The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง รหัสวิชา 20104–2002 จัดเป็นรายวิชาที่อยู่ในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 โดยอยู่ในหมวดสมรรถนะวิชาชีพ
สำหรับจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง ผู้จัดทำได้ทำแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชานี้ขึ้น
เพื่อให้ตรงกับจุดประสงค์รายวิชามาตรฐานรายวิชา และคำอธิบายรายวิชาที่กำหนด ในหลักสูตรของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
การแบ่งหน่วยการเรียนรู้จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 14 หน่วย โดยจะอ้างอิงคำอธิบายรายวิชาเป็นหลัก
และจะสอดแทรกภาคทฤษฎีไว้ตามหน่วยการเรียนรู้ต่างๆ ตามความเหมาะสมในแต่ละหน่วยการเรียน
ของแผนการจัดการเรียนรู้นี้ ได้เรียบเรียงเอกสารหลาย ๆ เล่มรวมทั้งประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากสอนของผู้เรียบเรียงเอง โดยมีการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทุกหน่วยการเรียน โดยในการดำเนินกิจกรรมตามแผนการเรียนรู้ฉบับนี้จะสมบูรณ์ได้ควรใช้ควบคู่กับเอกสารประกอบการเรียนรู้ภาคปฏิบัติที่ผู้จัดทำได้เรียบเรียงไว้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน
แผนการเรียนรู้ฉบับนี้ ผู้จัดทำหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรงได้เป็นอย่างดี ทั้งต่อครูผู้ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนและต่อตัวนักเรียน เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมสืบไป ทั้งนี้หากมีข้อเสนอแนะประการใด ผู้จัดทำยินดีน้อมรับไว้เพื่อปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อไป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kritsada.int, 2022-04-30 05:52:33

แผนการจัดการเรียนรู้ (20104-2002) วิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง รหัสวิชา 20104–2002 จัดเป็นรายวิชาที่อยู่ในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 โดยอยู่ในหมวดสมรรถนะวิชาชีพ
สำหรับจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง ผู้จัดทำได้ทำแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชานี้ขึ้น
เพื่อให้ตรงกับจุดประสงค์รายวิชามาตรฐานรายวิชา และคำอธิบายรายวิชาที่กำหนด ในหลักสูตรของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
การแบ่งหน่วยการเรียนรู้จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 14 หน่วย โดยจะอ้างอิงคำอธิบายรายวิชาเป็นหลัก
และจะสอดแทรกภาคทฤษฎีไว้ตามหน่วยการเรียนรู้ต่างๆ ตามความเหมาะสมในแต่ละหน่วยการเรียน
ของแผนการจัดการเรียนรู้นี้ ได้เรียบเรียงเอกสารหลาย ๆ เล่มรวมทั้งประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากสอนของผู้เรียบเรียงเอง โดยมีการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทุกหน่วยการเรียน โดยในการดำเนินกิจกรรมตามแผนการเรียนรู้ฉบับนี้จะสมบูรณ์ได้ควรใช้ควบคู่กับเอกสารประกอบการเรียนรู้ภาคปฏิบัติที่ผู้จัดทำได้เรียบเรียงไว้เรียบร้อยเช่นเดียวกัน
แผนการเรียนรู้ฉบับนี้ ผู้จัดทำหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรงได้เป็นอย่างดี ทั้งต่อครูผู้ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนและต่อตัวนักเรียน เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมสืบไป ทั้งนี้หากมีข้อเสนอแนะประการใด ผู้จัดทำยินดีน้อมรับไว้เพื่อปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อไป

1

2

แผนการจดั การเรียนรู้

แบบมุ่งเนน้ ฐานสมรรถนะและบรู ณาการปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง

วิชา วงจรไฟฟา้ กระแสตรง รหสั วชิ า ๒๐๑๐๔-๒๐๐๒

ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕

หลักสตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศักราช ๒๕๖๒
ประเภทวิชา ช่างอุตสาหกรรม

แผนกวิชาชา่ งไฟฟ้ากำลัง สาขางานชา่ งไฟฟ้ากำลัง

จดั ทำโดย
นายกฤษฎา อิน่ ติ๊บ
ตำแหน่ง พนกั งานราชการ(ครู)

วิทยาลยั เทคโนโลยแี ละการจดั การปง
สำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา

กระทรวงศึกษาธิการ



คำนำ

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง รหัสวิชา 20104–2002 จัดเป็นรายวิชา
ที่อยู่ในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 โดยอยู่ในหมวดสมรรถนะวิชาชีพ
สำหรับจัดการเรียนการสอนในสาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง ผู้จัดทำได้ทำแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชานี้ข้ึน
เพ่ือให้ตรงกับจุดประสงค์รายวิชา มาตรฐานรายวิชา และคำอธิบายรายวิชาที่กำหนด ในหลักสูตร
ของสำนกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา

การแบ่งหน่วยการเรียนรู้จะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 14 หน่วย โดยจะอ้างอิงคำอธิบายรายวิชาเป็นหลัก
และจะสอดแทรกภาคทฤษฎีไว้ตามหน่วยการเรียนรู้ต่างๆ ตามความเหมาะสมในแต่ละหน่วยการเรียน
ของแผนการจัดการเรียนรู้นี้ ได้เรียบเรียงเอกสารหลาย ๆ เล่มรวมท้ังประสบการณ์ท่ีเกิดข้ึนจากสอน
ของผู้เรียบเรียงเอง โดยมีการบูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทุกหน่วยการเรียน โดยในการ
ดำเนนิ กิจกรรมตามแผนการเรียนรู้ฉบับนี้จะสมบูรณ์ได้ควรใช้ควบคู่กับเอกสารประกอบการเรียนรภู้ าคปฏิบัติ
ทผ่ี ู้จดั ทำไดเ้ รียบเรียงไวเ้ รียบร้อยเชน่ เดยี วกัน

แผนการเรียนรู้ฉบับน้ี ผู้จัดทำหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอนในรายวิชา
วงจรไฟฟ้ากระแสตรงได้เป็นอย่างดี ท้ังต่อครูผู้ดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนและต่อตัวนักเรียน เพ่ือจะได้
เป็นประโยชน์ต่อตนเองและสงั คมสบื ไป ทั้งนี้หากมขี ้อเสนอแนะประการใด ผจู้ ดั ทำยนิ ดีนอ้ มรบั ไว้เพอื่ ปรบั ปรุง
แกไ้ ขในครงั้ ต่อไป

นายกฤษฎา อ่นิ ต๊บิ



สารบัญ

คำนำ
แผนการจดั การเรียนรู้
การวิเคราะห์หนว่ ยการเรยี นรู้และสมรรถนะรายวิชา
ตารางกำหนดหน่วยการเรียนรูแ้ ละเวลาที่ใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้
หน่วยท่ี 1 ความรพู้ ้ืนฐานเกยี่ วกับไฟฟา้
หนว่ ยที่ 2 ตวั ตา้ นทานและการตอ่ ตวั ตา้ นทาน
หนว่ ยที่ 3 กฎของโอหม์ และวงจรไฟฟา้ แบบตา่ ง ๆ
หน่วยท่ี 4 วงจรแบ่งแรงดนั ไฟฟา้ และวงจรแบง่ กระแสไฟฟ้า
หนว่ ยท่ี 5 การแปลงค่าความตา้ นทานแบบวายและแบบเดลตา
หน่วยท่ี 6 วงจรบรดิ จ์
หนว่ ยท่ี 7 ตวั เกบ็ ประจแุ ละตัวเหนยี่ วนำ
หนว่ ยที่ 8 กฎของเคอร์ชอฟฟ์
หน่วยที่ 9 วธิ ีกระแสเมชและกระแสลปู
หน่วยท่ี 10 วิธีแรงดนั โนด
หนว่ ยท่ี 11 ทฤษฎีเธวินนิ
หน่วยท่ี 12 ทฤษฎีนอรต์ นั
หน่วยท่ี 13 ทฤษฎกี ารสง่ ผ่านกำลังไฟฟ้าสูงสดุ
หนว่ ยท่ี 14 ทฤษฎกี ารวางซอ้ น



แผนการจัดการเรียนรู้

รหสั วชิ า 20104-2002 วชิ าวงจรไฟฟ้ากระแสตรง

จำนวน 3 หนว่ ยกิต จำนวน 4 ช่วั โมง/สัปดาห์

ประเภทวชิ า อุตสาหกรรม สาขาวิชาช่างไฟฟ้ากำลงั

หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวิชาชพี พทุ ธศักราช 2562

จดุ ประสงคร์ ายวิชา
1. เข้าใจกฎและทฤษฎีวงจรไฟฟ้ากระแสตรงพ้ืนฐาน
2. มีทกั ษะในการตอ่ ในการประลองและการคำนวณหาค่าตา่ ง ๆ ในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
3. มเี จตคติท่ดี ีตอ่ อาชีพ มกี จิ นิสยั ในการคน้ ควา้ เพิม่ เติม และการทำงานดว้ ยความรอบคอบและปลอดภัย

สมรรถนะรายวชิ า
1. แสดงความรูเ้ กี่ยวกับการหาคา่ ตา่ ง ๆ ในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง
2. ปฏบิ ตั กิ ารตอ่ วงจรไฟฟ้ากระแสตรง
3. วัดและทดสอบค่าในวงจรไฟฟา้ กระแสตรง

คำอธบิ ายรายวชิ า
ศกึ ษาและปฏิบัติเกยี่ วกบั ทฤษฎีวงจรไฟฟ้ากระแสตรง ตัวแปรวงจรไฟฟ้า ประจไุ ฟฟ้า กระแส แรงดัน

กำลังไฟฟ้า นิยาม โนด กิ่ง ลูปกฎของโอห์ม กฎกระแส กฎแรงดันของเคอร์ชอฟฟ์ องค์ประกอบพ้ืนฐาน
วงจรไฟฟ้า ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ ตัวเหนี่ยวนำ แหลงจ่ายไฟ การต่อเซลล์ไฟฟ้า การต่อวงจรอนุกรม ขนาน
ผสม ตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุ ตัวเหนี่ยวนำ การแปลงวงจรเดลตา-วาย วงจรแบ่งแรงดัน วงจรแบ่งกระแส
วงจรบรดิ จ์ การคำนวณกระแสเมช แรงดนั โนด ทฤษฎีบทการทบั ซ้อน เทวนิ นิ นอรต์ ัน การถา่ ยโอนกำลังไฟฟ้า
สูงสุด



การวิเคราะห์หน่วยการเรียนรู้และสมรรถนะรายวชิ า

รหสั วิชา 20104-2002 วิชาวงจรไฟฟ้ากระแสตรง

หน่วยกติ (ชว่ั โมง) 1-3-3 (3) เวลาเรยี นต่อภาคเรียน 72 ชวั่ โมง

ตารางวเิ คราะห์หลักสตู รรายวิชา

หนว่ ย ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ สมรรถนะรายวิชา
ท่ี

1 ความรพู้ นื้ ฐานเกีย่ วกับไฟฟา้ 1. แสดงความรู้เก่ียวกับ

2 ตวั ตา้ นทานและการตอ่ ตวั ตา้ นทาน การหาค่าต่าง ๆ ในวงจรไฟฟ้า

3 กฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้ แบบต่าง ๆ กระแสตรง

4 วงจรแบง่ แรงดนั ไฟฟา้ และวงจรแบง่ กระแสไฟฟา้ 2. ป ฏิ บั ติ ก า ร ต่ อ

5 การแปลงคา่ ความตา้ นทานแบบวายและแบบเดลตา วงจรไฟฟา้ กระแสตรง

6 วงจรบรดิ จ์ 3. วัดและทดสอบค่าใน

7 ตัวเกบ็ ประจุและตวั เหนย่ี วนำ วงจรไฟฟา้ กระแสตรง

8 กฎของเคอรช์ อฟฟ์

9 วิธีกระแสเมชและกระแสลปู

10 วิธแี รงดันโนด

11 ทฤษฎีเธวนิ นิ

12 ทฤษฎนี อร์ตัน

13 ทฤษฎกี ารส่งผา่ นกำลงั ไฟฟ้าสงู สดุ

14 ทฤษฎกี ารวางซ้อน



ตารางกำหนดหนว่ ยการเรยี นรแู้ ละเวลาท่ีใช้ในการจัดการเรียนรู้

หนว่ ยที่ หนว่ ย/รายการสอน สัปดาหท์ ี่ ช่ัวโมง
1 4
1 ความรู้พื้นฐานเกย่ี วกับไฟฟ้า
2 4
1.1 โครงสรา้ งอะตอม
3-4 8
1.2 ประจไุ ฟฟา้
5-6 8
1.3 กระแสไฟฟา้

1.4 แรงดนั ไฟฟา้

1.5 กำลังไฟฟา้ และพลงั งานไฟฟ้า

1.6 ความตา้ นทาน

1.7 เซลล์ไฟฟ้า

1.8 แหลง่ กำเนิดแรงดนั ไฟฟา้ กระแสตรง

2 ตัวตา้ นทานและการต่อตวั ต้านทาน

2.1 ชนดิ ของตวั ตา้ นทาน

2.2 การอา่ นค่ารหัสสีของตวั ตา้ นทาน

2.3 การต่อตวั ตา้ นทานแบบอนุกรม

2.4 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของการต่อตัวตา้ นทานอนกุ รม

2.5 การต่อตวั ต้านทานแบบขนาน

2.6 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของการตอ่ ตัวต้านทานขนาน

2.7 การต่อตวั ต้านทานแบบผสม

2.8 การคำนวณหาคา่ ต่าง ๆ ของการตอ่ ตัวตา้ นทาน แบบผสม

3 กฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้ แบบตา่ ง ๆ

3.1 กฎของโอห์ม

3.2 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ โดยใช้กฎของโอห์ม

3.3 กำลังไฟฟา้ กับกฎของโอหม์

3.4 วงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รม

3.5 การคำนวณหาค่าต่าง ๆ ของวงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รม

3.6 วงจรไฟฟา้ แบบขนาน

3.7 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของวงจรไฟฟา้ แบบขนาน

3.8 วงจรไฟฟ้าแบบผสม

3.9 การคำนวณหาค่าต่าง ๆ ของวงจรไฟฟ้าแบบผสม

4 วงจรแบง่ แรงดนั ไฟฟา้ และวงจรแบ่งกระแสไฟฟ้า

4.1 ความหมายวงจรแบ่งแรงดันไฟฟา้

4.2 วงจรแบง่ แรงดนั ไฟฟ้าเม่อื ไมม่ ภี าระ

4.3 การคำนวณหาคา่ ต่าง ๆ ของวงจรแบ่งแรงดนั ไฟฟ้าเมือ่ ไม่มีภาระ

4.4 วงจรแบ่งแรงดนั ไฟฟา้ เมอื่ มภี าระ

4.5 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของวงจรแบง่ แรงดันไฟฟา้ เม่ือมภี าระ

4.6 วงจรแบง่ กระแสไฟฟ้า



ตารางกำหนดหน่วยการเรียนรแู้ ละเวลาท่ีใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ (ต่อ)

หน่วยที่ หนว่ ย/รายการสอน สปั ดาห์ที่ ชั่วโมง
7 4
4.7 การคำนวณหาค่าตา่ ง ๆ ของวงจรแบง่ กระแสไฟฟ้า 8 4

