The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ภาวะผู้นำวิถีใหม่สู่คุณภาพการศึกษา
รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 24-Chinaporn Nakorn, 2023-06-16 10:50:02

ภาวะผู้นำวิถีใหม่สู่คุณภาพการศึกษา

ภาวะผู้นำวิถีใหม่สู่คุณภาพการศึกษา
รองศาสตราจารย์ ดร. สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

๙๐ คนดี สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข และเพื่อเกื้อกูลประโยชน์ต่อผู้อื่นและ ต่อสังคม๒ การพัฒนาระบบของศีล เป็นการพัฒนาในขั้นศีล ได้แก่ การเว้นชั่ว ประพฤติดี ปฏิบัติเพื่อความปกติสงบเรียบร้อยไม่ท าให้ตนและผู้อื่นเดือนร้อน ข้อปฏิบัติเหล่านี้เรียกว่า ศีลสิกขา แปลว่า สิ่งที่ควรศึกษาอบรม เป็นขั้นศีล พัฒนสรณ เกียรติฐิติคุณ ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรม ในการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร” พบว่า มีการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการปฏิบัติงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา โดยเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า การบูรณาการหลักศีลในการจัดระเบียบ เพื่อควบคุมพฤติกรรมทั้งทางกาย วาจา ใจ ในการปฏิบัติงาน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย การจัดระเบียบเมือง ให้ทุกคนสามารถใช้ที่สาธารณะร่วมกันอย่างปลอดภัย โดยการ ควบคุมภายในตนของเจ้าหน้าที่๒๒ การน าหลักศีลมาพัฒนา เพื่อการฝึกฝนพัฒนาด้านพฤติกรรม หมายถึง การ พัฒนาพฤติกรรมทางกายและวาจา ให้มีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้อง มีผลดี สิ่งแวดล้อม ที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์ มี ๒ ประเภทคือ ) สิ่งแวดล้อมทางสังคม ได้แก่ เพื่อนมนุษย์ รวมทั้งสัตว์อื่น ๒) สิ่งแวดล้อมทางวัตถุ ได้แก่ ปัจจัย ๔ เครื่องใช้วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งเทคโนโลยี และสิ่งทั้งหลายที่มีในธรรมชาตินอกจากนี้ขอบเขต ของศีลไม่ได้มีเฉพาะขอบเขตทางกายและวาจาที่ปรากฏภายนอก คือถ้าภายนอก เรียบร้อยตามวินัย แม้ใจจะเสียไปบ้างก็ไม่นับว่าเสียในส่วนศีล ดังนั้น ศีล จึงหมายถึง ข้อก าหนดหรือข้อปฏิบัติเบื้องต้นในการเว้นจากท าชั่วโดย การรักษา กายและวาจาให้เป็นปรกติ เพื่อช่วยให้กิจกรรมของสังคมด าเนินไปได้อย่าง ปรกติสุขทั้งส่วนปัจเจกบุคคลและสังคมโดยส่วนรวม ศีล ๕ นั้นประกอบด้วย . ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ๒. อทินฺนาทานา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์ ๓. กาเมสุ มิจฺฉาจารา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิด ในกาม ๒ พระเมธีวราภรณ์ (สุทัศน์ วรทสฺสี), เบญจศีลเบญจธรรม: อุดมชีวิตของมนุษย์, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ต้นบุญ, ๒๕๕ ), หน้า ๔๒-๔๓.๒๒พัฒนสรณ เกียรติฐิติคุณ, “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา รัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), บทคัดย่อ.


๙ ๔. มุสาวาทา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดเท็จ ๕. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่ม น้ าเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท๒๓ การน าหลักศีล ๕ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาภาวะผู้น าเพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดี แก่ผู้อื่นและสังคม มีจิตอาสา มีความเสียสละในการท างาน ซึ่งผู้วิจัยได้สังเคราะห์จาก เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีความสอดคล้องกับหลักศีล ๕ สามารถสรุปได้ ดังนี้ ณัฐชนันตร์ อยู่สีมารักษ์ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตาม หลักพุทธธรรมของสถานศึกษาของรัฐสังกัดกรุงเทพมหานคร” พบว่า รูปแบบการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ด้านศีล เน้นพัฒนาบุคลากรให้มีความดีและความเก่ง แต่ขอให้ดีน าหน้า เพราะคนดีสามารถพัฒนาได้ คนเก่งอาจไม่ดี ถ้าดีน าก่อน ก็จะดีในทุก ๆ อย่าง ในการ บริหารเพื่อการพัฒนาคน ต้องใช้ทั้งหลักปรัชญาและศาสตร์ ความสามารถในการบริหาร ต้องทั้งฉลาดและเฉลียว มีการวางแผนการพัฒนาทางความรู้ในทางพุทธศาสนามี วัฒนธรรมองค์กร มีบริบทต่าง ๆ ต้องดูหลาย ๆ อย่าง น าหลักปรัชญามาช่วยในการ บริหารจัดการ ก็จะช่วยในการส่งเสริมให้ข้าราชการครูมีพฤติกรรมดีและความรู้ดีอีกด้วย๒๔ อัจฉรา หล่อตระกูล ได้ศึกษาเรื่อง “การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัย ของรัฐ” พบว่า การพัฒนาสมรรถนะด้านคุณธรรมและจริยธรรมแก่พนักงานมหาวิทยาลัย ของรัฐด้วยศีลธรรม คือข้อปฏิบัติส าหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติการพัฒนา สมรรถนะด้านการยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม โดยใช้ศีล คือ รู้จักการด ารงชีวิตโดย น าหลักศีลธรรม เป็นแนวทางในการปฏิบัติตน๒๕ วีรชัย อนันต์เธียร ได้วิจัยเรื่อง “กลยุทธ์การพัฒนาจริยธรรมสาหรับเยาวชน ไทย” ผลการศึกษา พบว่า ควรสร้างกิจกรรมที่น่าสนใจให้กับเยาวชน เพื่อให้เยาวชนเกิด ความสนใจและให้ความร่วมมือในการท ากิจกรรม โดยใช้กิจกรรมนอกหลักสูตร เช่น ให้ เยาวชนมีโอกาสเรียนรู้ธรรมะผ่านกิจกรรมอย่างสนุกและมีสาระ โดยสร้างส านึกที่ดีให้เกิด กับจิตใจด้วยศีล ๕ หิริโอตตัปปะ พรหมวิหาร ๔ ฝึกให้เยาวชนได้ท าความดีทุกวันโดยใช้ มงคล ๓๘ ประการ กระตุ้นให้เยาวชนด าเนินชีวิตอย่างมีทิศทางและเป้าหมาย โดยใช้ ๒๓ดูรายละเอียดใน, ที.ปา. (ไทย) /๒๘๖/๒๒๕.๒๔ณัฐชนันตร์ อยู่สีมารักษ์, “รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามหลักพุทธธรรมของ สถานศึกษาของรัฐสังกัดกรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสน ศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๒๓ .๒๕อัจฉรา หล่อตระกูล, “การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐ”, ปริญญาพุทธ ศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๒๐๐.


๙๒ หลักอิทธิบาท ๔ สร้างวินัยในการด าเนินชีวิตประจ าวันด้วยไตรสิกขา เบญจศีล เบญจธรรม และสังคหวัตถุ ๔ สอนให้เยาวชนส านึกรู้บุญคุณคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิดา มารดา ครู อาจารย์ ด้วยหลักของกตัญญูกตเวทีหรือการบวชสามเณร หรือเข้าค่ายต่าง ๆ ซึ่งจะ ท าให้เยาวชนมีโอกาสได้ปฏิบัติจริงและเพิ่มความสนใจของกิจกรรมนั้น และจัดกิจกรรม “บวร” โดยจะท าให้การสอนธรรมะให้กับเยาวชนมีความต่อเนื่องกันระหว่างบ้าน วัด และ โรงเรียน๒๖ เฉลียว รอดเขียว และคณะ ได้วิจัยเรื่อง “การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการ พัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในชุมชนตลาดวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อ าเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก” ผลการศึกษา พบว่า มีการน าหลักธรรมเข้ามาปรับประยุกต์ใช้ในการ ด าเนินชีวิตของชาวบ้าน เช่น เบญจศีล เบญจธรรม สุจริต ๓ เป็นต้น ซึ่งเมื่อน าไป ประยุกต์ใช้ส่วนใหญ่ชาวบ้านพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรม การดื่มสุราและของมึนเมา การเที่ยวเตร่ในเวลากลางคืน การเล่นการพนันในรูปแบบต่าง ๆ และการคบเพื่อนที่มี ลักษณะพฤติกรรมไม่ดีละเว้นการกระท าละเมิดกรรมสิทธิ์ในร่างกายผู้อื่น สัตว์อื่น พูดเท็จ โกหก หลอกลวงผู้อื่น๒๗ สรุปได้ว่า การน าศีล ๕ มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาภาวะผู้น า สามารถพัฒนา สมรรถนะทางกาย และทางวาจา ให้มีความสงบ เรียบร้อย การปฏิบัติอยู่ในกฎระเบียบที่ สวยงาม ไม่เบียดเบียนเพื่อนร่วมงาน ไม่ทุจริตในหน้าที่ มาปฏิบัติงานตรงเวลา เป็น แบบอย่างที่ดีของผู้อื่น ไม่พูดเท็จ ตั้งใจท างานอย่างมีความสุข น าไปสู่การยอมรับของ บุคคลทั่วไป ซึ่งมีผลต่อการยกย่องสรรเสริญในทางปฏิบัติบุคคลนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น บรรพชิตหรือคฤหัสถ์ หากสามารถที่จะฝึกปฏิบัติสมาทานรักษาศีลในระดับของตน ก็ย่อมมีผลในทางบวกได้ เช่น พฤติกรรมที่สังคมยอมรับมีความกล้าหาญ มีความมั่นใจใน การท ากิจกรรมร่วมกันบุคคลอื่น ๆ เพราะเมื่อผู้ที่รักษาศีลได้อย่างครบถ้วนได้ส ารวจ ตรวจสอบตนเองและไม่พบข้อบกพร่องในตนเอง ก็ย่อมมีความภาคภูมิใจเกิดความอิ่มใจ อยู่เนื่องนิจ ๒๖วีรชัย อนันต์เธียร, “กลยุทธ์การพัฒนาจริยธรรมสาหรับเยาวชนไทย”, พุทธศาสตรดุษฎี บัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๘).๒๗เฉลียว รอดเขียว และคณะ, “การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ชาวบ้านในชุมชนตลาดวัดพระศรีรัตนมหาธาตุอ าเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก”, รายงานการวิจัย, (สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๙๙ – ๐ .


๙๓ หลักสังคหวัตถุ ๔ ส าหรับการพัฒนาภาวะผู้น า สังคหวัตถุ ๔ เป็นหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมที่มีคุณค่าและ ประโยชน์มากมาย ซึ่งมีทั้งหลักธรรมที่ใช้ส าหรับประพฤติปฏิบัติของแต่ละบุคคล และ หลักธรรมที่ใช้ส าหรับการอยู่ร่วมกันของกลุ่มคนให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข โดยเฉพาะหลักสังคหวัตถุ ๔ แปลว่าวิธีสงเคราะห์ หมายถึง วิธีปฏิบัติเพื่อยึดเหนี่ยว น้ าใจคนอื่นที่ยังไม่เคยรักใคร่นับถือ หรือที่รักใคร่นับถืออยู่แล้วให้สนิทแนบยิ่งขึ้น มี๔ ประการ ดังนี้ สังคหวัตถุ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในสูตร สูตรที่ว่าด้วยสังคหวัตถุ ไว้ว่า ภิกษุทั้งหลายสังคหวัตถุ ๔ (ธรรมเครื่องยึดเหนี่ยว) ประการแล ทาน เปยยวัชชะ อัตถจริยา ในโลกนี้ และ สมานัตตาในธรรมนั้น ๆ ตามสมควร สังคหธรรมเหล่านี้แลจัก ช่วยอุ้มชูโลกไว้แบบ โอบอ้อมอารี มีวจีเพราะ สงเคราะห์ผู้คนและวางตนเหมาะสมไว้ ตราบนานเท่านาน๒๘ การที่น าหลักสังคหวัตถุ ๔ มาประยุกต์ใช้กับการให้ท างานเป็นทีมนั้นประกอบ ด้วย ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตา อันเป็นหัวใจส าคัญในการให้การท างาน เป็นทีมเพื ่อให้เกิดความพอใจของผู้ร ่วมงานด้วย ซึ่งปัจจัยส าคัญก็คือบุคลากรของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ต้องมีคุณธรรม ๔ ประการ คือ . ทาน (Giving; Generosity; Charity) การให้การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละ แบ่งปันช่วยเหลือกัน หรือให้ความรู้ แนะน า ด้วยน้ าใจไมตรี จะช่วยผูกใจคนไว้ได้ การท าทานไม่สูญเปล่า ผู้ให้สิ่งที่น่าพอใจ ย่อมได้รับส่งที่ดีตอบแทน ดังพุทธพจน์ที่ว่า “มนาปทายี ลภเต มนาปํ” ๒๙ อามิสทาน ให้สิ่งของแก่เพื่อนหรือผู้อื่นที่ด้อยกว่าในวันและเวลาอันสมควร ธรรมทานหรือวิทยาทาน การให้ธรรม การให้ความรู้และแนะน าสั่งสอนให้รู้ดีรู้ชั่วหรือ การแนะน าให้รู้ศิลปวิทยาในการประกอบสัมมาชีพ ธรรมทานนั้นเป็นเลิศกว่าทาน ทั้งหลาย อามิสทานช่วยค้ าจุนชีวิตท าให้เขามีที่พึ่งอาศัย แต่ธรรมทานช่วยให้เขารู้จักพึง ตนเองได้ต่อไป๓๐ ๒๘ดูรายละเอียดใน, องฺ. จตุกฺก.(ไทย) ๒ /๓๒/๕๐-๕ ๒๙ดูรายละเอียดใน, องฺ.ปญฺจก.(บาลี) ๒๒/๔๔/๔๕.๓๐พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕ ), หน้า ๗ .


