The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chuthidechsuccess, 2024-05-12 01:16:48

จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ.

จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ.

Keywords: จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ.

จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. โดย มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์


จัดทำ�โดย : มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ที่ปรึกษา : พรชัย จุฑามาศ : ดร.ปิยรัษฎ์ ปริญญาพงษ์ เจริญทรัพย์ : ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ ธำ�รงธัญวงศ์ : ศาสตราจารย์ ดร.ธวัชชัย ศุภดิษฐ์ : รองศาสตราจารย์ ดร.สุวิทย์ วุฒิสุทธิเมธาวี บรรณาธิการ : รองศาสตราจารย์ ดร.รุ่งรวี จิตภักดี กองบรรณาธิการ : รวมพร คงจันทร์ : สายฝน จิตนุพงศ์ ศิลปกรรมและรูปเล่ม : ศักดิ์ดา ใบมิเด็น พิมพ์ครั้งที่ : 1 จำ�นวนที่พิมพ์ : เล่ม ปีที่พิมพ์ : 2566 พิมพ์ที่ : บริษัท...จำ�กัด ISBN : 000-000-0000-00-0 จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ.


บทบรรณาธิการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ได้เข้าร่วมสนองพระราชดำ�ริโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจาก พระราชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) เพื่อสืบสานพระราชปณิธาน ในการอนุรักษ์ทรัพยากรของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมหาวิทยาลัยได้สนองพระราชดำ�ริฯ ในการสืบสานพระปณิธานในงานอนุรักษ์ ทรัพยากรของประเทศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน มีฐานทรัพยากรท้องถิ่น ที่โดดเด่นทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพและมรดกภูมิปัญญา ซึ่งมีพื้นที่ติดเทือกเขาหลวงและทะเลฝั่งอ่าวไทย เป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพ อีกทั้ง เป็นพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางอารยธรรมโบราณของภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรศรีวิชัย และอาณาจักร ตามพรลิงค์ และศรีธรรมราชมหานคร เป็นแหล่งศูนย์รวมด้านมรดกศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญา ที่สำ�คัญของไทย จึงถือเป็นหน่วยงานที่มีศักยภาพในการสานต่อโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่อง มาจากพระราชดำ�ริฯ (อพ.สธ.) ได้เป็นอย่างดี โดยการนำ�องค์ความรู้ทางวิชาการไปเผยแพร่และต่อยอด ทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนนำ�ไปใช้ประโยชน์อย่างรู้คุณค่า และยั่งยืนจากชุมชนไปสู่สังคม ซึ่งจะนำ�ไปสู่ การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนบนพื้นฐานของการมีจิตสำ�นึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรที่มีอยู่ ในประเทศไทยต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นในการสืบสาน และต่อยอดการอนุรักษ์ทรัพยากรตามแนวทางโครงการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำ�ริฯ (อพ.สธ.) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมหาวิทยาลัย ในเครือข่ายได้ดำ�เนินการสนับสนุนคณาจารย์ทำ�การวิจัยบูรณาการองค์ความรู้จากสหวิชาการในการศึกษา พืชจาก ด้วยการนำ�แนวทางการดำ�เนินงานของ อพ.สธ. ภายใต้ 3 กรอบ 8 กิจกรรมที่กำ�หนดไว้ จนเกิด เป็นการพัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้พืชจากแบบครบวงจร สามารถกระตุ้นให้ชุมชนมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับระบบนิเวศป่าจาก นำ�พืชจากไปใช้ประโยชน์และมีการอนุรักษ์ ปลูกรักษาเพื่อความยั่งยืน ของป่าจากในพื้นที่ลุ่มนา้ํ ปากพนัง เกิดเป็นแหล่งทรัพยากรที่หล่อเลี้ยงชุมชน จนถือได้ว่า “จาก” เป็นพืช เศรษฐกิจคู่ชุมชนในพื้นที่ลุ่มนา้ํ ปากพนัง และมีศักยภาพในการนำ�ไปใช้ประโยชน์เชิงอุตสาหกรรมอาหาร และสินค้าหัตถกรรม ตลอดจนการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน ในพื้นที่ลุ่มนํ้าปากพนังได้เป็นอย่างดี คณะกรรมการจัดทำ�หนังสือพืชจากเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าพืชจากจะเป็นพืชอนุรักษ์ตามแนวทางที่ อพ.สธ. มุ่งหวังไว้ และหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านและผู้สนใจ หากมีข้อบกพร่องประการใด ทางคณะกรรมการฯ ยินดีน้อมรับคำ�ติชม เพื่อจะได้นำ�ไปใช้ในการปรับปรุงสำ�หรับการจัดพิมพ์ครั้งต่อไป รองศาสตราจารย์ ดร.รุ่งรวี จิตภักดี บรรณาธิการ


บทนำ� ......................................................................................................................................................................... แนวท�งก�รดำ�เนินง�นอนุรักษ์และพัฒน�ก�รใช้ประโยชน์จ�กพืชอนุรักษ์พืชจ�ก อพ.สธ. .............. 1.1. นิเวศวิทย� พืชจ�ก (นพรัตน์ บำ�รุงรักษ์) ........................................................................................................................................ 1.2 ก�ยวิภ�คของต้นจ�ก (รวมพร คงจันทร์) ........................................................................................................................................... 1.3 ก�รระบุอัตลักษณ์และก�รจำ�แนกคว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมของพืชจ�ก (พจม�ลย์ สุรนิลพงศ์) .................................................................................................................................... 1.4 เอกลักษณ์เชิงสุขภ�พและคุณภ�พของผลิตภัณฑ์นำ้�ต�ลจ�ก (จุลีกรณ์ นวนมุสิก และคณะ) ..................................................................................................................... 1.5 ก�รศึกษ�ทดลองปลูกป่�จ�กเพื่อฟนฟูนิเวศลุ่มนำ้�ป�กพนัง (โครงก�รพัฒน�พื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง อันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริ จังหวัดนครศรีธรรมร�ช ส่วนประส�นโครงก�รพระร�ชดำ�ริและกิจก�รพิเศษ) ........................................................................... 2.1. ระบบส�รสนเทศภูมิศ�สตร์เพื่อก�รจัดก�รพื้นที่ไร่จ�กในลุ่มนำ้�ป�กพนัง (อรอนงค์ เฉียบแหลม และอุทัย เดชยศดี) ............................................................................................... 2.2 ก�รส่งเสริมวัฒนธรรม ภูมิปัญญ� ก�รอนุรักษ์ และก�รประเมินมูลค่�เพิ่มของอ�ห�รพื้นถิ่น จ�กผลิตภัณฑ์ต้นจ�ก (ปวิธ ต้นสกุล และคณะ) ..................................................................................... 3.1. ตำ�รับสร้�งสรรค์จ�กผลิตภัณฑ์แปรรูปทรัพย�กรป่�จ�ก (ปวิธ ต้นสกุล และคณะ) ............................................................................................................................ 3.2. ผงนำ้�ส้มจ�กและนำ้�ส้มจ�กเม็ด (วิยด� กว�นเหียนและคณะ) ..................................................................................................................... 3.3. เครื่องดื่มนำ้�ส้มส�ยชูหมักจ�กนำ้�ต�ลจ�ก (วิไลวรรณ ไชยศร และคณะ) .................................................................................................................... 3.4 “นำ้�ต�ลจ�ก” นำ้�ต�ลจ�กพืชท้องถิ่น สู่ก�รใช้ประโยชน์เป็นนำ้�ต�ลท�งเลือกเพื่อสุขภ�พ (ผู้ช่วยศ�สตร�จ�รย์ ดร.จุรีภรณ์ นวนมุสิก และคณะ) ...................................................................... 3.5 ฤทธิ์ท�งชีวภ�พของ “นำ้�ส้มส�ยชูหมักจ�กนำ้�ต�ลจ�ก” เพื่อผลิตเป็นเวชสำ�อ�ง (วิยด� กว�นเหียน และคณะ) ................................................................................................................... 3.6 ผลิตภัณฑ์ชีวภ�พจ�กองค์ประกอบของต้นจ�กที่เหลือทิ้งสู่ก�รจัดจำ�หน่�ยเชิงพ�ณิชย์ (ปรัชญ� กฤษณะพันธ์ และคณะ) ............................................................................................................. พืชจาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 1. นิเวศวิทยาของพืชจาก 2. การสนับสนุนการอนุรักษ์ พืชจาก 3. การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์พันธุกรรม พืชจาก จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. สารบัญ 22 6 14 22 26 31 37 40 44 52 64 65 65 66 67 76 44 64


บรรณ�นุกรม ........................................................................................................................................................... 4.1 ก�รประเมินมูลค่�เพิ่มและคว�มคุ้มค่�ในก�รแปรรูปผลิตภัณฑ์จ�กพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช (วิล�วัณย์ ดึงไตรย์ภพ) .................................................................................... 4.2 ก�รพัฒน�ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนำ้�ส้มส�ยชูหมักจ�กนำ้�ต�ลจ�ก (วิไลวรรณ ไชยศร และสิริกุล เพชรหวล) ................................................................................................ 4.3 ก�รมีส่วนร่วมในก�รสร้�งจิตสำ�นึกอนุรักษ์ภูมิปัญญ�พืชจ�ก เพื่อส่งเสริมศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศ ป่�จ�กครบวงจร (รุ่งรวี จิตภักดี) ................................................................................................................ 4.4 ช่องท�งตล�ดสีเขียวเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์พืชจ�กในพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช (บุณฑรี จันทร์กลับ และอรอนงค์ เฉียบแหลม) ...................................................................................... 4.5 ก�รพัฒน�ศักยภ�พชุมชน และเครือข่�ย ภูมิปัญญ�ต้นจ�กเพื่อสร้�งผลิตภัณฑ์สร้�งสรรค์ สู่ตล�ดเชิงพ�ณิชย์ (ผศ.ดร.รุ่งรวี จิตภักดี และ ดร.สุขุม�ล กลำ่�แสงใส) ........................................ 3.7 ก�รพัฒน�ผลิตภัณฑ์ จ�ก “ต้นจ�ก” สู่ก�รสร้�งอัตลักษณ์สินค้�ของที่ระลึกชุมชนขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช (รุ่งรวี จิตภักดี และปรัชญ� กฤษณะพันธ์ .............................................................................................. 3.8 ก�รต่อยอดภูมิปัญญ�จ�กก�รออกแบบผลิตภัณฑ์สร้�งสรรค์เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์อ�ห�ร และอ�ห�รเสริมจ�กต้นจ�ก (ปรัชญ� กฤษณะพันธ์ และคณะ) ...................................................... 3.9 ก�รใช้ประโยชน์ของผลจ�กในผลิตภัณฑ์เยลลี่พร้อมดื่ม (ผ.ศ.สิริโสภ� จุนเด็น และคณะ) ............................................................................................................... 3.10 ก�รสร้�งสรรค์เทคนิคก�รออกแบบลวดล�ยลงบนผืนผ้�มัดย้อมจ�กผลิตภัณฑ์ต้นจ�ก เพื่อ พัฒน�เป็นรูปแบบคอลเลคชั่นผลิตภัณฑ์ผ้�พื้นถิ่นลุ่มนำ้�ป�กพนัง (สุวิต� แก้วอ�รีล�ภ) .................................................................................................................................... 4. งานวิจัยเพื่อชุมชนท้องถิ่น และสร้างประโยชน์แท้แก่มหาชน 79 84 85 91 106 118 119 126 133 136 106


เป็นพืชท้องถิ่นดั้งเดิมของชุมชนลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช ที่ส�ม�รถสร้�งร�ยได้เลี้ยงครอบครัว ในอดีตชุมชนได้ใช้ประโยชน์ต้นจ�ก เป็นปัจจัยพื้นฐ�นที่สำ�คัญในก�รดำ�รงชีพ ทั้งก�รจับสัตว์นำ้�ในบริเวณ ป่�จ�ก ก�รทำ�นำ้�ต�ล ใช้ทำ�จักส�นเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ต่�ง ๆ รวมถึงก�รใช้ “จ�ก” เป็นอ�ห�ร ด้วยนำ้�พระทัยของสมเด็จพระเจ้�อยู่หัว พระองค์ท่�นทรงมีพระดำ�ริพัฒน�พื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง จึงได้มี โครงก�รพระร�ชดำ�ริสร้�งเขื่อนอุทกวิภ�คประสิทธิ์ เพื่อแยกนำ้�จืดและนำ้�เค็ม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้ทุกอ�ชีพส�ม�รถอยู่ร่วมกันได้อย่�งสมดุล และมีสันติสุข ชุมชนจึงต้องเรียนรู้ก�รบริห�รจัดก�รนำ้� เพื่อก�รดำ�รงชีพ ด้วยก�รทำ�ข้อตกลงร่วมกันเรียกว่� “ปฏิญญ�ขน�บน�ก” เมื่อปี พ.ศ. 2552 ชุมชน ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช เป็นชุมชนที่มีพื้นที่ปลูกต้นจ�กม�กที่สุด ของป�กพนัง เป็นเนื้อที่ 4,576 ไร่ (สำ�นักง�นเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมร�ช, 2561) มีเกษตรกรที่ ประกอบอ�ชีพก�รทำ�ไร่จ�กประม�ณร้อยละ 60 ของครัวเรือนทั้งหมด มีร�ยได้จ�กก�รทำ�นำ้�ต�ลจ�ก เฉลี่ยประม�ณ 11,808 บ�ท/ครัวเรือน หรือ ประม�ณ 94,464 บ�ท/ครัวเรือน/ปี ซึ่งถือได้ว่�ครัวเรือนที่ ประกอบอ�ชีพก�รทำ�ไร่จ�ก ได้รับผลตอบแทนท�งเศรษฐกิจสูงเมื่อเทียบกับร�ยได้เฉลี่ยของชุมชนลุ่มนำ้� ป�กพนัง และจ�กข้อมูลก�รสำ�รวจของโครงก�รวิจัยพัฒน�ศักยภ�พชุมชน และเครือข่�ย ภูมิปัญญ� ต้นจ�กเพื่อสร้�งผลิตภัณฑ์สร้�งสรรค์ สู่ตล�ดเชิงพ�ณิชย์ (รุ่งรวี จิตภักดี และคณะ, 2562) และในก�ร จัดทำ�แผนพัฒน�เศรษฐกิจชุมชน โดยองค์ก�รบริห�รส่วนตำ�บลขน�บน�ก และมห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ ปี 2560 พบว่�อ�ชีพก�รทำ�ไร่จ�กส�ม�รถสร้�งร�ยได้ประม�ณ 12 ล้�นบ�ทแก่ชุมชน โดยมีต้นทุน ในก�รผลิตเพียงประม�ณ 1 ล้�นบ�ทเท่�นั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับร�ยได้สุทธิของผู้ทำ�อ�ชีพน�ข้�วและ น�กุ้งแล้ว อ�ชีพก�รทำ�ไร่จ�กจึงถือว่�เป็นอ�ชีพที่ทำ�ร�ยได้สูงม�ก ช�วบ้�นได้สะสมภูมิปัญญ�ในก�ร ประกอบอ�ชีพจ�กต้นจ�กม�อย่�งย�วน�น ไม่น้อยกว่� 200 ปี คว�มรู้เกี่ยวกับก�รใช้ประโยชน์ของต้นจ�ก ได้ถ่�ยทอดต่อ ๆ กันม�หล�ยชั่วอ�ยุคน เป็นที่น่�เสียด�ยว่�ในขณะนี้กำ�ลังจะสูญห�ย ก�รห�หนท�ง รวบรวมและรักษ�คว�มรู้เหล่�นี้ไว้ให้ได้ เพื่อใช้เป็นเอกส�รคว�มรู้ในก�รอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ป่�จ�ก อย่�งยั่งยืนตลอดไป พืชจาก บทนำ จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 06


มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ซ�บซึ้งในพระมห�กรุณ�ธิคุณของสมเด็จพระกนิษฐ�ธิร�ชเจ้� กรมสมเด็จ พระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี ที่มีต่อพสกนิกรในภ�คใต้และมห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ อย่�งห�ที่สุดมิได้ โดยมห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ได้ร่วมสนองพระร�ชดำ�ริ ในโครงก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริสมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี (อพ.สธ.) ตั้งแต่ปี งบประม�ณ 2557 และทรงพระร�ชท�นพระร�ช�นุญ�ตให้มห�วิทย�ลัยจัดตั้งศูนย์ประส�นง�น อพ.สธ. - มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ เมื่อวันที่ 28 มีน�คม พ.ศ. 2562 ในระยะแรกของแผนแม่บท อพ.สธ. ระยะ 5 ปีที่ห้� และได้ดำ�เนินง�นบนฐ�นทรัพย�กรก�ยภ�พ ชีวภ�พ และวัฒนธรรมภูมิปัญญ� โดย มีกรอบทำ�ง�น 3 กรอบ 8 กิจกรรม ต�มแผนแม่บท อพ.สธ. ระยะ 5 ปีที่เจ็ด ต่อเนื่องม�จนถึงปัจจุบัน จุดเริ่มต้นในก�รดำ�เนินง�นเพื่อพัฒน�และยกระดับอ�ชีพของช�วไร่จ�ก ในพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในก�รสนองพระร�ชดำ�ริในโครงก�รพัฒน�พื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง อันเนื่องม�จ�ก พระร�ชดำ�ริ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจสำ�คัญของมห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ “เป็นหลักในถิ่น” โดยมุ่งหม�ย ที่จะสนองพระร�ชดำ�ริในก�รพัฒน�และฟนฟูศักยภ�พของพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนังให้ส�ม�รถกลับม� เป็นแหล่งผลิตท�งเกษตรที่อุดมสมบูรณ์และชุมชนส�ม�รถเลี้ยงตัวเองได้อย่�งยั่งยืน เพื่อเป็นพื้นฐ�น ก�รสร้�งสังคมที่ผ�สุกร่มเย็นของภ�คใต้ต่อไป (พรรณง�ม เง่�ธรรมส�ร. โครงก�รวิจัยและพัฒน�พื้นที่ ลุ่มนำ้�ป�กพนัง มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์, สถ�บันวิจัยและพัฒน�, 2543) จ�กง�นวิจัยที่ผ่�นม�ทำ�ให้เกิด แนวท�งต่อยอดง�นวิจัยเพื่อยกระดับคว�มมั่นคงของช�วไร่จ�กในลุ่มนำ้�ป�กพนัง อันได้แก่ 1) โครงก�ร แนวท�งยกระดับพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นสู่ก�รพัฒน�อ�ชีพชุมชนอย่�งยั่งยืน “ต้นจ�ก” ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช (รุ่งรวี จิตภักดี และ ปรัชญ� กฤษณะพันธ์, 2561) 2) โครงก�ร พัฒน�ผลิตภัณฑ์ จ�ก “ต้นจ�ก” สู่ก�รสร้�งอัตลักษณ์สินค้�ของที่ระลึกชุมชนขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช (รุ่งรวี จิตภักดี และ ปรัชญ� กฤษณะพันธ์, 2561) 3) โครงก�รวิจัยศึกษ�เส้นท�ง ท่องเที่ยวป่�จ�ก โดย ผศ.ดร.อรอนงค์ เฉียบแหลม (2561) มีข้อเสนอแนะดังนี้ ก�รจัดก�รท่องเที่ยว เชิงนิเวศในพื้นที่ชุมชนขน�บน�ก ควรคำ�นึง คือ 1) ด้�นพื้นที่ต้องอนุรักษ์ทรัพย�กรป่�จ�กและวิถีชีวิต ชุมชน 2) ด้�นองค์กรและก�รมีส่วนร่วม ต้องมีก�รจัดก�รให้ชุมชนเข้�ม�มีส่วนร่วม นำ�โดยองค์ก�ร บริห�รส่วนตำ�บลขน�บน�ก สิ่งสำ�คัญของง�นวิจัยชิ้นนี้เสนอให้สร้�งก�รมีส่วนร่วมและองค์กร เพื่อ ดูแลกิจกรรมชุมชนให้ดำ�เนินต่อไป ซึ่งในพื้นที่ขน�บน�กยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน 4) โครงก�รวิจัย ท�งวิทย�ศ�สตร์มีก�รทดลองคว�มเป็นฤทธิ์ของนำ้�ส้มจ�กอินทรีย์ที่มีผลก�รศึกษ�มีดังนี้ นำ้�ส้มจ�กมีฤทธิ์ ยับยั้งก�รเจริญของเชื้อก่อโรคในระบบท�งเดินอ�ห�ร ต้�นอนุมูลอิสระ และมีฤทธิ์ก�รยับยั้งก�รย่อย และก�รดูดซึมไขมัน โดยก�รยับยั้งก�รทำ�ง�นของเอนไซม์ในระบบท�งเดินอ�ห�ร และยับยั้งก�รจับกับ bile acid โดยพบส�ร phenolic และ f avonoid ที่ค�ดว่�เป็นส�รออกฤทธิ์ต่�ง ๆ โดยก�รทำ�ก�รศึกษ� ในหลอดทดลองและในหนูทดลอง โดย ผศ.ดร.วิยะด� กว�นเหียน ซึ่งเป็นง�นวิจัยที่สำ�เร็จม�แล้ว ในปี 2559 - 2561 ซึ่งผลง�นวิจัยดังกล่�วมีข้อเสนอแนะในเชิงพ�ณิชย์ คือ คุณประโยชน์ของนำ้�ส้มจ�ก ดังปร�กฏในผลก�รทดลอง เพื่อก�รนำ�ไปสู่ก�รผลิตอ�ห�รเสริมสุขภ�พจ�กนำ้�ส้มจ�กได้ และค�ดว่� ส�ม�รถตอบสนองลูกค้�ที่สนใจเรื่องสุขภ�พได้ และหนท�งหนึ่งที่ส�ม�รถเพิ่มมูลค่�นำ้�ส้มจ�กของชุมชน ขน�บน�ก และใกล้เคียง ในปี 2562 ชุมชนช�วไร่จ�ก กลุ่มตำ�บลขน�บน�ก ในเขตลุ่มนำ้�ป�กพนัง นำ�โดย น�งอมรทิพย์ เพชรเกตุ อยู่ในพื้นที่หมู่ 8 ตำ�บลขน�บน�กได้รวมตัวกับสม�ชิกช�วไร่จ�ก ในพื้นที่ตำ�บลขน�บน�ก และพื้นที่ตำ�บลอื่นในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จำ�นวน 24 คน จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศจ�กครบวงจร บ้�นบ�งตะลุมพอ ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช ภ�ยใต้คว�มร่วมมือ ในโครงก�รพัฒน�พื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง อันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริและมห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสร้�งคว�มเข้มแข็ง และขย�ยเครือข่�ยช�วไร่จ�ก ในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จ�กก�รระดมคว�มคิดเห็น 07


