The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือนวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น กรณี 20 ตำบลภาคใต้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Tidarat Sirirat, 2024-01-05 07:52:54

หนังสือนวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น กรณี 20 ตำบลภาคใต้

หนังสือนวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น กรณี 20 ตำบลภาคใต้

การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 99 จำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยปีละ 80,000 – 100,000 บาท กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสตรีเพื่อการแปรรูป มีส่วน ร่วมในการพัฒนาชุมชน ดังนี้ 1) จัดตั้งกลุ่มสัจจะออมทรัพย์เพื่อส่งเสริมการออมให้กับสมาชิกในกลุ่ม 2) สร้าง งาน สร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่ว่างงาน 3) ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน 4) ส่งเสริม กิจกรรมในการพัฒนาศักยภาพของผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุ มีหน่วยงานสนับสนุนการออกแบบบรรจุภัณฑ์ และช่องทางจำหน่ายออนไลน์ เพื่อสร้างรายได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือน 2) อ. อาหารสำหรับผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุมีการปลูกผักปลอดสารพิษ ผักสวนครัวรั้ว กินได้ เลี้ยงไก่ไข่ บริเวณบ้านของตัวเอง บริโภคเองที่บ้าน เหลือแจกจ่ายหรือขายให้เพื่อนบ้าน และได้ผ่านการ เรียนรู้จากปราชญ์ชุมชน และวิทยากรจากเทศบาล สำนักสาธารณสุขอำเภอ ให้ความรู้ในการทำเมนูสุขภาพใน โรงเรียนผู้สูงอายุ แบ่งกลุ่มกันประกอบอาหาร ซึ่งพบว่า เมนูชูสุขภาพ 5 เมนู ได้แก่ แกงส้ม แกงเลียงผักใส่ ปลาย่าง น้ำพริก ผักลวก และข้าวหุงโบราณ โดยใช้ผักปลอดสารเคมีที่ผู้สูงอายุปลูกไว้รั้วข้างบ้าน 3) อ. การส่งเสริมการออกกำลังกายผู้สูงอายุ ทางเทศบาลตำบลวังไผ่ จัดให้มีลาน กิจกรรม ณ ที่ว่างข้างศาลาหมู่บ้านทุกหมู่บ้าน สัปดาห์ละ 3 วัน ๆ ละ 30 นาที เวลา 16.00 - 18.00 น. ยกเว้น หมู่ที่ 3 ใช้ลานหน้าห้างโลตัส เวลา 17.00 - 18.00 น. มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ให้ผู้สูงอายุได้ออกกำลัง กาย (โยคะ รำไม้พลอง) ส่งผลให้ผู้สูงอายุ มีระดับน้ำตาล และไขมันในเลือดลดลง 4) อ. การออมเพื่อผู้สูงอายุ มีกองทุนการออมให้ผู้สูงอายุภายในตำบลวังไผ่ สมาชิก จำนวน 120 คน ออมเงินเดือนละ 50 บาทต่อคน สมาชิกได้ใช้ประโยชน์ในการกู้ยืมเพื่อการศึกษา และจ่ายเมื่อ สมาชิกเสียชีวิต และมีหน่วยงาน หรือผู้ดูแลเรื่องทุนเพื่อการประกอบอาชีพอยู่แล้ว ในลักษณะของเงินกู้ ดอกเบี้ยต่ำ ค้ำกันเอง สนับสนุนให้กองทุนการเงินในชุมชนที่สามารถสนับสนุนทุนเพื่อการประกอบอาชีพ มีให้ กู้รายละ 20,000 บาทเพื่อการศึกษาและสร้างอาชีพ มีข้อบังคับกู้รายละ 20,000 บาท ส่งในระยะเวลา 18 เดือน ดอกเบี้ยร้อยละ 1 5) อ. อาสาสร้างเมือง ผู้สูงอายุชักชวนครอบครัว เด็ก และเยาวชน ในโอกาสสำคัญ ได้รวมกลุ่มกัน เช่น กิจกรรมวันพ่อ วันแม่ เพื่อพัฒนาหมู่บ้าน เช่น ตัดหญ้า กวาดหญ้า ทางเทศบาลตำบลวังไผ่ ช่วยจัดหาอาหารให้กับจิตอาสา ทั้งนี้ช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด – 19 ได้ช่วยกันเย็บหน้ากาก อนามัย และมีกศน. สนับสนุนในการทำเจลล่างมือ 7.2.2 การพัฒนากิจกรรมสำคัญ ดังนี้ 1) ก. การลดอุบัติเหตุ มีทีมศูนย์กู้ชีพปฏิบัติการฉุกเฉิน บริการรับ-ส่ง 24 ชม. กรณี ผู้สูงอายุประสบอุบัติเหตุฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุจราจร ตกจากที่สูง มีหน่วยกู้ชีพฉุกเฉินของเทศบาลและภาคี เครือข่าย 1669 ให้บริการ 24 ชม. โดยจัดทำทะเบียนผู้สูงอายุที่ยื่นขอความช่วยเหลือบริการรถรับส่ง มีบริการ รถรับ - ส่งคนพิการ โดยรถยนต์ส่วนกลางบริการรับส่งคนพิการ คนไข้ติดเตียงในกรณีแพทย์นัด จำนวน 18 คน และจัดบริการรับ - ส่งผู้สูงอายุที่จำเป็นต้องเดินทาง ได้แก่ ไปร่วมกิจกรรมในและนอกชุมชน ไปติดต่อ ประสานงาน ไปตรวจ หรือรับบริการสุขภาพยังสถานบริการสุขภาพ ใช้ช่องทางหลากหลายในการสื่อสาร เพื่อให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ Line กลุ่ม โทรศัพท์ อาสาแจ้งเหตุ เบอร์ศูนย์บริการฯ เฟสบุ๊ค เป็นต้น ขั้นตอน การให้บริการรับ - ส่ง ผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง ไดแก่ (1) พิจารณาโดยกรรมการ ให้รถทางเทศบาล รับ-ส่ง ไปยัง


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 100 ศูนย์บริการ (2) คัดแยกผู้ป่วย ถ้าเจอผู้ป่วยอาการหนัก จะใช้รถจากรพ.ธนบุรี ชุมพร (3) เมื่อเกิดอุบัติเหตุ งูเข้า บ้าน หรือภัยพิบัติ จะมีทางมูลนิธิมาช่วย และมีเด็ก “อาสาแจ้งเหตุ” สอนเด็กนักเรียน และประชาชนทั่วไปที่ สนใจ ทั้งนี้ เด็กมัธยม สนใจอยากทำ ทางเทตบาลจึงให้ทางโรงเรียนทำหนังสือมายังเทศบาล เพื่อให้เด็กเข้ามา ฝึกงานได้ เจ้าหน้าที่ของเทศบาลจะพิจารณาอีกครั้ง ถ้าเหตุไหนเบา สามารถพาเด็กไปได้ ก็จะให้เด็กลงไปในที่ เกิดเหตุด้วย แต่ถ้าเหตุที่เกิดขึ้นหนัก จะไม่ให้เด็กไป แต่จะให้เรียนรู้ในศูนย์ รู้ขั้นตอนแจ้งเหตุ รับโทรศัพท์ และ โรงพยาบาลธนบุรี ชุมพร เป็นโรงพยาบาลเอกชน ใช้รถของรพ.มาช่วยวิ่งเสริม ในรถใช้ระบบ advanced ซึ่งมี หมอ พยาบาล มาพร้อมกับรถ (ออกเฉพาะทต.ประเมินแล้ว ว่า ผู้ป่วยอาการหนักต้องมีแพทย์มาช่วยเหลือ) ทางทต.ได้วิทยุไปยังศูนย์บริการฯ แล้วได้ประสานไปยังรพ.ธนบุรี ชุมพร ให้มารับผู้ป่วย ไปส่งรพ. ดังคำบอก เล่าต่อไปนี้ “ตอนนี้ระบบการส่งต่อ รถกู้ชีพของเราดีเด่น ต่อยอดได้ดีแล้ว ทำให้ถูกต้อง เมื่อก่อนเราวิ่งไม่ ถูกต้อง ถูก สตง. แต่ยังมีประเด็น เรื่อง รถฉุกเฉินต้องวิ่งเฉพาะกรณีฉุกเฉิน ทางทต.ได้ไปศึกษาและหารือ กับกระทรวง จึงได้แนวทางมา โดยให้ประชาชนที่ประสบปัญหาไม่สามารถไปรับบริการได้ ไม่มีรถ ให้แจ้ง ทางปลัดทต. ยื่นเรื่องขอให้ “กรรมการช่วยเหลือประชาชน” พิจารณา ควรให้มีรถรับ - ส่ง กรณีมีแพทย์ นัด” 2) ก. การพัฒนาโรงเรียนผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลวังไผ่จึงจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ เป็นรูปแบบหนึ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การจัดการศึกษา การพัฒนาทักษะเพื่อพัฒนาคุณภาพ ชีวิตผู้สูงอายุ และกิจกรรมของโรงเรียนผู้สูงอายุจะเป็นเรื่องที่ผู้สูงอายุสนใจและมีความสำคัญต่อการดำเนิน ชีวิต ดำเนินการจัดการเรียนการสอน สัปดาห์ละ 1 วัน ๆ ละ 4-6 ชั่วโมง มี 2 ชั้นเรียน ได้แก่ ชั้นประถมปีที่ 1/1 ผู้เรียนชั้นนี้จะเป็นผู้เรียนที่มีอายุตั้งแต่ 59 ปีลงมา และชั้นประถมปีที่ 1/2 ผู้เรียนชั้นนี้จะเป็นผู้เรียนที่มี อายุ ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และมีวิชาเรียนในโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลวังไผ่ มี 2 ส่วน ได้แก่ 7.1) วิชา บังคับ เป็น วิชาที่ทีมกลาง จัดให้เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ ประกอบด้วย (1) วิชาการ ดูแลสุขภาพ (2) วิชานันทนาการและการออกกำลังกาย (3) วิชาการส่งเสริมอาชีพและการออม (4) วิชาการ สื่อสารสำหรับผู้สูงอายุ (5) วิชากฎหมาย และสิทธิประโยชน์ของผู้สูงอายุที่ควรทราบ (6) วิชาความปลอดภัยใน ชีวิต 7.2) ส่วนวิชาเลือก ให้ผู้เรียนเลือกวิชาที่จะเรียนกันเอง ได้แก่ (1) กิจกรรมเข้าจังหวะ เช่น รำวงย้อนยุค กลองยาว ลีลาศ แอโรบิค บาสโลป เป็นต้น (2) กิจกรรมภูมิปัญญา ได้แก่ ไม้พลอง ยางยืด ผ้าขาวม้า นวดเพื่อ สุขภาพ (3) กิจกรรมอาชีพเสริม เช่น ทำขนม น้ำยาล้างจาน สบู่ ดอกไม้ประดิษฐ์ ยาหม่อง ลูกประคบ หลังจาก ทำกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละโรงเรียนผู้สูงอายุแต่ละชุมชนตามที่กำหนดไว้แล้ว จะมีการประชุมทำ กิจกรรมและรายงานผลการดำเนินงานทุกวันที่ 24 ของทุกเดือน ณ ส่วนกลางโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบล วังไผ่ 3) ก. การพัฒนาชมรมผู้สูงอายุ มีการอบรมฟื้นฟูศักยภาพแกนนำในการดูแล ผู้สูงอายุ เพิ่มวิชาการดูแลผู้สูงอายุในกลุ่มอาสาสมัครที่ไม่เกี่ยวข้อง มีการฝึกซ้อมแผน เกิดชมรมผู้สูงอายุระดับ หมู่บ้านเพิ่มขึ้น 3 ชมรม


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 101 4) ก. การดูแลต่อเนื่อง มีนักบริบาล จำนวน 2 คน ร่วมกับเทศบาลตำบลวังไผ่ และ ทีมสหวิชาชีพ และมีการสร้างเครือข่ายดูแลผู้สูงอายุ ประกอบด้วย เทศบาล กองสาธารณสุข พมจ. รพ.ชุมพร กศน สถานีวิทยุ รพสต. เทศบาลเมือง อสม ศปจ. จำนวน 300 คน มีแบ่งตามภารกิจที่รับผิดชอบ ลงพื้นที่ ติดตามให้กำลังใจผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดบ้าน ติดเตียง 5) ก. กายอุปกรณ์ เทตบาลตำบลวังไผ่ ได้จัดตั้ง “ศูนย์บริการอุปกรณ์ทาง การแพทย์” เพื่อผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่อยู่ในระยะที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ ขึ้น โดยใช้เป็นศูนย์กลางให้หน่วยงาน หรือประชาชนในพื้นที่ยืมใช้อุปกรณ์ฯ โดยหมุนเวียนกันในพื้นที่ที่ รับผิดชอบนั้น มีการจัดทำทะเบียนอุปกรณ์ และลงทะเบียนการยืมใช้คนในพื้นที่ไม่ให้มีการยืมต่อกันเอง และ ดูแลช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งรับส่งผู้สูงอายุที่เดินทางลำบาก พร้อมสำหรับให้บริการผู้พิการทั้งในสถานที่ และหยิบยืมกลับไปใช้ที่บ้าน จำนวน 1 ศูนย์ 7.3 สร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน และภาคีเครือข่ายที่หลากหลาย ภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ และเอกชน ร่วมสนับสนุนการทำงานของระบบบริการสุขภาพ ทั้งอุปกรณ์ เครื่องใช้ และทางบริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด โดยเจ้าของบริษัทเป็นคนในพื้นที่ ได้หนุน เสริมด้านสาธารณสุข และได้จากการทอดผ้าป่าให้กับทางเทศบาล จำนวน 4 ครั้ง ได้แก่ 1) ได้เงิน จำนวน 500,000 บาท 2) ได้เงิน จำนวน 500,000 บาท 3) ได้เงิน จำนวน 1,000,000 บาท และ 4) ได้เงิน จำนวน 1,000,000 บาท ซึ่งได้นำเงินที่ได้มาจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ (หมอ พยาบาล) มาประจำที่ ศูนย์บริการฯ ช่วงที่ไม่มีหมอ พยาบาล ตอนนี้มีพยาบาล จากรพ.ชุมพร มาช่วยอยู่เวรเย็น นอกเวลา ในวัน อังคาร และวันพฤหัสบดี (ตอบโจทย์พื้นที่ หมอก็ได้มา คนไข้ก็ไม่ต้องลำบาก) และวันพฤหัสบดีสุดท้ายของ เดือนมีทีมของนโยบายของสาธารณสุข (ทีมสหวิชาชีพ) หมอลงมาดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง ทั้งนี้โรงพยาบาลธนบุรี ชุมพร เป็นโรงพยาบาลเอกชน ใช้รถของรพ.มาช่วยวิ่งเสริม ในรถใช้ระบบ advanced ซึ่งมีหมอ พยาบาล มา พร้อมกับรถ (ออกเฉพาะเทศบาลประเมินแล้ว ว่า ผู้ป่วยอาการหนักต้องมีแพทย์มาช่วยเหลือ) ทางทต.ได้วิทยุ ไปยังศูนย์บริการฯ แล้วได้ประสานไปยังโรงพยาบาลธนบุรี ชุมพร ให้มารับผู้ป่วย ไปส่งโรงพยาบาล 7.4 คณะทำงานนำใช้ข้อมูลเพื่อติดตามงาน และร่วมประเมินผลได้ต่อเนื่อง ดังนี้ 1) คณะทำงานติดตามงานผ่านช่องทางหลากหลาย เช่น การประชุมหมู่บ้าน เพจ Facebook ของเทศบาล และกองสาธารณสุข เป็นต้น เดือนละ 1 ครั้งต่อช่องทางการสื่อสาร 2) การใช้ข้อมูลเป็นฐาน จากผลการใช้แบบประเมินความพึงพอใจของคนในพื้นที่ พบว่า ร้อยละ 90 ประเมิน ดีเยี่ยม เนื่องจาก บริการดี มนุษยสัมพันธ์ดี และสามารถให้ช่วยผู้ป่วยได้ทันเวลา แต่มีบาง คนไม่ชอบ เนื่องจากเสียงดัง เป็นต้น นำข้อมูลการประเมินความพึงพอใจมาปรับปรุงการดำเนินงานอย่าง ต่อเนื่อง 8. ผลที่เกิดขึ้น (รูปธรรม) 8.1 เกิดศูนย์บริการอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่อยู่ในระยะที่ จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพขึ้น โดยใช้เป็นศูนย์กลางให้หน่วยงาน หรือประชาชนในพื้นที่ยืมใช้


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 102 อุปกรณ์ฯ โดยหมุนเวียนกันในพื้นที่ที่รับผิดชอบนั้น และดูแลช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน รวมทั้งรับส่งผู้สูงอายุที่ เดินทางลำบาก พร้อมสำหรับให้บริการผู้พิการทั้งในสถานที่และหยิบยืมกลับไปใช้ที่บ้าน จำนวน 1 ศูนย์คิด เป็นร้อยละ 100 8.2 ประชาชนในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลวังไผ่ ได้เข้าถึงระบบบริการอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ จำนวน 6,329 คน 12,801 ครั้ง ในปีงบประมาณ 2564 คิดเป็นร้อยละ 94.25 ของประชาชนในพื้นที่ 8.3 ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่อยู่ในระยะที่จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ เข้าถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์มากยิ่งขึ้น ลดภาระญาติและผู้ดูแล จำนวน 64 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ของผู้มา รับบริการ (ทั้งหมด 64 คน ) 8.4 เกิดการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อคนพิการ อาทิ เช่น การปรับทางลาด ห้องน้ำ ราวจับใน สำนักงานเทศบาล/หน่วยงานราชการในพื้นที่ จำนวน 9 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 100 ของหน่วยงานราชการ ทั้งหมด 8.5 มีการจัด ปรับบ้านที่เอื้อต่อคนพิการแต่ละประเภท ปรับบ้านติดตั้งปลักไฟที่เหมาะ วางของใน บ้านไม่เกะกะ เสี่ยงอุบัติเหตุ เป็นต้น รวมถึงการซ่อมแซมบ้าน จำนวน 56 หลัง คิดเป็นร้อยละ 36.12 ของคน พิการทั้งหมด (จำนวน 155 หลัง) 8.6 มีบริการรถรับ-ส่งคนพิการ โดยรถยนต์ส่วนกลางบริการรับส่งคนพิการ คนไข้ติดเตียงในกรณี แพทย์นัด จำนวน 18 คน คิดเป็นร้อยละ 100 ของผู้ขอรับบริการ (ทั้งหมด 18 คน) 8.7 เกิดกลไกการจัดการแบบมีส่วนร่วม จากความร่วมมือของการประสานหน่วยงานองค์กรที่ เกี่ยวข้องในการให้การช่วยเหลือคนพิการ เช่น การให้สวัสดิการ การส่งเสริมอาชีพ การจัดการตลาดสินค้า การศึกษาของคนพิการ การเข้ารักษาในหน่วยบริการสุขภาพ จำนวน 84 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 100 ของการ ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 9. ผลกระทบที่เกิดขึ้น 9.1 ประชาชนได้รับบริการรักษาพยาบาลระดับปฐมภูมิ อย่างสะดวกทั่วถึง ครอบคลุมและมี ประสิทธิภาพ โดยมีจำนวนผู้มารับบริการทั้งหมด 6,329 คน มีจำนวนผู้มารับบริการทั้งหมด 12,801 ครั้ง ประกอบด้วย กลุ่มผู้ป่วยนอก กลุ่มหญิงรับบริการฝากครรภ์ 9.2 ประชาชนทั่วไปที่มีภาวะพึ่งพิง ผู้สูงอายุ คนพิการ ในเขตพื้นที่ได้รับวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตามความเหมาะสม ระบบบริการสุขภาพ และมีการใช้บริการระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างทั่วถึงและมี ประสิทธิภาพ 9.3 เทศบาลวังไผ่ ได้พัฒนาท้องถิ่นแบบบูรณาการโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนความสัมพันธ์ ที่ดีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านสุขภาพของประชาชน


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 103 9.4 ผู้สูงอายุที่ขึ้นทะเบียนขอรับการช่วยเหลือกับทางเทศบาล จำนวน 30 คน ใช้บริการรถรับ-ส่ง ของ เทศบาลไปเอายาได้ ทั้ง 30 คน ร้อยละ 100 9.5) กรณีรับ-ส่งฉุกเฉินเฉลี่ย 80 เที่ยว/เดือน ช่วงนี้จะวิ่งเยอะ เนื่องจากรถของมูลนิธิ เอาไปทำเป็น รถ SCOT รับ - ส่งรถผู้ป่วยโควิด ทางเทศบาลจึงต้องรับ - ส่งหลายตำบลและ กรณีเสียชีวิต มีบริการส่งกลับ บ้าน 9.6) ขยายผลไปยังตำบลใกล้เคียง โดยให้เจ้าตัวหรือญาติไปยื่นเรื่องกับตำบลของตนเอง ว่าไม่มีรถไป รับบริการ และมีความประสงค์ให้ทาง ทต.วังไผ่ ไปรับ-ส่ง 9.7) ชาวบ้านตำบลใกล้เคียง ร่วมบริจาค อุปกรณ์ เตียง ให้กับทางเทศบาลวังไผ่ ได้นำไปส่งต่อให้กับ คนอื่นได้ใช้ และเอากับข้าว ขนม มาให้กับทีมกู้ชีพฯ 10. ปัจจัยความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 10.1 ปัจจัยความสำเร็จ 1) มีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลวังไผ่หนุนเสริม การสนับสนุน ด้านงบประมาณ บุคลากร สถานที่ การประสานเครือข่าย ที่จะผลักดันให้การเคลื่อนงานระบบบริการสุขภาพบูรณาการพัฒนา ท้องถิ่นสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน ดำเนินการไปอย่างราบรื่น 2) การมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุ ทำให้เกิดความผูกพันและความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน เช่น การประชุมประจำเดือน การสร้างเวทีในการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การร่วมกันดำเนินงาน 10.2 ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมแบบรวมกลุ่มได้ คณะทำงาน จัดการโดยจัดประชุมแบบออนไลน์ผ่านเพจของโรงเรียนผู้สูงอายุ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 104 เยี่ยมบ้านสูงวัยนำใช้คู่มือการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว เทศบาลเมืองทุ่งสง เทศบาลเมืองทุ่งสง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 1. ชื่อเรื่อง เยี่ยมบ้านสูงวัยนำใช้คู่มือการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว เทศบาลเมืองทุ่งสง 2. พื้นที่ เทศบาลเมืองทุ่งสง อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 3. ผู้นำ นายทรงชัย วงษ์วัชรดำรง นายกเทศมนตรี นางสาวศิริพร จิตรธรรม ผู้ช่วยนักพัฒนาชุมชน 4. ที่มาและเส้นทางการพัฒนา เทศบาลเมืองทุ่งสงจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุและเกิดการรวมตัวกันจนเกิดเป็นโรงเรียนผู้สูงอายุเพื่อให้ ผู้สูงอายุได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง และมีกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม เมื่อได้เรียนรู้จาก โรงเรียนผู้สูงอายุแล้วจึงได้มีกลุ่มทำกิจกรรมต่อเนื่อง ประกอบด้วย กิจกรรมทางกาย ได้แก่ การเคลื่อนไหว ร่างกายตาราง 9 ช่อง เต้นบาสโลบ รำไทเก๊ก รำไม้พลอง กิจกรรมเสริมอาชีพ ได้แก่ การทำเหรียญโปรยทาน การทำหมวกจากวัสดุเหลือใช้ กิจกรรมการออม ได้แก่ การจัดทำบัญชีครัวเรือน และกิจกรรมอาสาเยี่ยมบ้าน เทศบาลเมืองทุ่งสงได้เข้าร่วมโครงการ “การพัฒนาและวิจัยเพื่อการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น” กับสำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้จัดทำข้อมูลสุขภาวะผู้สูงอายุ สรุปข้อมูลจาก TCNAP ดังนี้ เทศบาลเมืองทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นชุมชนเมือง ประชากรทั้งหมด 30,680 คน มี ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จำนวน 3,618 คน คิดเป็นร้อยละ 11.84 ของประชากรทั้งหมด เป็นเพศชาย 1,530 คน คิดเป็น ร้อยละ 10.78 เพศหญิง 2,088 คน คิดเป็นร้อยละ 12.76 จำนวนและร้อยละของผู้สูงอายุตามความสามารถ ในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน (ADL)(ติดสังคม ติดบ้าน ติดเตียง) ได้แก่ กลุ่มติดสังคม 3,045 คน ติดบ้าน 435 คน ติดเตียง 138 คน และจำนวนผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับบุตร หลาน ญาติ 2,539 คน จากข้อมูลดังกล่าว เทศบาลเมืองทุ่งสงจึงทำวิจัยชุมชน (RECAP) ค้นหาทุนและศักยภาพของพื้นที่ วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุ พบว่า มีผู้สูงอายุเป็นกลุ่มติดบ้าน จำนวน 435 คน ติดเตียง จำนวน 138 คน และกลุ่มติดสังคมที่มีความผิดปกติ อื่น ๆ ได้แก่ ความดันโลหิตสูงรอบเอวเกิน มีความเสี่ยง ภาวะซึมเศร้าค่า BMI เกิน 25 ภาวะสมองเสื่อมอยู่ในระดับต่ำควรพบแพทย์และระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ เสี่ยงข้อเข่าเสื่อม และมีความเสี่ยงของโรคหัวใจ ในขณะเดียวกันระหว่างปฏิบัติกิจกรรมอาสาเยี่ยมบ้าน พบว่า ดูแลและผู้สูงอายุเองขาดความรู้ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงและวิธีการดูแลสุขอนามัยที่ถูกต้องอย่าง


