The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บัญชีรายการสมุนไพร นครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by หนังสือ, 2023-09-25 04:38:44

บัญชีรายการสมุนไพร นครศรีธรรมราช

บัญชีรายการสมุนไพร นครศรีธรรมราช

กุ่มบก หมอยาพื้นบ้าน 2 , 5 , 13 , 15 ชื่อสามัญ Sacred barnar, Caper tree, Sacred garlic pear, Temple plant ชื่อท้องถิ่น กุ่ม, ผักกุ่ม, กะงัน ก่าม ผักก่าม สะเบาถะงัน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), เดิมถะงัน ทะงัน (เขมร) ชื่อวิทยาศาสตร์ Crateva adansonii DC. subsp. trifoliata (Roxb.) Jacobs ชื่อวงศ์ CAPPARIDACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ล�ำต้น มีความสูง 6-10 ม. ลำต้นมีสีเทาหรือสีน้ำตาลอมเทา เปลือกต้นหนาค่อนข้างเรียบ มีเนื้อไม้หนาขาวปนเปลือง เนื้อละเอียด ใบ ใบประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย 3 ใบ ก้านใบยาว 7-9 ซม. ใบย่อยรูปไข่หรือรูปรี กว้าง 4-6 ซม.ยาว 7.5-11 ซม. ปลายเรียวแหลม หรือแหลม โคนใบแหลมหรือสอบแคบ ขอบใบเรียบ ใบย่อยด้านข้างโคนใบเบี้ยว แผ่นใบค่อนข้างหนา มีเส้นแขนงของใบข้างละ 4-5 เส้น ดอก ดอกช่อกระจะ ออกบริเวณตามง่ามใบใกล้กับปลายยอด ก้านดอกยาว 3-7 ซม. กลีบเลี้ยง 4 กลีบ รูปรี มีความกว้าง 2-3 มม. ยาว 4-5 มม. เมื่อแห้งมักเป็นสีส้ม กลีบดอก 4 กลีบสีขาวอมเขียวแล้วจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีชมพูอ่อน รูปรี กว้าง 0.8-1.5 ซม. ยาว 1.2-1.8 ซม. เกสรตัวผู้ 15-22 อัน ก้านชูอับเรณูมีความยาว 4 ซม. สีม่วง เกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่มีลักษณะค่อนข้าง กลมหรือรี มี 1 ช่อง ผล ผลมีลักษณะกลมหรือเป็นรูปไข่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3.5 ซม. เปลือกมีจุดแต้มสีน้ำตาลอมแดง ผิวนอกแข็งและสาก เมื่อผลแก่เปลือกจะเรียบและมีสีน้ำตาล ภายในผลมีเมล็ดจำนวนมาก สรรพคณุ ราก นำมาแช่น้ำ ใช้ทำเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยแก้กษัย ใช้เป็นยาระงับประสาทและยาบำรุง ใช้ขับหนอง เปลือกต้น มีรสร้อน ช่วยคุมธาตุในร่างกาย ช่วยบำรุงธาตุไฟในร่างกาย ช่วยแก้อาการสะอึก ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน กระตุ้นลำไส้ ให้ช่วยในการย่อยอาหาร เป็นยาระบาย แก้อาการปวดท้อง อาการปวดมวนท้อง แก้ลงท้อง ช่วยในการขับปัสสาวะ รักษาโรคนิ่ว ช่วยแก้ โรคนิ่ว ขับนิ่ว ช่วยขับน้ำดี ช่วยขับน้ำเหลือง ช่วยแก้อาการบวม เป็นยาทาภายนอก ช่วยแก้โรคผิวหนัง ใบ ต้มน้ำดื่ม ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยขับเหงื่อ ใช้แช่หรือดองกับน้ำกินช่วยแก้ลม ช่วยขับลมในลำไส้ ช่วยขับพยาธิ ฆ่าแม่พยาธิ ใบนำมาตำ ใช้ทาแก้กลากเกลื้อน ใช้นำไปลนไฟให้ร้อนเอามาใช้ปิดหูจะช่วยบรรเทาอาการปวด อาการปวดศีรษะ และโรคบิดได้ แก่น ช่วยบำรุงเลือด ช่วยแก้ไข้ตัวร้อน ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร ดอก ช่วยแก้อาการเจ็บคอ ผล ยาแก้อาการท้องผูกได้ การกระจายพันธุ์ สามารถพบต้นกุ่มได้มากทางภาคใต้และภาคกลาง เช่น จังหวัดกระบี่ ชุมพร พังงา และระนอง 2,5 13 15 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 41 CAPPARIDACEAE


กุ่มน้ ำ หมอยาพื้นบ้าน 13 , 15 ชื่อสามัญ Crataeva ชื่อท้องถิ่น เหาะเถาะ (กาญจนบุรี), อำเภอ (สุพรรณบุรี, ภาคตะวันตกเฉียงใต้), ผักกุ่ม ก่าม ผักก่าม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), รอถะ (ละว้า-เชียงใหม่, ภาคเหนือ), กุ่มน้ำ (ภาคกลาง), ด่อด้า (ปะหล่อง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Crateva magna (Lour.) DC. ชื่อวงศ์ CAPPARIDACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ล�ำต้น มีความสูง 5-20 ม. เปลือกต้นค่อนข้างเรียบ มีสีเทา ใบ ใบประกอบแบบนิ้วมือ แผ่นใบค่อนข้างหนา สีเขียวเป็นมัน ด้านล่างใบมีสีอ่อนกว่าด้านบน มีใบย่อย 3 ใบ ก้านใบประกอบยาว 4-14 ซม. ใบย่อยรูปใบหอกหรือขอบขนาน กว้าง1.5-6.5 ซม.ยาว 4.5-18 ซม. ปลายค่อย ๆ เรียวแหลม โคนสอบ ใบย่อยที่อยู่ด้านข้าง โคนใบจะเบี้ยวเล็กน้อย ดอก ดอกเป็นช่อแบบเชิงหลั่น ออกตามยอด หนึ่งช่อมีหลายดอก ก้านดอกยาว 4-7 ซม. กลีบเลี้ยง 4 กลีบ ลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายแหลม กว้าง 2 มม. ยาว 2-4 มม. กลีบดอก 4 กลีบ สีขาวแล้วจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง เกสรตัวผู้ 18-20 อัน ก้านชูอับเรณูยาว 3.5-6.5 ซม. สีม่วง เกสรตัวเมีย 1 อัน ก้านชูเกสรตัวเมียจะยาว 3.5-8 ซม. ดอกมีรังไข่เป็นรูปรีหรือรูปทรงกระบอก มีอยู่ 1 ช่อง ผลเดี่ยว รูปกลมรี เปลือกหนา สีนวลหรือสีเหลืองอมเทา เมื่อสุกจะเป็นสีเทา ผล ผลแก่ผิวจะเรียบ กว้าง 1.5-4.5 ซม.ยาว 5-8 ซม. ในผลมีเมล็ดมาก สรรพคณุ เปลือกต้น รสขมหอม ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยแก้กษัย แก้ในกองลม หรือต้มเป็นยาตัดลมในลำไส้ ช่วยแก้อาเจียน ช่วยแก้ลม ทำให้เรอ ช่วยขับผายลม หรือใช้เป็นยาขับลม ช่วยแก้ริดสีดวงผอมแห้ง ช่วยขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ช่วยขับน้ำดี ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย ในร่างกาย ใช้เป็นยาช่วยระงับพิษที่ผิวหนัง แก่น แก่นมีรสร้อน ใช้ต้มกับน้ำดื่มช่วยบำรุงกำลัง ช่วยแก้นิ่ว รากและเปลือก ใช้เป็นยาบำรุงกำลังของสตรีได้ ราก ใช้แช่น้ำกินเป็นยาบำรุงธาตุในร่างกาย แก้อาการปวดท้อง ช่วยขับหนอง ใบ มีรสหอมขม ช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้ลมขึ้นเบื้องสูง ช่วยขับเหงื่อ ช่วยแก้อาการสะอึก เป็นยาระบาย ช่วยขับพยาธิ ช่วยแก้ริดสีดวง ทวาร ช่วยแก้อาการปวดเส้น ดอก ช่วยแก้อาการเจ็บตา ช่วยแก้อาการเจ็บในลำคอ ช่วยแก้อาการครั่นเนื้อครั่นตัว การกระจายพันธุ์ จากอินเดียจนถึงภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบขึ้นทุกภาค ตามริมธารน้ำบริเวณป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูง 30-700 ม. ออกดอกและติดผลช่วงเดือนธันวาคม-กันยายน CAPPARIDACEAE 13 15 42 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ผักเสี ้ ยนผ ี หมอยาพื้นบ้าน 2 , 5 , 8 , 12 , 20 , 24 ชื่อสามัญ Asian spider flower, Tickweed Polanisia vicosa, Wild spider flower, Stining cleome, Wild caia tickwee ชื่อท้องถิ่น ผักเสี้ยนขาว, ผักเสี้ยนไทย, ผักเสี้ยนบ้าน, ผักเสี้ยนตัวผู้ (ภาคกลาง), ส้มเสี้ยน, ผักส้มเสี้ยน (ภาคเหนือ), ผักส้มผี, ส้มเสี้ยนผี, ผักเสี้ยนตัวเมีย, ผักเสี้ยนป่า, ไปนิพพานไม่รู้กลับ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cleome viscosa L. ชื่อวงศ์ CLEOMACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น สูงได้ 1 ม. ที่ส่วนต่างๆ ของต้นจะมีต่อมขนเหนียวสีเหลืองปกคลุมอยู่หนาแน่น มีกลิ่นเหม็นเขียว ใบประกอบ มี 3-5 ใบ ใบย่อย ก้านใบยาว 1-6 ซม. สีน้ำตาลแดง ใบย่อยรูปรี รูปขอบขนาน หรือรูปไข่หัวกลับ กว้าง 1.5-4.5 ซม. ปลายแหลมหรือมน โคนเรียวสอบ ขอบเรียบ มักเป็นสีเดียวกันกับก้านใบและมีขน ใบประดับคล้ายใบ มี 3 ใบย่อย ยาว 1-2.5 ซม. ดอก ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งหรือตามซอกใบ ยาว 5-10 ซม. ขยายอีกในช่องผล ดอกจำนวนมาก ก้านดอกยาว 1-1.4 ซม. ผลสามารถ ยาวได้ถึง 3 ซม. ดอกมีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ รูปใบหอกยาว 0.5-1 ซม. ติดทน กลีบดอก 4 กลีบ สีเหลือง โคนเรียวแคบเป็นก้านกลีบ มักมี สีเข้มที่โคน แผ่นกลีบมีลักษณะเป็นรูปรี ยาว 0.7-1.2 ซม. เกสรตัวผู้จำนวนมาก และมีขนาดไม่เท่ากัน ก้านเกสรมีสีเหลืองอ่อนอมเขียว ยาว 4-9 มม. รังไข่เป็นลักษณะรูปทรงกระบอกสั้น ๆ โค้งงอเล็กน้อย ไม่มีก้าน มีต่อมขนขึ้นหนาแน่น ยาว 0.5-1 ซม. และก้านเกสร ตัวเมียจะสั้น ผล ผลเดี่ยว มีลักษณะเป็นฝักคล้ายถั่วเขียวแต่มีขนาดเล็กมาก กว้าง 2-4.5 มม. ยาว 1-4 นิ้ว ตรงปลายผลมีจะงอยแหลม เห็นเส้น เป็นริ้วได้ชัดเจน ในผลมีเมล็ดจำนวนมาก สรรพคณุ ต้น รสขมร้อน เจริญไฟธาตุ คุมแก้ลม แก้ปวดท้อง ลงท้อง ทำให้หนองแห้ง แก้ฝีภายใน เช่น ฝีในปอด และลำไส้ แก้ฝีในตับ แก้พิษฝี แก้ไข้ตรีโทษ ตัวยาช่วยในยาถ่ายพยาธิตัวกลม แก้โรคไขข้ออักเสบ ทาแก้โรคผิวหนัง หยอดหูแก้หูอักเสบ รสขมร้อนเหม็นเขียว ทำให้หนองแห้ง ใบ รสร้อนขม แก้ปัสสาวะพิการ แก้ฝีในปอด ตับ ขับหนองฝี ขับน้ำเหลืองเสีย ขับลมให้ลงสู่เบื้องต่ำ ระบายอ่อนๆ พอกแก้ปวดศรีษะ ตำผสมเกลือทาแก้ปวดหลัง ดอก รสขมขื่นร้อน ฆ่าพยาธิผิวหนัง ฆ่าเชื้อโรค ผล รสเมาร้อนขม ฆ่าพยาธิ ราก รสร้อนขม แก้โรคผอมแห้งของสตรี เนื่องจากคลอดบุตรแล้วอยู่ไฟไม่ได้ แก้วัณโรค แก้เลือดออกตามไรฟัน กระตุ้นหัวใจ เมล็ด รสร้อนขม ขับน้ำเหลืองเสีย แก้เลือดออกตามไรฟัน กระตุ้นหัวใจ ใช้ทั้ง 5 คุมธาตุ แก้ลม แก้ปวดท้อง เจริญไฟธาตุ แก้ท้องร่วง แก้ฝีในตับ ปอด ฝีในลำไส้ ขับหนองฝี การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคของประเทศไทย CLEOMACEAE 2,5 20 24 8 12 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 43


CLUSIACEAE กระทิง หมอยาพื้นบ้าน 15 , 16 ชื่อสามัญ Alexandrian laurel, Beautiful-leaf, Bornero mahogany, Indian laurel ชื่อท้องถิ่น กระทิง เนาวกาน (น่าน), สารภีทะเล (ประจวบคีรีขันธ์), ทิง (กระบี่), สารภีแนน (ภาคเหนือ), นอ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), กระทึง กากทึง กากะทิง กากระทึง (ภาคกลาง), กะทึง กาทึง ทึง (ภาคใต้), ไท่กวั๋อหงโฮ่วเขอ หูถง (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Calophyllum inophyllum L. ชื่อวงศ์ CLUSIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ ล�ำต้น เรือนยอดทรงพุ่มทึบ ลำต้นมักบิดแตกเป็นร่องทั้งแนวนอนและแนวตั้ง สูง 8-20 ม.เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกัน รูปรีหรือเป็นรูปไข่กลับแกมขอบขนาน โคนใบสอบ ปลายใบมนกว้างและมักหยักเว้าเล็กน้อย กว้าง 4-8 ซม.ยาว 8-15 ซม.สีเขียวเข้ม เนื้อใบค่อนข้างหนาแข็งและเกลี้ยง ขอบใบเรียบและผิวมันเคลือบ ท้องใบเรียบเป็นสีอ่อนกว่า มีเส้นแขนงใบถี่มากและขนานกัน มองเห็นไม่ชัดเจน ส่วนเส้นกลางใบเป็นร่องทางด้านหลังใบ ดอก ดอกเป็นช่อตามปลายกิ่งและตามง่ามใบ ช่อละ 5-8 ดอก ดอกย่อยแยกกันอิสระ สีขาวมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ กลีบเลี้ยง 4 กลีบ ยาว 2.7-10 มม. กลีบดอกมี 4 กลีบ กว้าง 7-8 มม. ยาว 9-12 มม. ลักษณะเป็นรูปช้อนหรือรูปไข่กลับ เกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวนมาก มีกลิ่นหอม เกสรตัวเมียที่ชูพ้นเกสรตัวผู้ ผล ผลเดี่ยว กลม สดและฉ่ำน้ำ ภายในผลมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด เมล็ดมีเปลือกแข็ง สรรพคณุ ทั้งต้น มีรสเมาและฝาดเล็กน้อย ใช้เป็นยาสุขุม มีพิษเล็กน้อย ดอก มีรสหอมเย็น ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อาการการเต้นของหัวใจผิดปกติ และใช้ปรุงเป็นยาหอม เป็นยาชูกำลัง ช่วยแก้ประจำเดือน มาไม่เป็นปกติและช่วยแก้อาการปวดประจำเดือนของสตรี ใบ มีรสเมาเย็น ช่วยแก้อาการตาแดง ตาฝ้า ตามัว และใช้ล้างตา โดยใช้ใบตำกับน้ำสะอาดล้างตา ใช้เป็นยาฝาดสมานภายนอก ใช้กับโรค ริดสีดวงทวาร ยาง มีฤทธิ์ทำให้อาเจียน ใช้เป็นยาพอกทรวงอกแก้วัณโรคปอด ยาถ่าย ยาระบายอย่างรุนแรง ช่วยขับปัสสาวะ สำหรับล้างแผลอักเสบ เรื้อรัง สำหรับทาแผล เป็นยาสมานแผลและกัดฝ้า น�้ำมันจากเมล็ด ใช้กินแก้โรคหนองใน ช่วยแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน แก้เหา และช่วยสมานแผล เปลือกต้น ใช้ต้มเป็นยาขับปัสสาวะในโรคหนองใน ใช้เป็นยาแก้คัน ใช้ชำระล้างแผล เมล็ด ช่วยรักษาโรคเรื้อน ส่วนที่ไม่ระบุ ช่วยรักษาแผลสด ห้ามเลือด การกระจายพันธุ์ พบตั้งแต่ประเทศแอฟริกา อินเดีย ศรีลังกา พม่า จีนตอนใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น กัมพูชา เวียดนาม ภูมิภาคมาเลเซีย หมู่เกาะในมหาสมุทร แปซิฟิค จนถึงออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบขึ้นตามชายหาด ที่โล่งชายป่าใกล้ชายฝั่งทะเล ระดับความสูงไม่เกิน 200 ม. ทางภาค ตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ 15,16 44 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


CLUSIACEAE ชะมวง หมอยาพื้นบ้าน 13 , 16 ชื่อสามัญ Cowa ชื่อท้องถิ่น ชะมวง ส้มป้อง มะป่อง (คนเมือง), หมากโมก (อุดรธานี), มวงส้ม (นครศรีธรรมราช), กะมวง มวง ส้มมวง (ภาคใต้), กานิ (มลายู-นราธิวาส), ตระมูง (เขมร), ยอดมวง, ส้มม่วง, ส้มโมง, ส้มป่อง ชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia cowa Roxb. ex Choisy ชื่อวงศ์ CLUSIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ล�ำต้น มีความสูงของต้น 5-10 ม. แตกกิ่งใบตอนบนของลำต้น เปลือกลำต้นสีดำน้ำตาลมีลักษณะขรุขระ แตกเป็นสะเก็ด ส่วนเปลือก ด้านในเป็นสีชมพูถึงแดง มีน้ำยางสีเหลือง ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตรงข้ามกัน รูปรีแกมใบหอกหรือแกมขอบขนาน โคนสอบแหลม ปลายป้านหรือแหลมเล็กน้อย ขอบเรียบ กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 8-13 ซม. ใบอ่อนสีเขียวอมสีม่วงแดง เนื้อใบค่อนข้างหนาและเปราะ ดอก ดอกแยกเพศอยู่กันคนละต้น ออกตามซอกใบและตามกิ่ง ดอกตัวผู้จะออกเป็นกระจุก มีดอกย่อย 3-8 ดอก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-2.5 ซม. กลีบเลี้ยง 4 กลีบ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายกลีบกลม กลีบดอก 4 กลีบ สีเหลืองนวลและมีกลิ่นหอม เกสรตัวผู้จำนวนมาก ดอกตัวเมียออกเป็นดอกเดี่ยว ผลเดี่ยว รูปทรงกลมแป้น ผิวเรียบเป็นมัน ขนาด 2.5-6 ซม. ผล ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม มีร่องตื้น ๆ 5-8 ร่อง ภายในผลมีเมล็ดขนาดใหญ่ 4-6 เมล็ด สรรพคณุ ผลอ่อน ใบ ช่วยฟอกโลหิต แก้โลหิต ผล ดอก ใบ ช่วยรักษาธาตุพิการ ราก ใบ และผลอ่อนมีรสเปรี้ยว เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้ตัวร้อน ราก ช่วยถอนพิษไข้ ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ผสมกับรากกำแพงเจ็ดชั้น รากตูมกาขาว และรากปอด่อน นำมาต้มกับน้ำ ดื่มเป็นยาระบาย ผลและใบ ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ ช่วยแก้อาการไอ ดอก ช่วยในการย่อยอาหาร ใบ ใช้ผสมกับยาชนิดอื่น ๆ ใช้ปรุงเป็นยาขับเลือดเสีย ช่วยขับโลหิตระดูของสตรี แก่น ใช้ฝนหรือแช่กับน้ำดื่ม ช่วยแก้อาการเหน็บชา การกระจายพันธุ์ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ 13 16 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 45


