การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยการใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ Development of English vocabulary reading and spelling skills using phonics instruction for Grade 3 students at Ban Ao Nam Bo School. นายอนันดา แดงเหมือน Ananda Daengmuaen สาขาวิชาภาษอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราขภัฎภูเก็ต English Major, Faculty of Education, Phuket Rajabhat University
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการใช้หลักการอ่าน ออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ ผู้วิจัย นายอนันดา แดงเหมือน สาขาวิชา สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต ปีที่ท าการศึกษา 2566 อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์พาตีเม๊าะ ยูโซะ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อออกแบบการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้ หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อพัฒนาทักษะ การอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักการหลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยการใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จ านวน 6 แผนการเรียนรู้ 2) ใบงาน / ใบกิจกรรมระหว ่างการจัดการเรียนรู้การอ ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จ านวน 7 ชุด ชุดละ 10 ข้อ ชั่วโมงละ 1 ชุด (โดยในชั่วโมงแรกจะมี 2 ชุด) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบวัดทักษะการอ่านออก เสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend มีจ านวน 2 ตอน ได้แก ่ ตอนที ่ 1 มีลักษณะเป็น แบบทดสอบปรนัย ชนิดเติมค า จ านวน 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน ตอนที่ 2 มีลักษณะเป็นแบบปฏิบัติการ ออกเสียงแบบโฟนิกส์จ านวน 5 ข้อ ข้อละ 2 คะแนน สถิติที ่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก ่ ค ่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่า t-test และค่าE1,E2 (ค่าประสิทธิภาพ) ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 2. ความสามารถการออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที ่ 3 หลังการฝึกโดยใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์ เรื ่อง Our Weekend สูงกว่าก่อนการฝึกอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ 0.05
ข ABSTRACT The purpose of this research is to 1)To design a learning arrangement for reading aloud using the principles of reading aloud with Phonics (Phonics) for grade 3 students. 2) To develop English reading and pronunciation skills. Using the principles of Phonics (Phonics) of students in Grade 3 at Ban Ao Nam Bo School. The target group used in the research is 39 Grade 3 students at Ban Ao Nam Bo School, Semester 2, academic year 2023. Research Instruments used in research development include: 1) learning management plans using the principles of Phonics reading aloud on the topic Our Weekend, Grade 3, 6 learning plans. 2) Worksheets / activity sheets during learning to read aloud using the principles of Phonics reading aloud (Phonics) on the topic Our Weekend, Grade 3, 7 worksheets, 10 questions per worksheet, 1 worksheet per hour ( In the first hour there will be 2 worksheets). The Research Instruments used to collect data include: 1) An English vocabulary pronunciation skill test titled Our Weekend, consisting of 2 parts: Part 1 is a multiple-choice, word-filling test with 10 questions, 1 point each question. Part 2 has a phonics pronunciation practice test, 5 questions, 2 points each question. Statistics used in data analysis include mean, percentage, standard deviation (S.D.), t-test values, and E1, E2 values (efficiency values). The research results are summarized as follows. 1. The efficiency of learning to read aloud using phonics Instruction for Grade 3 students is effective according to the standard criteria of 70 / 70. 2. The English pronunciation ability on the topic Our Weekend of third year primary school students after training using the English Vocabulary Pronunciation Skills Test on the topic Our Weekend was significantly higher than before training at the level 0.05. Thesis Title Development of English vocabulary reading and spelling skills using phonics instruction for Grade 3 students at Ban Ao Nam Bo School. Author Mr.Ananda Daengmuaen Major Program English Major, Faculty of Education, Phuket Rajabhat University Academic year 2023 Advisor Patimoh Yusoh
ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการใช้หลักการ อ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านอ่าวน ้าบ่อ ส าเร็จลุล่วงได้ด้วยความกรุณา และให้ค าปรึกษาอย่างดียิ่งจากอาจารย์พาตีเม๊าะ ยูโซะ อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย ที่ได้ถ่ายทอดความรู้ แนวคิด วิธีการและตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความ เอาใจใส่ยิ่ง ที่กรุณาตรวจสอบแนะน าวิจัยนี้ จนมีความถูกต้อง สมบูรณ์ ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณในความ กรุณาของทุกท่านเป็นอย่างสูง ขอขอบพระคุณนางรพีพร นันทภักดิ์ นางสาวเจษฎารัตน์ สังข์ศิลป์ชัย และนางสาวอรุณีอิสระโชติ คุณครูโรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ ที่ได้กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบและแก้ไข เครื่องมือในการวิจัย ส าหรับการท าวิจัยให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบพระคุณผู้บริหาร คณะครู ที ่ให้ความช ่วยเหลือในวิจัยครั้งนี้ รวมถึงขอขอบใจนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ส่งผลให้ผู้วิจัยสามารถ ด าเนินการรวบรวมข้อมูลด าเนินการไปได้ด้วยดี ขอขอบคุณครอบครัวที่คอยให้ความเหลือ สนับสนุนทั้งด้านก าลังใจ ก าลังกาย และก าลังทรัพย์ รวมทั้งแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ จนวิจัยส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี สุดท้ายนี้คุณค่าหรือประโยชน์ทั้งหลายที่ได้รับจากวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นความกตัญญูกตเวที แด่บิดา มารดา และบูรพาจารย์ ที่เคยอบรมสั่งสอน แนะน า รวมทั้งผู้มีพระคุณทุกท่าน ให้การสนับสนุน และให้ก าลังใจอย่างดียิ่งเสมอมา อนันดา แดงเหมือน
ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อ………………………………………………………………………………………………………………………….. ก ABSTRACT………………………………………………………………………………………………………………………. ข กิตติกรรมประกาศ…………………………………………………………………………………………………………….. ค สารบัญ…………………………………………………………………………………………………………………………….. ง สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………………………… ฉ สารบัญภาพ……………………………………………………………………………………………………………………… ฌ บทที่ 1 บทน า ปัญหาและความส าคัญของปัญหา……………………………………………………............................… 1 วัตถุประสงค์ของการศึกษา………………………………………………………………………………………... 5 สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า……………………………………………………………………………........ 5 ขอบเขตของการศึกษา…………………………………………………………………………………………….... 5 นิยามศัพท์เฉพาะ................................................................................................................. ... 6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ………………………………………………………….................................... 7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ...... 8 การเขียนสะกดค าภาษาอังกฤษ………………………………………………………………….................... 13 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะการออกเสียงแบบโฟนิกส์.......................................................... 16 การเขียนสะกดค าภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์…………………………………………………………………. 22 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………………………………… 22 กรอบแนวคิดของการวิจัย…………………………………………………………………...........…………….. 25 บทที่ 3 วิธีด าเนินการศึกษา ประชากรและกลุ่มศึกษา………………………………………….......………………………………………….. 26 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาและการหาคุณภาพเครื่องมือ......................................................... 26 การเก็บรวบรวมข้อมูล………………………………………….......…………………………………………...... 28 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................... 29
จ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 ผลการศึกษา สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................... 31 ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................... 31 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................................. 32 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการศึกษา....................................................................................................... 36 สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า............................................................................................... 36 วิธีด าเนินการศึกษา.................................................................................................................. 36 เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา....................................................................................................... 37 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล..................................................................................... 37 สรุปผลการศึกษา...................................................................................................................... 38 อภิปรายผลการวิจัย.................................................................................................................. 38 ข้อเสนอแนะ............................................................................................................................. 40 บรรณานุกรม................................................................................................................................... 41 ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...................................................................................... 47 ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์การทดสอบคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย…………………………… 66 ภาคผนวก ค รายนามผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย……………………………………………….. 95 ภาคผนวก ง หนังสือขอความอนุเคราะห์……………………………………………………………………….. 97 ภาคผนวก จ เครื่องมือการวิจัยส าหรับผู้เชี่ยวชาญ………………………………………………………….. 101 ภาคผนวก ฉ ผลการวิเคราะห์เครื่องมือส าหรับผู้เชี่ยวชาญ………………………………………………. 121 ภาคผนวก ช ตัวอย่างผลงานนักเรียน……………………………………………………………………………. 128 ประวัติผู้วิจัย………………………………………………..…………………………………………………………………… 130