ชุมชนและสังเคร�ะห์ทุนเดิมในง�นวิจัยที่ผ่�นม�ของทีมวิจัย และคว�มต้องก�รชุมชนกลุ่มวิส�หกิจชุมชน แปรรูปนำ้�ต�ลจ�ก และกลุ่มช�วไร่จ�กในชุมชนขน�บน�กที่มีฝีมือจักส�นรวมตัวกันได้ อย่�งไม่เป็น ท�งก�ร จึงนำ�ไปสู่เหตุผลสำ�คัญที่ได้มีก�รดำ�เนินก�รวิจัยต่อเนื่องเสริมสร้�งสิ่งที่ยังข�ด ยกระดับในสิ่งที่ ได้ทำ�ม�จ�กภูมิปัญญ�ต้นจ�ก หรือ ป่�จ�ก ที่มีคุณประโยชน์ของชุมชน หล�กหล�ยโดยประช�กร ส่วนใหญ่ใช้ผลิตผลจ�กพืชจ�ก อันได้แก่ นำ้�หว�นจ�ก นำ้�ต�ลจ�ก จักส�นก้�นจ�ก จักส�นใบจ�ก เพื่อ เป็นร�ยได้ในก�รดำ�รงชีวิต จ�กง�นวิจัยที่ผ่�นม�จะมุ่งเน้น ก�รข�ย ก�รผลิต เพื่อนำ�วัตถุดิบพืชจ�ก ม�ดำ�รงชีพ จึงเป็นโจทย์วิจัยให้นักวิจัยจ�กมห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ ได้ทบทวนถึงก�รใช้ประโยชน์แต่ข�ด ก�รอนุรักษ์ และห�วิธีก�รท�งวิทย�ศ�สตร์ เพื่อพิสูจน์ถึงคว�มยั่งยืนของพืชจ�กที่จะใช้ประโยชน์ ในอน�คตต่อไป ดังนั้นในกระบวนก�รวิจัยภ�ยใต้ “โครงก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องม�จ�ก พระร�ชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี” ที่มุ่งเน้นดำ�เนินง�นต�มแผนแม่บท อพ.สธ. 3 กรอบก�รเรียนรู้ คือ 1) กรอบก�รเรียนรู้ทรัพย�กร 2) กรอบก�รใช้ประโยชน์ทรัพย�กร และ 3) กรอบสร้�งจิตสำ�นึกในก�รอนุรักษ์ทรัพย�กร จึงได้มีโครงก�รบูรณ�ก�รในปี พ.ศ. 2563 และพ.ศ. 2564 ภ�ยใต้โครงก�รวิจัยเรื่อง “ยกระดับศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศป่�จ�กครบวงจรบ้�นบ�งตะลุมพอ ตำ�บล ขน�บน�ก เพื่อก�รอนุรักษ์และพัฒน�คุณภ�พชีวิตชุมชนลุ่มนำ้�ป�กพนัง” ซึ่งเป็นแผนโครงก�รที่ ประกอบด้วย 8 โครงก�ร ที่ตอบโจทย์ 8 กิจกรรมต�มแผนแม่บทในโครงก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี (อพ.สธ.) มีร�ยละเอียดดังนี้ ปีพ.ศ. 2563 มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ได้ สนองพระร�ชดำ�ริ โดยดำ�เนินก�รวิจัยเกี่ยวกับพืชจ�ก ตำ�บลขน�บน�กอย่�งต่อเนื่อง โดยง�นวิจัยดังกล่�วประกอบด้วย 3 โครงก�ร คือ 1) โครงก�รก�รระบุ เอกลักษณ์และก�รจำ�แนกคว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมของต้นจ�กในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรี ธรรมร�ช 2) โครงก�รระบบส�รสนเทศภูมิศ�สตร์เพื่อก�รจัดก�รพื้นที่ไร่จ�กในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัด นครศรีธรรมร�ช และ 3)โครงก�รแนวท�งก�รส่งเสริมวัฒนธรรม ภูมิปัญญ� และก�รอนุรักษ์อ�ห�ร ท้องถิ่นจ�กผลิตภัณฑ์ต้นจ�ก พื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีรรมร�ช และต่อม�ปี พ.ศ. 2564 จึงได้บูรณ�ก�รโครงก�รวิจัยอีก 5 โครงก�ร ได้แก่ 1) โครงก�รศึกษ�ฤทธิ์ท�งชีวภ�พของ “นำ้�ส้มส�ยชู หมักจ�กนำ้�ต�ลจ�ก” เพื่อผลิตเป็นเวชสำ�อ�ง 2) โครงก�รออกแบบและพัฒน�ผลิตภัณฑ์ชีวภ�พจ�ก องค์ประกอบของต้นจ�กที่เหลือทิ้งสู่ก�รจัดจำ�หน่�ยเชิงพ�ณิชย์ 3) โครงก�รก�รมีส่วนร่วมในก�รสร้�ง จิตสำ�นึกอนุรักษ์ ภูมิปัญญ�พืชจ�ก เพื่อส่งเสริมศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศป่�จ�กครบวงจร บ้�นบ�งตะลุมพอ ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช 4) โครงก�รช่องท�งตล�ดสีเขียวเพื่อรองรับ ผลิตภัณฑ์พืชจ�กในพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช และ 5) โครงก�รประเมินมูลค่�เพิ่ม ผลิตภัณฑ์จ�กเพื่อก�รอนุรักษ์และพัฒน�คุณภ�พชีวิตชุมชนลุ่มนำ้�ป�กพนัง ปีพ.ศ. 2565 ผู้วิจัยเล็งเห็นว่�พืชจ�กในพื้นที่หลักตำ�บลขน�บน�กและพื้นที่ใกล้เคียง ได้รับก�ร ส่งเสริมทั้งก�รปลูกและก�รพัฒน�ม�ตรฐ�นก�รผลิตและได้ผ่�นก�รศึกษ�ต้นทุนก�รผลิตในรูปแบบ นำ้�ต�ลจ�ก นำ้�หว�นจ�ก นำ้�ส้มจ�ก รวมทั้งก�รศึกษ�ก�รประเมินท�งด้�นสังคมต่อผู้ผลิต อ�ห�รจ�ก ส่วนประกอบของพืชจ�ก ในปี 2564 ภ�ยใต้ก�รสนับสนุนก�รวิจัยโดยสำ�นักง�นคณะกรรมก�รพิเศษ เพื่อก�รประส�นง�นโครงก�รอันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริ ซึ่งก�รศึกษ�ดังกล่�วส�ม�รถเชื่อมโยงต่อก�ร ขย�ยผลง�นวิจัยต่อไป ในด้�นกรอบก�รใช้ประโยชน์ และกรอบสร้�งจิตสำ�นึกต่อไป ทีมวิจัยจึงมีก�ร ขย�ยผลง�นวิจัยในกรอบก�รใช้ประโยชน์ดังต่อไปนี้ คือ ก�รใช้ประโยชน์จ�กเนื้อจ�กในก�รผลิตเยลลี่ พร้อมดื่ม และโครงก�รก�รสร้�งสรรค์เทคนิคก�รออกแบบลวดล�ยลงบนผืนผ้�มัดย้อมจ�กผลิตภัณฑ์ ต้นจ�ก เพื่อพัฒน�เป็นรูปแบบคอลเลคชั่นผลิตภัณฑ์ผ้�พื้นถิ่นลุ่มนำ้�ป�กพนัง และกรอบสร้�งจิตสำ�นึก คือ โครงก�รจัดทำ�สื่อส�รสนเทศเพื่อก�รเรียนรู้ และเสริมหลักสูตรก�รอนุรักษ์พืชจ�กลุ่มนำ้�ป�กพนัง เพื่อก�รใช้ประโยชน์อย่�งยั่งยืน เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนโรงเรียนในลุ่มนำ้�ป�กพนัง และชุมชนได้รับ จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 08


ประโยชน์จ�กง�นวิจัยขย�ยผลในครั้งนี้ ภ�ยใต้แผนก�รวิจัยเรื่อง “โครงก�รส่งเสริมก�รอนุรักษ์ และ พัฒน�ก�รใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับม�ตรฐ�นชีวิตชุมชนของพืชจ�ก ลุ่มนำ้�ป�กพนัง’’ ปัจจุบันปี พ.ศ. 2566 ได้มีก�รบูรณ�ก�รโครงก�รที่ส�ม�รถเชื่อมโยงและก�รขย�ยผลไปสู่ก�รศึกษ� เพื่อก�รพัฒน�หลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษ�จะส�ม�รถเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่และก�รนำ�ไปใช้ประโยชน์ ด้�นก�รเรียนรู้ได้ ซึ่งจะส่งผลต่อก�รสร้�งจิตสำ�นึกต่อไป เพื่อพัฒน�หลักสูตร และคู่มือประกอบก�รเรียน ก�รสอนในระดับประถมศึกษ�ในเขตพื้นที่โรงเรียนในลุ่มนำ้�ป�กพนัง เพื่อเป็นแบบอย่�งก�รจัดก�รเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมศึกษ�ในโรงเรียน โดยกระบวนก�รวิจัยภ�ยใต้ “โครงก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องม�จ�ก พระร�ชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี” จึงมีโครงก�รบูรณ�ก�รง�นวิจัยใน 3 โครงก�ร อันได้แก่ 1) ก�รจัดก�รทรัพย�กรป่�จ�กเพื่อรองรับก�รเรียนรู้สิ่งแวดล้อมศึกษ�ในพื้นที่ ลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช 2) ก�รวิเคร�ะห์คว�มคุ้มค่�ของหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษ� ป่�จ�กสู่ชุมชนด้วยกระบวนก�รมีส่วนร่วมในพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช และ 3) ก�รสร้�งกระบวนก�รมีส่วนร่วมชุมชนส�มนำ้� ลุ่มนำ้�ป�กพนังในก�รจัดทำ�หลักสูตรก�รจัดก�รสิ่งแวดล้อม “นิเวศป่�จ�ก” สู่ท้องถิ่น และโรงเรียนเพื่อนำ�ไปสู่ก�รพัฒน�คู่มือและหลักสูตรสิ่งแวดล้อมศึกษ�สู่โรงเรียน และชุมชนท้องถิ่น ผู้วิจัยเชื่อมั่นว่�โครงก�รวิจัยดังกล่�วจะเป็นก�รเติมเต็มช่องว่�งของก�รศึกษ�วิจัย ในพื้นที่ และนำ�ไปสู่วัตถุประสงค์ต�มกรอบและแนวท�งของก�รดำ�เนินง�นของอพ.สธ. - มวล. ต่อไป จ�กก�รดำ�เนินง�นของอพ.สธ. - มวล. ในพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนังตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช ท�งมห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ได้เข้�ม�มีส่วนร่วมในก�รพัฒน�ตั้งแต่กระบวนก�ร ต้นนำ้� กล�งนำ้�และปล�ยนำ้� ซึ่งได้ดำ�เนินก�รต�มแผนโครงก�รวิจัย โดยอ�ศัยคว�มพร้อมด้�นฐ�นทรัพย�กร และองค์คว�มรู้และภูมิปัญญ�ก�รทำ�ไร่จ�ก คว�มร่วมมือของหน่วยง�นและผู้ที่เกี่ยวข้อง ก�รสนับสนุน จ�กผู้เชี่ยวช�ญ และก�รนำ�เทคโนโลยีม�ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภ�พในก�รดำ�เนินง�น สิ่งเหล่�นี้นับเป็น ปัจจัยหลักที่นำ�ไปสู่คว�มสำ�เร็จในก�รดำ�เนินง�นและส�ม�รถตอบสนองคว�มต้องก�รของชุมชนในด้�น ก�รแปรรูปผลิตภัณฑ์ต้นจ�ก ซึ่งก�รใช้ประโยชน์จ�กทรัพย�กรในชุมชนผ่�นภูมิปัญญ�ท้องถิ่นผสมผส�น กับเทคโนโลยี และก�รคิดค้นแปรรูปผลิตภัณฑ์เกิดก�รสร้�งสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ส�ม�รถสร้�งร�ยได้ ให้กับครอบครัวและสร้�งง�นให้ชุมชน จ�กก�รดำ�เนินง�นดังกล่�ว ก่อให้เกิดผลกระทบในท�งบวก แบ่งออกเป็น 3 ด้�น ประกอบด้วย ผลกระทบท�งด้�นเศรษฐกิจ (Economic impact) ผลกระทบ ท�งด้�นสังคม (Social impact) ผลกระทบท�งด้�นสิ่งแวดล้อม (Environmental impact) มีร�ยละเอียด ดังต่อไปนี้ ผลกระทบท�งด้�นเศรษฐกิจ (Economic impact) เกิดก�รก่อตั้งก�รศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศจ�ก ครบวงจรบ้�นบ�งตะลุมพอ ทำ�ให้เกิดก�รสร้�งร�ยได้ และอ�ชีพที่เพิ่มม�กขึ้น เช่น จ�กเดิมเกษตรกร ช�วไร่จ�กนิยมทำ�นำ้�ต�ลปีบ ถึง 65% แต่ปัจจุบันชุมชนได้หันม�พัฒน�และแปรรูปในส่วนของนำ้�ต�ลจ�ก ผงม�กขึ้น และนำ�ม�ประกอบอ�ห�รสร้�งสรรค์ในเมนูต่�ง ๆ ซึ่งจ�กก�รสอบถ�มตัวแทนชุมชนพบว่� มีอัตร�ก�รข�ยนำ้�ต�ลจ�กผงเพิ่มม�กขึ้นถึง 15% นอกจ�กนี้ยังส่งผลให้เกิดอ�ชีพใหม่จ�กก�รมีส่วนร่วม ในกลุ่มศูนย์เรียนรู้ระบบนิเวศจ�กครบวงจรบ้�นบ�งตะลุมพอ ได้แก่ วิทย�กรในก�รบรรย�ยข้อมูลเกี่ยวกับ ต้นจ�ก ไกด์นำ�ชม และอ�ชีพรับจ�กยีนำ้�ต�ลจ�กผง เป็นต้น ก�รต่อยอดพืชจ�กและสร้�งอัตลักษณ์ จนเกิดผลิตภัณฑ์จ�กป่�จ�ก เช่น นำ้�ต�ลจ�กผง นับเป็นอีกผลกระทบหนึ่งท�งด้�นเศรษฐกิจ ซึ่งก�รออกแบบ ตร�สัญลักษณ์และบรรจุภัณฑ์ที่เหม�ะสมเพื่อก�รสร้�งอัตลักษณ์ และภ�พจำ�ให้กับผลิตภัณฑ์แปรรูปจ�ก พืชจ�ก รวมทั้งก�รสร้�งเพจ “ที่นี่ขน�บน�ก” เพื่อส่งเสริมก�รข�ย และประช�สัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ของตำ�บล โดยมียอดผู้เข้�ถึงกว่� 200,000 คน นอกจ�กนี้ยังมีก�รสร้�งเส้นท�งท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อให้ผู้สนใจ ส�ม�รถเข้�ม�เรียนรู้วิถีป่�จ�ก โดยอ�ศัยปัจจัยที่มีอยู่ภ�ยในชุมชนเป็นสำ�คัญ ได้แก่ ทรัพย�กร คว�มสัมพันธ์ ของคนภ�ยในชุมชนที่มีอัตลักษณ์ และเกิดคว�มภ�คภูมิใจในชุมชนของตนเอง นำ�ไปสู่ก�รเกิดมูลค่� 09


เศรษฐกิจแก่ชุมชนอย่�งเป็นระบบยั่งยืน ก่อเกิดเป็นก�รยกระดับเศรษฐกิจและสังคมแบบบูรณ�ก�ร ทำ�คนในชุมชนได้ประกอบอ�ชีพม�กขึ้น ส่งผลให้ตำ�บลขน�บน�กมีร�ยได้เพิ่มขึ้นคิดเฉลี่ยต่อตำ�บลร้อยละ 10 กล่�วคือร�ยได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อตำ�บล 2,000 บ�ท/ปี หรือ 500 บ�ทต่อครัวเรือน และก�รว�งแผน ท�งก�รตล�ดที่ดี ส่งผลให้ต้นทุนก�รผลิตสินค้�ของชุมชนลดลงถึง ร้อยละ 5 โดยส�ม�รถคิดค่�ต้นทุน ที่ลดลงเฉลี่ยต่อตำ�บล 1,200 บ�ท/เดือน/ปี หรือ 300 บ�ท/คน/ครัวเรือน และมีปริม�ณผลผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยค่�เฉลี่ยต่อตำ�บล ร้อยละ 10 ปริม�ณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อตำ�บล 5 หน่วย ขณะนี้ชุมชนตำ�บล ขน�บน�ก มีผลิตภัณฑ์แปรรูปจ�กนำ้�ต�ลจ�ก ผลิตภัณฑ์แปรรูปจ�กนำ้�ส้มจ�ก ผลิตภัณฑ์หัตกรรมจักส�น และผ้�มัดย้อมจ�กต้นจ�ก ม�กกว่� 10 ร�ยก�ร เพื่อรองรับคว�มต้องก�รของผู้บริโภคในตล�ด รองศ�สตร�จ�รย์ ดร.รุ่งรวี จิตภักดี และคณะ ได้รับก�รจดทรัพย์สินท�งปัญญ� ประเภทก�รออกแบบ ผลง�นโคมไฟ ที่ว�งแก้ว และที่ใส่กระด�ษทิชชู่ ณ วันที่ 18 เดือนเมษ�ยน 2566 จ�กชุดผลง�นก�รวิจัย ได้ยกระดับผลิตภัณฑ์หลักจ�กผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม คือ ติหม�จ�ก และเสวียนรองหม้อ และสร้�งชิ้นง�น จักส�นที่ตอบโจทย์อัตลักษณ์ในพื้นที่ป�กพนัง คือ ปล่องโรงสีโบร�ณ โดยผ่�นกระบวนก�รมีส่วนร่วมจ�ก ไตรภ�คี ชุมชน นักวิช�ก�ร และผู้ประกอบก�ร จึงเกิดกระบวนก�รออกแบบผลิตภัณฑ์ 2 แบบหลัก คือ ผลิตภัณฑ์ที่ทำ�จ�กเสวียนรองหม้อ หรือใช้ก�รจักส�นในรูปแบบเสวียนรองหม้อม�เป็นองค์ประกอบ และผลิตภัณฑ์ที่ทำ�จ�กติหม�จ�ก หรือก�รดัดแปลงรูปแบบของหม�จ�ก ม�เป็นของใช้ประโยชน์ที่หล�กหล�ย จึงเกิดผลิตภัณฑ์ชุมชนที่ตอบโจทย์อัตลักษณ์ชุมชนป�กพนัง คือ วิถีคนป่�จ�ก โดยมีองค์ประกอบของ ลูกจ�ก ปล่องโรงสีโบร�ณ วิถีป่�จ�ก ม�เป็นแนวในก�รออกแบบผลิตภัณฑ์ อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ดังต่อไปนี้ ก. ชุดผลิตภัณฑ์ติหม�จ�ก คือ 1) รูปแบบติหม�สำ�หรับใส่เครื่องดื่มที่ส�ม�รถว�งตั้งได้ 2) รูปแบบ ติหม�ที่ส�ม�รถใส่ทิชชู่สำ�หรับโรงแรมสไตล์บูทีคโฮเทล 3) รูปแบบติหม�ที่ใช้สำ�หรับว�งแก้วนำ้�ได้ ข. ชุดผลิตภัณฑ์จ�กเสวียนรองหม้อ คือ 1) ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในก�รส่องสว่�ง ประเภทโคมไฟเพด�น โคมไฟตั้งพื้น โคมไฟตั้งโตะ โคมไฟติดฝ�ผนัง เป็นต้น ซึ่งคุณสมบัติคือ ต้องส�ม�รถส่องสว่�งได้ มีขน�ด สัดส่วนที่เข้�กันและติดตั้งกับโรงแรมสไตล์บูทีคโฮเทลได้ง่�ย และใช้วัสดุก้�นจ�กเป็นหลัก โดยผสมผส�น กับส่วนของต้นจ�กและวัสดุอื่น ๆ ในท้องถิ่น เช่น ไม้ฝ�ด ไม้ที่มีจำ�นวนม�กในป่�จ�กของอำ�เภอป�กพนัง 2) ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในก�รส่องสว่�ง ประเภทเชิงเทียน ซึ่งคุณสมบัติคือ ส�ม�รถว�งเทียนทั้งในรูปแบบ สำ�เร็จรูปและแบบเทียนไข 3) ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในก�รประดับตกแต่ง เช่น น�ิก� กระจก กรอบรูป กล่องดนตรี เป็นต้น ซึ่งคุณสมบัติคือ ใช้วัสดุก้�นจ�กเป็นหลัก โดยผสมผส�นกับส่วนของต้นจ�กและ วัสดุอื่น ๆ ในท้องถิ่น ก�รดำ�เนินง�นวิจัยพืชจ�ก ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจชุมชนจ�กก�รต่อยอดง�นวิจัย ภ�ยใต้โครงก�ร อพ.สธ. - มวล. โดยก�รเข้�ม�มีส่วนร่วมของ “โครงก�รยกระดับเศรษฐกิจและสังคมร�ยตำ�บลแบบ บูรณ�ก�ร (มห�วิทย�ลัยสู่ตำ�บล สร้�งร�กแก้วให้ประเทศ) หรือโครงก�ร U2T” และโครงก�รขับเคลื่อน เศรษฐกิจและสังคมฐ�นร�กหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG หรือโครงก�ร “มห�วิทย�ลัยสู่ตำ�บล U2T for BCG” พื้นที่ตำ�บลขน�บน�ก ที่มุ่งเน้นก�รส่งเสริมก�รแปรรูปผลิตภัณฑ์จ�กนำ้�ต�ลจ�ก และ ส่วนประกอบของต้นจ�ก ก�รออกแบบตัวบรรจุภัณฑ์หีบห่อและตร�สัญลักษณ์ที่เหม�ะสมสำ�หรับผลิตภัณฑ์ และก�รขย�ยช่องท�งก�รตล�ดทั้งระบบออนไลน์และออฟไลน์ จ�กก�รดำ�เนินง�นโครงก�รพบว่� ผลิตภัณฑ์ต้นจ�กมีศักยภ�พในก�รพัฒน�และส�ม�รถใช้ในก�รต่อยอดได้ส�ม�รถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ 1 ผลิตภัณฑ์ดั้งเดิม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจ�กนำ้�หว�นจ�ก คือ นำ้�ส้มจ�ก นำ้�หว�นจ�กพร้อมดื่ม นำ้�ผึ้งจ�ก นำ้�ต�ลปีบ และนำ้�ต�ลจ�กผง ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ 2 คือ ผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ ก�รนำ�ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ดั้งเดิมม�ผสมผส�นกับวัตถุดิบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในชุมชน เช่น นมคว�ย ม�ผ่�นกระบวนก�รแปรรูปก�รผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและองค์คว�มรู้จ�กภูมิปัญญ�ท้องถิ่น เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ประกอบด้วย Nipa palm สบู่ส�รสกัดนำ้�ส้มจ�ก บัฟฟี่ ทอฟฟี่นมคว�ย และ จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 010