มังค ุ ด หมอยาพื้นบ้าน 1 , 9 , 10 , 13 , 15 , 24 ชื่อสามัญ Mangosteen ชื่อท้องถิ่น มังคุด เมงค๊อพ ชื่อวิทยาศาสตร์ Garcinia mangostana L. ชื่อวงศ์ CLUSIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ล�ำต้น สูง 10-12 ม. ทุกส่วนมียางสีเหลือง ใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่หรือรูปวงรีแกมขอบขนาน กว้าง 6-11 ซม. ยาว 15-25 ซม. เนื้อใบหนาและค่อนข้างเหนียวคล้ายหนัง หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีอ่อนกว่า ดอก ดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่ ออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง สมบูรณ์เพศหรือแยกเพศ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอมเหลืองติดอยู่จนเป็นผล กลีบดอก 5 กลีบ สีแดง ผล ผลเดี่ยว สด ค่อนข้างกลม เปลือกนอกค่อนข้างแข็ง แก่เต็มที่มีสีม่วงแดง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 ซม. ภายในผลมีเนื้อสีขาวฉ่ำน้ำ ห่อหุ้มเมล็ด ก้นผลมียอดเกสรตัวเมียแผ่เป็นแผ่นแบนติดอยู่ ซึ่งมีจำนวนเท่ากับเนื้อหุ้มเมล็ดในผล สรรพคณุ เนื้อ นำมารับประทานเป็นผลไม้ หรือนำมาปรุงเป็นอาหาร แกง ยำ และอาหารหวาน เช่น มังคุดลอยแก้ว แยมมังคุด มังคุดกวน มังคุด แช่อิ่ม มังคุดคัด ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและ การเกิดริ้วรอย ช่วยบำรุงผิวพรรณ มีกากใยสูง ช่วยเรื่องการขับถ่าย และมีวิตามินเกลือแร่สูงมาก เช่น กรดอินทรีย์ น้ำตาล แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก เปลือก มีสารสำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะ Tannin มีฤทธิ์ฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว และ Xanthone ที่มีฤทธิ์ลดอาการอักเสบและ ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนองได้ดี การกระจายพันธุ์ ถิ่นกำเนิด อยู่ในแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่แหลมมลายู ไทย พม่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และอินเดีย 1 24 9,10 13 15 CLUSIACEAE 46 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ผักบุ้งทะเล หมอยาพื้นบ้าน 19 ชื่อสามัญ Goat’s foot creeper, Beach morning glory ชื่อท้องถิ่น ผักบุ้งต้น, ผักบุ้งขน, ผักบุ้งเล, ละบูเลาห์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Ipomoea pes-caprae (L.) R. Br. ชื่อวงศ์ CONVOLVULACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น ลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน สามารถเลื้อยไปได้ยาว 5-30 ม. เถากลม กลวง สีเขียวปนแดงหรือสีแดงอมม่วง ผิวเกลี้ยงลื่น ตามข้อจะมีราก ทั้งต้นและใบมียางสีขาว ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปกลม รูปไข่ รูปไตหรือรูปเกือกม้า ปลายเว้าบุ๋มเข้าหากัน โคนสอบแคบเป็นรูปหัวใจ ขอบเรียบ กว้าง 7-11 ซม. ยาว 5-8 ซม. เส้นใบเป็นแบบขนนก เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวใบมันเป็นสีเขียว หลังใบและท้องใบเรียบ ก้านใบยาวมีสีแดง ดอก ดอกช่อแบบซี่ร่ม ออกตามง่ามใบ ในช่อดอกจะมีดอกย่อย 2-6 ดอก รูปปากแตร กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียว กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกัน รูปปากแตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ซม. สีม่วงอมชมพู สีม่วงอมแดง สีชมพู หรือสีม่วง ผิวเกลี้ยง ด้านในของดอก ส่วนโคนจะมีสีเข้มกว่าด้านนอก เกสรเพศผู้ 5 อัน หลังจากบานแล้วดอกจะเหี่ยวง่าย ผล ผลรูปมนรีหรือรูปไข่มีเหลี่ยมคล้ายแคปซูล ยาว 2 ซม. ผิวเรียบ เมื่อผลแห้งจะแตกออกได้ ภายในมีเมล็ดกลม สีเหลือง ขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มม. มีขนสีน้ำตาลปกคลุม สรรพคณุ ทั้งต้น ช่วยทำให้เจริญอาหาร โดยมีรสเผ็ด ขม เค็ม เป็นยาเย็นเล็กน้อย ออกฤทธิ์ต่อม้ามและตับ ใช้เป็นยาขับลม ขับน้ำชื้น ช่วยแก้หวัด ช่วยกระจายพิษ แก้พิษฝีบวม ฝีหนองบวมแดงอักเสบ แก้งูสวัด ใช้เป็นยาทาแก้อาการอักเสบ แก้พิษจากแมงกะพรุนไฟ ทำให้แผลหาย เร็วและไม่เป็นแผลเป็น ต้นนำมาต้มกับน้ำอาบแก้อาการคันตามผิวหนัง ส่วนรากใช้เป็นยาแก้ผดผื่นคันมีน้ำเหลือง ใช้แก้ผดผื่นคันบริเวณ หลังเนื่องจากการกดทับ เมล็ดใช้เป็นยาแก้ตะคริว ป้องกันตะคริว ช่วยแก้ลม ปวดเมื่อยตามข้อ แก้เหน็บชา ราก ช่วยแก้อาการปวดฟัน แก้โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ยาขับปัสสาวะ ใบ มีรสขื่นเย็น ใช้แก้อาการจุกเสียด ริดสีดวงทวาร แก้แผลเรื้อรัง หรือนำไปต้มกับน้ำใช้ล้างแผล เมล็ดมีรสขื่น ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง ใช้ เป็นยาถ่าย ยาระบาย ใช้ภายนอกเป็นยาทาแก้โรคไขข้ออักเสบ แก้ปวดไขข้ออักเสบมีหนอง ต้น ใช้เป็นยาถอนพิษลมเพลมพัดหรืออาการบวมที่เปลี่ยนไปตามอวัยวะทั่วไป การกระจายพันธุ์ ขึ้นทั่วไปตามหาดทราย ริมทะเล ในเขตร้อนทั่วโลก CONVOLVULACEAE 19 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 47


19 ตำ�ลึง หมอยาพื้นบ้าน 19 ชื่อสามัญ Ivy gourd ชื่อท้องถิ่น สี่บาท (ภาคกลาง), ผักแคบ (ภาคเหนือ), ผักตำนิน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), แคเด๊าะ (แม่ฮ่องสอน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Coccinia grandis (L.) Voigt ชื่อวงศ์ CUCURBITACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเลื้อย ล�ำต้น ลำต้นมีลักษณะกลม ต้นอ่อนจะมีสีเขียว เมื่อแก่จะมีสีนํ้าตาลอมเทา หรือสีเทาอมเขียว บริเวณข้อของต้นจะมีมือยึดเกาะ แตกออกข้างลำต้น ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ มีลักษณะเป็น 3-5 แฉก รูปหัวใจ มีก้านใบสั้น ผิวใบมันเรียบ แผ่นใบหยักเป็นแฉก ปลายใบเป็นติ่งแหลม ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อน ใบแก่มีสีเขียวเข้ม ไม่มีขน ดอก ดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ เป็นดอกช่อออกตามซอกใบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ สีขาว มีโคนกลีบติดกันทำให้ มีลักษณะ เป็นกรวยปากแตร ดอกเพศผู้มีเกสร 3-5 อัน ออกเป็นดอกเดี่ยว ก้านดอกยาว ดอกเพศเมียมีเกสร 1 อัน ออกเป็นดอกเดี่ยว ก้านดอกยาว ผล ผลเดี่ยว เป็นทรงยาวรี คล้ายแตงกวา แต่มีขนาดเล็กกว่า เมื่อผลอ่อนจะมีสีเขียวอ่อน ผลแก่จัดจะสีแดง ภายในจะมีหลายเมล็ด มีรสชาติขมๆ สรรพคณุ ใบ ช่วยป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง (น้ำคั้นตำลึง) ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ช่วยบำรุงน้ำนมแม่ ใช้ดับพิษร้อน แก้ไข้ตัวร้อน ใช้แก้อาการตาแดง เจ็บตา ช่วยลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ช่วยขับสารพิษในลำไส้ ช่วยป้องกันอาการ ท้องผูก ช่วยลดอาการคันและการอักเสบเนื่องจากพืชมีพิษหรือถูกแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน ช่วยป้องกัน การเป็นตะคริว ราก ช่วยลดไข้ ช่วยแก้อาเจียน เถา แก้อาการวิงเวียนศีรษะ แก้อาการตาแดง ตาฟาง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ช่วยแก้อาการตาช้ำแดง แก้อาการตาฝ้า ช่วยลด ระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มระดับอินซูลิน การกระจายพันธุ์ เขตร้อนชื้น พบได้ทุกภาคในประเทศไทย CUCURBITACEAE 48 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


มะระข ี ้ นก หมอยาพื้นบ้าน 1 , 23 ชื่อสามัญ Bitter gourd ชื่อท้องถิ่น ผักไห่ มะไห่ มะนอย มะห่วย ผักไซ (เหนือ), สุพะซู สุพะเด (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), มะร้อยรู (กลาง), ผักเหย (สงขลา), ผักไห (นครศรีธรรมราช), ระ (ใต้), ผักสะไล ผักไส่ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), โกควยเกี๋ยะ โควกวย (จีน), มะระเล็ก มะระขี้นก (ทั่วไป) ชื่อวิทยาศาสตร์ Momordica charantia L. ชื่อวงศ์ CUCURBITACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาล้มลุก ขนาดเล็ก ล�ำต้น พันเลื้อย มีมือจับที่ปลายเถา ใบ ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน ก้านใบยาว ขอบใบเว้าลึก 5-7 หยัก ค่อนข้างกลม ใบกว้างและยาว 5-12 ซ.ม. ดอก ดอกเดี่ยว แยกเพศ ดอกตัวผู้และดอกตัวเมียอยู่คนละดอก แต่เถาเดียวกัน ก้านดอกยาว ดอกสีเหลือง ดอกใหญ่ประมาณ 1-1.5 ซม. ผล ผลเดี่ยว เนื้อสด รูปร่างคล้ายกระสวย ผิวสีเขียว ขรุขระ รสขมจัด ภายในมีเมล็ดแบนๆ สีเหลืองอ่อนฝังอยู่ในเนื้อสีนวลขาวฟ่ามๆ เป็นจำนวนมาก เมื่อผลสุกเนื้อของผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง อมส้ม เนื้อในที่เมล็ดฝังอยู่จะเละนิ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ผลยาว 4-6 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5-3 ซม. มีเมล็ดจำนวนมาก สรรพคณุ ผล มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในโรคเบาหวาน ซึ่งอาจจะเนื่องจากสาร charantin ที่ไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในเซลล์ตับอ่อน ใบ เป็นยาขมเจริญอาหาร ฟอกเลือด ขับพยาธิเข็มหมุด ดอก แก้บิด ราก ฝาดสมาน ใช้ในโรคริดสีดวงทวาร แก้บิด เถา ใช้ดับพิษร้อน แก้บิด การกระจายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนของเอเชียและทางตอนเหนือของแอฟริกาเขตร้อน 1 23 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 49 CUCURBITACEAE


ฟั กข้าว หมอยาพื้นบ้าน 17 ชื่อสามัญ Baby jackfruit, Cochinchin gourd, Spiny bitter gourd, Sweet gourd ชื่อท้องถิ่น มะข้าว (แพร่), ขี้กาเครือ (ปัตตานี), พุกู้ต๊ะ (แม่ฮ่องสอน), ผักข้าว (ตาก ภาคเหนือ) ชื่อวิทยาศาสตร์ Momordica cochinchinensis (Lour.) Spreng. ชื่อวงศ์ CUCURBITACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเลื้อย ล้มลุก อายุหลายปี ล�ำต้น ยิ่งมากเถายิ่งใหญ่ มีมือเกาะคล้ายกับตำลึง ใบ ใบเดี่ยวรูปหัวใจหรือรูปไข่ กว้างและยาว 6-15 ซม. ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก 3-5 แฉก ดอก ดอกจะออกตรงบริเวณข้อหรือซอกใบ โดยจะออกดอกข้อละหนึ่งดอก ลักษณะคล้ายกับดอกตำลึง แยกเพศ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอด กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกัน มีสีขาวอมเหลือง หรือขาวแกมเหลือง ปลายกลีบแยกเป็น 5 แฉก ดอกตัวผู้มีเกสร ตัวผู้ 5 อัน ดอกตัวเมียมีเกสรตัวเมีย 1 อัน ผล ผลเดี่ยว มีลักษณะคล้ายรูปไข่กลมรี ที่เปลือกมีหนามเล็ก ๆ อยู่รอบผล ผลอ่อนจะมีสีเขียวอมเหลือง แต่เมื่อสุกแล้วผลจะมีสีแดง หรือสีส้มอมแดง ผลสุกเนื้อจะเป็นสีเหลือง มีเยื่อกลางหุ้มเมล็ดเป็นสีแดง ภายในผลมีเมล็ดสีนำ้ตาลจำนวนมากเรียงตัวอยู่คล้ายเมล็ดแตง ด้านในเมล็ดมีเนื้อสีขาว สรรพคณุ ผลอ่อนและใบอ่อน ช่วยลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้ เมล็ด ช่วยบำรุงปอด ช่วยแก้ฝีในปอด ช่วยแก้ท่อน้ำดีอุดตัน ช่วยขับปัสสาวะ ใบ มีรสขมเย็น มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ตัวร้อนได้ ช่วยแก้ริดสีดวง แก้อาการปวดหลังได้ ช่วยถอนพิษอักเสบ ช่วยแก้พิษ แก้ฝี ช่วยแก้ฝีมะม่วง ช่วยแก้หูด ราก ช่วยถอนพิษไข้ ช่วยขับเสมหะ ช่วยแก้ข้อเข่า อาการปวดตามข้อ ต้มดื่มช่วยถอนพิษทั้งปวง การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย CUCURBITACEAE 17 50 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Rangoon Creeper, Chinese honey Suckle, Drunen sailor ชื่อท้องถิ่น จะมั่ง, จ๊ามั่ง, ไท้หม่อง, มะจีมั่ง, อะดอนิ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์Combretum indicum. (L.) DeFilipps. ชื่อวงศ์ COMBRETACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง ล�ำต้น ยาวได้ประมาณ 5-7 ม. แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มหนาทึบ เถาอ่อนสีเขียว มีขนสีเหลืองหรือสีนำ้ตาลอมเทาปกคลุม ต้นแก่ผิวเกลี้ยง สีน้ำตาลปนแดง เปลือกค่อนข้างเรียบ ใบ ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ๆ รูปมนแกมขอบขนานหรือรูปใบหอก ปลายแหลมหรือมีติ่งแหลม โคนจักเว้าเข้าเล็กน้อย ขอบเรียบ หรือเป็นคลื่น กว้าง 10-12 ซม. ยาว 14-18 ซม. แผ่นใบสีเขียว เนื้อบาง ท้องใบมีขนปกคลุมจำนวนมาก ใบอ่อนสีเขียวอมแดง เนื้อใบ บางค่อนข้างเหนียว ก้านใบยาว 1 ซม. ดอก ดอกช่อ ออกตามซอกใบและที่ปลายกิ่ง ช่อหนึ่งจะมีดอกย่อย 10-20 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว โค้งเล็กน้อย ปลายแยกเป็นแฉก สีขาวแต้มชมพู เกสรเพศตัวผู้มี 10 อัน และเกสรเพศเมีย 1 อัน ผล ผลเดี่ยว รูปกระสวยมีสัน 5 สันตามยาว แห้งและแข็ง ผลสุกเป็นสีน้ำตาลอมสีดำ ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด สรรพคณุ ใบ เป็นยาบำรุงธาตุ ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้อาการไอ ใช้ทาแก้แผลฝี แก้อักเสบ แก้อาการปวดศีรษะ แก้ท้องอืดราก แก้อาการสะอึก เป็นยา ระบาย แก้อุจจาระเป็นฟอง เหม็นคาวในเด็ก เป็นยาถ่ายพยาธิ เมล็ด แก้อาการตกขาวของสตรี เป็นยารักษาโรคผิวหนัง และแผลฝี แก้อหิวาตกโรค แก้ท้องอืดเฟ้อ ช่วยในการย่อยอาหาร เป็นยาถ่าย เป็นยาแก้ไข้ ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ ดอก เป็นยาแก้ท้องเสีย ผล เป็นยาฆ่าพยาธิและช่วยในการย่อยอาหารให้ดีขึ้น การกระจายพันธุ์ เอเชียเขตร้อนทั่วไป เล็บมือนาง 2 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 51 COMBRETACEAE


เนระพูส ีไทย หมอยาพื้นบ้าน 5 ชื่อสามัญ Bat flower, Black lily ชื่อท้องถิ่น คลุ้มเลีย ว่านหัวเลีย ว่านหัวลาว่านหัวฬา (จันทบุรี), ค้าวคาวดำ มังกรดำ (กรุงเทพฯ), ดีปลาช่อน (ตราด), ม้าถอนหลัก (ชุมพร), ว่านพังพอน (ยะลา), นิลพูสี (ตรัง), ว่านนางครวญ (นครศรีธรรมราช), กลาดีกลามูยี (มลายู-ปัตตานี), ดีงูหว้า (ภาคเหนือ), เนระพูสีไทย (ภาคกลาง), เส่แหง่เหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ล่อเคลิน (ลั้วะ), เหนียบเลิน (ขมุ) แต่เรียกกันทั่วไปว่า ว่านค้างคาว หรือ ว่านค้างคาวดำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Tacca chantrieri André ชื่อวงศ์ DIOSCOREACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี ล�ำต้น ลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน รูปทรงกระบอก ลำต้นเหนือดินสูง 50-60 ซม. ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีกว้างหรือรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ กว้าง 7-15 ซม. ยาว 20- 60 ซม. เส้นแขนงของใบแตกออกจากเส้นกลางใบ แผ่นใบเกลี้ยงสีเขียวเข้ม หลังใบเรียบเป็นมัน ส่วนท้องใบเรียบ ก้านใบยาว 15-30 ซม. ดอก ดอกช่อกลุ่ม แทงออกมาจากหัวที่อยู่ใต้ดินขึ้นมา ยาว 70 ซม. ในแต่ละช่อมีดอกย่อย 4-6 ดอก ดอกมีขนาดกว้าง 0.6-2 ซม. ยาว 1-2.5 ซม. สีม่วงดำหรือสีเขียวเข้ม กลีบดอก 6 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน กลีบด้านนอก 3 กลีบ รูปไข่หรือรูปสามเหลี่ยม กว้าง 3-8 มม. ยาว 5-12 มม. ส่วนกลีบด้านใน 3 กลีบ กว้าง 4-12 มม. ยาว 4-11 มม. เกสรเพศผู้สีเขียวหรือสีเหลือง ส่วนรังไข่มีขนาดกว้าง 3-5 มม. ยาว 2-7 มม. ผล ผลเป็นทรงสามเหลี่ยมหรือเป็นรูปกระสวย มีสันเป็นคลื่น 6 สันตามยาวของผล มีวงกลีบรวมที่ยังไม่ร่วงติดอยู่ กว้าง 1-2.5 ซม. ยาว 2.5-5 ซม. ส่วนเมล็ดมีลักษณะเป็นรูปไต เมล็ดกว้าง 2-2.3 มม. ยาว 3-4 มม. และหนา 1-1.5 มม. สรรพคณุ เหง้า มีรสสุขม ใช้กินเป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยแก้ธาตุพิการ ช่วยทำให้เจริญอาหาร ใช้เป็นยารักษามะเร็ง แก้ความดันโลหิตต่ำ ช่วยบำรุง กำลังทางเพศ ใช้แก้ซางเด็ก ช่วยดับพิษไข้ แก้ไข้กาฬ ไข้เหนือ ไข้สันนิบาต และไข้ท้องเสีย ช่วยแก้อาการไอ ช่วยรักษาโรคในปากคอ ช่วย แก้ลิ้นคอเปื่อย ช่วยแก้ปอดพิการ ช่วยแก้บิด บิดมูกเลือด ช่วยสมานแผล ช่วยแก้อาการปวด แก้อักเสบ มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย แก้อาการปวดหลังปวดเอว เป็นยาบำรุงสำหรับสตรีมีครรภ์ ด้วยการใช้เหง้านำมาต้มหรือดองกับเหล้าเป็นยาดื่ม ต้น ช่วยแก้อาการปวดท้อง ช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อย อาหารเป็นพิษ ทั้งต้นใช้ผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น นำมาฝนรวมกันกินแก้อาการ เบื่อเมา ใบ ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร แผลในกระเพาะอาหาร การกระจายพันธุ์ พบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้งหรือป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลประมาณ 50-1,000 ม. ออกดอกและติดผลเดือน กุมภาพันธ์–สิงหาคม การกระจายพันธุ์ อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ลาว มาเลเบซีย บอร์เนียว สุมาตรา ชวา 5 52 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี DIOSCOREACEAE