๙๔ ๒. ปิยวาจา (Kindy Speech) ความเป็นผู้น่ารัก พูดอย่างรักกัน วาจาที่รัก คือ วาจาไพเราะอ่อนหวาน มีหางเสียง สมานสามัคคี ซาบซึ้งใจ ท าให้เกิดไมตรีรักใคร่นับถือ๓ จะเห็นได้ว่า การให้แต่เพียงอย่างเดียวนั้นไม่สามารถที่จะท าให้เป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ ของคนทั่วไปได้ จึงต้องรู้จักปราศรัยให้ไพเราะนุ่มนวลน่าฟัง เมื่อฟังแล้วเกิดก าลังใจที่ จะท าความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เปรียบเสมือนน้ าทิพย์ชโลมใจ ประสานใจทุก ๆ ดวงให้เป็นดวง เดียวกัน ๓. อัตถจริยา (Useful Conduct; Rendering Services; Life of Services; Doing Good) การประพฤติประโยชน์ ท าประโยชน์แก่เขา หลักธรรมข้อนี้มุ่งสอนตน ๒ ด้าน คือ การท าตนให้เป็นประโยชน์และการท าในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ตลอดถึงช่วย แก้ไขปรับปรุง ส่งเสริมในด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้เป็นประโยชน์แก่สังคม เป็นต้น การท าตนให้เป็นประโยชน์คือ ท าตนให้มีคุณค่าในสังคมที่ตนอาศัยอยู่ด้วยการตั้งใจ ศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนอบรมตนให้เป็นคนเจริญด้วยความรู้ ความสามารถ มีคุณธรรม การท าในสิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ เมื่อท าตนให้เป็นประโยชน์แล้วก็ต้องสร้างตนให้เป็น ประโยชน์กับผู้อื่นด้วยการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่นิ่งดูดาย มีน้ าใจไมตรีต่อกัน บ าเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามสติก าลังความสามารถ ๔. สมานัตตตา (Even and Equal Treatment; Equality Consisting in impartiality, Participation and Behaving Oneself Properly In All Circumstances) เอาตัวเข้าสมาน คือการท าตนเสมอต้นเสมอปลาย ตลอดถึงวางตน เหมาะสมแก่ฐานะภาวะ บุคคลเหตุการณ์ และสิ่งแวดล้อมในเวลานั้น๓๒ การวางตนให้สม กับฐานะที่ตนมีอยู่ในสังคมและท าอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ปฏิบัติตนอย่างสม่ าเสมอต่อ คนทั้งหลาย ให้ความเสมอภาค ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เสมอในสุขและทุกข์ ร่วมรับรู้ ปัญหา และร่วมแก้ปัญหาเพื่อประโยชน์ของสังคมและประเทศชาติ๓๓ เจตนย์ ศรีวังพล ได้ศึกษาเรื่อง “การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการท างานจิต อาสาของอาสาสมัคร สวพ. ๙ ” พบว่า หลักพุทธธรรมเกี่ยวกับจิตอาสาในพุทธศาสนา พบหลักธรรมที่ใช้ คือ ) พรหมวิหาร ๔ หลักธรรมประจ าใจ ได้แก่ เมตตา อุเบกขา ๒) สังควัตถุ ๔ หลักธรรมเพื่อการสงเคราะห์สังคม ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา ๓ ดูรายละเอียดใน, ขุ.อิติ. (ไทย) ๒๕/๙๘/๔๗๓.๓๒เรื่องเดียวกัน, หน้า ๗ .๓๓พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), ธรรมนูญชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ ๘๐, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์สวย จ ากัด, ๒๕๕๐), หน้า ๙.


๙๕ สมานัตตตา มาสงเคราะห์สังคมเพื่อให้คนในสังคมได้รับประโยชน์ ทั้งประโยชน์ตนคือ ความสุขใจ คือเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจ ท าให้เห็นถึงสัจธรรมของชีวิต ให้อภัย มากขึ้นทุกข์น้อยลง๓๔ พัฒนสรณ์ เกียรติฐิติคุณ ได้ศึกษาเรื่อง “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรม ในการพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจ กรุงเทพมหานคร” พบว่า การน าหลักสังคหวัตถุมาบูรณาการการพัฒนาเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร เช่น ปิยวาจา หมายถึง การพูดจาสุภาพอ่อนน้อม จริงใจ แนะน าสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ความรู เหมาะเวลา สร้างมนุษย์สัมพันธ์กับผู้พบเห็นด้วยความยิ้มแย้ม มีอัธยาศัยดีสามารถ ประชาสัมพันธ์แนะน าเส้นทางและสถานที่ส าคัญต่าง ๆ ให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชน ผู้สัญจรไปมาให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวด้วยความเต็มใจประดุจญาติมิตร มีความรู เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย และ อัตถจริยา หมายถึง จิตอาสา ความกระตือรือร้น ต่อบทบาท หน้าที่ การมีจิตส านึกในการปฏิบัติงาน ขวนขวายต้องการช่วยเหลือ โดยการจัดเวรออก ตรวจเป็นระยะสม่ าเสมอเพื่อคอยสอดส่องดูแล ประชาชนในพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือ และมีความกระตือรือร้นในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานี ต ารวจ การไฟฟ้า การประปา ดับเพลิง หน่วยรถพยาบาลเคลื่อนที่ เป็นต้น๓๕ พระมหาสมบัติ ธนปัญโญ ได้ให้ทรรศนะว่า ยุทธศาสตร์การท างานเป็นทีมการ บริหารงานในสถานศึกษาเป็นเรื่องของบุคลากรทุกคนในสถานศึกษา มิใช่เป็นเรื่องของคน ใดคนหนึ่ง และไม่ใช่เป็นการด าเนินงานแบบต่างคนต่างท า แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้อง ท างานร่วมกันอย่างต่อเนื่องและมีความเชื่อมโยงระหว่างงานในด้านต่าง ๆ ของสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นงานวิชาการ งานงบประมาณ งานบริหารงานบุคคลและงานงานบริหารทั่วไป เพื่อให้การด าเนินงานบรรลุเป้าหมายหรือมาตรฐานด้านการศึกษา จะต้องร่วมกันก าหนด เป้าหมาย วางแผนการท างาน ออกแบบการประเมินตนเอง เพื่อพัฒนาการด้านการศึกษา ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้บริหารหรือบุคลากรบางคน ก็ยังสามารถด าเนินการ ๓๔เจตนย์ ศรีวังพล, “ศึกษาการประยุกต์หลักพุทธธรรมในการท างานจิตอาสาของ อาสาสมัคร สวพ.๙ ”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐), บทคัดย่อ.๓๕พัฒนสรณ เกียรติฐิติคุณ, “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา รัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๒๓๙-๒๔๐.


๙๖ ต่อไปได้เพราะทีมงานยังอยู่ เพราะอาศัยหลักพุทธธรรม คือ หลัก “สังคหวัตถุ ๔” และหลักธรรมาภิบาล๓๖ สรุปได้ว ่า การให้ท างานเป็นทีมของบุคลากรในองค์กร ต้องค านึงถึงความ เสียสละส่วนรวม รู้จักพูดเชื่อมสามัคคีในการท างานเป็นทีม รู้จักวางตนให้เหมาะสม และท างานให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม รู้จักยอมรับความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน อย่างเต็มใจ การน าหลักธรรมสังคหวัตถุ ๔ มาประยุกต์ใช้ในการท างานเป็นทีม จะได้ท า ให้เกิดประสิทธิภาพงานการท างานมากขึ้น จากหลักพุทธธรรมที่ได้น ามาอธิบายในเบื้องต้นนั้น ผู้วิจัยได้คัดเลือกหลัก อิทธิบาท ๔ เพื่อน ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสมรรถนะหลักของบุคลากรของโรงเรียน พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา เนื่องจากหลักอิทธิบาท ๔ มีความสอดคล้องกับ สมรรถนะหลักทั้ง ๕ ด้าน ได้แก่ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริการที่ดี การพัฒนาตนเอง คุณธรรมและจริยธรรม และการท างานเป็นทีม ผู้วิจัยได้สังเคราะห์กรอบการจัดท า เครื่องมือการวิจัย ไว้ ๕ ด้าน ดังนี้ ด้านที่ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามหลักอิทธิบาท ๔ หมายถึง ความมุ่งมั่นจะปฏิบัติ ภาระตามหน้าที่ให้ดีมีคุณภาพ ถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์โดยมี การวัดผล การปฏิบัติงานด้วยตัวชี้วัดอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ ด้านที่ ๒ การบริการที่ดีตามหลักพรหมวิหาร ๔ หมายถึง การที่บุคลากรของ โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา มีความตั้งใจ พยายาม ยินดีปรับปรุงระบบ บริการให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสนองความต้องการและความพึงพอใจต่อผู้รับบริการโดย เสมอภาค ด้านที่ ๓ การพัฒนาตนเองตามหลักไตรสิกขา หมายถึง การที่บุคลากรขององค์กร รักการศึกษา ขยันหมั่นเพียร ตั้งใจค้นคว้า หาความรู้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองให้ดีขึ้น และสามารถด าเนินกิจกรรมตรงตามเป้าหมาย ด้านที่ ๔ คุณธรรมและจริยธรรมตามหลักศีล ๕ หมายถึง แนวปฏิบัติของบุคลากร ในองค์กร ซึ่งตั้งใจจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มุ่งมั่นท าประโยชน์ ต่อตนเอง ผู้อื่นสังคมและ องค์กร ๓๖พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ, “ยุทธศาสตร์เชิงพุทธในการบริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา”, ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา, (บัณฑิต วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘), หน้า ๓๐๐.


๙๗ ด้านที่ ๕ การท างานเป็นทีมตามหลักสังคหวัตถุ ๔ หมายถึง การปฏิบัติงานร่วมกัน ขององค์กร ให้ส าเร็จสมบูรณ์ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ร่วมกัน โดยใช้ความสามารถของแต่ละ บุคคลให้ท างานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลประโยชน์ของหน่วยงาน ๔.๖ สรุป การพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักธรรมพุทธศาสนา เป็นสิ่งส าคัญยิ่งส าหรับผู้น าใน การที่จะบริหารองค์การต่าง ๆ เพราะผู้น าต้อง อาศัยภาวะผู้น าเป็นปัจจัยขับเคลื่อนใน การพัฒนาองค์การนั้น ๆ และในขณะเดียวกันผู้น าควรเป็นผู้ที่มี หลักธรรมในการบริหาร ชุมชนหรือองค์การให้มีความสุข ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง และเป็นผู้ที่สามารถ ไกลเกลี่ยข้อ พิพาทที่เกิดขึ้นได้คุณลักษณะของบุคคลที่มีภาวะผู้น าจะต้องมีคือ คุณลักษณะภายนอก คุณลักษณะภายใน และมีความแตกต่างจากบุคคลอื่น มีความสามารถท าให้ผู้อื่นคล้อยตาม เคารพเชื่อ ฟัง และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานมีรูปแบบ โดยใช้วิธีการ บริหารที่สอดคล้องกับ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ถือว่าหลักธรรมที่สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบเป็นหลัก ปฏิบัติที่สามารถน ามาใช้พัฒนาภาวะผู้น าได้เป็น อย่างดีดังนั้น ผู้น าทางพระพุทธศาสนาควรเป็นผู้รู้จัก และควรประยุกต์ใช้หลักธรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับผู้ปกครองหรือผู้น าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก รวมทั้ง ควรมีความอดทนอดกลั้นมี จิตใจหนักแน่นมั่นคง เป็นผู้น าที่เน้นคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ความ ซื่อสัตย์ มีความ ละอายแก่ใจตนเอง โดยไม่ท าความชั่วและเกรงกลัวผลของความชั่วยอมรับฟังความคิดเห็น ของคนอื่น โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สุขแก่ปวงชนหรือหมู่คณะ เป็นผู้เสียสละเพื่อประโยชน์ ส่วนรวม ตามสมรรถนะทั้ง ๕ ด้าน คือ การมุ่งผลสัมฤทธิ์การบริการที่ดี การพัฒนา ตนเอง คุณธรรมและจริยธรรม และการท างานเป็นทีม สรุปท้ายบทเรื่องการพัฒนาภาวะผู้น าตามหลักธรรมพุทธศาสนาสอดคล้องกับ งานวิจัยเรื่องการศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้น าเชิงพุทธของผู้บริหารโรงเรียน มัธยมศึกษา อ าเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา ของผู้เขียนและคณะ ได้เสนอผลการวิจัย พบว่า การศึกษาคุณลักษณะการบริหารงานตามหลักทุติยปาปณิกสูตรของผู้บริหาร โรงเรียนมัธยมศึกษาอยู่ในระดับมาก รายด้านมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เรียงล าดับ จากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านนิสสยสัมปันโน ด้านวิธุโร ด้านจักขุมา เสนอแนวทางการ พัฒนาผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล วางแผนให้มีความรอบครอบ กล้าตัดสินใจ มี ความคิดสร้างสรรค์ก าหนดทิศทางมีทักษะด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีประสบการณ์ มีความ ขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝน ตั้งใจอดทน ให้ความช่วยเหลือ มองโลกในแง่บวก สร้าง


๙๘ ความสัมพันธ์ มีจิตอาสา ซื่อสัตย์ จริงใจ มีสัจจะ มีใจเป็นกลาง ส่งเสริมการศึกษา หลักธรรมปาปณิกสูตรมาประยุกต์ใช้ มีใจผูกพันกับงาน สร้างมิตรภาพ ให้การช่วยเหลือ ผู้อื่นและยกย่องให้เกียรติผู้อื่น ๔.๗ เอกสารอ้างอิงประจ าบท คติยา อายุยืน. การพัฒนาสมรรถนะการสั่งสมความเชี่ยวชาญในงานอาชีพตามหลัก พุทธธรรม. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. จ านงค์ อดิวัฒนสิทธิ์. สังคมวิทยาตามแนวพุทธศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕. เจตนย์ ศรีวังพล. “ศึกษาการประยุกต์หลักพุทธธรรมในการท างานจิตอาสาของอาสาสมัคร สวพ. ๙ ”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐. เฉลียว รอดเขียว และคณะ. “การประยุกต์หลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ชาวบ้านในชุมชนตลาดวัดพระศรีรัตนมหาธาตุอ าเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก”. รายงานการวิจัย. สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๙. ณัฐชนันตร์ อยู่สีมารักษ์. “รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามหลักพุทธธรรมของ สถานศึกษาของรัฐสังกัดกรุงเทพมหานคร”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙. บุญมี แท่นแก้ว. จริยศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๙. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). ธรรมนูญชีวิต. พิมพ์ครั้งที่ ๘๐. กรุงเทพมหานคร: บริษัทพิมพ์สวย จ ากัด, ๒๕๕๐. พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙. พระเมธีวราภรณ์ (สุทัศน์ วรทสฺสี). เบญจศีลเบญจธรรม: อุดมชีวิตของมนุษย์. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ต้นบุญ, ๒๕๕ .


