ทางการเกษตรจากชาวบ้าน โดยเฉพาะ
ข้าวโพด และวันหนึ่ง เธอพบว่ามีกลุ่มชาว
บ้าน โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ที่ปลูกเม็ด
ดาวอินคาตามคำแนะนำของพ่อค้าที่เอา
เมล็ดพันธ์มาขายให้และบอกว่าจะรับซื้อ
ผลผลิตแต่ปรากฏหายเงียบ ความสงสาร
ทำให้ “มณีวรรณ” ช่วยเหลือเกษตรกร
เหล่านั้นโดยการรับซื้อถั่วดาวอินคาจาก
ชาวบ้าน โดยตอนเริ่มต้นเธอก็ไม่รู้ว่า
เหมือนกันว่าจะเอาไปทำอะไรดี นอกจากที่
เห็นเขาเอามาทอดขายกัน แต่ด้วยอาชีพ
พ ย า บ า ล เ ธ อ เ ชื่ อ ว่ า น่ า จ ะ ทำ อ ะ ไ ร ไ ด้
มากกว่านั้น
ข้อมูลของประโยชน์และผลิตภัณฑ์ถั่วดาวอินคาที่เธอมีนั้น ทำให้
เธอทดลองนำมาสกัดน้ำมันแบบ
เย็นและนำมาผสมนั้นหน่อย นี่
นิด ตามความรู้ที่มี และทดลอง
ใ ช้ กั บ ตั ว เ อ ง แ ล ะ ค น ใ ก ล้ ชิ ด พ่อค้าเอาเมล็ดพันธ์มาขายให้
และเก็บข้อมูล จนเธอแน่ใจใน และบอกว่าจะรับซื้อผลผลิต
คุณสมบัติของถั่วมหัศจรรย์นี้
และคิดว่ามันสามารถที่จะนำ แต่ปรากฏหายเงียบ
มาเพิ่มมูลค่าและทำธุรกิจเกี่ยว ความสงสารทำให้ “มณีวรรณ”
กับถั่วดาวอินคาได้ เธอเดิน
หน้าขอความร่วมมือกับสถาบัน ช่วยเหลือเกษตรกรเหล่านั้น
การศึกษาและส่งถั่วดาวอินคา โดยการรับซื้อถั่วดาวอินคาจาก
เข้าห้องทดสอบของแล็ปกลาง ชาวบ้าน โดยตอนเริ่มต้นเธอ
(Central Lab) อย่างเป็นเรื่อง ก็ไม่รู้ว่าเหมือนกันว่า
เป็นราว ซึ่งก็เป็นอย่างที่ข้อมูล จะเอาไปทำอะไรดี
ที่ เ ธ อ รั บ ท ร า บ ม า ก่ อ น ว่ า ถั่ ว
ดาวอินคา ของชุมชน หน้า 2
ประเภทนี้มีวิตามินเอและอี และในน้ำมันก็มีโอเมก้า 3, 6 และ 9 ใน
จำนวนที่มากกว่าถั่วประเภทอื่นๆ และมีปริมาณโปรตีนสูง รวมทั้งมีกรด
ไขมันที่จำเป็นในปริมาณที่สูง ที่สำคัญเธอคิดว่าสามารถใช้ประโยชน์
ตั้งแต่เมล็ดจนถึงเปลือก จนมีคนเรียกถั่วประเภทนี้ว่า “Super Food”
ทำให้เธอคิดที่จะออกผลิตภัณฑ์เป็นซี่รี่ส์ (Series) เพื่อให้สามารถช่วย
เหลือเกษตรกรได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเพื่อทดสอบตลาด เพราะใน
ตลาดมีคู่แข่งในสินค้าพวกนี้ที่มาจากดาวอินคามากอยู่แล้ว
ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ซี่ รี ส์ แ ร ก
ของ Cosachse เป็นพวก
ครีมบำรุงผิว ครีมขัดผิว
และสบู่ ซึ่งครีมที่เธอได้
ทดลองใช้กับตัวเองและ
ค ร อ บ ค รั ว แ ล ะ เ มื่ อ
พิจารณาจากผลทดสอบ
ของห้อง lab แล้วเธอจะมี
ค ว า ม มั่ น ใ จ ว่ า ค รี ม ข อ ง
เธอนั้นมีคุณสมบัติในการ
ดูแลผิวและสามารถรักษาแผลจากโรคสะเก็ดเงินได้ดี นอกจากนี้ เธอ
ออกแบบครีมขัดผิว (Sacha Peanut Body Scrub) ที่เอาเกลือภูเขามา
ผสมกับผงถั่วดาวอินคาและหุ้มด้วยน้ำมันถั่วดาวอินคา ที่นอกจากจะ
ช่วยบำรุงผิวแล้วยังช่วยในการระเบิดขี้ไคล้ได้ผลยิ่งนัก ผมนั่งฟังก็ยังนึก
ภาพคนที่ขี้ไคล้เยอะและฝังลึกจนต้องระเบิดเป็นอย่างไร แต่เธอยืนยัน
ว่าขายดี และยังมีสบู่น้ำมัน ที่ไม่ใช่ไขมันหรือกลีเชอร์รีนเหมือนสบู่อื่น
ทั่วไป ซึ่งน้ำมันถั่วดาวอินคามีส่วนผสมวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิวได้
ดี ซึ่งผลิตที่ออกมาเป็นซี่รี่ส์แรก เป็นแบบนี้เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนใช้
ทั่วไป น่าจะเข้าตลาดได้ง่าย ไม่ต้องการคำอธิบายที่ซับซ้อนในการใช้
ผลิตภัณฑ์
ส่วน Series ที่สอง เธอก็ใช้คุณสมบัติวิตามินของถั่วดาวอินคาใน
การทำครีม จำพวกครีมเคลือบบำรุงผม ครีมขัดหน้า และครีมพอกหน้า
ดาวอินคา ของชุมชน หน้า 3
เธอเดินหน้าขอความร่วมมือ
กับสถาบันการศึกษา
และส่งถั่วดาวอินคาเข้าห้อง
ทดสอบของแล็ปกลาง
ส่วนมากเน้นความสวยงามของผิวหน้า ผมถามว่าทำไมออกผลิตภัณฑ์
ประเภทนี้ เธอบอกว่าคุณสมบัติที่ใช้ภายนอกของถั่วดาวอินคาที่คน
ทั่วไปรับรู้แล้วก็คือการดูแลผิว รักษาโรคผิวหนังต่างๆ ดังนั้นผลิตภัณฑ์
ภายนอกจึงเน้นเรื่องการบำรุงผิวเป็นสำคัญ เพราะไม่ต้องสร้างการรับรู้
ใหม่ และขณะนี้กำลังทยอยออกสู่ตลาดเร็วๆ นี้
ส่วนการนำเอาน้ำมันมาทำทานนั้นยังไม่มีแผน แม้ว่าน้ำมันถั่วดาว
อินคาจะมีโอเมก้า 3, 6 และ 9 เยอะมากก็ตาม แต่เธอต้องการความ
มั่นใจจากการผลิตและข้อมูลที่เธอเองต้องรับรู้ เชื่อมั่นก่อน
ใน Series ที่สาม ซึ่ง “มณีวรรณ” กำลังทำงานร่วมกับสถาบัน
การศึกษาเพื่อวิจัยการใช้ประโยชน์จากเปลือกดาวอินคา เพราะผลการ
ทดสอบพบว่ามีโปรตีนสูง จึงกำลังวางแผนเพื่อผลิตเป็น “เวย์โปรตีน”
ออกมา เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ทุกส่วนของถั่วมหัศจรรย์นี้ได้
ทั้งหมด
ดาวอินคา ของชุมชน หน้า 4
สิ่ ง ที่ ผ ม ช อ บ ม า ก ที่ สุ ด วางโพชิชั่นของสินค้านี้ให้เป็น
ตลอดช่วงเวลาที่คุยกับ “มณี ผลิตภัณฑ์ของชุมชนอย่างแท้จริง
วรรณ” คือ ความตั้งใจของ
เธอที่จะวางโพชิชั่นของสินค้า ...