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 105 ต่อเนื่องในระยะยาว ดังนั้น คณะทำงานจึงคิดวิธีการเพื่อให้ผู้สูงอายุ กลุ่มติดบ้าน ติดเตียง ได้รับการดูแลได้ อย่างครอบคลุม ภายใต้ทุนและศักยภาพที่มีอยู่ในตำบล โดยดำเนินการ ดังนี้ 1)วิเคราะห์ปัญหาและความ ต้องการของผู้สูงอายุ 2)รวบรวมทีมภาคีวิชาชีพและอาสาสมัครลงเยี่ยมบ้าน 3)คิดค้นเพื่อการดูแลผู้สูงอายุใน ระยะยาว 4)บูรณาการงานเยี่ยมบ้านโดยใช้นวัตกรรม ทุนและศักยภาพของชุมชน 5)คัดเลือกผู้สูงอายุที่ เข้าเกณฑ์การเยี่ยมบ้าน 6)จัดทำคู่มือการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว 7)ลงเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ จนกระทั้ง เกิดเป็น “คู่มือการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวสำหรับประชาชน” จำนวน 7 บท ประกอบด้วย บทที่ 1 ความหมายและ ความสำคัญการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว บทที่ 2 การดูแลกิจวัตรประจำวันการทำความสะอาดร่างกายและ ผิวหนัง บทที่ 3 การจัดการพฤติกรรมที่เป็นปัญหา บทที่ 4 การดูแลเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนใน ผู้สูงอายุ บทที่ 5 การดูแลอาการสำคัญที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ บทที่ 6 การใช้ยาในผู้สูงอายุ และบทที่ 7 การดูแล เพื่อฟื้นฟูสภาพและการออกกำลังกาย ผลจากการลงเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุโดยการบูรณาการนวัตกรรม“คู่มือการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวสำหรับ ประชาชน” หรือ “คู่มือประจำบ้าน” รวมถึงทุนและศักยภาพของชุมชน ทำให้บุคลากรที่ลงเยี่ยมบ้านสามารถ ให้การประเมินผู้ป่วยและให้คำแนะนำในการพบแพทย์ การดูแลสุขอนามัยโดยรวม รวมถึงการทำ กายภาพบำบัดทำให้สุขภาพและสุขอนามัยโดยรวมดีขึ้นได้ ผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงเปลี่ยนสถานะเป็น ผู้สูงอายุติดบ้าน สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น ร้อยละ 80 และมีคู่มือที่สามารถดูแลตัวเอง(Self-care) ได้ ตลอดเวลา 5. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการทำงานเรื่องเด่น 5.1 กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับโยชน์ 1) ผู้สูงอายุทั้งหมด 242 คนซึ่งจัดจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มติดสังคม จำนวน 134 คน กลุ่มติดบ้าน จำนวน 38 คน กลุ่มติดเตียง จำนวน 68 คน 5.2 วัตถุประสงค์ 1 เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพ ชีวิตที่ดีและเหมาะสมอยู่กับครอบครัวและชุมชนได้นานที่สุด 2 เพื่อลดปัญหาการถูกทอดทิ้ง ถูกกระทำทารุณกรรม 3 ลดภาระค่า ใช้จ่ายจากการเข้ารับบริการในสถานบริการสุขภาพเป็นการดูแลช่วยเหลือที่ ครอบคลุมทั้งด้วยสุขภาพกาย จิตใจและด้านสังคม การดูแลช่วยเหลือใน การดำรงชีวิตและการทำกิจวัตร ประจำวัน 4 เพื่อให้ความรู้ด้านสุขศึกษาแก่ผู้ป่วยผู้สูงอายุติดบ้าน/ติดเตียง และผู้ที่เกี่ยวข้องให้มีความรู้เรื่อง


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 106 “ การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาด้านสุขอนามัย ” 5 เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ป่วยผู้สูงอายุติดบ้าน/ติดเตียง ผู้ป่วยพิการ ผู้ป่วยเรื้อรัง และ ผู้ด้อยโอกาสให้พร้อมที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข 6. ประชากรที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบ 1) ผู้สูงอายุทั้งหมด 242 คนซึ่งจัดจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มติดสังคม จำนวน 134 คน กลุ่มติดบ้าน จำนวน 38 คน กลุ่มติดเตียง จำนวน 68 คน 2 ) เจ้าหน้าที่ฝ่ายกองสาธารณสุข อพม. อสม. และจิตอาสาผู้สูงอายุ (ผู้สูงอายุอาสาบางท่านเป็นทั้ง อพม.และผู้สูงอายุจิตอาสาในคนคนเดียวกัน) จำนวน 15 คน 7. วิธีดำเนินการ (methods) 1)วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุ โดยการนำใช้ข้อมูล Rapid Ethnographic. Community Assessment Process : RECAP 2)รวบรวมทีมภาคีวิชาชีพและอาสาสมัครลงเยี่ยมบ้าน ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ฝ่ายกองสาธารณสุข อพม. อสม. และจิตอาสาผู้สูงอายุ (ผู้สูงอายุอาสาบางท่านเป็นทั้งอพม.และผู้สูงอายุจิตอาสาในคนคนเดียวกัน) จำนวน 15 คน 3)คิดค้นเพื่อการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว เป็น “คู่มือการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวสำหรับประชาชน” ได้รับการสนับสนุนเนื้อหาวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ และงานศูนย์บริการสาธารณสุขกอง สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม 4)บูรณาการงานเยี่ยมบ้านโดยใช้นวัตกรรม ทุนและศักยภาพของชุมชน โดยการปฏิบัติตามแผนงาน การเยี่ยมบ้านและบูรณาการนำใช้ “คู่มือการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวสำหรับประชาชน” 5)คัดเลือกผู้สูงอายุที่เข้าเกณฑ์การเยี่ยมบ้าน โดยการประสานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกองสาธารณสุข คัดเลือก ผู้สูงอายุในเขตรับผิดชอบของตนเอง 6)จัดทำคู่มือการดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว จำนวน 100 เล่ม โดยบูรณาการงบประมาณสนับสนุนจาก โครงการ "พัฒนาและวิจัยเพื่อการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น" และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 7)ลงเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุตามแผนงานเยี่ยมบ้าน โดยมีขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการ ดังนี้


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 107 การเยี่ยมบ้าน (Home visit) หมายถึง วิธีการที่ใช้ในการดูแลสุขภาพที่บ้าน ซึ่งในทีมเยี่ยม บ้าน ควรที่จะต้องมีความรู้ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการเยี่ยมบ้านด้วย โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ ผู้ป่วย และ ครอบครัว มีความเต็มใจให้เยี่ยมบ้าน ทีมบุคลากรสุขภาพ มีความเต็มใจในการเยี่ยม แนวทางการเยี่ยมบ้าน การเยี่ยมบ้านจะต้องเกิดจากความยินยอมของสองฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ เยี่ยมและฝ่ายผู้ถูกเยี่ยมมีความยินยอมพร้อมใจกัน เมื่อเลือกครอบครัวที่จะเยี่ยมแล้วแนวทางในการเยี่ยมแบ่ง ได้เป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นตอนก่อนการเยี่ยมบ้าน ประกอบด้วย วัตถุประสงค์ในการเยี่ยม, ศึกษาข้อมูลของผู้ป่วย และ สมาชิกในครอบครัว, มีแผนที่การเดินทางและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ป่วย, โทรศัพท์หรือติดต่อนัดหมาย เวลาเยี่ยมก่อนการเยี่ยมบ้าน ควรจะทราบทางที่จะไปบ้านที่จะไปเยี่ยม หรือมีแผนที่เดินทางไปยังบ้าน หรือมี แผนที่การเดินทางภายในเขตที่จะเยี่ยมทําให้สะดวกและประหยัดเวลาในการเยี่ยม ควรจะทราบหมายเลข โทรศัพท์ของบ้านที่จะเยี่ยม กรณีไม่มีอาจจะขอหมายเลขโทรศัพท์ของบ้านใกล้เคียงเพื่อใช้ในการติดต่อ มี พาหนะที่ใช้ในการเยี่ยม ทั้งนี้ต้องคํานึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก โทรศัพท์นัดหมายเวลาเยี่ยมครอบครัว หรือ ติดต่อกับครอบครัวที่จะเยี่ยมก่อน เพื่อไม่ต้องเสียเวลาในการไปเยี่ยมเมื่อไม่มีสมาชิกในบ้านอยู่ หรือ กรณีที่ สมาชิกในบ้านหรือผู้ป่วยไม่สะดวกที่จะให้เยี่ยมบางเวลา และครอบครัวควรต้องมีเบอร์ติดต่อของผู้ เยี่ยมด้วย เพื่อใช้ในการติดต่อกลับ กรณีที่สมาชิกของครอบครัวต้องการติดต่อกลับเพื่อปรึกษาหรือต้องการ ให้เยี่ยม โดย มีข้อตกลงของการให้บริการทั้ง 2 ฝ่ายก่อน 2) ขั้นตอนขณะเยี่ยมบ้าน สิ่งที่ควรทำ คือ การเริ่มจากทบทวนวัตถุประสงค์ของการเยี่ยม ร่วมกับ สมาชิกครอบครัว ประเมินปัญหาเดิมของผู้ป่วยและปัญหาใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้น ประเมินทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อมของครอบครัว รวมถึงแนะนำการใช้ “คู่มือการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวสำหรับ ประชาชน” 3) ขั้นตอนหลังการเยี่ยมบ้าน ควรต้องมีสมุดหรือแฟ้มประจําครอบครัว เพื่อใช้สําหรับบันทึก ข้อมูลการดูแลครอบครัว การบันทึกข้อมูลจะทําให้ทราบถึงข้อมูลที่เกิดขึ้น และการวางแผนการเยี่ยมครั้งต่อไป รวมถึงสามารถให้บุคลากรอื่นที่จะร่วมเยี่ยมทราบข้อมูลที่ผ่านมาสรุปปัญหาทางด้านร่างกาย, จิตใจและสังคม, แนวทางการเยี่ยมครั้งต่อไป และบันทึกข้อมูล เทคนิคที่ใช้ขณะเยี่ยมบ้าน การสัมภาษณ์ โดยมีหลักคือ ฟังด้วยความเห็นใจ, ใช้คําถามเปิด, อย่าแสดงความรีบร้อน, อย่าขัดจังหวะ การสังเกต ในสิ่งที่ผู้ป่วย และสมาชิกภายในครอบครัวทํา สังเกตสภาพบ้านและเพื่อนบ้าน ให้การช่วยเหลือทางด้านจิตใจผู้ป่วย สถานการณ์ขณะเกิดเหตุการณ์อารมณ์ของผู้ป่วย ปัญหาอะไรที่รบกวน ผู้ป่วยมากที่สุด วิธีการที่ผู้ป่วยจัดการกับปัญหานั้น ความเห็นอกเห็นใจ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 108 8. ผลที่เกิดขึ้น (รูปธรรม) 1. ผู้สูงอายุทั้งหมด 242 คนซึ่งจัดจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มติดสังคม จำนวน 134 คน กลุ่ม ติดบ้าน จำนวน 38 คน กลุ่มติดเตียง จำนวน 68 คน ได้รับการเยี่ยมบ้าน ส่งเสริมภาวะสุขภาพ กระตุ้นเตือน ให้กำลังใจแก่ผู้ดูแลกลุ่มเหล่านี้ 2. ผู้สูงอายุและผู้ดูแลสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง และมีคู่มือที่ สามารถดูแลตัวเอง(Self-care) ได้ตลอดเวลา จำนวน 100 ครัวเรือน 9. ผลกระทบที่เกิดขึ้นจาการจัดการเรียนรู้ฯ ผลต่อกลุ่มประชากรเป้าหมาย 1) ผู้สูงอายุที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงเปลี่ยนสถานะเป็นผู้สูงอายุติดบ้าน สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น ร้อยละ 80 ผลต่อหน่วยงาน องค์กรชุมชน 2) เครือข่ายจิตอาสามีความรู้ และมีการพัฒนาทักษะ และร่วมกันวางแผนการดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆ 3) สามารถคัดกรองผู้สูงอายุเพื่อแยกประเภทภาวะพึ่งพิงเพื่อสามารถนำมาจัดทำแผนในปีต่อไป ผลต่อชุมชน 1) ความสัมพันธ์ด้านสุขภาพระหว่างเทศบาล บ้านและชุมชนมีมากขึ้น 10. ปัจจัยความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 10.1 ปัจจัยความสำเร็จ 1) การมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วนที่มีบทบาทในการดูแลผู้สูงอายุ 2) การดำเนินงานเกิดจากความต้องการของผู้สูงอายุ ทำให้เพิ่มความร่วมมือในการ ดำเนินงาน 3) การนำใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกสร้างความร่วมมือกับทุนทางสังคมที่มีอยู่ใน ตำบล 10.2 ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 1) การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมแบบรวมกลุ่มได้


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 109 มหาลัยชีวิต "ท่าศาลาสร้างสุข" เทศบาลตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช 1. ชื่อเรื่อง มหาลัยชีวิต "ท่าศาลาสร้างสุข" 2. พื้นที่ เทศบาลตำบลท่าศาลา อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช 3. ผู้นำ 1. นายพงศ์เทพ ฟุ้งตระกูล นายกเทศมนตรีตำบลท่าศาลา 2. นายศิริ เลิศไกร สาธารณสุขอำเภอท่าศาลา 3. นางกัลยา สุทิน ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอท่าศาลา 4. นางราตรี ฤทธิรัตน์ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลท่าศาลา 5. ดร.สุภชัย นาคสุวรรณ์ ปลัดเทศบาลตำบลท่าศาลา 6. นางวันเพ็ญ หาญสกุล เลขานุการนายกเทศมนตรี 7. นางฐิตาภา รัตนวิชา ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม 4. ที่มาและเส้นทางการพัฒนา ปี พ.ศ. 2556 ผู้สูงอายุได้รวมตัวกันจัดตั้งชมรมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลท่าศาลา ได้รับสนับสนุนจาก เทศบาลตำบลท่าศาลา และจากโรงพยาบาลท่าศาลา มีกิจกรรมกลุ่มสร้างเสริมสุขภาพ เดือนละ 1 ครั้ง มีการ เยี่ยมบ้านผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้านและติดเตียงร่วมกับโรงพยาบาลท่าศาลา ต่อมาในปี พ.ศ. 2561 เทศบาลตำบล ท่าศาลา เข้าร่วมโครงการพัฒนาและวิจัยเพื่อการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น กับสำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้จัดเก็บข้อมูลครัวเรือนและชุมชน (TCNAP) สรุปข้อมูล ประชากร 2,864 คน ประชากรผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จำนวน 698 คน ร้อยละ 24.37 ของประกรทั้งหมด เพศชาย 281 คน เพศ หญิง 417 คน แบ่งผู้สูงอายุตามความสามารถ พบว่า มีผู้สูงอายุติดบ้าน จำนวน 89 คน ร้อยละ 14.04 ติด เตียงจำนวน 11 คน ร้อยละ 1.57 และติดสังคมจำนวน 598 คน ร้อยละ 85.67 ผู้เตรียมความพร้อมเข้าสู่วัย สูงอายุ (50 – 59 ปี) จำนวน 411 คน ร้อยละ 14.35 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ชาย 177 เพศหญิง 234 มี ผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรัง จำนวน 150 คน คิดเป็นร้อยละ 21.48 ผู้สูงอายุที่มีความพิการ จำนวน 68 คน คิดเป็น ร้อยละ 9.74 ผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพ จำนวน 499 คน คิดเป็นร้อยละ 71.49 ผู้สูงอายุที่มีงานทำ 330 คน คิด เป็นร้อยละ 47.27 ผู้สูงอายุที่ไม่ได้ทำงาน 368 คน คิดเป็นร้อยละ 52.72 ผู้สูงอายุที่มีภาวะอ้วนลงพุง จำนวน 182 คน คิดเป็นร้อยละ 26.07 ผู้สูงอายุทำกิจกรรมเคลื่อนไหวออกแรง จำนวน 597 คน คิดเป็นร้อยละ 85.55 ไม่ได้ออกกำลังกาย จำนวน 90 คน คิดเป็นร้อยละ 12.89 และ มีอาสาสมัครดูแลดูแลผู้สูงอายุ จำนวน 2 คน จากข้อมูลดังกล่าว เทศบาลตำบลท่าศาลาได้จัดทำวิจัยชุมชน (RECAP) ได้ค้นหาทุนและศักยภาพ พื้นที่และวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ พบว่า ผู้สูงอายุในเทศบาลตำบลท่าศาลาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มติด สังคม มีความต้องการด้านการสร้างเสริมสุขภาพ เนื่องจากยังช่วยเหลือตนเองได้มาก ผู้สูงอายุจึงอยากให้มี กิจกรรมเสริม เพิ่มการให้คุณค่ากับตนเอง หากเป็นไปได้อยากจะทำอาชีพเสริมเพื่อให้มีรายได้โดยไม่พึงพาบุตร หลาน จึงแจ้งความประสงค์ให้ภาคีในพื้นที่ได้ช่วยสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้มีการรวมกลุ่มกันเรียนรู้การพัฒนา


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 110 คุณภาพชีวิตของตนเองและได้ช่วยเพื่อนที่เจ็บป่วย ให้ตนเองได้มีคุณค่ามากที่สุด ด้วยการนำใช้ทุนทางสังคม และศักยภาพของชุมชน มาเป็นฐานในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในทุกด้าน จัดการเรียนรู้ได้ครอบคลุมใน ผู้สูงอายุที่มีความแตกต่างกันในทุกกลุ่มวัยของผู้สูงอายุ ประกอบกับในปี 2561 ยังไม่มีการจัดตั้งโรงเรียน ผู้สูงอายุ มีแต่ชมรมผู้สูงอายุ ประกอบกับประธานชมรมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอดีตครู ข้าราชการบำนาญ มี ประสบการณ์เรื่องการเรียนการสอนมาก่อน จึงนำโครงการนี้ไปเสนอให้กับหัวหน้ากองสวัสดิการสังคม เพื่อขอ เปิดโรงเรียนผู้สูงอายุ เมื่อพูดคุยปรึกษาหารือกันแล้ว ในที่ประชุมได้เสนอแนวคิดการจัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัย ผู้สูงอายุ ดังคำพูดของป้าเจี้ยง ประธานชมรมผู้สูงอายุ ความว่า “ตั้งชื่อว่ามหาลัยชีวิต เพราะว่าเทศบาล ตำบลท่าศาลา อยู่ใกล้ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เลยใช้ชื่อคำว่ามหาลัย มาแทนชื่อนำหน้า โรงเรียน ผู้สูงอายุ เพื่อที่จะจินตนาการพาผู้สูงอายุว่า เรียนมหาลัย ในชีวิตพอจะสร้างคุณค่าให้กับผู้สูงอายุที่มีชีวิต มันปลายว่าได้เรียนในมหาวิทยาลัย เพราะว่าเป็นการเรียนที่ไม่รู้จบ มหาลัยชีวิตทางเทศบาลท่าศาลาก็มี ความภาคภูมิใจที่ได้มีการหนุนเสริมผู้สูงอายุ และในเมื่อจะให้ผู้สูงอายุได้เรียนในโรงเรียน เราให้เรียนใน ระดับมหาวิทยาลัยน่าดีกว่า เพราะเขตพื้นที่ท่าศาลา เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว จึงอยากให้ ผู้สูงอายุได้เรียนในระดับมหาวิทยาลัยเสียเลย จะได้เกิดความภูมิใจมากกว่า” การพัฒนา มหาลัยชีวิต “ท่าศาลาสร้างสุข" มีเป้าหมายให้ผู้สูงอายุได้รับการสร้างเสริมสุขภาวะในทุก ด้าน แลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ภายใต้การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย เป็นทุนและ ศักยภาพ 5 ด้าน ได้แก่ 1) การเมืองการปกครอง ได้แก่ เทศบาลตำบลท่าศาลา ที่ว่าการอำเภอท่าศาลา ศูนย์ ดำรงธรรมอำเภอท่าศาลา คณะกรรมการชุมชน 6 ชุมชน อพปร 2) สังคม ได้แก่ ศูนย์บริการการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอท่าศาลา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบล ท่าศาลา โรงเรียนสตรีดำรงเวท โรงเรียนปทุมานุกูล โรงเรียนท่าศาลา โรงเรียนอนุบาลวัยวัฒน์ โรงเรียน อนุบาลอุบลวิทย์ วัดเสนาราม มูลนิธิหน่วยกู้ภัยใต้เต็กเซียงตึ๊ง คณะกรรมการพัฒนาสตรี คณะกรรมการชมรม ผู้สูงอายุ อาสาสมัครผู้สูงอายุ กองทุนสวัสดิการชุมชน กศน.ตำบล กองทุน SML กลุ่มอนุรักษ์วัฒนธรรม กลุ่ม อนุรักษ์ดนตรีพื้นบ้าน กลุ่มอาสาสมัครรถอ็อฟโรด 3) เศรษฐกิจ ได้แก่ กลุ่มสินค้า OTOP น้ำพริก กลุ่ม ทำอาหาร (ชุมชนปทุมา) กลุ่มสานตะกร้า กลุ่มแปรรูปสาหร่าย กลุ่มขนมจีนเส้นสด โรงงานยาสูบ สำนักงาน พัฒนาชุมชน สถาบันการเงิน สำนักงานเกษตรอำเภอท่าศาลา สำนักงานปศุสัตว์อำเภอท่าศาลา ธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตรอำเภอท่าศาลา 4) สิ่งแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมักชีวภาพ กลุ่ม น้ำหมักชีวภาพ 5) ด้านสุขภาพ ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุข ชมรมผู้พิการ โรงพยาบาลท่าศาลา สาธารณสุข อำเภอท่าศาลา กองสาธารณสุขเทศบาลตำบลท่าศาลา กองทุนตำบล (สปสช.) จากข้อมูลดังกล่าว ชมรมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลท่าศาลา จึงดำเนินการจัดการเรียนการสอนใน หลักสูตร “มหาลัยชีวิต” ให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้ โดยมีภาคีเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานโดยบูรณา การเนื้อหาที่เรียนไปใช้ในการจัดระบบการดูแลผู้สูงอายุทุกกลุ่ม ใช้กิจกรรมที่จัดขึ้นไปนำใช้กับภารกิจประจำ ของหน่วยงาน และองค์กร ส่งผลให้มีการจัดกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง ภาคีที่เข้ามามีส่วนร่วม จำนวน 12 ภาคี ได้แก่ เทศบาลตำบลท่าศาลา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โรงพยาบาลท่าศาลา สาธารณสุขอำเภอท่าศาลา ศูนย์บริการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอท่าศาลา ธนาคารออมสินสาขาท่าศาลา


