อสถำนที่ 2. รหัสควบคุมและรหัสรูปแบบข้อมูล 1) รหัสควบคุม (Escape Sequence) คือ รหัสพิเศษที่แทรกไว้ในข้อควำมตัวอักษร เพื่อ ใช้ควบคุมกำรแสดงผลของตัวอักษรออกมำทำงจอภำพในลักษณะต่ำง ๆ ซึ่งกำรใช้งำนรหัสควบคุม นั้นจะต้องมีเครื่องหมำย \ (Back-Slash) น�ำหน้ำเสมอ ซึ่งรหัสควบคุม มีดังนี้ รหัสควบคุม ความหมาย \a เสียงดังออกล�ำโพง 1 ครั้ง \b เลื่อน cursor ไปลบตัวอักษรทำงซ้ำยมือ 1 ตัวอักษร \f ขึ้นหน้ำใหม่ \n ขึ้นบรรทัดใหม่ \r เลื่อน cursor ไปทำงซ้ำยมือสุดของบรรทัด \t ตั้ง tab ในแนวนอน \v ตั้ง tab ในแนวตั้ง \\ เครื่องหมำย \ \′ เครื่องหมำย ′ \″ เครื่องหมำย ″ 22 ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน เพื่อสืบคน และศึกษาเรียนรูเกี่ยวกับการใชรหัสควบคุม การแสดงผลตัวอักษรทางจอภาพของโปรแกรม ภาษาไพทอนจากหนังสือเรียนหรือสืบคน เพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ต ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. ครูทบทวนความรูเดิมจากชั่วโมงที่แลวเกี่ยวกับ ตัวแปรภาษาไพทอนและกฎการตั้งชื่อตัวแปร 2. ครูถามคําถามกระตุนความสนใจของนักเรียน วา นักเรียนรูหรือไมวา ถาเราตองการควบคุม การแสดงผลตัวอักษรทางจอภาพในลักษณะ ตางๆ จะตองทําอยางไร (แนวตอบ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ ครูผูสอน เชน ใชคําสั่งตางๆ เพื่อควบคุมให คอมพิวเตอรทํางาน) เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหนักเรียนไดทดสอบการกําหนดคาตัวแปรและตรวจสอบ ความถูกตองผานโปรแกรมสําหรับเขียนภาษาไพทอน เพื่อใหนักเรียนไดทดลองใช โปรแกรม กอนจะเรียนรูการใชงานพื้นฐานของโปรแกรมในเนื้อหาถัดไป ครูอาจจะ ยกตัวอยางการใชรหัสควบคุมใหนักเรียนดู เชน รหัสควบคุม \” ใชในกรณีที่ ตองการพิมพตัวอักขระ (“) ออกทางหนาจอ ซึ่งถือเปนคําสั่งสงวนอยางหนึ่ง ในโปรแกรม ถาตองการแสดงขอความ this sign is “ ออกทางหนาจอ ตองใสรหัส ควบคุมเพิ่มลงไปในคําสั่งแสดงผลหนาจอเปน “ this sign is \“ ” จึงจะไดผลลัพธ ออกมาทางหนาจอตามที่ตองการ กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนสังเกตความแตกตางของผลลัพธของการแสดงผล จากการใชและไมใชรหัสควบคุมที่ครูสาธิตใหดู แลวจึงสรุปประโยชน ในการนํารหัสควบคุมมาใชงานจริงในการเขียนโปรแกรมสงครู นํานํา สอนสอน สรุป ประเมิน T28
2) รหัสรูปแบบข้อมูล (Format Code) คือ รหัสที่ใช้แทนชนิดข้อมูล ใช้ร่วมกับค�ำสั่ง กำรแสดงผลและค�ำสั่งรับข้อมูล ซึ่งรหัสรูปแบบข้อมูล มีดังนี้ รหัสรูปแบบ ชนิดข้อมูลของตัวแปร ลักษณะการแสดงผลออกทางหน้าจอ %d เลขจ�ำนวนเต็ม (int) ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขจ�ำนวนเต็ม %s ตัวอักษร (str) ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นตัวอักษร หรือ ชุดตัวอักษร %f เลขจ�ำนวนจริง (float) ใช้แสดงข้อมูลที่เป็นเลขจ�ำนวนจริง และทศนิยม ตัวอย่าง 3. ตัวด�าเนินการ (Operator) เป็นเครื่องหมำย หรืออักขระที่ใช้ส�ำหรับค�ำนวณ หรือประมวล ผลต่ำง ๆ โดยในภำษำไพทอนมีตัวด�ำเนินกำรหลำยชนิด ได้แก่ ตัวด�ำเนินกำรทำงคณิตศำสตร์ ตัวด�ำเนินกำรส�ำหรับก�ำหนดค่ำ ตัวด�ำเนินกำรเปรียบเทียบ และตัวด�ำเนินกำรตรรกะ 1) ตัวด�าเนินการทางคณิตศาสตร์คือ ตัวด�ำเนินกำรที่ใช้ส�ำหรับค�ำนวณทำงคณิตศำสตร์ มีดังนี้ ตัวด�าเนินการ ความหมาย ตัวอย่าง + กำรบวกตัวเลข x + y - กำรลบตัวเลข x - y * กำรคูณตัวเลข x * y / กำรหำรตัวเลข x / y % กำรหำรตัวเลข โดยหำรเอำเฉพำะเศษ x % y ** กำรยกก�ำลัง x ** y การใช้ตัวด�าเนินการทางคณิตศาสตร์ 8 + 3 ได้ผลลัพธ์เป็น 11 8 / 3 ได้ผลลัพธ์เป็น 2.6 8 - 3 ได้ผลลัพธ์เป็น 5 8 % 3 ได้ผลลัพธ์เป็น 2 8 * 3 ได้ผลลัพธ์เป็น 24 8 ** 3 ได้ผลลัพธ์เป็น 512 23 เกร็ดแนะครู ในการจัดการเรียนการสอน เรื่อง รหัสรูปแบบขอมูล ครูสามารถใชแนวทาง เดียวกับการสอนรหัสควบคุม คือ ใหนักเรียนเห็นผลลัพธจากตัวอยางการใช งานจริง ไดฝกการใชคําสั่งจนเกิดความเขาใจและความคุนเคย อีกทั้งสามารถ สรุปประโยชนในการนํารหัสรูปแบบขอมูลแตละคําสั่งมาใชงานไดอยางถูกตอง และเหมาะสม กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนสังเกตความแตกตางของผลลัพธของการแสดงผล จากการใชรหัสรูปแบบขอมูลทั้งแบบที่ถูกและผิดที่ครูสาธิตใหดู แลวสรุปหลักการในการนํารหัสรูปแบบขอมูลที่ถูกตองมาใช รวมถึง ประโยชนในการใชรหัสรูปแบบขอมูลในการแสดงผลหนาจอดวย ขั้นสอน สํารวจค้นหา 2. ตัวแทนนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอ เกี่ยวกับรหัสควบคุมการแสดงผลตัวอักษร หนาชั้นเรียน คนละ 1 รหัสควบคุม พรอมบอก ความหมายอยางละเอียด 3. นักเรียนศึกษารหัสรูปแบบขอมูลที่ใชแทนชนิด ของขอมูล จากหนังสือเรียน อธิบายความรู้ 1. ครูเนนยํ้ากับนักเรียน เรื่อง การใชงานรหัส ควบคุม และรหัสรูปแบบที่ใชควบคุมการ แสดงผลตัวอักษรออกทางจอภาพในลักษณะ ตางๆ วา การใชงานรหัสควบคุมจะตองมี เครื่องหมาย \ (Back-Slash) นําหนารหัส ควบคุมนั้นอยูเสมอ 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง รหัสควบคุมและรหัส รูปแบบขอมูล 3. ครูถามคําถามกระตุนความสนใจของนักเรียน วา นักเรียนรูจักตัวดําเนินการที่ใชในการเขียน โปรแกรมภาษาไพทอนหรือไม (แนวตอบ คําตอบของนักเรียนขึ้นอยูกับ ประสบการณของนักเรียนแตละคน) 4. นักเรียนและครูรวมกันอภิปรายเพิ่มเติม เกี่ยวกับตัวดําเนินการที่ใชสําหรับคํานวณหรือ ประมวลผลตางๆ ในภาษาไพทอนจากหนังสือ เรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ต 5. นักเรียนแตละกลุมรวมกันอภิปรายแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวดําเนินการทางคณิตศาสตรที่ใชสําหรับคํานวณทางคณิตศาสตร ประกอบดวยเครื่องหมาย +, -,*, /, %, ** เชน 5 * 2, 9/3, 6-4 นํา สอน สรุป ประเมิน T29