นี้ให้เป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน ซื้อวัตถุดิบผ่านสหกรณ์
อย่างแท้จริง เธอย้ำกับผม การเกษตรและเกษตรกร...
ตลอดเวลาว่า Cosachse นี้ การผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปโดย
คือ “น่าน” เพื่อสื่อถึงจิต
วิ ญ ญ า ณ ข อ ง ค ว า ม ร่ ว ม มื อ วิสาหกิจชุมชนชีววิถี
ข อ ง ชุ ม ช น ตั้ ง แ ต่ ก า ร ซื้ อ ตำบลน้ำเกี๋ยน ซึ่งเป็นหมู่บ้าน
วั ต ถุ ดิ บ ผ่ า น ส ห ก ร ณ์ อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์
การเกษตรและเกษตรกร การ
ผ ลิ ต ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ แ ป ร รู ป โ ด ย (CIV) ของกระทรวง
วิสาหกิจชุมชนชีววิถีตำบลน้ำ อุตสาหกรรมจังหวัดน่าน
เ กี๋ ย น ซึ่ ง เ ป็ น ห มู่ บ้ า น
อุตสาหกรรมเชิงสร้างสรรค์
(CIV) ของกระทรวงอุตสาหกรรมในจังหวัดน่าน ที่มีการผลิตที่ได้
มาตรฐาน และการบริหารการตลาด ผลิตภัณฑ์และแบรนด์ที่พยายาม
ให้เป็นของ “น่าน” ดังนั้นจึงวางขายในระยะแรกเป็นของฝากท้องถิ่น
ตอนนี้หาได้ที่ร้าน “ออมน่าน” และร้านประชารัฐในเมืองน่าน
หากใครแวะเยือนน่านแห่งนี้ ลองของฝากที่มาจาก “ใจ” ที่ร้อย
ต่อกันออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ดาวอินคาที่ชื่อ Cosachse ดูนะครับ จะได้
รับรู้ความเป็น “น่าน” อีกรูปแบบหนึ่งครับ
ขอบคุณภาพจาก
puechkaset.com/ถั่วอินคา
ดาวอินคา ของชุมชน หน้า 5
ผา พ้นื เมืองทกุ ผนื เหมอื นกระดาษท่ีบรรจเุ รอื่ งราวไวม ากมาย
หากอา นดีๆ จะพบวามนั คือ “ไดอาร”ี่ ของผูสรางผลงาน
ไดอารี่
บนผืนผ้า
มาเมืองแพร่ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจอเด็กรุ่นใหม่ ที่กำลังสรรค์สร้าง
และสร้างผ้าหม้อห้อมแพร่ ให้มีชีวิตชีวาและเป็นไปมากกว่าที่เราคิด
เดิมนั้น เมื่อพูดถึง “แพร่” หลายคนนึกถึงสิ่งสำคัญๆไม่เกินกว่า ไม้สัก
ผ้าหม้อห้อม และพระธาตุช่อแฮ แต่สำหรับผมโชคดีที่ได้มีโอกาสมา
เวียงโกศัสย์แห่งนี้หลายครั้ง จนรู้ว่าเสื้อหม้อห้อมของเมืองนี้ไม่ใช่แค่
เสื้อผ้าสีคราม ลวดลายและแบบเชยๆ ยังไม่พอ สีตกทุกครั้งที่ซัก แต่มี
จินตนาการของคนรุ่นใหม่ที่เข้าเปลี่ยนหมัอห้อมแพร่ให้ “เปลี๋ยนไป๋”
จากที่เราเคยเห็นและคุ้นเคย แต่ยังคงมีกลิ่นอาย รากเหง้า ภูมิปัญญา
และเรื่องราวของเมืองพระลอแห่งนี้ที่มีอายุยืนนานมากว่า 1,191 ปี
อย่างครบถ้วน
“กุ๊กกิ๊ก” หรือ “กมลชนก แสน
โสภา” สาวน้อยผู้เพิ่งเดินออกจาก
รั้ว “แม่โดม” ธรรมศาสตร์ แบก
ค ว า ม รู้ ก า ร อ อ ก แ บ บ พั ต ร า ภ ร ณ์
คณะศิลปกรรมศาสตร์ กลับมาวาง
ชีวิตของเธอที่บ้านเกิด “เมืองแพร่”
ด้ ว ย ค ว า ม ฝั น ที่ จ ะ ส ร้ า ง ส ร ร ค์
ไดอารี่ บนผืนผ้า หน้า 1
ภูมิปัญญาพื้นถิ่นที่เธอเห็น แต่อาจไม่คุ้นเคยและรู้จักมากนัก แต่คราวนี้
เธอกลับมากรองสิ่งเหล่านี้ผ่านสายตาและจิตวิญญานของเธอ ให้โลก
รู้จักเสื้อหม้อห้อมผ่านแบรนด์ “Kamon Indigo” ร่วมกับเพื่อนหนุ่มคู่ใจ
จากรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน
การที่เป็นเด็กสาวที่ชอบแต่งตัวตั้งแต่เด็ก “กุ๊กกิ๊ก” ฝันที่จะเป็นนัก
ออกแบบแฟชั่นสมัยใหม่ เก๋ๆ เท่ๆ ที่เห็นในนิตยสารดังๆ และเมื่อมี
โอกาสเข้าสู่มหาวิทยาลัย เธอเลือกคณะศิลปะศาสตร์ สาขาการ
ออกแบบแฟชั่น และเมื่อถึงคราวสอบสัมภาษณ์ เธอเตรียมตัวอย่างดี ดู
หนังสือ หาข้อมูล เรื่องแฟชั่น
ต่างประเทศและแฟชั่นสมัย
เธอเลือกคณะศิลปะศาสตร์ ใหม่ระดับโลกอย่างจริงจัง
สาขาการออกแบบแฟชั่น... เพื่อให้แน่ใจว่าเธอสามารถ
เปิดประตูแห่งความฝันได้....
