The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ภาวะผู้นำวิถีใหม่สู่คุณภาพการศึกษา
รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 24-Chinaporn Nakorn, 2023-06-16 10:50:02

ภาวะผู้นำวิถีใหม่สู่คุณภาพการศึกษา

ภาวะผู้นำวิถีใหม่สู่คุณภาพการศึกษา
รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

๔๐ ๒.๑ พุทธภาวะผู้น าทางการศึกษากับศาสตร์สมัยใหม่ ส าหรับเรื่องพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่นี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษา ค้นคว้าเพื่อหาค าตอบเป็นอย่างยิ่ง เพราะในปัจจุบันศาสตร์ต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ คิดค้นนั้นได้มีการปรับเปลี่ยนไปอย่างมาก กล่าวคือบางศาสตร์ที่มนุษย์ประยุกต์ใช้กับ ชีวิตก็ได้ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน แต่ก็มีบางศาสตร์ที่สูญหายไปตามกาลเวลาหรือเป็น ศาสตร์ที่มนุษย์ไม่ได้ใช้ประโยชน์และมองไม่ เห็นคุณค่า แม้กระทั่งศาสตร์บางศาสตร์ที่ มนุษย์ยังแสวงหาค าตอบไม่ได้ในอดีตจวบจนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นศาสตร์ที่มนุษย์ต้องเพียร พยายามหาค าตอบอยู่ต่อไป ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงศาสตร์สมัยใหม่จึงนับว่าเป็นค ากล่าวที่กว้างมากและเป็นค า กล่าวที่ใคร ๆ ก็มักนึกถึงวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์ที่เกี่ยวกับสิ่งสัมผัสแตะต้องได้เท่านั้นเป็น หลัก ส่วนที่เป็นนามธรรมหรือเป็นเรื่องภายจิตใจก็เป็นอีกเรื่อง หนึ่งที่เข้าใจกันเป็นส่วน ใหญ่โดยเฉพาะคนยุคนี้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับศาสตร์สมัยใหม่หรือวิทยาศาสตร์เลย แล้วใน ท้ายที่สุด การกล่าวเช่นนี้จะเป็นความจริงได้มากเพียงใดส าหรับพัฒนาการของมนุษย์ในยุค นี้ ซึ่งเป็นยุคที่สรรพสิ่งต้องยอมเดินตามวิทยาศาสตร์ เรียกกันว่าหากอะไร ๆ ในสรรพสิ่ง ขัดแย้งหรือไม่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์แล้ว การได้รับการยอมรับจากผู้คนในยุคนี้ย่อม เป็นไปได้ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยเหตุผลดังกล่าวมา พุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาหนึ่งในบรรดาหลาย ๆ ศาสนาใน โลก นี้ที่มนุษย์ยอมรับนับถือจะมีความเป็นไปได้ที่ไม่ขัดแย้งและมีความสอดคล้องกับศาสตร์ สมัยใหม่อย่างเช่น วิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้มากเพียงใด จึงจัดว่าเป็นโจทย์ที่ น่าสนใจหาค าตอบเป็นที่สุด๒ กล่าวส าหรับพุทธศาสนาแล้ว มีนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ผู้มีนามโด่งดัง ระดับโลกกล่าวถึงไว้ดังนี้ เบอร์ทรันด์ รัสเซล (Bertrand Arthur William Russell ค.ศ. 1872-1970) ได้ กล่าวว่า “พระพุทธศาสนาเป็นการรวมกันของปรัชญาแบบพินิจความจริงกับวิทยาศาสตร์ ศาสนานั้นสนับสนุนวิธีการทางวิทยาศาสตร์และติดตามวิธีการนั้นจนถึงที่สุด ซึ่งอาจเรียก ได้ว่าเป็นศาสนาแห่งเหตุผลในพระพุทธศาสนาเราจะได้พบค าตอบที่น่าสนใจ เช่น จิตใจ กับวัตถุคืออะไร? ระหว่างจิตใจกับวัตถุนั้นอย่างไหนส าคัญมากกว่ากัน? เอกภพเคลื่อนไป หาจุดหมายปลายทาง หรือไม่? พระพุทธศาสนาพูดถึงเรื่องที่ วิทยาศาสตร์ยังหาน าทาง ๒ พระมหามฆวินทร์ ปุริสุตฺตโม, “พุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่”, วารสารปัญญา, ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ (มกราคม – มิถุนายน ๒๕๖ ), หน้า ๒.


๔ ไปได้ไม่ เพราะความจ ากัดแห่งเครื่องมือของวิทยาศาสตร ์ชัยชนะของพระพุทธศาสนาเป็น ชัยชนะทาง จิตใจ” ๓ อัลเบิร์ต ไอนสไตน์(Albert Einstein ค.ศ. 1879- 1955) ได้กล่าวว่า “ศาสนา ในอนาคตจะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือ พระเจ้าที่มีตัวตนและควรจะ เว้นค าสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบส าเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบ เทววิทยา (คืออ้าง เทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้นเมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนความส านึกทางศาสนาที่ เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวงคือ ทั้ง ธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อก าหนด นี้ได้ ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ ควรเป็นพระพุทธศาสนา” ๔ เจ.โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์(J. Robert Oppenheimer ค.ศ. 1904- 1976) ได้ กล่าวว่า “ขอยกตัวอย่าง เช่นเราถามว่าฐานะของอิเล็กตรอนเป็นอันเดียวกันใช่หรือไม่? เรา จะต้องตอบว่าไม่ ถ้าเราถามว่า ฐานะของอิเล็กตรอนเปลี่ยนไปพร้อมกับกาลเวลาใช่หรือไม่? เราจะต้องตอบว่าไม่ ถ้าถามว่าอิเล็กตรอนหยุดพักใช่หรือไม่? เราจะต้องตอบว่าไม่ ถ้าเรา ถามว่ามันเคลื่อนไหวใช่หรือไม่? เราจะต้องตอบว่าไม่ พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานค าตอบ เช่นเดียวกัน เมื่อทรงได้รับค าถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวตนของมนุษย์ภายหลังความ ตาย แต่ค าตอบเหล่านั้นมิใช่ค าตอบที่คุ้นกับจารีตประเพณีของวิทยาศาสตร์สมัยศตวรรษที่ ๗ และ ๘” ๕ ตามที่กล่าวมาข้างต้นก็พอจะเห็นได้ว่าวิธีการแสวงหาค าตอบของมนุษย์ในยุคนี้ ล้วนใช้วิทยาศาสตร์หรือศาสตร์สมัยใหม่ที่อยู่ในรูปแบบสัมผัสได้เท่านั้นเป็นเครื่องมือ ซึ่งเมื่อใช้มาตรฐานนี้ในตอบค าถามเกี่ยวกับชีวิต และสังคมแล้วจึงท าให้เกิดความคิดว่าทุก อย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้หากไม่ตอบโจทย์หรือไม่สอดคล้องกับหลักการของ ศาสตร์ สมัยใหม่แล้วย่อมจะได้รับความน่าเชื่อถือน้อยลงและสูญหายไปจากชีวิตมนุษย์และสังคมใน ที่สุด ส่วนเนื้อหาของพุทธศาสนานั้นให้คุณค่าต่อปัจจัยภายในหรือ จิตใจของมนุษย์มากกว่า วัตถุภายนอกเป็นหลักนั้นจะยังคงมีความมั่นคงต่อลักษณะการของมนุษย์และสังคมแบบ สมัยใหม่ได้มากน้อยเพียงใด จึงจัดว่าเป็นโจทย์ใหญ่ส าหรับพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ๓ Bertrand Arthur William Russell, อ้างใน วัดเจ็ดเสมียน, พระพุทธเจ้าใน สายตานักปราชญ์โลก, (กรุงเทพมหานคร: โอ. เอส. พริ้นตริ้ง เฮาส์, ๒๕๖๐), หน้า ๒๔.๔ อ้างแล้ว.๕ อ้างแล้ว.


๔๒ ดังนั้น การวิเคราะห์ ถึงพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่นี้คาดว่าจะเป็นประเด็นที่ จะก่อให้เกิดประโยชน์และมีคุณค่าต่อวงการศึกษาและสังคมได้เป็นอย่างดี ๒.๒ ความส าคัญของพุทธภาวะกับศาสตร์สมัยใหม่ ความส าคัญของพุทธภาวะผู้น าทางการศึกษากับศาสตร์สมัยใหม ่ หมายถึง พุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่เน้นในการพัฒนาภายในหรือจิตใจของบุคคลเป็นหลัก โดยให้ ความส าคัญกับภายนอกหรือวัตถุน้อยมาก สืบเนื่องจากที่พุทธศาสนาเองมองว่าวัตถุภาย นอกนั้นจะเป็นอย่างไรก็ตามก็หามีอิทธิพลมากเท่าการที่จิตใจอยู่ในสภาพแบบใดไม่กล่าว คือ หากจิตใจดีหรือได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสมแล้วสิ่งอื่น ๆ ย่อมจะได้รับ อานิสงส์ พร้อมไปด้วย สมดังภาษิตกถาที่ว่า (มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปสนฺเนน ภา สติ วา กโรติ วา ตโต น สุขมนฺเวติ ฉายา ว อนุปายินี. แปลว่า ธรรม ทั้งหลาย มีใจเป็น หัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ ส าเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ ดี ท าอยู่ก็ดีความสุขย่อมไปตามเขาเพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัวฉะนั้น๖ ส่วนศาสตร์สมัยใหม่หรือวิทยาศาสตร์นั้นหาให้ความส าคัญกับภายในหรือจิตใจ ของบุคคลไม่ เพราะพื้นฐานของศาสตร์สมัยใหม่เน้นให้ความส าคัญกับการปรับปรุงพัฒนา ภายนอกหรือวัตถุที่สัมผัสได้เป็นหลัก ดังนั้น แนวทางของศาสตร์สมัยใหม่จึงไม่สนใจพัฒนา จิตใจ เน้นเพียงการได้มีความสุขกับการมีจ านวนวัตถุสิ่งของมาก ๆ ความทุกข์และความสุข ที่แต่ละบุคคลมีเป็นเพียงการเกิดขึ้นต่อเนื่องจากการที่การมีวัตถุน้อยหรือมากเท่านั้น ศาสตร์สมัยใหม่จะไม่สนใจมองว่าที่บุคคลมีความสุขหรือมีความทุกข์นั้นเป็นเพราะภายใน หรือจิตใจยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม แต่ในที่สุดศาสตร์สมัยใหม่ก็ต้องเผชิญกับความเป็นจริงที่ว่า เมื่อมนุษย์ได้รับการ พัฒนาให้มีสิ่งของจ านวนมากมาย แต่มนุษย์ซึ่งได้รับการพัฒนามาตามแบบศาสตร์สมัยใหม่ ก็ยังมีความล าบากหรือทุกข์อยู่เหมือนเดิม โดยถึงแม้ศาสตร์สมัยใหม่ อย่างเช่น วิทยาศาสตร์ กายภาพ ฟิสิกส์ ชีวภาพ จิตวิทยา เทคโนโลยีเป็นต้น เหล่านี้ได้สนองตอบต่อความต้องการ ของมนุษย์อย่างมากแล้วก็ตาม จนในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักศึกษาใน ตะวันตกเริ่มสนใจพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะการปฏิบัติสมาธิ (สมถะและวิปัสสนากรรมฐาน) เพราะการปฏิบัติเช่นนี้เป็นวิธีเดียวที่เข้าใจการท างานของจิตได้ดีที่สุด ๖ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/ /๕.


๔๓ นักจิตวิทยา (DR.BRIAN WEISS) ที่มีชื่อเสียงในการสะกดจิตเพื่อบ าบัดโรคได้ รักษาผู้ป่วยหลายร้อยราย ท่านได้สรุปว่า จิตวิญญาณของมนุษย์ไม่ได้สูญหายไป มั่นคงอยู่ ชั่วนิรันดร์ท่านได้ค้นพบเรื่องเหตุการณ์ชาติต่าง ๆ ของผู้ป่วยมากมายและยังได้พิสูจน์ เป็นรูปธรรมอีกด้วย แต่เสียดายที่ท่านไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาจะได้รู้ว่าจิตวิญญาณจะ ไม่อยู่ตลอดไปถ้าเข้าถึงพระนิพพาน ระยะเวลาผ่านไปนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่เริ่มค้นพบสิ่ง ต่าง ๆ ที่เกี่ยวพันกับหลักค าสอนของพระพุทธศาสนามากขึ้นทุกทีเป็นการยืนยันถึงคุณค่า และความจริงของการตรัสรู้ของพระองค์ที่ท่านได้ค้นพบ ด้วยการวิจัยอยู่ ๖ ปี ก่อนการ ตรัสรู้ เช่น ปรมาณู การวิวัฒนาการของเด็กในครรภ์มารดา อวัยวะ ๓๒ วิถีจิต กฎแห่งกรรม อธิบายจิต เจตสิก และรูปในร่างกายมนุษย์การแพทย์ปัจจุบันยอมรับว่าถ้ามีสุขภาพจิตดี จะมีผลต่อร่างกาย (PSYCHOSOMATIE ORDER AND DISORDER) นี่เป็นวิจัยที่ยอมรับ จิตวิญญาณ เคยมีผู้วัดคลื่นสมองขณะนั่งสมาธิ และพบว่าถ้าจิตสงบจะปรากฏคลื่นอัลฟ่า ซึ่งดีมากต่อระบบสมองและร่างกายต่าง ๆ สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบเป็นการยืนยันและเสริมความเชื่อศรัทธาของ พุทธศาสนิกชนและนักบวชได้เป็นอย่างดีว่า พระพุทธศาสนาคือศาสตร์แห่งเหตุและผล ใครท าได้เป็นวิทยาศาสตร์แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่ใช่พุทธศาสนาทั้งหมด กล่าวคือ๗ . มุ่งเข้าใจปรากกฎการณ์ทางธรรมชาติหลักการทางวิทยาศาสตร์มุ่งเข้าใจ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ต้องการรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุอะไรเป็นผลที่ตามมา เช่น เมื่อเกิดฟ้าผ่า ต้องรู้อะไรคือสาเหตุของฟ้าผ่า และผลที่ตามมาหลังจากฟ้าผ่าแล้วจะเป็น อย่างไร หลักการพระพุทธศาสนาก็มุ่งเข้าใจปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่นเดียวกัน แต่ต่าง ตรงที่พระพุทธศาสนาเน้นเป็นพิเศษเกี่ยวกับวิถีชีวิตของมนุษย์มากกว่ากฎเกี่ยวกับสิ่งที่ไร้ ชีวิต จุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนาคือสอนให้คนเป็นคนดีขึ้นพัฒนาขึ้น สมบูรณ์ขึ้น ๒. ต้องการเรียนรู้กฎธรรมชาติ หลักการทางวิทยาศาสตร์ต้องการเรียนรู้กฎ ธรรมชาติและหาทางควบคุมธรรมชาติหรือเอาชนะธรรมชาติ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ วิทยาศาสตร์เน้นการควบคุมธรรมชาติภายนอกมุ่งแก้ปัญหาภายนอกวิทยาศาสตร์ ถือว่า การพิสูจน์ทดลองทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่น ามาแสดงให้สาธารณชนประจักษ์ชัด เป็นหลักฐาน ยืนยันในสิ่งที่ค้นพบนั้นได้ จึงจะเป็นการยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์ หลักการพระพุทธศาสนาเป็นการทดสอบความรู้สึกทุกข์หรือไม่เป็นทุกข์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ประจักษ์ชัดในจิตใจเฉพาะตน ไม่สามารถตีแผ่ให้สาธารณชนประจักษ์ด้วยสายตา แต่พิสูจน์ทดลองได้ด้วยความรู้สึกในจิตใจ และหลักการพระพุทธศาสนาไม่ได้เน้นในเรื่อง ๗ วัชระ งามจิตรเจริญ, พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์แห่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๖๐), หน้า ๓๒.


๔๔ ให้สาธารณชนยอมรับหรือไม่ยอมรับ มุ่งให้ศึกษาเข้าไปในจิตใจตนเอง แต่มุ่งแสวงหา ความจริงจากทั้งภายนอกและภายในตัวมนุษย์อันเป็นเหตุที่ท าให้เกิดปัญหา ทางด้าน จิตวิญญาณอันเป็นผลกระทบต่อการด ารงชีวิตและต่อคุณภาพชีวิต สอนให้คนควบคุม ภายในจิตใจตัวเอง ล าพังแต่ความสามารถที่ควบคุมธรรมชาติได้ไม่อาจท าให้ความสงบสุข เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ มนุษย์ต้องรู้จักควบคุมตนเอง ให้มีจิตใจดีงามด้วย สันติสุขที่แท้จริง จึงจะเกิดขึ้นได้ และสอนมนุษย์ให้รู้จักการด ารงชีวิตให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ๓. ยอมรับโลกแห่งสสาร (Matter) สสาร หมายถึง ธรรมชาติและสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่มีอยู่จริง รวมทั้งปรากฏการณ์และความเป็นจริงตามภาวะวิสัย (Objective Reality) ด้วย ซึ่งสรรพสิ่งเหล่านี้มีอยู่ต่างหากจากตัวเราเป็นอิสระจากตัวเรา และเป็นสิ่งที่สะท้อนขึ้น ในจิตส านึกของคนเราเมื่อได้สัมผัสมันอันท าให้ได้รับรู้ถึงความมีอยู่ของสิ่งนั้น ๆ กล่าว โดยทั่วไปแล้วสสารมีคุณลักษณะ ๓ ประการคือ ) เคลื่อนไหว (Moving) อยู่เสมอ ๒) เปลี่ยนแปลง (Changing) อยู่เสมอ ๓) การเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวนั้น มิใช่เป็นการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างส่งเดช แต่หากเป็นการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง อย่างมีกฎเกณฑ์ที่ เรียกกันว่า กฎแห่งธรรมชาติ (Laws of Natures) วิทยาศาสตร์ยอมรับโลกแห่งสสารซึ่งเทียบได้กับ “รูปธรรม”ในความหมายของ พระพุทธศาสนา อันหมายถึงสิ่งที่มีอยู่จริงทางภาวะวิสัย ที่อวัยวะสัมผัสของมนุษย์สัมผัสได้ วิทยาศาสตร์มุ่งศึกษาด้านสสารและพลังงาน ยอมรับโลกแห่งสสารที่รับรู้ด้วย ประสาท สัมผัสทั้ง ๕ ว่ามีจริง โลกที่อยู่ พ้นจากนั้นวิทยาศาสตร์ ไม่ยอมรับส่วนแนวคิดทาง พระพุทธศาสนานี้ชี้ว่าสัจธรรมสูงสุด (นิพพาน) ซึ่งเป็นสภาวะที่ประสาทสัมผัสของ มนุษย์ ปุถุชนที่เต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ไม่สามารถรับรู้ได้ พระพุทธศาสนาแบ่งสิ่งที่มีอยู่จริงของ สองพวกใหญ่ ๆ คือ “สังขตธรรม” (สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง) ได้แก่ สสาร และ “อสังขตธรรม” (สิ่งที่ปัจจัยมิได้ปรุงแต่ง) คือ นิพพาน วิทยาศาสตร์ยอมรับว่าสังขตธรรมมีจริง แต่อสังขต ธรรมอยู่เหนือการรับรู้ของ วิทยาศาสตร์ สัจธรรมในพระพุทธศาสนานั้นมีทั้งที่สามารถแสดงให้เห็นประจักษ์เป็นสาธารณะ ได้และไม่สามารถแสดงให้ประจักษ์เป็นสาธารณะได้ แต่แสดงโดยการประจักษ์ในตนเองได้ (หมายถึงมีทั้งที่สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสและรับรู้ด้วยใจ) ความจริงระดับต้น ๆ และ ระดับกลาง ๆ ใคร ๆ ก็อาจเข้าใจและเห็นจริงได้ เช่น คนโลภมาก ๆ อิจฉามาก ๆ ไม่มี ความสงบสุขแห่งจิตใจ อย่างไรบ้าง คนที่มีเมตตา ไม่ปรารถนาร้ายต่อใคร ๆ มีความสุข ไม่มีเวร ไม่มีภัย อย่างไรบ้าง ความจริงเหล่านี้ ล้วนสามารถแสดงให้ประจักษ์ได้ ชี้ให้ดู ตัวอย่างได้ แต่ปรมัตถธรรมอันสูงสุดนั้นผู้ที่ได้พบแล้วยากจะ อธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ เป็นสภาวะที่ผู้รู้เองเห็นเองจะพึงประจักษ์เฉพาะตัว


๔๕ ๔. มุ่งความจริงมาตีแผ่ วิทยาศาสตร์นั้นแสวงหาความรู้จากธรรมชาติและจากกฎ ธรรมชาติที่มีอยู่ภายนอกตัวมนุษย์ (มุ่งเน้นทางวัตถุหรือสสาร) ไม่ได้สนใจเรื่องศีลธรรม เรื่องความดีความชั่ว สนใจเพียงค้นคว้าเอาความจริงมาตีแผ่ให้ประจักษ์เพียงด้านเดียว เช่น วิทยาศาสตร์พบเรื่องการระเบิด แต่ควรระเบิดอะไร ไม่ควรระเบิดอะไร ไม่อยู่ในขอบข่าย ของวิทยาศาสตร์ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์จึงมีทั้งคุณอนันต์และมีโทษมหันต์ กระบวนการ ผลิตทางวิทยาศาสตร์ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ค าสอนทางพระพุทธศาสนา นั้นเน้นเรื่องศีลธรรม ความดีความชั่ว มุ่งให้มนุษย์มีความสุข เป็นล าดับขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึง ความสงบสุขอันสูงสุดคือนิพพาน ฉะนั้น กระบวนการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนาจึงส่งเสริม ให้มนุษย์อนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม๘ โดยสรุป พุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ มีแนวทางที่สอดคล้องกันในหลาย ๆ เรื่อง กล่าวคือมุ่งให้มนุษย์พบกับความสุข ห่างไกล ความทุกข์ยากล าบาก แต่เมื่อสืบสาวราว เรื่องตั้งแต่ต้นทางจนสุดทางแล้ว ก็พบว่าศาสตร์สมัยใหม่ อย่างเช่น เทคโนโลยีก็ให้ความสุข สะดวกสบายกับมนุษย์เพียงเป็นเครื่องมือ น าพามนุษย์ไปสู่ความต้องการที่อยากจะได้ อยากจะมีเท่านั้น มิหน าซ้ าเทคโนโลยีที่มนุษย์ใช้ไม่เป็นหรือใช้อย่างไม่เข้าใจได้กลับมา เป็นอุปกรณ์ท าลายมนุษย์ให้ได้รับความทุกข์เพิ่มขึ้นอีก วิทยาศาสตร์กายภาพฟิสิกส์และ ชีวภาพก็ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะศาสตร์สมัยใหม่เหล่านี้ก็เป็นเครื่องมือ ช่วยให้ มนุษย์ได้ในวัตถุสิ่งของที่ต้องการเท่านั้น แต่วัตถุสิ่งของที่มนุษย์ได้มาก็ไม่ได้สร้างความ เจริญก้าวหน้าให้กับมนุษย์ได้อย่างยั่งยืน อีกนัยหนึ่ง มนุษย์เมื่อได้สิ่งที่ปรารถนาจากการสรรสร้างของศาสตร์สมัยใหม่แล้ว มนุษย์ก็ยังจบปลักอยู่กับความทุกข์ยาก ความเครียด ความล าบากอยู่เรื่อยมา ด้วย สภาพการณ์เช่นนี้เอง พุทธศาสนาที่นับว่าเป็นศาสตร์แห่งความจริงได้เข้ามาอธิบาย หรือเติมเต็มให้ความเป็นมนุษย์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะหลักการของพุทธศาสนานั้นได้ อธิบาย ไปถึงแก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ หมายความว่า พุทธศาสนายอมรับการมีความ ปรารถนาวัตถุสิ่งของภายนอกของมนุษย์ได้ แต่พุทธศาสนาได้บอกต่อไปอีกว่าแค่มนุษย์ได้ วัตถุสิ่งของตามความต้องการนั้นยังไม่ใช่ค าตอบสุดท้ายของชีวิต เพราะค าตอบที่ควรให้ ความส าคัญมากกว่าคือ การให้ความส าคัญกับการพัฒนาจิตใจหรือภายในของมนุษย์ ซึ่งเรื่องนี้เองที่วิทยาศาสตร์ในยุคเริ่มแรกไม่สนใจและมองว่าเป็นเรื่องงมงายหรือไร้เหตุผล ด้วยไม่สามารถยืนยันด้วยประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ได้แต่ในที่สุดวิทยาศาสตร์ในยุคนี้ก็ได้ให้ ความสนใจเรื่องจิตใจมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากที่นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้ ๘ พิมพิลัย หงษาค า, หลักการพระพุทธศาสนากับหลักการวิทยาศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๔), หน้า ๖๔.


