The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คุ่มือครู ม2 วิทยาการคำนวณ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by suksanti.h, 2024-04-29 02:33:47

คุ่มือครู ม2 วิทยาการคำนวณ

คุ่มือครู ม2 วิทยาการคำนวณ

2) ฟงก์ชันค�าสั่งรับข้อมูลทางแป้นพิมพ์ ในภำษำไพทอน ค�ำสั่งที่ใช้รับข้อมูลทำง แป้นพิมพ์ คือ ฟังก์ชัน input( ) โดยข้อมูลที่รับเข้ำมำนั้นจะเป็นข้อมูลชนิดข้อควำม หำกต้องกำรใช้งำน ข้อมูลที่รับเข้ำมำเป็นข้อมูลชนิดอื่น เช่น เลขจ�ำนวนเต็ม จ�ำเป็นต้องแปลงข้อมูลที่เป็นข้อควำม ที่รับเข้ำมำจำกแป้นพิมพ์เป็นข้อมูลชนิดอื่นก่อนเสมอ ค�ำสั่ง input( ) มีรูปแบบกำรใช้งำน ดังนี้ ตัวแปร = input(ข้อความ) โดย - ตัวแปร คือ ตัวแปรที่ใช้เก็บข้อมูลที่รับจำกทำงแป้นพิมพ์ - ข้อควำม คือ ข้อควำมประกอบกำรรับข้อมูล อำจเป็นเฉพำะข้อควำม หรือ ข้อควำมผสมตัวแปร หรือนิพจน์ ก็ได้เช่นกัน การใช้งานฟงก์ชันค�าสั่งรับข้อมูลทางแปนพิมพ์ 1 การใช้งานฟงก์ชัน input( ) ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "Enter your name: " และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ป้อนจะถูก เก็บในตัวแปร name บรรทัดที่ 2 แสดงผลข้อควำม "Your name is" และค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร name จำกผลกำรที่ผู้ใช้ป้อน "Somchai" ดังนั้น ผลลัพธ์ที่แสดงทำงหน้ำจอ คือ "Your name is Somchai" 38 ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนศึกษา เรื่อง ฟงกชันคําสั่งที่ใชรับขอมูล ทางแปนพิมพ จากหนังสือเรียน เกร็ดแนะครู ในชีวิตประจําวันเราจะเห็นตัวอยางการรับขอมูลทางแปนพิมพจาก เครื่องคอมพิวเตอร หรือโนตบุก และแปนพิมพเสมือนบนหนาจอสัมผัสของ เครื่องสมารตโฟน หรือแมกระทั่งการรับขอมูลจากเสียง จากภาพ 2 มิติ เชน QR Code หรือที่เรียกวา รหัสคิวอาร จากลายนิ้วมือ บารโคด ไมโครชิปบน บัตรตางๆ และการสแกนเอกสาร ดังนั้น จะเห็นไดวา ปจจุบันเราจึงมีเทคโนโลยี ในการนําเขาขอมูลที่หลากหลาย เพื่อความสะดวกสบายในการใชงาน และ ความเหมาะสมกับยุคสมัย กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางเทคโนโลยีการนําเขาขอมูล รูปแบบตางๆ ที่มีอยูในปจจุบัน พรอมบอกประโยชนของเทคโนโลยี ดังกลาว รวมทั้งใหลองทํานายวา ในอนาคตจะมีเทคโนโลยี การนําเขาขอมูลรูปแบบใดเกิดขึ้นอีกบาง อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายรูปแบบการใชงานคําสั่ง input( ) 2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากรูปแบบการใชงาน ดังกลาวของคําสั่ง input( ) กลาวไดวา ตัวแปร คือ ตัวแปรที่ใชเก็บขอมูลที่ไดรับทางแปนพิมพ ขอความ คือ ขอความประกอบการรับขอมูล อาจเปนเฉพาะขอความ หรือขอความผสม ตัวแปรหรือนิพจนก็ไดเชนกัน 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนเขาใจ เพิ่มขึ้นวา ฟงกชัน input( ) เปนคําสั่งที่ ใชรับขอมูลทางแปนพิมพ โดยขอมูลที่รับ เขามาจะเปนขอมูลชนิดขอความ หากตองการ รับขอมูลชนิดอื่น เชน ตัวเลขจํานวนเต็ม ทศนิยม จะตองแปลงขอมูลที่เปนขอความที่ รับเขามาเปนขอมูลชนิดอื่นกอน นํา สอน สรุป ประเมิน T44


การใช้งานฟงก์ชันค�าสั่งรับข้อมูลทางแปนพิมพ์ 2 การใช้งานฟงก์ชัน input( ) ร่วมกับรหัสควบคุมข้อมูล ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "Enter your name: " และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ป้อนจะถูก เก็บในตัวแปร name บรรทัดที่ 2 แสดงผลข้อควำม "Your name is" และค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร name ที่มำ จำกกำรป้อนโดยผู้ใช้จำกกำรท�ำงำนในบรรทัดที่ 1 ณ ต�ำแหน่ง %s จำกผล กำรที่ผู้ใช้ป้อน "Somchai" ดังนั้น "Somchai" จะถูกเก็บอยู่ในตัวแปร name และผลลัพธ์สุดท้ำยของบรรทัดที่ 2 ที่แสดงทำงหน้ำจอ คือ "Your name is Somchai" 39 กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู ครูควรจัดการเรียนการสอนในเนื้อหาสวนนี้ในลักษณะของกิจกรรมการ เขียนโปรแกรมที่เนนการมีสวนรวมและไมนาเบื่อ เชน การเขียนโปรแกรม ออกเสียงเลือกสิ่งที่ชื่นชอบ โดยสรางตัวเลือกมา 3-5 อันดับ แลวจึงใหนักเรียน ทดลองออกแบบและเขียนโปรแกรมในสวนการรับขอมูลและแสดงผล รวมถึง สรุปผลการออกเสียงเลือกสิ่งที่ชื่นชอบดวย ขั้นสอน อธิบายความรู้ 4. นักเรียนสังเกตและศึกษาการใชงานฟงกชัน คําสั่งรับขอมูลทางแปนพิมพ จากหนังสือเรียน โดยครูอธิบายการทํางานของตัวอยางการ ใชงานฟงกชันคําสั่งรับขอมูลทางแปนพิมพ ในหัวขอการใชงานฟงกชัน input( ) และการ ใชงานฟงกชัน input( ) รวมกับรหัสควบคุม ขอมูล ใหนักเรียนสมมติสถานการณเลือกตัวแทนลงสมัครหัวหนาหอง มา 3 คน กําหนดเบอรผูสมัคร และตัวเลขแทนกรณีงดออกเสียง แลวลองออกแบบโปรแกรมในสวนการรับขอมูลการเลือกตั้ง หัวหนาหองดูวาจะตองรับขอมูลอะไรบาง เชน ชื่อ ชั้น เลขที่ เบอร ที่เลือก เมื่อกําหนดขอมูลที่จะรับเขาและแสดงผลแลว ใหทดลอง เขียนโปรแกรมดังกลาวดู เสร็จแลวใหนักเรียนลองทําการใชสิทธิ์ เลือกตั้งผานโปรแกรมที่เขียนขึ้นบนเครื่องคอมพิวเตอร จากนั้น ใหทดลองนับคะแนนเลือกตั้งจากผลลัพธบนหนาจอของนักเรียน เปนรายบุคคล แลวสรุปผลการเลือกตั้ง นํา สอน สรุป ประเมิน T45


ขอสอบเนนการคิด การใช้งานฟงก์ชันค�าสั่งรับข้อมูลทางแปนพิมพ์ 3 การใช้งานฟงก์ชัน input( ) ร่วมกับรหัสควบคุมข้อมูล ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "Enter first number: " และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ป้อนจะ ถูกเก็บในตัวแปร firstNumber บรรทัดที่ 2 แสดงผล "Enter second number: " และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ป้อนจะถูก เก็บในตัวแปร secondNumber บรรทัดที่ 3 น�ำค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร firstNumber ซึ่งเป็นข้อควำมและถูกแปลงเป็นตัวเลข จ�ำนวนเต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) ไปบวกกับค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร secondNumber ซึ่งเป็นข้อควำมและถูกแปลงเป็นตัวเลขจ�ำนวนเต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) โดยน�ำ ผลลัพธ์ที่ได้เก็บในตัวแปร result บรรทัดที่ 4 แสดงผลข้อควำม "Summary Result: " และค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร result ณ ต�ำแหน่ง %d 40 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม การนําเสนอหนาชั้นเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใชงาน ฟงกชันในโปรแกรมภาษาไพทอน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคลของ นักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอ ผลงาน และแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลที่แนบมาทายแผนการ จัดการเรียนรูที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 พิจารณาการทํางานของคําสั่งตอไปนี้ fstn = input("Enter first number: ") พิมพคา 7.1492 ลงไป sndn = input("Enter second number: ") พิมพคา 8 ลงไป result = float(fstn) + int(sndn) print("Answer is %.2f " %result) ผลลัพธทางหนาจอจากคําสั่ง print( ) ขอใดถูก 1. Answer is 15.00 3. Answer is 15.15 2. Answer is 15.14 4. Answer is 16.00 (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เมื่อ หาผลลัพธจากตัวแปรจะ result คือ 15.1492 เมื่อนํามาแสดงผล โดยใชรหัสรูปแบบขอมูล %.2f คาจะถูกปดเปนทศนิยม 2 ตําแหนง คือ 15.15 ดังนั้น ตอบขอ 3.) ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การใชงานฟงกชัน คําสั่งรับขอมูลทางแปนพิมพ โดยใหนักเรียน เขียนโปรแกรมภาษาไพทอนโดยใชฟงกชัน input( ) รวมกับรหัสควบคุมขอมูลตามขอมูล ที่กําหนดให ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ นํา สอน สอน สรุป ประเมิน T46


ขอสอบเนน การคิด 3 การเขียนค�าสั่งควบคุมการ ท�างานตามโครงสร้างของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ กำรท�ำงำนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้ำง หรือพัฒนำขึ้นมำนั้น จะมี โครงสร้ำงกำรท�ำงำนภำยในโปรแกรมแตกต่ำงกัน บำงโปรแกรมก็มีกระบวนกำรท�ำงำน ที่ง่ำยไม่สลับซับซ้อน บำงโปรแกรมก็มีกระบวนกำรท�ำงำนที่ยำกและมีควำมซับซ้อน ซึ่งในทำงโปรแกรมได้แบ่งโครงสร้ำงกำรท�ำงำนของโปรแกรมได้หลำยลักษณะ แต่ใน ที่นี้จะกล่ำวเพียง 2 ลักษณะ คือ โครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบเรียงล�ำดับ และโครงสร้ำง กำรท�ำงำนแบบเลือกท�ำ 3.1 โครงสร้างการท�างานแบบเรียงล�าดับ (Sequence Structure) โครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบเรียงล�ำดับ เป็นลักษณะของโปรแกรมที่มีกำรท�ำงำนเป็นล�ำดับ ขั้นตอน ไล่เรียงล�ำดับกันไปเป็นเหมือนเส้นตรง ไม่มีกำรข้ำมขั้นตอนกำรท�ำงำนจำกบนลงล่ำง ตำมล�ำดับของโปรแกรมหรือย้อนกลับไปท�ำงำนเดิมที่ท�ำไปแล้ว มีทำงเลือกในกำรท�ำงำนมำกกว่ำ 1 ทำงเลือก หรือต้องมีกำรตัดสินใจเพื่อที่จะท�ำงำนใด ๆ โครงสร้ำงกำรท�ำงำนของโปรแกรมแบบ เรียงล�ำดับหรือแบบเส้นตรงนั้น รูปแบบกำรท�ำงำนของโปรแกรมมักจะเป็นเพียงแค่กำรก�ำหนดค่ำ รับค่ำ ค�ำนวณหรือประมวลผลที่ไม่สลับซับซ้อน และแสดงผล กำรท�ำงำนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้ำง หรือพัฒนำขึ้นมำนั้น จะมี การเขียนค�าสั่งควบคุมโครงสร้างการท�างานแบบเรียงล�าดับ 1 ต้องการใช้โปรแกรมภาษาไพทอน เพื่อเขียนค�าสั่งให้แสดงผลการท�างานทางจอภาพ โดยให้แสดงผล ดังนี้ ตัวอย่าง MY FIRST PROGRAM WITH PYTHON I LOVE CODING @^_^@ WOW WOW WOW โปรแกรมที่มีโครงสราง การทํางานแบบเรียงลําดับ ตางจากโครงสรางการ ทํางานแบบเลือกทําอยางไร 41 เกร็ดแนะครู ครูสามารถทบทวนการใชคําสั่งตางๆ ในบทเรียนผานการฝกเขียนโปรแกรม การทํางานแบบเรียงลําดับ รวมทั้งการเขียนภาษาธรรมชาติ รหัสจําลอง และ ผังงาน เพื่อทบทวนพื้นฐานทั้งหมดในการเขียนโปรแกรมใหเกิดความชํานาญ กอนที่จะขึ้นเนื้อหาในสวนตอไป คือ โครงสรางการทํางานแบบเลือกทํา ซึ่งจะ มีความซับซอนและรายละเอียดสูงในการออกแบบและเขียนโปรแกรม นักเรียน จึงควรมีพื้นฐานที่ดีเพื่อที่จะสามารถทําความเขาใจขั้นตอนและคําสั่งตางๆ ใน เนื้อหาไดรวดเร็วและชัดเจน หากตองการใชคําสั่ง print( ) สรางภาพนี้ ขอใดพิมพคําสั่งในบรรทัดที่ 3 ไดถูกตอง 1. print("c(")(")") 2. print("c(\")(\")") 3. print("c("\)("\)") 4. print("c(\"\)\(\"\)") (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ในการ แสดงผลสัญลักษณฟนหนู (“) ในขอความจะตองใชรหัสควบคุม \” ดังนั้น ตอบขอ 2.) ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอกับนักเรียน วา โปรแกรมที่มีโครงสรางการทํางานแบบ เรียงลําดับตางจากโครงสรางการทํางานแบบ เลือกทําอยางไร 2. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงเขาสูบทเรียนวา โปรแกรมคอมพิวเตอรที่ถูกสราง หรือพัฒนา ขึ้นมานั้น จะมีโครงสรางการทํางานภายใน โปรแกรมที่แตกตางกัน บางโปรแกรมงาย ไมซับซอน แตบางโปรแกรมมีกระบวนการ ที่ยากและซับซอน ซึ่งไดแบงโครงสราง การทํางานของโปรแกรมไดหลายลักษณะ เชน โครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ โครงสรางการทํางานแบบไมเรียงลําดับ แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวข้อ โปรแกรมแบบเรียงลําดับทํางานเปนเสนตรง ไมมีการขาม ยอนกลับ วนซํ้าขั้นตอน หรือการ ตัดสินใจใดๆ เกิดขึ้นในระหวางการทํางานจนจบ กระบวนการ (\_ /) ( ‵x′ ) c ( ″ ) ( ″ ) ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. ครูสุมถามนักเรียน 3-4 คน วา นักเรียนรู หรือไมวา โครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ มีลักษณะการทํางานอยางไร (แนวตอบ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครู ผูสอน) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T47


ขอสอบเนนการคิด ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มท�ำงำน 2 แสดงผล "MY FIRST PROGRAM WITH PYTHON" 3 แสดงผล "I LOVE CODING" 4 แสดงผล "@^_^@" 5 แสดงผล "WOW WOW WOW" 6 จบกำรท�ำงำน รหัสจ�าลอง 1 START 2 OUTPUT "MY FIRST PROGRAM WITH PYTHON" 3 OUTPUT "I LOVE CODING" 4 OUTPUT "@^_^@" 5 OUTPUT "WOW WOW WOW" 6 STOP 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม START STOP "MY FIRST PROGRAM WITH PYTHON" "I LOVE CODING" "@^_^@" "WOW WOW WOW" ผังงาน 42 หากตองการใชคําสั่ง print( ) สรางภาพนี้ ขอใดพิมพคําสั่งใน บรรทัดที่ 2 ไดถูกตอง 1. print(" (|) . (|)/\/\/\/\") 2. print(" ((|) . (|))/\/\/\/\\") 3. print(" ((\|) . (\|))/\/\/\/\") 4. print(" ((\|) . (\|))/\/\/\/\\") (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ในการ แสดงผลเครื่องหมาย (\) เปนขอความ ซึ่งในขอความจะตองใช รหัสควบคุม \\ ซึ่งในกรณีนี้จะเพิ่มเขาไปที่ทายขอความ 1 ตัว เทานั้น และเครื่องหมาย | ไมตองใชรหัสควบคุมในการแสดงผล ดังนั้น ตอบขอ 2.) ขั้นสอน สํารวจค้นหา 2. นักเรียนสืบคนขอมูลและศึกษาเนื้อหา เรื่อง โครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ จากหนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจาก อินเทอรเน็ต 3. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางที่ 1 เกี่ยวกับ การเขียนคําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางาน แบบเรียงลําดับในหนังสือเรียน เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหนักเรียนไดลองฝกพิมพตัวอักขระที่ไมคุนเคย โดยการใหสราง emoticon หรือสัญรูปอารมณ [ศัพทเทคโนโลยีฯ 2549] (ขอความที่จัดเรียงใหดู เหมือนเปนรูปภาพ) หลายๆ แบบ เพื่อในอนาคตนักเรียนตองเรียนคําสั่งในภาษา ไพทอนที่มีการใชอักขระเหลานี้จะไดเกิดความคุนเคยกับตําแหนงบนแปนพิมพ ของอักขระดังกลาว ) ( _ _ _ _ _ ) ( ( ( | ) ∙ ( | ) ) / \ / \ / \ / \ ( ( T T T T T T T ) ) _ | _ | _ | _ | อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนเขาใจเพิ่มขึ้น เกี่ยวกับการทํางานแบบเรียงลําดับตามหนังสือ เรียนวา การทํางานแบบเรียงลําดับเปนลักษณะ ของโปรแกรมที่มีการทํางานเปนลําดับขั้นตอน ไลเรียงลําดับกันไปเหมือนเสนตรง การเขียน โปรแกรมในลักษณะนี้จะไมมีการขามขั้นตอน หรือมีการตัดสินใจเพื่อที่จะทํางานอยางใด อยางหนึ่ง จะมีเพียงแคการกําหนดคา รับคา คํานวณ หรือประมวลผลที่ไมสลับซับซอน และแสดงผลลัพธออกมาเทานั้น นํา สอน สรุป ประเมิน T48


ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "MY FIRSTPROGRAM WITH PYTHON" แล้วมีกำรเว้นบรรทัด 1 บรรทัด เพรำะมีกำรใช้ "\n" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "I LOVE CODING" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "@^_^@" แล้วมีกำรเว้นบรรทัด 1 บรรทัด เพรำะมีกำรใช้ "\n" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "WOW WOW WOW" จุดสังเกต 1. กำรท�ำงำนของโปรแกรมจะท�ำกำรแสดงผลข้อมูลที่อยู่ในเครื่องหมำย " " ของค�ำสั่ง print ทำงหน้ำจอ 2. กำรใช้งำนค�ำสั่ง print( ) เมื่อแสดงผลเรียบร้อยแล้วจะท�ำกำรขึ้นบรรทัดใหม่ให้ 1 ครั้งเสมอ 43 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ใหนักเรียนเขียนคําสั่งใหแสดงผลการทํางาน ทางจอภาพ จากนั้นใหนักเรียนลงมือปฏิบัติ ตามขั้นตอนการเขียนโปรแกรม ดังนี้ 1) การออกแบบขั้นตอนการทํางานของ โปรแกรม ประกอบดวย 3 ลักษณะ คือ 1.1) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชภาษาธรรมชาติ 1.2) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชรหัสจําลอง 1.3) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชผังงาน 2) การเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานดวย ภาษาไพทอน 3. ครูอธิบายการทํางานของโปรแกรมตาม หนังสือเรียนใหนักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น และอธิบายจุดสังเกตจากการเขียนโปรแกรม โดยใชคําสั่ง print( ) วา การทํางานของ โปรแกรมจะแสดงผลขอมูลที่อยูในเครื่องหมาย อัญประกาศ (“ ”) ของคําสั่ง print( ) และ การใชงานคําสั่ง print( ) เมื่อแสดงผลเรียบรอย แลวจะทําการขึ้นบรรทัดใหมให 1 บรรทัด เกร็ดแนะครู ครูอาจใหการบานนักเรียนเปนการทดลองเขียนโปรแกรมสรางตัวอักษร รูปภาพแบบใหมขึ้นมา แลวนําผลงานที่ไดของนักเรียนแตละคนออกมานําเสนอ พรอมอธิบายแนวคิดในการออกแบบและการสื่อความหมาย ซึ่งถือเปนกิจกรรม ที่มีความทาทายและนาสนใจสําหรับบทเรียนนี้ หากตองการใชคําสั่ง print( ) สราง ภาพนี้ ขอความในบรรทัดแรกจะตองใช รหัสควบคุม \\ ทั้งหมดกี่ชุด 1. 2 ชุด 2. 4 ชุด 3. 6 ชุด 4. 8 ชุด (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอความภาพในบรรทัดแรกมีเครื่องหมาย \ จํานวน 8 ตัว เราตอง ใชรหัสควบคุม \\ 1 ชุดตอการแสดงผลตัวอักขระ \ 1 ตัว ทาง หนาจอในการแสดงผลเครื่องหมาย \ 8 ตัว ตองใชรหัสควบคุม \\ จํานวน 8 ชุด ดังนั้น ตอบขอ 4.) \ \ \ \ \ \ \ \ d [ ʘ ] _ [ ʘ ] b ( _ _ _3_ _ _) นํา สอน สรุป ประเมิน T49


การเขียนคําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ 2 ตองการใชโปรแกรมภาษาไพทอนเพื่อคํานวณหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทยเปนเงิน ดอลลาร โดยการรับคาเงินไทยที่ตองการคํานวณเปนเงินดอลลาร และอัตราแลกเปลี่ยน เงินไทยเปนเงินดอลลารทางแปนพิมพ แลวแสดงผลเงินดอลลารที่คํานวณไดทาง หนาจอ โดยใหแสดงผล ดังนี้ 2 ตัวอยาง ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ คํานวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทยเปนเงินดอลลาร ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ปอนอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทยตอเงินดอลลาร : <<input>> ปอนจํานวนเงินไทย : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ คํานวณเปนเงินดอลลารได : <<output>> ดอลลาร ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มทํางาน 2 นําเขาขอมูลอัตราแลกเปลี่ยน 3 นําเขาขอมูลเงินบาท 4 คํานวณเงินดอลลาร = เงินบาท ÷ อัตราแลกเปลี่ยน 5 แสดงผลเงินดอลลาร 6 จบการทํางาน รหัสจําลอง 1 START 2 INPUT rate 3 INPUT baht 4 COMPUTE dollar = baht / rate 5 OUTPUT dollar 6 STOP 1. การออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม 44 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน อธิบายความรู 4. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางที่ 2 เกี่ยวกับ การเขียนคําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางาน แบบเรียงลําดับในหนังสือเรียน เพื่อเขียน คําสั่งคํานวณหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทย เปนเงินดอลลาร จากนั้นใหนักเรียนลงมือ ปฏิบัติตามขั้นตอนการเขียนโปรแกรม ดังนี้ 1) การออกแบบขั้นตอนการทํางานของ โปรแกรม ประกอบดวย 3 ลักษณะ คือ 1.1) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชภาษาธรรมชาติ 1.2) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชรหัสจําลอง 1.3) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชผังงาน 2) การเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานดวย ภาษาไพทอน เกร็ดแนะครู ครูอาจจะแบงกลุมใหนักเรียนเขียนโปรแกรมคํานวณอัตราแลกเปลี่ยนของ สกุลเงินของประเทศตางๆ เพื่อใหนักเรียนไดฝกเขียนโปรแกรมจากโจทยที่มี ความหลากหลายมากขึ้น และเพื่อเปนพื้นฐานที่ดีในการฝกเขียนโปรแกรมที่ ซับซอนขึ้นในเนื้อหาสวนถัดไปที่จะตองเรียน ใหนักเรียนแกไขโปรแกรมเพิ่มเติมเปนการนําคาเงินบาท ไปคํานวณอัตราแลกเปลี่ยนเงิน 3 สกุล คือ ดอลลาร เยน ยูโร โดยที่กระบวนการทํางานของโปรแกรม คือ นําคาเงินบาทที่รับจาก ทางแปนพิมพไปคํานวณและแสดงผลอัตราแลกเปลี่ยนออกมาทาง หนาจอเปนเงินทั้ง 3 สกุล ตามลําดับ นํา สอน สรุป ประเมิน T50


ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน START STOP rate baht dollar = baht / rate dollar ผังงาน 45 เกร็ดแนะครู นอกจากการเขียนภาษาธรรมชาติ รหัสจําลอง และผังงานแลว สิ่งที่จะชวย สรางความเขาใจในการเขียนโปรแกรม คือ การเขียนคําอธิบายการทํางานแตละ บรรทัด ครูอาจจะทําตัวอยางโปรแกรมพรอมคําอธิบายการทํางานมาใหนักเรียน ไดศึกษาหลายๆ ตัวอยาง เพื่อใหเกิดความคุนเคยและความเขาใจการทํางาน ในแตละขั้นตอนของโปรแกรม ซึ่งถือเปนประสบการณพื้นฐานที่จําเปนใน การเขียนโปรแกรม ขั้นสอน อธิบายความรู้ 5. ครูอธิบายการทํางานของโปรแกรมตามหนังสือ เรียน ใหนักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น และอธิบาย จุดสังเกตจากการเขียนโปรแกรมวา การใช เครื่องหมายเทากับ ( = ) เปนการนําขอมูล หรือผลที่ไดทางฝงขวาของเครื่องหมายมา เก็บไวในตัวแปรทางฝงซายของเครื่องหมาย เชน - score = 25 หมายถึง ใหนําขอมูล 25 มา เก็บในตัวแปร score - area = width * length หมายถึง ใหนํา คาที่เก็บไวในตัวแปร width มาคูณกับคาที่ เก็บในตัวแปร length แลวนําผลที่ไดไป เก็บไวในตัวแปร area และการใช %.2f เปนการกําหนดรูปแบบการแสดงผลตัวเลข จํานวนจริงหรือตัวเลขทศนิยมโดยกําหนด ใหแสดงจํานวนทศนิยม 2 ตําแหนง โดย จะสังเกตจํานวนของตําแหนงของทศนิยม ไดจากตัวเลขหลังจุดในที่นี้ คือ เลข 2 แต ถาตองการใหแสดงทศนิยม 4 ตําแหนง ก็จะเลือกใช %.4f fstn = input("ระบุความกวาง(cm): ") sndn = input("ระบุความยาว(cm): ") peri = (int(fstn) + int(sndn)) * 2 print("ความยาวรอบรูปคือ ", peri, "cm") โคดโปรแกรมที่เขียนขึ้นดานบนมีวัตถุประสงคตรงกับขอใดตอไปนี้ 1. หาความยาวรอบรูปของรูปเหลี่ยมรูปวาว 2. หาความยาวรอบรูปของรูปเหลี่ยมคางหมู 3. หาความยาวรอบรูปของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา สี่เหลี่ยมดานขนาน 4. หาความยาวรอบรูปของรูปเหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยม ขนมเปยกปูน (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การรับ คาความกวางและความยาว แลวนํามาคํานวณดวยสูตร (ความ กวาง + ความยาว) × 2 ตรงกับวิธีการหาความยาวรอบรูปของ รูปสี่เหลี่ยมผืนผาและรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ดังนั้น ตอบขอ 3.) นํา สอน สรุป ประเมิน T51


ขอสอบเนนการคิด จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "ค�ำนวณอัตรำแลกเปลี่ยนเงินไทยเป็นเงินดอลลำร์" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "ป้อนอัตรำแลกเปลี่ยนเงินไทยต่อเงินดอลลำร์ :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูล เรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็นเลขจ�ำนวนจริงด้วยค�ำสั่ง float( ) แล้วเก็บใน ตัวแปร rate บรรทัดที่ 5 แสดงผล "ป้อนจ�ำนวนเงินไทย :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็น เลขจ�ำนวนจริงด้วยค�ำสั่ง float( ) แล้วเก็บในตัวแปร baht บรรทัดที่ 6 ค�ำนวณโดยกำรน�ำค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร baht มำหำรด้วยค่ำที่อยู่ในตัวแปร rate แล้วน�ำผลที่ค�ำนวณได้เก็บในตัวแปร dollar บรรทัดที่ 7 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 8 แสดงผล "ค�ำนวณเป็นเงินดอลลำร์ที่มีทศนิยม 2 ต�ำแหน่ง" โดยน�ำค่ำที่เก็บ ในตัวแปร dollar มำแสดง บรรทัดที่ 9 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" และจบกำรท�ำงำน จุดสังเกต 1. กำรใช้เครื่องหมำยเท่ำกับ ( = ) จะเห็นได้ว่ำ กำรท�ำงำนจะเป็นกำรท�ำงำนทำงฝั่งขวำ ของเครื่องหมำย แล้วน�ำผลที่ได้มำเก็บในตัวแปรทำงฝั่งซ้ำยของเครื่องหมำย 2. %.2f มีกำรก�ำหนดรูปแบบกำรแสดงผลเป็นเลขจ�ำนวนจริงทศนิยม 2 ต�ำแหน่ง โดยจะสำมำรถสังเกตจ�ำนวนต�ำแหน่งของทศนิยมได้จำกตัวเลขหลังจุด ในที่นี้ คือ เลข 2 46 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม ความสนใจในการเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับโครงสราง การทํางานแบบเรียงลําดับ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลของนักเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 แสดงขอความ “ใสคาเฉลี่ย : ” หยุดรับขอมูลจากแปนพิมพ แลวนําขอมูลที่ไดมาแปลงเปนเลขจํานวนจริง จากนั้นจึงแปลง ขอมูลเปนเลขจํานวนเต็ม แลวเก็บคาไวที่ตัวแปร val ขอความขางตนเปนการอธิบายการทํางานของคําสั่งในขอใด 1. val = input (float (int ("ใสคาเฉลี่ย : "))) 2. val = input (int (float ("ใสคาเฉลี่ย : "))) 3. val = float (int (input ("ใสคาเฉลี่ย : "))) 4. val = int (float (input ("ใสคาเฉลี่ย : "))) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ลําดับ ขั้นตอนของโปรแกรมที่ทํางานตรงตามคําอธิบาย จะไลลําดับ การทํางานจากวงเล็บในสุด คือ “ใสคาเฉลี่ย :” input() float() int() และ val = ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. ครูสุมนักเรียน 9 คน เพื่ออธิบายการทํางานของ โปรแกรมตามหนังสือเรียนใหนักเรียนเขาใจ เพิ่มมากขึ้น 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 3. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การเขียนโปรแกรม การทํางานแบบเรียงลําดับ ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ นํา สอน สอน สรุป ประเมิน T52


3.2 โครงสร้างการท�างานแบบเลือกท�า (Selection Structure) โครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบเลือกท�ำ หรือโครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบมีเงื่อนไข เป็นลักษณะ กำรท�ำงำนของโปรแกรมที่มีกระบวนกำรท�ำงำนที่จะต้องมีกำรตัดสินใจ หรือต้องมีกำรพิสูจน์ ตรวจสอบผ่ำนเงื่อนไขใด ๆ เสียก่อน ทั้งนี้รูปแบบโครงสร้ำงกำรท�ำงำนของโปรแกรมแบบเลือกท�ำ สำมำรถแบ่งออกได้ ดังนี้ 1. แบบ SingleSelection เป็นลักษณะกระบวนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ที่ต้องมีกำรพิสูจน์ เงื่อนไข 1 ครั้ง และหำกผลของกำรพิสูจน์เงื่อนไขที่ได้ออกมำเป็นจริง ก็จะท�ำงำนตำมวัตถุประสงค์ หรือค�ำสั่งที่ต้องกำร แต่ถ้ำผลจำกกำรพิสูจน์เงื่อนไขเป็นเท็จ ก็จะไม่ท�ำงำนใด ๆ เลย โดยมีลักษณะ กำรเขียนผังงำนและค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนภำษำไพทอนได้ ดังนี้ ค�ำสั่งกำรท�ำงำนภำยใต้เงื่อนไข if จะต้องอยู่ในย่อหน้ำใหม่ โดยค�ำสั่งกำรท�ำงำนใดก็ตำม ถ้ำต้องกำรให้อยู่ภำยใต้กำรท�ำงำนของ if เดียวกัน จะต้องย่อหน้ำใหม่ทุกครั้ง และกำร ท�ำงำนของ if จะจบ เมื่อไม่มีกำรต่อย่อหน้ำใหม่ Com Sci Focus ¡ÒÃ㪌§Ò¹¤ÓÊÑè§à§×èÍ¹ä¢ if กำรท�ำงำนของค�ำสั่ง if จะเริ่มจำกกำรพิสูจน์หรือตรวจสอบเงื่อนไข โดยถ้ำผลจำกกำร พิสูจน์หรือตรวจสอบเป็นจริง โปรแกรมจะท�ำงำนตำมค�ำสั่งกำรท�ำงำนที่เขียนไว้ การเขียนผังงาน ค�าสั่งภาษาไพทอน if เงื่อนไข : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ....... ....... เงื่อนไข False ค�าสั่ง True 47 เกร็ดแนะครู การตรวจสอบดวยเงื่อนไขในการเขียนโปรแกรมเปนเหมือนการตั้งคําถาม ในการตัดสินใจในชีวิตประจําวัน เชน วันนี้เปนอยากรับประทานไอศกรีมหรือไม ทางเลือกที่จะตัดสินใจก็จะขึ้นอยูกับคําตอบที่ไดรับ กรณีถาคําตอบ คือ ใช ก็จะ มีการตัดสินใจซื้อไอศกรีมมารับประทานเปนขั้นตอนตอไป ถาคําตอบ คือ ไมใช ก็จะไมมีอะไรเกิดขึ้น เพราะไมไดซื้อไอศกรีมมารับประทาน ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. นักเรียนสืบคนขอมูลและศึกษาเนื้อหา เรื่อง การ ทํางานแบบ Single Selection จากหนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ต 2. นักเรียนศึกษาความรูเสริม (Com Sci Focus) จากเนื้อหาเพื่อขยายความรูของผูเรียน เรื่อง การใชงานคําสั่งเงื่อนไข if ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. ครูทบทวนความรูเดิมจากชั่วโมงที่ผานมา เกี่ยวกับโครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ 2. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงเขาสูบทเรียนวา โครงสรางการทํางานแบบเลือกทํา เปนลักษณะ การทํางานของโปรแกรมที่มีกระบวนการทํางาน ที่จะตองมีการตัดสินใจหรือตองมีการพิสูจน ตรวจสอบผานเงื่อนไขใดๆ โดยสามารถแบง ออกได 3 รูปแบบ คือ 1) แบบ Single Selection 2) แบบ Double Selection 3) แบบ Multiple Selection 3. ครูสุมถามนักเรียนวา นักเรียนรูหรือไมวา การทํางานแบบเลือกทํามีการทํางานอยางไร (แนวตอบ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ ครูผูสอน) กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนเขียนผังงานที่มีคําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Single Selection แสดงกระบวนการในการตัดสินใจจากเหตุการณใน ชีวิตประจําวันมา 1 ผังงาน เชน วันหยุดนี้จะออกไปเที่ยวกับเพื่อน หรือไม นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T53


ขอสอบเนนการคิด ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ตรวจสอบเลขคู่ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ป้อนตัวเลข : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เป็นเลขคู่หรือไม่แสดงข้อมูลใด ๆ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มท�ำงำน 2 น�ำเข้ำข้อมูลตัวเลข 3 ตรวจสอบเงื่อนไข โดยตัวเลขที่น�ำ เข้ำไปหำรด้วย 2 แล้วเศษเท่ำกับ 0 จริงหรือไม่ 4 ถ้ำเศษที่ได้เป็น 0 ให้แสดงผล "เลขคู่" 5 ถ้ำเศษไม่เท่ำกับ 0 ให้จบกำรท�ำงำน รหัสจ�าลอง 1 START 2 INPUT number 3 IF (number % 2) == 0 THEN 4 OUTPUT "เป็นเลขคู่" 5 STOP 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม START STOP number (number % 2) = = 0 "เป็นเลขคู่" ผังงาน ตัวอย่าง False True การเขียนค�าสั่งควบคุมการท�างานแบบ Single Selection ต้องการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอนเพื่อตรวจสอบตัวเลขที่ผู้ใช้ป้อนทางแป้นพิมพ์ว่าเป็น เลขคู่ โดยให้แสดงผล ดังนี้ 48 ขั้นสอน สํารวจคนหา 3. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางการเขียน คําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางานแบบ Single Selection ในหนังสือเรียน เพื่อตรวจสอบตัวเลข ที่ผูใชปอนทางแปนพิมพวาเปนเลขคู จากนั้น ใหนักเรียนลงมือปฏิบัติตาม โดยออกแบบ ขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม และเขียน คําสั่งควบคุมการทํางานดวยภาษาไพทอน เกร็ดแนะครู ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูควรเนนใหนักเรียนเขาใจจุดสําคัญ ของคําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Single Selection เพื่อไมใหเกิดความสับสน เมื่อเรียนคําสั่งควบคุมการทํางานแบบอื่นๆ เพิ่มในเนื้อหาถัดไป เนื่องจาก โครงสรางการทํางานแบบเลือกทํานั้นมีหลายรูปแบบ การที่นักเรียนไดเห็นภาพ กระบวนการทํางานของคําสั่งแตละแบบจากผังงานจะชวยใหเขาใจความแตกตาง ของคําสั่งไดมากขึ้นจากการเปรียบเทียบผังงาน เงื่อนไข และผลลัพธของคําสั่ง การทํางานแบบเลือกทําแตละคําสั่ง สวนของผังงานในขอใดไมใชเงื่อนไขคําสั่งควบคุมการทํางาน แบบ Single Selection 1. 3. 2. 4. (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา กระบวนการทํางานแบบ Single Selection ถาเงื่อนไขเปน “เท็จ” จะไมทํางานใดๆ เลย ดังนั้น ตอบขอ 2.) อธิบายความรู 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา การทํางานแบบ Single Selection เปนการทํางานที่ตองมีการพิสูจน เงื่อนไข 1 ครั้ง และหากผลของการพิสูจน เงื่อนไขเปนจริงจะทําตามคําสั่งที่กําหนดให แตถาผลของการพิสูจนเงื่อนไขเปนเท็จก็จะไม ทํางานใดๆ N Y N Y N Y NY นํา สอน สรุป ประเมิน T54


ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "ตรวจสอบเลขคู่" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "ป้อนตัวเลข :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็น เลขจ�ำนวนเต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) แล้วเก็บในตัวแปร number บรรทัดที่ 5 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 6 ท�ำกำรพิสูจน์โดยกำรน�ำค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร number มำท�ำกำรหำร โดยเอำเฉพำะเศษ แล้วพิสูจน์ว่ำมีค่ำเท่ำกับ 0 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ ท�ำบรรทัดที่ 7 แต่กรณีเป็นเท็จจะท�ำงำนล�ำดับถัดไปในบรรทัดที่ 8 บรรทัดที่ 7 แสดงผล "เป็นเลขคู่" (โดยบรรทัดที่ 7 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์บรรทัด ที่ 6 เป็นจริง) บรรทัดที่ 8 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" และจบกำรท�ำงำน 49 เกร็ดแนะครู ครูควรฝกใหนักเรียนเขียนอธิบายการทํางานของคําสั่ง if ในโปรแกรม ตัวอยางที่ใชสอนใหชํานาญ โดยเนนการอธิบายดวยภาษาที่เขาใจงาย ลําดับ ขั้นตอนถูกตอง ครบถวน ซึ่งจะเปนผลดีตอการวิเคราะหโปรแกรมที่มีความ ซับซอนในบทเรียนสวนที่เหลือดวย คําสั่ง if เปนคําสั่งเงื่อนไขสําคัญในการเขียน โปรแกรม นักเรียนจึงจําเปนตองเขาใจการทํางานของคําสั่งเงื่อนไขแตละตัว ใหชัดเจน เพื่อที่จะไดสามารถเลือกใชในการเขียนโปรแกรมไดอยางเหมาะสม ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ครูใหนักเรียนตรวจสอบ และทําความเขาใจ การทํางานของโปรแกรมตรวจสอบเลขคูแตละ บรรทัด ขยายความเข้าใจ 1. ครูสุมนักเรียน 8 คน เพื่ออธิบายการทํางาน ของโปรแกรมแตละบรรทัดตามหนังสือเรียน ใหนักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 3. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การทํางานแบบ Single Selection โดยใหนักเรียนออกแบบขั้นตอนการ ทํางานของโปรแกรมและเขียนโปรแกรมภาษา ไพทอนตามการทํางานแบบ Single Selection ขอใดเขียนคําสั่งผิด 1. If (( sumx < sumy)) : 2. If (( sumx = sumy)) : 3. If (( sumx != sumy)) : 4. If (( sumx >= sumy)) : (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การใช ตัวดําเนินการเปรียบเทียบคาตัวแปรในคําสั่ง if กรณี “เทากับ” จะใช “==” ดังนั้น ตอบขอ 2.) นํา สอน สรุป ประเมิน T55


2. แบบ Double Selection เป็นลักษณะกระบวนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ที่ต้องมีกำร พิสูจน์เงื่อนไข 1 ครั้ง และหำกผลของกำรพิสูจน์เงื่อนไขที่ได้ออกมำเป็นจริง ก็จะท�ำค�ำสั่งหนึ่ง หำกเป็นเท็จก็จะท�ำอีกค�ำสั่งหนึ่งตำมวัตถุประสงค์ที่ต้องกำร โดยมีลักษณะกำรเขียนผังงำนและ ค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนภำษำไพทอนได้ ดังนี้ ค�ำสั่งกำรท�ำงำนภำยใต้เงื่อนไข else จะต้องอยู่ในย่อหน้ำใหม่ โดยค�ำสั่งกำรท�ำงำนใดก็ตำม ถ้ำต้องกำรให้อยู่ภำยใต้กำรท�ำงำนของ else เดียวกัน จะต้องย่อหน้ำใหม่ทุกครั้ง และกำร ท�ำงำนของ else จะจบเมื่อไม่มีกำรต่อย่อหน้ำใหม่ เช่นเดียวกับกำรท�ำงำนของ if Com Sci Focus ¡ÒÃ㪌§Ò¹¤ÓÊÑè§à§×èÍ¹ä¢ if-else กำรท�ำงำนของค�ำสั่ง if-else จะเริ่มจำกกำรพิสูจน์หรือตรวจสอบเงื่อนไข if ถ้ำผลจำก กำรพิสูจน์หรือตรวจสอบเป็นจริง จะท�ำค�ำสั่งกำรท�ำงำน แต่ถ้ำผลจำกกำรพิสูจน์หรือตรวจสอบ เงื่อนไขเป็นเท็จ จะท�ำค�ำสั่งกำรท�ำงำนหลัง else การเขียนผังงาน ค�าสั่งภาษาไพทอน if เงื่อนไข : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ....... ....... else : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ....... ....... เงื่อนไข ค�าสั่ง ค�าสั่ง ค�าสั่ง False True 50 ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูทบทวนเนื้อหาการเรียนเมื่อชั่วโมงที่แลว เกี่ยวกับโครงสรางการทํางานแบบ Single Selection 2. นักเรียนศึกษาการทํางานแบบ Double Selection จากหนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติม จากอินเทอรเน็ต โดยใหนักเรียนสังเกตการ เขียนผังงานและคําสั่งภาษาไพทอน เกร็ดแนะครู เพื่อความเขาใจที่ชัดเจนของนักเรียน หลังจากที่นักเรียนทําความเขาใจ คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Double Selection แลว ครูอาจจะใหนักเรียน ลองวิเคราะหเปรียบเทียบขอแตกตางของการทํางานแบบเลือกทําทั้ง 2 แบบ ทั้งขอดี-ขอเสีย เพื่อใหเกิดความเขาใจในการนําไปใชไดอยางเหมาะสม กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนเขียนผังงานที่มีคําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Double Selection แสดงกระบวนการในการตัดสินใจจากเหตุการณใน ชีวิตประจําวันมา 1 ผังงาน เชน วันหยุดนี้จะออกไปเที่ยวกับเพื่อน หรืออยูบานทํารายงานสงคุณครูใหเสร็จ อธิบายความรู 1. นักเรียนศึกษาความรูเสริม (Com Sci Focus) จากเนื้อหาเพื่อขยายความรูของผูเรียน เรื่อง การใชงานคําสั่งเงื่อนไข if-else วาคําสั่งการ ทํางานภายใตเงื่อนไข else จะตองอยูใน ยอหนาใหม โดยคําสั่งการทํางานใดก็ตาม ถาตองการใหอยูภายใตการทํางานของ else เดียวกัน จะตองยอหนาใหมทุกครั้ง และการ ทํางานของ else จะจบเมื่อไมมีการตอยอหนา ใหม เชนเดียวกับการทํางานของ if นํา สอน สรุป ประเมิน T56


ตัวอย่าง การเขียนค�าสั่งควบคุมการท�างานแบบ Double Selection ต้องการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอนเพื่อค�านวณส่วนลดราคาสินค้า โดยการป้อนชื่อสินค้า ราคาสินค้าต่อชิ้น และจ�านวนสินค้าที่ซื้อทางแป้นพิมพ์ แล้วค�านวณส่วนลดของราคาสินค้า ที่ซื้อทั้งหมดว่าลดเป็นจ�านวนเงินเท่าไร โดยมีเงื่อนไขว่า กรณีซื้อสินค้าตั้งแต่ 10 ชิ้นขึ้นไป จะได้รับส่วนลด 5% ซื้อไม่ถึง 10 ชิ้น จะได้รับส่วนลด 3% โดยให้แสดงผล ดังนี้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ค�ำนวณส่วนลดรำคำสินค้ำ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ป้อนชื่อสินค้ำ : <<input>> ป้อนรำคำสินค้ำต่อชิ้น : <<input>> ป้อนจ�ำนวนสินค้ำที่ซื้อ : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ส่วนลดทั้งหมดเป็นเงิน <<output>>บำท ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มท�ำงำน 2 น�ำข้อมูลเข้ำ ชื่อสินค้ำ 3 น�ำข้อมูลเข้ำ รำคำสินค้ำต่อชิ้น 4 น�ำข้อมูลเข้ำ จ�ำนวนสินค้ำที่ซื้อ 5 ตรวจสอบจ�ำนวนสินค้ำที่น�ำเข้ำมำ ถ้ำมีมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 10 ให้ท�ำข้อ 6 แต่ถ้ำน้อยกว่ำให้ท�ำข้อ 7 6 ค�ำนวณ ส่วนลดรำคำสินค้ำ = (รำคำสินค้ำต่อชิ้น × จ�ำนวนสินค้ำ) × 5 ÷ 100 7 ค�ำนวณ ส่วนลดรำคำสินค้ำ = (รำคำสินค้ำต่อชิ้น × จ�ำนวนสินค้ำ) × 3 ÷ 100 8 แสดงส่วนลดรำคำสินค้ำ 9 จบกำรท�ำงำน 51 กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนคิดเงื่อนไขในการขายสินคาแบบ Double Selection มาคนละ 2 เงื่อนไข เชน ซื้อตั้งแต 12 ชิ้นขึ้นไป ไดราคาชิ้นละ 32 บาท ซื้อไมถึง 12 ชิ้น ไดราคาชิ้นละ 40 บาท เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหโจทยกวางๆ 1 ขอ เพื่อใหนักเรียนลองเขียนโปรแกรมเปน 2 แบบ คือ คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Single Selection และแบบ Double Selection โดยใหนักเรียนเปนผูกําหนดเงื่อนไขเอง เชน การคิดคาธรรมเนียมการสงของจาก นํ้าหนักพัสดุ แบบ Single Selection นักเรียนอาจตั้งเงื่อนไขเองวา พัสดุนํ้าหนัก มากกวา 1 กิโลกรัมหรือไม ถาใช ใหแจงวา นํ้าหนักเกินตองจายคาธรรมเนียม ถาไมใช ใหจบการทํางาน คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Double Selection นักเรียนอาจตั้งเงื่อนไขเองวา พัสดุนํ้าหนักนอยกวา 1 กิโลกรัมหรือไม ถาใช ใหแจงวา ไมเสียคาธรรมเนียม ถาไมใช ใหแจงวา นํ้าหนักเกินตองจาย คาธรรมเนียม ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางการเขียน คําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางานแบบ Double Selection ในหนังสือเรียน เพื่อคํานวณสวนลด ราคาสินคาตามเงื่อนไขที่กําหนดให จากนั้น ใหนักเรียนลงมือปฏิบัติตามโดยออกแบบ ขั้นตอนการทํางานของโปรแกรมและเขียน คําสั่งควบคุมการทํางานดวยภาษาธรรมชาติ นํา สอน สรุป ประเมิน T57


