ตกุ๊ ตำ
จรรยำ สุวรรณ์
Thai Tales from the Deep South
ตกุ๊ ตา
จรรยา สวุ รรณ์
(1)
ผมเผลอต่ืนจากฝันช่วงดึกของคืนหนึ่ง ในฝัน
ผมเหน็ ลกู สาวเดนิ อมุ้ ตกุ๊ ตาไปบนถนนพรอ้ มกบั หญงิ มสุ ลมิ
สองคน คนหน่ึงอยู่ในวัยกลางคน อีกคนในวัยสูงอาย ุ
ส่วนชายมีเคราเต็มใบหน้าก�ำลังจูงมือข้างหน่ึงของลูก
ทา่ ทางการเดนิ ของพวกเขาเปน็ ทา่ เดนิ แบบปกติ ไมเ่ รง่ รบี
ไมน่ บั วา่ เปน็ การวงิ่ หนี ผมตะโกนเรยี กลกู แตเ่ หมอื นไมม่ ี
ใครได้ยิน ผมพยายามวิ่งตามแต่เหมือนย่ิงว่ิงขาของผม
ยิ่งขยับไดช้ ้าลงเร่อื ยๆ
ผมตื่นมานั่งมองความมืดสลัวในอาการมึนงง
มองไปรอบตวั บนเตยี ง-ลกู สาวยงั คงนอนหลับ ขา้ งตัวมี
ตุก๊ ตาหมนี อนอยูข่ ้างๆ สว่ นภรรยานอนตะแคงโอบกอด
ลกู สาวไว้ ผมรสู้ ึกดีขึ้นเล็กน้อย แต่พอนึกถงึ ฝันท่ผี า่ นไป
เม่ือครู่ ท�ำให้คิดกังวลถึงคนข้างบ้านท่ีเพ่ิงย้ายมาอยู่
คลา้ ยวา่ ความกลัวบางอย่างยงั คงเกาะกินผมอยู่ มันยาก
ท่ีจะสลัดออกไปได้
จรรยา สวุ รรณ์ 103
เร่ืองเลา่ จากปลายดา้ มขวาน
(2)
เคยมีคนบอกว่าสะบา้ ยอ้ ยเป็นเมอื งปดิ หรอื เป็นแค่เมืองทางผา่ น
ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกบั คำ� พดู พวกน้อี กี แลว้ หลายสง่ิ ด�ำรงอย่แู ละเป็นไปแบบ
ท่ีมนั เปน็ เหตกุ ารณ์เลวร้ายผ่านไป และมันอาจกลับมาอีกไมร่ ู้เมอ่ื ไหร่ ชีวติ
ของผูค้ นท่นี ี่เหมือนข้องเกีย่ วอยูก่ บั คำ� วา่ ชะตากรรมตลอดเวลา
ผมเกดิ และโตทนี่ ่ี อำ� เภอสะบา้ ยอ้ ย เมอื งทสี่ ม้ แขกเตบิ โตและออก
ผลไดด้ กี วา่ ทอี่ น่ื ๆ สำ� หรบั ผมแลว้ ทน่ี ยี่ งั คงเปน็ บา้ น เพราะมนั มเี รอื่ งราวของ
บรรพบรุ ษุ ซกุ ซอ่ นอยแู่ ละคลา้ ยวา่ เรอ่ื งเลา่ เหลา่ นน้ั เปน็ ตำ� นานทฝ่ี งั ตวั มนั เอง
อยู่ในแทบทุกตารางนิ้วของผืนแผ่นดินหลายปีก่อนฝ่ายความมั่นคงจัดให้
สะบ้าย้อยเป็นพ้ืนที่สีแดง เนื่องจากมีเหตุการณ์ความไม่สงบอยู่บ่อยคร้ัง
ครง้ั รนุ แรงทส่ี ดุ คอื 28 เมษายน พ.ศ.2547 เกดิ เหตคุ นรา้ ยบกุ ทำ� รา้ ยเจา้ หนา้ ที่
ตำ� รวจทห่ี นว่ ยบรกิ ารประชาชน บรเิ วณหา้ แยกทางเขา้ ตลาดสะบา้ ยอ้ ย สง่ ผล
ให้เจา้ หน้าทต่ี ำ� รวจสังหารคนรา้ ยทัง้ หมด 19 ราย เหตกุ ารณ์ครั้งนัน้ ท�ำให้
การด�ำรงชีวิตปกติของคนที่น่ีเปลี่ยนไปแต่ยังไม่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของ
ครอบครวั เรามากเทา่ ตอนทน่ี อ้ งชายผมซง่ึ รบั ราชการตำ� รวจประจำ� การอยทู่ ี่
นี่ เขาถกู ยงิ ขณะกลบั จากตรวจลาดตระเวนความเรยี บรอ้ ยในตวั ตลาด จนถงึ
วนั น้กี ย็ งั ไม่สามารถหาคนรา้ ยมาลงโทษตามกฎหมายได้
แม่ในวัยเจด็ สิบเริม่ ป่วยหนกั หลังจากน้ัน ทกุ คนในครอบครวั ตา่ ง
เสียขวัญ และหวาดกลัว เราเริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวของเหตุการณ์ความ
รนุ แรงเมื่อตอ้ งมาประสบกบั ตัวเอง มมุ มองต่อสง่ิ ต่างๆ รวมถึงผคู้ นทีเ่ ดนิ
สวนไปมากบั เราทุกเม่อื เชอ่ื วนั กเ็ รมิ่ เปลี่ยนไป
ทำ� ไมคนมุสลิมถึงชอบสร้างความรุนแรง ท�ำไมเขาถึงต้องทำ� ร้าย
คนต่างศาสนาน่ีคือค�ำถามท่ีเกิดขึ้นในความรู้สึกของเรา แม้เราจะมีเพื่อน
บางคนเป็นมุสลิม แต่ข้อสงสัยเหล่านี้กลับไม่เคยคลี่คลายไปสู่ความเข้าใจ
104 ตุ๊กตา
Thai Tales from the Deep South
ของเรา เราจึงมองคนมุสลิมแปลกหน้าเป็นเหมือนตัวแทนของความ
หวาดระแวง เราอยรู่ ว่ มไดแ้ ตก่ บั คนทเ่ี คยรจู้ กั แตพ่ อมใี ครสกั คนทไ่ี มเ่ คยพบ
เจอหน้าตามาก่อน เราจงึ ไมอ่ ยากปฏสิ ัมพนั ธด์ ้วย
เรอ่ื งทง้ั หมดเรมิ่ ตน้ ขน้ึ ในทำ� นองนี้ และมนั ดำ� เนนิ ไปอยา่ งไมร่ จู้ บสนิ้
เส้นแบ่งของการรู้จักถกู คั่นดว้ ยการทำ� เปน็ มองไม่เหน็ เหมือนเราตาบอดไป
ข้างหนง่ึ เพยี งเพราะเรากลัว!
(3)
อาคารพาณิชย์ที่เป็นบ้านของผมมีอยู่ห้าหลัง นับจากหัวมุมถนน
บา้ นของผมเปน็ หลงั ทส่ี อง หลงั แรกเปน็ รา้ นของชำ� ถดั ไปกเ็ ปน็ รา้ นเสรมิ สวย
รา้ นขายปยุ๋ และสำ� นกั งานบรษิ ทั ประกนั เรยี กวา่ เปน็ ยา่ นการคา้ ทมี่ คี นพลกุ พลา่ น
พอสมควรเลยทเี ดียว
แต่แล้วไมก่ ีว่ ันก่อน จู่ๆ บา้ นหลังหวั มมุ ถนนทอ่ี ยตู่ ิดกับบ้านผมก็
ยา้ ยออก สองสามภี รรยาอดตี ขา้ ราชการในวยั หกสบิ กวา่ ซง่ึ เปน็ เจา้ ของบา้ น
ท่สี นทิ กนั ดีเลา่ กับผมว่า แต่เดมิ ลูกๆ สนับสนนุ ให้เปิดรา้ นของช�ำ มีงานท�ำ
จะได้ไม่เบื่อกับชีวิตในวัยหลังเกษียณ แต่พอญาติๆ ท่ีมีอยู่ท่ีนี่เร่ิมล้มหาย
ตายจากไปทลี ะคนสองคน และลกู ๆ ตา่ งกไ็ ปทำ� งานตงั้ รกรากอยตู่ า่ งจงั หวดั
กันหมดทั้งเรื่องของสถานการณ์ความไม่สงบท่ียังไม่อาจไว้วางใจได้ ลูกๆ
ก็เลยตดั สินใจใหย้ ้ายไปอยกู่ ับพวกเขาที่ต่างจังหวัด บา้ นหลงั น้ีถ้าขายไมไ่ ด้
ก็จะใหเ้ ขาเช่าต่อไปสกั ระยะ
ว่าไปแล้วการย้ายบ้านไปอยู่ท่ีอ่ืนของคนที่นี่ไม่ใช่เกิดข้ึนเป็นราย
แรก เพยี งแตผ่ มเพงิ่ ประสบกบั คนใกลต้ วั เลยรสู้ กึ เหมอื นกำ� ลงั ถกู ทงิ้ เหมอื น
เป็นการทิง้ เราไวใ้ นบา้ นตวั เอง ท่ีๆ เราคนุ้ เคยดี แต่เรากลบั ต้องหันมองไป
รอบๆ อยา่ งไมไ่ วว้ างใจ
จรรยา สวุ รรณ์ 105
เร่ืองเลา่ จากปลายด้ามขวาน
(4)
ชว่ งอากาศรอ้ นในบา่ ยวนั หนงึ่ ผมนงั่ อยใู่ นบา้ น ไดย้ นิ เสยี งรถมาจอด
และเสียงประตเู หลก็ เลื่อนออก และมีเสียงคนคุยกนั “ช่วยหนอ่ ยๆ เร็วๆ”
เสยี งของผูช้ ายเหมอื นก�ำลังรบี ๆ
ผมเดนิ ออกไปดู พบว่ามีรถหกล้อมาจอดตรงหนา้ บา้ นหัวมุมถนน
มีคนย้ายเข้ามา และพวกเขาก�ำลังขนของกันยกใหญ่ เด็กหนุ่มกับชายวัย
กลางคนหนวดเคราเต็มใบหน้า นุ่งโสร่งสวมกะปิเยาะห์สีขาวก�ำลังย้าย
จักรเย็บผ้าลงจากรถอย่างทุลักทุเลและมีหญิงมุสลิมสองคนก�ำลังยกลัง
กระดาษใบใหญ่เข้าไปในบา้ น คนหนงึ่ น่าจะวยั สามสบิ ปลายๆ สว่ นอีกคน
เดาวา่ คงเป็นแม่อายนุ ่าจะเจ็ดสิบปลายๆฝ่ายผชู้ ายหนั มาทางผม พยกั หน้า
เบาๆ สง่ ย้ิมอย่างเป็นมิตร ผมพยักหน้ายมิ้ รบั อย่างเล่ียงไม่ได้ หนั มองไป
บนรถยงั มขี ้าวของอกี หลายชนดิ เตม็ คันรถ แล้วก็หันหลงั เดนิ กลับเข้าบ้าน
ผมรสู้ กึ แปลกใจ ทจ่ี ๆู่ ก็มคี นมุสลิมย้ายมาอยู่บ้านหลังน้ัน ทำ� ไม
พวกเขาไม่ไปอย่ยู า่ นมุสลิมท่อี ยูถ่ ดั ออกไปในตวั ตลาด ความรูส้ กึ ไมค่ นุ้ เคย
อึดอัด และไม่ไว้วางใจเร่ิมเข้าครองความรู้สึกผมจนเต็มพื้นที่ พวกเขามา
จากไหน ทำ� ไมถึงไมค่ นุ้ หนา้ คุ้นตาเอาเสียเลยนานนบั ช่ัวโมงทีภ่ าพของชาย
ไวเ้ คราคนนน้ั ตดิ ตรงึ ในความรสู้ กึ ผม และนกึ ยอ้ นไปถงึ วนั ทส่ี ญู เสยี นอ้ งชาย
มนั ยากทจ่ี ะหา้ มไมใ่ หร้ สู้ กึ วา่ คนรา้ ยทย่ี งิ นอ้ งชายผมไมใ่ ชค่ นมสุ ลมิ เพราะ