5 การแปลงคา่ ความต้านทานแบบวายและแบบเดลตา 9-10 8

5.1 เหตุผลของการแปลงวงจร 11 4
12 4
5.2 วงจรการต่อแบบวายและแบบเดลตา 13 4

5.3 การแปลงวงจรจากแบบเดลตาไปเป็นแบบวาย

5.4 การแปลงวงจรจากแบบวายไปเปน็ แบบเดลตา

5.5 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ วงจรวาย–เดลตา และเดลตา–วาย

6 วงจรบรดิ จ์

6.1 ลกั ษณะวงจรบรดิ จ์

6.2 การทำงานของวงจรวตี สโตนบรดิ จ์

6.3 วงจรบริดจใ์ นสภาวะสมดลุ

6.4 การคำนวณหาคา่ ต่าง ๆ ของวงจรบริดจใ์ นสภาวะสมดุล

6.5 วงจรบริดจ์ในสภาวะไมส่ มดุล

6.6 การคำนวณหาคา่ ต่าง ๆ ของวงจรบรดิ จ์ในสภาวะไม่สมดุล

7 ตัวเก็บประจแุ ละตัวเหนีย่ วนำ

7.1 โครงสรา้ งของตวั เกบ็ ประจุ การประจุและค่าความจไุ ฟฟ้า

7.2 ค่าคงท่ไี ดอิเล็กทริกของตวั เกบ็ ประจุ

7.3 การตอ่ ตวั เก็บประจุ

7.4 โครงสรา้ งของตวั เหน่ยี วนำและค่าความเหนี่ยวนำ

7.5 ความซาบซึมไดข้ องตัวเหน่ยี วนำ

7.6 การตอ่ ตวั เหนยี่ วนำ

8 กฎของเคอรช์ อฟฟ์

8.1 กฎกระแสไฟฟา้ ของเคอร์ชอฟฟ์

8.2 กฎแรงดนั ไฟฟ้าของเคอรช์ อฟฟ์

8.3 ลำดับข้นั การวิเคราะหโ์ ดยใชก้ ฎของเคอรช์ อฟฟ์

8.4 การคำนวณหาคา่ ต่าง ๆ โดยใชก้ ฎของเคอร์ชอฟฟ์

9 วธิ ีกระแสเมชและกระแสลูป

9.1 ความหมายของเมชและลปู

9.2 วธิ กี ารเลือกสมมตกิ ระแสเมชและกระแสลูป

9.3 ลำดบั ขน้ั การวิเคราะห์โดยวธิ กี ระแสเมชและกระแสลูป

9.4การคำนวณหาค่าตา่ ง ๆ โดยใช้วิธีกระแสเมชและกระแสลปู

10 วิธีแรงดนั โนด

10.1 ความหมายของโนดและแรงดนั โนด

10.2 วธิ กี ารของแรงดนั โนด



ตารางกำหนดหน่วยการเรียนร้แู ละเวลาที่ใชใ้ นการจัดการเรียนรู้ (ต่อ)

หน่วยที่ หนว่ ย/รายการสอน สปั ดาห์ที่ ชว่ั โมง
14 4
10.3 ลำดับขน้ั การวเิ คราะหโ์ ดยวธิ ีแรงดนั โนด
15 4
10.4 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ โดยใชว้ ิธแี รงดันโนด
16 4
11 ทฤษฎเี ธวินนิ 17 4
18 4
11.1 ทฤษฎเี ธวินนิ และวงจรเทียบเทา่ 18 72

11.2 วธิ กี ารของเธวินนิ

11.3 ลำดับขน้ั การวิเคราะห์โดยใช้ทฤษฎเี ธวนิ นิ

11.4 การคำนวณหาค่าตา่ ง ๆ โดยใชท้ ฤษฎีเธวินิน

12 ทฤษฎนี อรต์ นั

12.1 ทฤษฎีนอร์ตันและวงจรเทยี บเทา่

12.2 วิธกี ารของนอรต์ นั

12.3 ลำดับข้ันการวเิ คราะหโ์ ดยใช้ทฤษฎีนอรต์ ัน

12.4 การคำนวณหาค่าตา่ ง ๆ โดยใชท้ ฤษฎนี อรต์ ัน

13 ทฤษฎีการส่งผา่ นกำลงั ไฟฟา้ สงู สดุ

13.1 ทฤษฎกี ารส่งผา่ นกำลงั ไฟฟา้ สงู สดุ

13.2 ลำดับขัน้ การวิเคราะหโ์ ดยใช้ทฤษฎีการสง่ ผา่ นกำลงั ไฟฟ้าสงู สดุ

13.3 การคำนวณหาค่าต่าง ๆ ใช้ทฤษฎีการสง่ ผา่ นกำลังไฟฟ้าสูงสดุ

14 ทฤษฎกี ารวางซอ้ น

14.1 ทฤษฎีการวางซอ้ น

14.2 วธิ กี ารของทฤษฎีการวางซ้อน

14.3 การคำนวณหาค่าต่าง ๆ โดยใชท้ ฤษฎกี ารวางซอ้ น

สอบปลายภาค

รวม

หมายเหตุ แผนการจัดการเรียนรู้น้ี จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางให้กับครูเท่าน้ัน กิจกรรมการเรียนการสอน
อาจเปลีย่ นแปลงได้ตามสภาพจรงิ



การวัดผลและประเมินผล

ชื่อวชิ า กฎและมาตรฐานทางไฟฟา้ รหสั 20104–2101
ระดับช้ัน ปวช.1
ท–ป–น 2–0–2 จำนวนคาบสอน 2 คาบ/สัปดาห์
10 %
1. คะแนนการวัดผล 20 %
20 %
- พทุ ธิพิสัย 1) แบบฝกึ หดั 30 %
20 %
2) ทดสอบหลงั เรยี น 100 %

3) วดั ผลสัมฤทธ์ิ (ปลายภาค)

- ทักษะพสิ ยั 1) งานที่มอบหมาย

- จติ พิสัย

รวมทัง้ หมด

2. คะแนนการประเมินผล (องิ เกณฑ)์
80 – 100 คะแนน ได้ผลการเรยี น 4.0 หมายถงึ ผลการเรยี นอยใู่ นเกณฑ์ดีเยย่ี ม
75 – 79 คะแนน ไดผ้ ลการเรียน 3.5 หมายถงึ ผลการเรียนอยใู่ นเกณฑ์ดีมาก
70 – 74 คะแนน ได้ผลการเรียน 3.0 หมายถึง ผลการเรยี นอยใู่ นเกณฑด์ ี
65 – 69 คะแนน ได้ผลการเรยี น 2.5 หมายถึง ผลการเรยี นอยใู่ นเกณฑด์ ีพอใช้
60 – 64 คะแนน ได้ผลการเรยี น 2.0 หมายถงึ ผลการเรียนอยใู่ นเกณฑพ์ อใช้
55 – 59 คะแนน ไดผ้ ลการเรยี น 1.5 หมายถงึ ผลการเรียนอยใู่ นเกณฑอ์ ่อน
50 – 54 คะแนน ได้ผลการเรียน 1.0 หมายถึง ผลการเรียนอยใู่ นเกณฑ์อ่อนมาก
 50 คะแนน ไดผ้ ลการเรยี น 0 หมายถึง ผลการเรียนตำ่ กว่าเกณฑข์ ัน้ ตำ่



ตารางวเิ คราะหห์ วั เรื่อง เวลา 72 ชัว่ โมง 3 หน่วยกิต
สาชาวิชาไฟฟา้ กำลงั
การวเิ คราะห์หวั ข้อเรอ่ื ง
รหสั วิชา 20104-2002 ชอ่ื วิชา วงจรไฟฟ้ากระแสตรง แหล่งขอ้ มูล
หลักสตู รประกาศนียบัตรวชิ าชีพ (ปวช.)

หัวขอ้ หลกั /หน่วยการเรยี นรู้ คำอ ิธบายราย ิวชา
คำอ ิธบายราย ิวชา
ผู้ชำนาญการ
ประสบการณ์ของค ูรผู้สอน
เอกสาร/ตำรา/ ่คูมือ/ ิอนเทอ ์รเ ็นต

1. ความรพู้ ้ืนฐานเกย่ี วกบั ไฟฟ้า
2. ตัวต้านทานและการตอ่ ตัวตา้ นทาน
3. กฎของโอหม์ และวงจรไฟฟา้ แบบต่าง ๆ
4. วงจรแบ่งแรงดนั ไฟฟา้ และวงจรแบง่ กระแสไฟฟ้า
5. การแปลงคา่ ความตา้ นทานแบบวายและแบบเดลตา
6. วงจรบรดิ จ์
7. ตัวเก็บประจแุ ละตัวเหน่ียวนำ
8. กฎของเคอรช์ อฟฟ์
9. วิธกี ระแสเมชและกระแสลปู
10. วิธีแรงดันโนด
11. ทฤษฎีเธวินนิ
12. ทฤษฎนี อร์ตัน
13. ทฤษฎกี ารส่งผา่ นกำลังไฟฟ้าสูงสดุ
14. ทฤษฎีการวางซ้อน



ตารางวิเคราะห์ เนอ้ื หาวชิ า จดุ ประสงคร์ ายวิชา มาตรฐานรายวชิ า

รายการวเิ คราะห์ เนอื้ หาวชิ า จดุ ประสงคร์ ายวิชา มาตรฐานรายวชิ า

รหัสวิชา 20104-2002 ช่ือวชิ า วงจรไฟฟา้ กระแสตรง เวลา 72 ช่วั โมง 3 หนว่ ยกติ

หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวิชาชพี (ปวช.) สาชาวชิ าไฟฟา้ กำลงั

หนว่ ย เนอื้ หาวชิ า จุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวชิ า
ท่ี
ข้อ ขอ้ ข้อ ข้อ ขอ้ ขอ้ ข้อ ข้อ
12341234

1 โครงสรา้ งอะตอม  

ประจไุ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า แรงดนั ไฟฟา้ ความ    
ตา้ นทาน

กำลังไฟฟ้าและพลังงานไฟฟา้  

เซลลไ์ ฟฟ้า  

แหลง่ กำเนิดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง  

2 ชนดิ ของตัวตา้ นทาน  

การอ่านคา่ รหัสสขี องตัวต้านทาน  

การต่อตวั ต้านทานแบบอนุกรม แบบขนาน แบบ    
ผสม

3 กฎของโอหม์  

กำลังไฟฟา้ กบั กฎของโอหม์  

วงจรไฟฟา้ แบบอนุกรม แบบขนาน และแบบผสม    

4 ความหมายวงจรแบง่ แรงดันไฟฟ้า  

วงจรแบง่ แรงดนั ไฟฟา้ เมอื่ ไมม่ ีภาระ  

วงจรแบ่งแรงดนั ไฟฟา้ เมอื่ มีภาระ

วงจรแบง่ กระแสไฟฟ้า  

5 เหตผุ ลของการแปลงวงจร  

วงจรการตอ่ แบบวายและแบบเดลตา  

การแปลงวงจรจากแบบเดลตาไปเปน็ แบบวาย    

การแปลงวงจรจากแบบวายไปเปน็ แบบเดลตา    

6 ลกั ษณะวงจรบรดิ จ์  

การทำงานของวงจรวตี สโตนบรดิ จ์  

วงจรบรดิ จ์ในสภาวะสมดลุ 

วงจรบรดิ จ์ในสภาวะไม่สมดลุ 

โครงสร้างของตวั เกบ็ ประจกุ ารประจแุ ละคา่ ความจไุ ฟฟ้า   

7 คา่ คงท่ีไดอเิ ล็กทริกของตวั เกบ็ ประจุ  
 
การตอ่ ตวั เก็บประจุ



ตารางวิเคราะห์ เน้อื หาวชิ า จดุ ประสงคร์ ายวิชา มาตรฐานรายวิชา (ต่อ)

รายการวิเคราะห์ เนือ้ หาวชิ า จุดประสงคร์ ายวิชา มาตรฐานรายวชิ า

รหัสวชิ า 20104-2002 ช่ือวชิ า วงจรไฟฟา้ กระแสตรง เวลา 72 ชว่ั โมง 3 หนว่ ยกติ

หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ปวช.) สาชาวิชาไฟฟา้ กำลงั

หน่วย เน้ือหาวิชา จดุ ประสงค์รายวชิ า สมรรถนะรายวชิ า
ท่ี ข้อ ขอ้ ข้อ ข้อ ขอ้ ข้อ ขอ้ ขอ้
1234 1234
โครงสรา้ งของตัวเหนย่ี วนำและค่าความเหนี่ยวนำ  
ความซาบซึมไดข้ องตวั เหน่ียวนำ
การต่อตวั เหน่ยี วนำ  
8 กฎกระแสไฟฟา้ ของเคอรช์ อฟฟ์และการวเิ คราะห์
กฎแรงดันไฟฟา้ ของเคอร์ชอฟฟ์และการวิเคราะห์  
9 ความหมายของเมชและลปู  
วธิ ีการเลือกสมมตกิ ระแสเมชกระแสลปู และการ
วเิ คราะห์  
10 ความหมายของโนดและแรงดันโนด
วธิ ีการของแรงดันโนดและการวิเคราะห์  
11 ทฤษฎีเธวินินและวงจรเทียบเทา่
วธิ กี ารของเธวนิ ินและการวเิ คราะห์  
12 ทฤษฎนี อรต์ ันและวงจรเทียบเท่า
วธิ กี ารของนอร์ตันและการวเิ คราะห์  
13 ทฤษฎีการสง่ ผา่ นกำลงั ไฟฟ้าสงู สดุ  
วธิ กี ารและการวเิ คราะห์การส่งผา่ นกำลังไฟฟา้  
สูงสุด  
14 ทฤษฎกี ารวางซ้อน  
วิธกี ารและการวิเคราะหท์ ฤษฎกี ารวางซอ้ น  
 

 

 
 



ตารางวเิ คราะหร์ ะดับ พุทธพสิ ัย ทักษะพสิ ัย จิตพสิ ยั

ตารางวิเคราะห์ระดับ พุทธพิ สิ ัย ทักษะพิสยั จิตพิสัย

รหสั วชิ า 20104-2002 ชือ่ วชิ า วงจรไฟฟ้ากระแสตรง เวลา 72 ชว่ั โมง 3 หน่วยกติ

หลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชพี (ปวช.) สาชาวชิ าไฟฟ้ากำลงั

ระดับพฤติกรรมทพี่ งึ ประสงค์

หนว่ ย ชื่อหน่วยการเรียนรู้ พุทธพิสัย ทกั ษะพสิ ยั จติ พสิ ัย เวลา
ท่ี 1 2 3 4 5 6 1 2 3 4 5 1 2 3 4 5 (ชม.)