รสสุคนธ์ หมอยาพื้นบ้าน 8 ชื่อสามัญ Dillenia ชื่อท้องถิ่น มะตาดเครือรสสุคนธ์ รสสุคนธ์ขาว สุคนธรสเสาวรส (กรุงเทพฯ), เถากะปดใบเลื่อม (ประจวบคีรีขันธ์), บอระคนอรคนธ์ (ตรัง), ปดคาย ปดเลื่อน (สุราษฏร์ธานี), ปดน้ำมัน (ปัตตานี), ปะละสะปัลละ (นราธิวาส), ย่านปด (นครศรีธรรมราช) ชื่อวิทยาศาสตร์ Tetracera loureiri (Finet & Gagnep.) Pierre ex W. G. Craib ชื่อวงศ์ DILLENIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเลื้อย ล�ำต้น สีน้ำตาลแตกกิ่งก้านมากใบ ใบ ใบเดี่ยว รูปรีถึงรูปขอบขนาน ยาว 5-10 ซม. กว้าง 4-6 ซม. ปลายใบเรียวแหลมเป็นติ่งหรือมน โคนใบแหลมหรือมน ขอบใบจักร ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มและสาก เส้นใบเป็นร่องลึก ก้านใบยาวประมาณ 1.5 ซม. เรียงเวียนสลับ ดอก ดอกเป็นช่อดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่งและปลายกิ่งดอกสีขาวครีมมีกลิ่นหอม กลีบดอกบางมี 5 กลีบ หลุดร่วงง่าย กลีบเลี้ยงสีเขียว ติดทน เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก ผล ผลเป็นผลแห้งแก่แล้วแตก ค่อนข้างกลม เมล็ดมี 3-5 เมล็ด สีดำ ผิวมันและมีเนื้อเยื่อรกสีแดงสดเจริญหุ้มเมล็ด สรรพคณุ ดอก มีรสหอมขม ใช้เข้าเครื่องยาหอม ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยแก้ลมวิงเวียน แก้อาการอ่อนเพลีย โดยใช้ดอกปรุงเป็นยาหอมใช้คู่กับ เถาอรคนธ์หรือรสสุคนธ์แดง ใบ นำมาต้มกับน้ำดื่มแก้อาการสะอึก น้ำต้มจากใบหรือราก นำมาอมช่วยแก้แผลในปากได้ ดื่มใช้เป็นยาแก้อาการตกเลือดภายในปอด สามารถนำมาตำใช้พอกเป็นยาแก้ผดผื่นคันได้ ช่วยรักษาโรคหิด ล�ำต้นและราก ใช้ต้มกับน้ำดื่ม ช่วยแก้ฝี แก้บวมได้ น้ำเลี้ยงจากต้นผสมกับต้นหอมสามารถใช้รักษาฝีหนองได้ การกระจายพันธุ์ พบในอินเดีย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย พบได้ทุกภาคในประเทศไทย DILLENIACEAE 8 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 53


ตองแตก หมอยาพื้นบ้าน 13 , 16 , 20 ชื่อสามัญ Tong Tak ชื่อท้องถิ่น นองป้อม ลองปอม (เลย), ตองแต่ (ประจวบคีรีขันธ์), ทนดี (ตรัง), เปล้าตองแตก (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ), ถ่อนดี (ภาคกลาง), โทะโคละ พอบอเจ๊าะ (กะเกรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ยาบูเวอ หญ้าโวเบ่อ (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Baliospermum solanifolium (Burm.) Suresh ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ล�ำต้น สูงประมาณ 1-2 ม. แตกแขนงจากโคนต้น ลำต้นเป็นสีเขียวมีขนาดประมาณ 1 ซม. เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ยอดอ่อน มีขนสีขาว ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบมีขนาดและรูปร่างต่างกัน ใบที่อยู่ส่วนยอดจะมีลักษณะเป็นรูปรีหรือรูปใบหอก กว้างประมาณ 3-4 ซม. ยาวประมาณ 6-7 ซม. ส่วนใบที่อยู่โคนต้นขอบใบจะหยักเว้าเป็น 3-5 แฉก รูปไข่หรือเกือบกลม ปลายแหลม โคนสอบ ขอบจักเป็นซี่ฟัน ห่างกันไม่สม่ำเสมอ กว้างประมาณ 7-8 ซม. ยาวประมาณ 5-18 ซม. ดอก ดอกช่อ ออกตามซอกใบ ยาวประมาณ 3.5-12 ซม. ดอกย่อยแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน โดยดอกเพศผู้จะอยู่ตอนบนของช่อและมี จำนวนมาก รูปร่างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 มม. ไม่มีกลีบดอก แต่มีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ ฐานดอกมีต่อมประมาณ 4-6 ต่อม มีเกสรเพศผู้ 15-20 อัน ส่วนดอกเพศเมียจะอยู่โคนช่อดอก ไม่มีกลีบดอกเช่นกัน มีกลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่ปลายแหลม ขอบจัก ฐานดอกเป็น รูปถ้วยสั้น ๆ รังไข่มี 3 พู ก้านเกสรเพศเมียจะแยกออกเป็น 2 แฉก ผล ผลเดี่ยว มีลักษณะเป็นพู 3 พู ปลายผลเว้าหรือบุ๋ม มีก้านเกสรเพศเมียติดอยู่ 2 อัน มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ขั้วผล เมื่อแก่จะแตกออกตาม ยาวที่กลางพู แต่ละพูจะมีเมล็ด 1 เมล็ด สรรพคณุ ราก ใช้เป็นยารักษาโรคโลหิตจาง มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ รากยังมีรสขม ใช้ต้มกับน้ำดื่มหรือฝนน้ำกินเป็นยาถ่ายเสมหะเป็นพิษ เป็นยา ขับลม แก้อาการจุกเสียด แก้ท้องเสีย เป็นยาถ่ายหรือยาระบายชนิดที่ไม่รุนแรงมากนัก ใบ ใช้ใบตองแตกแห้ง นำมาชงเหมือนชาดื่มแก้อาการง่วง เป็นยาถอนพิษไข้ เมื่อนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้ร้อนใน ยาช่วยขับเหงื่อ แก้ โรคหอบหืดเป็นยาถ่ายพยาธิ แก้บวมน้ำ แก้ดีซ่าน แก้ม้ามอักเสบ ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ เมื่อนำใบมาตำพอกแผลสามารถห้ามเลือดได้ เมล็ด เป็นยาถ่ายพิษไข้ น้ำมันจากเมล็ดใช้เป็นยาทาแก้อาการปวดตามข้อ และเมล็ดใช้ภายนอกนำมาตำหรือบดทาบริเวณที่ปวดเมื่อย ทำให้ร้อนและเลือดไหลเวียน ช่วยกระตุ้นให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณที่ทา การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 20 13 16 EUPHORBIACEAE 54 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


สลอด หมอยาพื้นบ้าน 15 ชื่อสามัญ Croton oil plant, Purging croton ชื่อท้องถิ่น บะกั้ง (แพร่), มะข่าง มะคัง มะตอด หัสคืน หมากทาง (ภาคเหนือ), สลอดต้น หมากหลอด ต้นหมากหลอด ลูกผลาญศัตรู (ภาคกลาง), หมากยอง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), ปาโต้ว (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Croton tiglium L. ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ล�ำต้น สูง 2-4 ม. แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกลำต้นเรียบเกลี้ยง เป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทาเข้ม มีเส้นร้อย ตรงกิ่งอ่อนเป็นสีเขียวและมี ขนปกคลุม ยอดอ่อนเป็นสีแดง ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปรี รูปหอก หรือรูปไข่ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนหรือกว้าง ส่วนขอบใบหยักห่าง ๆ หรือจักเป็นซี่ฟัน กว้าง 2-7 ซม. ยาว 5-14 ซม. แผ่นใบบางเป็นสีเขียวอมเหลือง หรือหน้าใบเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนหลังใบเป็นสีเขียวอ่อน แต่พอแก่จัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและร่วงไป หน้าใบมีขนขึ้นประปราย ดอก ดอกเดี่ยวๆ หรือเป็นช่อตั้ง โดยจะออกที่ปลายยอด ดอกมีใบประดับขนาดเล็ก ดอกเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่บนต้นเดียวกันและอยู่ ในช่อเดียวกัน หรืออยู่ต่างต้นกัน ดอกเพศเมียจะอยู่ช่วงล่าง ส่วนดอกเพศผู้จะอยู่ช่วงบน ดอกเพศผู้จะมีขนเป็นรูปดาว มีกลีบรองดอก 4-6 กลีบ ปลายกลีบมีขน และมีกลีบดอก 4-6 กลีบ ขอบกลีบดอกมีขน ฐานดอกมีขน มีต่อมจำนวนเท่ากัน และอยู่ตรงข้ามกับกลีบรอง กลีบดอก เกสรเพศผู้จะมีจำนวนมาก ดอกเพศเมียจะไม่มีกลีบดอกหรือมีแต่จะมีขนาดเล็กมาก มีกลีบรองดอกเป็นรูปไข่ มีขนที่โคนกลีบ รังไข่มี 2-4 ช่อ ผล ผลเดี่ยว รูปรีหรือกลมรูปไข่ แบ่งเป็นพู 3 พู ผลมีขนาดกว้าง 1-1.5 ซม.ยาว 2 ซม. ปลายผลหน้าตัดเป็นรูปสามเหลี่ยม ผิวผลขรุขระ เล็กน้อยและสากมือ ผลแห้งจะออกเป็น 3 ซีก ภายในผลมีเมล็ดประมาณ 1-3 เมล็ด สรรพคณุ ดอก ช่วยดับธาตุไฟไม่ให้กำเริบ และช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์ เมล็ด ช่วยแก้อาการผิดปกติทางจิตและประสาท ใช้กินยาถ่ายพิษเสมหะและโลหิต ใช้ในปริมาณต่ำผสมกับน้ำขิงสดให้เด็กกินเป็นยาแก้ไอ ใช้ภายนอกเป็นยาแก้คอตีบ ใช้เป็นยาถ่ายลม ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อเนื่องจากกระเพาะเย็นชื้นคั่งค้างสะสมช่วยขับลมชื้น ช่วยแก้อาการ ปวดท้องเป็นยาถ่ายอย่างแรง ในปัจจุบันจัดเป็นพืชมีพิษ เพราะมีฤทธิ์รุนแรงมาก ต้องกำจัดพิษโดยการนำมาเมล็ดมาทุบให้รอบ แล้วต้มกับน้ำนม 2-3 ครั้ง ช่วยแก้อาการท้องผูกที่ใช้ยาอื่นมาแล้วแต่ไม่ได้ผล ช่วยแก้ลำไส้อุดตัน ช่วยถ่ายอุจจาระธาตุ ยาถ่ายพยาธิ ขับพยาธิในลำไส้ ช่วยถ่ายน้ำ เหลืองเสีย ช่วยแก้โรคเกาต์ เปลือกต้น ช่วยแก้เสมหะที่ค้างอยู่ในลำคอและในอก ราก ช่วยถ่ายเสมหะ ถ่ายโลหิตและลม ยาแก้ปวดท้องเนื่องจากลมชื้น ช่วยแก้ท้องมาน อาการบวมน้ำ นำมาต้มกับน้ำกินก็ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ได้เช่นกัน ยาขับปัสสาวะ แต่ต้องระวังเพราะกินมากจะทำให้แท้งบุตรได้ เนื้อไม้ ใช้ในปริมาณน้อย นำมากินจะทำให้อาเจียนและขับเหงื่อ ใบ ช่วยแก้ไส้ด้วนไส้ลาม หรือกามโรคที่เกิดเนื้อร้ายจากปลายองค์กำเนิดกินลามเข้าไปจนถึงต้นองค์กำเนิด แต่ก่อนจะนำมาผสมยาให้นึ่งเสียก่อน ใช้ตำพอกแก้ฝีมะตอย การกระจายพันธุ์ พบได้ทั่วไปในเขตร้อน จากอินเดีย ศรีลังกา จีนและมาเลเซีย ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 600 ม. ขึ้นไป EUPHORBIACEAE 15 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 55


สลัดได หมอยาพื้นบ้าน 20 ชื่อสามัญ Malayan spurge tree, Milkbush ชื่อท้องถิ่น กะลำพัก (นครราชสีมา), เคียะเหลี่ยม หงอนงู (แม่ฮ่องสอน), เคียะยา (ภาคเหนือ), สลัดไดป่า (ภาคกลาง), ทูดุเกละ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หั่วยานเล่อ ป้าหวางเปียน (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Euphorbia antiquorum L. ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม ขนาดเล็ก ล�ำต้น สูง 1-3 ม. ลำต้นสามเหลี่ยม อวบน้ำ สีเขียว ด้านข้างของเหลี่ยมมีหนามสั้นๆ แตกกิ่งก้านมาก ตามต้นและกิ่งมีส่วนเว้าคอดต่อกัน ผิวเรียบ ทุกส่วนของต้นมียางสีขาวข้น ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ใบมีขนาดเล็กมาก แผ่นใบอวบน้ำและหลุดร่วงได้ง่ายเหมือนไม่มีใบ ดอก ดอกเป็นช่อสั้น ๆ โดยจะออกตามแนวสันเหนือหนาม ดอกมีใบประดับสีเหลือง 5 ใบ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียไม่มีกลีบดอก และจะอยู่ในช่อดอกเดียวกัน แต่ในช่อหนึ่งจะดอกมีเพศเมียดอกเดียว และมีดอกเพศผู้หลายดอก ผล ผลเดี่ยว เป็นผลแห้ง ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม ผลมีขนาดเล็กมีพู 3 พู สีน้ำตาลเข้ม พอผลแห้งจะแตกออก สรรพคณุ ยาง ใช้กัดหูด (ระวังอย่าให้ยางถูกเนื้อดีๆ จะทำให้เนื้อดีเน่าหลุดไปด้วย) ในยางมีสารซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรง และระคายเคืองมาก มีฤทธิ์ทำให้อาเจียน ยางเข้าตาตาอักเสบมาก ถูกผิวหนังจะคัน แดงไหม้ เปื่อย สาร phorbal ที่พบในนํ้ายางเป็นสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิด การระคายเคืองและเป็นตัวร่วมเร่งทำให้เกิดมะเร็ง (Co-carcinogenic activity) และเป็นตัวช่วยรักษามะเร็งในเม็ดเลือดได้ด้วย กะล�ำพัก (แก่นที่มีเชื้อราเจริญอยู่ในเนื้อไม้) มีกลิ่นหอม รสขม หอม มัน เย็น สรรพคุณ ใช้ใช้ขับลม แก้ไข้แก้ลมอังคมัลคานุสารี (เป็นลมที่พัดทั่วร่างกาย ตั้งแต่กระหม่อมถึงปลายเท้า) แก้ตรีสมุฏฐาน แก้โลหิตโทษ แก้พิษเสมหะ โลหิต และมูกเลือด บำรุงตับและปอด ทำให้มีกำลัง การกระจายพันธุ์ ถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน พบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย EUPHORBIACEAE 20 56 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


น ้ ำนมราชส ีห์ หมอยาพื้นบ้าน 24 ชื่อสามัญ Garden spurge, Asthma weed, Snake weed, Milkweeds ชื่อท้องถิ่น น้ำนมราชสีห์ใหญ่, นมราชสีห์, ผักโขมแดง (ภาคกลาง), หญ้าน้ำ หมึก (ภาคเหนือ, ไทลื้อ), หญ้าหลังอึ่ง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), ตะกราเหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), บัดอะตอน (ปะหล่อง), ไต่ปวยเอี่ยงเช่า ปวยเอี้ยง (จีน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Euphorbia hirta L. ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก อายุเพียงปีเดียว มักพบขึ้นได้เองตามริมทาง ข้างถนน และตามที่รกร้างทั่วไป ล�ำต้น ลำต้นยาว 15-40 ซม. ลักษณะของลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาจากโคนต้นใกล้ดินตั้งขึ้น หรือแผ่ออกไปรอบๆ ตามก้านมีสีแดงเรื่อๆ และมีขนสีน้ำตาลปนเหลือง มีน้ำยางสีขาวคล้ายน้ำนมไหลซึมหากนำมาหักก้านหรือเกิดบาดแผล ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงเป็นคู่ตรงข้ามกัน รูปรี รูปไข่ รูปขอบขนาน หรือรูปรีแกมข้าวหลามตัด กว้าง 0.25-2.5 ซม. ยาว 1-4 ซม. ปลายใบ แหลมสั้น ส่วนฐานใบสอบเบี้ยวเล็กน้อย ส่วนขอบใบเป็นหยักเล็กแบบฟันเลื่อย เส้นใบออกจากโคน 3-5 เส้น ดอก ดอกเป็นช่อ ออกบริเวณง่ามใบ มี 1-6 ช่อ มีดอกย่อย จำนวนมากออกชิดกันแน่นเป็นกระจุกกลมๆ ในช่อหนึ่งๆ ดอกตัวเมีย 1 ดอก ประกบข้างด้วยดอกตัวผู้ 2-4 ดอก ดอกย่อยไม่มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยง ดอกตัวผู้มีเกสร 1 อัน ดอกตัวเมียมีรังไข่ 3 พู มีก้านสั้นๆ ก้านเกสรอยู่ 3 อัน ยอดเกสรยาว 0.3 มม. ปลายก้านเกสรแต่ละอันแยกเป็น 2 แฉกตื้น ๆ ผล ผลเดี่ยว กลมแบบกล่อง 3 พู ยาว 1.5 มม. มีขนสั้นนุ่ม และมีรอยแยก 3 รอย ผลแห้งแล้วจะแตก มี 1 เมล็ดในแต่ละซีก เมล็ดมี ขนาดเล็กผิวเรียบสีน้ำตาลแก่หรือสีแดง ลักษณะเป็นรูปรี สรรพคณุ ต้น ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยดับร้อน แก้พิษ แก้ชื้น ช่วยแก้ธาตุพิการ โรคตานขโมย เป็นยาสงบประสาทและช่วยทำให้นอนหลับได้สนิท ช่วยแก้ไข้มาลาเรีย ช่วยแก้หืด แก้หืดไอ หายใจขัด ช่วยแก้อาการแพ้อากาศ ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหาร ช่วยแก้อาการท้องเสียเรื้อรัง ช่วยแก้ลำไส้อักเสบเฉียบพลัน ใช้กินแก้บิด บิดเรื้อรังและเฉียบพลัน บิดจากแบคทีเรีย ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ช่วยแก้ปัสสาวะเป็นเลือด ช่วยแก้หนองใน ช่วยรักษาบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ช่วยแก้กลาก ขาเป็นกลาก เน่าเปื่อย ช่วยแก้ฝีที่เต้านม ช่วยแก้ผดผื่นคัน ช่วยระงับอาการชัก ยาง ใช้เป็นยาเกี่ยวกับประสาทความรู้สึก ในอินเดียใช้น้ำยางขาวมาหยอดตา เพื่อใช้รักษาเยื่อตาอักเสบ เป็นแผลที่กระจกตา น้ำยางใช้ เป็นยาทาแผลจากการสัก โดยจะช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น น้ำยางของต้นใช้แก้หูด กัดหูด ตาปลา ช่วยขับน้ำนม เพิ่มน้ำนม ราก ช่วยแก้ไข้ทำมะลา ช่วยลดไข้ ใช้เป็นยากินระหว่างที่เป็นไข้ ช่วยแก้อาการไอ น้ำต้มกับรากใช้กินเป็นยาช่วยทำให้อาเจียน สรรพคุณ เป็นยารักษาโรคบิดมีตัว ใบ ใช้มวนเป็นบุหรี่สูบแก้อาการหอบหืด ดอกและผล ไม่รวมราก รักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้และการขับถ่าย การกระจายพันธุ์ พบได้ทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 24 EUPHORBIACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 57