ตัวอย่าง 2) ตัวด�าเนินการส�าหรับก�าหนดค่า ในภำษำไพทอน จะใช้เครื่องหมำยเท่ำกับ ( = ) ใน กำรก�ำหนดค่ำของค�ำสั่ง โดยเครื่องหมำยเท่ำกับที่ใช้ในโปรแกรมภำษำไพทอนนั้น ไม่ใช่เครื่องหมำย เท่ำกับที่ใช้กันในวิชำคณิตศำสตร์ เป็นเพียงแค่กำรก�ำหนดค่ำเท่ำนั้น โดยจะเป็นกำรน�ำค่ำหรือ ผลลัพธ์ที่ได้จำกกำรประมวลผลของสิ่งที่อยู่ทำงขวำของเครื่องหมำยเท่ำกับ ไปก�ำหนดให้กับสิ่งที่ อยู่ทำงฝั่งซ้ำยของเครื่องหมำย ตัวด�าเนินการ ความหมาย ตัวอย่าง = = เท่ำกับ x = = y != ไม่เท่ำกับ x != y > มำกกว่ำ x > y < น้อยกว่ำ x < y > = มำกกว่ำหรือเท่ำกับ x > = y < = น้อยกว่ำหรือเท่ำกับ x < = y การใช้ตัวด�าเนินการเปรียบเทียบ 23 > 5 ผลลัพธ์เป็น จริง (True) 3.34 < 42 ผลลัพธ์เป็น จริง (True) 45.2 > = 124.8 ผลลัพธ์เป็น เท็จ (False) 32.2 < = 32.2 ผลลัพธ์เป็น จริง (True) 0.32 = = 0.31 ผลลัพธ์เป็น เท็จ (False) 7 != 15 ผลลัพธ์เป็น จริง (True) 3) ตัวด�าเนินการเปรียบเทียบคือ ตัวด�ำเนินกำรส�ำหรับเปรียบเทียบค่ำ ซึ่งผลลัพธ์กำร เปรียบเทียบจะได้ค่ำเป็นจริง (True) หรือเท็จ (False) เท่ำนั้น ตัวด�ำเนินกำรเปรียบเทียบ มีดังนี้ ตัวอย่าง การใช้ตัวด�าเนินการส�าหรับก�าหนดค่า ก�ำหนดให้ MyNumber = 10 เป็นกำรน�ำค่ำ 10 ไปก�ำหนดให้กับ MyNumber ดังนั้น เมื่อใดที่มีกำรน�ำ MyNumber ไปใช้งำนก็จะได้ค่ำ 10 เช่น เมื่อสั่งให้แสดงผล MyNumber จะแสดงผลเป็น 10 24 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 6. ครูอธิบายกับนักเรียนเกี่ยวกับตัวดําเนินการ สําหรับกําหนดคาวา ในภาษาไพทอน ใช เครื่องหมายเทากับ (=) ตัวอยาง x = 2, ab = 9/3, 18 = t - 4, score = 25 7. จากนั้นครูอธิบายเกี่ยวกับตัวดําเนินการเปรียบ เทียบใหนักเรียนฟงวา ใชสําหรับเปรียบเทียบ คาที่มีผลลัพธเปนจริงหรือเท็จ เทานั้น เชน > (มากกวา) < (นอยกวา) != (ไมเทากับ) ตัวอยาง 17 > 9 ผลลัพธเปนจริง, x != 2 ผลลัพธเปนจริง เมื่อ x มีคาไมเทากับ 2, b > 14 ผลลัพธเปนจริง เมื่อ b มีคามากกวา 14 เกร็ดแนะครู ในการสอน เรื่อง ตัวดําเนินการเปรียบเทียบ ใหนักเรียนเขาใจไดงาย ครูอาจ จะเปรียบเทียบตัวดําเนินการตางๆ กับเครื่องหมายทางคณิตศาสตรที่นักเรียน มีความคุนเคยอยูแลว เพื่อใหเกิดความเชื่อมโยงและเขาใจไดมากขึ้น โดยครู อาจจะใหนักเรียนแปลงโจทยตัวอยางเปนเครื่องหมายคณิตศาสตรแบบปกติกอน แลวจึงสรุปผลลัพธเปนจริงหรือเท็จ เชน 6 != 14 เปลี่ยนเปน 6 ≠㱠 14 ผลลัพธ เปนจริง 12 < = 7 เปลี่ยนเปน 12 ≤ 7 ผลลัพธเปนเท็จ กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนการจับคู แลวลองใหเขียนนิพจนมาคนละ 5 นิพจน โดยใชตัวดําเนินการที่แตกตางกันในแตละขอ จากนั้นสงใหเพื่อน นํามาแปลงเปนเครื่องหมายคณิตศาสตร และตรวจสอบวา นิพจนใดเปนจริง นิพจนใดเปนเท็จ นํา สอน สรุป ประเมิน T30
ขอสอบเนน การคิด ตัวอย่าง 4) ตัวด�าเนินการตรรกะ เรียกอีกอย่ำงหนึ่งว่ำ ตัวด�ำเนินกำรบูลีน (Boolean) เป็นตัว ด�ำเนินกำรที่ใช้ในกำรเปรียบเทียบเงื่อนไขตั้งแต่ 2 เงื่อนไขขึ้นไป เช่น ตัวเปรียบเทียบ ผลลัพธ์ a b a AND b a OR b NOT a NOT b True True True True False False True False False True False True False True False True True False False False False False True True โดยผลลัพธ์ของกำรใช้ตัวด�ำเนินกำรตรรกะจะเป็นไปตำมค่ำตำรำงควำมจริง ดังนี้ ตัวด�าเนินการ ความหมาย ตัวอย่าง AND ผลลัพธ์จะเป็นจริงเมื่อเงื่อนไขทั้งสองเป็นจริง a AND b OR ผลลัพธ์จะเป็นจริงเมื่อเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง เป็นจริง a OR b NOT ผลลัพธ์จะเป็นจริงเมื่อเงื่อนไขหลัง NOT เป็นเท็จ และจะเป็นเท็จเมื่อเงื่อนไขหลัง NOT เป็นจริง NOT a NOT b 1 ล�าดับการประมวลผลของตัวด�าเนินการ True False False (1 < 11) AND (2 > 100) 25 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 8. ครูอธิบายเกี่ยวกับตัวดําเนินการตรรกะให นักเรียนฟงวา ใชสําหรับเปรียบเทียบเงื่อนไข ตั้งแต 2 เงื่อนไขขึ้นไป ประกอบดวย AND, OR และ NOT โดยจะมีผลลัพธเปนจริงหรือ เท็จ เชน (10 > 3) AND (25 > 17) ผลลัพธ เปนจริง เกร็ดแนะครู ครูควรยกตัวอยางผลลัพธของการใชตัวดําเนินการตรรกะใหนักเรียนได ศึกษาครบทุกกรณี แลวจึงทดสอบความเขาใจดวยกิจกรรมหรือแบบฝกหัดที่ เตรียมมา ซึ่งเนื้อหาสวนนี้เปนสวนที่นักเรียนตองฝกฝนทักษะผานแบบฝกหัด พอสมควร จึงจะเกิดความชํานาญและความเขาใจที่ดี ซึ่งจะมีความสําคัญตอ การเรียนเขียนโปรแกรมในระดับชั้นที่สูงขึ้นดวย (NOT a) AND (NOT b) = True นิพจนนี้จะเปนจริงเมื่อใด 1. a และ b เปนจริง 2. a และ b เปนเท็จ 3. a เปนเท็จ และ b เปนจริง 4. a เปนจริง และ b เปนเท็จ (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ตัวดําเนินการ AND นั้น จะใหผลลัพธที่เปนจริงตอเมื่อเงื่อนไข ทั้งสอง คือ NOT a และ NOT b เปนจริงเทานั้น และผลลัพธของ ตัวดําเนินการ NOT จะเปนจริงตอเมื่อเงื่อนไขหลัง NOT เปนเท็จ เทานั้น เพราะฉะนั้นถาจะทําใหผลลัพธของนิพจนนี้เปนจริง a และ b ตองเปนเท็จทั้งคู ดังนั้น ตอบขอ 2.) นํา สอน สรุป ประเมิน T31