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 111 สถานีตำรวจภธรอำเภอท่าศาลา วัดเสนาราม สำนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ชมรมแอโรบิกท่าศาลา และชมรมผู้สูงอายุอำเภอท่าศาลา โดยมีเส้นทางพัฒนา ดังนี้ 1) แต่งตั้งคณะกรรมการ ได้แก่ 1) คณะกรรมการที่ปรึกษาชมรมผู้สูงอายุ คัดเลือกจากภาคีที่ให้การ สนับสนุนงานการดูแลผู้สูงอายุ ได้แก่ นายกเทศมาตรี ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ผู้อำนวยการกองสา ธารสุข ผู้อำนวยการ กศน.ท่าศาลา ปลัดเทศบาลตำบลท่าศาลา พยาบาลวิชาชีพจากโรงพยาบาลท่าศาลา เป็น ต้น 2) คณะกรรมการดำเนินงาน “มหาลัยชีวิต” ในชมรมผู้สูงอายุให้ดำเนินงานต่อเนื่อง ทำหน้าที่สนับสนุน การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร โดยมีประธานชมรมผู้สูงอายุ ทำหน้าที่เป็นประธาน มีคณะกรรมการ 12 คน ซึ่งมีความรู้ความชำนาญหลากหลายอาชีพ มีเลขาเป็นครูข้าราชการบำนาญ 2) จัดทำแผนการสอน ให้ มีการเรียนการสอนทุกวันพุธ สัปดาห์ที่ 3 ของทุกเดือน ใช้รูปแบบการสอนที่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน และกัน ร่วมกับวิทยากรที่มีความรู้ความชำนาญ ในเนื้อหาของหลักสูตร ร่วมกับการศึกษาดูงานนอกสถานที่ 1 วัน โดยมีเนื้อหา 3 กลุ่มวิชา ได้แก่ 2.1) กลุ่มวิชาชีวิต 4 หมวด ได้แก่ วิชาสังคม วิชาชีวิตและสุขภาพ วิชา ศาสนาวัฒนธรรมและและภูมิปัญญา และกิจกรรมนันทนาการและการออกกำลังกาย 2.2) กลุ่มวิชาชีพ มี 1 หมวด ได้แก่ หมวดวิชาเศรษฐกิจ 2.3) กลุ่มวิชาการ มี 2 หมวด ได้แก่ วิชาสังคม วิชาสุขภาพ 3) ทีมร่วม ดำเนินการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ได้แก่ 3.1) บูรณาการวิชาที่เรียนร่วมกับการจัดกิจกรรมการดูแล ผู้สูงอายุทุกกลุ่ม ครอบคลุมทั้ง 6 ชุมชน 3.2) บูรณาการ การประสานวิทยากรผู้ที่มีความเชี่ยวชาญจากภาคี เครือข่ายที่หลากหลายหน่วยงาน ครอบคลุมเนื้อหาของหลักสูตรให้มาร่วมดำเนินงาน 3.3) ร่วมเรียนรู้กิจกรรม บูรณาการงานประจำของหน่วยงาน จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นที่ 1 ระหว่างเดือน เดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน 2562 รวม 8 เดือน มีผู้สูงอายุเข้าร่วม 45 คน รุ่นที่ 2 มีผู้สูงอายุเข้าร่วม 40 คน เริ่มเรียนได้ 2 เดือน ต้องหยุด เรียนเนื่องจากมีการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 4) พัฒนากิจกรรมสำคัญบูรณาการงานนวัตกรรม เพื่อใช้พัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุได้ต่อเนื่อง โดยชมรมผู้สูงอายุร่วมกับหน่วยงานที่มาเป็นวิทยากร มีส่วน ร่วมดำเนินการ เกิดการปฏิบัติต่อเนื่องอย่างมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุทุกกลุ่ม ดังนี้ 4.1) การส่งเสริมอาชีพ เรียนรู้ในศูนย์เรียนรู้ทำน้ำหมักชีวภาพ และทำแปลงผักปลอดสารพิษที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การทำน้ำยาล้างจานจาก น้ำหมักชีวภาพ ทำสายคล้องแมสจากลูกปัด ทำน้ำมันเขียวสมุนไพร และทำขนม 4.2) อาหาร ได้แก่ อาหารและโภชนาการที่ดี อาหารที่ผู้สูงอายุควรบริโภคบ่อย และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ผล ของอาหารต่อการเปลี่ยนแปลงในวัยสูงอายุ อาหารที่ควรบริโภคเพื่อสุขภาพช่องปาก การดูแลสุขภาพช่องปาก การแปรงฟัน การใช้ยาสีฟัน การบำรุงรักษาเหงือกและฟัน โรคในช่องปากและการดูแลสุขภาพช่องปาก สุข นิสัยสำหรับสุขภาพในช่องปาก 4.3) ออกกำลังกาย ได้แก่ ศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ มโนราห์ รองเง็ง ตารีกีปัส การเต้นแอโรบิก การเต้นลีลาศ ออกกำลังกายในน้ำในสระว่ายน้ำมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ การยืดเหยียด กล้ามเนื้อโดยใช้ผ้าขาวม้า การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของ ผู้สูงอายุที่เน้นการออกกำลังกายด้วยตนเอง 4.4) การออม อบรมการทำบัญชีครัวเรือน และ 4.5) อาสาสร้าง เมือง จิตอาสาผู้สูงอายุเยี่ยมบ้าน ตุลาคม-พฤศจิกายน 2563 เยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ ติดบ้านทุชุมชน ชุมชนละ 5 คน จำนวน 30 คน จิตอาสาให้ความรู้ตามคู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อนเยี่ยมเพื่อนเสริมกำลังใจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลท่าศาลา และ รพ.สต.บ้านทุ่งชน เป็นต้น 4.6) กองทุนออมเพื่อสนับสนุนชมรม


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 112 ผู้สูงอายุให้ดูแลเพื่อได้ต่อเนื่อง ใช้งบประมาณในการลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างคล่องตัว โดยเฉพาะใช้ในกิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อนเยี่ยมเพื่อน เริ่มจากการรับสมัครจิตอาสาผู้สูงอายุ จากแกนนำ ผู้สูงอายุ สมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ ออมเงินคนละ 10 บาท/เดือน หยอดกระปุกออมสิน นำเงินมาช่วยเหลือ เพื่อนสมาชิกชมรมฯ ที่มีความยากไร้ เสียชีวิต พิการ และอื่น ๆ ตามข้อพิจารณาของชมรม กิจกรรมที่มี เช่น การจัดทำดอกไม้จันทน์นำมาจัดตกแต่งในพานพุ่ม ให้กับครอบครัวของผู้สูงอายุ เป็นต้น 5) ติดตามงานและ ประเมินผลโดยนำใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการใช้วิธีการติดตามประเมินผล ได้แก่ การสังเกต ตรวจผลงาน ซักถาม เครื่องมือการวัดผลและประเมินผล ได้แก่ ใบงาน แบบสังเกตพฤติกรรมของ ผู้เรียน ติดตามงานทุกเดือน นำผลการประเมินมาพัฒนาต่อเนื่อง 5. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการทำงานเรื่องเด่น เป้าหมายของ มหาลัยชีวิต "ท่าศาลาสร้างสุข" เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีการรวมกลุ่มกัน ร่วมแลกเปลี่ยน เรียนรู้การสร้างสุขภาพ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกด้าน โดยการนำใช้ทุนและศักยภาพในพื้นที่ นำ ความรู้ที่มีอยู่ในตัวของผู้สูงอายุ ในปราชญ์ชาวบ้าน และจากวิทยากร นำไปสู่การปฏิบัติได้ด้วยเอง อีกทั้งยังได้ ช่วยเหลือผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน ติดเตียง และผู้สูงอายุที่มีความพิการได้ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 5.1 วัตถุประสงค์ของผู้สูงอายุ 1.1) เพื่อให้ผู้สูงอายุที่ติดสังคมได้มีกิจกรรมร่วมกันเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ 1.2) เพื่อให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมดำเนินงานกับภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 1.3) เพื่อให้ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน ติดเตียง และผู้สูงอายุที่มีความพิการ ได้รับการดูแลตอบสนอง ความต้องการ และได้รับการช่วยเหลือตามสถานะสุขภาพ 5.2 วัตถุประสงค์ผู้ร่วมดำเนินการดูแลผู้สูงอายุ 2.1) เพื่อพัฒนากลไกการจัดการระบบการดูแลผู้สูงอายุแบบมีส่วนร่วมของทีมดำเนินงาน 2.2) เพื่อบริหารจัดการทีมและจัดการงบประมาณจากกองทุน สปสช. จากเทศบาลตำบลท่า ศาลา มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 6. ประชากรที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบ ประชากรที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบจากการเข้าร่วมกระบวนการเรียนรู้ 6.1 ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 698 คน 6.2 ผู้สูงอายุติดบ้าน 89 คน ผู้สูงอายุติดเตียง 11 คน และผู้สูงอายุติดสังคม 598 คน 6.3 ผู้สูงอายุเข้าเรียนรู้ในหลักสูตร มหาลัยชีวิต ท่าศาลาสร้างสุข จำนวน 84 คน 6.4 ภาคีเครือข่ายร่วมเรียนรู้ ดังนี้ 1) เทศบาลตำบลท่าศาลา 2) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 3) โรงพยาบาลท่าศาลา 4) สาธารณสุขอำเภอท่าศาลา 5) ศูนย์บริการการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยอำเภอท่าศาลา 6) ธนาคารออมสิน สาขาท่าศาลา 7) สถานีตำรวจภธร อำเภอท่าศาลา 8) วัดเสนา


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 113 ราม 9) สำนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช 10) สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 11) ชมรมแอโรบิกท่าศาลา 12) ชมรมผู้สูงอายุอำเภอท่าศาลา 7. วิธีดำเนินการ (methods) มีขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการดังต่อไปนี้ ชมรมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลท่าศาลา ร่วมกับภาคีเครือข่าย จำนวน 12 ภาคี ได้แก่ เทศบาลตำบลท่า ศาลา มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ โรงพยาบาลท่าศาลา สาธารณสุขอำเภอท่าศาลา ศูนย์บริการการศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอท่าศาลา ธนาคารออมสินสาขาท่าศาลา สถานีตำรวจภธรอำเภอท่า ศาลา วัดเสนาราม สำนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชมรมแอโรบิกท่าศาลา และชมรมผู้สูงอายุอำเภอท่าศาลา มีส่วนร่วมเรียนรู้ นำความรู้ไปบูรณาการจัดระบบ การดูแลผู้สูงอายุทุกกลุ่มได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังนำกิจกรรมสำคัญไปใช้สู่ภารกิจงานประจำของหน่วยงานได้ ส่งผลให้ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 1. แต่งตั้งคณะกรรมการครอบคลุมหน่วยงานสนับสนุนและทีมปฏิบัติการ ดังนี้ 1.1 คณะกรรมการที่ปรึกษาชมรมผู้สูงอายุคัดเลือกจากภาคีที่ให้การสนับสนุนงานการดูแล ผู้สูงอายุได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถบูรณาการกิจกรรมกับงานประจำของหน่วยงานได้ ได้แก่ นายกเทศมาตรี ผู้อำนวยการกองสวัสดิการสังคม ผู้อำนวยการกองสาธารสุข ผู้อำนวยการ กศน.ท่าศาลา ปลัดเทศบาลตำบล ท่าศาลา พยาบาลวิชาชีพจากโรงพยาบาลท่าศาลา เป็นต้น 1.2 คณะกรรมการดำเนินงาน “มหาลัยชีวิต” มาจากสมาชิกชมรมผู้สูงอายุเพื่อเป็นทีม ปฏิบัติการในโครงการ “มหาลัยชีวิต” ทำหน้าที่สนับสนุนการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตร โดยมีประธาน ชมรมผู้สูงอายุ ทำหน้าที่เป็นประธาน มีคณะกรรมการ 12 คน ซึ่งมีความรู้ความชำนาญหลากหลายอาชีพ มี เลขาเป็นครูข้าราชการบำนาญ 2. จัดทำแผนการสอน ให้มีการเรียนการสอนทุกวันพุธ สัปดาห์ที่ 3 ของทุกเดือน ใช้รูปแบบการสอน ที่มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันและกัน ร่วมกับวิทยากรที่มีความรู้ความชำนาญ ในเนื้อหาของหลักสูตร ร่วมกับการศึกษาดูงานนอกสถานที่ 1 วัน โดยมีเนื้อหา 3 กลุ่มวิชา ดังนี้ 2.1 กลุ่มวิชาชีวิต 26 ชั่วโมง มี 4 หมวด ได้แก่ 1) หมวดวิชาสังคม หัวข้อการใช้ชีวิตในวัย สูงอายุ เนื้อหาเกี่ยวกับ การเตรียมตัวก่อนวัยสูงอายุด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ สังคมและสุขภาพ การ เปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ ร่างกาย สังคม เศรษฐกิจ กิจกรรมในวัยสูงอายุ การใช้ชีวิตร่วมกับคนหลายวัย เป็นต้น 2) หมวดวิชาชีวิตและสุขภาพกาย ประกอบด้วย หัวข้อสุขภาพกาย (หลัก 3 อ) เนื้อหาเกี่ยวกับ ความเข้าใจที่ ดีต่อโภชนาการ และคุณลักษณะของโภชนาการที่ดี ผลของอาหารต่อการเปลี่ยนแปลงในวัยสูงอายุ อาหารที่ ผู้สูงอายุควรบริโภคบ่อย และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง จุดมุ่งหมายของการออกกำลังกาย การออกกำลังกายเพื่อ สุขภาพของผู้สูงอายุ การปฏิบัติกิจวัตรประจำวันของผู้สูงอายุ การเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ของผู้สูงอายุ หัวข้อการดูแลสุขภาพช่องปาก มีเนื้อหาเกี่ยวกับ การแปรงฟัน การใช้ยาสีฟัน การบำรุงรักษาเหงือกและฟัน อาหารที่ควรบริโภคเพื่อสุขภาพช่องปาก โรคในช่องปากและการดูแลสุขภาพช่องปาก สุขนิสัยสำหรับสุขภาพ ในช่องปาก หัวข้อสุขภาพใจ มีเนื้อหาเกี่ยวกับการขจัดความวิตกกังวลสำหรับผู้สูงอายุเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 114 การยอมรับในสภาพชีวิต สังขาร การปลง การใช้วิธีทางจิตวิทยา การบริหารสุขภาพจิตในวัยสูงอายุ การ ยอมรับสภาพสังคม การมองโลกในแง่ดี การหลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว 3) หมวดวิชาศาสนาวัฒนธรรมและ และภูมิปัญญา ประกอบด้วยหัวข้อการนำหลักศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน เนื้อหาเกี่ยวกับ การนำหลัก ศาสนามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน หัวข้อการทำสมาธิวิปัสสนา เนื้อหาเกี่ยวกับ ประโยชน์ของการทำสมาธิ รูปแบบการทำสมาธิทั่วไป รูปแบบการทำสมาธิ เพื่อบำบัดกายและใจ หัวข้อการถ่ายทอดภูมิปัญญาผู้สูงอายุ เนื้อหาเกี่ยวกับ ภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น 4) หมวดกิจกรรมนันทนาการและการออกกำลังกาย ประกอบด้วยหัวข้อกิจกรรมเข้าจังหวะ เนื้อหาเกี่ยวกับ ลีลาศ รำไทย เพลงประกอบท่าทาง อื่น ๆ หัวข้อดนตรี ร้องเพลง เนื้อหาเกี่ยวกับประโยชน์ของดนตรี การร้องเพลง รูปแบบการใช้ดนตรีเพื่อการบำบัดกายและใจ การ ออกกำลังกาย เนื้อหาเกี่ยวกับ การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ กายออกกำลังกายในน้ำ พัฒนา ทักษะการออกกำลังกาย 2.2 กลุ่มวิชาชีพ 9 ชั่วโมง มี 1 หมวด ได้แก่ หมวดวิชาเศรษฐกิจ ประกอบด้วย หัวข้อการฝึก อาชีพเพื่อเพิ่มรายได้ลดรายจ่าย เนื้อหาเกี่ยวกับการทำยาดมสมุนไพร หัวข้อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การ จัดทำบัญชีครัวเรือน การออมในวัยสูงอายุ เนื้อหาเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีครัวเรือน การใช้ชีวิตตามปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง การเก็บออมด้วยตนเอง การฝากเงินธนาคาร สังคมไร้เงินสด งานฝีมือต่าง ๆ เนื้อหาเกี่ยวกับ ศิลปะ หัตถกรรม อื่น ๆ 2.3 กลุ่มวิชาการ 13 ชั่วโมง มี 2 หมวด ได้แก่ 1) หมวดวิชาสังคม ประกอบด้วย หัวข้อกฎหมาย และสิทธิประโยชน์ของผู้สูงอายุ มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ความรู้เบื้องต้นกฎหมายที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ เช่น พรบ. ผู้สูงอายุพ.ศ.2546 กฎหมายผู้สูงอายุ พินัยกรรม มรดก การทำสัญญาหรือนิติกรรมทางกฎหมาย การโอน กรรมสิทธิ์ และแหล่งให้บริการสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ สำหรับผู้สูงอายุ หัวข้อการเลือกตั้งในระบอบ ประชาธิปไตย มีเนื้อหาเกี่ยวกับพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสาร และข้อควร ระวังในการใช้สื่อออนไลน์ 2) หมวดวิชาสุขภาพ ประกอบด้วยหัวข้อการปฐมพยาบาลเบี้องต้น การช่วยฟื้นคืน ชีพพื้นฐานและการดูแลตนเองเมื่อมีภาวะฉุกเฉิน มีเนื้อหาเกี่ยวกับโรคในผู้สูงอายุ ภาวะฉุกเฉิน และการปฏิบัติ ตัว การปฐมพยาบาลเบื้องต้นการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน 3. ทีมร่วมดำเนินการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ เรียนรู้การจัดกิจกรรมตาม 10 กลยุทธ์ หลัก 5 อ. 5 ก. เพื่อตอบสนองทั้ง 5 มิติ กาย จิต สังคม อารมณ์สติปัญญา ได้แก่ 3.1) บูรณาการวิชาที่เรียนร่วมกับการ จัดกิจกรรมการดูแลผู้สูงอายุในทุกกลุ่ม ครอบคลุมทั้ง 6 ชุมชน 3.2) บูรณาการ การประสานวิทยากรผู้ที่มี ความเชี่ยวชาญจากภาคีเครือข่ายที่หลากหลายหน่วยงาน ครอบคลุมเนื้อหาของหลักสูตรให้มาร่วมดำเนินงาน 3.3) ร่วมเรียนรู้กิจกรรมบูรณาการงานประจำของหน่วยงาน จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นที่ 1 ระหว่างเดือน เดือน กุมภาพันธ์ - กันยายน 2562 รวม 8 เดือน มีผู้สูงอายุเข้าร่วม 45 คน รุ่นที่ 2 มีผู้สูงอายุเข้าร่วม 40 คน เริ่ม เรียนได้ 2 เดือน ต้องหยุดเรียนเนื่องจากมีการระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 4. พัฒนากิจกรรมสำคัญบูรณาการกับงานประจำของหน่วยงาน เกิดนวัตกรรม นำใช้พัฒนาระบบ การดูแลผู้สูงอายุได้ต่อเนื่อง โดยชมรมผู้สูงอายุ ร่วมกับงานประจำของหน่วยงานที่มาเป็นวิทยากรได้ เกิดการ ปฏิบัติต่อเนื่องอย่างมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ดังนี้ 4.1) การส่งเสริมอาชีพ จัดฐานเรียนรู้


