เธอต้องออกแบบที่เป็น
อัตตลักษณ์ของตัวเอง
เธอคิดไม่ออกครับ
คิดอย่างไรก็ไม่ออก
…
ต่อมาเธอเข้าร่วมโครงการพัฒนานักออกแบบรุ่นใหม่ของแฟชั่น
ล้านนาตะวันออกของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแพร่ แล้วเธอได้มี
โอกาสเรียนรู้หลักการพื้นฐานของการเป็นนักออกแบบ และก่อนจบเธอ
ต้องออกแบบที่เป็นอัตตลักษณ์ของตัวเอง นั่งคิดถึงลาย รูป และแบบ ที่
เธอจะเพ้นท์ในผืนผ้า เพื่อสร้างโปรเจคท์ส่งอาจารย์… เธอคิดไม่ออก
ครับ คิดอย่างไรก็ไม่ออกให้สวยหรือเหมือนดั่งที่ใจอยากได้… และ ณ
นาทีที่ฝนกำลังตกนั้น หลายคนอาจกำลังนึกถึงความชุ่มชื่น ความเย็น
ฉ่ำ ที่ฟ้าส่งมาให้คลายร้อนกับผู้คน แต่ “ตำ” ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งลาย
แบบผ้ามาให้เธอ มันคือ “สายฝน” และนั้นคือ คอลเลคชั่นแรกของเธอ
และของแบรนด์ “VARA” ของเธอ
จากนั้นเป็นต้นมา สายฝนและเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้น บนผืนผ้าพื้น
เมืองที่เพ้นท์ด้วยหม้อห้อมและคราม กลายเป็นภาพที่ทุกคนคุ้นเคยและ
รับรู้ในวงกว้างว่า มาจากฝีมือและจินตนาการของน้องใหม่สมาชิกยัง
คราฟท์ดีไซเนอร์ ของแพร่ที่ชื่อ “วรากุล อ่อนน้อม”
แม้ว่าภาพเพ้นท์ลายสายฝนและเม็ดฝนจะกลายเป็น
อัตตลักษณ์ของเธอ และได้รับการตอบรับค่อนข้างมาก
จากตลาด ขายหมดทุกคอลเลคชั่นและมีออเดอร์มา
ตลอด จนการเพ้นท์ลายสายฝนกำลังกลายเป็นความ
เคยชินและมีรูปแบบของการวางองค์ประกอบของลาย
กรอบความคิด อยู่ที่วิธีคิด VARA หน้า 3
ต่างๆเริ่มคงที่ ทำให้เธอเริ่มคิดว่าลายสายฝนเริ่ม
กลายเป็นกรอบและเขตปลอดภัยของเธอที่เธอไม่
กล้าก้าวออกมา เธอเริ่มไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ไม่
กล้าคิดต่อ เธอกลัวว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ
เหมือนที่ผ่านมา และสายฝนที่ทำให้ใครเห็นชื่อ
VARA ก็หลับตาเห็น “สายฝน” ของเธอ… หาก
มองในหลักการตลาดแล้ว ดูเหมือนจะดี แต่จริงๆ
แล้วอันตรายมาก เพราะกรอบนี้หากปล่อยไปนาน
เราจะเคยชิน สบายจนเคยตัว ไม่กล้าออกไปไหน
และที่สำคัญสุดทำให้เราไม่กล้าทำอะไรอื่นอีก
เธอเริ่มหามองรูปแบบและลายใหม่ๆ แต่ยังใช้จุดแข็งของเธอ คือ
การเพ้นท์ และออกมาเป็นคอลเลคชั่นลายพยัญชนะภาษาอังกฤษ ซึ่งมี
ทั้งหมด 24 ตัวที่เธอเพ้นท์กระจายบนผืนผ้า ปรากฏว่าล็อตแรกถูกซื้อ
หมดในเวลารวดเร็ว แถมยังมีออเดอร์ตามมาอีกเพียบ เธอสนุกสนาน
กับสิ่งเหล่านี้สักพัก และเมื่อทำจำนวนมากขึ้น เธอค้นพบใหม่จากการ
ทำคอลเลคชั่นนี้ว่า เธอยังอยู่ในกรอบ แต่ไม่ใช่กรอบของ “ลายเพ้นท์”
แต่เป็นวิธีคิด เธอพบว่าเธอคิดแบบนักวิทยาศาสตร์ ศาสตร์ที่เป็นพื้น
ฐานวิธิคิดของเธอมาตลอด เธอบอกผมว่าลายเพ้นท์ของเธอมีกรอบรูป