๙๙ พระมหาสมบัติ ธนปญฺโญ. “ยุทธศาสตร์เชิงพุทธในการบริหารโรงเรียน พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหาร การศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. พุทธทาส อินทปัญโญ. คู่มือมนุษย์. กรุงเทพมหานคร: ธรรมสภา, ๒๕๕๙. พัฒนสรณ์ เกียรติฐิติคุณ. “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมในการพัฒนาประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร”. ปริญญาพุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๐. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. ______. พระไตรปิฎก ฉบับภาษาบาลี เตปิฏก . กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. มยุรี ค าปาเชื้อ. “รูปแบบการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาบุคลากรสาย สนับสนุนวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏในกรุงเทพมหานคร”. ปริญญาพุทธ ศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙. วาสิตา เกิดผลประสพศักดิ์. “แบบจ าลองการบริหารเชิงพุทธบูรณการขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. วีรชัยอนันต์เธียร. “กลยุทธ์การพัฒนาจริยธรรมสาหรับเยาวชนไทย”. ปริญญาพุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘. สุรพล สุยะพรหมและคณะ. พื้นฐานการจัดการ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕. สุปรียา ธีรสิรานนท์. “การศึกษาวิเคราะห์พัฒนาการการเรียนรู้ในกรอบของไตรสิกขากับ ทฤษฎีการเรียนรู้ของสกินเนอร์”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา พระพุทธศาสนา. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘.


๐๐ อากาศ อาจสนาม. “รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะพยาบาลเชิงพุทธบูรณาการของ พยาบาลสังกัดกรมแพทย์ทหารเรือ”. ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขา วิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย, ๒๕๕๘. อัจฉรา หล่อตระกูล. “การพัฒนาสมรรถนะพนักงานมหาวิทยาลัยของรัฐ”. ปริญญา พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙.


บทที่ ๕ การบูรณาการภาวะผู้น าทางการศึกษา ********* ความน า คุณลักษณะของผู้น าตามหลักพระพุทธศาสนา และภาวะผู้น าเชิงพุทธเป็น กระบวนการอิทธิพลที่ผู้น ามีต่อบุคคลหรือกลุ่มเพื่อน าไปสู่ความส าเร็จ ตามจุดหมาย หรือเป้าประสงค์ (Goals) ที่ทุกคนเต็มใจและพึงพอใจร่วมกันโดยการปฏิสัมพันธ์ ถ่ายทอด แนวคิดไปสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องของกระบวนการที่เกี่ยวข้องและมีอิทธิพล ต่อกันระหว่างผู้น า (Leaders) ผู้ตาม (Follows) และสถานการณ์/งาน ล้วนแล้วแต่มี ความส าคัญต่อการพัฒนาคน พัฒนาประเทศสรุปว่า ภาวะผู้น า ก็คือ คุณสมบัติ เช่น สติปัญญาความดีงาม ความรู้ ความสามารถของบุคคล ที่ชักน าให้คนทั้งหลายมา ประสานกันและพากันไปสู่จุดหมายที่ดีงามและกล่าวถึงลักษณะผู้น าไว้ ๓ ข้อ คือ มอง กว้าง คิดไกล และใฝ่สูง หากพิจารณาถึงสังคมของประเทศไทยพระพุทธศาสนาถือเป็นศาสนาหลัก ประจ าชาติการน าเอาหลักธรรมค าสั่งสอนของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ก็น่าจะเอื้อ กับวัฒนธรรมไทยไม่มากก็น้อย การน าหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ก็เพื่อการเป็นผู้น าที่ดีและ ค าสั่งสอนที่ส าคัญ ๆ ของพระพุทธองค์ที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะของผู้น าที่ดีหรือวิถีทาง ของการที่จะเป็นผู้น าที่ดีเพื่อใช้ส าหรับเป็นแนวทางที่จะน าไปปฏิบัติได้แก่ ทศพิธราชธรรม ๐ ประการ, อธิษฐานธรรม ๔, พรหมวิหารธรรม ๔, อคติ ๔, คิหิสุข ๔, สังคหะวัตถุ ๔, ขันติ โสรัจจะ หิริ โอตตัปปะ, อิทธิบาท ๔, เวสารัธชกรณะ ๕, ยุติธรรม ๕, อปริหานิยธรรม ๗, นาถกรณธรรม ๐, กัลยาณมิตรธรรม ๗ และบารมี ๐ ประการ (ทศบารมี) ซึ่งสามารถน ามาประยุกต์ใช้กับการบริหารและจัดการเป็นพุทธบูรณาการภาวะผู้น าทาง การศึกษาสมัยใหม่ได้ ๕. ความหมายของภาวะผู้น า ๕.๒ การปรับกระบวนทัศน์ใหม่กับการพัฒนาภาวะผู้น า ๕.๓ ความเป็นมาของบทบาทผู้น าในกระบวนทัศน์ใหม่ ๕.๔ กลยุทธ์การบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า ๕.๕ เทคนิคการบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า พระธรรมปิฎก (ป .อ. ปยุตโต), ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคนพัฒนาประเทศ, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๕๖), หน้า ๓.


๐๒ ๕.๖ กระบวนการบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า ๕.๗ สรุป ๕.๑ ความหมายของภาวะผู้น า ภาวะผู้น าเป็นสิ่งส าคัญยิ่งส าหรับผู้น าในการที่จะบริหารองค์การต่าง ๆ เพราะ ผู้น าต้องอาศัยภาวะผู้น าเป็นปัจจัยขับเคลื่อนในการพัฒนาองค์การนั้น ๆ และใน ขณะเดียวกันผู้น าควรเป็นผู้ที่มีหลักธรรมในการบริหารชุมชนหรือองค์การให้มีความสุข ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง และเป็นผู้ที่สามารถไกล่เกลี่ยข้อพิพาทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้คุณลักษณะ ของบุคคลที่มีภาวะผู้น าจะต้องมีคือ คุณลักษณะภายนอก คุณลักษณะภายใน และมีความ แตกต่างจากบุคคลอื่น มีความสามารถท าให้ผู้อื่นคล้อยตาม เคารพเชื่อฟัง และพร้อมที่จะ ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงานมีรูปแบบ โดยใช้วิธีการบริหารที่สอดคล้องกับ หลักธรรม ทางพระพุทธศาสนาที่ถือว่าหลักธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบเป็นหลัก ปฏิบัติที่สามารถน ามาใช้พัฒนาภาวะผู้น าได้เป็นอย่างดี ดังนั้น ผู้น าทางพระพุทธศาสนาควรเป็นผู้รู้จักและควรประยุกต์ใช้หลักธรรม ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับผู้ปกครองหรือผู้น าที่ปรากฏในพระไตรปิฎก รวมทั้งควรมีความอดทน อดกลั้นมีจิตใจหนักแน่นมั่นคง เป็นผู้น าที่เน้นคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ความซื่อสัตย์ มีความละอายแก่ใจตนเอง โดยไม่ท าความชั่วและเกรงกลัวผลของความชั่ว ยอมรับฟัง ความคิดเห็นของคนอื่น โดยมุ่งให้เกิดประโยชน์สุขแก่ปวงชนหรือหมู่คณะ เป็นผู้เสียสละ เพื่อประโยชน์ส่วนรวม๒ ค าว่า ผู้น า เป็นการมองเน้นที่ตัวบุคคล มักจะได้ยินค าพูดที่ใช้เรียกแทนผู้น าไป ในทิศทางที่ต่างกันและมีขอบเขตที่กว้างขวางตามทัศนะของผู้พบเห็น เพื่อความเข้าใจ ความหมายเกี่ยวกับผู้น าให้ชัดเจน นักวิชาการได้ให้นิยามความหมายไว้หลายท่านพอ สังเขป ดังต่อไปนี้ คุณลักษณะผู้น า หมายถึงองค์ประกอบทั้งภายนอกและภายในที่ผู้น าควรมี เช่น องค์ประกอบภายนอก เช่น บุคลิกภาพที่แสดงออก องค์ประกอบภายใน เช่น การมี วิสัยทัศน์กว้างไกล บทบาทผู้น า หมายถึง สิ่งที่ผู้น าแสดงออกมาในการบริหาร และการจัดการ ต่าง ๆ ภายในองค์กร เพื่อให้องค์กรปฏิบัติภารกิจได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ๒ บรรจบ บรรณรุจิ, “ภาวะผู้น าเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา”, วารสารครุศาสตร์ ปริทรรศน์ฯ – ๖๐, (ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๕๙), หน้า .


๐๓ การน าหลักธรรมของพระพุทธศาสนา เพื่อน าไปใช้ในการด ารงชีวิตประจ าวัน ตามลักษณะของปัญหาตามสติปัญญา และความประสงค์ของแต่ละบุคคล ดังนั้นระดับ ค าสอนของพระพุทธศาสนาจึงมีหลายระดับทั้งที่เป็นสัจธรรมเบื้องต้นเบื้องกลางและเบื้อง สูง มีทั้งส่วนที่เรียกว่า เป็นโลกิยธรรมและโลกุตรธรรม เป็นต้น๓ การน าหลักธรรมมาใช้กับการแก้ปัญหาของสังคมถือเป็นสิ่งส าคัญในสังคมไทย ปัจจุบัน ในสังคมทุก ๆ สังคมย่อมมีผู้น าซึ่งเป็นผู้มีความรู้และความสามารถในการน า สมาชิกไปสู่เป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ร่วมกัน สังคมไทยก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีผู้น าที่มีภาวะ ผู้น าเชิงพุทธ หมายถึง ผู้ที่มีความรอบรู้รอบคอบ มีวิสัยทัศน์ มีความรู้ความสามารถ รับผิดชอบในการท างาน มีทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล มองผู้ใต้บังคับบัญชา ในแง่ดี มีความยุติธรรม มีหัวใจพระพรหม รู้รักสามัคคี มีความเสียสละ ไม่มีมานะทิฐิ ปราศจากอคติ ซึ่งคุณธรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องมีอยู่ในตัวของผู้น าที่จะท าให้เกิด ประโยชน์และประสิทธิภาพสูงสุดในการท างาน ด้วยการบริหารตน การบริหารคน และ การบริหารงานใน องค์กรตามแนวทางของพระพุทธศาสนาถือว่าการที่จะเป็นผู้น าที่มีภาวะ ผู้น าเชิงพุทธที่ดีนั้น ต้องมีคุณสมบัติตามหลักพุทธธรรม ผู้น าที่มีภาวะผู้น าเชิง พุทธที ่จะน าบุคคลอื่นนั้น ตามรอยพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นผู้ที่มีความส าคัญมาก ยิ่งองค์กรมีขนาดใหญ่เท่าใด ความส าคัญของผู้น าที่มีภาวะผู้น าเชิงพุทธ ที่มีต่อสมาชิก ในองค์กรก็ยิ่งทวีความส าคัญมากขึ้น องค์กรใดได้ผู้น าที่มีภาวะผู้น าเชิงพุทธที่ดีองค์กรนั้น ก็จะดีไปด้วย ในทางตรงกันข้ามองค์กรใดได้ผู้น าที่ไม่มีภาวะผู้น าเชิงพุทธ องค์กรนั้นก็ต้อง ประสบกับความยากล าบากในการบริหารงานขององค์กรนั้น ๆ ในระบบการบริหารงาน ของทุก ๆ องค์กร กลไกส าคัญที่จะท าให้ด าเนินการไปสู่ จุดหมายที่ดีงามก็คือ “ผู้น า” ทั้งนี้ เนื่องจากผู้น ามีบทบาทในการก าหนดนโยบายการบริหาร การจัดการรวมถึง ความคิดริเริ่มในการวางแผน การบริหารก ากับการและด าเนินการปรับปรุงแก้ไข ปัญหา ต่าง ๆ ให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายขององค์กร ผู้น าจึงเป็นผู้มีอิทธิพลที่สามารถส่งผล กระทบต่อความเป็นไปในองค์กรในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านที่เกี่ยวกับการบริหารและ งานบุคคล ภาวะผู้น าหรือความเป็นผู้น า (Leadership) นั้นเป็นกระบวนการที่ผู้บริหารจะ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้อื่น ปัจจัยที่ส าคัญยิ่ง อย่างหนึ่งแห่งความส าเร็จของการท าหน้าที่ ผู้น าก็คือ การเป็นผู้ประกอบด้วยภาวะผู้น าที่ดีเหมาะสม ถูกต้อง ดังนั้น ในทุกองค์กรจึงจ าเป็นต้องมีผู้น าที่ดี การบริหารสถานศึกษา ให้เกิด ประสิทธิภาพตามความมุ่งหมายของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ผู้บริหารต้อง ๓ สมบูรณ์ สุขส าราญ, “พุทธศาสนากับการเมือง”, วารสารสังคมศาสตร์, (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๔๓), หน้า ๘.


