2) ฟงก์ชันค�าสั่งรับข้อมูลทางแป้นพิมพ์ ในภำษำไพทอน ค�ำสั่งที่ใช้รับข้อมูลทำง แป้นพิมพ์ คือ ฟังก์ชัน input( ) โดยข้อมูลที่รับเข้ำมำนั้นจะเป็นข้อมูลชนิดข้อควำม หำกต้องกำรใช้งำน ข้อมูลที่รับเข้ำมำเป็นข้อมูลชนิดอื่น เช่น เลขจ�ำนวนเต็ม จ�ำเป็นต้องแปลงข้อมูลที่เป็นข้อควำม ที่รับเข้ำมำจำกแป้นพิมพ์เป็นข้อมูลชนิดอื่นก่อนเสมอ ค�ำสั่ง input( ) มีรูปแบบกำรใช้งำน ดังนี้ ตัวแปร = input(ข้อความ) โดย - ตัวแปร คือ ตัวแปรที่ใช้เก็บข้อมูลที่รับจำกทำงแป้นพิมพ์ - ข้อควำม คือ ข้อควำมประกอบกำรรับข้อมูล อำจเป็นเฉพำะข้อควำม หรือ ข้อควำมผสมตัวแปร หรือนิพจน์ ก็ได้เช่นกัน การใช้งานฟงก์ชันค�าสั่งรับข้อมูลทางแปนพิมพ์ 1 การใช้งานฟงก์ชัน input( ) ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "Enter your name: " และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ป้อนจะถูก เก็บในตัวแปร name บรรทัดที่ 2 แสดงผลข้อควำม "Your name is" และค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร name จำกผลกำรที่ผู้ใช้ป้อน "Somchai" ดังนั้น ผลลัพธ์ที่แสดงทำงหน้ำจอ คือ "Your name is Somchai" 38 ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนศึกษา เรื่อง ฟงกชันคําสั่งที่ใชรับขอมูล ทางแปนพิมพ จากหนังสือเรียน เกร็ดแนะครู ในชีวิตประจําวันเราจะเห็นตัวอยางการรับขอมูลทางแปนพิมพจาก เครื่องคอมพิวเตอร หรือโนตบุก และแปนพิมพเสมือนบนหนาจอสัมผัสของ เครื่องสมารตโฟน หรือแมกระทั่งการรับขอมูลจากเสียง จากภาพ 2 มิติ เชน QR Code หรือที่เรียกวา รหัสคิวอาร จากลายนิ้วมือ บารโคด ไมโครชิปบน บัตรตางๆ และการสแกนเอกสาร ดังนั้น จะเห็นไดวา ปจจุบันเราจึงมีเทคโนโลยี ในการนําเขาขอมูลที่หลากหลาย เพื่อความสะดวกสบายในการใชงาน และ ความเหมาะสมกับยุคสมัย กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยางเทคโนโลยีการนําเขาขอมูล รูปแบบตางๆ ที่มีอยูในปจจุบัน พรอมบอกประโยชนของเทคโนโลยี ดังกลาว รวมทั้งใหลองทํานายวา ในอนาคตจะมีเทคโนโลยี การนําเขาขอมูลรูปแบบใดเกิดขึ้นอีกบาง อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายรูปแบบการใชงานคําสั่ง input( ) 2. ครูอธิบายกับนักเรียนวา จากรูปแบบการใชงาน ดังกลาวของคําสั่ง input( ) กลาวไดวา ตัวแปร คือ ตัวแปรที่ใชเก็บขอมูลที่ไดรับทางแปนพิมพ ขอความ คือ ขอความประกอบการรับขอมูล อาจเปนเฉพาะขอความ หรือขอความผสม ตัวแปรหรือนิพจนก็ไดเชนกัน 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนเขาใจ เพิ่มขึ้นวา ฟงกชัน input( ) เปนคําสั่งที่ ใชรับขอมูลทางแปนพิมพ โดยขอมูลที่รับ เขามาจะเปนขอมูลชนิดขอความ หากตองการ รับขอมูลชนิดอื่น เชน ตัวเลขจํานวนเต็ม ทศนิยม จะตองแปลงขอมูลที่เปนขอความที่ รับเขามาเปนขอมูลชนิดอื่นกอน นํา สอน สรุป ประเมิน T44
การใช้งานฟงก์ชันค�าสั่งรับข้อมูลทางแปนพิมพ์ 2 การใช้งานฟงก์ชัน input( ) ร่วมกับรหัสควบคุมข้อมูล ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "Enter your name: " และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ป้อนจะถูก เก็บในตัวแปร name บรรทัดที่ 2 แสดงผลข้อควำม "Your name is" และค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร name ที่มำ จำกกำรป้อนโดยผู้ใช้จำกกำรท�ำงำนในบรรทัดที่ 1 ณ ต�ำแหน่ง %s จำกผล กำรที่ผู้ใช้ป้อน "Somchai" ดังนั้น "Somchai" จะถูกเก็บอยู่ในตัวแปร name และผลลัพธ์สุดท้ำยของบรรทัดที่ 2 ที่แสดงทำงหน้ำจอ คือ "Your name is Somchai" 39 กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู ครูควรจัดการเรียนการสอนในเนื้อหาสวนนี้ในลักษณะของกิจกรรมการ เขียนโปรแกรมที่เนนการมีสวนรวมและไมนาเบื่อ เชน การเขียนโปรแกรม ออกเสียงเลือกสิ่งที่ชื่นชอบ โดยสรางตัวเลือกมา 3-5 อันดับ แลวจึงใหนักเรียน ทดลองออกแบบและเขียนโปรแกรมในสวนการรับขอมูลและแสดงผล รวมถึง สรุปผลการออกเสียงเลือกสิ่งที่ชื่นชอบดวย ขั้นสอน อธิบายความรู้ 4. นักเรียนสังเกตและศึกษาการใชงานฟงกชัน คําสั่งรับขอมูลทางแปนพิมพ จากหนังสือเรียน โดยครูอธิบายการทํางานของตัวอยางการ ใชงานฟงกชันคําสั่งรับขอมูลทางแปนพิมพ ในหัวขอการใชงานฟงกชัน input( ) และการ ใชงานฟงกชัน input( ) รวมกับรหัสควบคุม ขอมูล ใหนักเรียนสมมติสถานการณเลือกตัวแทนลงสมัครหัวหนาหอง มา 3 คน กําหนดเบอรผูสมัคร และตัวเลขแทนกรณีงดออกเสียง แลวลองออกแบบโปรแกรมในสวนการรับขอมูลการเลือกตั้ง หัวหนาหองดูวาจะตองรับขอมูลอะไรบาง เชน ชื่อ ชั้น เลขที่ เบอร ที่เลือก เมื่อกําหนดขอมูลที่จะรับเขาและแสดงผลแลว ใหทดลอง เขียนโปรแกรมดังกลาวดู เสร็จแลวใหนักเรียนลองทําการใชสิทธิ์ เลือกตั้งผานโปรแกรมที่เขียนขึ้นบนเครื่องคอมพิวเตอร จากนั้น ใหทดลองนับคะแนนเลือกตั้งจากผลลัพธบนหนาจอของนักเรียน เปนรายบุคคล แลวสรุปผลการเลือกตั้ง นํา สอน สรุป ประเมิน T45
ขอสอบเนนการคิด การใช้งานฟงก์ชันค�าสั่งรับข้อมูลทางแปนพิมพ์ 3 การใช้งานฟงก์ชัน input( ) ร่วมกับรหัสควบคุมข้อมูล ตัวอย่าง จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "Enter first number: " และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ป้อนจะ ถูกเก็บในตัวแปร firstNumber บรรทัดที่ 2 แสดงผล "Enter second number: " และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ข้อมูลที่ป้อนจะถูก เก็บในตัวแปร secondNumber บรรทัดที่ 3 น�ำค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร firstNumber ซึ่งเป็นข้อควำมและถูกแปลงเป็นตัวเลข จ�ำนวนเต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) ไปบวกกับค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร secondNumber ซึ่งเป็นข้อควำมและถูกแปลงเป็นตัวเลขจ�ำนวนเต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) โดยน�ำ ผลลัพธ์ที่ได้เก็บในตัวแปร result บรรทัดที่ 4 แสดงผลข้อควำม "Summary Result: " และค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร result ณ ต�ำแหน่ง %d 40 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม การนําเสนอหนาชั้นเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับการใชงาน ฟงกชันในโปรแกรมภาษาไพทอน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคลของ นักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอ ผลงาน และแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลที่แนบมาทายแผนการ จัดการเรียนรูที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 พิจารณาการทํางานของคําสั่งตอไปนี้ fstn = input("Enter first number: ") พิมพคา 7.1492 ลงไป sndn = input("Enter second number: ") พิมพคา 8 ลงไป result = float(fstn) + int(sndn) print("Answer is %.2f " %result) ผลลัพธทางหนาจอจากคําสั่ง print( ) ขอใดถูก 1. Answer is 15.00 3. Answer is 15.15 2. Answer is 15.14 4. Answer is 16.00 (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เมื่อ หาผลลัพธจากตัวแปรจะ result คือ 15.1492 เมื่อนํามาแสดงผล โดยใชรหัสรูปแบบขอมูล %.2f คาจะถูกปดเปนทศนิยม 2 ตําแหนง คือ 15.15 ดังนั้น ตอบขอ 3.) ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การใชงานฟงกชัน คําสั่งรับขอมูลทางแปนพิมพ โดยใหนักเรียน เขียนโปรแกรมภาษาไพทอนโดยใชฟงกชัน input( ) รวมกับรหัสควบคุมขอมูลตามขอมูล ที่กําหนดให ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ นํา สอน สอน สรุป ประเมิน T46
ขอสอบเนน การคิด 3 การเขียนค�าสั่งควบคุมการ ท�างานตามโครงสร้างของ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ กำรท�ำงำนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้ำง หรือพัฒนำขึ้นมำนั้น จะมี โครงสร้ำงกำรท�ำงำนภำยในโปรแกรมแตกต่ำงกัน บำงโปรแกรมก็มีกระบวนกำรท�ำงำน ที่ง่ำยไม่สลับซับซ้อน บำงโปรแกรมก็มีกระบวนกำรท�ำงำนที่ยำกและมีควำมซับซ้อน ซึ่งในทำงโปรแกรมได้แบ่งโครงสร้ำงกำรท�ำงำนของโปรแกรมได้หลำยลักษณะ แต่ใน ที่นี้จะกล่ำวเพียง 2 ลักษณะ คือ โครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบเรียงล�ำดับ และโครงสร้ำง กำรท�ำงำนแบบเลือกท�ำ 3.1 โครงสร้างการท�างานแบบเรียงล�าดับ (Sequence Structure) โครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบเรียงล�ำดับ เป็นลักษณะของโปรแกรมที่มีกำรท�ำงำนเป็นล�ำดับ ขั้นตอน ไล่เรียงล�ำดับกันไปเป็นเหมือนเส้นตรง ไม่มีกำรข้ำมขั้นตอนกำรท�ำงำนจำกบนลงล่ำง ตำมล�ำดับของโปรแกรมหรือย้อนกลับไปท�ำงำนเดิมที่ท�ำไปแล้ว มีทำงเลือกในกำรท�ำงำนมำกกว่ำ 1 ทำงเลือก หรือต้องมีกำรตัดสินใจเพื่อที่จะท�ำงำนใด ๆ โครงสร้ำงกำรท�ำงำนของโปรแกรมแบบ เรียงล�ำดับหรือแบบเส้นตรงนั้น รูปแบบกำรท�ำงำนของโปรแกรมมักจะเป็นเพียงแค่กำรก�ำหนดค่ำ รับค่ำ ค�ำนวณหรือประมวลผลที่ไม่สลับซับซ้อน และแสดงผล กำรท�ำงำนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้ำง หรือพัฒนำขึ้นมำนั้น จะมี การเขียนค�าสั่งควบคุมโครงสร้างการท�างานแบบเรียงล�าดับ 1 ต้องการใช้โปรแกรมภาษาไพทอน เพื่อเขียนค�าสั่งให้แสดงผลการท�างานทางจอภาพ โดยให้แสดงผล ดังนี้ ตัวอย่าง MY FIRST PROGRAM WITH PYTHON I LOVE CODING @^_^@ WOW WOW WOW โปรแกรมที่มีโครงสราง การทํางานแบบเรียงลําดับ ตางจากโครงสรางการ ทํางานแบบเลือกทําอยางไร 41 เกร็ดแนะครู ครูสามารถทบทวนการใชคําสั่งตางๆ ในบทเรียนผานการฝกเขียนโปรแกรม การทํางานแบบเรียงลําดับ รวมทั้งการเขียนภาษาธรรมชาติ รหัสจําลอง และ ผังงาน เพื่อทบทวนพื้นฐานทั้งหมดในการเขียนโปรแกรมใหเกิดความชํานาญ กอนที่จะขึ้นเนื้อหาในสวนตอไป คือ โครงสรางการทํางานแบบเลือกทํา ซึ่งจะ มีความซับซอนและรายละเอียดสูงในการออกแบบและเขียนโปรแกรม นักเรียน จึงควรมีพื้นฐานที่ดีเพื่อที่จะสามารถทําความเขาใจขั้นตอนและคําสั่งตางๆ ใน เนื้อหาไดรวดเร็วและชัดเจน หากตองการใชคําสั่ง print( ) สรางภาพนี้ ขอใดพิมพคําสั่งในบรรทัดที่ 3 ไดถูกตอง 1. print("c(")(")") 2. print("c(\")(\")") 3. print("c("\)("\)") 4. print("c(\"\)\(\"\)") (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ในการ แสดงผลสัญลักษณฟนหนู (“) ในขอความจะตองใชรหัสควบคุม \” ดังนั้น ตอบขอ 2.) ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอกับนักเรียน วา โปรแกรมที่มีโครงสรางการทํางานแบบ เรียงลําดับตางจากโครงสรางการทํางานแบบ เลือกทําอยางไร 2. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงเขาสูบทเรียนวา โปรแกรมคอมพิวเตอรที่ถูกสราง หรือพัฒนา ขึ้นมานั้น จะมีโครงสรางการทํางานภายใน โปรแกรมที่แตกตางกัน บางโปรแกรมงาย ไมซับซอน แตบางโปรแกรมมีกระบวนการ ที่ยากและซับซอน ซึ่งไดแบงโครงสราง การทํางานของโปรแกรมไดหลายลักษณะ เชน โครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ โครงสรางการทํางานแบบไมเรียงลําดับ แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวข้อ โปรแกรมแบบเรียงลําดับทํางานเปนเสนตรง ไมมีการขาม ยอนกลับ วนซํ้าขั้นตอน หรือการ ตัดสินใจใดๆ เกิดขึ้นในระหวางการทํางานจนจบ กระบวนการ (\_ /) ( ‵x′ ) c ( ″ ) ( ″ ) ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. ครูสุมถามนักเรียน 3-4 คน วา นักเรียนรู หรือไมวา โครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ มีลักษณะการทํางานอยางไร (แนวตอบ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครู ผูสอน) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T47
ขอสอบเนนการคิด ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มท�ำงำน 2 แสดงผล "MY FIRST PROGRAM WITH PYTHON" 3 แสดงผล "I LOVE CODING" 4 แสดงผล "@^_^@" 5 แสดงผล "WOW WOW WOW" 6 จบกำรท�ำงำน รหัสจ�าลอง 1 START 2 OUTPUT "MY FIRST PROGRAM WITH PYTHON" 3 OUTPUT "I LOVE CODING" 4 OUTPUT "@^_^@" 5 OUTPUT "WOW WOW WOW" 6 STOP 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม START STOP "MY FIRST PROGRAM WITH PYTHON" "I LOVE CODING" "@^_^@" "WOW WOW WOW" ผังงาน 42 หากตองการใชคําสั่ง print( ) สรางภาพนี้ ขอใดพิมพคําสั่งใน บรรทัดที่ 2 ไดถูกตอง 1. print(" (|) . (|)/\/\/\/\") 2. print(" ((|) . (|))/\/\/\/\\") 3. print(" ((\|) . (\|))/\/\/\/\") 4. print(" ((\|) . (\|))/\/\/\/\\") (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ในการ แสดงผลเครื่องหมาย (\) เปนขอความ ซึ่งในขอความจะตองใช รหัสควบคุม \\ ซึ่งในกรณีนี้จะเพิ่มเขาไปที่ทายขอความ 1 ตัว เทานั้น และเครื่องหมาย | ไมตองใชรหัสควบคุมในการแสดงผล ดังนั้น ตอบขอ 2.) ขั้นสอน สํารวจค้นหา 2. นักเรียนสืบคนขอมูลและศึกษาเนื้อหา เรื่อง โครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ จากหนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจาก อินเทอรเน็ต 3. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางที่ 1 เกี่ยวกับ การเขียนคําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางาน แบบเรียงลําดับในหนังสือเรียน เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหนักเรียนไดลองฝกพิมพตัวอักขระที่ไมคุนเคย โดยการใหสราง emoticon หรือสัญรูปอารมณ [ศัพทเทคโนโลยีฯ 2549] (ขอความที่จัดเรียงใหดู เหมือนเปนรูปภาพ) หลายๆ แบบ เพื่อในอนาคตนักเรียนตองเรียนคําสั่งในภาษา ไพทอนที่มีการใชอักขระเหลานี้จะไดเกิดความคุนเคยกับตําแหนงบนแปนพิมพ ของอักขระดังกลาว ) ( _ _ _ _ _ ) ( ( ( | ) ∙ ( | ) ) / \ / \ / \ / \ ( ( T T T T T T T ) ) _ | _ | _ | _ | อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนเขาใจเพิ่มขึ้น เกี่ยวกับการทํางานแบบเรียงลําดับตามหนังสือ เรียนวา การทํางานแบบเรียงลําดับเปนลักษณะ ของโปรแกรมที่มีการทํางานเปนลําดับขั้นตอน ไลเรียงลําดับกันไปเหมือนเสนตรง การเขียน โปรแกรมในลักษณะนี้จะไมมีการขามขั้นตอน หรือมีการตัดสินใจเพื่อที่จะทํางานอยางใด อยางหนึ่ง จะมีเพียงแคการกําหนดคา รับคา คํานวณ หรือประมวลผลที่ไมสลับซับซอน และแสดงผลลัพธออกมาเทานั้น นํา สอน สรุป ประเมิน T48
ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "MY FIRSTPROGRAM WITH PYTHON" แล้วมีกำรเว้นบรรทัด 1 บรรทัด เพรำะมีกำรใช้ "\n" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "I LOVE CODING" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "@^_^@" แล้วมีกำรเว้นบรรทัด 1 บรรทัด เพรำะมีกำรใช้ "\n" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "WOW WOW WOW" จุดสังเกต 1. กำรท�ำงำนของโปรแกรมจะท�ำกำรแสดงผลข้อมูลที่อยู่ในเครื่องหมำย " " ของค�ำสั่ง print ทำงหน้ำจอ 2. กำรใช้งำนค�ำสั่ง print( ) เมื่อแสดงผลเรียบร้อยแล้วจะท�ำกำรขึ้นบรรทัดใหม่ให้ 1 ครั้งเสมอ 43 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ใหนักเรียนเขียนคําสั่งใหแสดงผลการทํางาน ทางจอภาพ จากนั้นใหนักเรียนลงมือปฏิบัติ ตามขั้นตอนการเขียนโปรแกรม ดังนี้ 1) การออกแบบขั้นตอนการทํางานของ โปรแกรม ประกอบดวย 3 ลักษณะ คือ 1.1) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชภาษาธรรมชาติ 1.2) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชรหัสจําลอง 1.3) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชผังงาน 2) การเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานดวย ภาษาไพทอน 3. ครูอธิบายการทํางานของโปรแกรมตาม หนังสือเรียนใหนักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น และอธิบายจุดสังเกตจากการเขียนโปรแกรม โดยใชคําสั่ง print( ) วา การทํางานของ โปรแกรมจะแสดงผลขอมูลที่อยูในเครื่องหมาย อัญประกาศ (“ ”) ของคําสั่ง print( ) และ การใชงานคําสั่ง print( ) เมื่อแสดงผลเรียบรอย แลวจะทําการขึ้นบรรทัดใหมให 1 บรรทัด เกร็ดแนะครู ครูอาจใหการบานนักเรียนเปนการทดลองเขียนโปรแกรมสรางตัวอักษร รูปภาพแบบใหมขึ้นมา แลวนําผลงานที่ไดของนักเรียนแตละคนออกมานําเสนอ พรอมอธิบายแนวคิดในการออกแบบและการสื่อความหมาย ซึ่งถือเปนกิจกรรม ที่มีความทาทายและนาสนใจสําหรับบทเรียนนี้ หากตองการใชคําสั่ง print( ) สราง ภาพนี้ ขอความในบรรทัดแรกจะตองใช รหัสควบคุม \\ ทั้งหมดกี่ชุด 1. 2 ชุด 2. 4 ชุด 3. 6 ชุด 4. 8 ชุด (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอความภาพในบรรทัดแรกมีเครื่องหมาย \ จํานวน 8 ตัว เราตอง ใชรหัสควบคุม \\ 1 ชุดตอการแสดงผลตัวอักขระ \ 1 ตัว ทาง หนาจอในการแสดงผลเครื่องหมาย \ 8 ตัว ตองใชรหัสควบคุม \\ จํานวน 8 ชุด ดังนั้น ตอบขอ 4.) \ \ \ \ \ \ \ \ d [ ʘ ] _ [ ʘ ] b ( _ _ _3_ _ _) นํา สอน สรุป ประเมิน T49
การเขียนคําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ 2 ตองการใชโปรแกรมภาษาไพทอนเพื่อคํานวณหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทยเปนเงิน ดอลลาร โดยการรับคาเงินไทยที่ตองการคํานวณเปนเงินดอลลาร และอัตราแลกเปลี่ยน เงินไทยเปนเงินดอลลารทางแปนพิมพ แลวแสดงผลเงินดอลลารที่คํานวณไดทาง หนาจอ โดยใหแสดงผล ดังนี้ 2 ตัวอยาง ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ คํานวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทยเปนเงินดอลลาร ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ปอนอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทยตอเงินดอลลาร : <<input>> ปอนจํานวนเงินไทย : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ คํานวณเปนเงินดอลลารได : <<output>> ดอลลาร ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มทํางาน 2 นําเขาขอมูลอัตราแลกเปลี่ยน 3 นําเขาขอมูลเงินบาท 4 คํานวณเงินดอลลาร = เงินบาท ÷ อัตราแลกเปลี่ยน 5 แสดงผลเงินดอลลาร 6 จบการทํางาน รหัสจําลอง 1 START 2 INPUT rate 3 INPUT baht 4 COMPUTE dollar = baht / rate 5 OUTPUT dollar 6 STOP 1. การออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม 44 กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน อธิบายความรู 4. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางที่ 2 เกี่ยวกับ การเขียนคําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางาน แบบเรียงลําดับในหนังสือเรียน เพื่อเขียน คําสั่งคํานวณหาอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทย เปนเงินดอลลาร จากนั้นใหนักเรียนลงมือ ปฏิบัติตามขั้นตอนการเขียนโปรแกรม ดังนี้ 1) การออกแบบขั้นตอนการทํางานของ โปรแกรม ประกอบดวย 3 ลักษณะ คือ 1.1) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชภาษาธรรมชาติ 1.2) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชรหัสจําลอง 1.3) การออกแบบลําดับขั้นตอนการ ทํางานโดยใชผังงาน 2) การเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานดวย ภาษาไพทอน เกร็ดแนะครู ครูอาจจะแบงกลุมใหนักเรียนเขียนโปรแกรมคํานวณอัตราแลกเปลี่ยนของ สกุลเงินของประเทศตางๆ เพื่อใหนักเรียนไดฝกเขียนโปรแกรมจากโจทยที่มี ความหลากหลายมากขึ้น และเพื่อเปนพื้นฐานที่ดีในการฝกเขียนโปรแกรมที่ ซับซอนขึ้นในเนื้อหาสวนถัดไปที่จะตองเรียน ใหนักเรียนแกไขโปรแกรมเพิ่มเติมเปนการนําคาเงินบาท ไปคํานวณอัตราแลกเปลี่ยนเงิน 3 สกุล คือ ดอลลาร เยน ยูโร โดยที่กระบวนการทํางานของโปรแกรม คือ นําคาเงินบาทที่รับจาก ทางแปนพิมพไปคํานวณและแสดงผลอัตราแลกเปลี่ยนออกมาทาง หนาจอเปนเงินทั้ง 3 สกุล ตามลําดับ นํา สอน สรุป ประเมิน T50
ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน START STOP rate baht dollar = baht / rate dollar ผังงาน 45 เกร็ดแนะครู นอกจากการเขียนภาษาธรรมชาติ รหัสจําลอง และผังงานแลว สิ่งที่จะชวย สรางความเขาใจในการเขียนโปรแกรม คือ การเขียนคําอธิบายการทํางานแตละ บรรทัด ครูอาจจะทําตัวอยางโปรแกรมพรอมคําอธิบายการทํางานมาใหนักเรียน ไดศึกษาหลายๆ ตัวอยาง เพื่อใหเกิดความคุนเคยและความเขาใจการทํางาน ในแตละขั้นตอนของโปรแกรม ซึ่งถือเปนประสบการณพื้นฐานที่จําเปนใน การเขียนโปรแกรม ขั้นสอน อธิบายความรู้ 5. ครูอธิบายการทํางานของโปรแกรมตามหนังสือ เรียน ใหนักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น และอธิบาย จุดสังเกตจากการเขียนโปรแกรมวา การใช เครื่องหมายเทากับ ( = ) เปนการนําขอมูล หรือผลที่ไดทางฝงขวาของเครื่องหมายมา เก็บไวในตัวแปรทางฝงซายของเครื่องหมาย เชน - score = 25 หมายถึง ใหนําขอมูล 25 มา เก็บในตัวแปร score - area = width * length หมายถึง ใหนํา คาที่เก็บไวในตัวแปร width มาคูณกับคาที่ เก็บในตัวแปร length แลวนําผลที่ไดไป เก็บไวในตัวแปร area และการใช %.2f เปนการกําหนดรูปแบบการแสดงผลตัวเลข จํานวนจริงหรือตัวเลขทศนิยมโดยกําหนด ใหแสดงจํานวนทศนิยม 2 ตําแหนง โดย จะสังเกตจํานวนของตําแหนงของทศนิยม ไดจากตัวเลขหลังจุดในที่นี้ คือ เลข 2 แต ถาตองการใหแสดงทศนิยม 4 ตําแหนง ก็จะเลือกใช %.4f fstn = input("ระบุความกวาง(cm): ") sndn = input("ระบุความยาว(cm): ") peri = (int(fstn) + int(sndn)) * 2 print("ความยาวรอบรูปคือ ", peri, "cm") โคดโปรแกรมที่เขียนขึ้นดานบนมีวัตถุประสงคตรงกับขอใดตอไปนี้ 1. หาความยาวรอบรูปของรูปเหลี่ยมรูปวาว 2. หาความยาวรอบรูปของรูปเหลี่ยมคางหมู 3. หาความยาวรอบรูปของรูปสี่เหลี่ยมผืนผา สี่เหลี่ยมดานขนาน 4. หาความยาวรอบรูปของรูปเหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยม ขนมเปยกปูน (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การรับ คาความกวางและความยาว แลวนํามาคํานวณดวยสูตร (ความ กวาง + ความยาว) × 2 ตรงกับวิธีการหาความยาวรอบรูปของ รูปสี่เหลี่ยมผืนผาและรูปสี่เหลี่ยมดานขนาน ดังนั้น ตอบขอ 3.) นํา สอน สรุป ประเมิน T51
ขอสอบเนนการคิด จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "ค�ำนวณอัตรำแลกเปลี่ยนเงินไทยเป็นเงินดอลลำร์" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "ป้อนอัตรำแลกเปลี่ยนเงินไทยต่อเงินดอลลำร์ :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูล เรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็นเลขจ�ำนวนจริงด้วยค�ำสั่ง float( ) แล้วเก็บใน ตัวแปร rate บรรทัดที่ 5 แสดงผล "ป้อนจ�ำนวนเงินไทย :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็น เลขจ�ำนวนจริงด้วยค�ำสั่ง float( ) แล้วเก็บในตัวแปร baht บรรทัดที่ 6 ค�ำนวณโดยกำรน�ำค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร baht มำหำรด้วยค่ำที่อยู่ในตัวแปร rate แล้วน�ำผลที่ค�ำนวณได้เก็บในตัวแปร dollar บรรทัดที่ 7 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 8 แสดงผล "ค�ำนวณเป็นเงินดอลลำร์ที่มีทศนิยม 2 ต�ำแหน่ง" โดยน�ำค่ำที่เก็บ ในตัวแปร dollar มำแสดง บรรทัดที่ 9 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" และจบกำรท�ำงำน จุดสังเกต 1. กำรใช้เครื่องหมำยเท่ำกับ ( = ) จะเห็นได้ว่ำ กำรท�ำงำนจะเป็นกำรท�ำงำนทำงฝั่งขวำ ของเครื่องหมำย แล้วน�ำผลที่ได้มำเก็บในตัวแปรทำงฝั่งซ้ำยของเครื่องหมำย 2. %.2f มีกำรก�ำหนดรูปแบบกำรแสดงผลเป็นเลขจ�ำนวนจริงทศนิยม 2 ต�ำแหน่ง โดยจะสำมำรถสังเกตจ�ำนวนต�ำแหน่งของทศนิยมได้จำกตัวเลขหลังจุด ในที่นี้ คือ เลข 2 46 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม ความสนใจในการเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับโครงสราง การทํางานแบบเรียงลําดับ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลของนักเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 แสดงขอความ “ใสคาเฉลี่ย : ” หยุดรับขอมูลจากแปนพิมพ แลวนําขอมูลที่ไดมาแปลงเปนเลขจํานวนจริง จากนั้นจึงแปลง ขอมูลเปนเลขจํานวนเต็ม แลวเก็บคาไวที่ตัวแปร val ขอความขางตนเปนการอธิบายการทํางานของคําสั่งในขอใด 1. val = input (float (int ("ใสคาเฉลี่ย : "))) 2. val = input (int (float ("ใสคาเฉลี่ย : "))) 3. val = float (int (input ("ใสคาเฉลี่ย : "))) 4. val = int (float (input ("ใสคาเฉลี่ย : "))) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ลําดับ ขั้นตอนของโปรแกรมที่ทํางานตรงตามคําอธิบาย จะไลลําดับ การทํางานจากวงเล็บในสุด คือ “ใสคาเฉลี่ย :” input() float() int() และ val = ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. ครูสุมนักเรียน 9 คน เพื่ออธิบายการทํางานของ โปรแกรมตามหนังสือเรียนใหนักเรียนเขาใจ เพิ่มมากขึ้น 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 3. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การเขียนโปรแกรม การทํางานแบบเรียงลําดับ ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ นํา สอน สอน สรุป ประเมิน T52
3.2 โครงสร้างการท�างานแบบเลือกท�า (Selection Structure) โครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบเลือกท�ำ หรือโครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบมีเงื่อนไข เป็นลักษณะ กำรท�ำงำนของโปรแกรมที่มีกระบวนกำรท�ำงำนที่จะต้องมีกำรตัดสินใจ หรือต้องมีกำรพิสูจน์ ตรวจสอบผ่ำนเงื่อนไขใด ๆ เสียก่อน ทั้งนี้รูปแบบโครงสร้ำงกำรท�ำงำนของโปรแกรมแบบเลือกท�ำ สำมำรถแบ่งออกได้ ดังนี้ 1. แบบ SingleSelection เป็นลักษณะกระบวนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ที่ต้องมีกำรพิสูจน์ เงื่อนไข 1 ครั้ง และหำกผลของกำรพิสูจน์เงื่อนไขที่ได้ออกมำเป็นจริง ก็จะท�ำงำนตำมวัตถุประสงค์ หรือค�ำสั่งที่ต้องกำร แต่ถ้ำผลจำกกำรพิสูจน์เงื่อนไขเป็นเท็จ ก็จะไม่ท�ำงำนใด ๆ เลย โดยมีลักษณะ กำรเขียนผังงำนและค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนภำษำไพทอนได้ ดังนี้ ค�ำสั่งกำรท�ำงำนภำยใต้เงื่อนไข if จะต้องอยู่ในย่อหน้ำใหม่ โดยค�ำสั่งกำรท�ำงำนใดก็ตำม ถ้ำต้องกำรให้อยู่ภำยใต้กำรท�ำงำนของ if เดียวกัน จะต้องย่อหน้ำใหม่ทุกครั้ง และกำร ท�ำงำนของ if จะจบ เมื่อไม่มีกำรต่อย่อหน้ำใหม่ Com Sci Focus ¡ÒÃ㪌§Ò¹¤ÓÊÑè§à§×èÍ¹ä¢ if กำรท�ำงำนของค�ำสั่ง if จะเริ่มจำกกำรพิสูจน์หรือตรวจสอบเงื่อนไข โดยถ้ำผลจำกกำร พิสูจน์หรือตรวจสอบเป็นจริง โปรแกรมจะท�ำงำนตำมค�ำสั่งกำรท�ำงำนที่เขียนไว้ การเขียนผังงาน ค�าสั่งภาษาไพทอน if เงื่อนไข : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ....... ....... เงื่อนไข False ค�าสั่ง True 47 เกร็ดแนะครู การตรวจสอบดวยเงื่อนไขในการเขียนโปรแกรมเปนเหมือนการตั้งคําถาม ในการตัดสินใจในชีวิตประจําวัน เชน วันนี้เปนอยากรับประทานไอศกรีมหรือไม ทางเลือกที่จะตัดสินใจก็จะขึ้นอยูกับคําตอบที่ไดรับ กรณีถาคําตอบ คือ ใช ก็จะ มีการตัดสินใจซื้อไอศกรีมมารับประทานเปนขั้นตอนตอไป ถาคําตอบ คือ ไมใช ก็จะไมมีอะไรเกิดขึ้น เพราะไมไดซื้อไอศกรีมมารับประทาน ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. นักเรียนสืบคนขอมูลและศึกษาเนื้อหา เรื่อง การ ทํางานแบบ Single Selection จากหนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจากอินเทอรเน็ต 2. นักเรียนศึกษาความรูเสริม (Com Sci Focus) จากเนื้อหาเพื่อขยายความรูของผูเรียน เรื่อง การใชงานคําสั่งเงื่อนไข if ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. ครูทบทวนความรูเดิมจากชั่วโมงที่ผานมา เกี่ยวกับโครงสรางการทํางานแบบเรียงลําดับ 2. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงเขาสูบทเรียนวา โครงสรางการทํางานแบบเลือกทํา เปนลักษณะ การทํางานของโปรแกรมที่มีกระบวนการทํางาน ที่จะตองมีการตัดสินใจหรือตองมีการพิสูจน ตรวจสอบผานเงื่อนไขใดๆ โดยสามารถแบง ออกได 3 รูปแบบ คือ 1) แบบ Single Selection 2) แบบ Double Selection 3) แบบ Multiple Selection 3. ครูสุมถามนักเรียนวา นักเรียนรูหรือไมวา การทํางานแบบเลือกทํามีการทํางานอยางไร (แนวตอบ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ ครูผูสอน) กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนเขียนผังงานที่มีคําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Single Selection แสดงกระบวนการในการตัดสินใจจากเหตุการณใน ชีวิตประจําวันมา 1 ผังงาน เชน วันหยุดนี้จะออกไปเที่ยวกับเพื่อน หรือไม นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T53
ขอสอบเนนการคิด ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ตรวจสอบเลขคู่ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ป้อนตัวเลข : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เป็นเลขคู่หรือไม่แสดงข้อมูลใด ๆ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มท�ำงำน 2 น�ำเข้ำข้อมูลตัวเลข 3 ตรวจสอบเงื่อนไข โดยตัวเลขที่น�ำ เข้ำไปหำรด้วย 2 แล้วเศษเท่ำกับ 0 จริงหรือไม่ 4 ถ้ำเศษที่ได้เป็น 0 ให้แสดงผล "เลขคู่" 5 ถ้ำเศษไม่เท่ำกับ 0 ให้จบกำรท�ำงำน รหัสจ�าลอง 1 START 2 INPUT number 3 IF (number % 2) == 0 THEN 4 OUTPUT "เป็นเลขคู่" 5 STOP 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม START STOP number (number % 2) = = 0 "เป็นเลขคู่" ผังงาน ตัวอย่าง False True การเขียนค�าสั่งควบคุมการท�างานแบบ Single Selection ต้องการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอนเพื่อตรวจสอบตัวเลขที่ผู้ใช้ป้อนทางแป้นพิมพ์ว่าเป็น เลขคู่ โดยให้แสดงผล ดังนี้ 48 ขั้นสอน สํารวจคนหา 3. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางการเขียน คําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางานแบบ Single Selection ในหนังสือเรียน เพื่อตรวจสอบตัวเลข ที่ผูใชปอนทางแปนพิมพวาเปนเลขคู จากนั้น ใหนักเรียนลงมือปฏิบัติตาม โดยออกแบบ ขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม และเขียน คําสั่งควบคุมการทํางานดวยภาษาไพทอน เกร็ดแนะครู ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ครูควรเนนใหนักเรียนเขาใจจุดสําคัญ ของคําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Single Selection เพื่อไมใหเกิดความสับสน เมื่อเรียนคําสั่งควบคุมการทํางานแบบอื่นๆ เพิ่มในเนื้อหาถัดไป เนื่องจาก โครงสรางการทํางานแบบเลือกทํานั้นมีหลายรูปแบบ การที่นักเรียนไดเห็นภาพ กระบวนการทํางานของคําสั่งแตละแบบจากผังงานจะชวยใหเขาใจความแตกตาง ของคําสั่งไดมากขึ้นจากการเปรียบเทียบผังงาน เงื่อนไข และผลลัพธของคําสั่ง การทํางานแบบเลือกทําแตละคําสั่ง สวนของผังงานในขอใดไมใชเงื่อนไขคําสั่งควบคุมการทํางาน แบบ Single Selection 1. 3. 2. 4. (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา กระบวนการทํางานแบบ Single Selection ถาเงื่อนไขเปน “เท็จ” จะไมทํางานใดๆ เลย ดังนั้น ตอบขอ 2.) อธิบายความรู 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา การทํางานแบบ Single Selection เปนการทํางานที่ตองมีการพิสูจน เงื่อนไข 1 ครั้ง และหากผลของการพิสูจน เงื่อนไขเปนจริงจะทําตามคําสั่งที่กําหนดให แตถาผลของการพิสูจนเงื่อนไขเปนเท็จก็จะไม ทํางานใดๆ N Y N Y N Y NY นํา สอน สรุป ประเมิน T54
ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "ตรวจสอบเลขคู่" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "ป้อนตัวเลข :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็น เลขจ�ำนวนเต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) แล้วเก็บในตัวแปร number บรรทัดที่ 5 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 6 ท�ำกำรพิสูจน์โดยกำรน�ำค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร number มำท�ำกำรหำร โดยเอำเฉพำะเศษ แล้วพิสูจน์ว่ำมีค่ำเท่ำกับ 0 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ ท�ำบรรทัดที่ 7 แต่กรณีเป็นเท็จจะท�ำงำนล�ำดับถัดไปในบรรทัดที่ 8 บรรทัดที่ 7 แสดงผล "เป็นเลขคู่" (โดยบรรทัดที่ 7 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์บรรทัด ที่ 6 เป็นจริง) บรรทัดที่ 8 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" และจบกำรท�ำงำน 49 เกร็ดแนะครู ครูควรฝกใหนักเรียนเขียนอธิบายการทํางานของคําสั่ง if ในโปรแกรม ตัวอยางที่ใชสอนใหชํานาญ โดยเนนการอธิบายดวยภาษาที่เขาใจงาย ลําดับ ขั้นตอนถูกตอง ครบถวน ซึ่งจะเปนผลดีตอการวิเคราะหโปรแกรมที่มีความ ซับซอนในบทเรียนสวนที่เหลือดวย คําสั่ง if เปนคําสั่งเงื่อนไขสําคัญในการเขียน โปรแกรม นักเรียนจึงจําเปนตองเขาใจการทํางานของคําสั่งเงื่อนไขแตละตัว ใหชัดเจน เพื่อที่จะไดสามารถเลือกใชในการเขียนโปรแกรมไดอยางเหมาะสม ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ครูใหนักเรียนตรวจสอบ และทําความเขาใจ การทํางานของโปรแกรมตรวจสอบเลขคูแตละ บรรทัด ขยายความเข้าใจ 1. ครูสุมนักเรียน 8 คน เพื่ออธิบายการทํางาน ของโปรแกรมแตละบรรทัดตามหนังสือเรียน ใหนักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 3. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การทํางานแบบ Single Selection โดยใหนักเรียนออกแบบขั้นตอนการ ทํางานของโปรแกรมและเขียนโปรแกรมภาษา ไพทอนตามการทํางานแบบ Single Selection ขอใดเขียนคําสั่งผิด 1. If (( sumx < sumy)) : 2. If (( sumx = sumy)) : 3. If (( sumx != sumy)) : 4. If (( sumx >= sumy)) : (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การใช ตัวดําเนินการเปรียบเทียบคาตัวแปรในคําสั่ง if กรณี “เทากับ” จะใช “==” ดังนั้น ตอบขอ 2.) นํา สอน สรุป ประเมิน T55
2. แบบ Double Selection เป็นลักษณะกระบวนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ที่ต้องมีกำร พิสูจน์เงื่อนไข 1 ครั้ง และหำกผลของกำรพิสูจน์เงื่อนไขที่ได้ออกมำเป็นจริง ก็จะท�ำค�ำสั่งหนึ่ง หำกเป็นเท็จก็จะท�ำอีกค�ำสั่งหนึ่งตำมวัตถุประสงค์ที่ต้องกำร โดยมีลักษณะกำรเขียนผังงำนและ ค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนภำษำไพทอนได้ ดังนี้ ค�ำสั่งกำรท�ำงำนภำยใต้เงื่อนไข else จะต้องอยู่ในย่อหน้ำใหม่ โดยค�ำสั่งกำรท�ำงำนใดก็ตำม ถ้ำต้องกำรให้อยู่ภำยใต้กำรท�ำงำนของ else เดียวกัน จะต้องย่อหน้ำใหม่ทุกครั้ง และกำร ท�ำงำนของ else จะจบเมื่อไม่มีกำรต่อย่อหน้ำใหม่ เช่นเดียวกับกำรท�ำงำนของ if Com Sci Focus ¡ÒÃ㪌§Ò¹¤ÓÊÑè§à§×èÍ¹ä¢ if-else กำรท�ำงำนของค�ำสั่ง if-else จะเริ่มจำกกำรพิสูจน์หรือตรวจสอบเงื่อนไข if ถ้ำผลจำก กำรพิสูจน์หรือตรวจสอบเป็นจริง จะท�ำค�ำสั่งกำรท�ำงำน แต่ถ้ำผลจำกกำรพิสูจน์หรือตรวจสอบ เงื่อนไขเป็นเท็จ จะท�ำค�ำสั่งกำรท�ำงำนหลัง else การเขียนผังงาน ค�าสั่งภาษาไพทอน if เงื่อนไข : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ....... ....... else : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ค�ำสั่งกำรท�ำงำน ....... ....... เงื่อนไข ค�าสั่ง ค�าสั่ง ค�าสั่ง False True 50 ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูทบทวนเนื้อหาการเรียนเมื่อชั่วโมงที่แลว เกี่ยวกับโครงสรางการทํางานแบบ Single Selection 2. นักเรียนศึกษาการทํางานแบบ Double Selection จากหนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติม จากอินเทอรเน็ต โดยใหนักเรียนสังเกตการ เขียนผังงานและคําสั่งภาษาไพทอน เกร็ดแนะครู เพื่อความเขาใจที่ชัดเจนของนักเรียน หลังจากที่นักเรียนทําความเขาใจ คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Double Selection แลว ครูอาจจะใหนักเรียน ลองวิเคราะหเปรียบเทียบขอแตกตางของการทํางานแบบเลือกทําทั้ง 2 แบบ ทั้งขอดี-ขอเสีย เพื่อใหเกิดความเขาใจในการนําไปใชไดอยางเหมาะสม กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนเขียนผังงานที่มีคําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Double Selection แสดงกระบวนการในการตัดสินใจจากเหตุการณใน ชีวิตประจําวันมา 1 ผังงาน เชน วันหยุดนี้จะออกไปเที่ยวกับเพื่อน หรืออยูบานทํารายงานสงคุณครูใหเสร็จ อธิบายความรู 1. นักเรียนศึกษาความรูเสริม (Com Sci Focus) จากเนื้อหาเพื่อขยายความรูของผูเรียน เรื่อง การใชงานคําสั่งเงื่อนไข if-else วาคําสั่งการ ทํางานภายใตเงื่อนไข else จะตองอยูใน ยอหนาใหม โดยคําสั่งการทํางานใดก็ตาม ถาตองการใหอยูภายใตการทํางานของ else เดียวกัน จะตองยอหนาใหมทุกครั้ง และการ ทํางานของ else จะจบเมื่อไมมีการตอยอหนา ใหม เชนเดียวกับการทํางานของ if นํา สอน สรุป ประเมิน T56