บัฟมี่นมคว�ยพ�สเจอร์ไรส์ ทำ�ให้เกิดก�รจ้�งง�นที่ตอบสนองต่อก�รฟนฟูเศรษฐกิจและสังคม ทั้งประช�ชน ทั่วไป นักศึกษ� และบัณฑิตจบใหม่ นอกจ�กนี้ยังมุ่งแก้ปัญห�และคว�มต้องก�รของชุมชนให้ตรงจุด เพื่อพัฒน�และสร้�งอ�ชีพใหม่ ทั้งก�รยกระดับสินค้� OTOP ก�รสร้�งและพัฒน� Creative Economy ให้เป็นก�รยกระดับก�รท่องเที่ยว ก�รนำ�องค์คว�มรู้ไปช่วยบริก�รชุมชนด้วยเทคโนโลยีต่�ง ๆ และ ก�รส่งเสริมด้�นสิ่งแวดล้อม Circular Economy ก่อเกิดเป็นก�รยกระดับก�รพัฒน�อ�ชีพเกษตรกร ช�วไร่จ�ก ตำ�บลขน�บน�ก สู่ก�รสร้�งร�ยได้ครบวงจร ผลกระทบท�งด้�นสังคม (Social impact) จ�กผลก�รดำ�เนินก�รโครงก�รอพ.สธ. - มวล. ทำ�ให้ เกิดก�รจ้�งง�น ส่งผลให้ช�วบ้�นมีคุณภ�พชีวิตที่ดีขึ้น ลดจำ�นวนก�รย้�ยถิ่นฐ�นเพื่อออกไปทำ�ง�นต่�งถิ่น ลดคว�มเหลื่อมลำ้�ด้�นร�ยได้ของคนในชุมชน ทั้งส่งผลให้เกิดก�รส่งเสริมก�รสร้�งอ�ชีพในชุมชน และที่สำ�คัญคือ เกิดคว�มร่วมมือขององค์กรในทุกภ�คส่วน และส�ม�รถขย�ยเครือข่�ยในก�รพัฒน� เชิงพื้นที่ เช่น ก�รมีส่วนร่วมในก�รสร้�งจิตสำ�นึกปกปักทรัพย�กรป่�จ�ก และก�รสร้�งเครือข่�ย ของก�รดำ�เนินง�นขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐ�นร�กของชุมชน ท�งผู้วิจัยได้ดำ�เนินง�นร่วมกับ มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ องค์ก�รบริห�รส่วนตำ�บลขน�บน�ก ศูนย์อำ�นวยก�รและประส�นก�รพัฒน� พื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนังอันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริ สำ�นักง�นคณะกรรมก�รพิเศษเพื่อประส�นง�นโครงก�ร อันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริ (สำ�นักง�น กปร.) สำ�นักง�นเกษตรกรอำ�เภอป�กพนัง รวมทั้งโรงเรียน ในพื้นที่ตำ�บลขน�บน�ก และโรงเรียนในพื้นที่ตำ�บลใกล้เคียง ในก�รประส�นก�รทำ�ง�นอย่�งเป็นระบบ สำ�หรับก�รดำ�เนินง�นในพื้นที่และก�รเก็บข้อมูลเพิ่มเติมและรวบรวมองค์คว�มรู้จ�กภูมิปัญญ�ทีได้จ�ก ก�รใช้ประโยชน์จ�กต้นจ�ก จ�กผลก�รดำ�เนินอย่�งต่อเนื่องในพื้นที่ตำ�บลขน�บน�กทำ�ให้เกิดก�รร่วม ม�กขึ้นทั้งกลุ่มเป็นท�งก�รและกลุ่มไม่เป็นท�งก�ร (Formal and Informal Groups) กล่�วคือ ผลง�นวิจัย ดังกล่�วได้มีก�รดำ�เนินง�นควบคู่ไปกับชุมชนนำ�ร่อง และอบต. ขน�บน�ก ส�ม�รถเชื่อมโยงสู่พื้นที่ช�วไร่จ�ก ก็จะเป็นส่วนในก�รผลักดันให้ศูนย์เรียนรู้เป็นศูนย์เรียนรู้ที่มีชีวิต มีข้อมูลจ�กหน่วยง�นในท้องถิ่นเพื่อ หนุนเสริมนโยบ�ยศูนย์อนุรักษ์ทรัพย�กรส่วนท้องถิ่น โดยใช้เครื่องมือ อพ.สธ. ร่วมมือกันตั้งแต่เริ่มต้น เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลของพืชจ�กที่มีประสิทธิภ�พ และทำ�ให้เกิดก�รปกปองอนุรักษ์ พันธุ์พืชจ�ก ที่เป็นพืชเศรษฐกิจชุมชน และเป็นประโยชน์ทั้งด้�นบริโภค ก�รค้� และรักษ�สิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ก็จะ ส่งผลต่อก�รเพิ่มม�ตรฐ�นชีวิตช�วไร่จ�กชุมชนขน�บน�ก ลุ่มนำ้�ป�กพนัง สนองพระร�ชดำ�ริของ สมเด็จพระขนิษฐ�ธิร�ชเจ้� กรมสมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ “ทรัพย�กรไทย : ช�วบ้�นไทยได้ประโยชน์” และส�ม�รถสร้�งต้นแบบที่ดีให้กับพื้นที่อื่น ๆ ผลกระทบด้�นสิ่งแวดล้อม (Environmental impact) จ�กผลดำ�เนินง�นโครงก�ร อพ.สธ. - มวล. พบว่� ตำ�บลขน�บน�กมีพื้นที่เหม�ะในก�รปลูกจ�ก ม�กถึงร้อยละ 15.53 โดยเฉพ�ะหมู่ที่ 5 บ้�นป�กช่อง และหมู่ที่ 8 บ้�นบ�งลุมตะพอ และผลจ�กก�รวิเคร�ะห์เปลี่ยนแปลงของไร่จ�กในอน�คต พบว่� ขน�ดของพื้นที่ป่�จ�กค่อนข้�งคงที่ ประม�ณ 4,500 ไร่ แต่ห�กพิจ�รณ�รูปแบบก�รกระจ�ยแล้วค่อนข้�ง กระจ�ยไปในพื้นที่ใหม่และเป็นแปลงขน�ดเล็ก ส่วนในพื้นที่ป่�จ�กเดิมถูกแทนที่ด้วยพื้นที่โล่ง นำ้� และ พื้นที่เพ�ะเลี้ยงสัตว์นำ้� ก�รศึกษ�พื้นที่ที่เหม�ะสมสำ�หรับก�รปลูกต้นจ�ก ส�ม�รถช่วยให้ก�รส่งเสริมผลผลิต ขย�ยพื้นที่ปลูก และพัฒน�คุณภ�พผลผลิตให้แก่เกษตรกรช�วไร่จ�กเป็นไปอย่�งถูกต้องต�มหลักวิช�ก�ร ม�กยิ่งขึ้น นอกจ�กนี้ในด้�นก�รศึกษ�แนวโน้มก�รเปลี่ยนแปลงสิ่งปกคลุมดินในอน�คตยังมีคว�มสำ�คัญ สำ�หรับหน่วยง�นปกครองส่วนท้องถิ่น และเกษตรกรในก�รว�งแผนและก�รจัดก�รทรัพย�กร รวมทั้ง ส�ม�รถนำ�ข้อมูลไปใช้เพื่อประกอบก�รตัดสินใจในก�รว�งแผนก�รปลูกและส่งเสริมอ�ชีพจ�กในอน�คตได้ ทั้งนี้ ผลของก�รวิจัยและก�รสร้�งคว�มร่วมมือกับชุมชนในท้องถิ่นในก�รปลูกเพิ่มที่ดำ�เนินก�รม�แล้วนับ 10 ปี โดยก�รสนับสนุนภ�ยใต้งบประม�ณจ�กสำ�นักง�นคณะกรรมก�รพิเศษเพื่อประส�นง�นโครงก�ร อันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริ ลุ่มนำ้�ป�กพนัง ในพื้นที่โดยมีก�รปลูกเพิ่มปีละ 100 ไร่ หลังจ�กง�นวิจัย 011


ได้เสร็จสิ้นและถ่�ยทอดเทคโนโลยีให้กับองค์ก�รบริห�รส่วนตำ�บลขน�บน�ก ในก�รเลือกพื้นที่ปลูก ให้เหม�ะสม และเกิดผลประโยชน์แก่ชุมชนอย่�งแท้จริง ทั้งนี้มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ ได้ดำ�เนินก�รจัดสร้�งพิพิธภัณฑ์ธรรมช�ติวิทย�เทพรัตนร�ชสุด�ฯ มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ (MAHA CHAKRI SIRINDHORN Natural History Museum, Walailak University) ภ�ยใต้ง�นสนองพระร�ชดำ�ริฯ อพ.สธ. ในกิจกรรมสร้�งจิตสำ�นึกในก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืช เพื่อสืบส�นพระร�ชปณิธ�นในก�รอนุรักษ์ทรัพย�กรของพระบ�ทสมเด็จพระเจ้�อยู่หัว รัชก�ลที่ 9 โดย มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ได้สืบส�นพระปณิธ�นในง�นอนุรักษ์ทรัพย�กรของประเทศ ด้วยเป็นมห�วิทย�ลัย ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภ�คใต้ตอนบน มีฐ�นทรัพย�กรท้องถิ่นที่มีคว�มโดดเด่นทั้งด้�นก�ยภ�พ ชีวภ�พ และ มรดกภูมิปัญญ� มีพื้นที่ติดเทือกเข�หลวงและทะเลฝั่งอ่�วไทย เป็นแหล่งทรัพย�กรท�งธรรมช�ติที่สวยง�ม และอุดมสมบูรณ์ โดยมีรูปแบบของอ�ค�รเป็นเลข 8 มีคอร์ทนำ้�ตกกรุงชิงและคอร์ทช�ยห�ด ต�มแนวคิด “ต�มรอยเจ้�ฟ�จ�กยอดเข�ถึงใต้ทะเล” เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐ�ธิร�ชเจ้� กรมสมเด็จ พระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี ซึ่งจะมีก�รจัดแสดงนิทรรศก�ร 8 กลุ่ม คือ ห้องที่ 1 นิทรรศก�ร “เกริกไกรเจ้�ฟ�นักอนุรักษ์” ห้องที่ 2 นิทรรศก�ร “หวนดูทรัพย์สิ่งสินตน” ห้องที่ 3 นิทรรศก�ร “เข�หลวงทรัพย�กรม�กมี” ห้องที่ 4 นิทรรศก�ร “ศักยภ�พม�กล้นมีให้เห็น” ห้องที่ 5 นิทรรศก�ร “ทรัพย�กรลุ่มนำ้�ป�กพนัง” ห้องที่ 6 นิทรรศก�ร “ช�ยฝั่งอุดมสมบูรณ์” ห้องที่ 7 นิทรรศก�ร “บริบูรณ์ทรัพย�กรอ่�วไทย” ห้องที่ 8 นิทรรศก�ร “ประโยชน์แท้แก่มห�ชน” ต้นจ�ก พืชมหัศจรรย์ ของช�วขน�บน�ก โดยเรื่องร�วของต้นจ�กจะถูกเก็บรวบรวมและร้อยเรียง เป็นเรื่องผ่�นก�รจัดแสดงนิทรรศก�รภ�ยในห้องนิทรรศก�ร ห้องที่ 5 “ก�รจัดก�รลุ่มนำ้�ป�กพนัง” จะนำ�เสนอเรื่องร�วภ�ยใต้หัวข้อ “ต�มรอยพ่อ...ฟนฟูอู่ข้�วอู่นำ้� และก�รอนุรักษ์ป่�จ�กในพื้นที่ลุ่มนำ้� ป�กพนัง” โดยจะบอกเล่�ถึงก�รแก้ไขปัญห�คว�มขัดแย้งด้�นทรัพย�กรในพื้นที่ป�กพนังต�มแนวท�ง พระร�ชดำ�ริของในหลวงรัชก�รที่ 9 ก่อให้เกิดก�รกินดีอยู่ดีของคนลุ่มนำ้�ป�กพนัง โดยภ�ยในห้องนิทรรศก�ร ได้จำ�ลองวิถีชีวิตของผู้คนแห่งลุ่มนำ้�ป�กพนัง ระบบนิเวศป่�จ�ก และก�รจัดแสดงส�ยพันธุ์ข้�วพื้นเมือง ที่สำ�คัญของลุ่มนำ้�ป�กพนังด้วยสื่อเทคโนโลยี QR-SCAN เพื่อให้ผู้ที่เข้�ชมนิทรรศก�รได้รับรู้ถึง พระอัจฉริยภ�พของในหลวงรัชก�ลที่ 9 ในก�รทรงง�นเพื่อแก้ไขปัญห�ในพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนังให้ประช�ชน ได้อยู่ดีกินดี เกิดประโยชน์แท้แก่มห�ชนสืบไป สุดท้�ยมห�วิทย�ลัยลัยวลัยลักษณ์ขอน้อมนำ�พระร�โชว�ท สมเด็จพระพระกนิษฐ�ธิร�ชเจ้� กรมสมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี เมื่อวันพุธที่ 19 ตุล�คม 2548 ว่� “ท้�ยที่สุดแล้ว ต้องก�รให้ทุกคนตระหนักและเห็นคุณค่�ของทรัพย�กรของท้องถิ่น รู้จักอนุรักษ์และนำ�ไปใช้ประโยชน์ ได้อย่�งยั่งยืน ก�รศึกษ�เพื่ออนุรักษ์ทรัพย�กรธรรมช�ติอื่นด้วย เช่น ดิน หิน แร่ และสิ่งมีชีวิตทุกประเภท ทุกสิ่งที่กล่�วม�ล้วนแต่มีคว�มเกี่ยวพันกัน สิ่งหนึ่งสิ่งใดข�ดไปก็จะกระทบต่อก�รดำ�รงอยู่ของช�ติและ ประช�ชน นอกจ�กศึกษ�สภ�วะของทรัพย�กรธรรมช�ติแล้ว ก�รให้คว�มรู้แก่ประช�ชนก็เป็นสิ่งสำ�คัญ เพื่อทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่�งยั่งยืนตลอดไป” และเรื่องร�วของพืชจ�กก็จะถูกรวบรวมไว้ ในห้องก�รจัดก�รลุ่มนำ้�ป�กพนัง เพื่อสนองพระร�ชดำ�ริของสมเด็จพระกนิษฐ�ธิร�ชเจ้� กรมสมเด็จ พระเทพรัตนร�ชสุด� ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี ครั้งเมื่อเสด็จพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมร�ช สรุปคว�มได้ว่� “ควรอนุรักษ์พื้นที่น�ข้�ว ป่�จ�กที่ตำ�บลขน�บน�กไว้คู่ลุ่มนำ้�ป�กพนังต่อไป” เพื่อดำ�เนินง�นพัฒน� ง�นวิจัยเกี่ยวกับพืชจ�กให้ก่อประโยชน์แท้แก่มห�ชน ชุมชนในท้องถิ่นที่มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 012


ร่วมลงไปดำ�เนินง�นต�มแนวท�ง อพ.สธ. มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์ มีศูนย์ประส�น อพ.สธ. - มวล. และเป็นแม่ข่�ยอุดมศึกษ�ภ�คใต้ตอนบน ในก�รดำ�เนินให้บรรลุต�มแผนแม่บท อพ.สธ. จึงได้ร่วมมือกับ มห�วิทย�ลัยในเครือข่�ย อันได้แก่ มห�วิทย�ลัยร�ชภัฏนครศรีธรรมร�ช มห�วิทย�ลัยร�ชภัฏสุร�ษฎร์ธ�นี มห�วิทย�ลัยร�ชภัฏภูเก็ต มห�วิทย�ลัยต�ปี วิทย�ลัยเทคโนโลยีภ�คใต้ วิทย�ลัยชุมชนพังง� และ วิทย�ลัยชุมชนระนอง ร่วมทั้งเครือข่�ยมห�วิทย�ลัยร�ชมงคลศรีวิชัยตรัง ซึ่งพื้นที่ดังกล่�วในพื้นที่ มห�วิทย�ลัยต่�ง ๆ ก็ได้มีง�นวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพืชจ�ก มห�วิทย�ลัยวลัยลักษณ์มีคว�มพร้อมในก�ร ขย�ยผลไปยังมห�วิทย�ลัยต่�ง ๆ และพื้นที่ชุมชนที่ปลูกพืชจ�กที่ครอบคลุมพื้นที่ที่มห�วิทย�ลัยต่�ง ๆ ดูแล เพื่อประโยชน์แก่ชุมชนท้องถิ่นอย่�งยั่งยืน


แนวทางการดําเนินงาน อนุรักษ์และพัฒนาการใช้ ประโยชน์จากพืชอนุรักษ์ พืชจาก อพ.สธ. ก�รรวบรวมจัดทำ�ข้อมูลพืชจ�ก เป็นพืชอนุรักษ์ ภ�ยใต้โครงก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ เกิดจ�ก แนวพระร�ชดำ�ริในสมเด็จพระกนิษฐ�ธิร�ชเจ้� กรมสมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด� ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี ที่ได้พระร�ชท�นพระร�ชดำ�ริ เมื่อวันที่ 18 กรกฎ�คม 2557 สรุปคว�มได้ว่� “ควรอนุรักษ์พื้นที่น�ข้�ว ป่�จ�กที่ตำ�บลขน�บน�กไว้คู่ลุ่มนำ้�ป�กพนังต่อไป” เนื่องจ�กอ�ชีพหลักดั้งเดิมของคนในชุมชนตำ�บล ขน�บน�ก คือ ก�รทำ�น�ข้�ว และก�รทำ�ไร่จ�กม�ตั้งแต่บรรพบุรุษ ก�รดำ�เนินง�นอนุรักษ์และก�รใช้ ประโยชน์จ�กต้นจ�กได้ดำ�เนินก�รต�มกรอบก�รดำ�เนินง�นดังนี้ จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 014


1. กรอบก�รเรียนรู้ ทรัพย�กร กรอบ กิจกรรม การดําเนินงาน 2. กรอบก�รใช้ ประโยชน์ทรัพย�กร ต�ร�งที่ 1 ก�รดำ�เนินง�นรวบรวม ก�รอนุรักษ์และก�รใช้ประโยชน์พันธุกรรมพืชพื้นถิ่น ต้นจ�ก 1. กิจกรรมปกปักทรัพย�กร 4. กิจกรรมอนุรักษ์และใช้ ประโยชน์ทรัพย�กร 2. กิจกรรมสำ�รวจเก็บรวบรวม ทรัพย�กร 3. กิจกรรมปลูกรักษ�ทรัพย�กร ก�รปกปักพันธุกรรมพืชจ�กในพื้นที่ ป่�จ�ก ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช โดยค�ดก�รณ์ว่� จะกำ�หนดเขตพื้นที่บริเวณโรงเรียน วัดโคกมะม่วง การศึกษาลักษณะประจําพันธุพืชจาก - นิเวศวิทย� พืชจ�ก (นพรัตน์ บำ�รุงรักษ์) - ก�รระบุอัตลักษณ์และก�รจำ�แนก คว�มหล�กหล�ยท�งพันธกรรมของ พืชจ�ก (พจม�ลย์ สุรนิลพงศ์) ผลิตภัณฑอาหารแปรรูป - ผลิตภัณฑ์แปรรูปนำ้�ต�ลจ�ก นำ้�ส้มจ�ก และนำ้�ต�ลจ�กผง - ผงนำ้�ส้มจ�กและนำ้�ส้มจ�กเม็ด (วิยด� กว�นเหียนและคณะ) - เครื่องดื่มนำ้�ส้มส�ยชูหมักจ�กนำ้�ต�ลจ�ก (วิไลวรรณ ไชยศร และคณะ) 1. ง�นสำ�รวจพืชจ�กในท้องถิ่น ตำ�บล ขน�บน�ก 2. ง�นรวบรวมองค์คว�มรู้เกี่ยวกับพืชจ�ก ในท้องถิ่นตำ�บลขน�บน�ก 3. ก�รรวบรวมภูมิปัญญ�และวัฒนธรรม ที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น ตำ�บลขน�บน�ก ก�รศึกษ�ทดลองปลูกป่�จ�กเพื่อฟนฟู นิเวศลุ่มนำ้�ป�กพนัง (โครงก�รพัฒน� พื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนังอันเนื่องม�จ�ก พระร�ชดำ�ริ จังหวัดนครศรีธรรมร�ช ส่วนประส�นโครงก�รพระร�ชดำ�ริและ กิจก�รพิเศษ) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 - พ.ศ. 2562 จำ�นวน 267 ครัวเรือน ร�ยละ 3 - 5 ไร่ รวมจำ�นวน 1,250 ไร่ 015