แ บ บ ที่ เ ป็ น รู ป แ บ บ ค ง ที่ ก า ร
วางตัวอักษร การเรียง การเลือก
ลายสายฝนและเม็ดฝน... ใช้ตัวพัญชนะ การนำมาวางนั้น
กลายเป็นอัตตลักษณ์ของเธอ แม้ว่าจะดูกระจัดกระจาย แต่หาก
สังเกตดีๆ จะพบว่าการวางตัวและ
... รู ป แ บ บ นั้ น เ ป็ น แ บ บ แ ผ น ที่
เธอเริ่มไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ตายตัว มีระเบียบแน่นอน ซึ่ง
ไม่กล้าคิดต่อ เป็นกระบวนการและหลักการทาง
… วิทยาศาสตร์ ศาสตร์ที่หล่อหลอม
อันตรายมาก เธอในรั้วมหาวิทยาลัย
กรอบความคิด อยู่ที่วิธีคิด VARA หน้า 4
เธอเริ่มรู้ว่าเธอมีกรอบคิดที่ทำให้งานของเธอมี pattern เดิมๆ
แม้ลายเพ้นท์ ลายเส้น รูป จะเปลี่ยนไปก็ตาม... ผมทึ่งที่เธอไม่ได้กังวล
กับเรื่องนี้ เธอเล่าให้ผมฟังเรื่องรี้อย่างตื่นเต้นและสนุกสนานถึงกรอบ
หลักการที่เธอยังทลายไม่ได้ แต่ในใจผมฟังด้วยความทึ่งในวิธีคิดและ
ความตั้งใจที่จะพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และที่สำคัญเธอรู้จักตัวตนและ
ความฝันของตนเองดี ผมยอมรับว่าผมไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน
และเพิ่งได้ยินจากเด็กคนนี้ เธอเปิดวิธีคิดของผมให้เริ่มมองตัวเอง
เหมือนกันว่า ที่ผ่านมาผมมีกรอบ
ในการวิเคราะห์ปัญหาและการ
แก้ไข รวมทั้งการพัฒนาธุรกิจ เธอยังอยู่ในกรอบ แต่ไม่ใช่
แบบเดิมๆหรือไม่… ขอบคุณจริงๆ กรอบของ “ลายเพ้นท์” แต่
สิ่ ง ที่ ผ ม คิ ด ม า โ ด ย ต ล อ ด เป็นวิธีคิด เธอพบว่าเธอคิด
ว่าการที่เรามีกรอบความคิดหรือ แบบนักวิทยาศาสตร์
pattern ที่เป็นอัตลักษณ์ของเรา …
ใครมองก็รู้ว่าคือ “เรา” น่าจะเป็น หากสังเกตดีๆ จะพบ
สิ่งที่ดี เพราะสร้างความแตกต่าง
และสร้างมูลค่าได้มาก แต่หาก ว่าการวางตัวและรูปแบบนั้น
มองอีกด้านหนึ่งแบบที่ได้เรียนรู้ เป็นแบบแผนที่ตายตัว มี
จาก “ตำ” ที่คิดว่าอาจเป็นตัว ระเบียบแน่นอน
อุปสรรคในการสร้างสรรค์และสิ่ง
กรอบความคิด อยู่ที่วิธีคิด VARA หน้า 5
ใหม่ๆ ของเราเอง ซึ่งก็ถูกของเธอ
ผมมองว่าการสร้าง “อัตตลักษณ์” หรือ
“ตัวตน” ของเรานั้น หากสร้างในแบบกรอบที่
กว้าง เช่น ลายเส้นแบบนี้คือ “เรา” จะวาดรูป
อะไร แบบอะไรก็คือ “เรา” หรือการวางสีแบบนี้
ไม่ว่าจะรูปอะไร แบบอะไร ก็คือ “เรา” การพูด
คุยกับ “ตำ” ครั้งนี้ ทำให้เห็นว่า อัตตลักษณ์เป็น
สิ่งจำเป็น แต่ควรเลือกอัตตลักษณ์ที่ให้โอกาสเรา
สร้างสรรค์และมีอิสระทางความคิดให้ไกลสุดที่ศักยภาพของเราจะทำได้
และผมเชื่อว่าเราจะตื่นตาตื่นใจกับคอลเลคชั่นใหม่จาก VARA ที่จะออก
มาใหม่เร็วๆ นี้
ขอบคุณภาพจาก
https://www.facebook.com/Kulvaracloset/
กรอบความคิด อยู่ที่วิธีคิด VARA หน้า 6
หากยังคิดวา มที ุกอยางครบ
เราจะไดผ ลออกมาเหมอื นเรามขี องไมค รบ
ครบ
เหมือนไม่ครบ