ตัวอย่าง การเขียนค�าสั่งควบคุมการท�างานแบบ Double Selection ต้องการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอนเพื่อค�านวณส่วนลดราคาสินค้า โดยการป้อนชื่อสินค้า ราคาสินค้าต่อชิ้น และจ�านวนสินค้าที่ซื้อทางแป้นพิมพ์ แล้วค�านวณส่วนลดของราคาสินค้า ที่ซื้อทั้งหมดว่าลดเป็นจ�านวนเงินเท่าไร โดยมีเงื่อนไขว่า กรณีซื้อสินค้าตั้งแต่ 10 ชิ้นขึ้นไป จะได้รับส่วนลด 5% ซื้อไม่ถึง 10 ชิ้น จะได้รับส่วนลด 3% โดยให้แสดงผล ดังนี้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ค�ำนวณส่วนลดรำคำสินค้ำ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ป้อนชื่อสินค้ำ : <<input>> ป้อนรำคำสินค้ำต่อชิ้น : <<input>> ป้อนจ�ำนวนสินค้ำที่ซื้อ : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ส่วนลดทั้งหมดเป็นเงิน <<output>>บำท ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มท�ำงำน 2 น�ำข้อมูลเข้ำ ชื่อสินค้ำ 3 น�ำข้อมูลเข้ำ รำคำสินค้ำต่อชิ้น 4 น�ำข้อมูลเข้ำ จ�ำนวนสินค้ำที่ซื้อ 5 ตรวจสอบจ�ำนวนสินค้ำที่น�ำเข้ำมำ ถ้ำมีมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 10 ให้ท�ำข้อ 6 แต่ถ้ำน้อยกว่ำให้ท�ำข้อ 7 6 ค�ำนวณ ส่วนลดรำคำสินค้ำ = (รำคำสินค้ำต่อชิ้น × จ�ำนวนสินค้ำ) × 5 ÷ 100 7 ค�ำนวณ ส่วนลดรำคำสินค้ำ = (รำคำสินค้ำต่อชิ้น × จ�ำนวนสินค้ำ) × 3 ÷ 100 8 แสดงส่วนลดรำคำสินค้ำ 9 จบกำรท�ำงำน 51 กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนคิดเงื่อนไขในการขายสินคาแบบ Double Selection มาคนละ 2 เงื่อนไข เชน ซื้อตั้งแต 12 ชิ้นขึ้นไป ไดราคาชิ้นละ 32 บาท ซื้อไมถึง 12 ชิ้น ไดราคาชิ้นละ 40 บาท เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหโจทยกวางๆ 1 ขอ เพื่อใหนักเรียนลองเขียนโปรแกรมเปน 2 แบบ คือ คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Single Selection และแบบ Double Selection โดยใหนักเรียนเปนผูกําหนดเงื่อนไขเอง เชน การคิดคาธรรมเนียมการสงของจาก นํ้าหนักพัสดุ แบบ Single Selection นักเรียนอาจตั้งเงื่อนไขเองวา พัสดุนํ้าหนัก มากกวา 1 กิโลกรัมหรือไม ถาใช ใหแจงวา นํ้าหนักเกินตองจายคาธรรมเนียม ถาไมใช ใหจบการทํางาน คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Double Selection นักเรียนอาจตั้งเงื่อนไขเองวา พัสดุนํ้าหนักนอยกวา 1 กิโลกรัมหรือไม ถาใช ใหแจงวา ไมเสียคาธรรมเนียม ถาไมใช ใหแจงวา นํ้าหนักเกินตองจาย คาธรรมเนียม ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางการเขียน คําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางานแบบ Double Selection ในหนังสือเรียน เพื่อคํานวณสวนลด ราคาสินคาตามเงื่อนไขที่กําหนดให จากนั้น ใหนักเรียนลงมือปฏิบัติตามโดยออกแบบ ขั้นตอนการทํางานของโปรแกรมและเขียน คําสั่งควบคุมการทํางานดวยภาษาธรรมชาติ นํา สอน สรุป ประเมิน T57
ขอสอบเนนการคิด รหัสจ�าลอง 1 START 2 INPUT productName 3 INPUT productPrice 4 INPUT productQuantity 5 IF (productQuantity > = 10) THEN 6 COMPUTE productSale = (productPrice * productQuantity) * 5 / 100 7 COMPUTE productSale = (productPrice * productQuantity) * 3 / 100 8 OUTPUT productSale 9 STOP START STOP productName productPrice productQuantity productQuantity > = 10 productSale = (productPrice * productQuantity) * 5 / 100 productSale = (productPrice * productQuantity) * 3 / 100 productSale ผังงาน Yes No 52 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 3. ครูอธิบายเพิ่มเติม เพื่อใหนักเรียนเขาใจ เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการทํางานแบบ Double Selection วา การทํางานแบบ Double Selection เปนการทํางานของโปรแกรมที่ตอง มีการพิสูจนเงื่อนไข 1 ครั้ง และหากผลของการ พิสูจนเงื่อนไขเปนจริง จะทําตามคําสั่งที่อยู ตอจากเงื่อนไข แตถาผลของการพิสูจนเงื่อนไข เปนเท็จ จะทําตามคําสั่งที่อยูตอจากคําสั่ง else แทน เชน if(grade == “F”): ถาไดเกรดเทากับ F ให... print("fail") แสดงขอความ “ตก” else : กรณีนอกจากนั้น ให... print("pass") แสดงขอความ “ผาน” 4. ครูอธิบายเชื่อมโยงขั้นตอนการทํางานของรหัส จําลองกับแผนภาพตัวอยางในหนังสือเรียนวา ตัวแปรที่ใชในการตรวจสอบเงื่อนไขของ โปรแกรมคํานวณสวนลดราคาสินคา คือ productQuantity หมายถึง จํานวนสินคา ที่ลูกคาซื้อ ซึ่งถูกนํามาตรวจสอบเงื่อนไขใน บรรทัดที่ 5 ของรหัสจําลอง และขั้นตอนการ ทํางานลําดับที่ 5 ของผังงาน เกร็ดแนะครู ครูควรเตรียมตัวอยางผังงานที่มีการใชสัญลักษณการตัดสินใจใหนักเรียน ไดศึกษาการใชงานในหลายๆ ลักษณะ โดยใหมีโครงสรางการทํางานแบบ เลือกทําครบทุกแบบ เพื่อความเขาใจที่ชัดเจน และปองกันความผิดพลาดจาก ความสับสนในการนําไปเขียนโปรแกรมโดยใชคําสั่ง if-else ขอใดเปนการนําสัญลักษณการตัดสินใจไปใชผิดรูปแบบของผังงาน 1. 3. 2. 4. (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การใช สัญลักษณการตัดสินใจมาใชในผังงานนั้นจะมีลูกศรแสดงทางเลือก เพียง 2 ทาง คือ กรณีเปนจริงกับเท็จ ดังนั้น ตอบขอ 3.) N N N N Y Y Y Y นํา สอน สรุป ประเมิน T58
ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "ค�ำนวณส่วนลดรำคำสินค้ำ" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "ป้อนชื่อสินค้ำ :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะเก็บในตัวแปร productName 53 เกร็ดแนะครู ครูควรใหนักเรียนฝกเขียนการอธิบายขั้นตอนการทํางานของโปรแกรมแตละ บรรทัดอยางตอเนื่องในทุกบทเรียน จะชวยใหนักเรียนมีทักษะในการวิเคราะห โคดโปรแกรมที่มีความซับซอนไดดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการอธิบายการทํางานของ คําสั่งเงื่อนไขในแตละแบบในการเขียนโปรแกรม ซึ่งจะชวยใหนักเรียนมีทักษะ ในวิเคราะหการทํางานของชุดคําสั่งที่ถูกเขียนขึ้นภายในโปรแกรมไดอยางรวดเร็ว ขั้นสอน อธิบายความรู้ 5. ครูใหนักเรียนตรวจสอบ และทําความเขาใจ การทํางานของโปรแกรมคํานวณสวนลดราคา สินคาแตละบรรทัด if (score >= 300): print("pass") else : print("fail") จากโคดดานบน ถากําหนดคา score = 289 คําสั่งในบรรทัดใด จะไมถูกเรียกใชงาน 1. บรรทัดที่ 1 3. บรรทัดที่ 3 2. บรรทัดที่ 2 4. บรรทัดที่ 4 (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา คําสั่ง ที่อยูในบรรทัดถัดจากคําสั่ง if จะเปนคําสั่งที่จะทํางานเมื่อพิสูจน เงื่อนไขแลวออกมาเปนจริง โดยเงื่อนไขจะเปนจริงเมื่อคา score มากกวาหรือเทากับ 300 จากโจทย คา score = 289 ทําใหเงื่อนไข เปนเท็จ คําสั่งในบรรทัดที่ 2 จึงไมถูกเรียกใชงาน ดังนั้น ตอบขอ 2.) นํา สอน สรุป ประเมิน T59
ขอสอบเนนการคิด บรรทัดที่ 5 แสดงผล "ป้อนรำคำสินค้ำต่อชิ้น :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็น เลขจ�ำนวนจริงด้วยค�ำสั่ง float( ) แล้วเก็บในตัวแปร productPrice บรรทัดที่ 6 แสดงผล "ป้อนจ�ำนวนสินค้ำที่ซื้อ :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุด ให้ผู้ใช้งำนได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็น เลขจ�ำนวนเต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) แล้วเก็บในตัวแปร productQuantity บรรทัดที่ 7 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 8 ท�ำกำรพิสูจน์โดยกำรน�ำค่ำที่เก็บในตัวแปร productQuantity มำพิสูจน์ว่ำ มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 10 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัดที่ 9 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 11 บรรทัดที่ 9 ค�ำนวณโดยน�ำค่ำที่เก็บในตัวแปร productQuantity และ productPrice ไปค�ำนวณ แล้วเก็บผลที่ได้จำกกำรค�ำนวณในตัวแปร productSale (โดยบรรทัดที่ 9 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์บรรทัดที่ 8 เป็นจริง) บรรทัดที่ 10 แสดงค�ำสั่ง else บรรทัดที่ 11 ค�ำนวณโดยน�ำค่ำที่เก็บในตัวแปร productQuantity และ productPrice ไปค�ำนวณ แล้วเก็บผลที่ได้จำกกำรค�ำนวณในตัวแปร productSale (โดยบรรทัดที่ 11 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์บรรทัดที่ 8 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 12 แสดงผล "ส่วนลดทั้งหมดเป็นเงิน......บำท" โดยน�ำค่ำที่เก็บในตัวแปร productSale มำแสดง ณ ต�ำแหน่ง...... บรรทัดที่ 13 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" และจบกำรท�ำงำน จุดสังเกต บรรทัดที่ 12 และ 13 จะท�ำเสมอไม่ว่ำบรรทัดที่ 9 และบรรทัดที่ 11 จะท�ำหรือไม่ก็ตำม 54 ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. ครูสุมนักเรียน 13 คน เพื่ออธิบายการทํางาน ของโปรแกรมแตละบรรทัดตามหนังสือเรียน ใหนักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น 2. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 3. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง การทํางานแบบ Double Selection โดยใหนักเรียนออกแบบขั้นตอน การทํางานของโปรแกรม และเขียนโปรแกรม ภาษาไพทอนตามการทํางานแบบ Double Selection เกร็ดแนะครู ในการสอน เรื่อง การเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Double Selection ครูอาจจะใชภาษางายๆ ชวยอธิบายใหนักเรียนเขาใจการทํางานของคําสั่ง if-else ไดมากขึ้น เชน ถา ... เปนจริง ให ทําตามคําสั่ง 1 ถาไมจริง (เท็จ) ให ทําตามคําสั่ง 2 จงอานคําอธิบายการทํางานของโปรแกรมตอไปนี้ บรรทัดที่ 12 นําคาที่เก็บในตัวแปร total มาพิสูจนวามากกวาหรือ เทากับ 15 หรือไม กรณีเปนจริง ใหทําบรรทัดที่ 13 หากเปนเท็จ ใหทําบรรทัดที่ 14 จากตัวอยางขางตน เปนการอธิบายการทํางานของคําสั่ง if-else ขอใดควรจะเปนคําอธิบายคําสั่งในบรรทัดที่ 14 1. แสดงคําสั่ง else 2. แสดงผล “คะแนนผานเกณฑ” 3. แสดงผล “คะแนนตํ่ากวาเกณฑ” 4. นําคาในตัวแปร total มาแปลงเปนเลขจํานวนเต็มดวย คําสั่ง int( ) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา บรรทัด ที่ 13 ควรเปนคําสั่งที่ทํางานเมื่อผลการพิสูจนบรรทัดที่ 12 เปนจริง ดังนั้น บรรทัดที่ 14 จึงควรเปน แสดงคําสั่ง else ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T60
3. Multiple Selection เป็นลักษณะกระบวนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ที่ต้องมีกำรพิสูจน์ เงื่อนไขหลำยเงื่อนไข ทั้งนี้ในกำรพิสูจน์แต่ละเงื่อนไขนั้นจะเริ่มจำกกำรพิสูจน์เงื่อนไขแรก หำกได้ ผลเป็นจริง ก็จะท�ำงำนตำมวัตถุประสงค์ของเงื่อนไขนั้น และไม่ต้องพิสูจน์เงื่อนไขต่อไป หำกได้ ผลเป็นเท็จก็จะต้องพิสูจน์เงื่อนไขถัดไป และเมื่อได้ผลเป็นจริงก็จะท�ำงำนตำมวัตถุประสงค์ของ เงื่อนไขนั้น และไม่ต้องพิสูจน์เงื่อนไขต่อไป แต่หำกได้ผลเป็นเท็จอีกก็จะต้องพิสูจน์เงื่อนไขถัดไป ซึ่งจะมีกำรท�ำงำนในลักษณะที่กล่ำวมำไปเรื่อยๆ ยกเว้นเงื่อนไขสุดท้ำยที่ไม่ต้องพิสูจน์ เพรำะ เมื่อไม่มีเงื่อนไขใดเลยเป็นจริง ก็จะตรงกับเงื่อนไขสุดท้ำยโดยอัตโนมัติ ดังนั้น เงื่อนไขสุดท้ำย จึงไม่จ�ำเป็นต้องพิสูจน์ โดยสำมำรถแก้ปัญหำโดยใช้ค�ำสั่ง if-elif-else ซึ่งมีลักษณะกำรเขียนผังงำน และค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนภำษำไพทอนได้ ดังนี้ การเขียนผังงาน ค�าสั่งภาษาไพทอน if เงื่อนไขที่ 1 : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน 1 ....... elif เงื่อนไขที่ 2 : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน 2 ....... elif เงื่อนไขที่ 3 : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน 3 ....... elif เงื่อนไขที่ N : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน N ....... else : ค�ำสั่งกำรท�ำงำน M ....... เงื่อนไข 1 เงื่อนไข 2 เงื่อนไข 3 เงื่อนไข N ค�าสั่ง ค�าสั่ง ค�าสั่ง ค�าสั่ง ค�าสั่ง False False False False True True True True 55 เกร็ดแนะครู ครูอาจจะใหนักเรียนทําตารางเปรียบเทียบการใชคําสั่งควบคุมการทํางาน ทั้ง 3 แบบ พรอมยกตัวอยางสถานการณในชีวิตจริงประกอบเพื่อใหเกิด ความเขาใจรายละเอียดที่แตกตางกันของแตละคําสั่ง และสามารถเลือกใช รูปแบบของคําสั่งใหเหมาะสมกับปญหาได ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. ครูทบทวนเนื้อหาการเรียนเมื่อชั่วโมงที่แลว เกี่ยวกับโครงสรางการทํางานแบบ Double Selection 2. นักเรียนศึกษาการทํางานแบบ Multiple Selection จากหนังสือ หรือสืบคนจาก อินเทอรเน็ต โดยใหนักเรียนสังเกตการเขียน ผังงาน และคําสั่งภาษาไพทอน กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 กลุม ตามความเหมาะสม โดยใหแตละกลุมชวยกันยกตัวอยางการคํานวณที่เหมาะกับการใช คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Multiple Selection มานําเสนอ กลุมละ 2 ตัวอยาง พรอมอธิบายเหตุผล นํา สอน สรุป ประเมิน T61
การเขียนค�าสั่งควบคุมการท�างานแบบ Multiple Selection ต้องการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอนเพื่อค�านวณเกรด โดยการป้อนคะแนนซึ่งเป็นเลข จ�านวนเต็มทางแป้นพิมพ์แล้วแสดงผลเกรดออกทางหน้าจอ โดยมีเงื่อนไขในการค�านวณ เกรด ดังนี้ คะแนนตั้งแต่ 80 ขึ้นไป ได้เกรด A คะแนนตั้งแต่ 70-79 ได้เกรด B คะแนนตั้งแต่ 60-69 ได้เกรด C คะแนนตั้งแต่ 50-59 ได้เกรด D คะแนนต�่ากว่า 50 ได้เกรด F โดยให้แสดงผล ดังนี้ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ค�ำนวณเกรด ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ป้อนคะแนน : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เกรดที่ได้คือ A หรือ B หรือ C หรือ D หรือ F ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม ภาษาธรรมชาติ 1 เริ่มท�ำงำน 2 น�ำข้อมูลเข้ำ คะแนนสอบ 3 ตรวจสอบ ถ้ำคะแนนสอบที่น�ำเข้ำมำมีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 80 จริงหรือไม่ กรณีเป็น จริง ให้ท�ำข้อ 3.1 กรณีเป็นเท็จให้ท�ำข้อ 3.2 3.1 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ A" 3.2 ตรวจสอบ ถ้ำคะแนนสอบที่น�ำเข้ำมำมีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 70 และน้อยกว่ำ หรือเท่ำกับ 79 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริง ให้ท�ำข้อ 3.3 กรณีเป็นเท็จให้ท�ำข้อ 3.4 ตัวอย่าง 56 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหนักเรียนเขาใจ เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับการทํางานแบบ Multiple Selection วา การทํางานแบบ Multiple Selection เปนการทํางานของโปรแกรมที่ ตองมีการพิสูจนเงื่อนไขหลายเงื่อนไข โดย การพิสูจนจะเริ่มจากเงื่อนไขแรกกอน หากผล ของการพิสูจนเงื่อนไขเปนจริง จะทําตามคําสั่ง ที่กําหนดให และไมพิสูจนเงื่อนไขตอไป แตถา ผลของการพิสูจนเงื่อนไขเปนเท็จ จะตองพิสูจน เงื่อนไขอื่นตอไป ซึ่งจะมีการทํางานในลักษณะ ดังกลาวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเงื่อนไขสุดทาย ที่ไมตองพิสูจน เนื่องจากถาไมมีเงื่อนไขใด เปนจริงเลย ก็จะตรงกับเงื่อนไขสุดทายโดย อัตโนมัติ 2. ครูยกตัวอยางการทํางานแบบ Multiple Selection ในชีวิตประจําวันเพิ่มเติม เชน เกณฑการวัดระดับนํ้าตาลในเลือดหลังอาหาร มีหนวยเปน มิลลิกรัม/เดซิลิตร 60-99 คือ ปกติ 100-125 คือ เสี่ยงตอเบาหวาน มากวา 125 คือ เปนเบาหวาน เกร็ดแนะครู ครูอาจจะเตรียมตัวอยางโคดใหนักเรียนไดเห็นการใชคําสั่งควบคุมการทํางาน แบบ Multiple Selection ในหลายลักษณะในโจทยขอเดียวกัน เพราะการใช คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Multiple Selection นั้น สามารถเขียนโคดออกมา ไดหลายรูปแบบโดยที่ไดผลลัพธถูกตองเหมือนกัน นักเรียนจึงควรฝกวิเคราะห ขั้นตอนการทํางานของโคดแตละแบบ และเขียนอธิบายขั้นตอนการทํางาน แตละบรรทัดดวย กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนเขียนผังงานและโปรแกรมคํานวณระยะทางจาก บานไปโรงเรียน โดยรับคาประมาณเปนเลขจํานวนเต็มที่มีหนวย เปนกิโลเมตร แลวแสดงผลออกทางหนาจอ โดยมีเงื่อนไขในการ คํานวณ ดังนี้ ระยะทางไมเกิน 5 กิโลเมตร นับเปน ใกล ระยะทางมากกวา 5 แตไมเกิน 10 กิโลเมตร นับเปน ปานกลาง ระยะทางมากกวา 10 กิโลเมตร นับเปน ไกล นํา สอน สรุป ประเมิน T62
ขอสอบเนน การคิด 3.3 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ B" 3.4 ตรวจสอบ ถ้ำคะแนนสอบที่น�ำเข้ำมำมีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 60 และน้อยกว่ำ หรือเท่ำกับ 69 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริง ให้ท�ำข้อ 3.5 กรณีเป็นเท็จให้ท�ำข้อ 3.6 3.5 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ C" 3.6 ตรวจสอบ ถ้ำคะแนนสอบที่น�ำเข้ำมำมีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 50 และน้อยกว่ำ หรือเท่ำกับ 59 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริง ให้ท�ำข้อ 3.7 กรณีเป็นเท็จให้ท�ำข้อ 3.8 3.7 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ D" 3.8 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ F" 4 จบกำรท�ำงำน รหัสจ�าลอง 1 START 2 INPUT score 3 IF score > = 80 THEN 3.1 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ A" ELSE IF score > = 70 AND score < = 79 THEN 3.2 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ B" ELSE IF score > = 60 AND score < = 69 THEN 3.3 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ C" ELSE IF score > = 50 AND score < = 59 THEN 3.4 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ D" ELSE 3.5 OUTPUT "เกรดที่ได้ คือ F" 4 STOP 57 เกร็ดแนะครู ครูควรฝกใหนักเรียนระบุชวงคาของเงื่อนไขที่เปนจริงในการเขียนคําสั่ง if หลายๆ แบบ เชน ถาคะแนนอยูในชวง 20-29 ใหแสดงผลวา ปานกลาง ถาคะแนนอยูในชวง 30-50 ใหแสดงผลวา สูง ถาคาในตัวแปร x ไมเทากับ 1 ใหแสดงผล F เพื่อฝกทบทวนใหนักเรียนนําตัวดําเนินการเปรียบเทียบแบบตางๆ มาใชใหคลอง ขั้นสอน อธิบายความรู้ 3. นักเรียนตรวจสอบและทําความเขาใจการ ทํางานของรหัสจําลองในการออกแบบขั้นตอน การทํางานแบบ Multiple Selection จาก ตัวอยางในหนังสือเรียนใหเรียบรอย กอนจะ ไปศึกษาขั้นตอนการนําไปเขียนบนโปรแกรม ภาษาไพทอนในขั้นตอนตอไป กําหนดให ก. if (dist < 5): ข. if (dist < 6): ค. if (dist <= 6): ง. if (dist <= 5): เงื่อนไขของคําสั่ง if ในขอใดมีความหมายเหมือนกัน และ สามารถใชแทนกันได 1. ค. กับ ก. 3. ข. กับ ง. 2. ก. กับ ข. 4. ค. กับ ง. (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ ก. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาไมเกิน 4 ขอ ข. จะเปนจริงเมื่อ ตัวแปร dist มีคาไมเกิน 5 ขอ ค. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาไมเกิน 6 ขอ ง. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาไมเกิน 5 ขอ ข. กับ ง. สามารถใชแทนกันได ดังนั้น ตอบขอ 3.) นํา สอน สรุป ประเมิน T63
ขอสอบเนนการคิด ผังงาน START STOP No No No No Yes Yes Yes Yes score score > = 80 "เกรดที่ได้ คือ A" (score > = 70) and (score < = 79) "เกรดที่ได้ คือ B" (score > = 60) and (score < = 69) "เกรดที่ได้ คือ C" (score > = 50) and (score < = 59) "เกรดที่ได้ คือ D" "เกรดที่ได้ คือ F" 58 ขั้นสอน อธิบายความรู้ 4. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา การเลือกใชรหัสจําลอง และผังงานในการออกแบบขั้นตอนการทํางาน แบบ Multiple Selection นักเรียนจะตอง ตรวจสอบการใชตัวดําเนินการเปรียบเทียบ ตางๆ ใหถูกตองตรงกับเงื่อนไขที่เลือกใช รวมถึงความถูกตองของลําดับการตรวจสอบ เงื่อนไขกอน-หลังดวย เพื่อไมใหเกิดความ ผิดพลาดในการนําไปใชในการเขียนโปรแกรม ภาษาไพทอนในขั้นตอนตอไป 5. ครูใหนักเรียนตรวจสอบ และทําความเขาใจ การทํางานของผังงานของโปรแกรมคํานวณ เกรดแตละบรรทัด เกร็ดแนะครู การใชตัวดําเนินการตรรกะในคําสั่ง if จะทําใหการตรวจสอบเงื่อนไขมี ความซับซอนในการทํางานเพิ่มขึ้น ซึ่งครูจําเปนตองจัดการเรียนการสอน ใหนักเรียนเกิดความเขาใจการทํางานของคําสั่งในสวนนี้ใหถูกตองชัดเจน เปนลําดับ โดยเฉพาะการเขียนอธิบายการทํางานของเงื่อนไขแตละบรรทัด ความซับซอนของเงื่อนไขอาจทําใหนักเรียนเขียนผังงานผิดได ครูอาจจะตอง ใหนักเรียนตรวจสอบเงื่อนไขในผังงานใหถูกตองกอนที่จะเขียนอธิบายการทํางาน ของโปรแกรม เงื่อนไขของคําสั่ง if ในขอใดมีการกําหนดชวงคาของเงื่อนไขที่ เปนจริงตางจากพวก 1. if ((dist > 9) and (dist < 20)) : 2. if ((dist < 20) and (dist >= 10)) : 3. if ((dist <= 19) and (dist >= 9)) : 4. if ((dist >= 10) and (dist <= 19)) : (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ ก. ขอ ข. ขอ ง. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาเปนจํานวนเต็มอยูใน ชวง 10 -19 ขอ ค. จะเปนจริงเมื่อตัวแปร dist มีคาเปนจํานวนเต็ม อยูในชวง 9 -19 ดังนั้น ตอบขอ 3.) นํา สอน สรุป ประเมิน T64