กรอบ กิจกรรม การดําเนินงาน - “นำ้�ต�ลจ�ก” นำ้�ต�ลจ�กพืชท้องถิ่น สู่ก�รใช้ประโยชน์เป็นนำ้�ต�ลท�งเลือก เพื่อสุขภ�พ (ผู้ช่วยศ�สตร�จ�รย์ ดร.จุรีภรณ์ นวนมุสิก และคณะ) - ผลิตภัณฑ์เยลลี่พร้อมดื่ม (ผ.ศ.สิริโสภ� จุนเด็น และคณะ) หัตถกรรมจักสาน - บรรจุภัณฑ์ชีวภ�พจ�กองค์ประกอบ ของต้นจ�กที่เหลือทิ้ง (ปรัชญ� กฤษณะพันธ์ และคณะ) - ก�รพัฒน�ผลิตภัณฑ์ จ�ก “ต้นจ�ก” สู่ก�รสร้�งอัตลักษณ์สินค้�ของที่ระลึก ชุมชนขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช (รุ่งรวี จิตภักดี และปรัชญ� กฤษณะพันธ์) - ก�รต่อยอดภูมิปัญญ�จ�กก�รออกแบบ ผลิตภัณฑ์สร้�งสรรค์เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ อ�ห�รและอ�ห�รเสริมจ�กต้นจ�ก (ปรัชญ� กฤษณะพันธ์ และคณะ) - ผ้�มัดย้อมจ�กผลิตภัณฑ์ต้นจ�ก เพื่อ พัฒน�เป็นรูปแบบคอลเลคชั่นผลิตภัณฑ์ ผ้�พื้นถิ่นลุ่มนำ้�ป�กพนัง (สุวิต� แก้วอ�รีล�ภ)์ เวชสําอาง - “นำ้�ส้มส�ยชูหมักจ�กนำ้�ต�ลจ�ก” เพื่อผลิตเป็นเวชสำ�อ�ง (วิยด� กว�นเหียนและคณะ) 5. กิจกรรมศูนย์ข้อมูล ทรัพย�กร จัดทําฐานขอมูล - ข้อมูลใบง�นที่ 5 และข้อมูลระบบ I-net - ข้อมูลเอกลักษณ์และก�รจำ�แนกคว�ม หล�กหล�ยท�งพันธุกรรมของต้นจ�ก ในลุ่มนำ้�ป�กพนัง - ข้อมูลส�รสนเทศภูมิศ�สตร์เพื่อก�ร จัดก�รพื้นที่ไร่จ�กในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 016


กรอบ กิจกรรม การดําเนินงาน 3. กรอบก�รสร้�งจิตสำ�นึก ในก�รอนุรักษ์ทรัพย�กร 6. กิจกรรมว�งแผนพัฒน� ทรัพย�กร 7. กิจกรรมสร้�งจิตสำ�นึก ในก�รอนุรักษ์ทรัพย�กร 8. กิจกรรมพิเศษสนับสนุน ก�รอนุรักษ์ทรัพย�กร ก�รว�งแผนพัฒน�พันธุ์พืชจ�กเพื่อ ให้สอดคล้องกับเป�หม�ยของก�รใช้ ประโยชน์ เพื่อเพิ่มปริม�ณและพัฒน� คุณภ�พนำ้�หว�นจ�ก ก�รพัฒน�แปรรูป ผลิตภัณฑ์ให้ได้รับม�ตร�ฐ�นก�รผลิต เช่น ม�ตรฐ�น อย. เป็นต้น 1. ศูนย์ก�รเรียนรู้ระบบนิเวศป่�จ�ก ครบวงจร 2. พิพิธภัณฑ์พืชจ�ก ไร่จันทรังษี 1. ก�รส่งเสริมวัฒนธรรม ภูมิปัญญ� ก�รอนุรักษ์ และก�รประเมินมูลค่�เพิ่ม ของอ�ห�รพื้นถิ่นจ�กผลิตภัณฑ์ต้นจ�ก (ปวิธ ต้นสกุล และคณะ) 2. สื่อส�รสนเทศสนับสนุนก�รอนุรักษ์ พันธุกรรมจ�กลุ่มนำ้�ป�กพนัง (รศ.ดร.รุ่งรวี จิตภักดี และคณะ) 3. ตำ�รับสร้�งสรรค์จ�กผลิตภัณฑ์แปรรูป ทรัพย�กรป่�จ�ก (ปวิธ ต้นสกุล และคณะ) การดําเนินงานอนุรักษพันธุกรรมพืช โครงก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริ สมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรม ร�ชกุม�รี มีเป�หม�ยในก�รดำ�เนินง�นเพื่อพัฒน�บุคล�กรให้หันม�อนุรักษ์และพัฒน�ทรัพย�กรเพื่อให้ เกิดประโยชน์ถึงมห�ชนช�วไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เข้�ใจและเห็นคว�มสำ�คัญของทรัพย�กร ให้ร่วมคิด ร่วมปฏิบัติจนเกิดผลประโยชน์ถึงมห�ชนช�วไทยและให้มีระบบข้อมูลทรัพย�กรให้สื่อถึงกันได้ ทั่วประเทศ อพ.สธ. จึงกำ�หนดแนวท�งและแผนก�รดำ�เนินง�นต�มแผนแม่บท อพ.สธ. ก�รดำ�เนินง�น ของ อพ.สธ. ณ ปัจจุบัน อยู่ในช่วงแผนแม่บทระยะ 5 ปี ที่เจ็ด (1 ตุล�คม พ.ศ. 2564 - 30 กันย�ยน พ.ศ. 2569) ซึ่งเป็นก�รดำ�เนินง�นปีที่ 31 - 35 ของ อพ.สธ. โดยมีกิจกรรม 8 กิจกรรมที่อยู่ภ�ยใต้ 3 กรอบก�รดำ�เนินง�น และ 3 ฐ�นทรัพย�กร ได้แก่ ทรัพย�กรก�ยภ�พ ทรัพย�กรชีวภ�พ และ ทรัพย�กรวัฒนธรรมและภูมิปัญญ� กรอบที่ 1 กรอบการเรียนรูทรัพยากร เป็นกรอบก�รดำ�เนินง�นที่เน้นในเรื่องของก�รรักษ�พื้นที่ป่�ธรรมช�ติดั้งเดิมที่อยู่ของหน่วยง�นที่ ร่วมสนองพระร�ชดำ�ริเป็นเจ้�ของครอบครองโดยถูกกฎหม�ย ตลอดจนก�รศึกษ�เรียนรู้ในพื้นที่นั้น ๆ ว่�มีทรัพย�กรอะไร เพื่อว�งแผนและดำ�เนินก�รอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ นอกจ�กนั้นให้หน่วยง�นที่ร่วม 017


สนองพระร�ชดำ�ริ ดูแลในพื้นที่ที่กำ�ลังจะเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ของหน่วยง�น และร่วมมือกับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นที่หน่วยง�นตั้งอยู่ในก�รร่วมสำ�รวจทรัพย�กร เพื่อเก็บรวบรวมทรัพย�กรที่เสี่ยง ต่อก�รสูญพันธุ์ และทรัพย�กรที่มีศักยภ�พเพื่อม�พัฒน�ต่อไป และส�ม�รถที่จะกำ�หนดให้เกิดพื้นที่ สำ�หรับเป็นแหล่งเรียนรู้และขย�ยพันธุ์ทรัพย�กร เพื่อก�รศึกษ�วิจัยและนำ�ไปใช้ประโยชน์ เป็นก�รเพิ่ม ทรัพย�กรที่มีอยู่ในสภ�พธรรมช�ติให้มีจำ�นวนเพิ่มม�กขึ้น ไม่สูญพันธุ์และมีวัตถุดิบเพียงพอในก�รศึกษ�วิจัย หรือเป็นตัวอย่�งในก�รปลูกรักษ�ทรัพย�กร โดยมีกิจกรรมที่สนับสนุนกรอบก�รเรียนรู้ทรัพย�กร 3 กิจกรรมได้แก่ กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมปกปักทรัพย�กร กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมสำ�รวจเก็บรวบรวม ทรัพย�กร และกิจกรรมที่ 3 กิจกรรมปลูกรักษ�ทรัพย�กร มีร�ยละเอียดก�รดำ�เนินก�รดังนี้ กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมปกปกทรัพยากร ก�รดำ�เนินง�นกิจกรรมปกปักทรัพย�กรโดยแสวงห�พื้นที่ ที่เป็นส�ธ�รณประโยชน์ที่อยู่ในคว�มดูแลขององค์ก�รบริห�รส่วนตำ�บลขน�บน�กเข้�ร่วมกิจกรรม ก�รรักษ�ป่�ไม้ธรรมช�ติดั้งเดิม ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษ�ทรัพย�กรดั้งเดิม พืช สัตว์ จุลินทรีย์ ฯลฯ โดยพื้นที่ที่ค�ดก�รณ์ว่�จะทำ�เป็นพื้นที่ปกปัก คือ พื้นที่บริเวณโรงเรียนวัดโคกมะม่วง โดยก�รดำ�เนินง�น จัดทำ�ขอบเขตพื้นที่ทำ�ป�ยประก�ศเป็นพื้นที่สนองพระร�ชดำ�ริ อพ.สธ. และทำ�ก�รสำ�รวจในพื้นที่ว่� มีทรัพย�กร จัดตั้งอ�ส�ช�วบ้�น ชุมชน เพื่อดูแลรักษ�พื้นที่ปกปัก ทำ�ตัวอย่�งทรัพย�กร ทำ�ทะเบียน ทรัพย�กร และดูแลรักษ�ทรัพย�กรในพื้นที่ต�มแผนก�รดำ�เนินง�นฐ�นทรัพย�กรท้องถิ่น อพ.สธ. ตำ�บลขน�บน�ก กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมสํารวจเก็บรวบรวมทรัพยากร ก�รดำ�เนินก�รสำ�รวจเก็บรวบรวมพันธุกรรม พืชจ�ก องค์คว�มรู้ภูมิปัญญ� และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับก�รใช้ประโยชน์ของต้นจ�ก ร่วมกับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นตำ�บลขน�บน�ก โดยใช้เครื่องมือที่ใช้ในก�รสำ�รวจ ได้แก่ แบบฟอร์มใบง�น 9 ใบง�น กิจกรรมที่ 3 กิจกรรมปลูกรักษาทรัพยากร สำ�หรับกิจกรรมง�นปลูกรักษ�ทรัพย�กรตำ�บลขน�บน�ก ดำ�เนินง�นห�พื้นที่ส�ม�รถที่จะใช้ปลูกพืชจ�ก โดยประส�นหน่วยง�นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ อ�ทิ สำ�นักง�น คณะกรรมก�รพิเศษเพื่อประส�นง�นโครงก�รอันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริ (สำ�นักง�ร กปร.) เพื่อฟนฟู นิเวศลุ่มนำ้�ป�กพนัง เมื่อมีก�รปลูกรักษ�แล้ว มีก�รศึกษ�ติดต�มก�รเจริญเติบโตปลูกรักษ� จัดห�รวบรวม ทรัพย�กรติดต�มก�รเจริญเติบโตและก�รเปลี่ยนแปลงของทรัพย�กรท้องถิ่นในพื้นที่ กรอบที่ 2 กรอบการใชประโยชนทรัพยากร เป็นกรอบก�รดำ�เนินง�นที่เน้นในเรื่องก�รอนุรักษ์และก�รใช้ประโยชน์ทรัพย�กรอย่�งมีเป�หม�ย และตอบโจทย์คว�มต้องก�รของท้องถิ่นอย่�งชัดเจน มีเป�หม�ยและแนวท�งก�รดำ�เนินง�นที่เป็นทิศท�ง เดียวกับยุทธศ�สตร์ก�รวิจัยและนวัตกรรมแห่งช�ติ (พ.ศ. 2560 - 2579) ซึ่งมี 4 ยุทธศ�สตร์ ได้แก่ 1. ก�รวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ก�รสร้�งคว�มมั่นคงท�งเศรษฐกิจ 2. ก�รวิจัยและนวัตกรรมเพื่อก�รพัฒน�สังคมและสิ่งแวดล้อม 3. ก�รวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ก�รสร้�งองค์คว�มรู้พื้นฐ�นของประเทศ 4. ก�รสร้�งบุคล�กรพัฒน�ระบบนิเวศและเครือข่�ยก�รวิจัยและนวัตกรรมที่เข้มแข็ง ก�รดำ�เนินง�นให้ยุทธศ�สตร์ฯ ประสบคว�มสำ�เร็จต้องใช้ทุนท�งทรัพย�กรของประเทศเป็นพื้นฐ�น ทั้งสิ้น อพ.สธ. จึงพัฒน�ระบบข้อมูลส�รสนเทศทรัพย�กรให้เป็นปัจจุบันเพื่อนำ�ไปใช้ประโยชน์และ บรรลุจุดมุ่งหม�ยต�มแนวพระร�ชดำ�ริ โดยมีกิจกรรมที่ดำ�เนินง�นสนับสนุนกรอบก�รใช้ประโยชน์ ทรัพย�กร 3 กิจกรรมได้แก่ กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพย�กร กิจกรรมที่ 5 กิจกรรมศูนย์ข้อมูลทรัพย�กรและกิจกรรมที่ 6 กิจกรรมว�งแผนพัฒน�ทรัพย�กร มีร�ยละเอียดก�ร ดำ�เนินก�รดังนี้ จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 018


กิจกรรมที่ 4 กิจกรรมอนุรักษและใชประโยชนทรัพยากร เป็นกิจกรรมที่ดำ�เนินก�รศึกษ�ประเมิน พันธุกรรมพืชของต้นจ�กที่สำ�รวจเก็บรวบรวมม�ปลูกรักษ�ไว้ โดยมีก�รศึกษ�ประเมินในสภ�พธรรมช�ติ แปลงทดลอง ในด้�นสัณฐ�นวิทย� ชีววิทย� สรีรวิทย� ก�รปลูกเลี้ยง ก�รเขตกรรม สำ�หรับในห้อง ปฏิบัติก�รมีก�รศึกษ�ด้�นโภชน�ก�ร องค์ประกอบ ก�รใช้ประโยชน์ในด้�นอื่น ๆ เพื่อศึกษ�คุณสมบัติ คุณภ�พของต้นจ�ก อ�ทิ ผลิตภัณฑ์อ�ห�รแปรรูป ง�นหัตถกรรม เวชสำ�อ�ง เป็นต้น ก�รดำ�เนินง�น ในกิจกรรมที่ 4 เป็นก�รดำ�เนินง�นโดยคว�มร่วมมือของนักวิจัยและเจ้�หน้�ที่ อพ.สธ. และหน่วยง�น ร่วมสนองพระร�ชดำ�ริ อพ.สธ. ในหล�ยโครงก�รที่เกี่ยวข้องกับก�รใช้ประโยชน์จ�กพันธุ์พืชจ�ก กิจกรรมที่ 5 กิจกรรมศูนยขอมูลทรัพยากร ก�รดำ�เนินก�รนำ�ข้อมูลที่ได้จ�กก�รสำ�รวจเก็บรวบรวม พันธุกรรมพืช และทรัพย�กรต่�ง ๆ เช่น ข้อมูลก�รปลูกรักษ� ข้อมูลก�รใช้ประโยชน์จ�กทรัพย�กร ข้อมูลวัฒนธรรมและภูมิปัญญ� ข้อมูลพรรณไม้จ�กหน่วยง�นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นสม�ชิก ง�นฐ�นทรัพย�กรท้องถิ่นเข้�เก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลทรัพย�กรที่ อพ.สธ. จัดทำ�เครื่องมือขึ้นเพื่อใช้ในก�ร รวบรวมข้อมูล และร่วมกับหน่วยง�นที่ร่วมสนองพระร�ชดำ�ริ จัดทำ�ฐ�นข้อมูลระบบดิจิตอลและพัฒน� โปรแกรมสำ�หรับระบบศูนย์ข้อมูลทรัพย�กรต่�ง ๆ ร่วมกัน เช่น โปรแกรมก�รจัดก�รฐ�นข้อมูลทรัพย�กร ท้องถิ่น ด้�นก�รสำ�รวจเก็บรวบรวม ก�รอนุรักษ์ ก�รประเมินคุณค่�พันธุกรรมทรัพย�กร และก�รใช้ ประโยชน์ เพื่อก�รประเมินคุณค่�และนำ�ไปสู่ก�รว�งแผนพัฒน�พันธุ์พืชและทรัพย�กรอื่น ๆ ต่อไป กิจกรรมที่ 6 กิจกรรมวางแผนพัฒนาทรัพยากร ผลก�รดำ�เนินง�นในกิจกรรมว�งแผนก�รพัฒน� ทรัพย�กร คือ ง�นวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมพืชจ�ก เพื่อก�รพัฒน�และปรับปรุงพันธุ์ทรัพย�กร ให้ดียิ่งขึ้นต�มคว�มต้องก�รของท้องถิ่น โดยที่อพ.สธ. มีหน้�ที่ประส�นกับนักวิช�ก�รผู้ทรงคุณวุฒิ ของหน่วยง�นและสถ�บันก�รศึกษ�ต่�ง ๆ โดยวิเคร�ะห์จ�กฐ�นข้อมูลจ�กกิจกรรมที่ 5 ม�ใช้ในก�ร พิจ�รณ�ศักยภ�พของพันธุ์พืชจ�ก และนำ�ไปสู่ก�รวิเคร�ะห์ข้อมูลและคัดเลือกส�ยต้นเพื่อเป็นพ่อแม่ พันธุ์พืช พร้อมกับว�งแผนพัฒน�พันธุ์ระยะย�ว กรอบที่ 3 กรอบการสรางจิตสํานึกในการอนุรักษทรัพยากร เป็นกรอบก�รดำ�เนินง�นที่มุ่งเน้นไปที่เย�วชน นักเรียน นิสิต นักศึกษ�และประช�ชนทั่วไปได้มีคว�มรู้ คว�มเข้�ใจเกี่ยวกับทรัพย�กรที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน นำ�ไปสู่ก�รสร้�งจิตสำ�นึกในก�รอนุรักษ์ทรัพย�กร ของประเทศ ไม่ว่�จะเป็นทรัพย�กรก�ยภ�พ ชีวภ�พ วัฒนธรรมและภูมิปัญญ� ได้ตระหนักเห็นถึง คว�มสำ�คัญและประโยชน์ของก�รอนุรักษ์ทรัพย�กรที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมห�ชนช�วไทย โดยมีกิจกรรม ที่ดำ�เนินง�นสนับสนุนในกรอบก�รสร้�งจิตสำ�นึกในก�รรักทรัพย�กรได้แก่ กิจกรรมที่ 7 กิจกรรม สร้�งจิตสำ�นึกในก�รอนุรักษ์ทรัพย�กร และกิจกรรมที่ 8 กิจกรรมพิเศษสนับสนุนก�รอนุรักษ์ทรัพย�กร มีร�ยละเอียดก�รดำ�เนินก�รดังนี้ กิจกรรมที่ 7 กิจกรรมสรางจิตสํานึกในการอนุรักษทรัพยากร ผลก�รดำ�เนินกิจกรรมสร้�งจิตสำ�นึก ในก�รอนุรักษ์ทรัพย�กร ก่อให้เกิดก�รจัดตั้งศูนย์ก�รเรียนรู้ระบบนิเวศป่�จ�กครบวงจร บ้�นบ�งตะลุมพอ และง�นพิพิธภัณฑ์วิถีจ�กขน�บน�ก ไร่จันทรังษี ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช เป็นก�รขย�ยผลก�รดำ�เนินง�นเพื่อเสริมสร้�งกระบวนก�รเรียนรู้ไปสู่ประช�ชนกลุ่มเป�หม�ยต่�ง ๆ ให้กว้�งขว�งยิ่งขึ้น โดยใช้ก�รนำ�เสนอในรูปของพิพิธภัณฑ์และศูนย์ก�รเรียนรู้ ซึ่งเป็นสื่อเข้�ถึงประช�ชน ทั่วไป กิจกรรมที่ 8 กิจกรรมพิเศษสนับสนุนการอนุรักษทรัพยากร ก�รดำ�เนินกิจกรรมพิเศษสนับสนุน ก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืชโดยก�รสนับสนุนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ดำ�เนินง�นสมัครสม�ชิกเข้�ม� ในง�นฐ�นทรัพย�กรท้องถิ่นและสนับสนุนก�รสร้�งกลุ่มเกษตรกรให้ใช้ประโยชน์จ�กพืชจ�กอย่�งยั่งยืน ก�รจัดทำ�สื่อก�รเรียนก�รสอน ก�รบริก�รวิช�ก�ร ก�รเผยแพร่และประช�สัมพันธ์ผ่�นสื่อในรูปแบบต่�ง ๆ 019