คราวสอบสัมภาษณ์ แต่คำถามแรกของอาจารย์ที่
ถาม กลับทำให้เธอเปลี่ยน
เธอเตรียมตัวอย่างดี... มุมมอง ความคิดเรื่องแฟชั่น
...คำถามแรก... แ ล ะ เ ป ลี่ ย น ชี วิ ต ข อ ง เ ธ อ ที่
เหลือทั้งหมด ด้วยคำถามที่
“รู้จักศิลปินแห่งชาติ ที่เป็นชาว ว่า “รู้จักศิลปินแห่งชาติ ที่
แพร่หรือไม่” เป็นชาวแพร่หรือไม่”
ไดอารี่ บนผืนผ้า หน้า 2
คำถามนี้ ทำให้ “กุ๊กกิ๊ก” เริ่มตระหนักถึง
ความยิ่งใหญ่ของภูมิปัญญาของบ้านเกิดของ
เธอที่ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่นมาหลายร้อยปี และ
สงสัยว่าทำไมเวลาที่ผ่านมาเธอถึงมองข้ามสิ่ง
เหล่านี้ไปได้ และเธอเก็บความคิดที่ที่จะตามหา
รอยกำพืดและความยิ่งใหญ่ของชุมชนของเธอ
ที่ซ่อนไว้ในผ้าพื้นเมืองไว้ และหาโอกาสที่จะ
เจอ “ครูประนอม ทาแปง” ศิลปินแห่งชาติด้าน
ทัศนศิลป์ ปรามาจารย์ด้านผ้าพื้นเมือง เธอ
ตามหาจนพบและขอฝากตัวเป็นศิษย์ เรียนรู้
เรื่องราวต่างๆ ของผ้าพื้นเมือง ซึ่งต่อมาแม้ว่า
ในรั้วมหาวิทยาลัยจะสอนให้เธอรู้เรื่องราวของสีเคมีมากมาย แต่ที่นี่กับ
ศิลปินพื้นบ้าน ทำให้เธอมองเห็นความงดงามและเสน่ห์ของสีที่มีจาก
ธรรมชาติ และวันนี้ งานของเธอทุกชิ้น สีจะมาจากธรรมชาติที่อยู่รอบๆ
กาย ไม่ว่าใบหูกวาง ในสัก ดอกดาวเรือง หูกวาง และอื่นๆ นอกเหนือ
จากใบห้อมที่เธอคลั่งใคล้
การเสาะหาความรู้จากปราชญ์ท้องถิ่น และการเรียนการทอ การ
จก การย้อม และออกแบบ ทำให้เธอตระหนักว่าผ้าโบราญ ผ้าเก่าๆ ที่
บรรพบุรุษทอนั้น ลวดลายที่วาดเขียนลงไปนั้น หลายคนอาจมองว่าเป็น
ลายล้าสมัย แต่ “กุ๊กกิ๊ก” กลับมอง
ว่าเป็นผืนผ้าที่น่าอ่าน เพราะผ้าแต่
ผืน เสื้อแต่ละตัว และซิ่นแต่ละผืน
นั้น ผู้คนในแต่ละยุคแต่ละสมัยได้
บรรจุเรื่องราวต่างๆ ที่พวกเขาพาน
พบ ความเชื่อที่สวยมากเป็นเรื่อง
ศาสนา ภาพชีวิตประจำวัน ความ
รู้สึกและความผูกพันของตนเองใน
เรื่องต่างๆ และการเดินทางของชีวิต
ผู้คนในยุคสมัยต่างๆไว้ เธอบอกผม
ไดอารี่ บนผืนผ้า หน้า 3
ด้วยสายตาที่เป็นประกายว่า ผ้าพื้นเมืองทุกผืนเหมือนพื้นกระดาษที่
บรรจุเรื่องราวมากมายไว้ของคนทำ หากตั้งใจอ่านดีจะพบว่ามันคือ คือ
“ไดอารี่” ของบรรพบุรุษที่ส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป จากนั้นเธอก็เริ่มเล่า
เรื่องราวต่างบนผ้าเก่าๆ ให้ผมฟังอย่างสนุกและตื่นเต้น … ส่วนผมได้
แต่ทึ่ง อึ้ง ในความคิดของเด็กคนนี้
เธอหันไปหาตุ๊กตาหน้าตา
ป ร ะ ห ล า ด “ ตั ว ซิ่ น ” แ ล ะ ย ก
ตัวอย่างให้ผมฟังเกี่ยวกับผ้าซิ่น
ว่าที่คนสมัยเก่าที่ไล่สีลงมาจาก
ข้างบนหรือหัวซิ่น ที่เป็นสีขาวหรือ
สีอ่อนๆ เพื่อบอกว่าคนตอนเกิดจะ
บริสุทธิ์ ถัดลงมามีสีสันลวดลาย
แจ่มใส ก็เหมือนช่วงช่วงกลาง
ของชีวิตที่โลดแล่นสดใสตื่นไป
ด้วยสีสัน ส่วนตอนปลายซิ่น หรือที่คนเหนือมักเรียกว่า “ตีนซิ่น” เป็นสี
ทึบทึบและมีลายขวางเหมือนแม่น้ำ รูปลวดลายแสดงการเลื่อนไหล
เหมือนแม่น้ำไหล เพื่อบอกว่าให้รู้ว่าเมื่อถึงปลายของชีวิต เราทุกควร
ควรเตรียมตัวเดินทางข้ามมหานทีสีทันดร หรือมุ่งมั่นบรรลุปรินิพพาน
ตามความเชื่อในพุทธศาสนา... และวันนี้ “กุ๊กกิ๊ก” ก็อยากมีไดอารี่ใน
แบบฉบับของตนเองเช่นกัน
เรื่องราวใน “ไดอารี่” ของเธอที่บรรจงเล่าผ่านลวดลายบนผืนผ้า
ทอและย้อมธรรมชาติที่เธอเห็นในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน
ของเธอ รวมทั้งความคิดและ
ความฝันของเด็กสาวคนนี้ก็ถูก
ถอดออกมาและกรองผ่านสายตา
แบบวัยรุ่น วัยใส เป็นรูปใบไม้
แมลงเต่าทอง และลายแบบทัน