แสยกใบหยิก หมอยาพื้นบ้าน 13 , 21 , 22 , 28 ชื่อสามัญ Sa Yaek Bai Yik ชื่อท้องถิ่น ว่านตีนตะขาบ ว่านตะเข็บ (ภาคเหนือ), ว่านตะขาบ (เชียงใหม่), ว่านตะเข็บ (พายัพ) เพว (กรุงเทพฯ), ตะขาบปีนกล้วย ต้นตีนตะขาบ (ไทย) ชื่อวิทยาศาสตร์ Euphorbia tithymaloides L. subsp. smallii (Millsp.) V.W.Steinm. ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ล�ำต้น เป็นปล้อง ๆ กลม ยาว 30-50 ซม. หากยาวกว่านี้มักทอดนอน มีน้ำยางสีขาว ใบ ใบเดี่ยว ออกสลับติดกันเป็นปีกสองข้างของลำต้นในระนาบเดียวกัน จากโคนต้นจนถึงยอดคล้ายตีนตะขาบจริง ๆ สีเขียวเข้ม รูปร่าง เรียวหรือรูปใบหอก ปลายแหลม ขอบเรียบไม่มีก้านใบ ดอก ไม่ปรากฏดอกให้เห็น สรรพคณุ ต้นและใบสด นำมาตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าใช้หยอดหู เพื่อรักษาหูเป็นน้ำหนวก ซึ่งพบว่าได้ผลดีมาก ใช้เพียง 2-3 ครั้งจะแห้งหาย นำ มาตำผสมกับเหล้าเอาแต่น้ำมาใช้ทารักษาอาการฟกช้ำบวม เคล็ดขัดยอกได้ดี กากของต้นและใบ ที่เหลือจากการนำไปใช้แก้ฟกช้ำบวมสามารถนำมาพอกถอนพิษตะขาบและพิษแมงป่องได้ น�้ำยางของต้น ทาบริเวณบาดแผลที่ถูกแมลงกัด เมื่อรู้สึกว่ายางเริ่มแห้ง ก็ให้ทาซ้ำไปเรื่อยๆ ประมาณ 30 นาที ก็จะช่วยบรรเทาอาการ เจ็บปวดและอาการบวมได้ การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 28 13 21,22 EUPHORBIACEAE 58 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


EUPHORBIACEAEกระบือเจ็ดตัว หมอยาพื้นบ้าน 13 ชื่อสามัญ Picara ชื่อท้องถิ่น กะเบือ (ราชบุรี), ใบท้องแดง (จันทบุรี), บัว บัวลา กระทู้ กระทู้เจ็ดแบก (ภาคเหนือ), กระบือเจ็ดตัว กำลังกระบือ ลิ้นกระบือ (ภาคกลาง), ต้นลิ้นควาย, ตาตุ่มไก่, ตาตุ่มนก, ลิ้นกระบือขาว ชื่อวิทยาศาสตร์ Excoecaria cochinchinensis Lour. ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ล�ำต้น สูงประมาณ 0.5-1.0 ม. กิ่งก้านมีน้ำยางสีขาวเหมือนน้ำนม แตกกิ่งก้านมาก มีรูอากาศตามผิวกิ่ง ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับเวียนรอบกิ่ง รูปใบหอกแกมรูปไข่ กว้าง 2-4.5 ซม. ยาว 4-12 ซม. ปลายเป็นติ่งแหลม โคนสอบ ขอบหยัก เป็นฟันเลื่อยตื้นๆ หลังใบเรียบ สีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบเรียบสีม่วงแดงเข้ม เส้นแขนงใบ ข้างละ 7-12 เส้น ก้านใบยาว 0.5-1.5 ซม. หูใบรูปไข่ ยาวประมาณ 1 มม. ดอก ดอกช่อกระจะ ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกย่อยขนาดเล็กสีเหลืองอมเขียว แยกเพศ อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกเพศเมีย อยู่ส่วนล่าง ส่วนปลายด้านบนเป็นดอกเพศผู้ ดอกตัวผู้มีจานวนมาก กลีบเลี้ยง 3 กลีบ เกสรเพศผู้เล็กมากมี 3 อัน อับเรณูรูปกลม สั้นกว่า ก้านชุอับเรณูเล็กน้อย ดอกตัวเมีย มีกลีบเลี้ยงเล็ก 3 กลีบ รังไข่เล็กสีเขียวอมชมพู กลม เกลี้ยง มี 3 ช่อง ก้านเกสรเพศเมียมี 3 อัน ยาว 2.2 มม. ผล ผลเดี่ยว แบบกล่อง 3 พู กลม เมื่อแก่จะแตก เมล็ดเกือบกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 มม. สรรพคณุ ใบ รสร้อนเฝื่อนขื่น ขับเลือดเน่าเสีย ขับน้ำคาวปลาให้สะดวกหลังคลอด แก้อักเสบบริเวณปากมดลูก ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้ แก้บวมฟกช้ำ ดำเขียว แก้พิษบาดทะยัก ใบตำผสมเหล้าขาว คั้นเอาน้ำกิน แก้สันนิบาตหน้าเพลิง (บาดทะยักในปากมดลูก) ขับโลหิตร้าย แก้สัตนิบาตเลือด แก้ประจำเดือนขัดข้อง ทำให้เลือดกระจาย ใบตำพอกห้ามเลือด กระพี้และเนื้อไม้ ถอนพิษไข้ ถอนพิษผิดสำแดง แก้ร้อนภายใน ยาง ใช้เบื่อปลา ใบ แก้หัด แก้คางทูม ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้ปวดตึงกล้ามเนื้อหลัง การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 13 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 59


หนุมานนั ่ งแท่น หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Gout plant ชื่อท้องถิ่น หัวละมานนั่งแท่น (ประจวบคีรีขันธ์), ว่านเลือด (ภาคกลาง), ว่านหนุมาน, ว่านหนูมานนั่งแท่น ชื่อวิทยาศาสตร์ Jatropha podagrica Hook ชื่อวงศ์ EUPHORBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม ล�ำต้น ความสูงของต้น 1.5-3 ม. ลำต้นพองที่โคน อวบน้ำผิวไม่เรียบ สีน้ำตาลอมเขียว และมีเหง้าอยู่ใต้ดินลักษณะกลมยาว อาจเป็น เหลี่ยมเล็กน้อย ต้นมีน้ำยางสีขาวขุ่นใส ๆ ไม่เหนียวเหนอะหนะ ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กว้าง โคนใบเป็นรูปหัวใจ ส่วนขอบใบเว้าเป็นแฉก 3-5 แฉก ใบมีขนาดกว้างและยาว 5-15 ซม. หลังใบและท้องใบเรียบ ก้านใบยาว 10-20 ซม. ติดแผ่นใบแบบก้นปิด หูใบแตกแขนงยาวได้ถึง 5 มม. ดอก เป็นช่อกึ่งช่อเชิงหลั่น ยาวได้ถึง 26 ซม. แกนช่อดอกยาวได้ถึง 20 ซม. ออกที่ปลายยอด มีใบประดับเป็นรูปสามเหลี่ยม ยาว 2 มม. ดอกย่อยสีแดงมีจำนวนมาก กลีบดอกมี 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีส้มหรือสีแดง ดอกเพศผู้มีกลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่กว้าง ยาว 0.6 มม. กลีบดอก เป็นรูปไข่กว้าง 2 มม. และยาว 5-6 มม. จานรองดอกเป็นรูปโถ เกสรเพศผู้จะยาว 6-8.5 มม. ก้านชูเกสรเชื่อมกันที่โคน ส่วนดอกเพศเมีย กลีบเลี้ยงจะเป็นรูปรี ยาว 2 มม. ส่วนกลีบดอกยาว 6-7 มม. ก้านชูและก้านชูช่อดอกเป็นสีแดง ผล ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมรีหรือรูปกระสวย ผิวผลเรียบ แบ่งเป็นพู 3 พู ปลายมน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ซม. ผลอ่อนเป็น สีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีดำ เมื่อผลแห้งจะไม่แตก ภายในผลมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปกระสวยหรือรูปรี มีขนาดกว้าง 6 มม. และยาว 12 มม. เมล็ดมีเยื่อสีขาวอยู่ที่ขั้ว สรรพคณุ หัวหรือเหง้า ใช้กินเป็นยาบำรุงพละกำลังสำหรับผู้ที่ใช้กำลังแบกหามหรือทำงานหนัก เหง้า มีสรรพคุณเป็นยาฟอกโลหิต เป็นยาสมานแผลเช่นกัน ใช้เป็นยาพอกทาตามข้อมือข้อเท้า นวดแก้อาการเคล็ดขัดยอก ยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้น้ำยางเป็นยาทารักษาแผลมีดบาด แผลถลอก และใช้ห้ามเลือด เป็นยาทารักษาฝี การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 2 EUPHORBIACEAE 60 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มรอเลื้อย ล�ำต้น เนื้อแข็ง พาดพันต้นไม้อื่น สูง 3-6 ม. เถามีผิวเรียบ สีน้ำตาล มีหนามเล็กแหลมตามลำต้นกิ่งก้านและใบ ไม่มีมือเกาะ ใบ ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น เรียงสลับ ใบย่อย 10-35 คู่ รูปขอบขนาน ขนาดเล็ก ออกตรงข้าม ปลายมน แผ่นใบเรียบ โคนตัด ขอบหนาเรียบ ก้านใบยาว 3.6-5.0 ซม. มีขนสั้นนุ่มหนาแน่น และมีต่อม 1 อันที่โคนก้านใบ ดอก ดอกช่อกระจุกกลม ออกตามซอกใบ 1-3 ช่อดอกต่อข้อ ขนาด 0.7-1.3 ซม. ดอกย่อยขนาดเล็กอัดแน่นอยู่บนแกนดอก 35-45 ดอก มีใบประดับดอก 1 อัน สีแดง กลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 5 กลีบ เกสรเพศผู้จำนวนมาก ยาว 4-6 มม. เกสรเพศเมีย รังไข่ยาว 1 มม. ผล ผลเดี่ยว แบบฝักแบนยาว ขนาดกว้าง 1.3-1.4 ซม. ยาว 7.0-9.3 ซม. ฝักอ่อนเปลือกสีเขียวอมแดง เมื่อแก่สีน้ำตาลเข้ม ก้านผล ยาว 2.8-3.0 ซม. แต่ละผลมี 5-12 เมล็ด สรรพคณุ ต้น รสเปรี้ยวฝาด เป็นยาระบาย แก้โรคตาแดง แก้น้ำตาพิการ ราก รสขม แก้ไข้ ใบ รสเปรี้ยว ฝาดเล็กน้อย ต้มดื่ม ขับเสมหะ ขับระดูขาว แก้น้ำลายเหนียว ฟอกโลหิต แก้บิด ชำระเมือกมันในลำไส้ แก้โรคตา ตำประคบ ให้เส้นเอ็นหย่อน ยอดอ่อน นำมาต้มน้ำ และผสมกับน้ำผึ้งดื่มเป็นยาช่วยขับปัสสาวะ หรือนำมาตำรวมกับขมิ้นอ้อย แล้วใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย หมกไฟพอ อุ่น นำไปพอกแก้ฝี ดอก รสเปรี้ยว ฝาด มัน แก้เส้นเอ็นที่พิการให้สมบูรณ์ ฝัก รสเปรี้ยว มีสารซาโปนินสูง ตีกับน้ำจะเกิดฟองที่คงทน ฝักแก่ใช้ต้มเอาน้ำสระผมช่วยขจัดรังแค บำรุงผม เป็นยาปลูกผมและกำจัด รังแค ต้มอาบน้ำหลังคลอด ตำพอกหรือชุบสาลีปิดแผลโรคผิวหนัง การกระจายพันธุ์ พบในทวีปเอเชียเขตร้อน ตั้งแต่อินเดียถึงนิวกีนี ประเทศไทยพบได้ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้ 1,2 25 19 16 29 21,22 FABACEAE ส้มป่ อย หมอยาพื้นบ้าน 1 , 2 , 16 , 19 , 21 , 22 , 25 , 29 ชื่อสามัญ Soap poi ชื่อท้องถิ่น ส้มพอดี (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ส้มคอน (ไทใหญ่), ส้มขอน (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), พิจือสะ พิฉี่สะ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), ผ่อชิละ ผ่อชิบูทู (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่), แผละป่อย เมี่ยงโกร๊ะ ไม้ส้มป่อย (ลั้วะ), เบล่หม่าฮั้น (ปะหล่อง) ชื่อวิทยาศาสตร์Acacia concinna (Willd.) DC. ชื่อวงศ์ FABACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 61


ราชพฤกษ์ หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Golden shower ชื่อท้องถิ่น ราชพฤกษ์ กุเพยะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), ปูโย ปีอยู เปอโซ แมะ หล่าอยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ลักเกลือ ลักเคย (กะเหรี่ยง), ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ (ภาคกลาง), ลมแล้ง (ภาคเหนือ), ราชพฤกษ์ (ภาคใต้), คูน ชื่อวิทยาศาสตร์Cassia fistula L. ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ขนาดกลาง ล�ำต้น มีลำต้นสีน้ำตาลแกมเทาเกลี้ยง ใบ ใบประกอบ สีเขียวเป็นมัน ยาว 2.5 ซม. ใบย่อยรูปป้อม ๆ 3-6 คู่ ใบย่อยมีความกว้าง 5-7 ซม. ยาว 9-15 ซม. โคนใบมนและสอบ ไปทางปลายใบ เนื้อใบบางเกลี้ยง มีเส้นแขนงใบถี่และโค้งไปตามรูปใบ ดอก ดอกเป็นช่อ ยาว 20-45 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปขอบขนาน มีความยาว 1 ซม. กลีบดอกมี 5 กลีบ หลุดร่วงได้ง่ายรูปไข่ เกสรตัวผู้ 10 อัน มีก้านอับเรณู ผล ผลมีลักษณะเป็นฝัก รูปทรงกระบอกเกลี้ยง ๆ ฝักยาว 20-60 ซม. และวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ราว 2-2.5 ซม. ฝักอ่อนจะมีสีเขียว ส่วนฝักแก่จัดจะมีสีดำ ในฝักจะมีผนังเยื่อบาง ๆ ติดกันอยู่เป็นช่อง ๆ ตามขวางของฝัก และในช่องจะมีเมล็ดสีน้ำตาลแบน ๆ อยู่ มีขนาด 0.8-0.9 ซม. สรรพคณุ ราก รสเมา เป็นยาบำรุง รักษาโรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี เป็นยาถ่ายอย่างแรง รักษาอาการไข้ ระบายพิษไข้ ถ่ายสิ่งโสโครก ออกจากร่างกาย ฆ่าเชื้อคุดทะราด แก้กลากเกลื้อน แก้อาการเซื่องซึม หนักศีรษะ เปลือกราก รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้มาลาเรียและระบายพิษไข้ ใช้ร่วมกับเนื้อในฝักเป็นยาแก้ไข้มาลาเรียและเป็นยาระบาย แก่น รสเมา ใช้เป็นยาขับพยาธิไส้เดือน รักษาอาการท้องร่วง และช่วยเร่งคลอด เปลือกต้น รสฝาดเมา ใช้เป็นยาช่วยเร่งคลอด รักษาอาการท้องร่วง กระพี้ รสเมา ใช้แก้รำมะนาด ฝัก เนื้อในฝักรสหวานเอียน ใช้รับประทานเป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาอาการแน่นหน้าอก ฟอกหรือชำระน้ำดี แก้ลมเข้าข้อและขัดข้อ เปลือกฝัก รสเฝื่อนเมา ทำให้แท้งลูก ขับรกที่ค้าง และทำให้อาเจียน การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคของประเทศไทย 2 62 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี FABACEAE


ช ัยพฤกษ์ หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Javanese cassia ชื่อท้องถิ่น ขี้เหล็กยะวา, เหล็กยะวา ชื่อวิทยาศาสตร์Cassia javanica L. ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ผลัดใบ ล�ำต้น ขนาดใหญ่ สูง 15-25 ม. ทรงพุ่มรูปร่ม แผ่กว้าง เปลือกต้นค่อนข้างเรียบสีน้ำตาล ต้นเล็กจะมีหนาม ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงสลับ มีใบย่อย 7-12 คู่ ออกเรียงตรงข้ามกัน แกนกลางใบยาว 15-30 ซม. ใบย่อยรูปขอบขนาน หรือรูปไข่แกมรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบกลม ขอบใบเรียบ กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 3.5-5 ซม. แผ่นใบเป็นสีเขียวสด ผิวใบด้านล่างมีสี อ่อนกว่า และมีขนละเอียด ดอก ดอกช่อเชิงลด ก้านช่อดอกใหญ่และแข็ง ไม่แตกแขนง ช่อดอกตั้ง ยาว 5-16 ซม. ดอกสีชมพู ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ สีแดงเข้ม ถึงแดงอมน้ำตาล ยาว 7-10 มม. กลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่กลับ กว้าง 7-8 มม. ยาว 2.5-3.5 ซม. โคนกลีบคอดเป็นก้านยาว 3 มม. เกสร เพศผู้ 9-10 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่เรียว มีขนปกคลุมบาง ๆ ผล ผลเดี่ยว แห้งเป็นฝัก รูปทรงกระบอก ผิวฝักเรียบเกลี้ยงไม่มีขน กว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 30-60 ซม. ฝักอ่อนสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยน เป็นสีดำ ฝักแก่จะไม่แตก ภายในฝักมีเมล็ด 40-50 เมล็ด สรรพคณุ ฝัก มีรสหวานเอียน ใช้ถ่ายเสมหะ แก้พรรดึก (ท้องผูก) ระบายพิษไข้ เป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนในท้องหรือไซ้ท้อง ใช้ได้ในเด็ก สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง แก้ตานขโมย ใช้พอกแก้ปวดข้อ และสรรพคุณของยาไทยโบราณกล่าวว่า ส่วนอื่นๆ เสมอด้วยสรรพคุณ ของต้นคูน เนื้อในฝัก เป็นยาระบายอ่อนๆ ใบ บดผสมทาฝีและเม็ดผื่นตามร่างกายและเป็นยา ราก ฝนทารักษาขี้กลากและเป็นยาระบาย ผล รับประทานทำให้อาเจียน เป็นยาถ่ายพิษไข้ได้ดี การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 2 FABACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 63


