The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บัญชีรายการสมุนไพร นครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by หนังสือ, 2023-09-25 04:38:44

บัญชีรายการสมุนไพร นครศรีธรรมราช

บัญชีรายการสมุนไพร นครศรีธรรมราช

MENISPERMACEAE บอระเพ็ด หมอยาพื้นบ้าน 2 , 5 , 8 , 13 , 15 , 16 , 26 , 27 ชื่อสามัญ Heart leaved moonseed ชื่อท้องถิ่น เจตมูลหนาม (หนองคาย), ตัวเจตมูลยานหรือเถาหัวดำ (สระบุรี), หางหนู (อุบลราชธานี), จุ่งจิงหรือเครือเขาฮอ (ภาคเหนือ) ชื่อวิทยาศาสตร์ Tinospora crispa Miers ex Hook.f.et Thoms. ชื่อวงศ์ MENISPERMACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเนื้ออ่อน ล�ำต้น ขนาดเถา 1-1.5 ซม. ยาวได้มากกว่า 10 ม. เถามีผิวตะปุ่มตะป�่ำเป็นตุ่มนูนทั่วเถา และมีรากอากาศคล้ายเส้นเชือกขนาดเล็ก และ ยาวแทงออก โดยเฉพาะบริเวณโคนเถา เถามีเปลือกสีเขียวเข้ม เปลือกที่มีอายุมากจะลอกออกเป็นเยื่อบางๆ สีเหลือง เมื่อกรีดเถาจะมีน้ำ ยางสีเหลืองไหลออกมา เนื้อด้านในหรือแก่นมีสีเหลือง มีรสขมจัด ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรูปไข่ ฐานใบรูปหัวใจที่เว้าตรงกลาง คล้ายใบพลู แผ่น และขอบเรียบ แผ่นใบบาง และอ่อนนุ่ม ฉีกขาดได้ง่าย ปลายใบมีหยัก มีเส้นใบสีเหลืองลากผ่านจากโคนใบไปขอบใบ 5-7 เส้น ดอก ดอกช่อแบบร่ม ออกตามซอกใบ ช่อยาว 5-20 ซม. ดอกแยกเพศ อยู่ในก้านช่อดอกเดียวกัน ดอกมีขนาดเล็ก ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 6 กลีบ และกลีบดอกสีเหลืองอ่อน 6 กลีบ ดอกตัวผู้มีเกสร 6 อัน ดอกตัวเมียมีเกสร 3 อัน ผล ผลสดกลมรี มีเปลือกบางๆ หุ้มผล ผลอ่อนมีสีเขียว และเมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ภายในมี 1 เมล็ด สรรพคณุ ใบ บอระเพ็ดช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส หน้าตาสดชื่น ในใบมีสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในการชะลอวัย ลดความอ้วน เถา ต้น ใช้แก้อาการกระหายน้ำ ช่วยรักษาอาการโลหิตคั่งในสมองช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้มาลาเรียด้วยการกินบอระเพ็ดวันละ 2 องคุลี ทุกวัน ต้น ใบ ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงร่างกาย ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้บอระเพ็ด/เมล็ดข่อย/หัวแห้วหมู/เมล็ดพริกไทย/ เปลือกต้นทิ้งถ่อน/เปลือกต้นตะโกนา ในสัดส่วนเท่ากันนำมาบดเป็นผง ปั้นเป็นยาลูกกลอนเท่าปลายนิ้วก้อย รับประทานก่อนนอน ครั้งละ 2-3 เม็ด หรือจะนำเถาบอระเพ็ดมาหั่นตากแห้งแล้วนำมาบดให้เป็นผงปั้นเป็นลูกกลอนก็ได้ ราก ใช้รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยดับพิษร้อนในร่างกาย ใช้ถอนพิษไข้ แก้ไข้เหนือ ไข้สันนิบาต ไข้พิษ ไข้จับสั่น เถา แก้อาการปวดฟัน และสรรพคุณของบอระเพ็ดช่วยรักษาโรคเบาหวาน ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ด้วยการใช้เถาสดที่โตเต็มที่ ตากแห้งแล้วบดเป็นผง นำมาชงน้ำร้อนดื่มครั้งละ 1 ช้อน เช้าและเย็น การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 2,5 8 26,27 13 15,16 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 91


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ล�ำต้น ไม่ผลัดใบ ขนาดกลางหรือใหญ่ สูง 10 ม. และอาจสูงได้ถึง 12 ม. ลำต้นตั้งตรง สีน้ำตาลหรือสีเทา มีรอยเป็นข้อปล้อง ห่าง ๆ คล้ายรอยควั่นเป็นข้อ ๆ ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวข้น ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปรียาว รูปไข่ ปลายใบมนมีติ่งแหลม โคนใบมน ขอบใบหยัก กว้าง 5-13 ซม. ยาว 11-28 ซม. เนื้อใบคล้ายกระดาษ หูใบยาว 1-2.5 ซม. หลุดร่วงง่าย ดอก ดอกช่อแบบช่อมะเดื่อ ออกตามลำต้นและกิ่ง ดอกย่อยมีขนาดเล็กอัดกันแน่น เจริญอยู่ในฐานรองดอกที่ห่อหุ้มไว้ ที่ปลายมีช่องเปิด มีใบประดับปิดอยู่ ก้านช่อดอกยาว ช่อดอกอ่อนสีเขียว แก่สีเหลือง ที่โคนมีใบประดับ 3 ใบ รูปสามเหลี่ยม ภายในช่อมีดอก 3 ประเภท คือ ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมีย และดอกปุ่มหูด ดอกเพศผู้มี 1-2 แถว กลีบรวมจักเป็น 3-4 พู ที่ปลายมีขน เกสรเพศผู้มี 1 อัน ส่วนดอกเพศ เมียมีกลีบรวมเชื่อมติดกันคล้ายหลอดหรือท่อสั้น ๆ และดอกปุ่มหูดไม่มีก้าน กลีบรวมปกคลุมรังไข่ ผลรวม รูปทรงกลมออกแป้น มีขนอ่อนนุ่ม และมีเกล็ดปกคลุมแบบห่าง ๆ ผลมีขนาด 2.5-4 ซม. ผล ผิวผลเรียบ มีจุดสีขาวตลอดทั้งผล ผลสดสีเขียว พอสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ภายในมีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก สรรพคณุ ผล มีรสขม เป็นยาเย็น มีสรรพคุณช่วยรักษาโรคโลหิตจาง เป็นยาแก้ไข้จับสั่น เปลือกต้น เป็นยาบำรุง แก้มาลาเรีย แก้อาการปวดท้องในเด็ก เป็นยาระบาย เป็นยาพอกฝีมะม่วง แก้อาการบวมทั้งตัว เป็นยากล่อม เสมหะ ใช้กินเป็นยาแก้อาการท้องเสีย ใช้กินเป็นยาแก้พิษในกระดูก กิ่ง นำมาทำเป็นหลอดดูดน้ำ เชื่อว่าจะช่วยทำให้มีความจำดี ช่วยรักษาสิวฝ้า ใบ รักษาอาการไข้ หนาวสั่น หรือรักษาอาการไข้หลังการคลอดบุตร หนาวสั่น ยาแก้ปัสสาวะเหลืองจัดหรือปัสสาวะเป็นเลือด นำมาต้ม กับน้ำดื่มเป็นยารักษาอาการม้ามโต ใช้เป็นยาใส่แผลฝี แผลหนองอักเสบ แผลในจมูก ราก ล�ำต้น เหง้า นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้หวัด การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 2 มะเดื ่ อปล้อง หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Rough-leaf stem fig ชื่อท้องถิ่น เดื่อสาย (เชียงใหม่), เดื่อปล้อง (นครศรีธรรมราช, สระบุรี, ภาคเหนือ), เดื่อป่อง (กรุงเทพฯ), หมากหนอด (ไทใหญ่), ตะเออน่า เอาแหน่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ดิ๊โจ่เหมาะ (กะเหรี่ยงแดง), ฮะกอสะนียา (มลายู-นราธิวาส), ไฮ่มะเดื่อปล้อง (ปะหล่อง), กระซาล (ขมุ), ลำเดื่อ ลำเดื่อปล้อง (ลั้วะ), งงหยอเจีย (เมี่ยน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus hispida L.f. ชื่อวงศ์ MORACEAE MORACEAE 92 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


MORACEAE มะเดื ่ อชุมพร หมอยาพื้นบ้าน 5 , 11 , 12 , 13 , 20 , 24 , 30 ชื่อสามัญ Cluster fig, Goolar (Gular), Fig ชื่อท้องถิ่น เดื่อเกลี้ยง (ภาคเหนือ), มะเดื่อน้ำ มะเดื่อหอม หมากเดื่อ เดื่อเลี้ยง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะเดื่อ มะเดื่อเกลี้ยง มะเดื่อชุมพร เดื่อน้ำ กูแซ (ภาคใต้), มะเดื่อดง, มะเดื่อไทย, มะเดื่ออุทุมพร ชื่อวิทยาศาสตร์ Ficus racemosa L. ชื่อวงศ์ MORACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ล�ำต้น สูง 5-20 ม. เปลือกต้นเกลี้ยง สีน้ำตาลหรือน้ำตาลปนเทา กิ่งอ่อนเป็นสีเขียว ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามกิ่ง รูปทรงรีหรือรูปหอก โคนมน ปลายแหลม ผิวเกลี้ยงหรือมีขนไม่หลุดร่วงง่าย ขอบเรียบ มีเส้นแขนง 6-8 คู่ ก้านยาว 6-10 ซม. ดอก ดอกช่อยาว ออกตามกิ่ง แต่ละช่อก็จะมีดอกย่อยขนาดเล็กเป็นกลุ่ม ดอกช่อจะเกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปร่างคล้ายผล ดอกมีสีขาวอมชมพู ผล ลักษณะของลูกมะเดื่อชุมพร มีลักษณะทรงกลมแป้นหรือรูปไข่ ผลรวม เนื้อผลคือฐานรองดอก ผลจะเกาะกลุ่มอยู่ตามต้นและ ตามกิ่ง ห้อยเป็นระย้าสวยงาม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเป็นสีแดงม่วง มีรสฝาดอมหวาน สามารถรับประทานได้ สรรพคณุ ราก รสฝาดเย็น แก้ไข้ ไข้พิษ ไข้กาฬ แก้ร้อนใน ระงับความร้อน กระทุ้งพิษไข้ กล่อมเสมหะ และโลหิต แก้ไข้หัวลม ไข้กาฬ ไข้พิษทุก ชนิด แก้ท้องร่วง เป็นตัวยาในพิกัดยาเบญจโลกวิเชียร มีสรรพคุณแก้ไข้ เปลือกต้น รสฝาด แก้ท้องร่วง ต้มชะล้างบาดแผล แก้ประดงผื่นคัน แก้ไข้รากสาดน้อย แก้ธาตุพิการ ดอก รสจืด ลดความร้อนในร่างกาย ผล รสฝาดเย็น แก้ท้องร่วง และสมานแผล การกระจายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดครอบคลุมในเขตร้อนของทวีปเอเซีย ตั้งแต่ประเทศอินเดียไปจนถึงประเทศจีน 5 20 24 11 12,13 30 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 93


หม่อน หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Mulberry tree, White mulberry ชื่อท้องถิ่น มอน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ซึงเฮียะ ซึงเอียะ (จีนแต้จิ๋ว), ซางเย่ (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Morus alba L. ชื่อวงศ์ MORACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดกลาง ล�ำต้น เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านไม่มากนัก ใบ ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่ หรือรูปไข่กว้าง ขอบเรียบหรือหยักเว้าเป็นพู ขึ้นกับพันธุ์ กว้าง 8-14 ซม. ยาว 12-16 ซม. ผิวใบสากคาย ปลายเรียวแหลมยาว ฐานใบกลม หรือรูปหัวใจ หรือค่อนข้างตัด ใบอ่อนขอบจักเป็นพูสองข้างไม่เท่ากัน ขอบพูจักเป็นซี่ฟัน เส้นใบมี 3 เส้น ออกจากโคนยาวไปถึงกลางใบ และเส้นใบออกจากเส้นกลางใบ 4 คู่ เส้นร่างแหเห็นชัดด้านล่าง ใบสีเขียวเข้ม ผิวใบสากคาย ก้านใบ เล็กเรียว ยาว 1.0-1.5 ซม. หูใบรูปแถบแคบปลายแหลม ยาว 0.2-0.5 ซม. ดอก ดอกเป็นดอกช่อ รูปทรงกระบอกออกที่ซอกใบ และปลายยอด แยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้และช่อดอกเพศเมียอยู่ต่าง ช่อกัน วงกลีบรวมสีขาวหม่น หรือสีขาวแกมเขียว ช่อดอกเป็นหางกระรอก ยาวประมาณ 2 ซม. ดอกเพศผู้ วงกลีบรวมมี 4 แฉก เกลี้ยง เกสรเพศเมีย วงกลีบรวมมี 4 แฉก เกลี้ยง ขอบมีขน เมื่อเป็นผลจะอวบน้ำ รังไข่เกลี้ยง ก้านเกสรเพศเมียมี 2 อัน ผล ผลเป็นผลรวม รูปทรงกระบอก มีสีเขียว เมื่อสุกสีม่วงแดงเข้ม เกือบดำ ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยว สรรพคณุ ใบ มีรสขม จืดเย็น เป็นยาเย็นออกฤทธิ์ต่อปอด ตับ และกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยาแก้ไอร้อนเนื่องจากถูกลมร้อนกระทบ ใช้ต้มกับน้ำ ดื่มเป็นยาระงับประสาท มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ยาแก้ไข้ ไข้หวัด ตัวร้อน แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยขับลมร้อน ขับเหงื่อ ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ นำมาทำเป็นยาต้มใช้อมหรือกลั้วคอแก้อาการเจ็บคอ คอแห้ง แก้ไอ ทำให้เนื้อเยื่อชุ่มชื้น หล่อลื่น ภายนอก แก้ตาแดง ตามัว ตาแฉะ ตาฝ้าฟาง ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นยาพอกรักษาแผลกดทับ ยาแก้อาการติดเชื้อ ผล มีรสเปรี้ยวหวานเย็นบำรุงหัวใจ เป็นยาแก้ธาตุไม่ปกติ ดับร้อน คายความร้อนรุ่ม ขับลมร้อน ทำให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการกระหายน้ำ และทำให้ร่างกายชุ่มชื่น ทำให้เส้นประสาทตาดี ทำให้สายตาแจ่มใส ทำให้หูตาสว่าง แก้อาการท้องผูก ช่วยบำรุงตับและไต ช่วยรักษาตับ และไตพร่อง แก้ข้อมือข้อเท้าเกร็ง แก้โรคปวดข้อ ช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกดำ เป็นยาบำรุง แก้โรคเกี่ยวกับทรวงอก แก้ไอ หืด วัณโรคปอด ขับปัสสาวะ การสะสมน้ำในร่างกายผิดปกติ และโรคปวดข้อ เปลือกราก มีรสชุ่ม เป็นยาเย็นออกฤทธิ์ต่อปอดและม้าม เป็นยาแก้ไอเป็นเลือด แก้ไอร้อนไอหอบ ช่วยขับน้ำในปอด เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยลดอาการบวมน้ำที่ขา เมล็ด เป็นยาขับเสมหะ ราก นำมาตากแห้งต้มผสมกับน้ำผึ้ง มีรสหวานเย็น ใช้ในโรคทางเดินหายใจและการมีน้ำสะสมในร่างกายอย่างผิดปกติ ช่วยขับพยาธิ เป็นยาสมาน ช่วยแก้แขนขาหมดแรง การกระจายพันธุ์ ประเทศไทยปลูกกันมากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 MORACEAE 94 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


มะรุม หมอยาพื้นบ้าน 4 , 6 , 10 , 13 , 15 , 17 , 24 ชื่อสามัญ Moringa ชื่อท้องถิ่น บะค้อนก้อม (ภาคเหนือ), ผักอีฮุม บักฮุ้ม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ชื่อวิทยาศาสตร์ Moringa oleifera Lam. ชื่อวงศ์ MORINGACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ล�ำต้น สูงประมาณ 15-20 ม. ลำต้นเป็นพุ่มโปร่ง เนื้อไม้อ่อน เปลือกแตกร่อน สีน้ำตาลอ่อนปนเทา กิ่งอ่อนมีขน กิ่งก้านหักง่าย ผิวค่อนข้างเรียบ ใบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 3 ชั้น ออกเรียงสลับ ยาวราว 45 ซม. โคนก้านใบประกอบป่องออก ใบย่อยรูปไข่หรือรูปรี กว้าง 0.7-2 ซม. ยาว 1-3 ซม. ปลายใบมน โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ เนื้อใบนิ่มอ่อนบาง หลังใบและท้องใบเรียบ ใบที่อยู่ปลายสุดจะมี ขนาดใหญ่กว่าใบอื่น ดอก ดอกออกเป็นช่อ ออกตามซอกใบ ดอกย่อยเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 5 กลีบ ไม่เท่ากัน สรรพคณุ ใบสด ใบมีรสเฝื่อน มีวิตามินซีและเอมาก ใช้เป็นยากินแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ใช้พอกบริเวณที่เป็นแผล เปลือกต้น มีรสร้อนเฝื่อนร้อน ใช้ขับลมในลำไส้ ทำให้ผายลมเรอ แก้ลมขึ้นเบื้องสูงต้มเป็นกระสายยาแก้หอบหืด เปลือกสด ตำอม ถอนพิษเมาสุรา กระพี้ รสร้อนเฝื่อน แก้ไข้สันนิบาตเพื่อลม ฝัก มีรสหวานเย็น ดับพิษถอนไข้ แก้ปัสสาวะไม่ปกติ ราก มีรสเผ็ดหวานขม แก้บวม ช่วยกระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ ทำให้ความดันเลือดสูง ดอก มีรสจืด เป็นยาบำรุง ขับปัสสาวะ และขับน้ำตา เมล็ด รสจืดมัน แก้ไข้ แก้หอบ ตำพอกแก้ปวดตามข้อ แก้บวม บำรุงไฟธาตุ น�้ำมันจากเมล็ด (ben oil) ไม่มีสี กลิ่น และรส ใช้ทำยาขี้ผึ้งทาถูนวดแก้ปวดเมื่อย ปวดตามข้อ แก้ปวดลดไข้ บำรุงหัวใจ ใช้ทำ เครื่องสำอาง น้ำหอม ปรุงอาหาร ใช้เป็นน้ำมันสลัด การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย MORINGACEAE 4,6 24 17 10 13 15 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 95


กล้วยน้ ำว้า หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Cultivated banana ชื่อท้องถิ่น กล้วยน้ำว้า (ภาคกลางและทั่วไป), กล้วยใต้ กล้วยเหลือง (ภาคเหนือ), กล้วยตานีอ่อง กล้วยอ่อง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), กล้วยมะลิอ่อง (ภาคตะวันออก) ชื่อวิทยาศาสตร์Musa sapientum L. ชื่อวงศ์ MUSACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น สูง 3.0- 4.5 ม. ลำต้นแท้จะเป็นเหง้าฝังอยู่ใต้ดิน เหง้ากล้วยน้ำว้าสามารถแตกหน่อแยกเป็นต้นใหม่ได้ ส่วนลำต้นเหนือดินที่เป็น ลำต้นเทียมประกอบด้วยกาบใบ และใบ โดยกาบใบจะแทงออกจากเหง้าเรียงซ้อนกันแน่นเป็นวงกลมจนกลายเป็นลำต้นตามที่มองเห็น แผ่นกาบด้านนอกที่มองเห็นจะมีสีเขียว กาบใบเป็นแผ่นโค้งเป็นรูปครึ่งวงกลม โดยมีแกนกลางเป็นกาบอ่อนเรียงซ้อนกัน และก้านใบโน้ม ลงด้านล่าง แผ่นใบมีลักษณะเรียบ ด้านบนมีสีเขียวสด และเป็นมัน ด้านล่างมีสีเขียวอมเทา ดอก ดอกช่อ แทงออกที่ปลายยอด มีลักษณะเป็นช่อห้อยลง เรียกว่า เครือกล้วย โดยเครือกล้วยประกอบด้วยใบประดับสีแดงหุ้มดอกไว้ เรียกว่า ปลีกล้วย สรรพคณุ ผลดิบ บดเป็นผง ใช้ป้องกัน บำบัด โรคแผลในกระเพาะอาหาร โดยจะไปกระตุ้นให้เซลล์ในเยื่อบุกระเพาะหลั่งสาร mucin ออกมาช่วย เคลือบกระเพาะ ที่เปลือก และเนื้อมี serotonin ช่วยยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ผลดิบยังใช้รักษาอาการท้องเสีย บิดมูกเลือด การที่กล้วยสามารถแก้อาการท้องเสียได้ เพราะมีสารแทนนิน ผงกล้วยดิบทั้งเปลือกใช้โรยรักษาแผลเรื้อรัง แผลเน่าเปื่อย แผลติดเชื้อต่างๆ เปลือกผลดิบ รสฝาด สมานแผล ผลสุก เป็นยาระบาย การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย MUSACEAE 2 96 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