สมัยที่คนวัยเธอจะเข้าใจ แต่ละ
แบบผ่านการแบบที่ดูน่ารักตาม
ไดอารี่ บนผืนผ้า หน้า 4
สไตล์และฝีมือระดับบัณฑิตด้านออกแบบผ้า (Textile Design) ของ
มหาวิทยาลัยชื่อดัง... และเรื่องราวในไดอารี่เหล่านี้กลายเป็นอัตลักษณ์
ที่ใครๆ ก็รู้ และเมื่อเห็นลายนี้ก็รู้ทันทีว่าเป็นของ “Kamon Indigo”
ต ล อ ด เ ว ล า ที่ ไ ด้ คุ ย กั บ ผ้าพื้นเมืองทุกผืนเหมือนพื้น
เธอ “กุ๊กกิ๊ก” เล่าให้ผมอย่าง กระดาษที่บรรจุเรื่องราว
สนุกสนาน และมีความสุขที่
พูดถึงการเดินทางของความ มากมายไว้ของคนทำ หากตั้งใจ
คิ ด ข อ ง เ ธ อ นั บ จ า ก วั น แ ร ก ที่ อ่านดีจะพบว่ามันคือ คือ
ห ล ง เ ส น่ ห์ ข อ ง ผ้ า ย้ อ ม เ มื อ ง “ไดอารี่”
แบบธรรมชาติ และตลอด
เวลาที่คุยกัน ผมเห็นความมุ่ง
มั่นและความรักของเธอที่มีต่อ
ห้ อ ม ค ร า ม ก า ร ย้ อ ม ผ้ า
ไดอารี่ บนผืนผ้า หน้า 5
ธรรมชาติ มนต์ขลังของภูมิปัญญาพื้นบ้าน เธอเล่าว่าได้เดินทางไปทั่ว
ทุกที่ที่ปราชญ์ด้านนี้อยู่ ทุกมุมของประเทศ แม้แต่ที่สกลนครเมืองแห่ง
คราม เพราะเธอรู้ว่ายังมีอะไรอีกมากที่ต้องค้นคว้าและเรียนรู้... วันนี้
ผมรู้ว่าเธอได้วางชีวิตและหัวใจของเธอให้กับห้อมและผ้าของแพร่อย่าง
หมดใจ เพราะผมแอบเห็นรอยสักเล็กๆ บนแขนทั้งสองข้างของเธอเป็น
รูปใบห้อมและอีกข้างเป็นเครื่องกรอด้าย
”กุ๊กกิ๊ก” ถอดเรื่องราวที่เธอได้ทำ กำลังทำ และความฝันที่เธอมีที่
จะทำต่อไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสุข… สุขที่มีกับงานศิลปะผ้า
ของเธอ…. สุขที่ได้เล่าเรื่องราวความฝันของเธอลงในไดอารี่ผืนงามเพื่อ
แบ่งปันผู้อื่น และจากที่ผมได้สัมผัสและพบพานด้วยตัวเอง ผมเชื่อสนิท
ใจว่า “แพร่” กำลังมีดาวดวงใหม่ที่สดใส แวววาว และมีเสน่ห์ เกินกว่า
ที่ใครๆ จะไม่รัก….ไม่ได้
เธอ...เดินทางไปทั่วทุกที่ที่ปราชญ์
ด้านนี้อยู่ ทุกมุมของประเทศ...
ผมเชื่อสนิทใจว่า “แพร่” กำลังมี
ดาวดวงใหม่ที่สดใส แวววาว และ
มีเสน่ห์ เกินกว่าที่ใครๆ จะไม่
รัก….ไม่ได้
ขอบคุณภาพจาก
www.facebook.com/kamonindigobrand/
ไดอารี่ บนผืนผ้า หน้า 6
“มีใจ” “ใหใ จ” และ“ใสใจ”
ในทุกรายละเอียดในสิง่ ทีเ่ ราสราง
เรื่อง “น้ำจิ้ม”
ที่ใหญ่กว่าน้ำจิ้ม
พอเอ่ยถึงข้าวมันไก่ ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นอาหารที่หาได้ง่าย
ทั้งภัตตาคารหรู ตลาด ร้านข้างถนน หรือทำทานเองที่บ้านก็ทำง่ายๆ
และหากใครอยากทานแล้วไม่รู้จะเลือกร้านไหน คนมักแนะนำง่ายๆ ว่า
ให้เลือกข้าวมันไก่ “ไหหลำ” ไว้ก่อน ผมไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร แต่
สันนิษฐานว่าเมนูนี้ถูกหอบข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเกาะไหหลำ ซึ่งตอน
นี้อาจแปลงๆไปบ้าง แต่ถ้าจะดูว่าอร่อยจริงๆก็ต้องลงละเอียดถึงการหุง
ข้าว การนึ่งหรือต้มไก่ แล้วแต่สูตรใครสูตรมัน และที่สำคัญคือ “น้ำจิ้ม”
เจ้าตัวนี้เป็นดัชนีวัดที่สำคัญว่าข้าวมันไก่จะอร่อย
หรือไม่ สู้และวัดฝีมือตรงน้ำจิ้มนี่แหละครับ
“การ์ตูน” หรือ “กุลชรี อัครฉัตรโภคิน”
เกิดในครอบครัวชาวจีนไหหลำเปิดร้านข้าวมันไก่
ไหหลำที่จังหวัดน่านมากว่า 6 ปี และครอบครัว
เดิมของเธอเป็นจีนไหหลำที่ตั้งรกรากอยู่จังหวัด
นครศรีธรรมราช ทำร้านข้าวมันไก่ไหหลำมากว่า
20 ปี และทุกๆวันตั้งแต่วัยเด็กเธอเฝ้ามองธุรกิจที่
เรื่อง”น้ำจิ้ม” ที่ใหญ่กว่าน้ำจิ้ม หน้า 1
บ้านผ่านสายตาและความคิด
ของเด็กรุ่นใหม่ที่คิดว่า การที่
ลูกค้าเกือบร้อยละร้อยบอกว่า
ร้ า น ข้ า ว มั น ไ ก่ ที่ ไ ห น อ ร่ อ ย ก็