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 115 ในศูนย์เด็กเล็ก เป็นศูนย์เรียนรู้ทำน้ำหมักชีวภาพ และทำแปลงผักปลอดสารพิษ การทำน้ำยาล้างจาน การทำ สายคล้องแมสจากลูกปัด ทำน้ำมันเขียวสมุนไพร และทำขนม 4.2) อาหาร ได้แก่ อาหารพื้นบ้าน ทำขนม และ เรียนรู้ไปถึงการดูแลสุขภาพช่องปาก 4.3) ออกกำลังกาย ใช้ศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ ได้แก่ มโนราห์ รองเง็ง ตา รีกีปัส การเต้นแอโรบิก การเต้นลีลาศ ออกกำลังกายในน้ำในสระว่ายน้ำมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ การยืด เหยียดกล้ามเนื้อโดยใช้ผ้าขาวม้า การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของ ผู้สูงอายุที่เน้นการออกกำลังกายด้วยตนเอง 4.4) การออม อบรมการทำบัญชีครัวเรือน และการออมเพื่อช่วย เพื่อน เกิดกองทุน “ออมเพื่อช่วยเพื่อน” เป็นกองทุนออมเพื่อสนับสนุนชมรมผู้สูงอายุให้ดูแลผู้สูงอายุได้ ต่อเนื่อง นำงบประมาณไปช่วยเหลือผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างคล่องตัว เริ่มจากรับสมัครจิตอาสาผู้สูงอายุ จาก แกนนำผู้สูงอายุ สมัครเป็นสมาชิกกองทุนฯ ออมเงินคนละ 10 บาทต่อเดือน หยอดกระปุกออมสิน นำเงินมา ช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกชมรมฯ ที่มีความยากไร้ เสียชีวิต พิการ และอื่น ๆ ตามข้อพิจารณาของชมรม เป็นต้น สะสมเข้ากล่องออมสิน เพื่อช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกชมรมฯ ที่เดือดร้อน ไร้ที่พึ่ง และเสียชีวิต โดยการจัดทำ ดอกไม้จัน นำมาจัดตกแต่งในพานพุ่ม ให้กับครอบครัวของ 4.5) อาสาสร้างเมือง ได้แก่ 1) จัดกิจกรรมอาสา หาเงินเข้ากองทุนออมเพื่อช่วยเพื่อน เช่น การจัดทำดอกไม้จันทน์ การจัดตกแต่งในพานพุ่ม ให้กับครอบครัว ของผู้สูงอายุ 2) จิตอาสาผู้สูงอายุเยี่ยมบ้าน ตุลาคม-พฤศจิกายน 2563 เยี่ยมบ้านผู้สูงอายุ ติดบ้านทุกชุมชน ชุมชนละ 5 คน จำนวน 30 คน จิตอาสาให้ความรู้ตามคู่มือการดูแลตนเองสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อนเยี่ยมเพื่อน เสริมกำลังใจ ร่วมกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลท่าศาลา และ รพ.สต.บ้านทุ่งชน เป็นต้น 5. ติดตามงานและประเมินผลด้วยการนำใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาต่อเนื่อง คณะกรรมการดำเนินงานได้ ติดตามและประเมินผลการเรียนรู้ การนำความรู้จากการเรียนรู้ใน “มหาลัยชีวิต” ไปใช้ประโยชน์ มีวิธีการและ เครื่องมือเพื่อใช้ติดตามประเมินผล ได้แก่ เครื่องมือการวัดผลและประเมินผล การสังเกต ตรวจผลงาน ซักถาม ใบงาน แบบสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน ทำการติดตามงานทุกเดือน รวมไปถึงการนำผลการประเมินมาพัฒนา ต่อเนื่อง 8.ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจาการจัดการเรียนรู้ฯ (รูปธรรม) 8.1 ผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุเทศบาลตำบลท่าศาลา จำนวน 82 คน ได้เรียนรู้ในหลักสูตร “มหาลัย ชีวิต ท่าศาลาสร้างสุข” นำความรู้ไปช่วยเหลือเพื่อนผู้สูงอายุที่ติดบ้าน ติดเตียง และผู้สูงอายุที่มีความพิการได้ 8.2 ผู้สูงอายุ จำนวน 82 คน มีทักษะการดำเนินชีวิตที่จำเป็น เช่น ความรู้เบื้องต้นกฎหมายที่เกี่ยวกับ ผู้สูงอายุ พรบ.ผู้สูงอายุ การจัดทำบัญชีครัวเรือน การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ การบริหาร สุขภาพจิตในวัยสูงอายุ เป็นต้น 8.3 ผู้ดูแลผู้สูงอายุในครัวเรือนได้รับความรู้การรับมือกับช่วงวัย การดูแลตนเอง นำไปปฏิบัติได้ 8.4 เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดเครือข่ายการทำกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ก่อตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพ การออกกำลังกายประยุกต์ศิลปะพื้นบ้านภาคใต้ (ประยุกต์มาจาก ท่ารำมโนราห์ ลิเกฮูลู รองเง็ง ตาลีกีปัส หนังตะลุง ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านทางภาคใต้) กองทุน ออมกับชมรมฯ เพื่อนช่วยเพื่อน เป็นต้น สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ผู้สูงอายุ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 116 8.5 จิตอาสา (ผู้สูงอายุที่ติดสังคม) มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ช่วยเหลือผู้สูงอายุอื่นได้ จำนวน 30 คน 8.6 ผู้สูงอายุที่ติดบ้าน มีขวัญและกำลังใจที่ดี ผู้สูงอายุที่ติดบ้าน มีความกล้าที่จะออกจากบ้านเพื่อร่วม กิจกรรมต่าง ๆ ของสังคมได้อย่างมีความสุข ดังคำบอกเล่าต่อไปนี้ “การที่มีโรงเรียนผู้สูงอายุมันทำให้ผู้สูงอายุ มีสังคมจริง ๆ บางคนเป็นคนอยู่แต่ที่บ้านไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง แต่การไปอยู่ในโรงเรียนผู้สูงอายุทำให้พวกเขา เข้าใจหลายหลายอย่างมากขึ้น และเป็นคนที่กล้าแสดงออกมากขึ้นจากการที่ก่อนหน้านี้พวกเขามีความเขิน อาย” (นางจริยาภรณ์ ภู่ภูมิรัตน์ สมาชิกมหาลัยชีวิต) 8.7 ผู้สูงอายุมีอาชีพเสริมสามารถสร้างรายได้ ลดรายจ่ายในครัวเรือนได้ จากการที่เข้าเรียนรู้ในมหา ลัยชีวิต เช่น กิจกรรมทำน้ำยาล้างจานจากน้ำหมัก กิจกรรมการทำขนมไทย กิจกรรมปุ๋ยหมักชีวภาพ กิจกรรม ทำพุ่มดอกไม้จันทน์ เป็นต้น 8.8 เกิดโครงการ ออมกับชมรมผู้สูงอายุ เพื่อนช่วยเพื่อน ยอดเงินออมรวม 1,400 บาท มีสวัสดิการ ผู้สูงอายุ กองทุนออมกับชมรมฯ เพื่อนช่วยเพื่อน เยี่ยมเยียนให้กำลังใจเมื่อเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล ครั้งละ 500 บาท 9. ผลกระทบที่เกิดขึ้น ดังนี้ 9.1 ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการส้รางเสริมกิจกรรมทางกายจากการประยุกต์ วัฒนธรรมท้องถิ่นมโนราห์และไลน์แดน โดยวิทยากรจากสำนักวิชาสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และชมรมสตรีไทยใส่ใจสุขภาพ และผู้สูงอายุมีการรวมกลุ่มเรียนรู้การสร้างเสริมอาชีพในมหาวิทยาลัยชีวิต 9.2 เทศบาลตำบลท่าศาลา ร่วมกับชมรมผู้สูงอายุ ทำงานแบบมีส่วนร่วมจากหลายฝ่าย ในการ พัฒนาการจัดการระบบการดูแลผู้สูงอายุแบบมีส่วนร่วม โดยเกิดความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ หน่วยงาน เอกชน และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เข้ามาให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องและจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุหน่วยงาน องค์กรชุมชน องค์กรรัฐ เอกชนนอกพื้นที่ จำนวน 5 องค์กรประกอบด้วย 1) เจ้าอาวาสวัดวัดเสนาราม 2) พยาบาลวิชาชีพ 3) สำนักงานอัยการจังหวัดนครศรีธรรมราช 4) นักวิชาการสาธารณสุข 5) สำนักงานพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์เป็นต้น 9.3 มีมาตรฐาน แนวปฏิบัติที่ชัดเจน มีการแต่งตั้งคณะกรรมการจากชมรมผู้สูงอายุ เพื่อจัดทำ หลักสูตรจากหลากหลายวิชาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ทักษะการดำเนินชีวิตที่จำเป็นของผู้สูงอายุ และทบทวน หลักสูตรในทุก ๆ รุ่น เพื่อปรับให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และความต้องการของผู้สูงอายุในชุมชน และมี การจัดทำคู่มือ ออกตารางเรียน เพื่อเป็นแนวทางหลักในการดำเนินการ และเป็นข้อปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทาง เดียวกันของมหาลัยชีวิต 9.4 ประชาชนในชุมชน และจิตอาสาดูแลผู้สูงอายุมีสวนร่วมในการดูแล ทั้งในระดับครัวเรือน และ ระดับชุมชน เกิดความรัก ความอบอุ่นของครอบครัว และชุมชนในเขตเทศบาลตำบลท่าศาลา 9.5 ผลต่อชุมชน ได้แก่ 1) มหาวิทยาลัยชีวิตผู้สูงอายุเป็นพื้นที่เรียนรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ ภูมิ ปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นให้ดำรงสืบทอดเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน เป็น “เวที” ที่เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมี


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 117 ส่วนร่วมในการทำประโยชน์ ต่อชุมชนและสังคม รวมทั้งอาจเป็นแรงผลักดันให้เข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในชุมชน 2) มีกลุ่มดูแลช่วยเหลือกัน กฎ กติกา จัดการกันเอง 3) เกิดการจัดตั้ง “กองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริม อาชีพผู้สูงอายุ” เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกชมรมผู้สูงอายุ 10. ปัจจัยความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 10.1 ปัจจัยความสำเร็จ 1) การมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วน นำความเชี่ยวชาญมาเรียนรู้ โดยเฉพาะความ เชี่ยวชาญของผู้สูงอายุ ได้แก่ 1.1) ประธานชมรมผู้สูงอายุ (นางเจี้ยง) นำใช้ความรู้จากการเป็นครู มาจัด แผนการสอน รวมไปถึงการติดตามผลการเรียนรู้เป็นระยะ นำบทเรียนมาพัฒนาการเรียนรู้ได้ต่อเนื่อง 10.2 ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ การแพร่ระบาดของโรค COVID19 ทำให้ไม่สามารถ จัดกิจกรรมแบบรวมกลุ่มได้ คณะทำงานจัดการมหาลัยชีวิตอัพเดทข้อมูลและความเคลื่อนไหวผ่านไลน์ กลุ่ม ผ่านเพจเทศบาลตำบลท่าศาลา


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 118 สร้างงาน สร้างอาชีพผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น เทศบาลตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง 1. ชื่อเรื่อง สร้างงาน สร้างอาชีพผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น 2. พื้นที่ เทศบาลตำบลพนางตุง อำภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง 3. ผู้นำ 1. นายพิชิต ขันติพันธุ์ นายกเทศมนตรีตำบลพนางตุง 2. นายมนัทพงศ์ เซ่งฮวด ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตถกกรมกระจูดวรรณีและโฮมส เตย์กระจูดวรรณี 4. ที่มาและเส้นทางการพัฒนา ปี 2548 ก่อตั้งวิสาหกิจชุมชนหัตถกรรมกระจูดวรรณี (Varni) โดย นางวรรณี เซ่งฮวด ภายใต้การ ส่งเสริมของสำนักงานเกษตรอำเภอควนขนุนและสำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง ได้สร้างความโดดเด่นให้กับ ผลิตภัณฑ์จากกระจูด ผ่านแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ผสมผสานกันระหว่างภูมิปัญญาบรรพบุรุษ เทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการนำวัสดุอื่น ๆ จนได้ผลิตภัณฑ์ที่สวยงาม แปลกใหม่ และมีคุณภาพ นำมาสู่เกิด การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กระจูด และสร้างงานให้คนในชุมชน จำนวน 200 คน นำรายได้เข้าสู่ชุมชน ปีละ 4 ล้าน บาท ปี 2550 “นัท-มนัทพงศ์ เซ่งฮวด” บุตรชายที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ ๆ กลับมาบ้านเพื่อสานต่องานของ แม่ที่เริ่มต้นไว้ ได้พัฒนารูปแบบของผลิตภัณฑ์กระจูดอย่างมากมาย ทั้งรูปแบบลวดลายที่ทันสมัย สร้าง ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ๆที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน โดยกำหนดเป็นคอลเล็กชั่น รวมถึง การควบคุมคุณภาพอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างความเชื่อถือให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังมีการจัดทำแคตตาล๊อกให้ ลูกค้าได้เลือกรูปแบบของสินค้าและสีที่ต้องการก่อนผลิต ปี 2557 กระจูดวรรณี มีแผงขายของโอทอป คิง เพาเวอร์ ศูนย์การค้าเกษตร สยามดิสคัฟเวอรี่ เซ็นทรัลชิดลม ลาดพร้าว ภูเก็ต สนามบินนานาชาติ และร้านค้าออนไลน์ ส่วนต่างประเทศมีทั้ง อังกฤษ สวีเดน เยอรมนี จีน และ ญี่ปุ่น มีสัดส่วนส่งออกประมาณ ร้อยละ 60 ที่เหลือขายในประเทศ ทั้งยังเคยส่งผลงานจาก ภูมิปัญญา จนคว้ารางวัลจากเวทีประกวด Demark 2014 ในไทย และ GMark 2014 จากประเทศญี่ปุ่น ปี 2561 เข้าร่วมโครงการ “การพัฒนาและวิจัยเพื่อการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น” ซึ่งสนับสนุน งบประมาณจากกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มีสำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัย ลักษณ์ เป็นผู้ประสานงาน ภายใต้ข้อตกลงโครงการฯ สนับสนุนให้เกิดคณะทำงานพัฒนาระบบการดูแล ผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นเขตเทศบาลวังไผ่ ที่มาจาก 4 องค์กรหลัก (ท้องถิ่น ท้องที่ องค์กรชุมชน ภาค


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 119 ประชาชน) ได้ร่วมกันพัฒนาระบบข้อมูลตำบล (Thailand Community Network Apraisal Program: TCNAP) และแบบประเมินสุขภาวะผู้สูงอายุ เพื่อค้นหาปัญหาและความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุทั้งตำบล อีกทั้งยังจัดทำชุดข้อมูลการวิจัยชุมชน (Rapid Ethnographic Community Assessment Process: RECAP) เพื่อค้นหาทุนและศักยภาพของชุมชนทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชนสำหรับสนับสนุนการออกแบบ แนวทางการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งพบว่า เทศบาลตำบลพนางตุง อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง มีครัวเรือนทั้งหมด 3,698 ครัวเรือน ประชากรทั้งหมด 10,051 คน เพศชาย จำนวน 4,865 คน เพศหญิง จำนวน 5,176 คน มี กลุ่มเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุ (50 – 59 ปี) จำนวน 1,571 คน คิดเป็นร้อยละ 15.60 ของจำนวน ประชากรทั้งหมด ประชากรผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จำนวน 2,103 คน เพศชาย 889 คน เพศหญิง 1,214 คน คิดเป็นร้อยละ 20.90 การแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุตามความสามารถ พบว่า มีผู้สูงอายุติดบ้าน จำนวน 23 คน ร้อย ละ 1.09 ติดเตียงจำนวน 17 คน ร้อยละ 0.80 และติดสังคมจำนวน 2,063 คน ร้อยละ 98.09 ผู้สูงอายุที่มี ความพิการ จำนวน 350 คน ไร้ที่อยู่อาศัย จำนวน 10 คน และทุกคนมีหลักประกันสุขภาพ ผู้สูงอายุที่รับเบี้ย ยังชีพ จำนวน 2,019 คน ข้อมูลด้านเศรษฐกิจของประชากรในเทศบาลตำบลพนางตุง พบว่า การประกอบ อาชีพโดยส่วนใหญ่ของประชากรเทศบาลตำบลพนางตุง คือ รับจ้าง บริการ ทำนา และค้าขาย ผู้สูงอายุที่เคย เข้าเรียนหรือกำลังเรียนในโรงเรียนผู้สูงอายุ 100 คน คิดเป็นร้อยละ 4.75 มีอาสาสมัครดูแลดูแลผู้สูงอายุ (Care giver) 10 คน ผู้ปฏิบัติงานการแพทย์ฉุกเฉิน 9 คน (ข้อมูลจากกองสาธารณสุขและงานสวัสดิการและ สังคมเทศบาลตำบลพนางตุง) คณะทำงานพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นเขตเทศบาลตำบลพนางตุง นำข้อมูลที่ ได้จากการจัดเก็บเข้าสู่เวทีประชาคม ข้อมูลด้านเศรษฐกิจร พบว่า ค่าเฉลี่ยรายรับของครัวเรือนต่อปีอยู่ที่ 180,001 – 360,000 บาท ค่าเฉลี่ยรายจ่ายของครัวเรือนต่อปีอยู่ที่ 60,001 – 120,000 บาท ผู้สูงอายุและผู้ที่ เกี่ยวข้อง ต้องการพัฒนาด้านการดำเนินชีวิต ไม่มีที่ดินทำกิน ผู้สูงอายุว่างงาน รายได้ไม่แน่นอน และการ ประกอบอาชีพของตนเอง เทคนิค วิธีการในการสร้างงาน รายได้ อาชีพ ยังน้อย ร้อยละ 40.32 (ข้อมูลจาก ระบบ TCNAP ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2564) จึงนำทุนและศักยภาพที่มีอยู่ มาแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพ ความต้องการของผู้สูงอายุในตำบลพนางตุง โดยมุ่งหวังให้ผู้สูงอายุได้รับการพัฒนาส่งเสริมอาชีพ การผลิตและ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และการถ่ายทอดภูมิปัญญาของผู้สูงอายุในชุมชน 5. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการทำงานเรื่องเด่น 5.1 กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับโยชน์ ดังนี้ 1) ผู้สูงอายุที่ว่างงานต้องการหารายได้ และอาชีพ 2) สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตถกกรมกระจูดวรรณีและโฮมสเตย์กระจูดวรรณี มีอาชีพและ รายได้ จำนวน 70 คน 3) ประชากรที่สนใจในด้านหัตถกรรมกระจูดวรรณี และการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกระจูด 4) กลุ่มวัยเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุ (50 – 59 ปี) จำนวน 1,571 คน


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 120 5.2 วัตถุประสงค์ดังนี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้รับการพัฒนาส่งเสริมอาชีพ การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และการ ถ่ายทอดภูมิปัญญาของผู้สูงอายุในชุมชน 6. ประชากรที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบ 6.1 ผู้สูงอายุที่ว่างงานต้องการหารายได้ และอาชีพ จำนวน 50 คน 6.2 สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนหัตถกกรมกระจูดวรรณีและโฮมสเตย์กระจูดวรรณี มีอาชีพและรายได้ จำนวน 210 คน 6.3 ประชากรที่สนใจในด้านหัตถกรรมกระจูดวรรณี และการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากกระจูด 6.4 กลุ่มวัยเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุ (50 – 59 ปี) จำนวน 1,571 คน 7. วิธีดำเนินการ (methods) เทศบาลตำบลพนางตุง มีวิธีการ ขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการ จำนวน 5 วิธีการ ได้แก่ จัดตั้ง คณะทำงาน พัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ กระบวนการผลิต เชื่อมภาคีหลากหลายส่วน และคณะทำงานนำใช้ ข้อมูลเพื่อติดตามงาน และร่วมประเมินผลได้ต่อเนื่อง มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 7.1 จัดตั้งคณะทำงาน ได้แก่ (1) จัดตั้งคณะทำงานของเทศบาลตำบลพนางตุง โดยคณะทำงาน ที่มาจาก 4 องค์กรหลัก ร่วมค้นหาทุนและศักยภาพที่สามารถนำมาพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมเพื่อ ผู้สูงอายุกับการดูแลผู้สูงอายุ ในเขตเทศบาลตำบลพนางตุง โดยดูจากผู้ที่มีบทบาทหน้าที่โดยตรง และผู้ที่มีส่วน ร่วม (2) จัดตั้งคณะทำงานหัตถกรรมกระจูดวรรณี แบ่งงานตามความถนัด และมีสมาชิกที่เป็นผู้สูงอายุใน กลุ่ม จำนวน 50 คน จากสมาชิกทั้งหมด 70 คน 7.2 พัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ คุณแม่วรรณี เข้าร่วมอบรมการจักสาน เย็บ ปัก ถักร้อย ในโครงการ พระราชดำริ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อนำมาต่อยอด ในกลุ่มของตนเอง ต่อมาคุณแม่วรรณีได้นำมาถ่ายทอดให้แก่สมาชิกในกลุ่ม ทั้งนี้คุณมนัทพงศ์ เซ่งฮวด มาสืบ สานงานต่อ และออกแบบผลิตภัณฑ์ สร้างตลาดขึ้นมา ทำแบรนด์สินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด จนได้รับความเป็นนิยมของตลาด มีแผงขายของโอทอป คิง เพาเวอร์ ศูนย์การค้าเกษตร สยามดิสคัฟเวอรี่ เซ็นทรัลชิดลม ลาดพร้าว และส่งออกต่างประเทศ 7.3 กระบวนการผลิต ได้แก่ (1) การจักสาน กลุ่มหัตถกรรมกระจูดวรรณี ส่วนใหญ่ใช้ฝีมือของ ชาวบ้านที่เป็นผู้สูงอายุ สามารถทำให้มีอาชีพ มีรายได้ เลี้ยงครอบครัวได้ ผู้สูงอายุนั่งจักสานที่กลุ่ม และมารับ งานกลุ่มวิสาหกิจ และไปจักสานกระจูดที่บ้าน ทั้งนี้ทำให้ผู้สูงอายุได้เลี้ยงลูก เลี้ยงหลานได้ ตลอดจนผู้สูงอายุ บางบ้านทำเป็นอาชีพหลักของครัวเรือน โดยใช้วัตถุดิบหลักอย่างกระจูดก็มาจากในท้องถิ่น ส่วนใบลาน นำมา จากกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในปราจีนบุรี และสระบุรี เพื่อกระจายรายได้สู่กลุ่มอื่น นำกระจูดที่เป็นเพียงวัชพืช มา สร้างให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ขณะที่ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้สี ย้อมจากพืชธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์บางรุ่นที่ใช้สีเคมี ก็มีใบรับรองในเรื่องความปลอดภัย ไม่มีสารพิษ เพื่อให้


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 121 สามารถส่งออกได้อย่างราบรื่น เพิ่มความสบายใจแก่ผู้ใช้ (2) การย้อมสีผลิตภัณฑ์ที่มาพร้อมรูปแบบและ ดีไซน์หลากหลาย มีการใช้เทคนิคการย้อมสีเพิ่มเสน่ห์ให้ผลงาน โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติในการย้อม ใช้ใบ ลานมาทอร่วมกับกระจูด เพื่อปิดข้อด้อยของกระจูดที่ทำสีสันได้ไม่มาก ให้ย้อมสีได้หลากหลายขึ้น ที่สำคัญ ยังคงคุณสมบัติของกระจูด ยืดหยุ่นสูง ไม่แตกหักเมื่อพับงอ ไว้ได้ครบถ้วน ผลิตภัณฑ์สีสันสดใส นอกจากจะใช้ วัตถุดิบจากธรรมชาติล้วน ๆ แล้ว ยังมีความโดดเด่น ในเรื่องของเทคนิคการย้อมสีกระจูด ซึ่งมีทั้งการย้อมสี กระจูดก่อน แล้วนำมาจักสาน และการจักสานเป็นตะกร้าก่อนแล้วนำไปย้อมสี ซึ่ง ทั้งสองเทคนิคจะให้สีสันที่ แตกต่างกัน คือ “ถ้าย้อมก่อนแล้วสาน” สีจะเกิดลวดลายกระจัดกระจายเหมือนลายกราฟฟิก แต่ถ้า “สาน แล้วนำไปย้อม” ก็จะได้ตะกร้าที่มีสีคมชัดเหมือนกันทั้งใบ และอีกหนึ่งเทคนิค การย้อมสีกระจูดที่ถือว่าพิเศษ สุดของกลุ่มหัตถกรรมกระจูดวรรณี ก็คือการย้อมแบบไล่โทนสีหรือไล่ค่าน้ำหนักของสี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะตัว ซึ่งผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากกระจูดรายอื่นทำไม่ได้ 7.4 เชื่อมภาคีหลากหลายส่วน หัตถกรรมกระจูดวรรณีได้เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและ เอกชน พัฒนางานและเชื่อมโยงเครือข่ายการผลิต ของคนในตำบลที่สนใจงานหัตถกรรมกระจูด มีแนวคิดใน การพัฒนาการและส่งเสริมอาชีพร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอควนขนุนและสำนักงานเกษตรจังหวัดพัทลุง สำนักส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและวิสาหกิจชุมชน ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศเรื่องการตลาด และ พัฒนาชุมชนโดยใช้งบสนับสนุนจากรัฐบาล มีการประสานงานและทำงานร่วมกับกลุ่มสตรีตำบลพนางตุง กลุ่ม ผู้สูงอายุ ทำให้เกิดแนวคิดการผลิตผลิตภัณฑ์ เชื่อมโยงกับสภาเด็กและเยาวชนที่ตั้งกลุ่มอังกะลุง มโนราห์ และ การท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับกลุ่มเรือบริการนำเที่ยว โดยสนับสนุนการอบรมการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก ศูนย์ฝึกศิลปาชีพหัวป่าเขียว เกิดผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดการส่งเสริมการจ้างงาน การสร้างอาชีพ และความร่วมมือกันของหลายภาคส่วน 7.5 คณะทำงานนำใช้ข้อมูลเพื่อติดตามงาน และร่วมประเมินผลได้ต่อเนื่อง โดยผ่านช่องทาง หลากหลาย และใช้ข้อมูลเป็นฐาน เช่น การประชุมหมู่บ้าน เพจ Facebook ของเทศบาล และกองสาธารณสุข เป็นต้น นำข้อมูลจากการประเมินความพึงพอใจมาปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 8. ผลที่เกิดขึ้น (รูปธรรม) 8.1 ผู้สูงอายุหรือครอบครัวผู้สูงอายุ จำนวน 50 คน ได้รับการส่งเสริมอาชีพ และสร้างรายได้ เฉลี่ย 300-500 บาท/วัน หรือรายได้เฉลี่ยต่อคน 10,000 - 15,000 บาท/เดือน (ตามความสามารถรายบุคคล) 8.2 ผู้สูงอายุมีการพัฒนาทักษะเกิดการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ได้รับการอบรมจากจากสำนักงานเกษตร อำเภอ และศูนย์ฝึกศิลปาชีพหัวป่าเขียว และสามารถเป็นวิทยากรได้ 8.3 เกิดผลิตภัณฑ์กระจูดสีสันสดใส ตะกร้าใส่ของ กระเป๋าแบบต่าง ๆ เคสโทรศัพท์ เฟอร์นิเจอร์ร่วม สมัยสำหรับตกแต่งบ้านและโรงแรม เช่น โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ มีโทนสีดอกไม้ หาดทราย ท้องทะเล ซึ่งมียอด จำหน่าย 4 ล้านบาทต่อปี 8.5 เกิดศูนย์เรียนรู้หัตถกรรมกระจูดวรรณี มีนักเรียนมาเรียนรู้ ศึกษาดูงาน และนำไปต่อยอดได้