1 ความรพู้ น้ื ฐานเกี่ยวกบั ไฟฟา้    4
   4
2 ตัวตา้ นทานและการตอ่ ตวั ตา้ นทาน    8

3 กฎของโอห์มและวงจรไฟฟ้าแบบต่าง ๆ    8

4 วงจรแบง่ แรงดนั ไฟฟ้าและวงจรแบ่ง  4
กระแสไฟฟา้
 4
5 การแปลงคา่ ความตา้ นทานแบบวายและ    8
แบบเดลตา  4
 4
6 วงจรบรดิ จ์    4
   4
7 ตัวเก็บประจุและตัวเหนีย่ วนำ    4
   4
8 กฎของเคอรช์ อฟฟ์    4
 
9 วิธกี ระแสเมชและกระแสลูป  
 
10. วิธแี รงดันโนด  

11. ทฤษฎเี ธวนิ ิน

12. ทฤษฎีนอรต์ นั

13. ทฤษฎีการส่งผ่านกำลังไฟฟ้าสูงสดุ

14. ทฤษฎีการวางซ้อน

หมายเหตุ พุทธพสิ ยั ระดับแปลความหมาย 1 = ความร,ู้ 2 = ความเข้าใจ, 3 = การนำไปใช้,
4 = การวิเคราะห์, 5 = การสังเคราะห์, 6 = การประมาณคา่

ทกั ษะพสิ ัย ระดับแปลความหมาย 1 = เลยี นแบบ, 2 = ทำไดต้ ามแบบ, 3 = ทำได้ถูกต้อง
แมน่ ยำ, 4 = ทำได้ตอ่ เนอื่ งประสานกนั , 5 = ทำไดอ้ ยา่ งเปน็ ธรรมชาติ

จติ พสิ ยั ระดบั แปลความหมาย 1= รบั รู้, 2 = ตอบสนอง, 3 = เห็นคุณคา่ , 4 = จดั ระบบ
คุณคา่ , 5 = พฒั นาเป็นลักษณะนสิ ยั



ตารางกำหนดนำ้ หนักคะแนน

คะแนนรายหน่วย เกณฑ์ผา่ น น้ำหนกั คะแนน
และนำ้ หนกั
หน่วยที่ คะแนนรายห ่นวย ( % )
พฤตกิ รรม เกณฑ์ผ่านรายหน่วย (% )
ความรู้ความจำ ( %)
ชื่อหนว่ ย ความเ ้ขาใจ ( % )
การนำไปใ ้ช ( % )
การวิเคราะ ์ห ( % )
การประเ ิมนค่า ( % )
ัทกษะ ( % )
จิต ิพ ัสย ( % )-
ลำ ัดบความสำคัญ

1 ความรพู้ ืน้ ฐานเก่ยี วกับไฟฟา้ 9 60 1 1 1 - - 2 1 2

2 ตวั ตา้ นทานและการตอ่ ตวั ตา้ นทาน 8 50 1 1 1 - - 3 2 3

3 กฎของโอหม์ และวงจรไฟฟ้าแบบตา่ ง ๆ 9 60 1 1 1 - - 3 1 1

4 วงจรแบ่งแรงดันไฟฟ้าและวงจรแบ่งกระแสไฟฟา้ 7 50 1 1 1 - - 3 1 4

5 การแปลงค่าความตา้ นทานแบบวาย/แบบเดลตา 6 50 1 1 1 - - 3 1 7

6 วงจรบรดิ จ์ 6 40 1 1 1 - - 3 1 1

7 ตัวเก็บประจแุ ละตัวเหน่ยี วนำ 7 50 1 1 1 - - 3 1 5

8 กฎของเคอรช์ อฟฟ์ 8 60 1 1 1 - - 3 2 10

9 วิธีกระแสเมชและกระแสลปู 8 50 1 1 1 - - 3 1 8

10. วิธีแรงดันโนด 8 50 1 1 1 - - 3 2 9

11. ทฤษฎเี ธวินนิ 7 50 1 1 1 - - 3 2 11

12. ทฤษฎีนอรต์ นั 6 50 1 1 1 - - 3 2 12

13. ทฤษฎีการส่งผ่านกำลงั ไฟฟา้ สูงสุด 6 50 1 1 - - - 3 2 13

14. ทฤษฎีการวางซ้อน 5 60 1 1 - - - 2 1 14

รวมทัง้ สนิ้ 100 53.3 14 14 12 - - 40 20

ลำดับความสำคญั 2 13

1

แผนการจัดการเรยี นรู้แบบเน้นสมรรถนะ หน่วยท่ี 1

ชอ่ื วิชา วงจรไฟฟ้ากระแสตรง รหัสวชิ า 20104-2002 จำนวน 4 ชว่ั โมง

ช่อื หนว่ ย ความร้พู ื้นฐานเกย่ี วกับไฟฟา้

หัวขอ้ เรือ่ ง

1.1 โครงสรา้ งอะตอม 1.7 เซลล์ไฟฟา้

1.2 ประจไุ ฟฟา้ 1.8 แหลง่ กำเนดิ แรงดันไฟฟ้ากระแสตรง

1.3 กระแสไฟฟา้ 1.9 พืน้ ฐานของวงจรไฟฟ้า

1.4 แรงดนั ไฟฟา้ 1.10 อปุ กรณว์ งจร

1.5 กำลังไฟฟา้ และพลังงานไฟฟา้ 1.11 นยิ าม กงิ่ โนด และลูป

1.6 ความต้านทาน

สมรรถนะยอ่ ย

1. แสดงความรพู้ ื้นฐานเกยี่ วกับวงจรไฟฟา้
2. วัดค่าตา่ ง ๆ ทางไฟฟา้ และการตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้า

สมรรถนะที่พงึ ประสงค์

ดา้ นความรู้
1. อธิบายโครงสรา้ งอะตอมได้
2. อธิบายประจุไฟฟา้ ได้
3. อธบิ ายกระแสไฟฟา้ ได้
4. อธิบายแรงดันไฟฟา้ ได้
5. อธิบายกำลังไฟฟา้ และพลงั งานไฟฟา้ ได้
6. อธบิ ายความต้านทานได้
7. อธิบายเซลล์ไฟฟ้าได้
8. อธบิ ายแหลง่ กำเนดิ แรงดนั ไฟฟา้ กระแสตรงได้
9. อธบิ ายพนื้ ฐานของวงจรไฟฟา้ ได้
10. อธิบายอปุ กรณ์วงจรได้
11. อธบิ ายนิยาม ก่งิ โนด และลูปได้

ดา้ นทักษะ
1. ตอ่ วงจรและวดั ค่าต่าง ๆ ทางไฟฟา้ ไดถ้ กู ตอ้ ง
2. ต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบต่าง ๆ ไดถ้ กู ต้อง

ด้านคณุ ธรรรม/จริยธรรม
1. ตรงต่อเวลา
2. มคี วามตระหนกั ในหนา้ ทขี่ องนกั ศกึ ษา
3. มีความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและสังคม
4. แต่งกายถูกต้องตามระเบยี บ
5. แสดงความเคารพดว้ ยท่าทที ่สี วยงาม
6. ทำงานดว้ ยความเตม็ ใจ

2

เนอื้ หา

1.1 โครงสรา้ งอะตอม

1.1.1 อะตอม (Atom) คือ อนุภาคที่เล็กท่ีสุดของธาตุที่สามารถแตกออกมาได้โดยยังรักษาคุณสมบัติของ
ธาตุ น้ัน ๆ ไว้ โครงสร้างของอะตอมนั้นประกอบด้วย โปรตอน (Proton) นิวตรอน (Neutron) และ

อิเล็กตรอน (Electron) โดยส่วนตรงกลางของอะตอมเรียกว่านิวเคลียส (Nucleus) ซ่ึงภายในนิวเคลียส
ประกอบไปด้วยโปรตอนกับนิวตรอน โดยมอี ิเลก็ ตรอนเคล่ือนที่รอบ ๆ นิวเคลียส โดยโปรตอนจะมีประจไุ ฟฟ้า
เป็นบวก นิวตรอนจะแสดงประจุไฟฟา้ เป็นกลางสว่ นอิเลก็ ตรอนจะมีประจไุ ฟฟ้าเป็นลบ

1.1.2 ช้ันอิเล็กตรอนและวาเลนซ์อิเล็กตรอน การเคล่ือนที่ของอิเล็กตรอนรอบ ๆ นิวเคลียสเป็นลักษณะวง

โคจร โดยมีระยะห่างเป็นชั้น ๆ จากนิวเคลียสและมีจำนวนอิเล็กตรอนบรรจุในแต่ละชั้น ซ่ึงหาได้จากสูตร

2N2 เม่ือ N คือจำนวนชั้นของวงโคจร ดังนน้ั จำนวนอิเลก็ ตรอนในแต่ละชน้ั หาได้ดงั นี้

ชน้ั ท่ี 1 (N = 1) จำนวนอเิ ลก็ ตรอน = 2N2 = 2(1)2 = 2 ตัว

ชัน้ ที่ 2 (N = 2) จำนวนอิเล็กตรอน = 2N2 = 2(2)2 = 8 ตวั

ชั้นที่ 3 (N = 3) จำนวนอิเล็กตรอน = 2N2 = 2(3)2 = 18 ตวั

1.1.3 อิเลก็ ตรอนอสิ ระ อะตอมเมื่อได้รับพลังงานหรือแรงที่มากระทำแล้วทำให้อิเล็กตรอนอิสระวง

นอกสุดหลุดออกจากวงโคจร เรียกว่าอิเล็กตรอนนี้ว่า อิเล็กตรอนอิสระ (Free electron) และจะเคล่ือนท่ี

ต่อไปยงั อะตอมท่อี ยขู่ ้างเคยี งไปเร่ือย ๆ

1.2 ประจไุ ฟฟ้า

ประจุไฟฟ้า (Electric charge) คือ อนุภาคเล็ก ๆ ทางไฟฟ้าซ่ึงประกอบด้วยโปรตอนกับอิเล็กตรอน
โดยโปรตอนจะแสดงประจุไฟฟ้าบวก และอิเล็กตรอนจะแสดงประจไุ ฟฟ้าลบ จากท่ีกลา่ วมาแล้วเมื่อมีพลังงาน

ภายนอกไปกระทำให้อิเล็กตรอนวงนอกหลุดออกจากวงโคจร จะทำให้อิเล็กตรอนกลายเป็นอิเล็กตรอนอิสระ

ซึง่ แสดงประจไุ ฟฟ้าลบ และอะตอมทีข่ าดอเิ ล็กตรอนก็แสดงประจไุ ฟฟา้ บวก
ประจุไฟฟ้ามีหน่วยเป็นคูลอมบ์ (Coulomb) ต้ังเพ่ือเป็นเกียรติแก่ ชาร์ล ออกัสติน คูลอมบ์ (Charles

Augustin Coulomb) ซ่ึงเป็นนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสท่ีได้ค้นพบแรงระหว่างประจุไฟฟ้า ท่ีเรียกว่ากฎของ คูลอมบ์

(Coulomb’s law) ซึ่งใช้อกั ษรตวั Q แทนปรมิ าณประจุไฟฟ้า และอกั ษรตัว C แทนหนว่ ยของประจไุ ฟฟา้

นิยาม “ประจุไฟฟ้า 1 คูลอมบ์ คือการเปล่ียนแปลงหรือการประจุ (Charge) ของอิเล็กตรอน
6.25 1018 อิเลก็ ตรอน (e)” นนั่ คือ

1 C = 6.25 1018 e
1
หรอื 1e = 6.25  1018

1 e = 0.16 10−18 C
จานวนอิเลก็ ตรอน
ดงั นั้นประจุไฟฟา้ Q = 6.251018

เมื่อ Q = ประจุไฟฟา้ มีหนว่ ยเปน็ คูลอมบ์ (C)

3

ตัวอย่าง อเิ ล็กตรอนจำนวน 50 1018 e จงคำนวณหาประจไุ ฟฟา้

วิธีทำ Q = จานวนอิเลก็ ตรอน = 50  1018
จากสูตรและแทนคา่ 6.251018 6.25  1018

Q = 8C

ประจไุ ฟฟา้ มคี ่าเท่ากับ 8 C ตอบ

1.3 กระแสไฟฟ้า

กระแสไฟฟ้า (Current) คือ การเคล่ือนที่ของอิเล็กตรอนอิสระไปในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่องต่อ

เวลาหนึ่ง ๆ หรือ กระแสไฟฟ้า คือ อัตราการไหลของประจุไฟฟ้าต่อเวลาหนึ่ง ๆ ถ้าอิเล็กตรอนอิสระเหล่านั้น

เคล่ือนที่ผ่านพ้ืนที่หน้าตัดของวัสดุภายในเวลาที่กำหนดก็ทำให้เกิดการไหลของ กระแสไฟฟ้า ทิศทางของ

กระแสไฟฟ้าจะใช้เป็นกระแสนิยม (Conventional current ) คือไหลออกจากขั้วบวกของแหล่งพลังงานผ่าน

วสั ดแุ ละไปยงั ข้วั ลบของแหลง่ พลังงาน หรือมที ิศทางตรงข้ามกบั การเคลื่อนทข่ี องอเิ ลก็ ตรอน กระแสไฟฟ้า

มีหนว่ ยเป็นแอมแปร์ (Ampere) ต้ังเพ่ือเป็นเกียรติแก่ องั เดร เอ็ม. แอมแปร์ (Andre M. Ampere) ซึ่งเป็นนัก

ฟิสิกส์ชาวฝร่ังเศส ซง่ึ ใชอ้ ักษรตวั I แทนปริมาณกระแสไฟฟา้ และอกั ษรตัว A แทนหน่วยของกระแสไฟฟ้า

1.4 แรงดันไฟฟา้

การทีป่ ระจไุ ฟฟ้าเคล่ือนที่ได้นัน้ ต้องมีแรงหรือพลังงานจากภายนอกมากระทำกบั ประจไุ ฟฟา้ น้ัน แรงหรือ

พลังงานดังกล่าวน้ีเรียกว่า แรงเคลื่อนไฟฟ้า (Electromotive force หรือ e.m.f.) ซึ่งนิยมเรียกว่า

แรงดนั ไฟฟา้ (Voltage)

1.5 กำลงั ไฟฟา้ และพลงั งานไฟฟา้

1.5.1 กำลงั ไฟฟ้า (Power) คือ อตั ราการทำงานต่อหนง่ึ หนว่ ยเวลา

กำลังไฟฟ้ามีหน่วยเป็นวัตต์ (Watt) ต้ังเพ่ือเป็นเกียรติแก่ เจมส์ วัตต์ (James Watt) ซึ่งเป็น

นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ซ่ึงใช้อักษรตัว P แทนปริมาณกำลังไฟฟ้า และอักษรตัว W แทนหน่วยของ

กำลังไฟฟ้า
1.5.2 พลงั งานไฟฟา้ (Energy) หรอื งานทางไฟฟ้า คอื อตั ราของกำลังไฟฟ้าท่ีเกิดขนึ้ กบั หน่วยเวลาท่ใี ช้

1.6 ความต้านทาน

1.6.1 ความตา้ นทาน (Resistance) คือ ความสามารถของสารในการตา้ นการไหลของกระแสไฟฟ้า

ความต้านทานมีหน่วยเป็นโอห์ม (Ohm) ต้ังเพ่ือเป็นเกียรติแก่ จอร์จ ซิมอน โอห์ม (George Simon Ohm)

ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ชาวเยอรมันท่ีค้นพบเก่ียวกับความสัมพันธ์ระหว่าง แรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้ากับความ

ตา้ นทาน ซง่ึ ใช้อกั ษรตัว R แทนปรมิ าณความต้านทาน และอักษรตัว Ω (อ่านว่าโอเมกา) แทนหน่วยของความ

ต้านทาน

1.6.2 ความนำไฟฟ้า (Conductance) คือ ความสามารถของสารในการยอมใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้

ดีเพียงใด (ส่ง สุขดานนท์, 2538: 137) สารท่ีมีความนำไฟฟ้าสูงจะให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ง่าย (ความ