ขอสอบเนนการคิด รหัสจ�าลอง 1 START 2 INPUT productName 3 INPUT productPrice 4 INPUT productQuantity 5 IF (productQuantity > = 10) THEN 6 COMPUTE productSale = (productPrice * productQuantity) * 5 / 100 7 COMPUTE productSale = (productPrice * productQuantity) * 3 / 100 8 OUTPUT productSale 9 STOP START STOP productName productPrice productQuantity productQuantity > = 10 productSale = (productPrice * productQuantity) * 5 / 100 productSale = (productPrice * productQuantity) * 3 / 100 productSale ผังงาน Yes No 52 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 3. ครูอธิบายเพิ่มเติม เพื่อใหนักเรียนเขาใจ เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการทํางานแบบ Double Selection วา การทํางานแบบ Double Selection เปนการทํางานของโปรแกรมที่ตอง มีการพิสูจนเงื่อนไข 1 ครั้ง และหากผลของการ พิสูจนเงื่อนไขเปนจริง จะทําตามคําสั่งที่อยู ตอจากเงื่อนไข แตถาผลของการพิสูจนเงื่อนไข เปนเท็จ จะทําตามคําสั่งที่อยูตอจากคําสั่ง else แทน เชน if(grade == “F”): ถาไดเกรดเทากับ F ให... print("fail") แสดงขอความ “ตก” else : กรณีนอกจากนั้น ให... print("pass") แสดงขอความ “ผาน” 4. ครูอธิบายเชื่อมโยงขั้นตอนการทํางานของรหัส จําลองกับแผนภาพตัวอยางในหนังสือเรียนวา ตัวแปรที่ใชในการตรวจสอบเงื่อนไขของ โปรแกรมคํานวณสวนลดราคาสินคา คือ productQuantity หมายถึง จํานวนสินคา ที่ลูกคาซื้อ ซึ่งถูกนํามาตรวจสอบเงื่อนไขใน บรรทัดที่ 5 ของรหัสจําลอง และขั้นตอนการ ทํางานลําดับที่ 5 ของผังงาน เกร็ดแนะครู ครูควรเตรียมตัวอยางผังงานที่มีการใชสัญลักษณการตัดสินใจใหนักเรียน ไดศึกษาการใชงานในหลายๆ ลักษณะ โดยใหมีโครงสรางการทํางานแบบ เลือกทําครบทุกแบบ เพื่อความเขาใจที่ชัดเจน และปองกันความผิดพลาดจาก ความสับสนในการนําไปเขียนโปรแกรมโดยใชคําสั่ง if-else ขอใดเปนการนําสัญลักษณการตัดสินใจไปใชผิดรูปแบบของผังงาน 1. 3. 2. 4. (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การใช สัญลักษณการตัดสินใจมาใชในผังงานนั้นจะมีลูกศรแสดงทางเลือก เพียง 2 ทาง คือ กรณีเปนจริงกับเท็จ ดังนั้น ตอบขอ 3.) N N N N Y Y Y Y นํา สอน สรุป ประเมิน T58


ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "ค�ำนวณส่วนลดรำคำสินค้ำ" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "ป้อนชื่อสินค้ำ :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะเก็บในตัวแปร productName 53 เกร็ดแนะครู ครูควรใหนักเรียนฝกเขียนการอธิบายขั้นตอนการทํางานของโปรแกรมแตละ บรรทัดอยางตอเนื่องในทุกบทเรียน จะชวยใหนักเรียนมีทักษะในการวิเคราะห โคดโปรแกรมที่มีความซับซอนไดดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการอธิบายการทํางานของ คําสั่งเงื่อนไขในแตละแบบในการเขียนโปรแกรม ซึ่งจะชวยใหนักเรียนมีทักษะ ในวิเคราะหการทํางานของชุดคําสั่งที่ถูกเขียนขึ้นภายในโปรแกรมไดอยางรวดเร็ว ขั้นสอน อธิบายความรู้ 5. ครูใหนักเรียนตรวจสอบ และทําความเขาใจ การทํางานของโปรแกรมคํานวณสวนลดราคา สินคาแตละบรรทัด if (score >= 300): print("pass") else : print("fail") จากโคดดานบน ถากําหนดคา score = 289 คําสั่งในบรรทัดใด จะไมถูกเรียกใชงาน 1. บรรทัดที่ 1 3. บรรทัดที่ 3 2. บรรทัดที่ 2 4. บรรทัดที่ 4 (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา คําสั่ง ที่อยูในบรรทัดถัดจากคําสั่ง if จะเปนคําสั่งที่จะทํางานเมื่อพิสูจน เงื่อนไขแลวออกมาเปนจริง โดยเงื่อนไขจะเปนจริงเมื่อคา score มากกวาหรือเทากับ 300 จากโจทย คา score = 289 ทําใหเงื่อนไข เปนเท็จ คําสั่งในบรรทัดที่ 2 จึงไมถูกเรียกใชงาน ดังนั้น ตอบขอ 2.) นํา สอน สรุป ประเมิน T59


ขอสอบเนนการคิด บรรทัดที่ 5 แสดงผล "ป้อนรำคำสินค้ำต่อชิ้น :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็น เลขจ�ำนวนจริงด้วยค�ำสั่ง float( ) แล้วเก็บในตัวแปร productPrice บรรทัดที่ 6 แสดงผล "ป้อนจ�ำนวนสินค้ำที่ซื้อ :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็น เลขจ�ำนวนเต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) แล้วเก็บในตัวแปร productQuantity บรรทัดที่ 7 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 8 ท�ำกำรพิสูจน์โดยกำรน�ำค่ำที่เก็บในตัวแปร productQuantity มำพิสูจน์ว่ำ มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 10 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัดที่ 9 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 11 บรรทัดที่ 9 ค�ำนวณโดยน�ำค่ำที่เก็บในตัวแปร productQuantity และ productPrice ไปค�ำนวณ แล้วเก็บผลที่ได้จำกกำรค�ำนวณในตัวแปร productSale (โดยบรรทัดที่ 9 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์บรรทัดที่ 8 เป็นจริง) บรรทัดที่ 10 แสดงค�ำสั่ง else บรรทัดที่ 11 ค�ำนวณโดยน�ำค่ำที่เก็บในตัวแปร productQuantity และ productPrice ไปค�ำนวณ แล้วเก็บผลที่ได้จำกกำรค�ำนวณในตัวแปร productSale (โดยบรรทัดที่ 11 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์บรรทัดที่ 8 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 12 แสดงผล "ส่วนลดทั้งหมดเป็นเงิน......บำท" โดยน�ำค่ำที่เก็บในตัวแปร productSale มำแสดง ณ ต�ำแหน่ง...... บรรทัดที่ 13 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" และจบกำรท�ำงำน จุดสังเกต บรรทัดที่ 12 และ 13 จะท�ำเสมอไม่ว่ำบรรทัดที่ 9 และบรรทัดที่ 11 จะท�ำหรือไม่ก็ตำม 54 ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. ครูสุมนักเรียน 13 คน เพื่ออธิบายการทํางาน ของโปรแกรมแตละบรรทัดตามหนังสือเรียน ใหนักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 3. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การทํางานแบบ Double Selection โดยใหนักเรียนออกแบบขั้นตอน การทํางานของโปรแกรม และเขียนโปรแกรม ภาษาไพทอนตามการทํางานแบบ Double Selection เกร็ดแนะครู ในการสอน เรื่อง การเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Double Selection ครูอาจจะใชภาษางายๆ ชวยอธิบายใหนักเรียนเขาใจการทํางานของคําสั่ง if-else ไดมากขึ้น เชน ถา ... เปนจริง ให ทําตามคําสั่ง 1 ถาไมจริง (เท็จ) ให ทําตามคําสั่ง 2 จงอานคําอธิบายการทํางานของโปรแกรมตอไปนี้ บรรทัดที่ 12 นําคาที่เก็บในตัวแปร total มาพิสูจนวามากกวาหรือ เทากับ 15 หรือไม กรณีเปนจริง ใหทําบรรทัดที่ 13 หากเปนเท็จ ใหทําบรรทัดที่ 14 จากตัวอยางขางตน เปนการอธิบายการทํางานของคําสั่ง if-else ขอใดควรจะเปนคําอธิบายคําสั่งในบรรทัดที่ 14 1. แสดงคําสั่ง else 2. แสดงผล “คะแนนผานเกณฑ” 3. แสดงผล “คะแนนตํ่ากวาเกณฑ” 4. นําคาในตัวแปร total มาแปลงเปนเลขจํานวนเต็มดวย คําสั่ง int( ) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา บรรทัด ที่ 13 ควรเปนคําสั่งที่ทํางานเมื่อผลการพิสูจนบรรทัดที่ 12 เปนจริง ดังนั้น บรรทัดที่ 14 จึงควรเปน แสดงคําสั่ง else ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T60


3. Multiple Selection เป็นลักษณะกระบวนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ที่ต้องมีกำรพิสูจน์ เงื่อนไขหลำยเงื่อนไข ทั้งนี้ในกำรพิสูจน์แต่ละเงื่อนไขนั้นจะเริ่มจำกกำรพิสูจน์เงื่อนไขแรก หำกได้ ผลเป็นจริง ก็จะท�ำงำนตำมวัตถุประสงค์ของเงื่อนไขนั้น และไม่ต้องพิสูจน์เงื่อนไขต่อไป หำกได้ ผลเป็นเท็จก็จะต้องพิสูจน์เงื่อนไขถัดไป และเมื่อได้ผลเป็นจริงก็จะท�ำงำนตำมวัตถุประสงค์ของ เงื่อนไขนั้น และไม่ต้องพิสูจน์เงื่อนไขต่อไป แต่หำกได้ผลเป็นเท็จอีกก็จะต้องพิสูจน์เงื่อนไขถัดไป ซึ่งจะมีกำรท�ำงำนในลักษณะที่กล่ำวมำไปเรื่อยๆ ยกเว้นเงื่อนไขสุดท้ำยที่ไม่ต้องพิสูจน์ เพรำะ เมื่อไม่มีเงื่อนไขใดเลยเป็นจริง ก็จะตรงกับเงื่อนไขสุดท้ำยโดยอัตโนมัติ ดังนั้น เงื่อนไขสุดท้ำย จึงไม่จ�ำเป็นต้องพิสูจน์ โดยสำมำรถแก้ปัญหำโดยใช้ค�ำสั่ง if-elif-else ซึ่งมีลักษณะกำรเขียนผังงำน และค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนภำษำไพทอนได้ ดังนี้ การเขียนผังงาน ค�าสั่งภาษาไพทอน if เงื่อนไขที่ 1 : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน 1 ....... elif เงื่อนไขที่ 2 : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน 2 ....... elif เงื่อนไขที่ 3 : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน 3 ....... elif เงื่อนไขที่ N : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน N ....... else : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน M ....... เงื่อนไข 1 เงื่อนไข 2 เงื่อนไข 3 เงื่อนไข N ค�าสั่ง ค�าสั่ง ค�าสั่ง ค�าสั่ง ค�าสั่ง False False False False True True True True 55 เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหนักเรียนทําตารางเปรียบเทียบการใชคําสั่งควบคุมการทํางาน ทั้ง 3 แบบ พรอมยกตัวอยางสถานการณในชีวิตจริงประกอบเพื่อใหเกิด ความเขาใจรายละเอียดที่แตกตางกันของแตละคําสั่ง และสามารถเลือกใช รูปแบบของคําสั่งใหเหมาะสมกับปญหาได ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. ครูทบทวนเนื้อหาการเรียนเมื่อชั่วโมงที่แลว เกี่ยวกับโครงสรางการทํางานแบบ Double Selection 2. นักเรียนศึกษาการทํางานแบบ Multiple Selection จากหนังสือ หรือสืบคนจาก อินเทอรเน็ต โดยใหนักเรียนสังเกตการเขียน ผังงาน และคําสั่งภาษาไพทอน กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 กลุม ตามความเหมาะสม โดยใหแตละกลุมชวยกันยกตัวอยางการคํานวณที่เหมาะกับการใช คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Multiple Selection มานําเสนอ กลุมละ 2 ตัวอยาง พรอมอธิบายเหตุผล นํา สอน สรุป ประเมิน T61


การเขียนค�าสั่งควบคุมการท�างานแบบ Multiple Selection ต้องการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอนเพื่อค�านวณเกรด โดยการป้อนคะแนนซึ่งเป็นเลข จ�านวนเต็มทางแป้นพิมพ์แล้วแสดงผลเกรดออกทางหน้าจอ โดยมีเงื่อนไขในการค�านวณ เกรด ดังนี้ คะแนนตั้งแต่ 80 ขึ้นไป ได้เกรด A คะแนนตั้งแต่ 70-79 ได้เกรด B คะแนนตั้งแต่ 60-69 ได้เกรด C คะแนนตั้งแต่ 50-59 ได้เกรด D คะแนนต�่ากว่า 50 ได้เกรด F โดยให้แสดงผล ดังนี้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ค�ำนวณเกรด ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ป้อนคะแนน : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เกรดที่ได้คือ A หรือ B หรือ C หรือ D หรือ F ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มท�ำงำน 2 น�ำข้อมูลเข้ำ คะแนนสอบ 3 ตรวจสอบ ถ้ำคะแนนสอบที่น�ำเข้ำมำมีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 80 จริงหรือไม่ กรณีเป็น จริง ให้ท�ำข้อ 3.1 กรณีเป็นเท็จให้ท�ำข้อ 3.2 3.1 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ A" 3.2 ตรวจสอบ ถ้ำคะแนนสอบที่น�ำเข้ำมำมีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 70 และน้อยกว่ำ หรือเท่ำกับ 79 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริง ให้ท�ำข้อ 3.3 กรณีเป็นเท็จให้ท�ำข้อ 3.4 ตัวอย่าง 56 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนเขาใจ เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการทํางานแบบ Multiple Selection วา การทํางานแบบ Multiple Selection เปนการทํางานของโปรแกรมที่ ตองมีการพิสูจนเงื่อนไขหลายเงื่อนไข โดย การพิสูจนจะเริ่มจากเงื่อนไขแรกกอน หากผล ของการพิสูจนเงื่อนไขเปนจริง จะทําตามคําสั่ง ที่กําหนดให และไมพิสูจนเงื่อนไขตอไป แตถา ผลของการพิสูจนเงื่อนไขเปนเท็จ จะตองพิสูจน เงื่อนไขอื่นตอไป ซึ่งจะมีการทํางานในลักษณะ ดังกลาวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเงื่อนไขสุดทาย ที่ไมตองพิสูจน เนื่องจากถาไมมีเงื่อนไขใด เปนจริงเลย ก็จะตรงกับเงื่อนไขสุดทายโดย อัตโนมัติ 2. ครูยกตัวอยางการทํางานแบบ Multiple Selection ในชีวิตประจําวันเพิ่มเติม เชน เกณฑการวัดระดับนํ้าตาลในเลือดหลังอาหาร มีหนวยเปน มิลลิกรัม/เดซิลิตร 60-99 คือ ปกติ 100-125 คือ เสี่ยงตอเบาหวาน มากวา 125 คือ เปนเบาหวาน เกร็ดแนะครู ครูอาจจะเตรียมตัวอยางโคดใหนักเรียนไดเห็นการใชคําสั่งควบคุมการทํางาน แบบ Multiple Selection ในหลายลักษณะในโจทยขอเดียวกัน เพราะการใช คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Multiple Selection นั้น สามารถเขียนโคดออกมา ไดหลายรูปแบบโดยที่ไดผลลัพธถูกตองเหมือนกัน นักเรียนจึงควรฝกวิเคราะห ขั้นตอนการทํางานของโคดแตละแบบ และเขียนอธิบายขั้นตอนการทํางาน แตละบรรทัดดวย กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนเขียนผังงานและโปรแกรมคํานวณระยะทางจาก บานไปโรงเรียน โดยรับคาประมาณเปนเลขจํานวนเต็มที่มีหนวย เปนกิโลเมตร แลวแสดงผลออกทางหนาจอ โดยมีเงื่อนไขในการ คํานวณ ดังนี้ ระยะทางไมเกิน 5 กิโลเมตร นับเปน ใกล ระยะทางมากกวา 5 แตไมเกิน 10 กิโลเมตร นับเปน ปานกลาง ระยะทางมากกวา 10 กิโลเมตร นับเปน ไกล นํา สอน สรุป ประเมิน T62


ขอสอบเนน การคิด 3.3 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ B" 3.4 ตรวจสอบ ถ้ำคะแนนสอบที่น�ำเข้ำมำมีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 60 และน้อยกว่ำ หรือเท่ำกับ 69 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริง ให้ท�ำข้อ 3.5 กรณีเป็นเท็จให้ท�ำข้อ 3.6 3.5 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ C" 3.6 ตรวจสอบ ถ้ำคะแนนสอบที่น�ำเข้ำมำมีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 50 และน้อยกว่ำ หรือเท่ำกับ 59 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริง ให้ท�ำข้อ 3.7 กรณีเป็นเท็จให้ท�ำข้อ 3.8 3.7 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ D" 3.8 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ F" 4 จบกำรท�ำงำน รหัสจ�าลอง 1 START 2 INPUT score 3 IF score > = 80 THEN 3.1 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ A" ELSE IF score > = 70 AND score < = 79 THEN 3.2 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ B" ELSE IF score > = 60 AND score < = 69 THEN 3.3 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ C" ELSE IF score > = 50 AND score < = 59 THEN 3.4 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ D" ELSE 3.5 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ F" 4 STOP 57 เกร็ดแนะครู ครูควรฝกใหนักเรียนระบุชวงคาของเงื่อนไขที่เปนจริงในการเขียนคําสั่ง if หลายๆ แบบ เชน ถาคะแนนอยูในชวง 20-29 ใหแสดงผลวา ปานกลาง ถาคะแนนอยูในชวง 30-50 ใหแสดงผลวา สูง ถาคาในตัวแปร x ไมเทากับ 1 ใหแสดงผล F เพื่อฝกทบทวนใหนักเรียนนําตัวดําเนินการเปรียบเทียบแบบตางๆ มาใชใหคลอง ขั้นสอน อธิบายความรู้ 3. นักเรียนตรวจสอบและทําความเขาใจการ ทํางานของรหัสจําลองในการออกแบบขั้นตอน การทํางานแบบ Multiple Selection จาก ตัวอยางในหนังสือเรียนใหเรียบรอย กอนจะ ไปศึกษาขั้นตอนการนําไปเขียนบนโปรแกรม ภาษาไพทอนในขั้นตอนตอไป กําหนดให ก. if (dist < 5): ข. if (dist < 6): ค. if (dist <= 6): ง. if (dist <= 5): เงื่อนไขของคําสั่ง if ในขอใดมีความหมายเหมือนกัน และ สามารถใชแทนกันได 1. ค. กับ ก. 3. ข. กับ ง. 2. ก. กับ ข. 4. ค. กับ ง. (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ ก. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาไมเกิน 4 ขอ ข. จะเปนจริงเมื่อ ตัวแปร dist มีคาไมเกิน 5 ขอ ค. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาไมเกิน 6 ขอ ง. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาไมเกิน 5 ขอ ข. กับ ง. สามารถใชแทนกันได ดังนั้น ตอบขอ 3.) นํา สอน สรุป ประเมิน T63


ขอสอบเนนการคิด ผังงาน START STOP No No No No Yes Yes Yes Yes score score > = 80 "เกรดที่ได้ คือ A" (score > = 70) and (score < = 79) "เกรดที่ได้ คือ B" (score > = 60) and (score < = 69) "เกรดที่ได้ คือ C" (score > = 50) and (score < = 59) "เกรดที่ได้ คือ D" "เกรดที่ได้ คือ F" 58 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 4. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา การเลือกใชรหัสจําลอง และผังงานในการออกแบบขั้นตอนการทํางาน แบบ Multiple Selection นักเรียนจะตอง ตรวจสอบการใชตัวดําเนินการเปรียบเทียบ ตางๆ ใหถูกตองตรงกับเงื่อนไขที่เลือกใช รวมถึงความถูกตองของลําดับการตรวจสอบ เงื่อนไขกอน-หลังดวย เพื่อไมใหเกิดความ ผิดพลาดในการนําไปใชในการเขียนโปรแกรม ภาษาไพทอนในขั้นตอนตอไป 5. ครูใหนักเรียนตรวจสอบ และทําความเขาใจ การทํางานของผังงานของโปรแกรมคํานวณ เกรดแตละบรรทัด เกร็ดแนะครู การใชตัวดําเนินการตรรกะในคําสั่ง if จะทําใหการตรวจสอบเงื่อนไขมี ความซับซอนในการทํางานเพิ่มขึ้น ซึ่งครูจําเปนตองจัดการเรียนการสอน ใหนักเรียนเกิดความเขาใจการทํางานของคําสั่งในสวนนี้ใหถูกตองชัดเจน เปนลําดับ โดยเฉพาะการเขียนอธิบายการทํางานของเงื่อนไขแตละบรรทัด ความซับซอนของเงื่อนไขอาจทําใหนักเรียนเขียนผังงานผิดได ครูอาจจะตอง ใหนักเรียนตรวจสอบเงื่อนไขในผังงานใหถูกตองกอนที่จะเขียนอธิบายการทํางาน ของโปรแกรม เงื่อนไขของคําสั่ง if ในขอใดมีการกําหนดชวงคาของเงื่อนไขที่ เปนจริงตางจากพวก 1. if ((dist > 9) and (dist < 20)) : 2. if ((dist < 20) and (dist >= 10)) : 3. if ((dist <= 19) and (dist >= 9)) : 4. if ((dist >= 10) and (dist <= 19)) : (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ ก. ขอ ข. ขอ ง. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาเปนจํานวนเต็มอยูใน ชวง 10 -19 ขอ ค. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาเปนจํานวนเต็ม อยูในชวง 9 -19 ดังนั้น ตอบขอ 3.) นํา สอน สรุป ประเมิน T64


ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "ค�ำนวณเกรด" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "ป้อนคะแนน :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ผู้ใช้งำน ได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็นเลขจ�ำนวน เต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) แล้วเก็บในตัวแปร score 59 เกร็ดแนะครู ครูควรใหนักเรียนลองฝกการเขียนคําสั่ง if โดยใชตัวดําเนินการตรรกะอื่นๆ นอกเหนือจาก and ดูดวย เพื่อฝกทําความเขาใจการทํางานของเงื่อนไขที่มี ความซับซอนใหมากขึ้น และฝกการเขียนคําอธิบายการทํางานของเงื่อนไขที่ มีความซับซอนใหถูกตองดวย การทําความเขาใจเนื้อหาในสวนนี้นักเรียนอาจ ตองใชเวลาในการทําความเขาใจพอสมควร ครูจึงตองพยายามใชวิธีการและ สื่อการสอนอธิบายและยกตัวอยางการทํางานใหนักเรียนเขาใจใหไดมากที่สุด ขั้นสอน อธิบายความรู้ 6. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางการเขียน คําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางานแบบ Multiple Selection ในหนังสือเรียน เพื่อ คํานวณเกรดโดยการปอนคะแนนซึ่งเปน เลขจํานวนเต็มทางแปนพิมพ แลวแสดงผล เกรดออกทางหนาจอตามเงื่อนไขที่กําหนดให จากนั้นใหนักเรียนลงมือปฏิบัติตามโดย ออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม และเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานดวยภาษา ไพทอน 7. ครูสุมนักเรียน 16 คน เพื่ออธิบายการทํางาน ของโปรแกรมแตละบรรทัดตามหนังสือเรียนให นักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น ถากําหนดคา disA = 1, disB = 8 การคํานวณในคําสั่ง if ((disA != 0) and (disB < 9)) : จะไดผลลัพธเปนจริงหรือเท็จ 1. จริง เพราะเงื่อนไขทั้ง 2 ฝง ของ and เปนจริงทั้งคู 2. เท็จ เพราะเงื่อนไขทั้ง 2 ฝง ของ and เปนเท็จทั้งคู 3. เท็จ เพราะมีเงื่อนไขทั้ง 2 ฝง ของ and เปนจริงเพียง เงื่อนไขเดียว 4. จริง เพราะมีเงื่อนไขทั้ง 2 ฝงของ and เปนจริงเพียง เงื่อนไขเดียว (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เงื่อนไข disA != 0 เปนจริง เงื่อนไข (disB < 9) เปนจริง ผลการ พิสูจนจึงเปนจริง เพราะเงื่อนไขทั้ง 2 ฝงของ and เปนจริงทั้งคู ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T65


ขอสอบเนนการคิด บรรทัดที่ 5 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 6 ท�ำกำรพิสูจน์ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร score มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 80 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัดที่ 7 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 8 บรรทัดที่ 7 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ A" (โดยบรรทัดที่ 7 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 6 เป็นจริง) บรรทัดที่ 8 ท�ำกำรพิสูจน์ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร score มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 70 และ score มีค่ำน้อยกว่ำหรือเท่ำกับ 79 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัด ที่ 9 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 10 (โดยบรรทัดที่ 8 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำร พิสูจน์บรรทัดที่ 6 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 9 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ B" (โดยบรรทัดที่ 9 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 8 เป็นจริง) บรรทัดที่ 10 ท�ำกำรพิสูจน์ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร score มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 60 และ score มีค่ำน้อยกว่ำหรือเท่ำกับ 69 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัด ที่ 11 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 12 (โดยบรรทัดที่ 10 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผล กำรพิสูจน์บรรทัดที่ 8 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 11 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ C" (โดยบรรทัดที่ 11 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 10 เป็นจริง) บรรทัดที่ 12 ท�ำกำรพิสูจน์ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร score มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 50 และ score มีค่ำน้อยกว่ำหรือเท่ำกับ 59 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัด ที่ 13 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 15 (โดยบรรทัดที่ 12 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อ ผลกำรพิสูจน์บรรทัดที่ 10 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 13 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ D" (โดยบรรทัดที่ 13 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 12 เป็นจริง) บรรทัดที่ 14 ค�ำสั่ง else บรรทัดที่ 15 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ F" (โดยบรรทัดที่ 15 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 12 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 16 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" และจบกำรท�ำงำน 60 ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. ครูทบทวนโครงสรางการทํางานของโปรแกรม ทั้ง 3 รูปแบบ คือ โครงสรางการทํางานแบบ Single Selection Double Selection และ Multiple Selection 2. เปดโอกาสใหนักเรียนภายในชั้นเรียนอภิปราย รวมกันเกี่ยวกับโครงสรางการทํางานของ โปรแกรม ใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และครู ใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น เกร็ดแนะครู สิ่งสําคัญอีกหนึ่งอยางที่จะชวยสงเสริมการเรียนรูในบทเรียนนี้ คือ การให นักเรียนฝกการสังเกตและเปรียบเทียบความแตกตางของผังงานและโคด โปรแกรม จากทั้งตัวอยางที่มีในหนังสือ จากที่ครูเตรียมมาเพิ่มให และจากที่ นักเรียนเขียนขึ้นเอง ประสบการณจากการณเรียนรูกระบวนการทํางานของ ผังงานและโคดหลายๆ รูปแบบ จะชวยใหนักเรียนสามารถคิดหาวิธีการเขียน ผังงานและโคดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได ถาตองการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอนตัดเกรด มีเกรดทั้งหมด 8 ระดับ คือ A, B+, B, C+, C, D+, D, F โดยคํานวณจากคะแนนเต็ม 100 อยากทราบวาในผังงานตรงสวนการตัดเกรดของโปรแกรมนี้ จะตองวาดสัญลักษณการตัดสินใจทั้งหมดจํานวนเทาไร และมี การใชคําสั่ง elif ในโปรแกรมทั้งหมดกี่คําสั่ง 1. ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 6 ภาพ คําสั่ง elif 6 คําสั่ง 2. ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 6 ภาพ คําสั่ง elif 7 คําสั่ง 3. ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 7 ภาพ คําสั่ง elif 6 คําสั่ง 4. ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 7 ภาพ คําสั่ง elif 7 คําสั่ง (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การใช คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Multiple Selection ในการตัดเกรด ทั้ง 8 ระดับนั้น ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 7 ภาพ ใชคําสั่งพิสูจน เงื่อนไข elif จํานวน 6 คําสั่ง ดังนั้น ตอบขอ 3.) นํา สอน สรุป ประเมิน T66


ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 1. ทักษะด้ำนคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสำรสนเทศ 2. ทักษะกำรแก้ปัญหำ 1. ให้นักเรียนพิจำรณำตัวด�ำเนินกำรต่อไปนี้ แล้วหำผลลัพธ์ของตัวด�ำเนินกำรให้ถูกต้อง 1 15 != 15 2 27.03 > = 2.703 3 (15 + 7) - 3 *4 4 35 + 4 - 2 * 0 5 40 / 2 * 1 - 7 6 NOT (70 < = 40 + 30) 7 NOT (59 != 73 - 14) 8 (11 < 5 + 6) AND (5 + 6 > 11) 9 (25 > = (20 + 5)) OR (33 - 2 < = 31) 10 (NOT (72 != 10 + 2)) AND (50 + 7 == 57) 2. ให้นักเรียนค�ำนวณหำค่ำดัชนีมวลกำย (BMI) ซึ่งเป็นค่ำดัชนีที่ใช้ชี้วัดควำมสมดุลของน�้ำหนักตัวและ ส่วนสูง โดยให้รับค่ำควำมสูงหน่วยเป็นเมตร และน�้ำหนักหน่วยเป็นกิโลกรัมทำงแป้นพิมพ์ และตอบค�ำถำม ว่ำถ้ำได้รับค่ำส่วนสูงเป็น 0 ผลลัพธ์จะเป็นอย่ำงไร ทั้งนี้ กำรค�ำนวณค่ำดัชนีมวลกำย = น�้ำหนัก (กก.) ÷ ส่วนสูง (ม.) ค่ำดัชนีมวลกำย ก�ำหนดรูปแบบกำรแสดงผล ดังนี้ การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาไพทอน Com Sci activity ++++++++++++++++++++++++++++++++++ ค�ำนวณค่ำดัชนีมวลกำย (BMI) ++++++++++++++++++++++++++++++++++ ป้อนน�้ำหนัก (กก.) : <<input>> ป้อนส่วนสูง (ม.) : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++ ค่ำดัชนีมวลกำย (BMI) : <<output>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++ 61 กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู ครูอาจจะแนะนําใหนักเรียนเก็บไฟลงานในหนวยการเรียนทั้งหมดนี้ไวใน อีเมล หรือในอุปกรณสํารองขอมูลของนักเรียน เพื่อเปนประโยชนในการนํามา ทบทวนในภายหลัง หรือกรณีที่นักเรียนอยากจะไปศึกษาเพิ่มเติมนอกเวลาและ นํามาใชประโยชนในการเรียนเนื้อหาสวนตอไปในระดับชั้นที่สูงขึ้นในอนาคต ขั้นสอน ขยายความเขาใจ 3. นักเรียนทํากิจกรรมที่สอดคลองกับเนื้อหา โดยใหนักเรียนฝกปฏิบัติเพื่อพัฒนาความรู และทักษะการเรียนรูในศตวรรษที่ 21 จาก หนังสือเรียน กําหนดโจทยการเขียนโปรแกรม ดังนี้ 1. โปรแกรมคํานวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนเปนเงินบาทหรือ เงินดอลลาร โดยใหปอนจํานวนเงินเยน เลือกสกุลเงินที่ จะแลก (1. เงินบาท 2. เงินดอลลาร) แลวจึงแสดงผลการ แลกเงิน 2. โปรแกรมคํานวณดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารรายป โดยใสคา จํานวนเงินที่จะฝาก เลือกธนาคาร (ธนาคาร A ดอกเบี้ย 2.38% ธนาคาร B ดอกเบี้ย 2.47%) แลวจึงแสดงผล ดอกเบี้ยรายปที่จะไดรับ ใหนักเรียนจับคูกัน แลวเลือกเขียนโปรแกรมจากโจทย 2 ขอ ที่ครูเตรียมไวใหคนละ 1 ขอ โดยไมซํ้ากัน จากนั้นใหสลับกัน ตรวจสอบความถูกตอง แลวจึงเขียนคําอธิบายขั้นตอนการทํางาน ของโปรแกรมของเพื่อน ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม ความสนใจในการเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับโครงสราง การทํางานแบบเลือกทําวา โครงสรางแบบเลือก ทําเปนลักษณะการทํางานของโปรแกรมที่มี กระบวนการทํางานที่จะตองมีการตัดสินใจ หรือตองมีการพิสูจน ตรวจสอบผานเงื่อนไข ใดๆ 4. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา นักเรียนรูหรือไมวา โปรแกรมที่มีโครงสรางการทํางานแบบเรียง ลําดับตางจากโครงสรางการทํางานแบบเลือก ทําอยางไร (แนวตอบ นักเรียนตอบตามประสบการณของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ ครูผูสอน เชน โครงสรางการทํางานแบบเรียง ลําดับเปนการทํางานแบบเสนตรงไปขางหนา ไมมีการยอนกลับ แตโครงสรางการทํางาน แบบเลือกทํา เปนการทํางานแบบที่จะตองมี การตัดสินใจ มีการพิสูจน หรือตรวจสอบผาน เงื่อนไขใดๆ เสียกอน) นํา สอน สอน สรุป ประเมิน T67


การออกแบบขั้นตอนการท�างาน และการเขียนโปรแกรมภาษา Python Summary การออกแบบขั้นตอนการท�างานของโปรแกรม 1. การออกแบบขั้นตอนการท�างานโดยใช้ภาษาธรรมชาติ เป็นกำรบรรยำยขั้นตอนกำร ท�ำงำนของโปรแกรมใด ๆ โดยใช้ภำษำมนุษย์ที่เข้ำใจง่ำย 2. การออกแบบขั้นตอนการท�างานโดยใช้รหัสจ�าลอง เป็นรูปแบบภำษำที่มีโครงสร้ำงที่ ชัดเจนและกระชับ เพื่อใช้อธิบำยขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรมใด ๆ โดยไม่ขึ้นกับภำษำของ โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง 3. การออกแบบขั้นตอนการท�างานโดยใช้ผังงาน เป็นกำรใช้แผนภำพสัญลักษณ์เพื่อแสดง ล�ำดับขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม เป็นวิธีที่ท�ำให้เห็นภำพกำรท�ำงำนของโปรแกรมได้ง่ำย การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาไพทอน ภำษำไพทอนเป็นภำษำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เหมำะส�ำหรับผู้เริ่มต้นเขียนโปรแกรมไป จนถึงกำรประยุกต์ใช้งำนในระดับสูง เนื่องจำกเป็นภำษำที่มีโครงสร้ำงและไวยำกรณ์ค่อนข้ำงง่ำย ไม่ซับซ้อน มีลักษณะใกล้เคียงกับภำษำมนุษย์ ท�ำให้ง่ำยต่อกำรท�ำควำมเข้ำใจ การเขียนค�าสั่งควบคุมการท�างานตามโครงสร้างของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 1. โครงสร้างการท�างานแบบเรียงล�าดับ เป็นลักษณะของโปรแกรมที่มีกำรท�ำงำนเป็น ล�ำดับขั้นตอน ไล่เรียงล�ำดับกันไปเป็นเหมือนเส้นตรง ไม่มีกำรข้ำมขั้นตอนกำรท�ำงำนไปข้ำงหน้ำ หรือย้อนกลับ 2. โครงสร้างการท�างานแบบเลือกท�า เป็นลักษณะกำรท�ำงำนของโปรแกรมที่มีกระบวนกำร ท�ำงำนที่จะต้องมีกำรตัดสินใจ หรือต้องมีกำรพิสูจน์ ตรวจสอบผ่ำนเงื่อนไขใด ๆ เสียก่อน 62 กิจกรรม ทาทาย แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 5. นักเรียนตรวจสอบความรู ความเขาใจดวย ตนเองจากหนังสือเรียน 6. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดประจํา หนวยการเรียนรูที่ 2 โดยใหบันทึกลงในสมุด และทําชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) และนํา มาสงในชั่วโมงถัดไป 7. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการ เรียนรูที่ 2 เรื่อง การออกแบบขั้นตอนการ ทํางาน และการเขียนโปรแกรมดวยภาษา ไพทอน ใหนักเรียนทํารายงานคําสั่งภาษาไพทอนที่ยังไมเคยเรียนมา พรอมตัวอยางการใชงานคนละ 5 คําสั่ง ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน แบบทดสอบ หลังเรียน รอยละ 60 ผานเกณฑ ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ตรวจชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) แบบประเมิน ชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการ นําเสนอผลงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลที่แนบมาทายแผน การจัดการเรียนรูที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 นํา สอน สรุป ประเมิน T68


ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ ถูก/ผิด ทบทวนหัวข้อ 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนโดยใช้ภำษำธรรมชำติเป็นกำร ออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนที่เข้ำใจยำก 1 2. ในกำรประมวลผลของตัวด�ำเนินกำร จะเริ่มจำกค่ำที่อยู่ใน ( ) ก่อน 2 3. กำรตั้งชื่อตัวแปรในภำษำไพทอนห้ำมมีตัวอักขระพิเศษ เช่น @, #, + 2 4. ฟังก์ชันค�ำสั่งที่ใช้ในกำรแสดงผลทำงหน้ำจอ คือ input( ) 2 5. โครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบเลือกท�ำ มีกระบวนกำรท�ำงำนที่จะ ต้องมีกำรตัดสินใจ 3 Self Check บั น ทึ ก ล ง ใ น ส มุ ด ค�ำตอบของ ((7 + 3) < 4) OR ((10 - 7) = 3) ตำมล�ำดับกำรประมวลผลของตัวด�ำเนินกำร มีค่ำเท่ำไร รหัสควบคุมกำรท�ำงำนของข้อมูลท�ำหน้ำที่อะไร กำรใช้รหัสควบคุมข้อมูล %s กับ %d มีลักษณะแตกต่ำงกันอย่ำงไร ถ้ำต้องกำรเขียนโปรแกรมรับข้อมูลอำยุของผู้ใช้งำนโปรแกรม จะต้องใช้ฟังก์ชันค�ำสั่งใด กำรเขียนโครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบล�ำดับต่ำงจำกโครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบท�ำซ�้ำอย่ำงไร กำรเขียนโปรแกรมโดยใช้ค�ำสั่ง if-elif-else เป็นโครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบใด 1 2 3 4 5 6 Unit Question 2 63 แนวตอบ Self Check 1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก 4. ผิด 5. ถูก เฉลย Unit Question 1. คํานวณได F OR T คําตอบจึงมีคาเปนจริง 2. ใชควบคุมการแสดงผลของตัวอักษรออกทางจอภาพในลักษณะตางๆ 3. %d ใชแสดงขอมูลที่เปนเลขจํานวนเต็ม %s ใชแสดงขอมูลที่เปนตัวอักษรหรือชุดตัวอักษร 4. ใชฟงกชัน Input( ) สําหรับรับขอมูลอายุของผูใชงานโปรแกรม ฟงกชัน int( ) สําหรับแปลงขอความเปนจํานวนเต็ม 5. โครงสรางแบบลําดับมีลักษณะการทํางานเปนเสนตรง ไมมีการตัดสินใจระหวางการทํางาน ไมมีการขาม ยอนกลับ หรือวนซํ้าขั้นตอน 6. เปนโครงสรางการทํางานแบบเลือกทําแบบ Multiple Selection คือ มีการพิสูจนเงื่อนไขหลายเงื่อนไข โดยถาเงื่อนไขเปนจริงก็จะทํางานตามวัตถุประสงค ของเงื่อนไข ถาเปนเท็จก็จะพิสูจนเงื่อนไขถัดไป ยกเวนเงื่อนไขสุดทายที่ไมตองพิสูจน นํา สอน สรุป ประเมิน T69


แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 องค์ประกอบ ของระบบ คอมพิวเตอร์ 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง องค์ประกอบของ ฮาร์ดแวร์ - ใบงาน เรื่อง ประเภท ของซอฟต์แวร์ 1. อธิบายองค์ประกอบของ ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ถูกต้อง (K) 2. อธิบายการท�างานของ หน่วยต่าง ๆ ของ ฮาร์ดแวร์ได้ถูกต้อง (K) 3. บอกอุปกรณ์ที่ใช้ท�าหน้าที่ ในแต่ละหน่วยได้ถูกต้อง (K) 4. เลือกใช้งานซอฟต์แวร์ให้ สอดคล้องและเหมาะสม กับความต้องการได้ (P) 5. สนใจใฝ่เรียนรู้ในการ ศึกษาและน�าไปใช้ใน ชีวิตประจ�าวันได้อย่าง เหมาะสม (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ประเมินการน�าเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน แผนฯ ที่ 2 หลักการทํางาน ของระบบ คอมพิวเตอร์ 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง หลักการ ท�างานของระบบ คอมพิวเตอร์ - ใบงาน เรื่อง ขั้นตอน การท�างานของระบบ คอมพิวเตอร์ 1. อธิบายหลักการท�างาน ของระบบคอมพิวเตอร์ ได้ถูกต้อง (K) 2. อธิบายขั้นตอนการท�างาน ของระบบคอมพิวเตอร์ ได้ถูกต้อง (K) 3. เขียนขั้นตอนการท�างาน ของระบบคอมพิวเตอร์ ได้ถูกต้อง (P) 4. สนใจใฝ่เรียนรู้ในการศึกษา (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน แผนฯ ที่ 3 เทคโนโลยีการ สื่อสาร 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง องค์ประกอบของ การสื่อสารข้อมูล - ใบงาน เรื่อง ทิศทาง การสื่อสารข้อมูล - ใบงาน เรื่อง สื่อกลาง ของการสื่อสารข้อมูล - ใบงาน เรื่อง ประเภท ของระบบเครือข่าย 1. อธิบายองค์ประกอบของ การสื่อสารได้ถูกต้อง (K) 2. อธิบายสื่อกลางในการ สื่อสารข้อมูลได้ถูกต้อง (K) 3. อธิบายทิศทางในการ สื่อสารข้อมูลได้ถูกต้อง (K) 4. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ เทคโนโลยีการสื่อสาร ได้ถูกต้อง (P) 5. สนใจใฝ่เรียนรู้ในการศึกษา (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - ประเมินการน�าเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�างานกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการท�างาน ร่วมกัน - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน Chapter Overview T70


แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 4 การประยุกต์ใช้ งานและการแก้ ปัญหาเบื้องต้น 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�ำนวณ)ม.2 - ใบงาน เรื่อง ประเภท ของคอมพิวเตอร์ - ใบงาน เรื่อง การแก้ ปัญหาคอมพิวเตอร์ - ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายประเภทของ คอมพิวเตอร์ได้ถูกต้อง (K) 2. แก้ไขปัญหาที่เกิดจากการ ใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ เบื้องต้นได้(P) 3. แก้ไขปัญหาที่เกิดจากการ ใช้งานด้านซอฟต์แวร์ เบื้องต้นได้(P) 4. สนใจใฝ่เรียนรู้ในการศึกษา และประยุกต์ใช้ในชีวิต ประจ�ำวัน (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) - ตรวจใบงาน - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - ประเมินการน�ำเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการท�ำงาน ร่วมกัน - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน T71


หนวยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) หนวยแสดงผลขอมูล (Output Unit) หนวยรับขอมูล (Input Unit) หนวยความจําสํารอง (Secondary Storage) หนวยความจําหลัก (Primary Storage) Chapter Concept Overview ระบบคอมพิวเตอร ระบบคอมพิวเตอร (Computer System) หมายถึง การทํางานรวมกันของสวนตาง ๆ ในคอมพิวเตอรอยางมีระบบ และมีประสิทธิภาพ องคประกอบของระบบคอมพิวเตอร องคประกอบของคอมพิวเตอร ประกอบดวย 5 สวนสําคัญ ดังนี้ 1. ฮารดแวร (Hardware) แบงออกเปน 4 สวน ตามการใชงาน ดังนี้ 1) หนวยรับขอมูล (Input Unit) ทําหนาที่รับขอมูลเขาสูเครื่องคอมพิวเตอร เชน สแกนเนอร เมาส 2) หนวยแสดงผลขอมูล (Output Unit) ทําหนาที่แสดงผลขอมูลที่ผานการประมวลผลแลว เชน จอภาพ ลําโพง 3) หนวยเก็บขอมูล (Storage) ทําหนาที่เก็บขอมูลและคําสั่งเพื่อไวใชงานในอนาคต แบงออกเปนหนวยความจําหลัก (Primary Storage) และหนวยความจําสํารอง (Secondary Storage) 4) หนวยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) ทําหนาที่ประมวลผลขอมูล 2. ซอฟตแวร (Software) คือ โปรแกรมที่ทําหนาที่ควบคุมการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร แบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ 1) ซอฟตแวรระบบ (System Software) คือ โปรแกรมที่ทําหนาที่ควบคุมการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอรใหประสานกัน แบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ • ระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS) คือ โปรแกรมที่ควบคุมการทํางานระหวางฮารดแวรกับซอฟตแวร • โปรแกรมอรรถประโยชน (Utility Program) คือ โปรแกรมที่ทําหนาที่อํานวยความสะดวกในการทํางานรวมกับฮารดแวร 2) ซอฟตแวรประยุกต (Application Software) คือ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นตามการใชงานตาง ๆ ของผูใช แบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ • ซอฟตแวรประยุกตทั่วไป (General Purpose Software) คือ ซอฟตแวรที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใชงานทั่วไป • ซอฟตแวรประยุกตเฉพาะงาน (Application Software for Specific Purpose) ซอฟตแวรที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใชงาน เฉพาะดาน เชน โปรแกรมคํานวณภาษี โปรแกรมฝากถอนเงินของธนาคาร 3. บุคลากร (Peopleware) คือ ผูปฏิบัติหนาที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร เชน โปรแกรมเมอร ผูบริหารฐานขอมูล 4. ขอมูลและสารสนเทศ (Data and Information) คือ ขอมูลดิบที่ตองการประมวลผล หรือจัดเก็บใหเปนระบบ เพื่อนําไปใชงานตอได 5. กระบวนการทํางาน (Procedure) คือ กระบวนการทํางานเพื่อใหไดผลลัพธตามที่ตองการ หลักการทํางานของระบบคอมพิวเตอร การทํางานของเครื่องคอมพิวเตอรประกอบไปดวย 5 สวนสําคัญ คือ T72


1. องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูล 5. ประเภทของระบบเครือข่าย 2. พัฒนาการของการสื่อสารข้อมูล 3. ทิศทางการสื่อสารข้อมูล 4. สื่อกลางของการสื่อสารข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย มีองค์ประกอบส�ำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือ ข้อเท็จจริงที่ผู้ส่งต้องการ ส่งไปยังผู้รับ 2) ผู้ส่งสาร (Sender) คือ คนหรืออุปกรณ์ที่ท�ำหน้าที่เป็น แหล่งก�ำเนิดของข้อมูลข่าวสาร 3) สื่อกลาง (Medium) คือ ตัวกลางในการน�ำข้อมูลข่าวสาร ไปยังผู้รับสาร 4) ผู้รับสาร (Receiver) คือ คนหรืออุปกรณ์ที่ท�ำหน้าที่เป็น ตัวรับข้อมูลข่าวสาร 5) โปรโตคอล (Protocol) คือ กฎหรือข้อตกลงในการสื่อสาร ข้อมูล แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1) เครือข่ายส่วนบุคคล (Personal Area Network: PAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล 2) เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network: LAN) เป็นเครือข่ายระยะใกล้ที่ใช้ในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ ในพื้นที่เดียวกัน 3) เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network: MAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้เชื่อมโยงเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) เข้าด้วยกัน 4) เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network: WAN) เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะไกล ข้ามทวีปครอบคลุมทั่วโลก แบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้ 1) การสื่อสารยุคโบราณ ใช้เพื่อตอบสนองความต้องการ พื้นฐานของมนุษย์ ไม่ซับซ้อน 2) การสื่อสารยุคอุตสาหกรรม มีคุณภาพมากกว่าการสื่อสาร ในยุคโบราณ มีการพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการ สื่อสาร 3) การสื่อสารยุคปัจจุบัน มีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาใช้ สามารถสื่อสารระยะไกลได้ทั้งภาพและเสียง แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) ทิศทางเดียว (Simplex) ข้อมูลจะถูกส่งจากที่หนึ่งไปยังอีก ที่หนึ่งโดยไม่สามารถส่งข้อมูลย้อนกลับมาได้ 2) กึ่งสองทิศทาง (Half Duplex) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่ สามารถส่งและรับได้ 2 ทิศทาง แต่จะไม่สามารถส่งพร้อม กันได้ 3) สองทิศทาง (Full Duplex) เป็นทิศทางการสื่อสารข้อมูลที่ สามารถส่งพร้อมๆ กันได้ทั้ง 2 ทิศทาง ในเวลาเดียวกัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) สื่อกลางประเภทสายสัญญาณ • สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair) • สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) • สายไฟเบอร์ออปติก (Fiber-Optic Cable) 2) สื่อกลางประเภทไร้สาย • อินฟราเรด (Infrared) • คลื่นวิทยุ (Radio Wave) • ไมโครเวฟ (Microwave) • ดาวเทียมสื่อสาร 1. การใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจ�ำวัน 2. ปัญหาและการแก้ไขการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ แบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ได้ 5 ประเภท ดังนี้ • Super Computer มีประสิทธิภาพสูงสุด • Mainframe Computer มีประสิทธิภาพสูง • Personal Computer หรือ PC ใช้งานได้หลากหลาย • Workstation Computer ประสิทธิภาพสูงกว่า PC • Wearable Computer จับการเคลื่อนไหว และหาต�ำแหน่ง • ปัญหาจากการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ • การแก้ไขปัญหาการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์เบื้องต้น • การแก้ไขปัญหาด้านฮาร์ดแวร์เบื้องต้น • การแก้ไขปัญหาด้านซอฟต์แวร์เบื้องต้น หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เทคโนโลยีการสื่อสาร การประยุกต์ใช้งานและการแก้ปัญหาเบื้องต้น การประยุกต์ใช้งานและการแก้ปัญหาเบื้องต้น T73


หนวยการเรียนรูที่ ตัวชี้วัด ว 4.2 ม.2/3 อภิปรำยองค์ประกอบและหลักกำรท�ำงำนของระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีกำรสื่อสำร เพื่อประยุกต์ใช้งำน หรือแก้ปัญหำเบื้องต้น ระบบคอมพิวเตอร คอมพิวเตอรจะสามารถทํางานไดจะตองอาศัย การทํางานรวมกับขั้นตอนขององคประกอบตาง ๆ อยางเปนระบบและเปนลําดับ 3 เกร็ดแนะครู การจัดการเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูที่ 3 หากครูสามารถหาอุปกรณ คอมพิวเตอรของจริงหรือคลิปวิดีโอตัวอยางการใชงานคอมพิวเตอรมาใช ประกอบการสอนไดก็จะชวยสรางความเขาใจใหกับนักเรียนไดมากขึ้น เพราะ อุปกรณหลายอยางในหนวยการเรียนรูนี้มีการใชงานที่สัมพันธกัน ซึ่งการอธิบาย ดวยภาพนิ่งในหนังสือเรียนจะถูกเสริมความเขาใจผานคลิปวิดีโอหรือแอนิเมชัน และตัวอยางของจริงไดเปนอยางดี ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. นักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการ เรียนรูที่ 3 เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร เพื่อวัด ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม 2. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงเขาสูบทเรียนวา ระบบ คอมพิวเตอรเปนการทํางานของคอมพิวเตอร ที่มีสวนตาง ๆ ทํางานรวมกัน เพื่อใหบรรลุ เปาหมายในการทํางานไดอยางมีระบบและ มีประสิทธิภาพ นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T74


1 องคประกอบของ ระบบคอมพิวเตอร ระบบคอมพิวเตอร (Computer System) หมายถึง การทํางานของคอมพิวเตอรที่มีสวนตาง ๆ ทํางานรวมกัน เพื่อใหบรรลุเปาหมายในการทํางานอยางมีระบบ และมี ประสิทธิภาพ ระบบคอมพิวเตอรจะตองประกอบดวย ฮารดแวร (Hardware) ซอฟตแวร (Software) บุคลากร (Peopleware) ขอมูลและสารสนเทศ (Data and Information) และ กระบวนการ (Procedure) องคประกอบของระบบคอมพิวเตอร ระบบคอมพิวเตอรจะประกอบดวยองคประกอบสําคัญ 5 สวน ดังนี้ 1. ฮารดแวร (Hardware) คือ สวนของอุปกรณคอมพิวเตอร และอุปกรณตอพวงที่ประกอบ ขึ้นแลวสามารถจับตองได เชน เครื่องคอมพิวเตอร (Computer) ปรินเตอร (Printer) ฮารดดิสก (Hard disk) เปนตน โดยฮารดแวรสามารถแบงออกเปน 4 สวน ตามประเภทการใชงานได ดังนี้ หากระบบคอมพิวเตอรขาด สวนประกอบสวนใดสวน หนึ่งไป ระบบคอมพิวเตอร ยังจะสามารถทํางานตอไป ไดหรือไม ภาพที่ 3.1 แปนพิมพ ภาพที่ 3.2 จอภาพ 2) หนวยแสดงผลขอมูล (Output Unit) ทําหนาที่ในการแสดงผลขอมูลที่ ผานการประมวลแลว โดยจะแปลงผลลัพธจาก สัญญาณดิจิทัลมาเปนภาษาที่มนุษยเขาใจ เชน เสียง ตัวอักษร รูปภาพ เปนตน ผานอุปกรณ แสดงผลขอมูล เชน จอภาพ ปรินเตอร ลําโพง เปนตน 1) หนวยรับขอมูล (Input Unit) ทําหนาที่รับเขาขอมูลจากผูใชงาน เขาสูเครื่องคอมพิวเตอร โดยจะทําการแปลง ขอมูลใหอยูในรูปสัญญาณดิจิทัลที่คอมพิวเตอร เขาใจ อุปกรณที่ทําหนาที่รับเขาขอมูล เชน แปนพิมพ เมาส สแกนเนอร เครื่องบันทึกเสียง เปนตน 65 แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวขอ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน เชน ระบบคอมพิวเตอรไมสามารถใชงานได ระบบ คอมพิวเตอรสามารถใชงานไดแตไมมีประสิทธิภาพ ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูทบทวนความรูเดิมของนักเรียนโดยเขียน คําวา องคประกอบของระบบคอมพิวเตอรลง บนกระดาน และใหนักเรียนแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับองคประกอบของระบบคอมพิวเตอรวา ประกอบไปดวยอะไรบาง จากนั้นครูจดบันทึก คําตอบของนักเรียนลงบนกระดาน 2. ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอวา นักเรียน รูหรือไมวา หากระบบคอมพิวเตอรขาดสวน ประกอบสวนใดสวนหนึ่งไป ระบบคอมพิวเตอร ยังจะสามารถทํางานตอไปไดหรือไม 3. นักเรียนสืบคนขอมูลที่เกี่ยวกับองคประกอบ ของระบบคอมพิวเตอรจากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ม.2 หรือจากอินเทอรเน็ตที่เครื่องคอมพิวเตอร ของตนเอง 4. นักเรียนภายในชั้นเรียนรวมกันแสดงความ คิดเห็นและตรวจสอบความถูกตองของคําตอบ บนกระดาน 5. นักเรียนศึกษาเนื้อหา เรื่อง ฮารดแวร จาก หนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจาก อินเทอรเน็ต เกร็ดแนะครู ครูสาธิตการทํางานของอุปกรณที่ทําหนาที่เปนหนวยรับขอมูลและหนวย แสดงผลขอมูลของคอมพิวเตอรไดจากอุปกรณจริงที่มีอยูในชีวิตประจําวัน เชน เมาส แปนพิมพ เครื่องพิมพ สแกนเนอร เพื่อใหนักเรียนไดเขาใจกระบวนการ ทํางาน รับขอมูล และแสดงผลขอมูลจากอุปกรณตางๆ ผานการใชงานจริงได กิจกรรม ทาทาย ใหนักเรียนหารายชื่ออุปกรณที่ทําหนาที่เปนหนวยรับขอมูล และหนวยแสดงผลขอมูลของคอมพิวเตอรมาจับคูกันจํานวน 3 คู แลวอธิบายการทํางานของอุปกรณคูดังกลาว เชน เมาสกับลําโพง จะทํางานรวมกัน โดยการใชเมาสคลิกเพื่อเลือกการเลนเพลงจาก โปรแกรมที่มีอยูในคอมพิวเตอร ทําใหเกิดเสียงเพลงที่แสดงออก มาทางลําโพง นํา สอน สรุป ประเมิน T75


3) หน่วยเก็บข้อมูล (Storage) ท�ำหน้ำที่เก็บข้อมูลและค�ำสั่งเพื่อไว้ใช้งำนในอนำคต ซึ่งหน่วยเก็บข้อมูลจะมี 2 ลักษณะ ดังนี้ (1) หนวยความจําหลัก (Primary Storage) เป็น อุปกรณ์ที่ใช้ในกำรเก็บข้อมูลชั่วครำวก่อนกำรน�ำไปประมวลผล เก็บค�ำสั่งของโปรแกรมขณะใช้งำน และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จำกกำร ประมวลผลก่อนน�ำไปแสดงผล ได้แก่ แรม (Random Access Memory: RAM) และรอม (Read Only Memory: ROM) (2) หนวยความจําสํารอง (Secondary Storage) เป็น อุปกรณ์ที่สำมำรถเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภำยหลังได้ ถึงแม้เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกปิด และสำมำรถลบหรือเขียนทับใหม่ได้ โดย โปรแกรมที่เก็บไว้จะไม่สูญหำย และไม่ถูกลบทิ้ง เช่น ฮำร์ดดิสก์ แผ่นซีดี (Compact Disc Read Only Memory: CD-ROM) เมมโมรีกำร์ด (Memory Card) แฟรชไดรฟ (Flash Drive) เป็นต้น ยกเว้นอุปกรณ์ดังกล่ำวจะบกพร่อง 4) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) ท�ำหน้ำที่ประมวลผลข้อมูล เช่น ค�ำสั่งของหน่วย รับข้อมูล ประมวลผลค�ำสั่งในกำรควบคุมกำรท�ำงำนของเครื่องคอมพิวเตอร์ และประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจำกหน่วยรับข้อมูล ตำมค�ำสั่งที่ปรำกฏอยู่ในโปรแกรม ภาพที่ 3.3 แรม ภาพที่ 3.4 เมมโมรีกำร์ด CPU เป็นอุปกรณ์ที่มีควำมส�ำคัญและจ�ำเป็นต่อกำรท�ำงำนของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอย่ำง มำก ซึ่งอำจจะเรียกได้ว่ำ CPU เป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ถ้ำหำกคอมพิวเตอร์ปรำศจำก CPU แล้ว คอมพิวเตอร์จะไม่สำมำรถท�ำงำนได้ เนื่องจำก CPU เป็นตัวควบคุมกำรท�ำงำน ของอุปกรณ์ต่ำง ๆ ไม่ว่ำจะเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เองหรืออุปกรณ์ต่อพ่วงภำยนอก Com Sci Focus ¤ÇÒÁÊÓ¤Ñޢͧ CPU ภาพที่ 3.5 หน่วยประมวลผลกลำง ของเครื่องคอมพิวเตอร์ 66 ขั้นสอน อธิบายความรู้ ครูอธิบาย เรื่อง หนวยเก็บขอมูล วาหนวยเก็บ ขอมูล (Storage) ทําหนาที่เก็บขอมูลและคําสั่ง เพื่อไวใชงานในอนาคต แบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ 1) หนวยความจําหลัก (Primary Storage) เปนอุปกรณที่ใชในการเก็บขอมูลชั่วคราว กอนนําไปใชในการประมวลผล เก็บคําสั่ง ของโปรแกรมขณะใชงาน เก็บผลลัพธจาก การประมวลผลกอนนําไปแสดงผล เชน RAM, ROM 2) หนวยความจําสํารอง (Secondary Storage) เปนอุปกรณที่สามารถเก็บขอมูลไวใช ภายหลังได ไมสูญหาย ไมถูกลบแมปดเครื่อง ขอมูลสามารถลบหรือเขียนทับใหมได เชน ฮารดดิสก เมมโมรีการด เกร็ดแนะครู สมารตโฟน เปนอุปกรณใกลตัวที่จะชวยใหนักเรียนไดทําความเขาใจ เรื่อง RAM และ ROM ในหนวยการเรียนรูนี้ ครูอาจจะเตรียมชื่อสมารตโฟนมา 2-3 รุน หรือสุมขอดูรุนสมารตโฟนของนักเรียน 2-3 คน มาเปนโจทยใหนักเรียน ในชั้นสืบคนขอมูล RAM และ ROM ของสมารตโฟนรุนดังกลาว โดยครูสาธิตวิธี การสืบคนเปนตัวอยางใหนักเรียนดูและแนะนําคําสําหรับสืบคน คือ ชื่อยี่หอและ รุนของสมารตโฟนกับคําวา RAM และ ROM เชน T-FONE + S3 + RAM + ROM ใครหาไดขอมูลกอนก็ใหสรุปใหเพื่อนฟง เชน สมารตโฟนยี่หอ T-FONE รุน S3 มี RAM ขนาด 4 Gb ROM ขนาด 64 Gb กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนทํารายงานศึกษาขอมูลฮารดแวร ดังนี้ 1. SSD (Solid State Drive) 2. GPU (Graphics Processing Unit) 3. Barcode Scanner (เครื่องสแกนบารโคด) โดยใหระบุวา อุปกรณดังกลาวจัดเปนฮารดแวรประเภทใด มีหนาที่ และขอดีและ ขอเสียอยางไร ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนศึกษาความรูเสริม (Com Sci Focus) จากเนื้อหา เพื่อขยายความรูของนักเรียน เรื่อง ความสําคัญของ CPU 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง องคประกอบของ ฮารดแวร 3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอหนา ชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันในหองเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T76


ขอสอบเนน การคิด 2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือ ส่วนของโปรแกรมที่เป็นค�ำสั่งในกำรควบคุมกำรท�ำงำนของ เครื่องคอมพิวเตอร์ให้สำมำรถท�ำงำนตำมล�ำดับขั้นตอน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) คือ โปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้ำงขึ้นเพื่อใช้ ในกำรควบคุมกำรท�ำงำนของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ท�ำงำนประสำนกัน และควบคุมล�ำดับขั้นตอน กำรท�ำงำนของอุปกรณ์ต่ำง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์โดยซอฟต์แวร์ระบบสำมำรถแบ่งออกได้ ดังนี้ (1) ระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS) คือ โปรแกรมที่คอยควบคุมกำร ประสำนงำนระหว่ำงซอฟต์แวร์กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่ำง ๆ โดยระบบปฏิบัติกำรที่ได้รับควำม นิยมในสมัยนี้ ได้แก่ ระบบปฏิบัติกำรดอส ระบบปฏิบัติกำรวินโดวส์ ระบบปฏิบัติกำรแมคอินทอช ระบบปฏิบัติกำรลีนุกซ์ และระบบปฏิบัติกำรแอนดรอยด์ ข้อดีและข้อเสียของระบบปฏิบัติกำร มีดังต่อไปนี้ (2) โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Programs) เป็นโปรแกรมที่ติดตั้งมำพร้อม ระบบปฏิบัติกำรเพื่ออ�ำนวยควำมสะดวกในกำรท�ำงำนร่วมกับฮำร์ดแวร์ ตัวอย่ำงโปรแกรม มีดังนี้ • โปรแกรมจัดกำรไฟล์ (File Manager) • โปรแกรมสแกนดิสก์ (Disk Scanner) • โปรแกรมรักษำหน้ำจอ (Screen Saver) • โปรแกรมยกเลิกกำรติดตั้งโปรแกรม (Uninstaller) • โปรแกรมจัดเรียงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนฮำร์ดดิสก์ (Disk Defragmenter) ระบบปฏิบัติการ ข้อดี ข้อเสีย ระบบปฏิบัติกำรวินโดวส์ ใช้งำนง่ำย เนื่องจำกใช้กำร ติดต่อกับผู้ใช้งำนด้วยภำพและ สัญลักษณ์ มีควำมเสี่ยงเรื่องคอมพิวเตอร์ ไวรัสมำกกว่ำระบบปฏิบัติกำรอื่น ระบบปฏิบัติกำรแมคอินทอช มีควำมเสี่ยงเรื่องคอมพิวเตอร์ ไวรัสค่อนข้ำงต�่ำ มีฮำร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้ เลือกใช้งำนจ�ำกัด ระบบปฏิบัติกำรลีนุกซ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งำนไม่ จ�ำเป็นต้องมีควำมต้องกำรด้ำน ระบบที่สูง กำรใช้งำนค่อนข้ำงซับซ้อน ส�ำหรับผู้ใช้งำนทั่วไป 67 ในการติดตั้งโปรแกรมตางๆ ใหกับเครื่องคอมพิวเตอร จําเปน ตองลงโปรแกรมประเภทใดเปนอันดับแรก 1. ระบบปฏิบัติการ 2. ซอฟตแวรประยุกต 3. โปรแกรมอรรถประโยชน 4. โปรแกรมยกเลิกการติดตั้งโปรแกรม (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เงื่อนไข ในการติดตั้งโปรแกรมลงเครื่องคอมพิวเตอร จําเปนตองติดตั้ง ระบบปฏิบัติการกอนเปนอันดับแรก จึงจะสามารถติดตั้งโปรแกรม ประเภทอื่น ๆ ได ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนศึกษาเนื้อหา เรื่อง ซอฟตแวร บุคลากร ขอมูลสารสนเทศ และกระบวนการจากหนังสือ เรียน อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบาย เรื่อง ซอฟตแวรระบบ วาซอฟตแวร ระบบ คือ โปรแกรมที่ใชควบคุมการทํางานของ เครื่องคอมพิวเตอรใหทํางานประสานกัน เชน ระบบปฏิบัติการวินโดวส รวมถึงโปรแกรมที่ ติดตั้งมาพรอมกับระบบปฏิบัติการไมวาจะเปน โปรแกรมจัดการไฟล โปรแกรมรักษาหนาจอ เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปวิดีโอที่แสดงการใชงานระบบปฏิบัติการแตละโปรแกรมมา เปดใหนักเรียนไดศึกษา เพื่อใหเกิดความเขาใจที่ชัดเจน เพราะระบบปฏิบัติการ แตละโปรแกรมมีวิธีการใชงานปลีกยอยแตกตางกันพอสมควรแมวาจะเปนระบบ ปฏิบัติการตัวเดียวกันแตตางรุนกัน เชน ระบบปฏิบัติการวินโดวส นํา สอน สรุป ประเมิน T77


ขอสอบเนนการคิด 2) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใช้ งานตามความต้องการด้านต่าง ๆ ของผู้ใช้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ (1) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ทั่วไป(General Purpose Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนา ขึ้นเพื่อการใช้งานทั่วไป ซึ่งผู้ใช้จะต้องเลือกใช้งานซอฟต์แวร์ให้สอดคล้องและเหมาะสมตามความ ต้องการ ซอฟต์แวร์ที่ช่วยอ�านวยความสะดวกกับนักเรียน เช่น • ซอฟต์แวร์ประมวลค�า เช่น Microsoft Word, PageMaker • ซอฟต์แวร์น�าเสนอ เช่น Microsoft PowerPoint, Open office • ซอฟต์แวร์ตารางท�างาน เช่น Microsoft Excel, Pladao office • ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล เช่น Microsoft Access, Obsolete (2) ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน (Application Software for Specific Purpose) เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใช้งานเฉพาะด้าน โดยส่วนใหญ่แล้วจะพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนอง ความต้องการใช้งานในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เช่น โปรแกรมค�านวณภาษีของกรมศุลกากร โปรแกรม ฝาก-ถอนเงินของธนาคาร โปรแกรมค�านวณของเจ้าหน้าที่การเงิน เป็นต้น 3. บุคลากร (People) จะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อป้อนข้อมูลหรือใช้ ค�าสั่งกับคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งส�าคัญที่จะเป็นตัวก�าหนดถึงประสิทธิภาพ ความส�าเร็จ และความ คุ้มค่าในการใช้งานคอมพิวเตอร์ บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปรแกรมเมอร์ (Programmer) ผู้ใช้ (User) ผู้ปฏิบัติการ (Operator) ผู้จัดการระบบ (System Manager) และผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator: DBA) 4. ข้อมูลสารสนเทศ (Data and Information) ข้อมูลดิบที่มีจ�านวนมากอาจอยู่ในรูปของ ตัวเลข ตัวอักษร หรือกราฟิก ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องการการประมวลผลเพื่อทราบผลลัพธ์ หรือต้องการ จัดเก็บให้เป็นระบบเพื่อสามารถน�าไปใช้งานต่อไปได้ 5. กระบวนการ (Procedure) กระบวนการท�างานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ซึ่งใน การท�างานกับคอมพิวเตอร์ผู้ใช้จ�าเป็นต้องทราบขั้นตอนการท�างานเพื่อให้ได้งานที่ถูกต้องและมี ประสิทธิภาพ โดยอาจจะมีขั้นตอนสลับซับซ้อนหลายขั้นตอน ดังนั้น จึงมีความจ�าเป็นต้องมีคู่มือ ปฏิบัติงาน เช่น คู่มือผู้ใช้ คู่มือผู้ดูแลระบบ เป็นต้น 68 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง EST เปนโปรแกรมคํานวณพื้นที่ที่ดินรูปสี่เหลี่ยมดานไมเทา พรอมแปลงหนวยเปนตารางเมตรและตารางวา จากขอความ ดังกลาว โปรแกรม EST จัดเปนโปรแกรมประเภทใด 1. โปรแกรมอรรถประโยชน 2. ซอฟตแวรประยุกตทั่วไป 3. ซอฟตแวรประยุกตเฉพาะงาน 4. ซอฟแวรสําหรับเขียนโปรแกรม (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เงื่อนไข จากขอความในโจทย โปรแกรม EST ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใชงาน เฉพาะดาน จึงถูกจัดเปนซอฟตแวรประยุกตเฉพาะงาน ดังนั้น ตอบขอ 3.) ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจแบบทดสอบ กอนเรียน แบบทดสอบ กอนเรียน ประเมินตาม สภาพจริง ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม ความสนใจในการเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของการทําใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับองคประกอบ ของระบบคอมพิวเตอร ขยายความเขาใจ นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ประเภทของซอฟตแวร ขั้นสอน อธิบายความรู 2. ครูอธิบาย เรื่อง ซอฟตแวรประยุกต วาซอฟตแวร ประยุกต คือ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช งานตามความตองการตางๆ ของผูใช แบงเปน โปรแกรมที่พัฒนามาใชงานทั่วๆ ไป เชน โปรแกรม Microsoft Word Microsoft PowerPoint และโปรแกรมที่ทํางานเฉพาะดาน เชน โปรแกรมคํานวณภาษี โปรแกรมสต็อก สินคา โปรแกรมลงทะเบียนเรียน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน และพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอ ผลงาน และแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลที่แนบมาทายแผน การจัดการเรียนรูที่ 4 หนวยการเรียนรูที่ 3 นํา สอน สรุป ประเมิน T78