๐๔ ใช้ภาวะผู้น า กระจายความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรมไปสู่ผู้ใต้บังคับบัญชาในหน่วยงาน ของตน ผู้บริหารในยุคโลกาภิวัตน์จึงจ าเป็นต้องใช้ภาวะผู้น าให้เหมาะสมกับการ เปลี ่ยนแปลงต ่าง ๆ โดยต้องสามารถปรับตัว และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้อย่าง เหมาะสมกับทุกสถานการณ์และใช้ความรู้ความสามารถของตนให้เกิดประโยชน์แก่ การบริหารงานอย่างมีประสิทธิผลด้วย ผู้บริหารที่ดีควรมีความสามารถในการ บริหารงานโดยให้บุคลากรร่วมมือปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจ และเต็มความสามารถ ผู้บริหารต้องมีความสามารถ สร้างขวัญและก าลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความ พึงพอใจใน งาน เกิดความรักความศรัทธาในหน่วยงาน เสียสละเพื่องาน ทุ่มเทก าลังกาย ก าลังใจ ก าลังความคิดสติปัญญา หาทางปรับปรุงให้งานนั้นเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น๔ ผู้บริหารองค์การจึงจ าเป็นที่จะต้องมีภาวะผู้น า ทั้งนี้เนื่องจากภาวะผู้น าจะเป็น ภาวะที่มีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่น ๆ ในองค์การ ซึ่งบุคลากรในองค์การจะให้ความ ร่วมมือปฏิบัติงาน จนบรรลุเป้าหมายได้มากน้อยเพียงใดผู้น าที่ดีจึง ต้องใช้ภาวะผู้น าของ ตนในการอ านวยการให้ภารกิจหน้าที่ด าเนินไปด้วยความเรียบร้อย บรรลุวัตถุประสงค์ สมกับที่ว่าให้ได้ทั้งผลงานและให้ได้ทั้งใจ ดังนั้นภาวะผู้น าจึงเป็นปัจจัยที่ส าคัญยิ่งต่อ การบริหารงานเพราะผลงานด้านต่าง ๆ ขององค์การ มีส่วนสัมพันธ์กับคุณภาพของ ความเป็นผู้น าความเป็นผู้น าจะเป็นสิ่งส าคัญยิ่งส าหรับความส าเร็จของงานต่าง ๆ ของ องค์การ เพราะถ้าหากองค์การใดได้ผู้บริหารหรือผู้น าที่มีคุณภาพเข้าไปบริหารงาน แล้วย่อมเป็นหลักประกันได้ว่า องค์การนั้นต้องได้รับการพัฒนาและเจริญรุ่งเรือง แน่นอนผู้น าเป็นดุจดวงประทีปขององค์การเป็นตัวแทนขององค์การและเป็นจุดรวมพลัง ของคนในองค์การ ดังนั้น ผู้น าจะต้องรับผิดชอบทั้งบุคลากรในองค์การและผลงานที่เกิดขึ้นโดยการ ปรับตัวเพื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงหรือเพื่อรักษาสถานภาพและบทบาทของตัวเองให้ ชัดเจน ผู้บริหารในสถานศึกษามีตั้งแต่ ระดับพื้นฐาน ระดับต้นไปสู่ระดับสูง แต่ละระดับ ย่อมมีความส าคัญทั้งสิ้น เปรียบเสมือนผู้ควบคุมกลไกขับเคลื่อนสิ่งต่าง ๆ ไปทุกส่วน ดังนั้น ผู้บริหารทุกระดับจึงมีความส าคัญไม่แพ้กัน ซึ่งบุคคลเหล่านี้นอกจากจะมีลักษณะ ต่าง ๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้บริหารทั้งด้านบุคลิกภาพ ความรู้ความสามารถ มีบารมี อ านาจที่น่าเกรงขาม เป็นผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้อาวุโสก็ตามแต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ๔ กมล รักสวน, “ความพึงพอใจในการท างานของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย”, วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๔), หน้า ๔๒.


๐๕ ภาวะผู้น าที่จะต้องน าพาสถานศึกษา ครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้องไปสู่การพัฒนาเพื่อให้ บรรลุผลตามเป้าหมายของ การศึกษาชาติ๕ ๕.๒ การปรับกระบวนทัศน์ใหม่กับการพัฒนาภาวะผู้น า ศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนาภาวะผู้น า ส าหรับประเทศไทยนั้นยังอยู่ในระหว่าง เปลี่ยนผ่านเหมือนกระบวนทัศน์อีกหลาย ๆ อย่างที่ยังไม่ตกผลึกในด้านปรับกระบวน ทัศน์ และยังมีแนวคิดที่ไม่ชัดเจนพลเมืองทุกคนมีความรู้สึกยากล าบากและก่อให้เกิด ความขัดแย้ง และเมื่อถึงวิธีการจัดการความขัดแย้งในกระบวนการที่ใช้กระบวนการ แก้ปัญหาข้อพิพาททางเลือกหรือการเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลางก็เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ใหม่ที่สังคมยังไม่ค่อยเข้าใจ และก็ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่จะสามารถท าการทดลองช้า โดยใคร ๆ ก็ได้เพื่อให้ได้ผลมาเหมือนกัน แต่เป็นกระบวนการทางสังคมที่ต้องการทักษะ เฉพาะตัวที่ต้องฝึกฝนเหมือนกับกระบวนทัศน์ทางกีฬา ทางดนตรี และอีกหลาย ๆ อย่าง ดังนั้น ส าหรับการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงจ าเป็นต้องพัฒนาบทบาทของผู้น าแต่ละองค์กร ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างผู้น าที่เป็นคนกลางที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ในกระบวนทัศน์ใหม่ โดยมุ่ง พัฒนาแก่นส าคัญ ประกอบด้วย ระบบคุณธรรม ระบบผลงาน และระบบสมรรถนะ โดย ผู้น าองค์กรที่เป็นคนกลางนั้น จะต้องประกอบไปด้วยบทบาทส าคัญ ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์ การมีการวางกลยุทธ์การมีศักยภาพเพื่อน าการปรับเปลี่ยนความสามารถต่อการควบคุม ตนเอง และการใช้อ านาจแก่ผู้อื่น ความเป็นผู้น าที่ให้คุณค่ากับศักยภาพและการพัฒนา “ด้านใน” เพื่อก้าวข้าม มายาคติ ความคิด และความเชื่อเดิม ๆ ของผู้น าเชิงอ านาจ หันกลับมาพัฒนาความ สามารถเชิงการสะท้อนย้อนมองตนเอง การเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง การเรียนรู้ใหม่และ เปลี่ยนแปลงตนเอง และความรับผิดชอบ ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น สังคม และสิ่งแวดล้อม รอบตัว สภาวะการน าแห่งอนาคตจึงเน้นความเป็นผู้น าแบบรวมหมู่และหลากหลายที่ต้อง ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์มีจิตส านึกและความประพฤติที่ซื่อตรง มุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวม และสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างมีพลัง ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคม ผู้น าแห่งอนาคต โดยสมรรถนะของผู้น าสมัยใหม่จะแตกต่างจากสมรรถนะของ ผู้น าแบบเก่า โดยเฉพาะด้านความเชื่อเกี่ยวกับมนุษย์ โดยแบบเก่าจะเชื่อว่ามนุษย์ขาด ๕ ธงชัย สันติวงษ์, องค์การและการบริหารการศึกษาการจัดการแผนใหม่, (กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๙), หน้า ๔๐๓.


๐๖ ความรับผิดชอบ จ าเป็นต้องควบคุมให้ท างาน มนุษย์มีความเป็นปัจเจกชนสูง สามารถ ท างานได้แต่ละบุคคล ส่วนกระบวนทัศน์ใหม่ หรือผู้น าแบบใหม่มีความเชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้ ที่มีความรับผิดชอบและมีความเป็นปัจเจกชนน้อย ต้องท างานเป็นกลุ่มจึงจะท าให้ท างาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จากฐานคติดังกล่าวและอาศัยแนวความคิดจาก Deming’s System of Profound Knowledge 5 Scholes จึงเสนอสมรรถนะของผู้น าสมัยใหม่ เป็น ๔ ประการคือ สมรรถนะที่ มีความสามารถในการคิดเกี่ยวกับระบบและมีความรู้ในการน า ระบบ สมรรถนะที่ ๒ ความสามารถในความเข้าใจความแปรปรวนของงานที่จะต้อง วางแผนและแก้ปัญหา สมรรถนะที่ ๓ เข้าใจวิธีการเรียนรู้ การพัฒนา และการปรับปรุง เพื่อการเรียนรู้ และการปรับปรุงที่แท้จริง สมรรถนะที่ ๔ เข้าใจคนและเหตุผลของพฤติกรรม ดังนั้น การพัฒนาผู้น าและภาวการณ์น ากระบวนทัศน์ใหม่ ที่สามารถรับมือกับ ความเปลี ่ยนแปลงอย ่างพลิกผันทางสังคม มีความอดทนอดกลั้นต ่อสถานการณ์ ยากล าบาก และมีพลังน าพาสังคมให้ฟื้นตัวกลับสู่ความปกติสุขอย่างรวดเร็วและมั่นคง (Resilient Society) “ผู้น าและภาวการณ์น ากระบวนทัศน์ใหม่” จึงทวีความส าคัญมาก ยิ่งขึ้นในสภาวการณ์ปัจจุบันซึ่งการศึกษาครั้งนี้จะท าให้ทราบการแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่ เป็นสมรรถนะที่จ าเป็นต่อการพัฒนาบทบาทของผู้น าแต่ละองค์กรให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้าง ผู้น าที่เป็นคนกลางที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ในกระบวนทัศน์ใหม่ โดยมุ่งพัฒนาแก่นส าคัญ ด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง๖ ๕.๓ ความเป็นมาของบทบาทผู้น าในกระบวนทัศน์ใหม่ สภาวะความเป็นผู้น าที่ให้คุณค่ากับศักยภาพและการพัฒนา “ด้านใน” (SelfLeadership) เพื่อก้าวข้ามมายาคติ ความคิด และความเชื่อเดิม ๆ ของผู้น าเชิงอ านาจ หันกลับมาพัฒนาความสามารถเชิงการสะท้อนย้อนมองตนเอง (Reflexivity) การ เชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง (Connectivity) การเรียนรู้ใหม่และเปลี่ยนแปลงตนเอง (Renewability) และความรับผิดชอบ (Responsibility) ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น สังคม และ สิ่งแวดล้อม รอบตัว สภาวะการน าแห่งอนาคตจึงเน้นความเป็นผู้น าแบบรวมหมู่และ ๖ Locke, H., & Dearden; Thomas, & Ely; Mills; Eddy, & Van Der Linden, 2006.


๐๗ หลากหลาย (Collective หรือ Ecology of Leadership) ที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์มี จิตส านึกและความประพฤติที่ซื่อตรง มุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวม (Ethical Leadership) และสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นอย่างมีพลัง (Transformative Leadership) ทั้งในระดับบุคคล องค์กร และสังคม “ผู้น าแห ่งอนาคต” จึงจะต้อง ประกอบด้วยภารกิจ ๓ ด้านคือ ) สานพลังมุ่งมั่นและเรียนรู้ร่วมกัน (Synergy of Network and Platform) โดยผู้น าแห่งอนาคตจะต้องท าการเชื่อมโยงให้องค์กรหันมาสนใจเรื่องการพัฒนาศักยภาพ ในหลายระดับและมิติ โดยมุ่งเน้นการร่วมหารือและพัฒนาเจตจ านงร่วมกันในการสร้าง เครือข่ายความร่วมมือด้านการพัฒนาและภาวการณ์น าเพื่อฟื้นฟูและสร้างสรรค์ โดย กิจกรรมที่ส าคัญส าหรับผู้น าในกระบวนทัศน์ใหม่ คือ การสร้างเสริมศักยภาพการน า กระบวนทัศน์ใหม่ในบริบทต่าง ๆ ของสังคม รวมทั้งจัดท าชุดสาระความรู้เพื่อการท างาน พัฒนาในระยะยาว และหนุนเสริมให้ทุกบุคคลในองค์กรสามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย เพื่อพัฒนางานร่วมกันต่อไปในอนาคต ๒) การจัดการองค์ความรู้และนวัตกรรม (Knowledge Creation and Innovation) ผู้น าในกระบวนทัศน์ใหม่ที่มีศักยภาพนั้น ควรเป็นบุคคลที่มีการรวบรวม สังเคราะห์ และพัฒนาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นผู้น าและภาวการณ์น ากระบวน ทัศน์ใหม่ที่เหมาะสมสอดคล้องกับการฟื้นฟูและสร้างสรรค์สังคมในปัจจุบันและอนาคต ผ่านการทบทวนวรรณกรรมทั้งจากโลกตะวันตกและตะวันออก เพื่อประมวลองค์ความรู้ พื้นฐานที่เกี่ยวข้อง การส ารวจข้อมูลและสร้างแผนที่ของหลักสูตร องค์กร ชุมชนและกลุ่ม วิชาชีพต่าง ๆ ที่สนใจการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศด้วยกระบวนทัศน์ใหม่โดยเฉพาะ กลุ่มบุคคลองค์กรที่มีบทบาทส าคัญในการขับเคลื่อนสังคม เช่น สื่อมวลชนภาคธุรกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรประชาสังคม หน่วยงานรัฐ หน่วยงานสาธารณสุขพระสงฆ์ นักพัฒนา และภาคีเครือข่ายของ สสส. เป็นต้น รวมทั้งถอดบทเรียนและสังเคราะห์ องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผู้น าจากเครือข่ายองค์กรภาคีและเครือข ่ายผู้จัดท า หลักสูตรพัฒนาผู้น าทั้งในและต่างประเทศนอกจากนี้ ยังมีการสร้างเครือข่ายนักวิจัย รุ่นใหม่ และการจัดประชุมวิชาการ ที่ออกแบบให้มีกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันระหว่าง เครือข่าย เพื่อส่งเสริมให้ประยุกต์ใช้องค์ความรู้จากการท างานเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ ชุมชนวิชาการตื่นตัวเรื่องผู้น าและภาวการณ์น ากระบวนทัศน์ใหม่ ๓) การสื่อสารเพื่อสร้างจินตนาการใหม่ (Creative Communication for Social Change) โดยสื่อสารแนวคิดเรื่องผู้น าและภาวการณ์น ากระบวนทัศน์ใหม่เพื่อ ฟื้นฟูและสร้างสรรค์สังคมออกไปในวงกว้าง เพื่อสร้างจินตนาการใหม่ให้พลเมืองทุกภาค ส่วนตระหนักถึงความส าคัญของเรื่องนี้ ผ่านการสร้างคณะท างานเชิงยุทธศาสตร์และ