ต้านทานน้อย) และสารที่มีความนำไฟฟ้าต่ำจะให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ยาก (ความต้านทานมาก) ซ่ึงความนำ

ไฟฟ้าใช้อักษรตัว G แทนปริมาณความนำไฟฟ้า และอักษรตัว S (Siemens อ่านว่า ซีเมนส์) แทนหน่วยของ

ความนำไฟฟ้า โดยความนำไฟฟา้ มคี า่ ตรงขา้ มกบั ความตา้ นทาน ดังนัน้

4

1.7 เซลล์ไฟฟ้า
เซลล์ไฟฟ้า (Electric cells) คือ เซลล์ที่ใช้ในการกำเนิดแรงดันไฟฟ้าโดยอาศัยปฏิกิริยาเคมี หรืออาจ

เรยี กว่า เซลลไ์ ฟฟา้ เคมี (Electrochemical cell) เซลล์ประเภทนี้เรียกวา่ เซลล์กลั วานกิ (Galvanic cell)

1.7.1 ชนิดของเซลล์กัลวานิก เซลล์กลั วานกิ แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด คือ

1. เซลล์ปฐมภูมิ (Primary cells) คือ เซลล์กัลวานิกท่ีเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีภายในเซลล์อย่าง

สมบูรณ์ แต่ทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีย้อนกลับไม่ได้ หรือกล่าวง่าย ๆ ว่าเป็นเซลล์ไฟฟ้าที่ใช้ไปหมดแล้วไม่

สามารถนำมาประจุไฟใหม่ไม่ได้ เช่น ถ่านไฟฉาย แบตเตอรีแ่ บบเซลล์แห้ง แบตเตอร่แี บบปรอท
2. เซลล์ทตุ ิยภูมิ (Secondary cells) คอื เซลล์กัลวานิกท่เี กิดจากปฏิกิริยาทางเคมีภายในเซลล์ เมื่อ

เกิดข้ึนแล้วสามารถทำให้เกิดปฏิกิรยิ าทางเคมีย้อนกลับได้ หรือกล่าวง่าย ๆ ว่าเป็นเซลล์ไฟฟ้าที่ใช้ไปหมดแล้ว
สามารถนำมาประจุไฟใหม่ได้ เช่น แบตเตอรี่แบบตะกั่ว-กรด (แบตเตอรี่รถยนต)์ แบตเตอร่ีลิเทียมแข็ง เป็นต้น
เซลลท์ ตุ ยิ ภมู ชิ นดิ ต่าง ๆ

1.7.2 การต่อเซลล์ไฟฟ้า เซลล์ไฟฟ้าในแต่ละก้อนหรือแต่ละลูกท่ีผลิตออกมาจะมีค่าแรงดันไฟฟ้าที่ 1.2

V, 1.5 V, 9 V และ 12 V เป็นต้น ถ้าต้องการแรงดันไฟฟ้าหรือต้องการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้มีค่ามากขึ้น

สามารถนำเซลล์เหลา่ น้มี าต่ออนุกรมกนั หรอื ต่อขนานกันได้

1. การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม เป็นการต่อเซลล์ไฟฟ้าโดยให้ขั้วของแต่ละเซลล์ต่างกันต่อเข้า

ดว้ ยกันเรียงลำดับกนั ไป (ขว้ั − ของเซลล์ 1 ต่อเข้ากบั ขั้ว + ของเซลล์ 2 ข้ัว − ของเซลล์ 2 ต่อเขา้ กับขัว้ + ของ

เซลล์ 3)
2. การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบขนาน เป็นการต่อเซลล์ไฟฟ้าโดยให้ข้ัวของแตล่ ะเซลล์มีข้วั เหมือนกนั มาต่อ

รวมกัน (ขั้ว + ของเซลล์ 1 ต่อเข้ากับขั้ว + ของเซลล์ 2 ขั้ว + ของเซลล์ 2 ต่อเข้ากับขั้ว + ของเซลล์ 3 และ
ขว้ั − ของเซลล์ 1 ต่อเข้ากบั ขั้ว − ของเซลล์ 2 ข้ัว − ของเซลล์ 2 ตอ่ เข้ากับข้วั − ของเซลล์ 3
1.8 แหลง่ กำเนดิ แรงดนั ไฟฟา้ กระแสตรง

แหลง่ กำเนิดแรงดันไฟฟา้ กระแสตรงทีใ่ ชก้ ันอยู่ทั่วไปมดี ังน้ี
1.8.1 เซลล์ไฟฟ้า เป็นเชลล์ท่ีใช้ในการกำเนิดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงโดยอาศัยปฏิกิริยาเคมี หรืออาจ
เรยี กว่า เซลลไ์ ฟฟา้ เคมี (Electrochemical cell) ซึง่ ได้กลา่ วรายละเอียดมาแลว้ ในหวั ข้อ 1.7
1.8.2 เซลล์แสงอาทิตย์ (Solar cell) เป็นเชลล์ท่ีใช้ในการกำเนิดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรงโดยอาศัยการ
เปล่ยี นจากพลงั งานแสงมาเปน็ พลังงานไฟฟา้
1.8.3 เคร่ืองกำเนิดไฟฟ้ากระแสตรง (Direct current generator) เป็นการกำเนิดแรงดันไฟฟ้า
กระแสตรงโดยใชห้ ลักการเหนย่ี วนำแม่เหล็กไฟฟ้า ซ่งึ เปลี่ยนจากพลงั งานกลมาเปน็ พลงั งานไฟฟ้า
1.8.4 แหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรง (Direct current power supply) เป็นแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า
กระแสตรงโดยใช้การแปลงแรงดันไฟฟ้ากระแสสลบั ใหม้ าเป็นแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง หรือวิธกี ารเรียงกระแส
(Rectifier) มที ั้งแบบแรงดนั ไฟฟ้าคงทีแ่ ละแบบปรบั แรงดนั ไฟฟ้าได้

จากแหลง่ กำเนดิ แรงดนั ไฟฟ้ากระแสตรงท่กี ล่าวมา จะเป็นแหล่งจ่ายไฟฟา้ กระแสตรงแบบอสิ ระเขียนเป็น
สัญลักษณ์ได้ดังรูปที่ 1.14 (ก) นอกจากนี้ยังมีแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงท่ีใช้ในห้องปฏิบัติการทดลองก็คือ
แหลง่ จ่ายกระแสไฟฟา้ แบบอิสระ เขียนเปน็ สัญลักษณ์ไดด้ ังรปู ที่ 1.14 (ข)

5

VI

(ก) แหล่งจ่ายแรงดนั ไฟฟ้ากระแสตรงแบบอสิ ระ (ข) แหลง่ จา่ ยกระแสไฟฟา้ กระแสตรงแบบอสิ ระ
รปู ที่ 1.14 สญั ลกั ษณข์ องแหล่งจา่ ยแบบอสิ ระ

1.9 พืน้ ฐานของวงจรไฟฟา้
การส่งผ่านพลังงานจากจุดหน่ึงไปยังจุดอื่น ๆ การที่จะทำเช่นน้ีได้น้ันจะต้องอาศัยการเช่ือมต่อของอุปกรณ์

ไฟฟา้ ตา่ ง ๆ การเช่ือมต่อกนั น้เี รยี กว่า วงจรไฟฟา้ (Electric circuit) (สรุ ิภณ สมควรพาณชิ ย์ และ ขณิษฐา แซ่ต้ัง
, 2553 : 1) และสว่ นประกอบแตล่ ะตวั ในวงจรน้นั เรียกว่า อุปกรณ์ (Element)
1.10 อุปกรณว์ งจร

จากที่กล่าวมาแล้วว่าวงจรไฟฟ้านั้นก็คือการเชื่อมต่อกันของอุปกรณ์ต่าง ๆ ซ่ึงอุปกรณ์ที่ต่ออยู่น้ีมี
ด้วยกนั 2 แบบ ทพี่ บมากในวงจรไฟฟ้า ก็คือ

1.10.1 อุปกรณ์แบบแอ็กทิฟ (Active element) อุปกรณ์ประเภทน้ีสามารถที่จะสร้างพลังงานและ
จา่ ยพลังงานได้ ซึง่ ไดแ้ ก่ เครอ่ื งกำเนิดไฟฟา้ เซลล์ไฟฟา้ แบตเตอร่ี เปน็ ต้น

1.10.2 อปุ กรณ์แบบแพสซิฟ (Passive element) อุปกรณ์ประเภทน้ีไม่สามารถทีจ่ ะสร้างพลังงานได้
หรือกล่าวอีกอย่างหน่ึงว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่รับพลังงานนั่นเอง ซ่ึงได้แก่ ตัวต้านทาน ตัวเหนี่ยวนำ และตัว
เกบ็ ประจุ โดยเฉพาะตัวเกบ็ ประจุเปน็ อุปกรณแ์ พสซิฟทเ่ี ก็บพลังงานได้
1.11 นยิ าม กิ่ง โนด และลปู

เน่ืองจากอุปกรณ์วงจรสามารถนำตัวอุปกรณ์หลาย ๆ ตัวมาต่อร่วมกันเป็นวงจรไฟฟ้า ซ่ึงเป็นผลให้เกิด
วงจรไฟฟ้าข้ึนหลายวงจร ซ่ึงเรียกลักษณะนี้ว่า การต่อแบบโครงข่าย (Network) ซึ่งการต่อแบบโครงข่าย จะ
พิจารณาโดยการจัดวางอุปกรณ์และรูปแบบการต่อวงจรของโครงข่ายนั้น ๆ เช่น การวางอุปกรณ์ให้เป็นกิ่งหรือ
แขนง (Branches) ใหเ้ ปน็ โนดหรือปม (Nodes) และลปู หรอื วงวน (Loops)

1.11.1 ก่ิงหรือแขนง หมายถึง ตัวแทนของอุปกรณ์วงจร 1 ตัว ไม่ว่าจะเป็นแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้า
แหลง่ จ่ายกระแสไฟฟ้า หรือตวั ต้านทาน เป็นต้น

1.11.2 โนดหรอื ปม หมายถึง จุดเช่ือมตอ่ ระหว่างกง่ิ ของวงจร 2 ก่ิง หรือมากกว่า
1.11.3 ลูปหรือวงวน หมายถึง ส่วนที่เป็นของวงจรปิดท่ีสร้างข้ึน โดยเริ่มวนจากโนดหน่ึงผ่านจุดของ
โนดอนื่ ๆ แลว้ วนกลบั มายงั โนดเรมิ่ ต้น ส่วนมากการวเิ คราะหข์ ั้นพนื้ ฐานนิยมวงเป็นลปู ยอ่ ย

6

กิจกรรมการเรียนการสอน

ขั้นตอนการสอน ขั้นตอนการเรียน เครอ่ื งมอื /การวดั ผล

(กจิ กรรมของครู) (กิจกรรมผ้เู รยี น) ประเมนิ ผล

1.ข้นั นำเข้าสู่บทเรียน

1.1 ครบู อกจดุ ประสงคข์ องการเรยี นใน 1.1 นกั เรียนรบั ฟงั จดุ ประสงคข์ องการ 1. คำถามประจำหนว่ ย

หน่วยเรียนนี้ เรียนในหน่วยเรียนนี้ 2. แบบทดสอบก่อน

1.2 ครูสอบถามความสำคญั ของความรู้ 1.2 นกั เรียนบอกความสำคญั ของของ เรียนหนว่ ยที่ 1

พนื้ ฐานเกยี่ วกบั ไฟฟา้ ความรพู้ ื้นฐานเกี่ยวกับไฟฟ้า

1.3 ครแู จกแบบทดสอบก่อนเรยี นหน่วยท่ี 1 1.3 นักเรยี นทำทดสอบก่อนเรียน

หน่วยที่ 1

2. ขนั้ สอนทฤษฎี

2.1 ครอู ธบิ ายเร่ืองความรู้พืน้ ฐานเก่ียวกบั 2.1 รับฟังคำบรรยายและตอบคำถาม 1. power point หน่วยที่ 1

ไฟฟ้าโดยใช้สื่อประกอบ จากครู 2. คำถามหนว่ ยที่ 1

2.2 ซักถามปญั หาเก่ยี วกบั พ้นื ฐานทางไฟฟ้า 2.2 ตอบคำถามและแสดงความคดิ เหน็

3. ขั้นสรุป

3.1 ครแู ละนักเรียนช่วยกนั สรุปและครูซกั ถาม 3.1 นกั เรียนช่วยครูสรปุ และตอบ 1. ใบสรุปหนว่ ยที่ 1

ปญั หาข้อสงสยั คำถาม

3.2 จดบททกึ ยอ่

4. ขน้ั สอนปฏบิ ัติ

4.1 แบง่ กลุม่ นกั เรยี นเป็นกลุม่ ๆ ละ 2 คน 4.1 แบง่ กลมุ่ เปน็ กลุม่ ๆละ 2 คน 1.ใบตรวจการปฏบิ ัตงิ าน

4.2 ใหน้ กั ศกึ ษาปฏิบตั งิ านตามใบงานท่ี 1 4.2 นักศกึ ษาปฏิบตั งิ านตามใบงานที่ 1 ตามใบงานท่ี 1

4.3 ควบคุมการปฏิบตั ิงาน 4.3 ปฏิบัติงานตามใบงาน

4.4 ตรวจผลงานของนกั ศกึ ษา 4.4 ส่งผลงานการปฏิบตั ิ

5. ขนั้ การประเมินผล

5.1 ครูแจกใบประเมินผลหลงั เรียนหน่วยที่ 1 5.1 รบั ใบประเมนิ ผลหลังเรียนหนว่ ย 1. แบบทดสอบหลงั เรยี น

5.2 ดูแลนักเรียนไมใ่ ห้ทุจรติ ท่ี 1 หนว่ ยท่ี 1 จำนวน 20 ข้อ

5.3 เมอื่ ครบเวลาทกี่ ำหนดรับแบบทดสอบ 5.2 ทำแบบทดสอบหลังเรียน

คืน 5.3 เมอื่ ครบเวลาที่กำหนดสง่

แบบทดสอบคนื

6. ขัน้ มอบหมายงาน 6.1 รับมอบหมายงาน 1. ใบมอบงานหนว่ ยที่ 1

6.1 มอบหมายให้นกั เรียนไปคน้ คว้า

เพ่ิมเตมิ เก่ยี วกบั พืน้ ฐานทางไฟฟ้าท่ใี ชง้ านจริง

แลว้ ทำรายงานสง่ สปั ดาหต์ ่อไป

7. ขน้ั ตรวจสอบความเรียบร้อย 7.1 ช่วยกนั จัดเก็บชุดฝึกและทำความ 1.ใบตรวจสอบความ

7.1 ตรวจความเรยี บร้อยของชุดฝกึ และความ สะอาดห้องเรยี นหอ้ งปฏิบัติงานให้ เรียบรอ้ ย

เรยี บร้อยของห้องเรยี นหอ้ งปฏบิ ัตงิ าน เรยี บรอ้ ย

7

งานท่ีมอบหมาย

- นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรยี นหน่วยที่ 1
- ให้นักศึกษาอภิปรายเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของค่าต่าง ๆ ทางไฟฟ้า เซลล์ไฟฟ้าแบบต่าง ๆ การต่อ
เซลลไ์ ฟฟ้า อปุ กรณ์พื้นฐานของวงจร
- ให้นักเรียนไปค้นคว้าเพ่ิมเติมเก่ียวกับความรู้พ้ืนฐานของค่าต่าง ๆ ทางไฟฟ้า ท่ีใช้งานจริง แล้วทำ
รายงานส่งในสปั ดาห์ต่อไป

สือ่ การเรียนการสอน

1. หนังสือเรยี น วงจรไฟฟา้ กระแสตรง
2. Power point เรอื่ ง ความรพู้ ้นื ฐานเกีย่ วกับไฟฟา้
3. ของจรงิ ตามรายละเอียดในใบงานท่ี 1
4. ใบมอบหมายงานที่ 1

การวัดผลการเรียน

ทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) โดยใชข้ ้อสอบบทที่ 1 จำนวน 24 ข้อ
ถาม – ตอบปัญหา ความสนใจ ความต้งั ใจ และการอภปิ ราย
ทดสอบหลังเรยี น (Post-test) โดยใช้ข้อสอบหน่วยท่ี 1 จำนวน 24 ข้อ

การประเมนิ ผล

1. การประเมนิ ผลโดยใชแ้ บบประเมนิ ผลหลังการเรยี นหน่วยท่ี 1 จำนวน 24 ขอ้ (แบบเลอื กตอบ)
2. สังเกตการมสี ว่ นรว่ มในการเรยี น
3. สังเกตจากการตอบคำถาม / การอภปิ ราย

เอกสารอ้างอิง

สธุ น แก่นตน้ . (2563). วงจรไฟฟา้ กระแสตรง. นนทบุรี : ศูนยห์ นังสือเมืองไทย จำกดั .