เพราะน้ำจิ้มอร่อย เมื่อเธอ
แต่งงานและย้ายมาที่ “น่าน”
และเมื่อคุณแม่มาช่วยเปิดร้าน
ข้าวมันไก่ไหหลำ ขยายตัวจากร้านแหนมเนืองที่ทำอยู่แล้ว ลูกค้าของ
เธอที่มาทานข้าวที่ร้านก็ชอบขอซื้อน้ำจิ้มข้าวมันไก่ของเธอกลับบ้านเส
มอๆ เลยทำให้เธอคิดในใจว่า การขายน้ำจิ้มข้าวมันไก่น่าจะเป็นการ
เปิดประตูใหม่ๆให้ธุรกิจของครอบครัว หลังจากที่เธอพัฒนาสารพัดข้าว
ที่ร้าน ไม่ว่าข้าวขาหมู ข้าวหมูแดง หรือรวมๆกันเป็นข้าวสามเซียน เป็น
เมนูที่ต้องไปแวะชิม หากมีโอกาสไป “น่าน”
เมื่อพูดถึงข้าวมันไก่ ก็ต้องนึกถึงน้ำจิ้ม และน้ำจิ้มต้อง “เด็ด” เธอ
เก็บโจทย์นี้ไว้ในใจว่า ถ้าลูกค้าสามารถมีน้ำจิ้มข้าวมันไก่ทานที่บ้านเอง
และทานกับอย่างอื่นได้มากกว่าแค่จิ้มไก่ แต่กระนั้นยังต้องคงมีความ
เป็นต้นฉบับแบบไหหลำไว้ครบ ลูกค้าน่าจะรู้สึก “ฟินเวอร์” แน่ๆ และ
นั้นน่าจะเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ
แต่ทุกวันเวลาของตัวเองหมดไปกับ
ชีวิตประจำวัน ดูแลครอบครัว โดยเฉพาะ
ลูกชาย “โกเต็ง” ตัวน้อยๆของเธอที่ใช้เป็น
ชื่อร้านและผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเธอ และ
ธุรกิจร้านข้าวมันไก่ที่มีลูกค้าแน่นทุกวัน เธอ
ก็ได้แต่เก็บพับความฝันไว้ในใจ และรอเวลา
ที่เหมาะเท่านั้นที่จะทำให้เป็นจริง และจน
กระทั่งวันหนึ่งมีชาวไทยภูเขาหอบลูกจูงเมีย
มาขาย “ขิง” ที่ปลูกแต่ขายไม่ได้เพราะล้น
ตลาด ด้วยความสงสารเธอเลยช่วยรับซื้อไว้
บางส่วน ซึ่งเกินความจำเป็นที่ต้องใช้ใน
เรื่อง”น้ำจิ้ม” ที่ใหญ่กว่าน้ำจิ้ม หน้า 2
ร้าน เธอเลยคิดว่าถึงเวลาที่เธอจะลองทำตามฝันที่เก็บไว้ในใจ ถ้าทำได้
เธอคงช่วยซื้อขิงได้มากขึ้น และพอดีอุตสาหกรรมจังหวัดน่าน “สำเริง
สวัสดีนฤนาท” ที่เป็นลูกค้าประจำร้านข้าวมันไก่ของเธอ ชวนเข้า
โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านอาหารของสำนักงานฯ ซึ่ง “การ์ตูน”
ตัดสินใจปิดร้านหนึ่งวัน เพื่อไปดูท่าทีว่าการอบรมเป็นอย่างไรและมี
ประโยชน์หรือไม่ ซึ่งที่นั่นเธอก็รู้ถึงขั้นตอนการทำธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์
อาหาร มาตรฐาน หีบห่อ และวิธีจัดการธุรกิจอีกแบบที่เธอเรียนรู้จาก
ครอบครัว
“การ์ตูน” เริ่มเดินตามความฝันของเธอด้วยการใช้หลักการตลาด
จากสร้างผลิตภัณฑ์ที่เข้มแข็งบนฐานเดิมของธุรกิจของเธอที่ทำอยู่และ
ใครๆก็รู้จัก คือ “น้ำจิ้มข้าวมันไก่ไหหลำ” บรรจุขวด ทำให้การรับรู้
อุตสาหกรรมจังหวัดน่าน
“สำเริง สวัสดีนฤนาท” ที่เป็น
ลูกค้าประจำร้านข้าวมันไก่ของ
เธอ ชวนเข้าโครงการพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ด้านอาหาร
ของสำนักงานฯ
…
ซึ่งที่นั่น เธอก็รู้ถึงขั้นตอน
การทำธุรกิจด้านผลิตภัณฑ์
อาหาร มาตรฐาน หีบห่อ
และวิธีจัดการธุรกิจอีกแบบ
ที่เธอเรียนรู้จากครอบครัว
เรื่อง”น้ำจิ้ม” ที่ใหญ่กว่าน้ำจิ้ม หน้า 3
ทางการตลาดง่ายขึ้น เพราะคน
ทั่ ว ไ ป เ ห็ น แ ล้ ว ไ ม่ ต้ อ ง ก า ร คำ “การ์ตูน” เริ่มเดินตาม
อธิบาย แถมเพียงแค่มองก็อาจยัง
ได้กลิ่นโชยมาด้วยซ้ำไป และเมื่อ ความฝันของเธอด้วยการ
ร้านของเธอขายข้าวมันไก่อยู่แล้ว ใช้หลักการตลาด
ใครๆก็รู้ ยิ่งทำให้คนซื้อยิ่งมั่นใจ ...
แ ล ะ เ กิ ด ค ว า ม ค า ด ห วั ง ใ น ถ้าลูกค้าสามารถมี
ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ใ ห ม่ ไ ด้ ไ ม่ ย า ก
นอกจากนี้สถานที่วางขายจุดแรก น้ำจิ้มข้าวมันไก่
เริ่มของน้ำจิ้มข้าวมันไก่บรรจุขวด ทานที่บ้านเอง...