ฉ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 ผลการหาประสิทธิภาพ โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์ เรื่อง Our Weekend ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3......................................................... 32 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถของทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend ที ่ได้จากการท าแบบวัดทักษะการอ ่านออกเสียงค าศัพท์ ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังงเรียน..................... 34 3 ค่าความยาก (p) และค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ ภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จ านวน 15 ข้อ............................... 67 4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟ นิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3............ 68 5 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟ นิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (แยก ประเภทแบบทดสอบ)...................................................................................................... 70 6 ผลการวิเคราะห์คะแนนแบบฝึกหัดระหว่างเรียนขณะจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการอ่าน ออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื ่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3........................................................................................................... 72 7 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ ก่อนเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในข้อที่ 11.......................................................................... 74 8 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ ก่อนเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในข้อที่ 12.......................................................................... 76 9 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ ก่อนเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ในข้อที่ 13........................................................................... 78 10 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ ก่อนเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ในข้อที่ 14........................................................................... 80
ช สารบัญตาราง (ต่อ) หน้า ตารางที่ 11 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ ก่อนเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ในข้อที่ 15........................................................................... 82 12 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ หลังเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ในข้อที่ 11........................................................................... 84 13 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ หลังเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ในข้อที่ 12........................................................................... 86 14 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ หลังเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3ในข้อที่ 13........................................................................... 88 15 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ หลังเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในข้อที่ 14.......................................................................... 90 16 ผลการวิเคราะห์คะแนนการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend แบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ หลังเรียน ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในข้อที่ 15.......................................................................... 92 17 ผลการประเมินความเหมาะสมของแบบวัดทักษะการอ ่านออกเสียงค าศัพท์ ภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ก่อนเรียน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จ านวน 15 ข้อ.............. 122 18 ผลการประเมินความเหมาะสมของแบบวัดทักษะการอ ่านออกเสียงค าศัพท์ ภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) หลังเรียน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จ านวน 15 ข้อ.............. 123 19 ผลการประเมินความเหมาะสมของใบงาน / ใบกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนรู้การ อ ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื ่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ชุดที่ 1 จ านวน 10 ข้อ....................................................................... 124
ซ สารบัญตาราง (ต่อ) หน้า ตารางที่ 20 ผลการประเมินความเหมาะสมของใบงาน / ใบกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนรู้ การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชุดที่ 2 จ านวน 10 ข้อ.................................................. 124 21 ผลการประเมินความเหมาะสมของใบงาน / ใบกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนรู้ การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชุดที่ 3 จ านวน 10 ข้อ.................................................. 125 22 ผลการประเมินความเหมาะสมของใบงาน / ใบกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนรู้ การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชุดที่ 4 จ านวน 10 ข้อ.................................................. 125 23 ผลการประเมินความเหมาะสมของใบงาน / ใบกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนรู้ การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชุดที่ 5 จ านวน 10 ข้อ.................................................. 126 24 ผลการประเมินความเหมาะสมของใบงาน / ใบกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนรู้ การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชุดที่ 6 จ านวน 10 ข้อ.................................................. 126 25 ผลการประเมินความเหมาะสมของใบงาน / ใบกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนรู้ การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชุดที่ 7 จ านวน 10 ข้อ.................................................. 127
ฌ สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 1 หลักสูตรได้มีการก าหนดรหัสก ากับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด.............................. 12 2 การเปรียบเทียบค าศัพท์เดิมกับค าศัพท์ใหม่................................................................... 15 3 วิธีการแยกค าที่มีหลายพยางค์ออกจากกัน..................................................................... 16 4 ภาพตัวอย่างสื่อการสอนการสะกดค า............................................................................ 16 5 ตัวอย่างสระ.................................................................................................................. 21 6 ตัวอย่างสระกลาง.......................................................................................................... . 21 7 กรอบแนวคิด.................................................................................................................. 25 8 ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบก่อนเรียนแต่ละประเภท................................................... 32 9 ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบหลังเรียนแต่ละประเภท.................................................... 33 10 ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบก่อน - หลังเรียน............................................................... 33 11 คะแนนแบบทดสอบก่อน-หลังเรียนรายบุคคล............................................................... 33 12 คะแนนแบบฝึกหัดรายบุคคล......................................................................................... 35 13 ผลการวิเคราะห์คะแนนแบบฝึกหัดทั้งหมด.................................................................... 35 14 ผลการวิเคราะห์คะแนนแบบฝึกหัดแต่ละชุด.................................................................. 35 15 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากโปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติการพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดย ใช้กาหลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ....... 94
1 บทที่ 1 บทน า ปัญหาและความส าคัญของปัญหา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ความส าคัญของการเรียนรู้ภาษาต ่างประเทศมีความส าคัญและจ าเป็นอย ่างยิ ่งใน ชีวิตประจ าวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบ อาชีพมีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้ รวมทั้งเข้าถึงองค์ ความรู้ต่าง ๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้น มุ่งหวังในด้านภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น การใช้ ภาษาต่างประเทศ ในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เป็นพื้นฐานในการพัฒนา แสวงหา ความรู้และเปิดโลกทัศน์ของตน และด้านภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก การใช้ภาษาต่างประเทศ ในสถานการณ์ต ่าง ๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนชุมชนและสังคมโลก เป็นเครื ่องมือพื้นฐานใน การศึกษาต่อ ประกอบอาชีพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) กระทรวงศึกษาธิการก าหนดให้วิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชา ที่ส าคัญซึ่งอยู่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ และก าหนดให้เรียนทุกระดับชั้น โดยสถานศึกษาต้องจัดเป็นสาระการเรียนรู้ที่ผู้เรียนทุก คนต้องเรียน การเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ได้ เรียนเพื่อความรู้เพียงอย่างเดียว แต่เรียนเพื่อสามารถใช้ภาษา เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร กับผู้อื่นได้ ตามความต้องการในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจ าวัน ค าศัพท์ในทุกภาษานับเป็นหัวใจส าคัญประการหนึ่งของการเรียนรู้ ผู้ที่รู้ค าศัพท์และ วิธีใช้ค าศัพท์นั้นๆ จะ พูด ฟัง อ่าน และเขียนได้ดี ค าศัพท์เป็นพื้นฐาน ของการสื่อสาร ถ้าหากผู้เรียนไม่สามารถจ าความหมายของ ค า ก็จะไม่สามารถใช้ค าศัพท์ใน การอ่านหรือการสนทนาได้ การสอนค าศัพท์ให้กับผู้เรียนในปัจจุบันมี แนวโน้มที่จะสอนค าศัพท์ ในรูปแบบข้อความ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาค าศัพท์ให้เกิดประโยชน์โดยน าค าศัพท์ มาใช้และเรียน ควบคู่กับการเรียนไวยากรณ์ และการเรียนค าศัพท์ให้เข้าใจนั้นผู้เรียนจะต้องรู้จัก และเข้าใจ ใน การใช้ภาษาทั้งในรูปแบบของการพูดและการเขียนค าศัพท์ด้วยตนเอง โดยผู้เรียนต้องสามารถ ระบุ ความสัมพันธ์ระหว ่างค าเพื่อที ่จะแสดงลักษณะของค าศัพท์ด้วยส านวนและความหมายใช้ ประโยช น์ที่ สามารถน าไปประยุกต์ใช้ (กระทรวงศึกษาธิการ 2562) ภาษาเป็นหัวใจของการสื่อสาร และ ภาษาอังกฤษ คือ ภาษากลางของโลกที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสาร ในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ในทุกๆประเทศ รวมถึงประเทศไทยจึงให้ความส าคัญกับภาษาอังกฤษ เพราะ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแห่งโอกาสที่จะเป็นเครื่องมือส าคัญในการติดต่อสื่อสาร การแสวงหาความรู้ การ
2 ประกอบอาชีพ และการสร้างความเข้าใจเกี ่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก โดยเฉพาะใน ปัจจุบันที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สมาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประชาชนสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างไร้พรหม แดน ภาษาอังกฤษถูกน ามาใช้เป็นภาษาราชการ ด้วยเหตุนี้เองวิชาภาษาอังกฤษจึงมีบทบาทเป็นอย่างมาก ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาของชาติปัจจุบันก าหนดให้นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 จะต้องเรียนภาษาอังกฤษ จ านวน 200 ชั่วโมง ซึ่งมากเทียบเท่ากับการเรียนวิชาภาษาไทยที่เป็นภาษาแม่ เพื ่อมุ ่งหวังให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีทั้งทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน และสามารถใช้ ภาษาอังกฤษเพื่อเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง รวมถึงสามารถพัฒนาศักยภาพของ ตนเองให้ถึงขีดสูงสุด (พิมพ์ใจ เจริญศรี, 2564) ความส าคัญของค าศัพท์การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมศึกษาเพื ่อให้นักเรียน สามารถอ่านออกเขียนได้ อย่างเหมาะสมกับระดับชั้นเรียน ผู้สอนมักจะด าเนินการสอนโดยเริ่มตั้งแต่การ สอนศัพท์ สอนอ่าน แล้วจึงสอนโครงสร้างของประโยค ค าศัพท์จึงเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญของภาษาที่จะ น าไปสู ่การเรียนรู้ข้อความประโยคและโครงสร้างของภาษา ดังนั้นส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547) ได้กล่าวถึง ความส าคัญของค าศัพท์ภาษาอังกฤษว่าค าศัพท์จะช่วยให้นักเรียนจะช่วยให้นักเรียน เข้าใจความหมายของค า สามารถเรียงล าดับตัวอักษรได้ถูกต้อง กล้าพูด อ่าน และเขียนเป็นประโยคอย่าง มั่นใจสรุป ศัพท์ภาษาอังกฤษมีความส าคัญเพราะ จะช่วยให้เข้าใจความหมายของค าที่อ่าน อันจะน าไปสู่ การพูด การฟัง การอ่านและการเขียนอย่างมีความหมายที่ถูกต้อง (วิภาวัลย์ รักษาศิลป์, 2561) การสื่อสารภาษาอังกฤษสามารถกระท าได้ 2 วิธี คือ การสื่อสารด้วยการพูด และการสื่อสารด้วย การเขียน การสื่อสารทั้ง 2 แบบมีความส าคัญเท่า ๆ กัน (พิณทิพย์ ทวยเจริญ, 2563) อ้างถึงใน (พัชราภรณ์ ห ่อตระกูล และ สุพจน์ แก้วไพฑูรย์, 2564) แต ่การเขียนเป็นทักษะที ่มีความซับซ้อนมากที ่สุดหาก เปรียบเทียบกับทักษะอื ่นๆ เพราะจะเขียนได้ดีจะต้องอาศัยทักษะการฟัง อ ่านและพูดประกอบกัน นอกจากนั้นแล้วการเขียนต้องค านึงถึงการเขียนสะกดค าที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ความหมายใจความที่สมบูรณ์ แต่ทว่าการเขียนสะกดค าเป็นสิ่งที่ท้าทายส าหรับนักเรียนประถมศึกษาที่มีพื้นฐานทางภาษาไม่แข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนักเรียนประถมศึกษาชั้นปีที่ 3 หากวิธีการสอนไม่ตรงต่อความต้องการของผู้เรียน การ สอนไม่มีคุณภาพ และไม่มีสื่อที่ช่วยฟื้นฟูหรือพัฒนาความสามารถ จะส่งผลให้ผู้เรียนมีความสามารถในการ เรียนที ่เพิ ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือไม ่พัฒนาขึ้นเลย (Warner, Cheney & Pienkowski, 1996 อ้างถึงใน Lebzelter & Nowacek,2021) อย ่างไรก็ตามการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในปัจจุบันยังคงปรากฏปัญหาในเรื ่อง ความสามารถในการออกเสียงภาษาอังกฤษของผู้เรียนอยู ่ จะเห็นได้จากงานวิจัยของถิรวัฒน์ ตันทนิส