๔๖ หันมาให้ความสนใจหลักค าสอนในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่ให้ความส าคัญกับศาสตร์ แห่งจิตใจเป็นหลักเรียกว่าพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธความจริงแบบศาสตร์สมัยใหม่อย่างเช่น วิทยาศาสตร์ แต่พุทธศาสนากลับตั้งค าถามกับศาสตร์สมัยใหม่ว่าความจริงที่ศาสตร์ สมัยใหม่มีให้กับมนุษย์นั้นเพียงพอแล้วหรือยัง หากยังไม่เพียงพอก็ควรได้ให้ความส าคัญกับ ความจริงของชีวิตอีกแบบหนึ่งที่สมเหตุสมผล อย่างเช่นเรื่องกฎแห่งกรรม จึงถือว่าใน สถานการณ์แบบนี้เป็นผลบวกต่อพุทธศาสนาได้เลย ๒.๓ ความสัมพันธ์พุทธภาวะกับศาสตร์สมัยใหม่ ความสัมพันธ์พุทธภาวะกับศาสตร์สมัยใหม่ หมายถึง การแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับ ความสอดคล้องและไม่สอดคล้องของพุทธศาสนาที่มีต่อศาสตร์ต่าง ๆ ในโลกสมัยใหม่ พระบรมครู พระสยมภู ซึ่งนับว่าเป็นศาสตร์เดียวที่เป็นจุดศูนย์กลาง ของการอธิบายความ สมเหตุสมผลของสรรพสิ่งทั้งในโลกนี้และในจักรวาล การขยายความรู้เป็นสะพานเชื่อม ซึ่งนับว่าเป็นศาสตร์เดียวที่เป็นศูนย์กลางแห่ง การเรียนรู้ ในยุคนี้อธิบายเชื่อมโยงกับวิทยาศาสตร์เป็น หลักจึงจะได้รับการยอมรับจาก คนในยุคนี้ มิได้มีการยกเว้นแม้แต่การอธิบายหลักค าสอนในศาสนาก็ต้องอธิบายให้เข้ากัน ได้กับวิธีการทางวิทยาศาสตร์เท ่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับนับถือจากพุทธศาสนิกชน และศาสนิกชนอื่น ๆ ที่สนใจ คนในยุคนี้จึงเป็นยุคที่ยอมรับอะไร ๆ ได้ง่ายมาก หากเป็นสิ่งที่สอดคล้องและเข้า กับหลักการทางวิทยาศาสตร์และก็ตรงกันข้ามเช่นกันที่คนในยุคนี้ก็เชื่ออะไร ๆ ได้ยาก เหมือนกัน หากสิ่งนั้น ๆ ไม่มีความสมเหตุสมผลและไม่มีความเป็นเหตุเป็นผลตามหลัก วิทยาศาสตร์ที ่พวกเขาคุ้นชิน ยิ ่งเรื ่องศาสนาด้วยแล้วยิ ่งเป็นเรื ่องยากที ่คนในยุค วิทยาศาสตร์จะยอมรับได้ง่ายเหมือนยุคก่อน ๆ เพราะศาสนาโดยส่วนใหญ่จะพูดเรื่องโลก หลังความตายหรือพูดเรื่องนามธรรมเป็นหลักการเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์ ไม่ยอมรับ ตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว แต่ในที่สุดวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์สมัยใหม่ต่าง ๆ ก็ได้เดิน มาถึงทางตันคือศาสตร์สมัยใหม่ตอบโจทย์ได้แค่เพียงแก้ปัญหาภายนอกตัวมนุษย์และเป็น ทางวัตถุที่จับต้องสัมผัสได้แบบหยาบ ๆ เท่านั้น และที่ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นคือศาสตร์ สมัยใหม่กลับสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมามากมาย อย่างเช่น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคม ปัญหาการก่อการร้าย ปัญหามลพิษต่าง ๆ ที่เป็นจากการผลิตวัตถุขึ้นมาตอบสนองความ สะดวกสบายภายนอก ดังนั้น ช่องว่างที่ศาสตร์สมัยใหม ่ไปไม่ถึงก็คือเรื่องภายในหรือจิตใจที่ทางฝั ่ง ศาสนาโดยเฉพาะศาสนาพุทธเชื่อว่ามีผลเป็นอย่างมากต่อความเป็นไปของสรรพสิ ่ง


๔๗ ด้วยการที่ศาสตร์สมัยใหม่สร้างปัญหาขึ้นมา เช่นนี้เองจึงนับว่าเป็นโอกาสที่พุทธศาสนาที่ จะได้น าหลักการ หลักเกณฑ์ และหลักธรรมที่สมควรแก่ธรรม มาเติมเต็มให้กับศาสตร์ สมัยใหม่จนกลายเป็นเครื่องมือสร้างสุขและสร้างปัญญาญาณให้กับมนุษย์มากขึ้น โดยทั้ง พระพุทธศาสนาและศาสตร์สมัยใหม่ต้องมีการเชื่อมโยงระหว่างกันและกันดังนี้ ๒.๓. การขยายองค์ความรู้เป็นความร่วมมือขยายขอบฟ้าแห่งความรู้ในขณะที่ มนุษย์และสังคมเผชิญหน้าประเด็นปัญหาทางวิชาการหรือวิกฤติการณ์ต่าง ๆ วิทยาการ หรือศาสตร์ต่าง ๆ มิสามารถที่จะผลักให้ให้เป็นภาระของศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งรับมือหรือ ตอบโจทย์แต่เพียงล าพัง ด้วยเหตุนี้พระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่สาขาต่าง ๆ จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องร่วมคิดค้นและออกแบบเครื่องมือเครื่องมือโดยการบูรณาการและ สร้างชุดความรู้หรือเครื่องมือแบบสหวิทยาการเพื่อน าจุดเด่นของวิทยาการต่าง ๆ มาเป็น ฐานรองรับ โดยการสร้างแบบจ าลอง อธิบายและตีความให้สอดรับกับประเด็นปัญหาและ วิกฤติการณ์ต่าง ๆ บนสถานการณ์ที่เป็นจริงและเอื้อต่อสถานการณ์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้พระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่สามารถร่วมมือกันเพื่อสร้าง ความรู้ที่การน าสิ่งที่แยกกันมารวมเข้าเป็นอันเดียวกันจนเกิดองค์รวม (The whole) โดยการน าแนวคิดและเนื้อหาจากสาขาวิชามาบูรณา การโดยไม่เน้นการเรียงล าดับเนื้อหา แต่เน้นการเชื่อมโยงเนื้อหา จุดเด่นในประเด็นนี้คือการท างานร่วมกับในเชิงบูรณาการแบบ สหวิทยาการอยู่ที่การเชื่อมโยงสาขาวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกันอันเป็นการท างานร่วมกัน แบบส่วนรวม (Holistic Approach) ซึ่งเราสามารถประเมิน ได้จากการเปิดพื้นที่ของการ ค้นพบในวิทยาการและศาสตร์การเรียนรู้ใหม่ๆ เช่น พุทธเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์แนวพุทธ สังคมวิทยา เชิงพุทธศาสนาแบบสันติวิธีเพื่อสังคม ๒.๓.๒. การเลือกองค์ความรู้เป็นสะพานเชื่อมสมานระหว่างกันและกัน หาก เป้าหมายของศาสนาอยู่ที่การปลดปล่อยมนุษย์ออกจากพันธนาการแห่งตัณหาอุปาทาน (Bondage of Egocentric cravings) มนุษย์มักจะมีความยึดมั่นในตัวเอง (อัตตวาทุปาทาน) และ ความคิดของตัวเอง (ทิฏฐุปาทาน) ว่าตัวเองหรือความคิดของตัวเองส าคัญที่สุด จึงท า ให้ไม่สามารถเรียนรู้และเข้าใจผู้อื่นในสังคม แต่ในความเป็นจริงมนุษย์เปรียบประดุจเศษ เสี้ยวธุลีดิ้นในจักรวาล ไอนสไตน์มองว่าฐานส าคัญประการหนึ่งในการที่จะท าให้มนุษย์พ้น หลุดรอดจากพันธนาการคือการคิดแบบมีเหตุผล ซึ่งเขาได้พิสูจน์ทราบจากวิถีชีวิตการ ท างานของตัวเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองเห็นแนวทางในการที่จะใช้เหตุผลเป็นตัวแปรในการ เชื่อมสมานมนุษย์ไปสู่การพัฒนาคุณค่าภายในตามหลักของศาสนา โดยเขาชี้ว่า “ถ้า เป้าหมายหนึ่งของศาสนาอยู่ที่การปลดปล่อย มนุษยชาติให้เป็นอิสระมากที่สุดเท่าที่จะ เป็นไปได้จากตัณหาและภยาคติที่มีรากฐานอยู ่บนอัตตา การคิดแบบมีเหตุผลทาง วิทยาศาสตร์สามารถช่วยศาสนาให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้อีกทางหนึ่ง” คุณค่าของคิด แบบมี


๔๘ เหตุผลของวิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นสะพานเชื่อมโยงไปสู่หลักการที่ปรากฏใน เกสปุตติสูตร ที่มุ่งเน้นการใช้ปัญญาคิดวิเคราะห์เหตุผลอย่างรอบด้านแล้วจึงตัดสินใจเชื่อ และน าไปสู่การ ปฏิบัติเพื่อปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากตัณหา มานะ และทิฐิ ๒.๓.๓ วิทยาการสมัยใหม่เสริมสร้างความฉลาด พระพุทธศาสนาหยิบยื่นความสงบ วิทยาการสมัยใหม่พัฒนาศักยภาพของมนุษย์ให้มีความฉลาดในการแสวงหาความอยู่รอด ทางร่างกาย แต่ไม่สามารถท าให้มนุษย์เกิดความสุขสงบทางจิตใจ กล่าวคือมุ่งเน้น พัฒนา ทักษะให้เกิดความช านาญและเชี่ยวชาญในการแสวงหาสิ่งเสพเพื่อสนองตอบต่อความ อยากรู้อยากเห็นและอยากมีอยากเป็นของตัวมนุษย์เอง แต่พระพุทธศาสนาจะท าให้ มนุษย์เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของตัวเองว่าไม่สามารถแสวงหาหาสิ่งต่าง ๆ มาปรนเปรอเพื่อสนองตอบต่อความอยากของตัวเองได้ดังที่ ซาร์ต นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้อธิบายว่า “มนุษย์เป็นความปรารถนาที่ไร้ความส าราญ” (Man is a useful passion) เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ “มนุษย์คือความขาดหาย ความบกพร่อง หรือช่องว่าง” ซึ่งสอดรับกับ หลักการทางพระพุทธศาสนาที่เน้นว่า “นตฺถิ ตณฺหา สมา นที, แม่น้ าเสมอด้วยตัณหาไม่มี” การเข้าใจธรรมชาติของจิตใจในลักษณะเช่นนี้จะท าให้มนุษย์แสวงหาหาวัตถุและสิ่งเสพใน ฐานะเป็นสิ่งจ าเป็น (Necessity) มากยิ่งขึ้น มากกว่าการใช้กายของตัวเองไปมุ่งเน้น แสวงหาคุณค่าเทียมจากสิ่งเสพต่าง ๆ ที่เข้ามายั่วยวนและหลอกล่อจิตใจของมนุษย์ ๒.๓.๔ การเชื่อมประสานพลังแห่งศรัทธากรุณาและปัญญา ในขณะที่จุดเด่นของ วิทยาการหรือศาสตร์สมัยใหม่มุ่งเน้นไปที่การแสวงหาปัญญาอันเกิดจากการพัฒนา ความรู้และแสวงหาความจริง แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือวัฒนธรรมแห่งความเชื่อมั่นในการ กระท าอันเกิดจากฐานของศีลธรรม จึงท าให้ปัญญาขาดมิติแห่งศรัทธาที่เชื่อมั่นอยู่ใน คุณธรรมความดีจากตัวแปรดังกล่าวจึงท าให้พระพุทธศาสนาได้เข้าไปปิดจุดอ่อนดังกล่าว จึงได้น า “ศรัทธา” ไปเติมเต็มให้แก่ “ปัญญา” เพื่อให้พลังอันเกิดจากการคิดหาเหตุผลมี ความนุ่มนวล (Soft Power) ปัญญาที่ขาดศรัทธาจะท าให้เป็นปัญญาที่ขาดความสุขุมลุ่มลึก บุ่มบ่ามและขาดความเฉลียวใจและยั้งคิดอย่างรอบด้าน ในขณะเดียวกัน ปัญญาอันเกิดจาก การศึกษาเรียนรู้และคิดหาเหตุผลตามกรอบของวิทยาการสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ หรือมิติแห่งการรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ หากขาดมิติแห่งความกรุณาย่อม ท าให้มนุษย์เอา รัดเอาเปรียบแก่งแย่ง และแข็งขันซึ่งกันและกัน มุ่งหวังความอยู่รอดของตัวเองโดยไม่ได้ใส่ ใจต่อความสุขหรือความ ทุกข์ของเพื่อนร่วมโลก ๒.๓.๕ วิทยาการสมัยใหม่เน้นศึกษาโลกภายนอก พระพุทธศาสนามุ่งศึกษาโลก ภายในพระพุทธเจ้าทรงศึกษาวิทยาการหรือศาสตร์ต่าง ๆ ทั้ง ๘ ศาสตร์ แต่พบความจริง ว่า ศาสตร์เหล่านั้นเป็นการเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจโลกภายนอกได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง พระองค์ได้ทรงใช้ศาสตร์เหล่านั้นเป็นเครื่องมือในการด าเนินชีวิตที่สัมพันธ์กับโลกภายนอก


๔๙ ถึงกระนั้นการเรียนรู้ศาสตร์ภายนอกเป็นประดุจค าถามปลายเปิดที่ไม่สามารถแสวงหาจุด บรรจบและสนองตอบต่อความอยู่รอดและความสว่างไสวทางจิตใจและปัญญา จึงท าให้ พระองค์ตระหนักรู้ว่าการที่จะท าให้ชีวิตค้นพบจุดจบอย่างแท้จริงนั้นคือการศึกษาเพื่อให้ เข้าใจโลกภายใน ซึ่งเครื่องมือที่พระองค์ทรงคุณพบคือ “ไตรสิกขา” กล่าวคือศีล สมาธิ และปัญญา การศึกษา หรือ “สิกขา” ตามกรอบพระพุทธศาสนาเป็นการตระหนักรู้และ เห็นความทุกข์ สาเหตุแห่งทุกข์การดับทุกข์ และหนทางแห่งการดับทุกข์ด้วยจิตใจของ ตัวเอง ฉะนั้นปริญญาที่พระองค์ได้รับมิใช่ปริญญาตามที่ชาวโลกยึดถือ หากแต่เป็นการ ปริญญาคือความรู้รอบตามกรอบของ อริยสัจ ๔ และมีโยนิโสมนสิการเป็นอาภรณ์ประดับ สติปัญญาของผู้เรียน ๒.๓.๖ วิทยาการสมัยใหม่มุ่งความจริง พระพุทธศาสนามุ่งศีลธรรม สัจธรรมที่ มนุษย์แสวงหามี ๓ อย่าง คือ ความจริง (Truth) ความดี (Goodness) ความงาม (Beauty) และความสุข ( Happiness) วิทยาการสมัยใหม่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องวิทยาศาสตร์นั้น เป็นศาสตร์มุ่งแสวงหาความความจริงและพิสูจน์ความจริง ในขณะที่พระพุทธศาสนา เป็นศาสตร์ที่มุ่งเน้นในการแสวงหาความดีความงาม และความสุขให้แก่มนุษย์ในเชิง ปัจเจกและสังคมโดยรวม ในขณะเดียวกันหากมอง “ความจริง” ในมิติของวิทยาศาสตร์และ พระพุทธศาสนานั้นมีจุดร่วมที่ส าคัญประการหนึ่งคือ “ความจริงตามกฎเกณฑ์ของ ธรรมชาติ” พระพุทธศาสนามีจุดยืนที่ ชัดเจนว่าไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะถือก าเนิดหรือไม่ก็ตาม ความจริงตามธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่ปรากฏและมีอยู่แล้ว พระองค์เป็นเพียงผู้เข้าถึง กฎเกณฑ์ธรรมชาติและน ากฎเกณฑ์ดังกล่าวมาน าเสนอแก่มนุษยชาติในขณะที่วิทยาศาสตร์ พยายามแสวงหาเครื่องมือเพื่อเข้าถึงความจริงและ เปิดเผยความจริงตามกระบวนการและ ขั้นตอนของวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตามจุดที่เป็นข้อกังวลซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบโจทย์ได้คือ วิทยาศาสตร์สนใจเฉพาะการค้นหาและเปิดเผยความจริง แต่ไม่ได้มุ่งแสวงหาความดี พระพุทธศาสนาจึงมีความจ าเป็นที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มให้ศาสตร์หรือวิทยาการทั้งหลาย สมบูรณ์ทั้งมิติภายนอกและมิติภายในแสวงหาคุณค่าภายนอกและภายใน พัฒนาทั้งจิตภาพ สมบูรณ์คู่กับการพัฒนาด้านกายภาพ ไอน์สไตน์เข้าใจถึงข้อกังวลในลักษณะเช่นนี้อย่างแจ่ม ชัด เขาจึงพยายามจะออกไปน าเสนอแนวทางเพื่อปิดช่องโหว่ดังกล่าวว่า “วิทยาศาสตร์ควร มุ่งแสวงหาและพิสูจน์ความจริง ส่วนศาสนาควรมุ่งแสวงหาความดีและศึกษาเรื่องศีลธรรม การน าเสนอเช่นนี้ดูประหนึ่งจะมุ่งหวังที่จะ เสนอว่าพระพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์หรือ วิทยาการต่าง ๆ ควรน าเสนอจุดเด่นที่มีคุณค่าของตัวเองแก่มนุษย์และสังคม โดยไม่เข้าข้าม พรมแดนไปผูกขาดความจริงหรือปิด ช่องทางมิให้ศาสตร์อื่น ๆ ได้ท าหน้าที่ของตัวเองอย่าง เต็มศักยภาพแห่งภูมิปัญญาที่มี


๕๐ ดังนั้น จากแนวทางดังกล่าวมานับว่าเป็นการมอบหมายภาระหน้าที่ทางด้าน ศีลธรรมให้แก่ศาสนาหรือพระพุทธศาสนา เพื่อให้ศาสนาได้เข้ามาช่วยวางกรอบและ ก ากับมิให้ศาสตร์ต่าง ๆ ได้ด าเนินการพัฒนามนุษย์ไปในทิศทางของตัวเองโดยมิได้สนใจที่ จะน าศาสตร์อื่น ๆ มาร่วมบูรณาการแบบสหวิทยาการ เพื่อให้องค์ความรู้หรือชุดความรู้ และกิจกรรมมีความหลากหลายและเอื้อต่อการพัฒนามนุษย์และสังคมให้สามารถเข้าถึง ความจริง ความดี ความงามและความสุขได้อย่างมีภูมิคุ้มกันและยั่งยืนต่อไปอย่างสันติสุข ๒.๓.๗. ความอยู่รอดระหว่างพระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่ การที่พระพุทธ ศาสนาซึ่งมาจากองค์ประกอบต่อไปนี้ คือ พระศาสดา ศาสนธรรม ศาสนบุคคล ศาสนพิธี และศาสนสถาน จะสามารถด ารงสถานะในฐานะเป็นที่พึ่งตามกรอบของรัตนตรัย คือ “พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์” ได้นั้น จ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง พัฒนาประยุกต์ธรรม ให้ร่วมสมัยและสอดรับกับความต้องการมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาและตีความ หลักธรรมให้เอื้อต่อการตอบค าถามทางวิชาการที่ไปสัมพันธ์กับ วิทยาการหรือศาสตร์ต่างๆ เข้ามาท้าทายต่อพระพุทธศาสนา ดังที่พระธรรมโกศาจารย์ได้เสนอว่า “ธรรมะเกี่ยวข้องกับ ทุกกิจกรรมของชีวิต ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวแต่อย่างใดผู้ที่น าธรรมไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจ าวันอย่างสม่ าเสมอย่อมจะเห็นคุณค่าของ พระพุทธศาสนา ประโยชน์นั่นแหละ จะรักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่คู่กับสังคมไทยตลอดไป และประโยชน์นั่นแหละจะรักษาวิชา พระพุทธศาสนาให้อยู่คู่หลักสูตรการศึกษาของประเทศไทยแบบสัมมาปฏิบัติตลอดกาล” ๙ เหตุดังนั้น พุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะทิศทางหรือแนวโน้มของทั้งสองศาสตร์ดูเหมือนจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่เมื่อพิจารณา ถึงเป้าหมายแล้ว พุทธศาสนาและศาสตร์สมัยใหม่ก็เป็นอุปกรณ์ให้มนุษย์ ได้เข้าถึงความ เป็นจริงเพื่อการเป็นอยู่อย่างมีความสุขเหมือนกัน แต่จุดที่ท าให้ศาสตร์ สมัยใหม่ต้องหัน หลังกลับมาดูก็คือเมื่อศาสตร์สมัยใหม่ได้เป็นหลักการและวิธีการให้กับมนุษย์แล้ว มนุษย์ และสังคมโลกก็ยังเต็มไปด้วยปัญหา ทั้งปัญหาในระดับบุคคล สังคม และโลก ดังนั้น พุทธศาสนาที่นับว่าเป็นศาสตร์หนึ่งที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของศาสตร์สมัยใหม่ จึงได้โอกาสเข้ามาเติมเต็มให้มนุษย์และสังคมมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพราะตามหลักการ เบื้องต้นแล้วทั้งสองศาสตร์ล้วนเป็นศาสตร์ที่มีเหตุผลที่ตั้งอยู่บนกฎธรรมชาตินั่นเอง จึงท า ให้พุทธศาสนาถึงแม้จะเป็นศาสตร์แห่งจิตใจหรือนามธรรมก็ยังมีความเป็นไปได้เสมอ กับศาสตร์สมัยใหม่ และที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือศาสตร์สมัยใหม่ที่ว่าก็เป็นศาสตร์ที่พัฒนา ๙ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, พระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่: ตัวแบบวิธีวิทยาว่า ด้วยพุทธบูรณาการและพุทธสหวิทยาการ, (พระนครศรีอยุธยา: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐), หน้า ๒๗.