4,5 15 MYRISTICACEAE จันทน์เทศ หมอยาพื้นบ้าน 4 , 5 , 15 ชื่อสามัญ Nutmeg tree ชื่อท้องถิ่น จันทน์บ้าน (ภาคเหนือ, เงี้ยว-ภาคเหนือ), โย่วโต้วโค่ว โร่วโต้วโค่ว (จีนกลาง), เหน็กเต่าโข่ว (จีนแต้จิ๋ว), ปาลา (มาเลเซีย) ชื่อวิทยาศาสตร์ Myristica fragrans Houtt. ชื่อวงศ์ MYRISTICACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ ล�ำต้น สูง 5-18 ม. เปลือกลำต้นเรียบเป็นสีเทาอมดำ เนื้อไม้สีนวลหอมเพราะมีน้ำมันหอมระเหย ใบ ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปรีหรือรูปไข่กลมรี ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ กว้าง 4-5 ซม. ยาว 10-15 ซม. เนื้อใบแข็ง หลังใบเรียบ สีเขียวเป็นมัน ท้องใบสีเขียวอ่อน ดอก ดอกช่อ มีดอกย่อยช่อละ 2-3 ดอก ออกตามซอกใบ สีเหลืองอ่อน กลีบดอก 4 กลีบ เชื่อมติดกัน รูปคนโทคว่ำ ปลายกลีบแยก ออกเป็น 4 แฉก ดอกแยกเพศกันอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้จะเกิดเป็นกลุ่ม ๆ ส่วนดอกเพศเมียจะเกิดเป็นดอกเดี่ยว และดอกเพศเมียจะมี ขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ ผล ผลเดี่ยว เนื้อสด ค่อนข้างฉ่ำน้ำ รูปทรงค่อนข้างกลม คล้ายกับลูกสาลี่ ยาว 3.5-5 ซม. เปลือกผลเรียบเป็นสีเหลืองนวล สีเหลืองอ่อน หรือสีแดงอ่อน เมื่อผลแก่แตกอ้าออกเป็น 2 ซีก ภายในผลมีเมล็ด กลม ยาว 2-3 ซม. ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 ซม. เมล็ดมีเนื้อรกสีแดง ห่อหุ้ม เนื้อและเปลือกแข็ง มีเมล็ด 1 เมล็ด สรรพคณุ ดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด) และลูกจันทน์ (เมล็ด) มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอม เป็นยาร้อนเล็กน้อย โดยออกฤทธิ์ต่อลำไส้และม้าม ใช้เป็นยาทำให้ธาตุและร่างกายอบอุ่น ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย แก้ธาตุอ่อน ช่วยแก้ธาตุพิการส่วนตำรับยาจีนระบุว่าให้ใช้จันทน์เทศ ที่เป็นยาแห้ง 10 กรัม, เนื้อหมากแห้ง 10 กรัม, ดอกคังวู้ 15 กรัม นำมาบดเป็นผง แล้วทำเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ใช้รับประทานครั้งละ 10-20 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ช่วยกระจายเลือดลม ช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ช่วยแก้ดีซ่าน เป็นยาแก้ไข ช่วยขับเสมหะ ช่วยในการย่อยอาหาร ช่วยแก้อาการท้องร่วง ลูกจันทน์ (เมล็ด) มีรสหอมออกฝาด เป็นยาบำรุงโลหิต (ลูกจันทน์ (เมล็ด)) ส่วนอีกตำราหนึ่งก็ระบุว่าดอกจันทน์ (รกหุ้มเมล็ด) ก็มีสรรพคุณ บำรุงโลหิตเช่นกัน เป็นยาบำรุงกำลังเช่นกัน ช่วยทำให้นอนหลับได้และนอนหลับสบาย ช่วยแก้อาการหอบหืด (เข้าใจว่าต้องใช้ผสมกับ ตัวยาอื่นด้วย) เนื้อผล ช่วยแก้โรคบิด การกระจายพันธุ์ พบได้ในภาคตะวันออกและทางภาคใต้ของไทย บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 97


กานพลู หมอยาพื้นบ้าน 4 , 5 , 10 , 13 , 15 , 20 , 25 ชื่อสามัญ Clove, Clove tree ชื่อท้องถิ่น กานพลู, จันจี่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium aromaticum (L.) Merrill & Perry ชื่อวงศ์ MYRTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ไม่ผลัดใบ ล�ำต้น สูง 5-20 ม. เรือนยอดทึบ เป็นรูปกรวยคว่ำ แตกกิ่งต่ำ เปลือกเรียบมีสีน้ำตาลอ่อน มีต่อมน้ำมันมาก ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม มีก้านใบเล็กเรียว แผ่นใบด้านบนเป็นมัน ยาว 1-3 ซม. รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กว้าง 3-6 ซม. ยาว 6-13 ซม. ปลายใบแหลม โคนสอบเป็นรูปลิ่ม ขอบเรียบ ดอก เป็นช่อสั้นๆ แทงออกบริเวณปลายยอด มีดอกย่อย 6-20 ดอก ดอกย่อยมีใบประดับรูปสามเหลี่ยม ยาว 2-3 มม. กลีบเลี้ยง 4 กลีบ สีเขียวอมเหลือง และมีสีแดงประปราย โคนติดกันเป็นหลอดยาว 5-7 มม. กลีบดอก 4 กลีบ รูปสามเหลี่ยมแกมรูปไข่ ยาว 7-8 มม. มี ต่อมน้ำมันมาก กลีบดอกมักร่วงง่าย ด้านในมีเกสรเพศผู้ ก้านชูเกสรยาว 3-7 มม. ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 4 มม. ยอดเกสรตัวเมีย แบ่งเป็น 2 พู มีรังไข่ 2-3 ห้อง ผลเดี่ยว มี 1 เมล็ด มีรูปไข่กลับแกมรูปรี ยาว 2-2.5 ซม. เมื่อแก่จะมีสีแดงเข้มออกคล้ำ สรรพคณุ ดอก รสเผ็ด กระจายเสมหะ แก้เสมหะเหนียว แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ปวดฟัน ดับกลิ่นปาก แก้หืด เป็นยาทำให้ร้อนเมื่อถูกผิวหนัง ทำให้ชา เป็นยาฆ่าเชื้อ แก้ปวดฟัน แก้รำมะนาด แก้ปวดท้อง มวนในลำไส้ แก้ลม แก้เหน็บชา แก้พิษโลหิต พิษน้ำเหลือง ขับน้ำคาวปลา ทำอุจจาระให้ปกติ แก้ธาตุทั้ง 4 พิการ แก้ปวดท้อง แก้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้อาเจียน แก้จุกเสียด แก้ท้องเสีย ขับผายลม กดลม ให้ลงสู่เบื้องต่ำ แก้สะอึก แก้ซางต่างๆ ขับระดู น้ำมันกานพลู (Clove oil) เป็นยาชาเฉพาะที่ แก้ปวดฟัน โดยใช้สำสีชุบนำมาอุดที่ฟัน ระงับการกระตุก ตะคริว ขับผายลม แก้ปวดท้อง แก้ท้องอืด ผสมยากลั้วคอ แต่งกลิ่นอาหาร แต่งกลิ่นสบู่ ยาสีฟัน ดับกลิ่นปาก ดับกลิ่น เหล้า ไล่ยุง เปลือกต้น ใช้รักษาอาการปวดท้อง ท้องเสีย ช่วยขับลม ใบช่วยรักษาอาการปวดท้อง การกระจายพันธุ์ เขตร้อนทั่วโลก พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 4,5 20 25 10 13 15 MYRTACEAE 98 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี


MYRTACEAE หว้า หมอยาพื้นบ้าน 9 ชื่อสามัญ Jambolan plum, Java plum, Jambul ชื่อท้องถิ่น หว้า, หว้าป่า, หว้าขาว, หว้าขี้นก, หว้าขี้แพะ, จามานจามูน (ฮินดู) ชื่อวิทยาศาสตร์ Syzygium cumini (L.) Skeels ชื่อวงศ์ MYRTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ล�ำต้น สูงได้ถึง 20 ม. ไม่ผลัดใบ ทรงพุ่มกลมหรือรูปไข่ กิ่งอ่อนรูปสี่เหลี่ยม เปลือกต้นสีเทาอ่อนหรือสีออกน้ำตาล แตกเป็นร่องลึก ตามยาว ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 3-8 ซม. ยาว 7-16 ซม. ปลายมนป้าน ฐานสอบเรียว ขอบเรียบ เป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบหนาและเหนียว ผิวใบเรียบเกลี้ยง ดอก แบบช่อกระจุกแยกแขนง ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกเล็กสีเขียวอมเหลือง ช่อดอกยาวได้ถึง 8 ซม. ดอกย่อย 30-40 ดอก เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 1-1.5 ซม. ไม่มีก้านดอก กลีบเลี้ยง 4 กลีบ กลีบดอก 4 กลีบ เชื่อมเป็นถุงปิดดอกตูม และหลุดเมื่อดอกบาน กลีบมีต่อมเป็นจุดๆ เกสรตัวผู้จำนวนมาก สีขาว ปลายสีเหลืองอ่อน เกสรตัวผู้วงนอกขนาด 1.5-2.5 มม. ก้านเกสรตัวเมียยาว 1.5 มม. ผลเดี่ยว สดรูปทรงกลมแป้น ขนาด 1.3-1.5 ซม. สีเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพู เมื่อสุกมีสีแดงเข้ม ถึงม่วงดำ ปลายหรือก้นผลบุ๋ม รวมกัน เป็นพวง ผลสุกรสหวานอมเปรี้ยว มีรสฝาดเล็กน้อยฉ่ำน้ำ รับประทานได้ มี 1 เมล็ด สรรพคณุ ผล อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ผลดิบช่วยบำรุงกระดูกและฟัน แก้อาการท้องเสีย ผลสุกแก้อาการท้องร่วงและอาการบิด ชะลอความแก่ และความเสื่อมของเซลล์ได้ บรรเทาอาการของวัณโรคและโรคปอดได้ รักษาโรคหอบหืดจากการแพ้อากาศ ลดอัตราเสี่ยงของการเกิด โรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมองได้ ใบและเมล็ด ใช้รักษาอาการบิด มูกเลือด ท้องเสีย ช่วยรักษาโรคเบาหวาน เปลือกและใบนำมาทำเป็นยาอม ยากวาดคอ แก้ปากเปื่อย คอเปื่อย เป็นเม็ดตามลิ้นและคอ แก้อาการนำ้ลายเหนียวข้น ตำให้แหลกใช้ทารักษาโรคผิวหนัง นำมาต้มกับนำ้ตาล นำ้ที่ได้นำมาล้างแผล เน่าเปื่อย น�้ำมันหอมระเหย มีส่วนช่วยต่อต้านการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร ด้วยการเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อยต่างๆ ช่วยป้องกันการ เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ช่วยลดการจับตัวของลิ่มเลือด มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยยับยั้งเชื้ออีโคไล (Escherichia coli) ในช่องทางเดินอาหาร ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเสียบ่อยๆ หรืออุจจาระเหลวเป็นน้ำ การกระจายพันธุ์ เอเชียเขตร้อน อินเดีย พม่า มาเลเซีย และไทย ในไทยพบได้ทั่วไป 9 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 99


บัวหลวง หมอยาพื้นบ้าน 15 , 29 , 30 ชื่อสามัญ Lotus, Sacred lotus, Egyptian lotus ชื่อท้องถิ่น โกกระณต, บัว, บัวอุบล, บัวฉัตรขาว, บัวฉัตรชมพู, บัวฉัตรสีชมพู, บุณฑริก, ปุณฑริก, ปทุม, ปัทมา, สัตตบงกช, สัตตบุษย์, โช้ค (เขมร) ชื่อวิทยาศาสตร์ Nelumbo nucifera Gaertn. ชื่อวงศ์ NELUMBONACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น ลำต้นมีทั้งเป็นเหง้าอยู่ใต้ดินและเป็นไหลอยู่เหนือดินใต้น้ำ ลักษณะของเหง้าเป็นท่อนยาว มีปล้องสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลือง มีความแข็งเล็กน้อย หากตัดตามขวางจะเห็นเป็นรูปกลม ๆ อยู่หลายรู โดยส่วนของไหลจะเป็นส่วนเจริญไปเป็นต้นใหม่ ใบ ใบเดี่ยว ใบอ่อนจะลอยปริ่มน้ำ ส่วนใบแก่แผ่นใบจะชูขึ้นเหนือน้ำ รูปกลม ขนาด 50 ซม.ขอบใบเรียบ ผิวใบด้านบนเป็นนวล เคลือบอยู่ ก้านใบจะติดอยู่ตรงกลางของแผ่นใบ ก้านใบมีลักษณะแข็งและเป็นหนาม หากตัดตามขวางจะเห็นรูอยู่ภายใน และก้านใบ จะมีน้ำยางสีขาว เมื่อหักก้านจะมีสายใยสีขาว ๆ สำหรับใบอ่อนจะเป็นสีเทานวล ปลายจะม้วนงอขึ้นเข้าหากันทั้งสองด้าน ดอก ดอกเดี่ยว มีสีขาว สีชมพู มีกลิ่นหอม มีกลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ กลีบเลี้ยงมีขนาดเล็กและสีขาวอมเขียวหรือเป็นสีเทาอมชมพู ส่วนกลีบดอกจะมีจำนวนมากและเรียงซ้อนกันอยู่หลายชั้น รูปไข่กว้าง 5-6 ซม. ยาว 7-9 ซม. เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาด 20-25 ซม. เกสรตัวผู้สีเหลืองอยู่เป็นจำนวนมาก ยาว 4-5 ซม.ล้อมรอบฐานรองดอกซึ่งมีลักษณะเป็นรูปกรวยหงาย เกสรตัวเมียจะมีรังไข่ฝังอยู่ในฐาน รองดอก เมื่ออ่อนเป็นสีเหลือง หากแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว ช่องรังไข่จะเรียงเป็นวงบนผิวหน้าตัด มีจำนวน 5-15 อัน ผล ผลกลุ่มหรือที่เรียกว่าฝัก ลักษณะผลเป็นรูปกลมรี ผลอ่อนมีสีเขียวนวลและมีจำนวนมาก เมล็ดมีความกว้าง 1 ซม. ในเมล็ดมีดีบัว หรือต้นอ่อนที่ฝังอยู่กลางเมล็ดมีสีเขียว สรรพคณุ เกสร ใช้บำรุงหัวใจ ทำให้ชุ่มชื่น บำรุงปอด บำรุงตับ บำรุงกำลัง คุมธาตุ แก้ล้ม แก้ไข้ บรรเทาอาการไข้ ร้อนในกระหายน้ำ แก้พิษหัด บรรเทาอาการไข้จากหัดและสุกใส ใช้เกสรร่วมกับเปลือกฝิ่นต้น และลูกมะตูมอ่อน มีสรรพคุณ แก้อ่อนเพลีย ปรับธาตุในผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้น จากการเจ็บป่วย เช่น ไข้ ท้องเสีย นอกจากนี้ตำราแพทย์แผนโบราณทั่วไป สาขาเภสัชกรรม ของกองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวง สาธารณสุข ระบุว่า พิกัดตรีเกสรมาศ คือ จำนวนตัวยาเกสรทอง 3 อย่าง ได้แก่ เปลือกฝิ่นต้น เกสรบัวหลวง และลูกมะตูมอ่อน มีสรรพคุณ เจริญอาหาร บำรุงธาตุ คุมธาตุ บำรุงกำลัง แก้ท้องเดิน การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย NELUMBONACEAE 15 29,30 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 100


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ล�ำต้น สูง 50 ซม. แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ ลำต้น ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้าม รูปไข่ รูปรี หรือรูปมนป้อม ปลายแหลม โคนมนสอบเข้าหากัน ขอบใบเรียบไม่มีหยัก กว้าง 3-5 ซม. ยาว 6-10 ซม. แผ่นใบเรียบมัน สีเขียวแก่ ท้องใบเห็นเส้นใบได้ชัดเจน เส้นใบมีขนาดใหญ่ 4-6 คู่ ก้านใบมีขนาดสั้นมากและมีขน ดอก ดอกช่อ ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ลักษณะของดอกมีทั้งดอกซ้อนและดอกไม่ซ้อน ดอกซ้อนเราจะเรียกว่า “มะลิซ้อน” ส่วนดอก ที่ไม่ซ้อนเรียกว่า “มะลิลา” โดยทั้งสองชนิดจะเป็นดอกสีขาวและมีกลิ่นหอม ซึ่งดอกมะลิลาจะมีกลิ่นหอมมากกว่าดอกมะลิซ้อน ขนาดของดอกเมื่อบานเต็มที่จะมีขนาดกว้าง 2-3 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียวอมสีเหลืองอ่อน ส่วนปลายแยกเป็นเส้น กลีบดอกดอก 5-8 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดยาว 1.5 ซม. ดอกที่อยู่ตรงกลางช่อจะบานก่อน เกสรเพศผู้ 2 อัน ก้านติดกับกลีบดอกใน หลอดสีขาว ผล มักไม่ติดผล สรรพคณุ ดอก เป็นยาในพิกัดเกสร ทั้ง 5 ทั้ง 7 และทั้ง 9 แต่ใช้ทั้งดอก เมื่อพิจารณาจากรสของยา ดอกมะลิถูกจัดเป็น “ยารสหอมเย็น” มีสรรพคุณ บำรุงหัวใจ ทำให้ชื่นใจ แก้อ่อนเพลีย ชูกำลัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ดอกมะลิ มีสรรพคุณที่ระบุในตำรายาไทย ใช้บำรุงหัวใจ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ ทำจิตใจให้ชุ่มชื่น บำรุงครรภ์รักษา แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้เจ็บตา เนื่องจากมีรสฝาดสมาน จึงช่วยสมานท้อง แก้บิด แก้ปวดท้อง แก้แผลเรื้อรัง ผิวหนังเป็นผื่นคัน น้ำแช่ดอกสดบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น นำดอกสดตำใส่พิมเสน สุมหัวเด็กแก้ซาง แก้ตัวร้อน แก้หวัด เป็นส่วนผสมใน ยาหอมเทพจิตร ยาหอมนวโกฐ ยาหอมทิพโอสถ และยาหอมอินทจักร์ การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย OLEACEAE 5,6 25 13 มะลิ หมอยาพื้นบ้าน 5 , 6 , 13 , 25 ชื่อสามัญ Arabian jasmine Seented star jusmine, Kampopo ชื่อท้องถิ่น มะลิขี้ไก่ (เชียงใหม่), มะลิหลวง (แม่ฮ่องสอน), มะลิป้อม (ภาคเหนือ), มะลิซ้อน มะลิลา (ภาคกลาง), มะลิมะลิลา มะลิซ้อน (ทั่วไป), เตียมูน (ละว้า-เชียงใหม่), ข้าวแตก ( เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), บักหลี่ฮวย เซียวหน่ำเคี้ยง (จีน), หม้อลี่ฮวา (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Jasminum sambac (L.) Aiton ชื่อวงศ์ OLEACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 101