วางที่ร้านข้าวมันไก่ ยิ่งยืนยันการ ทานกับอย่างอื่นได้...
การันตีต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ของเธอ มีความเป็นต้นฉบับ
จากร้านข้าวมันไก่ชื่อดังที่เธอทำ
อยู่ ทำให้กลายเป็นของที่ลูกค้า แบบไหหลำไว้ครบ...
ร้ า น ข้ า ว มั น ไ ก่ ต้ อ ง ห ยิ บ ติ ด มื อ …
กลับบ้าน และบ้างซื้อส่งเป็นของ
ฝากให้คนแดนไกลอีกด้วย และที่ ลูกค้าน่าจะรู้สึก
เธอเล่าให้ผมฟังอย่างตื่นเต้นว่า “ฟินเวอร์”
เธอใช้วัตถุดิบของน่านและจาก
ชาวบ้านเป็นสำคัญ ดีใจที่ได้ช่วย
เขาเหล่านั้น… นอกจากจะทำน้ำจิ้มอร่อยแล้ว ยังมีน้ำใจดีอีกครับ
ตอนที่เริ่มธุรกิจน้ำจิ้มข้าวมันไก่ เธอคิดว่าที่บ้านของเธอมีสูตรน้ำ
จิ้มข้าวมันไก่ไหหลำของครอบครัวอยู่แล้ว และลูกค้าก็รู้จักชื่อเสียง
พอควร แต่ถ้าเธอจะทำแค่น้ำจิ้มเพื่อจิ้มไก่อย่างเดียวนั้น ตลาดอาจแคบ
และไม่แตกต่างจากที่เธอกำลังทำอยู่ ทำให้โจทย์ที่เข้ามาในความคิด
ของเธอตอนนั้นว่าถ้าจะให้ตลาดกว้างขึ้นนั้น น้ำจิ้มข้าวมันไก่ของเธอ
ต้องสามารถใช้กับอาหารเมนูอื่นๆได้ ต้องสามารถใช้จิ้มได้สารพัด ซึ่ง
ไม่ง่ายนัก เพราะน้ำจิ้มที่เธอคิดจะออกใหม่นั้น ต้องคงรสชาติดั้งเดิม
ของการเป็นน้ำจิ้มข้าวมันไก่แบบที่เป็นซิกเนเจอร์ของ “โกเต็งข้าวมัน
เรื่อง”น้ำจิ้ม” ที่ใหญ่กว่าน้ำจิ้ม หน้า 4
ไก่” และยังต้องอร่อยยิ่งขึ้นเมื่อใช้กับ
อาหารจานอื่นที่มิใช่เพียงแค่ไก่เท่านั้น
การหาความลงตัวของส่วนผสมใน
น้ำจิ้มข้าวมันไก่ไหหลำในขวดเพื่อสร้าง
สูตรใหม่ เป็นบทท้าทายของ “การ์ตูน”
ซึ่งในความคิดของเธอตั้งแต่วันนั้น คือ
สร้าง “น้ำจิ้มข้าวมันไก่ที่ไม่ใช่เป็นเพียง
แค่น้ำจิ้มข้าวมันไก่” และเธอได้เริ่มลอง
สูตรแล้วสูตรเล่า ขอให้คนชิมไปทั่ว ปรับ
ไปเรื่อยๆ และเมื่อเธอนึกถึงขิงที่เป็น
วัตถุดิบหลักของน้ำจิ้มฯ ซึ่งมีคุณสมบัติที่
สามารถดับกลิ่นคาวของอาหารได้สารพัด
โดยเฉพาะปลาที่ไม่ยากนักเพราะมีเต้าเจี้ยวเป็นส่วนผสมอยู่แล้ว รวมทั้ง
เนื้อวัว และสำหรับ พริก กระเทียม ก็ต้องยังคงเป็นวัตถุดิบที่สำคัญเพื่อ
ให้รสชาติคุ้นเคยและคาดหวังจากลูกค้ายังคงอยู่ แต่ส่วนผสมอาจปรับ
ไปบ้าง และไม่ใส่สารกันบูดใดๆ
ผมได้ลองชิมกับสารพัดเมนูอาหาร ไม่ว่า ปลานึ่ง หมูกรอบ และ
ไข่เจียว…. ไม่น่าเชื่อครับ เข้ากันได้เป็นอย่างดี และอร่อย โดยเฉพาะ
เจ้าปลานึ่ง และรสชาติของน้ำจิ้มข้าวมันไก่ไหหลำยังคงอยู่ครบ และผม
รับรู้ทันทีว่าเจ้าตัวนี้เป็นน้ำจิ้มข้าวมันไก่ที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่น้ำจิ้มข้าว
มันไก่เท่านั้น…จริงๆ และวันนี้นอกจากผู้คน
ที่เป็นลูกค้าประจำที่ร้านของเธอที่จะเห็นน้ำ
จิ้มข้าวมันโกเต็งที่ร้านแล้ว ยังจะเห็นได้ใน
ร้านดังๆ อาทิ “ริมปิง” และ “ท๊อป” ที่เธอ
เดินเข้าหาร้านเหล่านี้ เพื่อนำสินค้าไปเสนอ
ให้ตัวแทนร้านเหล่านี้ และแน่นอนเรายัง
พบในร้านของฝากที่น่าน ที่วางไว้คู่กับขวด
แกงไตปลา ฝีมือของคุณแม่เธออีกด้วย
เรื่อง”น้ำจิ้ม” ที่ใหญ่กว่าน้ำจิ้ม หน้า 5
เรื่องราวของ “การ์ตูน” และที่มาของกำเนิดของ “โกเต็ง… น้ำจิ้ม
ข้าวมันไก่ไหหลำ ที่ไม่ใช่แค่น้ำจิ้มไก่” เป็นแบบอย่างให้ผู้ประกอบการ
ใหม่ๆ รู้ว่าทุกที่ ทุกแห่ง และทุกเรื่องราวรอบๆ ตัวเราสามารถใช้เป็น
โอกาสในการสร้างธุรกิจได้เสมอ เพียงแค่ “มีใจ” “ให้ใจ” และ
“ใส่ใจ” ในทุกรายละเอียดในสิ่งที่เราสร้าง และวันนี้ผมเชื่อหมดใจว่า
น้ำจิ้มขวดนี้ของเธอคือ “ดวงใจ” ของเธอ เพราะแม้แต่ชื่อ เธอยังเลือก
ใช้ชื่อ “โกเต็ง” ซึ่งเป็นชื่อของ “แก้วตา ดวงใจ” ของเธอ
เป็นแบบอย่างให้
ผู้ประกอบการใหม่ๆ รู้ว่า
ทุกที่ ทุกแห่ง
และทุกเรื่องราวรอบๆ ตัวเรา
สามารถใช้เป็นโอกาสในการ
สร้างธุรกิจได้เสมอ เพียงแค่
“มีใจ” “ให้ใจ” และ “ใส่ใจ”
ในทุกรายละเอียดในสิ่งที่เราสร้าง
ขอบคุณภาพจาก
เพจเฟสบุ๊ค โกเต็งข้าวมันไก่ไหหลำ
https://www.facebook.com/โกเต็งข้าวมันไก่ไหหลำ
เรื่อง”น้ำจิ้ม” ที่ใหญ่กว่าน้ำจิ้ม หน้า 6
เขากาํ ลังนาํ สมุนไพรไทยมาใชอ ยา งมวี ิทยาศาสตร
และผสมผสานกับแพทยป จ จุบัน
ก้าวอย่างมีระบบ...