๕ ต่อยอดมาจากศาสตร์ยุคก่อนๆ และก็เป็นไปได้อีกว่าศาสตร์สมัยใหม่ ที่ว่าดีที่สุดในยุคนี้ก็ จะถูกลบเหลี่ยมโดยศาสตร์สมัยใหม่ยุคต่อ ๆ ไปอีก ตรงกันข้ามกับหลักพุทธศาสนาที ่ดู เหมือนจะมีที่ยืนยากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุควิทยาศาสตร์คล้ายกับหลาย ๆ ศาสนาในปัจจุบัน แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งศาสตร์สมัยใหม่ก้าวหน้าไปมากเท่าใด เนื้อหาของศาสตร์สมัยใหม่ ดังกล่าวยิ่งเข้าใกล้เนื้อหาของพุทธศาสนามากยิ่งขึ้นตามไปด้วย ๒.๔ บูรณาการพุทธศาสนาการศึกษากับศาสตร์สมัยใหม่ อย่างไรก็ตามเมื่อศาสตร์สมัยใหม่และพุทธศาสนา สามารถเชื่อมโยงระหว่างกัน และกันได้ จึงนับว่าเป็นเรื่องบวกส าหรับพุทธศาสนาที่จะท าให้คนในยุคนี้ โดยเฉพาะ เยาวชนได้หันกลับมาสนใจพุทธศาสนามากขึ้น เพราะคนในยุคนี้อะไร ๆ ก็ต้องอธิบาย เทียบเคียงกับวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์สมัยใหม่เป็นหลักเท่านั้นจึงจะยอมรับคือหากศาสตร์ อะไร ขัดแย้งหรือไปด้วยกันไม่ได้กับหลักวิทยาศาสตร์แล้ว เป็นไปได้ยากที่คนในยุคนี้จะ ยอมรับนับถือ ดังนั้นเมื่อพุทธศาสนาและศาสตร์สมัยใหม่ไปด้วยกันได้อย่างเหมาะสมลงตัว แล้วจึงท าให้เกิดความน่าสนใจว่าจะน าหลักพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้หรือบูรณการร่วมกับ ศาสตร์สมัยใหม่อย่างไรเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับมนุษย์ เพราะการบูรณาการนั้นเป็น เรื่องยากอยู่มิใช่น้อยหากทั้งสองศาสตร์ที่จะมาบูรณาการร่วมกันมีจุดยืนที่แตกต่างกัน ๐ แต่ด้วยความที่พุทธศาสนามีหลักค าสอนที่พัฒนามาจากหลักการพื้นฐาน เกี่ยวกับ กฎธรรมชาติจึงท าให้พุทธศาสนาไปด้วยกันได้กับศาสตร์สมัยใหม่ง่ายขึ้น โดยวิธีการ การบูรณาการพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่นั้นสามารถท าได้ ๒ วิธี ดังนี้ . วิธีการบูรณาการแบบพุทธวิทยา (Buddhology) ซึ่งเริ่มต้นจากการก าหนด หรือแสวงหาประเด็น (Issues) และปัญหา (Problems) ทางวิชาการหรืองานวิจัยที่มี การถกเถียงหรือแสวงหาทางออกที่ควรจะเป็นต่อประเด็นต่าง ๆ ที่มนุษย์ ชุมชน หรือ สังคมสนใจหลังจากนั้นจึงน าพระพุทธศาสนามาเป็นฐานในการอธิบาย ขั้นตอนต่อไป จึงเข้าสู่กระบวนการของการน าวิทยาการหรือศาสตร์สมัยใหม่มาอธิบายเสริม โดยมี เจตนารมณ์เพื่ออธิบายสนับสนุนให้พระพุทธศาสนาทันสมัย มีเหตุผลและสอดรับกับวิถี ความเป็นไปของชีวิตและสังคมมากยิ ่งขึ้น ซึ่งวิธีการเช่นนี้ มิได้เจตนาที ่จะก่อให้เกิด สัทธรรมปฏิรูปหรือท าให้พระพุทธศาสนาสูญเสียจุดยืนของตัวเอง ๒. วิธีการบูรณาการแบบธรรมวิทยา (Dhamology) วิธีการนี้มีจุดเริ่มต้น เช่นเดียวกันกับวิธีการของ ( ) การบูรณาการ จะเริ่มต้นจากการก าหนดหรือแสวงหา ๐กีรติ บุญเจือ, วิธีการศึกษาทั่วไปแบบบูรณาการ: มนุษย์รู้อย่างไร, (กรุงเทพมหานคร: ไทย วัฒนาพานิช, ๒๕๕๕), หน้า ๒- ๓.


๕๒ ประเด็น (Issues) และปัญหา (Problems) ทางวิชาการหรืองานวิจัยที่มีการถกเถียง หรือ แสวงหาทางออกที่ควรจะเป็นต่อประเด็นต่าง ๆ ที่ มนุษย์ ชุมชน หรือสังคมสนใจ ขั้นตอน ต่อไป คือการน าวิทยาการหรือศาสตร์สมัยใหม่มาเป็นตัวตั้ง แต่จุดเด่นในวิธีการที่ ๒ คือ การน าหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาตามที่ปรากฏใน พระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม มาเป็นฐานในการประยุกต์ใช้ตีความ อธิบาย วิเคราะห์ บูรณาการ และสังเคราะห์ออกเป็น ชุดอธิบาย ชุดความคิด หรือชุดความรู้ต่าง ๆ อย่างกลมกลืนไปด้วยกัน อนึ ่ง จากวิธีการบูรณาการทั้งสองวิธีข้างต้นท าให้เห็นได้ว ่าความสอดคล้อง ระหว่างพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่นั้นเป็นไปได้ทั้งเชิงน าหลักการทางพุทธศาสนาเป็น หลักแล้วตาม ด้วยศาสตร์สมัยใหม่หรือน าศาสตร์สมัยใหม่เป็นหลักแล้วตาม ด้วยพุทธศาสนา ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมหรือสภาพการณ์ของปัญหาเป็นหลัก หมายความว่า การใช้หลักการทางพุทธศาสนาหรือศาสตร์สมัยใหม่เป็นตัวตั้งต้นนั้นไม่ส าคัญเท่ากับบริบท ของปัญหาที่ต้องการน าศาสตร์ทั้งสองไปบูรณาการใช้นั่นเอง เพราะบางปัญหาอาจเหมาะสม ที่จะเริ่มตั้งต้นด้วยศาสตร์สมัยใหม่ นัยตรงข้ามบางปัญหาอาจไม่เหมาะสม ดังนั้น การบูรณา การจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่กล่าวกันเพียงแค่ในวงวิชาการเท่านั้น แต่ควรเป็นเรื่องที่สามารถน าไปประยุกต์ใช้ได้จริง สรุปได้ว่า การเปลี่ยนแปลงที่มีอยู่สังคมโลกล้วนเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นมาจากศาสตร์สมัยใหม่ที่มีการปรับเปลี่ยนมาตามยุคสมัย แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ทั้งหมดล้วนท าให้เกิดความชัดเจนในหลักพุทธศาสนาต่อประชาคมโลกมากขึ้น จึงนับว่า เป็นเรื่องที่ดีส าหรับบรรยากาศโดยรวมของพุทธศาสนาที่จะเป็นทางเลือกให้กับผู้คนใน ศตวรรษที่ 21 หรือในยุคโลกาภิวัตน์นี้ ๒.๕ วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ การวิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ในทัศนะของพระพุทธศาสนา ผู้จะท า หน้าที่ผู้น าต้องได้รับการพัฒนาทั้งกาย วาจา และใจ ต้องวิเคราะห์พุทธศาสตร์จนมีความ สามารถยอมรับหลักการและปฏิบัติตามคุณธรรมของผู้น าได้ด้วยตนเองก่อน ดังพุทธพจน์ ว่า เมื่อฝูงโคว่ายข้ามน้ าไป ถ้าโคจ่าฝูงไปคดเคี้ยว โคทั้งฝูงก็ไปคดเคี้ยวตามกัน ในเมื่อโคจ่า ฝูงไปคดเคี้ยว ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้าผู้นั้นประพฤติไม่เป็น ธรรมประชาชนชาวเมืองนั้นก็จะประพฤติไม่เป็นธรรมตามไปด้วย หากผู้น าไม่ตั้งอยู่ในธรรม เมื่อฝูงโคข้ามน้ าไปถ้าโคจ่าฝูงไปตรงโคทั้ง ฝูงก็ไปตรงตามกันในเมื่อโคจ่าฝูงไปตรง ในหมู่ มนุษย์ก็เหมือนกัน ผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้เป็นใหญ่ ถ้าผู้นั้นประพฤติชอบธรรมประชาชน


๕๓ ชาวเมืองนั้นก็จะประพฤติชอบธรรมตามไปด้วยหากผู้น าตั้งอยู่ในธรรมชาวเมืองนั้นก็ เป็นสุข การวิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ในการสร้างลักษณะความเป็นผู้น า ให้กับตนเองเป็นพื้นฐานเป็นสิ่งส าคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางตนให้เหมาะสม เอาชนะ อกุศลในใจตนได้ มีธรรมประจ าตนก็สามารถยึดเหนี่ยวน้ าใจของผู้ใต้ปกครองได้ จึงเป็น มรรควิธีน าไปสู่เป้าหมายการปกครองค าสอนที่กล่าวเกี่ยวกับลักษณะของผู้น าใน พระพุทธศาสนาประกอบด้วย ลักษณะ ดังนี้คือ . จักขุมา มีปัญญามองการณ์ไกล เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองสภาพเหตุการณ์ ออกวางแผนเตรียมรับหรือรุกได้ ๒. วิธูโร จัดการธุระได้ดี เป็นผู้ช านาญในงาน รู้จักวิธีการไม่บกพร่องในหน้าที่ที่ตน ได้รับผิดชอบ ๓. นิสสยสัมปันโน พึ่งพาอาศัยคนอื่นได้เพราะเป็นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดีและ ได้รับความเชื่อถือจากผู้อื่น จะเห็นได้ว่าการเป็นผู้น านั้น ต้องเป็นผู้มีปัญญา มีประสบการณ์ เข้าใจบุคคลหรือผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี ๒ การวิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่กับหลักการที่ผู้บริหารน าหลัก พุทธธรรมมาใช้ในการบริหารการศึกษาเป็นการสร้างความเชื่อถือให้การยอมรับจากสังคม สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาภายในสถานศึกษา ในการที่จะสร้างศรัทธาท าให้ องค์กรต่าง ๆ ในสถานศึกษาขับเคลื่อนหรือพัฒนาไปในทิศทางที่ต้องการได้ หลักพุทธธรรม ที่ผู้บริหารเลือกสรรและน ามาประยุกต์ใช้ในการบริหารสถานศึกษา ในการปฏิบัติตนที่ส่งผล ต่อสมรรถนะที่ส าคัญและจ าเป็นของผู้บริหารสถานศึกษา การปฏิบัติงานของครู และ บุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ทั้งนี้ คุณธรรมทาง พระพุทธศาสนาที่เป็นหลักในการปฏิบัติของผู้บริหารโรงเรียน โดยแบ่งคุณธรรมออกเป็น ๓ หมวดคือ คุณธรรมที่ใช้ ในการครองตนครองคนและครองงานของ ผู้บริหารไว้กับ พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ ๓ ได้แก่ . คุณธรรมในการครองตน ได้แก่ สัปปุริสธรรม ๗ ธรรมคุ้มครองโลก ธรรมมี อุปการะมาก อริยสัจ ๔ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ความสุขของคฤหัสถ์ ศีล ๕ โดยเฉพาะ สัปปุริส ธรรม ๗ เป็นธรรมที่ครอบคลุมข้อธรรมอื่น ๆ ในหมวดการครองตนได้เป็นอย่างดี ดูรายละเอียดใน, องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒ /๗๐/ ๕- ๖. ๒ดูรายละเอียดใน, องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๒๐/ ๖๓. ๓นิติรัฐ วรรณวิริยวัตร, “การบริหารงานแบบพุทธวิธีของโรงเรียนพระปริยัติธรรม อ าเภอเมือง เชียงใหม่”, วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๖๒).


๕๔ ๒. คุณธรรมในการครองคน ได้แก่ พรหมวิหาร ๔ สังคหวัตถุ ๔ ทศพิธราชธรรม ทิศ ๖ หลักธรรมในเรื่องการครองตนนั้น พรหมวิหาร ๔ เป็นธรรมที่ครอบคลุมหลักธรรมข้อ อื่น ๆ ได้ดีและถือว่าพรหมวิหาร ๔ เป็นธรรมส าหรับนักปกครอง ๓. คุณธรรมในการครองงาน ได้แก่ ฆราวาสธรรม และอิทธิบาท ๔ ส าหรับ อิทธิบาท ๔ เป็นคุณธรรมในการครองงานเป็นธรรมที่ส าคัญที่สุดเพราะหากมีคุณธรรมข้อนี้ แล้วการด าเนินงานต่าง ๆ จะประสบความส าเร็จ สามารถครองงานไว้ได้ ถือได้ว่าฆราวาส ธรรมครอบคลุมคุณธรรมในการครองงานได้ดีที่สุด ดังนั้น เมื่อวิเคราะห์พุทธศาสตร์กับ ศาสตร์สมัยใหม่หลักพุทธธรรมที่สอดคล้องกับ หลักการบริหารการศึกษาด้านครองตน มีจ านวน ๙ หลักธรรม หลักพุทธธรรมที่สอดคล้องกับ หลักการบริหารการศึกษาด้าน ครองคน มีจ านวน ๕ หลักธรรม และหลักพุทธธรรมที่สอดคล้อง กับหลักการบริหาร การศึกษาด้านครองงาน มีจ านวน ๙ หลักธรรม ดังนี้ ) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักกัลยาณมิตตตา ความมี กัลยาณมิตร คือ มีผู้แนะน าสั่งสอน ที่ปรึกษา เพื่อนที่คบหาและบุคคลผู้แวดล้อมที่ดี ๒) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับโยนิโสมนสิการ เป็นการใช้ ความคิดถูกวิธีคือ การท าในใจโดยแยบคาย ๓) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักธรรมคุ้มครองโลก ๒ ธรรมที่ ช่วย ให้โลกมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เดือดร้อน และสับสนวุ่นวาย มีข้อธรรม ๒ ข้อ คือ หิริ คือ ความละอายต่อบาป ละอายใจต่อการท าความชั่ว โอตตัปปะ คือความเกรงกลัว ต่อบาป เกรงกลัวต่อความชั่ว ๔) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักธรรมท าให้งาม ๒ มีข้อธรรม ๒ ข้อคือ ขันติคือ ความอดทน และโสรัจจะคือ ความเสงี่ยม ๕) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักธรรมมีอุปการะมาก ๒ ธรรม ที่ เกื้อกูลในกิจหรือในการท าความดีทุกอย่าง มีข้อ ธรรม ๒ ข้อคือ สติคือ ความระลึกได้ นึกได้ ส านึกอยู่ไม่เผลอ และสัมปชัญญะคือ ความรู้ชัด รู้ชัดสิ่งที่นึกได้ ตระหนักเข้าใจชัด ตามความเป็นจริง ๖) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักกุศลมูล ๓ รากเหง้าของกุศล ต้นตอของความดี มีข้อธรรม ๓ ข้อคือ อโลภะ คือความไม่โลภ อโทสะคือ ความไม่คิด ประทุษร้าย อโมหะคือ ความไม่หลง ๗) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักสุจริต ๓ ความประพฤติดี ประพฤติชอบมีข้อธรรม ๓ ข้อ คือ กายสุจริต การประพฤติชอบด้วยกาย วจีสุจริต การ ประพฤติชอบด้วยวาจา และมโนสุจริต การประพฤติชอบด้วยใจ


๕๕ ๘) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักสันโดษ ๓ ความยินดี ความ พอใจ ความรู้จักอิ่มรู้จักพอ มีข้อธรรม ๓ ข้อคือ ยถา ลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้ยินดี ตามที่พึงได้ ยถา พลสันโดษ ยินดีตามก าลัง ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามสมควร ๙) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักอธิปไตย ๓ ความเป็นใหญ่ มีข้อธรรม ๓ ข้อคือ อัตตาธิปไตย ความมีตนเป็นใหญ่ โลกาธิปไตย ความมีโลกเป็นใหญ่ถือ โลกเป็นใหญ่ ธัมมาธิปไตย ความมีธรรมเป็นใหญ่ ๐) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักฆราวาสธรรม ๔ ธรรม ส าหรับฆราวาสธรรมส าหรับการครองเรือน หลักการครองชีวิตของคฤหัสถ์ มีข้อธรรม ๔ ข้อ คือ สัจจะ คือ ความจริง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ พูดจริง ท าจริงทมะคือ การฝึกฝน การข่มใจ ฝึกนิสัย ปรับตัว ขันติคือ ความอดทน จาคะคือ ความ เสียสละ ) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักพรหมวิหาร ๔ ธรรม ประจ าใจ อันประเสริฐ หลักความประพฤติที่ประเสริฐ บริสุทธิ์มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ เมตตา คือความรัก ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข กรุณาคือความสงสาร คือช่วยให้พ้นทุกข์ มุทิตาคือความ ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี อุเบกขาคือ การวางเฉย มีใจเป็นกลาง ๒) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักสังคหวัตถุ ๔ ธรรมยึด เหนี่ยวใจ บุคคลและประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี หลักการ สงเคราะห์ มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ ทานคือ การให้ปิยวาจาคือ การใช้วาจาเป็นที่รัก อัตถจริยาคือ การประพฤติประโยชน์ และสมานัตตา คือความเสมอต้นเสมอปลาย ๓) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักอธิษฐานธรรม ๔ ธรรม เป็นที่มั่น ธรรมอันเป็นฐานที่มั่นคงของบุคคล มีข้อธรรม ๔ ข้อคือ ปัญญาคือ ความรู้ชัด หยั่งรู้ในเหตุผล สัจจะคือ ความจริง จาคะคือ ความ เสียสละ และอุปสมะคือ ความสงบ ๔) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักอิทธิบาท ๔ คุณธรรมที่ น าไปสู่ความส าเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย มีข้อธรรม ๔ ข้อ คือฉันทะคือ ความพอใจ วิริยะคือ ความเพียร จิตตะคือ ความคิดมุ่งไป อุทิศตัวอุทิศใจให้แก่สิ่ง ที่ท าและวิมังสาคือ ความ ไตร่ตรอง ๕) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักเบญจธรรมคู่กับเบญจศีล มีข้อธรรม ๕ ข้อคือ เมตตาและกรุณา ความรักใคร่ ปรารถนาให้มีความสุข ความเจริญ และความสงสารคิดช่วยให้พ้นทุกข์ คู่กับศีล ข้อ สัมมาอาชีวะการหาเลี้ยงชีพในทาง สุจริต คู่กับศีลข้อ ๒ กามสังวร ความสังวรในกาม ความส ารวมระวังรู้จักยับยั้งควบคุมตนใน ทางกามารมณ์ คู่กับศีลข้อ ๓ สัจจะ ความสัตย์ ความซื่อตรง คู่กับศีลข้อ ๔ สติสัมปชัญญะ ระลึกได้และรู้ตัวอยู่เสมอ คือฝึกตนให้เป็นคนรู้จักยั้งคิด รู้สึกตัวอยู่เสมอว่าสิ่งใดควรท า สิ่งใดไม่ควรท า ไม่มัวเมาประมาท คู่กับศีลข้อ ๕


๕๖ ๖) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักพละ ๕ ธรรมอันเป็นก าลัง มีข้อธรรม ๕ ข้อคือ สัทธาคือ ความเชื่อ วิริยะคือ ความเพียร สติคือ ความระลึกได้ สมาธิ คือ ความตั้งจิตมั่น ปัญญาคือ ความรู้ทั่วชัด ๗) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักกัลยาณมิตรธรรม ๗ คุณสมบัติของมิตรดีและมิตรแท้ มีข้อธรรม ๗ ข้อ ได้แก่ ปิโย คือ น่ารัก ภาวนีโย คือ น่าเจริญใจหรือน่ายกย่อง วตฺตา จ คือรู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้าใจ วจนกฺขโม คือ อดทนต่อถ้อยค าคือ พร้อมที่จะรับฟังค าปรึกษา ซักถาม ค าเสนอและ คมฺภีรญจ กถ กตฺตา คือ แถลงเรื่องล้ าลึกได้ โน จฏฐาเน นิโยชเย คือ ไม่แนะน าในเรื่องเหลวไหล หรือชักจูง ไปในทางเสื่อมเสีย ๘) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักสัปปุริสธรรม ๗ ธรรมของ สัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี ธรรมของผู้ดี มีข้อธรรม ๗ ข้อคือ ธัมมัญญุตา คือ ความรู้จัก ธรรม รู้หลัก อัตถัญญุตา คือความรู้จักอรรถ รู้ความมุ่งหมายหรือรู้จักผล กาลัญญุตา คือ รู้จักกาลเวลา อันเหมาะสม ปริสัญญุตา คือรู้จักชุมชนและรู้จัก ที่ประชุม รู้กิริยาที่จะ ประพฤติต่อชุมชนนั้น และ ปุคคลัญญุตา คือความรู้จักบุคคล ๙) วิเคราะห์พุทธศาสตร์กับศาสตร์สมัยใหม่ กับหลักทศพิศราชธรรม เป็นธรรม ของพระราชา คุณธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง ธรรมของนักปกครองมีข้อธรรม ๗ ข้อคือ ทาน คือ การให้ ศีลคือ ความประพฤติดีงาม ปริจจาคะคือ การบริจาค อาชชวะคือ ความ ซื่อตรง มัททวะคือ ความอ่อนโยน ตปะคือ ระงับยับยั้ง ข่มใจได้อักโกธะคือ ความไม่โกรธ อวิหิงสาคือ ความไม่เบียดเบียน ขันติคือ ความอดทน อวิโรธ นะคือความไม่คลาดธรรม ๔ ๒.๖ สรุป ตามที่กล่าวมาทั้งหมดในเรื่องพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ผู้เขียนมองว่ายิ่ง วิทยาศาสตร์หรือศาสตร์สมัยใหม่ มีความก้าวหน้าไปมากเท่าใด ยิ่งเป็นผลดีกับพุทธศาสนา โดยรวม เพราะการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของศาสตร์สมัยใหม่นั้นเป็นการน าเสนอแนวคิด และทฤษฎีเพื่อเข้าถึงความจริงของธรรมชาติให้มากยิ่งขึ้นกว่าที่ผ่านมา ซึ่งลักษณะการ แบบนี้นับว่าเป็นแนวทางที่พุทธศาสนาให้ความส าคัญมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว กล่าวคือ พระพุทธเจ้าทรงเน้นให้พุทธศาสนิกชนอยู่ใกล้กับธรรมชาติ อะไรก็ตามที่ตัดต่อตัดแต่งผิดไป จากธรรมชาติมาก สิ่งนั้นย่อมจะอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงมากขึ้นตามไปด้วย ๔วรภาส ประสมสุข และนิพนธ์ กินาวงศ์, “หลักการบริหารการศึกษาตามแนวพุทธธรรม”, วารสารศึกษาศาสตร์, ๘ (๒) (พฤศจิกายน ๒๕๔๙ – มีนาคม ๒๕๕๐), หน้า ๘.