ได้แก่ สื่อส�รสนเทศสนับสนุนก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืชจ�กลุ่มนำ้�ป�กพนัง และตำ�รับสร้�งสรรค์จ�ก ผลิตภัณฑ์แปรรูปทรัพย�กรป่�จ�ก เป็นต้น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของก�รดำ�เนินง�น คณะทำ�ง�นฯ มีหน้�ที่ครอบคลุมร�ยละเอียดดังต่อไปนี้ 1. กำ�กับแผนก�รดำ�เนินง�น ก�รศึกษ�ก�รวิจัย ก�รอนุรักษ์และก�รพัฒน�ก�รใช้ประโยชน์พันธุกรรมพืช อนุรักษ์จ�ก 2. ดำ�เนินง�นก�รเขตกรรมในพืชที่ปลูกรักษ�พันธุกรรมพืชอนุรักษ์จ�ก ง�นขย�ยพันธุ์ ง�นผลิตพันธุกรรม ง�นอนุรักษ์และก�รใช้ประโยชน์ ก�รศึกษ�ส�ระสำ�คัญรวมถึงก�รแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่�ง ๆ ของพืชจ�ก 3. ร�ยง�นผลก�รดำ�เนินง�นด้�นก�รวิจัยก�รเขตกรรม ก�รผลิตพันธุกรรม ก�รอนุรักษ์และก�รใช้ประโยชน์ ก�รศึกษ�ส�ระสำ�คัญรวมถึงก�รแปรรูเป็นผลิตภัณฑ์ต่�ง ๆ ของพืชจ�ก แผนภ�พแนวท�งก�รอนุรักษ์และพัฒน�ก�รใช้ประโยชน์พืชจ�ก จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 020


1.1 นิเวศวิทยา พืชจาก (นพรัตน บํารุงรักษ) 1. นิเวศวิทยาของพืชจาก คํานิยาม พืชจ�กหรือจ�ก มีชื่อวิทย�ศ�สตร์ว่� Nypa fruticans Wurmb มีชื่อส�มัญเช่น Nipa Palm, Mangrove palm, Nipah palm โดย Genus นี้มีเพียง 1 Species อยู่ในวงศ์ Plamae หรือ Arecaceae และวงศ์ย่อย (Sub Family) Nypoidae มีจำ�นวนโครโมโซม 2n=16 หรือ x=8 เป็นพืชในตระกูลป�ล์ม บริเวณที่พบพืชจ�กได้ม�กที่สุดคือป่�ช�ยเลน มีนำ้�จืด นำ้�กร่อย ที่มีนำ้�เค็มขึ้นถึง ซึ่งป่�จ�กมีคว�มสำ�คัญ ต่อระบบนิเวศช�ยฝั่งอย่�งยิ่ง ทั้งยังเป็นแหล่งเก็บคว�มอุดมสมบูรณ์และปองกันก�รเซ�ะพังของช�ยฝั่ง นอกจ�กนี้แล้วป่�จ�กจะพบเห็นอยู่ทั่วไปต�มช�ยฝั่งป�กแม่นำ้� ริมอ่�ว พื้นที่ลุ่มช�ยทะเล และริมฝั่งแม่นำ้� ลำ�คลองของพื้นที่ติดทะเลในประเทศเขตร้อน ในทวีปเอเชีย อเมริก�ใต้ และบ�งส่วนของออสเตรเลีย ในประเทศไทยจะพบม�กบริเวณป�กอ่�ว ริมฝั่งแม่นำ้�ลำ�คลองและพื้นที่ลุ่มช�ยทะเลทั้งในภ�คตะวันออก ภ�คกล�งบ�งส่วน และภ�คใต้ทั้งหมด ภ�พที่ 1 ต้นจ�ก จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 022


ภ�พที่ 2 ลำ�ต้นและร�ก ต้นจ�กมีลักษณะลำ�ต้นที่เตี้ยและเป็นพุ่ม ส่วนโคนอ�จจมอยู่ในนำ้�เป็นครั้งคร�ว จึงมักอยู่ภ�ยใต้อิทธิพล ของนำ้�ขึ้นนำ้�ลงช�ยทะเล ต้นจ�กอ�จขึ้นอยู่เป็นกลุ่มชนิดเดียวล้วน ๆ หรือปะปนกับไม้ช�ยเลนประเภทอื่น เช่น ลำ�พู โกงก�ง ไม้ฝ�ด บ�งพื้นที่อ�จจะปะปนกับ โพธิ์ทะเล ปอทะเล และสมอทะเล ส่วนไม้พื้นล่�ง และไม้เลื้อยที่พบ ได้แก่ เหงือกปล�หมอดอกสีม่วง ปรงทะเล และหว�ยลิง เป็นต้น โดยขึ้นเป็นหย่อม ๆ หรือกระจัดกระจ�ยในป่�ช�ยเลน มีก�รขย�ยพันธุ์โดยผลหรือก�รแตกแขนงของลำ�ต้นใต้ดิน (Rootstock) พืชจ�กพบได้ทั่วไปบริเวณช�ยฝั่งในเขตร้อนจ�กอินเดียและออสเตรเลีย พืชจ�กจะขึ้นได้ดีในดินเลน ค่อนข้�งแข็งและเหนียวจัด มีคว�มเป็นกรด โดยที่พืชจ�กจะมีคว�มทนท�นต่อสภ�พคว�มเค็มของดิน คว�มเค็มของนำ้�และชอบแสงแดด เป็นพืชโบร�ณที่พบหลักฐ�นทั้งผลและละอองเกสรตัวผู้ที่เป็นซ�ก ฟอสซิลตั้งแต่ยุค Cretaceous หรือประม�ณ 100 ล้�นปีที่ผ่�นม� (McCurraob,1960) ลําตนและราก พืชจ�กมีลำ�ต้นเป็นเหง้�ใต้ดินหรือโผล่เหนือดิน มักเรียกว่� หินจ�ก ต้นเกิดติดกันเป็นกลุ่มกอ มีลักษณะ อ้วนสั้นและแบน แตกออกเป็น 2 ง่�ม โดยเนื้อเยื่อของส่วนลำ�ต้น และโคนก้�นใบมีโพรงอ�ก�ศ เมื่อโตเต็มที่ จะมีคว�มสูงประม�ณ 5 - 8 เมตร ใบจาก เป็นใบประกอบแบบขนนก ย�วประม�ณ 3 - 9 เมตร แตกออกโดยรอบจ�กลำ�ต้น ใน 1 ลำ�ต้นจะมีใบ ประม�ณ 4 - 8 ใบ ก้�นใบมีลักษณะอวบใหญ่ เรียก พงจ�ก หรือ ท�งจ�ก โดยเฉพ�ะส่วนโคนก้�นใบ ที่เรียกว่� พอนจ�ก เชื่อว่�เป็นแหล่งสร้�งและกักเก็บนำ้�หว�นของจ�ก ก้�นใบประกอบด้วยใบย่อย เรียกว่� ท�งจ�ก ประม�ณ 30 - 40 ใบ ใบย่อยมีลักษณะเรียวย�วคล้�ยใบมะพร้�ว แต่ขน�ดใบกว้�งกว่� ย�วประม�ณ 1 - 1.5 เมตร ใบที่แก่แล้วจะทิ้งใบย่อยเหลือเฉพ�ะก้�นใบจนก้�นใบแห้งเหี่ยว และค่อย ๆ หักไปคงเหลือเป็นลักษณะรอยหักไว้กับลำ�ต้น 023


ภ�พที่ 3 แสดงใบจ�ก ภ�พที่ 4 ดอกจ�ก ภ�พโดย น�ยสัญญ� อ่อนสูง ใบอ่อน ใบแก่ ถ่�ยวันที่ 13 กุมภ�พันธ์ 66 ถ่�ยวันที่ 15 กุมภ�พันธ์ 66 ถ่�ยวันที่ 16 กุมภ�พันธ์ 66 ดอก ดอกจะออกเป็นช่อ ถูกหุ้มด้วยก�บสีส้ม ประกอบด้วยดอกเพศเมียที่เรียงอัดกันแน่นที่ปล�ยช่อดอก มีทั้งดอกเพศผู้ และดอกเพศเมียในต้นเดียวกัน ก้�นดอก เรียกว่� นกจ�ก แทงออกจ�กกล�งลำ�ต้น บริเวณโคนก้�นใบ คว�มย�วทั้งช่อดอกประม�ณ 50 - 100 เซนติเมตรหรือม�กกว่� ส่วนดอกเพศผู้ ที่มีขน�ดเล็กจะแตกออกบริเวณช่อดอกตัวเมีย ลักษณะของดอกเพศผู้และเพศเมียจะประกอบด้วยกลีบเลี้ยง และกลีบดอก 3 กลีบ มีเกสรเพศผู้ 3 อัน ส่วนละอองเรณูมีลักษณะเป็นหน�ม จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 024


ภ�พที่ 6 แสดงลูกจ�ก ผลหรือลูกจาก (endosperm) ผลกลุ่ม ลักษณะอัดรวมกันแน่นบริเวณส่วนปล�ยก้�นดอก เรียกว่� ทะล�ย หรือ โหม่งจ�ก โดย 1 ทะล�ย ประกอบด้วยผลประม�ณ 50 - 120 ผล ผลมีลักษณะส�มเหลี่ยมใหญ่ที่ขั้วผลและเล็กที่ปล�ยผล มีหน�มแหลมสั้นที่โคนผล สีนำ้�ต�ลเข้มหรือนำ้�ต�ลแดง ขน�ดย�ว 10 - 12 เซนติเมตร เส้นผ่�ศูนย์กล�ง 6 - 8 เซนติเมตร นำ้�หนักผลที่ 15 - 20 ผล/กิโลกรัม เปลือกผลหน� โดย 1 ผล จะมี 1 เมล็ด อยู่ถัดจ�ก เปลือกผลที่ประกอบด้วยเนื้อผลสีข�ว ด้�นในกลวงมีนำ้�ซึ่งจะพบได้ขณะที่ผลยังอ่อน ถือเป็นระยะที่ เหม�ะสำ�หรับนำ�ม�รับประท�น แต่ห�กเมล็ดแก่ม�กจะมีเนื้อแข็งและเหนียวทั้งเมล็ด ซึ่งจะมีลักษณะ คล้�ยผลต�ลแก่ ไม่นิยมนำ�ม�รับประท�น และจะร่วงลงดินหรือลอยไปกับกระแสนำ้�จนถึงช่วงนำ้�ลด ตกลงจมโคลนจนเกิดเป็นต้นจ�กใหม่อีกครั้ง ภ�พที่ 5 แสดงช่อดอกหรืองวงจ�ก ชอดอก หรืองวงจาก ต้นจ�กเมื่อเจริญเติบโต มีผลผลิต เรียกว่� “ทะล�ย” ส่วนก้�นดอกก็จะยื่นย�วออกม�และเนื้อก็จะแข็ง เรียกก้�นดอกว่� “งวงจ�ก” ข้�งในงวงจ�กจะมีเส้นใยเหมือนท่อนำ้�เลี้ยงลำ�เลียงอ�ห�รม�เลี้ยงลูกจ�ก 025


1.2 กายวิภาคของตนจาก (รวมพร คงจันทร) ก�ยวิภ�คลำ�ต้นของ “ต้นจ�ก” ลักษณะภ�ยในลำ�ต้นมีช่องอ�ก�ศแทรกอยู่ระหว่�งเซลล์ โดย ภ�พตัดขว�งโครงสร้�งของลำ�ต้น (ก-ข) ซึ่งประกอบไปด้วยชั้นผิว epidermis อยู่ชั้นนอกสุด มีรูปร่�ง สี่เหลี่ยมขน�ดเล็กเบียดชิดกัน มีเพียงชั้นเดียว ชั้น cortex จะพบช่องว่�งของเซลล์ขน�ดใหญ่ (as = air space) ซึ่งเกิดจ�กเซลล์แตกสล�ย ทำ�ให้ชั้น cortex เปลี่ยนรูปเป็น aerenchyma ที่มีเนื้อเยื่อ ผนังบ�งเก�ะกันเป็นแฉก ล้อมรอบด้วยช่องว่�งขน�ดใหญ่ (as) (ฉ) นอกจ�กนี้ในชั้น cortex ติดชั้น epidermis พบเซลล์ sclerenchyma ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่เพิ่มคว�มแข็งแรงให้กับส่วนของลำ�ต้น แทรกกระจ�ย เป็นวงรอบลำ�ต้น สลับกับเนื้อเยื่อท่อลำ�เลียง โดยกลุ่มเนื้อเยื่อท่อลำ�เลียงกระจ�ยอยู่ในลำ�ต้น (ซึ่งเป็น ลักษณะของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว) ระบบท่อลำ�เลียงนำ้� (xylem) และอ�ห�ร (phloem) ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ xylem มีเซลล์ vessel ผนังหน� มีเนื้อเยื่อ ท่อลำ�เลียงอ�ห�ร (phloem) ที่มีเซลล์รูปร่�งกลมเบียดอัดแน่นประกบอยู่ในมัดท่อ ลำ�เลียง ทั้งนี้ยังพบ sclerenchyma (sc) ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีผนังเซลล์หน�เพิ่มคว�มแข็งแรงให้ท่อลำ�เลียง (ภ�พ จ) การขยายพันธุ กอจ�กจะมีลำ�ต้นเลื้อยไปต�มใต้ดินแล้วแจกหน่อใหม่ หรือก�รขย�ยพันธุ์ด้วยผลในสภ�พธรรมช�ติ ผลของจ�กเมื่อแก่เต็มที่จะหลุดร่วงจ�กทะล�ยโดยก�รแทงหน่อ (Plumule) จนผลหลุดจ�กทะล�ย จึงมีลักษณะเป็น Viviparous seed ที่มีก�รงอกแบบ Hypogeal (Tomlinson,1986) เมื่อผลตกลงสู่พื้น เลนเฉะ หรือลอยต�มนำ้�จนติดช�ยฝั่งก็จะงอกเป็นต้นอ่อนแล้ว ซึ่งมีคว�มสูงประม�ณ 10 - 12 เซนติเมตร นำ�ไปปลูกต�มริมคลองหรือที่ลุ่มชื้นเฉะ ที่ไม่มีนำ้�ขังน�น ภ�พที่ 7 ภ�พตัดขว�งของลำ�ต้นจ�ก ที่อ�ยุประม�ณ 3 เดือน (ก-ข) ก. ลำ�ต้นจ�ก (กำ�ลังขย�ย 5 เท่�) ข. ลำ�ต้นจ�กย้อมสีด้วย safranin o (epi = เซลล์ผิว sc = sclerenchyma เซลล์ที่มีผนังหน� bu = มัดท่อลำ�เลียงในบริเวณลำ�ต้น ae = aerenchyma เซลล์ที่มีช่องว่�งระหว่�งเซลล์ขน�ดใหญ่ ก ข จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 026


กายวิภาคราก “ตนจาก” ภ�พที่ 10 เมื่อตัดต�มขว�งร�กของพืชจ�ก พบว่�มีก�รเรียงตัวของเนื้อเยื่อเป็นชั้น ๆ จ�กด้�นนอก เข้�สู่ด้�นใน โดยประกอบไปด้วย ชั้น epidermis cortex และ stele อยู่ชั้นในสุดของร�ก (ก) ชั้น epidermis เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุด เซลล์เรียงตัวเพียงชั้นเดียว เบียดอัดกันแน่น ผนังเซลล์บ�ง (ก,ข) ชั้น cortex จ�กภ�พ (ค) พบกลุ่มเนื้อเยื่อที่อยู่ติดกับเซลล์ epidermis เรียกว่� cambium like โดยมีลักษณะเซลล์ เรียงตัวในระน�บเดียวกัน เซลล์เรียงตัวเสมอกันต�มแนวนอน โดยเซลล์แบ่งตัวเกิดเป็นกลุ่มเซลล์ใหม่ และเจริญเปลี่ยนรูปไปเป็นเซลล์ต่�ง ๆ ของเนื้อเยื่อลำ�เลียงทำ�ให้ร�กมีขน�ดใหญ่ขึ้นถัดจ�ก cambium like พบเซลล์ sclerenchyma เซลล์ผนังหน�เพิ่มคว�มแข็งแรงให้กับส่วนของร�ก นอกจ�กนี้ในชั้น cortex พบเซลล์สล�ยตัวเกิดเป็นช่องว่�งขน�ดใหญ่ออกเป็นแนวรัศมี โดยมีเซลล์ parenchyma เรียงต่อ 1 - 3 แถว ค ง จ ฉ ภ�พที่ 8 ภ�พตัดขว�งขย�ยของลำ�ต้นจ�ก ที่อ�ยุประม�ณ 3 เดือน (ค-ง) ค. ลำ�ต้นจ�ก (กำ�ลังขย�ย 10 เท่�) ง. ภ�พขย�ยลำ�ต้น ลักษณะเซลล์ sclerenchyma (epi = เซลล์ผิว sc = sclerenchyma เซลล์ที่มี ผนังหน� bu = มัดท่อลำ�เลียงในบริเวณลำ�ต้น ภ�พที่ 9 ภ�พตัดขว�งที่กำ�ลังขย�ย 40 เท่�ของลำ�ต้นจ�ก (จ-ฉ) จ. ภ�พแสดงกลุ่มท่อลำ�เลียง ฉ.กลุ่มเซลล์ aerenchyma ซึ่งจะมีผนังเซลล์บ�ง มีช่องว่�งระหว่�งเซลล์ใหญ่ (as = air space) 027


ก ง ข ค จ แทรกอยู่ระหว่�งช่องว่�ง (ง) ชั้น stele กลุ่มเนื้อเยื่อที่อยู่ติดกับชั้น cortex พบเซลล์ endodermis และ pericycle ติดกับเนื้อเยื่อ phloem โดย xylem ไม่ได้อยู่ในใจกล�งของร�กแต่พบเรียงตัวเป็นแฉกและมี phloem แทรกอยู่ระหว่�งแฉก จำ�นวนแฉกของ xylem ประม�ณ 13 - 14 แฉก (ภ�พ ก) ซึ่งพืชจ�กเป็นร�กพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะมีจำ�นวน xylem ม�กกว่�ในร�กพืชใบเลี้ยงคู่ โดยใจกล�งของร�กจ�กเป็นเนื้อเยื่อ parenchyma (จ) ซึ่งมีผนัง บ�งกว่�เซลล์ที่ล้อมรอบซึ่งเป็นเซลล์ sclerenchyma ภ�พที่ 10 ภ�พตัดขว�งของร�กจ�ก ที่อ�ยุประม�ณ 3 เดือน (ก-ข) ก. ร�ก (กำ�ลังขย�ย 5 เท่�) เซลล์สล�ยตัวเกิดเป็นช่องว่�งขน�ดใหญ่ในแนวรัศมี ข.ร�กจ�กย้อมสีด้วย safranin o (กำ�ลังขย�ย 10 เท่�) epi = epidermis en = endodermis per = pericycle ภ�พที่ 11 ภ�พตัดขว�งของร�กจ�ก ที่อ�ยุประม�ณ 3 เดือน (กำ�ลังขย�ย 50 เท่�) (ค-จ) ค. ร�กในชั้น epidermis และ cortex ง. ชั้น cortex ที่มีเซลล์สล�ยตัวเกิดเป็นช่องว่�งขน�ดใหญ่ในแนวรัศมี จ. เนื้อเยื่อ endodermis เนื้อเยื่อ pericycle และกลุ่มเนื้อเยื่อท่อลำ�เลี่ยง อ�ห�ร (ph) และกลุ่มเนื้อเยื่อ ท่อลำ�เลียงนำ้� (xy) จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 028


ก ก�ยวิภ�คใบ “ต้นจ�ก” ก�ยวิภ�คด้�นตัดขว�งของ “ใบจ�ก” (ภ�พที่ 9) บริเวณเส้นกล�งใบพบคิวติน (cutin) เคลือบบริเวณ ชั้นผิวใบทั้งด้�นบน (up) และด้�นล่�ง (lo) เนื้อเยื่อผิว (epidermis) รูปร่�งสี่เหลี่ยมผืนผ้�ไปจนถึงกลมรี เรียงตัว 1 แถว ในบริเวณเส้นกล�งใบด้�นล่�งในชั้น mesophyll อยู่ระหว่�ง epidermis ทั้งสองด้�น ทำ�หน้�ที่เป็นส่วนสังเคร�ะห์แสง เป็นเซลล์ parenchyma ที่มีคลอโรพล�สต์อยู่ภ�ยใน (ภ�พ ก) แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ palisade parenchyma (pal) และ spongy parenchyma (sp) เซลล์มีรูปร่�งแตกต่�งกัน (ภ�พ จ) โดย palisade มีรูปร่�งเป็นแท่งย�วเบียดกันหน�แน่น ซึ่งในต้นจ�กพบทั้งด้�นบนและด้�นล่�ง จะประกบเซลล์ spongy ที่มีรูปร่�งกลมกระจ�ยอยู่ในชั้น mesophyll พบว่�มี sclerenchyma (sc) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่มีผนังหน�ซึ่งเกิดจ�กก�รสะสมของลิกนิน ช่วยให้คว�มแข็งแรงกับใบจ�กกระจ�ย อยู่ทั่วแผ่นใบ ทั้งนี้บริเวณเส้นกล�งใบและแผ่นใบมีกลุ่มมัดท่อลำ�เลียงแทรกอยู่ โดยบริเวณเส้นกล�งใบ กลุ่มท่อลำ�เลียงจะมีขน�ดใหญ่กว่�บริเวณเส้นกล�งใบ (ภ�พ ก) เนื้อเยื่อท่อลำ�เลียงประกอบด้วยเซลล์ sclerenchyma ประกบกลุ่มท่อลำ�เลียงอยู่ทั้งด้�นบนและด้�นล่�ง (ภ�พ ข.) เพิ่มคว�มแข็งแรงให้ มัดท่อลำ�เลียงภ�ยในประกอบด้วยเซลล์ vessel (ve) ของท่อลำ�เลียงนำ้� (xylem) มีขน�ดเซลล์กลมใหญ่ กว่�เนื้อเยื่อท่อลำ�เลียงอ�ห�ร (phloem = ph) (ภ�พ ข) จ�กก�รศึกษ�ป�กใบ (stomata) ในเนื้อเยื่อชั้นผิวด้�นบน และด้�นล่�งพบว่� เซลล์ในเนื้อเยื่อผิว มีรูปร่�งไม่แตกต่�งกัน (ภ�พ ช-ซ) มีป�กใบอยู่ด้�นล่�งแบบ Tatracytic โดยมีเซลล์เสริม (su) ล้อมรอบ เซลล์คุม (gu) โดยอยู่ท�งด้�นข้�งขน�นกับเซลล์คุม และอยู่ที่ขั้วหัวท้�ยของเซลล์คุม (ภ�พ ญ) เซลล์คุม เป็นเซลล์ที่มี 2 เซลล์ม�ประกบกันโดยมีช่องเปิดตรงกล�ง รวมกันเป็นป�กใบ (st = stomata) จ�ก (ภ�พ ณ) พบว่�เซลล์คุมอยู่ในระดับตำ่�กว่� epidermis ซึ่งเป็นลักษณะของพืชที่ขึ้นในป่�เลนหรือนำ้�เค็ม หรือนำ้�มีน้อย โดยใบจ�กจะมีเซลล์คุมอยู่เนื้อเยื่อชั้นผิวด้�นล่�งเป็นจำ�นวนม�ก แต่เร�จะไม่พบเซลล์คุม บริเวณเนื้อเยื่อผิวด้�นบนของใบจ�ก 029