ขอสอบเนนการคิด ตัวอย่าง ล�าดับการประมวลผลของตัวด�าเนินการ 2 3 (2 < (1 * 3)) OR ((6 / 3) >= 0) NOT (8 = = (2 * 4) True True True True False 3 2 8 4. ล�าดับการประมวลผลของตัวด�าเนินการ ในนิพจน์แต่ละนิพจน์อำจจะประกอบด้วยตัว ด�ำเนินกำรหลำยประเภท ซึ่งกำรท�ำงำนของแต่ละตัวด�ำเนินกำรจะมีล�ำดับในกำรท�ำงำนก่อนหลัง ดังนี้ ล�าดับที่ ตัวด�าเนินการ การกระท�า 1 ( ) ซ้ำยไปขวำ 2 not ซ้ำยไปขวำ 3 * / % ซ้ำยไปขวำ 4 + - ซ้ำยไปขวำ 5 > < > = < = ซ้ำยไปขวำ 6 == != ซ้ำยไปขวำ 7 and ซ้ำยไปขวำ 8 or ซ้ำยไปขวำ 9 = ซ้ำยไปขวำ 26 ให a แทน 12 < = 6 * 2 - 5 * 4, b แทน 4 + 5 * 2 = 2 + 2 * 9 / 2 + 3 ขอใดถูก 1. a OR b และ NOT a เปนจริง 2. a OR b และ NOT b เปนเท็จ 3. a AND b และ NOT a เปนเท็จ 4. a AND b และ NOT b เปนจริง (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เมื่อหา ผลลัพธจะพบวา a เปนเท็จ และ b เปนจริง เพราะฉะนั้น a AND b เปนเท็จ a OR b เปนจริง NOT a เปนจริง และ NOT b เปนเท็จ ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน อธิบายความรู 9. ครูอธิบายกับนักเรียนถึงลําดับการประมวล ผลของตัวดําเนินการวา ในนิพจนหรือใน การคํานวณแตละครั้งอาจจะประกอบดวย ตัวดําเนินการหลายประเภท ดังนั้น นักเรียน จะตองทราบถึงการทํางานของตัวดําเนินการ แตละตัวตามลําดับกอน-หลังในการเขียน โปรแกรม 10. นักเรียนแตละคนสังเกตลําดับการประมวล ผลของตัวดําเนินการ จากหนังสือเรียน ขยายความเขาใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ตัวดําเนินการ โดย ใหนักเรียนหาผลลัพธจากการคํานวณ เกร็ดแนะครู การเขาใจลําดับการประมวลผลเปนสิ่งสําคัญในการหาผลลัพธของนิพจน ครูอาจจะใชกิจกรรมหรือแบบฝกหัดที่ชวยใหนักเรียนฝกไลลําดับการประมวลผล ของนิพจนใหถูกตองและแมนยํากอน แลวจึงฝกใหหาผลลัพธหลังจากที่มี ความชํานาญในการลําดับการประมวลผลแลว นํา สอน สรุป ประเมิน T32
ขอสอบเนน การคิด ตัวอย่าง ล�าดับการประมวลผลของตัวด�าเนินการ 1 35 - 12 / 2 * (2 + 3) มีค่าเท่ากับเท่าไร 35 - 12 / 2 * (2 + 3) 1 35 - 12 / 2 * (2 + 3) 5 6 30 5 ล�าดับการประมวลผล 1. 2 + 3 ผลลัพธ์ คือ 5 2. 12 / 2 ผลลัพธ์ คือ 6 3. 6 * 5 ผลลัพธ์ คือ 30 4. 35 - 30 ผลลัพธ์ คือ 5 ตอบ 5 ล�าดับการประมวลผล 1. 4 + 1 ผลลัพธ์ คือ 5 2. 5 = = 5 ผลลัพธ์ คือ True 3. 6 * 4 ผลลัพธ์ คือ 24 4. 18 < = 24 ผลลัพธ์ คือ True 5. True AND True ผลลัพธ์ คือ True ตอบ True 2 (5 = = 4 + 1) and (18 < = 6 * 4) มีค่าเท่ากับเท่าไร (5 = = 4 + 1) and (18 < = 6 * 4) 2 5 24 True True True 2.2 การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาไพทอน ภำษำไพทอนเป็นภำษำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เหมำะส�ำหรับผู้เริ่มต้นเขียนโปรแกรม ไปจนถึงกำรประยุกต์ใช้งำนในระดับสูง เนื่องจำกเป็นภำษำที่มีโครงสร้ำงและไวยำกรณ์ค่อนข้ำงง่ำย ไม่ซับซ้อน มีลักษณะใกล้เคียงกับภำษำอังกฤษที่ผู้คนทั่วโลกใช้สื่อสำรกัน ท�ำให้ง่ำยต่อกำรท�ำ ควำมเข้ำใจ 27 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานกลุ่ม ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ ชื่อ–สกุล ของนักเรียน การแสดง ความคิดเห็น การยอมรับ ฟังคนอื่น การท างาน ตามที่ได้รับ มอบหมาย ความมีน้ าใจ การมี ส่วนร่วมใน การปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 15 คะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............./.................../............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ในนิพจน 3 + 2 * 4 / 2 + (-9 + 3) ขอใดคือผลลัพธจากการ ประมวลผลลําดับที่ 4 1. 7 2. 4 3. 8 4. 1 (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให เขียนตารางลําดับ การประมวลผลได ดังนี้ ลําดับขั้นตอน การประมวลผล ผลลัพธ 1. -9 + 3 -6 2. 2 * 4 8 3. 8/2 4 4. 3 + 4 7 5. 7 + (-6) 1 ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการ ตอบคําถาม ความสนใจในการเรียน การทํา กิจกรรมกลุมดวยความตั้งใจ และการทําใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับรหัส ควบคุม รหัสรูปแบบขอมูล และตัวดําเนินการ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล และทํางานกลุมของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก แบบประเมินการนําเสนอผลงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล และแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู ที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางานกลุม แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ นํา สอน สรุป ประเมิน T33