เพชรหึง หมอยาพื้นบ้าน 4 ชื่อสามัญ Tiger orchid, Leopard flower ชื่อท้องถิ่น กล้วยกา, กะดำพะนาย, ตับตาน, ว่านหางช้าง, ว่านงูเหลือม, เอื้องพร้าว ชื่อวิทยาศาสตร์ Grammatophyllum speciosum Blume ชื่อวงศ์ ORCHIDACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ กล้วยไม้ประเภทแตกกอที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีระบบรากอากาศ เกาะอาศัยอยู่บนไม้อื่น ล�ำต้น สูง 1-3 ม. ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 ซม. เมื่อเจริญเต็มที่จะเปลี่ยนจากสีเขียวแกมเหลืองเป็นสีเหลือง ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันบนลำต้น รูปเรียว ยาวและแคบ กว้าง 3-4 ซม. ยาว 30-60 ซม. แผ่นใบเหนียวคล้ายแผ่นหนัง เรียงตัว ในระนาบเดียวกัน ใบอ่อนจะโค้งลงด้านล่าง ดอก ดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ ออกบริเวณยอดครั้งละ 2-3 ช่อ โดยดอกจะทยอยบานติดต่อกันประมาณ 3 เดือน ช่อดอกมีทั้งแบบเป็นช่อ ห้อยและช่อตั้ง ยาวได้ถึง 2 ม. ส่วนก้านดอกจะยาว 15-30 ซม. ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ สีเหลืองมีจุดสีน้ำตาล แกมม่วงกระจายอยู่ทั่วกลีบคล้ายกับลายเสือ กลีบปากจะเล็กกว่ากลีบอื่นๆ และแผ่นกลีบจะแยกเป็นสามแฉก เมื่อบานเต็มที่จะมีขนาด กว้าง 6-8 ซม. เกสรตัวผู้ 1 อัน มีเกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่ 3 ห้อง ผล ผลมีพู 3 พู รูปร่างยาว ผลเมื่อแก่แห้งจะแตกออกเป็นกลีบ 3 กลีบ ภายในผลมีเมล็ดสีดำขนาดเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก สรรพคณุ ล�ำต้น ก้านใบ ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยการใช้ลำต้นกับก้านใบนำมาหั่นบาง ๆ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำมาใส่โหลดองกับเหล้าไว้ดื่ม ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง ช่วยขับลมในลำไส้ ล�ำต้น ใช้ตำผสมเหล้าเอาน้ำมากินหรือนำมาฝนกับเหล้าดื่ม ส่วนกากที่เหลือเอามาใช้พอกปากแผล มีฤทธิ์เป็นยาเย็นช่วยถอนพิษ แก้อาการอักเสบเนื่องจากถูกงูกัด ช่วยแก้พิษงูกัด พิษตะขาบ และพิษแมงป่องต่อย (ลำต้น) แต่อีกข้อมูลหนึ่งระบุว่า “ถ้าเป็นงูมีพิษไม่ควร ใช้” ช่วยรักษาอาการผื่นคันมีน้ำเหลือง ใช้ฝนกับน้ำซาวข้าวใช้ทาพอกรักษาฝี ส่วนที่ไม่ได้ระบุ ยังมีสรรพคุณช่วยแก้อาการไอและอาการเจ็บคอ ช่วยรักษาฝีประคำร้อย การกระจายพันธุ์ พบได้ตามป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และทางภาคใต้ ORCHIDACEAE 4 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 102


เตยหอม หมอยาพื้นบ้าน 13 ชื่อสามัญ Pandan leaves, Fragrant pandan, Pandom wangi ชื่อท้องถิ่น เตยหอม, เตยหอมใหญ่, เตยหอมเล็ก, ปาแนะวองิง, หวานข้าวไหม, ปาแนะออริง, ปาแนก๊อจี, ปานหนัน ชื่อวิทยาศาสตร์ Pandanus amaryllifolius Roxb. ชื่อวงศ์ PANDANACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มเล็ก ล�ำต้น ขึ้นเป็นกอ มีลำต้นอยู่ใต้ดินหรือไหลเลื้อยตามผิวดิน มีรากค้ำยันแตกออกจากข้อเป็นระยะๆ เรียกว่า รากอากาศ ลำต้นสามารถ แตกหน่อเป็นต้นใหม่ได้ ทำให้มองเป็นกอหรือเป็นพุ่ม สูงได้มากกว่า 1 ม. ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับเวียนเป็นเกลียวขึ้นไปจนถึงยอด ใบเรียวยาว สีเขียวเข้ม ค่อนข้างแข็ง ปลายแหลม ใบชูเฉียงแนบไปกับลำต้น แผ่นใบเป็นมัน กว้าง 2-3 ซม. ยาว 30-50 ซม. ขอบเรียบ เส้นกลางใบลึกเป็นแอ่งตื้นๆ ตรงกลาง ใบส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา เพราะมี น้ำมันหอมระเหย สรรพคณุ น�้ำช่วยบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น และช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ การดื่มนำ้ใบเตยจะช่วยดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี เพราะใบเตย มีกลิ่นหอมเย็น ดื่มแล้วจึงรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ช่วยแก้อาการอ่อนเพลียของร่างกายได้ ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิต ผู้ที่มีธาตุเจ้าเรือนเป็นธาตุไฟนั้น การรับประทานอาหารที่ปรุงจากใบเตยจะช่วยทำให้รู้สึกเย็นสบายสดชื่นได้ ช่วยดับพิษร้อน ใช้รักษาโรค หืด ใบเตยสดนำมาตำใช้พอกรักษาโรคผิวหนังได้ ราก ใบ ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งตามตำรับยาไทยได้มีการนำใบเตยหอม 32 ใบ, ใบของต้นสัก 9 ใบ นำมาหั่นตากแดด แล้วนำมาชงเป็นชาดื่มอย่างน้อย 1 เดือน หรือจะใช้รากประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำดื่มเช้าเย็นก็ได้เหมือนกัน ต้น ราก ใช้เป็นยาแก้กษัย ยาขับปัสสาวะด้วยการใช้ต้น 1 ต้น หรือจะใช้รากครึ่งกำมือก็ได้ นำมาต้มกับน้ำดื่ม (ราก, ต้น) ใช้รักษา โรคหัดได้ การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 13 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 103 PANDANACEAE


เตยใหญ่ หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Seashore screwpine ชื่อท้องถิ่น เตยหอมใหญ่, หวานข้าวใหม้, ปาแนะวองิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Pandanus odorifer (Forssk.) Kuntze ชื่อวงศ์ PANDANACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม ล�ำต้น มีความสูง 3-5 ม. โคนต้นมีรากอากาศช่วยค้ำจุน ลำต้นมีลักษณะกลมสีขาวนวลหรือสีน้ำตาลอ่อนๆ มีหนามแหลมสั้นกระจายอยู่ ทั่วไป ใบ ใบเดี่ยว สีเขียว ออกเรียงสลับเวียนรอบลำต้นสามแนว ใบเรียวยาว ปลายแหลม ส่วนขอบทั้งสองข้างจะหยักและมีหนามแหลมคม กลางใบมีลักษณะเป็นร่องลึกตามความยาวของใบ ดอก ดอกช่อขนาดใหญ่ ออกที่ปลายยอด ปลายกิ่ง หรือออกตามซอกใบ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละต้น ดอกเพศผู้มี ขนาดเล็กและมีจำนวนมาก ไม่มีกลีบดอก มีกาบรองดอกสีขาวนวล 2-3 กาบ ส่วนดอกเพศเมียเป็นสีเขียว อยู่ติดกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ และมีกาบรองดอกสีเขียว 2-3 กาบ ดอกจะเริ่มบานในช่วงเย็นและจะมีกลิ่นหอมฉุน สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี ผล ผลมีลักษณะแข็ง ปลายมีหนามสั้นๆ ติดกันเป็นกลุ่มแน่น ผลอ่อนเป็นสีเขียวอมขาวแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยน เป็นสีส้มหรือสีส้มอมแดง และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ภายในผลมีเมล็ดลักษณะเป็นรูปกระสวย สรรพคณุ ช่อดอกเพศผู้ จัดอยู่ในตำรับยาเกสรทั้งเก้า ใช้ปรุงเป็นยาหอม และยาบำรุงหัวใจ (ช่อดอกเพศผู้) ราก มีรสเย็นและหวานเล็กน้อย มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษโลหิต ช่วยแก้พิษไข้ ช่วยแก้พิษเสมหะ ขับเสมหะ เป็นยาขับปัสสาวะ ขับนิ่ว รากอากาศ ใช้ปรุงเป็นยาแก้ปัสสาวะพิการและแก้นิ่ว ช่วยรักษาหนองใน ช่วยแก้มุตกิด ระดูขาวมีกลิ่นเหม็น การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 2 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 104 PANDANACEAE


งา หมอยาพื้นบ้าน 1 ชื่อสามัญ Sesame ชื่อท้องถิ่น งา, งาขาว, งาดำ, นีโซ, ไอยู่มั้ว ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesamum indicum L. ชื่อวงศ์ PEDALIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุกขนาดเล็ก ล�ำต้น ลำต้นสูงประมาณ 60 ถึง 150 ซม. เป็นสี่เหลี่ยม ตั้งตรง เปลือกบางผิวเรียบ มีร่องตามยาว สีเขียวอ่อน มีขนอ่อนปกคลุม ใบ ใบเดี่ยวสีเขียวรูปไข่สลับ โคนกลมหรือมน ปลายแหลมหรือค่อนข้างมน ขอบแยกเป็น 3 พู ลำต้นและใบมีกลิ่นฉุน ใบที่อยู่สูงก้านสั้น ดอก ดอกเดี่ยวออกตามซอกใบ มีสีขาวหรือสีม่วง แต้มสีเหลือง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ สีเขียว ปลายกลีบแหลม กลีบดอก 5 กลีบ ปลายแยก เป็นแฉก รูปขอบขนาน โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน เป็นหลอดโค้ง ผล ผลเดี่ยว แบบกล่อง คล้ายฝัก รูปทรงแบนหรือทรงกระบอก ปลายมนมีจะงอย เมล็ด มีขนาดเล็ก จำนวนมาก มีสีสีขาวอมเหลือง หรือสีดำ สรรพคณุ งา ช่วยชะลอความแก่ให้ดูอ่อนกว่าวัย รวมไปถึงช่วยบำรุงผิวให้สดใสอยู่เสมอ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งใน ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ ช่วยลดความเครียด บำรุงระบบประสาทและสมอง มีสารอาหารจำพวกไขมัน ที่ช่วยซ่อมแซมและบำรุงผิว ทำให้ผิวไม่เหี่ยวแห้ง ช่วยบำรุงเส้นผมให้ดำเงางามและแข็งแรง ป้องกันการเกิดผมหงอก ช่วยให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้ ดีขึ้น ป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว ช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยให้ระบบการทำงานของหัวใจแข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ป้องกันลิ่มเลือด มีธาตุเหล็กสูง จึงช่วยบำรุงเลือด ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายและยังช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว เสริมภูมิ ต้านทานให้กับร่างกาย ป้องกันโรคหวัด โรคเหน็บชา ตะคริว มีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ ช่วยในเรื่อง การนอนหลับ ทำให้หลับพักผ่อนสบาย ช่วยบำรุงกระดูก ป้องกันการเกิดโรคกระดูกเปราะ กระดูกพรุน ป้องกันการเกิดโรคท้องผูก บรรเทาอาการริดสีดวงทวาร ต้านทานอาการข้ออักเสบ การกระจายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเอธิโอเปีย ต่อมาได้แพร่กระจายพันธุ์ไปยังอินเดีย จีน แอฟริกาเหนือ ทวีปอเมริกา และเอเชียใต้ 1 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 105 PEDALIACEAE


2 มะเม่า หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Chinese laurel ชื่อท้องถิ่น หมากเม้า บ่าเหม้า(ภาคเหนือ), หมากเม่า(ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะเม่า ต้นเม่า (ภาคกลาง), เม่า เม่าเสี้ยน หมากเม่าหลวง มะเม่าหลวง มัดเซ, (ภาคใต้), มะเม่าไฟ ชื่อวิทยาศาสตร์ Antidesma puncticulatum Miq. ชื่อวงศ์ PHYLLANTHACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ขนาดกลาง ที่มีอายุยืนยาว ล�ำต้น แตกกิ่งก้านมาก กิ่งแขนงแตกเป็นพุ่มทรงกลม สูง 5-10 ม. เนื้อไม้แข็ง ใบ ใบเดี่ยว สีเขียวสด ผิวใบเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน ใบออกหนาแน่นเป็นร่มเงาได้เป็นอย่าางดี ดอก ดอกช่อยาว ออกตามปลายกิ่งและซอกใบ ช่อดอกคล้ายพริกไทย ดอกย่อยมีขนาดเล็ก สีขาวอมเหลือง ดอกแยกเพศกันอยู่คนละต้น ผล ผลเป็นทรงกลม ผลมีขนาดเล็กและเป็นพวง ผลดิบมีสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวเข้ม มีรสเปรี้ยว แต่เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและ ม่วงดำในที่สุด โดยผลสุกจะมีรสหวานอมเปรี้ยวและฝาด เมล็ดกรุบกรับ ในหนึ่งผลจะมีหนึ่งเมล็ด เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง สรรพคณุ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ชะลอความแก่ชรา ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจโรคหลอดเลือด อุดตันในสมอง ยับยั้งไม่ให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมหรือเปราะง่ายอีกด้วย การกระจายพันธุ์ มักขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง หรือตามหัวไร่ปลายนาทั่วทุกภาคของประเทศไทย PHYLLANTHACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 106


PHYLLANTHACEAE ลูกใต้ใบ หมอยาพื้นบ้าน 1 , 2 , 3 , 21 , 22 , 26 , 27 ชื่อสามัญ Egg woman, Tamalaki, Hazardana, Stonebreaker, Seed-under-leaf ชื่อท้องถิ่น ต้นใต้ใบ, หญ้าลูกใต้ใบ, หมากไข่หลัง (เลย), หญ้าใต้ใบ (อ่างทอง, นครสวรรค์, ชุมพร), ไฟเดือนห้า (ชลบุรี), หญ้าใต้ใบขาว (สุราษฏร์ธานี), หน่วยใต้ใบ (คนเมือง), มะขามป้อมดิน (ภาคเหนือ), จูเกี๋ยเช่า (จีน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Phyllanthus amarus Schumach. & Thonn. ชื่อวงศ์ PHYLLANTHACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ พืชล้มลุก มีอายุเพียงปีเดียว ล�ำต้น มีความสูง 10-60 ซม. แตกกิ่งก้านสาขามาก ลำต้นไม่มีขน และทุกส่วนของต้นมีรสขม ใบ ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่ มีใบย่อย 23-25 ใบ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ โคนใบมนแคบ ส่วนปลายใบมนกว้าง กว้าง 3-4 มม. ยาว 5-10 มม. ก้านใบสั้นมาก มีหูใบสีขาวนวล รูปสามเหลี่ยมปลายแหลมเกาะติดอยู่ 2 อัน ดอก ดอกเป็นแบบแยกเพศ มีขนาดเล็กสีขาว เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.08 ซม. ดอกเพศเมียมักจะอยู่บริเวณโคนก้านใบ ดอกเพศผู้มักจะอยู่ ปลายก้านใบ ดอกตัวเมียจะมีขนาดใหญ่กว่าดอกตัวผู้ 2 เท่า เกสรตัวผู้มี 3 อัน สรรพคณุ รากและใบ ใช้ชงดื่มกับน้ำเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ช่วยแก้ระดูไหลไม่หยุดหรือมามากกว่าปกติของสตรี ผล ใช้ต้มดื่มช่วยบำรุงสายตา ทำให้สายตาดีช่วยส่วนของใบ รักษาโรคตา เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร ช่วยแก้อาการกระเพาะอาหาร พิการ และช่วยรักษาลำไส้อักเสบ ต้น มีฤทธิ์ช่วยควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยแก้อาการไอ ช่วยแก้หืด ด้วยการใช้ทั้งต้นของลูกใต้ใบ ทั้งตั้น ใช้แก้พิษไข้ทุกชนิด แก้พิษตานซาง แก้ดีซ่าน ขับระดูขาว แก้ขัดเบา เป็นต้น การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 1,2,3 26,27 21,22 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 107


ผักกระสัง หมอยาพื้นบ้าน 12 , 15 ชื่อสามัญ Peperomia ชื่อท้องถิ่น ผักราชวงศ์ (แม่ฮ่องสอน), ผักกูด (เพชรบุรี), ผักสังเขา (สุราษฎร์ธานี), ผักฮากกล้วย (ภาคเหนือ), ผักกระสัง (ภาคกลาง), ชากรูด (ภาคใต้), ตาฉี่โพ (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Peperomia pellucida (L.) Kunth ชื่อวงศ์ PIPERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น ลำต้นเปราะหักง่าย มีความสูง 15-30 ซม. สีเขียวและอวบน้ำ ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปหัวใจ ปลายใบแหลม โคนใบเว้าตื้น ส่วนขอบใบเรียบ มีต่อมโปร่งแสง แผ่นใบหนาเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบ ด้านบนเป็นมัน ด้านล่างขุ่นและมีสีอ่อนกว่า กว้าง 1-3 ซม. ยาวประมาณ 1-4 ซม. ดอก ดอกช่อ ออกตามซอกใบและที่ปลายกิ่ง ช่อดอกเป็นสีเขียวอ่อนหรือสีครีม มีดอกย่อยจำนวนมากเวียนรอบแกน ดอกเป็นแบบสมบูรณ์ เพศ ไม่มีทั้งกลีบดอกและกลีบเลี้ยง มีใบประดับดอกละ 1 ใบ ดอกมีเกสรเพศผู้ 2 อัน อยู่ข้าง ๆ รังไข่ อับเรณูเป็นสีขาว ก้านชูอับเรณูสั้น เกสรเพศเมียมี 1 อัน รังไข่มีลักษณะกลม อยู่เหนือฐานดอก ผล เป็นผลสด มีลักษณะกลม ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดเป็นสีดำทรงกลมและมีขนาดเล็ก สรรพคณุ ใบ การรับประทานผักกระสังจะสามารถช่วยรักษาโรคตาและต้อ (glaucoma) ได้ เป็นยาแก้ปวดศีรษะ ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้อักเสบได้ ยารักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือโรคเลือดออกตามไรฟัน ยาแก้มะเร็งเต้านม ยาแก้ปวดท้อง เป็นยาขับปัสสาวะ ลดไข่ขาวในปัสสาวะ ส่วนในแถบอะเมซอนจะใช้เป็นยาขับปัสสาวะ หล่อลื่น แก้หัวใจเต้นผิดปกติ ยาแก้ชัก ใช้ตำพอกฝีและแผล หรือคั้นเอาน้ำทาแผลฝี ที่มีหนอง จะช่วยรักษาแผลฝีหนองได้ การกระจายพันธุ์ เขตร้อนทั่วโลกในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ 12 15 PIPERACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 108