ขอสอบเนน การคิด 2 หลักการทํางานของ ระบบคอมพิวเตอร์ ในกำรท�ำงำนของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะต้อง ประกอบไปด้วยหน่วยต่ำง ๆ ท�ำงำนร่วมกันอย่ำงเป็นระบบ โดยหลักกำรในกำรท�ำงำนของระบบคอมพิวเตอร์ประกอบ ไปด้วย 5 ส่วนส�ำคัญ คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลำง (Central Processing Unit: CPU) หน่วยควำมจ�ำหลัก (Primary Storage) หน่วยควำมจ�ำส�ำรอง (Secondary Storage) และหน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit) ถาเปรียบคอมพิวเตอร เปนรางกายมนุษย จะเปรียบหนวยประมวลผลกลางไดกับอวัยวะใด ภาพที่ 3.6 ผังแสดงขั้นตอนกำรท�ำงำนของระบบคอมพิวเตอร์ หนวย ประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) หนวย ความจําสํารอง (Secondary Storage) หนวยรับข้อมูล (Input Unit) หนวย แสดงผลข้อมูล (Output Unit) หนวยความจําหลัก (Primary Storage) 69 หลังจากติดตั้งระบบปฏิบัติการลงในคอมพิวเตอร ไฟลของ ระบบปฏิบัติการดังกลาวจะถูกจัดเก็บอยูในอุปกรณใด และอุปกรณ ดังกลาวจัดเปนหนวยความจําประเภทใด 1. แรม หนวยความจําหลัก 2. แรม หนวยความจําสํารอง 3. ฮารดดิสก หนวยความจําหลัก 4. ฮารดดิสก หนวยความจําสํารอง (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ไฟล ของระบบปฏิบัติการที่เราติดตั้งลงในคอมพิวเตอร จะถูกจัดเก็บ อยูในฮารดดิสก ซึ่งจัดเปนหนวยความจําสํารอง ดังนั้น ตอบ ขอ 4.) เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปแอนิเมชันที่แสดงขั้นตอนการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร มาเปดใหนักเรียนไดศึกษา เพื่อใหเกิดความเขาใจที่ชัดเจน สามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด How Computers Work คอมพิวเตอรทํางานอยางไร หรือหลักการทํางานของคอมพิวเตอร ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการทํางาน ของระบบคอมพิวเตอรจากหนังสือเรียน หรือ สืบคนจากอินเทอรเน็ต ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอวา ถาเปรียบ คอมพิวเตอรเปนรางกายมนุษยจะเปรียบหนวย ประมวลผลกลางไดกับอวัยวะใด แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวข้อ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของตนเอง โดย คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน ซึ่งคําตอบ ที่ถูกตอง คือ สมอง นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T79


หลักการท�างานของระบบคอมพิวเตอร์ สำมำรถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การรับข้อมูล (Input)คอมพิวเตอร์จะรับข้อมูลและค�ำสั่งจำกผู้ใช้เข้ำสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่ำนอุปกรณ์ฮำร์ดแวร์ต่ำง ๆ เช่น แป้นพิมพ์ เมำส์ เครื่องบันทึกเสียง 2. การประมวลผลข้อมูล (Process) จะเป็นกำรน�ำข้อมูลที่รับมำเก็บไว้ในหน่วยควำมจ�ำ แล้วจึงน�ำข้อมูลมำประมวลผลตำมค�ำสั่งหรือโปรแกรมพื้นฐำนของเครื่องคอมพิวเตอร์ และเมื่อ คอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูลเสร็จแล้ว ก็จะน�ำข้อมูลไปบันทึกลงสู่หน่วยควำมจ�ำอีกครั้ง 3. การจัดเก็บข้อมูล (Storage) เป็นกำรจัดเก็บข้อมูลโดยขณะที่มีกำรประมวลข้อมูลจะใช้ หน่วยควำมจ�ำหลัก (Primary Storage) ในกำรจัดเก็บ และเมื่อต้องกำรเก็บข้อมูลไว้เพื่อใช้งำนใน ครั้งต่อไปจะจัดเก็บลงในหน่วยควำมจ�ำส�ำรอง (Secondary Storage) 4. การแสดงผลข้อมูล (Output) เมื่อข้อมูลผ่ำนกำรประมวลผลเรียบร้อยแล้ว จะแสดง ผลลัพธ์ออกมำในรูปแบบที่มนุษย์เข้ำใจผ่ำนอุปกรณ์ฮำร์ดแวร์ต่ำง ๆ เช่น จอภำพ เครื่องพิมพ์ ภาพที่ 3.7 ผังแสดงหลักกำรท�ำงำนของระบบคอมพิวเตอร์ หนวยประมวลผล ขั้นตอนนี้เป็นกำรแสดงผลถึงควำมสำมำรถโดยรวมที่ท�ำงำนร่วมกัน ของเครื่องคอมพิวเตอร์ และท�ำกำรประมวลผลข้อมูลโดยกำรดึง ข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลระหว่ำง CPU กับหน่วยควำมจ�ำหลัก และ CPU กับหน่วยควำมจ�ำส�ำรองอยู่ตลอดเวลำ หนวยรับข้อมูล หนวยแสดงผล 70 หลักการทํางานของระบบคอมพิวเตอร แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม ความสนใจในการเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของการทําใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับหลักการ ทํางานของระบบคอมพิวเตอร ขั้นสอน อธิบายความรู 1. ครูอธิบายหลักการทํางานของระบบ คอมพิวเตอรทั้ง 5 สวน จากหนังสือเรียน 2. ครูอธิบายหลักการทํางานของระบบ คอมพิวเตอรทั้ง 4 ขั้นตอน จากหนังสือเรียน ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผาน เกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ กิจกรรม สรางเสริม ใหแบงนักเรียนเปน 4 กลุม แตละกลุมเลือกอุปกรณที่ทํา หนาที่ไดทั้งรับและแสดงผลขอมูล จากหัวขอตอไปนี้ คนละ 1 หัวขอ ไมซํ้ากัน 1. โมเด็ม 2. หนาจอแบบสัมผัส 3. หูฟงแบบมีไมโครโฟนในตัว 4. เครื่องพิมพที่มีเครื่องสแกนในตัว จากนั้นใหเวลาประมาณ 5 นาที สําหรับสืบคนขอมูล แลวให ตัวแทนกลุมออกมาอธิบายกระบวนการการทํางานรับและแสดงผล ขอมูลของอุปกรณที่เลือก ขยายความเขาใจ 1. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง หลักการทํางานของ ระบบคอมพิวเตอร 2. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาอธิบายหลักการ ทํางานของระบบคอมพิวเตอรหนาชั้นเรียน 3. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ขั้นตอนการทํางานของ ระบบคอมพิวเตอร แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลของนักเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 4 หนวยการเรียนรูที่ 3 นํา สอน สรุป ประเมิน T80


ขอสอบเนน การคิด 3 เทคโนโลยีการสื่อสาร ในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ำมำมีบทบำทส�ำคัญใน กำรด�ำรงชีวิตของมนุษย์มำกขึ้นโดยเฉพำะในด้ำนกำร สื่อสำร ซึ่งเป็นกำรน�ำเทคโนโลยีเข้ำมำช่วยให้กำรสื่อสำร มีประสิทธิภำพที่ดีขึ้น โดยกำรพัฒนำอุปกรณ์กำรสื่อสำรต่ำง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นต้น 3.1 องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูล ในกำรสื่อสำรข้อมูลจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบส�ำคัญ 5 ประกำร ดังนี้ 1. ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือ ข้อเท็จจริงที่ผู้ส่งต้องกำรถ่ำยทอดไปยังผู้รับ ซึ่งอำจ แสดงออกมำโดยภำษำหรือสัญลักษณ์ต่ำง ๆ ที่ผู้ส่งและผู้รับเข้ำใจ เช่น กำรวำดรูป เป็นต้น 2. ผู้ส่งสาร (Sender) คือ บุคคล กลุ่มบุคคล หรืออุปกรณ์ที่ท�ำหน้ำที่เป็นแหล่งก�ำเนิดของ ข้อมูลข่ำวสำรที่ต้องกำรส่งไปยังผู้รับสำร 3. สื่อกลาง (Medium)คือ สิ่งที่ท�ำหน้ำที่เป็นตัวกลำงในกำรน�ำข้อมูลข่ำวสำรจำกผู้ส่งสำร ส่งไปยังผู้รับสำร เช่น อำกำศ สำยส่งสัญญำณสื่อสำร เป็นต้น 4. ผู้รับสาร (Receiver) คือ บุคคล กลุ่มบุคคล หรืออุปกรณ์ที่ท�ำหน้ำที่เป็นตัวรับข้อมูลที่ ผู้ส่งสำรส่งมำให้ 5. โปรโตคอล (Protocol) คือ กฎหรือข้อตกลงที่ใช้ในกำรสื่อสำรข้อมูลที่จะท�ำให้ผู้ส่งสำร และผู้รับสำรมีควำมเข้ำใจตรงกัน ขอดีของการนําเทคโนโลยี เขามาชวยในการสื่อสาร มีอะไรบาง ภาพที่ 3.8 ผังแสดงองค์ประกอบในกำรสื่อสำรข้อมูล 5 โปรโตคอล 3 สื่อกลาง 4 ผู้รับสาร 2 ผู้ส่งสาร 1 ข้อมูลข่าวสาร Hi How are you doing? 71 5. โปรโตคอล 1 อีโมติคอนหรือการใชอักษรภาพแสดงอารมณ เชน ^_^ เปนพัฒนาการขององคประกอบใดในการสื่อสารขอมูล 1. สื่อกลาง 2. โปรโตคอล 3. ขอมูลขาวสาร 4. ผูรับสารและผูสงสาร (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา อีโมติคอน เปนอักษรภาพที่ใชแสดงอารมณความรูสึกในการสื่อสาร แบบออนไลน จัดเปนพัฒนาการทางดานขอมูลขาวสาร ดังนั้น ตอบขอ 3.) แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวขอ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของตนเอง โดย คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน เชน ทําให ไดรับรูขาวสารตางๆ ไดอยางทันทวงที ประหยัด คาใชจายในการสื่อสาร นักเรียนควรรู 1 โปรโตคอล โปรโตคอล HTTP หรือ HyperText Transfer Protocol จะใชเมื่อเรียกโปรแกรม เบราวเซอร (Browser) ขึ้นมาทํางาน เชน Internet Explorer Firefox Chrome โปรโตคอล TCP/IP หรือ Transfer Control Protocol/Internet Protocol ประกอบดวย 2 โปรโตคอล คือ TCP และ IP เปนโปรโตคอลที่ใชในระบบเครือขาย Internet และ Intranet โปรโตคอล FTP หรือ File Transfer Protocol ใชสําหรับการโอนยายไฟล ระหวางเครื่องคอมพิวเตอรผานระบบเครือขาย เชน การโอนยายไฟลระหวาง เครื่องคอมพิวเตอรที่มีลักษณะเปน Client และ Server บนอินเทอรเน็ต ขั้นสอน สํารวจคนหา นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน และให แตละกลุมสืบคนขอมูลเกี่ยวกับองคประกอบ ของการสื่อสารขอมูล และจากหนังสือเรียน อธิบายความรู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับองคประกอบขอมูล ขาวสารวา ขอมูลขาวสารเปนตัวเนื้อหาของขอมูล ซึ่งมีไดหลายรูปแบบ ไดแก ขอความ เสียง รูปภาพ และสื่อผสม ขยายความเขาใจ ใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นกับเพื่อนในชั้นเรียน ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูตั้งคําถามวา ปจจุบันมีเทคโนโลยีใดที่เขามา ชวยเหลือในการสื่อสารบาง โดยครูคอยบันทึก คําตอบของนักเรียนลงบนกระดาน (แนวตอบ นักเรียนตอบตามประสบการณของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครู ผูสอน เชน โทรศัพท คอมพิวเตอร) 2. ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอวา ขอดีของ การนําเทคโนโลยีเขามาชวยเหลือในการ สื่อสารนั้นมีอะไรบาง นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T81


ขอสอบเนนการคิด ภาพที่ 3.9 ภาพวาดผนังถํ้า ภาพที่ 3.11 การประชุมผาน การสื่อสารทางไกล (Video Conference) ภาพที่ 3.10 เครื่องโทรเลข 3.2 พัฒนาการของการสื่อสารขอมูล พัฒนาการของการสื่อสารขอมูล สามารถแบงออกเปนยุคตาง ๆ ได 3 ยุค ดังนี้ 1. การสื่อสารยุคโบราณ จะเปนการสื่อสารที่ไมมีความ สลับซับซอน สวนใหญจะทําเพื่อตอบสนองความตองการขั้น พื้นฐานของมนุษย และยังมีการสื่อสารจากอดีตหลงเหลือมาถึง ปจจุบัน เชน ภาพวาดบนผนังถํ้าที่มักจะเปนการเขียนเลาเรื่อง กิจวัตรประจําวันอยางการลาสัตวไวบนผนังถํ้าหรือกอนหิน โดย ใชวิธีการวาดรูปแทนสัญลักษณ 2. การสื่อสารยุคอุตสาหกรรม เปนการสื่อสารที่มี คุณภาพมากกวาการสื่อสารในยุคโบราณ มีการพัฒนาเครื่องมือสื่อสารโดยการนําเทคโนโลยีเขามาชวยในการสื่อสาร แตการ สื่อสารในยุคอุตสาหกรรมนี้มีแนวโนมที่จะเลิกใชหรือบางอยางก็ เลิกใชไปแลวเนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม ๆ เขามาแทน การสื่อสาร ในยุคอุตสาหกรรม เชน โทรเลข วิทยุ การสงจดหมาย 3. การสื่อสารยุคปจจุบัน เปนการพัฒนาการสื่อสารที่ นําเครื่องมือ และเทคโนโลยีสมัยใหมเขามาใช เพื่อความสะดวก สบายในการติดตอสื่อสาร เชน การสื่อสารทางไกล (Video Conference) เปนการสื่อสารที่ชวยใหคนที่อยูหางไกลกันสามารถ ติดตอสื่อสารกันไดทั้งภาพและเสียง โดยผานจอภาพซึ่งอาจเปน คอมพิวเตอรหรือโทรทัศน การพัฒนาการของการสื่อสารขอมูลตั้งแตอดีตจนถึง ปจจุบันมีการพัฒนาของเทคโนโลยีตาง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยยก ตัวอยางเรื่อง การสื่อสารทางไกล • การสื่อสารยุคโบราณ การสื่อสารทางไกลจะใชนกพิราบในการสื่อสาร ซึ่งผูเขียนจะ สงขอความสั้น ๆ แลวผูกไวที่ขา หรือคอของนกพิราบกอนจะสงนกพิราบออกไป • การสื่อสารยุคอุตสาหกรรม การสื่อสารทางไกลเริ่มใชเทคโนโลยีใหม ๆ ใหมีบทบาท มากขึ้น ตัวอยางเครื่องทุนแรง เชน การสงจดหมาย วิทยุสื่อสาร • การสื่อสารยุคปจจุบัน เทคโนโลยีเขามามีบทบาทในการดํารงชีวิตของมนุษยมากขึ้น ซึ่งการสื่อสารทางไกลในยุคปจจุบันมีมากมาย เชน โทรศัพทมือถือ การประชุมงานผานวิดีโอ 72 ขั้นสอน สํารวจคนหา นักเรียนศึกษาพัฒนาการของการสื่อสารขอมูล ที่สามารถแบงออกไดเปน 3 ยุค จากหนังสือเรียน เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปแอนิเมชันมาเปดใหนักเรียนไดศึกษา เพื่อใหเกิดความเขาใจ ที่ชัดเจนในเรื่องพัฒนาการของการสื่อสารขอมูลตั้งแตในยุคอดีตมาจนถึงปจจุบัน ซึ่งเปนเนื้อหาที่มีรายละเอียดจํานวนมาก โดยสามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด “พัฒนาการของการสื่อสารขอมูล” ความรูเสริม เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือแคตเทเลคอม (CAT Telecom) กําหนดใหเปนวันสุดทายของการใหบริการ โทรเลขไทย ในปจจุบันประเทศไทยจึงไมมีการใชโทรเลขแลว นักเรียนคิดวา ในปจจุบันเราควรยกเลิกการสงจดหมายแบบ ติดแสตมปมาเปนแบบอีเมลหรือไม อยางไร จงอธิบาย (วิเคราะหคําตอบ ในปจจุบันเรามีวิธีการติดตอสื่อสารที่สะดวก รวดเร็วกวาการสงจดหมายแลว การสงจดหมายเพื่อการติดตอ สื่อสารจึงไมมีความจําเปน แตในเรื่องของการสงเอกสารสําคัญ หลายอยางที่ตองมีลายเซ็นกํากับยังมีการใชเปนแบบกระดาษจริง อยู เชน สําเนาทะเบียนบาน สําเนาบัตรประชาชน ซึ่งเอกสาร เหลานี้จําเปนตองยื่นสงทางจดหมายไปยังปลายทาง โดยเฉพาะ กรณีระยะทางไกลระหวางจังหวัดหรือประเทศ รวมถึงการสมัคร เรียนหรือสมัครงานทางไปรษณียในปจจุบัน ทําใหการสงจดหมาย แบบปกติจึงยังมีความจําเปนอยู แตหากในอนาคตสามารถเปลี่ยน เปนระบบเอกสารแบบออนไลนทั้งหมดไดสําเร็จ ก็อาจจะสามารถ ยกเลิกการสงจดหมายได) อธิบายความรู ครูสุมนักเรียน 3 คน ออกมาอภิปรายหนา ชั้นเรียนเกี่ยวกับการสื่อสารขอมูล พรอมยก ตัวอยางการสื่อสารในแตละยุคไดอยางเหมาะสม ขยายความเขาใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัยและ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง องคประกอบของการ สื่อสารขอมูล 3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอหนา ชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันภายใน หองเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T82


ขอสอบเนน การคิด 3.3 ทิศทางการสื่อสารข้อมูล กำรสื่อสำรข้อมูลจำกผู้ส่งสำรไปยังผู้รับสำร โดยผ่ำนตัวกลำงสำมำรถจ�ำแนกทิศทำงกำร สื่อสำรออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. ทิศทางเดียว (Simplex) เป็นทิศทำง กำรสื่อสำรที่ข้อมูลจะส่งจำกสถำนที่หนึ่งไปยัง อีกสถำนที่หนึ่ง โดยที่ข้อมูลจะไม่สำมำรถส่ง ย้อนกลับมำได้ เช่น กำรเผยแพร่ภำพและเสียง ผ่ำนทำงสถำนีโทรทัศน์ กำรรับฟังเพลงผ่ำน กำรกระจำยเสียงของสถำนีวิทยุ 2. กึ่งสองทิศทาง (Half Duplex) เป็น ทิศทำงกำรสื่อสำรที่สำมำรถส่งข้อมูลไปและรับ สองทิศทำงได้ แต่ไม่สำมำรถส่งข้อมูลในเวลำ เดียวกันได้ ขณะที่เครื่องหนึ่งเป็นผู้รับอีกเครื่อง จะเป็นผู้ส่งแล้วผู้รับจะส่งกลับได้ก็ต่อเมื่อผู้ส่ง กลับมำเป็นผู้รับก่อน เช่น กำรสื่อสำรผ่ำนวิทยุ สื่อสำร ภาพที่ 3.12 กำรสื่อสำรแบบทิศทำงเดียว ภาพที่ 3.13 กำรสื่อสำรแบบกึ่งสองทิศทำง ตัวอยางทิศทางการสื่อสารขอมูล 3. สองทิศทาง (Full Duplex) เป็นทิศทำงกำรสื่อสำรที่สำมำรถส่งข้อมูลสองทิศทำงพร้อม กันได้ นั่นคือ ในระหว่ำงที่อุปกรณ์เครื่องหนึ่งก�ำลังส่งข้อมูลอยู่ อุปกรณ์อีกเครื่องหนึ่งก็สำมำรถส่ง ข้อมูลมำพร้อมกันได้เลย เช่น กำรคุยกันผ่ำนโทรศัพท์มือถือ กำรสื่อสำรทำงไกล ภาพที่ 3.14 กำรสื่อสำรแบบสองทิศทำง 73 ขอสอบเนน การคิด ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. ครูทบทวนเนื้อหาการเรียนจากชั่วโมงที่ผานมา เกี่ยวกับองคประกอบของการสื่อสารขอมูล และพัฒนาการของการสื่อสารขอมูล 2. นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับทิศทางการ สื่อสารขอมูลที่สื่อสารขอมูลจากผูสงสารไปยัง ผูรับสาร โดยผานตัวกลาง และสามารถจําแนก ทิศทางการสื่อสารออกเปน 3 รูปแบบ การเลนโทรศัพทกระปอง จัดเปนการสื่อสารผานตัวกลางใน รูปแบบใด 1. สองทิศทาง 2. ทิศทางเดียว 3. กึ่งสองทิศทาง 4. ไมสามารถระบุได (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การเลนโทรศัพทกระปอง เปนอุปกรณการสื่อสารที่ไมสามารถ สงและรับขอมูลในเวลาเดียวกันได ตองผลัดกันเปนฝายสงและรับ ดังนั้น ตอบขอ 3.) อธิบายความรู้ ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาอธิบายเกี่ยวกับ ทิศทางการสื่อสารขอมูลทั้ง 3 รูปแบบ ตามที่ นักเรียนไดศึกษาจากหนังสือเรียน ดังนี้ 1) ทิศทางเดียว 2) กึ่งสองทิศทาง 3) สองทิศทาง ขยายความเข้าใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ทิศทางการสื่อสาร ขอมูล 3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันภายใน หองเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปที่แสดงตัวอยางทิศทางการสื่อสารทั้ง 3 รูปแบบ ใหนักเรียนดู โดยสามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด “ทิศทางการสื่อสารขอมูล” หรืออาจจะจัดเปนกิจกรรมทดลองรูปแบบการสื่อสารทั้ง 3 รูปแบบ โดยใช อุปกรณที่มีอยูในชีวิตประจําวันเปนสื่อการสอนก็ได T83