1. โปรแกรมที่ใช้ในการเขียนภาษาไพทอน มีมำกมำยหลำยโปรแกรม แต่ในที่นี้ใช้โปรแกรม Mu โดยสำมำรถดำวน์โหลดโปรแกรมได้จำกเว็บไซต์ https://codewith.mu/en/download 1) ส่วนประกอบโปรแกรม Mu หลังจำกดำวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม Mu เรียบร้อย แล้ว จะพบกับหน้ำต่ำงกำรใช้งำนโปรแกรม ดังภำพ 1 2 3 4 5 in Real Life Com Sci Com Sci o_O การประยุกต์ใช้งานภาษา ไพทอน ภำษำไพทอนถูก ออกแบบมำเพื่อให้สำมำรถ ท�ำงำนได้หลำกหลำย โดย เฉพำะกำรท�ำงำนในลักษณะ ที่เป็น Web Application ที่ คล้ำยคลึงกับภำษำอื่น ๆ เช่น PHP JAVA ASP.NET แต่ เนื่องจำกภำษำไพทอน เป็น ภำษำใหม่จึงมีคุณสมบัติ ที่ได้รับกำรพัฒนำเพิ่มขึ้น 1 ไตเติลบาร์ (Title Bar) ส่วนที่แสดงชื่อโปรแกรม หมำยเลขเวอร์ชัน และ ชื่อไฟล์ที่ผู้ใช้งำนก�ำลังใช้งำนอยู่ 2 บัตตอนบาร์ (Button Bar) แถบปุมฟังก์ชันกำรท�ำงำนต่ำง ๆ ของโปรแกรม Mu 3 แท็บส์ (Tabs) ส่วนที่แสดงรำยกำรไฟล์ภำษำโปรแกรม Python ที่ผู้ใช้งำนก�ำลังเปดใช้งำนอยู่ 4 ส่วนเขียนชุดค�าสั่ง (Text Editor) ส่วนที่ใช้ส�ำหรับเขียน หรือแก้ไขชุดค�ำสั่งภำษำไพทอน 5 รันนิงเพน (Running Pane) ส่วนที่แสดงผลกำรท�ำงำนของชุดค�ำสั่งภำษำไพทอน 28 ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. นักเรียนแตละคนสืบคนวิธีการดาวนโหลดและ ติดตั้งโปรแกรม Mu 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนแตละคนดาวนโหลด และติดตั้งโปรแกรม Mu ที่เครื่องคอมพิวเตอร ของตนเอง โดยครูคอยใหความชวยเหลือ อยางใกลชิด 3. นักเรียนสังเกตและศึกษาสวนประกอบของ โปรแกรม Mu จากหนังสือเรียน ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. ครูสอบถามความรูเดิมของนักเรียนวา นักเรียน เคยเขียนโปรแกรมหรือไม และเคยใชโปรแกรม ใดในการเขียน นอกจากนี้ นักเรียนยังรูจัก โปรแกรมอื่นอีกหรือไม (แนวตอบ นักเรียนตอบตามประสบการณของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครู ผูสอน เชน โปรแกรม Scratch เขียนโปรแกรม ใน Code.org) 2. ครูถามคําถามกระตุนความสนใจของนักเรียน วา นักเรียนเคยเขียนโปรแกรมโดยใชโปรแกรม ภาษาไพทอนหรือไม (แนวตอบ นักเรียนตอบตามประสบการณของ ตนเอง) อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงความรูสูชีวิตประจําวัน (Com Sci in Real Life) เกี่ยวกับการประยุกต ใชงานภาษาไพทอน ซึ่งเปนภาษาใหมจึงมี คุณสมบัติที่ไดรับการพัฒนาเพิ่มขึ้น กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนแบงออกเปน 4 กลุม เลือกสืบคนขอมูลของ Web Application ดังตอไปนี้ กลุมละ 1 หัวขอ 1. ASP.NET 2. PHP 3. JAVA 4. RUBY จากนั้นใหแตละกลุมออกมาสรุปขอมูลคุณสมบัติของ Web Application ที่สืบคนมา โดยใหเปรียบเทียบขอดี-ขอเสียกับ คุณสมบัติของภาษาไพทอน เมื่อนําเสนอครบทุกกลุมแลว ให ชวยกันสรุปขอมูลเปรียบเทียบคุณสมบัติใหเปนตารางเดียวกันทั้ง 5 โปรแกรม เกร็ดแนะครู ครูอาจจะเตรียมโปรแกรมสําหรับเขียนภาษาไพทอนไวในเครื่องคอมพิวเตอร ของนักเรียนมากกวา 1 โปรแกรมสํารองไว เพื่อปองกันกรณีที่โปรแกรมหลัก ที่เตรียมไวไมสามารถติดตั้งหรือมีปญหาการติดตั้งในบางเครื่อง จะไดไมเสียเวลา มาแกไขปญหาในระหวางการเรียนการสอน นํานํา สอนสอน สรุป ประเมิน T34
กำรพัฒนำโปรแกรมด้วยภำษำไพทอน ผู้เขียนโปรแกรมจะบันทึกชุดค�ำสั่งภำษำไพทอน เป็นไฟล์ที่มีนำมสกุล .py เช่น hello.py ซึ่งไฟล์ของภำษำไพทอนนั้นจะเรียกว่ำ Module โดยภำยใน Module จะประกอบไปด้วยตัวแปรและชุดค�ำสั่งต่ำง ๆ มำกมำย Com Sci Focus ¡Òúѹ·Ö¡ªØ´¤ÓÊÑè§ÀÒÉÒ侷͹ 1 3 1 คลิก New เพื่อสร้ำงไฟล์ใหม่ 2 พิมพ์ชุดค�ำสั่งลงบนส่วนเขียนชุดค�ำสั่ง 3 คลิก Save เพื่อบันทึกงำน แล้วจะ ปรำกฏหน้ำต่ำงใหม่ 4 เลือกไฟล์ที่ต้องกำรใช้บันทึกงำน 5 ตั้งชื่อไฟล์ตำมต้องกำร 6 คลิก Save 4 5 6 2 2) การใช้งานโปรแกรม Mu เบื้องต้น สำมำรถท�ำได้ ดังนี้ (1) กำรเริ่มงำนใหมของโปรแกรม Mu 29 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ครูทบทวนเนื้อหาการเรียนเมื่อชั่วโมงที่แลว เกี่ยวกับวิธีการดาวนโหลดและติดตั้งโปรแกรม ที่ใชในการเขียนภาษาไพทอน และสวนประกอบ ของโปรแกรม Mu 3. นักเรียนศึกษาการใชงานโปรแกรม Mu เบื้องตน จากหนังสือเรียน พรอมใหนักเรียนลงมือเขียน โปรแกรมตามตัวอยางชุดคําสั่งเพื่อคํานวณหา ผลลัพธ จากนั้นใหทําการบันทึกงานที่เขียนไว ลงในโฟลเดอรงานของตนเอง 4. ครูอธิบายความรูเสริม (Com Sci Focus) จากเนื้อหาเพื่อขยายความรูของผูเรียน เรื่อง การบันทึกชุดคําสั่งภาษาไพทอน กิจกรรม สรางเสริม ครูเตรียมตัวอยางโคดโปรแกรมภาษาไพทอนงายๆ ใหนักเรียน ทดลองพิมพคําสั่ง ตรวจสอบขอผิดพลาด และประมวลผล โดย อาจจะมีทั้งตัวอยางแบบที่ถูกและผิด เพื่อใหนักเรียนไดทําความ เขาใจผานการทดสอบการใชงานปุมคําสั่งตางๆ ของโปรแกรม ไพทอนไดอยางถูกตองและครบถวน เกร็ดแนะครู สําหรับการใชเครื่องคอมพิวเตอรที่โรงเรียน ครูควรกําหนดที่เก็บไฟลงาน และวิธีการตั้งชื่อไฟลงานของนักเรียนในเครื่องใหเรียบรอย เพื่อปองกันปญหา ไฟลถูกลบ หาไฟลไมเจอ หรือจําชื่อไฟลไมได นอกจากนี้ ยังใชเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีในการเก็บไฟล เชน Google Drive ไดตามความเหมาะสม นํา สอน สรุป ประเมิน T35