3 (2555) ที่พบว่าผู้เรียนมีปัญหาในการออกเสียงหน่วยเสียงในภาษาอังกฤษในต าแหน่งพยัญชนะต้น คือ /θ/,/ð/, /v/, /r/, /z/, /ʃ/, /ʒ/, /ʧ/หน่วยเสียงในต าแหน่งพยัญชนะท้าย คือ /ʒ/, /ʤ/, /ʃ/, /θ/, /ð/, /z/, /ʧ/, /g/, /l/ หน่วยเสียงสระ คือ /ə/, /ɒ/, /ɑ/, และหน่วยเสียงสระผสม (Diphthong) คือ /ɒɪ/, /ʊə/ปัญหาเหล่านี้เนื่องมาจากหน่วยเสียงที่กล่าวมานั้นไม่ปรากฏในระบบเสียงภาษาไทยผู้เรียนจึง ไม่คุ้นเคยกับเสียง ท าให้เกิดการน าเอาหน่วยเสียงในภาษาไทยที่มีเสียงใกล้เคียงกันมาใช้แทนการออกเสียงที่ ถูกต้อง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของกุลธิดา กู้เกียรติกาญจน์ (2561) ที่กล่าวว่า ผู้เรียนมักจะออกเสียงค าที่ สะกดด้วยหน่วยเสียงสระ เช่น /æ/, /e/, /i/ /ɒ/และ /ʌ/ด้วยการแทนเสียงสระ /แอะ/, /เอะ/, /อิ/, / เอาะ/ และ /อะ/ ในระบบเสียงภาษาไทย จากสภาพการณ์ดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อทักษะการสื่อสารด้าน ภาษาอังกฤษของนักเรียนเพราะเมื่อออกเสียงระดับหน่วยเสียงไม่ถูกต้องจะส่งผลต่อการออกเสียงในระดับ ค าที ่ไม ่ถูกต้องด้วยเช ่นกัน และจะยิ ่งทวีความบกพร ่องหากนักเรียนออกเสียงในระดับที ่ใหญ ่ขึ้น เช่น ข้อความ หรือ ประโยคสนทนา ท าให้การสื่อความหมายนั้นไม่ประสบผลส าเร็จ แนวทางหนึ่งที่สามารถ น ามาใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องตามหลัก ภาษา คือ การสอนด้วยวิธีโฟนิกส์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเสียงกับตัวอักษร จาก การศึกษาของ Salas (2019) พบว่าหลังจากได้รับการสอนแบบโฟนิกส์นักเรียนมีความสามารถในการออก เสียงตัวอักษรและอ่านออกเสียงค าภาษาอังกฤษได้ดีกว่านักเรียนที่ไม่มีพื้นฐานความรู้เรื่องโฟนิกส์เลย ซึ่ง สอดคล้องกับผลการวิจัยของณัฐพลสุริยมณฑล, นิธิดา อดิภัทรนันท์และนันทิยา แสงสิน (2562) ที่พบว่า หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีโฟนิกส์นักเรียนสามารถอ่านออกเสียงและสะกดค าศัพท์ได้อย ่างถูกต้อง รวมทั้งยังสามารถอ่านออกเสียงค าศัพท์ซึ่งมีองค์ประกอบของหน่วยเสียงที่คล้ายกับค าศัพท์ที่เคยเรียน มาแล้วได้แม้ว่าจะไม่เคยเรียนมาก่อน เช่นเดียวกับผลการวิจัยของดาราศิริ ศิวิลัย และสุจินดา ขจรรุ่งศิลป์ (2557) ที่พบว่าหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีโฟนิกส์นักเรียนในระดับชั้นอนุบาล 1 มีความสามารถในการ ออกเสียงของตัวอักษรที่สูงขึ้นและท าให้นักเรียนมีความสามารถในการอ่านค าตามหลักของโฟนิสก์สูงกว่า ก่อนเรียน (จุฑารัตน์ วิลัยรัตน์, 2563) กระบวนการเรียนรู้ทางภาษาที่มีประสิทธิภาพจึงต้องเริ่มจากล่างขึ้นบน (Bottom-Up Approach) คือเริ่มจากวางพื้นฐานให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่จะสะกดค าและอ่านค าผ่านการถอดรหัสเสียง(Buckingham,J.,2018) แล้วตามด้วยการสอนค าศัพท์และไวยกรณ์ บทสนทนาและบทอ่านตามล าดับ ดังนั้นเพื่อให้การสอนภาษา อังกฤษส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ไม่หลงทางจึงต้องปฏิรูป รูปแบบการเรียนการสอนใหม่โดย การใช้วิธีการแบบโฟนิกส์ (Phonics) ที่ได้ถูกบรรจุไว้ในหลักการสอนให้ผู้เรียนรู้หนังสือ (Literacy) ทั้งใน
4 ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาหลัก (English as a Mother Language Country) เช่น ประเทศ อังกฤษ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนนาดา เป็นต้น หรือแม้แต่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษในฐานะ ภาษาต่างประเทศ เช่น ประเทศนอร์เวย์ ประเทศมาเลเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ (คะนึงรัตน์ งามเกียรติขจร ,2560) ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เห็นว่าวิธีการโฟนิกส์ (Phonics) เป็นแนวทางหนึ่งที่ควรจะน ามาเป็นแนวทาง ในการสอนอ่านและเขียนสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษขั้นเริ ่มต้นส าหรับนักเรียนโดยเฉพาะในระดับชั้น ประถมศึกษาตอนต้นซึ ่งเป็นวัยเริ ่มเรียนรู้ ควรได้รับการปลูกฝังและการออกเสียงที ่ถูกวิธีตามล าดับ สัทศาสตร์(McGraw-Hill, 2022) การสอนด้วยเทคนิคโฟนิกส์ (Phonics)เป็นแนวการสอนภาษาที่เน้นให้ผู้เรียนรู้จักแยกแยะหน่วย เสียง (phoneme) ภาษาอังกฤษหรือถอดรหัสเสียง (Phonemic awareness/decoding) ก่อนที่จะอ่าน เป็นค า และเมื ่อเอาหน ่วยเสียงมาเชื ่อมกับตัวอักษร (letter soundcorrespondence หรือ phonics) ผู้เรียนก็สามารถจะอ่านเป็นค า ได้ง่ายดาย การสอนด้วยเทคนิคโฟนิกส์ต้องสอนอย่างเป็นระบบ เป็นล า ดับ ตามขั้นตอน ซี ่งเทคนิคการสอนโฟนิกส์ในรูปแบบดังกล ่าว มีผลท า ให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางด้าน ภาษาอังกฤษสูงเมื่อเปรียบเทียบกับการสอนด้วยวิธีอื่น (อินทิรา ศรีประสิทธิ์, 2550) และในปัจจุบันการ เรียนการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics)เป็นที่สนใจอย่างแพร่หลายขึ้น มีงานวิจัยรองรับชัดเจนว่าการเรียน การสอนดังกล ่าวจะช ่วยวางพื้นฐานและสร้างความเข้าใจในตัวภาษา เพื่อต่อยอดทักษะการอ่าน-เขียน ภาษาอังกฤษของผู้เรียนให้ได้ดียิ่งขึ้น (บินยากร นวลสนิท, 2563) ที่ผ่านมามีผลการศึกษาในประเทศจ านวนไม่น้อยที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความส าคัญของการวางพื้นฐาน การอ่านและเขียนสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการแบบโฟนิกส์ (Phonics) ให้แก่ผู้เรียนตั้งแต่ช่วง เริ่มเรียนภาษา ดังเช่นผลการศึกษาของ อินทิรา ศรีประสิทธิ์(2552) ที่ระบุว่าระบบวิธีสอนภาษาอังกฤษขั้น เริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดประกอบด้วยการปูพื้นฐานทางภาษา 3 ประการ คือ 1) การฝึกให้รู้จัก หน่วยเสียงทุกเสียงของภาษาอังกฤษ (Phonemic awareness) หรือการฟัง 2) การฝึกโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อเชื่อมโยงตัวอักษรกับหน่วยเสียงหรือการฝึกอ่านออกเสียงอย่างเป็นระบบ 3) การฝึกทักษะภาษาอังกฤษ ด้วยวิธีการของการสอนอ่านเป็นค า (Whole – word method) หรือแบบองค์รวม (Whole language) การจัดการเรียนรู้ในวิชาภาษาอังกฤษที่ผ่านมา ผู้วิจัยพบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีปัญหาการจ าจด พยัญชนะ การอ่านออกเสียงค าศัพท์ และยังไม ่เคยอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอน แบบโฟนิกส์มาก่อน ผู้วิจัยจึงต้องการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการใช้หลักการ อ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์(Phonics) เพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ มีความสามารถในการ จ าแนกหมวดหมู่ และมีขั้นตอนในการสะกดค าศัพท์อย่างประสิทธิภาพ
5 วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื ่อออกแบบการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 2. เพื ่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักการหลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า 1. การจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) ใน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 2. ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการหลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) ใน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงขึ้นกว่าก่อนฝึกออกเสียงโดยใช้หลักการหลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) ขอบเขตของการศึกษา ผู้วิจัยได้ก าหนดขอบเขตของการศึกษาไว้ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มศึกษา ประชากร นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ ่อ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านอ่าวน ้าบ่อ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 1 ห้องเรียน 39 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรที่ใช้ในการพัฒนา ได้แก่ การจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออก เสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) 2.2 ตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ ทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ
6 3. เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา ผู้วิจัยก าหนดบทเรียนโดยใช้เนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ รหัสวิชา อ13101 สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมี เหตุผล ตัวชี้วัด ป.3/2 อ่านออกเสียงค า สะกดค า อ่านกลุ่มค า ประโยค ข้อความง่ายๆ และบทพูดเข้าจังหวะถูกต้อง ตามหลักการอ่าน เรื่อง Our Weekend 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา ผู้วิจัยด าเนินการวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ระยะเวลา 3 สัปดาห์ ใช้เวลาฝึกสัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 1 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ 1. โฟนิกส์ (Phonics Method) คือวิธีการเรียนอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการถอดรหัส เสียงและการผสมเสียงตัวอักษร a ถึง z ทั้ง 26 ตัว ผู้เรียนจะต้องเข้าใจเสียงของตัวอักษรต่างๆ และออก เสียงเหล่านั้นให้ได้อย่างถูกต้องจึงจะสามารถผสมเสียงออกมาเป็นค าได้ ยกตัวอย่างเช่น การสะกดค าว่า cat ในสมัยก่อน จะท่องกันว่า ซี-เอ-ที แคท แมว ซึ่งยากที่จะเข้าใจว่าท าไม ซี-เอ-ที ถึงกลายเป็นแคทไปได้ เพราะการท่องแบบนี้ไม่ได้ใช้หลักการผสมเสียงแต่เป็นการท่องจ าการสะกดค าเสียมากกว่า จากตัวอย่างนี้ ถ้าเรียนตามหลักโฟนิกส์ จะสอนให้รู้จักตัว “c” จากเสียงของมันคือเสียง “ค” (ออกเสียงเคอะ เบาๆ ใน ล าคอ) ตัว “a” เป็นเสียง “แอะ” และตัว “t” เป็นเสียง “ท” (ออกเสียง เทอะ เบาๆ ใช้ปลายลิ้นกระทบ ฟันหน้าบน) และผสมเสียงกันเป็น “ค-แอะ-ท แคท” (ลองออกเสียง ค-แอะ-ท ซ ้าๆ เร็วๆ จะพบว่าสุดท้าย จะออกเสียงเป็น “แคท”) หลักการถอดรหัสเสียง ซึ่งการผสมเสียงแบบนี้เรียกว่าโฟนิกส์ 2. วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics Method) คือ วิธีการสอนออกเสียงที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง เสียงและตัวอักษรโดยใช้การออกเสียงเป็นตัวก าหนดและให้ความส าคัญกับเสียงของตัวอักษรและการสะกด ค าซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการสอนอ่านเบื้องต้น 3. การออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) หมายถึง วิธีการเรียนอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักการถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตัวอักษร a ถึง z ทั้ง 26 ตัว ผู้เรียนจะต้องเข้าใจเสียงของ ตัวอักษรต่างๆ และออกเสียงเหล่านั้นให้ได้อย่างถูกต้องจึงจะสามารถผสมเสียงออกมาเป็นค าได้
7 4. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการแบบออกเสียงแบบโฟนิกส์ หมายถึง ดัชนีการ บรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการแบบออกเสียงแบบโฟนิกส์ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 โดย 70 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการแบบออก เสียงแบบโฟนิกส์ ระหว่างการใช้นวัตกรรม ทั้งหมด 2 ครั้ง เป็นคะแนนระหว่างเรียน ได้คะแนนร้อยละ 70 70 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนจากการท าแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการ ออกเสียงแบบโฟนิกส์ หลังการใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการแบบออกเสียงแบบโฟนิกส์ คะแนนร้อย ละ 70/70 5. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อวัดความสามารถด้าน การออกเสียงแบบโฟนิกส์ ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีจำนวน 1 แผนการเรียนรู้ 6. แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการออกเสียงแบบโฟนิกส์ หมายถึง แบบทดสอบแบบปฏิบัติการ ออกเสียงแบบโฟนิกส์ ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นเพื่อวัดความสามารถในด้านการออกเสียงแบบโฟนิกส์ จำนวน 10 ข้อ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ผู้เรียนมีทักษะการอ่านสะกดค าศัพท์ที่สูงขึ้น และสามารถน าความรู้ที่ได้ไปต่อยอดในการเรียนที่มี ระดับสูงขึ้นได้ 2. ผู้เรียนรู้วิธีอ่านออกเสียงและสะกดค าที่ไม่คุ้นเคยได้ เนื่องจากหลักโฟนิกส์ (Phonics) จะช่วยเรื่อง การประสมค าให้ผู้เรียนสามารถอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถสื่อสาร ภาษาอังกฤษได้ดีมากขึ้น เพราะเมื่อเด็กสามารถสะกดค าศัพท์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่ว