ขอสอบเนนการคิด 3.4 สื่อกลางของการสื่อสารข้อมูลผานระบบเครือขาย กำรสื่อสำรทุกชนิดจะต้องอำศัยสื่อกลำงในกำรสื่อสำรเพื่อท�ำหน้ำที่ในกำรส่งข้อมูลจำกผู้ส่ง ไปยังผู้รับ ซึ่งสื่อกลำงของกำรสื่อสำรข้อมูล สำมำรถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ ภาพที่ 3.15 สำยคู่บิดเกลียวแบบ ไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP) ภาพที่ 3.16 สำยคู่บิดเกลียวแบบ มีฉนวนหุ้ม (STP) o_O in Real Life Com Sci Com Sci สำยคู่บิดเกลียวแบบ UTP ถูก ผลิตขึ้นมำใช้งำนก่อนแล้วจึง ได้มีกำรพัฒนำเป็น STP ซึ่งสำย UTP เริ่มแรกถูกน�ำมำใช้ ในระบบโทรศัพท์แต่ปัจจุบันถูก น�ำมำใช้เป็นสัญญำณที่เชื่อม ต ่อในระบบเครือข ่ำยท้องถิ่น (LAN) และมีกำรก�ำหนด มำตรฐำนไว้ สำยที่มีมำตรฐำน สูงจะส ่งข้อมูลขนำดใหญ ่ได้ และควำมเร็วในกำรส่งสูงแต่ ก็มีรำคำแพงขึ้นด้วย (STP) (UTP) สายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม ข้อดี ข้อเสีย ข้อดี ข้อเสีย - ส่งข้อมูลด้วย ควำมเร็วสูงกว่ำ แบบไม่มีฉนวนหุ้ม - สำมำรถป้องกัน สัญญำณรบกวน ได้ดี - มีขนำดใหญ่กว่ำ แบบไม่มีฉนวนหุ้ม - ไม่ยืดหยุ่น ดัดโค้ง งอได้ไม่มำก - รำคำแพงกว่ำ แบบไม่มีฉนวนหุ้ม - รำคำถูก - น�้ำหนักเบำ สำมำรถติดตั้ง ได้ง่ำย - มีควำมยืดหยุ่น สำมำรถดัดโค้งงอได้ - ไม่เหมำะใน กำรเชื่อมต่อกับ อุปกรณ์ที่อยู่ ห่ำงไกล 1. สื่อกลางประเภทสายสัญญาณ • สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair) มีลักษณะเป็นสำยส่งสัญญำณที่ประกอบด้วย ทองแดงถูกจับพันกันเป็นเกลียวตำมมำตรฐำนจ�ำนวน 4 คู่สำย เพื่อช่วยลดกำรรบกวนของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทั้งจำกภำยในสำยและภำยนอกสำย ซึ่งสำยคู่บิดเกลียวมี 2 ประเภท ได้แก่ สำยคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair: STP) และสำยคู่บิดเกลียวแบบไม่มี ฉนวนหุ้ม (UnshieldedTwisted Pair: UTP) ในปัจจุบันกำรติดตั้งสำยสัญญำณอินเทอร์เน็ตภำยใน อำคำรบ้ำนเรือนนิยมใช้สำยคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้มเป็นหลัก เพรำะมีรำคำถูกกว่ำสำยบิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม 74 เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปวิดีโอที่ชวยเพิ่มความเขาใจใหนักเรียนดูประกอบการสอน โดยสามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด สื่อกลางในการสื่อสารขอมูล หรือตัวกลางในการสื่อสารขอมูล สายสัญญาณที่ใชงานอยูในปจจุบันมีการ พัฒนาขีดความสามารถผลิตออกมาเปนรุนใหมอยูอยางตอเนื่อง ครูอาจจะสืบคน ขอมูลลาสุดมาสอนเพิ่มเติมใหกับนักเรียน เพื่อใหบทเรียนมีความเทาทันปจจุบัน ก็จะมีประโยชนมาก ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) เพื่อศึกษาเนื้อหา เกี่ยวกับสื่อกลางของการสื่อสารขอมูลผานระบบ เครือขาย เรื่อง สื่อกลางประเภทสายสัญญาณ แบบสายคูบิดเกลียว แบบสายโคแอกเชียล และแบบสายไฟเบอรออปติก ถาตองการเดินสายสัญญาณแบบสายคูบิดเกลียวในพื้นที่หอง ที่มีเสนทางการเดินสายมีลักษณะคดเคี้ยวเปนสวนใหญ ควรเลือก ใชสายคูบิดเกลียวแบบใด ดวยเหตุผลใด 1. สาย STP เพราะราคาถูกกวา 2. สาย UTP เพราะสงขอมูลไดเร็วกวา 3. สาย UTP เพราะปองกันสัญญาณรบกวนไดดี 4. สาย STP เพราะมีความยืดหยุนสามารถดัดโคงงอได (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา สาย STP จะมีความยืดหยุนสามารถดัดโคงงอไดมากกวาแบบ UTP จึงเหมาะ กับการเดินสายในพื้นที่ที่ตองเดินสายเปนเสนโคงหลายๆ จุด มากกวาแบบ STP ดังนั้น ตอบขอ 4.) อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงความรูสูชีวิตประจําวัน (Com Sci in Real Life) วาสายคูบิดเกลียวแบบ UTP ถูกผลิตขึ้นมาใชงานกอนแลว จึงไดมีการ พัฒนาเปน STP ซึ่งสาย UTP เริ่มแรกถูกนํามา ใชในระบบโทรศัพท แตปจจุบันถูกนํามาใชเปน สัญญาณที่เชื่อมตอในระบบเครือขายทองถิ่น (LAN) และมีการกําหนดมาตรฐานไว โดยสาย ที่มีมาตรฐานสูงจะสามารถสงขอมูลขนาดใหญ ได และมีความเร็วในการสงสูง แตก็มีราคา แพงขึ้นตามลําดับ นํา สอน สรุป ประเมิน T84


• สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) ตัวสำยจะประกอบไปด้วยลวดทองแดงที่เป็น ตัวน�ำสัญญำณ ห่อหุ้มด้วยฉนวนป้องกันกระแส ไฟฟ้ำรั่ว จำกนั้นจะหุ้มด้วยตัวน�ำซึ่งท�ำจำกลวด ทองแดงถักเป็นร่ำงแห เพื่อป้องกันกำรรบกวน ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ สัญญำณรบกวนอื่น ๆ และชั้นนอกสุดจะหุ้มด้วยฉนวนพลำสติก น�ำ มำใช้ประโยชน์ในกำรต่อโทรทัศน์ และกล้อง วงจรปิด • สายไฟเบอร์ออปติก (Fiber-Optic Cable) หรือที่เรียกว่ำ สำยใยแก้วน�ำแสง ตัวสำย ด้ำนในท�ำจำกแก้ว หรือพลำสติกที่มีลักษณะ เป็นเส้นบำง ๆ คล้ำยเส้นใยแก้ว และมีฉนวนหุ้ม ชั้นนอก เพื่อป้องกันกำรกระแทกและฉีกขำด ภาพที่ 3.18 สำยไฟเบอร์ออปติก ภาพที่ 3.17 สำยโคแอกเชียล ตัวน�ำสัญญำณ ท�ำด้วยทองแดง ฉนวนหุ้มด้ำนใน ฉนวนหุ้มด้ำนนอก ข้อดี ข้อเสีย - รำคำถูก - มีควำมยืดหยุ่น ในกำรใช้งำน - ติดตั้งง่ำยและ มีน�้ำหนักเบำ - ถูกรบกวนจำก สัญญำณภำยนอก ได้ง่ำย - ใช้ได้ในระยะทำง จ�ำกัด ข้อดี ข้อเสีย - สำมำรถบรรจุ ข้อมูลได้จ�ำนวน มำก - มีขนำดเล็ก น�้ำหนักเบำ - มีอำยุกำรใช้งำน นำน - เส้นใยแก้วน�ำแสง เปรำะบำง แตกหัก ง่ำย - ไม่สำมำรถดัดโค้ง งอได้ - ในกำรติดตั้งต้องใช้ เครื่องมือพิเศษ เฉพำะทำง 75 ตัวน�ำสัญญำณ ห่อหุ้มด้วยฉนวนป้องกันกระแส ไฟฟ้ำรั่ว จำกนั้นจะหุ้มด้วยตัวน�ำซึ่งท�ำจำกลวด 1 ขั้นสอน อธิบายความรู 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ในปจจุบันการติดตั้ง ระบบอินเทอรเน็ตในประเทศไทยไดพัฒนา มาตรฐานสายสัญญาณเปนแบบไฟเบอร ออปติกแลว และสายสัญญาณแบบสายคู บิดเกลียวก็ถูกพัฒนาคุณภาพเพิ่มเติมใหมี หลากหลายประเภทเพิ่มขึ้นตามลักษณะการ ใชงาน เชน แบบ FTP (Foil Twisted Pair) แบบ STP (Shielded Twisted Pair) และให มีระดับคุณภาพแบงเปนเกรดเรียกวา CAT (Categories) เชน เกรด CAT5 เกรด CAT5e เกรด CAT6 โดยที่คุณภาพและราคาก็จะสูงขึ้น ตามเกรดของสายสัญญาณ นักเรียนควรรู 1 ฉนวนปองกันกระแสไฟฟารั่ว คือ วัสดุที่มีคุณสมบัติในการกีดกั้นหรือ ขัดขวางการไหลของกระแสไฟฟา ทําหนาที่ปองกันอันตรายจากกระแสไฟฟา สายไฟฟาจะหุมดวยฉนวนไฟฟาเพื่อปองกันไฟฟารั่ว อุปกรณไฟฟาสวนใหญมี ชิ้นสวนที่ตองสัมผัสกับรางกาย จะมีคุณสมบัติเปนฉนวนไฟฟา เชน พัดลม ไขควงวัดไฟ เตารีดเครื่องดูดฝุน สวนที่ตองใชมือจับจะเปนฉนวนไฟฟาจําพวก พลาสติก นอกจากนี้ยังมีวัสดุอื่นๆ ที่ถูกนํามาใชเปนฉนวนไฟฟาอีก เชน แกว พลาสติก กระเบื้อง ยาง กิจกรรม สรางเสริม ครูใหการบานนักเรียนลองสืบคนขอมูลเกี่ยวกับสายสัญญาณ แบบไฟเบอรออปติก ดังนี้ 1. สัญญาณไฟเบอรออปติกในปจจุบันมีกี่ประเภท แตละ ประเภทมีคุณสมบัติแตกตางกันอยางไร 2. เทคโนโลยี FTTx (Fibre to the x) คืออะไร มีขอดีและ ขอเสียอยางไร นํา สอน สรุป ประเมิน T85


ขอสอบเนนการคิด คุณสมบัติและการนําไปใชงานของสื่อกลางประเภทสายสัญญาณ ชนิดของสื่อกลาง ความเร็ว สูงสุด ระยะทาง ที่ใชงานได การนําไปใชงาน สายคูบิดเกลียวแบบ ไมมีฉนวนหุม (UTP) 1 Gbps ไมเกิน 100 เมตร ใชเชื่อมตออุปกรณ หรือ คอมพิวเตอรเขากับแลน ที่ใชในปจจุบัน สายคูบิดเกลียวแบบ มีฉนวนหุม (STP) 10 Gbps ไมเกิน 100 เมตร ใชเชื่อมตอคอมพิวเตอร เขากับแลน มีราคาสูง สายโคแอกเชียล 100 Mbps ไมเกิน 500 เมตร ใชเปนสายแกนหลักสําหรับ แลนในยุคแรก ๆ และ ยังนิยมใชเปนสายนํา สัญญาณภาพและเสียง ของโทรทัศน สายไฟเบอรออปติก 100 Gbps มากกวา 2 กิโลเมตร ใชเปนสายแกนหลักใน ระบบเครือขายหรือใช สําหรับเชื่อมตอระหวาง เครือขายที่อยูหางไกล Gbps ยอมาจากคําวา Gigabit per second คือ หนวยความจําหรือหนวยที่ใชวัดอัตรา ความเร็วในการสงหรือรับขอมูลตาง ๆ ซึ่งความเร็วในการรับสงขอมูลจะอยูที่ระดับหนึ่งพันลาน บิตตอวินาที Mbps ยอมาจากคําวา Megabit per second คือ หนวยความจําหรือหนวยที่ใชวัดอัตรา ความเร็วในการสงหรือรับขอมูลตาง ๆ ตอ 1 วินาที ซึ่งนั่นจะหมายถึง หนึ่งลานบิตตอวินาที Com Sci Focus ˹‹ÇÂÇÑ´¤ÇÒÁàÃçǢͧ¤ÍÁ¾ÔÇàµÍÏ 76 ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนพิจารณาคุณสมบัติและการนําไปใชงาน ของสื่อกลางประเภทสายสัญญาณ 2. นักเรียนศึกษาความรูเสริม (Com Sci Focus) จากเนื้อหา เพื่อขยายความรูของนักเรียน เรื่อง หนวยวัดความเร็วของคอมพิวเตอร ที่ กลาวถึง Gbps ที่ยอมาจากคําวา Gigabit per second และ Mbps ที่ยอมาจากคําวา Megabit per second 3. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น ความรูเสริม ในปจจุบันยังมีการพัฒนาดานคุณสมบัติของสายสัญญาณอยูอยาง ตอเนื่อง โดยเฉพาะคุณสมบัติในดานความเร็วสูงสุด และระยะทางการใชงาน ไดของสายสัญญาณ ซึ่งจะสามารถขยายขอบเขตการใชงานออกไปไดมากขึ้น อีกในอนาคต และจะเห็นไดวา เทคโนโลยีสายสัญญาณนั้นมีการพัฒนาควบคู ไปพรอมกับเทคโนโลยีไรสาย ในแบบใชงานรวมกันในระบบเครือขายและมีการ ใชแทนที่กันในหลายสวน เชน ระบบสัญญาณเสียง มีการนําระบบ Bluetooth เขามาใชอยางกวางขวาง ทั้งในอุปกรณเฮดโฟน ลําโพงเสียงแบบไรสาย ซึ่งได รับความนิยมเพราะสะดวกในการใชงาน แตก็มีขอเสียในเรื่องการใชแบตเตอรี่ ในอุปกรณเขามาแทน บริษัท A และ B มีโพรโมชันประจําเดือนในการติดตั้ง อินเทอรเน็ตแบบใชสายสัญญาณไฟเบอรออปติก ดังตารางตอไปนี้ บริษัท คาเดินสาย โพรโมชันประจําเดือน A เมตรละ 30 บาท ฟรีคาเดินสาย 200 เมตรแรก B เมตรละ 20 บาท ฟรีคาเดินสาย 1,000 บาท ใครตองจายเงินคาเดินสายเทากันไมวาจะใชบริการของบริษัท A หรือ B ก็ตาม 1. เกงตองเดินสายเปนระยะทาง 400 เมตร 2. กลาตองเดินสายเปนระยะทาง 500 เมตร 3. กองตองเดินสายเปนระยะทาง 600 เมตร 4. กอยตองเดินสายเปนระยะทาง 700 เมตร (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ที่ ระยะ 500 เมตร ไมวาจะเลือกใชบริการของบริษัท A หรือ B ก็จะ มีคาใชจายเทากับ 9,000 บาท เทากัน ดังนั้น ตอบขอ 2.) นํา สอน สรุป ประเมิน T86


ขอสอบเนน การคิด ได้ในระยะทำงไกล โดยใช้อำกำศเป็นตัวกลำง ทั้งนี้ กำรใช้ระบบ FM ในกำรส่งคลื่นวิทยุกระจำย เสียงจะสำมำรถยกระดับคุณภำพของเสียงให้ดีขึ้น ชัดขึ้น ป้องกันเสียงรบกวนได้มำกกว่ำระบบ AM ซึ่งระบบ AM สำมำรถส่งสัญญำณได้ไกลกว่ำ FM แต่คุณภำพสัญญำณของ FM จะดีกว่ำ AM • ไมโครเวฟ (Microwave) เป็นสื่อกลำง กำรสื่อสำรควำมถี่สูงเหมำะกับกำรเชื่อมต่อสื่อสำร ในระยะไกล โดยอุปกรณ์ส่งสัญญำณจะส่งสัญญำณ พร้อมกับข้อมูลไปในอำกำศให้กับสถำนีรับส ่ง สัญญำณ จำกนั้นสถำนีจะส ่งสัญญำณพร้อมกับ ข้อมูลต่อให้กับอุปกรณ์รับสัญญำณ แต่เนื่องจำก สัญญำณไมโครเวฟเดินทำงเป็นเส้นตรง จึงต้องมี กำรติดตั้งสถำนีรับส่งสัญญำณแต่ละสถำนีไว้บนที่สูง เช่น ดำดฟ้ำ ตึกสูง ยอดเขำ เป็นต้น ตลอดจน สำมำรถส่งสัญญำณผ่ำนดำวเทียมได้ • ดาวเทียมสื่อสาร เป็นกำรสื่อสำรระยะ ไกลครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก โดยสถำนีส่งภำคพื้นดิน จะส่งสัญญำณควำมถี่ไมโครเวฟพร้อมกับข้อมูลไป ยังดำวเทียมที่โคจรอยู่นอกโลก ซึ่งท�ำหน้ำที่ในกำร กระจำยสัญญำณส่งไปยังสถำนีรับภำคพื้นดินอื่น ๆ ที่เป็นจุดหมำย ภาพที่ 3.21 กำรส่งสัญญำณดำวเทียม Downlink Frequency ควำมถี่ขำลง 4 กิกะเฮิรตซ์ ดำวเทียม Uplink Frequency ควำมถี่ขำขึ้น 6 กิกะเฮิรตซ์ สถำนีส่งภำคพื้นดิน สถำนีรับภำคพื้นดิน ภาพที่ 3.20 กำรส่งสัญญำณคลื่นไมโครเวฟ ระยะทำง 50 กิโลเมตร ระยะทำง 50 กิโลเมตร สถำนีรับส่งสัญญำณ สถำนี รับส่งสัญญำณ สถำนี รับส่งสัญญำณ ภาพที่ 3.19 กำรส่งสัญญำณของคลื่นวิทยุ คลื่นตรง คลื่นสะท้อน คลื่นฟ้ำ คลื่นดิน 2. สื่อกลางประเภทไร้สาย • อินฟราเรด (Infrared) เป็นสื่อกลำงกำรสื่อสำรที่มีลักษณะเป็นคลื่นวิทยุควำมถี่สูงที่มี ควำมยำวคลื่นต�่ำ มักใช้ในกำรสื่อสำรข้อมูลที่ปรำศจำกสิ่งกีดขวำงระหว่ำงตัวส่งสัญญำณและตัวรับ สัญญำณ เช่น กำรเชื่อมต่อคีย์บอร์ดไร้สำยกับเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่ำนพอร์ต IrDA (Infrared Data Association) • คลื่นวิทยุ (Radio Wave) มีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำควำมถี่สูง มี 2 ระบบ คือ ระบบ AM (Amplitude Modulation) และระบบ FM (Frequency Modulation) สำมำรถส่งสัญญำณ 77 ขอสอบเนน การคิด ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) เพื่อศึกษาเนื้อหา เกี่ยวกับสื่อกลางของการสื่อสารขอมูลผานระบบ เครือขาย เรื่อง สื่อกลางประเภทไรสาย ดังนี้ สัญญาณอินฟราเรด สัญญาณคลื่นวิทยุ สัญญาณ ไมโครเวฟ และสัญญาณดาวเทียมสื่อสาร อธิบายความรู้ ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสื่อกลางประเภท ไรสายวา สื่อกลางประเภทไรสาย เปนสื่อกลาง ประเภทที่ไมใชวัสดุใดๆ ในการนําสัญญาณ ซึ่ง จะไมมีการกําหนดเสนทางใหสัญญาณเดินทาง เชน คลื่นไมโครเวฟ คลื่นแมเหล็กไฟฟา ซึ่งแบง ออกเปนคลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ ดาวเทียมสื่อสาร ขอใดกลาวผิด 1. โดยปกติสถานีรับสงสัญญาณดวยคลื่นไมโครเวฟจะรับสง สัญญาณกันระหวางสถานี 2. สถานีรับสงสัญญาณดาวเทียมสงสัญญาณไปยังดาวเทียม ดวยคลื่นอินฟราเรด 3. ระบบ FM จะมีคุณภาพเสียงดีกวาระบบ AM สวนระบบ AM จะสงสัญญาณไดไกลกวา FM 4. สถานีรับสงสัญญาณดาวเทียมสื่อสารจะสงสัญญาณไปยัง ดาวเทียมกอน แลวจึงใหดาวเทียมกระจายสัญญาณมายัง สถานีรับภาคพื้นดินอื่นๆ (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ดาวเทียมสื่อสารจะสงสัญญาณดวยคลื่นสัญญาณไมโครเวฟ ดังนั้น ตอบขอ 2.) เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปวิดีโอที่ชวยเพิ่มความเขาใจใหนักเรียนไดดูประกอบการสอน เนื่องจากเนื้อหาสวนนี้คอนขางมีความเปนทฤษฎีสูง ครูจึงจําเปนตองหาสื่อ การสอนประเภทคลิปวิดีโอแอนิเมชันมาชวยอธิบายเสริมใหนักเรียนเห็นภาพ กระบวนการสงสัญญาณแบบตางๆ อยางชัดเจน โดยสามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด สื่อกลางในการสื่อสารขอมูลแบบไรสาย หรือสื่อกลางสงขอมูล ประเภทไรสาย ขยายความเข้าใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัยและ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง สื่อกลางของการสื่อสาร ขอมูล 3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันภายใน หองเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T87


ขอสอบเนนการคิด 3.5 ประเภทของระบบเครือขาย ประเภทของระบบเครือข่ำย มีดังนี้ 1. เครือข่ายส่วนบุคคล (Personal Area Network: PAN) เป็นเครือข่ำยที่มีกำรเชื่อมต่อ ระหว่ำงอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล มีอัตรำควำมเร็วกำรรับส่งข้อมูลสูงสุด 480 Mbps เช่น กำร เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นกำรเชื่อมต่อที่อยู่ในระยะใกล้ สำมำรถเชื่อมต่อ โดยใช้ Bluetooth ได้ พีซี โน้ตบุ๊ก ปรินเตอร์ ปรินเตอร์ พีดีเอ ภาพที่ 3.22 ผังเครือข่ำยส่วนบุคคล ปรินเตอร์ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ HUB หรือ Router ภาพที่ 3.23 ผังเครือข่ำยท้องถิ่น 2. เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network: LAN) เป็นกำรเชื่อมต่อเครือข่ำยระยะใกล้ เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่ำง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น กำรเชื่อมโยง เครือข่ำยภำยในบ้ำน ภำยในส�ำนักงำน และอำคำรต่ำง ๆ โดยใช้สำยสัญญำณเป็นสื่อกลำงกำร สื่อสำรข้อมูล 78 Bluetooth ได้ 1 ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับระบบเครือขาย จากหนังสือเรียน นักเรียนควรรู 1 Bluetooth เปนระบบเครือขายสําหรับเชื่อมตออุปกรณระยะใกลที่ไดรับ ความนิยมมากในปจจุบัน ตัวอยางในชีวิตประจําวันจะเห็นไดจากอุปกรณไรสาย ที่ใชเชื่อมตอสมารตโฟน เชน หูฟง ลําโพง ไมโครโฟนไรสาย สมอลทอลก เมาส กานควบคุม (Joystick) แปนพิมพ จะมีรุนที่เปนระบบ Bluetooth ทั้งหมด เครือขายประเภทใดที่ไมจําเปนตองใชเราเตอรหรือฮับเปนอุปกรณ ในการกระจายสัญญาณ 1. เครือขายทองถิ่น 2. เครือขายสวนบุคคล 3. เครือขายระดับเมือง 4. เครือขายระดับประเทศ (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ในปจจุบันจะมีการติดตั้งอุปกรณในการรับสงสัญญาณเครือขาย สวนบุคคลไวในเครื่องคอมพิวเตอรหรือสมารตโฟนอยูแลว ทําให สามารถทําการรับสงขอมูลระหวางอุปกรณสวนบุคคลไดทันที ดังนั้น ตอบขอ 2.) อธิบายความรู้ 1. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาอธิบายประเภท ของระบบเครือขาย ตามที่นักเรียนไดศึกษา จากหนังสือเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T88