ขอสอบเนนการคิด (2) กำรตรวจสอบค�ำสั่งกำรท�ำงำนของโปรแกรม Mu (3) กำรเรียกไฟลเดิมขึ้นมำแก้ไขหรือใช้งำนตอ 1 คลิก Load เพื่อเรียกใช้งำนไฟล์ 2 เลือกไฟล์งำนที่ต้องกำร แล้วกด Open 1 คลิก Run เพื่อสั่งให้โปรแกรม ท�ำงำน 2 ผลลัพธ์ของโปรแกรมจะแสดงใน ช่อง Running 1 2 1 2 30 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง กําหนดคาตัวแปร ดังนี้ a = "1" b = 1 c = "2" d = 2 e = a + c f = b + d g = a + b h = c + d เมื่อทดสอบประมวลผลผานโปรแกรมไพทอน ขอใดสรุปถูกตอง 1. e, f, g, h เกิดขอผิดพลาดทั้งหมด 2. e, f, g, h สามารถประมวลผลผานทั้งหมด 3. f สามารถประมวลผลผาน แต e, g, h เกิดขอผิดพลาด 4. e, f สามารถประมวลผลผาน แต g, h เกิดขอผิดพลาด (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา e, f สามารถประมวลผลได เพราะเกิดจากตัวแปรประเภทเดียวกัน มาบวกกัน สวน g, h เปนตัวแปรคนละประเภทกันจึงไมสามารถ หาผลลัพธได เมื่อทําการประมวลผลจะเกิดขอผิดพลาดขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 4.) แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลของนักเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 ขั้นสอน อธิบายความรู 5. นักเรียนตรวจสอบคําสั่งการทํางานของโปรแกรม Mu โดยดูผลลัพธที่แสดงในชอง Running 6. ครูซักถามถึงผลลัพธที่แสดงในชอง Running ของนักเรียนคนใดไมตรงตามหนังสือเรียน และเปดโอกาสใหนักเรียนรวมกันหาแนวทาง การแกไข 7. ครูอธิบายวิธีการเรียกไฟลงานที่เคยบันทึกขึ้น มาแกไขหรือใชงานตอจากคําสั่ง Load > Open ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม ความสนใจในการเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับการเขียน โปรแกรมดวยภาษาไพทอนรวมกัน ขยายความเขาใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การเขียนโปรแกรมดวย ภาษาไพทอน ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ นํา สอน สรุป ประเมิน T36
ขอสอบเนน การคิด 2. การใช้งานฟงก์ชันในโปรแกรมไพทอน 1) ฟงก์ชันค�าสั่งแสดงผลทางหน้าจอ ในภำษำไพทอนค�ำสั่งที่ใช้แสดงผลออกมำทำง หน้ำจอ คือ ฟังก์ชัน print( ) ซึ่งมีรูปแบบกำรใช้งำน 2 รูปแบบ ดังนี้ (1) print(ข้อมูล) ข้อมูลที่อยู่ในวงเล็บสำมำรถเป็นได้ทั้งตัวเลข ตัวอักษร ตัวแปร หรือนิพจน์ และหำกมีกำรใช้งำนตัวแปรหลำยตัว ต้องใส่เครื่องหมำย ( , ) คั่นระหว่ำงตัวแปรเสมอ เช่น print(2), print(“Somporn”), print(“MY name is”, name, firstname) การใช้ print(ข้อมูล) 1 การแสดงข้อมูลที่เป็นนิพจน์ออกมาทางหน้าจอ ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 สร้ำงและก�ำหนดค่ำให้กับตัวแปร firstNumber โดยก�ำหนดค่ำเป็นตัวเลข 5 บรรทัดที่ 2 สร้ำงและก�ำหนดค่ำให้กับตัวแปร secondNumber โดยก�ำหนดค่ำเป็นตัวเลข 10 บรรทัดที่ 3 แสดงข้อมูลตัวเลข 15 มำจำกผลบวกของตัวแปร firstNumber และตัวแปร secondNumber ซึ่งโปรแกรมจะค�ำนวณผลบวกตัวเลข 5 ที่อยู่ในตัวแปร firstNumber และตัวเลข 10 ที่อยู่ในตัวแปร secondNumber ออกมำทำง หน้ำจอ ซึ่งได้ค�ำตอบ เท่ำกับ 15 31 เกร็ดแนะครู ในการใชฟงกชัน print( ) เมื่อพิมพขอมูลลงไปในวงเล็บ การเวนชองวาง จะชวยใหอานขอมูลไดงายขึ้น เชน prin(“test = ”, t1, t2, t3) ถาพิมพติดกันเปน print(“test = ”,t1,t2,t3) แมจะไมผิดหลักการ แตทําใหอานยากและอาจทําให แกไขผิดพลาดภายหลังได การพิมพ print(t1 + t2 + t3) กับ print(t1+t2+t3) ก็เปนเชนเดียวกัน กําหนดคาตัวแปรในโปรแกรมภาษาไพทอน ดังนี้ a = "1" b = "2" c = "12" d = "21" e = "11" f = "22" เมื่อทําการคอมไพลแลวไดผลลัพธออกมาทางหนาจอเปน 21121221 คําสั่งในขอใดทําใหเกิดผลลัพธตางจากหนาจอดังกลาว 1. print(d + c + c + d) 2. print(b + e + d + f + a) 3. print(b + a + c + d + c) 4. print(d + a + d + b + d) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เมื่อหา ผลลัพธจะพบวา ขอ 1. ขอ 2. และขอ 4. ไดผลลัพธทางหนาจอ ตรงกับโจทย สวนขอ 3. จะไดผลลัพธเปน 21122112 ดังนั้น ตอบ ขอ 3.) ขั้นสอน สํารวจคนหา นักเรียนศึกษา เรื่อง ฟงกชันคําสั่งแสดงผลทาง หนาจอของโปรแกรมภาษาไพทอนที่มีรูปแบบการ ใชงาน 2 รูปแบบ จากหนังสือเรียน อธิบายความรู 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ฟงกชัน print( ) จะมี การใชงานอยู 2 รูปแบบ ไดแก รูปแบบที่ 1 คือ print(ขอมูล) ซึ่งขอมูลที่อยูในวงเล็บ สามารถเปนไปไดทั้งตัวเลข ตัวอักษร ตัวแปร หรือนิพจน โดยขอมูลที่เปนตัวอักษรจะตอง มีเครื่องหมายอัญประกาศ (“_”) ครอมที่ ขอมูล และหากมีการใชงานหลายตัวแปรจะ ตองใสเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นระหวาง ตัวแปรเสมอ เชน print(99), (“Wimolrat”), print(name) 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนสังเกตตัวอยางการใช print(ขอมูล) ทั้ง 3 รูปแบบ จากหนังสือเรียน ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูทบทวนความรูเดิมจากชั่วโมงที่แลวเกี่ยวกับ โปรแกรมที่ใชในการเขียนภาษาไพทอน 2. ครูถามคําถามกระตุนความสนใจของนักเรียน วา นักเรียนรูจักฟงกชันคําสั่งที่ใชในการเขียน โปรแกรมคําสั่งใดบาง และฟงกชันคําสั่งเหลานั้น ทําหนาที่อะไร (แนวตอบ นักเรียนตอบตามประสบการณของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ ครูผูสอน เชน ฟงกชันคําสั่งรับขอมูลทาง แปนพิมพ ฟงกชันคําสั่งแสดงผลทางหนาจอ) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T37