พลู หมอยาพื้นบ้าน 13 ชื่อสามัญ Betel pepper ชื่อท้องถิ่น พลูจีน เปล้าอ้วน ซีเก๊าะ (ภาคใต้), ซีเก๊ะ ซีเก เปล้ายวน ปู ดื่อเจี่ย ชื่อวิทยาศาสตร์ Piper betle L. ชื่อวงศ์ PIPERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เลื้อย ล�ำต้น เป็นข้อปล้อง อวบน้ำ ขนาด 2.5-5 ซม. มีร่องเล็กๆ สีน้ำตาลอมแดงตามแนวยาวของลำต้น สันร่องมีสีเขียว ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่หรือรูปหัวใจแกมรูปไข่ ปลายแหลมหรือเรียวแหลม กว้าง 4-10 ซม. ยาว 5-18 ซม. ผิวเรียบ ด้านบนมี สีเขียวเข้มมากกว่าด้านล่าง มีเส้นใบประมาณ 5-7 เส้น นูนเด่น ใบอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม เนื้อใบค่อน ข้างหนา เป็นมัน และมีกลิ่นฉุน ใบด้านล่างมักมีขนาดใหญ่กว่าใบด้านบน ดอก ดอกช่อ สีขาว ช่อดอกแบ่งเพศกันอยู่คนละต้น มีใบประดับดอกขนาดเล็กรูปวงกลม ช่อดอกตัวผู้ยาว 2-12 ซม. ก้านช่อดอกยาว 1.5-3 ซม. ประกอบด้วยเกสรตัวผู้ 2 อัน มีขนาดสั้นมาก ส่วนช่อดอกตัวเมียมีความยาวเท่ากับช่อดอกตัวผู้ แต่มีก้านช่อดอกยาวกว่า ดอก มักบานไม่พร้อมกัน จึงทำให้ไม่ค่อยพบเห็นผลของพลู เพราะมีโอกาสผสมเกสรน้อย ผล ผลเดี่ยว รูปร่างกลมอัดแน่น มีเนื้อสดค่อนข้างนิ่ม ภายในมี 1 เมล็ด เมล็ดกลม ขนาดยาว 2.25-2.6 มม. กว้าง 2 มม. สรรพคณุ น�้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากใบ หรือ Betel Vine เป็นน้ำมันหอมระเหยมีสีเหลืองออกน้ำตาลเข้มมีกลิ่นฉุนค่อนข้างมาก มีฤทธิ์ ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้หลายชนิด และเหมาะสำหรับใช้เป็นส่วนผสมในครีมหรือนำ้มันนวดบริเวณช่องท้องเพื่อรักษาระบบ ทางเดินอาหาร แก้คัดจมูก อมกลั่วคอแก้เจ็บคอ มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด มีฤทธิ์ลดการปวดบวมของ กล้ามเนื้อ แก้เคล็ดขัดยอก มีสารเบต้าสเตอรอล มีฤทธิ์แก้แพ้ แก้อักเสบ นอกจากนี้ พลูยังมีสรรพคุณใช้แก้การอักเสบของเยื่อจมูก และคอ แก้กลาก แก้ฮ่องกงฟุต แก้คัน แก้ลมพิษ ลนไฟนาบท้องเด็ก แก้ปวดท้องและแก้ลูกอัณฑะยาน ใบ ช่วยกระตุ้นน้ำลาย ขับเสมหะ ขับเหงื่อ แก้ปวดท้อง แก้ลมพิษและฆ่าพยาธิ รักษาแผลช้ำบวม เลือดกำเดาออก แก้ลมพิษ แก้อาการคัน ใบพลูมีสารสำคัญอย่างสารยูจีนอลและชาวิคอล มีฤทธิ์เป็นยาชาและช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และยับยั้งการ เจริญเติบโตของเชื้อโรคหลายชนิด จึงมีประโยชน์ในการระงับอาการคันและเจ็บปวดเนื่องจากแมลงกัดต่อย ช่วยฆ่าและยับยั้งการเจริญ เติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรคและเชื้อหนอง และมีฤทธิ์ต้านเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังและกลาก การกระจายพันธุ์ เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย แอฟริกา นิยมปลูกในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 13 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 109 PIPERACEAE


พริกไทย หมอยาพื้นบ้าน 5 , 10 , 13 , 15 , 23 , 24 , 28 ชื่อสามัญ Black pepper ชื่อท้องถิ่น พริกขี้นก, พริกไทยดำ, พริกไทยขาว, พริกไทยล่อน, พริกน้อย (ภาคเหนือ), พริก (ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ Piper nigrum L. ชื่อวงศ์ PIPERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเนื้อแข็ง ล�ำต้น มีข้อปล้องเห็นได้ชัด ข้อโป่งนูน มีรากวิสามัญตามข้อเถาเพื่อใช้ยึดเกาะ เถายาว 2-4 ม. ใบ ใบเดี่ยว ออกสลับ ตามข้อหรือยอดเถา รูปไข่ กว้าง 5-8 ซม. ยาว 8-11 ซม. ก้านใบยาว 2-3 ซม. โคนมนหรือเบี้ยวไม่เท่ากัน ปลายแหลม ขอบเรียบ ผิวเรียบมัน เนื้อใบหนา ท้องใบอาจพบสารเคลือบใบสีขาวปกคลุม เส้นใบนูน หลังใบสีเขียวเข้ม ดอก ดอกช่อ ออกตรงข้ามกับใบ ดอกย่อยไม่มีก้านดอก ออกบนช่อแกน ยาว 7-15 ซม. แต่ละช่อมี 50-150 ดอก ดอกสมบูรณ์เพศ ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก มีเกสรตัวผู้ 2 อัน ช่อดอกอ่อนสีเหลืองอมเขียว ผลเดี่ยว รูปกลม ขนาด 0.3-0.5 ซม. ออกเป็นพวง ผล ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกสีแดง เมื่อแห้งสีดำและมีผิวย่น ภายในผลหนึ่งๆ จะมี 1 เมล็ด สรรพคณุ เมล็ด ลดอาการท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลมในลำไส้ให้ผายเรอ ช่วยเจริญอาหาร แก้กองลม บำรุงธาตุ แก้ลมอัมพฤกษ์ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้ตัวเย็นรู้สึกร้อนเหงื่อออกสบาย ขับปัสสาวะ กระตุ้นประสาท บำรุงธาตุ บำรุงไฟธาตุ แก้อาหาร ไม่ย่อย ผลและเมล็ด รักษาอาการปวดกระเพาะอาหาร อาเจียน แก้ลม จุกเสียด แน่นท้อง ขับลมในกระเพาะ ท้องเสีย แก้ปวดท้อง ปวดฟัน แก้ท้องอืด อาหารไม่ย่อย แก้หวัด ทำให้น้ำลายออกมาก ช่วยให้น้ำย่อยหลั่งมากขึ้น ทำให้อยากอาหาร แก้อ่อนเพลีย กษัยกร่อนแห้ง แก้บิด ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตะคริว แผลปวดเพราะสุนัขกัด ฝี สะอึก ห้ามเลือด ยาหลังคลอดบุตร ปวดศีรษะ แก้อาหารเป็นพิษ ตำรายาไทยพริกไทยจัดอยู่ใน “พิกัดตรีกฎุก” แปลว่าของที่มีรสร้อน 3 อย่าง เป็นพิกัดยาที่ประกอบด้วยเครื่องยา 3 อย่าง ในปริมาณ เสมอกันคือ เมล็ดพริกไทย เหง้าขิงแห้ง และดอกดีปลี มีสรรพคุณแก้โรคที่เกิดจากวาตะ (ลม) เสมหะ และปิตตะ(ดี) ในกองธาตุ กองฤดู กองอายุ และกองสมุฏฐาน พริกไทยใช้เป็นองค์ประกอบสำคัญในยาแผนโบราณของจีนและอินเดีย ใช้แก้หวัด ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดประจำเดือน คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย การกระจายพันธุ์ แถบตอนใต้ของเทือกเขากาตของรัฐเกรละในประเทศอินเดีย เขตร้อน เช่น ในประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย บราซิล และอินเดีย เกษตรกร ในจังหวัดจันทบุรี เป็นผู้ผลิตหลักในประเทศไทย 5 23 24 10 28 13 15 PIPERACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 110


PIPERACEAE ด ีปลี เช ื อก หมอยาพื้นบ้าน 5 ชื่อสามัญ Long pepper, Indian long pepper, Javanese long pepper ชื่อท้องถิ่น ดีปลีเชือก (ภาคใต้), ปานนุ ประดงข้อ (ภาคกลาง), พิษพญาไฟ ปีกผัวะ ชื่อวิทยาศาสตร์ Piper retrofractum Vahl. ชื่อวงศ์ PIPERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถามีรากวิสามัญออกบริเวณข้อเพื่อใช้ยึดเกาะและเลื้อยพัน ล�ำต้น เถาค่อนข้างเหนียวและแข็ง มีข้อนูน แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบ เป็นใบเดี่ยว ลักษณะเป็นรูปไข่แกมขอบขนาน ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบ กว้าง 3-5 ซม. และยาว 7-10 ซม. มีเส้นใบออกจากโคน 3-5 เส้น ส่วนก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ผล ดอกดีปลี หรือ ผลดีปลี ผลสดมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ลักษณะของผลอัดกันแน่นเป็นช่อรูปทรงกระบอก โคนใหญ่ กว่าปลายไม่มาก ปลายเล็กมน ผลมีความยาว 2.5-7.5 ซม. และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-8 ซม. ผิวของผลค่อนข้างหยาบ และมีเกสรตัวเมีย ติดอยู่ สรรพคณุ ผล ช่วยบำรุงธาตุไฟ แก้ธาตุไฟหย่อนหรือพิการ ช่วยรักษาอาการกำเริบของธาตุน้ำและธาตุลม ช่วยแก้ธาตุพิการ แก้ธาตุไม่ปกติ ผงของผลมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสเผ็ด ขม ปร่า ช่วยขับน้ำลายและทำให้ลิ้นชา เถา ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยแก้ลมอัมพฤกษ์ ช่วยแก้ลมวิงเวียน ราก ช่วยแก้ตัวร้อน ช่วยแก้พิษคุดทะราดให้ปิดธาตุ ช่วยแก้หืดหอบ ช่วยแก้คุดทะราด ดอก ช่วยแก้ไข้เรื้อรังหรืออาการไข้ ช่วยแก้เสมหะ ขับเสมหะ แก้เสมหะพิการ น้ำลายเหนียว ช่วยแก้อาการท้องเสีย ช่วยแก้อัมพาต และเส้นปัตคาด ช่วยแก้หืดหอบ ช่วยแก้คุดทะราด ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ดอกดีปลีเชือกช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย การกระจายพันธุ์ ประเทศไทยบ้านเราทางภาคใต้และภาคเหนือ 5 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 111


ชะพลู หมอยาพื้นบ้าน 5 , 8 , 13 , 15 , 19 , 21 , 22 , 24 , 28 , 29 ชื่อสามัญ Wildbetal leafbush ชื่อท้องถิ่น ชะพลู ผักพลูนก พลูลิง ปูลิง ปูลิงนก ผักปูนา (ภาคเหนือ), ผักแค ผักอีเลิด ผักนางเลิด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ช้าพลู (ภาคกลาง), นมวา (ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ Piper sarmentosum Roxb. ชื่อวงศ์ PIPERACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น เลื้อยไปตามพื้นดิน ปลายยอดตั้งขึ้นสูง 30-80 ซม. ลำต้นสีเขียวกลม มีข้อเป็นปมและมีไหลงอกเป็นต้นใหม่ได้ ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ กว้าง 5-10 ซม. ยาว 7-15 ซม. สีเขียวเข้ม ผิวใบเป็นมันลื่น แผ่นใบบาง หลังใบและท้องใบเรียบ ตัวใบรูปหัวใจ ปลายแหลม ขอบเรียบ ด้านหลังใบมีขนตามเส้นใบ มีเส้นแขนง 7 เส้น เห็นชัดเจน ใบช่วงล่างใหญ่กว่าใบยอดกิ่ง ก้านใบยาว 1-3 ซม. ใบ มีกลิ่นหอมเฉพาะและมีรสเผ็ดซ่าเล็กน้อย ดอก ช่อ ออกตามซอกใบและตามปลายยอด ดอก ดอกขนาดเล็กอัดเรียงกันเป็นช่อรูปทรงกระบอก ตั้งตรง ปลายมน คล้ายดอกดีปลีแต่สั้นกว่า ดอกย่อยแยกเพศ ช่อดอกตัวเมียยาว 6-8 มม. ช่อดอกตัวผู้ยาว ก้านช่อดอกยาว 1-2.5 ซม. ดอกย่อยมีขนาดเล็กมากกลีบดอกสีขาว เส้นผ่านศูนย์กลาง 6 มม. ผล ผลสดสีเขียวเป็นกลุ่ม ลักษณะกลม ผิวมัน อัดกันแน่นอยู่บนแกน เมล็ดมีขนาดเล็ก สรรพคณุ ใบ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ช่วยทำให้เจริญอาหารมากยิ่งขึ้น แก้โรคตาฟาง ช่วยยับยั้งและชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วย บำรุงกระดูกและฟัน และช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน ล�ำต้น ช่วยรักษาโรคเบาหวาน ด้วยการใช้ชะพลูสดทั้งต้นประมาณ 7 ต้น นำมาล้างน้ำให้สะอาด ใส่น้ำพอท่วมแล้วต้มให้เดือดสักพัก แล้ว นำมาดื่มเป็นชา ราก ช่วยบำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ ช่วยในการขับเสมหะทางอุจจาระ (ราก) ช่วยแก้อาการบิด ดอกและราก ช่วยทำให้เสมหะงวดและแห้ง ใบ ราก ต้น ช่วยในการขับเสมหะบริเวณทรวงอก ลำคอ ใบ ช่วยในการขับถ่าย เนื่องจากมีเส้นใยในปริมาณมาก รากและต้น ในการช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้อง ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยว จนเหลือ 3 ใน 4 ถ้วยแก้วแล้วรับประทานครั้งละ 1 ส่วน 4 ถ้วยแก้ว ดอกและราก ช่วยขับลมในลำไส้ ด้วยการใช้รากประมาณ 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 2 ถ้วยแก้ว เคี่ยวจนเหลือ 3 ใน 4 ถ้วยแก้วแล้วรับ ประทานครั้งละ 1 ส่วน 4 ถ้วยแก้ว การกระจายพันธุ์ พืชเขตร้อนถึงอบอุ่นโลกเก่า พบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย 5 24 19 8 28 13 15 29 21,22 PIPERACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 112


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มล้มลุกขนาดเล็ก ล�ำต้น มีความสูงของต้นประมาณ 1-1.5 ม. สูงได้ถึงประมาณ 2-3 ม. ต้นแตกกิ่งก้านสาขารอบต้นมาก กิ่งก้านมักทอดยาว ยอดอ่อนเป็น สีแดง ส่วนลำต้นมีลักษณะกลมเรียบ กิ่งอ่อนเป็นสีเขียวปนแดงและมีสีแดงบริเวณข้อ ใบ ใบเจตมูลเพลิงแดง เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเป็นคลื่น ใบมีขนาด กว้างประมาณ 3-5 ซม.และยาวประมาณ 8-13 ซม. แผ่นใบบางเป็นสีเขียว แผ่นใบมักบิด ส่วนก้านใบและแกนกลางใบอ่อนเป็นสีแดง ดอก ดอกเจตมูลเพลิงแดง ออกดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะเชิงลด ช่อดอกยาวประมาณ 20-90 ซม. ก้านช่อดอกยาวประมาณ 1-3 ซม. ในช่อดอกจะมีดอกย่อยจำนวนมากประมาณ 10-15 ดอก โดยดอกจะออกเป็นช่อตั้งขึ้นที่ปลายกิ่งหรือปลายยอด กลีบดอกบางสีแดงสด ผล ออกผลเป็นฝักกลม ลักษณะของผลเป็นรูปทรงรียาว สรรพคณุ ใบ นำมาป่นผสมกับพริกไทย ขมิ้นดำดีปลี และไพล แล้วปั้นเป็นลูกกลอนใช้เป็นยาบำรุงกำลังและขับลม มีรสร้อน ใช้แก้ลมในกองเสมหะ รากและล�ำต้น มีรสเผ็ดร้อน เป็นยาร้อน ออกฤทธิ์ต่อปอดและหัวใจ ใช้เป็นยาขับเลือด ฟอกเลือด กระจายเลือดลม ดอก ใช้เป็นยาแก้โรคทำให้หนาวและเย็น รักษาโรคตา ต้นมีรสร้อน ใช้แก้โลหิตที่เกิดแต่กองกำเดา การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 1,5 20 24 19 9,10,11 28 15 เจตมูลเพลิงแดง หมอยาพื้นบ้าน 1 , 5 , 9 , 10 , 11 , 15 , 19 , 20 , 24 , 28 ชื่อสามัญ Rose-colored leadwort, Rosy leadwort, Fire plant, Official leadwort, Indian leadwort ชื่อท้องถิ่น ปิดปีแดง (เลย), ปิดปิวแดง (ภาคเหนือ), ไฟใต้ดิน (ภาคใต้), ตอชูกวอ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่), ตั้งชู้โว้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), คุ้ยวู่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), อุบ๊ะกูจ๊ะ (มลายู-ปัตตานี), จื่อเสี่ยฮวา หงฮวาตัน (จีนกลาง), เจ็ดหมุนเพลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumbago indica L. ชื่อวงศ์ PLUMBAGINACEAE PLUMBAGINACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 113


เจตมูลเพลิงขาว หมอยาพื้นบ้าน 6 , 13 ชื่อสามัญ Ceylon leadwort, White leadwort ชื่อท้องถิ่น ปิดปิวขาว (ภาคเหนือ), ตั้งชู้อ้วย ตอชูวา (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ตอชู (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), โก้นหลัวะ (ม้ง), หนวดแมว (ไทลื้อ), ป๋ายฮัวตาน ไป๋ฮวาตัน ไป๋เสี่ยฮวา (จีนกลาง), แปะฮวยตัง (แต้จิ๋ว), ปิ๋ด ปี๋ ขาว ปี่ปีขาว ชื่อวิทยาศาสตร์ Plumbago zeylanica L. ชื่อวงศ์ PLUMBAGINACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ขนาดเล็ก ล�ำต้น แตกกิ่งก้านมาก กิ่งก้านมักทอดยาว ลำต้นตั้งตรงหรือพาดพันบนต้นไม้อื่น ส่วนกิ่งเอนลู่ลง ต้นมีความสูง 1-2 ม. สีเขียวเข้ม กิ่ง อ่อนเป็นสีเขียวเป็นร่องเหลี่ยม ผิวเรียบ ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับตามข้อ รูปหอก รูปกลมรี รูปไข่แกมขอบขนาน หรือรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม ตอนปลายเป็นติ่ง โคนใบ เว้าหรือเป็นรูปลิ่มหรือมน ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย กว้าง 3.8-5 ซม. ยาว 5-10 ซม. แผ่นใบบาง สีเขียวอ่อน ดอก ดอกช่อกระจะเชิงลด ออกที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยมีหลายดอก แกนกลางและก้านช่อดอกจะมีต่อมยางเหนียว กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอดเรียว ยาว 1.5-2.5 ซม. ปลายแยก เป็น 5 แฉก สีขาว เกสรเพศผู้ 5 อัน สีม่วงน้ำเงิน ยาว 0.2 ซม. เกสรตัวเมีย 1 อัน มีรังไข่ลักษณะเป็นรูปรี 5 เหลี่ยม ส่วนก้านเกสรเพศเมียเกลี้ยง ผล ผลแบบกระเปาะ แห้ง รูปทรงกลมรี ยาว สีเขียวและมีขนเหนียวรอบผล แตกได้เป็น 5 ปาก มีร่องตามยาว สรรพคณุ ราก ลำต้น ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยกระจายเลือดลม ช่วยลดการอุดตันในเส้นเลือด ช่วยขับโลหิตที่เป็นพิษ เป็นยาแก้ไข้ มาลาเรีย ช่วยแก้อาการปวดท้อง ท้องเสีย เป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่ว รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ ใช้เข้ายาแก้ลมในตัว ใช้เข้ายาช่วยบำรุง ธาตุในร่างกาย ใช้เข้ายาบำรุงโลหิต ช่วยขับโลหิตที่เป็นพิษ ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยขับเหงื่อ ช่วยแก้อาการหาวเรอ ช่วยแก้คุดทะราด ใช้เป็นยาทาแก้อาการปวดตามข้อ เคล็ดขัดยอก ใบ มีรสร้อน แก้ลมและเสมหะ แก้ลมในกองเสมหะ ช่วยขับเสมหะ ช่วยแก้ปอดบวม ช่วยในการขับผายลม ใบนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำใช้ ทาหรือพอกเป็นยารักษาแผลสด ห้ามเลือด ใช้รักษาไฟลามทุ่ง ดอก มีรสร้อน ใช้แก้โรคหนาวเย็น ใช้เป็นยาแก้โรคตา ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร ล�ำต้น มีรสร้อน ใช้เป็นยาขับประจำเดือนหรือขับระดูเสียให้ตกไป การกระจายพันธุ์ มีเขตการกระจายพันธุ์กว้างในเขตร้อน ในประเทศไทยส่วนใหญ่จะพบได้มากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกเฉียงใต้ 6 13 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 114 PLUMBAGINACEAE