๕๗ ดังนั้น ในเมื่อพุทธศาสนามุ่งเน้นหาความเป็นจริงจากธรรมชาติ ศาสตร์สมัยใหม่ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ก็หาค าตอบให้กับมนุษย์ด้วยการแสวงหาความจริงจากธรรมชาติ เช่นกัน จึงเป็นการลงตัวหรือสอดคล้องกันอย่างยิ่งและที่ส าคัญที่สุด ทั้งศาสตร์สมัยใหม่ทั้ง พุทธศาสนาล้วนมุ่งขจัดความงมงายหรือไร้เหตุผลในหมู่มนุษย์ โดยมุ่งให้มนุษย์อยู่อย่าง ชาญฉลาดและมีความสุขกายสบายใจ มีความทุกข์ยากล าบากให้น้อยที่สุด ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็ ให้เข้าถึงความสุขอย่างสูงสุดคือนิพพานตามนัยแห่งพุทธศาสนาก็จะเป็นการดียิ่งโดยต้องไม่ หยุดอยู่เพียงแค่ความสุขสบายตามที่ศาสตร์สมัยใหม่สร้างให้การจัดการศึกษาสู่คุณภาพยุค ใหม่ สอดคล้องกับบทความเรื่อง การพัฒนาทักษะภาวะผู้น าทางการศึกษาได้ให้ข้อเสนอ เรื่องดังกล่าวว่า ผู้น าทางการศึกษาควรมีการช่วยเหลือกันในด้านก าลังทรัพย์ ให้การ ช่วยเหลือกันเสมอเท่าเทียมกัน มีอ านาจหน้าที่ที่มีความสามารถดี ยอมรับการประสานงาน ของทุกฝ่ายด้วยความเชื่อมั่น ปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจการพัฒนาภาวะผู้น าทาง การศึกษาตามหลักพรหมวิหาร ๔ คือ . ด้านเมตตา ผู้บริหารควรให้ความยุติธรรมเท่า เทียมกันในการท างาน ช่วยเหลือด้าน ก าลังทรัพย์ ใช้งานให้ถูกกับบุคคลที่มีความสามารถ กับงาน ๒. ด้านกรุณา ผู้บริหารควร ให้การช่วยเหลือตอบแทนต้องบริสุทธิ์ยุติธรรม เสมอ เท่าเทียมกัน ผู้บริหารต้องรับทราบปัญหาของบุคลากรในโรงเรียน เพื่อให้ความช่วยเหลือ ในด้านต่าง ๆ ๓. ด้านมุทิตา ผู้บริหารควรพลอยยินดีเมื่อบุคลากรได้ต าแหน่งใหม่ หรือ ท าหน้าที่ใหม่ ให้เสมอเท่าเทียมกัน ในการปฏิบัติหน้าที่ ๔. ด้านอุเบกขา ผู้บริหารต้องมี ใจเป็นกลางในการท างานหน้าที่ มอบหมายงานให้กับบุคคล ที่มีความรู้และความสามารถ กับงาน ไม่ใช้บุคคลที่ไม่ถูกกับงาน เลือกบุคคลที่ถนัดกับงานเท่าเทียมกัน ส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, ส านักนายกรัฐมนตรี, สถาบันส่งเสริมการประเมิน คุณภาพ และมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติ, (กรุงเทพมหานคร : ส านักนายกรัฐมนตรี, ๒๕๔๓), หน้า ๒๕. ๘. (๒ ๖-๒๒๓). indd ๒ ๖ ๓๐/๔/๒๕๖ ๒๐:๐๒:๓๗ การพัฒนา ทักษะภาวะผู้น าทางการศึกษา ๒.๗ เอกสารอ้างอิงประจ าบท กีรติ บุญเจือ. วิธีการศึกษาทั่วไปแบบบูรณาการ: มนุษย์รู้อย่างไร. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๕. นิติรัฐ วรรณวิริยวัตร, “การบริหารงานแบบพุทธวิธีของโรงเรียนพระปริยัติธรรม อ าเภอ เมือง เชียงใหม่”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิต วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๖๒.


๕๘ พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส. พระพุทธศาสนากับวิทยาการสมัยใหม่: ตัวแบบวิธีวิทยาว่า ด้วยพุทธบูรณาการและพุทธสหวิทยาการ. พระนครศรีอยุธยา: โรงพิมพ์มหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐. พระมหามฆวินทร์ ปุริสุตฺตโม. “พุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่”. วารสารปัญญา. ปีที่ ๒๕ ฉบับที่ (มกราคม – มิถุนายน ๒๕๖ ). พิมพิลัย หงษาค า. หลักการพระพุทธศาสนากับหลักการวิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๖๔. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎก ฉบับภาษาบาลี เตปิตก . กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. . พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๓๙. มนตรี ธีรธรรมพิพัฒน์. “จริยธรรมกับภาวะผู้น า: ศึกษาทัศนะของนักวิชาการรัฐศาสตร์ใน มหาวิทยาลัยแห ่งประเทศไทยที ่มีต ่อผู้น าทางการเมือง”. วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๖๐. วัดเจ็ดเสมียน. พระพุทธเจ้าในสายตานักปราชญ์โลก. กรุงเทพมหานคร: โอ. เอส. พริ้นตริ้ง เฮาส์, ๒๕๖๐. วัชระ งามจิตรเจริญ. พระพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์แห่ง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๖๐. วรภาส ประสมสุข และนิพนธ์ กินาวงศ์. “หลักการบริหารการศึกษาตามแนวพุทธธรรม”. วารสารศึกษาศาสตร์. ๘ (๒) (พฤศจิกายน ๒๕๔๙ – มีนาคม ๒๕๕๐).


บทที่ ๓ ภาวะผู้น าทางการศึกษาในยุคใหม่ ********* ความน า หลักธรรมค าสั่งสอนตามหลักพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ทันสมัยอยู่เสมอ เป็นวิทยาศาสตร์และสามารถน ามาปรับใช้ได้กับการด ารงชีวิต และการท างานในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องของภาวะผู้น าหลักธรรมค าสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เกี่ยวข้องกับผู้น าที่สามารถน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวันของแต่บุคคลได้อย่างไม่ต้อง สงสัย หลักผู้น าจากพระพุทธศาสนาประการแรก คือ บทบาทของผู้น ากับการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะจากปัญหาทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ ผู้น าขององค์กรต่าง ๆ ต้องให้ความส าคัญกับการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยผู้บริหารต้องใช้หลักกัลยาณมิตรธรรมหรือธรรมของกัลยาณมิตร ๗ ประการ คือ วัตตา หรือเป็นผู้รู้จักพูด โดยการที่จะเป็นนักพูดที่ดีนั้นต้องพูดให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจได้ พูดให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ หรือพูดให้ผู้อื่นช่วยกันสร้างสรรค์ประโยชน์ ไม่ใช่การพูดเพื่อหา ประโยชน์ให้แก่ตนเอง โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ลักษณะของนักสื่อสาร หรือนักพูดที่ ดีไว้ ๔ ประการด้วยกัน ได้แก่ พูดแจ่มแจ้ง (อธิบายให้เข้าใจได้ชัดเจน) พูดจูงใจ (พูดจนคน ยอมรับและอยากจะลงมือท า) พูดเร้าใจ (พูดให้เกิดความคึกคัก กระตือรือร้น) และพูดให้ ร่าเริง (พูดให้เกิดความร่าเริง มีความหวัง ในผลดีและทางที่จะส าเร็จ) การเป็นผู้รู้จักพูด ตามหลักการข้างต้น สามารถน ามาปรับใช้กับการพูดเนื่องในโอกาสต่าง ๆ ไม่จ าเป็นแต่ ต้องเป็นการพูดของผู้น าเท่านั้น แม้กระทั่งครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือเอง ก็ต้องรู้จักพูด ให้แจ่มแจ้ง จูงใจ เร้าใจ และ ร่าเริง เพื่อให้ผู้เรียนได้มีความเข้าใจ กระตือรือร้น และ สนใจที่จะเรียนหนังสือ ส าหรับตัวผู้น านอกเหนือจากการรู้จักที ่จะพูดแล้วยังต้องรู้จักที ่จะฟังด้วย โดยท่านใช้ค าว่า วจนักขโม แปลว่า ควรทนหรือฟังต่อถ้อยค าของคนอื่นด้วย ไม่ใช่ว่าเอา แต่พูดแก่เขาอย่างเดียวโดยไม่ยอมรับฟังใคร ซึ่งการเป็นผู้ฟังที่ดีนั้น ถือเป็นสิ่งที่ยากและ ท้าทายส าหรับผู้น าหลาย ๆ ท่าน เนื่องจากผู้น าจ านวนมากมักจะชอบพูดมากกว่าฟัง โดยเฉพาะการรับฟังจากผู้ที่ต่ ากว่าหรือเป็นลูกน้อง นอกจากนี้ ยังมีหลักธรรมว่าไว้ว่า คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา แปลว่า รู้จักแถลงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ลึกซึ้ง โดยประเด็นหรือ เรื่องราวต่าง ๆ ที่ส าคัญ ก็ต้องสามารถอธิบาย ท าให้ผู้ที่ร่วมงานมีความเข้าใจ


๖๐ ๓. ความหมายของภาวะผู้น าทางพุทธศาสตร์ ๓.๒ ความหมายของผู้น าตามหลักทศพิธราชธรรม ๓.๓ หลักพุทธธรรมกับภาวะผู้น า ๓.๔ ผู้น าการศึกษายุคใหม่ตามแนวพุทธ ๓.๕ ความสัมพันธ์ของภาวะผู้น าการศึกษาและวิชาชีวิตในยุคใหม่ ๓.๖ สรุป ๓.๑ ความหมายของภาวะผู้น าทางพุทธศาสตร์ ผู้น าตามแนวพระพุทธศาสนา และผู้น าตามแนวพระพุทธศาสนาประการแรก คือ บทบาทของผู้น ากับการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะจาก ปัญหาทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ ท าให้ผู้น าขององค์กรต่าง ๆ ต้องให้ความส าคัญกับ การสื่อสารทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยภายใต้หลักกัลยาณมิตรธรรมหรือธรรมของ กัลยาณมิตร ๗ ประการนั้น มีอยู่ข้อหนึ่ง คือ วัตตา หรือเป็นผู้รักจักพูด โดยการที่จะเป็น นักพูดที่ดีนั้นต้องพูดให้ผู้อื่นสามารถเข้าใจได้ พูดให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ หรือพูดให้ผู้อื่น ช่วยกันสร้างสรรค์ประโยชน์ ไม่ใช่การพูดเพื่อหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง โดยพระพุทธเจ้า ได้ทรงแสดง ลักษณะของนักสื่อสาร หรือนักพูดที่ดีไว้ ๔ ประการด้วยกัน ได้แก่ พูด แจ่มแจ้ง (อธิบายให้เข้าใจได้ชัดเจน) พูดจูงใจ (พูดจนคนยอมรับและอยากจะลงมือท า) พูดเร้าใจ (พูดให้เกิดความคึกคัก กระตือรือร้น) และพูดให้ร่าเริง (พูดให้เกิดความร่าเริง มีความหวัง ในผลดีและทางที่จะส าเร็จ) หลักผู้น าจากพระพุทธศาสนาประการที่สอง คือ หลักพรหมวิหาร ๔ ประการ ซึ่งถือเป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ผู้บริหารจะต้องมีอยู่ประจ าในจิตใจ เพื่อน าไปสู่การแสดงออก ที่ดีและเหมาะสม ส าหรับตัวผู้น า ถ้าสามารถแสดงออกได้อย่างดีและเหมาะสมแล้ว ก็จะ น าไปสู่ศรัทธาจากบุคคลต่าง ๆ ในองค์กร และท าให้สามารถน าพาทุกคนไปในทิศทาง เดียวกันได้พรหมวิหาร ๔ นั้นประกอบด้วย เมตตา ความเป็นมิตรไมตรีต่อผู้อื่น มีน้ าใจ ปรารถนาดีต่อผู้อื่น กรุณา คือ ความต้องการช ่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อน โดยเมื่อผู้อื่นมีทุกข์นั้นผู้น าจะต้องมีกรุณา ช่วยบ าบัดทุกข์ให้ มุทิตา คือ เมื่อพนักงาน เพื่อนร่วมงานมีความสุข ความส าเร็จมากขึ้น ผู้น าก็จะต้องพลอยยินดี ช่วย ส่งเสริมสนับสนุน และสุดท้าย คือ อุเบกขา คือ การรักษาความเป็นกลาง ไม่ล าเอียง ไม่เข้าข้างใดข้างหนึ่ง หลักพรหมวิหารสี่นั้นเป็นสิ่งที่ผู้น าควรจะยึดเป็นหลักธรรมในการ บรรจบ บรรณรุจิ, การจัดค าสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหมวดหมู: พระไตรปิฎก นิกาย และ วรรค, งานวิจัยสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์, (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕), หน้า ๔.


๖ บริหารงานเป็นประจ าวันทั่วไป โดยเฉพาะกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ กับองค์กร โดยเมื่อบุคคลอื่นมีปัญหา มีทุกข์ เดือดร้อน ผู้น าก็ต้องมีความกรุณาที่จะแก้ไข ปัญหา ในขณะเดียวกัน เมื่อบุคคลอื่นประสบความส าเร็จ มีความสุข ก็ต้องมีมุทิตา ที่จะ ช่วยส่งเสริมสนับสนุน และยินดีในความส าเร็จของผู้อื่น ในช่วงสถานการณ์ปกตินั้นก็ต้อง คอยดูแล เอาใจใส่ให้บุคคลต่าง ๆ ในองค์กรมีความสุขในการท างาน และสุดท้าย ในการ บริหารงานทุกอย่างผู้น าจะต้องมีและสามารถรักษาความเป็นกลาง ไม่ล าเอียงเข้าข้างใด ข้างหนึ่ง ซึ่งหลักของอุเบกขานั้นจะคุมเมตตา กรุณา มุทิตา ไว้อีกด้วย โดยการปฏิบัติหรือ ช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ก็จะต้องมีความเป็นกลาง ไม่ล าเอียง ปัจจุบันเรารับอิทธิพลในแนวคิด ทางด้านการบริหารจากโลกตะวันตกมามากขึ้น ท าให้เรามักจะละเลยการน าหลักธรรม ตามค าสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปรับใช้กับการน าองค์กรของเรา แต่จริงๆ แล้ว การ น าหลักธรรม ค าสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาปรับใช้กับการบริหารองค์กรนั้น น่าจะเหมาะ กับบริบทของประเทศไทยมากกว่าการน าหลักของตะวันตกมาใช้แต่เพียงอย่างเดียว๒ ๓.๒ ความหมายของผู้น าตามหลักทศพิธราชธรรม ทศพิธราชธรรม o ประการ คือ จริยวัตร ๐ ประการที่พระเจ้าแผ่นดินทรง ประพฤติเป็นหลักธรรม ประจ าพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจ าตนของผู้ปกครอง บ้านเมือง ให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความ ชื่นชมยินดี ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้จ าเพาะเจาะจงส าหรับพระเจ้าแผ่นดินหรือผู้ปกครอง แผ่นดินเท่านั้น บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในทุกองค์กรก็พึงใช้หลักธรรมทั้งสิบ เหล่านี้ . ทาน มีจิตในเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักแบ่งปัน คือ ผู้น าหรือผู้ปกครองต้องไม่มี ความอยากและความติดยึดในความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติ แต่จักต้องจ าหน่ายจ่ายแจก ความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัตินั้นเพื่อความเป็นอยู่ในการกินดีอยู่ดีของประชาชน ข้อนี้ก็ยัง มีหมายถึงการจัดสรรค่านิยมทางสังคมอย่างยุติธรรม อันจะส่งผลให้เกิดการกระจายความ มั่งคั่งไปทั่วทั้งทุกภาคส่วนของสังคม ๒. ศีล มีลักษณะทางศีลธรรมที่สูง คือ ผู้น าหรือผู้ปกครองอย่างน้อยต้อง รักษาศีล ๕ ให้ได้ กล่าวคือ ๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, (กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๕ ), หน้า ๒ .


๖๒ ( ) เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ให้มีเมตตาธรรมเสมอ (๒) เว้นจากการถือเอาทรัพย์สิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ให้มีการ ประกอบสัมมาชีพ เลี้ยงชีวิตชอบ (๓) เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ให้มีการสังวรในสิ่งที่คนอื่นรัก และหวงแหน (๔) เว้นจากการพูดปด ให้มีการพูดความจริง เรียกว่ามีสัจจะ (๕) เว้นจากการดื่มเครื่องดองของเมาทุกอย่าง ให้มีสติเสมอ ๓. ปริจจาคะ การเสียสละได้ทุกสิ่ง เพื่อความดีของประชาชน คือ ผู้น าหรือ ผู้ปกครองจักต้องเตรียมตัวที่จะเสียสละความสะดวกสบาย เสียสละชื่อเสียง เกียรติภูมิ ส่วนตนทุกสิ่งทุกอย่าง และแม้กระทั่งยอมเสียชีวิตเพื่อผลประโยชน์และความสุขของ ประชาชน ๔. อาชชวะ มีความชื่อตรงด ารงสัตย์ คือ ผู้น าหรือผู้ปกครอง จักต้องปลอด พ้นจากการกลัวหรือมีอคติใด ๆ ในการปฏิบัติหน้าที่การงาน จักต้องมีความจริงใจในการ ท างาน และจักต้องไม่หลอกลวงประชาชน ๕. มัททวะ มีความกรุณาและความสุภาพ คือ ผู้น าหรือผู้ปกครองจักต้องมี ความอ่อนโยนละมุนละไม ไม่ท าตัวเป็นคนแข็งกระด้างต่อคนอื่น แสดงตนออกมาในทาง กร่าง วางกล้ามจนถึงกลับน่าเกลียด ๖. ตปะ มีความแผดเผาจิตใจให้คลายจากความชั่ว คือ ผู้น าหรือผู้ปกครองจัก ต้องด าเนินชีวิตแบบง่าย ๆ จักต้องไม่ด าเนินชีวิตแบบฟุ้งเฟ้อ จักต้องรู้จักควบคุมตนเองใน เรื่องนี้ให้ได้ ๗. อักโกธะ ไม่โกรธ ไม่ประสงค์ร้าย ไม่เป็นปฏิปักษ์ คือ ผู้น าหรือผู้ปกครอง จักต้องไม่โกรธแค้น ไม่อาฆาตมาตรร้ายต่อผู้ใด ๘. อวิหิงสา การไม่ใช้ความรุนแรง คือ ผู้น าหรือผู้ปกครองจะต้องไม่เพียงแต่ จะไม่ท าร้ายผู้อื่นเท่านั้น แต่จักต้องพยายามส่งเสริมสันติภาพด้วยการงดเว้นการใช้ สงครามเป็นเครื่องมือในนโยบายต่างประเทศและป้องกันมิให้เกิดสงคราม ตลอดจนทุก สิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงและการท าลายล้างชีวิต ๙. ขันติ ความอดทน ความอดกลั้น ความเข้าอกเข้าใจผู้อื่น คือ ผู้น าหรือ ผู้ปกครองจะต้องมีความอดทนต่อความยากล าบากและรวมไปถึงการค าพูดด่าว่าแดกดัน ที่ออกมาจากปากของผู้อื่นให้ได้ o. อวิโรธนะ ความไม่ขัดขวาง ความไม่เป็นอุปสรรค คือ ผู้น าหรือผู้ปกครอง จักต้องไม่ขัดขวางเจตจ านงของประชาชน จักต้องไม่ขัดขวางมาตรการใด ๆ อันจะน าไปสู่ สวัสดิภาพของประชาชน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือจักต้องปกครองโดยสอดประสานเป็น


๖๓ อันหนึ่งอันเดียวกับประชาชนเท่านั้นหากประเทศชาติใดมีผู้น าหรือผู้ปกครองที่ปฏิบัติตาม หลักทศราชธรรม หรือ ทศพิธราชธรรมข้างต้น ก็เป็นที่หวังได้ว่าประเทศชาติบ้านเมืองนั้น ก็จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข หลักการที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อเลื่อนลอย เพราะใน อดีตก็เคยมีกษัตริย์หรือผู้น าหลายพระองค์/หลายคนที่สามารถปฏิบัติตามธรรมะนี้ได้ ส าเร็จ อย่างเช่น พระเจ้าอโศกซึ่งได้ทรงสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ในประเทศ อินเดียบนหลักการของทศพิธราชธรรมนี้๓ ๓.๓ หลักพุทธธรรมกับภาวะผู้น า ผู้น าตามหลักพุทธธรรม มีที่มาจากการเลือกสรรสมาชิกในสังคม โดยการมอบ อ านาจให้แก่บุคคลที่มีคุณสมบัติพิเศษ ต่างจากบุคคลอื่น เช่น มีผิวพรรณวรรณะดี มีร่างกายแข็งแรง นั่นหมายถึง ศักยภาพในการใช้อ านาจซึ่งเป็นพื้นฐานส าหรับปกครอง หมู่คณะ การใช้อ านาจตามที่ปรากฏในหลักพุทธธรรมมีวิธีการต่าง ๆ เพื่อสนองตาม วัตถุประสงค์ของการใช้อ านาจตามลักษณะตามผู้น า อ านาจจึงมิใช่สิ่งสมบูรณ์ในตัวเอง แต่เป็นวิถีทาง (Means) ไปสู่จุดหมาย (Purposes) จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยรวมของ มวลสมาชิก ดังนี้ . เพื่อท าลายอธรรม ความชั่วร้าย หรือ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากสมาชิก ในสังคม จึงมีการลงโทษเพื่อเป็นการหยุดยั้งความชั่วที่เกิดขึ้น ๒. เพื่อรักษาความเป็นธรรมของมวลสมาชิกในสังคม ถือเป็นแนวทางที่ดีงาม เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและสนับสนุนความถูกต้องในรูปของกฎระเบียบของสังคม ๓. เพื่อสร้างความสงบสุข และความเจริญให้เกิดขึ้นในสังคมทั้งทางวัตถุและจิตใจ อ านาจของผู้น า ตามที่ปรากฏในพุทธธรรม แสดงให้เห็นถึงที่มาอันส าคัญของ อ านาจดังกล่าวจากความยินยอม สละอ านาจของสมาชิกในสังคมนั้น ๆ ได้รับรองความชอบ ของอ านาจผู้น าสังคม จึงมีสิทธิ์ใช้อ านาจในฐานะผู้น า ดังปรากฏออกมาในรูปของการเมือง โดยเนื้อหาก็คือการบริหารท าให้เกิดความสงบและผาสุกในรูปการปกครอง โดยเนื้อหาก็ คือ การยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่มวลชน ดังนั้น อ านาจสิทธิ์ขาดและการยอมรับการใช้ อ านาจของผู้น า จึงเป็นสิ่งที่มวลสมาชิกได้ท าการตกลงร่วมกันแล้ว สิ่งที่ผู้น าปฏิบัติจะต้อง เป็นไปโดยชอบธรรม ค านึงถึงสมาชิกในสังคม ขณะเดียวกันก็มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่ มวลสมาชิก อ านาจดังกล่าวนี้จึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขส าคัญคือ ความเชื่อศรัทธาของสมาชิกที่ ๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต), ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคน พัฒนาประเทศ, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๕๖), หน้า ๓ -๓๒.