ตัวอย่าง Com Sci Focus ¡ÒÃãÊ‹à¤Ã×èͧËÁÒ “......” ã¹â»Ãá¡ÃÁÀÒÉÒ侷͹ ( “ ) เรียกว่ำ สัญลักษณ์ฟันหนู หรือ Double Quote โดยในโปรแกรมภำษำไพทอน จะใช้สัญลักษณ์ ( “ ) 2 ตัว ครอบข้อมูลที่เป็นข้อควำมเสมอ เช่น ถ้ำต้องกำรให้โปรแกรม แสดงค�ำว่ำ Hello จะต้องใช้ค�ำสั่ง print(“Hello”) หรือถ้ำต้องกำรให้ตัวแปร name เก็บข้อมูลค�ำว่ำ Panya จะต้องใช้ค�ำสั่ง name = “Panya” เป็นต้น แต่ถ้ำต้องกำรให้ โปรแกรมแสดงค่ำตัวเลข หรือก�ำหนดให้ตัวแปรเก็บค่ำตัวเลข จะไม่ต้องใส่สัญลักษณ์ ( “ ) เช่น ถ้ำต้องกำรให้โปรแกรมแสดงตัวเลข 10 ให้ใช้ค�ำสั่ง print(10) หรือถ้ำต้องกำรให้ ตัวแปร old เก็บค่ำตัวเลข 14 ให้ใช้ค�ำสั่ง old = 14 เป็นต้น การใช้ print(ข้อมูล) 2 การแสดงข้อมูลที่เป็นตัวเลขหรือข้อความด้วยค�าสั่ง print( ) จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงข้อมูล 5 ออกทำงหน้ำจอ บรรทัดที่ 2 แสดงข้อมูล "Hello World" ออกทำงหน้ำจอ 32 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 3. ครูอธิบายการแสดงขอมูลที่เปนตัวเลขหรือ ขอความดวยคําสั่ง print( ) จากตัวอยางใน หนังสือเรียนวา หากตองการใหโปรแกรมแสดง ตัวเลข สามารถพิมพตัวเลขลงในคําสั่ง print( ) ไดเลย เชน print(5) หากตองการใหโปรแกรม แสดงขอความใหใชเครื่องหมายอัญประกาศ (“_”) ครอมที่ขอมูล เชน print(“Hello World”) 4. ครูอธิบายความรูเสริม (Com Sci Focus) จาก เนื้อหาเพื่อขยายความรูของผูเรียน เรื่อง การใส เครื่องหมาย “…..” ในโปรแกรมภาษาไพทอน วา เครื่องหมาย “_” เรียกวา สัญลักษณฟนหนู หรือ Double Quote โดยในโปรแกรมภาษา ไพทอนจะใชสัญลักษณนี้ครอบขอมูลที่เปน ขอความเสมอ เชน ถาตองการใหตัวแปรแสดง คําวา Hello ก็จะตองใชคําสั่ง print(“Hello”) หรือถาตองการใหตัวแปร name เก็บขอมูล คําวา Panya ก็จะตองใชคําสั่ง name=“Panya” แตถาตองการใหโปรแกรมแสดงคาตัวเลข หรือ กําหนดใหตัวแปรเก็บคาตัวเลข ก็ไมตองใส สัญลักษณ Double Quote เชน ถาตองการให โปแกรมแสดงตัวเลข 10 ใหใชคําสั่ง print(10) หรือถาตองการใหตัวแปร old เก็บคาตัวเลข 14 ก็ใชคําสั่ง old = 14 เกร็ดแนะครู นอกจากวิชาคณิตศาสตรแลว ครูสามารถสอนแบบบูรณาการเนื้อหา ในสวนนี้กับภาษาไทยและวิชาภาษาอังกฤษไดดวย เชน การเรียงประโยค แบบตางๆ โดยใหเก็บคาคําในประโยคไวในตัวแปร แลวนํามาจัดเรียงใหถูกตอง ผานการใชคําสั่ง print( ) และสามารถตรวจคําตอบจากการแสดงผลหนาจอ หลังจากนักเรียนทําการคอมไพลไดทันที กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนพิมพคําสั่งภาษาไพทอนลงในโปรแกรม แลวกําหนด คาตัวแปร name ใหเปนชื่อของนักเรียน จากนั้นใหทดลอง คอมไพลดูผลลัพธ แลวกลับมาทําความเขาใจรูปแบบการแสดงผล ในคําสั่ง print( ) แลวจึงเขียนอธิบายขั้นตอนการแสดงผลใหครูฟง ตามความเขาใจ name = “your name” nation = “Thailand” print(“My name is” + name + “and I come from” + nation) นํา สอน สรุป ประเมิน T38
ขอสอบเนน การคิด ตัวอยาง การใช print(ขอมูล) 3 การแสดงขอมูลที่เก็บอยูในตัวแปรดวยคําสั่ง print( ) จากโปรแกรมขางตน สามารถอธิบายการทํางานได ดังนี้ บรรทัดที่ 1 สรางตัวแปร myName และกําหนดคา "Somchai" ซึ่งเปนขอความใหกับ ตัวแปร บรรทัดที่ 2 แสดงผลขอมูลที่เก็บอยูในตัวแปร myName ออกมาทางหนาจอ บรรทัดที่ 3 สรางตัวแปร myNumber และกําหนดคา 10 ซึ่งเปนตัวเลขจํานวนเต็ม ใหกับตัวแปร บรรทัดที่ 4 แสดงผลขอมูลที่เก็บอยูในตัวแปร myNumber ออกมาทางหนาจอ บรรทัดที่ 5 สรางตัวแปร strVery และกําหนดคา "very" ซึ่งเปนขอความใหกับตัวแปร บรรทัดที่ 6 สรางตัวแปร strEasy และกําหนดคา "easy." ซึ่งเปนขอความใหกับตัวแปร บรรทัดที่ 7 แสดงผลขอมูลขอความ "Python is" และคาที่เก็บอยูในตัวแปร strVery และ strEasy ออกมาทางหนาจอ 33 ขั้นสอน อธิบายความรู 5. ครูอธิบายการแสดงขอมูลที่เก็บอยูในตัวแปร ดวยคําสั่ง print( ) วา หากตองการใหโปรแกรม แสดงขอมูลที่เก็บอยูในตัวแปร สามารถพิมพ ชื่อตัวแปรลงในคําสั่ง print( ) ไดเลย เชน print(myName) 6. จากนั้นใหนักเรียนลงมือปฏิบัติตามตัวอยาง ในหนังสือเรียน เพื่อทําความเขาใจเกี่ยวกับ เนื้อหามากยิ่งขึ้น เกร็ดแนะครู ครูควรยํ้าหลักการสําคัญในการใชคําสั่ง print( ) ใหนักเรียนทราบ เพื่อ ปองกันความสับสน เชน การใชเครื่องหมายจุลภาค (, ) คั่นระหวางขอความ และตัวแปร เมื่อมีการแสดงผลขอมูลมากกวา 1 คา การแสดงผลการเวนวรรค ขอความที่ถูกตองเหมาะสม นักเรียนควรรู นักเรียนตองระมัดระวังวา การตั้งชื่อตัวแปรโดยใชอักษรตัวพิมพใหญและ ตัวพิมพเล็กในภาษาไพทอนใชแทนกันไมได เชน Avatar กับ avatar ถือเปน ตัวแปรคนละตัว เพราะฉะนั้น การอางถึงตัวแปรในคําสั่ง print( ) ชื่อตัวแปร จะตองเหมือนกันกับตัวแปรที่ใชเก็บคาเสมอ print(“Python is very useful for me.”) หากนักเรียนตองการแยกขอความขางตนออกเปน 3 สวน และ ใหแสดงผลเหมือนเดิม คําสั่งในขอใดผิด 1. print(“Python is ”+“very useful”+“ for me.”) 2. print(“Python is”+“ very useful ”+“for me.”) 3. print(“Python is ”+“very useful ”+“for me.”) 4. print(“Python is”+“ very useful ”+“ for me.”) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ 4. จะแสดงผลทางหนาจอตางจากเดิม คือ ระหวางคําวา useful กับ for จะมีชองวาง 2 ชอง ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขยายความเขาใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัยและ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การใชงานฟงกชันคําสั่ง แสดงผลทางหนาจอ โดยใหนักเรียนเขียน โปรแกรมภาษาไพทอนตามขอมูลที่กําหนดให นํา สอน สรุป ประเมิน T39