ทุกคร้ังท่ีมีเหตุการณ์แล้วจับคนร้ายได้ผู้ต้องหาก็ล้วนเป็นคนมุสลิม อีกทั้ง
ภาพจากโปสเตอร์ผู้ท่ีถูกหมายจับในเหตุการณ์ไม่สงบที่ด่านทหารตรงถนน
ใหญก่ เ็ ปน็ คนมสุ ลมิ ทกุ อยา่ งเหมอื นมนั ชนี้ ำ� ความรสู้ กึ และถกู ตดั สนิ ใหเ้ ปน็ ไป
ทิศทางนนั้ โดยท่เี ราไม่เคยพดู ถึงหลักฐานหรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ เชงิ ประจกั ษ์ ท้งั ที่
คนมุสลิมส่วนใหญก่ ็เปน็ คนดี แตค่ วามร้สู กึ ระหวา่ งคนดีกบั คนไม่ดีมนั ต่อสู้
กันในสำ� นกึ ทบี่ กพร่องของผม และผมแพ้ใหก้ บั ตัวเองทกุ ครงั้ เมื่อนึกย้อนไป
ถึงการสูญเสียน้องชาย ไม่แปลกอะไรเลยที่ผมจะรู้สึกไม่สะดวกใจท่ีจะคุย
กบั มสุ ลมิ แปลกหนา้ ซำ�้ รา้ ยตอนนพ้ี วกเขายงั ยา้ ยมาอยบู่ า้ นตดิ กบั ผม ราวกบั
มีใครกลั่นแกลง้ ให้ต้องเจออะไรแบบนี้กไ็ มผ่ ดิ
106 ตกุ๊ ตา
Thai Tales from the Deep South
“มคี นยา้ ยมาอยแู่ ลว้ เหรอคะ” ภรรยาถามผมทนั ทเี มอื่ กลบั มาถงึ บา้ น
เธอคงยงั ไมเ่ หน็ ตอนเดนิ เข้าบ้าน คงเพราะพวกเขาวุน่ ๆ อยูก่ บั การจัดของ
ในบา้ น แตผ่ มยงั ไมท่ นั ไดต้ อบลกู สาวกพ็ ดู ขน้ึ อกี คน “ใครมาอยเู่ หรอคะพอ่ ”
“นอ้ งอยา่ รู้เลยนะครับ” ผมบอกลกู
“ลูกอยู่ปอห้าแล้วนะคุณ เขาต้องรู้จักคุยกับคนอ่ืนแล้วนะ จะให้
อยู่ไม่คบใครเหมือนคุณได้ไง” ภรรยาเดินมาประชิดตัวผมแล้วพูดหน้าตา
เชงิ ต�ำหนิ
“กไ็ ดๆ้ ” ผมพยกั หน้ามองสองแมล่ กู “พอ่ ก็ไม่รู้หรอก เทา่ ที่เห็น
พวกเขามากันสามคน เป็นคนมสุ ลิม”
ภรรยาผมนงิ่ ไปครหู่ นง่ึ กอ่ นพดู ดว้ ยสหี นา้ เรยี บเฉย “กด็ นี ค่ี ะ แถวน้ี
มีแตค่ นจีน มมี ุสลิมบา้ งกด็ ”ี
“คุณแนใ่ จเหรอ”
“แลว้ เราควรทำ� ไง...ฉนั รวู้ า่ คณุ คดิ อะไร กลวั อะไร แตม่ นั ไมเ่ กย่ี วกบั
พวกเขา คณุ ไปตดั สนิ คนอืน่ ดว้ ยการมองพวกเขาในแงร่ า้ ย ดๆู กนั ไปกอ่ น
ดกี วา่ มัย้ คะว่าเขามาท�ำอะไร ท�ำไมถึงยา้ ยมาอยทู่ ี่นี่ แล้วเราคอ่ ยมาคยุ กนั
ไมต่ อ้ งเครยี ดไปกอ่ น” ภรรยาผมพดู ถอนใจ มองหนา้ ผมจรงิ จงั กอ่ นเอามอื
ไปลบู หวั ลูกสาวเบาๆ
“มันก็ควรเป็นอย่างงั้น” ผมพยักหน้าย้ิมจืดๆ ในใจยังกังวล
หวาดระแวงไปต่างๆ นานา
รุง่ ขึ้นอกี วนั ผมไดแ้ ตแ่ อบทำ� เมยี งๆ มองๆ อยหู่ า่ งๆ ถา้ พวกเขา
ออกมาหนา้ บ้าน ผมก็จะหลบเข้าไปในบ้าน พอพวกเขาเดินเข้าบ้านผมถงึ
จะทำ� ทอี อกมาเดนิ ดตู น้ ไมใ้ นกระถางบา้ ง สามวนั หลงั จากนน้ั บา้ นคนมสุ ลมิ
กเ็ อาโตะ๊ ยาวมาวางหนา้ บา้ น ถดั จากนน้ั เพยี งสองวนั พวกเขาสองคนผวั เมยี
ก็เปิดร้านขายข้าวย�ำ มีป้ายแขวนหน้าโต๊ะไว้ว่า ข้าวย�ำใบยอปัตตานี
ถัดจากน้ันอีกวันก็เอาโต๊ะอีกตัวมาวาง พร้อมเตาแก๊สและกระทะใบใหญ่
พรอ้ มป้ายแขวนหนา้ โตะ๊ ปาทอ่ งโก๋บงั อี
จรรยา สุวรรณ์ 107
เร่ืองเลา่ จากปลายดา้ มขวาน
สรุปแล้ว พวกเขาย้ายมาอยู่บ้านหลังน้ันด้วยจุดประสงค์ของการ
ทำ� มาหากนิ ไมม่ คี วามผดิ ปกตใิ ดๆ แตผ่ มกย็ งั กงั วลใจอยดู่ ี พวกเขามาจาก
ไหน ทำ� ไมตอ้ งมาอยูท่ นี่ ี่ นี่คือค�ำถามทีผ่ ดุ ข้นึ ในใจผมอยา่ งไมเ่ ลอื นหายไป
โดยงา่ ย และผมควรวางตวั อยา่ งไร ทกั ทายพวกเขาในฐานะคนบา้ นใกลเ้ รอื น
เคยี ง หรอื ทำ� เมนิ เฉยตอ่ ไปเรอ่ื ยๆ จนกวา่ จะแนใ่ จในอะไรบางอยา่ งเสยี กอ่ น
(5)
ถนนทต่ี ดั ผา่ นหนา้ บา้ นผม ฝง่ั ทางขวาสดุ ทางทเี่ สน้ หลกั มงุ่ ตรงไป
ยังยะลา และเทพา ฝั่งซ้ายตรงไปยังตัวตลาด และทุกวันอังคารจะม ี
ตลาดนัดใหญ่ประจำ� สัปดาห์
ผมชอบออกไปเดนิ ตลาดอยบู่ ่อย แตน่ านๆ ครงั้ ถึงจะมีโอกาสได้
ไปพรอ้ มกบั ลกู และภรรยา
“ไปกันไหมคุณ นานๆ คณุ กับลูกจะได้หยดุ พรอ้ มกนั ” สบโอกาส
ผมกช็ วนภรรยาไปเดนิ เลน่ ท่ตี ลาดเราคนุ้ เคยกับพอ่ ค้าแม่ค้าทกุ คน เฉพาะ
พวกขายผา้ มอื สองสว่ นใหญแ่ ลว้ จะเปน็ คนมสุ ลมิ พวกหนา้ เดมิ ๆ ทมี่ าจากทอี่ น่ื
ไมร่ ้จู กั ช่อื แต่เจอหน้าก็ย้มิ ให้กนั ไมถ่ ึงกับต้องไปสนทนาหาความอะไรดว้ ย
“พ่อคะ ดูสิคะ ตุก๊ ตาเต็มเลย” ลูกสาวชไ้ี มช้ ้ีมือไปยงั กองต๊กุ ตาท่ี
วางอยขู่ า้ งถนน มนั เปน็ พวกตกุ๊ ตาทสี่ ภาพดเู กา่ ๆ มหี ลากหลายชนดิ ใหเ้ ลอื กซอื้
ร้อื คน้ ไดต้ ามใจ
“น้องอยากได้หรือคะ” ภรรยาผมถามลกู
“ค่ะ น้องอยากได้ตุ๊กตาหมีค่ะ ตุ๊กตาโลมาที่มีอยู่มันเก่าแล้ว”
ลกู สาวบอก
“ง้นั ไปดกู อ่ น” ผมบอก พลางจูงมอื ลูกเดนิ ไปที่กองตุ๊กตา
“นัน่ ไงคะ ตุ๊กตาหมี นอ้ งเอาตวั น้ัน” ลูกสาวบอก พลางกม้ ลงไป
หยิบขน้ึ มากอด
คนขายหน้าคนุ้ เคย ยิ้มกว้างแล้วบอก“ตวั นน้ั สวยเลยครับ ถ้าเอา
ผมลดใหเ้ ลยครบั ”
108 ตกุ๊ ตา
Thai Tales from the Deep South 109
ภรรยาผมฉวยตุก๊ ตาจากมอื ลกู มาสำ� รวจ “น้องจะเอาตัวน้ีหรือคะ
ดูสิ ตามันมขี ้างเดียวน่าสงสารจงั ”
“อย่าเอาเลยลกู พ่อว่าลองหาตัวอืน่ ดมู ้ัย” ผมบอกลูก
“ไม่ค่ะ น้องจะเอา เราค่อยหาตามันมาใส่เข้าไปได้มั้ย มันน่า
สงสาร” ลูกสาวยงั ไม่ยอม
“ใชค่ รบั นา่ สงสาร ผมพามนั ไปหลายทไ่ี มม่ เี ดก็ คนไหนสงสารมนั เลย
เอาง้ีนะครับ ผมให้ย่ีสิบบาทพอ” คนขายเป็นเด็กหนุ่มมุสลิมท่าทางใจด ี
พดู สง่ ยิม้ เหมอื นเคย
“งั้นก็เอาเหอะ เร่ิมรอ้ นแล้ว เดี๋ยวแมต่ อ้ งไปซ้อื กับขา้ วอีก” ผมพูด
เชงิ ขอร้องภรรยายม้ิ พยักหนา้ ลว้ งเงินจากกระเป๋ายนื่ ให้คนขาย
“ขอบคณุ คะ่ ” ลกู สาวยมิ้ รา่ เรงิ ถอื ตกุ๊ ตาไวใ้ นมอื จนแนน่ “แมอ่ ยา่ ลมื
หาตามาใสใ่ ห้มันนะคะ มันจะไดม้ องเห็นเหมอื นตวั อน่ื ๆ”
“ได้จ้ะ แล้วแมจ่ ะลองหาดูนะคะ”
เราเดินตลาดอีกพักใหญ่ๆ ตลาดท่ีนี่มีสีสันของความเป็นพ้ืนถ่ิน
อยมู่ าก ยิ่งชว่ งน้ีเปน็ ฤดผู ลไม้ และใกล้ถงึ ชว่ งรายอดว้ ย ในตลาดจงึ คกึ คัก
เปน็ พเิ ศษ วา่ กนั วา่ ทเุ รยี นทนี่ เี่ นอ้ื ดี และราคาถกู กวา่ ทอ่ี น่ื ๆ สะตอกล็ ว้ นมาจาก
ปา่ ทสี่ มบรู ณ์ ทง้ั เมด็ ใหญแ่ ละฝกั ใหญย่ าวไมต่ อ้ งพดู ถงึ ลองกอง เงาะ มงั คดุ
ท่ีมีขายเต็มสองข้างทางตลอดฤดูกาล ส่วนส้มแขกผลไม้ข้ึนชื่อของท่ีน่ี
นอกจากชนิดตากแห้งที่มีอยู่ในทุกครัวเรือนแล้ว ส้มแขกยังผลิตเป็นสินค้า
โอท็อปหลากหลายชนิดอีกด้วยแต่ความสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินท่ีนี่กลับถูก
ปกคลุมด้วยความกลัวอยู่หลายปี จึงเป็นท้ังดินแดนลึกลับและสมรภูมิใน
สายตาคนภายนอก หากแตส่ �ำหรบั คนท่นี ่ี มันคอื บ้าน และคอื พ้นื ท่แี หง่ การ
ด�ำรงอยู่ แม้ในความหลากหลายเหล่าน้ันจะซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้
มากมายกต็ าม
กลับจากตลาด ผมต้งั ใจวา่ จะไม่พูดทกั ทายบ้านมุสลิมบา้ นตดิ กัน
เหมือนทุกวัน แตเ่ หตกุ ารณ์มนั ไมเ่ ปน็ แบบนนั้ ผมจอดรถเก๋ง สว่ นภรรยา