๖๔ มีต่อตัวผู้น าและการใช้อ านาจของผู้น าแบบต่าง ๆ จะเห็นว่า การใช้อ านาจของผู้น ามี ความเชื่อมโยงระหว่างความสัมพันธ์ของผู้น ากับมวลสมาชิกในสังคม ดังปรากฏข้อความว่า อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรสมมุติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ากล่าว ผู้ที่ควรว่ากล่าวได้ โดยชอบให้เป็นผู้ติเตียน ผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบให้เป็นผู้ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนพวกเราจัดแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ให้ผู้นั้น ดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นเมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันไปหาสัตว์ที่สวยงามกว่า น่าดูน่าชมกว่าและน่าเกรงขาม มากกว่าสัตว์ทุกตัว แล้วจึงแจ้งเรื่องนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญมาเถิดพ่อคุณ ขอพ่อว่ากล่าวผู้ ที่ควรว่ากล่าว จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน จงขับผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบเถิด ส่วนพวกข้าพเจ้า จักเฉลี่ยกันแบ่งส่วนข้าวสาลีให้พ่อ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะสัตว์ผู้นั้นและรับค า ของสัตว์เหล่านั้นแล้ว จงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว ติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ขับไล่ผู้ที่ควรขับ ไล่โดยชอบ ส่วนสัตว์เหล่านั้น ต่างก็เฉลี่ยแบ่งส่วนข้าวสาลี ให้แก่สัตว์ที่เป็นหัวหน้านั้น แม้ว่าผู้น าจะด ารงฐานะกษัตริย์ต้องฟังเสียงของประชาชนด้วย ดังตัวอย่างใน เวสสันดรชาดก จะเห็นได้จากการที่พระเวสสันดร ซึ่งขณะนั้นด ารงพระยศเป็นพระโอรส ของพระเจ้าสัญชัย กษัตริย์ พระราชทานพญาช้างคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พวกพราหมณ์ต่าง เมืองทั้ง ๙ คนที่มาของพญาช้างคู่บ้านคู่เมือง ท าให้ประชาชนเมืองสีพีทั้งหลายโกรธเป็น อันมาก พากันเข้ามาเฝ้าพระเจ้าสัญชัยทูลให้ขับไล่พระเวสสันดรพระราชโอรสออกนอก เมือง พระเจ้าสัญชัยก็ต้องท าตามดังใจความที่ชาวเมืองสีพีทูลแก ่พระเจ้าสัญชัยว ่า “พระองค์อย่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระเวสสันดรนั้นด้วยท่อนไม้หรือศาสตราเลยทั้งพระเวสสันดร นั้น ก็ไม่ควรแก่เครื่องพันธนาการ แต่จงทรงขับไล่พระเวสสันดรเสียจากแว่นแคว้น” จงไปอยู่ที่เขาวงกตเถิด ถึงแม้ว่าพระนางผุสดีซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสัญชัยจะทัด ทาน ดังที่ปรากฏในพระเวสสันดรชาดกว่า ข้าแต่มหาราชเพราะฉะนั้นเกล้ากระหม่อมฉัน ขอกราบทูลพระองค์ว่าประโยชน์อย่าได้ล่วงพระองค์ไปเสียเลย ขอพระองค์อย่าทรงขับไล่ พระราชโอรสผู้ไม่มีความผิดเพราะถ้อยค าของชาวนครสีพีเลย เราท าความย าเกรงพระ ราชประเพณี จึงขับไล่พระโอรสผู้เป็นชาวสีพี เราจ าต้องขับไล่ลูกของตน ถึงแม้จะเป็นที่ รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา การที่กษัตริย์หรือผู้น าที่ปกครองบ้านเมืองโดยธรรม จะสามารถใช้อ านาจนั้น ยาวนานและเป็นขวัญใจของอาณาประชาราษฎร จะได้รับการสดุดีถวายพระนามว่า “ราชา” ซึ่งหมายถึง ผู้ที่ยังชนให้สุขใจได้โดยธรรม ดังข้อความที่ปรากฏในพระสูตรกล่าว ยืนยันว่า ดูก่อน วาเสฏฐะและภารทวาชะ เพราะเหตุผู้ที่เป็นหัวหน้าสมมุติ ดังนี้แล อักษร ที่มหาชนสมบัติ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก เพราะเหตุที่เป็นหัวหน้ามหาสมบัติ ดังนี้แล อักษรที่ว่ามหาชนสมบัติ จึงอุบัติขึ้นเป็นอันดับแรก เพราะเหตุที่เป็นหัวหน้าเป็นใหญ่ยิ่ง


๖๕ แห่งแผ่นดินทั้งหลาย ดังนี้ และอักษรว่า “กษัตริย์” จึงอุบัติขึ้นอันดับที่สอง เพราะเหตุที่ผู้ เป็นหัวหน้ายังชนเหล่าอื่นให้สุขใจได้โดยธรรม ดังนี้แล อักษรว่า ราชา ราชาจึงอุบัติขึ้น เป็นอันดับที่สาม ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยประการดังนี้ การบังเกิดขึ้นแห่ง พวกกษัตริย์นั้นมีขึ้นได้๔ เนื่องจากอ านาจกษัตริย์ดังกล่าว เป็นไปในลักษณะการยินยอมพร้อมใจของ สมาชิกที่จะสละอ านาจส่วนบุคคลให้แก่ผู้น าคือกษัตริย์ ผู้มีอิสระในการใช้อ านาจในการ ปกครองได้เต็มที่เพื่อรักษาความชอบธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม แต่ก็ยังอยู่ในการควบคุมดูแล ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอ านาจเดิมเพราะถ้ากษัตริย์ประพฤติอธรรม หรือไม่มี คุณสมบัติพอก็จะถูกถอดถอนลงและหาผู้ที่เหมาะสมกว่าเป็นแทน การใช้อ านาจในทาง พระพุทธศาสนาต้องมีธรรมก ากับ เพราะความคิดทางพระพุทธศาสนายกย่องกษัตริย์ คุณธรรม เป็นธรรมราชาหรือกษัตริย์ผู้เอาชนะด้วยมากกว่ากษัตริย์ผู้ทรงปราบโลกด้วย ก าลัง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การปกครองของกษัตริย์ในพระพุทธศาสนามีอยู่อย่างเดียว คือ อ านาจธรรม จะเห็นได้ว่าพุทธธรรมที่ปรากฏในค าสอนส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับผู้น าและ สมาชิกในสังคมนั้น ได้เน้นถึงตัวผู้น า หรือผู้ใช้อ านาจในเชิงระบอบ แต่พุ่งเป้าไปที่ตัวผู้ใช้ อ านาจนั้น ประกอบกับการใช้อ านาจไปตามวัตถุประสงค์ หรือจุดหมายรวมกันของมวล สมาชิกจึงเป็นการอธิบายของคุณธรรม และการใช้อ านาจโดยธรรมลักษณะวิธีการใช้ อ านาจของผู้น าที่มีความเป็นใหญ่ตามหลักพุทธธรรม ได้แสดงออก เป็น ๓ ลักษณะของ การใช้อ านาจ ดังต่อไปนี้ . อัตตาธิปไตย (Supremacy of Self) หมายถึง การถือตนเองเป็นใหญ่ คือ ถือตนเองเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ เขาเชื่อมั่นตนเองสูงมาก คิดว่าตัวเองฉลาด กว่าใครจึงไม่รับฟังความคิดเห็นใคร เขาไม่อดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ เขานิยมใช้พระ เดชมากกว่าพระคุณ เมื่อบริหารงานนาน ๆ ไปจะไม่มีคนกล้าคัดค้านหรือทัดทาน ลงท้าย นักบริหารประเภทนี้มักเผด็จการ วิธีการบริหารแบบนี้ท าให้ได้งานแต่เสียคนนั่นคืองาน เสร็จเร็วทันใจนักบริหาร แต่ไม่ถูกใจคนร่วมงาน เขาผูกใจคนไม่ได้ เขาได้ความส าเร็จของ งาน แต่เสียเรื่องการครองใจคน ๒. โลกาธิปไตย (Supremacy of the World) หมายถึง การถือคนอื่น เป็นใหญ่ นักบริหารประเภทนี้ มีวิธีท างานที่ตรงกันข้ามกับประเภทแรก นั่นคือ นักบริหาร โลกาธิปไตยไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง เขาขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่สามารถตัดสินใจ อะไร ถ้านั่งเป็นประธานอยู่ในที่ประชุมเขาจะฟังทุกฝ่ายก็จริง แต่เมื่อฝ่ายต่าง ๆ พูด ๔ มิลินทปัญหา, พระไตรปิฎก พระสุตตันปิฎกสังยุตตนิกาย มหาวรรค เล่มที่ ๕ ภาคที่ ๒, มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๕ , หน้า ๒๐-๒ .


๖๖ ขัดแย้งกัน เขาจะไม่ตัดสินชี้ขาด แต่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายทุ่มเถียงทะเลาะกันเอง ใคร เสนอความคิดเห็นอะไรมาเขาเห็นคล้อยตามด้วย จนไม่ยอมตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่า ฝ่ายไหนถูกหรือผิดในที่สุดลูกน้องต้องวิ่งเต้นเข้าหานักบริหารประเภทนี้อยู่เรื่อยไป ผลลงเอยด้วยลูกน้องตีกันเอง เพราะนักบริหารไม่ยอมวินิจฉัยชี้ขาดว่าจะท าตามข้อเสนอ ของใคร อนึ่ง นักบริหารประเภทนี้ได้คน แต่เสียงานนั่นคือทุกคนเป็นคนของเขา เพราะเขาเป็นคนอ่อนไม่เคยต าหนิใครลูกน้องจะท างานหรือทิ้งงานก็ได้ เขาไม่กล้าลงโทษ เขาสุภาพกับทุกคน แต่องค์กรยังวุ่นวาย ไร้ระเบียบและไม่มีผลงาน ๓. ธรรมาธิปไตย (Supremacy of the Dharma) หมายถึง การถือธรรม หรือหลักการเป็นส าคัญ นักบริหารประเภทนี้ถือหลักการ ความจริง ความถูกต้อง ความดี งาม เหตุผลเป็นใหญ่กระท าการด้วยปรารภสิงที่ได้ศึกษาตรวจสอบตามข้อเท็จจริง และ ความคิดเห็นที่รับฟังอย่างกว้างขวางแจ้งชัดและพิจารณาอย่างดีที่สุด เต็ม ขีดแห่ง สติปัญญาจะมองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า เป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อความดีงาม เป็นปริมาณอย่างสามัญ ได้แก่ ท าการด้วยความเคารพหลักการ กฎ ระเบียบ กติกา๕ วิธีการใช้อ านาจของผู้น า ไม่ว่าจะด ารงอยู่ต าแหน่งใดถือเป็นผู้ที่มีฐานะสูงกว่า สมาชิกในแง่ของอ านาจ และการใช้อ านาจคือ คุณธรรมและความชอบธรรมที่มีรากฐาน มาจากความศรัทธาของสมาชิกต่อตัวผู้น า คือคุณธรรมของความเป็นผู้น า หรือภาวะที่ แสดงถึงความเป็นผู้น าที่ดีที่พึงประสงค์ ขณะเดียวกัน สมาชิกก็จะต้องได้รับประโยชน์ ตามจุดหมายที่ได้ตกลงกันไว้อันเป็นความผาสุกของชีวิต ฉะนั้น ลักษณะวิธีการใช้อ านาจ ที่ถูกต้องชอบธรรม จึงขึ้นอยู่กับเกณฑ์แห่งธรรมทั้งผู้น าและมวลสมาชิก ที่ต้องประสานให้ สอดคล้องสมดุลกันในทุก ๆ บริบทของสังคมชุมชนผู้ที่จะเป็นผู้น าสังคมที่ดี ต้องเข้าใจใน กฎเกณฑ์หรือหลักอันเป็นธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้น เริ่มต้นด้วยการศึกษาตัวเองก่อนว่ามี จุดอ่อน จุดแข็ง ข้อดีและข้อเสียอย่างไร เช่น การที่เป็นผู้น าแบบอัตตาธิปไตย (Autocratic Leaders) ในแง่ที่ถือตัวเองเป็นใหญ่ มีความเชื่อมั่นยึดมั่นในตัวเองมากไม่ยอมรับฟังความ คิดเห็นจากใคร ผลลัพธ์ที่ออกมาคือการท างานล้มเหลวหรือ ไม่ได้รับความร่วมมือจาก ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจจะท างานได้บ้างแต่ก็ไม่ดีเท่าที่ควร ก็จะต้องวิเคราะห์หรือพิจารณาที่ ตัวเองเป็นปัจจัยภายในก่อนมิใช่จะคอยมุ่งที่จะจับผิดผู้อื่นโดยมิได้พิจารณาว่าตัวเองตั้งมั่น สิ่งที่ควรแล้วเพียงใด ในกรณีนี้เมื่อเข้าใจตัวเองแล้วว่าเป็นผู้น าแบบอัตตาธิปไตยอุปทาน ๕ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), โลกทัศน์ชาวพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๙- ๐.


๖๗ แล้ว ก็คือความยึดมั่นถือตัวตนเองอย่างสูง (The Ego belief) มากเกินไปใจแคบไม่ ยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น จนขาดลักษณะความเป็นผู้น าที่ดีในแง่ที่จะต้องมีจิตใจ กว้าง ไม่ปฏิเสธที่จะรับฟังความคิดใหม่ ๆ (Open minded) เมื่อผู้น าเข้าใจดังนี้แล้ว จะ เป็นวิธีการใช้อ านาจของผู้น าที่พึงประสงค์ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือมวลสมาชิกใน สังคม๖ ๓.๔ ผู้น าการศึกษายุคใหม่ตามแนวพุทธ แนวคิดเกี่ยวกับลักษณะการท างานของภาวะผู้น ายุคใหม่ตามหลักพุทธธรรมมี วิธีการท างานของผู้น าแบบต่าง ๆ มีความแตกต่างกันไม่ว่าผู้น านั้นจะปฏิบัติงานหรือแสดง พฤติกรรมออกมา โดยอาศัยหลักของการท างานแบบใดก็ตาม ใช้วิธีการที่ยึดสถาบันเป็น หลัก (The Nomothetic Leaders) ยึดตัวบุคคลเป็นหลัก (The Ideograph Leaders) ผู้น าแบบอาศัยแรงจูงใจ (The Persuasive Leaders) และผู้น าที่อาศัยการประสาน ประโยชน์ วิธีการท างานย่อมยังผลให้เกิดงานและกิจกรรมต่าง ๆ วิธีการท างานของผู้น า แบบยึดสถาบัน จ าเป็นต้องมีกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อประสิทธิภาพของการท างานของ หน่วยงานหรือสังคม ต่างจากผู้น าแบบยึดตัวบุคคลจ าต้องอาศัยความสามารถ ลักษณะ พิเศษเฉพาะด้านบุคคล ผู้น าแบบประสานประโยชน์ มุ่งที่ประสิทธิภาพของการท างาน โดยการปรับองค์กรในหน่วยงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด วิธีการท างานของผู้น าตามหลักธรรมได้แสดงออกมาหลายรูปแบบ ไม่ตายตัว แต่ได้อาศัยหลักส าคัญเสมือนเป็นเป้าหมายโดยรวม คือ ธรรม ได้แก่คุณธรรมของผู้น า และคุณธรรมของมวลสมาชิก มุ่งไปสู่ความเป็นผู้มีธรรม ดังหลักส าคัญในการท างานของ ผู้น า ๖ ประการ ได้แก่ . ความอดทน (ขันติ) ๒. ความตื่นตัว (ชาคริยะ) ๓. ความขยันหมั่นเพียร (อุฏฐานะ) ๔. อัธยาศัย เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ (สังวิภาค) ๕. จิตใจเอ็นดู (ทยา) ๖. เอาใจใส่ตรวจตรา (อิกขนา) อาจกล่าวได้ว่า เป็นวิธีการท างานตามเงื่อนไข หรือลักษณะงาน ที่มุ่งประโยชน์ ส่วนรวมเป็นส าคัญมิตายตัวอยู่กับโครงสร้างของสังคม ตามแนวคิดของ Hersey และ ๖ พระครูสิริจันทนิวิฐ (บุญจันทร์ เขมกาโม), ภาวะผู้น าเชิงพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: นิติธรรม การพิมพ์, ๒๕๕๘), หน้า ๒.


๖๘ Boa chard อธิบายลักษณะของผู้น าเชิงโครงสร้าง ในลักษณะที่นักสังคมวิทยาอย่าง Murray G.Rross และ Charles Hendry ท่านได้กรุณาอธิบายถึงคุณลักษณะของความ เป็นผู้มีภาวะผู้น าว่า จะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์(Situations)๗ แนวคิดวิธีการใช้อ านาจของนักการศึกษาตามหลักพุทธธรรม . หลักอัตตาธิปไตย หมายถึง ผู้ที่ปรารภความเดือดร้อนที่ตนเองได้รับเมื่อครั้ง ยังอยู่ในฐานะประชาชน เมื่อได้โอกาสมาท างานการเมืองรับใช้ประชาชน ก็จะใช้อ านาจ การเมืองที่ตนเองได้รับการบ าบัดทุกข์บ ารุงสุขให้ราษฎร เนื่องจากก่อนมาเป็นนักการเมือง (Politicians) เป็นผู้ที่ค้นพบสัจธรรมความจริงแท้ มีลักษณะกล่าวคือ . เห็นทุกขเวทนาที่เกิดจาก ความเกิด (ชาติ) ความแก่ (ชรา) ความตาย(มรณะ) .๒ เห็นทุกขเวทนาที่เกิดจากการดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ แม้จะถูกความ ทุกขเวทนาทั้งสองเบียดเบียนอยู่ ก็สามารถด ารงตนท ามาหากินด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ได้ แต่กลับประสบทุกข์ .๓. การรีดนาทาเร้นจากผู้บริหารบ้านเมืองโดยมิชอบ ก็เพราะทุกขเวทนาทั้ง ๓ นี้เอง ที่บีบคั้นให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร บ้านเมือง ที่มาเล่นการเมืองจึงมิได้หวังเพื่อมากอบโกย คดโกงใครแต่ตั้งใจมาท างาน การเมืองเพื่อท าให้ประชาชนและอกุศล ท าแต่กุศลกรรมต าแหน่งทางการเมืองที่ได้มานี้ จะน ามาเป็นอุปกรณ์ในการสร้างบุญสร้างกุศลคุณงามความดี เพื่อให้บังเกิดความสงบสุข ร่มเย็นแก่ประชาราษฎรเมื่อได้แนวคิดและวิธีการใช้อ านาจทางการเมือง จึงควรใช้หลัก ดังนี้ มีความเพียร ท างานให้ประสบผลส าเร็จโดยไม่ย่อท้อหวั่นเกรงต่ออุปสรรค ขวากหนามมุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหาราษฎร มีสติแน่วแน่ แก้ไขงานที่ได้รับมอบหมายอย่างครบถ้วน รอบคอบไม่แสวงหา ผลประโยชน์ไม่ลืมเลือนตน ไม่บ้ายศ ไม่บ้าอ านาจ ไม่มีความล าเอียง ไม่ปล่อยปละละเลย งานที่รับผิดชอบทุ่มเทก าลังกาย ก าลังใจ ทุกหยดทุกหยาดเพื่อประชาชน เพราะตระหนัก รู้ว่าประชาชนฝากความหวัง เหมือนครั้งก่อน ๆ ที่ตนเคยฝากความหวังไว้กับนักการเมือง มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมทั้ง ๘ คือ ลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ สุข ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์ ๒. หลักโลกาธิปไตย นักการศึกษาที่ถือโลกเป็นใหญ่ จึงเป็นผู้ที่ค านึงถึงหลัก ดังต่อไปนี้ ๗ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕ ), หน้า ๒๐.


๖๙ ความลับไม่มีในโลก โกหกคนอื่นได้แต่โกหกตนเองไม่ได้ อย่าดูถูกตนเอง บุคคลที่ มีศักยภาพในการท าความดี แต่ไม่ท า ซ้ ากลับไปท าความชั่ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้ดูหมิ่นตนเอง การปกปิดความชั่วที่ตนเองท าไว้ ทวยเทพเทวดาพรหมย่อมรู้เห็น มนุษย์ผู้มีปัญญาก็รู้เห็น รู้เท่าทัน จึงไม่ควรคิดว่าประชาชนไม่รู้ ร้ายที่สุดคนที่มีส่วนร่วมท าความชั่วก็รู้ ถ้าวันใดเขา เปลี่ยนใจพลิกลิ้นเปิดเผยความจริงขึ้นมาความชั่วก็ย่อมปรากฏต่อสาธารณะชนโดย กฎเกณฑ์ตามหลักสมมติสัจวาจา โลกาธิปไตยนี้ เป็นหลักธรรมเตือนสติให้นักการศึกษาทั้งหลายใช้ปัญญาวิเคราะห์ ปัญหา คิดอะไรก็ให้รอบคอบด้วยความสุขุมเยือกเย็นไม่ประมาทในความคิดของผู้อื่นแต่ ห้ามใช้ปัญญาความรอบรู้โดยขาดสติ ๓. หลักธรรมาธิปไตย นักการศึกษา ที่ยึดธรรมาธิปไตยเป็นผู้ที่เยือนตนเองว่าท า อะไรจะยึดถือกฎเกณฑ์ มิใช่กฎเรา โดยการเลี่ยงบาลีเอาสีข้างเข้าถู ที่ส าคัญระลึกเสมอว่า เราอาจหลีกเลี่ยงกฎหมาย กฎเกณฑ์กติกาของสังคมได้ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นกฎเหล็กของวัฏฏสงสารได้ กฎหมาย กฎของสังคมอาจปรับเปลี่ยนได้ แต่กฎแห่ง กรรมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เมื่อละเมิดกฎแห่งกรรมก็ต้องได้รับ วิบากผลของกรรม เพราะฉะนั้นจะท าอะไร ถ้านึกถึงกรรมดีกรรมชั่วก็จะเพียรละกรรมที่มี โทษ จึงควรรักษาตนให้บริสุทธิ์ บ าเพ็ญกุศลกรรม เมื่อมาท างานการเมืองจึงควรยึดหลัก กฎแห่งกรรม มิใช่เอาพวกมากลากไป แต่ให้เอาความดีและศีลธรรมน าประเทศไปยังรัฐ ธรรมาภิบาล (Good Governance) จึงจะประสบความเจริญรุ่งเรืองนักการศึกษาที่ยึด ธรรมเป็นใหญ่ จึงเป็นผู้ประพฤติตามกฎระเบียบประเพณี โดยเฉพาะกฎแห่งกรรม ต้องยึดถือเป็นหลักในการด าเนินชีวิตเป็นส าคัญ๘ ความหมายในธรรมะข้อนี้หมายถึง ให้ผู้น าปรารภตัวเองว่าในเมื่อได้ตั้งใจที่จะ บ าบัดทุกข์บ ารุงสุข ให้ประชาชนเกิดความร่มเย็นเป็นสุขก็ต้องใช้หลักทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นธรรมะส าหรับผู้ที่จะเป็นผู้น าทุกคน เพราะการเป็นผู้น าก็คือ การมีโอกาสได้สร้าง ความดีเหนือกว่าคนอื่น ในการสะสมบารมีให้สูงยิ่งขึ้นไป เมื่อมีโอกาสจะได้ท าบุญถวาย มหากุศลแล้วท าไมจะเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายอันสูงยิ่งกว่าคนธรรมดา ธรรมข้อนี้ เป็นข้อคิดที่บรรดาผู้น าทั้งหลาย จะได้ยึดถือเป็นต้นแบบแห่งการใช้ หลักธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักในการด ารงชีวิต ตั้งเป้าหมายในชีวิต ให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป เป็นยุทธศาสตร์ในการบริหารและปฏิบัติตนเจริญรอยตามพระบรม ศาสดา ๘ พระภาวนาวิริยคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล), รัฐศาสตร์เชิงพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: ดอกหญ้า กรุ๊ป, ๒๕๕๙), หน้า ๙-๒๐.