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 122 8.6 เป็นแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ใน 10 ของจังหวัดพัทลุง 8.7 เป็นโฮมสเตย์กระจูดวรรณี ให้ผู้สนใจได้มาท่องเที่ยว พักผ่อน รื่นรมย์ไปกับธรรมชาติงดงามของ ทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง และเรียนรู้วิถีชุมชน และสร้างโปรแกรมท่องเที่ยวของชุมชน 9. ผลกระทบที่เกิดขึ้น 9.1 ผลต่อกลุ่มประชากรเป้าหมาย 1) ผู้สูงอายุหรือครอบครัวผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมอาชีพ ที่หลากหลาย ตรงตามความ ต้องการ สามารถนำกลับมาสอนลูกหลานและประกอบอาชีพได้ 2) ผู้สูงอายุรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ไม่เป็นภาระของลูกหลาน สามารถสร้างรายได้ให้กับ ครอบครัวได้ 9.2 ผลต่อหน่วยงาน องค์กรชุมชน 1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีแนวปฏิบัติการในการใช้ การพัฒนาผู้สูงอายุครอบคลุมทุก ด้าน เสริมสร้างประสบการณ์ มีการสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการจัดการส่งเสริมการดำเนินงาน ตาม 5 อ 5 ก 2) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชุมชน ศูนย์เรียนรู้หัตถกรรมกระจูดวรรณี มีโฮมสเตย์กระจูดวรรณี ให้ผู้สนใจได้มาท่องเที่ยว พักผ่อน รื่นรมย์ไปกับธรรมชาติงดงามของทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง และเรียนรู้วิถี ชุมชน พร้อมทดลองฝึกประสบการณ์ด้วยตนเองในการทำผลิตภัณฑ์จากกระจูดอีกด้วย 3) สร้างกลไกการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการสร้างเส้นทางท่องเที่ยวของชุมชน 9.3 ผลต่อชุมชน มีการสร้างความร่วมมือของทุนทางสังคมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ อปท. รพ.สต. ศพด. ผู้นำท้องที่ ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา หน่วยงานราชการและอาสาสมัครในชุมชนในการร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมด้าน เศรษฐกิจของผู้สูงอายุ 10. ปัจจัยความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 10.1 ปัจจัยความสำเร็จ 1) มีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลพนางตุงหนุนเสริม การสนับสนุน ด้านงบประมาณ บุคลากร สถานที่ การประสานเครือข่าย ที่จะผลักดันให้การเคลื่อนงานระบบบริการสุขภาพบูรณาการพัฒนา ท้องถิ่นสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน และการนำใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกสร้างความร่วมมือกับทุน ทางสังคมที่มีอยู่ในตำบล 2) การพัฒนาเทคนิคย้อมสีกระจูดให้ไล่สีได้มากขึ้น โดยสีที่ใช้ย้อมเป็นสีธรรมชาติทั้งสิ้นทั้งยัง ปรับภาพลักษณ์เดิม ๆ ของกระจูดให้มีดีไซน์ที่ร่วมสมัยมากขึ้น แต่ยังคงเอกลักษณ์อันเป็นเสน่ห์ดั้งเดิมของ กระจูดไว้


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 123 3) การใช้สื่อโซเชียลมีเดียประชาสัมพันธ์และทำการตลาดออนไลน์ผ่าน Blogger Instagram และ LINE@ ทำให้มียอดสั่งซื้อส่วนหนึ่งมาจากช่องทางออนไลน์ ความทุ่มเทนั้นสัมฤทธิ์ผล ชุมชนแห่งนี้มีรายได้ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวโดยปัจจุบันคนในชุมชนควนขนุนกว่า 60 ครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมาก และยังทำให้งานสานกระจูดมีชีวิตชีวามากขึ้น 10.2 ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ ได้แก่ การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ไม่ สามารถจัดกิจกรรมแบบรวมกลุ่มได้ คณะทำงานจัดการโดยจัดประชุมแบบออนไลน์ผ่านเพจของโรงเรียน ผู้สูงอายุ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 124 บูรณการนำใช้ข้อมูล “สูงวัย แอปพลิเคชั่น เทศบาลตำบลทางพูน” เทศบาลตำบลทางพูน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช 1. ชื่อเรื่อง บูรณการนำใช้ข้อมูล “สูงวัย แอปพลิเคชั่น เทศบาลตำบลทางพูน” 2. พื้นที่ เทศบาลตำบลทางพูน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช 3. ผู้นำ 1) นายชลธีร์ ทองพริก นายกเทศมนตรีตำบลทางพูน 2) นายเดียน สุขาชื่น รองนายกเทศมนตรีตำบลทางพูน 3) นางลาวรรณ์ จันทร์สุวรรณ รองปลัดตำบลทางพูน 4) นายชนินทร์ รอดแก้ว ผอ.รพ.สต.บ้านสระเพลง 4. ที่มาและเส้นทางการพัฒนา ในปี พ.ศ. 2551 มีการยกฐานะเป็นเทศบาลตำบลทางพูน โดยได้กำหนดให้มีการเลือกตั้ง นายกเทศมนตรีและสมาชิกสภาเทศบาล เน้นการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น ผ่านการทำ เวทีประชาคม มีผู้แทนภาคประชาชนในกรรมการคณะต่างๆ ในปี พ.ศ. 2556 ดำเนินการจัดทำแผนเทศบัญญัติที่สนับสนุนงานพัฒนาส่งเสริม สร้างสวัสดิการชุมชน และการสนับสนุนการพัฒนากลุ่ม องค์กรชุมชน เช่น กลุ่มสตรี กลุ่มอาชีพ และชมรมผู้สูงอายุ ในปี 2561 เทศบาลตำบลทางพูน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ลงนามความ ร่วมมือกับสำนักกองทุนสนับสนุนการ สร้างเสริมสุขภาวะ (สสส.) โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้การพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุโดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการจัดงานบริการ และ กิจกรรมในการคุ้มครอง ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุครอบคลุมความจำเป็น 4 ด้านคือ สังคม เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสุขภาพของผู้สูงอายุ สามารถตอบสนองปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุ และ ครอบครัวในการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้งเป็นกลไกในการส่งเสริมและสนับสนุน ผู้ช่วยเหลือดูแล ผู้สูงอายุ และอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุด้วย สถานการณ์ผู้สูงอายุในตำบลทางพูน พบว่า มีครัวเรือนจำนวน 2,774 ครัวเรือน ประชากรในพื้นที่ 8,779 คน เพศชาย 4,472 คน เพศหญิง 4,307 คน มีผู้สูงอายุจำนวน 1,309 คน คิดเป็นร้อยละ 14.91 ผู้สูงอายุตามความสามารถ (ADL) ติดบ้าน 19 คน ติดเตียง 13 คน ติดสังคม 1,366 คน ซึ่งมีผู้สูงอายุที่ได้รับ การสังคมสงเคราะห์เบี้ยยังชีพจำนวน 1,261 คน คิดเป็นร้อยละ 96.33 จากจำนวนประชากรผู้สูงอายุทั้งหมด และมีผู้เตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุ (50 –59 ปี) จำนวน 1,214 คน คิดเป็นร้อยละ 36.28 จากจำนวน ประชากรทั้งหมด (ข้อมูลจากสำนักงานทะเบียนราษฎรเทศบาลตำบลทางพูน ณ วันที่ 27 พฤษภาคม 2563)


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 125 ตารางแสดงข้อมูลการการสังคมสงเคราะห์ ประเภท จำนวนผู้ได้รับการช่วยเหลือ(ราย) จำนวนเงินที่ได้รับ(บาท) เงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1,261 850,800 เงินเบี้ยยังชีพคนพิการ 302 241,600 เงินเบี้ยยังชีพผู้ป่วยเอดส์ 24 12,000 รวม 1,502 1,104,400 ข้อมูลงานพัฒนาชุมชน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2563 ตาราง ข้อมูลประชากรผู้สูงอายุแต่ละหมู่บ้าน หมู่ที่ 1 2 3 4 5 6 รวม (คน) ผู้สูงอายุ 211 372 192 217 90 179 1,261 ข้อมูลงานพัฒนาชุมชน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตำบลทางพูนมีแนวโน้มว่าจำนวนผู้สูงอายุจะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต จึงจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเชิงลึก เพื่อค้นหาปัญหาและความต้องการมาใช้จัดการออกแบบระบบการดูแลผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับปัญหาและ ความต้องการ คณะทำงานฯ ได้ร่วมกันวิเคราะห์ตรวจสอบข้อมูลที่ได้จากการจัดเก็บ เพื่อคืนข้อมูลให้กับผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุทุกฝ่าย ผ่านเวทีประชาคมผู้สูงอายุของเทศบาลตำบลทางพูน พบว่า สถานการณ์ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุในพื้นที่และปัญหาของการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุโดย ชุมชนท้องถิ่นของตำบลทางพูน คือ การจัดทำฐานข้อมูลและการพัฒนารูปแบบกิจกรรมการพัฒนาระบบการ ดูแลผู้สูงอายุที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต ทางเทศบาลตำบลทางพูนจึงมีการดำเนินการ ดังนี้ 1) จัดทำฐานข้อมูล “สูงวัย แอปพลิเคชั่น เทศบาลตำบลทางพูน” เพื่อให้หน่วยงาน และภาคี ที่เกี่ยวข้องสามารถนำใช้ข้อมูลไปวิเคราะห์ปัญหาและพัฒนาวางแผนการดูแลผู้สูงอายุให้เกิดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลแก่ประชาชนในพื้นที่ได้ 2) พัฒนารูปแบบและประสิทธิภาพของการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่เอื้อต่อการ ดำรงชีวิต เช่น การออกแบบกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุที่ยังขาดความสอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุใน บริบทตามพื้นที่ โดยทุกภาคส่วนของชุมชนท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กลุ่มองค์กรชุมชนต่าง ๆ และหน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่จึงจำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการดูแล ผู้สูงอายุ ตลอดจนมีกระบวนการค้นหา และนำใช้ทุนทางสังคม และศักยภาพของชุมชนเพื่อการพัฒนาระบบ การดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ การนำใช้ทุนและศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ ประกอบด้วย ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะ พึ่งพิง (Care giver) จำนวน 6 คน อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 146 คน โดยแบ่งสัดส่วน ความรับผิดชอบ อสม. 1 คน ดูแลผู้สูงอายุ 15-17 ครัวเรือน นักบริบาลดูแลผู้สูงอายุ จำนวน 2 คน เจ้าหน้าที่


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 126 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 2 แห่ง จำนวน 10 คน พึงให้การสนับสนุนส่งเสริมการจัดระบบการดูแล ผู้สูงอายุในพื้นที่ 5. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการทำงานเรื่องเด่น 5.1 กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับโยชน์ 1) กลุ่มวัยเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุ (50 – 59 ปี) จำนวน 1,214 คน 2) กลุ่มผู้สูงอายุ ได้แก่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจำนวน 1,309 คน ผู้สูงอายุตามความสามารถ (ADL) ติดบ้าน 19 คน ติดเตียง 13 คน ติดสังคม 1,366 คน 5.2 วัตถุประสงค์ 1) การเตรียมความพร้อมสำหรับผู้เข้าสู่ช่วงวัยผู้สูงอายุได้อย่างเหมาะสม 2) ผู้สูงอายุได้รับการพัฒนาด้านสุขภาพ จิตใจ และสังคม มีความตระหนัก เข้าใจชีวิตและปรับตัว อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข 3) การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุและวัยเตรียมเข้าสู่วัยสูงอายุสามารถส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันการ เจ็บป่วย และดูแลตนเองเบื้องต้น ตลอดจนเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้อย่างครอบคลุม 4) สนับสนุนการส่งเสริมอาชีพ การถ่ายทอดภูมิปัญญาของผู้สูงอายุในชุมชน 5.3 ผู้เข้าร่วมดำเนินการ แบ่งตามบทบาทหน้าที่ประกอบด้วย 1) การเพิ่มขีดความสามารถผู้สูงอายุประกอบด้วย ผู้ดูแลในครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ เทศบาลตำบล ทางพูน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Care giver) จำนวน 6 คน อาสาสมัคร สาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 146 คน นักบริบาลดูแลผู้สูงอายุ จำนวน 2 คน ชมรมผู้สูงอายุบ้านสระ เพลง (หมู่ที่ 1, 2, 6) ชมรมผู้สูงอายุบ้านโคกคราม (หมู่ที่ 3, 4, 5) 2) การสนับสนุนงบประมาณดำเนินการ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โครงการการพัฒนาและวิจัยเพื่อการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) ประสานงานโครงการโดย สำนักวิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 3) ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) เทศบาลตำบลทางพูน มีแนวคิด ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ เป็นการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุในชุมชนรูปแบบ หนึ่ง โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน และเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ แกนนำ อาสาสมัคร ชุมชน องค์กรเครือข่ายจากภาครัฐ และภาคเอกชน มีส่วนร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานศูนย์ฯ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้การหนุนเสริม ศูนย์ฯ ดำเนินการภายใต้แนวคิด “ร่วมแรง ร่วมใจ ผู้สูงวัยกายใจเบิกบาน” เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีสถานที่รวมกลุ่ม ในการจัดกิจกรรมและบริการที่ครอบคลุมทุกมิติทางด้านสุขภาพ สังคม จิตใจ และเศรษฐกิจโดยเฉพาะมิติด้าน เศรษฐกิจที่เน้นการสร้างรายได้และการมีงานทำที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อยกระดับการจัดบริการและ สวัสดิการทางสังคมในการคุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุแบบครบวงจรสามารถตอบสนอง ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุและชุมชนได้


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 127 7. วิธีดำเนินการ (methods) มีขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการ ดังนี้ 1) สร้างการมีส่วนร่วม เทศบาลตำบลทางพูนร่วมกับ 4 องค์กรหลักในพื้นที่ ดำเนินการจัดการ ประชุมเพื่อร่วมค้นหาแนวทางการจัดการข้อมูลผู้สูงอายุที่เป็นสารสนเทศ ใช้เป็นฐานข้อมูลเพื่อตอบสนอง ปัญหาความต้องการของผู้สูงอายุ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำใช้ข้อมูลเพื่อออกแบบการพัฒนาคุณภาพ การดูแลผู้สูงอายุ การเข้าถึงการให้บริการอย่างครอบคลุม 2) การจัดทำฐานข้อมูล “สูงวัย แอปพลิเคชั่น เทศบาลตำบลทางพูน” เป็นการจัดการข้อมูล ผู้สูงอายุที่เป็นระบบสารสนเทศ โดยคณะทำงานฯ ดำเนินการรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่ในแต่ละภาคส่วน เช่น การ สังคมสงเคราะห์เบี้ยยังชีพ ข้อมูลจาก รพ.สต. เป็นต้น มาเข้าระบบฐานข้อมูล “สูงวัย แอปพลิเคชั่น เทศบาล ตำบลทางพูน” ซึ่งประกอบด้วย ข้อมูลพื้นฐานของผู้สูงอายุ ชื่อ-สกุล ที่อยู่ อายุ เลขบัตรประชาชน ข้อมูลแยก ประเภทตามความสามารถ (ADL) การรับเบี้ยยังชีพ ผู้ดูแล เพื่อความสะดวกในการสืบค้น ติดต่อประสานงาน โดยฐานข้อมูลจะมีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลตำบลทางพูนโดยสำนักปลัดเป็นผู้รับผิดชอบหลัก มีการปรับปรุง อัพเดตข้อมูลเดือนละ 1 ครั้ง 3) ร่วมค้นหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุในพื้นที่ เป็นการค้นหาทุนและศักยภาพในพื้นที่ เริ่มต้นจากผู้ที่มีบทบาทหน้าที่โดยตรง และผู้ที่มีส่วนร่วม ได้แก่ เทศบาลตำบลทางพูน ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต และส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ชมรมผู้สูงอายุบ้านสระเพลง (ผู้สูงอายุ หมู่ที่ 1, 2, 6) ชมรมผู้สูงอายุบ้านโคกคราม (ผู้สูงอายุ หมู่ที่ 3, 4, 5) ผู้สูงอายุที่เป็นแกนนำ ผู้สูงอายุต้นแบบ ท้องที่ ประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แกนนำกลุ่ม และ อสม.ทุกหมู่บ้าน เป็นต้น 4) การพัฒนาศักยภาพผ่านหลักสูตร/กิจกรรมในโรงเรียนผู้สูงอายุ ที่มาจาก 4 องค์กรหลัก ประกอบด้วย ท้องถิ่น ท้องที่ หน่วยงานรัฐ และภาคประชาชน โดยคณะกรรมการได้ดำเนินการดังต่อไปนี้ 2.1) จัดทำ และเสนอโครงการพัฒนาโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลทางพูน เพื่อขอรับ งบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) 2.2) ร่วมสำรวจปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุ สำหรับใช้ออกแบบวางแผนกำหนด รายละเอียดหลักสูตรและปรับปรุงแผนการเรียนรู้การจัดกิจกรรมภายในโรงเรียน 2.3) จัดประชุมเพื่อวางแผนการดำเนินงานโรงเรียนผู้สูงอายุ โดยออกแบบวางแผนกำหนด รายละเอียดหลักสูตรและแผนการเรียนรู้การจัดกิจกรรมภายในโรงเรียนตาม 10 กลยุทธ์หลัก 5อ. 5ก.เพื่อ ตอบสนองทั้ง 5 มิติ กาย จิต สังคม อารมณ์สติปัญญา โดยมีรายละเอียดดังนี้ 5) หลักสูตรโรงเรียนผู้สูงอายุเทศบาลตำบลทางพูน เกิดจากการบูรณาการนำใช้ข้อมูลในการ ออกแบบลักษณะการจัดกิจกรรมที่สอดคล้อง ตอบสนองปัญหาความต้องการ ซึ่งโรงเรียนอยู่ภายใต้การดูแล ของเทศบาลตำบลทางพูน มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างและพัฒนาผู้สูงอายุในตำบลทางพูน เป็นการผสมผสานการ เรียนรู้ การแสดงออก การถ่ายทอดภูมิปัญญาที่มีอยู่ ของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ผ่านกิจกรรมนันทนาการ การผ่อน คลาย การให้คำแนะนำรวมทั้งการค้นหาความลงตัวในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน จัดการเรียนการสอน ณ ศูนย์ พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุเทศบาลตำบลทางพูน โดยหลักสูตรมีระยะเวลาในการจัดการ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 128 เรียนการสอน 4 เดือน เรียนทุกวันศุกร์ เวลา 14.30-15.30 น. มีจำนวนผู้เข้าเรียน รุ่นละ 60 คน ปัจจุบัน ดำเนินการมาแล้ว 3 รุ่น 5.1) คุณสมบัติของผู้เรียน ดังนี้ 1) มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป และมีภูมิลำเนาในเขตตำบลทาง พูน 2) เป็นผู้มีความสามารถช่วยเหลือตนเองได้ 3) เป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและมีจิตอาสาเป็นผู้ที่มีความตั้งใจ จริง สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ 5.2) เกณฑ์การประเมินผู้เรียน ดังนี้ 1) ผู้เข้าเรียนต้องมีเวลาเรียน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทั้งหมด 2) ผ่านการทำกิจกรรมตามที่กำหนดตามหลักสูตร 3) ผ่านการทดสอบความรู้หลังการ เรียน 5.3) โครงสร้างหลักสูตร ประกอบด้วย 4 หน่วยการเรียน ดังนี้ หน่วยการเรียนที่ 1 การดูแลสุขภาพที่จำเป็นของผู้สูงอายุ กิจกรรมการเรียนการสอน บรรยายและร่วมแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประกอบด้วย การดูแลสูงอายุแบบองค์รวม (Holistic Health Care) โดยเน้นการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ให้ครอบคลุมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ โภชนาการและการออกกำลังกายที่เหมาะสมในผู้สูงอายุ โดยมีโครงสร้างเนื้อหา ประกอบด้วย สถานการณ์ของผู้สูงอายุไทย การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ การประเมินภาวะสุขภาพ ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ผลกระทบและความต้องการของผู้สูงอายุ การดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุ เบื้องต้น การสร้างเสริมสุขภาพในผู้สูงอายุ อุบัติเหตุในผู้สูงอายุ การพักผ่อนนอนหลับในผู้สูงอายุ การดูแล ผู้สูงอายุที่มีปัญหาโรคหัวใจ การดูแลระยะสุดท้ายของชีวิต การฟื้นฟูสภาพในผู้สูงอายุ โภชนาการในผู้สูงอายุ สวัสดิการในผู้สูงอายุ กฎหมายที่สำคัญในปัจจุบัน ซึ่งระยะเวลาในการเรียนทั้งหมด 24 ชั่วโมง หน่วยการเรียนที่ 2 การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของผู้สูงอายุ กิจกรรมการเรียนการสอน รูปแบบการบรรยาย และร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และมีการปฏิบัติกิจกรรมจิตอาสาตาม ความต้องการ ประกอบด้วย การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขของผู้สูงอายุเป็นการดูแลให้ผู้สูงอายุ มีความตระหนักรู้ มีพลังอำนาจ มีความสัมพันธภาพที่ดีต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และชุมชน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการใช้ ชีวิต ให้มีความสุข การเรียนรู้สิ่งแวดล้อม ทักษะที่จะเป็นในการใช้ชีวิต และการทัศนศึกษาเพื่อให้ผู้สูงอายุมี ความสุขและสนุกสนาน โดยมีโครงสร้างเนื้อหา การเสริมสร้างการตระหนักรู้ในตนเอง การเสริมสร้างพลัง อำนาจในผู้สูงอายุ การใช้กระบวนการจิตปัญญา และสุนทรียสนทนาการใช้ชีวิตในสังคม บทบาทและ สัมพันธภาพในครอบครัว แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับตัวแทนชมรมผู้สูงอายุกิจกรรมจิตอาสาดูแลผู้พิการในเขต เทศบาลตำบลหินตก การใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีคุณค่า กิจกรรมร่วมกับโครงการภายใต้รั้วครอบครัว เดียวกัน วัฒนธรรมกับความสุขของชีวิต สัพเพเหระภาษาใต้ ชีวิตคือความหวังของผู้สูงอายุ การบำเพ็ญ ประโยชน์แก่สังคม การใช้คอมพิวเตอร์ การใช้ภาษาอังกฤษเบื้องต้น ซึ่งระยะเวลาในการเรียนทั้งหมด 24 ชั่วโมง หน่วยการเรียนที่ 3 นันทนาการสำหรับผู้สูงอายุ มีแนวคิด หลักการ และการฝึกปฏิบัติเพื่อ การพัฒนาทางด้านจิตใจ ผู้สูงอายุ ผ่านรูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอน บรรยาย ปฏิบัติ และร่วมแสดง ความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ลักษณะของกิจกรรม ได้แก่ การจัดงานรื่นเริงและฉลองในโอกาสสำคัญ เช่น


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 129 วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันสำคัญทางศาสนา นอกจากนั้นอาจมีการจัด กิจกรรมนันทนาการอื่นๆ เช่น กิจกรรมการแสดงบนเวทีเนื่องในวันสำคัญต่างๆ รำกลองยาว ลีลาศ การร้องเพลง การเล่นดนตรี เป็นต้น หน่วยการเรียนที่ 4 การพัฒนาจิตสำหรับผู้สูงอายุ มีแนวคิด หลักการ และการฝึกปฏิบัติ เพื่อการพัฒนาทางด้านจิตใจ ผู้สูงอายุ ผ่านรูปแบบกิจกรรมการเรียนการสอน บรรยาย ปฏิบัติ และร่วมแสดง ความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้แก่ การฝึกโยคะ ไทเก็ก การทำสมาธิ และกิจกรรมการพัฒนาจิตต่างๆ โดย มีโครงสร้างเนื้อหา ประกอบด้วย อานาปานสติ กิจกรรมรู้เท่าทันจิต การภาวนาจิต การทำสมาธิ และการ ปฏิบัติจิตตามศาสนาที่นับถือ การใช้ชีวิตผู้สูงอายุตามแนววิถีพุทธ ดูภาพยนตร์การ์ตูนพุทธประวัติซึ่งมี ระยะเวลาในการเรียนทั้งหมด 24 ชั่วโมง 8. ผลที่เกิดขึ้น (รูปธรรม) 1) ผู้สูงอายุในตำบลทางพูนที่สมัครเข้าเรียนโรงเรียนผู้สูงอายุ ประกอบด้วย วัยเตรียมที่มีอายุตั้งแต่ 55-58 ปี) และผู้สูงอายุ รุ่นละ 60 คน จำนวน 3 รุ่น รวมเป็น 180 คน 2) ผู้สูงอายุมีการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทักษะการดำเนินชีวิตที่จำเป็น ทั้งผู้สูงอายุนักเรียนในห้องเรียน ทั้ง 3 รุ่น จำนวน 180 คน สามารถพัฒนาผู้สูงอายุที่ผ่านหลักสูตรให้เป็นผู้สูงอายุต้นแบบให้ครอบครัว ชุมชน และสังคมได้ 3) เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดเครือข่ายการทำกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น รวมกลุ่มการออกกำลังกายตอนเย็น การสังสรรค์กันตามงานบุญงานสังคมต่างๆ สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสดใสให้กับผู้ใกล้ชิด 4) เกิดความสะดวกรวดเร็วในการสืบค้นข้อมูล เมื่อมีหน่วยงาน เอกชน หรือมูลนิธิต่างๆ ต้องการเข้า สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ 5) หน่วยงาน และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุ สามารถนำใช้ข้อมูล จากฐานข้อมูล “สูงวัย แอปพลิเคชั่น เทศบาลตำบลทางพูน” ในการวางแผนกิจกรรมให้ผู้สูงอายุ เช่น การ เปิดโรงเรียนผู้สูงอายุ เมื่อคณะทำงานวิเคราะห์ข้อมูลจากฐาน พบว่า มีผู้สูงอายุติดสังคม 1,136 คน โรงเรียน ผู้สูงอายุจึงเปิดการเรียนการสอน 2 รุ่น พร้อมกันโดยสลับวันกันเรียน ส่วนข้อมูลผู้สูงอายุติดเตียงที่มีแนวโน้ม เพิ่มขึ้น ก็สามารถนำมาวางแผน เพื่อเพิ่มอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น ซึ่งทำหน้าที่ดูแลกลุ่มติดเตียงได้เป็นอย่างดี เกิดฐานข้อมูลสารสนเทศ เพื่อใช้ในการสืบค้นข้อมูลของผู้สูงอายุในตำบล 6) เกิดกิจกรรมเยี่ยมด้วยใจ ไปด้วยกัน โดยชมรมผู้สูงอายุ (กลุ่มติดสังคม) รวมกลุ่มจิตอาสา ครั้งละ ประมาณ 20 คน ออกเยี่ยมดูแลกลุ่มติดบ้าน ติดสังคม เข้าไปพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ดูแล ปรับปรุง บ้าน และซื้อของใช้ที่จำเป็นไปฝาก เช่น แป้ง สบู่ แพมเพิส โดยได้งบประมาณสนับสนุนจาก สปสช.