เดินออกไปเปิดประตูบ้าน ผมเปดิ กระจกมองหลงั ขณะถอยรถ
จรรยา สุวรรณ์
เร่ืองเลา่ จากปลายด้ามขวาน
“ไปไหนกันมาคะ” เสียงหญิงมุสลิมขายขา้ วย�ำทักทายภรรยาผม
ด้วยเสียงราบเรียบ
“ออ้ ไปตลาดมาค่ะ” ภรรยาผมย้ิมตอบ ขณะจูงมอื ลูกกำ� ลงั จะ
เดินเขา้ บ้าน
“โอ้ ตุ๊กตาสวยมากเลย แล้วตาข้างหน่ึงของมันหายไปไหนจ๊ะ
หลาน” คราวนี้หญงิ มุสลิมวัยชราเดินย้มิ ทักทาย “ไหนใหค้ ณุ ยายอ้มุ หน่อย
สิคะ”
ภรรยาผมหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ขณะผมถอยรถเข้าจอด ลงจากรถ
แลว้ รีบเดนิ ออกมา ภาพทเ่ี ห็นคอื หญิงชรากำ� ลงั อุม้ ตกุ๊ ตาหมีอยู่ ส่วนหญิง
คนท่ีขายข้าวย�ำยืนอยู่ข้างชายมีเครา พวกเขาท้ังหมดย้ิมให้กับผม ผมยิ้ม
ตอบตามมารยาท
“กลบั เขา้ บา้ นกนั ไหมครบั อากาศรอ้ นมาก” ผมบอกลกู กบั ภรรยา
แล้วรีบจูงมือทงั้ คกู่ ลบั เข้าบา้ น
“คณุ เปน็ อะไรของคณุ เนยี่ เขากค็ ยุ กบั เราดๆี นะคะ ไมเ่ อานะแบบนี้
ยงั ไงกอ็ ยบู่ า้ นใกลก้ นั จะหลบหนา้ ไมค่ ยุ กนั คงไมไ่ ดห้ รอก” ภรรยาพดู กระซบิ
กับผมทันทีที่เราเดินไปอยู่ในครัว “อย่าท�ำให้ลูกเรากลัวไปด้วยนะคะ
เดก็ มนั ไม่ไดร้ ู้เรื่องอะไรดว้ ย”
ผมพยกั หนา้ ยอมรับ ส่งยม้ิ ใหภ้ รรยาอย่างรสู้ ึกเข้าใจ แล้วเดนิ ไป
หาลูก นัง่ ลงข้างๆ แลว้ พดู “น้องจะตง้ั ชอ่ื ลูกหมตี วั นี้ว่าอะไรครบั ”
“ยังนึกไม่ออกเลยค่ะพ่อ หรือว่าชื่ออาบังดีไหมคะ” ผมอึ้งไป
คร่หู นึง่ กบั ความคิดของลกู
“ช่ือน้ีก็ดีนะ แต่ว่าน้องแน่ใจแล้วเหรอ” ผมถามอย่างคิดอะไร
ไมอ่ อก
“แน่ใจค่ะ น้องว่าอาบังคนข้างบ้านท่าทางใจดี ก็เลยต้ังชื่อให้
น้องหมีแบบน้ี ได้ไหมคะ” ลูกสาวพูดเสียงเบา พลางเอามือลูบหัวลูกหม ี
ตาเดยี วอยา่ งทา่ ทางเอน็ ดผู มมองหนา้ ลกู ใจหนงึ่ ไม่อยากใหล้ กู หมชี อื่ อาบงั
แตอ่ ีกใจไม่อยากขัดใจลกู อกี อยา่ งผมไมอ่ ยากให้ภรรยาบ่นเรื่องน้อี ีก
110 ต๊กุ ตา
Thai Tales from the Deep South 111
(6)
เหตุการณ์ทุกอย่างด�ำเนินไปเป็นปกติ ร้านข้าวย�ำมีคนแวะมาซื้อ
มากข้ึน ปาท่องโก๋บังอีก็ขายจนเกลี้ยงทุกวัน ส่วนหญิงชราง่วนอยู่กับงาน
เยบ็ ผา้ อะไรสกั อยา่ ง เหมอื นจะไมไ่ ดเ้ ปดิ รบั งานแบบชา่ งเยบ็ ผา้ ทวั่ ไป เพราะดๆู
แล้วนางแคน่ ั่งอยตู่ รงน้นั กับผ้าไม่ก่ีชิน้ เทา่ นั้นเอง
หลายวนั ตอ่ มา ขณะผมเปดิ ประตบู า้ น ถอยรถออกจะไปสง่ ลกู สาว
กับภรรยา หญิงชราก็เดนิ มาหาผม พร้อมของในมือ
“นค่ี ะ่ คณุ ผชู้ าย ของกนิ ทเ่ี ราทำ� ขาย อยากใหค้ ณุ ลองชมิ ดู เผอ่ื วนั ไหน
อยากกินก็ไม่ต้องเกรงใจนะ” หญิงชราย่ืนของในมือให้ ผมยืนละล้าละลัง
เพยี งอึดใจ ก็ย่ืนมอื ไปรบั ไว้อยา่ งเสียไมไ่ ด้
“ขอบคณุ ครบั ยาย” ผมพดู พลางหนั ไปมองสองสามภี รรยาทก่ี ำ� ลงั
ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง จังหวะน้ันบังผู้มีเคราเต็มหนา้ ก็บังเอิญหันมาพอดี
เขาย้มิ พยักหนา้ ให้ ผมก็พยกั หนา้ ตอบแลว้ รีบหลบตา
“ฉนั ไปกอ่ นนะ พอดตี อ้ งรบี เยบ็ ผา้ ชดุ ใหมใ่ หพ้ วกเขาใสร่ ายอทจี่ ะถงึ ”
หญิงชราบอก พลางหันไปมองสองสามีภรรยา
ผมเดนิ ขน้ึ รถ รบี ปดิ ประตู ทนั ทนี นั้ ภรรยาทน่ี ง่ั อย่ใู นรถก็ถามข้นึ
“อะไรหรอื คะในถงุ น่ะ”
“ออ๋ ก็คุณยายเขาให้ปาท่องโก๋แลว้ กข็ ้าวย�ำ” ผมบอก
“แล้วคุณขอบคุณเขารึยังคะ” ภรรยาถาม ผมอึกอักจะตอบ
แตก่ ็ไดพ้ ยกั หนา้ ทำ� ทีว่า ใช่ ผมขอบคุณแล้ว ทง้ั ท่คี วามจรงิ คือไม่
“น้องอยากกนิ ปาทอ่ งโกค๋ ะ่ ไดไ้ หมคะ” ลกู สาวพูดขึ้นก่อน
“เรากินขา้ วกนั แล้ว ตอ้ งรีบไป วนั นี้ให้คุณพ่อกินคนเดียวไปกอ่ น
นะคะ” ภรรยาบอกลกู
กลับมาจากส่งลูกกับภรรยา ผมออกไปท�ำธุระเร่ืองเปิดร้านขาย
อะไหล่ กว่าจะกลับมาก็เท่ียง มาถึงก็เห็นบ้านข้างๆ ปิดร้านเงียบไปแล้ว
มองไปในบ้านหญิงชราก�ำลังน่ังง่วนอยู่ตรงหน้าจักรเย็บผ้า ผมละล้าละลัง
จะไปขอบคุณเรื่องของกิน แต่ก็ตัดสินใจเดินกลับเข้าบ้าน แล้วงีบหลับไป
จรรยา สวุ รรณ์
เร่ืองเล่าจากปลายดา้ มขวาน
ต่นื มาชว่ งบา่ ยแกๆ่ ผมเดนิ เข้าครัว แตน่ ึกขึน้ ได้วา่ ไมม่ กี ับขา้ วเหลืออย่เู ลย
หนั มองไปบนโตะ๊ มแี ตข่ า้ วยำ� กบั ปาทอ่ งโก๋ มนั คงจดื ชดื ไปแลว้ แตเ่ พราะขเ้ี กยี จ
ออกไปข้างนอก นั่งลงท่ีโต๊ะกินข้าว แกะห่อข้าวย�ำ เทใส่จาน ลองชิม
ปาท่องโกไ๋ ปชน้ิ หนงึ่ กอ่ น เน้อื ขนมเหนียวหนบึ เพราะมันเลยเวลากินไปแล้ว
ถา้ กนิ ตอนรอ้ นๆ คงอรอ่ ย สว่ นขา้ วยำ� ผมกนิ จนหมดจาน ไมร่ เู้ พราะหวิ หรอื
อะไรกนั แน่ แต่ผมรสู้ กึ วา่ มนั อร่อยกว่าทุกหนท่เี คยกิน
กนิ อม่ิ แลว้ ไปนงั่ นกึ คดิ ไปตา่ งๆ นานา ความรสู้ กึ แปลกหนา้ ไมไ่ วใ้ จ
ต่อคนข้างบ้านเหมือนคลายลง ไม่แน่ใจว่าก่อนนี้ความคิดผมผูกติดอยู่กับ
อะไร ใชเ่ พราะน้องชายทีต่ ายลงจากเหตุการณ์ความไม่สงบ และคนร้ายที่
ผมคิดไปว่าต้องเป็นฝีมือคนมุสลิม ซ่ึงอาจจะใช่... แต่ท�ำไมผมถึงต้อง
รังเกียจและไม่ไว้ใจมุสลิมแปลกหน้า เพียงเพราะไม่รู้จักอย่างเดียว หรือ
เพราะอะไรกนั แน่ ผมคดิ สบั สน และอยา่ งไมม่ อี ะไรทำ� จๆู่ ผมกน็ กึ ถงึ ตกุ๊ ตา
หมขี องลูก นกึ ถึงดวงตาท่มี นั หายไปขา้ งหน่ึง ดวงตาทห่ี ากมนั มชี ีวติ จริงๆ
คงมองเหน็ ไดล้ ำ� บาก แตผ่ มมชี วี ติ มดี วงตามองเหน็ ทง้ั สองขา้ ง ทำ� ไมกอ่ นนี้
ถงึ มองโลกไดด้ า้ นเดยี ว คดิ ไปแลว้ ไมร่ วู้ า่ ผมควรสงสารตกุ๊ ตาหมตี วั นน้ั หรอื
สงสารตวั เองกนั แน่
ผมคดิ วกวน ก่อนเดนิ ไปหยบิ ตกุ๊ ตาหมีขนึ้ มาอ้มุ ขนมนั นมุ่ สภาพ
มนั ยังดูสวย แตม่ กี ลนิ่ ฝุ่นฉนุ เข้าจมูก และขนบางจดุ ดูสกปรก ผมคดิ ได้วา่
ควรเอามนั ไปซกั ใหส้ ะอาด ลกู สาวกลบั มาเขาจะไดก้ อดมนั สนทิ ใจ ครตู่ อ่ มา
ต๊กุ ตาหมีดูสะอาดข้ึนมา ถา้ ตากแดดจนแห้งมันตอ้ งหอมแน่ๆ ผมจงึ เลอื่ น
ราวตากออกไปหนา้ บา้ น พาดตากต๊กุ ตาหมีไว้บนราว แลว้ เดนิ กลบั เข้าบ้าน
มองส�ำรวจทุกอย่างในบ้าน แล้วค่อยๆ จัดการงานบ้านตามปกติท่ีเคยท�ำ
ทุกวนั
เสร็จงานในบ้าน ผมเดินออกไปเกบ็ ตุก๊ ตาหมี คล�ำๆ ดวู า่ มันแห้ง
หรอื ยงั “คณุ ผชู้ ายคะ ฉนั วา่ นคี่ งใชไ้ ดน้ ะ” เสยี งดงั ขนึ้ มาจากขา้ งหลงั ผมตกใจ
หันไปมอง หญิงชราข้างบ้านนั่นเอง “โทษทีค่ะ ไม่นึกว่าคุณจะข้ีตกใจ”
หญงิ ชราพดู ยม้ิ กอ่ นยน่ื กระดมุ เสอื้ สดี ำ� ใหผ้ มดู ผมนกึ งงๆ อยวู่ า่ มนั คอื อะไร
112 ต๊กุ ตา
Thai Tales from the Deep South 113
“เอาตกุ๊ ตามาสคิ ะ เด๋ียวฉันเย็บตาขา้ งหนึง่ ให”้ หญิงชราบอก
“กระดมุ นหี่ รือครบั ”
“ใช่คะ่ มนั ก็พอจะแทนได้นะคะ ดีกวา่ ตาบอด” ค�ำพูดของนางทำ�
ผมกลนื นำ้� ลายลงคออยา่ งยากลำ� บาก “มานง่ั รอในบา้ นไหมคะ แปบ๊ เดยี วเอง”
หญงิ ชราเชญิ ชวน