ผมมีโอกาสไปศึกษานโยบายการจัดองค์กรและเครือข่ายการ
พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) ในหลายแห่ง โดย
เฉพาะในประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี หรือ
ไต้หวัน เขามีอะไร และเมื่อกลับมามองบ้านเรา ผมว่าเรามีทุกอย่างที่เขา
มี แม้ว่าอาจจะไม่ครบถ้วนหรือหรูหราเหมือนเขาทุกอย่าง แต่ในราย
ละเอียดเรามีครบจริงๆ สำหรับสิ่งจำเป็นในการพัฒนา SME ไม่ว่าใน
กิจกรรมที่สำคัญในการพัฒนา
SME งบประมาณก็ลงไปเยอะ
แ ล ะ มี ห น่ ว ย ง า น ที่ รั บ ผิ ด ช อ บ
มากมาย ที่สำคัญนโยบายของ
รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ได้ทุ่ม
ง บ ป ร ะ ม า ณ จำ น ว น ม ห า ศ า ล
อย่างต่อเนื่องให้กับทุกอย่าง ใน
ระดับนโยบายดูจะดี แต่ทำไมวัน
นี้ SME ยังมีปัญหามากและ
ประเด็นปัญหาเหมือนๆ เดิม
ครบ เหมือนไม่ครบ หน้า 1
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับสำหรับคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทั้งหมดเป็น
เรื่องการบริหารงานขององค์กรที่ไม่มีการบูรณาการ แม้ว่าจะเป็นเรื่อง
เดียวกันหลายหน่วยงานก็ต่างคนต่างทำ และจะทำตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ
และจนถึงสุดท้าย ตั้งแต่การพัฒนาวัตถุดิบ การพัฒนาออกแบบ
ผลิตภัณฑ์หรือหีบห่อ และการตลาด ทั้งในและต่างประเทศ ทุกหน่วย
งานทำซ้ำๆในกิจกรรมเหมือนกัน แม้แต่หน่วยงานที่เราคาดหวังให้ทำ
เฉพาะด้านนโยบายก็ลงมาทำในทางปฏิบัติเหมือนกับเขา นอกจากจะ
จัดสรรงบประมาณบูรณาการบ้าง แบ่ง
โครงการให้ทำบ้าง และตัวเองก็ทำเองกับเขา
อีก ที่นี้ก็เลยไม่มีใครมองภาพใหญ่ แบบ
“มอง” จริงๆ ไม่ใช่เป็นผู้รับรายงานจากหน่วย
งานอื่นๆ มา แล้วเอามาเย็บเล่ม
ที่สำคัญสุด ทุกหน่วยงานต่างมีนโยบาย
ของตนเองในเรื่อง SME แม้ว่ามติคณะ
รัฐมนตรีออกมาแบบไหน ทุกหน่วยงานก็
สามารถที่จะแปลงกิจกรรมให้สอดคล้อง ไม่
ว่าจะเป๊ะ จะเฉียด หรืออาจจะห่างสักนิด แต่ก็
ถือว่าเสริมกัน ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพมาก
เพียงพอในการสนับสนุนเป้าหมายหลักของ
แผนหลัก SME ต่างหน่วยงานมี
นโยบายตามเจ้ากระทรวง อธิบดี
งบประมาณก็ลงไปเยอะ แ ต่ ก็ เ ห ลื อ บ ม อ ง น โ ย บ า ย ข อ ง
และมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ รัฐบาลเป็นสำคัญ แต่พอลงมือทำ
มากมาย... แต่ทำไมวันนี้ ไม่มีการมองการทำงานประสาน
งานความร่วมมือจากหน่วยงาน
SME ยังมีปัญหามากและ อื่น ซึ่งทำให้ผลที่ได้รับ ไม่เป็น
ประเด็นปัญหาเหมือนๆเดิม ตามความคาดหวังของ SME
เพราะอย่างไรงบประมาณที่ได้รับ
การจัดสรรก็ไม่พอ
ครบ เหมือนไม่ครบ หน้า 2
หลายหน่วยงานก็ต่างคน
ต่างทำ...แม้แต่หน่วยงานที่