ขอสอบเนนการคิด (2) print(“ข้อมูลที่มีกำรแทรกรหัสรูปแบบข้อมูล” ต�ำแหน่งรหัสรูปแบบข้อมูล) กำรใช้ฟังก์ชัน print( ) ลักษณะนี้ จะมีกำรแทรกรหัสรูปแบบข้อมูลไว้ในข้อมูลที่จะแสดงผล โดยข้อมูลที่จะแสดงผลสำมำรถเป็นได้ทั้งตัวเลข ตัวอักษร ตัวแปร หรือนิพจน์ เช่นเดียวกับ กำรใช้ฟังก์ชัน print( ) การใช้ print (“ข้อมูลที่มีการแทรกรหัสรูปแบบข้อมูล” ต�าแหน่งรหัสรูปแบบข้อมูล) 1 การใช้รหัสรูปแบบข้อมูล %s หลายตัวแปรร่วมกับฟงก์ชัน print( ) ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 สร้ำงและก�ำหนดค่ำให้กับตัวแปร myName โดยก�ำหนดค่ำเป็นตัวอักษร "Somchai" บรรทัดที่ 2 แสดงข้อควำม "My name is Somchai" โดย "Somchai" มำจำกตัวแปร myName ซึ่งจะแสดงในรูปแบบตัวอักษร เนื่องจำกใช้รหัสรูปแบบ %s แทรก ไว้หลัง "My name is " และ %myName คือ กำรก�ำหนดตัวแปร myName ให้กับรูปแบบ %s 34 ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนศึกษา เรื่อง การใชฟงกชัน print (ขอมูลที่มีการแทรกรหัสรูปแบบขอมูล ตําแหนง รหัสรูปแบบขอมูล) จากหนังสือเรียน เกร็ดแนะครู ครูควรแนะนําใหนักเรียนทราบวา ในภาษาไพทอนเราสามารถกําหนดคา ตัวแปรหลายตัวใหอยูในบรรทัดเดียวกันได เชน แทนที่จะเขียน a = 1 b = 2 c = “Yes” เปนจํานวน 3 บรรทัด เราสามารถเขียน a, b, c = 1, 2, “Yes” ภายใน บรรทัดเดียวได การใชรหัสรูปแบบขอมูล %s ในการแสดงคาตัวแปร color_name ออกทางหนาจอรวมกับฟงกชัน print( ) ขอใดถูกตอง 1. print(“This color is %s” %color_name) 2. print(“This color is %s”, %color_name) 3. print(“This color is ” %s %color_name) 4. print(“This color is ” %s, %color_name) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา รหัส รูปแบบขอมูล %s จะใชภายในเครื่องหมายอัญประกาศ (“ ”) ขอ 3. และ ขอ 4. ผิดเงื่อนไขนี้ และจะไมมีการใชเครื่องหมาย จุลภาค ( , ) คั่นระหวาง %s กับ %color_name ขอ 2. และขอ 4. ผิดเงื่อนไขนี้ ดังนั้น ตอบขอ 1.) อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนเขาใจเพิ่ม มากขึ้นเกี่ยวกับฟงกชัน print( ) ในรูปแบบที่ 2 คือ print(“ขอมูลที่มีการแทรกรหัสรูปแบบ ขอมูล” ตําแหนงรหัสรูปแบบขอมูล) ตาม ตัวอยาง ดังนี้ name = “Wimolrat” print(“My name is %s” %name) 2. จากนั้นครูอธิบายกับนักเรียนวา จากโปรแกรม ขางตนสามารถอธิบายการทํางานได ดังนี้ บรรทัดที่ 1 สรางและกําหนดคาใหกับตัวแปร name โดยกําหนดคาเปนตัว อักษร “Wimolrat” บรรทัดที่ 2 แสดงขอความ “My name is Wimolrat” โดย “Wimolrat” มา จากตัวแปร name ซึ่งจะแสดง ในรูปแบบตัวอักษร เนื่องจากใช รหัสรูปแบบ %s แทรกไวหลัง “My name is” และ %name คือ การ กําหนดตัวแปร name ใหกับ รูปแบบ %s นํา สอน สรุป ประเมิน T40
ขอสอบเนน การคิด การใช้ print (“ข้อมูลที่มีการแทรกรหัสรูปแบบข้อมูล” ต�าแหน่งรหัสรูปแบบข้อมูล) 2 การใช้รหัสรูปแบบข้อมูล %s หลายตัวแปรร่วมกับฟงก์ชัน print( ) ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 สร้ำงตัวแปร firstName และก�ำหนดค่ำ "สมชำย" ให้กับตัวแปร บรรทัดที่ 2 สร้ำงตัวแปร lastName และก�ำหนดค่ำ "ใจดี" ให้กับตัวแปร บรรทัดที่ 3 แสดงผลข้อควำมและค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร firstName และ lastName ณ ต�ำแหน่ง %s ไล่เรียงกันไป โดยจะแสดงผลที่สมบูรณ์เป็น "สวัสดี คุณสมชำย ใจดี" ทำงหน้ำจอ จุดสังเกต %s %s ในบรรทัดที่ 3 แสดงถึงกำรเรียกใช้ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร โดย %s ตัวแรก หมำยถึง ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร firstName และ %s ตัวที่ 2 หมำยถึง ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร lastName 2 35 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 3. ครูอธิบายการทํางานของตัวอยางการใช print (“ขอมูลที่มีการแทรกรหัสรูปแบบขอมูล” ตําแหนงรหัสรูปแบบขอมูล) ในหัวขอ การใช รหัสรูปแบบขอมูล %s หลายตัวแปรรวมกับ ฟงกชัน print( ) ในหนังสือเรียน จากนั้นให นักเรียนลงมือปฏิบัติตาม การใชรหัสรูปแบบขอมูล %s ในการแสดงคาตัวแปร color, size, weight ออกทางหนาจอรวมกับฟงกชัน print( ) ขอใด ถูกตอง 1. print(“This color is %s %s %s” %color, size, weight) 2. print(“This color is %s %s %s” %(color, size, weight)) 3. print(“This color is %s %s %s” %color, %size, %weight) 4. print(“This color is %s %s %s” (%color, %size, %weight)) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ในกรณี มีการใชตัวแปรหลายตัวกับรหัสรูปแบบขอมูล %s จะใช %( ) ใสคา ตัวแปรแตละตัวลงไปโดยคั่นระหวางตัวแปรดวยเครื่องหมาย จุลภาค ( , ) ลงในวงเล็บตามลําดับ ดังนั้น ตอบขอ 2.) เกร็ดแนะครู ในภาษาไพทอนเราสามารถกําหนดคาตัวแปรหลายตัวที่มีคาเดียวกัน พรอมกันไดในบรรทัดเดียว เชน แทนที่จะเขียน a = “Yes” b = “Yes” c = “Yes” เปนจํานวน 3 บรรทัด เราสามารถเขียน a = b = c = “Yes” ภายใน บรรทัดเดียวได นํา สอน สรุป ประเมิน T41