ไม่รู้เพราะอะไร ผมเดินตามอย่างว่าง่าย ความแปลกหน้าสลาย
หายไปเมอ่ื ไหร่ ความกลวั ของผมหายไปตอนไหน ผมไม่ร้ตู ัวเลย ทกุ อย่าง
เกดิ ขึ้นราวถูกสะกดดว้ ยเวทมนตร์
ผมนง่ั อย่ใู นบ้านของคนท่ผี มเคยรู้สึกแปลกหนา้ คนทนี่ ่าจะช่ือว่า
บงั อี กำ� ลงั กม้ ละหมาดอยตู่ รงมมุ หอ้ งดา้ นใน สว่ นภรรยาของเขาเดนิ ถอื ขวด
นำ้� เยน็ กับแก้วมาวางบนโต๊ะข้างผม “กินน�้ำกอ่ นค่ะ”
ผมจิบน้�ำในแก้ว พลางมองหญิงชราท่ีก�ำลังสอดเส้นด้ายเพ่ือ
รอ้ ยดวงตาใหก้ ับต๊กุ ตาหมี ท่วงทา่ นนั้ เนิบช้า ประณีตกบั งานทีด่ ูไม่เปน็ งาน
ดเู หมือนนางจะมคี วามตง้ั ใจสูง เพราะกวา่ จะสอดเส้นด้าย กเ็ ลง็ แลว้ เลง็ อกี
เพอ่ื ใหไ้ ม่ให้ดวงตาขา้ งใดขา้ งเอียง
“เรยี กผมวา่ บงั อกี ไ็ ด้ พวกเรามาจากปตั ตานี อยทู่ โี่ นน่ เรากค็ า้ ขาย
พวกของกนิ นแ่ี หละ แตพ่ อมเี หตรุ ะเบดิ ตรงรา้ นทอ่ี ยตู่ ดิ กนั แมเ่ รากก็ ลวั ทจ่ี ะ
อยูท่ น่ี นั่ เรามญี าติอยู่ท่ีนีค่ นหนง่ึ เขาเลยหาท่ีทางให้มาอยู่ คิดวา่ จะอยูไ่ ป
สักพักนึง วนั หนง่ึ ถา้ แม่เลิกกลวั เรากค็ งกลับไปอยูป่ ัตตานีเหมือนเดิม” บงั อี
เดินมาน่ังข้างผมแล้วพูดแนะน�ำตัวเองและครอบครัวยาวเหยียด ผมน่ิงฟัง
อยา่ งเขินๆ เปน็ การแนะนำ� ตัวอย่างรวบรัดไดใ้ จความจรงิ ๆ
“แลว้ พวกคณุ ไมม่ ลี กู เหรอครบั ” ผมถามบงั อี บงั อหี นั ไปมองภรรยา
“คะ่ ลูกเราเสียไปสองปีแล้ว เกดิ ความเขา้ ใจผิดกันกบั เจ้าหน้าที่
ในช่วงเกิดเหตุรุนแรงที่ตากใบน่ะค่ะ ตอนน้ันเขายังเรียนมหาลัยอยู่เลย”
ภรรยาของบังอีพูดเล่าดว้ ยน�้ำเสียงเศรา้ ๆ
“เอม่ิ ” ผมพูดอะไรไม่ออก “เสยี ใจด้วยจรงิ ๆ ครบั ” บรรยากาศ
ชวนอึดอัดข้ึนมาทันที แต่เป็นไปในช่ัวไม่ถึงนาที หญิงชราก็พูดขึ้นท�ำลาย
จรรยา สวุ รรณ์
เรื่องเลา่ จากปลายดา้ มขวาน
ความเงยี บ พลางเดินมาหาผม ยื่นตกุ๊ ตาหมีให้ “เสร็จแลว้ มนั ก็พอดไู ด้นะ
ลกู สาวคุณตอ้ งชอบมนั แน่ๆ เชอ่ื ยายเลย”
ผมยม้ิ ยน่ื มอื รบั ตกุ๊ ตาหมไี วใ้ นมอื สำ� รวจมนั ดว้ ยสายตา มนั ดใู หมข่ น้ึ
และดูสมบูรณ์ท่สี ดุ เท่าทจ่ี ะเป็นไปได้ “ขอบคุณจรงิ ๆ ครบั ” ผมหันไปทาง
พวกเขาทลี ะคนแลว้ กลา่ วขอบคุณซ�้ำๆ
“ครบั ไวว้ า่ งๆ มาคยุ กนั บา้ งนะครบั พวกเรายงั ไมค่ อ่ ยรจู้ กั คนทนี่ ี่
สักเท่าไหร่” บงั อีพูดขึน้ ขณะผมเดนิ พน้ ประตบู ้านออกไป
(7)
แตแ่ ล้วจู่ๆ วนั หน่ึงเหตกุ ารณ์ไมป่ กตกิ ็เกดิ ข้นึ เช้าวันน้นั หน้าบ้าน
ของบังอีเงียบ ประตูบ้านก็ปิดเงียบ พวกเขาหายไปไหน ผมนึกสงสัยว่า
พวกเขาหายไปชว่ งไหน คงเพราะผมวนุ่ ๆ อยกู่ บั การจดั ของในรา้ นทใี่ กลจ้ ะ
เปดิ ในอีกไม่กีว่ นั เลยไม่ทันสังเกต
“คณุ รูม้ ้ัยบ้านขา้ งๆ เขาหายไปไหนกันหมด” ผมถามภรรยา
“อา้ ว กเ็ มอื่ วานอสิ ลามเขารายอกนั แลว้ นค่ี ะ คณุ ไมร่ เู้ หรอ คงกลบั
ไปปัตตานีกนั มง้ั คะ พวกเขาไม่ไดบ้ อกคุณหรอกเหรอ”
“ไม่นะ ไม่ได้บอก” ผมพูดทำ� หนา้ งงๆ
“ฉันก็นึกว่าคุณรู้แล้วเสียอีก พวกเขาบอกฉันเมื่อสองวันก่อน
ตอนฉันพาลูกไปขอบคุณคุณยายเร่ืองท่ีแกติดลกู ตาใหน้ อ้ งหมีของลูกนะ่ ”
“ออ้ เหรอ ผมคงยงุ่ ๆ จนลมื พวกเขาไปเองแหละ” ผมเกาหวั อยา่ ง
ไม่เข้าใจตวั เอง
“แลว้ พวกเขาจะกลบั มาไหม คณุ ยายจะกลบั มาไหมคะแม”่ ลกู สาว
อมุ้ ตุก๊ ตาหมเี ดินมาถาม ลกู คงไดย้ นิ เราคุยกัน
“คงกลบั มาแหละลกู เขายงั ไมไ่ ดย้ า้ ยออกไปเสยี หนอ่ ย” ผมบอกลกู
“ถา้ ไม่ได้คณุ ยาย ตุก๊ ตาอาบงั ของน้องคงตาบอดขา้ งหนึ่ง ดสู คิ ะ
มันสวยข้นึ เหมือนมันมีชีวติ จรงิ ๆ เลยคะ่ ” ลกู สาวพูดข้นึ อกี
114 ตุก๊ ตา
Thai Tales from the Deep South
ภรรยาผมเขา้ ไปโอบกอดลูก ลูบหวั เธอเบาๆ “คะ่ ลกู ไว้พวกเขา
กลับมาแล้วเราคอ่ ยไปหาคุณยายกันอกี นะคะ”
“คะ่ แม่”ลูกสาวรับค�ำแล้วกอดแม่จนแน่น
ห้าวันผา่ นไปครอบครัวบงั อียงั คงไม่กลบั มา สองวนั หลงั จากน้ันมี
ขา่ วเกดิ เหตรุ ะเบิดหลายจดุ ในตัวเมอื งปตั ตานี ข่าวรายงานวา่ เปน็ การสร้าง
สถานการณ์ ไม่มผี ู้เสียชวี ติ หรอื บาดเจบ็
เปน็ ครงั้ แรกทผ่ี มรสู้ กึ กงั วลกบั ขา่ วเหตกุ ารณค์ วามรนุ แรงมากกวา่
ปกติ ท้งั ที่กอ่ นน้จี ะรสู้ ึกชินชา ท�ำนองวา่ เกดิ ข้นึ อีกแล้วเหรอ แลว้ ทกุ อย่าง
ก็ผ่านไป เป็นเหมือนทุกครั้งท่ีเคยเป็นมา แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นอย่างน้ัน
ผมนกึ ถงึ ครอบครวั บงั อี นกึ เปน็ หว่ งอยวู่ า่ เกดิ อะไรกบั พวกเขาหรอื เปลา่ พวกเขา
จะกลับมาสะบ้ายอ้ ยอกี เมือ่ ไหร่ หรือจะไม่กลบั มาอีกแลว้ การรอคอยกลาย
เปน็ เร่อื งปกตขิ องครอบครวั เราหลังจากน้นั เราไดแ้ ตถ่ ามกันเองวา่ เมื่อไหร่
พวกเขาจะกลับมา ถามไปทั้งท่ีไม่มีใครให้ค�ำตอบกับใครได้ และเหมือน
เปน็ การถามเพอื่ ใหร้ สู้ กึ วา่ สบายใจทไ่ี ดพ้ ดู คำ� นน้ั ออกไป เรามดี วงตาอยคู่ รบ
ตกุ๊ ตาหมกี ม็ ดี วงตาครบสองขา้ ง แตเ่ หมอื นไมม่ ใี ครมองเหน็ พวกเขาอกี แลว้
สิบวันหลังจากนั้นพระเจ้าก็ส่งพวกเขากลับมา พวกเขากลับมา
พร้อมของฝากหลายอย่าง แต่เราไม่ดีใจเท่าท่ีได้เห็นรอยยิ้มของพวกเขา
อีกครั้ง ในรู้สึกของผมขณะน้ัน เหมือนว่าสะบ้าย้อยคือบ้านของพวกเขา
พวกเขาไมใ่ ชแ่ ขก หรอื คนแปลกหนา้ อกี ตอ่ ไปแลว้ เหมอื นพระเจา้ สง่ พวกเขา
มาสลายภเู ขาท่ที บั อกผมออกไป และทดแทนมนั ด้วยความรสู้ ึกใหม่อย่างที่
ผมไมเ่ คยสัมผสั มาก่อน
เก่ียวกับครอบครัวของบังอี ผมไม่รู้จะเรียกส่ิงที่เจอน้ีว่าอะไร
แต่ทุกขณะที่นึกอยู่นั้นภาพปรากฏในหัวผมทุกคร้ังคือภาพของกระดุมเสื้อ
ที่มาแทนดวงตาของตุ๊กตาหมีของลูก คล้ายว่ามันเป็นเหมือนภาพจ�ำของ
อะไรบางอยา่ งทีช่ ดั เจนจนไม่รจู้ ะหาถอ้ ยค�ำใดมาอธิบายไดอ้ ีกแล้ว
จรรยา สวุ รรณ์ 115
The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Noppadol Pholkul
Translated by Asst. Prof. Dr. Suraiya Sulaiman
Thai Tales from the Deep South
The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Noppadol Pholkul
The Past: The Good Old Days 119
The rattling sounds of ‘Tapone’ the two-
faced Thai barrel drum, resonated above the
water as if to urge Klaew to pul his oar even
harder. A lush mangrove of nipa palm stretched
along both sides of the estuarine Ranot District1,
but there was no shade from any big trees in
sight. The blazing pre-midday sun shining from
above could hardly affect Klaew’s gleaming
tanned skin. Nevertheless, the burning inside his
chest had driven him to tighten his grip and pul
the oar forward tirelessly.