เราคาดหวังให้ทำเฉพาะด้าน
นโยบายก็ลงมาทำในทาง ผ ม เ ข้ า ใ จ ผู้ บ ริ ห า ร ใ น
ปฏิบัติเหมือนกับเขา... ร ะ ดั บ น โ ย บ า ย ที่ กำ ห น ด
... นโยบายด้าน SME ไม่ว่าดี
ไม่มีใครมองภาพใหญ่ อ ย่ า ง ไ ร แ ล ะ ส นั บ ส นุ น ง บ
… ประมาณมากเท่าใด แต่หากใน
และก็หายหน้าไปเมื่อ ท า งป ฏิบัติผู้ดำ เนิน กา รม อ ง
โครงการนั้นได้รับการตรวจ เพียงแค่ในกรอบความรับผิด
รับตามวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ชอบของตัวเองและตัวชี้วัดของ
งบประมาณ โดยไม่ได้มองผล
ภาพรวมของการพัฒนา ก็พอจะ
เห็นผลลัพธ์ว่าเป็นอย่างไร ยก
ตัวอย่าง เช่น โครงการพัฒนาธุรกิจฐานรากในชุมชน โดยชักนำให้คน
เข้าไปในชุมชนของรัฐบาล เราก็จะเห็นว่าหลายหน่วยงานก็มะลุมมะตุ้ม
ไปในหมู่บ้านที่มีศักยภาพ แต่ละหน่วยทำตามภารกิจและตัวชี้วัดของตัว
เอง ผมเห็นหน่วยงานหนึ่งไปทำตลาด หน่วยงานไปปรับทิวทัศน์ท่อง
เที่ยว อีกหน่วยไปทำผลิตภัณฑ์ และอีกหน่วยไปช่วยทำการเพาะปลูก
และแปรรูป แต่ไม่มีใครมองภาพรวมว่าเขาควรพัฒนาอะไร น้ำหนัก
ขนาดไหนในแต่ละเรื่อง และก็หายหน้าไปเมื่อโครงการนั้นได้รับการ
ตรวจรับตามวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง
ถ้าถามว่า ภาพใหญ่ของการบริหาร SME ของประเทศน่าจะเป็น
อย่างไร ผมอยากเห็นสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาวิสาหกิจขนาด
กลางและขนาดย่อม (สสว.) เป็นผู้ดูแลนโยบายในภาพรวม วางทิศทาง
การใช้งบประมาณ วิเคราะห์และกำหนดแผนการดำเนินงานของหน่วย
ครบ เหมือนไม่ครบ หน้า 3
งานต่างๆ ว่าควรทำอะไร การดูแลกองทุนของ SME ทั้งหมดและผ่านงบ
ประมาณลงไปสองทาง คือ ทางด้านการเงินและด้านการพัฒนา
ด้านการเงินนั้น เมื่อกำหนดมาตรการทางการเงินแล้ว ให้งบ
ประมาณให้กับธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด
ย่อม (SME D Bank) เป็นผู้ดำเนินงาน โดยอาจร่วมกับสถาบันการเงิน
อื่นๆเมื่อลงลึกไปในระดับท้องถิ่น ทั้งนี้การทำงานเป็นรูปแบบทั้งหมด
เป็นเรื่องเครดิต
ด้านการพัฒนาศักยภาพ
SME นั้น ผมว่าในรูปแบบ
เดิมๆที่ให้ที่ปรึกษาลงไปเป็น
รายๆนั้น ก็ยังมีประโยชน์อยู่
แ ต่ ค ว า ม ยั่ ง ยื น แ ล ะ ค ว า ม
ส ม่ำ เ ส ม อ จ ะ ไ ม่ มี เ พ ร า ะ
กิจกรรมนี้ขึ้นอยู่กับงบประมาณ
เป็นปีๆ แต่อยากให้มีหน่วย
งานที่มีศักยภาพในการให้คำ
ปรึกษาในแต่ละท้องถิ่นเป็นรับ
ผิดชอบไปดำเนินการ เช่น สถาบันการศึกษา สมาคมภาคเอกชนในท้อง
ถิ่น หรือองค์กรใดๆที่มีบุคลากรที่มีความสามารถมาเป็นที่ปรึกษาประจำ
โดยหน่วยหนึ่งๆต้องมีที่ปรึกษาด้านต่างๆ เช่น ธุรกิจ การตลาด
วิศวกรรม ฯลฯ มาทำงานด้วยค่าใช้จ่ายที่สนับสนุนโดย สสว. โดยจะ
ต้องมีการยื่นขอรับการคัดเลือกเป็นศูนย์ให้บริการปรึกษา และ สสว.