ขอสอบเนน การคิด 2. กำรเขียนค�ำสั่งควบคุมกำรท�ำงำนด้วยภำษำไพทอน จำกโปรแกรมข้ำงต้น สำมำรถอธิบำยกำรท�ำงำนได้ ดังนี้ บรรทัดที่ 1 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 2 แสดงผล "ค�ำนวณเกรด" บรรทัดที่ 3 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 4 แสดงผล "ป้อนคะแนน :" และด้วยค�ำสั่ง input( ) โปรแกรมจะหยุดให้ผู้ใช้งำน ได้ป้อนข้อมูล และเมื่อป้อนข้อมูลเรียบร้อยแล้วจะถูกแปลงเป็นเลขจ�ำนวน เต็มด้วยค�ำสั่ง int( ) แล้วเก็บในตัวแปร score 59 เกร็ดแนะครู ครูควรใหนักเรียนลองฝกการเขียนคําสั่ง if โดยใชตัวดําเนินการตรรกะอื่นๆ นอกเหนือจาก and ดูดวย เพื่อฝกทําความเขาใจการทํางานของเงื่อนไขที่มี ความซับซอนใหมากขึ้น และฝกการเขียนคําอธิบายการทํางานของเงื่อนไขที่ มีความซับซอนใหถูกตองดวย การทําความเขาใจเนื้อหาในสวนนี้นักเรียนอาจ ตองใชเวลาในการทําความเขาใจพอสมควร ครูจึงตองพยายามใชวิธีการและ สื่อการสอนอธิบายและยกตัวอยางการทํางานใหนักเรียนเขาใจใหไดมากที่สุด ขั้นสอน อธิบายความรู้ 6. นักเรียนสังเกตและศึกษาตัวอยางการเขียน คําสั่งควบคุมโครงสรางการทํางานแบบ Multiple Selection ในหนังสือเรียน เพื่อ คํานวณเกรดโดยการปอนคะแนนซึ่งเปน เลขจํานวนเต็มทางแปนพิมพ แลวแสดงผล เกรดออกทางหนาจอตามเงื่อนไขที่กําหนดให จากนั้นใหนักเรียนลงมือปฏิบัติตามโดย ออกแบบขั้นตอนการทํางานของโปรแกรม และเขียนคําสั่งควบคุมการทํางานดวยภาษา ไพทอน 7. ครูสุมนักเรียน 16 คน เพื่ออธิบายการทํางาน ของโปรแกรมแตละบรรทัดตามหนังสือเรียนให นักเรียนเขาใจเพิ่มมากขึ้น ถากําหนดคา disA = 1, disB = 8 การคํานวณในคําสั่ง if ((disA != 0) and (disB < 9)) : จะไดผลลัพธเปนจริงหรือเท็จ 1. จริง เพราะเงื่อนไขทั้ง 2 ฝง ของ and เปนจริงทั้งคู 2. เท็จ เพราะเงื่อนไขทั้ง 2 ฝง ของ and เปนเท็จทั้งคู 3. เท็จ เพราะมีเงื่อนไขทั้ง 2 ฝง ของ and เปนจริงเพียง เงื่อนไขเดียว 4. จริง เพราะมีเงื่อนไขทั้ง 2 ฝงของ and เปนจริงเพียง เงื่อนไขเดียว (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เงื่อนไข disA != 0 เปนจริง เงื่อนไข (disB < 9) เปนจริง ผลการ พิสูจนจึงเปนจริง เพราะเงื่อนไขทั้ง 2 ฝงของ and เปนจริงทั้งคู ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T65
ขอสอบเนนการคิด บรรทัดที่ 5 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" บรรทัดที่ 6 ท�ำกำรพิสูจน์ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร score มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 80 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัดที่ 7 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 8 บรรทัดที่ 7 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ A" (โดยบรรทัดที่ 7 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 6 เป็นจริง) บรรทัดที่ 8 ท�ำกำรพิสูจน์ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร score มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 70 และ score มีค่ำน้อยกว่ำหรือเท่ำกับ 79 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัด ที่ 9 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 10 (โดยบรรทัดที่ 8 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำร พิสูจน์บรรทัดที่ 6 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 9 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ B" (โดยบรรทัดที่ 9 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 8 เป็นจริง) บรรทัดที่ 10 ท�ำกำรพิสูจน์ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร score มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 60 และ score มีค่ำน้อยกว่ำหรือเท่ำกับ 69 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัด ที่ 11 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 12 (โดยบรรทัดที่ 10 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผล กำรพิสูจน์บรรทัดที่ 8 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 11 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ C" (โดยบรรทัดที่ 11 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 10 เป็นจริง) บรรทัดที่ 12 ท�ำกำรพิสูจน์ค่ำที่เก็บอยู่ในตัวแปร score มีค่ำมำกกว่ำหรือเท่ำกับ 50 และ score มีค่ำน้อยกว่ำหรือเท่ำกับ 59 จริงหรือไม่ กรณีเป็นจริงให้ท�ำบรรทัด ที่ 13 หำกเป็นเท็จให้ท�ำบรรทัดที่ 15 (โดยบรรทัดที่ 12 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อ ผลกำรพิสูจน์บรรทัดที่ 10 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 13 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ D" (โดยบรรทัดที่ 13 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 12 เป็นจริง) บรรทัดที่ 14 ค�ำสั่ง else บรรทัดที่ 15 แสดงผล "เกรดที่ได้ คือ F" (โดยบรรทัดที่ 15 นี้จะท�ำก็ต่อเมื่อผลกำรพิสูจน์ บรรทัดที่ 12 เป็นเท็จ) บรรทัดที่ 16 แสดงผล "+++++++++++++++++++++++++" และจบกำรท�ำงำน 60 ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. ครูทบทวนโครงสรางการทํางานของโปรแกรม ทั้ง 3 รูปแบบ คือ โครงสรางการทํางานแบบ Single Selection Double Selection และ Multiple Selection 2. เปดโอกาสใหนักเรียนภายในชั้นเรียนอภิปราย รวมกันเกี่ยวกับโครงสรางการทํางานของ โปรแกรม ใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และครู ใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น เกร็ดแนะครู สิ่งสําคัญอีกหนึ่งอยางที่จะชวยสงเสริมการเรียนรูในบทเรียนนี้ คือ การให นักเรียนฝกการสังเกตและเปรียบเทียบความแตกตางของผังงานและโคด โปรแกรม จากทั้งตัวอยางที่มีในหนังสือ จากที่ครูเตรียมมาเพิ่มให และจากที่ นักเรียนเขียนขึ้นเอง ประสบการณจากการณเรียนรูกระบวนการทํางานของ ผังงานและโคดหลายๆ รูปแบบ จะชวยใหนักเรียนสามารถคิดหาวิธีการเขียน ผังงานและโคดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได ถาตองการเขียนโปรแกรมภาษาไพทอนตัดเกรด มีเกรดทั้งหมด 8 ระดับ คือ A, B+, B, C+, C, D+, D, F โดยคํานวณจากคะแนนเต็ม 100 อยากทราบวาในผังงานตรงสวนการตัดเกรดของโปรแกรมนี้ จะตองวาดสัญลักษณการตัดสินใจทั้งหมดจํานวนเทาไร และมี การใชคําสั่ง elif ในโปรแกรมทั้งหมดกี่คําสั่ง 1. ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 6 ภาพ คําสั่ง elif 6 คําสั่ง 2. ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 6 ภาพ คําสั่ง elif 7 คําสั่ง 3. ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 7 ภาพ คําสั่ง elif 6 คําสั่ง 4. ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 7 ภาพ คําสั่ง elif 7 คําสั่ง (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การใช คําสั่งควบคุมการทํางานแบบ Multiple Selection ในการตัดเกรด ทั้ง 8 ระดับนั้น ใชสัญลักษณการตัดสินใจ 7 ภาพ ใชคําสั่งพิสูจน เงื่อนไข elif จํานวน 6 คําสั่ง ดังนั้น ตอบขอ 3.) นํา สอน สรุป ประเมิน T66
ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 1. ทักษะด้ำนคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสำรสนเทศ 2. ทักษะกำรแก้ปัญหำ 1. ให้นักเรียนพิจำรณำตัวด�ำเนินกำรต่อไปนี้ แล้วหำผลลัพธ์ของตัวด�ำเนินกำรให้ถูกต้อง 1 15 != 15 2 27.03 > = 2.703 3 (15 + 7) - 3 *4 4 35 + 4 - 2 * 0 5 40 / 2 * 1 - 7 6 NOT (70 < = 40 + 30) 7 NOT (59 != 73 - 14) 8 (11 < 5 + 6) AND (5 + 6 > 11) 9 (25 > = (20 + 5)) OR (33 - 2 < = 31) 10 (NOT (72 != 10 + 2)) AND (50 + 7 == 57) 2. ให้นักเรียนค�ำนวณหำค่ำดัชนีมวลกำย (BMI) ซึ่งเป็นค่ำดัชนีที่ใช้ชี้วัดควำมสมดุลของน�้ำหนักตัวและ ส่วนสูง โดยให้รับค่ำควำมสูงหน่วยเป็นเมตร และน�้ำหนักหน่วยเป็นกิโลกรัมทำงแป้นพิมพ์ และตอบค�ำถำม ว่ำถ้ำได้รับค่ำส่วนสูงเป็น 0 ผลลัพธ์จะเป็นอย่ำงไร ทั้งนี้ กำรค�ำนวณค่ำดัชนีมวลกำย = น�้ำหนัก (กก.) ÷ ส่วนสูง (ม.) ค่ำดัชนีมวลกำย ก�ำหนดรูปแบบกำรแสดงผล ดังนี้ การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาไพทอน Com Sci activity ++++++++++++++++++++++++++++++++++ ค�ำนวณค่ำดัชนีมวลกำย (BMI) ++++++++++++++++++++++++++++++++++ ป้อนน�้ำหนัก (กก.) : <<input>> ป้อนส่วนสูง (ม.) : <<input>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++ ค่ำดัชนีมวลกำย (BMI) : <<output>> ++++++++++++++++++++++++++++++++++ 61 กิจกรรม ทาทาย เกร็ดแนะครู ครูอาจจะแนะนําใหนักเรียนเก็บไฟลงานในหนวยการเรียนทั้งหมดนี้ไวใน อีเมล หรือในอุปกรณสํารองขอมูลของนักเรียน เพื่อเปนประโยชนในการนํามา ทบทวนในภายหลัง หรือกรณีที่นักเรียนอยากจะไปศึกษาเพิ่มเติมนอกเวลาและ นํามาใชประโยชนในการเรียนเนื้อหาสวนตอไปในระดับชั้นที่สูงขึ้นในอนาคต ขั้นสอน ขยายความเขาใจ 3. นักเรียนทํากิจกรรมที่สอดคลองกับเนื้อหา โดยใหนักเรียนฝกปฏิบัติเพื่อพัฒนาความรู และทักษะการเรียนรูในศตวรรษที่ 21 จาก หนังสือเรียน กําหนดโจทยการเขียนโปรแกรม ดังนี้ 1. โปรแกรมคํานวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินเยนเปนเงินบาทหรือ เงินดอลลาร โดยใหปอนจํานวนเงินเยน เลือกสกุลเงินที่ จะแลก (1. เงินบาท 2. เงินดอลลาร) แลวจึงแสดงผลการ แลกเงิน 2. โปรแกรมคํานวณดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารรายป โดยใสคา จํานวนเงินที่จะฝาก เลือกธนาคาร (ธนาคาร A ดอกเบี้ย 2.38% ธนาคาร B ดอกเบี้ย 2.47%) แลวจึงแสดงผล ดอกเบี้ยรายปที่จะไดรับ ใหนักเรียนจับคูกัน แลวเลือกเขียนโปรแกรมจากโจทย 2 ขอ ที่ครูเตรียมไวใหคนละ 1 ขอ โดยไมซํ้ากัน จากนั้นใหสลับกัน ตรวจสอบความถูกตอง แลวจึงเขียนคําอธิบายขั้นตอนการทํางาน ของโปรแกรมของเพื่อน ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม ความสนใจในการเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับโครงสราง การทํางานแบบเลือกทําวา โครงสรางแบบเลือก ทําเปนลักษณะการทํางานของโปรแกรมที่มี กระบวนการทํางานที่จะตองมีการตัดสินใจ หรือตองมีการพิสูจน ตรวจสอบผานเงื่อนไข ใดๆ 4. ครูตั้งคําถามกับนักเรียนวา นักเรียนรูหรือไมวา โปรแกรมที่มีโครงสรางการทํางานแบบเรียง ลําดับตางจากโครงสรางการทํางานแบบเลือก ทําอยางไร (แนวตอบ นักเรียนตอบตามประสบการณของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ ครูผูสอน เชน โครงสรางการทํางานแบบเรียง ลําดับเปนการทํางานแบบเสนตรงไปขางหนา ไมมีการยอนกลับ แตโครงสรางการทํางาน แบบเลือกทํา เปนการทํางานแบบที่จะตองมี การตัดสินใจ มีการพิสูจน หรือตรวจสอบผาน เงื่อนไขใดๆ เสียกอน) นํา สอน สอน สรุป ประเมิน T67
การออกแบบขั้นตอนการท�างาน และการเขียนโปรแกรมภาษา Python Summary การออกแบบขั้นตอนการท�างานของโปรแกรม 1. การออกแบบขั้นตอนการท�างานโดยใช้ภาษาธรรมชาติ เป็นกำรบรรยำยขั้นตอนกำร ท�ำงำนของโปรแกรมใด ๆ โดยใช้ภำษำมนุษย์ที่เข้ำใจง่ำย 2. การออกแบบขั้นตอนการท�างานโดยใช้รหัสจ�าลอง เป็นรูปแบบภำษำที่มีโครงสร้ำงที่ ชัดเจนและกระชับ เพื่อใช้อธิบำยขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรมใด ๆ โดยไม่ขึ้นกับภำษำของ โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่ง 3. การออกแบบขั้นตอนการท�างานโดยใช้ผังงาน เป็นกำรใช้แผนภำพสัญลักษณ์เพื่อแสดง ล�ำดับขั้นตอนกำรท�ำงำนของโปรแกรม เป็นวิธีที่ท�ำให้เห็นภำพกำรท�ำงำนของโปรแกรมได้ง่ำย การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาไพทอน ภำษำไพทอนเป็นภำษำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เหมำะส�ำหรับผู้เริ่มต้นเขียนโปรแกรมไป จนถึงกำรประยุกต์ใช้งำนในระดับสูง เนื่องจำกเป็นภำษำที่มีโครงสร้ำงและไวยำกรณ์ค่อนข้ำงง่ำย ไม่ซับซ้อน มีลักษณะใกล้เคียงกับภำษำมนุษย์ ท�ำให้ง่ำยต่อกำรท�ำควำมเข้ำใจ การเขียนค�าสั่งควบคุมการท�างานตามโครงสร้างของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ 1. โครงสร้างการท�างานแบบเรียงล�าดับ เป็นลักษณะของโปรแกรมที่มีกำรท�ำงำนเป็น ล�ำดับขั้นตอน ไล่เรียงล�ำดับกันไปเป็นเหมือนเส้นตรง ไม่มีกำรข้ำมขั้นตอนกำรท�ำงำนไปข้ำงหน้ำ หรือย้อนกลับ 2. โครงสร้างการท�างานแบบเลือกท�า เป็นลักษณะกำรท�ำงำนของโปรแกรมที่มีกระบวนกำร ท�ำงำนที่จะต้องมีกำรตัดสินใจ หรือต้องมีกำรพิสูจน์ ตรวจสอบผ่ำนเงื่อนไขใด ๆ เสียก่อน 62 กิจกรรม ทาทาย แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 5. นักเรียนตรวจสอบความรู ความเขาใจดวย ตนเองจากหนังสือเรียน 6. ครูมอบหมายใหนักเรียนทําแบบฝกหัดประจํา หนวยการเรียนรูที่ 2 โดยใหบันทึกลงในสมุด และทําชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) และนํา มาสงในชั่วโมงถัดไป 7. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน หนวยการ เรียนรูที่ 2 เรื่อง การออกแบบขั้นตอนการ ทํางาน และการเขียนโปรแกรมดวยภาษา ไพทอน ใหนักเรียนทํารายงานคําสั่งภาษาไพทอนที่ยังไมเคยเรียนมา พรอมตัวอยางการใชงานคนละ 5 คําสั่ง ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน แบบทดสอบ หลังเรียน รอยละ 60 ผานเกณฑ ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ตรวจชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) แบบประเมิน ชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการ นําเสนอผลงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลที่แนบมาทายแผน การจัดการเรียนรูที่ 7 หนวยการเรียนรูที่ 2 นํา สอน สรุป ประเมิน T68
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ ถูก/ผิด ทบทวนหัวข้อ 1. กำรออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนโดยใช้ภำษำธรรมชำติเป็นกำร ออกแบบขั้นตอนกำรท�ำงำนที่เข้ำใจยำก 1 2. ในกำรประมวลผลของตัวด�ำเนินกำร จะเริ่มจำกค่ำที่อยู่ใน ( ) ก่อน 2 3. กำรตั้งชื่อตัวแปรในภำษำไพทอนห้ำมมีตัวอักขระพิเศษ เช่น @, #, + 2 4. ฟังก์ชันค�ำสั่งที่ใช้ในกำรแสดงผลทำงหน้ำจอ คือ input( ) 2 5. โครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบเลือกท�ำ มีกระบวนกำรท�ำงำนที่จะ ต้องมีกำรตัดสินใจ 3 Self Check บั น ทึ ก ล ง ใ น ส มุ ด ค�ำตอบของ ((7 + 3) < 4) OR ((10 - 7) = 3) ตำมล�ำดับกำรประมวลผลของตัวด�ำเนินกำร มีค่ำเท่ำไร รหัสควบคุมกำรท�ำงำนของข้อมูลท�ำหน้ำที่อะไร กำรใช้รหัสควบคุมข้อมูล %s กับ %d มีลักษณะแตกต่ำงกันอย่ำงไร ถ้ำต้องกำรเขียนโปรแกรมรับข้อมูลอำยุของผู้ใช้งำนโปรแกรม จะต้องใช้ฟังก์ชันค�ำสั่งใด กำรเขียนโครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบล�ำดับต่ำงจำกโครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบท�ำซ�้ำอย่ำงไร กำรเขียนโปรแกรมโดยใช้ค�ำสั่ง if-elif-else เป็นโครงสร้ำงกำรท�ำงำนแบบใด 1 2 3 4 5 6 Unit Question 2 63 แนวตอบ Self Check 1. ผิด 2. ถูก 3. ถูก 4. ผิด 5. ถูก เฉลย Unit Question 1. คํานวณได F OR T คําตอบจึงมีคาเปนจริง 2. ใชควบคุมการแสดงผลของตัวอักษรออกทางจอภาพในลักษณะตางๆ 3. %d ใชแสดงขอมูลที่เปนเลขจํานวนเต็ม %s ใชแสดงขอมูลที่เปนตัวอักษรหรือชุดตัวอักษร 4. ใชฟงกชัน Input( ) สําหรับรับขอมูลอายุของผูใชงานโปรแกรม ฟงกชัน int( ) สําหรับแปลงขอความเปนจํานวนเต็ม 5. โครงสรางแบบลําดับมีลักษณะการทํางานเปนเสนตรง ไมมีการตัดสินใจระหวางการทํางาน ไมมีการขาม ยอนกลับ หรือวนซํ้าขั้นตอน 6. เปนโครงสรางการทํางานแบบเลือกทําแบบ Multiple Selection คือ มีการพิสูจนเงื่อนไขหลายเงื่อนไข โดยถาเงื่อนไขเปนจริงก็จะทํางานตามวัตถุประสงค ของเงื่อนไข ถาเปนเท็จก็จะพิสูจนเงื่อนไขถัดไป ยกเวนเงื่อนไขสุดทายที่ไมตองพิสูจน นํา สอน สรุป ประเมิน T69
แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 องค์ประกอบ ของระบบ คอมพิวเตอร์ 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง องค์ประกอบของ ฮาร์ดแวร์ - ใบงาน เรื่อง ประเภท ของซอฟต์แวร์ 1. อธิบายองค์ประกอบของ ระบบคอมพิวเตอร์ได้ ถูกต้อง (K) 2. อธิบายการท�างานของ หน่วยต่าง ๆ ของ ฮาร์ดแวร์ได้ถูกต้อง (K) 3. บอกอุปกรณ์ที่ใช้ท�าหน้าที่ ในแต่ละหน่วยได้ถูกต้อง (K) 4. เลือกใช้งานซอฟต์แวร์ให้ สอดคล้องและเหมาะสม กับความต้องการได้ (P) 5. สนใจใฝ่เรียนรู้ในการ ศึกษาและน�าไปใช้ใน ชีวิตประจ�าวันได้อย่าง เหมาะสม (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ประเมินการน�าเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน แผนฯ ที่ 2 หลักการทํางาน ของระบบ คอมพิวเตอร์ 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง หลักการ ท�างานของระบบ คอมพิวเตอร์ - ใบงาน เรื่อง ขั้นตอน การท�างานของระบบ คอมพิวเตอร์ 1. อธิบายหลักการท�างาน ของระบบคอมพิวเตอร์ ได้ถูกต้อง (K) 2. อธิบายขั้นตอนการท�างาน ของระบบคอมพิวเตอร์ ได้ถูกต้อง (K) 3. เขียนขั้นตอนการท�างาน ของระบบคอมพิวเตอร์ ได้ถูกต้อง (P) 4. สนใจใฝ่เรียนรู้ในการศึกษา (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน แผนฯ ที่ 3 เทคโนโลยีการ สื่อสาร 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�านวณ) ม.2 - ใบงาน เรื่อง องค์ประกอบของ การสื่อสารข้อมูล - ใบงาน เรื่อง ทิศทาง การสื่อสารข้อมูล - ใบงาน เรื่อง สื่อกลาง ของการสื่อสารข้อมูล - ใบงาน เรื่อง ประเภท ของระบบเครือข่าย 1. อธิบายองค์ประกอบของ การสื่อสารได้ถูกต้อง (K) 2. อธิบายสื่อกลางในการ สื่อสารข้อมูลได้ถูกต้อง (K) 3. อธิบายทิศทางในการ สื่อสารข้อมูลได้ถูกต้อง (K) 4. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ เทคโนโลยีการสื่อสาร ได้ถูกต้อง (P) 5. สนใจใฝ่เรียนรู้ในการศึกษา (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน - ประเมินการน�าเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�างานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�างานกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการท�างาน ร่วมกัน - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�างาน Chapter Overview T70
แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 4 การประยุกต์ใช้ งานและการแก้ ปัญหาเบื้องต้น 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน รายวิชา พื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการค�ำนวณ)ม.2 - ใบงาน เรื่อง ประเภท ของคอมพิวเตอร์ - ใบงาน เรื่อง การแก้ ปัญหาคอมพิวเตอร์ - ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) - แบบทดสอบหลังเรียน 1. อธิบายประเภทของ คอมพิวเตอร์ได้ถูกต้อง (K) 2. แก้ไขปัญหาที่เกิดจากการ ใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ เบื้องต้นได้(P) 3. แก้ไขปัญหาที่เกิดจากการ ใช้งานด้านซอฟต์แวร์ เบื้องต้นได้(P) 4. สนใจใฝ่เรียนรู้ในการศึกษา และประยุกต์ใช้ในชีวิต ประจ�ำวัน (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจชิ้นงาน/ ภาระงาน (รวบยอด) - ตรวจใบงาน - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - ประเมินการน�ำเสนอ ผลงาน - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสื่อสาร - ทักษะการแลกเปลี่ยน ข้อมูล - ทักษะการคิดวิเคราะห์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการท�ำงาน ร่วมกัน - ทักษะการสืบค้นข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน T71
หนวยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) หนวยแสดงผลขอมูล (Output Unit) หนวยรับขอมูล (Input Unit) หนวยความจําสํารอง (Secondary Storage) หนวยความจําหลัก (Primary Storage) Chapter Concept Overview ระบบคอมพิวเตอร ระบบคอมพิวเตอร (Computer System) หมายถึง การทํางานรวมกันของสวนตาง ๆ ในคอมพิวเตอรอยางมีระบบ และมีประสิทธิภาพ องคประกอบของระบบคอมพิวเตอร องคประกอบของคอมพิวเตอร ประกอบดวย 5 สวนสําคัญ ดังนี้ 1. ฮารดแวร (Hardware) แบงออกเปน 4 สวน ตามการใชงาน ดังนี้ 1) หนวยรับขอมูล (Input Unit) ทําหนาที่รับขอมูลเขาสูเครื่องคอมพิวเตอร เชน สแกนเนอร เมาส 2) หนวยแสดงผลขอมูล (Output Unit) ทําหนาที่แสดงผลขอมูลที่ผานการประมวลผลแลว เชน จอภาพ ลําโพง 3) หนวยเก็บขอมูล (Storage) ทําหนาที่เก็บขอมูลและคําสั่งเพื่อไวใชงานในอนาคต แบงออกเปนหนวยความจําหลัก (Primary Storage) และหนวยความจําสํารอง (Secondary Storage) 4) หนวยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) ทําหนาที่ประมวลผลขอมูล 2. ซอฟตแวร (Software) คือ โปรแกรมที่ทําหนาที่ควบคุมการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร แบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ 1) ซอฟตแวรระบบ (System Software) คือ โปรแกรมที่ทําหนาที่ควบคุมการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอรใหประสานกัน แบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ • ระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS) คือ โปรแกรมที่ควบคุมการทํางานระหวางฮารดแวรกับซอฟตแวร • โปรแกรมอรรถประโยชน (Utility Program) คือ โปรแกรมที่ทําหนาที่อํานวยความสะดวกในการทํางานรวมกับฮารดแวร 2) ซอฟตแวรประยุกต (Application Software) คือ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นตามการใชงานตาง ๆ ของผูใช แบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ • ซอฟตแวรประยุกตทั่วไป (General Purpose Software) คือ ซอฟตแวรที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใชงานทั่วไป • ซอฟตแวรประยุกตเฉพาะงาน (Application Software for Specific Purpose) ซอฟตแวรที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใชงาน เฉพาะดาน เชน โปรแกรมคํานวณภาษี โปรแกรมฝากถอนเงินของธนาคาร 3. บุคลากร (Peopleware) คือ ผูปฏิบัติหนาที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร เชน โปรแกรมเมอร ผูบริหารฐานขอมูล 4. ขอมูลและสารสนเทศ (Data and Information) คือ ขอมูลดิบที่ตองการประมวลผล หรือจัดเก็บใหเปนระบบ เพื่อนําไปใชงานตอได 5. กระบวนการทํางาน (Procedure) คือ กระบวนการทํางานเพื่อใหไดผลลัพธตามที่ตองการ หลักการทํางานของระบบคอมพิวเตอร การทํางานของเครื่องคอมพิวเตอรประกอบไปดวย 5 สวนสําคัญ คือ T72
1. องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูล 5. ประเภทของระบบเครือข่าย 2. พัฒนาการของการสื่อสารข้อมูล 3. ทิศทางการสื่อสารข้อมูล 4. สื่อกลางของการสื่อสารข้อมูลผ่านระบบเครือข่าย มีองค์ประกอบส�ำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือ ข้อเท็จจริงที่ผู้ส่งต้องการ ส่งไปยังผู้รับ 2) ผู้ส่งสาร (Sender) คือ คนหรืออุปกรณ์ที่ท�ำหน้าที่เป็น แหล่งก�ำเนิดของข้อมูลข่าวสาร 3) สื่อกลาง (Medium) คือ ตัวกลางในการน�ำข้อมูลข่าวสาร ไปยังผู้รับสาร 4) ผู้รับสาร (Receiver) คือ คนหรืออุปกรณ์ที่ท�ำหน้าที่เป็น ตัวรับข้อมูลข่าวสาร 5) โปรโตคอล (Protocol) คือ กฎหรือข้อตกลงในการสื่อสาร ข้อมูล แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ 1) เครือข่ายส่วนบุคคล (Personal Area Network: PAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ส่วนบุคคล 2) เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network: LAN) เป็นเครือข่ายระยะใกล้ที่ใช้ในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่ ในพื้นที่เดียวกัน 3) เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network: MAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้เชื่อมโยงเครือข่ายท้องถิ่น (LAN) เข้าด้วยกัน 4) เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network: WAN) เป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะไกล ข้ามทวีปครอบคลุมทั่วโลก แบ่งออกเป็น 3 ยุค ดังนี้ 1) การสื่อสารยุคโบราณ ใช้เพื่อตอบสนองความต้องการ พื้นฐานของมนุษย์ ไม่ซับซ้อน 2) การสื่อสารยุคอุตสาหกรรม มีคุณภาพมากกว่าการสื่อสาร ในยุคโบราณ มีการพัฒนาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการ สื่อสาร 3) การสื่อสารยุคปัจจุบัน มีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาใช้ สามารถสื่อสารระยะไกลได้ทั้งภาพและเสียง แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 1) ทิศทางเดียว (Simplex) ข้อมูลจะถูกส่งจากที่หนึ่งไปยังอีก ที่หนึ่งโดยไม่สามารถส่งข้อมูลย้อนกลับมาได้ 2) กึ่งสองทิศทาง (Half Duplex) เป็นการสื่อสารข้อมูลที่ สามารถส่งและรับได้ 2 ทิศทาง แต่จะไม่สามารถส่งพร้อม กันได้ 3) สองทิศทาง (Full Duplex) เป็นทิศทางการสื่อสารข้อมูลที่ สามารถส่งพร้อมๆ กันได้ทั้ง 2 ทิศทาง ในเวลาเดียวกัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) สื่อกลางประเภทสายสัญญาณ • สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair) • สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) • สายไฟเบอร์ออปติก (Fiber-Optic Cable) 2) สื่อกลางประเภทไร้สาย • อินฟราเรด (Infrared) • คลื่นวิทยุ (Radio Wave) • ไมโครเวฟ (Microwave) • ดาวเทียมสื่อสาร 1. การใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ในชีวิตประจ�ำวัน 2. ปัญหาและการแก้ไขการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ แบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ได้ 5 ประเภท ดังนี้ • Super Computer มีประสิทธิภาพสูงสุด • Mainframe Computer มีประสิทธิภาพสูง • Personal Computer หรือ PC ใช้งานได้หลากหลาย • Workstation Computer ประสิทธิภาพสูงกว่า PC • Wearable Computer จับการเคลื่อนไหว และหาต�ำแหน่ง • ปัญหาจากการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ • การแก้ไขปัญหาการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์เบื้องต้น • การแก้ไขปัญหาด้านฮาร์ดแวร์เบื้องต้น • การแก้ไขปัญหาด้านซอฟต์แวร์เบื้องต้น หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เทคโนโลยีการสื่อสาร การประยุกต์ใช้งานและการแก้ปัญหาเบื้องต้น การประยุกต์ใช้งานและการแก้ปัญหาเบื้องต้น T73
หนวยการเรียนรูที่ ตัวชี้วัด ว 4.2 ม.2/3 อภิปรำยองค์ประกอบและหลักกำรท�ำงำนของระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีกำรสื่อสำร เพื่อประยุกต์ใช้งำน หรือแก้ปัญหำเบื้องต้น ระบบคอมพิวเตอร คอมพิวเตอรจะสามารถทํางานไดจะตองอาศัย การทํางานรวมกับขั้นตอนขององคประกอบตาง ๆ อยางเปนระบบและเปนลําดับ 3 เกร็ดแนะครู การจัดการเรียนการสอนในหนวยการเรียนรูที่ 3 หากครูสามารถหาอุปกรณ คอมพิวเตอรของจริงหรือคลิปวิดีโอตัวอยางการใชงานคอมพิวเตอรมาใช ประกอบการสอนไดก็จะชวยสรางความเขาใจใหกับนักเรียนไดมากขึ้น เพราะ อุปกรณหลายอยางในหนวยการเรียนรูนี้มีการใชงานที่สัมพันธกัน ซึ่งการอธิบาย ดวยภาพนิ่งในหนังสือเรียนจะถูกเสริมความเขาใจผานคลิปวิดีโอหรือแอนิเมชัน และตัวอยางของจริงไดเปนอยางดี ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. นักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน หนวยการ เรียนรูที่ 3 เรื่อง ระบบคอมพิวเตอร เพื่อวัด ความรูเดิมของนักเรียนกอนเขาสูกิจกรรม 2. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงเขาสูบทเรียนวา ระบบ คอมพิวเตอรเปนการทํางานของคอมพิวเตอร ที่มีสวนตาง ๆ ทํางานรวมกัน เพื่อใหบรรลุ เปาหมายในการทํางานไดอยางมีระบบและ มีประสิทธิภาพ นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T74
1 องคประกอบของ ระบบคอมพิวเตอร ระบบคอมพิวเตอร (Computer System) หมายถึง การทํางานของคอมพิวเตอรที่มีสวนตาง ๆ ทํางานรวมกัน เพื่อใหบรรลุเปาหมายในการทํางานอยางมีระบบ และมี ประสิทธิภาพ ระบบคอมพิวเตอรจะตองประกอบดวย ฮารดแวร (Hardware) ซอฟตแวร (Software) บุคลากร (Peopleware) ขอมูลและสารสนเทศ (Data and Information) และ กระบวนการ (Procedure) องคประกอบของระบบคอมพิวเตอร ระบบคอมพิวเตอรจะประกอบดวยองคประกอบสําคัญ 5 สวน ดังนี้ 1. ฮารดแวร (Hardware) คือ สวนของอุปกรณคอมพิวเตอร และอุปกรณตอพวงที่ประกอบ ขึ้นแลวสามารถจับตองได เชน เครื่องคอมพิวเตอร (Computer) ปรินเตอร (Printer) ฮารดดิสก (Hard disk) เปนตน โดยฮารดแวรสามารถแบงออกเปน 4 สวน ตามประเภทการใชงานได ดังนี้ หากระบบคอมพิวเตอรขาด สวนประกอบสวนใดสวน หนึ่งไป ระบบคอมพิวเตอร ยังจะสามารถทํางานตอไป ไดหรือไม ภาพที่ 3.1 แปนพิมพ ภาพที่ 3.2 จอภาพ 2) หนวยแสดงผลขอมูล (Output Unit) ทําหนาที่ในการแสดงผลขอมูลที่ ผานการประมวลแลว โดยจะแปลงผลลัพธจาก สัญญาณดิจิทัลมาเปนภาษาที่มนุษยเขาใจ เชน เสียง ตัวอักษร รูปภาพ เปนตน ผานอุปกรณ แสดงผลขอมูล เชน จอภาพ ปรินเตอร ลําโพง เปนตน 1) หนวยรับขอมูล (Input Unit) ทําหนาที่รับเขาขอมูลจากผูใชงาน เขาสูเครื่องคอมพิวเตอร โดยจะทําการแปลง ขอมูลใหอยูในรูปสัญญาณดิจิทัลที่คอมพิวเตอร เขาใจ อุปกรณที่ทําหนาที่รับเขาขอมูล เชน แปนพิมพ เมาส สแกนเนอร เครื่องบันทึกเสียง เปนตน 65 แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวขอ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน เชน ระบบคอมพิวเตอรไมสามารถใชงานได ระบบ คอมพิวเตอรสามารถใชงานไดแตไมมีประสิทธิภาพ ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูทบทวนความรูเดิมของนักเรียนโดยเขียน คําวา องคประกอบของระบบคอมพิวเตอรลง บนกระดาน และใหนักเรียนแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับองคประกอบของระบบคอมพิวเตอรวา ประกอบไปดวยอะไรบาง จากนั้นครูจดบันทึก คําตอบของนักเรียนลงบนกระดาน 2. ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอวา นักเรียน รูหรือไมวา หากระบบคอมพิวเตอรขาดสวน ประกอบสวนใดสวนหนึ่งไป ระบบคอมพิวเตอร ยังจะสามารถทํางานตอไปไดหรือไม 3. นักเรียนสืบคนขอมูลที่เกี่ยวกับองคประกอบ ของระบบคอมพิวเตอรจากหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยี (วิทยาการคํานวณ) ม.2 หรือจากอินเทอรเน็ตที่เครื่องคอมพิวเตอร ของตนเอง 4. นักเรียนภายในชั้นเรียนรวมกันแสดงความ คิดเห็นและตรวจสอบความถูกตองของคําตอบ บนกระดาน 5. นักเรียนศึกษาเนื้อหา เรื่อง ฮารดแวร จาก หนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจาก อินเทอรเน็ต เกร็ดแนะครู ครูสาธิตการทํางานของอุปกรณที่ทําหนาที่เปนหนวยรับขอมูลและหนวย แสดงผลขอมูลของคอมพิวเตอรไดจากอุปกรณจริงที่มีอยูในชีวิตประจําวัน เชน เมาส แปนพิมพ เครื่องพิมพ สแกนเนอร เพื่อใหนักเรียนไดเขาใจกระบวนการ ทํางาน รับขอมูล และแสดงผลขอมูลจากอุปกรณตางๆ ผานการใชงานจริงได กิจกรรม ทาทาย ใหนักเรียนหารายชื่ออุปกรณที่ทําหนาที่เปนหนวยรับขอมูล และหนวยแสดงผลขอมูลของคอมพิวเตอรมาจับคูกันจํานวน 3 คู แลวอธิบายการทํางานของอุปกรณคูดังกลาว เชน เมาสกับลําโพง จะทํางานรวมกัน โดยการใชเมาสคลิกเพื่อเลือกการเลนเพลงจาก โปรแกรมที่มีอยูในคอมพิวเตอร ทําใหเกิดเสียงเพลงที่แสดงออก มาทางลําโพง นํา สอน สรุป ประเมิน T75
3) หน่วยเก็บข้อมูล (Storage) ท�ำหน้ำที่เก็บข้อมูลและค�ำสั่งเพื่อไว้ใช้งำนในอนำคต ซึ่งหน่วยเก็บข้อมูลจะมี 2 ลักษณะ ดังนี้ (1) หนวยความจําหลัก (Primary Storage) เป็น อุปกรณ์ที่ใช้ในกำรเก็บข้อมูลชั่วครำวก่อนกำรน�ำไปประมวลผล เก็บค�ำสั่งของโปรแกรมขณะใช้งำน และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จำกกำร ประมวลผลก่อนน�ำไปแสดงผล ได้แก่ แรม (Random Access Memory: RAM) และรอม (Read Only Memory: ROM) (2) หนวยความจําสํารอง (Secondary Storage) เป็น อุปกรณ์ที่สำมำรถเก็บข้อมูลไว้ใช้ในภำยหลังได้ ถึงแม้เครื่องคอมพิวเตอร์ถูกปิด และสำมำรถลบหรือเขียนทับใหม่ได้ โดย โปรแกรมที่เก็บไว้จะไม่สูญหำย และไม่ถูกลบทิ้ง เช่น ฮำร์ดดิสก์ แผ่นซีดี (Compact Disc Read Only Memory: CD-ROM) เมมโมรีกำร์ด (Memory Card) แฟรชไดรฟ (Flash Drive) เป็นต้น ยกเว้นอุปกรณ์ดังกล่ำวจะบกพร่อง 4) หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) ท�ำหน้ำที่ประมวลผลข้อมูล เช่น ค�ำสั่งของหน่วย รับข้อมูล ประมวลผลค�ำสั่งในกำรควบคุมกำรท�ำงำนของเครื่องคอมพิวเตอร์ และประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจำกหน่วยรับข้อมูล ตำมค�ำสั่งที่ปรำกฏอยู่ในโปรแกรม ภาพที่ 3.3 แรม ภาพที่ 3.4 เมมโมรีกำร์ด CPU เป็นอุปกรณ์ที่มีควำมส�ำคัญและจ�ำเป็นต่อกำรท�ำงำนของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอย่ำง มำก ซึ่งอำจจะเรียกได้ว่ำ CPU เป็นสมองของคอมพิวเตอร์ ถ้ำหำกคอมพิวเตอร์ปรำศจำก CPU แล้ว คอมพิวเตอร์จะไม่สำมำรถท�ำงำนได้ เนื่องจำก CPU เป็นตัวควบคุมกำรท�ำงำน ของอุปกรณ์ต่ำง ๆ ไม่ว่ำจะเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เองหรืออุปกรณ์ต่อพ่วงภำยนอก Com Sci Focus ¤ÇÒÁÊÓ¤Ñޢͧ CPU ภาพที่ 3.5 หน่วยประมวลผลกลำง ของเครื่องคอมพิวเตอร์ 66 ขั้นสอน อธิบายความรู้ ครูอธิบาย เรื่อง หนวยเก็บขอมูล วาหนวยเก็บ ขอมูล (Storage) ทําหนาที่เก็บขอมูลและคําสั่ง เพื่อไวใชงานในอนาคต แบงออกเปน 2 ประเภท ดังนี้ 1) หนวยความจําหลัก (Primary Storage) เปนอุปกรณที่ใชในการเก็บขอมูลชั่วคราว กอนนําไปใชในการประมวลผล เก็บคําสั่ง ของโปรแกรมขณะใชงาน เก็บผลลัพธจาก การประมวลผลกอนนําไปแสดงผล เชน RAM, ROM 2) หนวยความจําสํารอง (Secondary Storage) เปนอุปกรณที่สามารถเก็บขอมูลไวใช ภายหลังได ไมสูญหาย ไมถูกลบแมปดเครื่อง ขอมูลสามารถลบหรือเขียนทับใหมได เชน ฮารดดิสก เมมโมรีการด เกร็ดแนะครู สมารตโฟน เปนอุปกรณใกลตัวที่จะชวยใหนักเรียนไดทําความเขาใจ เรื่อง RAM และ ROM ในหนวยการเรียนรูนี้ ครูอาจจะเตรียมชื่อสมารตโฟนมา 2-3 รุน หรือสุมขอดูรุนสมารตโฟนของนักเรียน 2-3 คน มาเปนโจทยใหนักเรียน ในชั้นสืบคนขอมูล RAM และ ROM ของสมารตโฟนรุนดังกลาว โดยครูสาธิตวิธี การสืบคนเปนตัวอยางใหนักเรียนดูและแนะนําคําสําหรับสืบคน คือ ชื่อยี่หอและ รุนของสมารตโฟนกับคําวา RAM และ ROM เชน T-FONE + S3 + RAM + ROM ใครหาไดขอมูลกอนก็ใหสรุปใหเพื่อนฟง เชน สมารตโฟนยี่หอ T-FONE รุน S3 มี RAM ขนาด 4 Gb ROM ขนาด 64 Gb กิจกรรม สรางเสริม ใหนักเรียนทํารายงานศึกษาขอมูลฮารดแวร ดังนี้ 1. SSD (Solid State Drive) 2. GPU (Graphics Processing Unit) 3. Barcode Scanner (เครื่องสแกนบารโคด) โดยใหระบุวา อุปกรณดังกลาวจัดเปนฮารดแวรประเภทใด มีหนาที่ และขอดีและ ขอเสียอยางไร ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนศึกษาความรูเสริม (Com Sci Focus) จากเนื้อหา เพื่อขยายความรูของนักเรียน เรื่อง ความสําคัญของ CPU 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง องคประกอบของ ฮารดแวร 3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอหนา ชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันในหองเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T76
ขอสอบเนน การคิด 2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือ ส่วนของโปรแกรมที่เป็นค�ำสั่งในกำรควบคุมกำรท�ำงำนของ เครื่องคอมพิวเตอร์ให้สำมำรถท�ำงำนตำมล�ำดับขั้นตอน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) คือ โปรแกรมที่บริษัทผู้ผลิตสร้ำงขึ้นเพื่อใช้ ในกำรควบคุมกำรท�ำงำนของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ท�ำงำนประสำนกัน และควบคุมล�ำดับขั้นตอน กำรท�ำงำนของอุปกรณ์ต่ำง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์โดยซอฟต์แวร์ระบบสำมำรถแบ่งออกได้ ดังนี้ (1) ระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS) คือ โปรแกรมที่คอยควบคุมกำร ประสำนงำนระหว่ำงซอฟต์แวร์กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่ำง ๆ โดยระบบปฏิบัติกำรที่ได้รับควำม นิยมในสมัยนี้ ได้แก่ ระบบปฏิบัติกำรดอส ระบบปฏิบัติกำรวินโดวส์ ระบบปฏิบัติกำรแมคอินทอช ระบบปฏิบัติกำรลีนุกซ์ และระบบปฏิบัติกำรแอนดรอยด์ ข้อดีและข้อเสียของระบบปฏิบัติกำร มีดังต่อไปนี้ (2) โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Programs) เป็นโปรแกรมที่ติดตั้งมำพร้อม ระบบปฏิบัติกำรเพื่ออ�ำนวยควำมสะดวกในกำรท�ำงำนร่วมกับฮำร์ดแวร์ ตัวอย่ำงโปรแกรม มีดังนี้ • โปรแกรมจัดกำรไฟล์ (File Manager) • โปรแกรมสแกนดิสก์ (Disk Scanner) • โปรแกรมรักษำหน้ำจอ (Screen Saver) • โปรแกรมยกเลิกกำรติดตั้งโปรแกรม (Uninstaller) • โปรแกรมจัดเรียงพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนฮำร์ดดิสก์ (Disk Defragmenter) ระบบปฏิบัติการ ข้อดี ข้อเสีย ระบบปฏิบัติกำรวินโดวส์ ใช้งำนง่ำย เนื่องจำกใช้กำร ติดต่อกับผู้ใช้งำนด้วยภำพและ สัญลักษณ์ มีควำมเสี่ยงเรื่องคอมพิวเตอร์ ไวรัสมำกกว่ำระบบปฏิบัติกำรอื่น ระบบปฏิบัติกำรแมคอินทอช มีควำมเสี่ยงเรื่องคอมพิวเตอร์ ไวรัสค่อนข้ำงต�่ำ มีฮำร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ให้ เลือกใช้งำนจ�ำกัด ระบบปฏิบัติกำรลีนุกซ์ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งำนไม่ จ�ำเป็นต้องมีควำมต้องกำรด้ำน ระบบที่สูง กำรใช้งำนค่อนข้ำงซับซ้อน ส�ำหรับผู้ใช้งำนทั่วไป 67 ในการติดตั้งโปรแกรมตางๆ ใหกับเครื่องคอมพิวเตอร จําเปน ตองลงโปรแกรมประเภทใดเปนอันดับแรก 1. ระบบปฏิบัติการ 2. ซอฟตแวรประยุกต 3. โปรแกรมอรรถประโยชน 4. โปรแกรมยกเลิกการติดตั้งโปรแกรม (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เงื่อนไข ในการติดตั้งโปรแกรมลงเครื่องคอมพิวเตอร จําเปนตองติดตั้ง ระบบปฏิบัติการกอนเปนอันดับแรก จึงจะสามารถติดตั้งโปรแกรม ประเภทอื่น ๆ ได ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนศึกษาเนื้อหา เรื่อง ซอฟตแวร บุคลากร ขอมูลสารสนเทศ และกระบวนการจากหนังสือ เรียน อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบาย เรื่อง ซอฟตแวรระบบ วาซอฟตแวร ระบบ คือ โปรแกรมที่ใชควบคุมการทํางานของ เครื่องคอมพิวเตอรใหทํางานประสานกัน เชน ระบบปฏิบัติการวินโดวส รวมถึงโปรแกรมที่ ติดตั้งมาพรอมกับระบบปฏิบัติการไมวาจะเปน โปรแกรมจัดการไฟล โปรแกรมรักษาหนาจอ เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปวิดีโอที่แสดงการใชงานระบบปฏิบัติการแตละโปรแกรมมา เปดใหนักเรียนไดศึกษา เพื่อใหเกิดความเขาใจที่ชัดเจน เพราะระบบปฏิบัติการ แตละโปรแกรมมีวิธีการใชงานปลีกยอยแตกตางกันพอสมควรแมวาจะเปนระบบ ปฏิบัติการตัวเดียวกันแตตางรุนกัน เชน ระบบปฏิบัติการวินโดวส นํา สอน สรุป ประเมิน T77