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 130 9. ผลกระทบที่เกิดขึ้นจาการจัดการเรียนรู้ฯ 9.1 ผลต่อกลุ่มประชากรเป้าหมาย ได้แก่ 1) ผู้สูงอายุหรือครอบครัวผู้สูงอายุได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ เช่น การส่งเสริม อาชีพโดยการใช้ภูมิปัญญาที่หลากหลายตามความสามารถและตรงตามความต้องการ สามารถนำกลับมา พัฒนาต่อยอดสอนเด็กและเยาวชนและประกอบอาชีพได้ 2) สวัสดิการของชมรมผู้สูงอายุทั้ง 2 แห่ง คือ ชมรมผู้สูงอายุบ้านสระเพลง (ผู้สูงอายุ หมู่ที่ 1, 2, 6) ชมรมผู้สูงอายุบ้านโคกคราม (ผู้สูงอายุ หมู่ที่ 3, 4, 5) ที่มีกิจกรรม “เพื่อนช่วยเพื่อน” โดยการลงเยี่ยมเพื่อน ผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย ติดบ้าน ติดเตียง กิจกรรมร่วมสวดอภิธรรม มอบเงินฌาปนกิจ เป็นต้น 3) ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุพิการ ป่วยติดเตียง ป่วยติดบ้าน ไม่ สามารถเดินทางมาเรียนได้ การเข้าถึงการตรวจสุขภาพ และการให้ความรู้เรื่องสุขภาพ 4) ผู้สูงอายุมีสวัสดิการกองทุนเงินออมวันละบาท เมื่อเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล คืนละ 100 บาท และเงินฌาปณกิจ สำหรับผู้สูงอายุเป็นสมาชิก 9.2 ผลต่อหน่วยงาน องค์กรชุมชน ได้แก่ 1) เกิดการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายหลายฝ่ายในการพัฒนางานผู้สูงอายุ โดยเกิดความร่วมมือ จากหน่วยงานราชการ และเอกชนต่างๆ และหน่วยงานอื่นๆ อีกมากมายที่เข้ามาให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องและ จำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ ดังนี้ 1.1) ทุนทางสังคมที่มีศักยภาพจัดการงานและผลกระทบที่เกิดกับผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ตำบล ทางพูน ประกอบด้วย 1) เทศบาลตำบลทางพูน 2) ศพอส. 3) รพ.สต.บ้านสระเพลง และบ้านโคกคราม 4) กศน. 5) กองทุนสวัสดิการชุมชน 6) กลุ่มทางสังคมในชุมชน 7) จิตอาสาตำบลทางพูน หมู่ที่ 1-6 8) ชมรม ผู้สูงอายุ 1.2) หน่วยงาน องค์กรชุมชน องค์กรรัฐ เอกชนนอกพื้นที่ ประกอบด้วย 1) สภาวัฒนธรรม อำเภอเฉลิมพระเกียรติ 2) มูลนิธิศุภนิมิต 3) พัฒนาชุมชนอำเภอเฉลิมพระเกียรติ 4) เกษตรอำเภอ 2) มีมาตรฐาน แนวปฏิบัติที่ชัดเจน มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อจัดทำหลักสูตรจาก หลากหลายวิชาชีพ และทบทวนหลักสูตรในทุกปีการศึกษา เพื่อปรับให้สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ และ ความต้องการของผู้สูงอายุในชุมชน และมีการจัดทำคู่มือ เพื่อเป็นแนวทางหลักในการดำเนินการ และเป็นการ แนะแนวข้อปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน 9.3 ผลต่อชุมชน ได้แก่ 1) โรงเรียนผู้สูงอายุเป็นพื้นที่เรียนรูและถายทอดประสบการณ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ทองถิ่น ใหดำรงสืบทอดเป็นเอกลักษณของชุมชน เป็น “กิจกรรม” ที่เปิดโอกาสใหผู้สูงอายุมีสวนร่วมในการทำประโย ชน ต่อชุมชนและสังคม รวมทั้งอาจเป็นแรงผลักดันใหเขาร่วมเป็นอาสาสมัครในชุมชน 2) มีกลุ่มดูแลช่วยเหลือกัน กฎ กติกา จัดการกันเอง


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 131 10. ปัจจัยความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 10.1 ปัจจัยความสำเร็จ 1) การมีส่วนร่วมของ 4 องค์กรหลักในการออกแบบหลักสูตรของโรงเรียน ร่วมพัฒนา รูปแบบและประสิทธิภาพของหลักสูตรการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต โดยการ ออกแบบกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุ 2) มีกระบวนการค้นหา และนำใช้ทุนทางสังคม และศักยภาพของชุมชนเพื่อการพัฒนาระบบ การดูแลผู้สูงอายุ 10.2 ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 1) การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมเพื่อสร้างการเรียนรู้อย่าง เต็มประสิทธิภาพสำหรับการพัฒนาผู้สูงอายุ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 132 1. ชื่อเรื่อง จิตอาสาดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (LTC) 2. พื้นที่ เทศบาลตำบลบางเป้า อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง 3. ผู้นำ 1) นายระดม เชื้อช่วย นายกเทศมนตรี 2) นางสมใจ เป้าทอง ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม 3) นางสาวดุษณีย์ แก้วพิทักษ์ ประธานศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน ทต.บางเป้า 4. ที่มาและเส้นทางการพัฒนา ปี พ.ศ. 2558 - 2560 จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ปี 2558 นายละดม เชื้อช่วย อดีตนายก อบต.บางเป้า (ขณะยังไม่ได้ยกฐานะเป็นเทศบาล) เห็นความสำคัญของการดูแลผู้สูงอายุ ประกอบกับรัฐบาลได้มีนโยบายให้มี การพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อมาเป็นอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (CARE GIVER: CG) ซึ่งต้องผ่านการอบรม จากผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุข (Care Manager : CM) ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ ติดบ้านและติดเตียง และในตำบลบางเป้า มีผู้ผ่านการอบรม CG จำนวน 10 คน แต่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จริงเพียง จำนวน 4 คน อีก 6 คน ไม่พร้อมปฏิบัติงานเนื่องจากติดภารกิจการประกอบอาชีพ ดังนั้นเพื่อให้เพื่อ ผู้สูงอายุติดบ้านและติดเตียงได้รับการดูแลได้อย่างครอบคลุม ตำบลบางเป้าจึงจัดทำโครงการ LONG TERM CARE (LTC) ในปีงบประมาณ 2560 ปี 2561 เข้าร่วมโครงการ “การพัฒนาและวิจัยเพื่อการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น” กับสำนักวิชา พยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ได้จัดทำข้อมูลสุขภาวะผู้สูงอายุ สรุปข้อมูลจาก TCNAP ดังนี้ ครัวเรือน 2,266 ครัวเรือน ประชากร 5,406 คน คิด เพศชาย 2,563 คน ร้อยละ 47.41 เพศหญิง 2,843 คน ร้อยละ 52.59 มีผู้เตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุ (50 –59 ปี) จำนวน 1,075 คน ร้อยละ 19.88 ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) 876 คน ร้อยละ 10.65 จากจำนวนประชากรทั้งหมด (ข้อมูลระบบ TCNAP ณ วันที่ 1 เมษายน 2564) เป็นผู้สูงอายุที่ป่วยติดบ้าน 34 คน ผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียง 10 คน ติดสังคม 832 คน ผู้สูงอายุที่ป่วย เรื้อรัง 127 คน คิดเป็นร้อยละ 10.51 ผู้สูงอายุที่มีความพิการ 95 คน คิดเป็นร้อยละ 7.86 ผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยัง ชีพ 1,173 คน คิดเป็นร้อยละ 97.10 ผู้สูงอายุที่ติดสุรา 13 คน คิดเป็นร้อยละ 1.07 ผู้สูงอายุที่เคยเข้าเรียน หรือกำลังเรียนในโรงเรียนผู้สูงอายุ 25 คน คิดเป็นร้อยละ 2.06 ผู้สูงอายุแกนนำ เช่น งานพิธีการต่าง ๆ แกน จิตอาสาดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (LTC) เทศบาลตำบลบางเป้า อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 133 นำกลุ่ม องค์กรในชุมชน 25 คน มีอาสาสมัครดูแลดูแลผู้สูงอายุ (Care giver) 10 คน ทั้งนี้เทศบาลตำบลบาง เป้าไม่มีผู้สูงอายุที่ไร้ที่อยู่อาศัย และผู้สูงอายุที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพใด (ข้อมูลจาก รพ.สต.บางเป้า และ โรงพยาบาลกันตัง) จากข้อมูลดังกล่าว เทศบาลตำบลบางเป้าจึงทำวิจัยชุมชน (RECAP) ค้นหาทุนและศักยภาพของพื้นที่ วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของผู้สูงอายุ พบว่า ครัวเรือนของผู้สูงอายุยากจน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่มี รายได้ ป่วยโรคเรื้อรัง (โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง) 127 คน คิดเป็นร้อยละ 10.51 สาเหตุมาจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง ขาดการออกกำลังกาย ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ นอกจากนี้ พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่บ้านเพียงลำพัง เนื่องจากลูกหลานออกไปทำงานนอกบ้าน จึงพบว่าในช่วงเวลา กลางวันจะไม่มีผู้ดูแลผู้สูงอายุในกลุ่มติดบ้าน ติดเตียง ดังนั้นทีมขับเคลื่อนชุมชนท้องถิ่น จึงคิดวิธีการเพื่อให้ ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน ติดเตียง ได้รับการดูแลได้อย่างครอบคลุม ไม่ถูกทอดทิ้ง ด้วยการดำเนินงานในโครงการ LTC ซึ่งตำบลบางเป้าได้เริ่มต้น เมื่อปีก่อนมาบ้างแล้ว และในปีนี้จะได้ดำเนินโครงการ LTC อย่างจริงจัง จนกระทั่งได้รับรางวัล ตำบลดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ระดับจังหวัด และระดับเขต ในปี 2561 มีเส้นทาง การพัฒนา ดังนี้ 1) จัดตั้งคณะทำงาน ได้แก่ 1.1) จัดตั้งคณะทำงาน LONG TERM CARE (LTC) ระดับตำบล โดยมีภาคี 5 องค์กรหลัก ครอบคลุมประชาชน และหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น ภาค ประชาชน ภาคสาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุข และอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ 1.2) จัดตั้งคณะทำงาน พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง มีคณะกรรมการครบทุกภาคส่วน (ผู้สูงอายุ เทศบาล โรงพยาบาล รพ. สต. CM CG) โดยมีประธานชมรมผู้สูงอายุเป็นประธานศูนย์ฯ มีคณะอนุกรรมการจากโครงการ LTC เข้าร่วม ดำเนินงาน จำนวน 10 คน 2) จัดตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง รวมไปถึงการขยาย ขอบเขตการดูแลในกองทุน LONG TERM CARE (LTC) จากเดิมมีเพียงผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง คะแนน ADL น้อยกว่าหรือเท่ากับ 11 ที่มีสิทธิ์ UC เท่านั้น ในโครงการนี้ได้ขยายครอบคลุมประชากรผู้สูงอายุทุกสิทธิ์ และ ไม่จำกัดอายุ3) พัฒนาศักยภาพทีมครบทุกหน้าที่ ให้การดูแลครอบคลุมสอดคล้องกับบริบท 4) ทีมงานร่วม ปฏิบัติการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ โดยใช้ข้อมูลเป็นฐานการพัฒนา นำใช้กลไกกาจัดการทีมแบบมีส่วน ร่วม และสามารถพัฒนาคุณภาพระหว่างการดูแลจนเกิดนวัตกรรมเด่น ได้แก่ 4.1) ใช้ “กลไกการจัดการทีม แบบมีส่วนร่วม” นำใช้ข้อมูลสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคีเครือข่ายหลัก 4.2) มอบหมายทีมผู้ดูแลครอบคลุม จำนวนผู้สูงอายุ ที่ป่วย ติดบ้าน ติดเตียง ตามสัดส่วนที่เหมาะสม 4.3) การบริหารจัดการที่คล่องตัว คณะกรรมการทำหน้าที่บริหารจัดการและพิจารณาอนุมัติ Care Plan รวมไปถึงการบริหารจัดการงบประมาณ ทำทำทางลาดให้ผู้สูงอายุได้ 4.4) มีทีมนำการจัดการดูแลเข้มแข็ง มีพยาบาลวิชาชีพ ทำหน้าที่ CM ผ่านการ อบรม 3 คน เข้าใจงาน กระจายความรับผิดชอบการดูแลครบ 5) ลงมือปฏิบัติการโดยการนำใช้ข้อมูลเป็น ฐาน เพื่อประกอบการตัดสินใจไปปฏิบัติการดูแลผู้สูงอายุได้ถูกต้อง ครบถ้วน และครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุ 6) บูรณาการเป็นงาน “พัฒนาคุณภาพระหว่างการดูแลจนเกิดนวัตกรรมเด่น” เริ่มจาก รพ.สต.ให้ อสม.


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 134 ประเมิน ADL ของผู้ป่วย โดยมี CM ประเมินซ้ำอีกครั้ง จากนั้นอาสาดูแลผู้สูงอายุนำข้อมูลการดูแลมาทบทวน และเขียน care plan นำ care plan เสนออนุกรรมการ เพื่ออนุมัติเงินสนับสนุน จากนั้นนำข้อมูลจาก care plan มามอบหมายงาน ระหว่างการดูแลมีการ Conference case มาสรุปวิเคราะห์ วางแผนร่วมกับญาติ CM CG เกิดนวัตกรรม 2 ชิ้น 6.1) “หมอนหลอดสอดขา” ได้รับการสนับสนุนหลอดกาแฟจากร้านค้า ช่วยลด ขยะได้ นำใช้หมอนสอดขาโดยจิตอาสาดูแลที่บ้าน ป้องกันการเกิดแผลกดทับในผู้ป่วยติดเตียง 6.2 ) “กะลา ยางยืด” ใช้วัสดุในท้องถิ่น ใช้ภูมิปัญญา ส่งเสริมสุขภาพ เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ข้อต่อและ กล้ามเนื้อ ชะลอการเสื่อมสภาพของโครงสร้างร่างกาย ป้องกัน ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์และความมั่นคงในการ ทรงตัวในแต่ละอิริยาบถของการเคลื่อนไหว 7.) คณะทำงานติดตามงานและร่วมประเมินผลแบบมีส่วนร่วม อย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 7.1) จัดทีมติดตามประเมินงานครอบคลุมทุกระดับ โดยในแต่ละระดับนำข้อมูลการ ประเมินผล มาพัฒนางานได้ต่อเนื่อง ได้ ทีมประเมินมี 3 ระดับ ดังนี้ 1) ระดับอำเภอ ได้แก่ คณะกรรมการ ศูนย์ฯ ร่วมกับแพทย์จากโรงพยาบาลกันตัง (หมอผึ้ง) พยาบาลวิชาชีพ (CM) โรงพยาบาลกันตัง 2) ระดับ ตำบล ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ (CM) จาก รพ.สต.บางเป้า พยาบาลวิชาชีพ (CM) จากเทศบาลตำบลบางเป้า และอาสาสมัครบริบาล และ 3) ระดับชุมชน มีอาสาสมัครสาธารณสุข และอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ 7.2) นำ ใช้ข้อมูลจากการปฏิบัติพัฒนางาน โดยนำข้อมูลจากรายบุคคล มาประมวล ตรวจสอบความครอบคลุม และ วางแผนต่อเนื่อง จัดทำเป็นข้อมูลรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี เพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการศูนย์ และคณะกรรมการ LTC ได้นำข้อมูลไปให้การสนับสนุนโครงการช่วยเหลือผู้สูงอายุได้ต่อเนื่อง เกิดผลดีต่อการ ดูแลผู้สูงอายุทั้งระบบ 5. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการทำงานเรื่องเด่น จิตอาสาดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (LTC) มีเป้าหมายเพื่อให้การดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเพิ่มขึ้น ภายใต้ระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว โดยมีทีมให้การดูแลแบบมีส่วนร่วม ส่งผลให้ผู้สูงอายุเพิ่มสมรรถนะ ทางกาย เพิ่มสุขภาพใจ ใช้ชีวิตบั้นปลายได้อย่างมีความสุขตามสถานะสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) วัตถุประสงค์ในการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ 1.1) เพื่อให้ผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียงบ้าน ติดเตียง ได้รับการดูแลเหมาะสมกับสถานะสุขภาพ 1.2) เพื่อให้ผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียงบ้าน ติดเตียงได้รับการดูแลอย่างครอบคลุม 1.3) เพื่อให้ดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ระยะท้ายของชีวิต ได้รับการดูแลอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็น มนุษย์ ดูแลใกล้ชิดจนวาระสุดท้ายของชีวิต 1.4) เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการส่งเสริมสุขภาพ และฟื้นฟูสุขภาพ ให้ชะลอการเจ็บป่วย และ สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ พึ่งพิงผู้อื่นน้อยลง 2) วัตถุประสงค์ผู้ร่วมดำเนินการดูแลผู้สูงอายุ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 135 2.1) เพื่อพัฒนากลไกการจัดการแบบมีส่วนร่วมของทีมดำเนินงาน 2.2) เพื่อบริหารจัดการทีมและจัดการงบประมาณจากกองทุน สปสช. จากเทศบาลตำบลบางเป้า จากโรงพยาบาล จาก รพ.สต. และผู้บริจาค ได้ตามระเบียบของศูนย์ฯ และกองทุนฯ 6. ประชากรที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบ ประชากรที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบแบ่ง ได้แก่ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานของ CARE GIVER (CG) ได้แก่ ผู้สูงอายุและบุคคลอื่นที่มีภาวะพึ่งพิง ที่มีคะแนน ADL น้อยกว่าหรือเท่ากับ 11 คะแนน ที่อยู่จริงในพื้นที่ตำบลบางเป้า 6.1 กลุ่มเป้าหมายที่ได้ประโยชน์ดังนี้ 1) ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 876 คน 2) ผู้สูงอายุที่ป่วยติดบ้าน 24 คน 3) ผู้สูงอายุที่ป่วยติดเตียง 10 คน ติดสังคม 832 คน 4) ผู้สูงอายุตามความสามารถ (ADL) ติดบ้าน 24 คน ติดเตียง 10 คน ติดสังคม 842 คน 5) ผู้เตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยสูงอายุ (50 – 59 ปี) จำนวน 726 คน 6) ผู้สูงอายุที่มีความพิการ 112 คน 7) ผู้สูงอายุที่ป่วยเรื้อรัง 127 คน ได้แก่ โรคเบาหวาน จำนวน 24 คน โรคความดันโลหิตสูง จำนวน 52 คน โรคไขมันในเส้นเลือด จำนวน 19 คน โรคทางด้านสมองเสื่อม 32 คน 7. วิธีดำเนินการ (methods) มีขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการดังต่อไปนี้ เทศบาลตำบลบาลเป้ามีวิธีการ ขั้นตอนและกระบวนการดำเนินการ จำนวน 7 วิธีการ ได้แก่ จัดตั้ง คณะทำงาน จัดตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง พัฒนาศักยภาพทีม ให้การดูแลครอบคลุม สอดคล้องกับบริบท ทีมงานร่วมปฏิบัติ โดยใช้กลไกการจัดการทีมแบบมีส่วนร่วม ผ่านการบริหารจัดการที่ คล่องตัว โดยมีทีมนำการจัดการดูแลเข้มแข็ง ลงมือปฏิบัติการโดยการนำใช้ข้อมูลเป็นฐาน บูรณาการเป็นงาน “พัฒนาคุณภาพระหว่างการดูแลจนเกิดนวัตกรรมเด่น” “หมอนหลอดสอดขา และกะลายางยืด” อีกทั้งมีการ จัดทีมติดตามประเมินงานครอบคลุมทุกระดับ โดยนำใช้ข้อมูลจากการปฏิบัติพัฒนางาน มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ 1. จัดตั้งคณะทำงาน ได้แก่ 1.1) จัดตั้งคณะทำงาน LONG TERM CARE (LTC) ระดับตำบล โดย มีภาคี 4 องค์กรหลัก ครอบคลุมหน่วยงานในพื้นที่ ได้แก่ 1) องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น มีนายกเทศมนตรีเป็น ประธาน ผู้อำนวยกองสาธารณสุข เป็นเลขานุการ 2) ภาคประชาชน มีตัวแทนกลุ่มผู้สูงอายุ ประธานชมรม ผู้สูงอายุตำบลบางเป้า 3) ภาคสาธารณสุข ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกันตัง สาธารณสุขอำเภอกันตัง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางเป้า และ 4) ตัวแทนอาสาสมัครร่วมดำเนินการดูแล ได้แก่