As he was rowing his boat along the
canal, Kleaw felt infuriated with his father’s
insensible order. On a religious holiday like this,
when people celebrated the end of Buddhist Lent
with the Chak Phra Festival2, his father had
insisted that he climb the Palmyra palms3 to tap
n3etu2t1ThoxutPChReitablaaehiatleintlrlalnymyasaek,oidnniyvetnidPsersth.(ilpahSoyAreornpiicmnaunaaietalpFlhSdmlTheeolyiohrsunnteaf(tiohBaivTRrecaohtaaaeilratsnmlatsietroslepnsaastruld)unnnegassdi,Ialsrfinao.rlttdtanBheifibsrydeatoehbplaamNeelusnilofflitdei“lerhrirtvPAnes)hetg,uSesddalEratlahntipAgonyem.eNgbosnotrtfucsahitotsntehuudgpeeBniarswtuolartmrdfaiieindBncspfhitu.alnaadPolg”lndfadmthliSumsaooorfayoinintnrngrBagotkuohhpitdfsehlidatcaerhahiemrvPliaserewutirolnlehetavytivoin/pnedlsduincerdretyaiaphn,sycovolilisuncnitemnienftlataohergrtreebetemrfhsSaa,oeoortofenmiumcgdtthichrnaaueoggnraon.es-tf
Noppadol Pholkul
เร่ืองเลา่ จากปลายด้ามขวาน
the inflorescences for sweet sap. “Would a day off from such a
routine cause the sap to run dry?” Klaew thought to himself
sarcasticaly. The sun was already high in the sky when he completed
the sap-tapping process on almost 30 palm trees. After a shower
and a change of clothes, Klaew rushed his boat out from the vilage
of Pak Rawa. It was nearly noon, and he stil had not reached his
destination in the district of Ranot. By now other young studs from
neighbouring vilages, such as Ta Kria, Ban Huaket, Ban Laan Kwai,
and Ban Mab Toey, would have already arrived at the festival.
Suddenly, his mind was occupied with the image of his beloved
girlfriend, Klin. A few days earlier when he was seling his palm sugar
at the Ranot Market, they promised to see each other at the festival.
Unfortunately, at this unforgivably late hour, Klin would surely be
anxious and thought he had broken the promise.
Upon his arrival in the district of Ranot, Klaew docked his
boat alongside others, tied it securely to the dock post, and leaped
promptly onto the pier. He stepped forward along the hard wooden
bridge made of Resak Tembaga4. As he hurriedly moved, his motion
caused the wooden bridge to bounce up and down. It might have
been difficult for him to walk as he could easily slip and fal over -
but a true son of Ranot as himself would never be embarrassed by
such a trivial trick.
There must have been thousands of people gathering at
the festival. The sight of such big crowds was astounding for Klaew
wherever he turned. In fact, the festival had attracted the same
amount of people as those held before. However, in Klaew’s
f4woReulenlsdaasikndTuMeraambrbilteaimgwaeooS(Cdo.uotthyleealsotbAiusmia.mIetliasnaoxhyilgohn-)q,uoarli‘tKyhtiimambe’ri,naTshiatihiassavterroypihcaarldraainndfohreeastvytraees
120 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South
perspective, this year’s festival seemed to be more crowded as he
was trying to spot the face of his darling girl among thousands of
festival goers.
Although he tried to push his way through the crowd and
stretched his neck so far up to find Klin, he stil could not catch
a glimpse of her. Once he thought he saw a familiar face, he smiled
and drew closer to find out that it was someone else. He saw
a large crowd circling the snake charmers, but when he poked his
head in to look around, Klin was not there either. She might have
thought that he had stood her up. Klaew’s anxiety grew as his mind
wandered to imagine Klin going out with another boy from another
vil age.
As he stroled down the festival paths empty-minded, Klaew
reached the front of the newly-built District Office. The building
looked majestic and elegant. The Chief District Officer, Charoon
Lokakalin, was absolutely a talented manager. Apart from his vigorous
contribution to suppress trade robberies, he had also built a gigantic
district office building. At this instant, everyone in Ranot could claim
that they had the most magnificent district office facilities.
Klaew kept walking until he approached the pier in front
of the District Office. Several water floats used to enshrine statues
of Buddha had already disembarked. Every float was splendidly
decorated in different eye-catching colours such as green, yelow,
purple, blue, and red which were sparkling in the bright sunlight.
Klaew’s ears were deafened by the thundering sounds of instruments
and people’s joyous flaunts reverberated around the area and along
the canal.
Noppadol Pholkul 121
เร่ืองเล่าจากปลายดา้ มขวาน
The standing ‘Pacifying the Relatives5’ Buddha images from
different temples were brought aboard the water floats. The gleaming
reflections of the Buddha images glazed the surface of the water
with a striking golden shimmer. On both hands of the Buddha images
hung countless bunches of cooked sticky rice wrapped in palm
leaves. Kleaw squeezed himself in to get a closer look among the
crowd in front of the water float from Rat Bamrung Temple.
He dropped a baht coin into the float to make merit. Afterwards,
he gently stroked the front of his head three times to gesture respect
before leaving the place for others to take their turn.
It was as if his merit-making had instantly paid off. As soon
as he stepped out of the crowd surrounding the water float,
he found himself confronted with the stern face of his sweetheart.
She stood there with three of her girl-friends, whose faces were new
to him. At that very moment, al the surroundings in sight became
a blur. In his eyes, only the silhouette of Klin was crystal clear. With
no hesitation, Klaew marched up to her with a pounding heart in
his chest.
“I thought you weren’t coming already,” a touch of
resentment was in Klin’s voice.
“I had to finish tapping the palm blossoms before heading
here. I was so scared you would go out with another guy from the
next vilage,” Klaew inarticulately explained his situation, but not
forgetting to fathom the depth of Klin’s heart.
“Don’t be so inconsiderate about me! I made an
appointment with a boy from Pak Rawa, how could I go out with
t5rhe“epPrraeigscehifntythisnaBgnudtdhrdaehiasRepedlaatcotiifsvyheions”ugltdh(ePerarhneegliagtHhivatemws.itYhatthi)e, pthaelmBouudtd,haandimthaegefinfogrerMs oexntdeanyd,esdt.aTnhdiisngimwaigthe
122 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South 123
another boy from the other vilage? Do you think I’m that much of
a floozy?” Her voice snapped like ice sending a chil down Klaew’s
spine. He regretted his blabbering.
“I didn’t mean that at al! By the way, have you paid respect
to the Buddha images yet? Let’s go!” He swiftly changed the subject
as if the idea just popped up in his mind.
“I’ve already done it,” Klin answered with a lingering
bitterness in her voice.
“I’ve also done that. Then, we’d better go and watch Nora6.
I heard that they are going to perform during the daytime this year.”
Having said that, Klaew started to lead the way, folowed
closely by Klin and her friends. On the way to Nora’s stage, Klaew
kept looking back to talk to Klin without being cautious of the path
ahead of him. Many times, he almost stepped into trays of sticky-
rice desserts sold along the footpath. Startled by unexpected
reminders from the vendors, Klaew jumped gracelessly back onto
the walkway. The girls laughed so hard at his funny gestures that
their faces blushed.
Several months before the Chak Phra Festival, destiny had
led Klaew and Klin to meet each other on a morning when torrential
rain was pouring down. At dawn that day, vendors from different
vilages brought along their commodities to sel at the Ranot Market
as usual. On Klaew’s shoulders, he carried two tin-buckets of liquid
palm sugar from his home to the market. Not long after he found
cwTohemerepstraoorrmgyuidsinee.gpicatbeodutthtehteimrieghwthsetno Bwuadtedrhaflorewtiunrgnethdrforuogmhhtehaevirenlaanfdte.rBtuhdredehamopnerthsus,ahdiesdrethlaetmivetos
Tt6ThhhNeeaopinlrlaaoanmt,dme.aa‘TNtfehoorerrimaaml’ofaiosfirnstrhthaeoildrseitmtetiynoepennedatsolfrffaoodnmladkn‘cpMceeh-aradfnroroaarhcmmrteiaanr,.gi’sttahicresths oetrfhoaNitnoeirsoapf oaaprleuolcatahrleitnacloeths,tewumhSioecuhtahonefdtrennthrseeegrmivoeunssiaocsf.
Noppadol Pholkul
เร่ืองเล่าจากปลายด้ามขวาน
his seling spot, a large, enameled basin filed with fish was placed
next to him. Klaew took a quick look at his neighbouring vendor
and found a young girl with tanned skin, a typical complexion of
the local people in this area. What was different about her were
the attractively defined facial features - sharp but sweetly pleasant
to the eyes. Her dul-white basin was ful of various breeds of fish.
He wondered if the girl came from Ta Kria or Ban Khao, for both are
lakeside vilages where most locals were fishermen. When the males
brought home their fresh catch from the sea, their wives or daughters
would take the fish for sale at the Ranot Market.
Later that morning, as the heavy rain subsided, more
shoppers gradualy came to the market. It looked as if Klaew’s palm
sugar had been seling wel that day. It did not take long for him to
sel half of what he had brought. While enjoying himself seling his
goods, Klaew heard the fishmonger girl cry out at the top of her
lungs. He turned to look at what had happened, and a chaotic
sight of wriggling fish on the ground appeared before his eyes. Some
fish were even in the middle of jumping out of the girl’s basin.