8

ความสอดคล้องกบั หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ

3 หว่ ง -เตรยี มอุปกรณ์เกีย่ วกบั ความปลอดภยั อยา่ งเหมาะสม
1. ความพอประมาณ - ความปลอดภัยในการเรยี นในรายวิชา
2. มีเหตผุ ล - ปอ้ งกันอบุ ตั เิ หตใุ นงาน ได้
3. มภี มู ิค้มุ กนั ในตัวทดี่ ี
- ปฏบิ ัตติ ามกฎของโรงงานได้อย่างเครง่ ครดั
2 เง่อื นไข - บอกวธิ กี ารป้องกนั อบุ ตั ิเหตใุ นงานได
1. เงือ่ นไขความรู้ - อธิบายถึงความสำคญั ของความปลอดภัย ในการปฏบิ ตั งิ านได้
(รอบรู้, รอบคอบ, ระมดั ระวัง) - มคี วามรบั ผิดชอบ
- มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์
2. เงื่อนไขคณุ ธรรม
- ใช้อปุ กรณ์ วสั ดุ ในการเรยี นการสอนอย่างประหยัด คุ้มค่า
4 มติ ิ - สามารถนำวธิ ีการทำงานไปปรับกับการทำงานภายนอกได้
1. มติ ดิ า้ นเศรษฐกิจ - ไม่ทำลายทำธรรมชาตใิ นการเรยี นในรายวชิ า
2. มติ ดิ า้ นสังคม - มีคณุ ธรรม ความส่อื สตั ยต์ ่อวิชา ครูผู้สอน
3. มิติดา้ นสิง่ แวดล้อม
4. มิตดิ า้ นวฒั นธรรม

9

ความสอดคลอ้ งกับคณุ ธรรมพน้ื ฐาน 8 ประการ ของสถานศกึ ษา

............................................................................

1. ขยนั → นักเรียนนกั ศึกษาสามารถทำงานเสร็จตรงตามเวลา
2. ประหยัด → นักเรียนนกั ศกึ ษานำวสั ดทุ ่ีใช้มาปฏบิ ตั ิอยา่ งประหยดั
3. ซอ่ื สัตย์ → นกั เรยี นนักศึกษามีความสอื่ สตั ยต์ ่อวิชาเรยี น ตอ่ ผู้สอน
4. มีวนิ ยั → นกั เรยี นนกั ศึกษามาเรยี นตรงตามเวลา
5. สภุ าพ → นักเรียนนกั ศึกษามีความสุภาพตอ่ ครผู ู้สอน
6. สะอาด → นักเรียนนักศึกษาช่วยกันรกั ษาความสะอาดในแผนกวิชา
7. สามัคคี → นักเรียนนกั ศกึ ษามคี วามสามคั ครี ว่ มมือกันทำงานเป็นกลุ่ม
8. มนี ำ้ ใจ → นักเรียนนกั ศกึ ษามีความเอือ้ เฟื้อตอ่ เพ่ือนร่วมห้อง

10

แผนการจดั การเรียนร้แู บบเน้นสมรรถนะ หนว่ ยที่ 2
จำนวน 4 ชั่วโมง
ช่ือวชิ า วงจรไฟฟา้ กระแสตรง รหสั วิชา 20104-2002

ชือ่ หน่วย : ตวั ต้านทาน

หัวขอ้ เร่อื ง

2.1 ชนิดของตวั ตา้ นทาน
2.2 การอา่ นค่ารหสั สีของตัวต้านทาน
2.3 การต่อตวั ต้านทานแบบอนกุ รม
2.4 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของการต่อตวั ตา้ นทานแบบอนกุ รม
2.5 การตอ่ ตัวต้านทานแบบขนาน
2.6 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของการต่อตวั ต้านทานแบบขนาน
2.7 การตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบผสม
2.8 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของการต่อตัวตา้ นทานแบบผสม

สมรรถนะย่อย

1. แสดงความรู้เก่ยี วกับตวั ตา้ นทานและการต่อตวั ต้านทาน
2. ต่อวงจรตวั ตา้ นทานแบบต่าง ๆ พร้อมวดั คา่ ความตา้ นทาน

สมรรถนะท่ีพึงประสงค์

ดา้ นความรู้
1. บอกชนิดของตัวตา้ นทานได้
2. อธบิ ายการอา่ นคา่ รหสั สีของตัวตา้ นทานได้
3. บอกการตอ่ ตัวตา้ นทานแบบอนกุ รมได้
4. คำนวณหาคา่ ต่าง ๆ ของการตอ่ ตวั ต้านทานแบบอนุกรมได้
5. บอกการตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบขนานได้
6. คำนวณหาค่าต่าง ๆ ของการตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบขนานได้
7. บอกการต่อตัวตา้ นทานแบบผสมได้
8. คำนวณหาค่าตา่ ง ๆ ของการตอ่ ตวั ต้านทานแบบผสมได้

ดา้ นทกั ษะ
1. ตอ่ วงจรตวั ต้านทานแบบตา่ ง ๆ พรอ้ มวัดคา่ ความตา้ นทาน ได้ถกู ต้อง

ดา้ นคุณธรรม/จรยิ ธรรม
1. ตรงต่อเวลา
2. มคี วามตระหนกั ในหนา้ ที่ของนกั ศกึ ษา
3. มีความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและสงั คม
4. แตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบ
5. แสดงความเคารพดว้ ยทา่ ทที ีส่ วยงาม
6. ทำงานดว้ ยความเต็มใจ

11

เน้ือหา

2.1 ชนิดของตัวต้านทาน
ตัวต้านทาน (Resistor) เป็นอุปกรณ์ท่ีออกแบบและผลิตข้ึนมาในการต้านการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่ง

กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวต้านทานไปได้มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับค่าความต้านทาน (Resistance) ตัว
ตา้ นทานโดยมากแบง่ ออกเป็นอกี 2 ชนดิ คือ ชนดิ คา่ คงที่ และชนดิ ท่เี ปลี่ยนแปลงค่าได้
2.2 การอ่านคา่ รหัสสีของตวั ตา้ นทาน

ตัวต้านทานชนิดค่าคงที่นิยมเรียกตามวัสดุที่นำมาผลิต เช่น แบบคาร์บอนผสม แบบฟิล์มคาร์บอน แบบ
ฟิล์มโลหะ เป็นต้น จากการท่ีนำมาผลิตทำให้ค่าความต้านทานคลาดเคล่ือนไปจากค่าจริง โดยค่าความ
ตา้ นทานและคา่ ความคลาดเคล่ือนต้องอ่านจากรหัสแถบสโี ดยเปล่ยี นแถบสีใหเ้ ปน็ ตัวเลข

แถบสีท่ี 1 แถบสีท่ี 4
แถบสีที่ 2
แถบสที ่ี 3

รปู ท่ี ตวั ต้านทานแบบ 4 แถบสี

แถบสีมีทั้งแบบ 4 แถบสแี ละ 5 แถบสี ซงึ่ ในหนว่ ยน้จี ะกลา่ วแบบ 4 แถบสี เพราะมีใช้กนั มาก วธิ กี ารอ่าน
แบบ 4 แถบสี มวี ธิ ีการอ่าซงึ่ ใช้ตวั เลขแทนแถบสี และตัวคูณดงั ตารางท่ี 2.1 โดย

ตารางที่ 2.1 แถบสี ตวั เลขแทนแถบสีและตัวคณู

สี แถบสที ่ี 1 แถบสีที่ 2 แถบสีท่ี 3 แถบสีที่ 4
ความคลาดเคล่อื น
ดำ ตัวต้ัง ตัวตงั้ ตัวคณู
น้ำตาล −
แดง −0 1 −

ส้ม 1 1 10 −
เหลอื ง −
เขยี ว 2 2 100 −
น้ำเงิน −
มว่ ง 3 3 1,000 −
เทา −
ขาว 4 4 10,000 −
เงิน  10%
ทอง 5 5 100,000  5%

6 6 1,000,000

7 7 10,000,000

8 8−

9 9−

− − 0.01

− − 0.1

12

ตัวอยา่ ง ดงั รปู จงอ่านค่าแถบสีของตัวต้านทาน

สี เขยี ว นา้ เงิน แดง ทอง

เขียว แดง ทอง แทนค่า 5 6  100  5% = 5,600 Ω  5% = 5.6 kΩ  5%
น้ำเงิน
ความต้านทานมคี า่ เท่ากบั 5.6 kΩ  5% ตอบ

ตัวอย่าง ดังรปู จงอ่านคา่ แถบสีของตัวตา้ นทาน

สี แดง ม่วง ทอง เงิน

แดง ทอง เงิน แทนคา่ 2 7  0.1  10% = 2.7 Ω  10%
ม่วง
ความต้านทานมคี ่าเท่ากบั 2.7 Ω  10% ตอบ

ตัวอยา่ ง ดังรูป จงอ่านคา่ แถบสีของตวั ต้านทาน

สี ส้ม ขาว เขยี ว เงนิ

แทนค่า 3 9  100,000  10% = 3,900,000 Ω  10%

ส้ม เขียว เงิน ความต้านทานมคี ่าเท่ากบั = 3,9 MΩ  10%
ขาว
3.9 MΩ ตอบ

2.3 การตอ่ ตวั ต้านทานแบบอนุกรม
2.3.1 ลักษณะการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม คือ การนำตัวต้านทานตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมาต่อกันโดย

การนำปลายของตวั ตา้ นทานอีกตวั หนึ่งมาตอ่ เข้ากับตน้ ของตวั ต้านทานอีกตัวหน่งึ เรยี งลำดบั กันไปเร่ือย ๆ

2.3.2 ความต้านทานรวมแบบอนุกรม ค่าความต้านทานรวมที่ต่อแบบอนุกรมเท่ากับผลรวมของความ

ตวั ตา้ นทานทุกตวั ดงั นี้
RT = R1 +R2 +R3 +R4

ถา้ ตวั ตา้ นทานตอ่ อนกุ รมกนั ถงึ ตวั ที่ n จะได้
R T = R1 + R 2 + R 3 + R 4 +....+Rn

2.4 การคำนวณหาค่าต่าง ๆ ของการตอ่ ตัวตา้ นทานแบบอนกุ รม R1= 20 Ω
ตัวอยา่ ง วงจรตัวต้านทานดังรูป จงคำนวณหาความตา้ นทานรวม
R2 = 47 Ω
R1= 20 Ω R3 = 120 Ω

R2 = 47 Ω R4 = 33 Ω
R5 = 220 Ω
RT R3 = 120 Ω RT

R4 = 33 Ω

R5 = 220 Ω

13

วิธีทำ

จากรูปท่ี 2.4 จะได้ RT = R1 +R2 +R3 +R4 +R5

แทนค่า = 20  + 47  + 120  + 33  + 220 

ความตา้ นทานรวมมคี า่ เทา่ กบั R T = 440  440 Ω ตอบ

2.5 การต่อตวั ตา้ นทานแบบขนาน

2.5.1 ลกั ษณะการตอ่ ตวั ต้านทานแบบขนาน คอื การนำตัวต้านทานตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมาต่อกนั โดยการ

นำตน้ ของตัวตา้ นทานแต่ละตวั มาต่อรวมกัน และนำปลายของตวั ต้านทานแต่ละตวั รวมกัน

2.5.2 ความต้านทานรวมแบบขนาน จากรูปที่ 2.6 รูป ข. ค่าความต้านทานรวมท่ีต่อแบบขนาน และ

ขนานกันถงึ ตัวที่ n หาไดด้ ังน้ี ( )1 = 1 1 + 1 +R1 + .... + 1
และจากสมการจะได้ = R1 +R2 R3 1 Rn
RT 4
RT
1 + 1 + 1 1 + .... + 1
R1 R2 R3 + R4 Rn

หรอื อาจจะหาในรปู แบบของคา่ ความนำไฟฟ้า

GT = G1 + G2 + G3 + G4 + .... + Gn

เม่ือตัวต้านทานต่อขนานกันหลาย ๆ ค่า อาจจะหาค่าความต้านทานครั้งละ 2 ค่าก่อนก็ได้ และทำไป

จนกระทัง่ ครบ ซ่งึ ทำใหม้ ีความสะดวกและรวดเรว็ เช่นกนั ซ่ึงหาความตา้ นทานรวมไดด้ งั น้ี

RT R1 R2

รปู การตอ่ ตัวต้านทานขนานกนั 2 ตวั
1 11
จากรูปจะได้ RT = R + RR12
1 = R 1 +
หา ค.ร.น. RT 2
ยา้ ยขา้ งสมการ R1R 2
ดงั น้นั
R1R 2 = R TR(1RR12+ R 2 )
RT = (R1 +R 2 )

14

2.6 การคำนวณหาคา่ ต่าง ๆ ของการต่อตวั ตา้ นทานแบบขนาน
ตวั อยา่ ง วงจรตัวตา้ นทานดงั รปู จงคำนวณหาความต้านทานรวม

RT R1= 40 Ω R2 = 60 Ω R3 = 20 Ω R4 = 80 Ω

วิธีทำ วธิ ีท่ี 1 RT = 1 1 1
จาก 11
แทนคา่ ( )R1 + R 2 + R 3 + R 4
1
ความต้านทานรวมมีค่าเท่ากบั =1 11 1
วิธที ่ี 2 (( ) )=
40 + 60 + 201 + 80
0.025S + 0.0166S + 0.05S + 0.0125S
1
RT = 0.1041S = 9.6 

9.6 Ω ตอบ

RT1 RT2
RT R1= 40 Ω R2 = 60 Ω R3 = 20 Ω R4 = 80 Ω RT RT1 = 24 Ω RT2 = 16 Ω

รปู ตวั ตา้ นทานจับค่ขู นานกันคร้งั ละ 2 ตัว
R1R 2
ดงั นน้ั R T1 = R401 + R260
แทนค่า R T1 = 4R0 3R+4 60  = 24 
และ RT2 =  16 
แทนคา่ RT2 =
จากรปู ท่ี 2.9 (ข) หาคา่ RT RT = R203 + R 480  =
 