๐๘ เครือข่ายผู้น าด้านสื่อและการสื่อสารเชิงสร้างสรรค์ เพื่อแสวงหาแนวทางส่งเสริมให้ สื่อมวลชนเข้าใจเรื่องภาวการณ์น ากระบวนทัศน์ใหม่ และสามารถพัฒนาตนเองให้เป็น ผู้น าของสังคมด้วยศักยภาพดังกล่าว ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า การสนับสนุนการผลิตสื่อสาธารณะเพื่อสร้างจิตส านึกให้ สมาชิกสังคมเห็นคุณค่าของการมีบทบาทร่วมเปลี่ยนแปลงและฟื้นฟูประเทศชาติ นอกจากภารกิจทั้ง ๓ ด้านแล้ว “ผู้น าแห่งอนาคต” ควรเป็นผู้น าที่มุ่งหวังให้เกิดองค์กรที่ ด าเนินงานเรื่องนี้ต่อเนื่องระยะยาว เพื่อท าหน้าที่ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและ พัฒนาองค์ความรู้ รวมทั้งการปฏิบัติงานด้านผู้น าและภาวการณ์น ากระบวนทัศน์ใหม่ใน สังคม เพื่อเป็นเสาหลักหนึ่งในการพัฒนา ฟื้นฟู และสร้างสรรค์ประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป๗ ๕.๔ กลยุทธ์การบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ คือความสามารถในการมีอิทธิพลต่อผู้อื่นในการตัดสินใจ โดยสมัครใจเพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความส าเร็จในระยะยาวขององค์กร โดยยังคง รักษาความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว แนวทางการเป็นผู้น าที่แตกต่างกันมีผลต่อ วิสัยทัศน์และทิศทางการเติบโตและความส าเร็จที่อาจเกิดขึ้นขององค์กร เพื่อให้การ จัดการเปลี่ยนแปลงได้ส าเร็จ ผู้บริหารทั้งหมดจ าเป็นต้องมีทักษะและเครื่องมือในการ ก าหนดกลยุทธ์และการด าเนินงาน การบริหารการเปลี่ยนแปลงและความคลุมเครือต้อง ใช้ผู้น าทางยุทธศาสตร์ที่ไม่เพียงแต่ให้ความล่วงรู้ของทิศทาง แต่ยังสามารถสร้างความ เป็นเจ้าของ และการจัดต าแหน่งภายในกลุ่มงานของตนเพื่อด าเนินการเปลี่ยนแปลง ภาวะผู้น ากลยุทธ์นั้นเป็นภาวะที่ผู้น าแสดงออกในลักษณะสร้างแรงจูงใจแก่ ผู้ร่วมงานให้ใช้ความสามารถที่มีอยู่มาท างานเพื่อให้บรรลุผลส าเร็จของทีมและองค์การ โดยผู้น าจะมีเทคนิคการจูงใจอย่างเหมาะสม โดยเลือกใช้วิธีจูงใจอย่างหลากหลาย และมี ประสิทธิผลเพื่อให้การท างานประสบผลส าเร็จ อีกทั้งแสดงออกถึงการตัดสินใจ และการ ควบคุมการปฏิบัติงานเพื่อให้บรรลุถึงวิสัยทัศน์พันธกิจ และวัตถุประสงค์ขององค์การ ก าหนดบทบาทและทิศทางขององค์การได้อย่างชัดเจน ดังงานวิจัยหลายเรื่อง พบว่า ปัจจัยภาวะผู้น ากลยุทธ์เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาคุณภาพขององค์การ เพราะ ผู้บริหารต้องมีวิสัยทัศน์ มีการก าหนดทิศทางขององค์การ วางแผนกลยุทธ์ และมีการใช้ ความคิดเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนมีการควบคุมอย่างมีกลยุทธ์ ซึ่งจะท าให้เป้าหมายองค์การ ส าเร็จ รวมถึงใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ในการสื่อสารกับผู้ร่วมงาน ให้ความร่วมมือเพื่อบรรลุ ๗ ดวงตา ราชอาษา, “บทบาทของผู้น าในกระบวนทัศน์ใหม่”, วารสารวิชาการแพรวา กาฬสินธุ์, (มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๕๙), หน้า ๘๐.


๐๙ เป้าหมายของการท างานด้วยกันภาวะผู้น ากลยุทธ์จะต้องมีการใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์ เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือพลิกแพลงได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยน ไปเพื่อให้บรรลุตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ อีกทั้งมีการสื่อสารและการเจรจาต่อรองเพื่อท าให้การปฏิบัติงาน เกิดความชัดเจน ทุกคนสามารถท างานด้วยความมั่นใจ ตลอดจนการแก้ปัญหาและการ ตัดสินใจที่ถูกต้องและรวดเร็ว ๑) ความหมายของภาวะผู้น ากลยุทธ์ ภาวะผู้น ากลยุทธ์เป็นการท างานหลายหน้าที่ที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่น และเป็น การช่วยเหลือองค์การในการจัดการการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัตน์ มีมุมมอง ระยะยาวและสร้างความยืดหยุ่นให้องค์การบรรลุเป้าหมาย มีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยมีขอบเขตความรับผิดชอบทั้งองค์การเน้นการใช้แรงจูงใจและมีเทคนิคการจูงใจอย่าง เหมาะสม โดยเลือกใช้วิธีจูงใจอย่างหลากหลาย และมีประสิทธิผลเพื่อให้การท างาน ประสบผลส าเร็จ รวมถึงเป็นบุคคลที่ใช้การสื่อสารอย่างสม่ าเสมอ หลากหลายและเน้น แบบสองทางท างานโดยเน้นกระบวนการในการก าหนดทิศทางและการกระตุ้นสร้างแรง บันดาลใจให้แก่องค์การ ในการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ เพื่อให้องค์การอยู่รอดต่อไปได้ รวมถึงความสามารถในการท านายอนาคตด้วยมีสายตาที่กว้างไกล รักษาความยืดหยุ่น และใจกว้างพอที่จะให้อ านาจหรือรับฟังบุคคลอื่นในการสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลง เชิงกลยุทธ์เท่าที่จ าเป็น การวางแผนกลยุทธ์และการใช้ความคิดเชิงกลยุทธ์น าไปสู่ จุดมุ่งหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ ผู้น ากลยุทธ์มีความสนใจต่อสภาพแวดล้อมภายนอกที่มี ผลกระทบต่อการก าหนดกลยุทธ์ ภาวะผู้น ากลยุทธ์มีความส าคัญมากต่อความส าเร็จของกิจการขององค์การ ช่วยให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นภาพรวมและขอบเขตได้กว้างขวางและชัดเจนเป็น รูปธรรมมากขึ้น เพราะการด าเนินงานเชิงกลยุทธ์จะมีความลึกซึ้งในการวิเคราะห์ปัญหา ในระดับที่มีนัยส าคัญต่ออนาคตขององค์การซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าภาวะผู้น ากลยุทธ์ช่วย จะส่งเสริมและสนับสนุนการก าหนดและการด าเนินกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์การตาม ทิศทางที่ชัดเจนและเป็นเครื่องน าทางที่เป็นรูปธรรมส าหรับสมาชิก โดยช่วยให้สมาชิก เข้าใจในวิสัยทัศน์วัตถุประสงค์และทิศทางที่แน่นอนขององค์การ ไม่ก่อให้เกิดความสับสน หรือความขัดแย้งในการท างาน ท าให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์ต่อองค์การในการสร้างความเข้าใจระหว่าง การท างานและบุคคลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น บุคลากร ชุมชน กลุ่มผลประโยชน์ และ หน่วยงานราชการที่สามารถติดตามตรวจสอบการด าเนินงานและความส าเร็จในการบรรลุ เป้าหมายขององค์การช่วยให้องค์การสามารถด าเนินงานและใช้ทรัพยากรในการแข่งขัน


๐ อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลส าเร็จดีกว่าการบริหารงานตามปกติ เนื่องจากการ ด าเนินงานเชิงกลยุทธ์จะมีการศึกษา วิเคราะห์ และจัดระบบความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ของ องค์การอย่างรัดกุมและชัดเจน ท าให้การด าเนินงานและการจัดสรรทรัพยากรเป็นไป อย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ สามารถวางแผนการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับบริบท ของสังคม มีเทคนิคหรือกลยุทธ์การด าเนินงานให้ประสบผลส าเร็จ โดยเฉพาะการ แก้ปัญหาและการตัดสินใจและดูแลผู้รับบริการอย่างใกล้ชิด๘ ๒) กลยุทธ์บูรณาการในการแก้ปัญหาของผู้น า ในชีวิตประจ าวันทุกคนต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ซึ่งปัญหาที่เกิดนั้นอาจเป็น ปัญหาที่แก้ได้ง่ายหรือเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ในทันที ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ขั้นตอน/วิธีการ และประสบการณ์มาช่วยแก้ปัญหา ถ้ามีความรู้หรือแหล่งความรู้ที่ เพียงพอ เข้าใจกระบวนการแก้ปัญหา มีขั้นตอน/วิธีการที่เหมาะสม จะท าให้สามารถ แก้ปัญหาได้ดีขึ้น ความส าเร็จในการแก้ปัญหานั้น ได้แบ่งประเภทของกลยุทธ์ในการ แก้ปัญหา พอสรุปได้ ดังนี้๙ ( ) การค้นหารูปแบบ เป็นการวิเคราะห์ปัญหาและค้นหาความสัมพันธ์ ของข้อมูลที่มีลักษณะเป็นระบบหรือเป็นรูปแบบในสถานการณ์ปัญหานั้น ๆ แล้วคาด เดาค าตอบ ซึ่งค าตอบที่ได้จะถูกยอมรับว่าเป็นค าตอบที่ถูกต้องเมื่อผ่านการตรวจสอบ ยืนยัน กลยุทธ์นี้มักจะใช้ในปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องจ านวนและเรขาคณิต (๒) การสร้างตาราง เป็นการจัดระบบข้อมูลใส่ในตาราง ตารางที่สร้างขึ้นจะ ช่วยในการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์อันจะน าไปสู่การค้นพบรูปแบบหรือข้อชี้แนะ อื่น ๆ ตลอดจนช่วยให้ไม่หลงลืมหรือสับสนในกรณีใดกรณีหนึ่ง เมื่อต้องแสดงกรณีที่ เป็นไปได้ทั้งหมดของปัญหา (๓) การเขียนภาพหรือแผนภาพ เป็นการอธิบายสถานการณ์และแสดง ความสัมพันธ์ของข้อมูลต่าง ๆ ของปัญหาด้วยภาพหรือแผนภาพ ซึ่งการเขียนภาพหรือ แผนภาพจะช่วยให้เข้าใจปัญหาได้ง่ายขึ้น และบางครั้งสามารถหาค าตอบของปัญหาได้ โดยตรงจากภาพหรือแผนภาพนั้น (๔) การคาดเดาและตรวจสอบ เป็นการพิจารณาข้อมูลและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ปัญหาก าหนด ผสมผสานกับประสบการณ์เดิมที่เกี่ยวข้องมาสร้างข้อความคาดการณ์ ๘ Feldman, Harriet R. & Others. Nursing Leadership, (New York: Springer, 2018), P. 14.๙ Elliott, Stephen N.; et al. Educational Psychology: Effective Teaching, Effective Learning. 3 rd. ed. (Boston: Mc-Graw Hill. 2000), P. 21.


แล้วตรวจสอบความถูกต้องของข้อความคาดการณ์นั้น ถ้าการคาดเดาไม่ถูกต้องก็คาดเดา ใหม่ โดยอาศัยประโยชน์จากความไม่ถูกต้องของการเดาในครั้งแรก ๆ เป็นกรอบในการ คาดเดาค าตอบของปัญหาครั้งต่อไป ควรคาดเดาอย่างมีเหตุผลและมีทิศทางเพื่อให้สิ่งที่ คาดเดานั้นเข้าใกล้ค าตอบที่ต้องการมากที่สุด (๕) การคิดแบบย้อนกลับ เป็นการวิเคราะห์ปัญหาที่พิจารณาจากผลย้อนกลับ ไปสู่เหตุ โดยเริ่มจากข้อมูลที่ได้ในขั้นตอนสุดท้าย แล้วคิดย้อนขั้นตอนกลับมาสู่ข้อมูลที่ได้ ในขั้นตอนเริ่มต้น การคิดแบบย้อนกลับใช้ได้ดีกับการแก้ปัญหาที่ต้องการอธิบายถึง ขั้นตอนการได้มาซึ่งค าตอบ (๖) การเปลี่ยนมุมมอง เป็นการเปลี่ยนการคิดหรือมุมมองให้แตกต่างไปจาก ที่คุ้นเคยหรือที่ต้องท าตามขั้นตอนทีละขั้นเพื่อให้แก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น กลยุทธ์นี้มักใช้ใน กรณีที่แก้ปัญหาด้วยกลยุทธ์อื่นไม่ได้แล้ว สิ่งส าคัญของกลยุทธ์นี้ก็คือ การเปลี่ยนมุมมอง ที่แตกต่างไปจากเดิม ๐ ๕.๕ เทคนิคการบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า องค์การหรือหน่วยงานต่าง ๆ ผู้น า จัดเป็นบุคคลที่มีความส าคัญมากที่สุดต่อ ความส าเร็จหรือล้มเหลวขององค์การ เพราะผู้น าเป็นผู้ที่มีอ านาจและมีอิทธิพลต่อการ บังคับบัญชา การมอบหมายงานให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาในก ากับดูแลให้เป็นไปตาม เป้าหมายขององค์การ ผู้น าต้องเป็นผู้ที่ประสานความต้องการของบุคคล ความต้องการ ของงานและความต้องการขององค์การเข้าด้วยกัน มีนักวิจัยและนักวิชาการได้ท าการศึกษา ถึงภาวะผู้น าอย่างเป็นระบบเป็นระยะเวลานาน โดยที่พยายามค้นคว้าถึงคุณลักษณะ (Traits)ความสามารถ (Abilities) พฤติกรรม (Behaviors) แหล่งที่มาของอ านาจ (Sources of Power) และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับภาวะผู้น า โดยได้ค้นหาวิธีการที่ผู้น าสามารถมีอิทธิพล เหนือผู้ตาม และสามารถท างานให้บรรลุผลส าเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้ ตลอดจน พิจารณาว่าเพราะเหตุใดคนบางคนจึงมีลักษณะเป็นผู้น า ปัจจัยใดเป็นตัวก าหนดวิธีการ ของผู้น า รวมทั้งประสิทธิผลของภาวะผู้น า ดังนั้นจึงได้มีการให้ค านิยามของค าว่า ผู้น า และ ภาวะผู้น า ไว้อย่างหลากหลายกันดังต่อไปนี้ นักวิชาการและนักการศึกษาได้ให้ความหมายของแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้น าและ ความหมายของผู้น า ค าว่า “ผู้น า” ไว้อย่างหลากหลายดังนี้ ๐กัณฑ์กณัฐ สุวรรณรัชภูม์และคณะ, ภาวะผู้น ากลยุทธ์ : รูปแบบของผู้น ายุคใหม่, (กรุงเทพมหานคร: ปัญญาชน, ๒๕๖๔), หน้า ๙.