ข ง ค จ ฉ ภ�พที่ 12 ภ�พตัดขว�งของใบ (ก-ค) ก. เส้นกล�งใบและแผ่นใบ (กำ�ลังขย�ย 10 เท่�) ข. มัดท่อลำ�เลียง เส้นกล�งใบ (กำ�ลังขย�ย 40 เท่�) ค. มัดท่อลำ�เลียงเส้นกล�งใบย้อมสีด้วย safranin O (กำ�ลังขย�ย 40 เท่�) (up = เนื้อเยื่อผิวด้�นบน me = ชั้น mesophyll, lo = เนื้อเยื่อผิวด้�นล่�ง bu = มัดท่อลำ�เลียงของ เส้นกล�งใบ sc = sclerenchyma เซลล์ที่มีผนังหน� ve = vessel เป็นกลุ่มเซลล์ท่อลำ�เลียงนำ้� (xylem) ph = phloem เซลล์ลำ�เลียงอ�ห�ร ภ�พที่ 13 ภ�พตัดขว�งของใบ (จ-ช) จ. ป�กใน (stomata) แบบ Tatracytic (กำ�ลังขย�ย 10 เท่�) ฉ. ป�กใบมีเซลล์คุมตำ่�กว่�ชั้นเซลล์ ผิวใบด้�นล่�ง (sunken stomata) (กำ�ลังขย�ย 40 เท่�) (cu = คิวติน epi = เซลล์ผิว up = เนื้อเยื่อผิวด้�นบน pal = palisade parenchyma sc = sclerenchyma sp = spongy bu = มัดท่อลำ�เลียงของเส้นกล�งใบ sc = sclerenchyma เซลล์ที่มีผนังหน� ve = vessel เป็นกลุ่มเซลล์ท่อลำ�เลียงนำ้� (xylem) ph = phloem เซลล์ลำ�เลียงอ�ห�ร จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 030


1.3 การระบุอัตลักษณและการจําแนกความหลากหลาย ทางพันธุกรรมของพืชจาก (พจมาลย สุรนิลพงศ) “จ�ก” เป็นพืชจำ�พวกป�ล์ม โดยมีก�รจัดอยู่ที่ในวงศ์ย่อย Nypoideae ซึ่งมีสกุลเดียว และเป็นป�ล์ม เพียงชนิดเดียวที่เป็นพืชในป่�ช�ยเลนและมีลำ�ต้นอยู่ใต้ดิน นับเป็นพืชเก่�แก่ม�กชนิดหนึ่ง ที่มีซ�ก ดึกดำ�บรรพ์อ�ยุถึง 70 ล้�นปี จ�กพบได้ทั่วไปในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในบริเวณนำ้�จืด และนำ้�กร่อย ที่มีนำ้�เค็มขึ้นถึง มักจะขึ้นเป็นดงขน�ดใหญ่ เรียกว่� ป่�จ�ก หรือ ดงจ�ก ส�ม�รถเติบโตได้ดี ในดินโคลนบริเวณป่�ช�ยเลน หรือบริเวณริมคลองที่มีไม้ให้ร่มเง�ปะปนอยู่ด้วย มักอยู่ในช่วงที่มีนำ้�จืด และนำ้�กร่อยปนกัน แต่บนบกที่นำ้�ท่วมถึงก็พบจ�กได้บ้�งเช่นกัน ห�กดินไม่แห้งแล้งน�นจนเกินไป มีคุณสมบัติกันยุงได้ นอกจ�กนี้พืชจ�กเป็นไม้ป่�ช�ยเลน ที่มีคว�มสำ�คัญในด้�นก�รอนุบ�ลสัตว์นำ้� ก�รปองกันก�รกัดเซ�ะของช�ยฝั่ง ขณะเดียวกันเป็นพืชที่ส�ม�รถนำ�ม�ใช้ประโยชน์ในหล�ยด้�นด้วยกัน อ�ทิ ใช้ใบห่อขนม ใช้ใบทำ�หลังค� รวมถึงผลจ�ก และนำ้�จ�กที่นิยมนำ�ม�รับประท�น เนื่องจ�กลูกจ�ก มีเนื้อนุ่ม หอมหว�น ส่วนนำ้�จ�กให้รสหอมหว�นเช่นกัน 1.3.1 ลักษณะการปลูกตนจาก ไรจาก หรือปาจาก ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ลักษณะก�รปลูกต้นจ�ก ไร่จ�ก หรือป่�จ�ก ส�ม�รถพบเห็นก�รปลูกจ�กอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ 1. ก�รปลูกไร่จ�กเก่� หรือไร่จ�กที่ตกทอดกันม�ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ไร่จ�กประเภทนี้เจ้�ของส�ม�รถ เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทันที 2. ก�รปลูกไร่จ�กใหม่ เป็นไร่จ�กที่มีก�รปลูกใหม่ในพื้นที่ว่�งเปล่�โดยเฉพ�ะพื้นที่น�กุ้งที่รกร้�ง ซึ่งปัจจุบัน มีแนวโน้มก�รปลูกต้นจ�กเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เป็นเพร�ะว่�ก�รทำ�น�ไม่ได้ผล ช�วบ้�นจึงต้องหันม�ปลูกจ�ก แทนซึ่งจะให้ผลผลิตสูงกว่�ม�กก�รปลูกต้นจ�กในไร่จ�กใหม่ ก�รปลูกไร่จ�กใหม่ เริ่มด้วยก�รคัดเลือกจ�กพันธุ์ดี คือ พันธุ์ที่ให้นำ้�หว�นจ�กม�ก วิธีก�รคัดเลือก โดยทั่วไปจะสังเกตจ�กต้นเดิมที่ให้นำ้�หว�นม�กกว่�ต้นอื่น ๆ ในไร่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน เมื่อได้แล้ว จะนำ�ผลจ�กม�เพ�ะเพื่อจะเอ�ไปปลูกต่อไป ก�รเพ�ะพันธุ์จ�กทำ�โดยนำ�ผลจ�กที่คัดเลือกไว้แล้วซึ่ง จะต้องเป็นผลที่แก่จัดม�ตั้งเรียงในที่ชื้นแฉะ ก�รเรียงนั้นต้องเอ�ส่วนที่เรียกว่� ท้�ยปักลงดิน ทั้งนี้เพื่อ ให้หน่องอกขึ้นบนแต่ในปัจจุบันช�วบ้�นนิยมหันม�เพ�ะในถุงพล�สติก เพร�ะสะดวกในก�รนำ�ไปปลูก แต่วิธีก�รนี้จะต้องรดนำ้�ทุกวัน ก�รเพ�ะพันธุ์จ�กจะต้องใช้เวล� 2 เดือน จึงจะมีหน่องอกออกม�และ เมื่อหน่อแตกใบย�วประม�ณ 15 เซนติเมตร ส�ม�รถนำ�ไปปลูกได้ 1.3.2 สายพันธุตนจากในทองถิ่น จังหวัดนครศรีธรรมราช เอกลักษณ์พันธุกรรมและจำ�แนกคว�มแตกต่�งของส�ยพันธุ์ต้นจ�กยังไม่มีผู้ทำ�ก�รระบุเอกลักษณ์ ท�งพันธุกรรมและจำ�แนกคว�มแตกต่�งของส�ยพันธุ์ต้นจ�กในประเทศไทยม�ก่อน ซึ่งโดยทั่วไปช�วไร่จ�ก จะใช้วิธีก�รเรียกชื่อต้นจ�กต�มอัตลักษณ์ของพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมร�ชมีก�รตั้งชื่อส�ยพันธุ์จ�ก ภ�ชนะที่รองรับนำ้�หว�น ได้แก่ 1. อีเพล้ง คือชื่อเรียกโอ่งดินเผ� หรือ อ่�งดินเผ� ทรงเตี้ย ในภ�ษ�ใต้ในสมัยก่อน 2. อีแลง หรือ แลง เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในก�รตวงหรือตัก เช่น ตวงนำ้�หรือตวงข้�วส�ร ซึ่งในสมัยภ�ษ�ใต้ ในสมัยก่อนเมื่อจะซื้อ - ข�ย ข้�วส�ร ก็จะถ�มว่�จะซื้อกี่แลง เป็นต้น ซึ่ง 2 ส�ยพันธุ์ข้�งต้นนี้ต่�งกันที่ปริม�ณนำ้�หว�นที่ป�ดออกม�จ�กต้น แต่ห�กมองลักษณะต้น ด้วยต�เปล่�แล้วไม่ส�ม�รถแยกคว�มแตกต่�งของพันธุ์ออกจ�กกันได้ แต่ห�กเปรียบเทียบคว�มย�ว ของช่อดอกแล้ว 2 ส�ยพันธุ์นี้จะมีช่อดอกที่สั้นกว่� พันธุ์ชิงช�ลี 3. ชิงช�ลี ลักษณะโดยรวม คือ มีก้�นช่อดอกย�ว คล้�ยงวง และให้นำ้�หว�นม�ก ให้นำ้�หว�นเร็ว อย่�งต่อเนื่อง รวมทั้งให้นำ้�หว�นได้ม�กกว่�พันธุ์อีเพล้ง 031


4. หน�มทุเรียน มีลักษณะโดนเด่นที่ช่อผลคล้�ยลูกทุเรียน ก้�นช่อดอกสั้นและแข็งแรง 5. อึ่งอ่�ง เป็นพันธุ์ที่ส่วนของ ก�บใบหรือพอนมีขน�ดอ้วนและใหญ่ ซึ่งในปัจจุบันไม่ส�ม�รถห�พันธุ์นี้ได้ 6. อีทองพริ้ม ก็ไม่ส�ม�รถห�ต้นได้และเมื่อถ�มผู้เฒ่�ในหมู่บ้�นได้รับคำ�ตอบว่� เคยได้ยิน แต่ไม่ส�ม�รถ ระบุต้นได้ว่�คือต้นไหน ภ�พที่ 14 ลักษณะของพันธุ์จ�ก (อีเพล้ง) ภ�พที่ 16 ลักษณะของพันธุ์ชิงช�ลี อ�ยุ 20 ปี ภ�พที่ 17 ลักษณะของพันธุ์หน�มทุเรียน ภ�พที่ 15 ลักษณะของพันธุ์จ�ก (อีแลง) จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 032


จ�กที่กล่�วม�ในข้�งต้นพืชจ�กยังไม่มีก�รจำ�แนกส�ยพันธุ์ที่ชัดเจน ดังนั้นเพื่อให้ได้ข้อมูลของ ส�ยพันธุ์จ�กที่ชัดเจนและเพื่อเป็นข้อมูลฐ�นทรัพย�กรพื้นฐ�นของประเทศ รวมไปถึงเพื่อต้องก�รระบุ ก�รเป็น GI ของพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง จึงจำ�เป็นที่จะต้องระบุเอกลักษณ์ท�งพันธุกรรมและจำ�แนก คว�มแตกต่�งของส�ยพันธุ์ต้นจ�กในพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง โดยใช้ก�รค้นห�เครื่องหม�ยโมเลกุลในรูปแบบของ สนิปส์ (single nucleotide polymorphism, SNP) ด้วยเทคนิค Genotyping by Sequencing (GBS) 1.3.3 การจําแนกความแตกตางของสายพันธุจากโดยใช Genotyping by sequencing (GBS) การสกัดดีเอ็นเอ ในก�รศึกษ�ครั้งนี้ได้ทำ�ก�รสกัดดีเอ็นเอจ�กใบพืชจ�กจำ�นวน 24 ตัวอย่�งในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัด นครศรีธรรมร�ช ต�มวิธีดัดแปลงม�จ�ก Doyle และ Doyle (1987) ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ในก�รสกัดใบ ป�ล์มนำ้�มัน ผลก�รสกัดดีเอ็นเอพบว่� วิธีนี้ส�ม�รถนำ�ม�ใช้ในก�รสกัดดีเอ็นของใบจ�กได้ดี แม้ว่�ใบจ�ก จะมีลักษณะที่ค่อนข้�งแข็งกว่�ใบป�ล์มนำ้�มันก็ต�ม คว�มเข้มข้นของดีเอ็นเอที่สกัดได้เพียงพอต่อก�รนำ�ไปทำ� GBS ส่วนคุณภ�พดีเอ็นเอส่วนใหญ่อัตร�ส่วนของก�รดูดกลืนแสงที่ A260/A280 อยู่ในช่วง 1.8 ถึง 2.0 ซึ่งแสดงว่�ดีเอ็นเอส่วนใหญ่มีคุณภ�พดี ส�ม�รถนำ�ไปใช้ทำ� GBS ต่อไปได้ การวิเคราะหความแตกตางของสายพันธุ จ�กก�รศึกษ�คว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมของต้นพืชจ�กในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช ด้วยวิธี genotyping by sequencing (GSB) ได้ข้อมูลดิบ (raw data) จำ�นวน 8.614G จ�กจำ�นวน ตัวอย่�งทั้งหมด 24 ตัวอย่�ง และเมื่อเรียงลำ�ดับจ�กก�รรันครั้งนี้โดยสร้�งข้อมูลที่สะอ�ด (clean read) โดยก�รกรองเอ�ข้อมูลที่มีคุณภ�พตำ่�ออก ทำ�ให้ได้ข้อมูลทั้งหมด 8.611G คิดเป็นร้อยละ 99.96 ของจำ�นวน ข้อมูลดิบทั้งหมด โดยข้อมูลดิบที่ได้สำ�หรับแต่ละตัวอย่�งอยู่ระหว่�ง 203.853 M ถึง 469.371 M (ต�ร�งที่ 3) ซึ่งบ่งบอกถึงปริม�ณก�รผลิตข้อมูลที่เพียงพอ เนื่องจ�กค่� Q20 และ Q30 สูงถึง 93.1% และ 83.08% ต�มลำ�ดับ โดยคุณภ�พก�รจัดลำ�ดับส�ม�รถตอบสนองคว�มต้องก�รในก�รวิเคร�ะห์ ที่เหม�ะสม โดยมีค่� GC content อยู่ที่ 37.09% ถึง 38.99% ซึ่งอยู่ในช่วงก�รกระจ�ยปกติ จึงเป็นไปต�ม ม�ตรฐ�นคุณภ�พ สรุปได้ว่� ก�รสร้�งห้องสมุดและขั้นตอนก�รจัดลำ�ดับประสบคว�มสำ�เร็จและ มีคว�มน่�เชื่อถือสูง หลังจ�กวิเคร�ะห์คว�มแตกต่�งของนิวคลีโอไทด์แต่ละตำ�แหน่งจ�กตัวอย่�งทั้งหมด 24 ตัวอย่�ง และลบตำ�แหน่งที่ไม่ชัดเจนออก พบสนิปทั้งหมดจำ�นวน 11,368 ตำ�แหน่ง ดังแสดงในต�ร�งที่ 1 ทั้งนี้พบว่� ก�รแทนที่เบส (base pair substitution) ส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.08 เป็นก�รแทนที่แบบทร�นซิชั่น (transition) คือ พิวรีน (purine) เป็นพิวรีน และไพริมิดีน (pyrimidine) ไปเป็นไพริมิดีน (A/G, C/T) ส่วนก�รแทนที่แบบ ทร�นสเวอร์ชั่น (transversion) คือจ�กพิวรีนไปเป็นไพริมิดีน (A/C, A/T, C/G และ G/T) พบเพียงร้อยละ 29.92 โดยรูปแบบที่แพร่หล�ยม�กที่สุดที่พบคือ A/G (35.66%) และประเภท ก�รเปลี่ยนแปลงที่พบน้อยที่สุดคือ C/G คิดเป็นเพียงร้อยละ 4.83 ของคว�มหล�กหล�ยทั้งหมด (ต�ร�งที่ 1) Total number of SNPs 11,368 100% Transition A/G C/T Transversion A/C A/T C/G G/T 4,054 4,026 904 876 549 959 35.66 35.42 7.95 7.71 4.83 8.44 ต�ร�งที่ 2 ผลวิเคร�ะห์คว�มแตกต่�งของนิวคลีโอไทด์ของต้นจ�ก 033


เมื่อนำ�สนิปส์ทั้งหมด (11,368 ตำ�แหน่ง) ม�ศึกษ�วิวัฒน�ก�รและคว�มหล�กหล�ย (phylogenetic tree) ของต้นจ�ก จำ�นวน 24 ตัวอย่�ง โดยใช้เทคนิคก�รจัดกลุ่มแบบ Neighbor Joining Tree ด้วยก�ร จำ�ลอง 1,000 ร�ยก�ร (bootstrap 1,000 replicates) พบต้นไม้วิวัฒน�ก�รที่เหม�ะสมที่สุดที่มีผลรวม ของคว�มย�วกิ่ง เท่�กับ 0.61335936 ดังแสดงในภ�พที่ 18 ซึ่งส�ม�รถจำ�แนกชนิดของต้นจ�กทั้ง 24 ต้นได้ แต่ต้นจ�กทั้ง 24 ต้นมีคว�มคล้�ยกันม�กท�งส�ยบรรพบุรุษ (Phylogeny) จึงได้นำ�สนิปส์ ทั้งหมด (11,368 SNPs) ม�ทำ�ก�ร alignment อีกครั้งพบว่� สนิปส์มีคว�มคล้�ยกันในต้นจ�กแต่ละต้น ภ�พที่ 18 คว�มคล้�ยคลึงกันระหว่�งกลุ่มของสนิปส์ (SNPs) ต้นจ�กจำ�นวน 24 ตัวอย่�ง เมื่อทำ�ก�รวิเคร�ะห์ด้วย Multiple SNPs Alignment จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 034


จ�กผลก�รจำ�แนกส�ยพันธุ์จ�กข้�งต้นพบว่�ต้นจ�กที่พบในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช ไม่มีคว�มแตกต่�งกัน ดังนั้นผู้วิจัยได้ไปเก็บตัวอย่�งต้นจ�กในพื้นที่จังหวัดตรัง สุร�ษฎร์ธ�นี ตร�ด สมุทรปร�ก�ร และฉะเชิงเทร� ม�ทำ�ก�รศึกษ�เพิ่มเติม เพื่อต้องก�รให้ทร�บว่�ต้นจ�กในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จะมีคว�มแตกต่�งจ�กต้นจ�กในจังหวัดอื่น ๆ หรือไม่ ดังนั้นก�รศึกษ�นี้จึงมีตัวอย่�งจ�กที่เก็บจ�กจังหวัด ต่�ง ๆ จำ�นวน 6 จังหวัด ดังแสดงในต�ร�งที่ 3 แหลงที่มา จํานวนตัวอยาง (ตน) รหัสตัวอยาง นครศรีธรรมร�ช ตรัง สมุทรปร�ก�ร สุร�ษฎร์ธ�นี ฉะเชิงเทร� ตร�ด รวม 24 2 3 3 3 2 37 NST1-24 TRG1, TRG3 SPK1-3 SNI1-3 CCO1-3 TRT1, TRT2 ต�ร�งที่ 3 แหล่งที่ม�และจำ�นวนประช�กรจ�ก ที่ใช้ในก�รศึกษ�คว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมของจ�ก ผลก�รวิเคร�ะห์คว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมในประช�กรจ�ก จำ�นวน 37 ตัวอย่�ง จ�ก 6 จังหวัด โดยใช้เครื่องหม�ยสนิป ด้วยเทคนิค GBS พบจำ�นวนเบสทั้งหมด 14.8 Gb โดยมีจำ�นวนเบสในจีโนม แต่ละตัวอย่�งอยู่ในช่วง 203 - 618 Mb มีค่�เฉลี่ยอยู่ที่ 401 Mb และมีเปอร์เซ็นต์ CG content อยู่ในช่วง 36.38 - 38.99% มีค่�เฉลี่ยเท่�กับ 38.20% เมื่อทำ�ก�รวิเคร�ะห์สนิปที่เกิดขึ้นในจีโนมต้นจ�ก พบจำ�นวนสนิปทั้งหมด 20,132 ตำ�แหน่ง โดยพบ ก�รแทนที่เบส (base pair substitution) ม�กที่สุดร้อยละ 70 เบสส่วนใหญ่จะแทนที่แบบทร�นซิชั่น (transition) คือ พิวรีน (purine) เป็นพิวรีน และจ�กไพริมิดีน (pyrimidine) ไปเป็นไพริมิดีน (A/G, C/T) ส่วนก�รแทนที่แบบทร�นสเวอร์ชั่น (transversion) คือ จ�กพิวรีนไปเป็นไพริมิดีน (A/C, A/T, C/G และ G/T) พบเพียงร้อยละ 30 โดยรูปแบบที่พบม�กที่สุดคือ A/G (ร้อยละ 35.03) และประเภทก�รเปลี่ยนแปลง ที่พบน้อยที่สุดคือ C/G คิดเป็นร้อยละ 4.89 ของคว�มหล�กหล�ยทั้งหมด จ�กก�รศึกษ�ระยะห่�งท�งพันธุกรรม (ค่� Neis genetic distance; DA) ระหว่�งประช�กร จ�กที่เก็บจ�กจังหวัดนครศรีธรรมร�ช ตรัง สุร�ษฎร์ธ�นี สมุทรปร�ก�ร ฉะเชิงเทร� และตร�ด มีค่�อยู่ ระหว่�ง 0.009148 ถึง 0.305231 ซึ่งผลของระยะห่�งท�งพันธุกรรมนี้ชี้ให้เห็นว่� คว�มหล�กหล�ย ท�งพันธุกรรมระหว่�งประช�กรพืชจ�กอยู่ในระดับตำ่� โดยเฉพ�ะประช�กรพืชจ�กในจังหวัดนครศรีธรรมร�ช สุร�ษฎร์ธ�นี สมุทรปร�ก�ร ฉะเชิงเทร� และตร�ด มีค่�ระยะห่�งท�งพันธุกรรมอยู่ระหว่�ง 0.009148 ถึง 0.073224 ในขณะที่ระยะห่�งดังกล่�วของกลุ่มนี้ห่�งจ�กประช�กรจ�กจังหวัดตรัง เท่�กับ 0.305231 (ต�ร�งที่ 4) 035