20 T1R+T820
R
RT1 +RT2

15

แทนคา่ RT = 24  16  = 9.6 
24  + 16 

ความต้านทานรวมมีคา่ เทา่ กบั 9.6 Ω ตอบ

2.7 การตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบผสม

การตอ่ ตัวต้านทานต่อแบบผสมจะไม่มีรูปแบบที่ตายตัวแนน่ อนเหมือนกับการตอ่ ตวั ตา้ นทานแบบอนุกรม

หรือการต่อตัวต้านทานแบบขนาน ซ่ึงลักษณะของการต่อวงจรตัวต้านทานแบบผสมจะมีความ-แตกต่างกัน

ออกไป ทั้งนี้อยู่กับการต่อตัวต้านทาน ซึง่ สามารถพิจารณาไดอ้ ีก 2 ลกั ษณะ ดังนี้

2.7.1 แบบขนาน−อนกุ รม ในการวิเคราะห์จะต้องพิจารณาในส่วนขนานของแต่ละส่วนก่อน แล้วจึง
พิจารณาในส่วนอนุกรม

2.7.2 แบบอนุกรม−ขนาน ในการวิเคราะห์จะต้องพิจารณาในส่วนอนุกรมของแต่ละส่วนก่อน แล้ว
จงึ พิจารณาในสว่ นของขนาน
2.8 การคำนวณหาค่าตา่ ง ๆ ของการต่อตวั ต้านทานแบบผสม
ตัวอยา่ ง วงจรตวั ตา้ นทานดงั รปู จงคำนวณหาความตา้ นทานรวม

R3 = 12 Ω

R1 = 10 Ω
RT R4 = 40 Ω

R2 = 20 Ω

R6 = 39 Ω R5 = 18 Ω
วิธที ำ จากรูป กำหนดจดุ A กบั B ให้กบั วงจร และยบุ หาค่าความต้านทานเพอ่ื งา่ ยตอ่ การพจิ ารณา

A R3 = 12 Ω

RT RT1 R1 = 10 Ω RT2
R4 = 40 Ω
R2 = 20 Ω
R6 = 39 Ω R5 = 18 Ω

B

A A

RT RT3 RT1 = 30 Ω RT2 = 70 Ω RT RT3 = 21 Ω
R6 = 39 Ω R6 = 39 Ω

B B

16

ส่วนท่ี 1 R1 ต่ออนุกรมกบั R2 กำหนดให้เป็น RT1
ดงั น้ัน
RT1 = R1 + R2
แทนค่า = 10  + 20 

ส่วนท่ี 2 R T1 = 30 
ดังนน้ั R3, R4 และ R5 ตอ่ อนุกรมกนั กำหนดให้เป็น RT2

RT2 = R3 +R4 +R5

แทนค่า R T2 = 12  + 40  + 18  = 70 

จากรปู ท่ีจุด A กบั B เห็นว่า RT1 ตอ่ ขนานกบั RRT2Tก1RำหTน2ดใหเ้ ป็น RT3
ดงั นั้น RT3 = 21 
3 R30T1+R7T02 =
แทนค่า R T RT3 = 30  + 70 

และจากรปู ค่าของ RT ไดจ้ าก RT3 ตอ่ อนุกรมกบั R6 ดงั น้ัน

ดังน้ัน R T = R T3 + R 6

แทนค่า R T = 21 + 39  = 60 

ความต้านทานรวมมคี ่าเท่ากบั 60 Ω ตอบ

17

กิจกรรมการเรียนการสอน

ข้ันตอนการสอน ข้นั ตอนการเรยี น เครอื่ งมอื /การวดั ผล

(กจิ กรรมของครู) (กจิ กรรมผูเ้ รยี น) ประเมินผล

1.ขั้นนำเขา้ สบู่ ทเรียน

1.1 ครูบอกจดุ ประสงคข์ องการเรียนใน 1.1 นักเรยี นรบั ฟงั จดุ ประสงค์ของการ 1. คำถามประจำหน่วย

หนว่ ยเรยี นนี้ เรยี นในหน่วยเรียนน้ี 2. แบบทดสอบก่อน

1.2 ครสู อบถามความสำคัญของตวั 1.2 นกั เรียนบอกความสำคัญของตัว เรียนหนว่ ยที่ 2

ตา้ นทานและการต่อตัวตา้ นทาน ต้านทานและการต่อตัวตา้ นทาน

1.3 ครูแจกแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ย 1.3 นกั เรยี นทำทดสอบกอ่ นเรียน หน่วย

ที่ 2 ท่ี 2

2. ขั้นสอนทฤษฎี

2.1 ครูอธบิ ายเรือ่ งตวั ตา้ นทานและการ 2.1 รับฟงั คำบรรยายและตอบคำถามจาก 1. power point หนว่ ย

ตอ่ ตัวตา้ นทานโดยใชส้ ่ือประกอบ ครู ท่ี 2

2.2 ซักถามปญั หาเกย่ี วกับตวั ต้านทาน 2.2 ตอบคำถามและแสดงความคดิ เห็น 2. คำถามหนว่ ยที่ 2

และการต่อตัวตา้ นทาน

3. ขั้นสรปุ

3.1 ครแู ละนักเรยี นชว่ ยกนั สรปุ และครู 3.1 นักเรียนชว่ ยครูสรปุ และตอบคำถาม 1. ใบสรุปหนว่ ยท่ี 2

ซกั ถามปญั หาข้อสงสัย 3.2 จดบททกึ ยอ่

4. ขัน้ สอนปฏิบัติ

4.1 แบ่งกล่มุ นักเรยี นเป็นกล่มุ ๆ ละ 2 4.1 แบง่ กลมุ่ เปน็ กลุม่ ๆละ 2 คน 1.ใบตรวจการปฏิบัติงาน

คน 4.2 นักศึกษาปฏบิ ัตงิ านตามใบงานท่ี 2 ตามใบงานท่ี 2

4.2 ให้นกั ศกึ ษาปฏบิ ัตงิ านตามใบงานท่ี 2 4.3 ปฏิบัตงิ านตามใบงาน

4.3 ควบคุมการปฏบิ ตั ิงาน 4.4 ส่งผลงานการปฏิบตั ิ

4.4 ตรวจผลงานของนกั ศึกษา

5. ขั้นการประเมินผล

5.1 ครแู จกใบประเมินผลหลังเรยี น 5.1 รบั ใบประเมนิ ผลหลังเรยี นหน่วยท่ี 2 1. แบบทดสอบหลงั

หน่วยที่ 2 5.2 ทำแบบทดสอบหลงั เรียน เรยี นหนว่ ยที่ 2 จำนวน

5.2 ดแู ลนกั เรียนไม่ใหท้ จุ ริต 5.3 เมอื่ ครบเวลาท่กี ำหนดส่งแบบทดสอบ 20 ขอ้

5.3 เมอื่ ครบเวลาท่ีกำหนดรับ คนื

แบบทดสอบคนื

6. ขัน้ มอบหมายงาน

6.1 มอบหมายให้นกั เรียนไปคน้ คว้า 6.1 รับมอบหมายงาน 1. ใบมอบงานหนว่ ยที่ 2

เพ่มิ เตมิ เกี่ยวกับตวั ตา้ นทานและการต่อตวั

ต้านทานแล้วทำรายงานส่งสัปดาหต์ ่อไป

7. ขั้นตรวจสอบความเรยี บร้อย

7.1 ตรวจความเรียบร้อยของชุดฝึกและ 7.1 ช่วยกันจดั เกบ็ ชดุ ฝึกและทำความ 1.ใบตรวจสอบความ

ความเรยี บรอ้ ยของหอ้ งเรียนห้องปฏบิ ตั งิ าน สะอาดห้องเรยี นห้องปฏบิ ัติงานให้ เรยี บร้อย

เรยี บร้อย

18

งานท่มี อบหมาย

- นักศึกษาทำแบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 2

- ให้นักศึกษาอภิปรายเกี่ยวกับตัวต้านทานและการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม แบบขนาน และแบบ
ผสม

- ให้นักเรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ตัวต้านทานและการต่อตัวต้านทานที่ใช้งานจริง แล้วทำ
รายงานส่งในสปั ดาห์ต่อไป

สอ่ื การเรียนการสอน
1. หนังสอื เรียน วงจรไฟฟ้ากระแสตรง
2. Power point เร่ือง ตัวต้านทานและการตอ่ ตัวต้านทาน
3. ของจริง ตามรายละเอยี ดในใบงานที่ 2
4. ใบมอบหมายงานท่ี 2

การวัดผลการเรียน

ทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre-test) โดยใชข้ ้อสอบหนว่ ยที่ 2 จำนวน 20 ข้อ
ถาม – ตอบปัญหา ความสนใจ ความตง้ั ใจ และการอภปิ ราย
ทดสอบหลังเรยี น (Post-test) โดยใช้ข้อสอบหน่วยท่ี 2 จำนวน 20 ข้อ

การประเมินผล

1. การประเมนิ ผลโดยใช้แบบประเมินผลหลังการเรยี นหน่วยท่ี 1 จำนวน 20 ขอ้ (แบบเลือกตอบ)
2. สังเกตการมสี ว่ นรว่ มในการเรยี น
3. สงั เกตจากการตอบคำถาม / การอภปิ ราย

เอกสารอ้างอิง

สธุ น แกน่ ตน้ . (2563). วงจรไฟฟา้ กระแสตรง. นนทบรุ ี : ศูนยห์ นังสอื เมืองไทย จำกัด.

19

ความสอดคล้องกบั หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ

3 หว่ ง -เตรียมอุปกรณเ์ กยี่ วกับความปลอดภยั อยา่ งเหมาะสม
1. ความพอประมาณ - ความปลอดภยั ในการเรยี นในรายวชิ า
2. มเี หตผุ ล - ปอ้ งกนั อบุ ตั ิเหตใุ นงาน ได้
3. มภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี
- ปฏิบัติตามกฎของโรงงานได้อยา่ งเคร่งครัด
2 เงือ่ นไข - บอกวธิ ีการป้องกนั อุบตั เิ หตุในงานได
1. เงอ่ื นไขความรู้ - อธิบายถึงความสำคัญของความปลอดภัย ในการปฏบิ ัติงานได้
(รอบรู้, รอบคอบ, ระมดั ระวัง) - มีความรบั ผดิ ชอบ
- มีความคดิ สร้างสรรค์
2. เงื่อนไขคุณธรรม
- ใช้อุปกรณ์ วัสดุ ในการเรียนการสอนอย่างประหยัด คมุ้ ค่า
4 มิติ - สามารถนำวธิ กี ารทำงานไปปรับกับการทำงานภายนอกได้
1. มติ ดิ า้ นเศรษฐกจิ - ไมท่ ำลายทำธรรมชาติในการเรียนในรายวิชา
2. มติ ิดา้ นสงั คม - มีคุณธรรม ความสื่อสตั ย์ต่อวิชา ครูผสู้ อน
3. มิติดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม
4. มติ ิดา้ นวฒั นธรรม

20

ความสอดคล้องกับคณุ ธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ของสถานศึกษา

............................................................................

1. ขยัน → นกั เรียนนกั ศึกษาสามารถทำงานเสรจ็ ตรงตามเวลา
2. ประหยัด → นกั เรยี นนกั ศกึ ษานำวัสดทุ ่ีใชม้ าปฏบิ ัตอิ ย่างประหยัด
3. ซ่ือสัตย์ → นกั เรียนนกั ศกึ ษามคี วามส่ือสตั ยต์ อ่ วิชาเรียน ตอ่ ผู้สอน
4. มีวนิ ยั → นกั เรยี นนกั ศกึ ษามาเรยี นตรงตามเวลา
5. สุภาพ → นกั เรยี นนักศกึ ษามีความสภุ าพตอ่ ครูผูส้ อน
6. สะอาด → นกั เรียนนักศกึ ษาช่วยกนั รักษาความสะอาดในแผนกวชิ า
7. สามคั คี → นักเรยี นนกั ศึกษามีความสามคั ครี ว่ มมอื กนั ทำงานเป็นกลมุ่
8. มนี ำ้ ใจ → นักเรยี นนกั ศึกษามคี วามเออื้ เฟอ้ื ตอ่ เพ่ือนรว่ มห้อง

21

แผนการจัดการเรียนรู้แบบเน้นสมรรถนะ หน่วยที่ 3
ช่อื วิชา วงจรไฟฟา้ กระแสตรง รหสั วชิ า 20104-2002 จำนวน 8 ช่วั โมง
ชือ่ หน่วย : กฎของโอหม์

หวั ข้อเรอื่ ง

3.1 กฎของโอหม์
3.2 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ โดยใช้กฎของโอหม์
3.3 กำลังไฟฟา้ กบั กฎของโอหม์
3.4 วงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รม
3.5 การคำนวณหาค่าต่าง ๆ ของวงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รม
3.6 วงจรไฟฟ้าแบบขนาน
3.7 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของวงจรไฟฟ้าแบบขนาน
3.8 วงจรไฟฟา้ แบบผสม
3.9 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของวงจรไฟฟา้ แบบผสม

สมรรถนะยอ่ ย

1. สดงความรู้เกี่ยวกับกฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้ แบบตา่ ง ๆ
2. ต่อวงจรกฎของโอห์ม พรอ้ มวดั แรงดันไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้
3. ตอ่ วงจรไฟฟา้ แบบตา่ ง ๆ พรอ้ มวดั แรงดันไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้

สมรรถนะท่ีพงึ ประสงค์

ด้านความรู้
1. อธิบายกฎของโอห์มได้
2. คำนวณหาค่าต่าง ๆ โดยใช้กฎของโอหม์ ได้
3. อธบิ ายกำลังไฟฟา้ กับกฎของโอห์มได้
4. อธิบายวงจรไฟฟา้ แบบอนุกรมได้
5. คำนวณหาคา่ ต่าง ๆ ของวงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รมได้
6. อธบิ ายวงจรไฟฟา้ แบบขนานได้
7. คำนวณหาค่าต่าง ๆ ของวงจรไฟฟ้าแบบขนานได้
8. อธบิ ายวงจรไฟฟา้ แบบผสมได้
9. คำนวณหาคา่ ต่าง ๆ ของวงจรไฟฟ้าแบบผสมได้

ดา้ นทกั ษะ
1. ต่อวงจรกฎของโอห์ม พรอ้ มวดั แรง ดนั ไฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ ไดถ้ กู ตอ้ ง
2. ตอ่ วงจรไฟฟา้ พร้อมวดั แรงดนั ไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ ได้ถกู ต้อง

ด้านคณุ ธรรม/จริยธรรม
1. ตรงตอ่ เวลา
2. มคี วามตระหนกั ในหนา้ ท่ีของนกั ศกึ ษา
3. มีความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและสงั คม
4. แต่งกายถกู ตอ้ งตามระเบยี บ

22

5. แสดงความเคารพดว้ ยทา่ ทที ีส่ วยงาม
6. ทำงานด้วยความเต็มใจ

เน้ือหา

3.1 กฎของโอห์ม
ในปีคริสต์ศักราช 1827 นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันชื่อ จอร์จ ไซมอน โอห์ม (George Simon Ohm)