๒ ชัยเสฏฐ์ พรหมศรีได้ให้ความหมายของภาวะผู้น า ไว้ว่า ผู้น า หมายถึง บุคคล ที่มีหน้าที่ในการดูแลกิจกรรมของบุคคลอื่น หรือเปรียบเสมือนผู้ควบคุมวงดนตรีให้บรรเลง ได้อย่างไพเราะและถูกต้องตามตัวโน้ต ผู้น าต้องให้ในสิ่งที่กลุ่มต้องการเพื่อตอบสนองต่อ ความต้องการในการท างาน และการบรรลุเป้าหมายของกลุ่มและองค์การ เนตรพัณณา ยาวิราช ได้ให้ความหมายของภาวะผู้น า ไว้ว่า ผู้น า หมายถึง บุคคลที่ได้รับการยอมรับ และยกย่องจากบุคคลอื่น เป็นผู้ท าให้บุคคลอื่นไว้วางใจ และให้ ความร่วมมือกับผู้น า เป็นผู้อ านวยการหรือสั่งการ บังคับบัญชา ประสานงานโดยอาศัย อ านาจหน้าที่ (Authority) เพื่อให้กิจการงานบรรลุผู้ส าเร็จตามวัตถุประสงค์ และ เป้าหมายที่ต้องการ ๒ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้ให้ความหมายของภาวะผู้น า ไว้ว่าผู้น า หมายถึง ผู้ชักพาให้คนอื่นเคลื่อนไหว หรือกระท าการในทิศทางที่ผู้น าก าหนด เป้าหมายไว้ ๓ วิโรจน์ สารรัตนะ ให้ความหมายของภาวะผู้น าไว้ว่า ผู้น า หมายถึง ผู้มุ่ง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนวัตกรรม ในทิศทางที่ถูกต้อง (Do the right thing) ความมีประสิทธิผล (Effectiveness) และมีความสามารถจูงใจให้ผู้ปฏิบัติเกิดแรงบันดาล ใจใช้ความสามารถพิเศษได้อย่างเต็มที่ ๔ ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของ ภาวะผู้น า ไว้ว่าหมายถึง คุณลักษณะ บารมี คุณธรรม ความเชี่ยวชาญ และสถานการณ์ของบุคคลหรือต าแหน่ง ที่มีอิทธิพลเชิง สร้างสรรค์ต่อผู้อื่น ท าให้เกิดความร่วมมือยินยอม โดยใช้การบริหารการเปลี่ยนแปลงและ ด าเนินกิจกรรมเพื่อบรรลุเป้าหมายของกลุ่มหรือองค์การ ๕ สัมมา รธนิธย์ ได้ให้ความหมายของ ภาวะผู้น า ไว้ว่าหมายถึง การใช้อิทธิพล ของบุคคลหรือของต าแหน่ง จูงใจให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ปฏิบัติตามความคิดเห็นความ ต้องการของตนด้วยความเต็มใจ ยินดีที่จะให้ความร่วมมือเพื่อจะน าไปสู ่การบรรลุ ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี, ภาวะผู้น าร่วมสมัย, (กรุงเทพมหานคร: ปัญญาชน, ๒๕๕๗), หน้า ๒๔. ๒เนตร์พัณณา ยาวิราช, ภาวะผู้น าและผู้น าเชิงกลยุทธ์, (กรุงเทพมหานคร: ปัญญาชน, ๒๕๕๙), หน้า ๙. ๓พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีบริหาร, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๒๖. ๔วิโรจน์ สารรัตนะ, การบริหาร หลักการ ทฤษฎี และประเด็นทางการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร: ทิพยวิสุทธิ์, ๒๕๕๒), หน้า ๗๗. ๕ราชบัณฑิตยสถาน, ศัพท์ศึกษาศาสตร์, (กรุงเทพมหานคร: อรุณการพิมพ์, ๒๕๕๕), หน้า ๓๒๓.


๓ วัตถุประสงค์ของกลุ่มตามที่ก าหนดไว้ ภาวะผู้น าเป็นความสามารถในการชักจูงหรือโน้ม น้าวผู้อื่นให้ค้นหาหนทางที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ก าหนดให้อย่างกระตือรือร้น และเป็น การผูกมัดหรือหลอมรวมกลุ่มเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วกระตุ้นให้ด าเนินไปสู่ เป้าหมาย ๖ วิเชียร วิทยอุดม ได้ให้ความหมายของ ภาวะผู้น า ไว้ว่าหมายถึง ลักษณะส่วนตัว ของบุคคลที่จะแสดงพฤติกรรมออกมาเมื่อได้มีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่ม เป็นความสามารถที่ เกิดขึ้นระหว่างที่มีการท างานร่วมกัน หรือร่วมอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ในอันที่จะท าให้ กิจกรรมของกลุ่มด าเนินไปสู่เป้าหมายและประสบความส าเร็จ ภาวะผู้น าจะมีมากหรือ น้อยขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และการฝึกฝนของแต่ละบุคคล ๗ พะยอม วงศ์สารศรีได้ให้ความหมายของ ภาวะผู้น า ไว้ว่าหมายถึง กระบวนการที่ บุคคลหนึ่ง (ผู้น า) ใช้อิทธิพลและอ านาจของตนกระตุ้นชี้น าให้บุคคลอื่น (ผู้ตาม) มี ความกระตือรือร้น เต็มใจท าในสิ่งที่เขาต้องการ โดยมีเป้าหมายขององค์การเป็น จุดหมายปลายทาง๑๘ สรุปได้ว่า ภาวะผู้น า หมายถึง บุคคลที่ได้รับการยอมรับจากบุคคลอื่นเพื่อให้มี หน้าที่ดูแลกิจกรรมของบุคคลที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชา ผู้น าเป็นผู้อ านวยการ สั่งการ และต้องตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใต้บังคับบัญชา ตอบสนองความต้องการในการ ท างานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ ที่ส าคัญผู้น าต้องมีความสามารถในการจูงใจให้ ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดแรงบันดาลใจในการใช้ความสามารถในการปฏิบัติอย่างเต็มก าลัง ความสามารถของเขา อีกประการหนึ่ง ภาวะผู้น าไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์ แต่เกิดจากการพัฒนาตัวเอง ให้เกิดการเรียนรู้ เตรียมความพร้อมเพื่อน าไปใช้กับหน้าที่และบทบาทของตัวเองอยู่เสมอ การมีภาวะผู้น าที่สมบูรณ์จะต้องประกอบไปด้วยความพร้อมทางด้านองค์ความรู้ การกล้า ตัดสินใจการน าเสนอและการบริหารทีมงานอย่างมืออาชีพเพราะการพัฒนาภาวะผู้น า เปรียบเสมือนการเริ่มต้นสร้างเมล็ดพันธุ์ดี ที่พร้อมที่จะ เติบโตอย่างมีคุณภาพ จ าเป็นต้อง มีเทคนิคส าคัญเพื่อน าไปพัฒนากระบวนการต่าง ๆ ที่จ าเป็นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๖สัมมา รธนิธย์, หลัก ทฤษฎีและปฏิบัติการบริหารการศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร: ข้าวฟ่าง, ๒๕๕๓), หน้า ๒๔๙. ๗วิเชียร วิทยอุดม, ภาวะผู้น า, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: ธีระฟิล์มและไซเท็กซ์, ๒๕๕๐), หน้า ๓. ๘พะยอม วงศ์สารศรี, องค์การและการจัดการ, (กรุงเทพมหานคร: สุภา, ๒๕๔๒), หน้า ๙๖.


๔ เทคนิคการพัฒนาภาวะผู้น า ๕ ประการ ได้แก่ . การหาเมล็ดพันธุ์ เลือกรูปแบบหรือตัวอย่างของการเป็นผู้น าที่เราชื่นชอบ ศึกษาวิธีการ เทคนิคการ แบบอย่างที่ท าให้ประสบความส าเร็จ หรือการเก็บข้อมูลของ ผู้คนที่หลากหลาย เพื่อน ามาประยุกต์ได้อย่างเหมาะสม ๒. การหาดิน เมื่อพบตัวตนของตัวเองแล้วว่า ต้องการมีภาวะผู้น าแบบไหน ควร พาตัวเองเข้าไปคลุกคลีกับ ผู้คน กิจกรรม เพื่อให้เข้าใจถึงพฤติกรรม วิธีการให้เกิดความ เข้าใจและเข้าถึงความส าคัญของการมีตัวตนในแบบผู้น าที่ดี ๓. การรดน้ าพรวนดิน คือการพัฒนาตัวเอง ฝึกฝน แก้ไข หาข้อดีข้อเสีย ฝึกสร้าง วิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการท างานรวมถึงน ามาปรับใช้กับทีมงานของ ตัวเอง ประเมินผลที่เกิดขึ้น หากยังไม่ดีพอค่อยหาวิธีใหม่ โดยการเพิ่มการเรียนรู้เพื่อให้ เกิดองค์ความรู้ที่มากขึ้นรวมถึงความกล้าในการริเริ่มและการตัดสินในอย่างเฉียบขาด ๔. การก าจัดศัตรูพืช ค้นหาข้อด้อยของตัวเอง เพื่อเปลี่ยนเป็นข้อเด่น เช่น เป็น คนขาดความมั่นใจในตัวเอง อันเนื่องมาจากความคิดในใจที่เราสร้างขึ้นมาเอง คิดว่า คนอื่นเก่งกว่า ท าได้ดีกว่า ฝึกตัวเองให้มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ปรับวิธีคิด ความรู้ใหม่ ๆ บุคลิกภาพ การพูด เพื่อลบข้อด้อยที่เป็นเหมือนอุปสรรคท าให้ขาดการพัฒนาตัวเองได้ น้อยลง ๕. การพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ นอกจากการพัฒนาตัวเองให้มีศักยภาพเชิงผู้น าแล้ว สิ่งส าคัญจะต้องสามารถน าศักยภาพที่มีตัวเองไปพัฒนาผู้อื่น เช่น ลูกน้อง ทีมงาน ให้มี คุณภาพด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารพนักงานในระดับต่าง ๆ การจัดการปัญหาให้ ผ่านไปด้วยความราบรื่น รวมถึงการถ่ายทอดประสบการณ์แก่ผู้น าสายพันธุ์ใหม่และการ ตามเทรนด์ของโลกให้ทัน เพื่อน ามาปรับใช้และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ๕.๖ กระบวนการบูรณาการพัฒนาภาวะผู้น า ถ้าเปรียบเทียบถึงเมล็ดพันธุ์ ก็หมายถึงการคัดเลือกเล็ดพันธุ์ที่ดี การคัดเลือกดิน ที่สมบูรณ์ การรดน้ าพรวนดินและรวมไปถึง การก าจัด "แมลง" ที่เป็นศัตรูพืช สิ่งแรกสุดที่ เราจะต้องท าในการพัฒนา ภาวะ ผู้น า คือ ) การหารูปแบบ (Model) ๒) คลุกคลีกับ สภาพแวดล้อม ผู้น า โดยมีกระบวนการพัฒนาภาวะผู้น า ดังนี้ . ก าหนดรูปแบบของผู้น าที่เราต้องการ ๒. สภาพแวดล้อมการพัฒนา ภาวะผู้น า ๓. การฝึกฝนและเรียนรู้อย่างสม่ าเสมอ ๔. รู้วิธีการขจัดปัญหา และอุปสรรค


๕ ๕. พัฒนาภาวะ ผู้น า และยกระดับอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ๖. พัฒนาวิธีการแรงจูงใจในการสร้างภาวะผู้น า ๗. วางเป้าหมายให้ชัดเจน ศักยภาพภาวะผู้น า ไม่ได้สามารถท าได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการพัฒนา ฝึกฝน ปรับปรุง แก้ไขและเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลา ขณะที่เราศึกษาภาวะการเป็นผู้น า เราควรจะต้องสังเกตดู จดจ า เปลี่ยนแปลง และแก้ไข ให้เป็นในการฝึกฝนเรียนรู้ การเป็นอยู่ ภาวะผู้น า หรือสภาพแวดล้อมใหม่ๆ อุปสรรคในการพัฒนาผู้น า ส่วนมากแล้วอุปสรรค ภาวะ ผู้น านั้น ไม่ใช่ อุปสรรค ภายนอกแต่มักเกิดจากอุปสรรค ภายในนั้นคือ ตัวบุคคลผู้น านั้นเอง คือ การขาดความ มั่นใจในตัวเอง คนหลายคนมีศักยภาพในการเป็นผู้น าที่ดีได้แต่มักขาดความเชื่อมั่นใน ตนเอง และชอบคิดว่าคนอื่นดีกว่าและบางครั้ง ก็ไปให้ความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก มากเกินไปคนที่ไม่กล้าพูดต่อหน้าชุมชน เพราะคิดไปก่อนว่า คนฟังจะเก่งกว่าเรา หรือ กลัวจะพูดผิดบ้าง กลัวจะพูดไม่ได้ดีบ้าง ดังนั้น ศัตรูของการพัฒนาศักยภาพผู้น าที่ส าคัญคือตัวเราเอง คือ ความคิดที่ คิดกลัวในสิ่งที่บั่นทอน ความมั่นใจของเรานั้นเองคนที่มีภาวะผู้น าที่ดี มิได้หมายถึงบุคคล ที่มีลักษณะเป็นผู้น าเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องเป็นคนที่มีการพัฒนาศักยภาพของตนเอง อยู่ตลอดเวลา สามารถดูแลปกครองระดับล่างได้ และต้องพัฒนาตัวเองให้สามารถปกครอง ในระดับสูงได้ เช่นกันภาวะผู้น าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงไป ถ้าผู้น าตามโลกทัศน์ไม่ทัน หรือตามคนที่เป็นผู้ตามไม่ทัน โอกาสที่ผู้น าจะ ตกมาเป็นผู้ตามก็มีสูง การพัฒนาตนเองเพื่อเป็นผู้น าประเภทนี้ เกี่ยวข้องกับทักษะ บุคลิกลักษณะ และ ปัจจัยอื่นอีกหลายอย่าง ได้แก่ ) จริยธรรม (Ethics)ผู้น าที่แท้จริง คือผู้น าที่มีจริยธรรมและไม่เคยประนีประนอม ในความถูกผิด ๒) อ านาจ (Power) ผู้น าทุกคนมีอ านาจ แต่ผู้น าที่แท้จริง รู้ว่าจะใช้อ านาจที่ ถูกต้องเพื่อทีมงานและเป้าหมายที่ต้องการบรรลุได้อย่างไร ผู้น าที่แท้จริง จะเลือกใช้ อ านาจที่เกิดจากความศรัทธาของทีมงานที่เฝ้ามองความเป็นผู้รู้ (Expert power) ของ ผู้น า ผู้น าที่แท้จริง ใช้อ านาจด้วยการท าตัวให้เป็นตัวอย่าง (Leading by example) เมื่อผู้น าท าอย่างที่พูด พวกเขาก็จะได้รับความเคารพและความชื่นชมจากทีมงาน ผู้น าที่ แท้จริง ไม่เพียงแต่รู้ว่าจะใช้อ านาจประเภทไหนในแต่ละสถานการณ์ พวกเขายังรู้ว่า อ านาจมาจากไหนและจะใช้อ านาจนั้นอย่างไร