อัญชั น หมอยาพื้นบ้าน 1 , 2 ชื่อสามัญ Butterfly pea ชื่อท้องถิ่น ดอกอัญชัน, แดงชัน, เอื้องชัน ชื่อวิทยาศาสตร์Clitoria ternatea L. ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เลื้อยเนื้ออ่อน อายุหลายปี ล�ำต้น ลำต้นมีขนปกคลุม มีระบบรากที่แตกแขนงไม่ลึกมาก ใบ ใบประกอบแบบขนนก เรียงตรงข้ามยาว 6-12 ซม. มีใบย่อยรูปไข่ 5-7 ใบ กว้าง 2-3 ซม. ยาว 3-5 ซม. ปลายแหลม โคนมน ผิวใบ ด้านล่างมีขนหนาปกคลุม ดอก ดอกเดี่ยว สีขาว ฟ้า และม่วง รูปทรงคล้ายฝาหอยเชลล์ออกเป็นคู่ตามซอกใบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ เรียงบิดซ้อนกัน ผล ผลเดี่ยวแบบฝักแบนเหมือนฝักถั่ว ยาว 6-12 ซม. กว้าง 0.5-1.2 ซม. ฝักอ่อนมีสีเขียว น้ำตาล น้ำตาลเข้มจนถึงดำตามอายุของฝัก เมล็ด เมล็ดจำนวนมาก เมล็ดอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่มีสีน้ำตาลและสีดำตามลำดับ สรรพคณุ ดอก ประกอบด้วยสารสำคัญในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ที่มีสรรพคุณหลายอย่าง อาทิ ลดอาการปวด เป็นยาชา ลดไข้ บำรุงสายตา โรคต้อหิน ต้อกระจก ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงเลือด กระตุ้นการไหลเวียนเลือด เพิ่มความแข็งแรงหลอดเลือด ยับยั้งเกล็ดเลือด ลดความดันโลหิตสูง คลายกล้ามเนื้อ ต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ ลดอาการบวมของแผล ต้านอาการภูมิแพ้ ต้านอนุมูลอิสระ และยับยั้ง เซลล์มะเร็ง ส่วนของ รากมีรสขมเย็น ใช้กินสดหรือต้มน้ำดื่ม ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ยาระบาย ใช้บำรุงสายตา ลดตาอักเสบ ตาแฉะ ตาฟาง ลดไข้ แก้อาการ ปวดแสบปวดร้อน ลดอาการผิดปกติในเม็ดเลือดขาว ลดอาการอักเสบของหลอดลม บรรเทาอาการโรคหอบ รักษาโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ส่วนรากดิบนำมาล้างน้ำให้สะอาด ใช้ขัดถูฟัน ช่วยให้ฟันแข็งแรง ต้านเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก และแก้ปวดฟัน ใบ นำมาบดประคบแผล ต้านอักเสบของแผล หรือนำมาต้มดื่มหรือตากแห้งชงเป็นชาดื่มใช้เป็นยาขับปัสสาวะ บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ ต้านอนุมูลอิสระ และต้านเซลล์มะเร็ง เมล็ด นำมาบดชงน้ำดื่มหรือต้มน้ำดื่มใช้เป็นยาระบาย แต่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน จึงไม่นิยมใช้ การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 1,2 FABACEAE 64 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถา ล�ำต้น เนื้อไม้แข็ง ลำต้นกลมมีรูอากาศสีขาวกระจายตามกิ่งและเถา เถาหรือลำต้นส่วนที่แก่เป็นสีน้ำตาลปนแดง ใบ ใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ มีใบย่อย 9-13 ใบ ใบคู่แรกมีขนาดเล็กสุดและจะเริ่มใหญ่ขึ้นตามลำดับจนถึงใบสุดท้ายที่อยู่ ตรงยอด ใบรูปไข่กลับหรือรูปใบหอก ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบเรียว ขอบใบเรียบ กว้าง 5-7 ซม. และยาว 10-20 ซม. ใบแก่สีเขียว แผ่นใบเรียบเกลี้ยงทั้งสองด้าน เส้นใบสีเขียวปนน้ำตาล มองเห็นเส้นแขนงคล้ายก้างปลายาวจนชิดขอบใบ ด้านท้องใบสีเขียวและจะเห็น เส้นใบได้ชัดกว่าด้านบน ยอดอ่อนและใบอ่อนเป็นสีแดง มีขนสีน้ำตาลแดง ดอก ดอกช่อกระจะ ออกตามซอกใบ ช่อดอกแต่ละช่อยาว 22.5-30 ซม. มีขนสั้นหนานุ่ม ดอกสีชมพูหรือสีชมพูแกมม่วง เมื่อบานเต็มที่ จะเป็นสีชมพูอ่อนและจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว ลักษณะของกลีบดอกเป็นรูปดอกถั่ว ยาว 1.5 ซม. กลีบล่างเป็นรูปโล่ กลีบเลี้ยงโคน เชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยหรือรูประฆังมีขน กลีบเลี้ยงยาว 6 มม. เกสรเพศผู้เชื่อมติดกันเป็นมัดเดียว รังไข่มีขนอุย ผล ผลเป็นฝักแบน รูปขอบขนานถึงรูปใบหอก ปลายและโคนฝักแหลม มีขนาดกว้าง 2 ซม. และยาว 3.5-8.5 ซม. คอดตามแนวของเมล็ด ฝักอ่อนเป็นสีเขียว และจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลปนแดงเมื่อแก่ ภายในฝักมีเมล็ด 1-4 เมล็ด สรรพคณุ เถา นำมาตากให้แห้ง หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้ดองกับเหล้ากินเป็นยาขับโลหิตและบำรุงโลหิตของสตรี เถาผสมกับยาอื่น ปรุงเป็นยาแก้ประจำเดือนเป็นลิ่มหรือเป็นก้อน และเป็นยาขับประจำเดือน เถาตากแห้ง นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใช้ดองกับเหล้ากินเป็นยาถ่ายลม ถ่ายเสมหะ ถ่ายโลหิต และถ่ายเส้นเอ็น ทำ ให้เส้นเอ็นหย่อน ใช้รักษาหิด เหา และเรือด การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 3 หางไหลแดง หมอยาพื้นบ้าน 3 ชื่อสามัญ Tuba root ชื่อท้องถิ่น กะลำเพาะ (เพชรบุรี), อวดน้ำ (สุราษฎร์ธานี), ไหลน้ำ ไกล เครือไกลน้ำ (ภาคเหนือ), โพตะโกส้า (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), โล่ติ๊น ชื่อวิทยาศาสตร์Derris elliptica (Wall.) Benth. ชื่อวงศ์ FABACEAE FABACEAEบัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 65


เถาวัลย์เปรี ยง หมอยาพื้นบ้าน 2 , 5 , 8 , 9 , 12 , 13 , 16 , 20 , 21 , 22 , 23 ชื่อสามัญ Jewel vine ชื่อท้องถิ่น เครือตาปลา เครือไหล (เชียงใหม่), เครือตับปลา (เลย), เถาตาปลา เครือเขาหนัง ย่านเหมาะ (นครราชสีมา), พานไสน (ชุมพร), เครือตาป่า เครือตับปลา เครือเขาหนังเครือตาปลาโคก (หากเกิดบนบก) เครือตาปลาน้ำ (หากเกิดในที่ลุ่ม) (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), เถาวัลย์เปรียงขาว เถาวัลย์เปรียงแดง (ภาคกลาง), ย่านเหมาะ ย่านเมราะ (ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์Derris scandens (Roxb.) Benth. ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเลื้อยขนาดใหญ่ ล�ำต้น สามารถเลื้อยไปได้ไกลถึง 20 ม. มีกิ่งเหนียวและทนทาน กิ่งแตกเถายืดยาวอย่างรวดเร็ว เถามักเลื้อยพาดพันตามต้นไม้ใหญ่ เถาแก่มีเนื้อไม้แข็ง เปลือกเถาเรียบและเหนียว สีน้ำตาลเข้มอมสีดำหรือแดง เถาใหญ่มักจะบิด เนื้อไม้เป็นสีออกน้ำตาลอ่อนๆ มีวงเป็น สีน้ำตาลไหม้คล้ายกับเถาต้นแดง ใบ ใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับกัน มีใบย่อย 4-8 ใบ ใบย่อยรูปรี ปลายรูปหอก โคนมน ขอบเรียบ กว้างประมาณ 1-1.25 ซม. ยาวประมาณ 3-5 ซม. หลังใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ท้องใบเรียบ ดอก ดอกช่อ ออกตามซอกใบและปลายยอด กลีบเลี้ยง 4 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย สีม่วงแดง กลีบดอก 4 กลีบ สีขาว ขนาด ไม่เท่ากัน เกสรตัวผู้ 10 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน ผล ผลเดี่ยว เป็นฝักแบน โคนฝักและปลายฝักมน ฝักเมื่อแก่เป็นสีน้ำตาลอ่อน ภายในฝักมีเมล็ดประมาณ 1-4 เมล็ด สรรพคณุ เถา ใช้ต้มรับประทานเป็นยาถ่ายกษัย แก้กษัย ช่วยแก้หวัด แก้ไอ เป็นยาถ่ายเสมหะลงสู่ทวารหนัก แก้เสมหะพิการโดย ไม่ทำให้ถ่ายอุจจาระ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคบิด โรคหวัด โรคไอ และใช้ได้ดีในเด็ก แก้ปัสสาวะผิดปกติ คนโบราณจะนิยมใช้เถา ของเถาวัลย์เปรียงเพื่อเป็นยารักษาอาการตกขาวของสตรี ช่วยทำให้มดลูกเข้าอู่ ด้วยการใช้เถาสดนำมาทุบให้ยุ่ย แล้ววางทาบลงบน หน้าท้อง แล้วนำหม้อเกลือที่ร้อนมานาบลงไปบนเถาวัลย์เปรียง มีการใช้เถาเพื่อรักษาโรคอัมพฤกษ์และกระดูกหัก โดยการนำเถามาตำ ให้เป็นผงผสมกับน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันหัวครำ ราก มีรสเฝื่อนเมา ใช้เป็นยาอายุวัฒนะเพื่อช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ในตำรับยาไทยใช้รากเป็นยารักษาอาการไข้ มีสรรพคุณเป็นยาขับ ปัสสาวะ การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 2,5 20 23 8 9 12,13 16 21,22 FABACEAE 66 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ไมยราบ หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Sensitive plant, Sleeping grass ชื่อท้องถิ่น กระทืบยอด หนามหญ้าราบ (จันทบุรี), หงับพระมาย (ชุมพร), ก้านของ (นครศรีธรรมราช), ระงับ (ภาคกลาง), หญ้าปันยอด หญ้าจิยอบ (ภาคเหนือ), กะหงับ ด้านของหงับพระพาย (ภาคใต้), หญ้าปันยอบ กะเสดโคก หญ้างับ ชื่อวิทยาศาสตร์ Mimosa pudica L. ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก อายุหลายปี ล�ำต้น มักแผ่ทอดเลื้อยตามพื้นดิน บางครั้งจะสูงถึง 1 ม. ต้นมีน้ำตาลแดง มีขนาดเล็ก และมีขนหยาบ ๆ ปกคลุมที่ลำต้น ใบประกอบแบบ ขนนก 2 ชั้น แกนกลางรวมกับก้านใบ ยาว 2.5-5 ซม. ใบ ส่วนใบย่อยมี 1-2 ใบ ยาว 1.5-7 ซม. โดยใบย่อยจะมีอยู่ 12-25 คู่ รูปขอบขนานหรือคล้ายๆ รูปเคียวยาว 0.5-1 ซม. ดอก ดอกช่อกลมสีชมพู เป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ ออกที่บริเวณซอกใบ ก้านดอกมีความยาว 2.5-4 ซม. ดอกมีจำนวนมาก ไร้ก้าน มีกลีบ เลี้ยงขนาดเล็กมาก 0.1 มม. กลีบดอกจะคล้ายกับรูประฆังแคบ มีความยาว 2 มม. กลีบดอกจะมนกลม มีความยาว 0.5-0.8 มม. มีเกสร ตัวผู้อยู่ 4 อัน และมีรังไข่ยาว 0.5 มม. ผล ผลเป็นฝักแห้ง แบน ยาวเรียว ฝักมีหลายฝักในแต่ละช่อดอก ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ตรง และยาว 1.5-1.8 ซม. มีขนแข็งปกคลุม ตามสันขอบผล หักตามรอยคอด เมล็ด มีสีน้ำตาลอ่อน เมล็ดแบนเป็นสันนูนตรงกลาง หนึ่งผลมีเมล็ด 2-5 เมล็ด สรรพคณุ ล�ำต้น ช่วยบำรุงร่างกาย ต้นแห้งนำมาต้มกับน้ำกินช่วยแก้อาการอ่อนเพลียได้ ช่วยรักษาโรคกษัยได้ ช่วยขับโลหิต ช่วยแก้อาการปวด ศีรษะ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ช่วยทำให้สงบประสาท ช่วยแก้อาการตาบวม ตาเจ็บ ช่วยแก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยแก้นิ่ว ขับนิ่ว ช่วยแก้ไส้เลื่อน ทุกส่วน นำมาหั่นแล้วคั่วโดยใช้ไฟอ่อน ๆ จะมีกลิ่นหอม สามารถนำไปชงดื่มแทนชา ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ ช่วยแก้เด็กเป็นตาน ขโมย ช่วยแก้ตานซางในเด็กเล็ก ช่วยแก้ไข้ออกหัด ช่วยแก้กระเพาะอาหารอักเสบ ช่วยแก้ลำไส้อักเสบ ช่วยขับระดูขาว ช่วยแก้ไตพิการ ช่วยแก้อาการผื่นคันตามตัว ช่วยแก้แผลฝี ช่วยแก้อาการปวดข้อได้ ช่วยแก้หัด ช่วยขับน้ำนม ราก ช่วยในการระงับประสาท ช่วยทำให้ตาสว่าง ช่วยแก้อาการไอ ช่วยขับเสมหะ ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ช่วยบำรุงกระเพาะ อาหาร ช่วยแก้อาการบิด ท้องร่วง ช่วยแก้ปัญหาระบบย่อยอาหารของเด็กไม่ดีได้ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ใบ ช่วยแก้เริม ช่วยแก้อาการงูสวัด ช่วยแก้ไฟลามทุ่ง ช่วยรักษาโรคพุพอง ช่วยรักษาแผลเรื้อรังต่าง ๆ ช่วยรักษาแผลฝีหนอง ช่วยแก้ อาการปวดบวมได้ การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคของประเทศไทย 2 FABACEAEบัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 67


หมามุ่ย หมอยาพื้นบ้าน 1 ชื่อสามัญ Mucuna ชื่อท้องถิ่น บะเหยือง หมาเหยือง (ภาคเหนือ), โพล่ยู (กาญจนบุรี), กล้ออือแซ (แม่ฮ่องสอน), หมามุ้ย ตำแย ชื่อวิทยาศาสตร์Mucuna pruriens DC. ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ฤดูเดียว มีเถาเลื้อย ล�ำต้น ยาว 2-10 ม. มีขนหนาแน่น ใบ ใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยมี 3 ใบ รูปไข่หรือรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ใบกลางมักมีขนาดใหญ่ที่สุด กว้าง 3-10 ซม. ยาว 5-15 ซม. แผ่นใบทั้งสองด้านมีขนสีเทาปกคลุม ดอก ดอกช่อกระจะที่ซอกใบ ห้อยลงมา ยาว 15-30 ซม. ดอกสีม่วงคล้ำ มีกลิ่นเหม็นเอียน รูปดอกถั่ว ดอกย่อยมีจำนวนมาก กว้าง 1-2 ซม. ยาว 2-4 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกันเป็นรูป ปลายแยก กลีบดอก 5 กลีบ กลีบกลางรูปไข่ ผล ผลเป็นฝักโค้งรูปขอบขนาน กว้าง 0.8-1 ซม. ยาว 5-9 ซม. หนา 5 มม. มีลักษณะม้วนงอที่ปลายฝัก ตามผิวมีขนสีน้ำตาลอมเหลือง หนาแน่น เป็นขนแข็งและสั้น พอฝักแห้งขนจะหลุดร่วงปลิวตามลมได้ง่าย เมล็ด มี 4-7 เมล็ด สีดำเป็นมัน สรรพคณุ เมล็ด ปรุงเป็นยาแก้ไข้ ขับปัสสาวะ บำรุงประสาท ฝาดสมาน แก้พิษแมงป่องกัด โดยตำเป็นผงใส่น้ำเล็กน้อย พอกบริเวณที่ถูกกัด รักษาโรคบุรุษ กระตุ้นกำหนัด กระตุ้นและเพิ่มสมรรถภาพทางเพศชาย ราก ขับปัสสาวะอย่างแรง รากหมามุ่ยผสมกับรากมะเขือขื่น แช่น้ำกินแก้ไอ ใช้แก้อาการคัน ช่วยแก้พิษแมงป่องกันได้ ใบ เป็นยาพอกแผล รักษาอาการไฟไหม้น้ำ ใช้รักษาอาการของโรคคล้ายกับพาร์กินสัน ปัจจุบันพบ สาร L-dopa ในรากและเมล็ด ที่ออกฤทธิ์ในการรักษาโรคพาร์กินสัน การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 1 FABACEAE 68 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ชุมเห็ดเทศ หมอยาพื้นบ้าน 2 , 5 , 11 , 16 , 21 , 22 ชื่อสามัญ Acapulo, Candelabra bush, Candle bush, Candlestick senna, Christmas candle, Empress candle plant, Impetigo bush, Ringworm bush, Ringworm senna, Ringworm shru, Seven golden candlestick ชื่อท้องถิ่น ส้มเห็ด (เชียงราย), จุมเห็ด (มหาสารคาม), ขี้คาก ลับมืนหลวง ลับหมื่นหลวง ลับมืนหลาว หญ้าเล็บมือหลวง หมากกะลิงเทศ (ภาคเหนือ), ชุมเห็ด ชุมเห็ดใหญ่ ชุมเห็ดเทศ (ภาคกลาง), ตะสีพอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ตุ๊ยเฮียะเต่า ฮุยจิวบักทง (จีน), ตุ้ยเย่โต้ว (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์Senna alata (L.) Roxb. ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดกลาง ล�ำต้น สูง 2-3 ม. ลำต้นแตกกิ่งก้านเป็นแนวขนานกับพื้นดิน กิ่งจะแผ่ออกทางด้านข้าง มีขนสั้นนุ่ม เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาล ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ออกเรียงสลับกัน มีใบย่อย 8-20 คู่ รูปขอบขนานแกมรูปรี ปลายใบโค้งมนหรือหยัก โคนใบมนเว้า เข้าหากันเล็กน้อย โคนใบทั้งสองด้านไม่เท่ากัน ส่วนขอบใบเรียบเป็นสีแดง กว้าง 5-7 ซม.ยาว 5-15 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา หยาบและ เหนียว แก่นกลางใบหนา ก้านใบรวมยาว 30-60 ซม.มีหูใบลักษณะเป็นรูปติ่งหู สามเหลี่ยม สรรพคณุ ราก ใช้ผสมยาบำรุงธาตุ ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยรักษาโรคตาเหลือง ใช้เป็นยาเบื่อพยาธิ ใบ ใช้รักษาการติดเชื้อราของผิวหนัง นำมาชงกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน ช่วยแก้เส้น ประสาทอักเสบ ช่วยทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติ เป็นยาแก้หืด ยาขับเสมหะในรายที่หลอดลมอักเสบทหากดื่มยาชงจากชุมเห็ดเทศเป็นประจำ จะช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้ สามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ แก้อาการท้องผูก เป็นยาระบาย ไปกระตุ้นทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวดีขึ้น สมานธาตุ รักษากระเพาะอาหารอักเสบ แก้กษัยเส้น ทำหัวใจให้ปกติ ขับปัสสาวะ ขับพยาธิ ใช้ภายนอก รักษาฝี และแผลพุพอง รักษากลาก เกลื้อน โรคผิวหนัง อมบ้วนปาก รักษาผิวหนังอักเสบเป็นผื่นคัน เส้นประสาทอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย ใช้ใบตำพอกหรือ คั้นเอาน้ำผสมน้ำปูนใสทาหรือผสมวาสลิน ใช้ทำเป็นยาขี้ผึ้งทา เมล็ด ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ ช่วยแก้ตานซาง ถ่ายพิษตานซาง ช่วยแก้อาการท้องขึ้น การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย ทั้งบนที่ราบหรือบนภูเขาสูงจนถึง 1,500 ม. 2,5 11 16 21,22 FABACEAEบัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 69


ข ี ้ เหล็ก หมอยาพื้นบ้าน 16 , 19 , 30 ชื่อสามัญ Cassod tree ชื่อท้องถิ่น ขี้เหล็กแก่น (ราชบุรี), ขี้เหล็กบ้าน (ลำปาง, สุราษฎร์ธานี), ผักจี้ลี้ แมะขี้แหละพะโด (แม่ฮ่องสอน), ยะหา (ปัตตานี), ขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลาง), ขี้เหล็กหลวง (ภาคเหนือ), ขี้เหล็กจิหรี่ (ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์Senna siamea (Lam.) ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ขนาดกลาง สูงประมาณ 5-15 ม. ล�ำต้น มีเปลือกสีเทาอมดำ แตกร่องเล็กๆตามยาว ใบประกอบแบบขนนกชนิดใบคู่ แตกออกบริเวณปลายกิ่ง เรียงสลับกัน ยาวประมาณ 15-25 ซม. ใบ ใบย่อย เรียงเป็นคู่ๆ 7-16 คู่ รูปร่างรี โคนและปลายมน ขอบเรียบ ยาว 3.5-4 ซม. กว้าง 1.5-2 ซม. เส้นใบมองไม่ค่อยชัดเจน ใบอ่อน หรือยอดอ่อนมีสีแดงเรื่อ ใบแก่มีสีเขียวสด ไม่มีขน ดอก ดอกช่อขนาดใหญ่ ออกเฉพาะบริเวณปลายกิ่งเท่านั้น ช่อดอกยาว 20-40 ซม. แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ขนาด 2.5-4 ซม. กลีบเลี้ยง 3-4 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ ขนาดเท่ากัน สีเหลืองเข้ม เกสรตัวผู้ 10 อัน เกสรตัวเมียและรังไข่ 1 อัน ผล ผลเดี่ยวแบบฝัก แบนยาว ขนาดฝักกว้าง 1.5 ซม. ยาว 15-25 ซม. ฝักอ่อนมีสีเขียว ฝักแก่มีสีน้ำตาลอมดำ ภายในฝักมีเมล็ดเรียงตาม ความยาวของฝัก จำนวน 20-30 เมล็ด เมล็ดมีรูปร่างรีแบน สีน้ำตาลอมดำ สรรพคณุ ใบ มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดความดันโลหิตสูง รักษาเบาหวาน รักษาความเครียด บรรเทาอาการจิตฟุ้งซ่าน ช่วยบำรุงโลหิต ใบแห้ง ใบอ่อนนำมาต้มดื่มครั้งละ 1-2 ช้อนชาก่อนเข้านอน ช่วยแก้อาการท้องผูก ด้วยการ ใช้ใบอ่อน 2-3 กำมือ หรือแก่นประมาณ 2 องคุลี ประมาณ 3-4 ชิ้น นำมาต้มกับน้ำครึ่งถ้วยแก้ว เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ดื่มหลังตื่นนอน ตอนเช้าหรือก่อนอาหารเช้าครั้งเดียว ใบ ลำต้น กิ่ง ช่วยขับปัสสาวะ รักษานิ่วในไต ดอก มีวิตามินที่ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ป้องกันหวัด ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยยับยั้งและ ชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยบำรุงสมอง บำรุงประสาท แก้โรคประสาท นำมาทานเพื่อทำให้เจริญอาหาร ราก ช่วยบำรุงธาตุ เจริญไฟธาตุ แก้ธาตุพิการ ทำให้ตัวเย็นด้วยการใช้แก่น อีกทั้งยังรักษาวัณโรค ช่วยแก้โรคกษัย การกระจายพันธุ์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 19 16 30 FABACEAEบัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 70