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 136 อาสาสมัครสาธารณสุข อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ 1.2) จัดตั้งคณะทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุภาวะ พึ่งพิง มีคณะกรรมการครบทุกภาคส่วน (ผู้สูงอายุ เทศบาล โรงพยาบาล รพ.สต. CM CG) โดยประธานชมรม ผู้สูงอายุเป็นประธานศูนย์ฯ มีคณะอนุกรรมการจากโครงการ LTC เข้าร่วมดำเนินงาน ได้แก่ นายกเทศบาล ตำบลบางเป้า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกันตัง CM และ CG จำนวน 10 คน 2. จัดตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุภาวะพึ่งพิง ขยายขอบเขตการดูแลในกองทุน LONG TERM CARE (LTC) จากเดิมมีเพียงผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง คะแนน ADL น้อยกว่าหรือเท่ากับ 11 ที่มีสิทธิ์ UC เท่านั้น ในโครงการนี้ได้ขยายครอบคลุมประชากรผู้สูงอายุทุกสิทธิ์ และไม่จำกัดอายุ 3. พัฒนาศักยภาพทีมครบทุกหน้าที่ ให้การดูแลครอบคลุมสอดคล้องกับบริบท ทุกคนผ่านการ อบรมจากหลักสูตรของกรมอนามัย ได้แก่ พยาบาลวิชาชีพ ผ่านการอบรม CM 3 คน อาสาสมัครบริบาล ผ่าน การอบรมหลักสูตร 6 เดือน 3 คน CG ผ่านการอบรมหลักสูตร CG 10 คน ทีมได้ดำเนินงานครอบคลุมกลุ่ม ผู้สูงอายุ ลงเยี่ยมบ้านเพื่อประเมิน ADL จำแนกกลุ่มผู้สูงอายุ 4 กลุ่ม (กลุ่ม 1 ผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม กลุ่ม 2 ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน กลุ่ม 3 ผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียง กลุ่ม 4 ผู้สูงอายุกลุ่มระยะสุดท้ายของชีวิต) ให้การดูแลตาม สถานะสุขภาพสอดคล้องกับกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อตอบสนองความต้องการ 4. ทีมงานร่วมปฏิบัติการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ โดยใช้ข้อมูลเป็นฐานการพัฒนา นำใช้กลไก กาจัดการทีมแบบมีส่วนร่วม และสามารถพัฒนาคุณภาพระหว่างการดูแลจนเกิดนวัตกรรมเด่น ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 4.1 ใช้ “กลไกการจัดการทีมแบบมีส่วนร่วม” นำใช้ข้อมูลเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคี เครือข่ายหลัก 5 องค์กร ได้แก่ ชมรมผู้สูงอายุ จิตอาสา โรงพยาบาลกันตัง โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพตำบลบางเป้า และเทศบาลตำบลบางเป้า ดังนี้ 4.2 มอบหมายทีมผู้ดูแลครอบคลุมจำนวนผู้สูงอายุ ที่ป่วย ติดบ้าน ติดเตียง สัดส่วน CG 1 คน ต่อ ผู้ป่วย 5 คน และให้อาสาสมัครบริบาลจากเทศบาล จำนวน 3 คน ร่วมดูแลผู้สูงอายุช่วงกลางวันในรายที่ ญาติไม่อยู่บ้าน จัดเวร CG ทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ให้การดูแลผู้สูงอายุครบทุกคน มี อาสาสมัครบริบาล ติดตามผลการดูแลของ CG และร่วมให้การดูแล รวมไปถึงการร่วมทำกิจกรรมกับผู้สูงอายุ อย่างต่อเนื่อง สัดส่วนของอาสาสมัครบริบาล 1:4 ดูแล 8 ชั่วโมง หมุนเวียนกันไป เช่น คนที่ 1 ดูแลเวลา 08.30 - 10.00 น. คนที่ 2 ดูแลเวลา 10.00 - 12.00 น. เป็นต้น 4.3 การบริหารจัดการที่คล่องตัว คณะกรรมการทำหน้าที่บริหารจัดการและพิจารณาอนุมัติ Care Plan เพื่อจ่ายงบประมาณการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ได้รับงบประมาณจากหลายแหล่งทุน ได้แก่ เทศบาล โรงพยาบาล สปสช ผู้บริจาค เป็นต้น จึงช่วยให้เบิกจ่ายงบค่าตอบแทน CG และค่าวัสดุที่ใช้ในการ ดูแลได้อย่างคล่องตัว อีกทั้งมีจิตอาสาคอยสนับสนุน จึงมีงบประมาณจัดทำทางลาดให้ผู้สูงอายุได้ ดังคำพูดของ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 137 พี่สมใจ กล่าวว่า “งบมาถึง เราทำทันที เริ่มอนุมัติจากที่ประชุม มี CM เข้าใจงาน CG จิตอาสา พร้อม ทำงาน งานจึงเดินได้เร็ว” 4.4 มีทีมนำการจัดการดูแลเข้มแข็ง มีพยาบาลวิชาชีพ ทำหน้าที่ CM ผ่านการอบรม 3 คน เข้าใจงาน กระจายความรับผิดชอบการดูแลครบทั้ง 3 คน รวม 3 หน่วยงาน ได้แก่ รพ.สต.บางเป้า รับผิดชอบ หมู่ที่ 2 3 5 7 รพ.กันตัง รับผิดชอบหมู่ที่ 1 4 6 และเทศบาลตำบลบางเป้า เป็นผู้ประสานงานความร่วมมือ รวมไปถึงสนับสนุนงานในทุกเรื่อง 5. ลงมือปฏิบัติการโดยการนำใช้ข้อมูลเป็นฐาน เพื่อประกอบการตัดสินใจไปปฏิบัติการดูแลผู้สูงอายุ ได้ถูกต้อง ครบถ้วน และครอบคลุมกลุ่มผู้สูงอายุ ทั้ง 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม 1 ผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม กลุ่ม 2 ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน กลุ่ม 3 ผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียง กลุ่ม 4 ผู้สูงอายุกลุ่มระยะสุดท้ายของชีวิต ให้การดูแลตาม สถานะสุขภาพสอดคล้องกับกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อตอบสนองความต้องการ 6. บูรณาการเป็นงาน “พัฒนาคุณภาพระหว่างการดูแลจนเกิดนวัตกรรมเด่น” เริ่มจาก รพ.สต.ให้ อสม. ประเมิน ADL ของผู้ป่วย โดยมี CM ประเมินซ้ำอีกครั้ง จากนั้นอาสาดูแลผู้สูงอายุนำข้อมูลการดูแลมา ทบทวน และเขียน care plan นำ care plan เสนออนุกรรมการ เพื่ออนุมัติเงินสนับสนุน จากนั้นนำข้อมูล จาก care plan มามอบหมายงานให้แต่ละคน ระหว่างการดูแลมีการ Conference case ร่วมกับแพทย์ โรงพยาบาลกันตัง (หมอผึ้ง) จากนั้นทีมสุขภาพนำข้อมูลการดูแลรายบุคคล (case) มาสรุปวิเคราะห์ภาพของ ปัญหา ส่วนใหญ่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ นำมา conference ในทีมสหวิชาชีพ มีแพทย์ โรงพยาบาลกันตัง ให้การปรึกษา วางแผนร่วมกับญาติ CM CG อาสาสมัครบริบาล คัดเลือก case มาเขียน Care Plan ติดตาม ผลการดูแล ร่วมกันคิดนวัตกรรมเพื่อการดูแลที่มีคุณภาพ เกิดการนำใช้นวัตกรรม 2 ชิ้น 6.1 “หมอนหลอดสอดขา” ได้รับการสนับสนุนหลอดกาแฟจากร้านค้า ช่วยลดขยะได้ นำใช้ หมอนสอดขาโดยจิตอาสาดูแลที่บ้าน ป้องกันการเกิดแผลกดทับ นำใช้ในผู้ป่วยติดเตียง 10 คน (ผู้ป่วยสูงอายุ ติดเตียงที่มีแผลกดทับจำนวน 4 คน ผู้ป่วยสูงอายุติดเตียงที่ไม่มีแผลกดทับลดลง 6 คน ผลพบว่า ผู้ที่มีแผลกด ทับ แผลกดทับลดลง 1 คน และอีก 3 คน แผลหาย ยกระดับเป็นผู้ป่วยติดบ้านได้ ส่วนผู้ที่ไม่มีแผลกดทับ ผล พบว่า ไม่เกิดแผลกดทับ) 6.2 “กะลายางยืด” ใช้วัสดุในท้องถิ่น ใช้ภูมิปัญญา ส่งเสริมสุขภาพ เสริมสร้างความแข็งแรง ของกระดูก ข้อต่อและกล้ามเนื้อ ชะลอการเสื่อมสภาพของโครงสร้างร่างกาย ป้องกัน ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ และความมั่นคงในการทรงตัวในแต่ละอิริยาบถของการเคลื่อนไหว ให้ผู้สูงอายุติดบ้าน และติดสังคม จำนวน 34 คน ผลพบว่า ลดอาการปวดเมื่อยลงได้ 7. คณะทำงานติดตามงาน ติดตาม และร่วมประเมินผล ดังนี้ 7.1 จัดทีมติดตามประเมินงานครอบคลุมทุกระดับ โดยในแต่ละระดับนำข้อมูลการประเมินผล มาพัฒนางานได้ต่อเนื่อง ได้ ทีมประเมินมี 3 ระดับ ดังนี้ 1) ระดับอำเภอ ได้แก่ คณะกรรมการศูนย์ฯ ร่วมกับ แพทย์จากโรงพยาบาลกันตัง (หมอผึ้ง) พยาบาลวิชาชีพ (CM) โรงพยาบาลกันตัง 2) ระดับตำบล ได้แก่


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 138 พยาบาลวิชาชีพ (CM) จาก รพ.สต.บางเป้า พยาบาลวิชาชีพ (CM) จากเทศบาลตำบลบางเป้า และอาสาสมัคร บริบาล และ 3) ระดับชุมชน มีอาสาสมัครสาธารณสุข และอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ 7.2 นำใช้ข้อมูลจากการปฏิบัติ โดยนำข้อมูลจากรายบุคคล มาประมวล ตรวจสอบความ ครอบคลุม และวางแผนต่อเนื่อง จัดทำเป็นข้อมูลรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี เพื่อนำเสนอต่อ คณะกรรมการศูนย์ และคณะกรรมการ LTC ได้นำข้อมูลไปให้การสนับสนุนโครงการช่วยเหลือผู้สูงอายุได้ ต่อเนื่อง เกิดผลดีต่อการดูแลผู้สูงอายุทั้งระบบ 8. ผลที่เกิดขึ้น (รูปธรรม) 1) ผู้ป่วยติดบ้านเปลี่ยนแปลงเป็นสถานะผู้ป่วยติดสังคม 3 คน 2) ผู้ป่วยติดเตียงเปลี่ยนแปลงเป็นสถานะติดบ้าน จำนวน 1 คน 3) ผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน มีความสามารถ ใช้ชีวิตประจำได้ปกติ จำนวน 2 คน 4) เกิดกลไกการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของงภาคีเครือข่ายขององค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 8 ภาคี ได้แก่ ชมรมผู้สูงอายุ เทศบาลตำบลบางเป้า โรงพยาบาลกันตัง รพ.สต.บางเป้า กองทุน สปสช กองทุน ศูนย์พัฒนาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ CM CG และได้รับการสนับสนุนงบประมาณมาจากกองทุน สปสช. ที่สนับสนุนงบประมาณมาให้กองทุนหลักประกันสุขภาพเทศบาลตำบลบางเป้าเพื่อการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว LONG TERM CARE (LTC) และได้โอนไปยัง เทศบาลตำบลบางเป้า เพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทน CARE GIVER (CG) ตามระเบียบของศูนย์ฯ และกองทุนฯ 5) ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 17 ราย ได้รับการดูแลจาก CARE GIVER (CG) 6) CARE GIVER ได้รับการอบรมฟื้นฟูความรู้ในเรื่องการดูแลผู้สูงอายุสม่ำเสมอ และมีความรู้ มีทักษะ ในการประเมิน ADL ประเมินสภาพ ประเมินปัญหา และความต้องการของผู้สูงอายุได้ ตลอดจนให้การดูแลที่ เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุแต่ละรายได้ 7) เกิดนวัตกรรม 2 ชิ้น ได้แก่ “หมอนหลอดสอดขา” ทำจากหลอดกาแฟ ช่วยลดขยะ ได้รับการ สนับสนุนจากชุมชน เพื่อป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยที่นอนนาน ๆ ป้องกันและลดการเกิดแผลกดทับในผู้สูงอายุ ติดเตียง และให้ผู้สูงอายุติดเตียงรู้สึกสบายในการใช้หมอนสอดขา และ “กะลายางยืด” ทำกะลายางยืดเพื่อใช้ ออกกำลังกาย โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น นำมาประดิษฐ์เป็นอุปกรณ์ช่วยออกกำลังกาย เพื่อเสริมสร้าง ความแข็งแรงของกระดูก ข้อต่อและกล้ามเนื้อ ชะลอการเสื่อมสภาพของโครงสร้างร่างกาย ป้องกันข้อเสื่อม ข้อติด กระดูกบาง ระบบประสาทรับรู้-สั่งงานการเคลื่อนไหวเสื่อมสภาพ ตลอดจนช่วยให้เกิดความสัมพันธ์และ ความมั่นคงในการทรงตัวในแต่ละอิริยาบถของการเคลื่อนไหว มีผลการดำเนินงาน คือ ผู้สูงอายุในชุมชนมี ความพึงพอใจกะลายางยืดเป็นอย่างมาก


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 139 9. ผลกระทบที่เกิดขึ้น 9.1 ผู้สูงอายุได้รับบริการทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต ภาวะพึ่งพิง และการจัดบริการผู้สูงอายุโดยสาธารณสุข 9.2 ทีมสุขภาพมีศักยภาพในการดูแลเพิ่มขึ้น เช่น ผู้ช่วยเหลือผู้มีภาวะพึ่งพิง (Care Giver : CG) ผู้จัดการนักบริบาลท้องถิ่น (Care Community : CC) พยาบาลวิชาชีพผู้จัดการดูแล (care manager: CM) 9.3 ประชาชนในชุมชน และจิตอาสาดูแลผู้สูงอายุส่วนร่วมดูแลผู้ป่วยในชุมชน เกิดความรัก ความ อบอุ่นของครอบครัวและชุมชน 10. ปัจจัยความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 10.1 ปัจจัยความสำเร็จ 1) นโยบายจากผู้บริหารที่ได้เห็นความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ การดูแล ผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง 2) มี Care manager ครอบคลุมหน่วยงานหลักที่ให้การดูแล จำนวน 3 หน่วยงาน จำนวน 3 คน ประกอบด้วย รพ.สต. บางเป้า จำนวน 1 คน รพ.กันตัง จำนวน 1 คน และ ทต.บางเป้า จำนวน 1 คน มี ความพร้อม เรื่ององค์ความรู้ และความตั้งใจทำงาน 3) Care giver มีความตั้งใจสูง เสียสละ มีจิตอาสา 10.2 ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 1) การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมแบบรวมกลุ่มได้ คณะทำงานจัดการโดยจัดประชุมแบบออนไลน์ผ่านเพจของโรงเรียนผู้สูงอายุ 2) ผู้ป่วยแพทย์นัด รักษาต่อเนื่อง รพ กันตัง ไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย คณะทำงานจึงจัด จัดรถ EMS 1669 บริการ 24 ชม.


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 140 ระบบป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุตำบลสระแก้ว องค์การบริหารส่วนตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช Key Actors โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหัวคู งานเด่น ระบบป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุตำบลสระแก้ว พื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช วิทยากร นางอารมย์ สุขน้อย ตำแหน่ง ผู้อำนวยการ รพ.สต.บ้านหัวคู 1.ที่มาหรือฐานคิดของการดำเนินงาน ภาวะหกล้มและภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จากการหกล้ม ทำให้เกิดผลกระทบหลากหลายมิติ ทั้งปัญหา ทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงด้านสังคมเศรษฐกิจ ด้านร่างกายทำให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะตามร่างกาย การบาดเจ็บศีรษะและสมอง รวมทั้งการหักของกระดูกเชิงกราน ซึ่งในรายที่บาดเจ็บรุนแรงต้องพักรักษาใน โรงพยาบาลเป็นเวลานาน หรืออาจเสียชีวิตในเวลาต่อมา หรืออาจสูญเสียความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตร ประจำวันจากความพิการ ส่วนผลกระทบทางด้านจิตใจ โดยพบว่าผู้สูงอายุที่เคยพลัดตกหกล้มแล้ว บางราย สูญเสียความมั่นใจในตนเองในการเคลื่อนไหว เนื่องจากกังวลและกลัวการหกล้มซ้ำ และไม่สามารถดำเนินชีวิต ได้ตามปกติ ส่งผลทำให้แยกตัวออกจากสังคมรอบข้าง ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตลดลง จากข้อมูลของตำบลสระแก้ว มีจำนวนหมู่บ้านทั้งสิ้น 11 หมู่บ้าน มีจำนวนประชากร 9,283 คน และ ผู้สูงอายุ มี จำนวน 1,712 คน ร้อยละ 18.44 พบว่า ผู้สูงอายุตอนต้น (60-69 ปี) ร้อยละ 30.30 ผู้สูงอายุ ตอนกลาง (70-79 ปี) ร้อยละ 39.80 และผู้สูงอายุตอนปลาย (≥80ปี) ร้อยละ 30.0 มีสถานภาพสมรสคู่ ร้อย ละ 49.00 ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 83.10 รายได้เฉลี่ยภายในครอบครัวส่วนใหญ่ ระหว่าง 1,001-5,000 บาท ร้อยละ 71.80 ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ อาศัยอยู่ร่วมกับสมาชิกอื่น เช่น คู่สมรส บุตร ร้อยละ 82.00 ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง ร้อยละ 18.00 ไม่ได้ประกอบอาชีพร้อยละ 43.00 จึงส่งผลให้ ภาคี 4 องค์กรหลักในพื้นที่เห็นความสำคัญและตระหนักปัญหาที่ต้องได้รับแก้ไข เนื่องจากมีข้อมูลในสถิติสูง พบว่า ผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวที่สำคัญได้แก่ ความดันโลหิตสูงร้อยละ 54.00 โรคข้อเข่าเสื่อมร้อยละ 29.10 กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ร้อยละ 19.60 โรคเบาหวานร้อยละ 19.60 และโรคหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 6.80 กลุ่มตัวอย่างมีการใช้ยามากกว่า 4 ชนิด หรือใช้ยาที่มีผลต่อจิตประสาทอย่างน้อย 1 ชนิดร้อยละ 54.90 พบ ภาวะเสี่ยงสมองเสื่อมในผู้สูงอายุร้อยละ 17.50 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ช่วยเหลือตัวเองได้ดี (ADL ≥12) ร้อยละ 95.00 จากการประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้มโดยแบบประเมิน Thai-FRAT พบกลุ่มเสี่ยงสูง ต่อการล้ม (คะแนนความเสี่ยง≥4 คะแนน) ร้อยละ 38.30 มีประวัติหกล้มใน 6 เดือนที่ผ่านมาร้อยละ 20.80 และมีภาวะกลัวการหกล้ม ร้อยละ 20.20 จากการสำรวจสิ่งแวดล้อมเสี่ยงภายในบ้าน พบว่าส่วนใหญ่ไม่มีราว


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 141 จับที่บันไดและในห้องน้ำร้อยละ 74.80 มีส้วมนั่งยองร้อยละ 37.10 มีพื้นต่างระดับร้อยละ 36.80 พื้นเปียกลื่น เปียกแฉะร้อยละ 25.80 วางของเกะกะในบ้าน ร้อยละ 24.60 และบริเวณบ้านพื้นไม่เรียบ มีหลุมบ่อ ร้อยละ 27.60 จากข้อมูลที่กล่าวมานำมาร่วมออกแบบเพื่อหาทางแก้ปัญหาโดยเน้นการมีส่วนร่วมของ 4 องค์กรหลัก ในพื้นที่ ดำเนินการดังนี้ (1) จัดเวทีประชาคมเพื่อวิเคราะห์ วางแผน/กำหนดเป้าหมาย (2) การเตรียมความ พร้อมคณะทำงาน และการร่างโปรแกรมการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน (3) ร่วมกำหนดโครงสร้าง และบทบาทหน้าที่ และตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินงานการจัดโครงสร้างบทบาทหน้าที่ในโครงการฯ (4) การ พัฒนาศักยภาพทีมแกนนำ (5) การทดลองประสิทธิผลของโปรแกรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มฯ ในชุมชน นำร่องโดยการทดลองใช้ “โปรแกรมการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุแบบสหปัจจัยที่บ้าน” และ (6) การ สรุปผลการพัฒนารูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนนำร่อง ปี พ.ศ. 2562 คณะทำงานโครงการร่วมกำหนดแนวทาง เพื่อจัดการพัฒนารูปแบบและทดลอง ประสิทธิผลของโปรแกรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนนำร่อง ตำบลสระแก้ว ด้วย รูปแบบการวิจัยกึ่งทดลองแบบ 1 กลุ่มเปรียบเทียบ ก่อน-หลังเข้าร่วมโปรแกรมฯ ระยะเวลา 16 สัปดาห์ ใน ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยง กลุ่มตัวอย่าง 30 คน พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีการทรงตัวที่ดีขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรม จากการ ทดสอบการเดินและการทรงตัว Timed Up and Go โดยก่อนเข้าร่วมโปรแกรมฯ กลุ่มตัวอย่างใช้เวลาในการ ทรงตัวอยู่ในช่วงเวลาน้อยกว่า 13.50 วินาที มีจำนวน 7 คน (ร้อยละ 23.3) ช่วงเวลา 13.50-19.99 วินาที 19 คน (ร้อยละ 63.3) และช่วงเวลามากกว่า 20 วินาที จำนวน 4 คน (ร้อยละ 13.3) และหลังการเข้าร่วม โปรแกรมฯ พบว่ากลุ่มตัวอย่างใช้เวลาในการทรงตัวช่วงเวลาน้อยกว่า 13.50 วินาที เพิ่มเป็นจำนวน 23 คน (ร้อยละ 76.7) ช่วงเวลา 13.50-19.99 วินาที มีจำนวนลดลงเหลือ 7 คน (ร้อยละ 23.3) และไม่พบผู้ที่มีระยะ การทรงตัวมากกว่า 20 วินาที นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ความรู้ การเยี่ยมบ้าน เพื่อการสอนและสาธิตการออก กำลังกาย การประเมินการใช้ยา การประเมินและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม และการประเมินและจัดการสหปัจจัย รายกรณี ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมโปรแกรมการป้องกันการหกล้มฯ มีระดับการทรงตัว ระดับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และคะแนนพฤติกรรมการป้องกันการหกล้ม เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ หลังเข้าร่วมโครงการ 16 สัปดาห์ และการสำรวจความพึงพอใจหลังเข้าร่วมโครงการ พบว่าผู้เข้าร่วม โครงการมีความพึงพอใจในโครงการในภาพรวมระดับสูงสุด ปี พ.ศ.2563 ร่วมจัดเวทีประชาคมเกี่ยวกับปัญหาการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในพื้นที่ตำบล สระแก้ว เพื่อสะท้อนข้อมูลให้ทุกทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมเพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นของภาคีเครือข่ายในชุมชน โดยผู้ใหญ่บ้าน อบต. รพสต. และอสม. ได้ข้อสรุปข้อมูลการรับรู้ต่อปัญหาการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุใน ชุมชน และการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุตำบลสระแก้ว ดังนี้ (1) ผู้สูงอายุรับรู้ว่าการหกล้มเป็นสิ่งที่อาจ เกิดขึ้นได้กับทุกคนเนื่องจากความชรา ไม่สามารถคาดเดาได้ ทำให้ผู้สูงอายุมีความกังวลเกี่ยวกับการหกล้ม การรับรู้ถึงสาเหตุของการหกล้มมักเกิดจากความประมาท ผู้ดูแลบางส่วนมีทัศนคติความเชื่อของต่อการออก กำลังกายของผู้สูงอายุ ว่าจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นในขณะทำกิจกรรม (2) การรับรู้และ ความเข้าใจต่อการแก้ปัญหาการหกล้ม ในมุมมองของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขชุมชน พบว่า เจ้าหน้าที่รับรู้ถึง