ต้องติดตามผล ประเมินผล ว่าปีหน้าจะได้รับดำเนินการต่อไปหรือไม่
นอกจากนี้ สสว. ควรจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษากลางในเรื่องเทคนิค
ที่ซับซ้อนที่หน่วยที่ปรึกษาในระดับพื้นที่ไม่สามารถทำให้ได้และส่งการ
ขอความช่วยเหลือมา เพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ ศูนย์นี้จะ
รวบรวมรายชื่อที่ปรึกษาเฉพาะในแต่ด้านไว้ และจะให้บริการเมื่อได้รับ
การร้องขอมา โดยหน่วยนี้จะส่งผู้เชี่ยวชาญที่ศูนย์ที่เลือกลงไปช่วยเหลือ
ครบ เหมือนไม่ครบ หน้า 4
โดยจะสนับสนุนงบประมาณ จำกัดการสนับสนุนในการให้คำปรึกษา
เช่น ฟรีค่าที่ปรึกษา ค่าเดินทาง และจำกัดจำนวนวันที่ปรึกษาฟรีต่อปี
ฯลฯ ทั้งนี้ ทุกรายที่ส่งคำร้องขอมาศูนย์ที่ปรึกษากลางนี้ ต้องผ่านศูนย์ที่
ปรึกษาในระดับพื้นที่ก่อนและที่ปรึกษาท้องถิ่นไม่สามารถจัดการได้
หน่วยงานของรัฐที่
ไ ด้ รั บ ก า ร จั ด ส ร ร ง บ ป ร ะ
มาณบูรณาการ จาก สสว.
ในฐานะผู้ดูแลนโยบายและ
งบบรูณาการ เมื่อหน่วยงาน
นั้ น ๆ จั ด ส ร ร ง บ ป ร ะ ม า ณ
นั้นๆลงไปถึงหน่วยงานใน
ระดับพื้นที่ โดยหน่วยงาน
สสว. ในแต่ละจังหวัดต้อง
เ ป็ น ผู้ ป ร ะ ส า น ง า น ใ น ก า ร
ดำเนินงานทั้งหมดของทุกหน่วยงานให้สอดคล้องกัน และติดตามการ
ดำเนินงาน รวมทั้งประเมินผลการดำเนินงานในระดับลึกกับ SME เพื่อ
จะได้รู้ปัญหาและประสิทธิภาพการดำเนินงานจริงๆ ซึ่งจะช่วยให้
สามารถปรับปรุงมาตรการและนโยบายได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบในการจัดทำศูนย์ให้คำ
ปรึกษา อาจมีทั้งอาสาสมัครที่มีประสบการณ์ และประสานงานศูนย์ที่
ปรึกษาในพื้นที่ที่ได้รับการคัดเลือกและงบประมาณสนับสนุน รวมทั้งมี
ศูนย์บริการด้านเครื่องมือที่ SME สามารถใช้ เพื่อทดลองทำสินค้า
พัฒนาผลิตภัณฑ์ ออกแบบ หีบห่อ หรือทดสอบผลิตภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมี
ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม (ITC) ของศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมในภาค
ต่างๆ และขนาดเล็กลงมาที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด มีที่สถาบัน
การศึกษาต่างๆในพื้นที่ แต่ผมว่า สสว. ต้องเป็นผู้ประสานงานกลางใน
การสร้าง และดูแลเครือข่ายเหล่านี้เพื่อให้ทำงานสอดประสานและ
สนับสนุนกันในการให้บริการ SME ในพื้นที่ ซึ่งผลการดำเนินงานแต่ละ