จังหวัด นครศรีธรรมร�ช สุร�ษฎร์ธ�นี สมุทรปร�ก�ร ฉะเชิงเทร� ตร�ด ตรัง นครศรีธรรมร�ช สุร�ษฎร์ธ�นี สมุทรปร�ก�ร ฉะเชิงเทร� ตร�ด ตรัง 0.045012 0.045012 0.035499 0.045012 0.035499 0.009148 0.073224 0.073224 0.073224 0.073224 0.305231 0.305231 0.305231 0.305231 0.305231 ต�ร�งที่ 4 ระยะห่�งท�งพันธุกรรมของประช�กรจ�กในจังหวัดต่�ง ๆ ก�รศึกษ�คว�มสัมพันธ์และคว�มใกล้ชิดท�งพันธุกรรมของต้นจ�กในจังหวัดนครศรีธรรมร�ช และ จังหวัดอื่น ๆ จำ�นวน 6 จังหวัด โดยมีประช�กรจ�ก จำ�นวน 37 ตัวอย่�ง ด้วยเทคนิค GBS ซึ่งเป็น เทคนิคที่ใช้ในก�รค้นห�เครื่องหม�ยโมเลกุลสนิปแบบทั่วทั้งจีโนม (genome-wide SNP discovery) โดยใช้เอนไซม์ตัดจำ�เพ�ะ (restriction enzyme) ร่วมกับเทคโนโลยี Next Generation Sequencing (NGS) ในก�รห�ลำ�ดับเบส เทคนิค GBS ส�ม�รถค้นห�ลำ�ดับเบสและจีโนไทปสนิปได้ในขั้นตอนเดียว ส�ม�รถค้นห�สนิปได้ม�กถึง 100,000 ตำ�แหน่งจ�กจีโนม จึงส�ม�รถนำ�ม�ประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิต ได้ทุกสปีชีย์ (He et al., 2014) ในพืช GBS ถูกนำ�ม�ประยุกต์ใช้ในก�รค้นห�เครื่องหม�ยโมเลกุลสนิป ในก�รปรับปรุงพันธุ์พืช เช่น ข้�วโพด ข้�วส�ลี ข้�วบ�ร์เลย์ ข้�ว มันฝรั่ง และ มันสำ�ปะหลัง เป็นต้น นอกจ�กนี้เทคนิค GBS ยังมีประโยชน์อย่�งยิ่งในก�รพัฒน�เครื่องหม�ยโมเลกุลสนิปสำ�หรับใช้เป็น เครื่องหม�ยดีเอ็นเอในก�รคัดเลือกส�ยพันธุ์ (Marker-Assisted Selection, MAS) (Chung et al., 2017; Peterson et al., 2014; Poland and Rife, 2012; van Poecke et al., 2013) เนื่องจ�ก ค่�ใช้จ่�ยไม่สูง และให้ข้อมูลจำ�นวนม�กในครั้งเดียว ดังนั้นผู้วิจัยจึงนำ�เทคนิค GSB ม�ใช้ในก�รศึกษ�นี้ ในส่วนก�รของต้นจ�กมีก�รศึกษ�คว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมโดยก�รใช้เครื่องหม�ยโมเลกุลดีเอ็นเอ อื่น ๆ เช่น SSR, ISSR, AFLP, RAPD, RFLP (Jian et al., 2010; Prani et al., 1998; Tsuji et al., 2016) แต่ยังไม่ร�ยง�นก�รนำ�เทคนิค GSB ม�ใช้ในก�รจำ�แนกส�ยพันธุ์ ก�รศึกษ�เครื่องหม�ยโมเลกุลสนิปในจ�ก จำ�นวน 37 ตัวอย่�ง พบว่� จ�กมีขน�ดจีโนมประม�ณ 400 เมกะเบส และพบจำ�นวนเครื่องหม�ยโมเลกุลสนิป จำ�นวน 20,132 ตำ�แหน่ง ขณะที่ก�รศึกษ� คว�มสัมพันธ์ระหว่�งลำ�ดับเบสที่แตกต่�งกันในจีโนมของป�ล์มนำ้�มันต่อลักษณะฟีโนไทปหนึ่ง ๆ ที่มี คว�มแตกต่�งกัน (Genome-wide association study, GWAS) พบสนิปจำ�นวน 131,825 ตำ�แหน่ง ครอบคลุมโครโมโซมทั้งหมดของป�ล์ม (Osorio-Guarin et al., 2019) นอกจ�กนี้ He และคณะ (2015) ศึกษ�ข้อมูลก�รถอดรหัสยีนในจ�กด้วยวิธีห�ลำ�ดับเบสของอ�ร์เอ็นเอ (RNA-sequencing) พบว่� จ�กมียีนม�กกว่� 45,368 ยีน ในก�รศึกษ�คว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมของจ�ก จำ�นวน 37 ตัวอย่�ง จ�กประช�กรจ�ก 6 แหล่ง โดยใช้เครื่องหม�ยโมเลกุลสนิป ด้วยเทคนิค GBS ถือได้ว่� เป็นครั้งแรกและยังไม่มีร�ยง�นในก�รศึกษ� และทดลองม�ก่อนในประเทศไทย จ�กก�รเปรียบเทียบเครื่องหม�ยโมเลกุลสนิปทั้งหมด 20,132 ตำ�แหน่ง พบว่� จ�กในจังหวัดนครศรีธรรมร�ชมีคว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมตำ่� มีพันธุกรรมใกล้เคียงกับจ�ก ที่พบในจังหวัดที่อยู่ติดทะเลฝั่งอ่�วไทย ได้แก่ จังหวัดสุร�ษฎร์ธ�นี สมุทรปร�ก�ร ฉะเชิงเทร� และตร�ด และมีคว�มแตกต่�งกันเล็กน้อยเมื่อเทียบกับจ�กจ�กจังหวัดตรัง โดยพบเครื่องหม�ยโมเลกุลสนิปใน ประช�กรจ�กจ�กจังหวัดตรังที่มีจีโนไทปต่�งออกไปจำ�นวน 1,791 ตำ�แหน่ง คิดเป็นร้อยละ 8.89 สอดคล้องกับก�รศึกษ�คว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมของประช�กรจ�ก จำ�นวน 183 ตัวอย่�งจ�ก 6 แหล่ง ได้แก่ ประเทศจีน 4 แหล่ง ประเทศไทย และเวียดน�ม อย่�งละแหล่ง ด้วยเครื่องหม�ย SSR และ ISSR พบว่� ประช�กรจ�กจ�กทั้ง 6 แหล่ง มีคว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมตำ่�ม�ก (Jian et al., 2010) ซึ่งอ�จเกิดจ�กปร�กฏก�รณ์คอขวด (Bottlenecks effect) เนื่องจ�กสภ�วะแวดล้อมไม่เอื้ออำ�นวน ต่อก�รมีชีวิตรอดของจ�กในยุคนำ้�แข็ง หรืออ�จเกิดจ�กก�รเปลี่ยนแปลงคว�มถี่ยีนอย่�งไม่เจ�ะจง (Founder effects) เป็นต้น จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 036


เมื่อวิเคร�ะห์ระยะห่�งท�งพันธุกรรม โดยใช้ UPGMA และ Neighbor-joining analysis เพื่อสร้�ง ต้นไม้วิวัฒน�ก�ร โดยอ�ศัย Neis genetic distance (D ) ให้ผลที่สอดคล้องเหมือนกัน คือ ประช�กรจ�ก ที่อยู่จังหวัดใกล้เคียงกันและอยู่ในทะเลฝั่งอ่�วไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน มีคว�มหล�กหล�ยท�ง พันธุกรรมตำ่�ม�ก ซึ่งอ�จจะเป็นจ�กที่มีบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ไปเจริญเติบโตและขย�ยพันธุ์ในพื้นที่ต่�ง ๆ โดยอ�ศัยก�รพัดพ�ของลมและนำ้�ในทะเล ส่วนประช�กรจ�กที่อยู่ในฝั่งทะเลอันด�มันจะถูกจัดให้อยู่ อีกกลุ่มนึง โดยกลุ่มดังกล่�วมีก�รแยกตัวออกม�เนื่องจ�กมีพื้นดิน เมื่อเวล�ผ่�นไปย�วน�นเกิดก�ร กล�ยพันธุ์หล�ย ๆ ครั้งจนทำ�ให้มีคว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรมต่�งจ�กอีกกลุ่ม (polymorphism) นอกจ�กนี้ ก�รที่จ�กมีคว�มหล�ยหล�ยท�งพันธุกรรมน้อยอ�จเนื่องม�จ�ก ก�รขย�ยพันธุ์ของต้นจ�ก โดยทั่วไปกอจ�กจะมีลำ�ต้นเลื้อยไปต�มใต้ดิน (rootstock) แล้วแตกหน่อใหม่ ทำ�ให้ต้นจ�กอ�จขึ้นเป็นกลุ่ม ชนิดเดียว หรือขย�ยพันธุ์ด้วยผล ในสภ�พธรรมช�ติ ผลของจ�กเมื่อแก่เต็มที่จะหลุดร่วงจ�กทะล�ย โดยก�รแทงหน่อ (plumule) จนผลหลุดจ�กทะล�ย จึงมีลักษณะเป็น viviparous seed ที่มีก�รงอกแบบ hypogeal เมื่อผลตกลงสู่พื้นเลนแฉะ หรือลอยต�มน้ำ�จนไปติดช�ยฝั่งก็จะงอกเป็นต้นอ่อนและเจริญเติบโต ต่อไป 1.4 เอกลักษณเชิงสุขภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ น้ําตาลจาก (จุลีกรณ นวนมุสิก และคณะ) ที่ร�บลุ่มแม่นำ้�ป�กพนัง ตั้งอยู่ในพื้นที่ภูมิอ�ก�ศร้อนชื่นแถบกึ่งกล�งค�บสมุทรมล�ยูระหว่�ง มห�สมุทรอินเดียและมห�สมุทรแปซิฟิกและอยู่ท�งตอนใต้ของจังหวัดนครศรีธรรมร�ช ครอบคลุมพื้นที่ รวม 13 อำ�เภอ คือ พื้นที่ทั้งหมดของอำ�เภอป�กพนัง อำ�เภอเชียรใหญ่ อำ�เภอหัวไทร อำ�เภอเฉลิมพระเกียรติ อำ�เภอชะอวด อำ�เภอร่อนพิบูลย์ อำ�เภอจุฬ�ภรณ์ พื้นที่บ�งส่วนของอำ�เภอล�นสก� อำ�เภอพระพรหม และอำ�เภอเมืองนครศรีธรรมร�ช จังหวัดนครศรีธรรมร�ช รวมทั้งพื้นที่บ�งส่วนของอำ�เภอควนขนุน อำ�เภอป่�พะยอม จังหวัดพัทลุง และอำ�เภอระโนด จังหวัดสงขล� รวมพื้นที่ประม�ณ 1.9 ล้�นไร่ เป็นพื้นที่น�กว่� 500,000 ไร่ มีประช�กร ประม�ณ 600,000 คน และแม่นำ้�ป�กพนังเป็นแม่นำ้�ส�ยหลัก และลำ�คลองส�ข�อีก 119 ส�ย รวมคว�มย�วทั้งสิ้นกว่� 700 กิโลเมตร ในอดีตลุ่มนำ้�ป�กพนังมีคว�ม อุดมสมบูรณ์ และมีคว�มหล�กหล�ยท�งชีวภ�พสูงทุกนิเวศ ถูกประส�นเกี่ยวโยงต่อกันอย่�งสมดุล ด้วยนิเวศแหล่งนำ้� เป็นอู่ข้�วอู่นำ้�ที่สำ�คัญของภ�คใต้ จ�กก�รศึกษ�ค่�ดัชนีนำ้�ต�ลของนำ้�ต�ลจ�ก ซึ่งเป็นนำ้�ต�ลเอกลักษณ์ท้องถิ่นของพื้นที่อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช เพื่อใช้เป็นนำ้�ต�ลท�งเลือกสำ�หรับลดคว�มรุนแรงหรือปองกันโรคเบ�หว�น เปรียบเทียบกับนำ้�ต�ลโตนด นำ้�ผึ้ง นำ้�ต�ลทร�ย และนำ้�ต�ลกลูโคส พบว่�นำ้�ต�ลที่มีดัชนีนำ้�ต�ลตำ่�คือ นำ้�ต�ลจ�ก นำ้�ต�ลโตนด และนำ้�ผึ้ง มีค่�ดัชนีนำ้�ต�ลเท่�กับ 38.7% 43.3% และ 46.7% ต�มลำ�ดับ ขณะที่นำ้�ต�ลทร�ยมีค่�ดัชนีนำ้�ต�ลป�นกล�ง เท่�กับ 60.6% ทั้งนี้เมื่อพิจ�รณ�องค์ประกอบของ นำ้�ต�ลจ�ก นำ้�ต�ลโตนด และนำ้�ผึ้งหลวง ซึ่งมีค่�ดัชนีนำ้�ต�ลจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน พบว่�นำ้�ต�ลจ�ก และนำ้�ต�ลโตนด มีปริม�ณองค์ประกอบเป็นนำ้�ต�ลซูโครสเป็นหลักขณะที่ปริม�ณนำ้�ต�ลฟรุกโทสน้อยกว่� นำ้�ผึ้งหลวง ประม�ณ 5 เท่� ซึ่งนำ้�ต�ลฟรักโทสเป็นบทบ�ทสำ�คัญของนำ้�ผึ้งที่มีผลทำ�ให้ก�รเข้�สู่ กระแสเลือดตำ่� เพร�ะนำ้�ต�ลฟรักโทสมีผลเข้�สู่กระแสเลือดช้�แต่มีผลเสียต่อสุขภ�พสูงม�กในระยะย�ว เนื่องนำ้�ต�ลฟรุกโทสที่เหลือใช้จะถูกนำ�ไปเก็บที่ตับในรูปของไขมัน ซึ่งถ้�รับประท�นในปริม�ณม�ก ก็จะเกิดภ�วะไขมันแทรกตับ ซึ่งห�กไขมันแทรกตับเป็นเวล�น�น ส่งผลให้เซลล์ตับแตกเสียห�ยเป็น ตับอักเสบ ตับก็จะพย�ย�มซ่อมด้วยก�รแทรกพังผืดเข้�ทำ�ให้กล�ยเป็นตับแข็ง และภ�วะตับแข็งนี้จะนำ�ไปสู่ 037


ก�รเป็นมะเร็งตับได้ ดังนั้นก�รบริโภคนำ้�ผึ้งถึงแม้จะมีค่�ดัชนีนำ้�ต�ลตำ่� แต่ก็ต้องรับประท�นในปริม�ณที่ เหม�ะสม ต�ร�งที่ 5 องค์ประกอบท�งเคมีของนำ้�ต�ลที่ใช้สำ�หรับก�รศึกษ�ค่�ดัชนีนำ้�ต�ล สารอาหาร* (ปริมาณ/100กรัม) ชนิดของนํ้าตาล นํ้าตาลกลูโคส นํ้าตาลจาก นํ้าผึ้ง นํ้าตาลทราย นํ้าตาลโตนด พลังง�น (กิโลแคลอรี) คว�มชื้น (กรัม) โปรตีน (กรัม) ไขมันทั้งหมด (กรัม) ค�ร์โบไฮเดรตทั้งหมด (กรัม) ใยอ�ห�ร (กรัม) เถ้� (กรัม) นำ้�ต�ลทั้งหมด (กรัม) นำ้�ต�ลกลูโคส (กรัม) นำ้�ต�ลฟรักโทส (กรัม) นำ้�ต�ลซูโครส (กรัม) ฟรุกแทน (กรัม) ฟรุกโตโอลิโกแซ็กค�ไรด์ (กรัม) 365±1 8.69±0.06 ND ND 91.3±0.2 ND ND 91.3±0.2 91.3±0.2 ND ND ND ND 266±3 31.4±0.7 1.10±0.00 ND 65.4±0.7 0.38±0.01 2.08±0.03 65.2±0.5 11.8±0.4 8.4±1.0 44.9±1.1 0.65±0.05 0.67±0.06 333±0 16.6±0.0 0.28±0.01 ND 83.0±0.3 0.01±0.00 0.09±0.00 82.0±0.0 33.1±0.3 41.9±0.2 ND - - 399±0 0.13±0.00 0.05±0.00 ND 99.8±0.1 0.00±0.00 0.02±0.00 99.2±0.1 ND ND 99.2±0.1 ND ND 372±0 5.2±0.1 1.50±0.00 ND 91.7±0.1 0.20±0.00 1.60±0.00 94.2±1.0 6.9±0.0 4.4±0.0 83.2±1.4 - - ดังนั้นส�ม�รถสรุปได้ว่� นำ้�ต�ลจ�กและนำ้�ต�ลโตนด เป็นนำ้�ต�ลที่มีค่�ดัชนีนำ้�ต�ลตำ่�และส�ม�รถ นำ�ม�ใช้เป็นนำ้�ต�ลท�งเลือกที่ดี เนื่องจ�กนำ้�ต�ลจ�กและนำ้�ต�ลโตนดที่มีผลในก�รเข้�สู่กระแสเลือด อย่�งช้� ๆ ในปริม�ณตำ่� จะมีผลต่อก�รตอบสนองท�งชีวเคมีที่สมดุล กล่�วคือตับอ่อนไม่ต้องทำ�ง�นหนัก ในก�รหลั่งอินซูลินออกม�ในปริม�ณม�กอย่�งรวดเร็ว ซึ่งเป็นส�เหตุสำ�คัญที่ทำ�ให้เกิดคว�มเสียห�ย ของเบต้�เซลล์ในตับอ่อน ทำ�ให้เกิดโรคเบ�หว�นหรือเพิ่มคว�มรุนแรงของโรคต�มม�ได้ นอกจ�กนี้ ก�รที่นำ้�ต�ลจ�กและนำ้�ต�ลโตนดมีผลเข้�สู่กระแสเลือดช้� จะมีบทบ�ทสำ�คัญในก�รทำ�ง�นของสมอง ส่วนควบคุมระดับคว�มหิวอิ่ม จ�กก�รประเมินระดับคว�มรู้สึกหิว อิ่ม และคว�มอย�กรับประท�นอ�ห�ร ตลอด 4 ชั่วโมง (240 น�ที) หลังดื่มนำ้�ต�ลแต่ละชนิด พบว่�ก�รระดับคว�มรู้สึกอย�กรับประท�นอ�ห�ร หิว และอิ่ม กลุ่มตัวอย่�งมีระดับคว�มรู้สึกในระดับที่ดี ม�กกว่�หลังดื่มส�รละล�ยกลูโคส และนำ้�ต�ลทร�ย และจ�กผลก�รศึกษ�ปริม�ณแร่ธ�ตุ พบว่� นำ้�ต�ลจ�กที่ผ่�นก�รเคี่ยวให้เหลือคว�มเข้มข้นเป็น 1 ใน 3 ของนำ้�หว�นจ�กต้นจ�ก จะมีปริม�ณธ�ตุโพแทสเชียม (K) สูงที่สุด คือ 735+4 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม รองลงม�คือธ�ตุโซเดียมและฟอสฟอรัส เท่�กับ 311+10 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และ 37.2+ 1.8 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม ต�มลำ�ดับ แสดงให้เห็นว่� นำ้�ต�ลจ�กมีรสช�ติเค็มจ�กก�รมีส่วนประกอบของโพแทสเซียม และโซเดียม โดยมีแร่ธ�ตุโพแทสเซียมม�กกว่�โซเดียม ซึ่งโพแทสเซียมเป็นแร่ธ�ตุที่ให้คว�มเค็มโดย ไม่ส่งผลเสียต่อก�รเพิ่มระดับคว�มดันโลหิต แต่มีส่วนช่วยลดระดับคว�มดันโลหิตได้จ�กกระบวนก�ร ที่มีส่วนขย�ยหลอดเลือดและขับโซเดียมจ�กร่�งก�ย แม้ว่�ง�นวิจัยจะพบว่�นำ้�ต�ลจ�กส�ม�รถนำ�ม�เป็น นำ้�ต�ลท�งเลือกแทนก�รรับประท�นนำ้�ต�ลทร�ยหรือนำ้�ผึ้งได้ แต่ยังคงต้องรับประท�นในปริม�ณที่น้อย จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 038