ขอสอบเนนการคิด 2) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใช้ งานตามความต้องการด้านต่าง ๆ ของผู้ใช้ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ (1) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ทั่วไป(General Purpose Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนา ขึ้นเพื่อการใช้งานทั่วไป ซึ่งผู้ใช้จะต้องเลือกใช้งานซอฟต์แวร์ให้สอดคล้องและเหมาะสมตามความ ต้องการ ซอฟต์แวร์ที่ช่วยอ�านวยความสะดวกกับนักเรียน เช่น • ซอฟต์แวร์ประมวลค�า เช่น Microsoft Word, PageMaker • ซอฟต์แวร์น�าเสนอ เช่น Microsoft PowerPoint, Open office • ซอฟต์แวร์ตารางท�างาน เช่น Microsoft Excel, Pladao office • ซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล เช่น Microsoft Access, Obsolete (2) ซอฟต์แวร์ประยุกต์เฉพาะงาน (Application Software for Specific Purpose) เป็นซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อการใช้งานเฉพาะด้าน โดยส่วนใหญ่แล้วจะพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนอง ความต้องการใช้งานในองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เช่น โปรแกรมค�านวณภาษีของกรมศุลกากร โปรแกรม ฝาก-ถอนเงินของธนาคาร โปรแกรมค�านวณของเจ้าหน้าที่การเงิน เป็นต้น 3. บุคลากร (People) จะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพื่อป้อนข้อมูลหรือใช้ ค�าสั่งกับคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งส�าคัญที่จะเป็นตัวก�าหนดถึงประสิทธิภาพ ความส�าเร็จ และความ คุ้มค่าในการใช้งานคอมพิวเตอร์ บุคลากรทางคอมพิวเตอร์ ได้แก่ โปรแกรมเมอร์ (Programmer) ผู้ใช้ (User) ผู้ปฏิบัติการ (Operator) ผู้จัดการระบบ (System Manager) และผู้บริหารฐานข้อมูล (Database Administrator: DBA) 4. ข้อมูลสารสนเทศ (Data and Information) ข้อมูลดิบที่มีจ�านวนมากอาจอยู่ในรูปของ ตัวเลข ตัวอักษร หรือกราฟิก ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องการการประมวลผลเพื่อทราบผลลัพธ์ หรือต้องการ จัดเก็บให้เป็นระบบเพื่อสามารถน�าไปใช้งานต่อไปได้ 5. กระบวนการ (Procedure) กระบวนการท�างานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ซึ่งใน การท�างานกับคอมพิวเตอร์ผู้ใช้จ�าเป็นต้องทราบขั้นตอนการท�างานเพื่อให้ได้งานที่ถูกต้องและมี ประสิทธิภาพ โดยอาจจะมีขั้นตอนสลับซับซ้อนหลายขั้นตอน ดังนั้น จึงมีความจ�าเป็นต้องมีคู่มือ ปฏิบัติงาน เช่น คู่มือผู้ใช้ คู่มือผู้ดูแลระบบ เป็นต้น 68 แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง EST เปนโปรแกรมคํานวณพื้นที่ที่ดินรูปสี่เหลี่ยมดานไมเทา พรอมแปลงหนวยเปนตารางเมตรและตารางวา จากขอความ ดังกลาว โปรแกรม EST จัดเปนโปรแกรมประเภทใด 1. โปรแกรมอรรถประโยชน 2. ซอฟตแวรประยุกตทั่วไป 3. ซอฟตแวรประยุกตเฉพาะงาน 4. ซอฟแวรสําหรับเขียนโปรแกรม (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา เงื่อนไข จากขอความในโจทย โปรแกรม EST ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใชงาน เฉพาะดาน จึงถูกจัดเปนซอฟตแวรประยุกตเฉพาะงาน ดังนั้น ตอบขอ 3.) ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจแบบทดสอบ กอนเรียน แบบทดสอบ กอนเรียน ประเมินตาม สภาพจริง ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม ความสนใจในการเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของการทําใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับองคประกอบ ของระบบคอมพิวเตอร ขยายความเขาใจ นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ประเภทของซอฟตแวร ขั้นสอน อธิบายความรู 2. ครูอธิบาย เรื่อง ซอฟตแวรประยุกต วาซอฟตแวร ประยุกต คือ โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อใช งานตามความตองการตางๆ ของผูใช แบงเปน โปรแกรมที่พัฒนามาใชงานทั่วๆ ไป เชน โปรแกรม Microsoft Word Microsoft PowerPoint และโปรแกรมที่ทํางานเฉพาะดาน เชน โปรแกรมคํานวณภาษี โปรแกรมสต็อก สินคา โปรแกรมลงทะเบียนเรียน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน และพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบประเมินการนําเสนอ ผลงาน และแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลที่แนบมาทายแผน การจัดการเรียนรูที่ 4 หนวยการเรียนรูที่ 3 นํา สอน สรุป ประเมิน T78
ขอสอบเนน การคิด 2 หลักการทํางานของ ระบบคอมพิวเตอร์ ในกำรท�ำงำนของเครื่องคอมพิวเตอร์ จะต้อง ประกอบไปด้วยหน่วยต่ำง ๆ ท�ำงำนร่วมกันอย่ำงเป็นระบบ โดยหลักกำรในกำรท�ำงำนของระบบคอมพิวเตอร์ประกอบ ไปด้วย 5 ส่วนส�ำคัญ คือ หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) หน่วยประมวลผลกลำง (Central Processing Unit: CPU) หน่วยควำมจ�ำหลัก (Primary Storage) หน่วยควำมจ�ำส�ำรอง (Secondary Storage) และหน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit) ถาเปรียบคอมพิวเตอร เปนรางกายมนุษย จะเปรียบหนวยประมวลผลกลางไดกับอวัยวะใด ภาพที่ 3.6 ผังแสดงขั้นตอนกำรท�ำงำนของระบบคอมพิวเตอร์ หนวย ประมวลผลกลาง (Central Processing Unit: CPU) หนวย ความจําสํารอง (Secondary Storage) หนวยรับข้อมูล (Input Unit) หนวย แสดงผลข้อมูล (Output Unit) หนวยความจําหลัก (Primary Storage) 69 หลังจากติดตั้งระบบปฏิบัติการลงในคอมพิวเตอร ไฟลของ ระบบปฏิบัติการดังกลาวจะถูกจัดเก็บอยูในอุปกรณใด และอุปกรณ ดังกลาวจัดเปนหนวยความจําประเภทใด 1. แรม หนวยความจําหลัก 2. แรม หนวยความจําสํารอง 3. ฮารดดิสก หนวยความจําหลัก 4. ฮารดดิสก หนวยความจําสํารอง (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ไฟล ของระบบปฏิบัติการที่เราติดตั้งลงในคอมพิวเตอร จะถูกจัดเก็บ อยูในฮารดดิสก ซึ่งจัดเปนหนวยความจําสํารอง ดังนั้น ตอบ ขอ 4.) เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปแอนิเมชันที่แสดงขั้นตอนการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร มาเปดใหนักเรียนไดศึกษา เพื่อใหเกิดความเขาใจที่ชัดเจน สามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด How Computers Work คอมพิวเตอรทํางานอยางไร หรือหลักการทํางานของคอมพิวเตอร ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการทํางาน ของระบบคอมพิวเตอรจากหนังสือเรียน หรือ สืบคนจากอินเทอรเน็ต ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอวา ถาเปรียบ คอมพิวเตอรเปนรางกายมนุษยจะเปรียบหนวย ประมวลผลกลางไดกับอวัยวะใด แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวข้อ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของตนเอง โดย คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน ซึ่งคําตอบ ที่ถูกตอง คือ สมอง นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T79
หลักการท�างานของระบบคอมพิวเตอร์ สำมำรถแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การรับข้อมูล (Input)คอมพิวเตอร์จะรับข้อมูลและค�ำสั่งจำกผู้ใช้เข้ำสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยผ่ำนอุปกรณ์ฮำร์ดแวร์ต่ำง ๆ เช่น แป้นพิมพ์ เมำส์ เครื่องบันทึกเสียง 2. การประมวลผลข้อมูล (Process) จะเป็นกำรน�ำข้อมูลที่รับมำเก็บไว้ในหน่วยควำมจ�ำ แล้วจึงน�ำข้อมูลมำประมวลผลตำมค�ำสั่งหรือโปรแกรมพื้นฐำนของเครื่องคอมพิวเตอร์ และเมื่อ คอมพิวเตอร์ประมวลผลข้อมูลเสร็จแล้ว ก็จะน�ำข้อมูลไปบันทึกลงสู่หน่วยควำมจ�ำอีกครั้ง 3. การจัดเก็บข้อมูล (Storage) เป็นกำรจัดเก็บข้อมูลโดยขณะที่มีกำรประมวลข้อมูลจะใช้ หน่วยควำมจ�ำหลัก (Primary Storage) ในกำรจัดเก็บ และเมื่อต้องกำรเก็บข้อมูลไว้เพื่อใช้งำนใน ครั้งต่อไปจะจัดเก็บลงในหน่วยควำมจ�ำส�ำรอง (Secondary Storage) 4. การแสดงผลข้อมูล (Output) เมื่อข้อมูลผ่ำนกำรประมวลผลเรียบร้อยแล้ว จะแสดง ผลลัพธ์ออกมำในรูปแบบที่มนุษย์เข้ำใจผ่ำนอุปกรณ์ฮำร์ดแวร์ต่ำง ๆ เช่น จอภำพ เครื่องพิมพ์ ภาพที่ 3.7 ผังแสดงหลักกำรท�ำงำนของระบบคอมพิวเตอร์ หนวยประมวลผล ขั้นตอนนี้เป็นกำรแสดงผลถึงควำมสำมำรถโดยรวมที่ท�ำงำนร่วมกัน ของเครื่องคอมพิวเตอร์ และท�ำกำรประมวลผลข้อมูลโดยกำรดึง ข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลระหว่ำง CPU กับหน่วยควำมจ�ำหลัก และ CPU กับหน่วยควำมจ�ำส�ำรองอยู่ตลอดเวลำ หนวยรับข้อมูล หนวยแสดงผล 70 หลักการทํางานของระบบคอมพิวเตอร แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม ความสนใจในการเรียน และการทํา ใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของการทําใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับหลักการ ทํางานของระบบคอมพิวเตอร ขั้นสอน อธิบายความรู 1. ครูอธิบายหลักการทํางานของระบบ คอมพิวเตอรทั้ง 5 สวน จากหนังสือเรียน 2. ครูอธิบายหลักการทํางานของระบบ คอมพิวเตอรทั้ง 4 ขั้นตอน จากหนังสือเรียน ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผาน เกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ กิจกรรม สรางเสริม ใหแบงนักเรียนเปน 4 กลุม แตละกลุมเลือกอุปกรณที่ทํา หนาที่ไดทั้งรับและแสดงผลขอมูล จากหัวขอตอไปนี้ คนละ 1 หัวขอ ไมซํ้ากัน 1. โมเด็ม 2. หนาจอแบบสัมผัส 3. หูฟงแบบมีไมโครโฟนในตัว 4. เครื่องพิมพที่มีเครื่องสแกนในตัว จากนั้นใหเวลาประมาณ 5 นาที สําหรับสืบคนขอมูล แลวให ตัวแทนกลุมออกมาอธิบายกระบวนการการทํางานรับและแสดงผล ขอมูลของอุปกรณที่เลือก ขยายความเขาใจ 1. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง หลักการทํางานของ ระบบคอมพิวเตอร 2. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาอธิบายหลักการ ทํางานของระบบคอมพิวเตอรหนาชั้นเรียน 3. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ขั้นตอนการทํางานของ ระบบคอมพิวเตอร แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลของนักเรียน โดยศึกษา เกณฑการวัดและประเมินผลจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล ที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 4 หนวยการเรียนรูที่ 3 นํา สอน สรุป ประเมิน T80
ขอสอบเนน การคิด 3 เทคโนโลยีการสื่อสาร ในปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ำมำมีบทบำทส�ำคัญใน กำรด�ำรงชีวิตของมนุษย์มำกขึ้นโดยเฉพำะในด้ำนกำร สื่อสำร ซึ่งเป็นกำรน�ำเทคโนโลยีเข้ำมำช่วยให้กำรสื่อสำร มีประสิทธิภำพที่ดีขึ้น โดยกำรพัฒนำอุปกรณ์กำรสื่อสำรต่ำง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เป็นต้น 3.1 องค์ประกอบของการสื่อสารข้อมูล ในกำรสื่อสำรข้อมูลจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบส�ำคัญ 5 ประกำร ดังนี้ 1. ข้อมูลข่าวสาร (Message) คือ ข้อเท็จจริงที่ผู้ส่งต้องกำรถ่ำยทอดไปยังผู้รับ ซึ่งอำจ แสดงออกมำโดยภำษำหรือสัญลักษณ์ต่ำง ๆ ที่ผู้ส่งและผู้รับเข้ำใจ เช่น กำรวำดรูป เป็นต้น 2. ผู้ส่งสาร (Sender) คือ บุคคล กลุ่มบุคคล หรืออุปกรณ์ที่ท�ำหน้ำที่เป็นแหล่งก�ำเนิดของ ข้อมูลข่ำวสำรที่ต้องกำรส่งไปยังผู้รับสำร 3. สื่อกลาง (Medium)คือ สิ่งที่ท�ำหน้ำที่เป็นตัวกลำงในกำรน�ำข้อมูลข่ำวสำรจำกผู้ส่งสำร ส่งไปยังผู้รับสำร เช่น อำกำศ สำยส่งสัญญำณสื่อสำร เป็นต้น 4. ผู้รับสาร (Receiver) คือ บุคคล กลุ่มบุคคล หรืออุปกรณ์ที่ท�ำหน้ำที่เป็นตัวรับข้อมูลที่ ผู้ส่งสำรส่งมำให้ 5. โปรโตคอล (Protocol) คือ กฎหรือข้อตกลงที่ใช้ในกำรสื่อสำรข้อมูลที่จะท�ำให้ผู้ส่งสำร และผู้รับสำรมีควำมเข้ำใจตรงกัน ขอดีของการนําเทคโนโลยี เขามาชวยในการสื่อสาร มีอะไรบาง ภาพที่ 3.8 ผังแสดงองค์ประกอบในกำรสื่อสำรข้อมูล 5 โปรโตคอล 3 สื่อกลาง 4 ผู้รับสาร 2 ผู้ส่งสาร 1 ข้อมูลข่าวสาร Hi How are you doing? 71 5. โปรโตคอล 1 อีโมติคอนหรือการใชอักษรภาพแสดงอารมณ เชน ^_^ เปนพัฒนาการขององคประกอบใดในการสื่อสารขอมูล 1. สื่อกลาง 2. โปรโตคอล 3. ขอมูลขาวสาร 4. ผูรับสารและผูสงสาร (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา อีโมติคอน เปนอักษรภาพที่ใชแสดงอารมณความรูสึกในการสื่อสาร แบบออนไลน จัดเปนพัฒนาการทางดานขอมูลขาวสาร ดังนั้น ตอบขอ 3.) แนวตอบ คําถามสําคัญประจําหัวขอ นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของตนเอง โดย คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครูผูสอน เชน ทําให ไดรับรูขาวสารตางๆ ไดอยางทันทวงที ประหยัด คาใชจายในการสื่อสาร นักเรียนควรรู 1 โปรโตคอล โปรโตคอล HTTP หรือ HyperText Transfer Protocol จะใชเมื่อเรียกโปรแกรม เบราวเซอร (Browser) ขึ้นมาทํางาน เชน Internet Explorer Firefox Chrome โปรโตคอล TCP/IP หรือ Transfer Control Protocol/Internet Protocol ประกอบดวย 2 โปรโตคอล คือ TCP และ IP เปนโปรโตคอลที่ใชในระบบเครือขาย Internet และ Intranet โปรโตคอล FTP หรือ File Transfer Protocol ใชสําหรับการโอนยายไฟล ระหวางเครื่องคอมพิวเตอรผานระบบเครือขาย เชน การโอนยายไฟลระหวาง เครื่องคอมพิวเตอรที่มีลักษณะเปน Client และ Server บนอินเทอรเน็ต ขั้นสอน สํารวจคนหา นักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3-4 คน และให แตละกลุมสืบคนขอมูลเกี่ยวกับองคประกอบ ของการสื่อสารขอมูล และจากหนังสือเรียน อธิบายความรู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับองคประกอบขอมูล ขาวสารวา ขอมูลขาวสารเปนตัวเนื้อหาของขอมูล ซึ่งมีไดหลายรูปแบบ ไดแก ขอความ เสียง รูปภาพ และสื่อผสม ขยายความเขาใจ ใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นกับเพื่อนในชั้นเรียน ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูตั้งคําถามวา ปจจุบันมีเทคโนโลยีใดที่เขามา ชวยเหลือในการสื่อสารบาง โดยครูคอยบันทึก คําตอบของนักเรียนลงบนกระดาน (แนวตอบ นักเรียนตอบตามประสบการณของ ตนเอง โดยคําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของครู ผูสอน เชน โทรศัพท คอมพิวเตอร) 2. ครูถามคําถามสําคัญประจําหัวขอวา ขอดีของ การนําเทคโนโลยีเขามาชวยเหลือในการ สื่อสารนั้นมีอะไรบาง นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T81
ขอสอบเนนการคิด ภาพที่ 3.9 ภาพวาดผนังถํ้า ภาพที่ 3.11 การประชุมผาน การสื่อสารทางไกล (Video Conference) ภาพที่ 3.10 เครื่องโทรเลข 3.2 พัฒนาการของการสื่อสารขอมูล พัฒนาการของการสื่อสารขอมูล สามารถแบงออกเปนยุคตาง ๆ ได 3 ยุค ดังนี้ 1. การสื่อสารยุคโบราณ จะเปนการสื่อสารที่ไมมีความ สลับซับซอน สวนใหญจะทําเพื่อตอบสนองความตองการขั้น พื้นฐานของมนุษย และยังมีการสื่อสารจากอดีตหลงเหลือมาถึง ปจจุบัน เชน ภาพวาดบนผนังถํ้าที่มักจะเปนการเขียนเลาเรื่อง กิจวัตรประจําวันอยางการลาสัตวไวบนผนังถํ้าหรือกอนหิน โดย ใชวิธีการวาดรูปแทนสัญลักษณ 2. การสื่อสารยุคอุตสาหกรรม เปนการสื่อสารที่มี คุณภาพมากกวาการสื่อสารในยุคโบราณ มีการพัฒนาเครื่องมือสื่อสารโดยการนําเทคโนโลยีเขามาชวยในการสื่อสาร แตการ สื่อสารในยุคอุตสาหกรรมนี้มีแนวโนมที่จะเลิกใชหรือบางอยางก็ เลิกใชไปแลวเนื่องจากมีเทคโนโลยีใหม ๆ เขามาแทน การสื่อสาร ในยุคอุตสาหกรรม เชน โทรเลข วิทยุ การสงจดหมาย 3. การสื่อสารยุคปจจุบัน เปนการพัฒนาการสื่อสารที่ นําเครื่องมือ และเทคโนโลยีสมัยใหมเขามาใช เพื่อความสะดวก สบายในการติดตอสื่อสาร เชน การสื่อสารทางไกล (Video Conference) เปนการสื่อสารที่ชวยใหคนที่อยูหางไกลกันสามารถ ติดตอสื่อสารกันไดทั้งภาพและเสียง โดยผานจอภาพซึ่งอาจเปน คอมพิวเตอรหรือโทรทัศน การพัฒนาการของการสื่อสารขอมูลตั้งแตอดีตจนถึง ปจจุบันมีการพัฒนาของเทคโนโลยีตาง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยยก ตัวอยางเรื่อง การสื่อสารทางไกล • การสื่อสารยุคโบราณ การสื่อสารทางไกลจะใชนกพิราบในการสื่อสาร ซึ่งผูเขียนจะ สงขอความสั้น ๆ แลวผูกไวที่ขา หรือคอของนกพิราบกอนจะสงนกพิราบออกไป • การสื่อสารยุคอุตสาหกรรม การสื่อสารทางไกลเริ่มใชเทคโนโลยีใหม ๆ ใหมีบทบาท มากขึ้น ตัวอยางเครื่องทุนแรง เชน การสงจดหมาย วิทยุสื่อสาร • การสื่อสารยุคปจจุบัน เทคโนโลยีเขามามีบทบาทในการดํารงชีวิตของมนุษยมากขึ้น ซึ่งการสื่อสารทางไกลในยุคปจจุบันมีมากมาย เชน โทรศัพทมือถือ การประชุมงานผานวิดีโอ 72 ขั้นสอน สํารวจคนหา นักเรียนศึกษาพัฒนาการของการสื่อสารขอมูล ที่สามารถแบงออกไดเปน 3 ยุค จากหนังสือเรียน เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปแอนิเมชันมาเปดใหนักเรียนไดศึกษา เพื่อใหเกิดความเขาใจ ที่ชัดเจนในเรื่องพัฒนาการของการสื่อสารขอมูลตั้งแตในยุคอดีตมาจนถึงปจจุบัน ซึ่งเปนเนื้อหาที่มีรายละเอียดจํานวนมาก โดยสามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด “พัฒนาการของการสื่อสารขอมูล” ความรูเสริม เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2551 บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) หรือแคตเทเลคอม (CAT Telecom) กําหนดใหเปนวันสุดทายของการใหบริการ โทรเลขไทย ในปจจุบันประเทศไทยจึงไมมีการใชโทรเลขแลว นักเรียนคิดวา ในปจจุบันเราควรยกเลิกการสงจดหมายแบบ ติดแสตมปมาเปนแบบอีเมลหรือไม อยางไร จงอธิบาย (วิเคราะหคําตอบ ในปจจุบันเรามีวิธีการติดตอสื่อสารที่สะดวก รวดเร็วกวาการสงจดหมายแลว การสงจดหมายเพื่อการติดตอ สื่อสารจึงไมมีความจําเปน แตในเรื่องของการสงเอกสารสําคัญ หลายอยางที่ตองมีลายเซ็นกํากับยังมีการใชเปนแบบกระดาษจริง อยู เชน สําเนาทะเบียนบาน สําเนาบัตรประชาชน ซึ่งเอกสาร เหลานี้จําเปนตองยื่นสงทางจดหมายไปยังปลายทาง โดยเฉพาะ กรณีระยะทางไกลระหวางจังหวัดหรือประเทศ รวมถึงการสมัคร เรียนหรือสมัครงานทางไปรษณียในปจจุบัน ทําใหการสงจดหมาย แบบปกติจึงยังมีความจําเปนอยู แตหากในอนาคตสามารถเปลี่ยน เปนระบบเอกสารแบบออนไลนทั้งหมดไดสําเร็จ ก็อาจจะสามารถ ยกเลิกการสงจดหมายได) อธิบายความรู ครูสุมนักเรียน 3 คน ออกมาอภิปรายหนา ชั้นเรียนเกี่ยวกับการสื่อสารขอมูล พรอมยก ตัวอยางการสื่อสารในแตละยุคไดอยางเหมาะสม ขยายความเขาใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัยและ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง องคประกอบของการ สื่อสารขอมูล 3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอหนา ชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันภายใน หองเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T82