๗๐ ความหมายของพระสูตรนี้ มีความลึกซึ้งที่ทรงสอนให้มนุษย์ใช้สติน าหน้า ใช้ปัญญาเป็นตัวปฏิบัติ และใช้ธรรมะเป็นหลักยึดไม่ให้ซวนเซหรือ ล้มลง ตรงกับค าพูดที่ เรียกว่า “สติปัญญา” ซึ่งเท่ากับเป็นการเตือนมนุษย์ให้มีสติก่อนที่จะใช้ปัญญาเพราะ เหตุร้ายและความผิดพลาดในโลกนี้ที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากการใช้ปัญญาเป็นตัวน าหน้าใช้ ความเก่งความกล้าความสามารถโดยไม่ได้ใช้สติไตร่ตรองก่อน ไม่สงบในโลกนี้เกิดขึ้นก็เกิดจากเหตุนี้แหละ การใช้ปัญญาความรู้รอบในทางไม่ ชอบเพื่อน าหน้าในการแข่งขันในการท าการค้า ในการรุกราน ครอบครองดินแดน ในการ ติดยึดความเจริญทางวัตถุ การแข่งขันทางวัตถุ การใช้ดัชนีตัวเลขเป็นตัวชี้วัดความส าเร็จ ทางการเมือง ความส าเร็จทางเศรษฐกิจ ความส าเร็จทางธุรกิจ สิ่งที่เป็นความไม่สงบใน โลกนี้เกิดขึ้นก็เกิดจากเหตุนี้แหละ สิ่งที่มนุษย์ทั้งโลกโดยเฉพาะผู้ยิ่งใหญ่ขาดก็คือ สติซึ่ง เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งใจ และที่ส าคัญคือการขาดธรรมะของพุทธองค์เป็นหลักเป็นแก่นใน การตัดสินใจ เป็นเกาะยึดของจิตใจไม่ให้ไขว้เขวตกต่ า ผู้น าของประเทศของโลกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปด้วยความสามารถ ปัญญาเฉียบ แหลมจะมีประโยชน์อะไร ถ้าขาดสติหรือเสียสติ และไม่ยึดหลักธรรมในการปกครอง บริหารประเทศความส าเร็จที่ได้มาไม่ว่ายุคใดสมัยใด ถ้าขาดองค์ประกอบดังกล่าวนี้จะ เป็นความส าเร็จที่ไม่ยั่งยืนย่อมสามารถเสื่อมสลายได้ ยิ่งเจริญสูงส่งทางด้านวัตถุขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสเสื่อมสลายเร็วขึ้นเท่านั้น หากสังคมมนุษย์ไม่ด ารงอยู่ในหลักพุทธธรรม ก็ไม่ สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมมนุษย์ได้ เพราะหลักพุทธธรรมนั้นจะด าเนินการ แก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมมนุษย์ ด้วยเหตุผลและสติปัญญาอย่างยั่งยืน๙ ๓.๕ ความสัมพันธ์ของภาวะผู้น าการศึกษาและวิชาชีวิตในยุคใหม่ การก้าวสู่การเป็นผู้น าที่ดีอย่างที่ทุกองค์กรต้องการ ไม่ว่าจะเป็นประเทศ กองทัพ วงออเครสตร้า หรือแม้แต่หน่วยสังคมเล็ก ๆ อย่างครอบครัว ก็ล้วนแล้วแต่ต้องการ “ผู้น า (Leader)” ที่ดีที่จะพาทุกคนไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ องค์กรก็เช่นกัน การมีผู้น าที่ดีไม่ ว่าจะเป็นระดับสูงหรือแม้แต่ระดับหน่วยย่อยอย่างแผนกก็ย่อมพาองค์กรให้ประสบ ความส าเร็จได้ดีขึ้นด้วย นับจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันบนโลกใบนี้มีผู้น าเกิดขึ้นมากมาย แน่นอนว่ามันมีทั้งดีและแย่ หลายคนถูกสรรเสริญเยินยอในความสามารถ หลายคนถูก ๙ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพ์ครั้งที่ ๓๙, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๔.


๗ ประณามในความไร้ประสิทธิภาพ หลายคนกลายเป็นตัวอย่างผู้น าที่ดี ขณะที่หลายคน กลายเป็นผู้น าที่โลกไม่จดจ า ๐ ความเป็นผู้น านั้นคือ พฤติกรรม การกระท า รวมไปถึงวิสัยทัศน์ ไม่ใช่เรื่อง ของต าแหน่งหน้าที่แต่อย่างใด นั่นเป็นหนึ่งในโคตรค าพูดดี ๆ เกี่ยวกับการเป็นผู้น าที่ เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ แต่ส าหรับโคตรนี้มันแฝงไปด้วยพื้นฐานของความเป็นจริงไม่ว่าจะใช้ กับวงการไหนก็ตาม จริงอยู่ว่าผู้น าหลายต่อหลายคนได้รับการแต่งตั้งให้มีต าแหน่งเพื่อที่จะได้แสดง ศักยภาพของตน แต่ก็ใช่ว่าผู้ที่ได้รับต าแหน่งในการเป็นผู้น าจะมีความเป็นผู้น าที่ดีเสมอไป ในทางตรงกันข้ามผู้น าบางคนอาจกลายมาเป็นผู้น าได้เพราะพฤติกรรมและการกระท า ของตนที่ท าให้ผู้ตามเกิดความเชื่อถือและไว้ใจ และบางครั้งเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีต าแหน่ง ใด ๆ เลย การท างานองค์กรก็เช่นกัน ภาวะผู้น านั้นอาจเกิดขึ้นได้ทั้งสองรูปแบบพร้อม ๆ กัน แต่สิ่งส าคัญอาจอยู่ที่ว่าผู้น านั้นมีศักยภาพในการท างานให้ส าเร็จรวมถึงสามารถครอง ใจให้ผู้ตามหรือลูกน้องยอมรับนับถือได้มากเพียงไร บ่อยครั้งที่ความล้มเหลวเกิดขึ้นจากการขาดผู้น าที่มีประสิทธิภาพ แล้วบ่อยครั้งที่ การก้าวขึ้นเป็นผู้น าก็ไม่ได้มาจากความเหมาะสมเสมอไป การขึ้นมาเป็นผู้น าด้วยภาวะที่ ไม่เหมาะไม่ควรหรือขาดคุณสมบัติ ในการเป็นผู้น าที่ดีนั้นย่อมน ามาซึ่งปัญหานานับประการ ท าให้การท างานไม่มีประสิทธิภาพได้ในที่สุด หรือแม้แต่การน าพาเดินไปผิดทาง ซึ่งแน่นอน ว่ามันจะน ามาซึ่งผลลัพธ์ที่แย่ตามมาด้วย ดังนั้นการเลือกผู้น าควรพิจารณาให้ดี และไม่ ควรเลือกผู้น าจากภาวะดังต่อไปนี้ ๑) ภาวะความอาวุโส องค์กรในยุคก่อนมักให้ความส าคัญกับความอาวุโสเป็น หลัก มักมีความเชื่อว่ายิ่งอายุมาก ยิ่งแก่ประสบการณ์ ยิ่งเหมาะแก่ต าแหน่งที่สูงขึ้น หรือ เหมาะที่จะเป็นผู้น า หลายองค์กรก็เลยขยับต าแหน่งจากความอาวุโสและอายุการท างาน แต่ภาวะความเป็นผู้น าที่ดีนั้นก็ไม่ได้มาจากเรื่องอายุหรือประสบการณ์เสมอไป แต่อีกมุม หนึ่งก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าอายุและประสบการณ์ก็มีส่วนท าให้คนก้าวขึ้นมาเป็นผู้น าได้ ดีกว่าเช่นกัน ทั้งนี้ต้องดูความเหมาะสมในการเป็นผู้น ามากกว่าพิจารณาตามความอาวุโส ๒) ภาวะอ านาจ จริงอยู่ที่ผู้น านั้นควรสามารถปกครองผู้อื่นได้ แต่การขึ้นมา เป็นผู้น าโดยใช้อ านาจ บังคับ กดขี่ ก็อาจไม่ใช่ผู้น าที่ดีเสมอไป การขึ้นมาเป็นผู้น าได้ เพราะอ านาจแต่ไม่ได้ขึ้นมาจากความสามารถนั้นอาจน าไปสู่สถานการณ์แย่ ๆ ก็เป็นได้ หรือผู้น าที่ได้มาด้วยการบีบบังคับให้คนอื่นยอมรับก็อาจเป็นผู้น าที่นักเลงมากกว่าการเป็น ผู้น าที่มีประสิทธิภาพในการท างานให้ส าเร็จ ๐Bass. B.M. and Avolio B.J. Transformational Leadership Development, (Californian: Consulting Psychologists Press, 2020), P 31.


๗๒ ๓) ภาวะความรับผิดชอบ ในสังคมเรามีคนที่มีนิสัยขาดความรับผิดชอบอยู่ ในสังคมค่อนข้างเยอะ บางครั้งการเลือกผู้น าจึงมักเกิดความเกี่ยงงอนกัน เพราะมองว่าจะ มีภาระให้รับผิดชอบตามมาอีกมากมาย การเลือกผู้น านั้นก็ไม่ใช่จะไปโยนความรับผิดชอบ ให้ใครโดยที่ไม่มีใครอยากรับ เพราะหากมาเป็นผู้น าโดยความไม่ชอบตั้งแต่ต้นแล้ว ก็อาจ ท าให้การปฏิบัติติหน้าที่ย่ าแย่ได้ ๔) ภาวะทุจริต หลายคนมีความกระหายอยากจะเป็นผู้น ามาก เพราะผล พลอยได้ที่ตามมานั้นมีมากมาย อย่างน้อยก็ช่วยส่งเสริมประวัติของตนเองที่ดี หลายคนจึง มักใช้เงินซื้อต าแหน่ง ใช้การคอรัปชั่น ใช้การทุจริตต่าง ๆ นานา เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่ง ต าแหน่งหรือการเป็นผู้น า หากเราได้ผู้น าที่ไม่ซื่อสัตย์ แน่นอนว่าเขาอาจใช้ต าแหน่งหรือ ความเป็นผู้น าไปในทางที่ผิดได้ เกิดผลเสียกับองค์กรได้ ๕) ภาวะเสี่ยงดวง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ตลก แต่ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เสมอ ๆ เมื่อเลือกผู้น าไม่ลงตัว ก็สรุปจบโดยการเสี่ยงดวงรูปแบบต่าง ๆ อย่างเช่น การจับ ฉลาก, จับไม้สั้นไม้ยาว, หรือแม้กระทั่งเป่ายิงฉุบ การเสี่ยงดวงนี้ไม่ใช่เรื่องดีหรือเหมาะสม เสมอไป หากเป็นงานที่ต้องการผู้น าที่เก่งและดี การสุ่มเลือกโดยวิธีนี้ท าให้เราไม่รู้เลยว่า จะได้คนแบบไหนมาเป็นผู้น า ๖) ภาวการณ์เป็นคนตามใจคนอื่น ลูกน้องหลายคนมีนิสัยขี้เกียจ หรือ เจ้านายบางคนก็ไม่อยากได้ลูกน้องที่ขยันจนเพิ่มงานให้ตัวเอง ก็อาจเลือกผู้น าที่มีความ เป็นผู้ตาม ตามใจคนอื่นไปเสียหมด ใครว่าอะไรก็ว่าตามกันไป ยอมเพื่อที่จะไม่ให้เกิด ความขัดแย้ง ก็อาจท าให้เป็นผู้น าที่ไม่เหมาะสม ไม่มีภาวะผู้น าที่ดี หรือบางครั้งผู้น าที่ ตามใจลูกน้องไปเสียทุกเรื่อง หลายคนอยากได้ผู้น าแบบนี้ เพราะจะได้ตามใจในสิ่งที่ตน อยากท า แต่ผู้น าที่ไม่มีหลักยึดเป็นแกนของตัวเอง หรือท าตามแต่ใจผู้อื่นตลอดเวลา ก็อาจท าให้เกิดปัญหาในการบริหารได้ ๗) ภาวะเสียสละ นิสัยคนไทยมักขาดความกล้า หรือไม่อยากท าตัวเด่นเดี๋ยว จะเป็นภัย บ่อยครั้งที่มีการเลือกผู้น ากลุ่มจากการเสนอตัวจึงมักไม่มีใครกล้าเสนอตนเอง ในขณะเดียวกันก็มีหลายครั้งในสถานการณ์นี้ที่มีคนเสนอตนเองเสียสละในการเป็นผู้น า การเสียสละนี้ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป หากผู้เสียสละไม่มีความสามารถจริง ๆ ก็ท าให้การเป็น ผู้น าไม่เป็นผล ผู้ที่เสียสละแล้วไม่มีภาวะผู้น าที่จะน าทีมได้ ก็ยิ่งท าให้สถานการณ์โดยรวม เกิดความย่ าแย่ได้เช่นกัน ๘) ภาวะท างานเก่ง บางครั้งคนที่เก่งก็ไม่ใช่คนที่เหมาะจะเป็นผู้น าเสมอไป ต้องท าความเข้าใจว่าผู้น านั้นไม่ได้เอาความสามารถในทักษะมาเป็นหลัก แต่ต้องเอา ความสามารถในการบริหารจัดการคน ควบคุมดูแลลูกน้อง ตลอดจนบริหารงานให้เกิด ประสิทธิภาพไปพร้อมกันด้วย การที่เลือกจากคนที่เก่งอย่างเดียวแต่ไม่มีภาวการณ์เป็น ผู้น าเลยก็อาจท าให้งานเสียกระบวน เป็นผลเสียแทนผลดีก็ได้


๗๓ ๙) ภาวะบุคลิกภาพดีแน่นอนว่าหลายคนชอบผู้น าที่มีบุคลิกภาพดี น่าเชื่อถือ แต่หากขาดความสามารถในการท างาน ก็ท าให้การเป็นผู้น านั้นล้มเหลวได้ หรืออาจเป็น แค่ผู้น าหุ่นเชิดของผู้อื่น การเลือกผู้น านั้นไม่ควรดูที่บุคลิกลักษณะภายนอกเพียงอย่าง เดียว แต่ให้มุ่งไปที่ศักยภาพของการเป็นผู้น าที่แท้จริงมากกว่า เพราะคนที่มีความสามารถ จะเป็นผู้น าที่มีศักยภาพได้ในที่สุด คุณสมบัติของผู้น าที่ดีไม่ใช่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้น าได้เสมอไป แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเรียนรู้ตลอดจนพัฒนาตนเองให้เปิดผู้น าไม่ได้ ทุกโอกาสสามารถเกิดขึ้น ได้เสมอ ทุกคุณสมบัติก็สามารถที่จะเรียนรู้และน ามาใช้ได้เช่นกัน แล้วการเป็นผู้น าที่ดีนั้น ก็ควรมีคุณสมบัติเหล่านี้ ๑) ต้องมีผู้ตามที่ดี มีคนกล่าวเสมอว่าการที่จะเป็น “ผู้น า” ได้ย่อมต้อง มี “ผู้ตาม” เสมอ เพราะการเป็นผู้น าไม่ได้อยู่หรือท างานเพียงคนเดียว ผู้น าที่สร้างความ น่าเชื่อถือ ท าให้คนอื่นเคารพนับถือ หรือยอมเชื่อฟังได้ ก็ย่อมมีสภาวะผู้น าที่ดี และเมื่อมี ผู้ตามที่ดี มีความสามารถ ก็จะสะท้อนได้ว่าเป็นผู้น าที่ดี มีความสามารถ ได้เช่นกัน ๒) สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นได้ ผู้น าต้องสามารถสร้างแรงบันดาลใจ ตลอดจนกระตุ้นให้คนอื่นเกิดแรงใจในการท างานได้ สามารถที่จะผลักดันให้งานนั้น ก้าวหน้าได้ดี และท าให้งานประสบความส าเร็จได้ง่ายขึ้นด้วย ผู้น าที่สามารถสร้างแรง บันดาลใจที่ดีให้กับผู้ตามได้ จะท าให้ผู้ตามเกิดความเชื่อมั่น ท างานได้อย่างไม่กังวล และ มีคนอยู่เคียงข้างเขาเสมอ ๓) ต้องเป็นผู้ตามที่ดี การเป็นผู้ตามที่ดีย่อมท าให้เข้าใจการเป็นบทบาทผู้น า ที่ดีได้เช่นกัน การเป็นผู้ตามมาก่อนจะท าให้เข้าใจฐานะเบื้องล่าง เมื่อก้าวไปสู่ความเป็นผู้ น้ าก็จะเข้าใจผู้ตามได้มากขึ้น ตัดสินใจอะไรให้เหมาะสมกับทุกฝ่ายได้ ขณะเดียวกันการ เป็นผู้ตามที่ดีก็อาจหมายถึงการรับฟังที่ดีด้วย หากลูกน้องเสนอในสิ่งที่ดีกว่า แก้ปัญหาได้ มากกว่า การเป็นผู้ตามที่ดี รับฟังคนอื่น จะท าให้เราน าทางเลือกที่ดีกว่ามาปฏิบัติให้เห็น ผลดีได้ แต่หากเราไม่ยอมที่จะเป็นผู้ตาม เอาความคิดของตนเองเป็นใหญ่ ก็อาจมองไม่ เห็นหนทางอื่นที่ดีกว่า เพราะปิดกั้นตั้งแต่ต้น ๔) มีเป้าหมายที่ชัดเจน ผู้น าที่ดีควรมีการวางเป้าหมายเป็น และชัดเจนใน เป้าหมาย ผู้น าที่มีเป้าหมายชัดเจนจะสามารถสื่อสารกับลูกน้องให้มองเห็นเป้าหมาย เดียวกันได้ และน าลูกน้องไปสู่เป้าหมายได้ดี ประสบความส าเร็จในการบรรลุเป้าหมาย ผู้น าที่ขาดเป้าหมายที่ชัดเจน ก็เหมือนเรือที่แล่นอยู่ในมหาสมุทรอย่างไร้จุดหมายและ ทิศทาง ๕) สร้างให้เกิดความร่วมมือ การท างานเป็นทีมนั้นส าคัญ การเป็นผู้น าที่ดี นั้นควรสามารถสร้างให้ทุกคนเกิดความร่วมมือกันได้ เมื่อทุกคนร่วมแรง ร่วมใจ ร่วมมือ ก็จะท าให้การท างานประสบความส าเร็จได้ หากผู้น าที่มีแต่การบ้าอ านาจ ไม่มีพลังในการ


๗๔ สร้างความร่วมมือ การท างานก็จะไปคนละทิศคนละทาง ไม่มีทิศทางร่วมที่ชัดเจน ความส าเร็จก็เลือนรางไปได้ ๖) มีวิสัยทัศน์และรักการเรียนรู้สิ่งใหม่ ผู้น าที่ดีนอกจากจะมีเป้าหมายที่ ชัดเจนแล้วควรมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล การมีวิสัยทัศน์ที่ดีและกว้างไกลนั้นจะท าให้สามารถ น าทีมตลอดจนพาลูกน้องไปในทิศทางที่ดีและเหมาะสมได้ เห็นอนาคตที่ไกลว่า และท า ให้ทีมก้าวหน้าได้ไกลกว่า ผู้น าที่ขาดวิสัยทัศน์ก็อาจท าให้การท างานของทีมย่ าอยู่กับที่ได้ หรือการท างานไม่เกิดประโยชน์ในระยะยาว หรือแม้แต่มองไม่เห็นหนทางในการพัฒนา ตลอดจนท าสิ่งที่ตนรับผิดชอบอยู่ให้ประสบความส าเร็จหรือดีขึ้นได้ การเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ก็ท าให้เราค้นพบวิธีการท างานใหม่ๆ ค้นพบวิธีการแก้ปัญหาใหม่ๆ ผู้น าที่รักการค้นหาสิ่ง ใหม่ๆ ตลอดเวลา เปิดรับความรู้แบบไม่จ ากัด รักที่จะเรียนรู้อย่างสม่ าเสมอ ก็ย่อมท าให้ เกิดการพัฒนาตัวเองและรักความก้าวหน้าอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็จะช่วยบริการงาน ตลอดจนท าให้ผู้ตามเปิดโลกใหม่ๆ ได้เสมอเช่นกัน ๗) กล้าเปลี่ยนแปลง หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของผู้น าก็คือการกล้าเปลี่ยนแปลง ไปสู่สิ่งใหม่ ไม่ยึดติดกับสิ่งเดิม ๆ เปลี่ยนให้ทันยุคทันสมัย เปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น เมื่อเรา กลัวการเปลี่ยนแปลงเราก็อาจจะไม่ก้าวไปข้างหน้าเลย ผู้น าที่ดีต้องกล้าที่จะท าอะไร ใหม่ๆ กล้าที่จะทดลอง กล้าที่จะลองผิดลองถูก แต่ก็กล้าที่จะรับผิดชอบและช่วยเหลือ เมื่อเกิดความผิดพลาดด้วยเช่นกัน ๘) มีความรับผิดชอบ ผู้น าที่ดีต้องมีความรับผิดชอบสูง ทั้งในส่วนของงานที่ ตนเองต้องท า และงานของลูกน้องที่ตนดูแล เมื่อเกิดความผิดพลาดก็ต้องกล้าที่จะรับผิด ในขณะเดียวกันก็ต้องรีบหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้ไวที่สุด การเป็นคนมีความ รับผิดชอบจะท าให้เราท างานได้อย่างมีวินัยด้วย และท าให้งานนั้นราบรื่น ประสบ ความส าเร็จ ๙) ช่วยเหลือเกื้อกูล ผู้น าที่ดีต้องมีความช่วยเหลือเกื้อกูล รู้จักแบ่งปัน และ คอยช่วยเหลือลูกน้องเวลาเกิดความผิดพลาด ไม่ปล่อยให้ผู้ตามเผชิญความผิดพลาดโดย ล าพัง การช่วยกันนั้นเป็นคุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่งของการท างานร่วมกัน และเป็นส่วน ส าคัญที่จะท าให้การท างานแบบองค์กรหรือแบบทีมนั้นประสบความส าเร็จได้สูง ๑๐) มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มนุษยสัมพันธ์เป็นสิ่งส าคัญมากในการเป็นผู้น า สิ่งนี้เป็นเครื่องมือที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ดี หากหัวหน้ามีความเก่งกาจใน ทุกด้าน แต่ขาดมนุษยสัมพันธ์ ก็ท าให้ไม่สามารถท างานร่วมกับคนอื่นได้ หรือเข้าใจคนอื่น ได้ อาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการท างานได้ ในขณะเดียวกันหัวหน้าที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี จะสามารถเชื่อมทุกคนให้อยู่ร่วมกันได้ดี สร้างความน่าเชื่อถือได้ สร้างความเคารพนับถือ ต่อกันได้ และท าให้ผู้ตามยินดีที่จะเป็นลูกน้อง ร่วมกันท างานให้บรรลุเป้าหมาย