ได้ทำการทดลองและเป็นผู้ค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน ได้
กำหนดเป็นกฎของโอห์ม (Ohm’s Law) ไว้ว่า “ในวงจรไฟฟ้าใด ๆ ค่าของกระแสไฟฟ้าแปรผันตามกับ
แรงดันไฟฟ้าและแปรผกผนั กับความต้านทาน” ซง่ึ ความสัมพันธด์ ังกล่าวแสดงดงั รูป

แหลง่ จ่ายแรงดนั ไฟฟ้า I A แอมมเิ ตอร์ I
V
V V R

โวลต์มเิ ตอร์ ตวั ต้านทาน

รปู วงจรกฎของโอหม์

จากความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน ทำให้ จอร์จ ไซมอน โอห์มได้สรุป

เปน็ สมการที่ใชใ้ นการหากระแสไฟฟา้ ดงั นี้ V
R
I =

3.2 การคำนวณหาค่าต่าง ๆ โดยใชก้ ฎของโอห์ม

ตวั อยา่ ง วงจรไฟฟา้ ดังรปู จงคำนวณหากระแสไฟฟ้าทไี่ หลผ่านวงจร

I R = 20 
V = 50 V

รปู วงจรของตวั อยา่ งท่ี 3.1

วิธีทำ I = V เมือ่ V = 50 V R = 20 
จาก R

แทนคา่ I = 50 V I = 2.5 A
20 

กระแสไฟฟ้าทไี่ หลผ่านวงจรมีคา่ เท่ากบั 2.5 A ตอบ

23

3.3 กำลงั ไฟฟา้ กบั กฎของโอห์ม
กำลงั ไฟฟา้ 1 วัตต์ คือ อัตราของงานท่ถี กู กระทำในวงจรจากการจ่ายแรงดันไฟฟา้ 1 โวลต์แลว้ เป็นผลให้

กระแสไฟฟ้าไหลผ่าน 1 แอมแปร์ โดยกำลังไฟฟ้าหาได้จากผลคูณของแรงดันไฟฟ้ากับกระแสไฟฟ้า เขียนเป็น
สมการได้ดงั น้ี

P = VI
จากท่ีกล่าวมาเห็นว่ากำลังไฟฟ้ามีความเก่ียวพันธ์กับกฎของโอห์ม คือแรงดันไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าและ
ความตา้ นทาน ดงั น้นั สามารถเขยี นเปน็ ผังวงกลมเพ่อื สะดวกต่อการจดจำ ดังรปู ที่ 3.5

VI P
I2R I2 V2

P

V2 PR V
R I

IR VI V
R
PP
I P V
PR R

รูป ผงั วงกลมของกำลังไฟฟา้ กับกฎของโอห์ม

3.4 วงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รม
เป็นวงจรท่ีมีตัวต้านทานต้ังแต่ 2 ตัวข้ึนไปมาต่อกันโดยการนำปลายของตัวต้านทานอีกตัวหน่ึงมาต่อเข้า

กับต้นของตัวต้านทานอีกตัวหนึ่งซ่ึงเรียงลำดับกันไปเร่ือย ๆ ซ่ึงรายละเอียดได้กล่าวมาแล้วในหน่วยที่ 2
จากน้ันนำมาต่อเข้ากับแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าเป็นผลให้กระแสไฟฟ้าที่ไหลในวงจรมีเพียงสาขาเดียวและมีค่ า
เทา่ กันตลอด ดังรปู

IR1 IR2 IR3
A R1 A R2 A

แหลง่ จ่ายแรงดนั ไฟฟ้า

IT VT VV V

VR1 VR2 R3 VR3

รปู วงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รมตอ่ เขา้ กบั แหล่งจ่ายแรงดนั ไฟฟา้

24

วงจรไฟฟา้ แบบอนกุ รม มีลกั ษณะสมบตั ิดังนี้
1. ความตา้ นทานรวมของวงจรมีคา่ เทา่ กบั ผลรวมของความตา้ นทานแต่ละตวั รวมกัน
RT = R1 +R2 +R3
2. กระแสไฟฟา้ ทไี่ หลผา่ นตวั ต้านทานทกุ ตวั ในวงจรมคี ่าเท่ากัน
IT = IR1 = IR2 = IR3
3. แรงดันตกครอ่ มตัวตา้ นทานแตล่ ะตวั เม่ือนำมารวมกนั เทา่ กับแรงดนั ไฟฟ้าทแี่ หลง่ จ่าย
VT = VR1 + VR2 + VR3
4. กำลังไฟฟ้าที่เกิดขนึ้ ที่ตัวต้านทานแต่ละตัวในวงจร เมื่อนำมารวมกนั เท่ากับกำลังไฟฟ้าท่ีแหล่งจ่าย

ทจ่ี า่ ยให้กับวงจร
PT = PR1 + PR2 + PR3

3.5 การคำนวณหาค่าตา่ ง ๆ ของวงจรไฟฟ้าแบบอนกุ รม
ตวั อยา่ ง วงจรไฟฟ้าดงั รปู จงคำนวณหา

ก. ความตา้ นทานรวม
ข. กระแสไฟฟ้าท่ไี หลออกจากแหล่งจา่ ย
ค. แรงดันตกครอ่ มตวั ต้านทานแต่ละตัว
ง. กำลังไฟฟI้าTท่เี กิดขนึ้ Rท1่ตี =ัว6ต0า้ ΩนทานแตR่ล2 ะ=ต2ัว5 Ω R3 = 15 Ω

VT = 40 V R4 = 100 Ω

รปู วงจรของตัวอยา่ ง

วิธที ำ RT = R1 +R2 +R3 +R4
ก. ความตา้ นทานรวม = 60  + 25  + 15  + 100 

แทนค่า

R T = 200 

ความตา้ นทานรวมมีค่าเทา่ กับ 200 Ω ตอบ
ตอบ
ข. กระแสไฟฟา้ ทีไ่ หลออกจากแหลง่ จ่าย VT
RT
จาก IT =

เม่อื VT = 40 V และ R T = 200 Ω
แทนค่า IT = 40 V
200 

IT = 0.2 A
กระแสไฟฟ้าทีไ่ หลออกจากแหลง่ จา่ ยมคี ่าเท่ากับ 0.2 A

25

ค. แรงดันตกครอ่ มตวั ตา้ นทานแต่ละตัว
IR1 = IR2 = IR3 = IR 4 = IT = 0.2 A
จากวงจรรปู

จาก VR1 = IR1 R1
แทนคา่ = 0.2 A  60 

VR1 = 12 V 12 V
แรงดันตกคร่อมตวั ต้านทาน R1 มีคา่ เท่ากบั ตอบ
ตอบ
จาก VR 2 = IR 2 R 2 ตอบ
ตอบ
แทนคา่ = 0.2 A  25 
ตอบ
VR2 = 5 V 5V ตอบ
แรงดันตกคร่อมตัวต้านทาน R2 มีค่าเทา่ กบั ตอบ

จาก VR3 = IR3 R 3

แทนค่า = 0.2 A 15 

VR2 = 3 V 3V
แรงดันตกคร่อมตวั ตา้ นทาน R3 มีค่าเท่ากับ

จาก VR 4 = IR 4 R 4
แทนค่า = 0.2 A 100 

VR4 = 20 V 20 V
แรงดันตกคร่อมตัวตา้ นทาน R4 มีค่าเทา่ กบั

ง. กำลงั ไฟฟ้าทเ่ี กิดขนึ้ ท่ีตัวต้านทานแต่ละตัว

จาก PR1 = (IR1 )2 R1
แทนค่า = (0.2 A)2  60 

PR1 = 2.4 W 2.4 W
กำลังไฟฟา้ ที่เกดิ ขนึ้ ทต่ี วั ตา้ นทาน R1 มคี ่าเท่ากับ

จาก PR 2 = (IR 2 )2 R 2
แทนคา่ = (0.2 A)2  25 

PR2 = 1 W 1W
กำลังไฟฟ้าท่เี กิดขน้ึ ทีต่ วั ต้านทาน R2 มคี ่าเท่ากบั

จาก PR3 = (IR3 )2 R 3
แทนคา่ = (0.2 A)2 15 

PR3 = 0.6 W 0.6 W
กำลงั ไฟฟ้าทเ่ี กดิ ข้นึ ทต่ี ัวตา้ นทาน R3 มคี า่ เทา่ กับ

จาก PR 4 = (IR 4 )2 R 4
แทนค่า = (0.2 A)2 100 

26

PR4 = 4 W 4W ตอบ
กำลงั ไฟฟ้าที่เกดิ ขึน้ ที่ตัวตา้ นทาน R4 มคี ่าเท่ากับ

ดันไฟฟา้ ทจ่ี ่ายให้มคี ่าเทา่ กบั 85 V ตอบ

3.6 วงจรไฟฟ้าแบบขนาน

เป็นวงจรท่ีมีตัวต้านทานตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมาต่อกันโดยการนำต้นของตัวต้านทานแต่ละตัวมาต่อรวมกัน

และนำปลายของตัวต้านทานแตล่ ะตัวรวมกนั ซ่ึงรายละเอยี ดได้กล่าวมาแล้วในหน่วยท่ี 2 จากน้ันนำมาต่อเข้า

กับแหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าเป็นผลให้กระแสไฟฟ้าท่ีไหลในวงจรมีหลายสาขา และมีค่าแรงดันตกคร่อมเท่ากัน

ดงั รูป

แหลง่ จา่ ยแรงดนั ไฟฟา้ IR1 A IR2 A IR3 A

IT VT VR1 VR2 VR3

V V V

R1 R2 R3

ซง่ึ วงจรไฟฟ้าแบบขนาน มีลกั ษณะสมบตั ิดงั น้ี

1. ความตา้ นทานรวมของวงจรหาค่าไดด้ งั น้ี
1 11 1
RT = R1 + R2 + R3

2. แรงดนั ไฟฟา้ ท่ีตกคร่อมตวั ต้านทานทกุ ตวั ในวงจรมคี ่าเทา่ กันและเทา่ กบั แหลง่ จา่ ย

VT = VR1 = VR2 = VR3
3. กระแสไฟฟ้าทีไ่ หลผ่านตวั ต้านทานแตล่ ะตวั เมอื่ นำมารวมกนั เทา่ กบั กระแสไฟฟ้ารวม

IT = IR1 + IR2 + IR3
4. กำลังไฟฟ้าท่ีเกิดขึ้นที่ตัวต้านทานแต่ละตัวในวงจร เมื่อนำมารวมกันจะเท่ากับกำลังไฟฟ้าท่ี
แหลง่ จา่ ยที่จ่ายให้กบั วงจรหรือกำลงั ไฟฟ้ารวม

PT = PR1 + PR2 + PR3
3.7 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของวงจรไฟฟา้ แบบขนาน

ตัวอย่าง วงจรไฟฟา้ ดงั รูป จงคำนวณหา

ก. ความตา้ นทานรวม

ข. กระแสไฟฟา้ ท่ไี หลผา่ นตัวตา้ นทานแตล่ ะตวั

ค. กระแสไฟฟ้ารวมทีไ่ หลออกจากแหลง่ จ่าย

ง. กำลงั ไฟฟา้ ทีเ่ กิดขน้ึ ท่ตี ัวต้านทานแต่ละตัว

จ. กำลงั ไฟฟ้ารวม

27

IT IR1 IR2 IR3 IR4
VT = 15 V R1 = 20 Ω R2 = 30 Ω R3 = 50 Ω R4 = 10 Ω

รูป วงจรของตวั อยา่ ง

วธิ ีทำ RT = 1 1 1
ก. ความตา้ นทานรวม 11
จากรปู ที่ 3.11 จะได้ ( )RT
= R1 + R2 + R3 + R4 1
แทนคา่ 1

111
( )RT 20 + 30 + 50 + 10
  1  
1
= (0.05S + 0.0334S + 0.02S + 0.1S) = 0.2034 S = 4.916 

ความต้านทานรวมมีคา่ เทา่ กับ 4.916 Ω ตอบ

ข. กระแสไฟฟา้ ทีไ่ หลผ่านตัวตา้ นทานแตล่ ะตวั
VR1 = VR2 = VR3 = VR 4 = VT = 15 V
จากวงจรรปู ที่ 3.11 VR1
จาก IR1 = 1R51V
แทนคา่ = 20 

กระแสไฟฟา้ ทไี่ หลตวั ต้านทาน IR1 = 0.75 A ตอบ
จาก R1 มคี า่ เทา่ กับ 0.75 A ตอบ
IR2 = VR 2 ตอบ
แทนค่า 1R52V
= 30 

IR2 = 0.5 A
กระแสไฟฟา้ ที่ไหลตัวต้านทาน R2 มคี า่ เท่ากับ 0.5 A
จาก IR3 = VR 3
1R53V
แทนค่า = 50 

IR3 = 0.3 A

กระแสไฟฟ้าท่ไี หลตัวตา้ นทาน R3 มคี า่ เท่ากับ 0.3 A

28

จาก IR 4 = VR 4
แทนค่า = 1R54V
10 

IR4 = 1.5 A 1.5 A ตอบ
กระแสไฟฟ้าทีไ่ หลตัวตา้ นทาน R4 มีค่าเท่ากบั
ค. กระแสไฟฟา้ รวมทีไ่ หลออกจากแหล่งจ่าย

จาก IT = IR1 + IR2 + IR3 + IR4

แทนคา่ = 0.75 A + 0.5 A + 0.3 A + 1.5 A

IT = 3.05 A
IT VT
หรอื = RT = 15 V = 3.05 A
4.916 

กระแสไฟฟ้ารวมท่ีไหลออกจากแหล่งจา่ ยมีคา่ เท่ากับ 3.05 A ตอบ

ง. กำลงั ไฟฟา้ ทเ่ี กิดขึน้ ท่ีตวั ต้านทานแตล่ ะตวั

จาก PR1 = (IR1 )2 R1
= (0.75 A)2  20  = 11.25 W
แทนค่า

กำลังไฟฟา้ ที่เกดิ ข้นึ ที่ตวั ตา้ นทาน R1 มีค่าเทา่ กบั 11.25 W ตอบ

จาก PR2 = (IR 2 )2 R 2

แทนคา่ = (0.5 A)2  30  = 7.5 W

กำลงั ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นท่ตี วั ต้านทาน R2 มีคา่ เทา่ กับ 7.5 W ตอบ

จาก PR3 = (IR3 )2 R 3

แทนคา่ = (0.3 A)2  50  = 4.5 W

กำลงั ไฟฟ้าทเี่ กดิ ขึ้นทตี่ ัวตา้ นทาน R3 มีค่าเท่ากับ 4.5 W ตอบ

จาก PR4 = (IR 4 )2 R 4

แทนค่า PR4 = (1.5 A)2 10  = 22.5 W

กำลังไฟฟา้ ที่เกิดขนึ้ ท่ตี วั ต้านทาน R3 มคี ่าเท่ากบั 22.5 W ตอบ

จ. กำลังไฟฟ้ารวม

จาก PT = PR1 + PR2 + PR3 + PR 4

แทนค่า = 11.25 W + 7.5 W + 4.5 W + 22.5 W

กำลังไฟฟ้ารวมมีค่าเท่ากบั PT = 45.75 W ตอบ
45.75 W

29

ตัวอย่างท่ี 3.9 วงจรไฟฟ้าดงั รปู ท่ี 3.12 ถ้ากำลงั ไฟฟ้าท่เี กิดขึน้ ที่ R1 เทา่ กบั 9.6 W จงคำนวณหา
3.8 วงจรไฟฟ้าแบบผสม