As the poor girl stooped down to catch a jungle perch,
a short-nose gizzard shad sprang out of the basin. And while she
turned her attention to seize the wiggled-out Kangkoh7 fish, another
sheatfish managed to escape. It seemed that the girl was going
out of luck. Klaew decided to leave his tin-buckets behind and
volunteered to help her. Even though fish catching was certainly
not his forté since he knew only how to tap the palm with his knife,
it was stil better to lend the girl a helping hand.
7TSohKuaatihlnaegnrkndo-.ThThhae(iCcfeuipsishhianbleo.ecloanssgiss btoortnheeensseias),caatfgisehnu(sAfriisihdateo) tfhaemLilayk.eTohfeySoanrgekhwlaideolfySuosuethderinn
124 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South
Once they had shed enough sweat, al the fish were put
back into the large bowl. The vendor girl covered it with a black
fishing net and secured the hems tightly in a knot. She sat down on
a timber used as a stool, panting and out of breath. As she turned
toward Klaew, she saw that he was also panting breathlessly.
“Thanks a lot,” the young girl said, wiping the sweat out of
her forehead.
“Not at al,” Klaew replied. “Have you secured back al the
fish?” He timidly asked, knowing that he had already helped her
catch al the fish and put them back into the basin. The young
vendor girl nodded briefly.
That afternoon, Klaew rowed his boat home toward Pak
Rawa with a strange but wonderful feeling, a trembling in his heart
he had never experienced before. He gazed down to the middle
of the boat where a big sheatfish lied peacefuly in the fishing net.
It was a token of appreciation from the fishmonger girl. Klaew also
gave her a can of palm sugar in return for her kindness.
Cool breeze over the Ranot Canal swept up an odour of
the fish lingering on his hands. The scent passed through his nose
and led to an intense feeling in his heart.
That was the first time the palm climber from Ranot District
was introduced to the fishmonger beauty from Ban Khao Vilage
named Klin.
Since then, Klaew and Klin would make sure to meet each
other every time they took their goods for sale at the Ranot Market.
As the time had passed, their relationship grew stronger. Several
months later, Klin alowed Klaew to cal her his sweetheart.
Noppadol Pholkul 125
เร่ืองเล่าจากปลายด้ามขวาน
In the middle of the folowing year, Klaew named an
auspicious day to parade his wedding procession along the Ranot
Canal from Pak Rawa to Ban Khao Vilage. He headed upstream
to marry Klin, his waiting bride.
The Middle: The Arrival of Strange Phenomena
After the wedding ceremony, Klaew took Klin to his home
in Pak Rawa. Klaew’s father gave the newlyweds a 10-rai8 plot of
land to build their own smal cottage. The two of them worked
alongside each other in their paddy field each season. For the rest
of the year, Klaew would be occupied with his usual Pak Rawa’s
local sap-tapping trade, climbing up and down the palm trees
standing around the ridges of the field. As for Klin, she had transformed
completely from a fishmonger into a vendor of liquid palm sugar,
palm vinegar, and rings of dried palm sugar paste, depending on
what products Klaew would derive from the sweet palm sap. It was
Klin’s job to take their commodities to sel at the market.
Most of the rice crop from the field each year was sold to
the rice mill. The couple kept just enough rice for their daily
consumption. The rest of their income came from the palm trees
around their plot of land. Klaew started learning how to climb up a
palm tree when he turned 15. Nowadays, he believed that even
with his eyes blindfolded, he would be able to reach the treetop
without any trouble. With nearly 20 palms to manage in each
sap-tapping round, Klaew only needed to waste his energy ascending
a8 nAdriasicoims amounnliyt oufseadreian emqeuaaslutroin1g,6l0a0ndsqaureaareinmTehtraeisla(n1d6.acres, 0.16 hectares, 0.3954 acres),
126 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South 127
to the top of a tree. After finishing the tapping process, he would
swing and climb along the rail made of palm leafstalks tied together
from one tree to another and tapped al the inflorescences. This
local method had led to the current name of the district of Ranot,
which was derived from the word “Rau” meaning “rail” in Southern-
Thai dialect, and the word “Not” shortened from “Tanot” which
refers to “palmyra palm”.
Klaew would start his climbing operation before the break
of dawn. He used a special kind of blade to gently sap the developing
blossoms or the inflorescences of the palmyra palms. After that, he
would hang a bamboo receptacle underneath the dripping
inflorescences to colect the sweet sap from al his palm trees. The
entire process would be completed when the sun was high in the
sky. In the afternoon, Klaew also needed to commence another
round of ascending to colect the bamboo receptacles filed with
the precious liquid. After that, he would pour al the sweet sap
together into a large container, simmer it down to make palm sugar
in a liquid form, or simmer it longer to evaporate the moisture and
turn the palm sugar into a dried, dense paste form. When they
accumulated enough amount of sugar palm products, Klin would
take the lot to be sold at the Ranot Market by boat.
When in a good mood, Klaew would put smal pieces of
tree bark from the red Resak Tembaga in one of two of the bamboo
receptacles and leave the sap to ferment into palm wine. This special
drink went so wel with sundried snakehead fish, a side dish he often
enjoyed with his pals in the evenings.
In recent years, Klin often went so far to the Songkhla Market
to sel the sugar products to more extensive customers. Her goods
Noppadol Pholkul
เรื่องเลา่ จากปลายด้ามขวาน
were sold-out there every time, so she could return home with empty
tin-buckets. Another reason was that Klin did not have to go up to
the market very often. Now she only had to stock up enough palm
sugar products and take them for sale at the market. By doing so,
she could earn a larger sum of money over one seling trip, unlike
when she earned barely anything each time she worked at the
Ranot Market.
When Klin had to travel to the Songkhla Market, Klaew
would give her a lift on the boat to Ranot Pier during the late
afternoon. Klin waited there to take an express boat from Ranot to
Songkhla in the evening. The express boat was a two-story boat
designed for transporting passengers as wel as different cargoes,
such as rice, produce, pork and poultry. If arrived early at the pier,
Klin would be able to get a seat on the upper deck of the boat.
But if she got there late, the seats would be fuly occupied; in this
case, she needed to sit uncomfortably on a sack of rice on the first
floor of the boat. Or else, she would have to sit in the open air on
the roof, catching dewdrops. Another good point of arriving early
at the pier was to have more choice of water express. Among those
were named Saowakhont Boat, Saengchan Boat, and Charoenphol
Boat, which took turns leaving for Songkhla half an hour after one
another.
After helping Klin loading al the goods into the boat, Klaew
headed back home on his boat. From then, Klin would be waiting
for the water express to leave in the evening.
128 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South 129
From Ranot, the boat was steered along the route in
Songkhla Lake9 passing Koh Yai Island and made a stop at Pak
Phayoon Pier, in Phatthalung Province. At the stop-off, Klin and other
passengers would take the opportunity to buy some griled sticky
rice, boiled eggs, or black iced coffee to fil their stomachs. Al of
them would have to spend the whole night on the boat before
arriving in Songkhla at dawn the next day. The express boat embarked
at Pak Phayoon Pier folowing the course along Pak Ror, Koh Yor
Island, and Khao Kheo. It would dock at Songkhla Seaport before
daybreak. After arriving in Songkhla, most passengers and Klin herself
could enjoy the morning tea at the seaport and stal for some time
until the sunrise. Afterward, al the vendors would take their goods
to find seling spots in the fresh market.
In the afternoon, after seling out al her goods, Klin would
have spare time to go shopping for some necessary items to bring
home. After the errand, she would walk ahead to the seaport and
wait for the evening express boat. While waiting to be aboard, Klin
would usualy treat herself to a can of “Den Thai Ice-Cream,”
a traditional coconut milk ice-cream with different toppings such
as boiled lotus seeds, red beans, and nipa palm seedlings.
The ice-cream scoops were placed into recycled condensed milk
can with a string made of banana trunk served as a holder. Klin
would take her ice-cream to be enjoyed onboard while the water
express was taking her home.
cD9 oSeusonpntirgtyek.hbCelaoinvLgeracikanelgleadinsaathlraeekaleao,rftgh1ei,ss0tw4n0aatkteumrr2faelaitltaubkroeerdiisenrasTchtthuaeaillpalyrnodavlilanogcceaostoenodfciSonomntphglekehxSloagueatohnleodrgPnichpaaaltlrtyht.aolfunthge.
oTtAhfhetestGehlaaeuwklnfeaootirefstrhTd.ehiFrvanuiidlreaetnhnddedirbnaetntototwhrtheetherc,neieatmyfdtaoeisnfrtgSianroocnnvtgaepkrahsrwolrawtas.mi.HnTpgehsreteiossito6thcuekothmn2et8arwniknimdpst2ahbr,rTtahioscapkltieehsnehNsTwowihaiiattnehlerPaaLhb3auo8tatu0nhtgamhlu(aw7nlf8gidt2hPe.e8rs0ostarvkailmniintc2iett)oy..
Noppadol Pholkul
เรื่องเลา่ จากปลายดา้ มขวาน
Those ten palmyra palms surrounding the house were
a constant source of income for Klaew’s family. Soon after, the family
welcomed three new members: the eldest daughter, turning 12 that
year, and two younger boys who were only a year apart from each
other. As long as the rice filed the barn, and al the palm trees
yielded sweet sap, the family could afford to live sufficiently.
As time passed, Klin’s journey to the market had become
more convenient. At this point, when taking her goods to Songkhla
Market, Klin was spared an overnight trip by the water expresses.
The Governor of Songkhla Province, Mr. Sawaeng Rujirat, had
commanded to pave a new road with laterite soil connecting Ranot
to Hua Khao Dang, a district in Songkhla, replacing the unpaved
clay track. Since then, vilagers traveling to Songkhla could take
a bus from the Ranot Market to Hua Khao Dang. Afterwards, they
could reach downtown Songkhla directly by a long-tailed boat
across the Lake. Even though people had to fuly cover their heads
and faces like burglars to protect against the red dust, this new
development had enabled them to travel to Songkhla and back to
Ranot within just one day.
Several years later, it took even less time to travel from Pak
Rawa to Songkhla. People also no longer needed to shield themselves
from the road dust. A highway road surfaced with pitch-black
asphalt was constructed from Nakhon Si Thammarat Province to
Songkhla. Luckily for Klin, the new road ran past Ranot, so she only
had to ask the children to help carry the goods to the main road
into Pak Rawa. When the daily bus came by, she could take al her
stuff and travel to Songkhla without having to take a long-tailed
boat from Hua Kho Dang anymore. The daily bus would get on
130 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South 131
a ferry crossing over the Lake and arrive in Songkhla. Despite the
long wait in the traffic at the ferry port, it was so much better than
how she had to travel in the past.
In 1987, the long line of vehicles waiting to get on the ferry
boats became considerably shorter after the construction of the
Tinsulanonda Bridge10 had been completed. The strong reinforced
concrete bridge is located in the Mueang District of Songkhla and
Singhanakhon District connecting Koh Yor Island on both sides
between Ban Nam Krajai in Mueang Songkhla and Ban Khao Kheow
in Singhanakhon District. If any vehicles coming from Ranot had no
business in Songkhla downtown, they no longer had to take the ferry
crossing at Hua Kho Dang. Drivers could turn right onto Tinsulanonda
Bridge and head towards Hat Yai District, Chana District, or Na Thawi
District directly. Only traders like Klin stil required the service of ferry
boats in order to load their commodities for sale at the Songkhla
Market.
The National Economic Development Plan had brought
delightful advancement everywhere in Ranot District, including
a smal vilage like Pak Rawa. With more convenient land transport,
the canal route had become less relevant to the vilagers’ needs.