๖ ๓) การสื่อสาร (Communication) ผู้น าที่แท้จริง เป็นนักสื่อสารชั้นยอด พวกเขา ใช้กลยุทธ์การสื่อสารมากมายหลายอย่างในการส่งผ่านคุณค่า สร้างแรงบันดาลใจ ออกค าสั่งที่ชัดเจน ผู้น าที่แท้จริง มักใช้การเล่าเรื่อง (Storytelling) เป็นเครื่องมือในการ สื่อสารเรื่องราวที่ส าคัญ การเล่าเรื่องสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ทีมงานทุ่มเทตนเพื่อ การท างานมากขึ้น และถ้าผู้น ามีศิลปะการเล่าเรื่องที่ดีอาจถึงขั้นท าให้เรื่องที่เล่านั้น กลายเป็นวิถีปฏิบัติหรือวัฒนธรรมองค์กรก็เป็นได้ การสื่อสารเกี่ยวข้องกับทั้งการให้และการรับ ผู้น าที่แท้จริง จะเป็นผู้ฟังผู้อื่น อย่างตั้งใจและยอมรับค าแนะน าที่ดี ๆ ไม่ว่าค าแนะน านั้นจะมาจากที่ใดหรือจากใคร โดยปกติแล้วเป็นเรื่องยากที่ผู้น าจะได้รับข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) ที่เป็นข้อเท็จจริง เพื ่อน ามาใช้ในการปรับปรุงงาน ส่วนมากข้อมูลที ่ได้มักเป็นข้อมูลประจบประแจง แต่ผู้น าที่แท้จริง จะท างานอย่างหนักเพื่อสร้างวัฒนธรรมการสื่อสารแบบเปิดให้ทีมงาน เต็มใจที่จะเล่าข้อเท็จจริงเช่นนั้นให้ทราบ ๔) องค์กร (The Organization) เราอาจจะเคยเห็นผู้น าที่คิดถึงแต่ตัวเองแทนที่ คิดถึงองค์กรและทีมงานหรือผู้ตามของเขา แต่ผู้น าที่แท้จริง ไม่เคยลืมว่าพวกเขามีภาระ ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ พวกเขาให้ความส าคัญกับคนและองค์กรของเขาเป็นล าดับ แรก เป้าหมายของผู้น าควรสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร เพราะหากเป้าหมาย ทั้งสองไม่สอดคล้องกัน การให้ความส าคัญกับเป้าหมายขององค์กรจะถูกลิดรอนออกไป ผลที่ตามมาคือความสั่นคลอนของความเชื่อถือ ผู้น าที่แท้จริง รู้ว่าอะไรที่เป็นตัวขับเคลื่อนองค์กรและทีมงานของเขา ซึ่งท า ให้เขารู้ได้ทันทีว่ามีอะไรที่ผิดพลาดถ้าองค์กรหรือทีมงานท างานไม่ได้ตามที่คาดหวัง คุณพร้อมที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นผู้น าที่แท้จริงแล้วหรือยัง ๙ สรุปได้ว ่า ผู้น าอาจจะเป็นบุคคลที่มีต าแหน ่งอย ่างเป็นทางการหรือไม ่เป็น ทางการก็ได้ ซึ่งเรามักจะรับรู้เกี่ยวกับผู้น าที่ไม่เป็นทางการอยู่เสมอ เนื่องจากบุคคลนั้นมี ลักษณะเด่นเป็นที่ยอมรับของสมาชิกในกลุ่ม ท าให้สมาชิกแสดงพฤติกรรมที่มีน้ าหนักและ เป็นเอกภาพ โดยเขาจะใช้ภาวะผู้น าในการปฏิบัติการและอ านวยการโดยใช้กระบวนการ ติดต่อสัมพันธ์กัน เพื่อมุ่งบรรลุเป้าหมายของกลุ่ม ๙พระธรรมปิฎก. (ป.อ. ปยุตโต), ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคนพัฒนาประเทศ, (กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๕๔), หน้า ๒๐-๒ .


๗ ๕.๗ สรุป สรุปวิเคราะห์ภาวะผู้น าที่มีประสิทธิผล คือสิ่งส าคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติ องค์การหรือธุรกิจไปสู่ความส าเร็จ การไร้สภาพของภาวะผู้น าส่งผลกระทบต่อองค์การใน หลาย ๆ ด้าน เช่น การไร้ทิศทางเพื่อมุ่งสู่การปฏิบัติตามพันธกิจและการบรรลุวิสัยทัศน์ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารองค์การส่วนมาก ให้ความส าคัญต่อการตัดสินใจต่อ สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกขององค์การ เพราะเชื่อว่าการตัดสินใจที่ถูกต้อง เหมาะสม และถูกเวลาจะท าให้องค์การขับเคลื่อนไปสู่ความส าเร็จ ถึงอย่างไรก็ตามการ ตัดสินใจโดยล าพังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงองค์การได้ เพราะหลังจากที่มีการตัดสินใจแล้ว องค์การยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาของการน าเอาการตัดสินใจไปสู่การปฏิบัติ ในขั้นตอน นี้เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่า ผู้น าจะใช้อ านาจในการโน้มน้าวพฤติกรรม เพื่อปรับเปลี่ยน สถานการณ์และเอาชนะแรงต่อต้านที่มีในองค์การได้ ดังนั้นภาวะผู้น าหรือความเป็นผู้จึงมี ความส าคัญต่อการน าเอาการตัดสินไปปฏิบัติให้ประสบความส าเร็จ ในองค์การผู้บริหารหรือผู้น าจะน าพาองค์การไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้ ขึ้นอยู่กับ ภาวะผู้น าของผู้บริหารหรือผู้น า การด าเนินกิจกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในสังคม เกิดจากการที่สมาชิกคนใดคนหนึ่งใช้อิทธิพลหรืออ านาจที่มีอยู่จูงใจให้สมาชิกภายในกลุ่ม คล้อยตาม เพื่อปฏิบัติกิจกรรมให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน พลังของกลุ่มจะท างานส าเร็จ ได้มากน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้น ากลุ่มที่จะท าให้สมาชิกซึ่งเป็นผู้ ตามในขณะนั้นเกิดความศรัทธายอมรับ และพร้อมที่จะร่วมปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ให้ ส าเร็จได้ การด าเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายต้องอาศัยภาวะผู้น า ในการโน้มน้าวบุคลากร หรือกลุ่มในองค์การให้ท างานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การ ซึ่งบุคคลที่ใช้ ความสามารถนี้ก็คือ ผู้น าที่ต้องมีทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์เป็นอย่างดี เพื่อท าให้ บุคลากรท างานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นทักษะทางด้านมนุษยสัมพันธ์จึงมี ความส าคัญต่อการพัฒนาความเป็นผู้น าองค์การ การบูรณาการภาวะผู้น าทางการศึกษาสอดคล้องกับงานวิจัยของปารณีย์ เบี้ย ทาและสุทธิพงษ์ ศรีวิชัย ได้ศึกษาวิจัยเรื ่องการศึกษาพุทธบูรณาการการบริหาร สถานศึกษาสู่องค์กรสมรรถนะสูง ส าหรับสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษา พบว่า หลักธรรมและการบูรณาการการบริหารสถานศึกษาสู่องค์กร สมรรถนะสูงพบว่า . หลักพุทธธรรมส าหรับการบริหารสถานศึกษา ใช้หลักอปริหานิย ธรรม ๗ มาบูรณาการในการบริหารสถานศึกษา ได้แก่ ) หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ๒) พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิก ประชุม ๓) ไม่ตั้งกฎระเบียบที่ขัดต่อ


๘ ระเบียบเดิม ๔) มีความเคารพนับถือต่อผู้บังคับบัญชา ๕) ให้ความเคารพ ต่อเพศสตรี ๖) ให้ความเคารพต่อสถานที่ ๗) ให้ความดูแลเอาใจใส่ต่อท่านผู้มาเยือน โดยบูรณาการ หลักธรรมเข้ากับการบริหารงาน ๔ ฝ่าย ได้แก่ ) การบริหารงานวิชาการ ใช้หลักธรรม สัปปุริสธรรม ๗ กล่าวคือเป็นหลักธรรมที่สามารถพัฒนา มนุษย์ ได้แก่ ) ธัมมัญญุตา รู้จักหลักการ รู้จักเหตุผล ๒) อัตถัญญุตา รู้ความมุ่งหมายและรู้จักผล ๓) อัตตัญญุตา รู้จัก ตนตามความเป็นจริง ๔) มัตตัญญุตา การรู้จักประมาณในการบริโภค การใช้จ่าย ทรัพย์สิน ๕) กาลัญญุตา รู้กาลเวลาอันสมควร ๖) ปริสัญญุตา การรู้จักชุมชน สังคม ๗) ปุคคลัญญุตา การรู้บุคคล และเข้าใจความแตกต่างของบุคคล ๒) การบริหารงานแผนงานและงบประมาณ ใช้หลักธรรมสุจริต ๓ กล่าวคือเน้นในเรื่องของการ โปร่งใสในการบริหารปราศจากการ ทุจริตคดโกง มีสินบน ได้แก่ ) กายสุจริต ๒) วจีสุจริต ๓) มโนสุจริต ๓) การบริหารงาน บุคคล ใช้หลักธรรมอคติ ๔ กล่าวคือการท าอะไรมักจะคิดถึงประโยชน์ของ ตนเองหรือ พวกพ้องก่อนเสมอ ท าให้เกิดความล าเอียงขึ้น ได้แก่ . ฉันทาคติ ๒. โทสาคติ ๓. ภยาคติ ๔. โมหาคติ๔) การบริหารงานทั่วไป ใช้หลักธรรมสังคหวัตถุ ๔ กล่าวคือเป็นหลักธรรมที่ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จิตใจบุคคล และเป็นการช่วยเหลือกัน ได้แก่ . ทาน ๒. ปิยวาจา ๓. อัตถจริยา ๔. สมานัตตตา ๒. การบูรณาการการบริหารสถานศึกษาสู่องค์กรสมรรถนะ สูง ส าหรับสถานศึกษาใช้การ บริหารแบบจตุรภาคของเคน วิลเบอร์ (Ken Wilber) มี ๔ ด้านด้วยกัน ได้แก่ ) จิต (I) คือ การเข้าใจ การตระหนัก การมีความรู้สึกรับรู้ ๒) พฤติกรรม (IT) คือ การหาความรู้/ปฏิบัติเอง การค้นคว้า การวางแผน ในการท างาน ให้ความร่วมมือที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ๓) วัฒนธรรม (WE) คือ ความร่วมมือของคนใน ครอบครัว ท้องถิ่น ชุมชน ร่วมอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามให้คงไว้ ๔) เศรษฐกิจ และสังคม (ITS) คือ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ทันต่อความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีผลการตรวจสอบแนวทางพุทธบูรณาการการบริหารสถานศึกษาสู่องค์กร สมรรถนะสูง ส าหรับสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพบว่า จากการตรวจสอบเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ผู้วิจัยสามารถสรุปแนวทางพุทธบูรณาการ การบริหารสถานศึกษาสู่องค์กรสมรรถนะสูง ส าหรับสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ประกอบไปด้วย ๒ ส่วน ได้แก่ ) การศึกษาสภาพแวดล้อม ภายในและภายนอกของสถานศึกษา ๒) พุทธบูรณาการการบริหารสถานศึก ดังนั้นภาวะผู้น าเป็นการใช้อิทธิพลที่มีอยู่ตามต าแหน่งหน้าที่ ตามอ านาจที่มีอยู่ ในการสร้างสรรค์ สร้างศรัทธา รวมถึงความร่วมมือร่วมใจให้เกิดขึ้นระหว่างผู้ร่วมงาน เพื่อให้ปฏิบัติงานไปในทิศทางที่ผู้บริหารต้องการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ขององค์การ นอกจากนี้ผู้น ายังมีความส าคัญต่อการขับเคลื่อนองค์การไปสู่ความส าเร็จ ดังนั้นทุกองค์การจึงต้องการผู้น าที่มีประสิทธิภาพคือ มีภาวะความเป็นผู้น าสูง


๙ ๕.๘ เอกสารอ้างอิงประจ าบท กมล รักสวน. “ความพึงพอใจในการท างานของอาจารย์ในมหาวิทยาลัย”. วิทยานิพนธ์ ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๕๔. กัณฑ์กณัฐ สุวรรณรัชภูม์และคณะ, ภาวะผู้น ากลยุทธ์ : รูปแบบของผู้น ายุคใหม่, กรุงเทพมหานคร: ปัญญาชน, ๒๕๖๔. ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี. ภาวะผู้น าร่วมสมัย. กรุงเทพมหานคร: ปัญญาชน, ๒๕๕๗. ดวงตา ราชอาษา. “บทบาทของผู้น าในกระบวนทัศน์ใหม่”. วารสารวิชาการแพรวา กาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์. ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๕๙. ธงชัย สันติวงษ์. องค์กรและการบริหารการศึกษาการจัดการแผนใหม่. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๕๙. บรรจบ บรรณรุจิ. “ภาวะผู้น าเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา”. วารสารครุศาสตร์ ปริทรรศน์ฯ – ๖๐. ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๕๙. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต). ภาวะผู้น า: ความส าคัญต่อการพัฒนาคนพัฒนาประเทศ. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์ธรรมสภา, ๒๕๔๖. พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต). พุทธวิธีบริหาร. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙. พยอม วงศ์สารศรี. องค์การและการจัดการ. กรุงเทพมหานคร: สุภา, ๒๕๕๒. ราชบัณฑิตยสถาน. ศัพท์ศึกษาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: อรุณการพิมพ์, ๒๕๕๕. วิเชียร วิทยอุดม. ภาวะผู้น า. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร: ธีระฟิล์มและไซเท็กซ์, ๒๕๕๐. วิโรจน์ สารรัตนะ. การบริหารหลักการทฤษฎีและประเด็นทางการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: ทิพย์วิสุทธิ์, ๒๕๕๒. สมบูรณ์ สุขส าราญ. พุทธศาสนากับการเมือง. วารสารสังคมศาสตร์. (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๔๓): ๒๕๕๓. สัมมา รธนิธย์. หลักทฤษฎีและปฏิบัติการบริหารการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: ข้าวฟ่าง, ๒๕๕๓. Burrow, J. Jleindl, B. & Everard, K.E. Business: principles and management. 12th ed., (Mason, OH: Thomson, 2008), p. 29. อ้างใน ชัยเสฏฐ์ พรหมศรี, ภาวะผู้น าร่วมสมัย, หน้า ๔. Elliott, Stephen N.; et al. Educational Psychology: Effective Teaching. Effective Learning. 3rd. ed. Boston: Mc-Graw Hill. 2000.


๒๐ Feldman, Harriet R.& Others. Nursing Leadership. New York: Springer. 2008. Fulmer, R., Stumpf, S., & Bleak, J. The strategic development of high potential leaders. Strategy & Leadership, 37(3), 17-22. 2009. Locke, H., & Dearden, P. 2005; Thomas, & Ely. 1996; Mills 2005; Eddy. & Van Der Linden, 2006.