ชุมเห็ดไทย หมอยาพื้นบ้าน 5 , 15 , 24 ชื่อสามัญ Foetid cassia, Sickle senna ชื่อท้องถิ่น พรมดาน, พราดาน, หญ้าลึกลืน, หญ้าลักลืน, เล็นเค็ด, กิเกีย, เล็บหมื่นน้อย, ลับมืนน้อย, เล็บมื่นน้อย, ชุมเห็ดควาย, ชุมเห็ดเขาควาย, ชุมเห็ดนา, ชุมเห็ดเล็ก, เล็บมื่นน้อย, เล็บมื้น, หน่อปะหน่าเหน่อ ชื่อวิทยาศาสตร์Senna tora (L.) Roxb. ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ล�ำต้น ต้นมีความสูงประมาณ 0.3-1.3 ม. มีเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นประมาณ 12.3-17.4 มม. ลำต้นเป็นสีเขียวอมสีน้ำตาลแดง ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 คู่ ตรงกลางใบย่อยที่ติดเชื่อมกันนั้นจะพบว่ามีตุ่มตารองน้ำ 1 คู่ ปลายใบมนและมีติ่งหนาม โคนใบแหลม ส่วนขอบใบมีรอยหยักแบบขนครุย แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม หลังใบเรียบเนียนไม่มีขน ท้องใบมีขนละเอียดอ่อนนุ่มปกคลุม อยู่หนาแน่น ใบมีกลิ่นฉุนเล็กน้อย ก้านใบมีร่องลึก ไม่มีขน มีหูใบแบบเข็มแหลมสีเขียว 2 อัน ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ในช่อหนึ่งจะมีดอกประมาณ 2-4 ดอก ดอกเป็นสีเหลืองสด ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 10 ก้าน มีขนปกคลุม ผล ผลเป็นฝักยาวโค้งเล็กน้อย ฝักจะแบนทั้งสองด้าน และปกคลุมไปด้วยขนอ่อนนุ่มสั้น ๆ เมล็ดเป็นสีน้ำตาลเหลือง สีน้ำตาล ลักษณะ แข็งและแบน มองเห็นเหมือนเป็นจะงอยอีกด้านหนึ่งของเมล็ด เมล็ดมีรสชาติขมเมา มีกลิ่นเฉพาะตัว หอมเล็กน้อย สรรพคณุ เมล็ด รสขมเมา เป็นยาระบายอ่อนๆ ขับอุจจาระ รู้ถ่ายรู้ปิดเอง แก้ไอ รักษาโรคผิวหนัง บำรุงประสาท เป็นยาระงับประสาท แก้นอนไม่ หลับ แก้กษัย แก้ตาแดง ตามัว แก้ตับอักเสบ ตับแข็ง บำรุงกำลัง ลดความดันเลือดชั่วคราว บดผสมน้ำมันพืชทาแก้หิด กลากเกลื้อน ใช้เมล็ด คั่วชงน้ำดื่ม บำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น ทำให้หลับสบาย ขับปัสสาวะ ทั้งต้น มีรสเมา แก้ไข้ ขับพยาธิในท้อง แก้ไข้หวัด กล่อมตับ ทำให้ตาสว่าง การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 5 24 15 FABACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 71


มะขาม หมอยาพื้นบ้าน 16 , 21 , 22 ชื่อสามัญ Tamarind ชื่อท้องถิ่น มะขาม ชื่อวิทยาศาสตร์Tamarindus indica L. ชื่อวงศ์ FABACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ล�ำต้น เปลือกลำต้นเมื่อต้นยังมีอายุน้อยจะมีสีเทา มีร่องแตกไปทั่ว และเมื่อต้นมีอายุมากจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมดำ มีการ แตกกิ่งจำนวนมาก ทำให้ดูเป็นทรงพุ่มหนาทึบ ใบ ใบประกอบแบบใบขนนก ประกอบด้วยก้านใบหลัก ยาว 5-15 ซม. มีก้านใบสีเขียวสดขนาดเล็ก ใบย่อยออกเป็นคู่ๆ บนก้านใบหลัก จำนวนใบ 10-20 คู่ รูปไข่ กว้าง 0.3-0.5 ซม. ยาว 0.8-1.5 ซม. แผ่นใบ และขอบใบเรียบ ใบอ่อนมีสีเขียวอมแดง และค่อยเปลี่ยนเป็น สีเขียวอมเหลือง และแก่เปลี่ยนเป็นสีเขียวสด สรรพคณุ ราก แก้ท้องร่วง สมานแผล รักษาเริม และงูสวัด เปลือกต้น แก้ไข้ ตัวร้อน แก่น กล่อมเสมหะ และโลหิต ขับโลหิต ขับเสมหะ รักษาฝีในมดลูก รักษาโรคบุรุษ เป็นยาชักมดลูกให้เข้าอู่ ใบสด (มีกรดเล็กน้อย) เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ แก้ไอ แก้บิด รักษาหวัด ขับเสมหะ หยอดตารักษาเยื่อตาอักเสบ แก้ตามัว ฟอกโลหิต ขับเหงื่อ ต้มผสมกับสมุนไพรอื่นๆ อาบหลังคลอดช่วยให้สะอาดขึ้น เนื้อหุ้มเมล็ด แก้อาการท้องผูก เป็นยาระบาย ยาถ่าย ขับเสมหะ แก้ไอ กระหายน้ำ เป็นยาสวนล้างท้อง ฝักดิบ ฟอกเลือด และลดความอ้วน เป็นยาระบายและลดอุณหภูมิในร่างกาย บรรเทาอาการไข้ เมล็ดในสีขาว เป็นยาถ่ายพยาธิไส้เดือนตัวกลมในลำไส้ พยาธิเส้นด้าย เปลือกเมล็ด แก้ท้องร่วง แก้บิดลมป่วง สมานแผลที่ปาก ที่คอ ที่ลิ้น และตามร่างกาย รักษาแผลสด ถอนพิษและรักษาแผลที่ถูก ไฟลวก รักษาแผลเบาหวาน เนื้อในฝักแก่ (มะขามเปียก) รับประทานจิ้มเกลือ แก้ไอ ขับเสมหะ ดอกสด เป็นยาลดความดันโลหิตสูง การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 16 21,22 FABACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 72


พัดนางช ี หมอยาพื้นบ้าน 12 ชื่อสามัญ Cola de paloma ชื่อท้องถิ่น ว่านพัดแม่ชี, พัดยายชี, มือพระนารายณ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Xiphidium caeruleum Aubl. ชื่อวงศ์ HAEMODORACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น สูง 30-35 ซม. ลำต้นอวบน้ำ ข้อปล้องสั้น ทอดตามพื้นดิน ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ ซ้อนกันเป็นชั้น รูปหอกกลับแกมรูปขอบขนาน กว้าง 4-8 ซม. ยาว 30-35 ซม. ปลายแหลมขอบเรียบ แผ่นใบเป็น มัน สีเขียวเข้ม ก้านใบแผ่เป็นกาบซ้อนกัน ดอก ดอกเป็นช่อแบบช่อกระจุกด้านเดียว ออกตามปลายยอด ยาว 30 ซม. ดอกสีขาว กลีบดอก 6 กลีบ เกสรเพศผู้ 3 เกสร เกสรเพศเมียเรียงตัวแบบรังไข่เหนือวงกลีบ ก้านชูยอดเกสรสีขาว รังไข่สีเขียว แบ่งเป็น 3 พู สันแต่ละพูขนยาวสีขาวใส ออกดอกตลอดปี สรรพคณุ ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายเป็นหลัก โดยนำใบว่านซัก 3 ใบ นำไปต้มจนได้น้ำแล้วก็สามารถใช้แก้อาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย HAEMODORACEAE 12 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 73


มะพร้าวนกค่ม ุ หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Mapraw Nok Khoom ชื่อท้องถิ่น ว่านสากเหล็ก ว่านพร้าว จ๊าลาน (เชียงราย), มะพร้าวนกคุ่ม มะพร้าวนกคุ้ม (ยะลา), พญารากเดี่ยว (นราธิวาส), กูดพร้าว (ภาคเหนือ), ละโมยอ (มลายู-นรา), ซีหนานเหวินสูหลาน (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Molineria latifolia (Dryand. ex W.T.Aiton) Herb. ex Kurz ชื่อวงศ์ HYPOXIDACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น ลักษณะคล้ายปาล์ม สูง 30-40 ซม. ลำต้นเหนือดินมีลักษณะกลมชุ่มน้ำ มีหัวคล้ายรากแทงลึกลงไปในดิน 10-30 ซม. ตรงหัวจะมีรากเล็กๆ ลึกลงไปในดินอีกรากหนึ่ง ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับสากตำข้าว หรือเป็นรูปไข่กลมรี ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับติดกันที่โคนต้น รูปยาวรีหรือรูปขอบขนานแกมรูปหอก แผ่นใบพับเป็นร่อง ๆ ตามยาวคล้ายกับใบปาล์ม ปลายเรียวแหลม โคนสอบ ส่วนขอบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบเป็นสีเขียวเข้ม กว้าง 3.5-6 ซม. ยาว 20-70 ซม. โคนก้านใบแผ่กว้าง หุ้มลำต้น ดอก ดอกช่อ แทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ มีรูปร่างและสีเหลืองเหมือนกัน โคนดอกเชื่อมติด กัน ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-2.5 ซม. เกสรตัวผู้ 6 อัน รังไข่ 3 ห้อง ผล ผลเดี่ยวมีเนื้อสด กลม สีเหลืองอมเขียวอ่อน ส่วนผลแก่เป็นสีขาวถึงแดง มีขนาดยาว 4-5 ซม. ส่วนที่ด้านขั้วป่องออก มีขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. และค่อย ๆ เรียวไปทางปลายผล เนื้อผลมีรสหวาน สรรพคณุ ใบและราก มีรสเผ็ดขม ใช้เป็นยาดับพิษร้อน ช่วยแก้อาการปวดข้อ เคล็ดขัดยอก แก้บวม ถอนพิษไข้ ช่วยแก้พิษงู แมลงกัดต่อย ช่วยกระจายโลหิต ฟอกโลหิต และทำให้โลหิตไหลเวียนได้สะดวก ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยแก้อาการไอ เจ็บคอ ด้วยการใช้ยาแห้งประมาณ 3-10 กรัม นำมาต้มกับน้ำรับประทาน ช่วยรักษาฝีภายนอก หัวและราก นำมาหั่นบาง ๆ แล้วตากให้แห้ง ใช้ดองกับเหล้ากินเป็นยาชักมดลูก สำหรับผู้หญิงที่เพิ่งคลอดบุตรใหม่ๆ จะช่วยทำให้มดลูก เข้าอู่เร็วขึ้น และยังช่วยรักษามดลูกอักเสบเนื่องจากความเคลื่อนไหวของมดลูกจากที่เดิมให้เป็นปกติ หัว ใช้ดองกับเหล้ารับประทานแก้มดลูกพิการ หรือเนื้องอกในมดลูกทำให้ฝ่อ ช่วยแก้กระบังลมพลัด (เรียกว่า “ดากโยนี” เวลานั่งโผล่ เวลานอนหดขึ้น) ทำให้ยุบเล็กและแห้งเหี่ยวไป ราก ช่วยแก้อาหารฟกช้ำ โดยใช้รากแห้ง นำมาบดให้เป็นผง ใช้ครั้งละ 10 กรัม นำมาชงกับน้ำหรือเหล้ารับประทาน การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย HYPOXIDACEAE 2 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 74


นมสวรรค์ หมอยาพื้นบ้าน 2 , 5 , 24 ชื่อสามัญ Pagoda plant, Pagoda flower ชื่อท้องถิ่น สาวสวรรค์ พนมสวรรค์ เข็มฉัตร (นครพรม), ฉัตรฟ้า สาวสวรรค์ (นครราชสีมา), น้ำนมสวรรค์ (ระนอง), พวงพีเหลือง (เลย), หัวลิง (สระบุรี), ปิ้งแดง (ภาคเหนือ), นมหวัน (ภาคใต้), ปรางมาลี (ภาคกลาง), โพโก่เหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), พู่หมวก ชื่อวิทยาศาสตร์ Clerodendrum paniculatum L. ชื่อวงศ์ LAMIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มสูง ล�ำต้น มีลำต้นตรง สี่เหลี่ยมเป็นข้อๆ และไม่มีกิ่ง มีก้านใบซึ่งจะแตกออกจากตรงลำต้นโดยตรง สูง 3 ม. เปลือกต้นมีลักษณะเรียบ สีน้ำตาลแกมเขียว ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปไข่กว้างหรือรูปไข่เกือบกลม กว้าง 7-38 ซม. ยาว 4-40 ซม. ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก 3-7 แฉก ปลายแฉกจะแหลม ฐานใบรูปหัวใจ ขอบใบเป็นจักคล้ายฟันเลื่อย ผิวใบมีขนและต่อมกระจายอยู่ทั้ง 2 ด้าน ดอก ช่อแบบแยกแขนงขนาดใหญ่ ออกที่ปลายยอด สีแดง สีส้มหรือสีขาว ช่อดอกเป็นชั้นคล้ายฉัตร ขนาดช่อกว้าง 20-30 ซม. ยาว 30-35 ซม. ก้านช่อดอกเป็นเหลี่ยม กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 2 มม. มีขนกระจายด้านนอก เกสรตัวเมีย มีรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ ส่วนรังไข่เป็นรูปทรงรีเกือบกลม มีความยาว 1 มม. เกลี้ยง ส่วนก้านเกสรตัวเมียจะยาวเท่ากับเกสร ตัวผู้อันยาวหรือยาวกว่าเล็กน้อย ยอดเกสรจะแยกเป็น 2 แฉก ผล ผลมีลักษณะกลม ขนาดเล็กสีเขียว ผนังชั้นในแข็ง มี 2-4 พู มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 ซม. ผลเมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแกมเขียว หรือสีดำ และในผลมีเมล็ดเดียว มีลักษณะแข็ง สรรพคณุ ต้น ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยแก้พิษฝีฝักบัว รากและเหง้า มีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยแก้ไข้มาลาเรีย แก้ไข้เหนือ แก้ไข้เพื่อโลหิต ช่วยแก้วัณโรค ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการใช้รากนมสวรรค์มาต้มดื่ม เพื่อช่วยแก้อาการตึงในหนังศีรษะและอาการปวดในเบ้าตา ช่วยขับเสมหะ ช่วยทำให้อาเจียน แก้อาการ ปวดท้อง ใช้แก้โลหิตในท้อง ใช้เป็นยาถ่าย ช่วยแก้ฝีภายใน ช่วยแก้ประดวงลม ประดวงไฟ ใบ ช่วยรักษาอาการแน่นอก แก้ทรวงอกอักเสบ ช่วยแก้พิษฝีดาษ แก้ลูกหนูใต้รักแร้บวม ยารักษาอาการปวดข้อและปวดประสาท ดอก ช่วยแก้อาการตกเลือด ช่วยแก้พิษฝีกาฬ ช่วยแก้พิษที่เกิดจากการติดเชื้อ ใช้สมุนไพรนมสวรรค์ร่วมกับรากหญ้าคาและผักคราดหัวแหวน เพื่อใช้รักษาโรคปัสสาวะขัดและใช้เข้าตำรับยาขับนิ่ว การกระจายพันธุ์ กระจายพันธุ์ในประเทศจีน มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ส่วนประเทศไทยอาจพบได้ตามชายป่า 2,5 24 LAMIACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 75


กะเพราแดง หมอยาพื้นบ้าน 15 ชื่อสามัญ Holy basil ชื่อท้องถิ่น กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม่), ห่อกวอซู ห่อตูปลู อิ่มคิมหลำ (แม่ฮ่องสอน), กะเพราขน กะเพราขาว กะเพราแดง (ภาคกลาง), อีตู่ไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ชื่อวิทยาศาสตร์Ocimum tenuiflorum L. ชื่อวงศ์ LAMIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ที่มีความสูงของต้น 30-60 ซม. ล�ำต้น โคนต้นออกแข็ง กะเพราแดงจะมีลำต้นสีแดงอมเขียว กะเพราขาวมีลำต้นสีเขียวอมขาว และยอดอ่อนมีขนสีขาว ใบ ใบเดี่ยวสีเขียวรูปรีออกตรงข้ามกัน ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบแหลม ขอบใบเป็นจักฟันเลื่อยและเป็นคลื่น แผ่นใบมีขนสีขาว ดอก ส่วนดอกกะเพราจะออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกสีขาวแกมม่วงแดงมีจำนวนมาก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนจะเชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นสองปาก ปากบน 4 แฉก ปากล่าง 1 แฉกและยาวกว่าปากบน มีขนประปราย เกสรตัวผู้มี 4 อัน เกสรตัวเมีย 2-4 อัน ผล ส่วนผลเป็นผลแห้ง เล็ก เมื่อแตกออกจะมีเมล็ดสีดำถึงน้ำตาลคล้ายรูปไข่ สรรพคณุ ใบ ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นและป้องกันอาการหวัดได้ ช่วยบำรุงธาตุไฟ ช่วยแก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน ช่วยแก้อาการปวด ช่วยขับลม แก้อาการปวดท้องอุจจาระ ช่วยขับลมในกระเพาะ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง ทำเป็นยารักษากลากเกลื้อน ยารักษาหูด ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ มีฤทธิ์ในการช่วยขับไขมันและนำ้ตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย ช่วยลดระดับไขมันในร่างกายและช่วย ลดระดับ น้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ ช่วยเพิ่มน้ำนมให้สตรีหลังคลอดบุตร เป็นส่วนประกอบของยาสมุนไพรหลายชนิด เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็กยาแก้ทางเด็ก ฯลฯ ราก นำรากแห้งนำมาชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม ช่วยแก้โรคธาตุพิการ การกระจายพันธุ์ ทวีปเอเชีย เป็นที่นิยมปลูกกันทั่วไปในเขตอากาศร้อน พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 15 LAMIACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 76


หญ้าหนวดแมว หมอยาพื้นบ้าน 1 , 5 , 13 ชื่อสามัญ Java tea, Kidney tea plant, Cat’s whiskers ชื่อท้องถิ่น พยับเมฆ (กรุงเทพฯ), อีตู่ดง (เพชรบูรณ์), บางรัก (ประจวบคีรีขันธ์) ชื่อวิทยาศาสตร์Orthosiphon aristatus (Blume) Miq. ชื่อวงศ์ LAMIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ล�ำต้น กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม มีสีน้ำตาลหรือสีม่วงแดง ต้นมีความสูง 0.3-0.8 ม. ใบ ใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่หรือรูปข้าวหลามตัด มีขอบใบหยักเป็นจักคล้ายฟันเลื่อย แผ่นใบบางเป็นสีเขียว เข้ม ปลายใบเรียวแหลม ใบกว้างประมาณ 2-4.5 ซม. ยาวประมาณ 5-12 ซม. และก้านใบยาวประมาณ 1-2 ซม. ดอก ดอกเป็นช่อแบบกระจุก ปลายยอดดอกลักษณะคล้ายฉัตร มีความยาว 10-15 ซม. มีริ้วประดับรูปไข่ ยาว 1-2 มม. ไม่มีก้าน ส่วนกลีบของดอกเชื่อมติดกันเป็นรูประฆังงอเล็กน้อย มีความยาว 2.5-4.5 มม. ออกดอกบริเวณปลายยอดและปลายกิ่ง สรรพคณุ ทั้งต้น มีรสจืด สรรพคุณช่วยรักษาโรคกษัย ช่วยรักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ ใบ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยรักษาโรคเบาหวาน รสจืด ใช้เป็นยาชงแทนใบชา กินขับปัสสาวะ ขับนิ่ว แก้โรคไต และกระเพาะปัสสาวะ อักเสบ แก้ปวดเมื่อย และไขข้ออักเสบ ลดความดันโลหิต รักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำ ขับกรดยูริกจากไต แก้หนองใน ราก ขับปัสสาวะ ทั้งต้น แก้โรคไต ขับปัสสาวะ รักษาโรคกษัย รักษาโรคปวดตามสันหลัง และบั้นเอว รักษาโรคนิ่ว รักษาโรคเยื่อจมูกอักเสบ ผล มีรสฝาด ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยแก้บิด แก้อาการท้องร่วง เปลือกฝักช่วยแก้ลำไส้พิการ การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย LAMIACEAE 1,5 13 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 77