๗๕ ๑๑) รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ผู้น าที่ไม่เปิดใจ หรือผู้น าที่เอาตนเองเป็น ใหญ่ ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแต่ความคิดเห็นของตนเป็นหลักเท่านั้น ก็อาจท า ให้เกิดปัญหาในการท างานได้ หรือผู้ตามไม่กล้าเสนอความคิดเห็น และทางแก้ที่ดีกว่า ออกมาได้ ดังนั้นผู้น าที่ดีควรจะต้องเปิดใจยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น รับฟัง และ ร่วมกันหาทางแก้ปัญหาให้ดีที่สุด ๑๒) มีความยุติธรรม คุณสมบัติที่ส าคัญที่สุดของผู้น าก็คือควรมีความเป็น ธรรม มีความยุติธรรม ไม่โอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้ความส าคัญกับทุกคนเท่าเทียมกัน พื้นฐานในเรื่องความยุติธรรมนั้นจะช่วยให้ทุกคนไว้วางใจ เชื่อถือ และกล้าท าในสิ่งที่ ถูกต้อง เหมาะสม ในขณะเดียวกันก็ใครที่ท าผิด ท าไม่ดี ก็ย่อมต้องได้รับผลตามเหตุที่ควร เช่นกัน การที่ผู้น ามีความยุติธรรมนั้นมีส่วนที่ช่วยท าให้การปกครองตลอดจนการท างาน ต่อกันง่ายและราบรื่นขึ้น ทุกคนให้ความเคารพในการท างานตลอดจนเคารพซึ่งกันและกัน มากขึ้นด้วย และการมีความยุติธรรมมีส่วนท าให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย ๑๓) มีภาวะในการตัดสินใจที่ดี หนึ่งในภาระกิจส าคัญของการเป็นผู้น าก็คือ การตัดสินใจ ผู้น าที่ดีต้องกล้าตัดสินใจ ยอมรับในการตัดสินใจของตน และตัดสินใจได้ อย่างรวดเร็วบนพื้นฐานความรอบคอบ บางครั้งการตัดสินใจที่ช้า หรือตัดสินใจแบบขอไป ที ก็อาจท าให้เกิดปัญหาได้ กลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ การตัดสินใจที่เฉียบขาด รวดเร็ว รอบคอบ และแหลมคม นั้นเป็นคุณสมบัติที่ดีที่ผู้น าควรมีเช่นกัน ๑๔) มีการสื่อสารที่ดี ผู้น าที่ดีต้องสื่อสารเป็น สื่อสารให้ถูกกาลเทศะ สื่อสาร ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลรวมถึงแต่ละระดับ การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการ เข้าใจวิธีการสื่อสารที่ดี จะท าให้เกิดการเข้าใจกันได้ดี เข้าใจสารที่ต้องการจะสื่อ เข้าใจ วัตถุประสงค์ของการสื่อสาร และไม่ท าให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร เพราะบ่อยครั้งปัญหา ที่เกิดขึ้นกลับไม่ได้มาจากเรื่องงานหรือเรื่องคนเป็นหลัก แต่กลับมาจากการสื่อสารที่ ผิดพลาดนั่นเอง ๑๕) รู้จักควบคุมอารมณ์และมีสติ บ่อยครั้งที่อารมณ์เป็นตัวท าลายทุกอย่าง เมื่อเราเจอสภาวะที่กดดัน เครียด หรือท างานผิดพลาด เรามักจะเกิดอารมณ์ที่ไม่ดี แต่ ผู้น าที่ดีต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ รู้จักแสดงอารมณ์ที่เหมาะที่ควร รู้จักบริหารอารมณ์ และ ไม่ระบายอารมณ์ใส่ลูกน้องหรือผู้ตามที่จะท าให้เกิดผลเสีย เมื่อเราควบคุมอารมณ์ได้ เราก็จะมีสติในการไตร่ตรอง คิดถ้วนถี่ และท าให้การตัดสินใจไม่พลาด หรือไม่ท าลาย มนุษยสัมพันธ์ต่อกัน Ordway Tead, The A of Leadership, (New York: McGraw Hill Book Companying, 1956), p.19.


๗๖ จากแนวคิดและทฤษฎีภาวะผู้น าการศึกษาตามหลักพุทธธรรมในยุคใหม่ผู้เรียบ เรียงขอน าเสนอภาวะผู้น าทางการศึกษายุคใหม่ได้ดังนี้ ) ผู้น าการศึกษาต้องเข้าใจการสื่อสารยุคใหม่ ๒) เข้าใจบริบททางการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ ๓) ต้องเข้าใจตนเองและเข้าใจผู้อื่น ๔) ผู้น าต้องคิดสร้างสรรค์ประสานประโยชน์ ๕) หลักพุทธธรรมที่ส่งเสริมความเป็นภาวะผู้น าที่ดี หลักทศพิธราชธรรมที่ส่งเสริมภาวะผู้น าด้วยทาน มีจิตในเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จัก แบ่งปัน ศีล มีลักษณะทางศีลธรรมที่สูง ปริจจาคะ การเสียสละได้ทุกสิ่ง อาชชวะ มี ความชื่อตรงด ารงสัตย์ มัททวะ มีความกรุณาและความสุภาพ ตปะ มีความแผดเผาจิตใจ ให้คลายจากความชั่ว อักโกธะ ไม่โกรธ ไม่ประสงค์ร้าย ไม่เป็นปฏิปักษ์ อวิหิงสา การไม่ใช้ความรุนแรง ขันติ ความอดทน ความอดกลั้น อวิโรธนะ ความไม่ขัดขวาง ความไม่เป็นอุปสรรค ดังแผนภาพที่ ๓. แผนภาพที่ ๓.๑ วิเคราะห์แนวคิดและทฤษฎีภาวะผู้น าการศึกษา ตามหลักพุทธธรรมในยุคใหม่ ภาวะผู้น าทาง การศึกษาในยุค ใหม่ ผู้น าการศึกษาต้อง เข้าใจการสื่อสารยุค ใหม่ เข้าใจบริบททาง การศึกษาเกี่ยวกับ วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจ เข้าใจตนเองและ เข้าใจผู้อื่น ผู้น าต้องคิด สร้างสรรค์ประสาน ประโยชน์ หลักพุทธธรรมที่ ส่งเสริมความเป็น ภาวะผู้น าที่ดี


๗๗ ๓.๖ สรุป การเป็นผู้น าที่ดีนั้นมีหลายปัจจัยรวมกัน และภาวะผู้น านั้นไม่ได้หมายถึงความ อาวุโสหรือการมีต าแหน่งหน้าที่ แต่หมายถึงภาวะที่เกิดขึ้นจริงที่มีประโยชน์ต่อการ บริหารงาน บริหารคน น าพาองค์กรให้ไปสู่ความส าเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรเอง ควรส่งเสริมคนที่มีภาวะในความเป็นผู้น าให้ขึ้นมาเป็นผู้น า มากกว่าที่จะส่งเสริมจากความ อาวุโสหรืออายุงานเป็นหลัก หากเลือกคนที่เหมาะสมจะท าให้การเป็นผู้น ามีประสิทธิภาพ มากขึ้นได้ และองค์กรก็จะประสบความส าเร็จได้ง่ายเช่นกัน เหมือนกับค าพูดประโยคนี้ที่ เป็นหนึ่งในโคตรดังสามารถบ่งบอกภาวะ ความเป็นผู้น าได้อย่างดีที่สุด ประเด็นส าคัญ คือ ผู้น าที่ดีต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล น าพาผู้ตามให้ก้าวไปข้างหน้า และสร้างความร่วมมือให้ทุกคน สามารถบรรลุเป้าหมายสู่ความส าเร็จได้ ภาวะผู้น าไม่ได้เกิดจากความอาวุโส อายุการ ท างาน หรือต าแหน่งงาน ผู้น าที่ดีจะช่วยเพิ่มศักยภาพของผู้ ตามให้ดียิ่งขึ้น และสนับสนุน ให้ผู้ตามกลายเป็นผู้น าที่ดีได้ในอนาคต การที่แต่ละคนจะเป็นผู้น าที่ดีที่สุดนั้น ควรจะมีการวางแผน วางเป้าหมาย มีความชัดเจนในเป้าหมายที่วางไว้ เพราะผู้น าที่ดีย่อมมีเป้าหมายแน่นอนและชัดเจน ซึ่งสามารถสื่อสารกับลูกน้องในหน่วยงานให้ลูกน้องมองเห็นเป้าหมาย และน าพาลูกน้อง ในหน่วยงานไปสู่เป้าหมายที่ดีได้ ให้ประสบผลส าเร็จบรรลุเป้าหมายตามที่วางแผนไว้ ผู้น าที่ไม่มีเป้าหมายและขาดการวางแผนที่ชัดเจน เปรียบเสมือนคนที่พายเรือแล่นอยู่ตาม กลางมหาสมุทร โดยไร้ทิศทางและเป้าหมายที่แน่นอน สอดคล้องกับบทความของผู้เขียนเรื่องภาวะผู้น าของผู้บริหารการศึกษาตาม หลักพระพุทธศาสนา จากวารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หน้า ๕๘ - ๖๖ ความว่า ผู้น าการศึกษายุคใหม่ควรน าหลัก ในการปฏิบัติของผู้บริหารโรงเรียนควรมีหลักธรรมการครองตน การครองคน และการ ครองงานอันประกอบด้วยหลักสัปปุริสธรรม ๗ ธรรมคุ้มครองโลก ธรรมมีอุปการะมาก อริยสัจ ๔ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ความสุขของคฤหัสถ์ ศีล ๕ โดยเฉพาะ สัปปุริสธรรม ๗ เป็นธรรมที่ครอบคลุมข้อธรรมอื่นในหมวดการครองตนได้เป็นอย่างดี คุณธรรมใน การครองคนประกอบด้วยพรหมวิหาร ๔ สังคหวัตถุ ๔ ทศพิธราชธรรม ทิศ ๖ ธรรมที่ ครอบคลุมหลักธรรมข้ออื่นได้ถือว่าพรหมวิหาร ๔ เป็นธรรมส าหรับนักปกครอง ส่วน คุณธรรมในการครองงาน ได้แก่ ฆราวาสธรรม อิทธิบาท ๔ ส าหรับอิทธิบาท ๔ เป็น คุณธรรมในการปกครองงานส าคัญที่สุด ดังนั้นในยุคใหม่ผู้น าการศึกษา ต้องมีหลักธรรม ด้านครองตน ครองคน และการครองงานให้ได้


๗๘ ๓.๗ เอกสารอ้างอิงประจ าบท บรรจบ บรรณรุจิ. การจัดค าสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหมวดหมู: พระไตรปิฎก นิกาย และวรรค. งานวิจัยสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๕. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย. พิมพ์ครั้งที่ ๓๙. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗. พระธรรมปิฎก. (ป.อ. ปยุตโต). ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคน พัฒนา ประเทศ. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๕๖. _______. พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕ . _______. ธรรมนูญชีวิต. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิพุทธธรรม, ๒๕๕ . พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). โลกทัศน์ชาวพุทธ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. พระภาวนาวิริยคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล). การศึกษาเชิงพุทธ. กรุงเทพมหานคร: ดอกหญ้ากรุ๊ป, ๒๕๕๙. พระครูสิริจันทนิวิฐ (บุญจันทร์ เขมกาโม). ภาวะผู้น าเชิงพุทธ. กรุงเทพมหานคร: นิติธรรมการพิมพ์, ๒๕๕๘. มิลินทปัญหา. พระไตรปิฎก พระสุตตันปิฎกสังยุตตนิกาย มหาวรรค เล่มที่ ๕ ภาคที่ ๒. มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๕ . พสุ เดชะรินทร์, รศ.ดร., คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย [ออนไลน์], แหล่งที่มา: http://www.onab.go.th. ( ๘ เมษายน ๒๕๖๔). Bass. B.M.andAvolio B.J. Transformational Leadership Development. Califormia: Consulting Psychologists Press, 2020. Ordway Tead. The A of Leadership. New York: McGraw Hill Book Company. Inc., 1956.


บทที่ ๔ การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักธรรมพุทธศาสนา ********* ความน า การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักธรรมพุทธศาสนา มีความส าคัญและจ าเป็นอย่าง ยิ่งเพราะภาวะผู้น าไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่เกิดจากการพัฒนาตัวเองให้เกิดการเรียนรู้ เตรียมความพร้อมเพื่อน าไปใช้กับหน้าที่และบทบาทของตัวเองอยู่เสมอ การมีภาวะผู้น าที่ สมบูรณ์จะต้องประกอบไปด้วยความพร้อมทางด้านองค์ความรู้ การกล้าตัดสินใจการ น าเสนอและการบริหารทีมงานอย่างมืออาชีพ การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพุทธศาสนา เป็นการด าเนินการท าให้บุคคลที่มีขีด ความสามารถดีขึ้น โดยใช้หลักพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องก าหนด เพื่อเป็นหลักประกันว่า การด ารงและการด าเนินชีวิตเป็นไปด้วยความไม่ประมาท และเป็นหลักประกันของความ เจริญขึ้นในทางที่ดีขึ้น หลักพุทธธรรมเป็นอกาลิโก คือ ไม่ล้ าสมัยและก็ไม่ล้าสมัย แต่กลับทันสมัยอยู่ เสมอที่สามารถน ามาพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพุทธศาสนาได้นั้นในทางพระพุทธศาสนามี หลักธรรมหลากหลายและสามารถน ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพุทธ ศาสนาได้ และหลักพุทธธรรมที่สนับสนุนการพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักพุทธศาสนาที่ควร แก่การหยิบยกเป็นแนวทางปฏิบัติมีดังนี้ ๔. หลักอิทธิบาท ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๔.๒ หลักพรหมวิหาร ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๔.๓ หลักไตรสิกขาส าหรับพัฒนาภาวะผู้น า ๔.๔ หลักภาวนา ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๔.๕ หลักศีล ๕ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ๔.๖ สรุป ๔.๑ หลักอิทธิบาท ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ผู้เขียนได้คัดเลือกหลักพุทธธรรมที่สนับสนุนการพัฒนาภาวะผู้น า ได้แก่ หลัก อิทธิบาทธรรม เพราะเห็นว่ามีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่น าไปสร้างเป็นกรอบการพัฒนา ภาวะผู้น าให้เกิดขึ้นกับการปฏิบัติงานขององค์กร เพราะเป็นหนทางทางแห่งความส าเร็จ ทั้งอัตตหิตประโยชน์ คือประโยชน์แก่ตนเองและปรหิตประโยชน์ คือประโยชน์แก่ผู้อื่น


๘๐ ฉะนั้น หากบุคลากรมีความมุ่งมั่น พยายาม มีความตั้งใจและการใคร่ครวญการงานที่ กระท าอยู่ย่อมน าความสุขแก่ผู้รับบริการนั่นก็คือ ตัวบุคลากรและเพื่อนร่วมงาน นักเรียน และผู้ปกครองนักเรียน อิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นหลักธรรมอันเป็นทางแห่ง ความส าเร็จ ๔ ประการ คือ ) ฉันทะ: รักงาน (การเห็นคุณค่า ความรัก ความพอใจ) คือ มีใจรัก พอใจจะท า สิ่งนั้นและท าด้วยใจรัก ต้องการท าให้เป็นผลส าเร็จอย่างดีแห่งกิจหรืองานที่ท า มิใช่สักว่า ท าพอให้เสร็จๆ หรือเพียงเพราะอย่างได้รางวัลหรือผลก าไร ๒) วิริยะ: สู้งาน (ความเพียร เห็นเป็นความท้าทาย ใจสู้ขยัน) คือ พากเพียรท า ขยันหมั่นประกบ หมั่นกระท าสิ่งนั้นด้วยความพยายามเข้มแข็งอดทน เอาธุระ ไม่ทอดทิ้ง ไม่ท้อถอย ก้าวไปข้างหน้าจนกว่าจะส าเร็จ ๓) จิตตะ: ใส่ใจงาน (ความคิด อุทิศตัวต่องาน ใจจดจ่อ จริงจัง) คือ เอาจิตฝักใฝ่ ตั้งจิตรับรู้ในสิ ่งที่ท า และท าสิ่งนั้นด้วยความคิดไม ่ปล ่อยจิตใจให้ฟุ้งซ่านเลื ่อนลอย ใช้ความคิดในเรื่องนั้นบ่อย ๆ เสมอๆ ท ากิจหรืองานนั้นอย่างอุทิศตัวอุทิศใจ ๔) วิมังสา: ท างานด้วยปัญญา (ไตร่ตรอง พิสูจน์ทดสอบ ตรวจตรา ปรับปรุง แก้ไข) ใช้ปัญญาสอบสวน คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนเกินเลยบกพร่องขัดข้องในสิ่งที่ท านั้น โดยรู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น เพื่อจัดการและด าเนินงานนั้นให้ได้ผลดี ยิ่งขึ้นไป๒ อากาศ อาจสนาม ได้วิจัยเรื่อง “รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลเชิงพุทธ บูรณาการของพยาบาลสังกัดกรมแพทย์ทหารเรือ” พบว่า ผู้วิจัยได้คัดเลือกหลักพุทธ ธรรมส าหรับการพัฒนาสมรรถนะพยาบาล ได้แก่ หลักอิทธิบาทธรรม เพราะเห็นว่ามี ความเหมาะสมอย่างยิ่งที่น าไปสร้างเป็นกรอบการพัฒนาสมรรถนะให้เกิดขึ้นกับการ ปฏิบัติหน้าที่ชองพยาบาลวิชาชีพทุกประเภท เป็นหนทางทางแห่งความส าเร็จประโยชน์ ดูรายละเอียดใน, ที.ปา.(ไทย) /๒๓ /๒๓๓.๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ ๔๖, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์กรมศาสนา, ๒๕๕๕), หน้า ๔๐.


๘ แก่ตนเองและแก่ผู้อื่น ฉะนั้น หากพยาบาลมีความมุ่งมั่น พยายาม มีความตั้งใจและการ ใคร่ครวญการงานที่กระท าอยู่ย่อมน าความสุขแก่ผู้รับบริการนั่นก็คือ ประชาชน๓ วาสิตา เกิดผลประสพศักดิ์ ได้วิจัยเรื่อง แบบจ าลองการบริหารเชิงพุทธบูรณ การขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า การบริหารงานต่าง ๆ ต้องมีธรรมที่น าไปสู่ ผลส าเร็จในการท างาน มุ่งงานเป็นหลัก เพราะหากไม่ทุ่มเทกับงาน ท างานแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ งานจะเดินไปไม่สุดทาง ขอได้ยึดหลักอิทธิบาท ๔ คือ ฉันทะ (รักงาน) วิริยะ (สู้งาน) จิตตะ (ใส่ใจในงาน) และ วิมังสา (ท างานด้วยปัญญา) ๔ มยุรี ค าปาเชื้อ ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการ พัฒนาบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏในกรุงเทพมหานคร” พบว่า การส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยให้บริการทางวิชาการแก่สังคมในหลากหลาย รูปแบบ เช่น การสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางการวิจัย นวัตกรรมและการบริการ วิชาการ บริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิประโยชน์ที่เกิดขึ้น เป็นการมุ่งมั่นที่ จะปฏิบัติงานให้ดีหรือเกินมาตรฐานที่มีอยู่ ท างานในหน้าที่ให้ดีและถูกต้อง มีความ มานะอดทน ขยันหมั่นเพียรในการท างาน และตรงต่อเวลามีความรับผิดชอบ มีความ กระตือรือร้น หมั่นติดตามผลงาน มีความละเอียดรอบคอบเอาใจใส่ ตรวจตราความ ถูกต้องเพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพ ด้วยหลักอิทธิบาท๕ ดังนั้น หลักอิทธิบาท ๔ เป็นหลักธรรมที่เหมาะสมน ามาประยุกต์ใช้การพัฒนา ภาวะผู้น าเป็นบันไดแห่งความสุขและความส าเร็จ คนเราเมื่อมีความรัก ความพอใจ ขยันหมั่นเพียรความเอาใจใส่ใคร่ครวญอยู่เสมอ ความสามารถหรือสมรรถนะของบุคลากร ในการท างานย่อมมีประสิทธิภาพและคนท างานก็ย่อมมีความสุข การท างานคือการใช้ หลักอิทธิบาท ๔ อันมี ) ใจรักงาน ๒) มีความพากเพียรในงาน ๓) ใจจดจ่ออยู่กับงาน ๓ อากาศ อาจสนาม. “รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลเชิงพุทธบูรณาการของพยาบาล สังกัดกรมแพทย์ทหารเรือ”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๖๔.๔ วาสิตา เกิดผลประสพศักดิ์, “แบบจ าลองการบริหารเชิงพุทธบูรณการขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๗๘.๕ มยุรี ค าปาเชื้อ, “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาบุคลากรสายสนับสนุน วิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏในกรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา พุทธบริหารการศึกษา, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๔๙.


๘๒ ๔) การวิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์ พัฒนานั่นเอง อันจะเป็นหนทางน าไปสู่การพัฒนา ทักษะในการท างานของตนเองหรือผู้อื่นให้เจริญขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ ๔.๒ หลักพรหมวิหาร ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า จากการศึกษาทบทวนวรรณกรรม ทั้งพระไตรปิฎกและเอกสารทางวิชาการที่ เกี ่ยวกับหลักพุทธธรรมในพระพุทธศาสนา ที่สอดคล้องกับการพัฒนาภาวะผู้น ามี ความส าคัญของการพัฒนาภาวะผู้น า และหลักการอยู่ร่วมกันโดยทั่วไปต้องมีความเคารพ ความสามัคคี ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งในเรื่องนี้มีผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการผู้ช านาญการหลายท่านได้ให้ความหมายและอธิบายไว้ ดังนี้ พรหมวิหาร ๔ คือ ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ, ธรรมประจ าใจอันประเสริฐ, หลักความประพฤติที่ประเสริฐบริสุทธิ์, ธรรมที่ต้องมีไว้เป็นหลักใจและก ากับความ ประพฤติ จึงจะชื่อว่าด าเนินชีวิตหมดจด และปฏิบัติตนต่อมนุษย์สัตว์ทั้งหลายโดยชอบ๖ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบของพรหมวิหาร ธรรมหรือ พรหมวิหารมี ๔ ประการ คือ ๑) เมตตา หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาดีอยากให้เขามีความสุข มีจิตอันแผ่ ไมตรีและคิดท าประโยชน์แก่มนุษย์สัตว์ทั่วหน้า ๒) กรุณา หมายถึง ความสงสาร คิดช่วยให้พ้นทุกข์ ใฝ่ใจในอันที่จะปลดเปลื้อง บ าบัดความทุกข์ยากเดือดร้อนของปวงสัตว์ ๓) มุทิตา หมายถึง ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข มีจิตผ่องใสบันเทิง ประกอบ ด้วยอาการแช่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ ต่อสัตว์ทั้งหลายผู้ด ารงชีวิตตามปกติสุข พลอยยินดี ด้วยเมื่อเขาได้ดีมีสุข เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป ๔) อุเบกขา หมายถึง ความวางใจเป็นกลาง อันจะให้ผู้ด ารงอยู่ในธรรมที่พิจารณา เห็นด้วยปัญญา คือ มีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตาชั่ง ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง พิจารณา เห็นกรรมที่สัตว์ทั้งหลายกระท าแล้ว อันควรได้รับผลดีหรือชั่ว สมควรแก่เหตุอันตน ประกอบ พร้อมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติไปตามธรรม รวมทั้ง รู้จักวางเฉยสงบใจมอง ในเมื่อไม่มีกิจควรท า เพราะเขารับผิดชอบตนได้ดีแล้ว เขาสมควรรับผิดชอบตนเอง หรือเขาควรได้รับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน๗ ๖ ดูรายละเอียดใน, อภิ.ส . (ไทย) ๓๔/ ๙๐/๗๕.๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๒๔.