โครงการและศูนย์ของทุกหน่วยงานจะได้รับการประเมินผลทุกปี
ครบ เหมือนไม่ครบ หน้า 5
ผมเชื่อว่าคนที่อ่าน
มาถึงตรงนี้หลายคนคงไม่
แบบที่เป็นอยู่... เห็นด้วยกับผม แต่ผมเชื่อ
ว่าเราทำได้ เพียงแต่ว่าเรา
มีนโยบายสวยๆ ดีๆ อ า จ ต้ อ ง ป รั บ ทุ ก อ ย่ า ง ที่
แต่พอลงปฏิบัติกลับได้ผล สสว. เพื่อให้บุคลากรมี
ไม่เท่าที่หวัง ความสามารถและมีความ
พ ร้ อ ม ใ น ก า ร ทำ ง า น นี้ ไ ด้
หากยังคิดว่ามีทุกอย่างครบ ก า ร เ ป ลี่ ย น ก ฎ ก ติ ก า
และเราจะได้ผลออกมาเสมือน ระเบียบ รูปแบบการจัดสรร
เรามีของไม่ครบ … งบประมาณ ให้ สสว. เป็น
และทำในสิ่งที่เราอยากให้
เขาทำและเป็น ตั้งแต่ตอน
ร่าง พ.ร.บ. สสว. แล้ว หาก
เรายังเดินไปแบบที่เป็นอยู่ เราก็จะมีนโยบายสวยๆ ดีๆ แต่พอลงปฏิบัติ
กลับได้ผลไม่เท่าที่หวัง หากยังคิดว่ามีทุกอย่างครบ และเราจะได้ผลออก
มาเสมือนเรามีของไม่ครบ … เหมือนเดิม
ขอบคุณภาพจาก
https://www.ryt9.com/s/iq03/2904858
ครบ เหมือนไม่ครบ หน้า 6
“ความสงสารทําใหร บั ซ้ือถว่ั ดาวอินคาจากชาวบาน
โดยท่ตี อนแรกก็ไมร ูเหมือนกันวาจะเอาไปทาํ อะไรด”ี
ดาวอินคา
ของชุมชน
ธุรกิจแต่ละธุรกิจมีจุดเริ่มต้นที่ต่างกัน บ้างก็มาจากฝัน บ้างมาจาก
ความจำเป็น สารพัดเหตุผล แต่วันที่ผมมาที่น่านเมื่อเร็วๆนี้ ผมได้รู้จัก
กับอดีตพยาบาลวิสัญญี “คุณมณีวรรณ บุญชูภกดิ์” ที่ผันตัวเองมาเป็น
ผู้ประกอบการวิสาหกิจชุมชนแบบจำเป็น แบบที่ใจสั่งให้ต้องทำ ใจที่มี
ความรักและเห็นอกเห็นใจคนอื่น และใจที่ผูกพันต่อ “น่าน” เธอจึงสร้าง
วิสาหกิจขึ้นมาจากความร่วมมือร่วมใจของหลายๆกลุ่ม เพื่อช่วยเหลือ
เกษตรกรที่ถูกหลอกให้ปลูกถั่วดาวอินคาจากพ่อค้า แต่ไม่มารับซื้อหลัง
จากขายเม็ดพันธ์ให้แล้ว ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึง โคแซงค์ซี
(Cosachase)
C o s a c h a s e เ ป็ น ชื่ อ ข อ ง
ผลิตภัณฑ์ของเธอ โดยคำว่า Co
มาจาก Cooperative หรือแปลว่า
สหกรณ์ และ Sach ย่อมาจาก
Sacha ก็คือดาวอินคา และ Se มาจาก Series เพื่อแสดงให้เห็นที่มา
และวิญญาณของผลิตภัณฑ์นี้เป็นอย่างดีว่ามาจากความร่วมมือกันของ
คนจำนวนมาก ซึ่ง “มณีวรรณ” เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ลาออกจาก
พยาบาลมาช่วยครอบครัวทำธุรกิจเกี่ยวกับขนส่ง และรับซื้อพืชผล
ดาวอินคา ของชุมชน หน้า 1