หญ้าฮ ี ๋ ยุ่ม หมอยาพื้นบ้าน 4 ชื่อสามัญ Barbed grass ชื่อท้องถิ่น หญ้ารีแพร์ หญ้าหียุ่ม เป้าหียุ่ม ขนหมอยแม่หม่าย หญ้าเหนียวหมา หญ้าอีเหนียว (ชัยนาท), หญ้าไผ่เล็ก (ปราจีนบุรี), หญ้าหมอยแม่หม้าย ขนหมอยแม่ม่าย (สตูล), หญ้าเหล็กไผ่ (สุราษฎร์ธานี), เหนียวหมา (ระนอง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Centotheca lappacea (L.) Desv. ชื่อวงศ์ POACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ พืชล้มลุกตระกูลไผ่ ล�ำต้น มีลักษณะเป็นข้อปล้องทรงกลม ขนาดเล็ก สูงประมาณ 30–70 ซม. ลำต้นถูกหุ้มด้วยกาบใบ สีเขียวอมม่วง ลำต้นไม่มีแก่น อ่อน และหักง่าย แต่เหนียวเด็ดด้วยมือขาดได้ยาก โคนลำต้นแตกหน่อแยกเป็นต้นใหม่ และกลายเป็นกอใหญ่ได้ ใบ ใบเดี่ยว เรียงเยื้องสลับกันตามความสูงของลำต้น มีกาบใบสีเขียวอมม่วงหุ้มลำต้นตั้งแต่บริเวณเหนือข้อขึ้นมา ก้านใบสั้นติดกับ กาบใบ ลิ้นใบ เป็นแผ่นบางๆ สีน้ำตาลติดกับโคนก้านใบ แผ่นใบมีรูปหอก กว้าง 1.5-3 ซม. ยาว 5-20 ซม. โคนใบสอบ ปลายใบแหลม แผ่นใบเรียบ มีสีเขียวเข้ม ขอบใบโค้งเป็นลูกคลื่นขวางเข้าหากลางใบ แผ่นใบมีเส้นใบเป็นริ้วเล็กจำนวนมากตามแนวยาวของใบ ดอก ดอกช่อแขนง คล้ายช่อของดอกหญ้าทั่วไป ช่อดอกแทงออกบริเวณปลายยอดของลำต้น มีก้านช่อดอกยาวประมาณ 15–45 ซม. ประกอบช่อดอกย่อย สรรพคณุ ส�ำหรับสุภาพสตรี ช่วยในการกระชับช่องคลอด ไม่ว่าจะเป็นช่องคลอดของหญิงหลังคลอด หรือในหญิงที่มีปัญหาช่องคลอดหย่อนยาน ไม่กระชับก็สามารถใช้หญ้าดังกล่าวช่วยคืนความกระชับให้ช่องคลอด กลับมามีความกระชับเต่งตึง ลดการหย่อนยานของมดลูกได้ ทำให้ กลับมาเหมือนวัยแรกสาวอีกครั้ง และยังช่วยในการสมานแผล เสริมสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายไวไม่ติดเชื้อ ส�ำหรับในสุภาพบุรุษ สามารถใช้หญ้าฮี๋ยุ่มในเรื่องการช่วยบำรุงผิวพรรณให้ชุ่มชื้น ใช้ในการรักษาบาดแผล โดยสามารถทำในลักษณะ อบไอน้ำ เพื่อบรรเทาอาการริดสีดวงทวารด้วย การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 4 POACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 115


หญ้าเจ้าชู ้ หมอยาพื้นบ้าน 3 , 13 ชื่อสามัญ Golden beard grass, Love grass ชื่อท้องถิ่น หญ้ากล่อน หญ้าขี้ครอก หญ้านกคุ่ม (ภาคกลาง) หญ้าก่อน (ภาคเหนือ) หญ้ากะเตรย หญ้าขี้เตรย (ภาคใต้) หญ้านํ้าลึก (ตราด) ชื่อวิทยาศาสตร์ Chrysopogon aciculatus (Retz.) Trin. ชื่อวงศ์ POACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก จำพวกหญ้า อายุหลายปี ล�ำต้น ลำต้นทอดนอนไปตามพื้นดินได้ไกล ๆ ตามลำต้นมีกาบใบแก่ ๆ หุ้มอยู่ ลำต้นตั้งตรง สูง 15-25 ซม. ไม่ค่อยแตกแขนง ใบ ใบมักจะมีมากที่โคนต้น กาบใบยาว 1-3 ซม. กาบอันสุดท้ายยาวถึง 6 ซม. หุ้มรอบลำต้น มีลายตามยาว บางทีมีสีม่วง มีขนยาวนุ่ม ประปรายที่รอยต่อระหว่างกาบใบและตัวใบ ตามขอบใบตรงด้านในมีขนหนาแน่น ตัวใบ กว้าง 3-5 มม. ยาว 2-8 ซม. ใบบนสุดลดรูป ลงเหลือขนาดเล็กมาก ขอบใบสากคาย ขอบจัก แหลมห่างๆ บริเวณโคนใบเป็นตุ่มๆ และมีขน เนื้อใบบาง เป็นมัน ดอก ดอกช่อกระจาย ยาว 3-6 ซม. แข็ง ตั้งตรง สีม่วงแกมแดงช่อดอกย่อยติดกันเป็นกระจุกที่ปลายแขนงช่อ กระจุกละ 3 ช่อ แต่มีเพียง ดอกเดียวเท่านั้นที่เป็นดอกสมบูรณ์เพศ และไม่มีก้านดอก โคนดอกมีเซลล์แข็ง ๆ ส่วนอีกสองดอกเป็นดอกเพศผู้ มีก้านดอก ยาว 5 มม. มีขน ช่อดอกย่อยที่ ไม่มีก้าน ยาว 3-4 มม. กาบช่อดอกย่อยอันล่างรูปใบหอก หลังแบน มีเส้น 2 เส้น ปลายแยกเป็น 2 ยอดแหลม ตามขอบใกล้ปลายมีขนสาก กาบช่อดอกย่อยอันบน ยาว 2.5-3.5 มม. ลักษณะ คล้ายท้องเรือ กาบล่างของดอกยาว 2.5-3 มม. รูปใบ หอก ปลายแหลม บางใส ขอบมีขน ส่วนกาบล่างอีกอันหนึ่งยาว 2.5-3 มม. บางใส แคบ ปลายมีหนามแหลม ยาว 5 มม. กาบบนของ ดอก บางใส ปลายแหลม ยาว 1.6 มม. อับเรณูยาว 1 มม. สีส้ม ปลายเกสรเพศเมียมี 2 อัน เห็นเด่นซัดยื่นออกมาจากกลางช่อดอกย่อย ยาว 1-1.5 มม. มี ขนยาวละเอียดเป็นมัน เป็นพู่คล้ายขนนก เมล็ด รูปขอบขนาน ยาว 2 มม. สรรพคณุ ราก และลำต้น รวมทั้งก้านช่อดอก ใช้ต้มดื่ม แก้ท้องเสีย ใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ถอนพิษบางชนิด แก้ปวดข้อ ฝัก และเมล็ด ช่วยขับพยาธิตัวกลม การกระจายพันธุ์ อินเดีย ศรีลังกา พม่า จีน ไทย ลาว เวียดนาม และมาเลเซีย 3 13 POACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 116


ตะไคร้ หมอยาพื้นบ้าน 10 , 13 , 19 , 21 , 22 ชื่อสามัญ Lemongrass ชื่อท้องถิ่น ตะไคร้, คาหอม, ไคร, จะไคร, เซิดเกรย, หัวสิงไค, เหลอะเกรย ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf ชื่อวงศ์ POACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น สูง 0.75-1.2 ม. แตกเป็นกอ มีเหง้าใต้ดิน มีกลิ่นเฉพาะ ข้อและปล้องสั้นมาก ใบ ใบเดี่ยว เรียงสลับ ก้านใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น มีสีขาวหรือเขียวปนม่วงแดง ยาวและหนาหุ้มข้อและปล้องไว้แน่น แผ่นใบเรียวยาว กว้าง 1-2 ซม. ยาว 50-70 ซม. ขอบใบสากและคม ดอก ดอกช่อ สีน้ำตาลแดง แทงออกจากกลางต้น ออกดอกยาก ผล ผลเดี่ยว แห้ง ไม่แตก สรรพคณุ ต้น มีส่วนช่วยในการขับเหงื่อ ยาบำรุงธาตุไฟให้เจริญ ยาบำรุงธาตุ ช่วยในการเจริญอาหาร ช่วยแก้อาการเบื่ออาหาร รักษาโรคหอบหืด ใบสด แก้และบรรเทาอาการหวัด อาการไอ ช่วยรักษาอาการไข้ ราก ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง น้ำมันหอมระเหยของใบตะไคร้สามารถบรรเทาอาการปวดได้ ช่วยแก้อาการ ปวดศีรษะ แก้อาการปวดท้องและอาการท้องเสีย ช่วยแก้อาการเสียดแน่นแสบบริเวณหน้าอก หัวตะไคร้ ใช้เป็นยาแก้อาเจียนหากนำไปใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ช่วยแก้อาการกษัยเส้นและแก้ลมใบ รักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แก้อาการปัสสาวะพิการและรักษาโรคนิ่ว แก้อาการขัดเบา แก้ลมอัมพาต ยารักษาเกลื้อน การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 19 10 13 21,22 POACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 117


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุกจำพวกหญ้า ล�ำต้น มีลำต้นอยู่ใต้ดินเป็นเส้นกลมสีขาวทอดยาว มีข้อชัดเจน ผิวเรียบ หรืออาจมีขนอยู่บ้างเล็กน้อย สามารถแตกกิ่งก้านสาขา เลื้อยแผ่ และงอกไปเป็นกอใหม่ๆ ได้มากมายหลายกอ ใบ ใบเดี่ยว แตกออกมาจากลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ลักษณะของใบแบนเรียวยาว ใบมีความยาว 20-50 ซม. และกว้าง 5-9 มม. ตอนแตกใบ อ่อนใหม่ๆ จะมีปลอกหุ้มแหลมแข็งที่ยอดยาว 1 มม. งอกแทงขึ้นมาจากดิน ดอก ดอกเป็นช่อรูปทรงกระบอก มีความยาว 5-20 ซม. มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-3 ซม. มีดอกย่อยอยู่ติดกันแน่น เมื่อแก่จะเป็น ขนฟูสีขาว ผล ผลหญ้าคา หรือ เมล็ดหญ้าคา เมล็ดเป็นผลแห้ง ไม่แตก มีลักษณะเป็นรูปรี เมล็ดมีสีเหลือง เมล็ดแก่จะหลุดปลิวไปตามลม สามารถ แพร่ขยายพันธุ์ไปได้ไกล และในหนึ่งต้นสามารถผลิตเมล็ดได้มากถึง 3,000 เมล็ด สรรพคณุ ผล เป็นยาสงบประสาท ราก เป็นส่วนประกอบในตำรับยารักษาโรคตานขโมย ช่วยแก้ไข้ แก้อาการไอ แก้หอบ แก้เลือดกำเดาไหล ช่วยแก้อาการร้อนในกระหาย น้ำแก้ปัสสาวะขัด แก้อาการอาเจียนเป็นเลือด แก้พิษอักเสบในกระเพาะอาหาร ช่วยแก้บิด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด แก้อาการ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แก้พิษอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะแดง แก้อาการปัสสาวะขุ่นเหมือนน้ำนม รักษาปัสสาวะเป็นหนอง แก้ประจำเดือนของสตรี แก้ดีซ่าน ตัวเหลืองจากพิษสุรา ช่วยรักษาความดันโลหิตสูง ดอก แก้อาการไอ แก้อาการอาเจียนเป็นเลือด แก้โรคมะเร็งในลำไส้ แก้อุจจาระเป็นเลือด แก้ริดสีดวงทวารต่างๆ แก้ปัสสาวะเป็นเลือด เป็นยาห้ามเลือด บาดแผลจากของมีคม ต้น ช่วยแก้โรคมะเร็งคอ ช่วยแก้ฝีประคำร้อย ใบ ช่วยแก้ลมพิษและผดผื่นคัน ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยหลังการคลอดบุตรของสตรี การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 1 หญ้าคา หมอยาพื้นบ้าน 1 ชื่อสามัญ Alang-alang, Blady grass, Cogongrass, Japanese bloodgrass, Kunai grass, Lalang, Thatch grass ชื่อท้องถิ่น หญ้าหลวง หญ้าคา (ทั่วไป), สาแล (มลายู-ยะลา-ตานี), กะหี่ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), บร่อง (ปะหล่อง), ทรูล (ลั้วะ), ลาลาง ลาแล (มลายู), แปะเม่ากึง เตี่ยมเซากึง (จีน-แต้จิ๋ว), คา แฝกคา ลาแล เก้อฮี ชื่อวิทยาศาสตร์ Imperata cylindrica (L.) Beauv ชื่อวงศ์ POACEAE POACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 118


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ล้มลุก ล�ำต้น สูง 2-5 ม. ลำต้นมีลักษณะกลมยาว แข็งแรงและเป็นมัน มีลำต้นเป็นข้อปล้อง สีม่วงแดงถึงสีดำ และมีไขสีขาวเคลือบอยู่ ไม่แตกกิ่งก้าน เนื้ออ่อน ฉ่ำน้ำ เปลือกมีรสขม ส่วนน้ำไม่ค่อยหวานแหลมเหมือนอ้อยธรรมดา และมักมีรากอากาศขึ้นอยู่ประปราย ใบ ใบเดี่ยว ออกที่ข้อแบบเรียงสลับ มีกาบใบโอบหุ้มตามข้อ หลุดร่วงได้ง่าย จึงพบได้เฉพาะที่ปลายยอด ใบรูปเรียว ยาว ปลายใบแหลม มีขนสากคายอยู่ทั้งสองด้านของแผ่นใบ กว้าง 2.5-5 ซม. ยาว 100-150 ซม. เส้นกลางใบใหญ่ เป็นร่อง สีขาวและมีขน ขอบใบเป็นจัก แบบละเอียดและคม ดอก ดอกช่อใหญ่ที่ปลายยอด โดยลำต้นจะออกดอกเมื่อแก่เต็มที่ ช่อดอกตั้งยาว 40-80 ซม. ในช่อหนึ่ง ๆ จะมีดอกย่อยสีขาวครีมอยู่เป็น จำนวนมากและมีขนยาว เมื่อแก่จะมีพู่ปลาย ผล ผลแห้ง มีขนาดเล็ก จะออกเมื่อต้นแก่จัด ส่วนเมล็ดจะปลิวตามลมได้ง่าย สรรพคณุ ล�ำต้นทั้งสดหรือแห้ง ขับปัสสาวะ รักษาโรคนิ่ว อาการไอ แก้ไข้ คอแห้ง กระหายน้ำ แก่น ผสมกับแก่นปีบ หัวยาข้าวเย็น ต้มดื่มเป็น ยาอายุวัฒนะ ยาฟอกเลือด แก้ช้ำบวม กินแก้เบาหวาน แก้ไอ ขับเสมหะ เปลือกต้น รสหวานขม แก้ตานขโมย แก้แผลเน่าเปื่อย แผลกดทับ ชานอ้อย รสจืดหวาน แก้แผลเรื้อรัง แก้ฝีอักเสบบวม ล�ำต้น ให้น้ำอ้อย รสหวานขมชุ่ม แก้ร้อนใน ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้หืด ไอ แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ไข้สัมประชวน แก้ปัสสาวะพิการ แก้ไตพิการ แก้หนองใน ขับนิ่ว แก้ช้ำรั่ว แก้ท้องผูก บำรุงกระเพาะอาหาร แก้ขัดเบา บำรุงธาตุ แก้สะอึก แก้เมาค้าง ท้องผูก รักษานิ่ว บำรุงกำลัง ทำให้เจริญอาหาร เจริญธาตุ รักษาตามืดฟาง กำเดา อาการอ่อนเพลีย ผายธาตุ ตา รสหวานขม แก้ตัวร้อน แก้พิษตานซาง บำรุงธาตุน้ำ บำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ ราก ใช้รักษาไส้ใหญ่แตกพิการ ทำให้วิงเวียนหน้ามืดตาลาย ทำให้เจ็บหลังเจ็บเอว ท้องอืด บำรุงกำลัง บำรุงโลหิต รักษาอาการอ่อนเพลีย และรักษาเลือดลม การกระจายพันธุ์ ถิ่นกำเนิดเกาะนิวกีนี ในมหาสุมทรแปซิฟิก ในประเทศไทยปลูกได้ทั่วไป 2 23 12,13 อ้อยแดง หมอยาพื้นบ้าน 2 , 12 , 13 , 23 ชื่อสามัญ Sugar cane ชื่อท้องถิ่น อ้อย อ้อยขม อ้อยดำ อ้อยแดง อ้อยตาแดง (ภาคกลาง), กะที เก่อที (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), อำโป (เขมร), โก้นจั่ว (ม้ง), มี (ลั้วะ), กำเซี่ย (เมี่ยน), กำเจี่ย ชุ่งเจี่ย (จีน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Saccharum officinarum L. ชื่อวงศ์ POACEAE POACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 119


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดย่อม ล�ำต้น สูง 2-3 ม. ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขาออกรอบต้น ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกันเป็นคู่ๆ ตามข้อต้น รูปไข่ ปลายแหลม โคนสอบ ส่วนขอบเรียบ ไม่มีจัก แผ่นใบเป็นสีเขียวมัน มีลักษณะหนา และใหญ่ ส่วนยอดอ่อนเป็นสีแดง ดอก ดอกช่อออกตามปลายกิ่งหรือตามส่วนของยอด สีเหลืองนวลหรือสีชมพูอมขาว เมื่อดอกบานเต็มที่จะมี 5 แฉก คล้ายรูปดาว กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันที่ฐาน เกสรตัวผู้ 5 อัน ก้านเกสรเชื่อมติดกับกลีบดอก ผลเดี่ยว กลมโต มีขนาด 0.5 ซม. ผล ผลเป็นกระจุกมีก้านช่อยาวห้อยย้อยลง และก้านผลยาวเรียงสลับรอบก้านช่อ ผลอ่อนเป็นสีแดง เมื่อแก่หรือสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็น สีม่วงดำ สรรพคณุ ผลสุก นำมาตากแห้งบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง แล้วปั้นเป็นลูกกลอนกิน หรือใช้ผงยา 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำครึ่งแก้วดื่มช่วยบำรุงโลหิต ช่วย แก้ธาตุพิการ เป็นยาแก้ไข้ แก้ไข้ในกองอติสารโรค ช่วยแก้โรคระดูของสตรี ใบ มีรสร้อน ช่วยแก้อาการไอ เป็นยาแก้ลม ช่วยแก้ปอดพิการ ใช้เป็นยารักษาโรคตับพิการ ใบและผล ช่วยแก้ท้องเสีย ดอก ใช้เป็นยาแก้พยาธิ เป็นยาฆ่าเชื้อโรค ราก ใช้เป็นยาแก้กามโรค หนองใน ใช้เป็นยาพอกปิดแผล ถอนพิษงูกัด แก้พิษงู หรือใช้กากพอกแผล เอาน้ำกิน เมล็ด และผล ช่วยแก้ลมพิษ ใช้แก้โรคเรื้อน ล�ำต้น ใช้เป็นยาฆ่าพยาธิผิวหนัง เป็นยารักษาโรคผิวหนัง แก้โรคเรื้อน กุฏฐัง การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย PRIMULACEAE 3 24 15,16 พิลังกาสา หมอยาพื้นบ้าน 3 , 15 , 16 , 24 ชื่อสามัญ Philangkaasaa ชื่อท้องถิ่น ผักจำ ผักจำ้แดง (เชียงใหม่-เชียงราย), ตีนจำ (เลย), ลังพิสา (ตราด), ทุรังกาสา (ชุมพร), ราม (สงขลา), ปือนา (มลายู-นราธิวาส), พิลังกาสา (ทั่วไป), จิงจ้ำ จ้ำก้อง มะจ้ำใหญ่ ตาปลาราม ตาเป็ด ทุกังสา มาตาอาแย ชื่อวิทยาศาสตร์ Ardisia polycephala Wall. ex A.DC. ชื่อวงศ์ PRIMULACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 120