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 142 ความรุนแรงของปัญหาและ และมีความตั้งใจในการแก้ปัญหา เมื่อมีผู้สูงอายุเกิดการหกล้มจะมุ่งเน้นให้การ รักษาและบรรเทาอาการบาดเจ็บ แต่ไม่มีการติดตามหรือวางแผนการป้องกันภาวะหกล้มซ้ำ อย่างจริงจัง เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านเวลาและจำนวนเจ้าหน้าที่ในการให้บริการ ขาดสื่ออุปกรณ์และแนวปฏิบัติที่ชัดเจน จากหน่วยงานแม่ข่าย เจ้าหน้าที่มีความท้อแท้ เนื่องจากการดำเนินงานไม่ตอบสนองกับนโยบายตัวชี้วัด (3) การรับรู้และความเข้าใจต่อการป้องกันการหกล้ม ของผู้เกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน พบว่า ผู้รับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น มีความสนใจเข้าร่วมในการแก้ปัญหาการหก ล้มของผู้สูงอายุในชุมชนอย่างจริงจัง แต่ยังขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับแนวทางการป้องกันการหกล้มในชุมชนที่ ชัดเจน และ (4) การรับรู้และความเข้าใจต่อปัญหาการหกล้ม ในมุมมองของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำ หมู่บ้าน พบว่า อสม.รับรู้ถึงความรุนแรงของปัญหาการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน และมีประสบการณ์ในการ ดูแลผู้สูงอายุติดเตียง ที่เกิดจากการหกล้มในชุมชน มีความพร้อมที่จะร่วมเรียนรู้ และมีจิตอาสาช่วยเหลือและ ดำเนินการในโครงการ แต่มีบางรายมีความกังวลกับภาระงานของจิตอาสาในชุมชนที่มีเพิ่มขึ้น การดำเนินกระบวนการพัฒนารูปแบบการป้องกันการหกล้มโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ทำให้ผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน เข้าใจประเด็นปัญหา และเกิดความตระหนักถึงผลกระทบของการพลัดตกหกล้มของ ผู้สูงอายุในภาพรวม ทำให้เกิดความร่วมมือของแกนนำชุมชน ในการสนับสนุนช่วยเหลือ การป้องกันการพลัด ตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนเพิ่มขึ้น โดยรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มในชุมชน เน้นการป้องกัน ปัจจัยเสี่ยงต่อการหกล้ม ที่ครอบคลุมทั้งปัจจัยเสี่ยงภายในและปัจจัยเสี่ยงภายนอก ประกอบด้วยการส่งเสริม ความรู้และทักษะในการป้องกันความเสี่ยงต่อการหกล้ม การฝึกออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของ กล้ามเนื้อและการทรงตัว การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในชุมชน การคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่อการหกล้มในชุมชน การเยี่ยมบ้านกลุ่มเสี่ยงเพื่อประเมินและการจัดการความเสี่ยงรายกรณี และการประเมินและปรับปรุง สิ่งแวดล้อมในบ้านและชุมชน บทเรียนรู้จากกระบวนการวิจัยได้แก่ การเยี่ยมบ้านโดยเจ้าหน้าที่ และแกนนำ อสม. ทำให้ผู้ดูแลในครอบครัว มีความเข้าใจเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุ และแนวทางการ ป้องกันความเสี่ยงต่อการหกล้มในชุมชนดียิ่งขึ้น ผู้สูงอายุและผู้ดูแลได้ร่วมเรียนรู้ และร่วมวางแผนในการ จัดการความเสี่ยงของตนเองเพิ่มขึ้น 2.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการทำงานเรื่องเด่น 2.1 ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากงาน และกิจกรรมเด่น 1) ผู้สูงอายุมีการทรงตัวที่ดีขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรม จากการทดสอบการเดินและการทรงตัว Timed Up and Go โดยหลังการเข้าร่วมโปรแกรมฯ พบว่ากลุ่มตัวอย่างใช้เวลาในการทรงตัว จำนวน เพิ่ม จำนวน 23 คน 2) การเยี่ยมบ้านเพื่อจัดการรายกรณี ดังนี้


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 143 2.1) ผู้สูงอายุได้รับการส่งต่อปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยนยาที่มีผลต่อจิตประสาท จำนวน 2 คน 2.2) การปรับสภาพบ้านที่เสี่ยงสูงจำนวน 1 คนโดยได้รับความช่วยเหลือจาก กองทุนวันละบาทประจำหมู่บ้าน 2.3) การปรับปรุงดูแลสภาพบ้านด้วยตนเอง โดยได้รับความร่วมมือจากญาติในการ แก้ไข ได้แก่ การแก้ไขพื้นที่ลื่น จำนวน 12 คน การปรับปรุงราวจับในห้องน้ำ จำนวน 9 คน การปรับปรุงราว บันได จำนวน 2 คน 2.4) การให้คำปรึกษาการใช้อุปกรณ์ช่วยเดินที่เหมาะสม และมอบไม้เท้าสำหรับช่วย เดิน จำนวน 2 คน และการให้คำแนะนำให้ญาติสร้างราวจับเพื่อฝึกเดิน จำนวน 2 คน 2.2 เป้าหมายการทำงาน บริการ กิจกรรม 1) ทำให้เกิดความร่วมมือของแกนนำชุมชน ในการสนับสนุนช่วยเหลือ การป้องกันการพลัด ตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนเพิ่มขึ้น โดยรูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มในชุมชน เน้นการป้องกัน ปัจจัยเสี่ยงต่อการหกล้ม ที่ครอบคลุมทั้งปัจจัยเสี่ยงภายในและปัจจัยเสี่ยงภายนอก 2) ส่งเสริมความรู้และทักษะในการป้องกันความเสี่ยงต่อการหกล้ม ได้แก่ การฝึกออกกำลัง กายเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการทรงตัว การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในชุมชน การคัดกรอง กลุ่มเสี่ยงต่อการหกล้มในชุมชน การเยี่ยมบ้านกลุ่มเสี่ยงเพื่อประเมินและการจัดการความเสี่ยงรายกรณี และ การประเมินและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้านและชุมชน เป็นต้น 3) แนวทางการป้องกันความเสี่ยงต่อการหกล้มในชุมชนดียิ่งขึ้น ผู้สูงอายุและผู้ดูแลได้ร่วม เรียนรู้ และร่วมวางแผนในการจัดการความเสี่ยงของตนเอง ทำให้เกิดแรงจูงใจให้มีการออกกำลังกายป้องกัน หกล้มอย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 3.ประชากรที่ได้รับประโยชน์และผลกระทบ 1) ผู้สูงอายุมีการทรงตัวที่ดีขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรม จากการทดสอบการเดินและการทรงตัว Timed Up and Go โดยหลังการเข้าร่วมโปรแกรมฯ พบว่ากลุ่มตัวอย่างใช้เวลาในการทรงตัว จำนวน เพิ่ม จำนวน 23 คน 2) การเยี่ยมบ้านของ รพ.สต.และ อสม. เพื่อจัดการรายกรณี ดังนี้ 2.1) ผู้สูงอายุได้รับการส่งต่อปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยนยาที่มีผลต่อจิตประสาทจำนวน 2 คน 2.2) การปรับสภาพบ้านที่เสี่ยงสูงจำนวน 1 คนโดยได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนวันละ บาทประจำหมู่บ้าน


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 144 2.3) การปรับปรุงดูแลสภาพบ้านด้วยตนเอง โดยได้รับความร่วมมือจากญาติในการแก้ไข ได้แก่ การแก้ไขพื้นที่ลื่น จำนวน 12 คน การปรับปรุงราวจับในห้องน้ำ จำนวน 9 คน การปรับปรุงราวบันได จำนวน 2 คน 2.4) ให้คำปรึกษาการใช้อุปกรณ์ช่วยเดินที่เหมาะสม และมอบไม้เท้าสำหรับช่วยเดิน จำนวน 2 คน และการให้คำแนะนำให้ญาติสร้างราวจับเพื่อฝึกเดิน จำนวน 2 คน 4.วิธีดำเนินงาน 4.1 งานที่ดำเนินการมีลักษณะงานบริการ และกิจกรรม ดังนี้ 1) การเตรียมความพร้อมทีมคณะทำงานในชุมชน โดยการประชุมทีมคณะทำงานในชุมชน ประกอบด้วย พยาบาลในชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผู้รับผิดชอบงานดูแลผู้สูงอายุของ อบต.สระแก้ว และตัวแทนผู้สูงอายุในชุมชน รวมทั้งหมด 20 คนเพื่อทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของงานล และบทบาทหน้าที่ของคณะทำงานในชุมชน การค้นหากลุ่มเสี่ยง และการวางแผนจัดการความเสี่ยง เพื่อลด อัตราการหกล้มในชุมชน และการรักษาความยั่งยืนของการดำเนินงาน 2) การพัฒนาศักยภาพทีมแกนนำ ในการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุตำบลสระแก้ว โดยมี การอบรมเชิงปฎิบัติการ ความรู้ทักษะในการประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้ม และทักษะการป้องกันการหกล้ม ในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการทรงตัว โดยจัดการอบรมภาคทฤษฎี จำนวน 1 วัน และการฝึกทักษะการเยี่ยมบ้านร่วมกับนักวิจัยหลักในสัปดาห์ที่ 1 และสัปดาห์ที่ 2และการร่วม ออกแบบแนวทางการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน 3) การจัดโครงการส่งเสริมความรู้ ผ่านรูปแบบการจัดนิทรรศการ การเรียนรู้แบบกลุ่ม โดย เชิญผู้สูงอายุ ญาติ และอสม. เข้าร่วมโครงการ โดยวิทยากรที่เชี่ยวชาญ ให้ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงและ ผลกระทบจากการหกล้ม แนวปฏิบัติในการดูแลตนเองเพื่อป้องกันการหกล้ม และวิธีการออกกำลังกายเพิ่ม ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการทรงตัว 4) การออกแบบคู่มือการดูแลตนเองในการป้องกันการหกล้มแก่ผู้สูงอายุ คู่มือการออกกำลัง กาย และคู่มือการจัดสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย และการร่างโปรแกรมการป้องกันการหกล้มแก่ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงที่ บ้าน 5) การมีส่วนร่วมในการสร้างความยั่งยืนของชุมชน ซึ่งจากการอภิปรายร่วมกัน ได้รับความ ร่วมมือจากทุกฝ่ายในการร่วมแสดงความคิดเห็น การกำหนดเป้าหมายร่วมกัน โดยภาคีเครือข่ายในชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. รพสต. อสม. แสดงความเห็นเรื่อง เพิ่มกิจกรรมการประชาสัมพันธ์ในชุมชน เพื่อให้ข้อมูล ความรู้ในการป้องกันการหกล้ม รวมถึง การสร้างความตระหนักของผู้สูงอายุเองและคนในครอบครัว 4.2 วิธีการ กระบวนการทำงาน ดังนี้ 1) เวทีประชาคมเพื่อวิเคราะห์ วางแผน/กำหนดเป้าหมายการดำเนินโครงการร่วมกับชุมชน เพื่อร่วมวิเคราะห์ สถานการณ์การหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน และการวางแผนและการออกแบบกิจกรรม


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 145 เพื่อให้ประชาชนในชุมชนให้ความสนใจในการเรียนรู้ และให้ความร่วมมือในการป้องกันการพลัดตกหกล้มของ ผู้สูงอายุในชุมชน 2) การเตรียมความพร้อมคณะทำงาน และการร่างโปรแกรมการป้องกันการหกล้มของ ผู้สูงอายุในชุมชน ประกอบด้วย พยาบาลในชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผู้รับผิดชอบงานดูแล ผู้สูงอายุของ อบต.สระแก้ว และตัวแทนผู้สูงอายุในชุมชน 3) ร่วมกำหนดโครงสร้าง และบทบาทหน้าที่ และตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินงานการจัด โครงสร้างบทบาทหน้าที่ในโครงการฯ ให้มีความสอดคล้อง และสามารถประสานการดำเนินงานกับ “โครงการ การพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุตำบลสระแก้ว” ที่มีการดำเนินงานที่สำคัญได้แก่ (1) การพัฒนาศักยภาพทีม แกนนำเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนการดำเนินงานการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุในชุมชน (2) กิจกรรมส่งเสริม ความรู้ในการป้องกันตนเองจากการหกล้มแก่ผู้สูงอายุและผู้ดูแล (3) การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในชุมชนเพื่อ การสร้างแรงจูงใจ และความตระหนักต่อการป้องกันการหกล้มของประชาชนอย่างต่อเนื่อง (4) การคัดกรอง กลุ่มเสี่ยงในชุมชน (5) การเยี่ยมบ้านเพื่อประเมินและจัดการความเสี่ยงในผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงรายบุคคล (6) การ ส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการทรงตัว (7) การปรับเปลี่ยน สภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยทั้งในบ้านและชุมชน 4) การพัฒนาศักยภาพทีมแกนนำ ในการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุตำบลสระแก้ว โดยมี การอบรมเชิงปฎิบัติการ ความรู้ทักษะในการประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้ม และทักษะการป้องกันการหกล้ม ในผู้สูงอายุ การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการทรงตัว 5) การทดลองประสิทธิผลของโปรแกรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มฯ ในชุมชนนำร่องโดย การทดลองใช้ “โปรแกรมการป้องกันการหกล้มในผู้สูงอายุแบบสหปัจจัยที่บ้าน” 6) การสรุปผลการพัฒนารูปแบบการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชนนำร่อง 5.ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้ 1) เกิดคณะทำงาน โดยมีการจัดตั้งคณะทำงาน ในการดำเนินโครงการป้องกันการพลัดตกหกล้มใน ชุมชน โดยพบว่าคณะทำงาน สามารถบูรณาการประสานการดำเนินงานร่วมกับ “โครงการการพัฒนาระบบ การดูแลผู้สูงอายุตำบลสระแก้ว” ที่มีการดำเนินงานอยู่เดิม 2) การประชุมคณะทำงานในชุมชน เกิดแผนการดำเนินงานที่สำคัญในโครงการ ได้แก่ การพัฒนา ศักยภาพทีมแกนนำในการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน 3) การพัฒนาศักยภาพแกนนำในชุมชน ประกอบด้วย พยาบาลในชุมชน แกนนำอสม. และ ผู้รับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุของอบต. ซึ่งผลการพัฒนาศักยภาพแกนนำในชุมชน ทำให้มีความรู้และทักษะ เพิ่มขึ้น สามารถเป็นแกนนำหลักในการขับเคลื่อนงานในชุมชนได้อย่างต่อเนื่อง


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 146 4) มีการออกแบบคู่มือการดูแลตนเองในการป้องกันการหกล้มแก่ผู้สูงอายุ คู่มือการออกกำลังกาย และคู่มือการจัดสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย และการพัฒนาโปรแกรมการป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงที่ บ้าน 5) การประชุมของคณะทำงานในโครงการฯและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน เกิดร่างโปรแกรมการ ป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน และมีผู้รับผิดชอบหลักในกิจกรรม ดังต่อไปนี้ 5.1) การจัดโครงการส่งเสริมความรู้ ผ่านรูปแบบการจัดนิทรรศการ การเรียนรู้แบบกลุ่ม โดยเชิญผู้สูงอายุ ญาติ และอสม. เข้าร่วมโครงการ โดยวิทยากรที่เชี่ยวชาญ ให้ความรู้เกี่ยวกับแนวปฏิบัติใน การดูแลตนเองเพื่อป้องกันการหกล้มอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ผู้รับผิดชอบหลักในการเขียนโครงการ คือ องค์การ บริหารส่วนตำบลสระแก้ว ใช้งบประมาณหลักประกันสุขภาพตำบล 5.2) การวางแผนคัดกรองความเสี่ยงต่อการหกล้มในผู้สูงอายุทุกคนในชุมชน ตามแบบ ประเมินความเสี่ยงต่อการหกล้ม อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยมีผู้รับผิดชอบหลักในการเขียนโครงการ คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 2 แห่ง ใช้งบประมาณหลักประกันสุขภาพกองทุนตำบล 5.3) การจัดโครงการรณรงค์สร้างแรงจูงใจ และความตระหนักในชุมชน การประชาสัมพันธ์ ผ่านหอกระจายข่าว และ มีการติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์การจัดสิ่งแวดล้อมปลอดภัยที่บ้าน ตามจุดสำคัญต่างๆ ในชุมชน ผู้รับผิดชอบหลักในการเขียนโครงการ คือ องค์การบริหารส่วนตำบล ใช้งบประมาณหลักประกัน สุขภาพตำบล 5.4) การส่งเสริมการออกกำลังกาย อย่างมีแบบแผนเพื่อเพิ่มความแข็งแรง และการทรงตัว โดยมีแผนดำเนินการในทุกหมู่บ้าน ผ่านชมรมผู้สูงอายุ ผู้รับผิดชอบหลักในการเขียนโครงการ คือองค์การ บริหารส่วนตำบล 5.5) การเฝ้าระวังติดตามกลุ่มเสี่ยงสูง การรายงานอุบัติการณ์การหกล้มในชุมชน การเยี่ยม บ้านเพื่อประเมินและจัดการความเสี่ยง และการส่งต่อในกลุ่มเสี่ยงสูง ผู้รับผิดชอบหลักในการเขียนโครงการ คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 2 แห่ง 6.ผลกระทบที่เกิดขึ้น 6.1 ผลต่อกลุ่มประชากรเป้าหมาย เช่น 1) ผู้สูงอายุมีการทรงตัวที่ดีขึ้นหลังเข้าร่วมโปรแกรม จากการทดสอบการเดินและการทรงตัว Timed Up and Go โดยหลังการเข้าร่วมโปรแกรมฯ พบว่ากลุ่มตัวอย่างใช้เวลาในการทรงตัว จำนวน เพิ่ม จำนวน 23 คน 2) การเยี่ยมบ้านเพื่อจัดการรายกรณี ดังนี้ 2.1) ผู้สูงอายุได้รับการส่งต่อปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยนยาที่มีผลต่อจิตประสาท จำนวน 2 คน 2.2) การปรับสภาพบ้านที่เสี่ยงสูงจำนวน 1 คนโดยได้รับความช่วยเหลือจาก กองทุนวันละบาทประจำหมู่บ้าน


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 147 2.3) การปรับปรุงดูแลสภาพบ้านด้วยตนเอง โดยได้รับความร่วมมือจากญาติในการ แก้ไข ได้แก่ การแก้ไขพื้นที่ลื่น จำนวน 12 คน การปรับปรุงราวจับในห้องน้ำ จำนวน 9 คน การปรับปรุงราว บันได จำนวน 2 คน 2.4) ให้คำปรึกษาการใช้อุปกรณ์ช่วยเดินที่เหมาะสม และมอบไม้เท้าสำหรับช่วยเดิน จำนวน 2 คน และการให้คำแนะนำให้ญาติสร้างราวจับเพื่อฝึกเดิน จำนวน 2 คน 6.2 ผลต่อหน่วยงาน องค์กรชุมชน เช่น 1) ความพร้อมทางทุนและศักยภาพในชุมชน เนื่องจากตำบลสระแก้วได้สมัครเข้าร่วมใน โครงการ พัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนภาคใต้ จึงทำให้มีคณะทำงานด้านการดูแลผู้สูงอายุอยู่เดิม ที่ สามารถร่วมขับเคลื่อนงานประเด็นการป้องกันการพลัดตกหกล้มในชุมชน และสามารถบูรณาการงานร่วมกัน ได้ต่อเนื่อง 2) มีความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในชุมชนทุกภาคส่วน ในการสนับสนุนช่วยเหลือการ ดำเนินงานการดูแลผู้สูงอายุในชุมชน 3) องค์การบริหารส่วนตำบลมีแผนงานโครงการงบประมาณ ในการดำเนินงานการดูแล ผู้สูงอายุในชุมชน ได้แก่ การคัดกรองผู้สูงอายุประจำปี และโครงการการปรับสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยทั้งที่บ้าน และในชุมชน ในปีต่อไป 4) การสนับสนุนด้านความรู้ทางวิชาการ จากทีมนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ใน การพัฒนารูปแบบระบบการดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน 6.3 ผลต่อชุมชน เช่น 1) ความร่วมมือของแกนนำที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุทุกภาคส่วนในชุมชน ในการ ดำเนินงาน ได้แก่ แกนนำอสม. เจ้าหน้าที่พยาบาลในรพสต. แกนนำชุมชน และตัวแทนจากอปท. โดยทุกภาค ส่วนที่เกี่ยวข้องในชุมชนมีความร่วมมือกัน และมีแกนนำในชุมชนที่มีศักยภาพ เป็นกลไกขับเคลื่อนการ ดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 2) รูปแบบการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุ และบริบทของชุมชน รวมทั้งเป็นกิจกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเปลี่ยนกิจกรรมเยี่ยม บ้าน และการฝึกออกกำลังกายที่บ้าน ในสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบัน 3) ความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา พบว่า กระบวนการพัฒนารูปแบบฯ ทำให้แกน นำในชุมชน และผู้สูงอายุ รับรู้ถึงประโยชน์ของกิจกรรมในโครงการ ซึ่งทำให้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง 4) งบประมาณและแหล่งประโยชน์ พบว่า ในการปรับสิ่งแวดล้อมในบ้านและชุมชน ต้องการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการช่วยเหลือปรับสภาพแวดล้อม ซึ่งต้องมีการกระตุ้นให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ (อปท.) และแหล่งทุนอื่นๆ ในชุมชนได้เล็งเห็นความสำคัญ พบว่าในการศึกษา มีแหล่งทุนอื่น ได้แก่กองทุนวัน ละบาทของหมู่บ้าน และการค้นหาช่างจิตอาสา เข้าร่วมปรับปรุงบ้านผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ


การพัฒนานวัตกรรมการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่นกรณี 20 ตำบลในพื้นที่ภาคใต้ ประเทศไทย 148 5) การวางแผนการดำเนินกิจกรรม ให้สามารถสอดแทรกไปกับกิจกรรมประจำของหน่วยงาน เช่น การประเมินสุขภาพผู้สูงอายุประจำปี กิจกรรมเยี่ยมบ้าน ซึ่งสามารถประเมินความเสี่ยงการหกล้มร่วมกัน ได้ 6) ความต่อเนื่องในการเข้าร่วมกิจกรรมของผู้สูงอายุในชุมชน เนื่องจากการศึกษานี้ มี กิจกรรมการเยี่ยมบ้าน เพื่อจัดการปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยรายกรณี การส่งเสริมการออกกำลังกายที่บ้าน และ การโทรศัพท์เยี่ยมติดตามการออกกำลังกาย ทำให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง 7) การรณรงค์เพิ่มความตระหนักในชุมชน ใช้สื่อป้ายประชาสัมพันธ์เพื่อการปรับสิ่งแวดล้อม ให้ปลอดภัยต่อผู้สูงอายุ และให้ความรู้ผ่านสื่อในชุมชน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือ และเข้า ร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง 7. ปัจจัยความสำเร็จ ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 7.1 ปัจจัยความสำเร็จ 1) ความร่วมมือของแกนนำที่เกี่ยวข้องในการดูแลผู้สูงอายุทุกภาคส่วนในชุมชน ในการ ดำเนินงาน ได้แก่ แกนนำอสม. เจ้าหน้าที่พยาบาลในรพสต. แกนนำชุมชน และตัวแทนจากอปท. โดยทุกภาค ส่วนที่เกี่ยวข้องในชุมชนมีความร่วมมือกัน และมีแกนนำในชุมชนที่มีศักยภาพ เป็นกลไกขับเคลื่อนการ ดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 2) รูปแบบการจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุ และบริบทของชุมชน รวมทั้งเป็นกิจกรรมที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเปลี่ยนกิจกรรมเยี่ยม บ้าน และการฝึกออกกำลังกายที่บ้าน ในสถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบัน 3) ความตระหนักถึงความสำคัญของปัญหา พบว่า กระบวนการพัฒนารูปแบบฯ ทำให้แกน นำในชุมชน และผู้สูงอายุ รับรู้ถึงประโยชน์ของกิจกรรมในโครงการ ซึ่งทำให้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง 4) ความต่อเนื่องในการเข้าร่วมกิจกรรมของผู้สูงอายุในชุมชน เนื่องจากการศึกษานี้ มี กิจกรรมการเยี่ยมบ้าน เพื่อจัดการปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยรายกรณี การส่งเสริมการออกกำลังกายที่บ้าน และ การโทรศัพท์เยี่ยมติดตามการออกกำลังกาย ทำให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมได้อย่างต่อเนื่อง 5) การรณรงค์เพิ่มความตระหนักในชุมชน ใช้สื่อป้ายประชาสัมพันธ์เพื่อการปรับสิ่งแวดล้อม ให้ปลอดภัยต่อผู้สูงอายุ และให้ความรู้ผ่านสื่อในชุมชน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือ และเข้า ร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง 7.2 ปัญหาอุปสรรคและแนวทางการจัดการ 1) ไม่สามารถขยายผลต่อได้เพราะสถานการณ์ของโรคโควิด 19 ซึ่งอาจจะต้องใช้ระบบการ ติดตามแบบระบบออนไลน์ และสอบถามความก้าวหน้าผ่านผู้ดูแล 2) ในการดําเนินมาตรการป้องกันหกล้มในผู้สูงอายุในชุมชน พบว่าเครื่องมือในการประเมิน คัดกรองมีความซับซ้อน และมาจากหลายหน่วยงาน เช่น สํานักควบคุมโรคไม่ติดต่อ (สคร.) กรมการแพทย์ และ จากกรมอนามัยทำให้เจ้าหน้าที่สับสน การส่งต่อและวิเคราะห์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานในการเฝ้าติดตาม


Click to View FlipBook Version