ของสมุนไพรไทย
การก้าวเข้ามาเป็นผู้ประกอบการของแต่ละ
คนนั้นแตกต่างกันออกไป หลายคนเข้ามาเพราะ
ความฝัน บางคนเข้ามาเพราะสายเลือด หลายคน
เข้ามาเพราะจำเป็น หลายคนเข้ามาเพราะอยาก
หาประสบการณ์ชีวิต แต่สำหรับ “หมอศุภ” ไม่
เหมือนใคร “ปาณะพงษ์ เลาหวฤทธิ์” หรือ “โก้”
ของเพื่อนๆ แต่คนทั่วไปจะรู้จักเขาในนาม หมอ
ศุภ ซึ่งพระตั้งให้จาก “ศุภปัญญา” เป็นแพทย์
ไทยแผนโบราณชื่อดังของเมืองน่าน เจ้าของ
“คลินิกหมอศุภ การแพทย์แผนไทย” อาชีพเดิม
เขาคือวิศวกร
เมื่อ “หมอศุภ” ก้าวจากรั้วมหาวิทยาลัย เขาก็เข้าร่วมงานกับ
บริษัทต่างชาติชื่อดังและรับผิดชอบออกแบบระบบวิ่งของรถไฟฟ้า ซึ่ง
เป็นงานที่เครียดและหนัก การเดินทางต่างประเทศบ่อยๆ และงานที่ต้อง
ลงพื้นที่งานบ่อยๆ นานๆ ทำให้พักผ่อนน้อย ผสมความเครียดของงาน
ทำให้พบว่าตัวเองเป็นโรคกรดไหลย้อน ซึ่งตอนแรกเป็นโรคใหม่ของ
คนไทย ทำให้เขาเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ กว่าสองปี แม้ว่าจะได้
ก้าวอย่างมีระบบ ของสมุนไพรไทย หน้า 1
หมอดี โรงพยาบาลดี แต่โรคร้ายนี้ก็ยังคุกคามคุณภาพชีวิตของเขาไม่
เลิก จนค่ารักษาพยาบาลเกินโควต้าในเบี้ยประกันของเขา ทำให้เขา
เริ่มมองหาทางออกทางใหม่ และมีผู้แนะนำให้เขาไปเจอ “พ่อชุบ แป้น
คุ้มญาติ” ครูสมุนไพรชื่อดังผู้อ่านคัมภีร์ยาโบราณวิวรณ์ได้ทั้งเล่ม
วินิจฉัยอาการป่วยของเขาจากคัมภีร์ยาโบราณ และให้ยาสมุนไพรเพื่อ
ต้มน้ำดื่มผสมยาผง ปรากฏว่าเขาหายจากโรคนั้นเป็นปลิดทิ้ง… และนั่น
ทำให้เขารู้ว่าเขาควรทำอะไรกับชีวิตของเขา เขาใช้เวลาเสาร์อาทิตย์อีก
6 ปี จนวันนี้ จังหวัดน่านก็มีแพทย์แผนไทยที่รู้เรื่องสมุนไพร และมีการ
ทำงานด้านสมุนไพรแบบวิชาการสมัยใหม่ ชื่อ “หมอศุภ”
เขาตัดสินใจเดินหันหลังให้กับอาชีพวิศวกร และวางชีวิต
ทั้งหมดไว้กับสมุนไพร เขาเริ่มศึกษาจากตำรายาโบราณ ความรู้
สมุนไพร และผลิตภัณฑ์แรกในทางธุรกิจ คือ น้ำยานวดหัวเข่า จาก
ตำรับจารึกใบลานของล้านนาตะวันออกของน่านเอง ซึ่งสมัยก่อนนั้น
เมืองน่านถูกภูเขาใหญ่รายล้อม กลายเป็นเมืองปิด ติดต่อบ้านเมืองอื่น
ยาก จึงใช้สมุนไพรหลากหลายที่มีบนภูเขามาทำยา ตำราแพทย์แผน
โบราณแบบน่านมีมานาน และน้ำมันนวดหัวเข่านี้มีการทำใช้มาตลอด
ในชุมชน เพื่อช่วยอาการปวดของกระดูกหัวเข่า แรกๆ “หมอศุภ” ลอง
ก้าวอย่างมีระบบ ของสมุนไพรไทย หน้า 2
ทำออกมาจำหน่ายในกรุงเทพฯ โดยฝากขาย
ในที่มอลล์ทั่วๆไป ใช้ชื่อ “โฮงยา” ปรากฏว่า
คำสั่งซื้อมากขึ้นอย่างรวดเร็วจนแปลกใจ
ทำให้ต้องลงทุนเพิ่มขึ้น เขาเริ่มปรับปรุงการ
ผลิตให้ทันสมัยและคิดถึงภาพใหญ่ของการที่
จะนำเอาตำรายาโบราณที่เขาสะสมความรู้มา
ทำเป็นธุรกิจที่มีมาตรฐานและหลักเภสัชกรรม
และครบวงจรมากขึ้น ซึ่งวันนี้ โรงงานเล็ก
สะอาด ทันสมัย ได้มาตรฐาน ที่สำคัญทุก
อย่างก็อยู่ในบริเวณคลินิก
หมอศุภ เปิด “คลินิกสมุนไพรหมอศุภ
การแพทย์แผนไทย” เพื่อรักษาคนไข้โดยใช้
ยาจากสนุนไพรตามจารึกในคัมภีร์โบราณ
ท้องถิ่นและตำรับวิชาการแพทย์แผนโบราณ
โดยเน้นด้านกระดูก ข้อต่อต่างๆ และโรค
ผิวหนัง สำหรับการรักษานั้น คนไข้ต้องผ่าน
การวินิจฉัยโรคจากเขาก่อน ที่จะจัดยา
สมุนไพรให้ และมีการตรวจโรคจากวิชาการ
แพทย์ปัจจุบัน ผลตรวจเลือด และอื่นๆ เพราะ
เขาเชื่อว่าแต่ละสภาพร่างกายของแต่ละคน
นั้นมีความจำเป็นในการใช้สมุนไพรที่แตก
ต่างกันออกไป เขากำลังทำให้สมุนไพร
เขากำลังทำให้สมุนไพรไทยถูก
นำมาใช้อย่างมีวิทยาศาสตร์
และผสมผสานกับ
แพทย์แผนปัจจุบัน