Everyone voluntarily left the canals behind and welcomed asphalt
roads with open arms. Parts of the Ranot Canal became shalow
and narrow. Household boats were permanently put away and
replaced by Japanese road vehicles.
wP1aa0jnraidersTamPbivnoruTesrdiusnnhilsdaiSunenolnaoSntnnogoondkfnghatdklhaahei,lSsaP1ctr6hihintovehyo1llP9oC.2nroi0gmuenaescntMidlcoaicnnnoicdmsrtpSeerltteeaottebefdsrTmihdhaigasneilpa(irfnnridmoTma(hfrar1yoi9lmaa8nn83dd–.2MsI0etac1orw9cn)ah.dsGa1bre9yun8i.e0ltdPtuironceam4htoiATonunionguasuurtsltMoa1fna9oGh8nae8dvn)a-.,
Noppadol Pholkul
เรื่องเล่าจากปลายด้ามขวาน
Klaew’s paddy fields diminished. He only grew rice for his
family consumption. Sometimes the harvest was not even enough
for everyone in the household. However, if Klaew grew the same
amount of rice as he did in the past, he would have had a problem
seling the crop to rice mils and lost his money. He told himself that
he only grew rice for the sake of keeping the tradition alive; for he
was a farmer, and the work continued as long as he owned the
paddy field. At this point, he no longer hoped that the field would
yield any fortune for him. As for the reasons why the rainfalls
decreased, why the number of strange diseases escalated, or why
the soil in the paddy fields became saline; these were al questions
that drove him to his wit’s end.
As Klaew glanced over the row of palm trees standing at
a far distance, he knew that they were as strong and sublime as in
the old days. It was him, indeed, that had become frail and depleted.
He could no longer climb al the palms to tap their inflorescences
like he used to do. Each day, he could only manage to climb up
few of them to complete the palm tapping, after which he would
descend to the ground, being worn out and breathless. The best he
could do was to colect enough sweet sap to fil in bottles for Klin
to sel on the vilage’s roadside. No need to think about further
product development – whether to simmer down the liquid palm
sugar nor to fil the palm sugar into rings to make the sugar paste.
Fortunately, there were only two mouths to feed in the family, Klin
and himself.
Five years earlier, his eldest daughter got married and
moved out to stay with her husband in Kuan Kreng in the neighbouring
district of Cha-uat in Nakhon Si Thammarat Province. Her new family
132 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South 133
owned a smal rubber plantation. They lived off the daily rubber
tapping. Klaew’s second child, the eldest son, moved away to stay
with his wife in Koh Petch Sub-district of Hua Sai District, also in
Nakhon Si Thammarat. He went fishing at sea every day to provide
for his family. The other son, the youngest child, who was stil single
did not want to stay with his parents just like other teenagers.
He left home and worked as a shopkeeper at the Rab Praek Market,
seling giant tiger prawn feeds.
Speaking of the Rab Praek Market, one could never imagine
how a patch of just a few houses like that could have been developed
to such modernization. It used to be a tiny bypass vilage on the
way to Songkhla; there were no more than ten houses on that spot
– so to speak. Back then, if the land in the Rab Praek vilage was
to be given for free, no one would even want it! Look at the place
now – it was packed with commercial buildings along both sides
of the road. During the nighttime, the streets were brightened with
colorful lights from restaurant complexes and food stals at the night
market. Rab Praek had become a city that never slept.
The source of these phenomena was clear. It was that
strange-looking creature – the giant tiger prawn11, which brought
about drastic changes to Ranot District. The impact from the changes
hit the vilage hard, so hard that people in Klaew’s generation did
ats1h1hfteGreirIminaopdnn,italayTnrwiegOhemcirteaePar-nlirenagcewoscanhrssrutissm(.tPapTecshne.eaayneuansraemtitovhneeotsdoeoctnho)en,dac-lomsaoosktssnt owowfidntheaelysAtfharearmbAiesadinapnPrteaingwiennrsssuhplareic,mitehpseoinPr abthclaiefciwkc,otiarglneddr,
tGgmhrmieeaiernontar,tbbiggdrreooermwaptneern,rarsiwe,ndtnhl,seegnsaregreetysht,i.rdoieprnebtsliufaieelt.deTrbhnyeasdteeisbptilrnaaccwtkn/bysleaalclrokewathnoedrlwbalrhugietee/sytsetclrlooipmwem.sBeorancsiteahbleosirhdrbyiamccopkl,sorraenvaadcrhtiaienislgsfr;3o3om0n
Noppadol Pholkul
เรื่องเลา่ จากปลายดา้ มขวาน
not know what to make of it. Klaew knew very wel how to catch
these shrimps as they were teaming up in the estuarine Ranot Canal.
For those who wanted to sel the shrimps, they could just take the
boat out into “Thalae Nok” or the Southern part of Songkhla Lake
and round up the creatures in a net. Never in his life had he seen
anyone “crazy” enough to breed these shrimps on a farm.
The arrival of the shrimp farming industry in Ranot shook the
vilage lives to the core. The news spread rapidly that breeding only
one pond of shrimps could completely change one’s financial and
social status: a nobody could be somebody overnight. That wind
of change had dispersed the rice fields in Ranot District. The influence
was immense even to Klaew’s smal vilage like Pak Rawa.
By then, the area around Klaew’s paddy fields had been
turnedintoanenormousshrimpfarm.Al dayandnight,theearsplitting
sounds of the water treatment’s paddle wheels swathed the new
development stretching as far as the eyes could see. The trees on
the farm, big or smal, including the palmyra palms, had been cut
down one after another because they were blocking the farm
expansion.
In the rice farming season, if one were to look at the vast
area of the shrimp farms, a smal patch of swaying pale-green rice
plants could have been observed in the middle. This was what
remained of Klaew’s paddy fields, with several magnificent palm
trees standing in a row firmly as if they were guarding over the last
piece of rice field in Pak Rawa vilage.
Underneath one of the palmyra palm trees, Klaew and Klin
seated themselves against the heat flowing from the shrimp farms,
drained out of energy.
134 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South 135
The Present: The Change is Certainty
An old, bumpy red bus running between Songkhla and
Na Khon Si Thammarat began to decelerate at Pak Rawa’s main
road leading to the vilage. When the bus completely stopped, an
old man gingerly stepped out of the back door. His feet had not
yet managed to fuly touch the ground when the bus suddenly
dashed off at a great speed, leaving behind dust and heady-smel ing
black smoke.
“Go! Go! Go!” The young bus attendant belowed out to
the driver. He took a glance at the old man on the street and burst
out laughing.
The old Klaew aged seventy-five years had just returned
from his monthly checkup at Songkhla Hospital. Several chronic
diseases: high blood pressure, diabetes, and arthritis had been
troubling him for many years. That was the reason why he had to
go to the hospital every month even though he was realy fed up
with the ordeal. Several times, he had pretended to forget about
the doctor’s appointments, but his wife, Klin, always made it her
businesstoremindhim.Ifhestil insistednottogo,shewouldcomplain
al day long. Of course, Klin had no idea how exhausting it was for
an old man like him to travel back and forth the hospital.
Klaew was on his way home when a teenager on
a motorcycle taxi parked beside him. The boy with a familiar face
must have been a son of someone in the vilage, but Klaew could
not be bothered to remember.
“Did you just come back from the hospital?” The teen asked
in his thick Southern accent. Klaew nodded his head slightly. Everyone
in the vilage knew that the old man had never been anywhere far
from the vilage, except to the hospital.
Noppadol Pholkul
เรื่องเลา่ จากปลายดา้ มขวาน
Klaew awkwardly climbed up on the back of the teenage
boy’s sleek, modified bike. He wrapped his arms around the boy’s
waist, and the bike swiftly sprinted off.
The teenage boy rode his motorcycle carefuly along the
black asphalt road until they reached the entrance to a deserted
shrimp farm. Klaew was too scared to balance himself on the
motorcycle while riding on the rough, narrow edge of the ponds so
he asked the boy to drop him off at the entrance to the farm. From
there, he had to go on foot for another 500 metres. Klaew lowered
his head to find a 20-baht note in his pocket to pay for the ride.
By the time he handed the money to the boy, the motorcycle had
already dashed away.
“Keep your money!” The teenage boy belowed at him
while revving the engine and left instantly.
Klaew stepped down from the road onto the rough surface
of the path across the shrimp farm. The bright sunlight made him
squint his eyes. He felt dizzy as if he were to faint. From a distance,
five palmyra palms with now dead crown shafts swayed from side
to side. It was stil a long walk for the old man to get home.
To keep the flip flops on his feet, Klaew had to grasp the
toe strap with his toes almost constantly, making it difficult for him
to walk. If he did not have to go as far as the town of Ranot, he would
not be bothered wearing any shoes to protect his rough, cracked
feet. As he was walking along the narrow path, Klaew thought of
the motorcycle taxi boy’s generosity to him earlier. The boy might
look like an average discourteous local youth, but he had a heart
of gold – a rare characteristic in people these days. The very
thought painted a gentle smile across the old man’s face.
136 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South 137
Back in the days when the idea of “development” had
reached the vilage of Pak Rawa, everyone embraced it delightfuly.
In turn, they unanimously abandoned the traditional ways of life as
it was considered backward and outdated. The norm about
“camaraderie” completely disappeared as everyone turned to
compete in the world of capitalism. If “those who win were the ones
who survived,” then what about those who lost? How were they
supposed to survive?
Klaew stepped forward along the parched soil. On both
sides were deserted ponds of giant tiger prawns, which had now
dried up and become barren. This piece of land used to be Klaew’s
paddy fields. However, when the areas surrounding his land had
been turned into shrimp farms in response to the exciting new
occupation, poluted water was released into his fields, hindering
him from growing rice. From then on, Klaew could only live on
a smal income from the remaining palm trees.
Out of the blue one day, his middle child came home with
his family. He badgered Klaew for his share of the paddy field to
turn it into a shrimp farm like other vilagers. When his youngest son
heard about that, he also demanded his share. Fortunately, his eldest
daughter did not care about her share of the land. Therefore, Klaew
decided to transfer the ownership of an equal amount of land to
both of his sons. He only kept a smal portion of the land around his
house with the five palm trees for himself and Klin.
With the ownership of land, his two sons contacted the
bank for a loan to operate their shrimp breeding business. The bank
wilingly approved a big loan, and soon after, the paddy fields
around Klaew’s house had been turned into huge shrimp farms.
His two sons were immensely proud of their new operation.
Noppadol Pholkul
เรื่องเลา่ จากปลายดา้ มขวาน
The first time they harvested the shrimps, they must have
made a great deal of money. Klaew did not know how much his
sons had earned, but it was enough for each of them to buy
a brand-new four-wheel-drive pickup.
Sadly, three days after the second round of releasing post
larva shrimps into the ponds, Klaew’s youngest son was stabbed to
death at a Karaoke bar at the Rab Praek Market. It was unclear
whether he had a dispute with another wel-off shrimp farm owner
about passing on the microphone or about hitting on the same bar
girl. Eventualy, Klaew’s eldest son had to take over the shrimp farm
of his younger brother.
The second harvest did not yield a satisfactory outcome,
so it was a big loss to the owner. It was the way the shrimp farm
business worked – every round of the harvest was like gambling;
the owners had to wait and see if the luck would take their side.
If they were lucky, they would win. If not, they had to be prepared
and try to recoup the loss. The more money they put into the game,
the deeper in they went. Before they realized what was going on,
they could have lost everything.
To make up for the loss from his second harvest, Klaew’s
son had to sel everything he owned. Furthermore, he asked for
another loan from the bank to invest in the third operation. Little
did he know that he had pushed his luck too far. This time around,
al the tiger prawns died even before the harvest. Al misfortunes
simultaneously attacked him. He believed that someone had
poisoned the shrimps on his farm, so he tried to find the culprit.