กุหลาบมอญ หมอยาพื้นบ้าน 15 ชื่อสามัญ Damask rose, Pink damask rose, Summer damask rose ชื่อท้องถิ่น ยี่สุ่น (ภาคกลาง), กุหลาบออน (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Rosa damascena Mill. ชื่อวงศ์ ROSACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มรอเลื้อย ล�ำต้น สูง 1-2 ม. แตกกิ่งก้านตั้งแต่โคนต้น เปลือกต้นเรียบ มีหนามแหลมตามกิ่งและตามลำต้น ปกติมีหนามมากและยาวไม่เท่ากัน ใบ ใบประกอบแบบขนนก ปลายใบคี่ ออกเรียงสลับกัน มีใบย่อย 3-5 ใบ รูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเป็นจักแบบฟันเลื่อย ตลอดทั้งขอบใบ กว้าง 2-4 ซม.ยาว 3-6 ซม. แผ่นใบด้านล่างมีขนไม่มีต่อม หูใบส่วนใหญ่ขอบเรียบ ปลายยื่นยาว ส่วนก้านใบมีขน สีน้ำตาลแดง ดอก ดอกช่อแบบกระจะหรือช่อแบบกระจุกแตกแขนง มีดอกย่อย 3-10 ดอก สีชมพูและมีกลิ่นหอม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 ซม. กลีบเลี้ยงดอกเป็นสีเขียว มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม เป็นติ่งแหลมกว้าง กลีบดอกค่อนข้างกลมเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ปลายกลีบดอก มน หรือเป็นหยักตื้นๆ หรือเป็นคลื่น กลีบดอก 20-30 กลีบ สีแดง ชมพู ขาว เกสรเพศผู้จำนวนมาก เกสรเพศเมียก็มีจำนวนมากเช่นกัน ก้านเกสรมีขน ส่วนฐานรองดอกมีลักษณะเป็นรูปถ้วย ผล ผลกลุ่มรูปทรงกลมหรือรูปไข่ ยาว 2.5 ซม. ผลสดสีแดงอ่อนถึงเข้ม ในผลมีเมล็ดสีออกน้ำตาล 1-3 เมล็ด สรรพคณุ กลีบดอก มีรสขม ใช้เข้ายาหอมเป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยขับน้ำดี ดอกแห้ง ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย และใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ น้ำดอกไม้เทศที่มีส่วนผสมของกุหลาบมอญ ช่วยแก้อาการอ่อนเพลียและกระวนกระวาย การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย ROSACEAE 15 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 121


หัวร้อยรู หมอยาพื้นบ้าน 1 , 24 ชื่อสามัญ Ant plant ชื่อท้องถิ่น ปุ่มฟ้า, ปมเป้า, ปุ่มเป้า, ปุมเป้า หัวร้อยรู (ตราด), กระเช้าผีมด (สุราษฎร์ธานี), ร้อยรู (ปัตตานี), กาฝากหัวเสือ (นราธิวาส), ดาลูบูตาลิมา, ดาลูปูตาลิมา (มลายู-ภาคใต้), หัวร้อยรู (ภาคกลาง), ป่าช้าผีมด (ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ) ชื่อวิทยาศาสตร์ Hydnophytum formicarum Jack ชื่อวงศ์ RUBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม ที่อิงอาศัยเกาะอยู่ตามต้นไม้อื่นแบบไม้กาฝาก ล�ำต้น ลำต้นสูง 30-60 ซม. โคนต้นขยายใหญ่เป็นรูปกลมป้อม อวบนำ้ ภายในหัวจะเป็นรูย้อนขึ้นและย้อนลง พรุนไปทั่วหัว มีมดดำอาศัย อยู่ภายในหัว เนื้อนิ่ม มีสีน้ำตาลไหม้ ใบ ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน โคนใบสอบ ปลายใบมน แผ่นใบหนาเรียบเนียน อวบน้ำ กว้างประมาณ 2-7 ซม. ยาวประมาณ 4-15 ซม. มี เส้นแขนง 5-7 คู่เห็นไม่เด่นชัด ส่วนก้านใบสั้น ยาวประมาณ 2-5 มม. ส่วนหูใบเล็ก ลักษณะเป็นรูปไข่ ผล ผลเดี่ยว เป็นรูปรี สีเขียวและมีขนาดเล็กมาก มีขนาดกว้างประมาณ 3-4 มม. ยาวประมาณ 5-7 มม. ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้ว จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด สรรพคณุ หัว ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยขับชีพจร รักษาเบาหวาน ด้วยการนำหัวร้อยรูมาผสมกับแก่นสัก รากทองพันชั่ง ต้นกำแพงเจ็ดชั้น หัวข้าวเย็นเหนือ หัวข้าวเย็นใต้ และหญ้ากันชาดทั้งต้น นำมาต้มเป็นน้ำดื่ม ใช้เป็นยาแก้พิษประดงหรืออาการของโรคผิวหนังที่มีผื่นคัน เป็นเม็ดขึ้นคล้ายผด ที่มีอาการคันและมีไข้ร่วมด้วย ใช้เป็นยาแก้พิษในข้อกระดูกหรือโรคกระดูกที่มีอาการเจ็บปวด กระดูกเปราะ ผิวหนัง เป็นจ้ำ มีผื่น ใช้ตำกินเป็นยาขับพยาธิ ช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี การกระจายพันธุ์ มักขึ้นในป่าดงดิบทั่วไป พบได้ทุกภาคในประเทศไทย สาหรับในต่างประเทศที่พบก็ได้แก่ ประเทศอินเดีย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย 1 24 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 122 RUBIACEAE


เข็ม หมอยาพื้นบ้าน 1 ชื่อสามัญ West indian jasmine ชื่อท้องถิ่น เงาะ (สุราษฎร์ธานี), จะปูโย (มลายู-นราธิวาส), ตุโดบุโยบูเก๊ะ (มลายู), เข็มดอกแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Ixora chinensis Lam. ชื่อวงศ์ RUBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็กถึงขนาดย่อม ล�ำต้น สูงประมาณ 30–100 ซม. แตกกิ่งก้านสาขาออกแผ่เป็นพุ่ม ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงกันข้าม มีหูใบอยู่ระหว่างใบ เป็นติ่งแหลม ใบแข็งและเปราะง่าย สีเขียวสด รูปร่างรี ปลายใบแหลม โคนมน กว้าง 1-2 ซม. ยาว 2-3 ซม. ดอก ออกเป็นช่อใหญ่ ออกตรงส่วนยอดของต้น ในแต่ละช่อจะประกอบด้วยดอกขนาดเล็ก กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ เชื่อมติดกัน กลีบดอก 4-5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอด ตรงปลายหลอดจะแยกเป็นกลีบแหลม ลักษณะดอกและสีสรรแตกต่างกันไป ผล ผลเดี่ยว กลม ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีดำ ภายในมี 1 เมล็ด สรรพคณุ ราก รสเย็นหวาน แก้เสมหะและแก้กำเดา บำรุงธาตุไฟ แก้ตาพิการ สามารถนำมาทำเป็น ยาบำรุงร่างกาย แก้อาการบวม ลดการอักเสบ รักษาตาพิการ ใช้หยุดเลือดกำเดา ขับเสมหะ ใช้ลดไข้ ช่วยเจริญอาหาร ลดความดันโลหิต ทำให้นอนหลับ ช่วยถ่ายพยาธิ และ เพิ่ม สมรรถภาพทางเพศ ใบ รสขื่น เป็นยาฆ่าพยาธิ ดอก รสหวานเย็น แก้โรคตา การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 1 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 123 RUBIACEAE


กระท่อม หมอยาพื้นบ้าน 15 ชื่อสามัญ Kratom ชื่อท้องถิ่น กระท่อม, ท่อม, อีถ่าง ชื่อวิทยาศาสตร์ Mitragyna speciosa Korth. ชื่อวงศ์ RUBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ขนาดกลาง ล�ำต้น สูงได้ 10-15 ม. ใบ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่ ปลายแหลม โคนป้าน ก้านใบและเส้นใบสีแดง หูใบอยู่ระหว่างก้านใบเป็นแผ่นคล้ายใบ ดอก ดอกช่อแบบกระจุกแน่น ออกตามปลายกิ่ง มี 1-3 ช่อ ช่อกลางสั้นมาก แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยสีเหลือง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมเป็นหลอดสั้น ปลายมี 5 แฉก กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็น 5 หยัก เกสรเพศผู้ 5 อัน รังไข่อยู่ใต้วงกลีบ ผล ผลเดี่ยว เล็ก มีสันตามยาว 10 สัน เมล็ดมีปีก สรรพคณุ ใบ บำบัดอาการท้องร่วงและเคี้ยวกินแทนฝิ่น ใบกระท่อมช่วยให้ทำงานทน สามารถทนสภาพกลางแดดได้ แต่ไม่ทนฝน ในใบกระท่อม พบสาร mitragynine ซึ่งมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทอัตโนมัติ พบว่าสามารถใช้เป็นยาแก้ปวดได้ โดยออกฤทธิ์ ผ่าน opioid receptors เปลือกต้น มีสารจำพวก tannins ช่วยในการรักษาอาการท้องเสียได้ การกระจายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย 15 RUBIACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 124


RUBIACEAE ยอ หมอยาพื้นบ้าน 15 ชื่อสามัญ Great morinda, Tahitian noni, Indian mulberry, Beach mulberry ชื่อท้องถิ่น ยอ แย่ใหญ่ (แม่ฮ่องสอน), ตาเสือ มะตาเสือ (ภาคเหนือ), ยอบ้าน (ภาคกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia L. ชื่อวงศ์ RUBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลาง ล�ำต้น สูง 2-6 ม. ลำต้นโตเต็มที่ขนาด 5-10 ซม. ขึ้นกับอายุ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางติดกับเนื้อไม้ ผิวเปลือก ออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบสากเล็กน้อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้แลดูไม่เป็นทรงพุ่ม ใบ ใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปทรงรี กว้าง 10-20 ซม. ยาว 15-30 ซม. ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาว 1 ซม. โคนและปลายแหลม ขอบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งสองด้าน ดอก ดอกช่อกลมเดี่ยวๆ แทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาว 3-4 ซม. ดอกย่อยสมบูรณ์เพศ ไม่มีก้านดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ สีขาว เชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว 8-12 มม. ผิวดอกด้านนอกเรียบ ด้านในมีขน ดอกส่วนครึ่งปลายบนแยกเป็น 4-5 แฉก ยาว 4-5 มม. เกสรตัวผู้ และเกสรตัวเมีย ยาว 15 มม. แยกเป็น 2 แฉก ผล ผลรวม กลมรี ขนาดกว้าง 3-5 ซม. ยาว 3-10 ซม. ผิวเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว และเมื่อสุก จะมีสีเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีขาวจนเน่าตามอายุผล เมล็ดในผลมีจำนวนมาก สรรพคณุ ใบ ใช้ต้มนำ้ดื่มหรือนำมาบดตากแห้งชงเป็นชาดื่ม รวมถึงใส่แคปซูลรับประทาน ช่วยแก้กษัย แก้ปวดเมื่อยตามข้อมือข้อเท้า รักษาวัณโรค แก้ท้องร่วง ลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้โรคเบาหวาน ป้องกันโรคในระบบหัวใจ และหลอดเลือด แก้โรคมะเร็ง แก้โรคเกาต์ ช่วยขับประจำเดือน แก้อาการคลื่นไส้ วิงเวียนศรีษะ นำใบสดมาคั้นเอาน้ำมาสระผมฆ่าเหา นำมาทารักษาแผล แผลติดเชื้อ เป็นหนอง ดอก ใช้ต้มน้ำดื่มหรือนำมาตากแห้งชงเป็นชาดื่ม แก้วัณโรค โรคเบาหวาน ป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือด ต้านโรคมะเร็ง แก้ไอ ลดเสมหะ แก้ท้องร่วง ผล มีรสเผ็ดร้อน มีสารออกฤทธิ์คือ asperuloside ใช้แก้อาเจียน ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร และลำไส้ ช่วยขับประจำเดือน แก้ประจำ เดือนมาไม่ปกติ ช่วยลดไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยเจริญอาหาร ช่วยขับนํ้าคาวปลา แก้เสียงแหบแห้ง แก้ร้อนใน แก้กษัย แก้อาเจียน แก้ โรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคระบบหัวใจ และหลอดเลือด ป้องกันโรคมะเร็ง ส่วนเมล็ดใช้เป็นยาระบาย ราก นำมาต้มหรือดองเหล้ารับประทานเป็นยาระบาย แก้กษัย ช่วยเจริญอาหาร ใช้รักษาวัณโรค แก้โรคเบาหวาน ป้องกันโรคมะเร็ง โรค ในระบบหัวใจ และหลอดเลือด การกระจายพันธุ์ จีน อินเดีย หมู่เกาะแปซิฟิกทางตอนใต้ ตาฮิติ ฮาวาย มาเลเซีย พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 15 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 125


กระพังโหม หมอยาพื้นบ้าน 2 , 4 , 6 , 12 , 13 ชื่อสามัญ Skunk-vine ชื่อท้องถิ่น พังโหม, ตดหมูตดหมา, พาโหม, ย่านพาโหม ชื่อวิทยาศาสตร์ Paederia foetida L. ชื่อวงศ์ RUBIACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เถาเลื้อยล้มลุก ล�ำต้น พาดพันไปตามพื้นดินหรือต้นไม้อื่น ลำต้นมีขนาดเล็ก มียางสีขาว ใบ ใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน แผ่นใบสีเขียว เนื้อบาง เมื่อขยี้ดมจะมีกลิ่นเหม็น เส้นใบโค้งจรดกันที่ใกล้ ๆ ขอบใบ ก้านใบสั้น ดอก ดอกช่อ ออกตามซอกใบ มีช่อละประมาณ 2-3 ดอก ดอกย่อยมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายหลอดกลีบแยกกัน มีสีขาว ด้านในหลอดเป็นสีม่วงแดงหรือสีชมพูประด้วยสีม่วงจุดสีน้ำตาล เกสรเพศผู้ 5 อัน และเกสรเพศเมีย 1 อัน อยู่ตรงกลาง ผล ผลกลมสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาล สรรพคณุ ใบและเถา สดมีกลิ่นเหม็น ใช้กินเป็นยาอายุวัฒนะ แก้ธาตุพิการ แก้ตานซาง แก้ดีรั่ว ช่วยเจริญอาหาร ยาแก้ไข้ แก้ตัวร้อน ใช้ตาพอกอุด รูฟันแก้ปวดฟันและแก้รำมะนาด ผล ช่วยแก้ปวดฟันเช่นกัน และใช้ทาฟันให้เป็นสีดา ใช้เป็นยารักษาอาการอักเสบบริเวณปากและคอ ทั้งต้น ใช้เป็นยาแก้ไข้รากสาด ใช้ต้มดื่มแก้พิษไข้ เมื่อเวลาเป็นไข้ให้ใช้น้ำต้มจากเถาหรือใบ นำมาใช้เช็ดตัวหรือนำผ้าสะอาดชุบน้ำต้มมา วางไว้บนศีรษะ ก็จะทำให้อาการไข้ลดลงได้เป็นอย่างดี รากสดใช้ฝนกับน้ำหยอดตาแก้พิษ แก้ตาฟาง ตาแฉะ ตามัวได้ดีมาก ในสมัยก่อน นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย การกระจายพันธุ์ พบขึ้นทั่วไปในป่าธรรมชาติ เช่น ป่าผสมผลัดใบ ป่าเต็งรัง บริเวณในสวนต่างๆ หรือในที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป RUBIACEAE 2,4,6 12,13 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 126


มะนาว หมอยาพื้นบ้าน 1 , 18 , 23 ชื่อสามัญ Lime, Common Lime ชื่อท้องถิ่น ส้มมะนาว (ทั่วไป), โกรยชะม้า (เขมร-สุรินทร์), ปะนอเกล มะนอเกละ มะเน้าด์เล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ปะโหน่งกลยาน (กะเหรี่ยงกาญจนบุรี), ลีมานีปีห์ (คาบสมุทรมาเลย์), หมากฟ้า (ชาน-แม่ฮ่องสอน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus aurantifolia Swing. ชื่อวงศ์ RUTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม สูง 2-4 ม. ล�ำต้น มีสีเทาปนน้ำตาล กิ่งอ่อนมีสีเขียวอ่อนเมื่อแก่สีเข้ม บนลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแข็งแหลม ส่วนใหญ่เกิดที่ซอกใบ ใบ เป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว เรียงสลับ มีสีเขียวอ่อนรูปร่างยาวรีหรือรูปไข่ ปลายใบมีลักษณะแหลมขอบใบ ดอก เป็นดอกเดี่ยว หรือช่อดอก เกิดบริเวณซอกใบและปลายกิ่งกลีบดอกสีขาว กลีบเลี้ยงสีเขียวอ่อนเกสรตัวผู้อยู่เป็นกลุ่ม เกสรตัวเมีย รูปคล้ายทรงกระบอก ผล ผลสดรูปกลมและรูปยาวรีหรือรูปไข่ มีขนาดกว้าง ยาวประมาณ 3-12 ซม. ผิวเปลือกมีลักษณะขรุขระ และมีต่อมน้ำมันที่ผิว เมล็ด ขนาดเล็กคล้ายรูปไข่ ด้านปลายหัวจะแหลม ภายในเมล็ดมีเนื้อเยื่อสีขาว สรรพคณุ มะนาว ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ช่วยแก้อาเจียน เป็นลม วิงเวียนศีรษะ เมาเหล้าได้ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ แก้อาการวิงเวียนหลังคลอดบุตร แก้อาการลมเงียบ ด้วยการเอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอม ใช้ในการแก้ไข้ทับระดู ใบ ประมาณ 100 ใบมาต้มกินรักษาโรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟันได้ เพราะในมะนาวมีวิตามินซีสูงมาก น�้ำมะนาว ช่วยในการขับเสมหะ ช่วยแก้ไอหรืออาการไอที่มีเลือด ปนออกมา ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการลงได้ดีในระดับหนึ่งช่วยบรรเทา อาการต่อมทอนซิลอักเสบ ช่วยบรรเทาอาการเสียงแหบแห้ง ช่วยลดอาการเหงือกบวม ใช้เป็นยาบ้วนปาก ด้วยการใช้นำ้มะนาว 3-4 หยด ก็จะทำให้ช่องปากสะอาดมากยิ่งขึ้นแก้เล็บขบ ด้วยการนำมะนาวมาผ่าส่วนหัวแล้วคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย แล้วใช้ปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง แน่นท้อง ด้วยการนำน้ำมะนาวมาใช้กินกับน้ำตาล ช่วยฟอกโลหิต ด้วยการนำ ใบมะนาวต้มผสมกับน้ำแล้วนำมาดื่มเป็นประจำ ช่วยบำ รุงโลหิต รักษาโรคโลหิตจาง ด้วยการนำน้ำมะนาวผสมกับน้ำหวาน และปรุง การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 1 23 18 RUTACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 127


มะกรูด หมอยาพื้นบ้าน 1 , 4 , 13 , 16 , 18 , 21 , 22 , 23 , 25 ชื่อสามัญ Kaffir lime, Leech lime, Mauritius papeda ชื่อท้องถิ่น มะขู (แม่ฮ่องสอน), มะขุน มะขูด (ภาคเหนือ), ส้มกรูด ส้มมั่วผี (ภาคใต้) ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus hystrix DC. ชื่อวงศ์ RUTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดเล็ก เนื้อไม้แข็ง ล�ำต้น และกิ่งมีหนามยาวเล็กน้อย ใบ ใบประกอบชนิดลดรูป มีใบย่อย 1 ใบ ออกเรียงสลับ รูปไข่ มีลักษณะคล้ายกับใบไม้ 2 ใบ ต่อกันอยู่ คอดกิ่วที่กลางใบเป็นตอนๆ มีก้านแผ่ออกใหญ่เท่ากับแผ่นใบ ทำให้เห็นใบเป็น 2 ตอน กว้าง 2.5-4 ซม. ยาว 4-7 ซม. สีเขียวแก่ ผิวเรียบเกลี้ยง เป็นมัน ค่อนข้างหนา มีกลิ่นหอมมากเพราะมีต่อมน้ำมันอยู่ ดอก ดอกช่อ แทงออกบริเวณส่วนยอดหรือตามซอกใบ แต่ละช่อมีดอกย่อย 1-5 ดอก ดอกย่อยสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ แยกกัน มีสีขาวครีม มีขนปกคลุม เกสรตัวผู้ 10 อัน มีสีเหลือง เกสรตัวเมีย 1 อัน ผล ผลเดี่ยวค่อนข้างกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-7 ซม. เปลือกค่อนข้างหนา ผิวเปลือกมีสีเขียวเข้ม ผิวขรุขระเป็นลูกคลื่นหรือเป็นปุ่มนูน ภายในเปลือกมีต่อมน้ำมันหอมระเหยเป็นจํานวนมาก มีจุกที่หัว และท้ายของผล เมื่อสุก ผลจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ภายในมีเมล็ด จำนวนมาก สรรพคณุ ราก มีรสจืดเย็น สามารถช่วยแก้อาการไข้ ถอนพิษสำแดง แก้ลมจุกเสียด กระทุ้งพิษไข้ แก้พิษฝีภายใน และช่วยอาการเสมหะเป็นพิษ ผิว สามารถช่วยแก้อาหารนอนไม่หลับได้ โดยนำผิวของมะกรูดบดรวมกับรากชะเอม ไพล เฉียงพร้า ขมิ้นอ้อยแล้วนำมาต้มน้ำดื่ม เป็นยาบำรุงหัวใจ ช่วยแก้อาการเป็นลม หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ช่วยขับลมในลำไส้ แก้อาการจุกเสียด ท้องอืด แน่นท้องได้ ช่วยขับ สารพิษที่อยู่ในร่างกายให้ออกมาทางผิวหนัง ใบ ช่วยแก้ไอ แก้อาการอาเจียนเป็นเลือด ช่วยแก้อาการช้ำใน ช่วยในการชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็งและช่วยต่อต้านมะเร็ง การกระจายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ลาว มาเลเซีย และอินโดนีเซีย RUTACEAE 1,4 23 25 18 13 16 21,22 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 128