8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื ่อ 1) เพื ่อออกแบบการจัดการเรียนรู้การอ ่านออกเสียงโดยใช้ หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อพัฒนาทักษะ การอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักการหลักการอ ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมี รายละเอียดดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศที่ ได้มีการก าหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะส าคัญของนักเรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการ เรียนรู้ และตัวชี้วัดที ่ชัดเจน เพื ่อใช้เป็นทิศทางในการจัดท าหลักสูตรการเรียนการสอนในแต่ละระดับ นอกจากนั้น ได้ก าหนดโครงสร้างเวลาเรียนขั้นต ่าของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละชั้นปีไว้ในหลักสูตร แกนกลาง และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพิ่มเติมเวลาเรียนได้ ตามความพร้อมและจุดเน้น อีกทั้งได้ปรับ กระบวนการวัด และประเมินผลนักเรียน เกณฑ์การจบ การศึกษาแต่ละระดับและเอกสารแสดงหลักฐาน ทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐาน การเรียนรู้และ มีความชัดเจนต่อการน าไปปฏิบัติ ซึ่งมี รายละเอียด ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นก าลังของชาติให้เป็นมนุษย์ ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึด มั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะ พื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จ าเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้น ผู้เรียนเป็นส าคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ
9 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่ส าคัญ ดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็น เป้าหมายส าหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐาน ของความเป็น ไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอ านาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัด การเรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาส าหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก กลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มี ศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงก าหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษา ขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกก าลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั ่นในวิถีชีวิตและ การ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตส านึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิต สาธารณะที่มุ่งท าประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ ตามมาตรฐานที่ก าหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะส าคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังนี้
10 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะส าคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจน การเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่าง สร้างสรรค์ การคิดอย ่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื ่อน าไปสู ่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้ อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และ การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและ แก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที ่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเอง สังคมและ สิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการน ากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการ ด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และการอยู่ร่วมกันใน สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี ่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี ่ยง พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การ ท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม
11 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการท างาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถก าหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตามบริบท และจุดเน้นของตนเอง มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยม ที่พึงประสงค์ เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกส าคัญ ในการขับเคลื่อนพัฒนา การศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และ ประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการ ประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งส าคัญที่ช่วยสะท้อนภาพ การจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้ก าหนดเพียงใด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซึ่ง สะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม น าไปใช้ในการก าหนด เนื้อหา จัดท าหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์ส าคัญส าหรับการวัดประเมินผลเพื่อ ตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน
12 1. ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต ่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 3) 2. ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปี ที่ 4 - 6) หลักสูตรได้มีการก าหนดรหัสก ากับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เพื่อความเข้าใจและให้สื่อสารตรงกัน ดังนี้ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ประกอบด้วย 4 สาระ ดังนี้ สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความคิดเห็น อย่างมีเหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 น าเสนอข้อมูลข่าวสารความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ โดยการ พูดและการเขียน สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และน าไปใช้ ได้ อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ ภาพที่ 1 หลักสูตรได้มีการก าหนดรหัสก ากับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
13 มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของ ภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทย และน ามาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและเป็น พื้นฐานในการพัฒนาแสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตน สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก ในการวิจัยครั้งนี้ เนื่องจากคณะผู้วิจัยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต คณะครุศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ และให้ความส าคัญกับการพัฒนาทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 คณะผู้วิจัยจึงพิจารณาเลือกสาระการเรียนรู้และตัวชี้วัดระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมี เหตุผล ตัวชี้วัด ป.3/2 อ่านออกเสียงค า สะกดค า อ่านกลุ่มค า ประโยค ข้อความง่ายๆ และบทพูดเข้าจังหวะถูกต้อง ตามหลักการอ่าน เรื่อง Our Weekend 2. การเขียนสะกดค าภาษาอังกฤษ 2.1 ความหมายของการเขียนสะกดค าศัพท์ นักการศึกษาได้ให้ความหมายของการเขียนสะกดค าไว้ดังนี้การเขียนสะกดค า คือ ศิลปะหรือเทคนิคใน การสร้างค า โดยก าหนดตัวอักษรแทนเป็นสัญลักษณ์หนึ ่งๆของเสียง เพื ่อเป็นข้อตกลงร ่วมกันในการ ถ่ายทอดค าออกมาเป็นตัวหนังสือ (สุกัญญา ศรีณะพรม และ ณัฐชา เรืองเกษม, 2560) นอกจากนั้นแล้วการเขียนสะกดค ายังต้องอาศัยหลักการการประสมค าและหลักเกณฑ์ในการเรียบเรียง พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกดและตัวการันต์ เพื่อให้ได้ความหมายที่ต้องการ และเป็นที่เข้าใจตรงกัน ทั้งผู้ให้สารและผู้รับสาร (อดุลย์ไทรเล็กทิม, 2561) จากความหมายของการเขียนสะกดค าดังกล่าวพอสรุปได้ว ่า การเขียนสะกดค า หมายถึงการเขียน ตัวอักษรตามเสียงที่เปล่งออกมา โดยเรียงตามการสะกดของค า ใช้การเรียงล าดับโดยเริ่มจากพยัญชนะ สระ และตัวสะกด เป็นการสื่อความหมายด้วยการเขียนเพื่อให้เข้าใจตรงกับระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร
14 2.2 ความส าคัญของการเขียนสะกดค าศัพท์ การเขียนสะกดค าได้ถูกต้องนั้น ถือว่าเป็นพื้นฐานของการเขียนที่มีความส าคัญและจ าเป็นอย่างมากใน การเขียนในระดับขั้นสูงต่อไปนักการศึกษาเห็นพ้องตรงกันว่าการเขียนสะกดค าเป็นสิ่งที่ส าคัญที่สุดในการ สื่อสาร โดยวิธีการเขียน การเขียนสะกดค าที่ถูกต้องจะส่งผลให้การสื ่อสารมีประสิทธิภาพ ผู้อ่านเข้าใจ ความหมายของค าตามความประสงค์ของผู้เขียน ค าผิด จะท านอกจากนั้นแล้วการเขียนสะกดค าที่ถูกต้อง จะช่วยเป็นแนวทางและพื้นฐานที่ดีในการเขียนประโยค เรื่องราว บทความและเรียงความต่อไป 2.3 จุดมุ่งหมายของการเขียนสะกดค าศัพท์ การเขียนสะกดค าในระดับชั้นประถมศึกษา ได้ ก าหนดจุดมุ่งหมายไว้ดังนี้ 1. มุ่งให้นักเรียนเขียนสะกดค าได้ถูกต้องตามแบบแผน สามารถเรียงล าดับรูปของค า 2. มุ่งให้นักเรียนสามารถใช้ค าได้ถูกต้องตามความหมายของภาษา 3. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนคุ้นเคยกับค าต่างๆ และสามารถใช้ได้กว้างขวาง 4. เพื่อให้นักเรียนค้นคว้าหาค าใหม่ๆ ได้ตามที่ต้องการ 5. เพื่อให้นักเรียนรู้จักค าต่างๆ ที่จ าเป็นในชีวิตประจ าวัน 6. เพื่อให้นักเรียนออกเสียงค าต่างๆ ได้ถูกต้อง 2.4 ปัญหาและสาเหตุของการเขียนสะกดค าผิด สาเหตุของการเขียนสะกดค าผิด เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้งจะพบว่านักเรียนเกือบทุกระดับชั้นส่วนใหญ่ เขียนสะกดค าผิดพลาด และบกพร่องอยู่เสมอ ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุอันได้แก่ การออกเสียงไม่ถูกต้อง เช่น กรวดน ้าเป็นตรวจน ้า ท าให้มีประสบการณ์การจ ารูปค าที่ผิดและเข้าใจผิดความหมาย ไม่สามารถน าไปใช้ งานได้อย่าถูกต้องนอกจากนั้นแล้วความไม่พร้อมหรือบกพร่องในด้านสุขภาพร่างกายและอารมณ์ก็เป็น ปัจจัยส าคัญที่ส่งผให้ไม่สามารถเขียนสะกดค าได้ถูกต้อง จากผลส ารวจยังพบอีกว่าปัญหา การเขียนสะกด ค าผิดส่วนใหญ่ของนักเรียนเกิดจากการได้รับรู้ตัวอย่างที่ผิด เช่น การใช้แนวเทียบผิด ยกตัวอย่าง ค าว่า จ านง เขียนเป็นจ านงค์ เพราะเทียบกับค าว่า องค์ และค าว่า ดอกจัน เขียนเป็นดอกจันทร์ เพราะเทียบกับ ค าว่าดวงจันทร์ท าให้จ าค าแล้วไปใช้อย่างผิด ๆ พื้นฐานการประสมค าและเรียงก็เป็นสิ่งส าคัญในการเขียน สะกดค าเพราะหากนักเรียนจ าการเรียงอักษรไม่ได้ และได้รับการฝึกอย่างไม่ถูกต้องหรือได้รับการฝึกฝนที่ น้อยเกินไป จะท าให้ขาดความช านาญและความคุ้นชินทางภาษา สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ กระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวถึง คือ การใช้พจนานุกรมของนักเรียน ปัจจุบัน พบว่านักเรียนไม่เคยใช้พจนานุกรมและใช้พจนานุกรมไม่เป็น เมื่อนักเรียนไม่ทราบการสะกดค า นักเรียนจะ ใช้วิธีการหาค าทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งโดยมากจะสะกดค าไม่ถูกต้อง ท าให้เกิดการสับสนและจดจ าไปอย่าง
15 ผิดๆ และอีกประเด็นหนึ่งคือ พจนานุกรมมักมีการแก้ไขบ่อยครั้ง ซึ่งท าให้ก าหนดแบบอย่างได้ยากจาก ความคิดเห็นของนักวิชาการ สรุปได้ว่า สาเหตุการเขียนสะกดค าผิด เกิดจากการที่นักเรียนมีพื้นฐานไม่ แม่นย า สะกดค าจากการจ าตัวอักษร ไม่เข้าใจเสียงของพยัญชนะและหลักการสะกดค าที่ถูกต้องจดจ าที่ผิด มาใช้ ใช้คู่เทียบเสียงที่ผิดและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อภาษา 2.5 หลักการเขียนสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษ การสอนเขียนสะกดค าในภาษาอังกฤษใช้วิธีการสอนเป็นค าและเป็นประโยคซึ่งต่างจากแนวคิดของ พิตรวัลย์ โกวิทวที ที่มองว่าการสอนสะกดค าควรใช้วิธีการสะกดค าที่มีหลักการและเหตุผล ใช้การสังเกตมา เป็นเครื่องช่วยในการสะกดค า กล่าวคือ 1. ใช้การออกเสียงเป็นจังหวะหรือพยางค์แทนการออกเสียงที่สะกดติดกันไปทั้งค า ใช้น ้าเสียงเน้นหนัก และเบาตามกฎการออกเสียง (Phonetics) เช่น ค าว่า teacher นักเรียนจะออกเสียงดังนี้ tea-ch-erอ่าน ว่า (ที:ลากเสียงให้ยาวประมาณ 2 วินาที เพื่อให้ทราบว่าทีประกอบด้วยสระเสียงยาว คือ ea เพราะหาก อ่านว่า ที แล้วไม่ลากเสียง นักเรียนอาจคิดว่า สะกดด้วยสระเสียงสั้น คือ ty ti ก็เป็นได้) จากนั้นเสียง chอ่านว่า (เชอะ: มีการกระแทกเสียง เพื่อให้แตกต่างจากตัว sh-) สุดท้ายเสียง –er อ่านว่า (เอ้อร์) แล้วค่อย อ่านรวมค าอีกทีว่า teacher 2. ฝึกให้รู้จักสังเกตและเปรียบเทียบ ค าศัพท์เดิมที่มีลักษณะคล้ายกับค าศัพท์ใหม่ อาจเป็นขึ้นต้นด้วย พยัญชนะต้น สระ หรือตัวสะกด เหมือนกันก็ได้ เหล ่านี้จะท าให้นักเรียนเข้าใจเสียงของตัวอักษรและ สามารถจ าค าใหม่ได้รวดเร็วและแม่นย า เช่น ค าที่เรียนมาแล้ว ค าใหม่ ear year, dear, hear cake make drink think อย่างไรก็ตามในครูควรให้นักเรียนเชื่อมโยงค าศัพท์ใหม่กับค าศัพท์เดิมที่เคยรู้ในทันทีที่สอนค าศัพท์ ใหม่ ภาพที่ 2 การเปรียบเทียบค าศัพท์เดิมกับค าศัพท์ใหม่