ขอสอบเนนการคิด การใช้ print (“ข้อมูลที่มีการแทรกรหัสรูปแบบข้อมูล” ต�าแหน่งรหัสรูปแบบข้อมูล) 3 การใช้รหัสรูปแบบข้อมูล %d หลายตัวแปรร่วมกับฟงก์ชัน print( ) ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 สร้ำงตัวแปร firstNumber และก�ำหนดค่ำ 10 ให้กับตัวแปร บรรทัดที่ 2 สร้ำงตัวแปร secondNumber และก�ำหนดค่ำ 20 ให้กับตัวแปร บรรทัดที่ 3 น�ำค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร firstNumber บวกกับค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร secondNumber และน�ำผลลัพธ์ที่ได้เก็บในตัวแปร sumValue บรรทัดที่ 4 แสดงผลค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร firstNumber, secondNumber และ sumValue ณ ต�ำแหน่ง %d ไล่เรียงกันไป โดยจะแสดงผลที่สมบูรณ์เป็น "10 + 20 = 30" ทำงหน้ำจอ จุดสังเกต เครื่องหมำย + ในบรรทัดที่ 4 ถูกเขียนอยู่ใน "...." นั่นหมำยควำมว่ำ เป็นตัวอักษร ตัวหนึ่งเท่ำนั้นที่จะแสดงผลออกมำ เช่นเดียวกับเครื่องหมำย = ที่เขียนอยู่ในบรรทัดที่ 4 เช่นกัน 3 36 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 4. ครูอธิบายการทํางานของตัวอยางการใช print(“ขอมูลที่มีการแทรกรหัสรูปแบบขอมูล” ตําแหนงรหัสรูปแบบขอมูล) ในหัวขอ การใช รหัสรูปแบบขอมูล %d หลายตัวแปรรวมกับ ฟงกชัน print( ) กําหนดคาตัวแปร ดังนี้ name = "Python" number1 = 4.3 ขอใดคือผลลัพธทางหนาจอที่ถูกตองของคําสั่ง print("%s %s %d" %(name, number1, number1)) 1. Python 4 4 3. Python 4.3 4 2. Python 4 4.3 4. Python 4.3 4.3 (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เมื่อหา ผลลัพธจะพบวา รหัสรูปแบบขอมูล %s ตัวแรกจะแสดงคาตัวแปร name เปน Python รหัสรูปแบบขอมูล %s ตัวที่ 2 จะแสดงคา ตัวแปร number1 เปน 4.3 รหัสรูปแบบขอมูล %d จะแสดงคา ตัวแปร number1 เปนจํานวนเต็ม คือ 4 ดังนั้น ตอบขอ 3.) เกร็ดแนะครู ครูควรสอนใหนักเรียนเห็นความแตกตางในการใชรหัสรูปแบบขอมูลแตละ คําสั่งอยางชัดเจน เพื่อปองกันไมใหเกิดความสับสนในการนําไปใชจริง เชน รหัสรูปแบบขอมูล %s นั้นสามารถแสดงคาตัวแปรไดทั้งที่เปนคาขอความและ จํานวนเต็ม ในขณะที่ %d จะแสดงคาจํานวนเต็มและทศนิยมในรูปจํานวนเต็ม เทานั้น นํา สอน สรุป ประเมิน T42
ขอสอบเนน การคิด การใช้ print (“ข้อมูลที่มีการแทรกรหัสรูปแบบข้อมูล” ต�าแหน่งรหัสรูปแบบข้อมูล) 4 การใช้รหัสรูปแบบข้อมูล %f ร่วมกับฟงก์ชัน print( ) ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 สร้ำงตัวแปร firstNumber และก�ำหนดค่ำ 15 ให้กับตัวแปร บรรทัดที่ 2 สร้ำงตัวแปร secondNumber และก�ำหนดค่ำ 4 ให้กับตัวแปร บรรทัดที่ 3 น�ำค่ำที่เก็บในตัวแปร firstNumber หำรด้วยค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร secondNumber และน�ำผลลัพธ์ที่ได้เก็บในตัวแปร result บรรทัดที่ 4 แสดงผลข้อควำม และค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร result ณ ต�ำแหน่ง %.2f โดยจะแสดงผลโดยสมบูรณ์เป็น "ผลลัพธ์ = 3.75" ทำงหน้ำจอ จุดสังเกต 1. เลขที่เก็บอยู่ในตัวแปร firstNumber และ secondNumber เป็นเลขจ�ำนวนเต็ม แต่พอเมื่อน�ำมำหำรกันแล้วจะได้เป็นเลขจ�ำนวนจริง 2. %.2f โดยที่ .2 หมำยถึง กำรก�ำหนดต�ำแหน่งทศนิยมเป็น 2 ต�ำแหน่ง 37 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 5. ครูอธิบายการทํางานของตัวอยางการใช print (“ขอมูลที่มีการแทรกรหัสรูปแบบขอมูล” ตําแหนงรหัสรูปแบบขอมูล) ในหัวขอ การใช รหัสรูปแบบขอมูล %f รวมกับฟงกชัน print( ) ในหนังสือเรียน จากนั้นใหนักเรียนปฏิบัติตาม เกร็ดแนะครู การใชรหัสรูปแบบขอมูล %f ปกติจะไดคาตัวเลขเปนทศนิยม 6 ตําแหนง เชน 2.14 ก็จะกลายเปน 2.140000 ถาตองการกําหนดจํานวนตําแหนงทศนิยม ใหใสจุด (.) ตามดวยตัวเลขแสดงจํานวนตําแหนงทศนิยมที่ตองการแทรกลงไป ระหวาง % กับ f เชน ตองการทศนิยม 3 ตําแหนง ใหพิมพ %.3f ลงไป กําหนดคาตัวแปร c_name = 7.5214 เมื่อคอมไพลคําสั่ง print("result = %f %.2f %.4f" %(c_name, c_name, c_name)) จะไดผลลัพธออกทางหนาจออยางไร 1. result = 7.520000 7.52 7.5214 2. result = 7.5214 7.52 7.521400 3. result = 7.52 7.5200 7.521400 4. result = 7.521400 7.52 7.5214 (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เมื่อหา ผลลัพธจะพบวา รหัสรูปแบบขอมูล %f จะไดผลลัพธเปนทศนิยม 6 ตําแหนง คือ 7.521400 รหัสรูปแบบขอมูล %.2f จะไดผลลัพธ เปนทศนิยม 2 ตําแหนง คือ 7.52 รหัสรูปแบบขอมูล %.4f จะได ผลลัพธเปนทศนิยม 4 ตําแหนง คือ 7.5214 ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขยายความเข้าใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัยและ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การใชรหัสรูปแบบ ขอมูลรวมกับฟงกชัน print( ) โดยใหนักเรียน เขียนโปรแกรมภาษาไพทอน โดยใชรหัส รูปแบบขอมูลรวมกับฟงกชัน print( ) ตาม ขอมูลที่กําหนดให นํา สอน สรุป ประเมิน T43