Unfortunately, his attempt was in vain. He could not do anything
except to complain about his hard luck to himself like an insane
138 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South 139
person. Al of a sudden, he took his family and disappeared off in
the middle of the night. Klaew had not been able to identify his
son’s whereabouts even until now.
Not long after both of his sons were gone, a bank officer
came to Klaew’s house. He carried with him a writ of execution
for the land foreclosure. As the bank proceeded with putting up
a sign to declare possession, Klaew and Klin sat quietly in their house,
observing their tragic calamity in great pain.
After the bank officer had left, a flood of tears roled down
Klin’s ageing cheeks. Klaew stepped down from the house to take
a good look at the signboard. Only few red letters on the white
background had such a powerful impact on the old man, so much
it could crush him into pieces. The phrase “Property of the Bank”
printed on the sign in front of him emphasized that this piece of
land he was standing on was no longer his. How many more owners
would it be transferred to after the bank sold it on an auction – this
was beyond his imagination.
Klaew’s old crumbling shack stood a short distance away
under the glaring sun. He hurried his steps to reach home and started
to feel a little shaky in his chest. Three white egrets swooped up
from the shrimp farm in a panic. Klaew went past the last row of
dead palm trees in front of his home. Al the palms’ crown shafts
looked as if they had been amputated. The poisonous chemical
used in the shrimp farm had been absorbed through the roots of
the palm trees and caused them to wither and eventualy die.
His palmyra palms stood dead one after another, forever ending
the legendary story of Ranot, or “Round Not”, the land of the rails
for climbing between the palmyra palms.
Noppadol Pholkul
เร่ืองเล่าจากปลายดา้ มขวาน
As he brought himself under the shade of his roof, Klaew’s
world turned upside down. He felt like a smal boat carried by the
waves in the vast ocean. He threw himself on the wooden floor of
the house and became unconscious.
“There is nothing at my house, only the bamboos and the
palm trees. I am from the district of Ranot in Songkhla Province.”
Klaew had no idea how much time had passed while he had been
unconscious. As he slowly came back to lucidity, he heard a husky
voice singing a verse of Manohra performance, one he used to
hear in his good old days. An image of the peaceful Ranot Canal
gradualy appeared in his mind. The vision was surreal enough for
him to feel the cool breeze coming from the canal. For a moment,
he caught a glimpse of colorful boats decorated in green, yelow,
purple, blue, and red. The boats looked like those glamorous water
floats for puling the statues of Buddha in the Chak Pra Festival. After
a while, the colorful images of the boats disappeared and turned
into a scene painted with the bright green color of the paddy fields.
The tips of the rice plants were dancing along with the soft wind.
This image was a familiar sight for Klaew as he looked down to his
paddy fields from the top of the palmyra palms. Alas, the image in
his mind this time was blotchy and inconsistent as if he was watching
it on a screen showing an old film.
Klaew’s mind was fixated on the dreamlike images. At the
same time, he felt extremely parched inside his throat as if he had
swalowed a handful of sand. He then thought about drinking the
fresh sweet sap dripping from the blossoming palm flowers. He saw
an image of himself holding up a dark brown bamboo tube against
140 The Palmyra Palms with Dead Crown Shafts
Thai Tales from the Deep South
his mouth. He slowly took a swig down his throat, but the taste of
the liquid was so bitter it made him choke. Klaew slowly opened his
eyes.
The real image he saw before his eyes was his wife, Klin,
holding a glass against his lips and feeding him the bitter tonic.
Klaew managed to finish the medicine and inhaled the cooling
scent of the inhalant through his nostrils. Klin took a fan made of
mangrove palm leaves and moved it up and down in front of her
husband’s face. Although the wind from the fan was hot, it made
Klaew feel a bit better.
“I always told you not to walk in the sun. You see? You had
just fainted!” Klin complained with a concerning tone in her voice.
Klaew tried to lift himself up to sit, and, with difficulty,
let out his voice from the throat.
“It would’ve been better if I had died, my dear Klin.
Everything has now changed.”
But it seemed that the hidden message from Klaew did not
get across to Klin. She turned her face toward the row of those dead
palm trees and breathed out sharply as if to release the pent-up
frustration inside her body out to the hot air outside.
Under the scorching sunlight, the same three egrets had
landed on the ground and started to graze the deserted shrimp
farm once again.
Noppadol Pholkul 141
An Orphan from the Deep South
Afifah Awae
Translated by Fatimah Jeharsae
Thai Tales from the Deep South
An Orphan from the Deep South
Afifah Awae
In a small village of the Deep South, 145
Manang Kayaeng, there were many orphans and
one of them was Yamilah. She had lost both her
parents and become an orphan at a young age.
It had become necessary for the poor little girl to
live with her grandmother ever since. Fortunately,
Yamilah never felt distressed nor lonely, as Grandma,
with al her heart, loved and was very fond of
Yamilah, for she was a smart and obedient girl who
was always obliged to folow what Grandma taught
her. Grandma felt pleased and was very proud of
her granddaughter, especially for Yamilah’s
diligence, as she was responsible for various
household chores. Grandma openly admired
Yamilah for being the most precious asset in her life.
Being an orphan raised by her old
grandmother had made Yamilah immune to
difficulty. It had taught her the value of perseverance
and hard work. Yamilah had mastered the art of
doing everything by herself. At times, this seemed
to be too much for a girl her age. However, she
had always been alright and felt happy about the
situation. She even considered it a lesson to tackle
Afifah Awae
เร่ืองเลา่ จากปลายด้ามขวาน
any obstacle in life. When her parents were gone, she
was too young to remember anything, except for the
warm and loving embrace of her mother - the only
thing she could recal. She lost Mother and Father on
a day when both of them went out rubber tapping.
On that day, Mother kissed the little girl’s cheeks before
leaving her with Grandma and never returned.
Unknown to Yamilah, that would be the last day she
ever saw her parents. Both of them were shot dead.
Since then, Yamilah was forced to encounter hardships
in life. Somehow, she was lucky enough to have
Grandma who looked after her.
“Yamilah,” Grandma caled for Yamilah to
colect her pocket money for school. Even though the
money was just few coins, it was the best Grandma
could set aside for her granddaughter. Therefore,
Yamilah always respected the value of money. What
she had left from those few coins for school, she saved
in her piggy bank for the future. Albeit without parents
like other children, Yamilah felt grateful for having her
grandmother, who loved and had always been by
her side.
One day, an old lady dressed in shabby, dirty
clothes was straying from the middle of nowhere. She
asked for help, and Yamilah was the first to offer the
assistance wilingly. Yamilah always believed that she
ought to help those in need even though they were
not her relatives. Yamilah helped support the old lady
146 An Orphan from the Deep South
Thai Tales from the Deep South 147
to walk and took her back to Grandma’s home.
As the two approached the front yard, Grandma
invited the old lady to enter her old wooden house,
the only property that she had. The old lady was
encouraged to have some food as she looked
absolutelyfamished. “Eatupanddon’tbepoliteabout
it! It’s very hot today. You’re so lucky to run into Yamilah.
She’s my granddaughter, you see?” Grandma spoke
to the old lady with a degree of intimacy because
they had been friends before. Unfortunately, the old
lady was unable to recognize Grandma as she suffered
amnesia. Soon after, when the old lady’s daughter
heard the news, she rushed over to get her mother
and take her home. Before leaving, the daughter
thanked Yamilah for her gentleness and kind treatment
of her old, mentaly deranged mother.
“Where are your parents, girl?” asked the old
lady’s daughter. Yamilah shook her head and said,
“I don’t have any parents. After they died, I’ve been
living with my Grandma. She is like my mother and
my father who teaches me to be a good girl. I love
her very much.”
“How did your parents die?” she wondered.
“They were shot to death while tapping rubber. I was
stil very young at that time. I lost two loved ones, my
father and my mother, both at the same time. I cannot
put it into words how much I loved them,” answered
Yamilah with deep sorrow. The old lady’s daughter
Afifah Awae
เร่ืองเล่าจากปลายดา้ มขวาน
sympathized with Yamilah’s loss. She reached out to hold the girl’s
hands to comfort her. For Yamilah, old memories could never be
erased. Whenever she thought about the old days, tears would rol
down her face. Yamilah could remember wel her mother’s last
embrace. It was the most reassuring and the warmest embrace she
had ever had. She could not describe how happy she felt being in
Mother’s arms. Nowadays, only Grandma could give her such warm
affection. After the old lady and her daughter bid their farewel,
Yamilah moved towards her Grandma to give her a kiss and said,
“I love you to the moon and back, Grandma. Resting my head on
your lap is so wonderful.” Grandma was glad for Yamilah’s parents
to have such an adorable and decent daughter. Grandma told
Yamilah that when she was little, she often dreamed of her mother.
Sometimes she even talked to Mother in her sleep. Some nights, she
would cry out loud for Mother and made Grandma feel deeply sad
that she needed to hold the little girl so tightly. This could get so
pitiful until Grandma could not help but burst into tears along with
the granddaughter. What a depressing sight. But now, that was al
in the past.
Every day, Yamilah and Grandma would sit together and
relax on a bamboo bench in front of the house. They hugged each
other intimately, which is a rare sight for passers-by anywhere in
society today. Anyone passing their home couldn’t help stopping
to admire this pleasant scene of the two - Grandma, granddaughter,
and how much love they had for each other. Yamilah loved her
time sitting on the bench with Grandma every evening after school.
The coziness and cool breeze from the shady trees, big and smal,
made it unnecessary to turn to air-conditioners like people in the
148 An Orphan from the Deep South
Thai Tales from the Deep South 149
big cities. Listening to Grandma teling stories was something that
made Yamilah happy and felt comfortable. Yamilah often begged
Grandma to tel her the stories of the Prophets, which were her most
favorite of al time. She was especialy keen to listen to the story of
the Prophet Muhammad (peace and blessings be upon him),
the last Messenger. The Prophet was an orphan from a young age.
At first, he was raised by his paternal grandfather for just a few
months. After the death of his grandfather, he was taken care of
by his uncle. Despite a very tough childhood, Prophet Muhammad
carried himself as a decent and wel-mannered boy. Everyone loved
and admired him immensely. The Prophet was regarded as a role
model for honesty, patience, self-sacrifice, and gratitude. He was
also recognized as a great leader who has been loved and singularly
revered by all Muslims. Realizing these qualities of Prophet
Muhammad, Yamilah was determined to have the courage and
be strong like him.
One day with nice weather as usual, as she saw Grandma
sitting and enjoying the gentle breeze on the bench in front of the
house, Yamilah ran to cuddle and kiss her as she always did. Yamilah
took out a smal piece of paper and read to Grandma, “Our lives
are in God’s hand. Don’t be sad or distressed by our fate. Even
though Mother and Father have left me, I’d like them to know that
I love them more than anyone else. I am grateful to have Grandma.
She is now very old, and I promise that I wil take care of her for life.
I am not angry at the people who kiled my parents anymore. I am
alright now but I just would like them to know how miserable and
lonely a poor little orphan girl can feel. Fortunately, I have a kind-
hearted Grandma who brings me up and teaches me to be
Afifah Awae
เร่ืองเลา่ จากปลายดา้ มขวาน
as good as I am today.” Hearing that message, Grandma could
not hold back her tears of joy. She was so proud of her beloved
granddaughter for being kind and forgiving to others.
The moral of the story is “The good wil conquer the unrighteousness.”
_______________________________________
Yamilah – the orphan girl’s name speled as pronounced in the
DeepSouthofThailandinsteadoftheinternationalspeling ‘Jamilah’.
Grandma, Father, Mother – proper nouns of how the orphan girl
addressed them
150 An Orphan from the Deep South