16 3. ใช้วิธีการบวกลบตัวอักษร เช ่น ค าว ่า hear เมื ่อลบ h ออก จะเหลือค าว ่า ear และเมื ่อเติม พยัญชนะต้นตัวอื่น เช่น n จะกลายเป็นค าว่า near ซึ่งอ่านออกเสียงคล้ายกัน 4. ใช้วิธีให้ตัวอักษรทั้งหมดของค า แล้วให้เรียงตัวอักษรใหม ่ให้เป็นค า เช ่น tsdneit= dentist,mhorte= mother เป็นต้น ซึ ่งวิธีการนี้จะช ่วยนักเรียนสะกดค าได้เร็วขึ้นกว ่าการที ่ต้องนึก ตัวอักษรทั้งหมดเอง 5. ใช้วิธีการแยกค าที่มีหลายพยางค์ออกจากกัน แล้วใช้การจับคู่พยางค์เพื่อให้เป็นค าที่สมบูรณ์เช่น 6. ใช้ภาพเข้าช่วย โดยภาพจะต้องเป็นค าที่นักเรียนคุ้นเคยหรือทราบวิธีการสะกดอยู่แล้ว เช่น กล่าวโดยสรุปได้ว่า หลักการเขียนสะกดค านั้น จะต้องให้นักเรียนได้เชื่อมโยงค าศัพท์ใหม่และค าศัพท์ เก่าเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกสังเกต และมีการอ่านออกเสียงพยัญชนะให้ถูกต้องก่อนเขียน และเชื่อมโยงค าศัพท์ กับรูปภาพ และมีการน าค าศัพท์ไปใช้แต่งประโยคเพื่อให้นักเรียนสามารถน าไปใช้ได้จริง 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับทักษะการออกเสียงแบบโฟนิกส์ การสอนแบบโฟนิกส์การสอนแบบโฟนิกส์ เป็นวิธีการสอนโดยใช้การออกเสียงเป็นตัวก าหนดและให้ ความส าคัญกับเสียงของตัวอักษรและการสะกดค า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการสอนอ่านเบื้องต้น ซึ่งมี รายละเอียดดังนี้ ภาพที่ 3 วิธีการแยกค าที่มีหลายพยางค์ออกจากกัน ภาพที่ 4 ภาพตัวอย่างสื่อการสอนการสะกดค า
17 ความหมายของการสอนแบบโฟนิกส์ นักวิชาการได้กล่าวถึงความหมายของการสอนแบบโฟนิกส์ไว้ ดังนี้ เจมส์ และแพทริเซีย (James and Patricia. 1967 อ้างถึงใน ฉวีวรรณ วัฒนานุกิจ,2565) กล่าววา การสอนแบบโฟนิกส์เป็นการประยุกต์วิชาทีวาด้วยเสียงของภาษา (Phonetics) เพือใช้ในการสอนการอ่าน ฮัฟส์ (Hughes. 1972 อ้างถึงใน ฉวีวรรณ วัฒนานุกิจ,2565) ได้กล่าวว่า การสอนแบบโฟนิกส์นัน เป็น การสอนการอ่าน ตั้งอยู ่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ของเสียงและตัวอักษร เพื ่อสร้างความเข้าใจระหวาง ตัวอักษรต่าง ๆ และเสียงอ่านทีเกิดจากตัวอักษรนัน ๆ เรย์เนอร์ (Rayner and et al. 2002 อ้างถึงใน ฉวีวรรณ วัฒนานุกิจ,2565) ให้ความหมายของการ สอนแบบโฟนิกส์ว่า เป็นรูปแบบการเรียนภาษาโดยการเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว ่างตัวอักษรและเสียง ทีมหน่วยเสียงย่อยต่าง ๆ ผู้เรียนได้รับการสอนให้เรียนรู้การใช้ความรู้เกี่ยวกับเสียงของพยัญชนะและสระ เหล่านี เพื่ออ่านออกเสียงต่าง ๆ โฟนิกส์ Phonics เป็นวิธีการออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษ ที ่ช ่วยให้ผู้เรียนสามารถฝึกอ่าน ภาษาอังกฤษได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เทคนิคการสอนโฟนิกส์จึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กเล็กและกลุ่มผู้เริ่มต้นหัดเรียนภาษาอังกฤษ โฟนิกส์จึงกลายเป็นวิชาที่เกิดขึ้นมาใหม่ โดยค าว่า Phonics มาจากรากศัพท์ คือ ค าว่า Phone ที่เเปลว่า เสียง และ -ics ที่แปลว่า วิชา หรือ ความรู้ เมื่อน ามารวมกัน Phonics จึงมีความหมายว่า The Study of Sound วิชาที่มุ่งเน้น “ การศึกษา เรื่องความสัมพันธ์ของเสียงกับตัวอักษร” แนวคิดเกี่ยวข้องกับการสอนสะกดค าภาษาอังกฤษ แนวทางหนึ่งที่สามารถน ามาใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน ออกเสียงและสะกดค าภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องชัดเจน ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของค าที่ ผู้เรียนออกเสียงนั้น คือ การใช้วิธีสอนแบบโฟนิกส์ วิธีการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์คือรูปแบบการเรียน ภาษาโดยการเรียนรู้ความสัมพันธ์ของตัวอักษรและ 17 เสียงของตัวอักษรซึ่งมีหน่วยเสียงที่สัมพันธ์กันมักใช้ ในการสอนระดับเบื้องต้นหรือระดับประถมศึกษา ซึ่งการเรียนด้วยวิธีโฟนิกส์ท าให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ลักษณะ ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ของเสียงแต่ละเสียงก่อนการอ่านจริงในบริบทของภาษาเขียนและยังส่งเสริมให้ ตระหนักถึงความแตกต่างของเสียงต่างๆ ของค ากลุ่มค าพื้นฐานส าหรับผู้เริ่มเรียนที่จะฝึกวิเคราะห์เสียง เพื่อ ช่วยให้เด็กสามารถวิเคราะห์ค าอื่นๆ ได้ เป็นแนวทางหนึ่งในการสอนการอ่านออกเสียงและ การสะกดโดย เน้นความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและสัญลักษณ์ของเสียง นอกจากนี้จะช่วยให้ผู้เรียน แก้ปัญหาการอ่าน เบื้องต้นก่อนจะก้าวผ่านไปเรียนในระดับที่สูงขึ้นต่อไป นักจิตวิทยาได้ให้ความเห็นว่า วิธีการสอนแบบโฟ
18 นิกส์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ในการสอนอ่านออกเสียง เนื่องจากสิ่งส าคัญใน การอ่านออกเสียง คือความ เข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและเสียงในส่วนต่างๆ วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ เว็บสเตอร์ได้น าวิธีการสอนมาใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1783โดยการสอนสะกดค าเป็นครั้ง แรกเพื ่อน ามาใช้เป็นขั้นตอนในการสอนอ่านเริ ่มต้นและในช ่วง ค.ศ.1890รีเบกกาโปลลาด (Rebecca Pollard) ได้น าวิธีการสอนแบบโฟนิกส์มาอธิบายเพิ่มเติมจนเป็นที่ค ายอมรับและท า ให้วิธีนี้ได้รับความนิยม สูงสุดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การสอนเรื่องเสียง(Phonics) และสัทลักษณ์ทางเสียง (Phonetics) ถูกน ามาใช้ ร่วมกันการสอน อ่านออกเสียงแสดง ให้เห็นถึงสัญลักษณ์สะกดค าทางเสียงและท าให้นักวิชาการวิจารณ์ว่า เป็นวิธีการสอนอ่านเบื้องต้นวิธีหนึ่งที่จะช่วยปรับปรุงการสอนอ่านได้วิธีการสอนแบบโฟนิกส์จึงเป็นการสอน ที่เริ่มจากเสียงตัวอักษรและการอธิบายการออกเสียงตามหลักภาษาศาสตร์ ประเภทของวิธีการสอนแบโฟนิกส์ วิธีการสอนแบบโฟนิกส์สามารถแบ่งออกเป็น 11 ประเภทได้แก่ 1. การออกเสียงตามอักษร (letters phonics) เป็นการสอนโดยเน้นออกเสียงของอักษรแต่ละตัวเป็นหลัก 2. การสอนออกเสียงเป็นค า (whole-word phonics) เป็นการสอนอ ่านเป็นค า โดยไม ่แยกเสียงของ ตัวอักษรในค า 3. การออกเสียงควบกล ้า (cluster phonics) เป็นการสอนเสียงที่เน้นเสียงควบกล ้าของตัวอักษร 4. การวิเคราะห์การออกเสียง (analytic phonics) เป็นการสอนวิเคราะห์เสียงของตัวอักษรแต่ละตัว ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงส่วนประกอบของค า 5. การสังเคราะห์การออกเสียง (synthetic phonics) เป็นการสอนอ่านที่ฝึกให้นักเรียนเรียนรู้เสียง ของตัวอักษร การผสมตัวอักษรหรือเรียกว่าการสะกดค า 6. การออกเสียงแบบอุปนัย (inductive phonics) เป็นการสอนโดยเริ ่มจากการยกตัวอย ่างจาก ส่วนย่อย ๆ เป็นสิ่งแรกหลังจากนั้นให้ผู้เรียนสรุปออกมาเป็นกฎซึ่งเป็นการเรียนจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวม โดยเริ่มจากการสอนอ่านสะกดค าก่อน แล้วจึงมาสอนอ่านค าในภายหลัง 7. การออกเสียงแบบนิรนัย (deductive phonics) เป็นการสอนกฎหรือข้อมูลเกี่ยวกับภาษาให้แก่ ผู้เรียนเป็นสิ่งแรก หลังจากนั้นจึงยกตัวอย่างเสียงจากค านั้น ๆ เป็นการเรียนจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย โดยเริ่มสอนจากค าก่อนแล้วจึงมาสอนสะกดค าในภายหลัง 8. การออกเสียงโดยนัย (implicit phonics) เป็นการสอนค าเพิ่มเติมจากค ากล่าวออกมาแล้วโดยใช้ การตีความหมายจากถ้อยค า
19 9. การออกเสียงที่ชัดเจน (explicit phonics) เป็นการสอนกระบวนการออกเสียงที่ฝึกให้ผู้เรียนออก เสียงได้ชัดเจนและถูกต้อง 10. การออกเสียงที่แท้จริง (intrinsic phonics) เป็นวิธีการฝึกออกเสียงจากหน่วยเสียงอย่างเป็นระบบ 11. การออกเสียงเพิ่มเติม (extrinsic phonics) โดยใช้การสอนออกเสียงเป็นเครื ่องมือช ่วยในการ เรียนรู้เพิ่มเติมมากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งในการสอนอ่าน มีการแยกแบบฝึกหัดมาใช้ในการสอนซึ่งเป็นเวลา เพิ่มเติม เฮมเฟน สตอล (Hempenstall) ได้ให้ค าแนะน าว่า ประเภทของการสอน แบบโฟนิกส์แบ่งออกเป็น สองประเภทซึ ่งเกี ่ยวกับกระบวนการสอนคือ Synthetic Phonics และ Incidental Phonics โดย กระบวนการสอนแบบแรกนั้นมีความตั้งใจเจาะถึงรายละเอียดของ กระบวนการสอนอย่างเป็นระบบ ซึ่ง ผู้สอนเป็นหลัก (Teacher Direct) และตั้งอยู่บนพื้นฐาน การวิเคราะห์อย่างมีหลักเหตุและผล อาจเกี่ยวข้อง กับการฝึกฝนอย่างกว้างและเว้นระยะของ ทักษะต่าง ๆ การแก้ไขข้อผิดและการประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ของความก้าวหน้า ส่วน Implicit Phonics นั้นเน้นกระบวนการรับผิดชอบในการสร้างความคุ้นเคยของ เสียง ของภาษาหรือค าพูด สนับสนุนให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ แต่มีผู้เรียนหลายคนที่ ประสบปัญหา ความยากล าบากในการท าความเข้าใจความสัมพันธ์ของเสียงและการสะกดค า เนื่องจากมี ข้อจ ากัด ของโอกาสที่เจาะจงลงไปที่ส่วนประกอบของค าในบางกิจกรรม ขั้นตอนของวิธีการสอนแบโฟนิกส์ วิธีการสอนแบบโฟนิกส์มีขั้นตอนดังนี้ 1. การวิเคราะห์การออกเสียง (analytic phonics) เป็นการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักเรียนรู้และวิเคราะห์เสียง ของตัวอักษรแต่ละตัว น าไปสู่การวิเคราะห์เสียงของตัวอักษรในค าแต่ละค าอย่างมีระบบเช่น ตัวอักษร b ใน ค าว่า bat อ่านออกเสียง /b/ เป็นการสอนที่เน้นการฝึกจากแบบฝึกหัดในหนังสือแบบเรียน 2. การเทียบเคียงในการออกเสียง (analogic phonics instruction) เป็นการสอนที่ต ่อยอดมาจาก การสอนวิเคราะห์การออกเสียง โดยผู้เรียนจะวิเคราะห์ส่วนประกอบของค าและเทียบเคียงการออกเสียงกับ ค าที่รู้แล้ว เช่น cat, rat, hat มี /a/ และ /t/ เป็นหน่วยเสียงที่เหมือนกัน วิธีการนี้มักใช้ในการอ่านค าใหม่ที่ ไม่รู้จักและเป็นวิธีช่วยในการสะกดค า 3. การสังเคราะห์การออกเสียง (synthetic phonics) เป็นการสอนโดยเริ ่มจากการสอนเสียงของ ตัวอักษรแต ่ละตัว หลังจากนั้นจึงสอนการผสมเสียงกับตัวอักษรเพื ่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านออกเสียงได้ จุดมุ่งหมายของการสอนแบบนี้ คือ ท าให้ผู้เรียนเข้าใจเสียงของตัวอักษรแต่ละตัวและผสมเสียงจนสามารถที่ จะออกเสียงค านั้น ๆ ได้ด้วยตัวเอง
20 4. การอ่านแบบร่วมสมัย (contemporary phonics) เป็นการสอนอ่านโดยการน าเอาวิธีการวิเคราะห์ การออกเสียงและวิธีการสังเคราะห์การออกเสียงและวิธีการสังเคราะห์การออกเสียงมารวมกันและฝึกให้ นักเรียนประยุกต์ใช้ตามระดับความสามารถของตน เน้นให้นักเรียนได้อ่านเนื้อหาที่หลากหลาย เช่น บท กลอน เรื่องเล่า เป็นต้น ทั้งนี้การสอนอ่านออกเสียงจะใช้เวลาไม่เกินร้อยละ 25 ของเวลาในการสอนทั้งหมด เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสในการสอนทั้งหมด เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสในการฝึกฝนประสบการณ์อ่านจริง กับบทอ่านที่มีความหลากหลาย ท าให้นักเรียนมีความสุขในการอ่านมากยิ่งขึ้น ข้อแนะน าของการสอนแบบโฟนิกส์ ฟิตซ์เจอร์รัล ได้ให้ค าแนะน าเฉพาะในการสอนแบบโฟนิกส์ ดังต่อไปนี้ 1. การสอนแบบโฟนิกส์ควรเป็นไปตามความต้องการของเด็กหรือกลุ่มเด็กที่ต้องการ 2. การเห็นค าศัพท์ พัฒนาจากค าที่มีความหมาย ค าที่มีประโยชน์ที่สุดและการเริ่มการอ่านเป็นส ่วน ส าคัญพื้นฐานส าหรับการสอนแบบโฟนิกส์ 3. การฝึกการฟัง ควรได้รับการสอนและฝึกฝน ในระยะแรก เพื่อช่วยการจ า เช่น man และ me และ การแยกความแตกต่างของเสียง เช่น mine, fine, line เป็นต้น 4. ทิศทางของกระบวนการสอนในการวิเคราะห์ค า ต้องมาจากซ้ายไปสู่ขวาและความสนใจต้องเริ่ม จากเสียงต้น กลาง และเสียงท้าย 5. เด็ก ๆ อาจใช้บริบท ต าแหน่ง และช่วยอื่น ๆ ขณะเริ่มการฝึกการออกเสียง 6. การสอนเด็กในการจดจ าหลักการพื้นฐานเพื่อความคุ้นเคยในค าที่จ าเป็น การเปล่งเสียงและการ สะกดค า 7. การแทนที่ตัวอักษรของเสียงต้นในค า เป็นกิจกรรมที่ให้ผลดี เช่น จากค าว่า can เด็ก ๆ อาจค้นพบ ค าอื่น ๆ เช่น man, pan, fan 8. การจับคู่เสียงและสัญลักษณ์ อาจได้รับการฝึก ครูอาจออกเสียงค า เช่น cap และเด็ก ๆ อาจบอก ค าที่เป็นตัวเขียนในระหว่างกลุ่มค าว่า map, nap, tap, cap 9. เด็ก ๆ ควร ได้แยกแยะ phonogram เช่น -and ในค าว่า hand และ land หรืออาจประสม ค า ควบกล ้าและรูปของเสียงเพื่อสร้างค า -br ในค าว่า brown หรือ -ing ในค าว่า sing และ bring 10. เด็กจะมีความกระตือรือร้นเมื่อเขาพบว่า เขาสามารถปลดรหัสค าใหม่ ๆ ได้ด้วย ความรู้ด้านโฟ นิกส์ นอกจากนี้ ลิฟท์ (Hughes, 1972 : 12) ยังได้เสนอล าดับชั้นในการสอนเสียงต่าง ๆ ซึ่งควร เริ่มสอน จากเสียงที่เปล่งได้ง่าย ไม่ซับซ้อนก่อน ดังนี้