เน ียมหูเสือ หมอยาพื้นบ้าน 17 ชื่อสามัญ Indian borage, Country borage, Oreille, Oregano ชื่อท้องถิ่น เนียมหูเสือ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), หอมด่วนหูเสือ หอมด่วนหลวง (ภาคเหนือ), ผักฮ่านใหญ่ (ไทใหญ่), ผักหูเสือ (ไทย), เนียมอีไหลหลึง โฮว้หีเช่า (จีน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Plectranthus amboinicus (Lour.) Spreng. ชื่อวงศ์ LAMIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก มีอายุ 2-3 ปี ล�ำต้น สูง 0.3-1 ม. ลำต้นมีลักษณะอวบน้ำ หักได้ง่าย กิ่งและลำต้นค่อนข้างกลมหรือเป็นเหลี่ยมสีเหลี่ยม ต้นอ่อนจะมีขนขึ้นอย่างหนา แน่น เมื่อแก่แล้วจะค่อย ๆ หลุดร่วงไป ใบ ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน ลักษณะรูปไข่กว้างค่อนข้างกลมหรือเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ปลายใบกลมมน โคนใบกลมหรือตัด ส่วนขอบใบจักเป็นคลื่นมน ๆ รอบ ๆ ใบ ใบมีขนาดกว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 3-8 ซม. สีเขียวอ่อน หนาและอวบน้ำ ผิวใบมีขนอ่อนนุ่มขึ้น ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งใบ แผ่นใบนูน เส้นใบลึก ก้านใบยาว 2-4.5 ซม. ใบเมื่อนำมาขยี้ดมจะมีกลิ่นหอมฉุน ดอก ดอกเป็นช่อ ยาว 10-20 ซม. ออกตามปลายกิ่งหรือยอด ในช่อหนึ่งจะมีดอกย่อย 6-8 ดอก ดอกจะทยอยบานทีละ 1-2 ดอก ดอกย่อยติดกันหนาแน่นเป็นวงรอบแกนผล เป็นระยะ ๆ และมีขน กลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีม่วงขาว รูปเรือ ยาว 0.8-1.2 ซม. โคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 3-4 มม. ส่วนปลายแยกเป็น 2 กลีบ กลีบบนสั้น ตั้งตรง และมีขน ส่วนกลีบล่างยาวและเว้า ก้านเกสรเพศผู้เชื่อมติดกันเป็นหลอด ตอนโคนล้อมก้านเกสรเพศเมียไว้ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอดรูประฆัง ยาว 2-4 มม. ผล ผลมีขนาดเล็ก ลักษณะของผลเป็นรูปกลมแป้น สีน้ำตาลอ่อน เปลือกผลแข็ง ขนาดกว้าง 0.5 มม. ยาว 0.7 มม. สรรพคณุ ต้นและใบ มีกลิ่นหอมฉุน รสเผ็ดร้อน ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยแก้ฝีในหู แก้ปวดหู หูน้ำหนวก และแก้พิษฝีในหูได้ ช่วยลดไข้ตัวร้อน แก้ไข้หวัดในเด็กได้ ช่วยแก้โรคหืดหอบ เป็นยาปิดห้ามเลือด ใบ เป็นยาบำรุงร่างกาย เป็นยาพอกศีรษะแก้อาการปวด ลดไข้ เมื่อนำใบมาขยี้ดม จะช่วยแก้อาการหวัด คัดจมูกได้ ตำรับยาแก้อาการ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ (นำใบมาต้มกับน้ำดื่มแทนน้ำชา), ช่วยลดเสมหะ (นำใบสดมาต้ม ใส่ใบกระวานและกานพลูเล็กน้อย ผสมกับ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ใช้ดื่มวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 3 วัน) ไอ ไอเรื้อรัง แก้เจ็บคอ คออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ยาแก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยขับน้ำคาวปลา เป็นยาพอกรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ใช้ภายนอกนำมาขยี้ทาหรือใช้เป็นยาพอกแก้แมงป่องต่อย ตะขาบกัด ช่วย บำรุงน้ำนมหลังคลอดของสตรี ราก ช่วยดับกลิ่นปาก แก้ปวดฟัน ป้องกันฟันผุ ยางจากใบ ช่วยขับลม แก้อาการปวดท้อง อาหารไม่ย่อย การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 17 LAMIACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 78


อัคคี ทวาร หมอยาพื้นบ้าน 11 , 13 , 15 , 24 ชื่อสามัญ Akkee Ta.Wan ชื่อท้องถิ่น หลัวสามเกียน (เชียงใหม่), แข้งม้า (เชียงราย), พรายสะเลียง สะเม่าใหญ่ (นครราชสีมา), หมากดูกแฮ้ง (สกลนคร), มักแค้งข่า (ปราจีนบุรี), อัคคี (สุราษฎร์ธานี), ตั่งต่อ ปอสามเกี๋ยน สามสุม (ภาคเหนือ), ตรีชวา อัคคี (ภาคกลาง), พายสะเมา (วาริชภูมิ), ควีโดเยาะ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่) ชื่อวิทยาศาสตร์ Rotheca serrata (L.) Steane & Mabb. ชื่อวงศ์ LAMIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ล�ำต้น ตั้งตรง สูง 1-4 ม. ลำต้นกลมหรือเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเทาเข้ม ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อน เป็นเหลี่ยม เปลือกมีรูสีขาวและมีขนปกคลุม ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันหรือเรียงซ้อนกันเป็นวง ใบแตกตามข้อ ไม่มีก้านใบ ในแต่ละข้อส่วนมากจะออกเป็น 3 ใบวงเป็นรอบกัน บางข้อมีใบประมาณ 3-4 ใบ ลักษณะของใบเป็นรูปรียาวหรือรูปใบหอก ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้น โคนใบสอบหรือแหลม ขอบใบหยักเป็น ฟันเลื่อยช่วงกลางขอบใบไปจนถึงปลายใบ ใบกว้าง 4-10 ซม. ยาว 15-28 ซม. หลังใบเรียบเป็นสีเขียวเข้มเป็นมัน สรรพคณุ รากและต้น เกลื่อนหัวริดสีดวงทวาร ใบและต้น แก้เสียดท้อง รักษากลาก เกลื้อน โรคเรื้อน แก้ปวดศีรษะเรื้อรัง ขัดตามข้อและดูดหนอง ราก แก้คลื่นไส้ ต้น แก้ไข้ป่า แก้ปวดท้อง ยาลดความดันโลหิต แก่น ขับปัสสาวะ ใบแห้ง แก้ริดสีดวงทวาร ผลสุกและดิบ เคี้ยวกินแก้ไอ ยาแก้โรคเยื่อตาอักเสบ ด้วยการใช้ผลสุกหรือดิบนำมาเคี้ยวค่อยๆ กลืนน้ำกิน การกระจายพันธุ์ ในประเทศไทยพบได้ตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณที่เปิดและค่อนข้างชื้นที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 500-1,000 ม. 24 11 13 15 LAMIACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 79


คนท ี สอ หมอยาพื้นบ้าน 2 , 5 , 24 ชื่อสามัญ Indian privet ชื่อท้องถิ่น คนทีสอขาว (ชลบุรี), ทีสอ เทียนขาว (เพชรบุรี), สีสอ (ประจวบคีรีขันธ์), คุนตีสอ (สตูล), มูดเพิ่ง (ตาก), ผีเสื้อ (เลย), สีเสื้อน้อย ดอกสมุทร (เชียงใหม่), ผีเสื้อน้อย (ภาคเหนือ), โคนดินสอ (จันทบุรี ภาคกลาง), ดินสอ (ภาคกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Vitex trifolia L. ชื่อวงศ์ LAMIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดกลาง สูง 3-6 ม. ล�ำต้น เปลือกลำต้นสีเทา แตกเป็นร่องตื้นตามยาว ใบ ใบจะเป็นใบประกอบแนวนิ้ว ออกตรงข้ามกัน ใบย่อยเป็นรูปไข่มีปลายแหลม 3 ใบย่อย กว้าง 3 ซม. ยาว 4-6 ซม. ขอบเรียบ ปลายแหลม โคนสอบ ท้องและหลังใบเรียบ ท้องใบมีสีขาวนวล ส่วนหลังใบเป็นสีเขียว ดอก ดอกช่อแตกแขนง ออกที่ปลายกิ่งหรือตามยาวประมาณ 15 ซม. ดอกย่อยมีขนาดเล็กและมีอยู่เป็นจำนวนมาก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมกันเป็นถ้วย ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอก 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน เชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก สีขาวแกม ม่วงอ่อน เกสรเพศผู้ 4 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน ผล ผลเดี่ยวมีรูปร่างกลม สีดำเป็นมัน ข้างในผลมีเมล็ดสีน้ำตาล 1 เมล็ด สรรพคณุ ใบ ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย แก้อาการปวดศีรษะ แก้ไข้ ช่วยขับเสมหะ แก้เสมหะ แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยและพิษอื่นๆ ช่วยทำให้ รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย แก้ความตึงเครียด มีกลิ่นหอม ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ ด้วยการนำใบมาขยี้ดมช่วยแก้วิงเวียนได้ ช่วยแก้หอบ หืด ช่วยขับเหงื่อ ขับลมลำไส้ มีฤทธิ์ต้านเชื้อราโดยเฉพาะเชื้อราบริเวณผิวหนัง ใบและเมล็ด ช่วยแก้อาการหวัด น้ำมูกไหล ด้วยการใช้ เมล็ดหรือใบคนทีสอ ผสมกับกับขิงและน้ำตาลเล็กน้อย ชงกับน้ำร้อนกินแก้อาการ ใบ เข้าตำรับยารักษาอาการปวดเมื่อยตามตัว เส้นขัด เอ็นขัด เหน็บชา อัมพฤกษ์ อัมพาต แก้ลม กระดูกหัก หกล้ม ตกต้นไม้ อาการเจ็บปวดในเอ็นและผิวหนัง ราก ช่วยขับประจำเดือน ขับปัสสาวะ ถ่ายน้ำเหลืองเสีย ดอก บำรุงครรภ์มารดาและบำรุงน้ำนม เมล็ด ช่วยทำให้เจริญอาหาร แก้ลม การกระจายพันธุ์ พืชเขตร้อนถึงอบอุ่น พบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย 2,5 24 LAMIACEAE 80 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบระยะสั้น ล�ำต้น สูง 10–30 ม. เรือนยอดเป็นพุ่ม ทึบ ลำต้นตรงยาว กิ่งอ่อนเรียว เกลี้ยงสีเขียว หรือด้านบนกิ่งอ่อนสีน้ำตาลแดง ด้านล่างกิ่งอ่อน สีเขียว เปลือกสีเทาอมเขียวหรือสีน้ำตาลคล้ำ แตกเป็นร่องยาวตามลำต้น เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอมแดง มีกลิ่นหอมของเครื่องแกง ที่รากมีกลิ่นหอมรุนแรงกว่าเปลือกและเนื้อไม้ในลำต้น ใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม แผ่นใบรูปรีแกมรูปไข่ ยาว 7–20 ซม. ปลายแหลม โคนสอบ ก้านใบเรียวเล็ก ยาว 2.5–3.5 ซม. ดอก ดอกช่อ ออกตามปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็ก กลีบรวม 6 กลีบ รูปไข่ สีขาวอมเขียว ภายในดอกมีขนเล็กน้อย เกสรเพศผู้ 9 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน ผลมีขนาดกลม เกลี้ยง เล็ก เส้นผ่านศูนย์กลาง 8 มม. ผล ผลอ่อนมีสีเขียว และจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มเมื่อแก่ ก้านผลส่วนบนพองออก ชั้นกลีบรวมคงอยู่ ภายในมีเมล็ด 1 เมล็ด สรรพคณุ เนื้อไม้ มีรสเผ็ด มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงธาตุ เป็นยาหอมลม รักษาท้องขึ้น อืดเฟ้อ จุกเสียด เป็นยาขับลมในลำไส้ เนื้อไม้ใช้ปรุงร่วมกับ สะค้านและต้นดาวเรือง นำมารับประทานเป็นยารักษาฝีลม เป็นยาช่วยขับโลหิตและน้ำเหลือง เมล็ด ในตำรับยาแก้ไข้หวัด แก้ไอ อาการไอเรื้อรังตัวร้อน ออกหัดตัวร้อน ให้ใช้เมล็ดข่าต้นประมาณ 5-6 กรัม นำมาบดให้เป็นผงชงกับ น้ำรับประทาน ตำรับยาแก้บิด จะใช้เมล็ดข่าต้นประมาณ 5-8 กรัม นำมาต้มกับใบยูคาลิปตัสประมาณ 6-8 กรัม รับประทาน (ตำรับยา นี้มีสรรพคุณเป็นยาแก้ไอด้วย) ราก ใช้ดองกับเหล้ารับประทานเป็นยาขับลมชื้นในร่างกาย เป็นยาแก้กระเพาะลำไส้อักเสบ ขับลมในกระเพาะลำไส้ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้ปวดท้องน้อย ใช้เป็นยาแก้ฟกช้ำ ไขข้ออักเสบ ตำรับยาแก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดเส้นเอ็น ให้ใช้รากข่าต้น 20 กรัม, เจตมูลเพลิง 15 กรัม, โกฐหัวบัว 20 กรัม, โกฐเชียง 15 กรัม และโกฐสอ 10 กรัม นำมาแช่กับเหล้ารับประทาน (ตำรับนี้ใช้เป็นยาขับลมชื้นในร่างกาย ได้เช่นเดียวกับการใช้รากเดี่ยว ๆ) การกระจายพันธุ์ จะพบได้ภาคกลางและมากสุดคือภาคใต้ 10 13 เทพทาโร หมอยาพื้นบ้าน 10 , 13 ชื่อสามัญ Safrol laurel ชื่อท้องถิ่น พลูต้นขาว (เชียงใหม่), เทพทาโร เทพธาโร (ปราจีนบุรี), กะเพาะ ต้น กระเพราต้น พลูต้น (สระบุรี), ข่าต้น (กรุงเทพฯ), ตะไคร้ต้น (ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ), จะไคหอม จะไคต้น (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ) จะไค้ต้น, จวง จวงหอม ไม้จวง (ภาคใต้), มือแดกะมางิง มือแดกะมาริง (มลายู-ปัตตานี), เซี ยงจาง หวางจาง (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Cinnamomum parthenoxylon (Jack).Meisn. ชื่อวงศ์ LAURACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 81 LAURACEAE


จิกนา หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Indian oak, Itchy tree ชื่อท้องถิ่น จิ๊ก (กรุงเทพ), กระโดนสร้อย (พิษณุโลก), ลำไพ่ (อุตรดิตถ์), กระโดนทุ่ง กระโดนน้ำ (หนองคาย-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ตอง ปุยสาย (ภาคเหนือ), ตอง จิกน้ำ (ภาคกลาง), จิก, จิกนา, จิกอินเดีย, จิกมุจลินท์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Barringtonia acutangula (L.) Gaertn. ชื่อวงศ์ LECYTHIDACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นผลัดใบ ล�ำต้น ลำต้นสูง 5-10 ม. เปลือกสีน้ำตาลถึงดำ เป็นปุ่มปม ปลายกิ่งลู่ลง ทรงพุ่มแน่นทึบ ใบ ใบเดี่ยว ใบอ่อนเป็นสีน้ำตาลถึงแดงเข้ม ออกเวียนสลับถี่บริเวณปลายยอด รูปหอกหรือรูปไข่กลับ ปลายและโคนแหลม ขอบเป็น จักถี่แบบฟันเลื่อย กว้าง 6-8 ซม. ยาว 10-15 ซม. ดอก ดอกออกเป็นช่อยาวที่ปลายยอด ห้อยลงเป็นระย้า ยาว 30-40 ซม. กลีบเลี้ยง 4 กลีบซึ่งติดทนอยู่จนเป็นผล กลีบดอกสั้น ปลาย แยกเป็น 4 กลีบ หลุดร่วงง่าย สีแดงหรือชมพูเข้ม เมื่อบานเต็มที่เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม. เกสรเพศผู้เป็นเส้นเล็กสีแดง จำนวนมาก ดอกบานพร้อมกันตอนกลางคืน โดยจะผลัดใบก่อนมีดอก จะทิ้งใบหมดหรือเกือบหมดทั้งต้น และแตกยอดอ่อนเป็นสีแดงจัดขึ้นมาทดแทน ผล ผลเดี่ยวรูปขอบขนาน สีเขียว ขนาดกว้าง 1.5- 2.0 ซม. ยาว 3-5 ซม. มีสันเป็นเหลี่ยม 4 สัน ตามความยาวของผล เมื่อแก่จัดจะ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลมี 1 เมล็ดต่อผล สรรพคณุ เมล็ด ใช้เป็นยาขับลม แก้อาการร้อนใน ใช้เข้ายาลมช่วยแก้อาการจุกเสียดแน่นท้องได้เป็นอย่างดี ใช้เป็นยาร้อนในการคลอดบุตร และน้ำคั้นจากเมล็ดใช้เป็นยาหยอดตาได้ เปลือกต้น ใช้เป็นยาลดไข้และใช้รักษาไข้มาลาเรีย ผล ช่วยแก้หวัด แก้ไอ เมล็ด ราก ช่วยทำให้อาเจียน ใบ ใช้ต้มน้ำดื่มแก้อาการท้องร่วง เนื้อไม้ รักษาอาการระดูขาวของสตรี การกระจายพันธุ์ ได้ทั่วทุกภาคตามริมฝั่งน้ำ ริมคลอง ริมบึง ป่าพรุและป่าชายเลน 2 LECYTHIDACEAE 82 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ลิเภาเล็ก หมอยาพื้นบ้าน 2 , 13 ชื่อสามัญ Climbing maidenhair, Snake fern, Small-leaved Climbing Fern, Old World climbing fern ชื่อท้องถิ่น กะฉอดหนู (จันทบุรี ตราด), รีบูปาดี ลีบูซือนิง (นราธิวาส), ลิเภายุ่ง (คาบสมุทรมลายู) ชื่อวิทยาศาสตร์ Lygodium microphyllum (Cav.) R. Br. ชื่อวงศ์ LYGODIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ พืชพวกเฟิร์น ล�ำต้น เลื้อยใต้ดิน แทงใบขึ้นเหนือผิวดินเป็นระยะ ใบ ใบประกอบสามชั้น ก้านใบเรียวเล็กคล้ายเส้นลวด ยาวมาก บางครั้งยาวถึง 5 ม. เลื้อยคลุมพืชอื่น ๆ และพันต้นไม้ใหญ่ ใบประกอบ ชั้นที่สอง เรียงสลับทอดระยะห่างกัน 5-10 ซม. ก้านยาว 5 มม. ปลายก้านมีขนสีน้ำตาล ด้านข้างแยกแขนงหนึ่ง คู่ตรงข้ามกัน ยาวก้าน ละ 5-10 ซม. ปลายก้านใบย่อยชั้นที่สองนี้ ปกติจะไม่เจริญยาวขึ้นอีก ยกเว้นเมื่อก้านใบชั้นแรกตอนบนถูกทำลายไป ปลายก้านใบย่อย ชั้นนี้จะแตกตาเจริญขึ้น ทำหน้าที่แทนก้านใบเดิมต่อไป ใบย่อยเรียงสลับบนก้านใบย่อยชั้นที่สาม ก้านใบย่อยยาว 2-3 มม. แผ่นใบย่อย รูปสามเหลี่ยม ยาว 1.5-3.0 ซม. กว้าง 1-2 ซม. ปลายมน โคนกว้าง สอบและบางครั้งมีติ่งหู ขอบใบที่ไม่สร้างสปอร์เรียบ ขอบใบที่สร้าง สปอร์หยักเป็นแฉกลึกคล้ายนิ้วมือ ด้านล่างของแฉกมีกลุ่มของอับสปอร์เรียงตัวกันเป็นสองแถว มีเยื่อบางขนาดเล็กคลุม สรรพคณุ ราก ต้มกินแก้ร้อนใน ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะแดง หรือผสมตัวยาอื่นแก้โรคมะเร็ง ราก ใบ เถา ต้มดื่มน้ำ แก้เลือดพิการแก้ระดูมากะปริบกะปรอย การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย LYGODIACEAE 2 13 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 83