มะงั ่ ว หมอยาพื้นบ้าน 11, 23 ชื่อสามัญ Citron ชื่อท้องถิ่น มะนาวควาย (ยะลา ปัตตานี), มะนาวริปน มะโว่ยาว (เชียงใหม่), ลีมากูบา (มาเลเซีย), ส้มมะงั่ว (ภาคกลาง), ส้มโอมะละกอ หมากกินเกิม (แม่ฮ่องสอน), ส้มโอมือ ชื่อวิทยาศาสตร์ Citrus medica L. ชื่อวงศ์ RUTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มมีกิ่งมาก ล�ำต้น เปลือกลำต้นสีเทาอ่อน ไม้เนื้ออ่อน ยอดอ่อนสีม่วงหรือเขียวอมม่วง กิ่งอ่อนสีอมม่วง เป็นเหลี่ยม กิ่งแก่กลม ผิวเกลี้ยงมีหนามแหลม ตามซอกใบ ใบ ใบประกอบลดรูปเหลือใบเดียว ขอบใบจักฟันเลื่อย ดอก ดอกช่อออกตามซอกใบ ดอกสีชมพูหรือขาว ผล ผลทรงกลมยาว ผิวหยาบ ผลสดเปลือกเป็นปุ่มปมเล็กน้อย เปลือกหนา สีเหลือง กลิ่นหอม แต่ละกลีบขนาดเล็ก รสออกเปรี้ยว เมล็ดรูปไข่จำนวนมาก มีสองพันธุ์คือ พันธุ์ที่มีรสเปรี้ยว ยอดและตาดอกสีชมพู เนื้อมีรสเปรี้ยว และพันธุ์ที่รสไม่เปรี้ยว ยอดและตาดอก ไม่เป็นสีชมพู เนื้อรสไม่เปรี้ยว ส้มโอมือและส้มแก้วจัดเป็นสายพันธุ์ย่อยของมะงั่ว สรรพคณุ ผิวลูก รสปร่าหอม ใช้ทำยาหอมแก้ลมวิงเวียน หน้ามืดตาลาย แก้ท้องขึ้น อืดเฟ้อ น�้ำในลูก รสเปรี้ยวอมหวาน กัดฟอกเสมหะ แก้ไอ ฟอกโลหิต ใบ รักษาโรคผิวหนัง โดยร่วมกับใบส้มต่างๆ ต้มอาบ ทำให้ผิวเกลี้ยงเกลา เบาเนื้อเบาตัว การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย RUTACEAE 23 11 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 129


คนทา หมอยาพื้นบ้าน 3 , 5 , 12 , 13 , 15 , 24 , 30 ชื่อสามัญ Kon Tha ชื่อท้องถิ่น ขี้ตำตา (เชียงใหม่), หนามกะแท่ง (เลย), โกทา หนามโกทา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), จี้ จี้หนาม หนามจี้ สีเตาะ สีเดาะ (ภาคตะวันตก เฉียงเหนือ), คนทา (ภาคกลาง), กะลันทาสีฟัน สีฟันคนทา สีฟันคนตาย (ทั่วไป), มีซี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ชื่อวิทยาศาสตร์ Harrisonia perforata (Blanco) Merr. ชื่อวงศ์ RUTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มรอเลื้อย ทอดเกาะเกี่ยวไม้อื่น ล�ำต้น สูงได้ 3-6 ม. มีหนามแหลมสั้นตลอดทั้งลำต้นและกิ่งก้าน ใบ ใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับกัน มีใบย่อย 11-15 ใบ ใบย่อย รูปไข่หรือรูปรี ปลายใบมนถึงแหลม โคนใบสอบ ขอบใบเป็น หยักแบบห่าง ๆ กว้าง 1-1.5 ซม. ยาว 2-2.5 ซม. ใบอ่อนสีแดง ก้านใบร่วมเป็นปีกแผ่ขยายออกแคบ ๆ มีรสขม ดอก ดอกช่อ ดอกย่อยมีขนาด 5-6 มม. ภายในมีแป้นดอก ดอกย่อยด้านนอกสีแดงแกมม่วง ด้านในสีนวล กลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่าง ละ 4-5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน ผล ผลเดี่ยวมีลักษณะค่อนข้างกลม เบี้ยว และฉ่ำน้ำ ผิวผลเรียบเนียนคล้ายแผ่นหนัง ผลอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน สรรพคณุ ต้น เป็นยาฟอกโลหิต ช่วยแก้กระหายน้ำ ยาแก้ท้องเสีย ราก ช่วยขับโลหิต ช่วยแก้อาการร้อนในกระหายน้ำ ใช้แก้ตาเจ็บ ช่วยขับลม ช่วยแก้น้ำเหลืองเสีย ช่วยสมานบาดแผล ช่วยแก้อาการบวม บวมพอง ช่วยแก้อาการปวดเมื่อย เปลือกต้นหรือราก มีรสเฝื่อนขม ใช้ต้มกินเป็นยาแก้ไข้ รักษาอาการไข้เพื่อเส้น ไข้เหนือ ไข้จับสั่น ไข้ตักศิลา ไข้พิษ ไข้กาฬ ดับพิษหัวไข้ กระทุ้งพิษไข้ เปลือกราก ช่วยป้องกันอหิวาตกโรค การกระจายพันธุ์ สำหรับในประเทศไทยมักพบขึ้นทั่วไปในป่าตามธรรมชาติ ทนความแห้งแล้งได้ดี พบมากในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือและ ทางภาคเหนือ 3,5 24 12,13 15 30 RUTACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 130


โปร่งฟ้า หมอยาพื้นบ้าน 1 ชื่อสามัญ Andaman satinwood ชื่อท้องถิ่น ส่องฟ้า (อีสาน), หวดหม่อนต้น (ลำปาง), หัสคุณดง (โคราช), ลอดฟ้า (หล่มสัก) ชื่อวิทยาศาสตร์ Murraya siamensis Craib. ชื่อวงศ์ RUTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ต้น สูงประมาณ 60-80 ซม. ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ เกือบจะตรงกันข้าม แผ่นรูปไข่ แต่ละซีกใบมีขนาดไม่เท่ากัน ปลายแหลม โคนใบมนหรือเบี้ยว สีเขียวออก เหลือง ขอบจักแบบฟันเลื่อย มีต่อมน้ำมันหอมระเหยกระจายทั่วทั้งใบ เมื่อส่องดูจะเห็นเป็นจุดๆ ใสทั้งใบ ดอก ดอกช่อแตกแขนง ออกที่ปลายกิ่งดอกย่อยขนาดเล็ก สีขาวอมเขียว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แบบกลิ่นส้มคล้ายดอกแก้ว กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ แยกกัน เกสรตัวผู้ 10 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน ผล ผลเดี่ยว สดแบบผลส้ม ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อสุกมีสีส้มหรือสีแดง ภายในมีเมล็ดรูปร่างกลม สรรพคณุ ใบ มีรสหอมหวาน รสเผ็ดร้อน แก้ผื่นคัน แก้พิษตะขาบ ห้ามเลือด ขยี้พอกที่แผลสด แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ไอเจ็บคอ ขับลม ท้องอืด แก้หวัด แก้ไซนัส ภูมิแพ้ หอบหืด บำรุงหัวใจ บำรุงสมอง คลายกล้ามเนื้อ นอนกรน ลดไขมันในเลือด ดอก ฆ่าเชื้อโรค แผลเรื้อรัง ไส้ลาม ไส้ด้วน ราก รสเฝื่อนเย็น แก้ตามัว ตาฝ้า ตาฟาง ฝนกับน้ำ กินและทาแก้พิษงู แก้วัณโรคชนิดบวม แก้โรคหิตในลำคอและลำไส้ให้กระจาย แก้ริดสีดวง การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 1 RUTACEAEบัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 131


โคกกระออม หมอยาพื้นบ้าน 2 , 17 ชื่อสามัญ Balloon vine, Heart pea, Heart seed, Smooth leaved heart Pea ชื่อท้องถิ่น ตุ้มต้อก (แพร่), วิวี่ วี่หวี่ (ปราจีนบุรี), โพออม โพธิ์ออม (ปัตตานี), เครือผักไล่น้ำ ลูกลีบเครือ (ภาคเหนือ), กะดอม โคกกระออม (ภาคกลาง), ติ๊นโข่ ไหน (จีน), เจี่ยขู่กวา เต่าตี้หลิง ไต้เถิงขู่เลี่ยน (จีนกลาง), สะไล่น้ำ สะไล่ เดอะ, สะโคน้ำ, สะไคน้ำ หญ้าแมงวี่ หญ้าแมลงหวี่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Cardiospermum halicacabum L. ชื่อวงศ์ SAPINDACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้เลื้อย ล้มลุกขนาดกลาง ล�ำต้น แตกกิ่งจำนวนมาก มีเถายาว 1-3 ม. มักเลื้อยเกาะพันกันขึ้นไปบนต้นไม้อื่น หรืออาจเลื้อยไปตามพื้นดิน เถาเป็นเหลี่ยมมีสัน 5-6 เหลี่ยม มีขนปกคลุมเล็กน้อย ผิวของเถาสีเขียว บริเวณข้อของเถาจะมีมือสำหรับยึดเกาะ ใบ ใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ มีใบย่อย 3 ใบ รูปสามเหลี่ยม ปลายใบแหลม ขอบเป็นหยักลึก ใบมีขนาดกว้าง 1.5-2.5 ซม.ยาว 5-12 ซม. แผ่นใบบางเป็นสีเขียว ผิวใบเรียบไม่มีขน ใบหลังจะมีขนาดเล็กกว่า และมีก้านใบยาว ดอก ดอกช่อ มีดอกย่อย 3-4 ดอก ออกตามง่ามใบ ดอกมีขนาดเล็ก สีขาว กลีบเลี้ยง 4 กลีบ กลีบดอก 4-5 กลีบ เกสรเพศผู้ 8 อัน เกสร ตัวเมีย 1 อัน รูกสามเหลี่ยม ผล ผลเดี่ยว คล้ายกับถุงลมเป็นเยื่อบาง ๆ รูปสามเหลี่ยม มีพู 3 พู มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง1.5-3 ซม. เปลือกผลบาง สีเขียวอมเหลือง มีขนสั้นนุ่มกระจายอยู่ทั่วผล ผลเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ ก้านผลสั้น ภายในผลจะมีเมล็ดขนาดเล็กประมาณ 1-3 เมล็ด สรรพคณุ ทั้งต้น มีรสขมและเผ็ดเล็กน้อย ใช้เป็นยาเย็น โดยจะออกฤทธิ์ต่อตับและไต สามารถใช้เป็นยาขับพิษร้อนถอนพิษไข้ได้ ช่วยแก้พิษ ในร่างกาย ช่วยทำให้เลือดเย็น ใช้รักษาโรคดีซ่าน ช่วยรักษาต้อตา ทั้งต้นใช้ผสมกับตัวยาอื่น ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้หอบหืด ดอก มีรสขมขื่น ใช้เป็นยาขับโลหิต เป็นยารักษาโรคโลหิตให้ตก ช่วยขับประจำเดือนของสตรี ใบ ช่วยแก้ตาเจ็บ เป็นยาแก้ไข้ ใช้แก้อาการไอ รักษาโรคหืดไอ เป็นยาใส่แผลชั้นยอด ใช้แก้ฝีบวม ฝีหนอง ราก มีรสขม แก้เจ็บตา ใช้เป็นยาระบาย เมล็ด มีรสขมขื่น ใช้เป็นยาแก้ไข้ ช่วยขับเหงื่อ การกระจายพันธุ์ ในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาค 2 17 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 132 SAPINDACEAE


SAPINDACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 15 ม. ล�ำต้น เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกเป็นร่องตามยาว กิ่งก้านมีขนละเอียด ใบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ เรียงเวียนสลับ แกนกลางใบยาว 10-30 ซม. ใบย่อยมี 3-6 คู่ รูปไข่ถึงรูปไข่กลับ กว้าง 2-11 ซม. ยาว 3-30 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ผิวใบมีขนนุ่มปกคลุมทั้งสองด้าน แผ่นใบบาง ค่อนข้างเหนียว และย่นเป็นลอน สีเขียวเข้ม ผิวใบด้านล่างสีอ่อนกว่า ดอก ดอกช่อแยกแขนง ออกจากปลายยอดหรือซอกใบใกล้ปลายยอด ยาวถึง 50 ซม. ดอกย่อยขนาดเล็ก สีขาว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แยกเพศ เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8-1 ซม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอก 4-5 กลีบ สีขาว เกลี้ยงหรือมีขนนุ่ม เกสรเพศผู้ 8 อัน ก้านเกสรมีขนสีน้ำตาลอ่อน ก้านเกสรตัวเมียยาว ไม่มีขน ผล ผลสดแบบมีเนื้อ รูปรี ผิวเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แดงและม่วงดำ มี 1 เมล็ด รูปทรงกลมรี สรรพคณุ ราก รสเมาเบื่อสุขุม รักษาอาการไข้ ตำพอกศีรษะแก้อาการไข้ปวดศีรษะ ตำพอกรักษาผิวหนังผื่นคัน แก้พิษฝีภายใน ขับพยาธิ วัณโรค แก้พิษร้อน แก้กษัยเส้นเอ็น ต้มน้ำดื่ม แก้เบื่อเมา รากผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้ำดื่ม แก้ซาง (โรคของเด็กเล็ก มีอาการเบื่ออาหาร ซึม มีเม็ดขึ้นในปากและคอ ลิ้นเป็นฝ้า) เปลือกต้น บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ แก้บิด สมานแผล ใบ แก้ไข้ ผสมกับสมุนไพรอื่น ต้มน้าดื่มแก้ซาง ใบอ่อน รับประทานเป็นผักได้ ชาวบ้านใช้ใบรองพื้นและคลุมข้าวที่จะใช้ทำขนมจีน เพื่อกันบูด ผล บำรุงกำลัง แก้ท้องร่วง ผลสุก มีรสจืดฝาด ถึงหวาน รับประทานเป็นผลไม้ แก้ท้องร่วง เมล็ด รสฝาด ต้มดื่มแก้ไข้ซาง แก้ไอกรน แก้ไอหอบในเด็ก แก้ไอเรื้อรัง บำรุงเส้นเอ็น การกระจายพันธุ์ พบในประเทศอินเดีย จีนตอนใต้ ออสเตรเลีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนในประเทศไทยพบได้ทุกภาค 1 มะหวด หมอยาพื้นบ้าน 1 ชื่อสามัญ Ma Huat ชื่อท้องถิ่น หวดฆ่า หวดค่า (อุดรธานี), สีหวด (นครราชสีมา), สีฮอกน้อย หวดลาว (ภาคเหนือ), มะหวดป่า หวดคา (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), หวดเหล้า (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ, คนเมือง), กำซำ กะซ่ำ มะหวด (ภาคกลาง), ชันรู มะหวดบาท มะหวดลิง (ภาคตะวันออกเฉียงใต้), กำจำ นำซำ มะจำ หมากจำ (ภาคใต้), ชื่อวิทยาศาสตร์ Lepisanthes rubiginosa (Roxb.) Leenh. ชื่อวงศ์ SAPINDACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 133


พิกุล หมอยาพื้นบ้าน 4 , 6 , 10 , 13 , 15 ชื่อสามัญ Asian bulletwood, Bullet wood, Bukal, Tanjong tree, Medlar, Spanish cherry ชื่อท้องถิ่น พิกุล, ซางดง, พิกุลเขา, พิกุลเถื่อน, พิกุลป่า, แก้ว, กุน, ไกรทอง, ตันหยง, มะเมา, พกุล, พิกุลทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Mimusops elengi L. ชื่อวงศ์ SAPOTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ไม่ผลัดใบ ล�ำต้น สูง 10-25 ม. แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้าง เปลือกต้นสีเทาอมสีน้ำตาล มีน้ำยางสีขาว กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน รูปไข่ กว้าง 3-6 ซม. ยาว 5-12 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนมน ขอบเรียบและเป็นคลื่นเล็กน้อย หลังใบ สีเขียวเรียบเป็นมัน ท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน เนื้อใบค่อนข้างเหนียว ดอก ดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก 2-6 ดอก ออกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง ขนาดเล็ก สีขาวนวล กลิ่นหอม กลีบเลี้ยง 8 กลีบ เรียงซ้อนกัน 2 ชั้น ชั้นละ 4 กลีบ กลีบดอก 8 กลีบ สั้นกว่ากลีบเลี้ยง โคนกลีบเชื่อมกันเป็นวง แต่ละกลีบจะมีส่วนยื่นออกมาด้านหลัง 2 ชิ้น เกสรตัวผู้สมบูรณ์ 8 อัน เกสรตัวผู้เป็นหมัน 8 อัน รังไข่มี 4-10 ช่อง ผลเดี่ยว รูปไข่ผิวเรียบ ผล ผลอ่อนสีเขียวมีขนสั้นนุ่ม เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแสด ที่ขั้วผลมีกลีบเลี้ยงติดคงทน เนื้อในผลเป็นสีเหลืองมีรสหวานอมฝาด และมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด ลักษณะแบนรี แข็ง สีดำเป็นมัน สรรพคณุ ดอก แก่น แก่นที่ราก ราก ใช้เป็นยาบำรุงโลหิต แก่นที่รากและดอกแห้งใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ส่วนดอกสดใช้เข้ายาหอมช่วย ใช้บำรุงหัวใจ ดอกแห้งบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย ช่วยแก้หอบ ช่วยแก้อาการร้อนใน ใช้เป็นทำเป็นยานัตถุ์ ช่วยแก้อาการ เจ็บคอ ช่วยขับเสมหะ เปลือกต้น ช่วยคุมธาตุในร่างกาย ฆ่าพิษโลหิต ใช้เป็นยาอมกลั้วคอล้างปาก แก้โรคเหงือกอักเสบ เหงือกบวม รำมะนาด และนำเปลือก ต้นนำมาต้มกับน้ำเกลือช่วยแก้อาการปวดฟัน ช่วยทำให้ฟันแน่น แก้ฟันโยก ช่วยฆ่าแมงกินฟันที่ทำให้ฟันผุ ใบ ช่วยแก้เลือดตีขึ้นให้สลบไป แก้เลือดตีขึ้นถึงกับตาเหลือง ช่วยแก้หืด แก่น ใช้เป็นยาแก้ไข้ ผลสุกและดอกแห้ง ใช้รับประทานแก้อาการปวดศีรษะ แก้โรคในลำคอและปาก การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคของประเทศไทย 4,6 10 13 15 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 134 SAPOTACEAE