ก้าวอย่างมีระบบ ของสมุนไพรไทย หน้า 3
ไทยถูกนำมาใช้อย่างมีวิทยาศาสตร์และผสมผสานกับแพทย์แผน
ปัจจุบัน โดยคนไข้ของเขาทุกคนจะมีการจัดเก็บข้อมูลประวัติการใช้ยา
และติดตามผลของการรักษา ซึ่งเขาทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย ซึ่งการ
ทำ Clinical Trial แบบนี้ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่นักในการใช้ยาสมุนไพร
บ้านเรา นับว่าเป็นไปตามหลักการแพทย์และเภสัชสมัยใหม่
นอกจากนี้ เขายังเชื่อว่าความรู้เรื่องสมุนไพรนี้เป็นสมบัติของทุก
คน เพียงแต่ว่าเขาโชคดีที่ได้มีเวลาและโอกาสเรียนรู้ น่าจะแบ่งปันให้
ผู้คนทั่วไปได้ เขาจึงเปิดโอกาสให้ผู้คนซักถามปรึกษาเขาผ่านสื่อมีเดีย
ต่างๆ เกี่ยวกับอาการและการใช้สมุนไพร หรือให้ความรู้ทั่วไป เช่น
เลือดพร่อง หน้ากำลังเหี่ยว ไม่สดใสสมวัย ควรทานอะไร ซึ่งส่วนมากก็
เป็นพวกผัก สมุนไพร อาหารที่หาได้ทั่วไปง่ายๆอยู่แล้ว หรือสอนการทำ
ลูกกลอนจากมะตูมนิ่ม พริกไทย กล้วยปั่นกับน้ำผึ้ง เพื่อช่วยฟื้นฟู
ฮอร์โมน ให้ร่างการสดใสอีก หรือสอนสูตรสมุนไพรเพื่อรักษาโรคงูสวัด
ผสมกันในสัดส่วนเท่าไรและใช้อย่างไร… ประมาณนี้ ใครสนใจลองหา
ดูได้ หรือสอบถามทางเฟสบุ๊ค “สมุนไพร หมอศุภ” ดูครับ
วันหนึ่งเขาไปเจอเด็กซื้อยาแก้
ท้องอืดจากร้านมา คิดในใจว่า เพียง
แค่นี้คนโบราณเขาทำเพียงไปหลัง
บ้าน เอาด้านช้อนแทงไปในลำต้น
กล้วย เมื่อมียางออกมาก็นำไปผสม
น้ำอุ่นดื่มก็สามารถแก้ปัญหาอาการ
เจ็บท้องได้ ทำไมคนไม่รู้ ทั้งๆที่ความ
รู้นี้มีมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นทวด ก็เลยนึกถึง
ก า ร ส ร้ า ง ศู น ย์ เ รี ย น รู้ ส มุ น ไ พ ร ใ ห้
สาธารณะ รวมทั้งเป็นที่พักกับคนไข้ที่
เดินทางมารักษาที่คลินิกของเขาที่จังหวัดน่าน ขณะนี้ศูนย์เรียนรู้ ที่พัก
และการผลิต กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยภาพธุรกิจที่อยู่ในหัว
เขาคือ ทุกอย่างจบที่นั่น ผู้สนใจเรื่องยาสมุนไพรไทยเดินเข้าไป จะได้
เรียนรู้เรื่องสมุนไพรอย่างลึกซื้ง ทดลองทำผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่มี
ก้าวอย่างมีระบบ ของสมุนไพรไทย หน้า 4
คุณภาพ และหากอยากทำธุรกิจของตัวเอง ทางศูนย์ก็จะรับผลิตให้
โดนไม่ต้องไปลงทุนในเครื่องไม้เครื่องมือเอง ซึ่งสามารถทดลองตลาด
ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแน่ใจแล้วค่อยไปลงทุนเอง ศูนย์นี้ไม่ใช่เพียงแค่ให้
ความรู้ แต่เป็นศูนย์ปั้นของคนที่มีฝันที่จะทำธุรกิจสมุนไพร
วันนี้ หมอศุภกำลังปั้น ให้ความรู้โบราณด้านสมุนไพรตามวิธีคิด
อย่างมีหลัก มีการ ขั้นตอนแบบวิศวกรรมที่ฝังในตัวเขามาตลอด และ
กำลังออกแบบให้เป็นธุรกิจที่มีคุณภาพ มาตรฐาน และอย่างมีวิชาการ
สมัยใหม่ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสมุนไพรไปไกลและมีระบบกว่าที่เคยเป็นมา
และที่สำคัญเขายังพร้อมที่จะแบ่งปันความรู้เหล่านี้ให้กับผู้คนอื่นๆ เพื่อ
ให้คนทั่วไปรู้ซึ้งว่าสมุนไพรเป็นมากกว่าที่เราคิด
อาชีพเดิมเขาคือวิศวกร...
มีหลัก มีการ ขั้นตอนแบบวิศวกรรม
ที่ฝังในตัวเขามาตลอด...
หมอศุภ...กำลังออกแบบให้
เป็นธุรกิจที่มีคุณภาพ มาตรฐาน
และอย่างมีวิชาการสมัยใหม่
ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสมุนไพรไปไกล
และมีระบบกว่าที่เคยเป็นมา
ขอบคุณภาพจาก
เพจเฟสบุ๊ค สมุนไพรหมอศุภ
https://www.facebook.com/dr.sup.herb/
http://drsupherb.com/
ก้าวอย่างมีระบบ ของสมุนไพรไทย หน้า 5