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ต้น ขนาดเล็ก ล�ำต้น สูง 4-10 ม. เรือนยอดเป็นทรงพุ่มกลม ค่อนข้างโปร่ง ลำต้นคอดงอ เปลือกลำต้นเป็นแอ่งตื้นๆ ใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามหรือเกือบตรงข้าม รูปไข่แกมรูปรี กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 4-9 ซม. ปลายแหลมหรือเรียวแหลมแต่เหี่ยวแห้ง โคน รูปลิ่มหรือมน ขอบเรียบ เนื้อใบเหนียวคล้ายแผ่นหนัง ใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน เส้นกลางใบค่อนข้างราบ เส้นแขนงใบข้างละ 5-7 เส้น ดอก ดอกช่อแยกแขนงสั้น ๆ ออกที่ปลายกิ่ง ตั้งขึ้น ยาว 2-5 ซม. ดอกตูมสีขาว รูปทรง ไข่กลับ เกลี้ยง มีจุกนูนสีสนิมที่ส่วนปลาย กลีบ เลี้ยง 6 กลีบ กลีบดอกสีขาว 6 กลีบ รูปค่อนข้างกลม ขอบกลีบค่อนข้างเรียบ เกสรเพศผู้ จำนวนมาก แยกเป็นสองวง วงนอก 10-12 อัน ก้านชูอับเรณูสีม่วงอ่อน มีความยาวมากกว่ากลุ่มเกสรเพศผู้ที่อยู่วงใน ผล ผลเดี่ยวรูประฆัง เรียบเกลี้ยง ไม่เป็นสัน สรรพคณุ เปลือก ฝาดสมานแผล เปลือกที่แห้งแล้วบดป่นให้ละเอียดเป็นผงแล้วโรยบริเวณที่เป็นแผล แก้ท้องเสีย การกระจายพันธุ์ พบที่จีนตอนใต้ พม่า เวียดนาม ในไทยพบแทบทุกภาคยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรังความสูงถึงประมาณ 1,150 ม. LYTHRACEAE 8 อินทนิล หมอยาพื้นบ้าน 8 ชื่อสามัญ Inthanin khao, Salao khao ชื่อท้องถิ่น จะวอ จูดอ ชวง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ฉ่วงฟ้า (กะเหรี่ยงกาญจนบุรี), เบาะโยง เบาะสะแอน เบาะเส้า (เชียงราย), เปื๋อยขาว เส้า เส้าขาว เส้าเบาะ เส้าหลวง (ภาคเหนือ), เสลา (ราชบุรี, สระบุรี), เสลาขาว (ราชบุรี), เสลาเปลือกบาง (กำแพงเพชร) ชื่อวิทยาศาสตร์ Lagerstroemia tomentosa C. Presl. ชื่อวงศ์ LYTHRACEAE 84 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ชะมดต้น หมอยาพื้นบ้าน 15 ชื่อสามัญ Abelmosk, Ambrette seeds, Annual hibiscus ชื่อท้องถิ่น ชะมัดต้น, ฝ้ายผี (ภาคกลาง), เทียนชะมด (ทั่วไป), จั๊บเจี๊ยว (ไทยบางแห่ง), หวงขุย (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Abelmoschus moschatus Medik. ชื่อวงศ์ MALVACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น เนื้ออ่อน ขนาดเล็ก อายุ 1-2 ปี สูงได้ 1-1.5 ม. ทั้งต้นมีขนสีขาวขึ้นปกคลุม ใบ ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ เป็นแฉก 3-5 แฉก ใบบริเวณยอดมีแฉกเล็กและเรียวกว่าใบที่อยู่บริเวณโคนต้นและกลางต้นรูปฝ่ามือ ปลายใบ แหลม โคนใบเว้าเข้าหากันคล้ายรูปหัวใจ ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อยไม่เป็นระเบียบ กว้าง 6-15 ซม. ผิวใบสากมีขนกระจายทั้งสองด้าน ดอก ดอกเดี่ยว ออกบริเวณซอกใบ ก้านดอกยาว 2-3 ซม. ริ้วประดับมี 6-12 อัน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ด้านนอกมีขนสั้นนุ่ม กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลืองนวลและมีสีม่วงเข้มตรงกลางทั้งด้านใน กลีบเป็นรูปไข่กลีบ ดอกเมื่อบานจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-12 ซม. เกสรเกลี้ยง ยาว 2.5 ซม. รังไข่มีขนขึ้นหนาแน่น สรรพคณุ เมล็ด มีรสขมเย็น มีสรรพคุณเป็นยาช่วยเจริญอาหาร เป็นยาบำรุงธาตุ ใช้รักษาอาการกระหาย ใช้เป็นยาขับลม ใช้เป็นยาขับลม ช่วยรักษาอาการอักเสบของกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยารักษาโรคกามโรคหรือโรคหนองใน น�้ำมันหอมระเหยจากเมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาระงับประสาท ช่วยคลายความเครียด ลดอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า หรืออาการต่างๆ ที่มี สาเหตุมาจากความเครียด ราก ใช้เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้ มีส่วนของใบ ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิ ใช้เป็นยารักษากลากเกลื้อน ใบใช้เป็นยาทาภายนอกแก้ฝีบวม ฝีหัวช้าง ต้น ใช้เป็นยารักษาเกลื้อนช้าง เกลื้อนใหญ่ เรื้อนน้ำเต้า เรื้อนกวาง ผลสด ใช้ตำพอกรักษาฝีและเร่งหนองนั้นให้แตกเร็ว การกระจายพันธุ์ ในประเทศไทยพบกระจายทุกภาค โดยมักขึ้นตามที่โล่งหรือริมลำธาร ตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และชายป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูง ประมาณ 200-1,000 ม. 15 MALVACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 85


ชบาขาว หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Chinese rose ชื่อท้องถิ่น ชบา ชุมเบา (ปัตตานี), ใหม่ ใหม่แดง (ภาคเหนือ), บา (ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus rosa-sinensis L. ชื่อวงศ์ MALVACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม ขนาดกลาง ล�ำต้น ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านจำนวนมาก เปลือกสีเทาปนน้ำตาล ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียนกึ่งสลับ รูปไข่ ยาว 6.1 ซม. กว้าง 4.3 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบครึ่งล่างเรียบ ครึ่งบนจักร ใบค่อนข้างหนา คลายแผ่นหนัง ก้านใบสีเขียว อาจมีระเรื่อที่ด้านบน ยาว 2.2 ซม. ดอก ดอกเดี่ยว สีขาว ออกตามซอกใบ ก้านดอกยาว 5.5 ซม. ริ้วประดับ 6 แฉก รูปใบหอกแคบยาว 1 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อม ติดกันเป็นหลอดยาว 1.4 ซม. ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปสามเหลี่ยม ยาว 1.2 ซม. กว้าง 0.6 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางดอกบาน 11.5 ซม. กลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่กลับ ยาว 7.7 ซม. กว้าง 4.8 ซม. สีขาว โคนกลีบและก้านกลีบสีแดง เกสรเพศเมีย 1 อัน ก้านเกสร 5 อันเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว 6 ซม. ถูกห่อหุ้มด้วยหลอดเกสรตัวผู้ เกสรตัวผู้จำนวนมาก ก้านเกสรเชื่อมติดกันเป็นหลอดเดียว ไม่ติดผล สรรพคณุ ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงจิตใจให้สดชื่นแจ่มใสช่วยฟอกโลหิตช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคที่เกี่ยวกับไต ดอก ช่วยดับร้อนในร่างกาย แก้กระหาย และช่วยแก้ไข้ ช่วยแก้ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ใช้ปรุงเป็นยาบำรุงประจำเดือน ช่วยเรียก น้ำย่อย ใบ สามารถช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ เปลือกต้น สามารถใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อราได้ ราก นำมาตำละเอียดใช้พอกฝีได้ และช่วยแก้อาการฟกช้ำบวม การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 2 MALVACEAE 86 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


MALVACEAE หญ้าขัดมอญ หมอยาพื้นบ้าน 2 , 5 ชื่อสามัญ Paddy’s lucerne, Queensland hemp, Arrowleaf sida, Common sida, Cuba juite ชื่อท้องถิ่น หญ้าขัด (เชียงใหม่), ยุงปัดแม่ม่าย (กรุงเทพฯ), ขัดมอน คัดมอน (ภาคกลาง), หญ้าขัดมอนใบรี, หญ้าขัดใบมน ชื่อวิทยาศาสตร์ Sida rhombifolia L. ชื่อวงศ์ MALVACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม มีความสูงได้ถึง 1 ม. ล�ำต้น ลำต้นกลม สีเขียวหรืออมเทา และมีขนเป็นรูปดาว ใบ ใบเดี่ยวเรียงเวียนแบบห่างๆ รูปรีถึงรูปข้าวหลามตัด โคนกลมถึงตัด ขอบใบเป็นจักแบบฟันเลื่อย กว้าง 2-2.5 ซม.ยาว 5-6 ซม. แผ่น ใบด้านบนค่อนข้างเกลี้ยง ส่วนด้านล่างมีขนสั้นรูปดาวขึ้นอยู่หนาแน่น ก้านใบยาว 5-6 มม.หูใบยาว 5 มม. มีเส้นตามยาว 1 เส้น ดอก เป็นสีเหลืองอ่อนหรือเป็นสีเนื้อค่อนข้างขาว ออกตามง่ามใบ ก้านดอกยาว 0.5-1 ซม. มีข้อต่ออยู่เหนือกึ่งกลางก้าน กลีบเลี้ยงจะติด กันเป็นรูประฆัง กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลืองอ่อน เมื่อบานจะกว้าง 1 ซม. สรรพคณุ ราก รสเผ็ดฝาด แก้ตัวร้อน ขับพิษร้อนภายใน ขับพิษไข้หัวให้เม็ดซ่านออกมาจากภายใน เช่น เหือดหัด สุกใส ดำแดง ประดง ไข้รากสาด แก้พิษหลบใน แก้น้ำดีพิการ แก้อาเจียน บำรุงกำลัง ขับเสมหะ บำรุงปอด แก้เยื่อสมองอักเสบ แก้ปวดมดลูก แก้ปวดหน้าท้อง ขับเลือด และรกหลังคลอด แก้กามตายด้าน โขลกพอกแก้พิษปวดบาดแผล แก้แผลสด แก้โรคผิวหนังผื่นคัน (ชนิดใบเล็กยาว) ใบ นำมาตำคั้นเอาแต่น้ำใช้พอกหรือทาเป็นยาห้ามเลือด รักษาแผลสด แผลถลอก และแผลเรื้อรัง ใบน้ำมาคั้นเอาแต่น้ำรับประทานเป็น ยาขับพยาธิ ใช้ทาหรือพอกรักษาสิว ฝี และตุ่มหนองได้ การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 2,5 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 87


คล้า หมอยาพื้นบ้าน 5 , 6 , 15 ชื่อสามัญ Common donax, Bamban, Banban Ai, Bamban bantu ชื่อท้องถิ่น คลุ่ม (เกาะช้าง), คลุ้ม (ภาคตะวันออก), แหย่ง (ภาคเหนือ), ก้านพร้า คล้า (ภาคกลาง), คล้าย (ภาคใต้), บูแมจีจ้ะบะแม เบอร์แม (มลายู-นราธิวาส), บูแมจี่จ๊ะไอย์ (มลายู-ปัตตานี), บูแมจีจ้ะ ไอ (มลายู), คล้าใบเงิน, คล้ากั้นแหย่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Schumannianthus dichotomus (Roxb.) Gagnep. ชื่อวงศ์ MARANTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น มีเหง้าใต้ดินสามารถแตกหน่อเจริญเติบโตขึ้นเป็นกอ มีลำต้นทั้งแบบตั้งตรงและเลื้อย รูปร่างกลม สีเขียวเข้มออกเป็นข้อๆ และมีข้อปล้องยาว หากรวมทั้งก้านและใบจะมีความสูง 1-2 ม. ใบ ใบเดี่ยว ออกตามข้อ รูปไข่หรือรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบเรียบ กว้าง 10-20 ซม. ยาว 20-35 ซม. สีเขียว หลังใบและ ท้องใบเรียบ แผ่นใบทั้งสองด้านของเส้นกลางใบจะไม่เท่ากัน ในขณะที่ใบยังอ่อนด้านใหญ่จะม้วนหุ้มด้านเล็กไว้ ดอก ดอกช่อ ออกบริเวณยอดอ่อนจากซอกกาบใบ ดอกจะออกเป็นคู่จากกาบรองดอกที่เรียงซ้อนกันเป็นแถวในระนาบเดียวกัน สลับซ้าย ขวาจากแกนของช่อดอก หรืออาจจะเรียงสลับกันเป็นวง ดอกสมบูรณ์เพศ มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 3 กลีบ สีขาว เกสรเพศผู้ 3 อัน มีอับเรณูเพียง 1 อัน ส่วนที่เหลือจะเป็นหมันและจะเปลี่ยนรูปไปคล้ายกลีบดอก ผล ผลเดี่ยว กลมเป็นพู 3 พู มีขนาด 1.5-2 ซม. ผลอ่อนสีเขียว พอแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ภายในผลมีเมล็ด 1-3 เมล็ด สรรพคณุ เหง้าหรือหัว มีรสเย็นและเบื่อ ใช้กินเป็นยาแก้ไข้ รักษาอาการพิษไข้ ไข้เหลือง ไข้เหนือ ไข้ปอดบวม ไข้กาฬ ไข้จับสั่น กระทุ้งพิษไข้หัว ไข้รากสาด ไข้หัด ช่วยดับพิษไข้ทั้งปวง หัว แก้เหือดหัด อีสุกอีใส ฝีดาษ ประดง ช่วยรักษาอาการร้อนในกระหายน้ำ ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ในประเทศอินเดียใช้หัวเป็นยา รักษาโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ การกระจายพันธุ์ เขตการกระจายพันธุ์ตั้งแต่อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงอินโดนีเซียและปาปัวนิวกินี ในประเทศไทยพบได้ทุกภาคที่ระดับ ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 800 ม. และพบได้มากทางภาคตะวันออก ภาคกลาง และในจังหวัดจันทบุรี MARANTACEAE 5,6 15 88 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


ว่านก ี บแรด หมอยาพื้นบ้าน 15 , 24 ชื่อสามัญ Giant fern, Mule’s-foot fern ชื่อท้องถิ่น กีบแรด (แพร่), ปากูปีเละ ปียา (ปัตตานี), กีบม้าลม (ภาคเหนือ), ว่านกีบม้า (ภาคกลาง), ปากูดาฆิง (ภาคใต้), ดูกู (มลายู-ภาคใต้), โด่คเว่โข่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), เฟิร์นกีบแรด, กูดกีบม้า, ผักกูดยักษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Angiopteris evecta (G. Forst.) Hoffm. ชื่อวงศ์ MARATTIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ พืชจำพวกเฟินขนาดใหญ่ ล�ำต้น สูงได้ถึง 60-180 ซม. โคนต้นพอง อยู่ติดกับพื้นผิวดิน มีหัวลักษณะเป็นกีบอยู่ใต้ดิน สีน้ำตาลแก่ ใบ ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น ใบรวมทั้งหมดยาว 1.8-4.5 ม. กว้างได้ถึง 2 ม. ใบย่อยรูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ปลายแหลม โคนมนไม่เท่ากันหรือเป็นรูปหัวใจตื้นๆ และเบี้ยว ขอบใบจักมน จักเป็นฟันเลื่อยหรือจักถี่ๆ ตลอดทั้งขอบใบ ใบย่อยกว้าง 1-4 ซม.ยาว 10-30 ซม. หลังใบและท้องใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนา อวบน้ำ ตามใบแก่จะมีอับสปอร์สีน้ำตาล เรียงติดกันเป็นแถวอยู่ใกล้กับ ขอบใบตรงด้านท้องใบ กลุ่มอับสปอร์จะอยู่ห่างจากขอบใบ 1 มม. รูปรี ประกอบด้วย 7-12 อับสปอร์ ผนังเชื่อมติดกัน ไม่มีเยื่อคลุม กลุ่มอับสปอร์ สรรพคณุ หัวว่าน มีรสจืดเย็นฝาด มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง บำรุงเลือด ยารักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ช่วยควบคุมน้ำตาลในโรคเบา หวาน ใช้เป็นยาลดความดัน ยาแก้อาการนอนไม่หลับ ยาแก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้พิษ ไข้กาฬ ยาแก้พิษตานซางในเด็ก ยาแก้กำเดา ช่วยแก้ อาการปวดศีรษะ ช่วยแก้ตาเจ็บ ยาแก้แผลในปากและในคอ ช่วยแก้น้ำลายเหนียว แก้อาเจียน ยาแก้ท้องร่วง ยาขับปัสสาวะ ยาแก้ฝีหัว คว่ำ ยาลดบวม แก้อาการปวดเมื่อย ยาแก้อาการปวดหลัง ปวดเอว ยาบรรเทาอาการไข้ ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษหัด พิษอีสุกอีใส ใบสดทั้งอ่อนและแก่ ยาแก้ไอ ใช้ประคบหัวเข่า เป็นยาแก้อาการปวด ราก มีรสจืดเย็นฝาด มีสรรพคุณเป็นยาห้ามเลือด ทั้งต้น ใช้เป็นส่วนผสมอย่างหนึ่งในตำรับยา โดยใช้ทั้งต้นนำมาต้มหรือแช่กับน้ำไว้ครึ่งวัน ใช้อาบแก้ผื่นคัน โคนก้านใบ ชาวกะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนจะใช้โคนก้านใบที่อยู่ใต้ดินนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้อาการตัวบวม การกระจายพันธุ์ เขตการกระจายพันธุ์กว้าง ตั้งแต่ไต้หวัน ภูมิภาคมาเลเซีย โพลีนีเซีย จนถึงออสเตรเลีย พบได้ทุกภาคในประเทศไทย MARATTIACEAE 24 15 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 89


ย่านาง หมอยาพื้นบ้าน 15 ชื่อสามัญ Thao ya nang ชื่อท้องถิ่น เถาย่านนาง เถาย่านาง เถาหญ้านาง เถาวัลย์เขียว หญ้าภคินี (ภาคกลาง), จ้อยนาง จอยนาง ผักจอยนาง (เชียงใหม่), ยาดนาง ย่านนาง ยานนาง ขันยอ (ภาคใต้), และเครือย่านาง ปู่เจ้าเขาเขียว เถาเขียว (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), หมอยาโบราณภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียก ย่านางว่า หมื่นปีไม่แก่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Tiliacora triandra (Colebr.) Diels ชื่อวงศ์ MENISPERMACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเลื้อย ล�ำต้น เถากลมขนาดเล็ก มีเนื้อไม้เลื้อยพันตามต้นไม้ หรือกิ่งไม้ เถามีสีเขียว ยาว 10-15 ม. เถาอ่อน สีเขียว เมื่อเถาแก่จะมีสีเขียวเข้ม แตกเป็นแนวถี่ เถาอ่อนมีขนนุ่มสีเทา มี เหง้าใต้ดิน กิ่งก้านมีรอยแผลเป็นรูปจานที่ก้านใบหลุดไป มีขนประปราย หรือเกลี้ยง ใบ ใบเดี่ยว ออกติดกับลำต้นแบบสลับ รูปร่างใบคล้ายรูปไข่ หรือรูปไข่ขอบขนาน ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบเรียว ฐานใบมน ผิวใบเรียบมัน ยาว 6-12 ซม. กว้าง 4-6 ซม. มีเส้นใบกึ่งออกจากโคนใบรูปฝ่ามือ 3-5 เส้น และมีก้านใบยาว 1.5 ซม. ดอก ดอกช่อ ออกตามซอกโคนก้านใบ ช่อยาว 2-5 ซม. ช่อหนึ่ง ๆ มีดอกขนาดเล็กสีเหลือง 3-5 ดอก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก ผล ผลรูปร่างกลมรีขนาดเล็ก สีเขียว เมื่อแก่กลายเป็นสีเหลืองอมแดงและกลายเป็นสีดำ สรรพคณุ ใบ เป็นยาอายุวัฒนะ มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก จึงช่วยลดและชะลอการเกิดริ้วและความแก่ชราอย่างได้ผล เสริมสร้างภูมิ ต้านทานโรคในร่างกาย ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ช่วยฟื้นฟูเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย ช่วยในการลดความอ้วนได้อย่างเห็นผลและปลอดภัย ช่วยเผาผลาญไขมันและนำไปใช้เป็นพลังงาน ป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ มีฤทธิ์เย็นเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง ช่วย รักษาเนื้องอก ช่วยรักษาอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียนได้ ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ ไอจาม มีน้ำมูก และเสมหะ ราก ใช้ในการแก้ไข้ทุกชนิดและลดความร้อนในร่างกาย แก้ไข้ได้ทุกชนิด ทั้งไข้พิษ ไข้หัด ไข้เหนือ ไข้ผิดสำแดง เถา ช่วยในการลดความร้อนและแก้พิษตานซาง มีส่วนช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย ช่วยรักษาอาการร้อนแต่ไม่มีเหงื่อ ช่วย รักษาอาการของโรคเบาหวาน ช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง มีส่วนช่วยอาการปวดตึง ปวดตามกล้ามเนื้อ ปวดชาบริเวณต่างๆ การกระจายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในตอนกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 15 90 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี MENISPERMACEAE


Click to View FlipBook Version