21 1. เสียงพยัญชนะเดี่ยว (กลุ่มที่ 1) ได้แก่ “t, b, n, r, m, d, s, c, p, g 2. เสียงสระ 2.1 สระหน้า ได้แก่ a เช่นใน “apple” e เช่นใน “egg” i เช่นใน “ink” o เช่นใน "orange" u เช่นใน "umbrella" 2.2 สระกลาง ได้แก่ a เช่นใน “bat” e เช่นใน “pet” i เช่นใน “tin” o เช่นใน “hol” u เช่นใน "jug 2.3 เสียง “y” เช่น ใน “baby”, “ily” 3. เสียงพยัญชนะเดี่ยว (กลุ่มที่ 2) ได้แก่ “t, l, y, h, w, j, k,z” 4. เสียงพยัญชนะคู่ ได้แก่ “bb, dd, ff, gg” รวมถึง "ek" 5. เสียงพยัญชนะประสม ได้แก่ “ch, sh, th, wh, gu 6. เสียงพยัญชนะควบกล ้า ได้แก่ “st, sp, sc, sk, sm, sn, sw” “br, er, dr, tr, gr, fr” และ "bl, pl, pt, fl, gl" 7. เสียงสระประสม ได้"ai, ay” “oi, oy” “oo, oa, ow, ou” “ee, ue” “ei” “ie” 4. การเขียนสะกดค าภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์ โฟนิกส์ (Phonics) คือ วิธีการเรียนอ่านและเขียนภาษาอังกฤษด้วยการเชื่อมหน่วยเสียง (Phoneme) และสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเสียงหรือตัวอักษร (Grapheme) เข้าไว้ด้วยกันเพื่อผสมเป็นค า สรุปง่าย ๆ ก็คือการ ภาพที่ 5 ตัวอย่างสระ ภาพที่ 6 ตัวอย่างสระกลาง
22 เรียนรู้เสียง (Sound) ของตัวอักษรและกลุ่มอักษร เพื่อผสมกันจากซ้ายไปขวา เช่น b + a + t (เบอะ + แอะ + ทึ = แบท) 5. งานวิจัยที่เกี่ยวกับการออกเสียงโฟนิกส์ งานวิจัยภายในประเทศ พิมภรณ์ พวงชื่น, และ วิวัฒน์ มีสุวรรณ์. (2563) ท าวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงและ สะกดค าภาษาอังกฤษด้วยชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์ส าหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์เพื่อสงเสริมทักษะการ อ่านออกเสียงและสะกดค า 2. เพื ่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงและสะกดค าของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 กับเกณฑ์ร้อยละ 75.00 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงและสะกดค า กลุ่ม ตัวอย่างนักเรียนที่ก าลังศึกษาอยูในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนชุมชนบ้านทุ่งสงบ ต าบล ไผ่เขียว อ าเภอสวางอารมณ์ จังหวัดอุทัยธานี สังกัดส านักงานศึกษาธิการอุทัยธานี ซึ่งได้มาจากการเลือกกลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) จ านวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ชุดกิจกรรมการ เรียนการสอนแบบโฟนิกส์ เพื ่อสงเสริมทักษะการอ ่านออกเสียงและสะกดค า ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ประกอบด้วย 3 ตอน ดังนี้ตอนที่ 1พยัญชนะต้น ตอนที่ 2 สระ ตอนที่ 3 การผสมค า 2. แบบประเมินชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์ 3. แบบประเมินทักษะการอ่านออกเสียงและสะกด ค า 4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟ นิกส์เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงและสะกดค าส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แบบมาตรา ส่วนประมาณค่า 5. ระดับจ านวน 10ข้อ ผลการวิจัยพบว่า 1. ชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงและสะกดค า ที่สร้างขึ้นมีคาดัชนีประสิทธิผลตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปคือมีค่า เท่ากับ 0.6771 หมายความว่านักเรียนมีคะแนนเพิ่มขึ้นจากคะแนนทดสอบก่อนเรียนคิดเป็นร้อยละ 67.71 2. นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงและ สะกดค า ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1มีทักษะการอ่านออกเสียงและสะกดค าหลังการเรียนคือ ร้อย ละ 87.17 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75.00 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้ชุดกิจกรรมการ เรียนการสอนแบบโฟนิกส์ เพื ่อส ่งเสริมทักษะการอ ่านออกเสียงและสะกดค า ส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่1อยู่ในระดับมากที่สุด (x̄= 4.53, S.D.= 0.50) ลัดดาวัลย์ มิตรกูล , ประกอบ ใจมั่น และ สายสวาท เกตุชาติ (2563) เรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการ เรียนรู้ผสานเทคนิคโฟนิกส์และการสอนภาษาแบบองค์รวมเพื ่อสร้างเสริมทักษะการอ ่านออกเสียง
23 ภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อพัฒนารูปแบบ การจัดการเรียนรู้ผสานเทคนิคโฟนิกส์และการสอนภาษาแบบองค์รวมเพื่อสร้างเสริมทักษะการอ่านออก เสียงภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2. เพื ่อประเมินทักษะการอ ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษโดยการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ผสานเทคนิคโฟนิกส์และการสอนภาษา แบบองค์รวมเพื่อสร้างเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 3. เพื่อประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ผสานเทคนิคโฟนิกส์และการ สอนภาษาแบบองค์รวมเพื่อสร้างเสริม ทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี คือการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านทวดทอง สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 1 จ านวน 35 คน จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive selection) เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย ได้แก่ แผนการจัดการ เรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ผสานเทคนิคโฟนิกส์และการสอนภาษาแบบองค์รวมเพื่อสร้างเสริม ทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แบบประเมิน ทักษะการอ่าน ออกเสียงภาษาอังกฤษเพื ่อความเข้าใจ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ แบบสอบถาม ความพึงพอใจของผู้เรียน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์เนื้อหา การหาค่าร้อยละ ค ่าเฉลี ่ย (x ) ค ่าส ่วนเบี ่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติการทดสอบค ่าที (t–test for dependent Samples) ณัฐพล สุริยมณฑล (2561) เรื ่อง การสอนแบบโฟนิกส์เพื ่อส ่งเสริมการออกเสียงและความรู้ค าศัพท์ ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เปรียบเทียบความสามารถในการ จดจ าค าศัพท์ระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีโฟนิกส์ 2. เปรียบเทียบความสามารถ ในการออกเสียงระหว่างก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีโฟนิกส์ 3. ศึกษาความพึงพอใจต่อ การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีโฟนิกส์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดสี่ซับศรี เจริญธรรม อ าเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรีกลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมชั้นปีที่จ านวน 18 คน ได้มา ด้วยการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีโฟนิกส์ 2. แบบวัดความสามารถในการจดจ าค าศัพท์มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.847 3. แบบวัดความสามารถในการ ออกเสียงภาษาอังกฤษมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.826 4. แบบสอบถามความพึงพอใจการจัดการเรียนรู้โดย ใช้วิธีโฟนิกส์มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.776 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบทีผลการวิจัยพบว่า 1. ความสามารถในการจดจ าค าศัพท์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการสอนสูงกว่าก่อนการสอนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2. ความสามารถในการออกเสียง
24 ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการสอนสูงกว่าการสอน อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 3. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีโฟนิกส์ ในภาพรวมอยู่ในระดับ มาก รักษมน ยอดมิ ่ง (2560) กล ่าวว ่าการสอนทักษะการฟังภาษาอังกฤษควรเริ่มต้นจากการที ่ผู้เรียน สามารถแยกแยะเสียงของพยัญชนะและสระภาษาอังกฤษได้ ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะมีตัวอักษรเพียง 26 ตัว กระนั้น Likitrattanaporn (2014) กล่าวว่า ตัวอักษรในภาษาอังกฤษนั้นสามารถออกเสียงได้ถึง 42-44 เสียง ขึ้นอยู่กับต าราและการออกเสียงภาษาอังกฤษ เช่น แบบเรียนการออกเสียงภาษาอังกฤษอเมริกัน มี 44 เสียง หรือออกเสียงภาษาอังกฤษแบบบริติช มี 42 เสียง ท าให้ผู้เรียนภาษาอังกฤษเกิดความสับสันและ ไม่สามารถออกเสียงค าศัพท์ในภาษาอังกฤษได้(กัญญาเลข,2565) ในผู้เรียนบางคนการแยกและผสมเสียง ภาษาอังกฤษเป็นอุปสรรคต ่อการเรียนภาษาอังกฤษในทุก ๆ ทักษะ (Sahatsathasana, 2017) ดังนั้น วิธีการเรียนการฟัง ผู้เรียนจ้าเป็นต้องมีการท าความเข้าใจว่าตัวอักษรหนึ่งตัวในภาษาอังกฤษสามารถออก เสียงได้หลายเสียง Morley (2022) แนะน าว ่าผู้สอนควรสอนการฟังภาษาอังกฤษในระดับล ่างขึ้นบน (Bottom-up) คือการเรียนในระดับหน่วยเสียงของภาษาอังกฤษที่เล็กที่สุดแต่ละเสียง เรียนการน าเสียงแต่ ละเสียงมาท าการผสมผสานกันเพื่อให้เกิดเป็นค าภาษาอังกฤษ และการฟังภาษาอังกฤษ เมื่อผู้เรียนมีความ เข้าใจการฟังในระดับเสียงแต่ละเสียง หน่วยค า ไปจนกระทั่งบทฟังที่ยาวขึ้นเป็นเรื่องราวได้ ควรฝึกทักษะ การฟังแบบบนลงข้างล่าง (Top-down) คือผู้ฟังจะท าความเข้าใจกับสิ่งที่ฟังโดยการน าเอาประสบการณ์ ของผู้เรียนเข้ามาช่วยให้ฟังเข้าใจเนื้อหาสาระของเรื่องราวที่ได้ยินมา กล่าวคือเป็นการเชื่อมโยงเสียงที่ได้ยิน กับองค์ความรู้ ประสบการณ์ให้เกิดความเข้าใจ งานวิจัยต่างประเทศ Wulanir, R., & Pandjaitan, L. N. (2560) ได้จัดท าวิจัยเรื่อง The Effectivity of Phonics Method in Improving Reading Ability of 1st Grade Elementary School Students โดยวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ขาดทักษะการอ่านออกเสียง โดยมี Phonics method ในการจัดการเรียนรู้เป็นการการฝึกการรับรู้ทางเสียง และการอ่าน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ต้องการพัฒนาความสามารถในการอ่าน ซึ่งผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่าง มีความสามารถในการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษที่ดีขึ้น Jennifer (2020) อธิบายว ่า โฟนิกส์สังเคราะห์ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว ่า Synthetic Phonics Instruction เป็นหลักการสอนออกเสียงตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถฝึกอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษได้ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น Cormack (2020) กล่าวว่าหลักการการสอนโฟนิกส์จึงได้รับ
25 ความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กเล็กและกลุ่มผู้เริ่มต้นหัดเรียนภาษาอังกฤษโฟนิกส์จึง กลายเป็นวิชาที่เกิดขึ้นมาใหม่โดยค าว่า Phonics มาจากรากศัพท์คือค าว่า Phone เเปลว่าเสียงและ -ics แปลว่าวิชาหรือความรู้เมื่อน ามารวมกันPhonics จึงมีความหมายว่า The Study of Sound วิชาที่มุ่งเน้น “การศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของเสียงกับตัวอักษร” ซึ่งหลักการสอนแบบโฟนิกส์สังเคราะห์ให้ความส าคัญ กับเสียงของตัวอักษรแต่ละตัว (Letter Sound) Iadkert K. (2564) ได้ท าการวิจัยเรื ่องการพัฒนาการออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์ มีกลุ่ม ตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1แห่งหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย ผลวิจัยสรุปได้ว่าผู้เข้าร่วม (กลุ่มตัวอย่าง)สามารถอ่านออกเสียงค าศัพท์ได้ดีขึ้นในระดับที่พอใช้ กรอบแนวคิดของการวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยการใช้หลักการอ่านออกเสียง แบบโฟนิกส์(Phonics) ในนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 การจัดการเรียนรู้การอ่าน ออกเสียงโดยใช้หลักการ อ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) ทักษะการอ่านออกเสียง ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ภาพที่ 7 กรอบแนวคิด
26 บทที่ 3 วิธีด าเนินการศึกษา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื ่อ 1) เพื ่อออกแบบการจัดการเรียนรู้การอ ่านออกเสียงโดยใช้ หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 2) เพื ่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักการ หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3โรงเรียนบ้านอ่าวน ้า บ่อ ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามรายละเอียดดังนี้ 1. กลุ่มเป้าหมาย 2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาและการหาคุณภาพเครื่องมือ 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประชากรและกลุ่มศึกษา ประชากร นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ ่อ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านอ่าวน ้าบ่อ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 1 ห้องเรียน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาและการหาคุณภาพเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา 1. แผนการจัดการเรียนรู้ โดยการใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) ที่ใช้ในการด าเนินการ วิจัย แผนการจัดการเรียนรู้ เรื ่อง Our Weekend วิชา ภาษาอังกฤษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 จ านวน 6 แผนการเรียนรู้ เวลาเรียนครั้งละ 1 ชั่วโมง ผู้วิจัยมีกระบวนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพดังนี้ 1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 1.2 ศึกษาหลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