ขอสอบเนน การคิด 3.3 ทิศทางการสื่อสารข้อมูล กำรสื่อสำรข้อมูลจำกผู้ส่งสำรไปยังผู้รับสำร โดยผ่ำนตัวกลำงสำมำรถจ�ำแนกทิศทำงกำร สื่อสำรออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้ 1. ทิศทางเดียว (Simplex) เป็นทิศทำง กำรสื่อสำรที่ข้อมูลจะส่งจำกสถำนที่หนึ่งไปยัง อีกสถำนที่หนึ่ง โดยที่ข้อมูลจะไม่สำมำรถส่ง ย้อนกลับมำได้ เช่น กำรเผยแพร่ภำพและเสียง ผ่ำนทำงสถำนีโทรทัศน์ กำรรับฟังเพลงผ่ำน กำรกระจำยเสียงของสถำนีวิทยุ 2. กึ่งสองทิศทาง (Half Duplex) เป็น ทิศทำงกำรสื่อสำรที่สำมำรถส่งข้อมูลไปและรับ สองทิศทำงได้ แต่ไม่สำมำรถส่งข้อมูลในเวลำ เดียวกันได้ ขณะที่เครื่องหนึ่งเป็นผู้รับอีกเครื่อง จะเป็นผู้ส่งแล้วผู้รับจะส่งกลับได้ก็ต่อเมื่อผู้ส่ง กลับมำเป็นผู้รับก่อน เช่น กำรสื่อสำรผ่ำนวิทยุ สื่อสำร ภาพที่ 3.12 กำรสื่อสำรแบบทิศทำงเดียว ภาพที่ 3.13 กำรสื่อสำรแบบกึ่งสองทิศทำง ตัวอยางทิศทางการสื่อสารขอมูล 3. สองทิศทาง (Full Duplex) เป็นทิศทำงกำรสื่อสำรที่สำมำรถส่งข้อมูลสองทิศทำงพร้อม กันได้ นั่นคือ ในระหว่ำงที่อุปกรณ์เครื่องหนึ่งก�ำลังส่งข้อมูลอยู่ อุปกรณ์อีกเครื่องหนึ่งก็สำมำรถส่ง ข้อมูลมำพร้อมกันได้เลย เช่น กำรคุยกันผ่ำนโทรศัพท์มือถือ กำรสื่อสำรทำงไกล ภาพที่ 3.14 กำรสื่อสำรแบบสองทิศทำง 73 ขอสอบเนน การคิด ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. ครูทบทวนเนื้อหาการเรียนจากชั่วโมงที่ผานมา เกี่ยวกับองคประกอบของการสื่อสารขอมูล และพัฒนาการของการสื่อสารขอมูล 2. นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับทิศทางการ สื่อสารขอมูลที่สื่อสารขอมูลจากผูสงสารไปยัง ผูรับสาร โดยผานตัวกลาง และสามารถจําแนก ทิศทางการสื่อสารออกเปน 3 รูปแบบ การเลนโทรศัพทกระปอง จัดเปนการสื่อสารผานตัวกลางใน รูปแบบใด 1. สองทิศทาง 2. ทิศทางเดียว 3. กึ่งสองทิศทาง 4. ไมสามารถระบุได (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การเลนโทรศัพทกระปอง เปนอุปกรณการสื่อสารที่ไมสามารถ สงและรับขอมูลในเวลาเดียวกันได ตองผลัดกันเปนฝายสงและรับ ดังนั้น ตอบขอ 3.) อธิบายความรู้ ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาอธิบายเกี่ยวกับ ทิศทางการสื่อสารขอมูลทั้ง 3 รูปแบบ ตามที่ นักเรียนไดศึกษาจากหนังสือเรียน ดังนี้ 1) ทิศทางเดียว 2) กึ่งสองทิศทาง 3) สองทิศทาง ขยายความเข้าใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ทิศทางการสื่อสาร ขอมูล 3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันภายใน หองเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปที่แสดงตัวอยางทิศทางการสื่อสารทั้ง 3 รูปแบบ ใหนักเรียนดู โดยสามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด “ทิศทางการสื่อสารขอมูล” หรืออาจจะจัดเปนกิจกรรมทดลองรูปแบบการสื่อสารทั้ง 3 รูปแบบ โดยใช อุปกรณที่มีอยูในชีวิตประจําวันเปนสื่อการสอนก็ได T83
ขอสอบเนนการคิด 3.4 สื่อกลางของการสื่อสารข้อมูลผานระบบเครือขาย กำรสื่อสำรทุกชนิดจะต้องอำศัยสื่อกลำงในกำรสื่อสำรเพื่อท�ำหน้ำที่ในกำรส่งข้อมูลจำกผู้ส่ง ไปยังผู้รับ ซึ่งสื่อกลำงของกำรสื่อสำรข้อมูล สำมำรถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ ภาพที่ 3.15 สำยคู่บิดเกลียวแบบ ไม่มีฉนวนหุ้ม (UTP) ภาพที่ 3.16 สำยคู่บิดเกลียวแบบ มีฉนวนหุ้ม (STP) o_O in Real Life Com Sci Com Sci สำยคู่บิดเกลียวแบบ UTP ถูก ผลิตขึ้นมำใช้งำนก่อนแล้วจึง ได้มีกำรพัฒนำเป็น STP ซึ่งสำย UTP เริ่มแรกถูกน�ำมำใช้ ในระบบโทรศัพท์แต่ปัจจุบันถูก น�ำมำใช้เป็นสัญญำณที่เชื่อม ต ่อในระบบเครือข ่ำยท้องถิ่น (LAN) และมีกำรก�ำหนด มำตรฐำนไว้ สำยที่มีมำตรฐำน สูงจะส ่งข้อมูลขนำดใหญ ่ได้ และควำมเร็วในกำรส่งสูงแต่ ก็มีรำคำแพงขึ้นด้วย (STP) (UTP) สายคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้ม ข้อดี ข้อเสีย ข้อดี ข้อเสีย - ส่งข้อมูลด้วย ควำมเร็วสูงกว่ำ แบบไม่มีฉนวนหุ้ม - สำมำรถป้องกัน สัญญำณรบกวน ได้ดี - มีขนำดใหญ่กว่ำ แบบไม่มีฉนวนหุ้ม - ไม่ยืดหยุ่น ดัดโค้ง งอได้ไม่มำก - รำคำแพงกว่ำ แบบไม่มีฉนวนหุ้ม - รำคำถูก - น�้ำหนักเบำ สำมำรถติดตั้ง ได้ง่ำย - มีควำมยืดหยุ่น สำมำรถดัดโค้งงอได้ - ไม่เหมำะใน กำรเชื่อมต่อกับ อุปกรณ์ที่อยู่ ห่ำงไกล 1. สื่อกลางประเภทสายสัญญาณ • สายคู่บิดเกลียว (Twisted Pair) มีลักษณะเป็นสำยส่งสัญญำณที่ประกอบด้วย ทองแดงถูกจับพันกันเป็นเกลียวตำมมำตรฐำนจ�ำนวน 4 คู่สำย เพื่อช่วยลดกำรรบกวนของ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทั้งจำกภำยในสำยและภำยนอกสำย ซึ่งสำยคู่บิดเกลียวมี 2 ประเภท ได้แก่ สำยคู่บิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม (Shielded Twisted Pair: STP) และสำยคู่บิดเกลียวแบบไม่มี ฉนวนหุ้ม (UnshieldedTwisted Pair: UTP) ในปัจจุบันกำรติดตั้งสำยสัญญำณอินเทอร์เน็ตภำยใน อำคำรบ้ำนเรือนนิยมใช้สำยคู่บิดเกลียวแบบไม่มีฉนวนหุ้มเป็นหลัก เพรำะมีรำคำถูกกว่ำสำยบิดเกลียวแบบมีฉนวนหุ้ม 74 เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปวิดีโอที่ชวยเพิ่มความเขาใจใหนักเรียนดูประกอบการสอน โดยสามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด สื่อกลางในการสื่อสารขอมูล หรือตัวกลางในการสื่อสารขอมูล สายสัญญาณที่ใชงานอยูในปจจุบันมีการ พัฒนาขีดความสามารถผลิตออกมาเปนรุนใหมอยูอยางตอเนื่อง ครูอาจจะสืบคน ขอมูลลาสุดมาสอนเพิ่มเติมใหกับนักเรียน เพื่อใหบทเรียนมีความเทาทันปจจุบัน ก็จะมีประโยชนมาก ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) เพื่อศึกษาเนื้อหา เกี่ยวกับสื่อกลางของการสื่อสารขอมูลผานระบบ เครือขาย เรื่อง สื่อกลางประเภทสายสัญญาณ แบบสายคูบิดเกลียว แบบสายโคแอกเชียล และแบบสายไฟเบอรออปติก ถาตองการเดินสายสัญญาณแบบสายคูบิดเกลียวในพื้นที่หอง ที่มีเสนทางการเดินสายมีลักษณะคดเคี้ยวเปนสวนใหญ ควรเลือก ใชสายคูบิดเกลียวแบบใด ดวยเหตุผลใด 1. สาย STP เพราะราคาถูกกวา 2. สาย UTP เพราะสงขอมูลไดเร็วกวา 3. สาย UTP เพราะปองกันสัญญาณรบกวนไดดี 4. สาย STP เพราะมีความยืดหยุนสามารถดัดโคงงอได (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา สาย STP จะมีความยืดหยุนสามารถดัดโคงงอไดมากกวาแบบ UTP จึงเหมาะ กับการเดินสายในพื้นที่ที่ตองเดินสายเปนเสนโคงหลายๆ จุด มากกวาแบบ STP ดังนั้น ตอบขอ 4.) อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงความรูสูชีวิตประจําวัน (Com Sci in Real Life) วาสายคูบิดเกลียวแบบ UTP ถูกผลิตขึ้นมาใชงานกอนแลว จึงไดมีการ พัฒนาเปน STP ซึ่งสาย UTP เริ่มแรกถูกนํามา ใชในระบบโทรศัพท แตปจจุบันถูกนํามาใชเปน สัญญาณที่เชื่อมตอในระบบเครือขายทองถิ่น (LAN) และมีการกําหนดมาตรฐานไว โดยสาย ที่มีมาตรฐานสูงจะสามารถสงขอมูลขนาดใหญ ได และมีความเร็วในการสงสูง แตก็มีราคา แพงขึ้นตามลําดับ นํา สอน สรุป ประเมิน T84
• สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable) ตัวสำยจะประกอบไปด้วยลวดทองแดงที่เป็น ตัวน�ำสัญญำณ ห่อหุ้มด้วยฉนวนป้องกันกระแส ไฟฟ้ำรั่ว จำกนั้นจะหุ้มด้วยตัวน�ำซึ่งท�ำจำกลวด ทองแดงถักเป็นร่ำงแห เพื่อป้องกันกำรรบกวน ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ สัญญำณรบกวนอื่น ๆ และชั้นนอกสุดจะหุ้มด้วยฉนวนพลำสติก น�ำ มำใช้ประโยชน์ในกำรต่อโทรทัศน์ และกล้อง วงจรปิด • สายไฟเบอร์ออปติก (Fiber-Optic Cable) หรือที่เรียกว่ำ สำยใยแก้วน�ำแสง ตัวสำย ด้ำนในท�ำจำกแก้ว หรือพลำสติกที่มีลักษณะ เป็นเส้นบำง ๆ คล้ำยเส้นใยแก้ว และมีฉนวนหุ้ม ชั้นนอก เพื่อป้องกันกำรกระแทกและฉีกขำด ภาพที่ 3.18 สำยไฟเบอร์ออปติก ภาพที่ 3.17 สำยโคแอกเชียล ตัวน�ำสัญญำณ ท�ำด้วยทองแดง ฉนวนหุ้มด้ำนใน ฉนวนหุ้มด้ำนนอก ข้อดี ข้อเสีย - รำคำถูก - มีควำมยืดหยุ่น ในกำรใช้งำน - ติดตั้งง่ำยและ มีน�้ำหนักเบำ - ถูกรบกวนจำก สัญญำณภำยนอก ได้ง่ำย - ใช้ได้ในระยะทำง จ�ำกัด ข้อดี ข้อเสีย - สำมำรถบรรจุ ข้อมูลได้จ�ำนวน มำก - มีขนำดเล็ก น�้ำหนักเบำ - มีอำยุกำรใช้งำน นำน - เส้นใยแก้วน�ำแสง เปรำะบำง แตกหัก ง่ำย - ไม่สำมำรถดัดโค้ง งอได้ - ในกำรติดตั้งต้องใช้ เครื่องมือพิเศษ เฉพำะทำง 75 ตัวน�ำสัญญำณ ห่อหุ้มด้วยฉนวนป้องกันกระแส ไฟฟ้ำรั่ว จำกนั้นจะหุ้มด้วยตัวน�ำซึ่งท�ำจำกลวด 1 ขั้นสอน อธิบายความรู 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ในปจจุบันการติดตั้ง ระบบอินเทอรเน็ตในประเทศไทยไดพัฒนา มาตรฐานสายสัญญาณเปนแบบไฟเบอร ออปติกแลว และสายสัญญาณแบบสายคู บิดเกลียวก็ถูกพัฒนาคุณภาพเพิ่มเติมใหมี หลากหลายประเภทเพิ่มขึ้นตามลักษณะการ ใชงาน เชน แบบ FTP (Foil Twisted Pair) แบบ STP (Shielded Twisted Pair) และให มีระดับคุณภาพแบงเปนเกรดเรียกวา CAT (Categories) เชน เกรด CAT5 เกรด CAT5e เกรด CAT6 โดยที่คุณภาพและราคาก็จะสูงขึ้น ตามเกรดของสายสัญญาณ นักเรียนควรรู 1 ฉนวนปองกันกระแสไฟฟารั่ว คือ วัสดุที่มีคุณสมบัติในการกีดกั้นหรือ ขัดขวางการไหลของกระแสไฟฟา ทําหนาที่ปองกันอันตรายจากกระแสไฟฟา สายไฟฟาจะหุมดวยฉนวนไฟฟาเพื่อปองกันไฟฟารั่ว อุปกรณไฟฟาสวนใหญมี ชิ้นสวนที่ตองสัมผัสกับรางกาย จะมีคุณสมบัติเปนฉนวนไฟฟา เชน พัดลม ไขควงวัดไฟ เตารีดเครื่องดูดฝุน สวนที่ตองใชมือจับจะเปนฉนวนไฟฟาจําพวก พลาสติก นอกจากนี้ยังมีวัสดุอื่นๆ ที่ถูกนํามาใชเปนฉนวนไฟฟาอีก เชน แกว พลาสติก กระเบื้อง ยาง กิจกรรม สรางเสริม ครูใหการบานนักเรียนลองสืบคนขอมูลเกี่ยวกับสายสัญญาณ แบบไฟเบอรออปติก ดังนี้ 1. สัญญาณไฟเบอรออปติกในปจจุบันมีกี่ประเภท แตละ ประเภทมีคุณสมบัติแตกตางกันอยางไร 2. เทคโนโลยี FTTx (Fibre to the x) คืออะไร มีขอดีและ ขอเสียอยางไร นํา สอน สรุป ประเมิน T85
ขอสอบเนนการคิด คุณสมบัติและการนําไปใชงานของสื่อกลางประเภทสายสัญญาณ ชนิดของสื่อกลาง ความเร็ว สูงสุด ระยะทาง ที่ใชงานได การนําไปใชงาน สายคูบิดเกลียวแบบ ไมมีฉนวนหุม (UTP) 1 Gbps ไมเกิน 100 เมตร ใชเชื่อมตออุปกรณ หรือ คอมพิวเตอรเขากับแลน ที่ใชในปจจุบัน สายคูบิดเกลียวแบบ มีฉนวนหุม (STP) 10 Gbps ไมเกิน 100 เมตร ใชเชื่อมตอคอมพิวเตอร เขากับแลน มีราคาสูง สายโคแอกเชียล 100 Mbps ไมเกิน 500 เมตร ใชเปนสายแกนหลักสําหรับ แลนในยุคแรก ๆ และ ยังนิยมใชเปนสายนํา สัญญาณภาพและเสียง ของโทรทัศน สายไฟเบอรออปติก 100 Gbps มากกวา 2 กิโลเมตร ใชเปนสายแกนหลักใน ระบบเครือขายหรือใช สําหรับเชื่อมตอระหวาง เครือขายที่อยูหางไกล Gbps ยอมาจากคําวา Gigabit per second คือ หนวยความจําหรือหนวยที่ใชวัดอัตรา ความเร็วในการสงหรือรับขอมูลตาง ๆ ซึ่งความเร็วในการรับสงขอมูลจะอยูที่ระดับหนึ่งพันลาน บิตตอวินาที Mbps ยอมาจากคําวา Megabit per second คือ หนวยความจําหรือหนวยที่ใชวัดอัตรา ความเร็วในการสงหรือรับขอมูลตาง ๆ ตอ 1 วินาที ซึ่งนั่นจะหมายถึง หนึ่งลานบิตตอวินาที Com Sci Focus ˹‹ÇÂÇÑ´¤ÇÒÁàÃçǢͧ¤ÍÁ¾ÔÇàµÍà 76 ขั้นสอน ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนพิจารณาคุณสมบัติและการนําไปใชงาน ของสื่อกลางประเภทสายสัญญาณ 2. นักเรียนศึกษาความรูเสริม (Com Sci Focus) จากเนื้อหา เพื่อขยายความรูของนักเรียน เรื่อง หนวยวัดความเร็วของคอมพิวเตอร ที่ กลาวถึง Gbps ที่ยอมาจากคําวา Gigabit per second และ Mbps ที่ยอมาจากคําวา Megabit per second 3. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัย และ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น ความรูเสริม ในปจจุบันยังมีการพัฒนาดานคุณสมบัติของสายสัญญาณอยูอยาง ตอเนื่อง โดยเฉพาะคุณสมบัติในดานความเร็วสูงสุด และระยะทางการใชงาน ไดของสายสัญญาณ ซึ่งจะสามารถขยายขอบเขตการใชงานออกไปไดมากขึ้น อีกในอนาคต และจะเห็นไดวา เทคโนโลยีสายสัญญาณนั้นมีการพัฒนาควบคู ไปพรอมกับเทคโนโลยีไรสาย ในแบบใชงานรวมกันในระบบเครือขายและมีการ ใชแทนที่กันในหลายสวน เชน ระบบสัญญาณเสียง มีการนําระบบ Bluetooth เขามาใชอยางกวางขวาง ทั้งในอุปกรณเฮดโฟน ลําโพงเสียงแบบไรสาย ซึ่งได รับความนิยมเพราะสะดวกในการใชงาน แตก็มีขอเสียในเรื่องการใชแบตเตอรี่ ในอุปกรณเขามาแทน บริษัท A และ B มีโพรโมชันประจําเดือนในการติดตั้ง อินเทอรเน็ตแบบใชสายสัญญาณไฟเบอรออปติก ดังตารางตอไปนี้ บริษัท คาเดินสาย โพรโมชันประจําเดือน A เมตรละ 30 บาท ฟรีคาเดินสาย 200 เมตรแรก B เมตรละ 20 บาท ฟรีคาเดินสาย 1,000 บาท ใครตองจายเงินคาเดินสายเทากันไมวาจะใชบริการของบริษัท A หรือ B ก็ตาม 1. เกงตองเดินสายเปนระยะทาง 400 เมตร 2. กลาตองเดินสายเปนระยะทาง 500 เมตร 3. กองตองเดินสายเปนระยะทาง 600 เมตร 4. กอยตองเดินสายเปนระยะทาง 700 เมตร (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ที่ ระยะ 500 เมตร ไมวาจะเลือกใชบริการของบริษัท A หรือ B ก็จะ มีคาใชจายเทากับ 9,000 บาท เทากัน ดังนั้น ตอบขอ 2.) นํา สอน สรุป ประเมิน T86
ขอสอบเนน การคิด ได้ในระยะทำงไกล โดยใช้อำกำศเป็นตัวกลำง ทั้งนี้ กำรใช้ระบบ FM ในกำรส่งคลื่นวิทยุกระจำย เสียงจะสำมำรถยกระดับคุณภำพของเสียงให้ดีขึ้น ชัดขึ้น ป้องกันเสียงรบกวนได้มำกกว่ำระบบ AM ซึ่งระบบ AM สำมำรถส่งสัญญำณได้ไกลกว่ำ FM แต่คุณภำพสัญญำณของ FM จะดีกว่ำ AM • ไมโครเวฟ (Microwave) เป็นสื่อกลำง กำรสื่อสำรควำมถี่สูงเหมำะกับกำรเชื่อมต่อสื่อสำร ในระยะไกล โดยอุปกรณ์ส่งสัญญำณจะส่งสัญญำณ พร้อมกับข้อมูลไปในอำกำศให้กับสถำนีรับส ่ง สัญญำณ จำกนั้นสถำนีจะส ่งสัญญำณพร้อมกับ ข้อมูลต่อให้กับอุปกรณ์รับสัญญำณ แต่เนื่องจำก สัญญำณไมโครเวฟเดินทำงเป็นเส้นตรง จึงต้องมี กำรติดตั้งสถำนีรับส่งสัญญำณแต่ละสถำนีไว้บนที่สูง เช่น ดำดฟ้ำ ตึกสูง ยอดเขำ เป็นต้น ตลอดจน สำมำรถส่งสัญญำณผ่ำนดำวเทียมได้ • ดาวเทียมสื่อสาร เป็นกำรสื่อสำรระยะ ไกลครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก โดยสถำนีส่งภำคพื้นดิน จะส่งสัญญำณควำมถี่ไมโครเวฟพร้อมกับข้อมูลไป ยังดำวเทียมที่โคจรอยู่นอกโลก ซึ่งท�ำหน้ำที่ในกำร กระจำยสัญญำณส่งไปยังสถำนีรับภำคพื้นดินอื่น ๆ ที่เป็นจุดหมำย ภาพที่ 3.21 กำรส่งสัญญำณดำวเทียม Downlink Frequency ควำมถี่ขำลง 4 กิกะเฮิรตซ์ ดำวเทียม Uplink Frequency ควำมถี่ขำขึ้น 6 กิกะเฮิรตซ์ สถำนีส่งภำคพื้นดิน สถำนีรับภำคพื้นดิน ภาพที่ 3.20 กำรส่งสัญญำณคลื่นไมโครเวฟ ระยะทำง 50 กิโลเมตร ระยะทำง 50 กิโลเมตร สถำนีรับส่งสัญญำณ สถำนี รับส่งสัญญำณ สถำนี รับส่งสัญญำณ ภาพที่ 3.19 กำรส่งสัญญำณของคลื่นวิทยุ คลื่นตรง คลื่นสะท้อน คลื่นฟ้ำ คลื่นดิน 2. สื่อกลางประเภทไร้สาย • อินฟราเรด (Infrared) เป็นสื่อกลำงกำรสื่อสำรที่มีลักษณะเป็นคลื่นวิทยุควำมถี่สูงที่มี ควำมยำวคลื่นต�่ำ มักใช้ในกำรสื่อสำรข้อมูลที่ปรำศจำกสิ่งกีดขวำงระหว่ำงตัวส่งสัญญำณและตัวรับ สัญญำณ เช่น กำรเชื่อมต่อคีย์บอร์ดไร้สำยกับเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่ำนพอร์ต IrDA (Infrared Data Association) • คลื่นวิทยุ (Radio Wave) มีลักษณะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำควำมถี่สูง มี 2 ระบบ คือ ระบบ AM (Amplitude Modulation) และระบบ FM (Frequency Modulation) สำมำรถส่งสัญญำณ 77 ขอสอบเนน การคิด ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) เพื่อศึกษาเนื้อหา เกี่ยวกับสื่อกลางของการสื่อสารขอมูลผานระบบ เครือขาย เรื่อง สื่อกลางประเภทไรสาย ดังนี้ สัญญาณอินฟราเรด สัญญาณคลื่นวิทยุ สัญญาณ ไมโครเวฟ และสัญญาณดาวเทียมสื่อสาร อธิบายความรู้ ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับสื่อกลางประเภท ไรสายวา สื่อกลางประเภทไรสาย เปนสื่อกลาง ประเภทที่ไมใชวัสดุใดๆ ในการนําสัญญาณ ซึ่ง จะไมมีการกําหนดเสนทางใหสัญญาณเดินทาง เชน คลื่นไมโครเวฟ คลื่นแมเหล็กไฟฟา ซึ่งแบง ออกเปนคลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ ดาวเทียมสื่อสาร ขอใดกลาวผิด 1. โดยปกติสถานีรับสงสัญญาณดวยคลื่นไมโครเวฟจะรับสง สัญญาณกันระหวางสถานี 2. สถานีรับสงสัญญาณดาวเทียมสงสัญญาณไปยังดาวเทียม ดวยคลื่นอินฟราเรด 3. ระบบ FM จะมีคุณภาพเสียงดีกวาระบบ AM สวนระบบ AM จะสงสัญญาณไดไกลกวา FM 4. สถานีรับสงสัญญาณดาวเทียมสื่อสารจะสงสัญญาณไปยัง ดาวเทียมกอน แลวจึงใหดาวเทียมกระจายสัญญาณมายัง สถานีรับภาคพื้นดินอื่นๆ (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ดาวเทียมสื่อสารจะสงสัญญาณดวยคลื่นสัญญาณไมโครเวฟ ดังนั้น ตอบขอ 2.) เกร็ดแนะครู ครูอาจหาคลิปวิดีโอที่ชวยเพิ่มความเขาใจใหนักเรียนไดดูประกอบการสอน เนื่องจากเนื้อหาสวนนี้คอนขางมีความเปนทฤษฎีสูง ครูจึงจําเปนตองหาสื่อ การสอนประเภทคลิปวิดีโอแอนิเมชันมาชวยอธิบายเสริมใหนักเรียนเห็นภาพ กระบวนการสงสัญญาณแบบตางๆ อยางชัดเจน โดยสามารถคนหาจาก YouTube โดยใชคียเวิรด สื่อกลางในการสื่อสารขอมูลแบบไรสาย หรือสื่อกลางสงขอมูล ประเภทไรสาย ขยายความเข้าใจ 1. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามขอสงสัยและ ครูใหความรูเพิ่มเติมในสวนนั้น 2. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง สื่อกลางของการสื่อสาร ขอมูล 3. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันภายใน หองเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T87