ในวงจรไฟฟา้ ตอ่ แบบผสมไม่มีรูปแบบท่ีตายตัวแน่นอนเหมอื นกับวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรม หรือวงจรไฟฟ้า
แบบขนาน ซ่ึงลักษณะของการต่อวงจรไฟฟ้าแบบผสมจะมีความแตกต่างกันออกไป ท้ังนี้อยู่กับการต่อตัว
ตา้ นทาน
3.9 การคำนวณหาค่าต่าง ๆ ของวงจรไฟฟา้ แบบผสม
ตวั อยา่ ง วงจรไฟฟ้าดังรูป จงคำนวณหา

ก. ความตา้ นทานรวม
ข. กระแสไฟฟา้ รวมที่ไหลออกจากแหลง่ จา่ ย

ค. แรงดนั ไฟฟ้าท่ีจดุ A−B และกระแสไฟฟา้ ทไ่ี หลผ่าน R4

R1 = 16 Ω A

IT R2 = 30 Ω IR4
VT = 25 V R4 = 60 Ω

R5 = 10 Ω R3 = 10 Ω

รูป วงจรขอBงตวั อยา่ ง

วิธที ำ จากรปู ที่จดุ ต่อ A และจดุ ต่อ B เห็นวา่ R2 ต่ออนุกรมกับ R3 กำหนดใหเ้ ป็น RT1

โดย R T1 = R 2 + R 3

แทนค่า R T1 = 30  +10  = 40 

เขียนวงจรใหมเ่ พื่อให้เหน็ การต่อตวั ตา้ นทานดังรปู

R1 = 16 Ω A

IT

VT = 25 V RT1 = 40 Ω R4 = 60 Ω

R5 = 10 Ω

รูป วงจรใหมBข่ องค่า RT1

จากรปู ที่ 3.14 ทีจ่ ดุ A กบั B เหน็ วา่ RT1 ต==่อขนR44Rา00Tน1Tก1+Rับ+R4R664400กำหนด=ให้เป24็น RT2
โดย RT2

แทนค่า RT2

โดย R T = R1 + R T2 + R 5

แทนค่า R T = 16  + 24  + 10  = 50 

30

ความต้านทานรวมมีคา่ เท่ากบั 50 Ω ตอบ
ตอบ
ข. กระแสไฟฟ้ารวมที่ไหลออกจากแหลง่ จา่ ย VT = 0.5 A
R25T V 0.5 A
จาก IT = 50 
แทนคา่ IT =

กระแสไฟฟ้ารวมที่ไหลออกจากแหลง่ จ่ายมคี า่ เทา่ กบั

31

กจิ กรรมการเรียนการสอน

ขัน้ ตอนการสอน ข้ันตอนการเรยี น เคร่ืองมอื /การวดั ผล

(กิจกรรมของครู) (กจิ กรรมผู้เรยี น) ประเมนิ ผล

1.ข้ันนำเขา้ สบู่ ทเรียน

1.1 ครูบอกจดุ ประสงคข์ องการเรยี นใน 1.1 นกั เรียนรับฟงั จุดประสงคข์ องการ 1. คำถามประจำหน่วย

หนว่ ยเรียนน้ี เรยี นในหน่วยเรียนนี้ 2. แบบทดสอบกอ่ น

1.2 ครสู อบถามความสำคัญของกฎของ 1.2 นกั เรียนบอกความสำคญั ของกฎของ เรียนหน่วยที่ 3

โอหม์ และวงจรไฟฟา้ แบบต่าง ๆ โอห์มและวงจรไฟฟา้ แบบตา่ ง ๆ

1.3 ครแู จกแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ย 1.3 นกั เรียนทำทดสอบกอ่ นเรียน หน่วยที่

ที่ 3 3

2. ข้นั สอนทฤษฎี

2.1 ครูอธิบายเรือ่ งกฎของโอหม์ และวงจร 2.1 รับฟังคำบรรยายและตอบคำถามจาก 1. power point หนว่ ย

ไฟ- ฟา้ แบบต่าง ๆ โดยใช้ส่ือประกอบ ครู ที่ 3

2.2 ซักถามปญั หาเก่ยี วกบั กฎของโอหม์ 2.2 ตอบคำถามและแสดงความคิดเหน็ 2. คำถามหนว่ ยท่ี 3

และวงจรไฟฟา้ แบบต่าง ๆ

3. ขน้ั สรปุ

3.1 ครูและนักเรยี นชว่ ยกันสรปุ และครู 3.1 นกั เรยี นชว่ ยครสู รปุ และตอบคำถาม 1. ใบสรปุ หนว่ ยที่ 3

ซักถามปญั หาข้อสงสัย 3.2 จดบททกึ ย่อ

4. ขั้นสอนปฏบิ ัติ

4.1 แบง่ กลุม่ นกั เรยี นเปน็ กลมุ่ ๆละ 2คน 4.1 แบง่ กลุ่มเปน็ กลมุ่ ๆละ 2 คน 1.ใบตรวจการปฏิบัติงาน

4.2 ให้นักศึกษาปฏิบัตงิ านตามใบงานท่ี 3 4.2 นักศกึ ษาปฏบิ ตั งิ านตามใบงานที่ 3 ตามใบงานที่ 3

4.3 ควบคุมการปฏบิ ัตงิ าน 4.3 ปฏบิ ตั งิ านตามใบงาน

4.4 ตรวจผลงานของนักศกึ ษา 4.4 สง่ ผลงานการปฏบิ ัติ

5. ขนั้ การประเมินผล

5.1 ครแู จกใบประเมนิ ผลหลังเรยี นหน่วย 5.1 รับใบประเมนิ ผลหลังเรยี นหนว่ ยท่ี 3 1. แบบทดสอบหลังเรยี น

ท่ี 3 5.2 ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น หนว่ ยที่ 3 จำนวน 20

5.2 ดูแลนักเรยี นไม่ใหท้ ุจริต 5.3 เมอ่ื ครบเวลาท่ีกำหนดสง่ แบบทดสอบ ขอ้

5.3 เมือ่ ครบเวลาทก่ี ำหนดรับ คนื

แบบทดสอบคืน

6. ขน้ั มอบหมายงาน

6.1 มอบหมายให้นักเรยี นไปคน้ ควา้ 6.1 รับมอบหมายงาน 1. ใบมอบงานหนว่ ยที่

เพมิ่ เตมิ เก่ียวกับกฎของโอห์มและ 3

วงจรไฟฟ้าแบบตา่ ง ๆ แลว้ ทำรายงานสง่

สัปดาห์ต่อไป

7. ขน้ั ตรวจสอบความเรยี บรอ้ ย

7.1 ตรวจความเรยี บรอ้ ยของชุดฝกึ และ 7.1 ชว่ ยกนั จัดเก็บชดุ ฝกึ และทำความ 1.ใบตรวจสอบความ

ความเรยี บรอ้ ยของห้องเรียนห้องปฏบิ ตั งิ าน สะอาดห้องเรยี นหอ้ งปฏิบัตงิ านให้ เรียบร้อย

เรียบรอ้ ย

32

งานทม่ี อบหมาย

- นักศึกษาทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหน่วยที่ 3
- ใหน้ ักศึกษาอภิปรายเกีย่ วกบั กฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้ แบบต่าง ๆ
- ใหน้ ักเรยี นไปค้นคว้าเพมิ่ เตมิ กฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้ แบบตา่ ง ๆ ทใ่ี ช้งานจรงิ แลว้ ทำรายงาน
ส่งในสัปดาห์ตอ่ ไป

สอ่ื การเรียนการสอน

1. หนังสือเรยี น วงจรไฟฟา้ กระแสตรง
2. Power point เรอ่ื ง กฎของโอห์มและวงจรไฟฟา้ แบบตา่ ง ๆ
3. ของจริง ตามรายละเอียดในใบงานท่ี 3
4. ใบมอบหมายงานท่ี 3

การวัดผลการเรียน

ทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre-test) โดยใช้ข้อสอบหน่วยท่ี 3 จำนวน 20 ขอ้
ถาม – ตอบปัญหา ความสนใจ ความตั้งใจ และการอภปิ ราย
ทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) โดยใชข้ ้อสอบหนว่ ยท่ี 3 จำนวน 20 ข้อ

การประเมนิ ผล

1. การประเมินผลโดยใชแ้ บบประเมินผลหลงั การเรียนหน่วยที่ 3 จำนวน 20 ข้อ (แบบเลือกตอบ)
2. สงั เกตการมสี ว่ นรว่ มในการเรียน
3. สังเกตจากการตอบคำถาม / การอภปิ ราย

เอกสารอ้างองิ

สุธน แกน่ ตน้ . (2563). วงจรไฟฟ้ากระแสตรง. นนทบุรี : ศนู ย์หนังสอื เมอื งไทย จำกดั .

33

ความสอดคล้องกบั หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ

3 หว่ ง -เตรียมอุปกรณเ์ กยี่ วกับความปลอดภยั อยา่ งเหมาะสม
1. ความพอประมาณ - ความปลอดภยั ในการเรยี นในรายวชิ า
2. มเี หตผุ ล - ปอ้ งกนั อบุ ตั ิเหตใุ นงาน ได้
3. มภี มู คิ มุ้ กนั ในตวั ทดี่ ี
- ปฏิบัติตามกฎของโรงงานได้อยา่ งเคร่งครัด
2 เงือ่ นไข - บอกวธิ ีการป้องกนั อุบตั เิ หตุในงานได
1. เงอ่ื นไขความรู้ - อธิบายถึงความสำคัญของความปลอดภัย ในการปฏบิ ัติงานได้
(รอบรู้, รอบคอบ, ระมดั ระวัง) - มีความรบั ผดิ ชอบ
- มีความคดิ สร้างสรรค์
2. เงื่อนไขคุณธรรม
- ใช้อุปกรณ์ วัสดุ ในการเรียนการสอนอย่างประหยัด คมุ้ ค่า
4 มิติ - สามารถนำวธิ กี ารทำงานไปปรับกับการทำงานภายนอกได้
1. มติ ดิ า้ นเศรษฐกจิ - ไมท่ ำลายทำธรรมชาติในการเรียนในรายวิชา
2. มติ ิดา้ นสงั คม - มีคุณธรรม ความสื่อสตั ย์ต่อวิชา ครูผสู้ อน
3. มิติดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม
4. มติ ิดา้ นวฒั นธรรม

34

ความสอดคล้องกับคณุ ธรรมพื้นฐาน 8 ประการ ของสถานศึกษา

............................................................................

1. ขยัน → นกั เรียนนกั ศึกษาสามารถทำงานเสรจ็ ตรงตามเวลา
2. ประหยัด → นกั เรยี นนกั ศกึ ษานำวัสดทุ ่ีใชม้ าปฏบิ ัตอิ ย่างประหยัด
3. ซ่ือสัตย์ → นกั เรียนนกั ศกึ ษามคี วามส่ือสตั ยต์ อ่ วิชาเรียน ตอ่ ผู้สอน
4. มีวนิ ยั → นกั เรยี นนกั ศกึ ษามาเรยี นตรงตามเวลา
5. สุภาพ → นกั เรยี นนักศกึ ษามีความสภุ าพตอ่ ครูผูส้ อน
6. สะอาด → นกั เรียนนักศกึ ษาช่วยกนั รักษาความสะอาดในแผนกวชิ า
7. สามคั คี → นักเรยี นนกั ศึกษามีความสามคั ครี ว่ มมอื กนั ทำงานเป็นกลมุ่
8. มนี ำ้ ใจ → นักเรยี นนกั ศึกษามคี วามเออื้ เฟอ้ื ตอ่ เพ่ือนรว่ มห้อง

35

แผนการจดั การเรยี นรู้แบบเนน้ สมรรถนะ หน่วยที่ 4
จำนวน 8 ช่ัวโมง
ช่อื วชิ า วงจรไฟฟ้ากระแสตรง รหสั วิชา 20104-2002

ชือ่ หนว่ ย : วงจรแบง่ แรงดันไฟฟ้าและวงจรแบง่ กระแส

หวั ขอ้ เร่อื ง

4.1 ความหมายของวงจรแบง่ แรงดันไฟฟา้
4.2 วงจรแบง่ แรงดันไฟฟ้าเมอื่ ไม่มภี าระ
4.3 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของวงจรแบง่ แรงดนั ไฟฟา้ เมื่อไมม่ ีภาระ
4.4 วงจรแบ่งแรงดนั ไฟฟา้ เมอ่ื มีภาระ
4.5 การคำนวณหาค่าต่าง ๆ ของวงจรแบ่งแรงดันไฟฟ้าเมือ่ มีภาระ
4.6 วงจรแบ่งกระแสไฟฟา้
4.7 การคำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของวงจรแบ่งกระแสไฟฟา้

สมรรถนะย่อย

1. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั วงจรแบง่ แรงดันไฟฟา้
2. แสดงความรเู้ กีย่ วกับวงจรแบง่ กระแสไฟฟา้ ไฟฟา้
3. ตอ่ วงจรแบง่ แรงดันไฟฟา้ พร้อมวดั แรงดันไฟฟ้าในส่วนตา่ ง ๆ ของวงจร
4. ตอ่ วงจรแบ่งกระแสไฟฟา้ พร้อมวดั กระแสไฟฟ้าในสว่ นต่าง ๆ ของวงจร

สมรรถนะทีพ่ งึ ประสงค์

ดา้ นความรู้
1. บอกความหมายของวงจรแบง่ แรงดันไฟฟา้ ได้
2. อธบิ ายวงจรแบ่งแรงดนั ไฟฟ้าเม่ือไมม่ ีภาระได้
3. คำนวณหาค่าต่าง ๆ ของวงจรแบง่ แรงดนั ไฟฟา้ เมอ่ื ไม่มีภาระได้
4. อธบิ ายวงจรแบง่ แรงดนั ไฟฟ้าเมือ่ มีภาระได้
5. คำนวณหาค่าต่าง ๆ ของวงจรแบ่งแรงดนั ไฟฟ้าเมื่อมภี าระได้
6. อธบิ ายวงจรแบง่ กระแสไฟฟา้ ได้
7. คำนวณหาคา่ ตา่ ง ๆ ของวงจรแบง่ กระแสไฟฟ้าได้

ด้านทกั ษะ
1. ต่อวงจรแบ่งแรงดันไฟฟ้า พรอ้ มวดั แรงดนั ไฟฟ้าในสว่ นตา่ ง ๆ ของวงจรได้ถกู ตอ้ ง
2. ต่อวงจรแบง่ กระแสไฟฟา้ พรอ้ มวดั กระแสไฟฟ้าในสว่ นต่าง ๆ ของวงจรไดถ้ กู ตอ้ ง

ดา้ นคุณธรรม/จริยธรรม
1. ตรงตอ่ เวลา
2. มคี วามตระหนกั ในหนา้ ท่ขี องนกั ศกึ ษา
3. มคี วามรบั ผิดชอบต่อตนเองและสังคม
4. แต่งกายถกู ต้องตามระเบยี บ
5. แสดงความเคารพดว้ ยท่าทีที่สวยงาม
6. ทำงานดว้ ยความเตม็ ใจ


Click to View FlipBook Version