27 1.3 วิเคราะห์สาระมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดกลุ ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต ่างประเทศ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 1.4 ศึกษาเอกสาร แนวคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่อง การจัดการเรียนรู้การอ่านออก เสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) 1.5 สร้างแผนการเรียนรู้จ านวน 6 แผนการเรียนรู้ 1.6 น าแผนการจัดการเรียนรู้ ไปใช้จัดการเรียนรู้กับนักเรียน 2. ใบงาน / ใบกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟ นิกส์ (Phonics) ที่ใช้ในการด าเนินการวิจัย ใบงาน / ใบกิจกรรม เรื ่อง Our Weekend วิชา ภาษาอังกฤษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 จ านวน 6 ชุด ชั่วโมงละ 1 ชุด ผู้วิจัยมีกระบวนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพดังนี้ 2.1 ศึกษาวิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ สาระส าคัญ เรื่อง Our Weekend 2.2 ศึกษาเอกสาร แนวคิดและงานวิจัยที ่เกี ่ยวข้องกับแนวคิด เรื ่อง Our Weekend รายวิชา ภาษาอังกฤษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2.3 ศึกษาและก าหนดเกณฑ์คะแนนใบงาน / ใบกิจกรรม เรื ่อง Our Weekend รายวิชา ภาษาอังกฤษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีทั้งหมด 10 ข้อ 2.4 สร้างใบงาน / ใบกิจกรรม เรื่อง Our Weekend รายวิชาภาษาอังกฤษ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2.5 น าใบงาน / ใบกิจกรรมไปใช้ในการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออก เสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) กับนักเรียน 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend วิชา ภาษาอังกฤษ มีจ านวน 2 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 มีลักษณะเป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเติมค า จ านวน 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน ตอน ที ่ 2 มีลักษณะเป็นแบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์จ านวน 5 ข้อ ข้อละ 2 คะแนน ผู้วิจัยมี กระบวนการสร้างและตรวจสอบคุณภาพดังนี้ 1.1 ศึกษาเอกสารและทฤษฎีเกี่ยวกับ การจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่าน ออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) และทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ 1.2 ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรสถานศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ 1.3 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการออกแบบข้อสอบ
28 1.4 ด าเนินการสร้างแบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend สาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ จ านวน 2 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 มีลักษณะเป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิด เติมค า จ านวน 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน ตอนที ่ 2 มีลักษณะเป็นแบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ จ านวน 5 ข้อ ข้อละ 2 คะแนน 1.5 น าแบบทดสอบที ่สร้างขึ้นให้กลุ ่ม PLC – LS วิพากษ์และให้ข้อเสนอแนะให้ผู้เชี ่ยวชาญ พิจารณาตรวจสอบความเหมาะสม และท าการแก้ไขตามข้อเสนอแนะ 1.6 น าแบบทดสอบที่ปรับปรุงแล้ว ไปทดลองใช้กับนักเรียน 39 คน เพื่อหาคุณภาพเครื่องมือ ค่า ความเชื่อมั่น ค่าความยากง่าย และค่าอ านาจจ าแนก 1.7 น าแบบทดสอบไปใช้ในการเก็บข้อมูลกับนักเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียน การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. ผู้วิจัยพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล 2. ผู้วิจัยน าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่อง Our Weekend สาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ก่อนเรียนไปทดสอบกับนักเรียน ตรวจและบันทึกคะแนนก่อนเรียน 3. ผู้วิจัยด าเนินการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) และเก็บข้อมูลผลสัมฤทธิ์ระหว่างการจัดการเรียนรู้จากใบงาน / ใบกิจกรรม หรือการตอบค าถามในชั้นเรียน 4. ผู้วิจัยน าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื ่อง Our Weekend สาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ หลังเรียนไปทดสอบกับนักเรียน ตรวจและบันทึกคะแนนหลังเรียน 5. น าข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์ และสรุปอภิปรายผล การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยด าเนินการใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ 2 แบบตามรายละเอียด ดังนี้ 1. การหาข้อมูลเชิงสถิติพื้นฐาน 1. การหาค่าเฉลี่ย ̅ค านวณโดยใช้สูตร ดังนี้ เมื่อ ̅แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด แทน จ านวนนักเรียน
29 2. การหาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ใช้สูตรนี้ ดังนี้ เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมของก าลังสองของคะแนน แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดก าลังสอง แทน จ านวนนักเรียน 3. สถิติการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน (dependent samples ttest) เมื่อ แทน คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ แทน คะแนนเต็มจากแบบทดสอบ แทน คะแนนจากการทดสอบก่อนเรียน แทน คะแนนจากการทดสอบหลังเรียน 4. หาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend ตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ แทน คะแนนรวมของการปฏิบัติติระหว่างเรียนของนักเรียนระหว่างเรียน 3ครั้ง A แทน คะแนนเต็มของการปฏิบัติติระหว่างเรียน N แทน จ านวนนักเรียน
30 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบการปฏิบัติวัดผลสัมฤทธิ์ด้านความสามารถ การออกเสียงแบบโฟนิกส์ ของนักเรียนหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของการท าแบบทดสอบวัดความสามารถด้านการออกเสียง แบบโฟนิกส์ ของนักเรียนหลังเรียน N แทน จ านวนนักเรียน 5. การเปรียบเทียบคะแนนความสามารถด้านการหาผลคูณทางภาษาอังกฤษก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ด้วยวิธีการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง สองกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน (dependent samples t-test) โดยใช้โปรแกรม PSPP
31 บทที่4 ผลการศึกษา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื ่อ 1) เพื ่อออกแบบการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้ หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 2) เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักการหลักการอ่าน ออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ น าเสนอผล การวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อความสะดวกในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลและการแปลความหมายของการวิเคราะห์ ข้อมูล ผู้วิจัยได้ก าหนดความหมายของสัญลักษณ์ที่ใช้ดังนี้ แทน จ านวนนักเรียน ̅แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง ..แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ แทน ค่าความแตกต่างของคะแนนความสามารถด้านก่อนเรียนและหลังเรียน แทน ระดับนัยส าคัญทางสถิติ ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการหาประสิทธิภาพ โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์ เรื่อง Our Weekend ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตอนที ่ 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถของทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend ที ่ได้จากการท าแบบวัดทักษะการอ ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังงเรียน
32 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ตอนที่ 1 ผลการหาประสิทธิภาพ โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์ เรื่อง Our Weekend ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยด้านการหาประสิทธิภาพ โดยปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์ครั้งนี้ ผู้วิจัยด าเนินการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะตามเกณฑ์ 70 / 70 (E1 / E2 ) ได้แก่ ประสิทธิภาพของ กระบวนการ (E1 ) และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2 ) ปรากฏผลการวิเคราะห์ข้อมูล (ปรากฏผลดังตารางที่ 1) ตารางที่ 1 ผลการหาประสิทธิภาพ โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์ เรื่อง Our Weekend ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 N คะแนนประเมินระหว่างเรียน คะแนนประเมินหลังเรียน ค่าประสิทธิภาพ (E1 / E2 คะแนนเต็ม ̅ ร้อยละ คะแนนเต็ม ̅ ร้อยละ ) 39 70 55.92 79.89 20 16.59 82.95 79.89/82.95 จากตารางที่ 1 แสดงผลการหาประสิทธิภาพ โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบ โฟนิกส์ เรื ่อง Our Weekend ระดับชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 จ านวน 39 คน พบว ่า คะแนนจากการท า แบบฝึกหัดระหว่างเรียน 70 คะแนน มีค่าเฉลี่ย 55.92 และคิดเป็นร้อยละ 79.89 และคะแนนจากการท า แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend 20 คะแนน มีค่าเฉลี่ย 16.59 และคิดเป็นร้อยละ 82.95 แสดงว ่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบ โฟนิกส์ เรื ่อง Our Weekend ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 ที่ตั้งไว้ ซึ่งสอดคล้อง กับสมมติฐานข้อที่ 1 0.00 1.00 2.00 3.00 4.00 5.00 แบบปรนัย แบบปฏิบัติออกเสียง ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบก่อนเรียนแต่ละประเภท เฉลี่ย S.D. ภาพที่ 8 ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบก่อนเรียนแต่ละประเภท
33 0.00 1.00 2.00 3.00 4.00 5.00 6.00 7.00 8.00 9.00 แบบปรนัย แบบปฏิบัติออกเสียง ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบหลังเรียนแต่ละประเภท เฉลี่ย S.D. ภาพที่ 9 ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบหลังเรียนแต่ละประเภท 0 5 10 15 20 ก่อนเรียน หลังเรียน ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบก่อน - หลังเรียน เฉลี่ย S.D. ภาพที่ 10 ผลการวิเคราะห์แบบทดสอบก่อน - หลังเรียน ภาพที่ 11 คะแนนแบบทดสอบก่อน-หลังเรียนรายบุคคล 0 5 10 15 20 1 3 5 8 10 12 14 16 18 20 22 24 26 28 30 32 35 37 39 41 คะแนนแบบทดสอบก่อน-หลังเรียนรายบุคคล ก่อนเรียน หลังเรียน
34 ตอนที ่ 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถของทักษะการอ ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend ที ่ได้จากการท าแบบวัดทักษะการอ ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังงเรียนโดยใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แบบทดสอบ 2 ตอน ตอนที่เป็นแบบชนิดปรนัย จ านวน 10 ข้อ 10 คะแนน และตอนที่ 2 เป็นแบบชนิดเติมค าตอบ จ านวน 5 ข้อ 10 คะแนน รวมทั้งสิ้น 15 ข้อ 20 คะแนน หลังจากเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์ที่ผู้รายงานสร้างขึ้นทั้ง 1 ชุดแล้ว ได้วัดความสามารถด้านการออกเสียงแบบโฟนิกส์ หลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์ เพื่อน าคะแนนมาเปรียบเทียบกับคะแนนที่วัดไว้ก่อนเรียน โดยวิธีการเปรียบ ค่าเฉลี่ย (ปรากฏผลตามตาราง 2) ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถของทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend ที ่ได้จากการท าแบบวัดทักษะการอ ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังงเรียน เวลา N คะแนนเต็ม ̅ S.D. t Sig. ก่อนเรียน 39 20 7.10 2.59 17.10 .000 ระหว่างเรียน 39 70 55.92 5.36 หลังเรียน 39 20 16.59 2.58 จากตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถของทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื ่องการออกเสียงแบบโฟนิกส์ ที ่ได้จากแบบทดสอบของนักเรียนก ่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ แบบทดสอบแบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกสิ์ พบว่า คะแนนก่อนการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์ มีจ านวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ 60 % 4 คน โดยมีค่า (̅= 7.10), (S.D. = 2.59) คะแนนระหว่างจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์ทั้ง 7 ชุด 70 คะแนน มีค่าเฉลี่ย รวม (̅=55.92), (S.D. = 5.36) คะแนนหลังจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์มีจ านวนนักเรียนได้คะแนนเต็ม จ านวน 9 คน และมีจ านวนนักเรียนที่มีคะแนนผ่านเกณฑ์ 60 % 39 คน โดยมีค่า (̅=16.59.), (S.D. = 2.58)