ละมุด หมอยาพื้นบ้าน 4 , 6 , 10 , 13 , 15 ชื่อสามัญ Chicle tree, Naseberry, Sapodilla ชื่อท้องถิ่น ละมุดฝรั่ง (ภาคกลาง), ชวานิลอ (ปัตตานี, มลายู, ยะลา), สวา ชื่อวิทยาศาสตร์ Manilkara zapota (L.) P.Royen ชื่อวงศ์ SAPOTACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้น ขนาดกลาง ล�ำต้น พุ่มทึบ มีกิ่งก้านแตกออกเป็นชั้น ๆ รอบ ๆ ลำต้น ใบ ใบเดี่ยว มักออกเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง ท้องใบมีสีน้ำตาลอมเขียว ดอก ดอกเดี่ยว ออกดอกตามง่ามกิ่ง มีกลีบเลี้ยง 6 กลีบ เรียงกัน 2 ชั้น กลีบดอกมี 6 กลีบ เชื่อมกันและยกตั้งขึ้น สีเหลืองนวล เกสรตัวผู้ 12 อัน เกสรตัวเมีย 1 อัน รังไข่มี 4-5 ห้อง ผล ผลเดี่ยว มีเนื้อสด รูปไข่ หรือมีปลายแหลม ผิวมีสีน้ำตาล ผลดิบจะมียางสีขาวคล้ายน้ำนม ในยางมีสารที่ชื่อว่า “Gutto” รสฝาด แข็ง ส่วนผลสุกจะนิ่ม มีรสหวาน ไม่มียาง ข้างในผลมีเมล็ดรูปยาวรีสีดำฝังอยู่ในเนื้อ ใน 1 ผลจะมีเมล็ด 2-6 เมล็ด สรรพคณุ เมล็ด ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง เปลือกต้น นำมาต้มปรุงเป็นยาแก้บิด (ประเทศฟิลิปปินส์) ยาง ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิชนิดรุนแรง การกระจายพันธุ์ แหล่งที่ปลูกละมุดในบ้านเราก็ที่อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี โดยสายพันธุ์ละมุดที่นิยมปลูกนั้นก็จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด นั่นก็คือ ละมุด ไทย (ละมุดสีดา) และละมุดฝรั่ง 4,6 10 13 15 SAPOTACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 135


ปลาไหลเผือก หมอยาพื้นบ้าน 1 , 3 , 12 , 13 , 26 , 27 , 29 ชื่อสามัญ Ali’s umbrella ชื่อท้องถิ่น คะนาง ชะนาง (ตราด), กรุงบาดาล (สุราษฎร์ธานี), ไหลเผือก (ตรัง), ตรึงบาดาล (ปัตตานี), ตุงสอ ตรึงบาดาล เพียก หยิกบ่อถอง แฮพันชั้น (ภาคเหนือ), หยิกบ่อถอง หยิกไม่ถึง เอียนด่อน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), ปลาไหลเผือก ไหลเผือก (ภาคกลาง), เพียก (ภาคใต้), ตุวุวอมิง ตุวเบ๊าะมิง (มาเลย์-นราธิวาส) ชื่อวิทยาศาสตร์ Eurycoma longifolia Jack ชื่อวงศ์ SIMAROUBACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม ล�ำต้น ลำต้นตั้งตรง ความสูงตั้งแต่ 1-5 ม. เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล แตกกิ่งก้านน้อย กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล รากยาวและหยั่งลึกลงไปใต้ดิน กลมโต สีขาวนวล รากยิ่งมีอายุหลายปีอาจมีความยาวได้มากกว่า 2 ม. ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงเวียนสลับ หนาแน่นช่วง ปลายกิ่ง มีความยาวได้กว่า 35 ซม. มีใบย่อย 8-13 คู่ รูปหอกแกมไข่กลับ กว้าง 1-3 ซม. ยาว 5-10 ซม. ปลายแหลม โคนมน ขอบเรียบ มีเส้นแขนงข้างละ 8-12 เส้น ดอก ดอกช่อแบบแยกแขนง ออกเป็นกระจุกที่ซอกใบและปลายกิ่ง ช่อพวงใหญ่ ความยาว 30 ซม. ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน กลีบ เลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ แยกออกจากกันอย่างอิสระ สีม่วงปนแดง ขนาด 4-5 มม. เกสรเพศผู้ประมาณ 5-6 อัน ดอกเพศเมียจะมี ขนาดเล็ก ยาว 0.5 มม. ผล ผลเดี่ยวเป็นพวง หนึ่งพวงจะมีผลประมาณ 5 ผลย่อย ลักษณะของผลย่อยเป็นรูปทรงกลม ทรงรี หรือเป็นรูปไข่ มีขนาดกว้างประมาณ 1-2 ซม. ผลเมื่อแก่จะเป็นสีแดงถึงสีม่วงดำ ภายในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด รูปรี สรรพคณุ ราก ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงโลหิต บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง บำรุงสมรรถภาพทางเพศ ทำให้เลือดไหลเวียนดี ทำให้ร่างกายแข็งแรง อดทน ช่วยคลายอาการปวดเมื่อย ป้องกันและรักษาไข้ป่า มีรสขม เบื่อเมาเล็กน้อย ใช้เป็นยาถ่ายพิษต่าง ๆ ทุกชนิด ถ่ายฝีในท้อง ถ่ายพิษไข้ พิษเสมหะ และโลหิต ช่วยขับเหงื่อ มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยแก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้อาการเจ็บคอ แก้ฝีในท้อง ฝีในอก (วัณโรค) เป็นยาขับพยาธิ ใช้แก้ฝี แผลพุพอง แผลเรื้อรัง แก้โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อ แก้ผื่นคัน แก้พิษจากแมลงสัตว์ กัดต่อย พิษฝีทั้งภายนอกและภายใน เปลือก นำมาต้มเอานำ้กินเป็นยาแก้ไข้จับสั่น แก้ไข้สันนิบาต แก้ไข้พิษ ไข้ทรพิษ แก้ไข้เหือดหัด ไข้กาฬนกนางแอ่น แก้วัณโรค แก้กาฬโรค ขับปัสสาวะ การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 1,3 26,27 12,13 29 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 136 SIMAROUBACEAE


SOLANACEAE โทงเทง หมอยาพื้นบ้าน 16 , 19 , 23 ชื่อสามัญ Chinese lantern plant, Wild tomato, Cutleaf groundcherry, Gooseberry ชื่อท้องถิ่น โทงเทง โทงเทงไทย โทงเทงน้ำ ทุงทิง ทุ้งทิ้ง ปุงปิง พุ้งพิ้ง โคมจีน โคมญี่ปุ่น ต็งอั้งเช้า เผาะแผะ มะก่องเช้า หญ้าถงเถง หญ้าต้อมต้อก หญ้าต้อมต๊อก (ไทย), กิมเต็งลั้ง ขั่วกิมเต็ง ซึงเจี่ย เต็งอั้งเช้า เทียงผาเช้า หลกซิ้งจู อั้งโกวเนี้ย อ้วงบ๊อจู (จีน), เทียนพ่าวจื่อ เติงหลงเปา สุ่ยเติงหลง (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Physalis angulata L. ชื่อวงศ์ SOLANACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือเป็นลอน กว้าง 1-5 ซม. ยาว 2-8 ซม. หน้าใบมี เส้นใบคล้ายขนนก ผิวใบมีขนขึ้นปกคลุมทั้งสองด้าน ดอก ดอกเดี่ยว ออกบริเวณซอกใบ ดอกเป็นรูปปากแตร แตกออกเป็น 5 แฉกที่ปลายกลีบดอก รูปห้าเหลี่ยม ก้านดอกยาว 5 มม. ดอกสีเหลืองอมเขียว ยาว 8 มม. มีเกสรเพศผู้ 5 อัน และเกสรเพศเมียอีก 1 อัน ผล ผลมีกลีบเลี้ยงหุ้มอยู่ ลักษณะเป็นรูปห้าเหลี่ยม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม. ภายในผลมีเมล็ดรูปกลมแบน สีขาวอมเขียว สรรพคณุ ผล มีรสขม เป็นยาเย็น ออกฤทธิ์ต่อปอดและตับ ใช้เป็นยาขับความชื้นในร่างกาย แก้ไข้ตัวร้อน แก้อาการร้อนใน ไอร้อน กระหายนำ้วิเศษ เป็นยาขับเสมหะ ใช้เป็นยาแก้คางทูม เป็นยาขับปัสสาวะ ช่วยแก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ช่วยแก้ตานซางในเด็ก ดีซ่าน ตับอักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ จากการใช้ทั้งต้นเป็นยาแก้ดีซ่าน รักษาฝีหนอง ฝีอักเสบมีพิษ ผดผื่นคัน เป็นยาทาแก้พิษฝี แก้ฟกบวมอักเสบ ทำให้เย็น ต้น มีรสขม ช่วยแก้อาการเจ็บคอ คออักเสบ รักษาต่อมทอนซิลอักเสบ ใช้เป็นยารักษาหลอดลมอักเสบ แก้ฝีในคอ พิษฝีขึ้นในคอ ใช้ทั้งต้นนำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องเสีย ใช้โทงเทงอิงถิ่น และชะเอม อย่างละ 2 สลึง นำมาต้มกับน้ำกินแก้โรคช่องปากอักเสบ ลิ้น อักเสบ น้ำปัสสาวะเป็นสีเหลือง การกระจายพันธุ์ พบได้ทุกภาคในประเทศไทย 23 19 16 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 137


มะแว้งต้น หมอยาพื้นบ้าน 3 , 5 , 21 , 22 ชื่อสามัญ Brinjal ชื่อท้องถิ่น แว้งคม (สุราษฎร์ธานี, สงขลา), มะแคว้ง มะแคว้งขม มะแคว้งคม มะแคว้งดำ (ภาคเหนือ), หมากแข้ง หมากแข้งขม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะแว้ง มะแว้งต้น (ทั่วไป), สะกังแค สะกั้งแค (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), หมากแฮ้งคง (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), เทียนเฉีย ชื่อเทียนเฉีย (จีนกลาง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Solanum sanitwongsei Craib ชื่อวงศ์ SOLANACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดเล็ก ล�ำต้น สูง 1-1.5 ม. ลำต้นกลม เนื้อแข็ง สีเขียวอมเทา แตกกิ่งก้าน ทั้งต้นมีขนนุ่มสีเทาขึ้นปกคลุม มีหนามแหลมขึ้นกระจายอยู่ทั่วต้น ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี ปลายแหลมเล็กน้อย โคนมน ขอบหยักเว้ามนเข้าหาเส้นกลางใบและมีคลื่นเล็กน้อย กว้าง 4-6 ซม. และยาว 5-10 ซม. ท้องใบและก้านใบมีขนสั้นๆ ปกคลุม หลังใบมีขนหนาแน่นและมีหนามสั้นๆ ก้านใบยาว ดอก ดอกช่อกระจุก ออกตามง่ามใบหรือปลายกิ่ง มีดอกย่อย 3-6 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกัน ที่ฐาน ปลายแยกเป็นแฉก คล้ายรูปดาว สีม่วงอ่อน กว้าง 2 ซม. เกสรเพศผู้ 5 อัน สีเหลือง เชื่อมติดกันกับโคนกลีบดอก ก้านดอกมีหนาม เป็นตุ่มเล็ก ๆ ยาว 5 มม. ผลเดี่ยว รูปทรงกลม ผิวเรียบเกลี้ยงและมัน ผล ผลอ่อนเป็นสีเขียวหรือสีขาวไม่มีลาย ส่วนผลสุกสีแดงส้มหรือสีเหลืองอมส้ม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. ภายในมีเมล็ดขนาดเล็ก รูปกลมแบน สีน้ำตาลอ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก สรรพคณุ ราก รสขมขื่นเปรี้ยว ขับเสมหะ แก้น้ำลายเหนียว เป็นยาแก้ไอ ขับลม แก้คัน ขับปัสสาวะ แก้ไข้สันนิบาต รักษามะเร็งเพลิง บำรุงธาตุ รักษาวัณโรค เนื้อไม้ แก้แน่น แก้จุกเสียด ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ ขับพยาธิ ใบ บำรุงธาตุ แก้วัณโรค แก้ไอ ผลและราก รสขมเปรี้ยว เป็นยาเย็น มีพิษเล็กน้อย ใช้เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ แก้ปวดฟัน แก้ไซนัส ขับลม แก้ปวดหัว ปวดบวมอักเสบ รักษาต่อมทอนซิลอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ปวดกระเพาะ แก้ฟกช้ำดำเขียว และใช้เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงน้ำดี และช่วยเจริญอาหาร ผลสุกและผลดิบ รสขมขื่นเปรี้ยว แก้โรคเบาหวาน ละลายก้อนนิ่ว แก้ไข้สารพัดพิษ ช่วยเจริญอาหาร แก้กินผิดสำแดง ลดน้ำตาลในเลือด ได้บ้าง แก้ไอ ขับเสมหะ ขับลม แก้ไข้เพื่อเสมหะในคอ แก้น้ำลายเหนียว ขับปัสสาวะ บำรุงน้ำดี การกระจายพันธุ์ พบตามป่าธรรมชาติในบริเวณที่ราบ ชายป่าที่โล่งแจ้งและที่รกร้างริมทาง สามารถพบได้ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ 3,5 21,22 SOLANACEAE บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 138


มะอึก หมอยาพื้นบ้าน 2 ชื่อสามัญ Solanum, Bolo Maka ชื่อท้องถิ่น มะเขือปู่ มะปู่ มะเขือขน หมากขน (ภาคเหนือ), หมากอึก หมักอึก บักเอิก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), อึก ลูกอึก (ภาคใต้), มะอึก (ภาคกลาง), ยั่งคุยดี (กะเหรี่ยง) ชื่อวิทยาศาสตร์ Solanum stramoniifolium Jacq. ชื่อวงศ์ SOLANACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้พุ่มขนาดกลาง ล�ำต้น 1-2 ม. ลำต้นมีขนละเอียดสีน้ำตาลอ่อนและหนามปกคลุม ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน รูปไข่กว้าง โคนเว้าหรือตัด ขอบหยักเว้าเป็นพู กว้าง 15-25 ซม. ยาว 20-30 ซม. แผ่นใบสีเขียว มีขนอ่อน และหนามปกคลุมผิวใบทั้งด้านบนและด้านล่าง ดอก ดอกช่อกระจุก ออกที่ซอกใบ กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ ที่โคนเชื่อมติดกัน ปลายแหลม สีขาว เกสรตัวผู้ 5 อัน สีเหลือง มักรวบล้อมรอบก้านเกสรตัวเมีย เป็นยอดแหลม เกสรตัวเมีย 1 อัน ภายในมี 2 ห้อง ผล ผลเดี่ยว รูปทรงกลม มีขนาด 1.8-2 ซม. ผิวมีขนยาวหนาแน่น ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองแกมน้ำตาล ในผลมีเมล็ดแบนจำนวน มากเรียงเป็นแถวอยู่ภายใน เนื้อผลมีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สรรพคณุ ใบ เป็นยาพอก บริเวณแผลคัน รักษาอาการคันได้ดี ใช้ตำแก้พิษจากฝีหนอง รักษาอาการแก้ปอดบวม ราก ช่วยดับพิษร้อนจากไข้ในร่างกาย ช่วยรักษาอาการกระหายน้ำ น้ำลายเหนียว ช่วยลดไข้ แก้ไข้หวัดได้ดี ช่วยลดบรรเทาอาการ แก้ปวด แก้อาการดีพิการ ขับน้ำดีไม่ปกติ ช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ สะดุ้งตื่น ผวาตอนกลางคืน เมล็ด ใช้รักษาอาการปวดฟันได้ดี ผล ช่วยในการขับเสมหะ ฟอกเสมหะในลำคอ ช่วยรักษาอาการไอ เจ็บคอได้ดี ช่วยให้ชุ่มคอ ช่วยแก้ดีพิการ แก้โทษจากน้ำดีต่างๆ การกระจายพันธุ์ พบอย่างแพร่หลายทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักไม่นิยมปลูกเพื่อเป็นการค้าสักเท่าไหร่ จึงไม่พบเห็นได้บ่อยเท่า มะแว้งและมะเขือพวง SOLANACEAE 2 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 139


กฤษณา หมอยาพื้นบ้าน 15 , 19 , 20 ชื่อสามัญ Eagle wood, Agarwood, Aglia, Aloewood, Akyaw, Calambac, Calambour, Lignum aloes ชื่อท้องถิ่น กฤษณา, สีเสียดน้ำ, ตะเกราน้ำ, ไม้หอม, ไม้พวงมะพร้าว, กายูการู, กายูกาฮู, กายูดึงปู, เซงเคง, จะแน, พวมพร้าว, ปอห้า ชื่อวิทยาศาสตร์ Aquilaria crassna Pierre ex Lecomte ชื่อวงศ์ THYMELAEACEAE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ล�ำต้น สูงประมาณ 18-30 ม. ลำต้นตรง เปลือกต้นเรียบมีสีเทาอมขาว ใบ ใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปรี กว้าง 3-5 ซม.ยาว 6-11 ซม. ปลายเป็นติ่งแหลม ส่วนโคนใบมน ขอบเรียบ แผ่นใบค่อนข้างหนา เรียบและเกลี้ยง ดอก ดอกเป็นช่อ ออกบริเวณซอกใบ มีสีเขียวอมสีเหลือง กลีบเลี้ยงโคนติดกันเป็นหลอดสั้นๆ มีปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก ติดทน ส่วนกลีบดอกมี 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้อยู่ 10 อัน ผล ผลเป็นรูปกลมรี ยาวประมาณ 2.5 ซม. กว้างประมาณ 1.5-2 ซม. มีเส้นแคบตามยาว ของผล ผิวของผลมีลักษณะขรุขระเป็นลายสีเขียว และมีขนละเอียดสั้น ๆ คล้ายกำมะหยี่ขึ้น ผลเมื่อแก่จะแตกและอ้าออก ภายในมีเมล็ด ประมาณ 1-2 เมล็ด มีสีน้ำตาลเข้ม สรรพคณุ เนื้อไม้ มีรสขม หอม ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงกำลัง ช่วยบำรุงธาตุ คุมธาตุในร่างกาย ช่วยบำรุงโลหิต ใช้รับประทาน ช่วยทำให้หัวใจชุ่มชื่น ช่วยแก้ลมวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ใช้ปรุงเป็นยาหอมแก้อาการหน้ามืดวิงเวียน ช่วยแก้ไข้ต่างๆ ใช้ต้มดื่มแก้อาการ ร้อนในกระหายนำ้ แก้เสมหะ ด้วยการนำมาผสมกับยาหอมใช้รับประทาน หรือนำมาต้มเป็นนำ้ดื่ม ในกรณีที่มีอาการกระหายนำ้มาก ช่วย แก้ลมซาง ใช้สุมศีรษะแก้ลมซางในเด็ก ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยแก้หอบหืด ช่วยรักษาอาการปวด แน่นหน้าอก ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ซึ่งในปัจจุบันได้มีการนำกฤษณาไปผลิตเป็นยารักษาโรคกระเพาะที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง คือ “จับ เชียอี่” ไม้ลูกแก่น เมื่อนำมาใช้เผาจนเกิดกลิ่นหอม ใช้สูดดมจะช่วยทำให้เกิดกำลังวังชา ใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ ชิ้นไม้ ช่วยบำรุงสมอง ใช้ระงับอารมณ์โมโหดุร้าย ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ทำให้มีอารมณ์สุนทรีย์ ใบ น้ำจากใบสามารถนำมาใช้เพื่อรักษาโรคเบาหวานได้ น�้ำมัน ช่วยรักษาโรคตับ มะเร็งตับ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาโรคในลำไส้ โรคกระเพาะอาหาร ใช้เป็นยารักษาโรคมะเร็งลำไส้ หรือ รับประทานน้ำกลั่นกฤษณาเป็นยาแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเป็นเถาดาน น�้ำมันจากเมล็ด สามารถนำมาใช้รักษาโรคเรื้อนและโรคผิวหนังได้ การกระจายพันธุ์ ขึ้นในที่ชุ่มชื้น จึงมักพบได้ทั่วไปตามป่าดงดิบทั้งชื้นและแล้ง หรือที่ราบใกล้กับแม่นำ้ลาธาร THYMELAEACEAE 20 19 15 บัญชรายการทรัพยากรช ี วภาพสมุนไพรจังหวัดนครศร ีธรรมราชี 140


Click to View FlipBook Version