เท่�ที่จำ�เป็นเพื่อปองกันก�รได้รับปริม�ณนำ้�ต�ลและพลังง�นที่เกินปริม�ณที่กำ�หนด จ�กก�รวิเคร�ะห์ ปริม�ณก�รปนเปอนของนำ้�ต�ลจ�กในพื้นที่ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช พบว่� ตัวอย่�งนำ้�ต�ลจ�กไม่มีก�รปนเปอนของแร่ธ�ตุโลหะหนัก คือ แคดเมียม และตะกั่ว แสดงให้เห็นว่� พื้นที่ป่�จ�กที่เก็บตัวอย่�งนำ้�ต�ลจ�ก ไม่มีก�รสะสมของธ�ตุโลหะหนักที่เป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิต จ�กก�รศึกษ�พบว่� นำ้�ต�ลจ�กทั้งที่เติมไม้เคี่ยมและไม่เติมไม้เคี่ยมมีส�รต้�นอนุมูลอิสระในกลุ่ม ส�รประกอบฟินอลลิกและมีฤทธิ์ในก�รต้�นอนุมูลอิสระที่หล�กหล�ยแต่ไม่พบคุณสมบัติก�รต้�นจุลินทรีย์ อย่�งไรก็ต�มนำ้�ต�ลจ�กเข้มข้นมีอ�ยุก�รเก็บรักษ�ที่อุณหภูมิห้องและในตู้เย็นน�นม�กกว่� 1 ปี โดย ไม่เกิดก�รสูญเสียคุณภ�พด้�นก�ยภ�พ เคมีและจุลินทรีย์ที่เป็นอันตร�ยต่อผู้บริโภค แต่อย่�งไรก็ต�มพบว่� ผู้บริโภคให้ก�รยอมรับผลิตภัณฑ์นำ้�ต�ลจ�กเข้มข้นที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิตู้เย็นตลอดระยะเวล�ก�รเก็บรักษ� 12 เดือน ในระดับชอบป�นกล�ง (8.04 คะแนน) ในท�งกลับกันผู้บริโภคให้ก�รยอมรับผลิตภัณฑ์นำ้�ต�ลจ�ก เข้มข้นที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องในระดับชอบป�นกล�ง (8.10 คะแนน) สำ�หรับตัวอย่�งที่เก็บรักษ�ได้น�น แค่ 6 เดือนเท่�นั้น ก�รศึกษ�เอกลักษณ์เชิงสุขภ�พและคุณภ�พของผลิตภัณฑ์นำ้�ต�ลจ�กเป็นง�นวิจัยที่ก่อให้เกิด ก�รถ่�ยโอนคว�มรู้และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์สู่กลุ่มวิส�หกิจชุมชน โดยค้นห�จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ เชิงสุขภ�พของพืชท้องถิ่น ทำ�ให้ส�ม�รถยกระดับผลิตภัณฑ์นำ้�ต�ลจ�กเป็นส�รให้คว�มหว�นท�งเลือก ที่ดีต่อสุขภ�พ (Functional Alternative Sweeteners) กลุ่มวิส�หกิจชุมชน/กลุ่มเกษตรกรนำ�ผลก�รวิจัยไปใช้ประโยชน์ โดยนำ�ข้อมูลเอกลักษณ์เชิงสุขภ�พ และคุณภ�พของผลิตภัณฑ์นำ้�ต�ลจ�กไปยืนยันเอกลักษณ์เด่นของผลิตภัณฑ์เพื่อสร้�งคว�มเชื่อมั่นให้แก่ กลุ่มลูกค้�หรือผู้บริโภคได้ ทำ�ให้ผู้ประกอบก�รวิส�หกิจชุมชนมีโอก�สสร้�งร�ยได้และมีผลกำ�ไรท�งธุรกิจ เพิ่มขึ้นจ�กสถ�นก�รณ์ในปัจจุบัน ส�ม�รถเพิ่มมูลค่�ของผลิตภัณฑ์ได้สูงขึ้น เป็นก�รสร้�งคว�มแข็งแรง ของกลุ่มวิส�หกิจชุมชนฯ ได้ทั้งในเชิงอนุรักษ์ และเศรษฐกิจของชุมชนได้อย่�งยั่งยืนบนพื้นฐ�นก�ร เพิ่มมูลค่�ผลิตภัณฑ์ที่พัฒน�ม�จ�กวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นและส�ม�รถสร้�งผลิตภัณฑ์อ�ห�รที่เป็น เอกลักษณ์ซึ่งเป็นที่จดจำ�และก�รกล่�วขวัญ (Gimmick) ประจำ�อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ชได้ จ�กจุดเด่นข้อมูลเอกลักษณ์เชิงสุขภ�พและคุณภ�พของผลิตภัณฑ์นำ้�ต�ลจ�กได้รับคว�มสนใจจ�ก คุณ ธนเดช บริบูรณ์ธนกุล ผู้จัดก�รฝ่�ยข�ยตล�ดต่�งประเทศ ของบริษัท Happy to Be Health Co., Ltd. แนะนำ�ให้ต่อยอดเพื่อพัฒน�คุณภ�พกระบวนก�รผลิตไซรัปนำ้�ต�ลจ�ก โดยท�งบริษัท Happy to Be Health Co., Ltd. ยินดีเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในรูปแบบก�รห�ตล�ดเพื่อส่งออกผลิตภัณฑ์ให้กลุ่มวิส�หกิจ ในชุมชนผู้ผลิตนำ้�ต�ลจ�กในพื้นที่อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช 039


ชวงเดือน การใชประโยชน มกร�คม กุมภ�พันธ์ ถึง พฤษภ�คม มิถุน�ยน กรกฎ�คม และ ตุล�คม พฤศจิก�ยน ถึง ธันว�คม คัดเลือกทะล�ย บำ�รุงรักษ�ต้นจ�ก และเตรียมเชื้อเพลิง ป�ดนำ้�หว�น เพื่อทำ�นำ้�ต�ลจนหมดทะล�ยที่คัดเลือกไว้แล้วจึงพักแปลง ย้�ยแปลงใหม่ เตรียมทะล�ย บำ�รุงรักษ�และเตรียมเชื้อเพลิง เริ่มป�ดเอ�นำ้�หว�น เพื่อทำ�นำ้�ต�ลในแปลงใหม่โดยป�ดไปจนหมด ทะล�ยที่เตรียมไว้ หยุดก�รใช้ประโยชน์ เนื่องจ�กเป็นฤดูฝน มีนำ้�ท่วมขังในบริเวณป่�จ�ก แต่บ�งร�ยใช้เรือ ใช้ถุงพล�สติกหุ้มกระบอกกันฝน และทะล�ยไม่ลอยนำ้� จึงอ�จทำ�ได้ตลอดปี ต�ร�งที่ 6 แสดงปฏิทินก�รใช้ประโยชน์พืชจ�กในรอบ 1 ปี ก�รนำ�พ�ชุมชนสู่ก�รจัดก�รตนเองอย่�งยั่งยืนและเท่�ทันเพื่อก�รดำ�รงชีวิตแบบพออยู่พอกิน มุ่งสู่ก�รสร้�งคว�มเจริญในระดับสูงขึ้นไป โดยคำ�นึงถึงคว�มเหม�ะสมกับอัตภ�พให้ส�ม�รถพึ่งพ�ตนเอง ได้อย่�งยั่งยืน โครงก�รพัฒน�พื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนังฯ จึงร่วมกับประช�ชน ในพื้นที่ลุ่มแม่นำ้�ป�กพนัง ที่จะห�หนท�งปลูกฟนฟูป่�จ�ก โดยขอสนับสนุนงบประม�ณจ�กท�งร�ชก�ร ทำ�ล�ยคันน�กุ้งร้�งและ พื้นที่รกร้�งว่�งเปล่�ปรับเปลี่ยนม�ปลูกฟนฟูให้เป็นป่�จ�กดั้งเดิมซึ่งจะใช้เวล�ประม�ณ 5 ปี ระหว่�ง รอก�รเจริญเติบโตของต้นจ�ก ส�ม�รถปลูกพืชผักสวนครัวบริเวณขอบแปลงและศูนย์พัฒน�ประมง พื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนังอันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริ กรมประมงแจกจ่�ยพันธุ์ปล�เพื่อปล่อยในแปลงโดย ได้รับก�รสนับสนุนงบประม�ณจ�กสำ�นักง�นคณะกรรมก�รพิเศษเพื่อประส�นง�นโครงก�รอันเนื่องม�จ�ก พระร�ชดำ�ริ (สำ�นักง�น กปร.) เพื่อสงวนรักษ�คว�มรู้เกี่ยวกับก�รใช้ประโยชน์ของต้นจ�ก ปฏิบัติตน ในแนวท�งที่ควรจะเป็น ต�มหลักปรัชญ�เศรษฐกิจพอเพียงที่พระบ�ทสมเด็จพระเจ้�อยู่หัวทรงชี้แนะ ให้ยั่งยืนต่อไป 1.5 การศึกษาทดลองปลูกปาจากเพื่อฟนฟูนิเวศ ลุมน้ําปากพนัง (โครงการพัฒนาพื้นที่ลุมน้ําปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดนครศรีธรรมราช สวนประสานโครงการพระราชดําริและกิจการพิเศษ) ลุ่มนำ้�ป�กพนัง เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับพระมห�กรุณ�ธิคุณจ�กพระบ�ทสมเด็จพระเจ้�อยู่หัว ในก�รพระร�ชท�นแนวพระร�ชดำ�ริเพื่อฟนฟูและพัฒน�พื้นที่ รวมถึงวิถีชีวิตคว�มเป็นอยู่ของร�ษฎร ให้ดีขึ้น คือพื้นที่ลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช พื้นที่ซึ่งเป็นภ�พอดีตแห่งคว�มรุ่งเรือง สภ�พนิเวศบริเวณนี้ ซึ่งในอดีตพบว่�มีป่�จ�กไม่น้อยกว่� 10,000 ไร่ ป่�จ�กให้ประโยชน์ทั้งท�งตรงและ ท�งอ้อม เป็นแหล่งอ�ห�ร เป็นที่อยู่อ�ศัย ของสัตว์นำ้�กุ้ง หอย ปู ปล� เป็นปัจจัยพื้นฐ�นต่อก�รดำ�รงชีพ ของประช�ชน ทั้งก�รจับสัตว์นำ้� ก�รทำ�นำ้�ต�ลจ�ก นำ้�ส้มจ�ก ใบจ�กมวนบุหรี่ และเย็บจ�กมุงหลังค� จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 040


ภ�พที่ 18 ก�รปรับสภ�พพื้นที่เพื่อเตรียมพื้นที่ปลูกต้นจ�ก ภ�พที่ 19 ก�รปลูกต้นจ�ก ภ�พที่ 20 ดูแลบำ�รุงรักษ�แปลงต้นจ�กตลอดโครงก�ร ปที่ปลูก อายุ ความสูงเฉลี่ย (ซม.) ความโตเฉลี่ย (ซม.) จํานวนกอ 2553 2554 2555 2556 2557 4 ปี 11 เดือน 3 ปี 8 เดือน 2 ปี 1 เดือน 1 ปี 11 เดือน 11 เดือน 446.9 331.25 231.9 157.3 75.9 166.4 125 84.5 62.5 25.8 4 6 4 2 1 ต�ร�งที่ 7 สรุปค่�เฉลี่ยก�รเจริญเติบโตของต้นจ�ก โครงก�รศึกษ�ทดลองปลูกป่�จ�กเพื่อฟนฟูนิเวศลุ่มนำ้�ป�กพนัง ดำ�เนินก�รตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 - พ.ศ. 2562 โดยขุดปรับพื้นที่น�กุ้งร้�งและพื้นที่ทิ้งร้�งเนื่องจ�กดินเค็ม ปลูกฟนฟูนำ�จ�กให้กับร�ษฎร ร�ยละ 3 - 5 ไร่ แล้วเสร็จจำ�นวน 1,250 ไร่ ร�ษฎรได้ประโยชน์ 267 ครัวเรือน ได้รับผลผลิตเมื่อต้นจ�ก ที่ปลูกมีอ�ยุ 5 ปี มีร�ยได้จ�กก�รทำ�นำ้�ต�ลจ�ก ร�ยละ 2,000 - 4,000 บ�ท ต่อวัน ในรอบ 1 ปี จะทำ� นำ้�ต�ลได้ 2 ครั้ง ๆ ละ 4 เดือน รวมปีละ 8 เดือน ทำ�ให้พื้นที่น�กุ้งร้�งได้รับก�รฟนฟู มีระบบนิเวศน์ ป่�จ�กที่อุดมสมบูรณ์ดังเดิม ให้คว�มชุ่มชื้น ร่มเย็น และเป็นที่พักพิงอ�ศัยของสัตว์นำ้�วัยอ่อน กุ้ง หอย ปู ปล� หอยขม หอยโข่ง ปล�ช่อน ปล�สลิดที่สูญห�ยไปได้กลับคืนม�ผลง�นวิจัยทำ�ให้นำ้�ต�ลจ�ก ได้รับก�รพัฒน�คุณภ�พ เพิ่มมูลค่�มีคว�มหล�กหล�ยของผลิตภัณฑ์มีช่องท�งในก�รจำ�หน่�ยร�ษฎร 041


มีอ�ชีพที่มั่นคง หล�ยครอบครัวได้กลับม�อยู่ช่วยกันทำ�ง�นที่บ้�นเกิด คืนคว�มสุขให้กับสังคมเป็นก�ร พัฒน�คุณภ�พชีวิตให้กับร�ษฎรได้อย่�งยั่งยืน อางอิง นพรัตน์ บำ�รุงรักษ์. 2544. ต้นจ�ก...พืชเศรษฐกิจของป่�ช�ยเลน. กทม. เฟองฟ� พริ้นติ้ง. พจม�ลย์ สุรนิลพงศ์. (2563). ก�รระบุเอกลักษณ์และก�รจำ�แนกคว�มหล�กหล�ยท�งพันธุกรรม ของต้นจ�กในลุ่มนำ้�ป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช นครศรีธรรมร�ช : โครงก�รอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องม�จ�กพระร�ชดำ�ริสมเด็จพระเทพรัตนร�ชสุด�ฯ สย�มบรมร�ชกุม�รี มห�วิทย�ลัย วลัยลักษณ์ จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 042


2.1 ระบบสารสนเทศภูมิศาสตรเพื่อการจัดการพื้นที่ ไรจากในลุมน้ําปากพนัง (อรอนงค เฉียบแหลม และอุทัย เดชยศดี) ต้นจ�กแต่ละส�ยพันธุ์ส�ม�รถให้ปริม�ณนำ้�หว�นที่แตกต่�งออกไปในแต่ละพื้นที่ ผู้ปลูกไร่จ�ก ส่วนใหญ่ไม่ทร�บส�ยพันธุ์ที่แน่ชัด แต่มีก�รตั้งชื่อส�ยพันธุ์จ�กภ�ชนะที่รองรับนำ้�หว�น เช่น ส�ยพันธุ์ อีเพล้ง อีแลง อีพรก เป็นต้น นอกจ�กนี้ยังมีส�ยพันธุ์ชิงช�ลี ที่มีลักษณะลำ�ต้นและช่อดอกที่สูงย�ว ให้นำ้�หว�นในปริม�ณที่ม�ก ส�ยพันธุ์หน�มทุเรียนที่ลักษณะของลูกจ�กเป็นรูปทรงคล้�ยลูกทุเรียน ส�ยพันธุ์ดั้งเดิมจ�กทะเล และยังมีอีกหล�ยต้นที่ไม่ทร�บส�ยพันธุ์ซึ่งกระจ�ยอยู่ในพื้นที่ต่�ง ๆ ต�มพิกัด ดังแสดงในต�ร�งที่ 8 2. การสนับสนุนการอนุรักษ์ พืชจาก ต�ร�งที่ 8 ก�รกระจ�ยของจ�กแต่ละพันธุ์ ชื่อเจาของไร/ที่ตั้ง ตนที่ ชื่อพันธุ X y พิกัด UTM 1 2 3 4 5 1 2 3 1 2 3 4 1 1 1 2 ชิงช�ลี อีพรก อีเพล้ง อีแลง อีทุเรียน พันธุ์ดั้งเดิมจ�กทะเล 1 พันธุ์ดั้งเดิมจ�กทะเล 2 พันธุ์ดั้งเดิมจ�กทะเล 3 ไม่ทร�บชื่อพันธุ์ ไม่ทร�บชื่อพันธุ์ ไม่ทร�บชื่อพันธุ์ ไม่ทร�บชื่อพันธุ์ ไม่ทร�บชื่อพันธุ์ ไม่ทร�บชื่อพันธุ์ ไม่ทร�บชื่อพันธุ์ อีทุเรียน น�ยสุพิศ ศรีเพชร (หมู่ที่ 5) ฟ�ร์มศรีปร�ชุ์ (หมู่ที่ 7) น�งอมรทิพย์ เพชรเกตุ (หมู่ที่ 8) น�ยเสรี นำ้�ข�ว (ที่บ้�นหมู่ที่ 8) น�ยเสรี นำ้�ข�ว (ที่สวนหมู่ที่ 8) ไร่ลุงสัญญ� (หมู่ที่ 8) 637842.02 637812.72 637843.51 637842.97 637831.27 641256.04 641300.78 641295.27 638269.84 638306.53 638316.49 638320.21 638851.76 640084.42 639360.77 639397.49 908753.96 908719.15 908736.49 908768.23 898875.68 907941.15 907972.26 907974.23 906308.62 906308.07 906295.83 906268.75 904730.81 904694.55 904839.45 904759.51 จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 044


2.1.1 การสํารวจและการวิเคราะหตัวอยางดินและนํ้าในพื้นที่ปาจาก ภ�พที่ 21 ก�รใช้ประโยชน์ที่ดิน พ.ศ. 2560 ในพื้นที่ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช 045


ภ�พที่ 22 ก�รใช้ประโยชน์ที่ดิน พ.ศ. 2563 ในพื้นที่ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 046


ภ�พที่ 23 ดัชนีพืชพรรณในพื้นที่ตำ�บลขน�บน�ก อำ�เภอป�กพนัง จังหวัดนครศรีธรรมร�ช 047


ภ�พที่ 24 ก�รสำ�รวจและเก็บตัวอย่�งดินและนำ้�ในพื้นที่ป่�จ�ก หม�ยเหตุ : ค่�ม�ตรฐ�นคุณภ�พนำ้�ผิวดิน อ้�งอิงต�มประก�ศคณะกรรมก�รสิ่งแวดล้อมแห่งช�ติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2537) เรื่องกำ�หนดม�ตรฐ�นคุณภ�พในแหล่งนำ้�ผิวดิน (ประเภทที่ 2) จ�กก�รสำ�รวจนำ้� (ภ�พที่ 24) ในพื้นที่ป่�จ�กที่แบ่งเป็น 4 ลักษณะคือ พื้นที่ที่มีสีเขียวม�ก จนถึง เขียวน้อยม�ก ทำ�ก�รสุ่มตัวอย่�งในแต่ละพื้นที่ของป่�จ�ก จำ�นวนตัวอย่�งในแต่ละจุด 4 จุด รวมทั้งสิ้น 16 ตัวอย่�ง และจ�กก�รวิเคร�ะห์ค่�คว�มเป็นกรดด่�งของนำ้�พบว่�นำ้�ในดินพื้นที่ป่�จ�กมีค่�เป็นกรดอ่อน (pH=6.26) ซึ่งเมื่อพิจ�รณ�ในแต่ละพื้นที่ของป่�จ�กที่จำ�แนกต�มระดับคว�มเข้มของสีพบว่�พื้นที่ที่มี สีเขียวม�ก มีค่�คว�มเป็นกรดสูงว่�พื้นที่อื่น ๆ คือมีค่�คว�มเป็นกรดด่�งเฉลี่ยเท่�กับ 5.47 และรองลงม�คือ เขียวน้อยม�ก เขียวป�นกล�ง และเขียวน้อย โดยมีค่�เฉลี่ยเท่�กับ 6.23 6.57 และ 6.77 ต�มลำ�ดับ ดังแสดงในต�ร�งที่ 9 ผลของก�รวิเคร�ะห์คุณสมบัติของดินพบว่� ดินในบริเวณป่�จ�กโดยทั่วไปเป็นดินเลน หน้�ดินลึก เพื่อให้ลำ�ต้นใต้ดินส�ม�รถเดินและแตกกอใหม่ได้สะดวก เป็นดินที่ชุ่มชื้นมีนำ้�ท่วมถึงอยู่เสมอ จ�กข้อมูล ก�รวิเคร�ะห์คุณสมบัติของดินและนำ้�ในไร่จ�ก ชี้ให้เห็นว่�ดินและนำ้�มีค่�คว�มเป็นกรดด่�งที่ค่อนข้�งสูง โดยเฉพ�ะในพื้นที่ที่มีป่�จ�กสีเขียวม�ก คุณสมบัติของดินบริเวณป่�จ�กตำ�บลขน�บน�ก มีค่�คว�มเป็นกรด ด่�งเฉลี่ย 6.98 ค่�ก�รนำ�ไฟฟ� 3.40 mS/cm อินทรียวัตถุร้อยละ 3.10 ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ 23.05 ppm ไนโตรเจนทั้งหมดร้อยละ 0.30 ดังแสดงในต�ร�งที่ 9 จุดสํารวจ คาความเปนกรด-ดาง (pH) (เฉลี่ย) เขียวน้อยม�ก เขียวน้อย เขียวป�นกล�ง เขียวม�ก เฉลี่ย 6.23 6.77 6.57 5.47 6.26 ต�ร�งที่ 9 ค่�คว�มเป็นกรด-ด่�ง (pH) ของนำ้�ในจุดสำ�รวจตัวอย่�งพื้นที่ป่�จ�ก จาก พืชอนุรักษ์ อพ.สธ. 048


Click to View FlipBook Version