35 สรุปได้ว่า หลังใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์โดยใช้แบบวัดทักษะการ อ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend จ านวน 15 ข้อ จ านวน 20 คะแนน ของ นักเรียนสูงกว่าก่อนการใช้อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมิตฐานข้อที่ 2 0 10 20 30 40 50 60 70 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 คะแนนแบบฝึ กหัดรายบุคคล ภาพที่ 12 คะแนนแบบฝึกหัดรายบุคคล 0 20 40 60 1 ผลการวิเคราะหค์ะแนนแบบฝึกหัดทงั้หมด เฉลี่ย S.D. ภาพที่ 13 ผลการวิเคราะห์คะแนนแบบฝึกหัดทั้งหมด 0.00 2.00 4.00 6.00 8.00 10.00 1 2 3 4 5 6 7 8 ผลการวิเคราะห์คะแนนแบบฝึ กหัดแต่ละชุด เฉลี่ย S.D. ภาพที่ 14 ผลการวิเคราะห์คะแนนแบบฝึกหัดแต่ละชุด
36 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยด าเนินการสร้างและพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้ หลักการหลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สามารถสรุปผลและอภิปรายผลการศึกษาได้ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื ่อออกแบบการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 2. เพื ่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยใช้หลักการหลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า 1. การจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) ใน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 2. ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการหลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์ (Phonics) ใน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงขึ้นกว่าก่อนฝึกออกเสียงโดยใช้หลักการหลักการอ่านออกเสียงแบบ โฟนิกส์(Phonics) วิธีด าเนินการศึกษา 1. ประชากรและกลุ่มศึกษา ประชากร นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านอ่าวน ้าบ่อ สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จ านวน 1 ห้องเรียน 39 คน
37 2. แบบแผนการทดลอง แบบแผนการท าลองที่ใช้ในการวิจัยครั้ง คือ แบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียววัดผลก่อน และหลังการทดลอง (One – group pretest – posttest design) 3. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา ผู้วิจัยด าเนินการวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ระยะเวลา 3 สัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2566 ใช้เวลาฝึกสัปดาห์ละ 2 วัน วันละ 1 ชั่วโมง รวม 6 ครั้ง 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยน า แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend วิชา ภาษาอังกฤษ ทดสอบสอบกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต ด าเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 โดยการทดสอบวัดทักษะการอ่านออก เสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ก่อนการฝึก แล้วด าเนินการใช้การจัดการจัดการเรียนรู้การอ่าน ออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) จากนั้นท าการทดสอบวัดทักษะการอ่านออก เสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend หลังการฝึก ตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 วิเคราะห์ เปรียบเทียบความสามารถทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ก่อนการฝึกและ หลังการฝึก ด้วยวิธีการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนา 1. แผนการจัดการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) จ านวน 6 แผนการเรียนรู้ เวลาเรียน 6 ชั่วโมง 2. ใบงาน / ใบกิจกรรม ระหว่างการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียง แบบโฟนิกส์ (Phonics) จ านวน 7 ชุด เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend มีจ านวน 2 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 มีลักษณะเป็นแบบทดสอบปรนัย ชนิดเติมค า จ านวน 10 ข้อ ข้อละ 1 คะแนน ตอนที่ 2 มีลักษณะ เป็นแบบปฏิบัติการออกเสียงแบบโฟนิกส์จ านวน 5 ข้อ ข้อละ 2 คะแนน
38 สรุปผลการศึกษา จากการวิจัยการใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend เพื ่อพัฒนาความสามารถด้านการออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ ผู้วิจัยสรุปผลการวิจัยได้ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงโดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70 / 70 2. ความสามารถการออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้นปะถมศึกษา ปีที่ 3 หลังการฝึกโดยใช้แบบวัดทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend สูงกว่า ก่อนการฝึกอย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ 0.05 อภิปรายผลการวิจัย จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการอ ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื ่อพัฒนา ความสามารถการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนบ้านอ่าวน ้าบ่อ สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการอ ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการ อ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 79.89/82.95 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ ได้ก าหนดไว้คือ 70/70 เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1 ซึ่งหมายความว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการ อ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics เรื่อง Our Weekend สามารถน าไปใช้จัดการเรียนรู้ได้ ซึ่งสอดคล้อง กับผลวิจัยของ พิมภรณ์ พวงชื่น, และ วิวัฒน์ มีสุวรรณ์(2563) เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียง และสะกดค าภาษาอังกฤษด้วยชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์ส าหรับนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่าชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียง และสะกดค า ที่สร้างขึ้นมีคาดัชนีประสิทธิผลตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปคือมีค่าเท ่ากับ 0.6771 หมายความว่า นักเรียนมีคะแนนเพิ่มขึ้นจากคะแนนทดสอบก่อนเรียนคิดเป็นร้อยละ 67.71 2. นักเรียนที่เรียนด้วยชุด กิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านออกเสียงและสะกดค า ส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่1มีทักษะการอ่านออกเสียงและสะกดค าหลังการเรียนคือ ร้อยละ 87.17 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ร้อยละ 75.00 เช่นเดียวกับ ณัฐริกา พลพิทักษ์และสุขิริณณ์ อามาตย์บัณฑิต (2566) เรื่อง การพัฒนา ทักษะการอ่านออกเสียงภาษษอังกฤษโดยใช้การสอนแบบโฟนิกส์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ขั้นตอนการสอนประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้1.ขั้นเตรียมความพร้อมการสอน 2.ขั้นน าเสนอเนื้อหา 3.ขั้นฝึกปฏิบัติ 4.ขั้นทบทวนซึ่งผลของประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียง
39 ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที ่ 3 โดยใช้การสอนแบบโฟนิกส์ มีประสิทธิภาพเท ่ากับ 80.06/82.60 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที ่ก าหนดไว้คือ 80/80 2)ค่าดัชนีประสิทธิผลของการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การสอนแบบโฟนิกส์มีค่าเท่ากับ 0.7184 และผล วิจัยของ สุชาดา อินมี (2556) การพัฒนาการออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยสื่อโปสเตอร์ ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า สื่อโฟนิกส์โปสเตอร์ ส าหรับฝึกทักษะการอ่านออกเสียงค ศัพท์ภาษาอังกฤษ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ 78.17/76.75 ความสามารถในการอ่านออกเสียงค าศัพท์ ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังได้รับการฝึกทักษะการอ่านออกเสียงด้วย สื่อโฟนิกส์โปสเตอร์ แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยหลังได้รับการฝึกทักษะด้วยสื่อโฟ นิกส์โปสเตอร์ นักเรียนมีความสามารถในการอ่านออกเสียงสูงกว่าก่อนได้รับการฝึก สรุปได้ว ่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการอ ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื ่อพัฒนา ความสามารถด้านการออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 70/70 2. ความสามารถของทักษะอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที ่ 3 หลังการฝึกโดยใช้ แบบวัดทักษะการอ ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื ่อง Our Weekend สูงกว่าก่อนการฝึกอย่างมีนัยนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เนื่องจากการจัดการเรียนรู้ โดยใช้หหลักการออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เรื่อง Our Weekend ช่วยให้ผู้เรียนรู้จักหน่วยเสียงของ แต่ละตัวอักษรได้ จึงท าให้ผู้เรียนสามารถน าหน่วยเสียงของแต่ละตัวอักษรมาผสมเป็นค าได้ ซึ่งสอดคล้อง กับผลวิจัยของ ณัฐพล สุริยมณฑล (2561) เรื่อง การสอนแบบโฟนิกส์เพื่อส่งเสริมการออกเสียงและความรู้ ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ความสามารถในการจดจ าค าศัพท์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการสอนสูงกว่าก่อนการสอนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความสามารถในการออกเสียงภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการสอนสูงกว่าการ สอน อย ่างมีนัยส าคัญทางสถิติที ่ระดับ 0.05 เช ่นเดียวกับ ลัดดาวัลย์ มิตรกูล , ประกอบ ใจมั ่น และ สายสวาท เกตุชาติ (2563) เรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ผสานเทคนิคโฟนิกส์และการสอน ภาษาแบบองค์รวมเพื่อสร้างเสริมทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว ่า ผลการประเมินทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ หลังการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการ เรียนรู้ผสานเทคนิคโฟนิกส์และการสอนภาษาแบบองค์รวมเพื ่อสร้างเสริมทักษะการอ ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และวิจัยของ วรกานต์ โสคะโน (2563) เรื่อง ผลของการใช้แบบฝึกทักษะโฟนิกส์เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้ค าศัพท์
40 ภาษาอังกฤษก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะโฟนิกส์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 แบบฝึกทักษะโฟนิกส์ พัฒนาการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพที่ 84.29/82.50เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ผลการจัดการเรียนรู้หลังเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ .05 สรุปได้ว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนา ความสามารถการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ เรื่อง Our Weekend ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสูงกว่าก่อนการฝึกอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ 1. ในการจัดการเรียนเรียนรู้โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) ผู้สอนควรจัด กิจกรรมสอดแทรกเพลง หรือเกมเข้ามาเพื่อท าให้ผู้เรียนสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มที่ รวม ไปถึงควรมีการตั้งกฎกติกาในการใช้แบบฝึกหัดให้ชัดเจน 2. เทคนิคการเรียนรู้โดยใช้วิธีการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) เป็นวิธีที่ผู้เรียนไม่ค่อยเจอ ท า ให้ผู้เรียนอาจจะมีความรู้สึกงุนงงบ้างเล็กน้อยในตอนแรก ดังนั้นผู้สอนจะต้องอธิบายถึงวิธีการออกเสียงแต่ ละตัวอักษรอย่างช้า ๆ และให้ผู้เรียนฝึกออกเสียงในทุกๆวัน เพื่อความคุ้นชิน 3. ผู้สอนควรมีการเสิรมแรงทางบวกให้กับผู้เรียนอย ่างหลากหลาย เช ่น การประกาศผลคะแนน หลังจากร่วมกิจกรรม ค าชมเชย รวมถึงการส้รางบรรยากาศภายในห้องเรียนให้มีความเป็นกันเอง 4. จากการศึกษาการจัดการเรียนเรียนรู้โดยใช้หลักการอ่านออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) พบว่า มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น ดังนั้นควรมีการน าการจัดการเรียนเรียนรู้โดยใช้หลักการอ่านออกเสียง แบบโฟนิกส์ (Phonics) มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนในเรื่องการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษต่อไป ข้อเสนอแนะในการท าวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรมีการศึกษาตัวแปรอื่นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการสอนด้วยโฟนิกส์ ไม่จ ากัดเพียงการ ออกเสียง เช่น การใช้การสอนโฟนิกส์เพื่อพัฒนาการเขียน 2. การศึกษาครั้งต่อไปอาจมีการเพิ่มระดับความยากของค าศัพท์ จากสระเสียงสั้นเป็นสระเสียงยาว และทดลองใช้กับนักเรียนในระดับชั้นที่สูงขึ้น