๘๓ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้เสนอหลักค าสอนที่ถือเป็นหลักพื้นฐานส าหรับงานสังคม สงเคราะห์ไว้ ดังนี้ พรหมวิหาร ๔ ประการ เป็นคุณธรรมพื้นฐานของจิตใจที่จะท าให้แสดงออก หรือปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างถูกต้องโดยสอดคล้องกับสถานการณ์ทั้ง ๔ ที่ประสบ กล่าวคือ พรหมวิหาร ๔ หลักธรรมที่นักสังคมสงเคราะห์ ต้องยึดเป็นหลักใจในการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย ) เมตตา คือ ความปรารถนาให้ผู้รับบริการเป็นสุข แผ่เมตตาให้แก่ตนเองและ ผู้รับบริการ การแผ่เมตตาสงเคราะห์ด้วยการเข้าใจ ยอมรับ ยินดีที่จะช่วยเหลือให้ ความเห็นใจต่อปัญหาและความทุกข์ของเขา ๒) กรุณา คือ ปรารถนาจะช่วยให้ผู้รับบริการพ้นจากสภาพปัญหา ความ เดือดร้อน เมื่อเห็นเขามีความเดือดร้อนให้พิจารณาว่า เขาเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกับเรา ๓) มุทิตา คือ พลอยยินดีเมื่อผู้รับบริการสามารถแก้ปัญหาได้และยินดีกับเพื่อน ร่วมงานเมื่อเขาปฏิบัติงานได้ดี ๔) อุเบกขา คือ วางใจเป็นกลางในการให้บริการด้วยความเป็นธรรม ไม่อคติ และเมื่อช่วยเหลือผู้รับบริการอย่างเต็มความสามารถแล้ว ผู้รับบริการยังตกอยู่ในความ เดือดร้อนก็ไม่ควรวิตกกังวลหรือเป็นทุกข์ให้มากเกินไป๘ พัฒนสรณ์ เกียรติฐิติคุณ ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรม ในการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร” พบว่า การน าหลักพรหมวิหารมาบูรณาการการพัฒนาเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร ด้วย หลักเมตตา หมายถึง การกระท าที่แสดงออกถึงการให้ความช่วยเหลือ ปรารถนาดี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ประชาชนอุ่นใจและเป็นสุขจากการเดินทาง เดินทางไม่ติดขัด ปลอดภัย เป็นการท างานเพื่อการให้การบริการเทศกิจจึงต้องท างานด้วยความเมตตา เช่น การช่วยจัดจราจรเมื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือยามจ าเป็น เช่นช่วงเช้าเย็น ค านึงถึงความ ปลอดภัยของประชาชน ปฏิบัติงานด้านการจราจรด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสสร้างความ ประทับใจได้๙ ๘ พุทธทาสภิกขุ, บรมธรรมภาคต้น, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๙๙), หน้า ๓๙๕. ๙ พัฒนสรณ์ เกียรติฐิติคุณ, “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา รัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๒๓๙.


๘๔ พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ ได้ให้ทรรศนะว่า การบริหารงบประมาณที่ดีต้องใช้ หลักธรรมาภิบาลให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และหลัก พรหมวิหารธรรมในการบริหารงบประมาณในการที่จะปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ มีการ ตรวจสอบสามารถประเมินผลงานได้อย่างชัดเจน และมีการแข่งขันเพื่อการจัดการการ บริการที่ดีขึ้น ๐ ผู้วิจัยสรุปว่า การน าหลักธรรมพรหมวิหาร ๔ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาภาวะ ผู้น า ต้องอาศัยพรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา ฝึกอยากช่วยเหลือผู้อื่น กรุณา ฝึกแนะน าผู้อื่น ด้วยความเต็มใจ เมื่อผู้อื่นมาขอใช้บริการ ให้ค าปรึกษาด้วยความเต็มอกเต็มใจ ก็ยินดีรับ ฟัง มุทิตา ฝึกยิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ ยินดีต้อนรับ อุเบกขา ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้มารับบริการ บริการด้วยความเสมอภาค ผู้บริการและผู้รับบริการ ทั้ง ๒ ต่างก็มีแต่ความสุข การ ประสานการท างานก็บรรลุด้วยดี ๔.๓ หลักไตรสิกขาส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า หลักไตรสิกขาส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า ตามแนวคิดทางพุทธศาสตร์ การ พัฒนาตนเป็นการเรียนรู้และการปฏิบัติเพื่อไปสู่ความพอดี มีความสัมพันธ์อันกลมกลืน ระหว่างการด าเนินชีวิตของบุคคล กับสภาพแวดล้อมและมุ่งการกระท าตนให้มีความสุข ด้วยตนเอง รู้เท่าทันตนเอง เข้าใจตนเองมากกว่าการพึ่งพาอาศัยวัตถุ จึงเป็นแนวทางการ พัฒนาชีวิตที่ยั่งยืน หลักการพัฒนาตนตามแนวพุทธศาสตร์ประกอบด้วยพุทธธรรม ไตรสิกขา ซึ่งสรุปได้ดังนี้ จากการศึกษา หนังสือ ต ารา แนวคิด เอกสารงานวิจัย ของนักวิชาการ มีการน า หลัก ไตรสิกขามาพัฒนาสมรรถนะบุคลากรในองค์กรด้านการพัฒนาตนเอง ดังนี้ สิกขา ๓ หรือไตรสิกขา คือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา หมายถึง ข้อที่จะต้องศึกษา, ข้อปฏิบัติที่เป็นหลักส าหรับศึกษาคือ ฝึกหัดอบรม กาย วาจา จิตใจ และปัญญา ให้ยิ่งขึ้นไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพานประกอบด้วย ) อธิสีลสิกขา สิกขาคือศีลอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง ๒) อธิจิตตสิก ขา สิกขาคือจิตอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณธรรมเช่น สมาธิอย่าง ๐พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ, “ยุทธศาสตร์เชิงพุทธในการบริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา, (บัณฑิต วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๗), หน้า ๒๖๙. ดูรายละเอียดใน, ที.ปา. (ไทย) /๓๗๙/๒๙๐.


๘๕ สูง และ ๓) อธิปัญญาสิกขา สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง, ข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่างสูง เรียกง่ายๆ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ให้ทรรศนะการพัฒนาตนเองตาม ไตรสิกขาว่า การพัฒนาคน ให้เป็นผู้มีคุณภาพ ที่ส าคัญที่สุดก็คือ การปลูกฝังให้คนเป็น พลเมืองดี มีคุณธรรมจริยธรรม เพื่อก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม วิธีการหนึ่งที่น่าจะ ให้ผลดีในการปลูกฝังและพัฒนาการมีคุณธรรมจริยธรรม ก็โดยใช้ หลักไตรสิกขา เนื่องจากไตรสิกขาเป็นระบบและเป็นกระบวนการในการฝึกฝน อบรม ฝึกหัดเพื่อพัฒนา คนใน ๓ ด้านคือ พัฒนาด้านพฤติกรรม เรียกว่า ศีล พัฒนาด้านจิตใจ เรียกว่า สมาธิ พัฒนาด้านปัญญา เรียกว่า ปัญญา ทั้งนี้ก็เพื่อให้บุคคลมีการด าเนินชีวิตไปในวิถีที่ถูกต้อง ดีงาม โดยน าหลักธรรมพระพุทธศาสนา (ไตรสิกขา) มาใช้ หรือประยุกต์ใช้ในการบริหาร และพัฒนาคนในสถานศึกษาเน้นการจัดสภาพทุก ๆ ด้านในสถานศึกษาเพื่อสนับสนุนให้ คนในองค์กรพัฒนาตามหลักพุทธธรรมอย่างบูรณาการส่งเสริมให้เกิดความเจริญงอกงาม ตามลักษณะแห่งปัญญา ๓ ส่วนท่านพุทธทาส (อินทปัญโญ) กล่าวถึงหลักธรรมตามแนวพุทธศาสนา “ไตรสิกขา” นี้เป็นแนวทางในการพัฒนาตนเอง เพื่อแก้ปัญหาให้พ้นทุกข์และส าเร็จผล การพัฒนาคนมีความหมายส าคัญที่แบ่งออกเป็น ๒ ประการคือ . การพัฒนาคนในฐานะผู้มีความเป็นมนุษย์ ๒. การพัฒนาคนในฐานะทรัพยากรมนุษย์ สุรพล สุยะพรหม และคณะ กล่าวถึงความส าคัญของไตรสิกขาว่า การพัฒนา คนซึ่งจะท าให้คนเป็นคนดีมีความสุข และเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ การพัฒนาก็ คือการศึกษา การพัฒนาด้วยการศึกษาของคน ในทางพุทธศาสนาคือ ไตรสิกขา ซึ่งเป็น วิธีการเรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาชีวิต ๓ ด้าน คือ ( ) ศีล คือภาวะของผู้ที่มีหลักธรรมความ ประพฤติถูกต้อง มีความประพฤติดีทางกาย วาจาและสัมมาชีพ สามารถควบคุมตนเอง จัดระเบียบชีวิตของตนและการอยู่รวมกับผู้อื่นด้วยดี มีความรับผิดชอบต่อสังคม (๒) สมาธิ คือ ความแน่วแน่มั่นคงหนักแน่นของจิตใจ ท าให้จิตมีคุณภาพ จิตใจเป็น รากฐานของพฤติกรรม การสร้างสมาธิท าให้เกิดสติ และวิริยะ ถ้าจิตใจได้รับการพัฒนาให้ ดีงามแล้ว ด้วยการควบคุมดูแลและน าพฤติกรรมไปในทางที่ดีด้วย และ (๓) ปัญญา ๒พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรม ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๒๗, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕ ), หน้า ๒๕. ๓พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต), การพัฒนาที่ยั่งยืน, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์มูลนิธิ พุทธธรรม, ๒๕๕๙), หน้า ๒๒๒-๒๒๓.


๘๖ การพัฒนาปัญญาซึ่งเป็นความส าคัญที่สุด เพราะปัญญาเป็นดังน าทางและควบคุม พฤติกรรมทั้งหมด ๔ สุปรียา ธีรสิรานนท์ได้ศึกษาเรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการการเรียนรู้ใน กรอบของไตรสิกขากับทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์” พบว่า ผลการเรียนรู้ของทฤษฎี การเรียนรู้ของสกินเนอร์และการเรียนรู้ในกรอบของไตรสิกขา มีแนวความคิดเห็นที่ตรงกัน คือ ผลการเรียนรู้ท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน มีการเปลี่ยนทั้ง พฤติกรรม จิตใจ ปัญญา สามารถน าผลการเรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาตนเองและ บุคคลในสังคม เช่น พัฒนาให้มีกายวาจาที่เรียบร้อย มีมารยาทดีมีจิตใจที่งดงาม มีปัญญา ที่เฉลียวฉลาด มีความรู้ความสามารถที่ดีที่พึงประสงค์ ๕ อัจฉรา หล่อตระกูล ได้ศึกษาเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัย ของรัฐ พบว่า การน าหลักไตรสิกขามาพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐนั้น เพราะไตรสิกขาเป็นหลักธรรมที่ใช้ในการพัฒนาตนเองในการท างาน ประกอบด้วย ) ศีล คือ ข้อปฏิบัติสาหรับอบรมทางด้านความประพฤติ ๒) สมาธิ คือ จิตตสิกขา ข้อปฏิบัติส าหรับอบรมจิตให้เกิดสมาธิ ๓) ปัญญา คือ ปัญญาสิกขา ข้อปฏิบัติส าหรับ อบรมปัญญาให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง และเป็นหลักธรรมส าคัญในการพัฒนา หากน า ไตรสิกขามาพัฒนาสมรรถนะจะท าให้พนักงานมหาวิทยาลัยสามารถพัฒนาด้านอื่น ๆ ได้ ดีด้วย และยังท าให้เกิดการรับผิดชอบงานจนส าเร็จ รวมถึงการนึกถึงส่วนรวมมากกว่าส่วน ตนด้วย คติยา อายุยืน ได้วิจัยเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐ ตามหลักพุทธธรรม” พบว่า ด้านอธิศีลสิกขา บุคลากรสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานภาคใต้ ตอนบน มีการน าหลักไตรสิกขามาเป็นแนวทางการพัฒนา ได้แก่ ตั้งเป้าหมายในการ ฝึกอบรม ให้การศึกษา และประชุมชี้แจงอย่างต่อเนื่องถึงประเด็นการสั่งสมความ เชี่ยวชาญในงานอาชีพเหล่านี้ ด้านอธิจิตตสิกขา มีแนวทางการพัฒนาบุคลากร ได้แก่ ) การส่งเสริมการผลิตผลงานวิชาการที่ตนเองมีประสบการณ์ ๒)การจัดโครงการศึกษา ดูงาน ๓) การจัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ และด้านอธิปัญญาสิกขา มีแนวทางการ พัฒนาบุคลากร ได้แก่ ) การเรียนรู้ในงานด้วยตนเอง ๒) การศึกษาต่อเนื่อง ๓) การอ่าน ๔สุรพล สุยะพรหม และคณะ, พื้นฐานการจัดการ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕), หน้า ๖๘- ๖๙. ๕สุปรียา ธีรสิรานนท์, “การศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการการเรียนรู้ในกรอบของไตรสิกขากับ ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๗๓.


๘๗ หนังสือเพิ่มเติม ๔) การศึกษาดูงาน ณ ต่างประเทศ ๕) การจัดโครงการฝึกฝนที่มีวิทยากร จากบุคลากรภายนอกสถาบัน ๖ สรุปได้ว่า หลักไตรสิกขา ในการน ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสมรรถนะหลัก ของบุคลากรตามหลักพุทธธรรม โดยอาศัยหลักไตรสิกขา คือ ศีล ความพยายามที่จะ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนด้วยตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมเหมาะกว่าเดิม มีความรับผิดชอบต่อ หน้าที่ การงานอย่างเต็มที่ สมาธิคือการฝึกฝนให้มีสภาพจิตที่หนักแน่นมั่นคง คิดในสิ่งดี ๆ ให้พร้อมที่จะปฏิบัติงานและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต่อไปได้ปัญญาคือความรู้ความเข้าใจเหตุผล จะพัฒนาตนเองให้มีการด าเนินชีวิตไปในวิถีทางที่ถูกต้อง สามารถน าความรู้วิทยาการ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ได้ศึกษามาปรับใช้กับการท างานได้อย่างเหมาะสม ๔.๔ หลักภาวนา ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า หลักภาวนา ๔ ส าหรับการอบรมและการพัฒนาภาวะผู้น า หมายถึง ภาวนา ๔ คือ การเจริญ, การท าให้เป็นให้มีขึ้น, การฝึกอบรม, การพัฒนา ได้แก่ ) กายภาวนา (การเจริญกาย, พัฒนากาย, การฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อ เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายภายนอกทางอินทรีย์ทั้งห้าด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้น ในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมงอกงาม ให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญ, การพัฒนา ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ๒) สีลภาวนา (การเจริญศีล, พัฒนาความประพฤติ, การฝึกอบรมศีล ให้ตั้งอยู่ใน ระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนหรือก่อความเดือดร้อนเสียหาย อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วยดี เกื้อกูลแก่กัน ๓) จิตภาวนา (การเจริญจิต, พัฒนาจิต, การฝึกอบรมจิตใจให้เข้มแข็ง มั่นคง เจริญงอกงาม ด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตา กรุณา ขยันหมั่นเพียร อดทนมีสมาธิ และสดชื่นเบิกบาน เป็นสุขผ่องใสเป็นต้น และ ๔) ปัญญาภาวนา (การเจริญปัญญา, พัฒนาปัญญา, การฝึกอบรมปัญญา ให้รู้ เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง รู้เท่าทันเห็นโลกและชีวิตตามสภาวะ สามารถท าจิตใจให้ ๖คติยา อายุยืน, “การพัฒนาสมรรถนะการสั่งสมความเชี่ยวชาญในงานอาชีพตามหลัก พุทธธรรม”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๒๖๕.


๘๘ เป็นอิสระ ท าตนให้บริสุทธิ์จากกิเลส และปลอดพ้นจากความทุกข์ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ได้ด้วยปัญญา ๗ มนุษย์ต้องมีการฝึกพัฒนาตนทั้งทางกายและจิต จนเกิดองค์คุณธรรมภายในตน ตามหลักการพัฒนาตน หรือภาวนา ๔ และการพัฒนาจะต้องด าเนินไปพร้อม ๆ กัน ๔ ทาง คือ . การพัฒนาทางด้านกายภาพ (Physical Development) เป็นกระบวนการ สร้างความเจริญงอกงามทางร่างกาย การฝึกอบรมร่างกายให้รู้จักติดต่อกับสิ่งภายนอก ด้วยดี และปฏิบัติต่อสิ่งภายนอกเหล่านั้นในทางที่เป็นคุณ มิให้เกิดโทษ ให้กุศลธรรมเจริญ งอกงามและก าจัดให้อกุศลธรรมเสื่อมสูญไป สิ่งภายนอกที่มีบทบาทต่อชีวิตมนุษย์ก็ คือ อารมณ์ภายนอกทั้ง ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จุดมุ่งหมายของการพัฒนาในข้อนี้ ก็คือการท าให้บุคคลรู้จักวิธีการเกี่ยวข้องกับอารมณ์ภายนอกทั้ง ๕ อย่างนี้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและเป็นคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาชีวิตให้เจริญก้าวหน้าสูงขึ้น ๒. การพัฒนาทางด้านศีลธรรม (Moral Development) เป็นกระบวนการ ฝึกอบรมบุคคลให้มีศีล ให้ตั้งอยู่ในระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนบุคคลอื่น สามารถอยู่ ร่วมกับบุคคลอื่นได้เป็นอย่างดีมีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อบุคคลอื่น ๓. การพัฒนาทางด้านจิตใจหรือทางด้านอารมณ์ (Spiritual or Emotional Development) เป็นความพยายามที่จะฝึกอบรมจิตใจให้เข้มแข็ง ให้มีความมั่นคง และมี ความเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมทั้งหลาย เช่น มีเมตตากรุณา มีความขยันหมั่นเพียร มีความอดทน มีสมาธิ มีความสดชื่นเบิกบาน มีความสงบสุข แจ่มใส เป็นต้น การพัฒนา ทางด้านจิตใจที่บางทีเรียกว่า การพัฒนาอารมณ์ ๔. การพัฒนาทางด้านสติปัญญา (Intellectual Development) เป็นกระบวนการ ในการฝึกอบรมให้รู้และเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ผู้ที่มีความรู้เท่าทัน เห็นแจ้ง โลกและชีวิตตามสภาพของมัน สามารถท าจิตใจให้เป็นอิสระ และบริสุทธิ์หลุดพ้นจาก กิเลสเศร้าหมอง และท าตนให้ปลอดพ้นจากความทุกข์ ท าตนให้มีความสุข สามารถ แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถท าตนให้อยู่เหนือปัญหา เหนือ ความขัดแย้ง และพัฒนาส่วนรวมให้มีความสงบ มีความเสมอภาคและมีความเป็น ประชาธิปไตยอย่างมีคุณภาพ ๘ ๗พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕ ), หน้า ๗๐. ๘จ านงค์ อดิวัฒนสิทธิ์,สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕), หน้า ๖๓- ๖๔.


๘๙ สรุปได้ว่า ภาวนา ๔ เป็นหลักธรรมที่ผู้ปฏิบัติผู้ได้ปฏิบัติตามได้แล้วจะมีผลดี ทั้งสิ้น โดยการปฏิบัติสีลภาวนา สมาธิภาวนา ปัญญาภาวนา และกายภาวนา จากการ ท างานทุกอาชีพนั้นต้องมีหลักต้องมีทั้ง สีล สมาธิ ปัญญา และกาย ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้การ ท างานต่าง ๆ ก็ไม่อาจประสบผลส าเร็จก็เป็นไปได้ ๔.๕ หลักศีล ๕ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า หลักศีล ๕ หรือเบญจศีลซึ่งจะคู่กับเบญจธรรมเสมอส าหรับการพัฒนาภาวะ ผู้น าในการพัฒนา หมายถึง การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้ดีขึ้น โดย อาจเป็นสิ่งที่ยังไม่ดีให้กลายเป็นดี หรือสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนา ตนเอง ซึ่งอาจมองได้เป็น ๒ ทาง คือ การพัฒนาตนให้เป็นคนดี กับ การพัฒนาตนให้เป็น คนเก่ง พระพุทธศาสนามีหลักธรรมที่ส่งเสริมให้มนุษย์สามารถพัฒนาตนให้เป็นทั้งคนดี และคนเก่ง อยู่มากมาย เป็นคนมีคุณธรรมและจริยธรรม หลักธรรมส าหรับการพัฒนาตน ให้เป็นคนดีได้แก่ ศีล ๕ ศีล (Morality) ตามความหมายในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จุฬนิเทส ดังที่พระสารีบุตรได้กล่าวถึงศีลว่า “ศีล” หมายถึง การปฏิบัติของภิกษุที่มีความส ารวมใน โอวาทปาฏิโมกข์ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร เห็นภัยในโทษทั้งหลายแม้มีประมาณ เล็กน้อย สมาทานอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ความส ารวม ความระวัง ความไม่ก้าวล่วง ในสิกขาบททั้งหลาย ซึ่งหมายถึงการส ารวมกาย วาจา ใจ ๙ และ ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พระสารีบุตรได้ให้ความหมายไว้ว่า ศีล คือ เจตนาเป็นศีล เจตสิกเป็นศีล ความส ารวมเป็นศีล ความไม่ก้าวล่วงเป็นศีล๒๐ ศีลขั้นพื้นฐานส าหรับมนุษย์ ได้แก่ ศีล ๕ มีสาระมุ่งไปเพื่อการไม่เบียดเบียน ซึ่งเป็นขั้นเริ่มต้นของการสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เกื้อกูลศีล ต่อจากนั้นจะเป็นการ เน้นการเกื้อกูลสิ่งแวดล้อมและความเป็นอยู่ส่วนตัว และการฝึกหัดขัดเกลา (กิเลส) ตนเอง การรักษาศีลมีเป้าหมายหลัก ๒ ประการ คือ ขัดเกลากิเลสพัฒนาตนเองให้เป็น ๙ดูรายละเอียดใน, ขุ.ป. (ไทย) ๓ /๙๒/๒๐.๒๐ดูรายละเอียดใน, ขุ.ป. (ไทย) ๓ /๘๙/๓๔.


Click to View FlipBook Version