ขอสอบเนน การคิด 3. เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network: MAN) เป็นกำรเชื่อมต ่อ เครือข่ำยขนำดกลำง และเป็นกำรรวมเครือข่ำยท้องถิ่น (LAN) หลำยเครือข่ำยเข้ำด้วยกัน ใช้ใน กำรเชื่อมต่อระหว่ำงองค์กรที่อยู่ภำยในเมืองหรือในจังหวัดเดียวกัน 4. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network: WAN) เป็นกำรเชื่อมต่อเครือข่ำย บริเวณกว้ำง หรือเชื่อมต่อในพื้นที่ที่อยู่ห่ำงไกลกัน สำมำรถติดต่อสื่อสำรข้ำมทวีปหรือทั่วโลกได้ โดยในกำรเชื่อมต่อนั้นจะต้องต่อเข้ำกับระบบสื่อสำรขององค์กำรโทรศัพท์ WAN LAN LAN LAN LAN LAN LAN LAN LAN LAN MAN ภาพที่ 3.24 ผังเครือข่ำยระดับเมือง ภำพที่ 3.25 ผังเครือข่ำยระดับเมือง in Real Life Com Sci Com Sci o_O ระบบเครือข่ายในสถานศึกษา ในสถำนศึกษำต ่ำง ๆ ที่มี อำคำรเรียนหลำยอำคำรส่วน ใหญ่มักจะมีระบบ MAN ไว้ คอยเชื่อมต่อกับระบบ LAN ของแต่ละอำคำรเข้ำด้วยกัน ภาพที่ 3.25 ผังเครือข่ำยระดับประเทศ 79 ขอสอบเนน การคิด แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานกลุ่ม ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ ชื่อ–สกุล ของนักเรียน การแสดง ความคิดเห็น การยอมรับ ฟังคนอื่น การท างาน ตามที่ได้รับ มอบหมาย ความมีน้ าใจ การมี ส่วนร่วมใน การปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 15 คะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............./.................../............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงความรูสูชีวิตประจําวัน (Com Sci in Real Life) เรื่อง ระบบเครือขาย ในสถานศึกษา จากหนังสือเรียน ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ประเภทของระบบ เครือขาย 2. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันภายใน หองเรียน ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม การนําเสนอหนาชั้นเรียน ความสนใจ ในการเรียน และการทําใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของผลการทําใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับเทคโนโลยี การสื่อสาร ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางานกลุม แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล และการทํางานกลุมของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก แบบประเมินการนําเสนอผลงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล และแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู ที่ 4 หนวยการเรียนรูที่ 3 ในชั่วโมงเรียนวิชาวิทยาการคํานวณ ตนทําการสั่งพิมพเอกสาร จากไฟลในเครื่องสมารตโฟนของตนเองไปที่เครื่องพิมพแบบไรสาย โดยใชสัญญาณ WiFi จากโมเด็มเราเตอร ซึ่งเปนอุปกรณกระจาย สัญญาณที่หองคอมพิวเตอรของโรงเรียน ถือเปนการใชงาน เครือขายประเภทใด 1. เครือขายทองถิ่น (LAN) 2. เครือขายสวนบุคคล (PAN) 3. เครือขายระดับเมือง (MAN) 4. เครือขายระดับประเทศ (WAN) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การใชสัญญาณ WiFi จากโมเด็มเราเตอรที่หองคอมพิวเตอรของ โรงเรียน ถือเปนการใชงานเครือขายประเภทเครือขายทองถิ่น (LAN) ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T89


ขอสอบเนนการคิด 4 การประยุกต์ ใช้งานและ การแก้ปัญหาเบื้องต้น ในปัจจุบันเทคโนโลยีทำงด้ำนระบบคอมพิวเตอร์ มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ว มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้น ตลอดเวลำและหลำกหลำย โดยเฉพำะทำงด้ำนฮำร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ หำกเพียงแต่ผู้ใช้งำนจะต้องรู้จักกำรเลือกน�ำไปใช้งำนและรู้จักกำรแก้ไข ปัญหำ ก็จะถือเป็นกำรใช้งำนเทคโนโลยีอย่ำงคุ้มค่ำ 4.1 การใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ กำรน�ำระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้งำนในชีวิตประจ�ำวัน ทั้งในกำรท�ำงำน หรือใช้งำนส่วนตัว ต้องมีกำรพิจำรณำควำมต้องกำรของผู้ใช้ ซึ่งสำมำรถแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ให้เหมำะสม กับกำรใช้งำน ออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. Super Computer 2. Mainframe Computer 3. Personal Computer 4. Workstation Computer 5. Wearable Computer เมื่อเรามีเครื่องมือหรือ อุปกรณ แตหากเราไมนํา ไปใชงาน เครื่องมือหรือ อุปกรณนั้นก็จะกลายเปน ขยะ และถูกทิ้งไป ภาพที่ 3.26 Super Computer Super Computer • ลักษณะการท�างาน ของ Super Computer เป็นกำรประมวลผลข้อมูลขนำดใหญ่ที่ต้องกำร ควำมละเอียดสูงและต้องกำรควำมรวดเร็ว ท�ำให้รูปร่ำงมีขนำดใหญ่ มีน�้ำหนักเยอะ เคลื่อนย้ำย ได้ยำก และมีรำคำสูงมำก • การใช้งาน น�ำไป ใช้งำนที่ต้องกำรควำมละเอียด สูงและประมวลผลข้อมูลที่มี ขนำดใหญ่โดยใช้เวลำให้น้อย ลงเป็นหลัก เช่น ด้ำนกำรวิจัย ด้ำนอวกำศ ด้ำนกำรแพทย์ กำรวิเครำะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน กำรพยำกรณ์ หรือกำรเตือน ภัยต่ำง ๆ 80 เกร็ดแนะครู ครูอาจจะหาขอมูล Super Computer ที่มีอยูในประเทศไทยมานําเสนอ เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพความสัมพันธของการใชงาน Super Computer ในหนวยงาน หรือองคกรตางๆ ไดชัดเจนขึ้น และอาจหาเกร็ดความรูเล็กๆ นอยๆ เชน ขอมูล 10 อันดับ Super Computer ที่เร็วที่สุดในโลกมานําเสนอเปนความรูเพิ่มเติม ใหกับนักเรียนดวย ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. ครูทบทวนความรูเดิมจากชั่วโมงที่ผานมา 2. นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) และใหคนหาวา คอมพิวเตอรแบงออกเปนกี่ประเภท และ แตละประเภทเหมาะกับการทํางานประเภทใด จากนั้นใหแตละกลุมออกมานําเสนอหนาชั้น เรียน พรอมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับเพื่อนรวมชั้น ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. นักเรียนศึกษาประเภทของคอมพิวเตอรที่ แบงออกเปน 5 ประเภท คือ 1) Super Computer 2) Mainframe Computer 3) Personal Computer 4) Workstation Computer 5) Wearable Computer จากหนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจาก อินเทอรเน็ตที่เครื่องคอมพิวเตอรของตนเอง โดยใหนักเรียนพิจารณาถึงลักษณะการทํางาน และการใชงาน นักเรียนคิดวา Super Computer เหมาะสมที่จะนําไปใชใน หนวยงานใดตอไปนี้มากที่สุด 1. ธนาคาร 2. โรงเรียน 3. กรมตํารวจ 4. กรมอุตุนิยมวิทยา (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา Super Computer เหมาะกับการประมวลผลขอมูลจํานวนมากที่มี เวลาจํากัด เชน การพยากรณอากาศ ภัยพิบัติ ขอ 1. ขอ 3. เหมาะกับ Mainframe Computer มากกวา ขอ 2. ไมมีความ จําเปน ดังนั้น ตอบขอ 4.) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T90


ขอสอบเนน การคิด ภาพที่ 3.27 Mainframe Computer ภาพที่ 3.28 Personal Computer (PC) Mainframe Computer • ลักษณะการท�างาน ของ Mainframe Computer มี ควำมสำมำรถสูงในกำรรองรับ ข้อมูลจึงเป็นคอมพิวเตอร์ที่ มีขนำดใหญ่และต้องตั้งอยู่ใน ห้องที่มีกำรควบคุมอุณหภูมิ และมีมำตรกำรป้องกันที่ดี • การใช้งาน ถูกน�ำ ไปใช้ในองค์กรหรือหน่วยงำน ที่มีขนำดใหญ่ เช่น ธนำคำร โรงงำนอุตสำหกรรมขนำดใหญ่ บริษัทประกันภัย Personal Computer (PC) • ลักษณะการท�างาน ของ PC เป็นกำรใช้งำนส่วนบุคคล เหมำะส�ำหรับกำรประมวลผล ข้อมูลขนำดปำนกลำงหรือ ขนำดเล็ก มักถูกน�ำมำเป็น เครื่องประจ�ำตัวของผู้ใช้งำน เช่น ที่บ้ำน ที่ท�ำงำน • การใช้งาน เป็นกำร ใช้งำนได้หลำกหลำย เช ่น กำรพิมพ์งำน กำรเข้ำเว็บไซต์ เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้ ต้องมีผู้ใช้เพื่อควบคุมกำร ท�ำงำน ไม่สำมำรถเปิดใช้งำน ได้ตลอด 24 ชั่วโมงเพรำะ เครื่องจะร้อนและท�ำให้อุปกรณ์ บำงส่วนเสียหำย 81 ขอสอบเนน การคิด ขั้นสอน สํารวจค้นหา 2. นักเรียนศึกษาลักษณะการทํางานและการใชงาน Mainframe Computer กับ Personal Computer จากหนังสือเรียน การประมวลผลในขอใดเหมาะกับเครื่อง Mainframe Computer 1. การสํารวจแหลงนํ้ามัน 2. พยากรณการเกิดแผนดินไหว 3. การเชื่อมโยงการใชงานกับระบบตูเอทีเอ็ม 4. การคาดการณเกี่ยวกับการแพรกระจายของสิ่งแวดลอม เปนพิษ (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ 1. ขอ 2. และขอ 4. เปนการคํานวณที่ตองการความแมนยําสูง การประมวลผลขอมูลจํานวนมากในเวลาที่จํากัด การพยากรณ เหมาะกับเครื่อง Super Computer สวนการเชื่อมโยงกับระบบที่มี เครื่องลูกและมีการประมวลผลจากผูใชหลายคนพรอมกัน เชน ตูเอทีเอ็ม จะมีความเหมาะสมกับเครื่อง Mainframe Computer มากกวา ดังนั้น ตอบขอ 3.) ความรูเสริม ในปจจุบันมีการใชงานเครื่อง Mainframe Computer ลดลง เนื่องจาก หลายปจจัย เชน ราคาแพง ใชงานยาก แตสาเหตุที่สําคัญ คือ เครื่องคอมพิวเตอร ประเภทที่เล็กกวาถูกพัฒนาใหมีประสิทธิภาพในการประมวลผลมากขึ้น จนเทียบเทาเครื่อง Mainframe Computer ในราคาที่ถูกกวา อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใชงานระบบ คอมพิวเตอรวา นอกจากจะมีการแบงประเภท ของคอมพิวเตอรออกเปน 5 ประเภทแลว ยังสามารถแบงประเภทคอมพิวเตอรตาม วัตถุประสงคของการใชงานไดอีก คือ 1) คอมพิวเตอรเพื่องานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer) หมายถึง เครื่อง ประมวลผลขอมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่อง และโปรแกรมควบคุมใหทํางานอยางใด อยางหนึ่งเปนการเฉพาะ โดยทั่วไปมักใช ในงานควบคุมอุตสาหกรรมที่เนนการ ประมวลผลแบบรวดเร็ว เชน เครื่องคอม พิวเตอรควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอม พิวเตอรควบคุมลิฟต หรือคอมพิวเตอร ควบคุมระบบอัตโนมัติในรถยนต 2) คอมพิวเตอรเพื่องานอเนกประสงค (General Purpose Computer) หมายถึง เครื่อง ประมวลผลขอมูลที่มีความยืดหยุนใน การทํางาน โดยไดรับการออกแบบให สามารถประยุกตใชในงานประเภทตางๆ ได โดยระบบจะทํางานตามคําสั่งในโปรแกรม ที่เขียนขึ้นมา เชน ใชเครื่องนี้ในงาน ประมวลผลคะแนนนักเรียนเกี่ยวกับระบบ การตัดเกรด หรือสามารถใชในการคํานวณ เงินเดือนได นํา สอน สรุป ประเมิน T91


ขอสอบเนนการคิด ภาพที่ 3.29 Workstation Computer ภาพที่ 3.30 Wearable Computer Workstation Computer • ลักษณะการท�างาน ของ Workstation Computer เหมำะกับกำรท�ำงำนเฉพำะทำง จึงท�ำให้กำรประมวลผลและ กำรแสดงผลได้ดี ซึ่งถือว ่ำ มีประสิทธิภำพสูงกว่ำเครื่อง PC ทั่วไป • การใช้งาน สำมำรถ เปิดใช้งำนได้ตลอด 24 ชั่วโมง เน้นทำงสำยงำนที่เฉพำะทำง โดยส่วนใหญ่ จะเน้นไปทำง กำรประมวลผลด้ำนกรำฟิก เช ่น ด้ำนสถำปัตยกรรม ด้ำนวิศวกรรม นักเล่นเกมมือ อำชีพ Wearable Computer • ลักษณะการท�างาน ของ Wearable Computer เป็นกำรท�ำงำนที่เกี่ยวข้องกับตัวจับกำร เคลื่อนไหว เซ็นเซอร์ กำรหำ ต�ำแหน่ง เป็นกำรประมวลผล ที่ไม ่ต้องกำรควำมซับซ้อน มำก แต่สำมำรถบันทึกข้อมูล หรือแสดงข้อมูลได้ • การใช้งาน เน้น น�ำไปใช้งำนในชีวิตประจ�ำวัน หรือประจ�ำตัวบุคคล เช ่น นำฬิกำดิจิทัล สมำร์ตโฟน แท็บเล็ต จีพีเอส แว่นวีอำร์ 82 ความรูเสริม ในปจจุบัน Wearable Computer ถูกออกแบบใหสามารถติดตั้งกับสวนตางๆ ของรางกายมนุษยเพื่อความสะดวกในการใชงาน เชน Wearable Computer ที่ มีลักษณะเปนเหมือนนาฬกา สายรัดขอมือ แวนตา โดยที่ Wearable Computer สามารถทํางานแบบแยกเดี่ยว (Stand alone) หรือทํางานรวมกับอุปกรณอื่น เชน สมารตโฟน แท็บเล็ต เพื่อประมวลผลขอมูล เชน ระยะทางในการวิ่ง อัตราการ เตนของหัวใจ ตําแหนงพิกัดบนโลก ออกมาเปนคาสถิติหรือนําไปใชประโยชน อยางอื่นไดดวย นักเรียนคิดวา คอมพิวเตอรประเภทใดเหมาะสําหรับใชเลนเกม เปนอาชีพมากที่สุด เพราะอะไร (วิเคราะหคําตอบ Workstation Computer มีประสิทธิภาพสูงกวา เครื่อง PC ทั้งในดานความเร็วในการประมวลผล และการแสดงผล กราฟก ซึ่งคุณสมบัติดังกลาวมีความจําเปนสําหรับการเลนเกม) ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ประเภทของ คอมพิวเตอร 2. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลวา ในปจจุบัน ประเทศไทยมีการนําคอมพิวเตอรมาใชงาน ครบทั้ง 5 ประเภทหรือไม 3. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันใน ชั้นเรียน ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ครูอธิบายเกี่ยวกับ Wearable Computer วา Wearable Computer เปนรูปแบบใหมของ คอมพิวเตอรที่ถูกพัฒนาขึ้นลาสุด มีขนาดเล็ก และถูกออกแบบใหมีความสะดวกในการพกพา และใชงานงาย โดยในปจจุบันจะมีการเนนการ ใชงาน Wearable Computer ในลักษณะที่ เกี่ยวของกับสุขภาพและการออกกําลังกาย นํา สอน สรุป ประเมิน T92


ขอสอบเนน การคิด 4.2 ปัญหาและการแก้ไขการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ 1. ปัญหาการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีโอกำส ที่จะเกิดปัญหำขึ้นเมื่อใดก็ได้ โดยปัญหำกำร ใช้งำนระบบคอมพิวเตอร์ สำมำรถแบ่งออกได้ ดังนี้ 1) ปัญหาทางด้านฮาร์ดแวร์ คือ ปัญหำที่เกิดขึ้นจำกตัวอุปกรณ์ช�ำรุด หรือท�ำงำน ผิดปกติ โดยบำงครั้งปัญหำอำจเกิดขึ้นจำกตัว ผู้ใช้เอง เช่น กำรปรับแต่งอุปกรณ์ในกำรท�ำงำน เกินขีดจ�ำกัด อุปกรณ์เสื่อมคุณภำพ หรือ อำจจะเกิดจำกเหตุกำรณ์ที่เรำไม่คำดคิด เช่น ไฟฟ้ำตก ไฟฟ้ำช็อต 2) ปัญหาทางด้านซอฟต์แวร์ คือ ปัญหำที่เกิดขึ้นจำกตัวโปรแกรมท�ำงำนผิดปกติ ซึ่งอำจจะเกิดปัญหำได้ทั้งตัวระบบปฏิบัติกำร และโปรแกรมท�ำงำนทั่วไป เช่น ตัวซอฟต์แวร์อำจ จะไม่สมบูรณ์ซอฟต์แวร์ที่ใช้งำนไม่สำมำรถท�ำงำนได้บนระบบปฏิบัติกำรที่ใช้อยู่หรือซอฟต์แวร์ ถูกไวรัสเข้ำไปท�ำลำย 3) ปัญหาทางด้านผู้ใช้งาน คือ ปัญหำที่เกิดจำกควำมรู้เท่ำไม่ถึงกำรณ์ของผู้ใช้ เช่น กำรปรับแต่งอุปกรณ์ กำรลองผิดลองถูกในกำรใช้งำนซอฟต์แวร์ต่ำง ๆ หรือกำรเผลอไปลบไฟล์ ต่ำง ๆ ของระบบหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งำนจนท�ำให้ใช้งำนซอฟต์แวร์นั้นไม่ได้ 2. การแก้ไขปัญหาการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์เบื้องต้น เครื่องคอมพิวเตอร์มีโอกำสที่ จะเกิดปัญหำขึ้นกับฮำร์ดแวร์ตลอดช่วงกำรใช้งำน รวมถึงซอฟต์แวร์ทุกตัวที่ใช้งำนด้วย ซึ่งเรำ สำมำรถแบ่งปัญหำกำรใช้งำนระบบคอมพิวเตอร์ได้ ดังนี้ 1) ปัญหาทางด้านฮาร์ดแวร์คือปัญหำที่มักจะเกิดขึ้นจำกตัวอุปกรณ์ช�ำรุด หรือท�ำงำน ผิดปกติเช่น กำรลืมเสียบสำย สำยหลวม ซึ่งอำจจะช�ำรุดมำตั้งแต่ผู้ผลิตแล้วก็เป็นได้ ดังนั้น จึงต้องมีกำรรับประกันสินค้ำทุกชิ้นตอนซื้อ ซึ่งในบำงครั้งอำจจะเกิดขึ้นจำกตัวผู้ใช้เองก็เป็นได้ เช่น เสียบอุปกรณ์ผิด ปรับแต่งเกินขีดจ�ำกัดของอุปกรณ์ หรือเกิดจำกเหตุกำรณ์ไม่คำดคิด เช่น ไฟตก ไฟดับ 2) ปัญหาทางด้านซอฟต์แวร์คือปัญหำที่มักจะเกิดขึ้นจำกตัวซอฟต์แวร์เองท�ำงำนผิด ปกติ เช่น ซอฟต์แวร์ที่ใช้งำนไม่สำมำรถท�ำงำนได้บนระบบปฏิบัติกำรที่ใช้อยู่ ซอฟต์แวร์ถูกไวรัส เข้ำไปท�ำลำย เกิดจำกผู้ใช้ไปลบข้อมูลในที่เก็บข้อมูลซอฟต์แวร์เอง ภาพที่ 3.31 ปัญหำทำงด้ำนซอฟต์แวร์และด้ำนฮำร์ดแวร์ 83 ขอสอบเนน การคิด ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. ครูทบทวนเนื้อหาการเรียนเมื่อชั่วโมงที่แลว เกี่ยวกับการใชงานระบบคอมพิวเตอร 2. ครูถามกระตุนความคิดของนักเรียนวา ถา เครื่องคอมพิวเตอรของนักเรียนเสียหรือ มีปญหา นักเรียนสามารถแกไขเองไดหรือไม (แนวตอบ นักเรียนแสดงความคิดเห็นโดยตอบ ตามประสบการณของตนเอง) 3. นักเรียนศึกษาเนื้อหา เรื่อง ปญหาและการแกไข การใชงานระบบคอมพิวเตอร จากหนังสือเรียน เติ้ลเผลอทําการติดตั้งโปรแกรมสําหรับระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิต ลงบนระบบปฏิบัติการแบบ 64 บิต ผลปรากฏวา โปรแกรม ดังกลาวใชงานไมได เหตุการณดังกลาวจัดเปนปญหาดานใด 1. ปญหาดานซอฟตแวร 2. ปญหาดานฮารดแวรและผูใชงาน 3. ปญหาดานซอฟตแวรและผูใชงาน 4. ปญหาดานฮารดแวรและซอฟตแวร (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การที่ซอฟตแวรไมสามารถใชงานบนระบบปฏิบัติการได จัดเปน ปญหาทางดานซอฟตแวร การลองผิดลองถูกโดยรูเทาไมถึงการณ จัดเปนปญหาดานผูใชงาน ดังนั้น ตอบขอ 3.) ความรูเสริม ในปจจุบันระบบปฏิบัติการวินโดวสบนเครื่องคอมพิวเตอรถูกพัฒนาเปน 2 ระบบ คือ 32 บิต (แบบเกา) และ 64 บิต (แบบใหม) ซึ่งระบบ 64 บิต จะมี ประสิทธิภาพมากกวา แตก็ตองใชงานบนฮารดแวรและซอฟตแวรที่รองรับ การใชงานในระบบดังกลาวดวย จึงจะทํางานไดเต็มประสิทธิภาพ เชน CPU ตองเปนรุนที่รองรับการทํางานระบบ 64 บิต ตองมีหนวยความจําการเขาถึง แบบสุม (RAM) อยางนอย 4 Gb และควรใชซอฟตแวรสําหรับระบบ 64 บิตดวย หากนําซอฟตแวรสําหรับระบบ 32 บิต มาใชอาจเกิดปญหาใชงานซอฟตแวร ดังกลาวไมได ใชงานไดไมสมบูรณ หรืออาจติดตั้งไมสําเร็จก็ได นํา สอน สรุป ประเมิน T93


Click to View FlipBook Version