ขอสอบเนนการคิด 3.5 ประเภทของระบบเครือขาย ประเภทของระบบเครือข่ำย มีดังนี้ 1. เครือข่ายส่วนบุคคล (Personal Area Network: PAN) เป็นเครือข่ำยที่มีกำรเชื่อมต่อ ระหว่ำงอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล มีอัตรำควำมเร็วกำรรับส่งข้อมูลสูงสุด 480 Mbps เช่น กำร เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นกำรเชื่อมต่อที่อยู่ในระยะใกล้ สำมำรถเชื่อมต่อ โดยใช้ Bluetooth ได้ พีซี โน้ตบุ๊ก ปรินเตอร์ ปรินเตอร์ พีดีเอ ภาพที่ 3.22 ผังเครือข่ำยส่วนบุคคล ปรินเตอร์ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ HUB หรือ Router ภาพที่ 3.23 ผังเครือข่ำยท้องถิ่น 2. เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network: LAN) เป็นกำรเชื่อมต่อเครือข่ำยระยะใกล้ เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่ำง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เช่น กำรเชื่อมโยง เครือข่ำยภำยในบ้ำน ภำยในส�ำนักงำน และอำคำรต่ำง ๆ โดยใช้สำยสัญญำณเป็นสื่อกลำงกำร สื่อสำรข้อมูล 78 Bluetooth ได้ 1 ขั้นสอน สํารวจค้นหา นักเรียนศึกษาเนื้อหาเกี่ยวกับระบบเครือขาย จากหนังสือเรียน นักเรียนควรรู 1 Bluetooth เปนระบบเครือขายสําหรับเชื่อมตออุปกรณระยะใกลที่ไดรับ ความนิยมมากในปจจุบัน ตัวอยางในชีวิตประจําวันจะเห็นไดจากอุปกรณไรสาย ที่ใชเชื่อมตอสมารตโฟน เชน หูฟง ลําโพง ไมโครโฟนไรสาย สมอลทอลก เมาส กานควบคุม (Joystick) แปนพิมพ จะมีรุนที่เปนระบบ Bluetooth ทั้งหมด เครือขายประเภทใดที่ไมจําเปนตองใชเราเตอรหรือฮับเปนอุปกรณ ในการกระจายสัญญาณ 1. เครือขายทองถิ่น 2. เครือขายสวนบุคคล 3. เครือขายระดับเมือง 4. เครือขายระดับประเทศ (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ในปจจุบันจะมีการติดตั้งอุปกรณในการรับสงสัญญาณเครือขาย สวนบุคคลไวในเครื่องคอมพิวเตอรหรือสมารตโฟนอยูแลว ทําให สามารถทําการรับสงขอมูลระหวางอุปกรณสวนบุคคลไดทันที ดังนั้น ตอบขอ 2.) อธิบายความรู้ 1. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมาอธิบายประเภท ของระบบเครือขาย ตามที่นักเรียนไดศึกษา จากหนังสือเรียน นํา สอน สรุป ประเมิน T88
ขอสอบเนน การคิด 3. เครือข่ายระดับเมือง (Metropolitan Area Network: MAN) เป็นกำรเชื่อมต ่อ เครือข่ำยขนำดกลำง และเป็นกำรรวมเครือข่ำยท้องถิ่น (LAN) หลำยเครือข่ำยเข้ำด้วยกัน ใช้ใน กำรเชื่อมต่อระหว่ำงองค์กรที่อยู่ภำยในเมืองหรือในจังหวัดเดียวกัน 4. เครือข่ายระดับประเทศ (Wide Area Network: WAN) เป็นกำรเชื่อมต่อเครือข่ำย บริเวณกว้ำง หรือเชื่อมต่อในพื้นที่ที่อยู่ห่ำงไกลกัน สำมำรถติดต่อสื่อสำรข้ำมทวีปหรือทั่วโลกได้ โดยในกำรเชื่อมต่อนั้นจะต้องต่อเข้ำกับระบบสื่อสำรขององค์กำรโทรศัพท์ WAN LAN LAN LAN LAN LAN LAN LAN LAN LAN MAN ภาพที่ 3.24 ผังเครือข่ำยระดับเมือง ภำพที่ 3.25 ผังเครือข่ำยระดับเมือง in Real Life Com Sci Com Sci o_O ระบบเครือข่ายในสถานศึกษา ในสถำนศึกษำต ่ำง ๆ ที่มี อำคำรเรียนหลำยอำคำรส่วน ใหญ่มักจะมีระบบ MAN ไว้ คอยเชื่อมต่อกับระบบ LAN ของแต่ละอำคำรเข้ำด้วยกัน ภาพที่ 3.25 ผังเครือข่ำยระดับประเทศ 79 ขอสอบเนน การคิด แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานกลุ่ม ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ ชื่อ–สกุล ของนักเรียน การแสดง ความคิดเห็น การยอมรับ ฟังคนอื่น การท างาน ตามที่ได้รับ มอบหมาย ความมีน้ าใจ การมี ส่วนร่วมใน การปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 15 คะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............./.................../............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบสังเกตพฤติกรรมการท างานรายบุคคล ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การท างานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ าใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง: ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความคิดสร้างสรรค์ 3 วิธีการน าเสนอผลงาน 4 การน าไปใช้ประโยชน์ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............/................./................... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ครูอธิบายเพื่อเชื่อมโยงความรูสูชีวิตประจําวัน (Com Sci in Real Life) เรื่อง ระบบเครือขาย ในสถานศึกษา จากหนังสือเรียน ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ประเภทของระบบ เครือขาย 2. ครูสุมนักเรียน 2-3 คน ออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันภายใน หองเรียน ขั้นสรุป ตรวจสอบผล 1. ครูประเมินผลนักเรียนจากการสังเกตการตอบ คําถาม การนําเสนอหนาชั้นเรียน ความสนใจ ในการเรียน และการทําใบงาน 2. ครูตรวจสอบความถูกตองของผลการทําใบงาน 3. นักเรียนและครูรวมกันสรุปเกี่ยวกับเทคโนโลยี การสื่อสาร ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล ตารางการวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑการประเมิน ตรวจใบงาน ใบงาน รอยละ 60 ผานเกณฑ ประเมิน การนําเสนอ ผลงาน แบบประเมิน การนําเสนอ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางาน รายบุคคล แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ สังเกตพฤติกรรม การทํางานกลุม แบบสังเกต พฤติกรรม ระดับคุณภาพ 2 ผานเกณฑ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูสามารถสังเกตการนําเสนอผลงาน พฤติกรรมการทํางานรายบุคคล และการทํางานกลุมของนักเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินผลจาก แบบประเมินการนําเสนอผลงาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล และแบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุมที่แนบมาทายแผนการจัดการเรียนรู ที่ 4 หนวยการเรียนรูที่ 3 ในชั่วโมงเรียนวิชาวิทยาการคํานวณ ตนทําการสั่งพิมพเอกสาร จากไฟลในเครื่องสมารตโฟนของตนเองไปที่เครื่องพิมพแบบไรสาย โดยใชสัญญาณ WiFi จากโมเด็มเราเตอร ซึ่งเปนอุปกรณกระจาย สัญญาณที่หองคอมพิวเตอรของโรงเรียน ถือเปนการใชงาน เครือขายประเภทใด 1. เครือขายทองถิ่น (LAN) 2. เครือขายสวนบุคคล (PAN) 3. เครือขายระดับเมือง (MAN) 4. เครือขายระดับประเทศ (WAN) (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การใชสัญญาณ WiFi จากโมเด็มเราเตอรที่หองคอมพิวเตอรของ โรงเรียน ถือเปนการใชงานเครือขายประเภทเครือขายทองถิ่น (LAN) ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T89
ขอสอบเนนการคิด 4 การประยุกต์ ใช้งานและ การแก้ปัญหาเบื้องต้น ในปัจจุบันเทคโนโลยีทำงด้ำนระบบคอมพิวเตอร์ มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ว มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้น ตลอดเวลำและหลำกหลำย โดยเฉพำะทำงด้ำนฮำร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ หำกเพียงแต่ผู้ใช้งำนจะต้องรู้จักกำรเลือกน�ำไปใช้งำนและรู้จักกำรแก้ไข ปัญหำ ก็จะถือเป็นกำรใช้งำนเทคโนโลยีอย่ำงคุ้มค่ำ 4.1 การใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ กำรน�ำระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้งำนในชีวิตประจ�ำวัน ทั้งในกำรท�ำงำน หรือใช้งำนส่วนตัว ต้องมีกำรพิจำรณำควำมต้องกำรของผู้ใช้ ซึ่งสำมำรถแบ่งประเภทของคอมพิวเตอร์ให้เหมำะสม กับกำรใช้งำน ออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. Super Computer 2. Mainframe Computer 3. Personal Computer 4. Workstation Computer 5. Wearable Computer เมื่อเรามีเครื่องมือหรือ อุปกรณ แตหากเราไมนํา ไปใชงาน เครื่องมือหรือ อุปกรณนั้นก็จะกลายเปน ขยะ และถูกทิ้งไป ภาพที่ 3.26 Super Computer Super Computer • ลักษณะการท�างาน ของ Super Computer เป็นกำรประมวลผลข้อมูลขนำดใหญ่ที่ต้องกำร ควำมละเอียดสูงและต้องกำรควำมรวดเร็ว ท�ำให้รูปร่ำงมีขนำดใหญ่ มีน�้ำหนักเยอะ เคลื่อนย้ำย ได้ยำก และมีรำคำสูงมำก • การใช้งาน น�ำไป ใช้งำนที่ต้องกำรควำมละเอียด สูงและประมวลผลข้อมูลที่มี ขนำดใหญ่โดยใช้เวลำให้น้อย ลงเป็นหลัก เช่น ด้ำนกำรวิจัย ด้ำนอวกำศ ด้ำนกำรแพทย์ กำรวิเครำะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน กำรพยำกรณ์ หรือกำรเตือน ภัยต่ำง ๆ 80 เกร็ดแนะครู ครูอาจจะหาขอมูล Super Computer ที่มีอยูในประเทศไทยมานําเสนอ เพื่อใหนักเรียนเห็นภาพความสัมพันธของการใชงาน Super Computer ในหนวยงาน หรือองคกรตางๆ ไดชัดเจนขึ้น และอาจหาเกร็ดความรูเล็กๆ นอยๆ เชน ขอมูล 10 อันดับ Super Computer ที่เร็วที่สุดในโลกมานําเสนอเปนความรูเพิ่มเติม ใหกับนักเรียนดวย ขั้นนํา กระตุ้นความสนใจ 1. ครูทบทวนความรูเดิมจากชั่วโมงที่ผานมา 2. นักเรียนแบงกลุม (กลุมเดิม) และใหคนหาวา คอมพิวเตอรแบงออกเปนกี่ประเภท และ แตละประเภทเหมาะกับการทํางานประเภทใด จากนั้นใหแตละกลุมออกมานําเสนอหนาชั้น เรียน พรอมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับเพื่อนรวมชั้น ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. นักเรียนศึกษาประเภทของคอมพิวเตอรที่ แบงออกเปน 5 ประเภท คือ 1) Super Computer 2) Mainframe Computer 3) Personal Computer 4) Workstation Computer 5) Wearable Computer จากหนังสือเรียน หรือสืบคนเพิ่มเติมจาก อินเทอรเน็ตที่เครื่องคอมพิวเตอรของตนเอง โดยใหนักเรียนพิจารณาถึงลักษณะการทํางาน และการใชงาน นักเรียนคิดวา Super Computer เหมาะสมที่จะนําไปใชใน หนวยงานใดตอไปนี้มากที่สุด 1. ธนาคาร 2. โรงเรียน 3. กรมตํารวจ 4. กรมอุตุนิยมวิทยา (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา Super Computer เหมาะกับการประมวลผลขอมูลจํานวนมากที่มี เวลาจํากัด เชน การพยากรณอากาศ ภัยพิบัติ ขอ 1. ขอ 3. เหมาะกับ Mainframe Computer มากกวา ขอ 2. ไมมีความ จําเปน ดังนั้น ตอบขอ 4.) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T90
ขอสอบเนน การคิด ภาพที่ 3.27 Mainframe Computer ภาพที่ 3.28 Personal Computer (PC) Mainframe Computer • ลักษณะการท�างาน ของ Mainframe Computer มี ควำมสำมำรถสูงในกำรรองรับ ข้อมูลจึงเป็นคอมพิวเตอร์ที่ มีขนำดใหญ่และต้องตั้งอยู่ใน ห้องที่มีกำรควบคุมอุณหภูมิ และมีมำตรกำรป้องกันที่ดี • การใช้งาน ถูกน�ำ ไปใช้ในองค์กรหรือหน่วยงำน ที่มีขนำดใหญ่ เช่น ธนำคำร โรงงำนอุตสำหกรรมขนำดใหญ่ บริษัทประกันภัย Personal Computer (PC) • ลักษณะการท�างาน ของ PC เป็นกำรใช้งำนส่วนบุคคล เหมำะส�ำหรับกำรประมวลผล ข้อมูลขนำดปำนกลำงหรือ ขนำดเล็ก มักถูกน�ำมำเป็น เครื่องประจ�ำตัวของผู้ใช้งำน เช่น ที่บ้ำน ที่ท�ำงำน • การใช้งาน เป็นกำร ใช้งำนได้หลำกหลำย เช ่น กำรพิมพ์งำน กำรเข้ำเว็บไซต์ เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้ ต้องมีผู้ใช้เพื่อควบคุมกำร ท�ำงำน ไม่สำมำรถเปิดใช้งำน ได้ตลอด 24 ชั่วโมงเพรำะ เครื่องจะร้อนและท�ำให้อุปกรณ์ บำงส่วนเสียหำย 81 ขอสอบเนน การคิด ขั้นสอน สํารวจค้นหา 2. นักเรียนศึกษาลักษณะการทํางานและการใชงาน Mainframe Computer กับ Personal Computer จากหนังสือเรียน การประมวลผลในขอใดเหมาะกับเครื่อง Mainframe Computer 1. การสํารวจแหลงนํ้ามัน 2. พยากรณการเกิดแผนดินไหว 3. การเชื่อมโยงการใชงานกับระบบตูเอทีเอ็ม 4. การคาดการณเกี่ยวกับการแพรกระจายของสิ่งแวดลอม เปนพิษ (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา ขอ 1. ขอ 2. และขอ 4. เปนการคํานวณที่ตองการความแมนยําสูง การประมวลผลขอมูลจํานวนมากในเวลาที่จํากัด การพยากรณ เหมาะกับเครื่อง Super Computer สวนการเชื่อมโยงกับระบบที่มี เครื่องลูกและมีการประมวลผลจากผูใชหลายคนพรอมกัน เชน ตูเอทีเอ็ม จะมีความเหมาะสมกับเครื่อง Mainframe Computer มากกวา ดังนั้น ตอบขอ 3.) ความรูเสริม ในปจจุบันมีการใชงานเครื่อง Mainframe Computer ลดลง เนื่องจาก หลายปจจัย เชน ราคาแพง ใชงานยาก แตสาเหตุที่สําคัญ คือ เครื่องคอมพิวเตอร ประเภทที่เล็กกวาถูกพัฒนาใหมีประสิทธิภาพในการประมวลผลมากขึ้น จนเทียบเทาเครื่อง Mainframe Computer ในราคาที่ถูกกวา อธิบายความรู้ 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใชงานระบบ คอมพิวเตอรวา นอกจากจะมีการแบงประเภท ของคอมพิวเตอรออกเปน 5 ประเภทแลว ยังสามารถแบงประเภทคอมพิวเตอรตาม วัตถุประสงคของการใชงานไดอีก คือ 1) คอมพิวเตอรเพื่องานเฉพาะกิจ (Special Purpose Computer) หมายถึง เครื่อง ประมวลผลขอมูลที่ถูกออกแบบตัวเครื่อง และโปรแกรมควบคุมใหทํางานอยางใด อยางหนึ่งเปนการเฉพาะ โดยทั่วไปมักใช ในงานควบคุมอุตสาหกรรมที่เนนการ ประมวลผลแบบรวดเร็ว เชน เครื่องคอม พิวเตอรควบคุมสัญญาณไฟจราจร คอม พิวเตอรควบคุมลิฟต หรือคอมพิวเตอร ควบคุมระบบอัตโนมัติในรถยนต 2) คอมพิวเตอรเพื่องานอเนกประสงค (General Purpose Computer) หมายถึง เครื่อง ประมวลผลขอมูลที่มีความยืดหยุนใน การทํางาน โดยไดรับการออกแบบให สามารถประยุกตใชในงานประเภทตางๆ ได โดยระบบจะทํางานตามคําสั่งในโปรแกรม ที่เขียนขึ้นมา เชน ใชเครื่องนี้ในงาน ประมวลผลคะแนนนักเรียนเกี่ยวกับระบบ การตัดเกรด หรือสามารถใชในการคํานวณ เงินเดือนได นํา สอน สรุป ประเมิน T91
ขอสอบเนนการคิด ภาพที่ 3.29 Workstation Computer ภาพที่ 3.30 Wearable Computer Workstation Computer • ลักษณะการท�างาน ของ Workstation Computer เหมำะกับกำรท�ำงำนเฉพำะทำง จึงท�ำให้กำรประมวลผลและ กำรแสดงผลได้ดี ซึ่งถือว ่ำ มีประสิทธิภำพสูงกว่ำเครื่อง PC ทั่วไป • การใช้งาน สำมำรถ เปิดใช้งำนได้ตลอด 24 ชั่วโมง เน้นทำงสำยงำนที่เฉพำะทำง โดยส่วนใหญ่ จะเน้นไปทำง กำรประมวลผลด้ำนกรำฟิก เช ่น ด้ำนสถำปัตยกรรม ด้ำนวิศวกรรม นักเล่นเกมมือ อำชีพ Wearable Computer • ลักษณะการท�างาน ของ Wearable Computer เป็นกำรท�ำงำนที่เกี่ยวข้องกับตัวจับกำร เคลื่อนไหว เซ็นเซอร์ กำรหำ ต�ำแหน่ง เป็นกำรประมวลผล ที่ไม ่ต้องกำรควำมซับซ้อน มำก แต่สำมำรถบันทึกข้อมูล หรือแสดงข้อมูลได้ • การใช้งาน เน้น น�ำไปใช้งำนในชีวิตประจ�ำวัน หรือประจ�ำตัวบุคคล เช ่น นำฬิกำดิจิทัล สมำร์ตโฟน แท็บเล็ต จีพีเอส แว่นวีอำร์ 82 ความรูเสริม ในปจจุบัน Wearable Computer ถูกออกแบบใหสามารถติดตั้งกับสวนตางๆ ของรางกายมนุษยเพื่อความสะดวกในการใชงาน เชน Wearable Computer ที่ มีลักษณะเปนเหมือนนาฬกา สายรัดขอมือ แวนตา โดยที่ Wearable Computer สามารถทํางานแบบแยกเดี่ยว (Stand alone) หรือทํางานรวมกับอุปกรณอื่น เชน สมารตโฟน แท็บเล็ต เพื่อประมวลผลขอมูล เชน ระยะทางในการวิ่ง อัตราการ เตนของหัวใจ ตําแหนงพิกัดบนโลก ออกมาเปนคาสถิติหรือนําไปใชประโยชน อยางอื่นไดดวย นักเรียนคิดวา คอมพิวเตอรประเภทใดเหมาะสําหรับใชเลนเกม เปนอาชีพมากที่สุด เพราะอะไร (วิเคราะหคําตอบ Workstation Computer มีประสิทธิภาพสูงกวา เครื่อง PC ทั้งในดานความเร็วในการประมวลผล และการแสดงผล กราฟก ซึ่งคุณสมบัติดังกลาวมีความจําเปนสําหรับการเลนเกม) ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนทําใบงาน เรื่อง ประเภทของ คอมพิวเตอร 2. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลวา ในปจจุบัน ประเทศไทยมีการนําคอมพิวเตอรมาใชงาน ครบทั้ง 5 ประเภทหรือไม 3. ครูสุมนักเรียน 3-4 คน ออกมานําเสนอ หนาชั้นเรียน พรอมทั้งอภิปรายรวมกันใน ชั้นเรียน ขั้นสอน อธิบายความรู้ 2. ครูอธิบายเกี่ยวกับ Wearable Computer วา Wearable Computer เปนรูปแบบใหมของ คอมพิวเตอรที่ถูกพัฒนาขึ้นลาสุด มีขนาดเล็ก และถูกออกแบบใหมีความสะดวกในการพกพา และใชงานงาย โดยในปจจุบันจะมีการเนนการ ใชงาน Wearable Computer ในลักษณะที่ เกี่ยวของกับสุขภาพและการออกกําลังกาย นํา สอน สรุป ประเมิน T92
ขอสอบเนน การคิด 4.2 ปัญหาและการแก้ไขการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์ 1. ปัญหาการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีโอกำส ที่จะเกิดปัญหำขึ้นเมื่อใดก็ได้ โดยปัญหำกำร ใช้งำนระบบคอมพิวเตอร์ สำมำรถแบ่งออกได้ ดังนี้ 1) ปัญหาทางด้านฮาร์ดแวร์ คือ ปัญหำที่เกิดขึ้นจำกตัวอุปกรณ์ช�ำรุด หรือท�ำงำน ผิดปกติ โดยบำงครั้งปัญหำอำจเกิดขึ้นจำกตัว ผู้ใช้เอง เช่น กำรปรับแต่งอุปกรณ์ในกำรท�ำงำน เกินขีดจ�ำกัด อุปกรณ์เสื่อมคุณภำพ หรือ อำจจะเกิดจำกเหตุกำรณ์ที่เรำไม่คำดคิด เช่น ไฟฟ้ำตก ไฟฟ้ำช็อต 2) ปัญหาทางด้านซอฟต์แวร์ คือ ปัญหำที่เกิดขึ้นจำกตัวโปรแกรมท�ำงำนผิดปกติ ซึ่งอำจจะเกิดปัญหำได้ทั้งตัวระบบปฏิบัติกำร และโปรแกรมท�ำงำนทั่วไป เช่น ตัวซอฟต์แวร์อำจ จะไม่สมบูรณ์ซอฟต์แวร์ที่ใช้งำนไม่สำมำรถท�ำงำนได้บนระบบปฏิบัติกำรที่ใช้อยู่หรือซอฟต์แวร์ ถูกไวรัสเข้ำไปท�ำลำย 3) ปัญหาทางด้านผู้ใช้งาน คือ ปัญหำที่เกิดจำกควำมรู้เท่ำไม่ถึงกำรณ์ของผู้ใช้ เช่น กำรปรับแต่งอุปกรณ์ กำรลองผิดลองถูกในกำรใช้งำนซอฟต์แวร์ต่ำง ๆ หรือกำรเผลอไปลบไฟล์ ต่ำง ๆ ของระบบหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งำนจนท�ำให้ใช้งำนซอฟต์แวร์นั้นไม่ได้ 2. การแก้ไขปัญหาการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์เบื้องต้น เครื่องคอมพิวเตอร์มีโอกำสที่ จะเกิดปัญหำขึ้นกับฮำร์ดแวร์ตลอดช่วงกำรใช้งำน รวมถึงซอฟต์แวร์ทุกตัวที่ใช้งำนด้วย ซึ่งเรำ สำมำรถแบ่งปัญหำกำรใช้งำนระบบคอมพิวเตอร์ได้ ดังนี้ 1) ปัญหาทางด้านฮาร์ดแวร์คือปัญหำที่มักจะเกิดขึ้นจำกตัวอุปกรณ์ช�ำรุด หรือท�ำงำน ผิดปกติเช่น กำรลืมเสียบสำย สำยหลวม ซึ่งอำจจะช�ำรุดมำตั้งแต่ผู้ผลิตแล้วก็เป็นได้ ดังนั้น จึงต้องมีกำรรับประกันสินค้ำทุกชิ้นตอนซื้อ ซึ่งในบำงครั้งอำจจะเกิดขึ้นจำกตัวผู้ใช้เองก็เป็นได้ เช่น เสียบอุปกรณ์ผิด ปรับแต่งเกินขีดจ�ำกัดของอุปกรณ์ หรือเกิดจำกเหตุกำรณ์ไม่คำดคิด เช่น ไฟตก ไฟดับ 2) ปัญหาทางด้านซอฟต์แวร์คือปัญหำที่มักจะเกิดขึ้นจำกตัวซอฟต์แวร์เองท�ำงำนผิด ปกติ เช่น ซอฟต์แวร์ที่ใช้งำนไม่สำมำรถท�ำงำนได้บนระบบปฏิบัติกำรที่ใช้อยู่ ซอฟต์แวร์ถูกไวรัส เข้ำไปท�ำลำย เกิดจำกผู้ใช้ไปลบข้อมูลในที่เก็บข้อมูลซอฟต์แวร์เอง ภาพที่ 3.31 ปัญหำทำงด้ำนซอฟต์แวร์และด้ำนฮำร์ดแวร์ 83 ขอสอบเนน การคิด ขั้นสอน สํารวจค้นหา 1. ครูทบทวนเนื้อหาการเรียนเมื่อชั่วโมงที่แลว เกี่ยวกับการใชงานระบบคอมพิวเตอร 2. ครูถามกระตุนความคิดของนักเรียนวา ถา เครื่องคอมพิวเตอรของนักเรียนเสียหรือ มีปญหา นักเรียนสามารถแกไขเองไดหรือไม (แนวตอบ นักเรียนแสดงความคิดเห็นโดยตอบ ตามประสบการณของตนเอง) 3. นักเรียนศึกษาเนื้อหา เรื่อง ปญหาและการแกไข การใชงานระบบคอมพิวเตอร จากหนังสือเรียน เติ้ลเผลอทําการติดตั้งโปรแกรมสําหรับระบบปฏิบัติการแบบ 32 บิต ลงบนระบบปฏิบัติการแบบ 64 บิต ผลปรากฏวา โปรแกรม ดังกลาวใชงานไมได เหตุการณดังกลาวจัดเปนปญหาดานใด 1. ปญหาดานซอฟตแวร 2. ปญหาดานฮารดแวรและผูใชงาน 3. ปญหาดานซอฟตแวรและผูใชงาน 4. ปญหาดานฮารดแวรและซอฟตแวร (วิเคราะหคําตอบ จากตัวเลือกที่กําหนดให วิเคราะหไดวา การที่ซอฟตแวรไมสามารถใชงานบนระบบปฏิบัติการได จัดเปน ปญหาทางดานซอฟตแวร การลองผิดลองถูกโดยรูเทาไมถึงการณ จัดเปนปญหาดานผูใชงาน ดังนั้น ตอบขอ 3.) ความรูเสริม ในปจจุบันระบบปฏิบัติการวินโดวสบนเครื่องคอมพิวเตอรถูกพัฒนาเปน 2 ระบบ คือ 32 บิต (แบบเกา) และ 64 บิต (แบบใหม) ซึ่งระบบ 64 บิต จะมี ประสิทธิภาพมากกวา แตก็ตองใชงานบนฮารดแวรและซอฟตแวรที่รองรับ การใชงานในระบบดังกลาวดวย จึงจะทํางานไดเต็มประสิทธิภาพ เชน CPU ตองเปนรุนที่รองรับการทํางานระบบ 64 บิต ตองมีหนวยความจําการเขาถึง แบบสุม (RAM) อยางนอย 4 Gb และควรใชซอฟตแวรสําหรับระบบ 64 บิตดวย หากนําซอฟตแวรสําหรับระบบ 32 บิต มาใชอาจเกิดปญหาใชงานซอฟตแวร ดังกลาวไมได ใชงานไดไมสมบูรณ หรืออาจติดตั้งไมสําเร็จก็ได นํา สอน สรุป ประเมิน T93