บทที่ ๖ สรุปและการน าเสนอ ********* ความน า ภาวะผู้น าเป็นกระบวนการที่ผู้น าหรือผู้ที่มีภาวะผู้น า เป็นผู้ที่ชักน า จูงใจ ชี้น า ใช้อิทธิพลหรืออ านาจที่มีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ท าให้หรือกระตุ้นให้หรือชี้น าให้เพื่อน ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยินดี เต็มใจ พร้อมใจ ยินดีในการกระท าการ ให้มีความ กระตือรือร้นหรือร่วมด าเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้น าต้องการหรือตามที่ผู้น า ประสงค์สิ่งนั้น สรุปสาระส าคัญของบทความได้ดังนี้ภาวะผู้น าเป็นกระบวนการที่ผู้น าหรือผู้ที่ มีภาวะผู้น า เป็นผู้ที่ชักน า จูงใจ ชี้น า ใช้อิทธิพลหรืออ านาจที่มีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ท าให้ หรือกระตุ้นให้หรือชี้น าให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยินดี เต็มใจ พร้อมใจ ยินดีในการกระท าการ ให้มีความกระตือรือร้นหรือร่วมด าเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ ผู้น าต้องการหรือตามที่ผู้น าต้องการให้มีพฤติกรรมไปในทิศทางที่เขาชักน าในการท างาน หรือด าเนินกิจกรรมที่ผู้น านั้นรับผิดชอบหรือตามที่ผู้น านั้นต้องการ ซึ่งสิ่งที่ผู้น าในโรงเรียน ในอนาคต ควรมีเพื่อเป็นฐานในการพัฒนาภาวะผู้น า อย่างน้อยน่าจะประกอบด้วยสิ่ง ส าคัญเหล่านี้ ) ความสามารถเชิงวิสัยทัศน์การวางแผนและการก าหนดเป้าหมายขององค์การ ๒) ความสามารถในการท างานแบบมีส่วนร่วม ๓) ความสามารถในการสื่อสารแบบมีประสิทธิผล ๔) ความสามารถในการสร้างทีมงาน ๕) ความสามารถในการด าเนินกระบวนการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม ๖) ความสามารถในการจัดการกับปัญหา ๗) ความสามารถในเรื่องการสร้างสรรค์นวัตกรรมความคิดสร้างสรรค์และการ ริเริ่มในการเปลี่ยนแปลงองค์การ สรุปได้ว่า การบริหารงานในปัจจุบันนี้ผู้บริหารทุกคนจ าเป็นต้องใช้ภาวะ การเป็นผู้น าเข้ามาเกี ่ยวข้องเพราะจะสามารถได้ใช้หรือพยายามชี้ความสามารถ ของผู้ใต้บังคับบัญชา หรือพนักงานออกมาในการปฏิบัติงานให้มากที่สุด พึงระลึกไว้เสมอ ว่าพนักงานทุกคนมีความส าคัญอย่างมากในการปฏิบัติงาน เป็นผู้ที่ผลักดันให้งานทุกอย่าง


๒๒ ของกิจการนั้นสามารถด าเนินการไปได้อย่างราบรื่น การบริหารงานที่ดีจะต้องมีผู้บริหารที่ มีภาวะ ความเป็นผู้น าและเก่งงาน เก่งคน เก่งคิด เก่งการด าเนินชีวิตไปพร้อม ๆ กัน ๖. พระไตรปิฎกต้นแบบพุทธธรรมกับภาวะผู้น า ๖.๒ พระไตรปิฎกกับลักษณะของภาวะผู้น าตามหลักพุทธธรรม ๖.๓ วิเคราะห์แนวคิดของชาวพุทธตามระบอบประชาธิปไตย ๖.๔ วิเคราะห์ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ๖.๕ สรุปบทความเกี่ยวกับภาวะผู้น า ๖.๖ สรุป ๖.๑ พระไตรปิฎกต้นแบบพุทธธรรมกับภาวะผู้น า พระไตรปิฎกต้นแบบพุทธธรรมกับภาวะผู้น า หมายถึง ผู้น าตามหลักพุทธธรรม มีที่มาจากการเลือกสรรสมาชิกในสังคม โดยการมอบอ านาจให้แก่บุคคลที่มีคุณสมบัติ พิเศษ ต่างจากบุคคลอื่น เช่น มีผิวพรรณวรรณะดี มีร่างกายแข็งแรง นั่นหมายถึง ศักยภาพในการใช้อ านาจซึ่งเป็นพื้นฐานส าหรับปกครองหมู่คณะ การใช้อ านาจตามที่ ปรากฏในหลักพุทธธรรมมีวิธีการต่าง ๆ เพื่อสนองตามวัตถุประสงค์ของการใช้อ านาจตาม ลักษณะตามผู้น า อ านาจจึงมิใช่สิ่งสมบูรณ์ในตัวเอง แต่เป็นวิถีทาง (Means) ไปสู่จุดหมาย (Purposes) จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยรวมของมวลสมาชิก ดังนี้ . เพื่อท าลายอธรรม ความชั่วร้าย หรือ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากสมาชิกใน สังคม จึงมีการลงโทษเพื่อเป็นการหยุดยั้งความชั่วที่เกิดขึ้น ๒. เพื่อรักษาความเป็นธรรมของมวลสมาชิกในสังคม ถือเป็นแนวทางที่ดีงาม เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและสนับสนุนความถูกต้องในรูปของกฎระเบียบของสังคม ๓. เพื่อสร้างความสงบสุข และความเจริญให้เกิดขึ้นในสังคมทั้งทางวัตถุและ จิตใจอ านาจของผู้น า ตามที่ปรากฏในพุทธธรรม แสดงให้เห็นถึงที่มาอันส าคัญของอ านาจดังกล่าวจาก ความยินยอม สละอ านาจของสมาชิกในสังคมนั้น ๆ ได้รับรองความชอบของอ านาจผู้น า สังคม จึงมีสิทธิ์ใช้อ านาจในฐานะผู้น า ดังปรากฏออกมาในรูปของการเมือง โดยเนื้อหาก็ คือการบริหารท าให้เกิดความสงบและผาสุกในรูปการปกครอง โดยเนื้อหาก็คือ การยัง ประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่มวลชน ดังนั้น อ านาจสิทธิ์ขาดและการยอมรับการใช้อ านาจของ ผู้น า จึงเป็นสิ่งที่มวลสมาชิกได้ท าการตกลงร่วมกันแล้ว สิ่งที่ผู้น าปฏิบัติจะต้องเป็นไปโดย ศิริภัสษร อ้อยน้อย ไถวฤทธิ์, สรุปความเกี่ยวกับภาวะผู้น า, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ ชันด้า, ๒๕๕๓), หน้า ๖๔.


๒๓ ชอบธรรม ค านึงถึงสมาชิกในสังคม ขณะเดียวกันก็มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์แก่มวลสมาชิก อ านาจดังกล่าวนี้จึงขึ้นอยู่กับเงื่อนไขส าคัญคือ ความเชื่อศรัทธาของสมาชิก ที่มีต่อตัวผู้น า และการใช้อ านาจของผู้น าแบบต่าง ๆ จะเห็นว่า การใช้อ านาจของผู้น ามีความเชื่อมโยง ระหว่างความสัมพันธ์ของผู้น ากับมวลสมาชิกในสังคม ดังปรากฏข้อความว่า๒ อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรสมมุติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้ โดยชอบให้เป็นผู้ติเตียน ผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบให้เป็นผู้ขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนพวกเราจัดแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ให้ผู้นั้น ดังนี้ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นเมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันไปหาสัตว์ที่สวยงามกว่า น่าดูน่าชมกว่าและน่าเกรงขาม มากกว่าสัตว์ทุกตัว แล้วจึงแจ้งเรื่องนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญมาเถิดพ่อคุณ ขอพ่อว่ากล่าว ผู้ที่ควรว่ากล่าว จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียน จงขับผู้ที่ควรขับไล่โดยชอบเถิด ส่วนพวก ข้าพเจ้าจักเฉลี่ยกันแบ่งส่วนข้าวสาลีให้พ่อ ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะสัตว์ผู้นั้นและ รับค าของสัตว์เหล่านั้นแล้ว จงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว ติเตียนผู้ที่ควรติเตียน ขับไล่ผู้ที่ ควรขับไล่โดยชอบ ส่วนสัตว์เหล่านั้นต่าง ๆ ก็เฉลี่ยแบ่งส่วนข้าวสาลี ให้แก่สัตว์ที่เป็น หัวหน้านั้น แม้ว่าผู้น าจะด ารงฐานะกษัตริย์ต้องฟังเสียงของประชาชนด้วย ดังตัวอย่างใน เวสสันดรชาดก จะเห็นได้จากการที่พระเวสสันดร ซึ่งขณะนั้นด ารงพระยศเป็นพระโอรส ของพระเจ้าสัญชัย กษัตริย์ พระราชทานพญาช้างคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พวกพราหมณ์ต่าง เมืองทั้ง ๙ คนที่มาของพญาช้างคู่บ้านคู่เมือง ท าให้ประชาชนเมืองสีพีทั้งหลายโกรธเป็น อันมาก พากันเข้ามาเฝ้าพระเจ้าสัญชัยทูลให้ขับไล่พระเวสสันดรพระราชโอรสออกนอก เมือง พระเจ้าสัญชัยก็ต้องท าตามดังใจความที่ชาวเมืองสีพีทูลแก่พระเจ้าสัญชัยว่า “พระองค์อย่าได้รับสั่งให้ฆ่าพระเวสสันดรนั้นด้วยท่อนไม้หรือศาสตราเลยทั้งพระ เวสสันดรนั้น ก็ไม่ควรแก่เครื่องพันธนาการ แต่จงทรงขับไล่พระเวสสันดรเสียจากแว่น แคว้น” จงไปอยู่ที่เขาวงกตเถิด ถึงแม้ว่าพระนางผุสดีซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้า สัญชัยจะทัดทาน ดังที่ปรากฏในพระเวสสันดรชาดกว่า ข้าแต่มหาราชเพราะฉะนั้นเกล้า กระหม่อมฉันขอกราบทูลพระองค์ว่าประโยชน์อย่าได้ล่วงพระองค์ไปเสียเลย ขอพระองค์ อย่าทรงขับไล่พระราชโอรสผู้ไม่มีความผิดเพราะถ้อยค าของชาวนครสีพีเลย เราท าความ ย าเกรงพระราชประเพณี จึงขับไล่พระโอรสผู้เป็นชาวสีพี เราจ าต้องขับไล่ลูกของตน ถึงแม้จะเป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของเรา ๒ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), โลกทัศน์ชาวพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘), หน้า ๕- ๖.


๒๔ การที่กษัตริย์หรือผู้น าที่ปกครองบ้านเมืองโดยธรรม จะสามารถใช้อ านาจนั้น ยาวนานและเป็นขวัญใจของอาณาประชาราษฎร จะได้รับการสดุดีถวายพระนามว่า “ราชา” ซึ่งหมายถึง ผู้ที่ยังชนให้สุขใจได้โดยธรรม ดังข้อความที่ปรากฏในพระสูตรกล่าว ยืนยันว่า เนื่องจากอ านาจกษัตริย์ดังกล่าว เป็นไปในลักษณะการยินยอมพร้อมใจของ สมาชิกที่จะสละอ านาจส่วนบุคคลให้แก่ผู้น าคือกษัตริย์ ผู้มีอิสระในการใช้อ านาจในการ ปกครองได้เต็มที่เพื่อรักษาความชอบธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม แต่ก็ยังอยู่ในการควบคุมดูแล ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอ านาจเดิมเพราะถ้ากษัตริย์ประพฤติอธรรม หรือไม่มี คุณสมบัติพอก็จะถูกถอดถอนลงและหาผู้ที่เหมาะสมกว่าเป็นแทน การใช้อ านาจ ในทางพระพุทธศาสนาต้องมีธรรมก ากับ เพราะความคิดทางพระพุทธศาสนายกย่อง กษัตริย์คุณธรรม เป็นธรรมราชาหรือกษัตริย์ผู้เอาชนะด้วยมากกว่ากษัตริย์ผู้ทรงปราบโลก ด้วยก าลัง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การปกครองของกษัตริย์ในพระพุทธศาสนามีอยู่อย่าง เดียว คือ อ านาจธรรม จะเห็นได้ว่าพุทธธรรมที่ปรากฏในค าสอนส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับผู้น า และสมาชิกในสังคมนั้น ได้เน้นถึงตัวผู้น า หรือผู้ใช้อ านาจในเชิงระบอบ แต่พุ่งเป้าไปที่ ตัวผู้ใช้อ านาจนั้น ประกอบกับการใช้อ านาจไปตามวัตถุประสงค์ หรือจุดหมายรวมกันของ มวลสมาชิกจึงเป็นการอธิบายของคุณธรรม และการใช้อ านาจโดยธรรมลักษณะวิธีการใช้ อ านาจของผู้น าที่มีความเป็นใหญ่ตามหลักพุทธธรรม ได้แสดงออก เป็น ๓ ลักษณะของ การใช้อ านาจ ดังต่อไปนี้ ๑. อัตตาธิปไตย (Supremacy of Self) หมายถึง การถือตนเองเป็นใหญ่ คือ ถือตนเองเป็นศูนย์กลางของการตัดสินใจ เขาเชื่อมั่นตนเองสูงมาก คิดว่าตัวเองฉลาดกว่า ใครจึงไม่รับฟังความคิดเห็นใคร เขาไม่อดทนต่อการวิพากษ์วิจารณ์ เขานิยมใช้พระเดช มากกว่าพระคุณ เมื่อบริหารงานนาน ๆ ไปจะไม่มีคนกล้าคัดค้านหรือทัดทาน ลงท้ายนัก บริหารประเภทนี้มักเผด็จการ วิธีการบริหารแบบนี้ท าให้ได้งานแต่เสียคนนั่นคืองานเสร็จ เร็วทันใจนักบริหาร แต่ไม่ถูกใจคนร่วมงาน เขาผูกใจคนไม่ได้ เขาได้ความส าเร็จของ งาน แต่เสียเรื่องการครองใจคน ๒. โลกาธิปไตย (Supremacy of the World) หมายถึง การถือคนอื่นเป็นใหญ่ นักบริหารประเภทนี้ มีวิธีท างานที่ตรงกันข้ามกับประเภทแรก นั่นคือ นักบริหาร โลกาธิปไตยไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง เขาขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่สามารถตัดสินใจ อะไร ถ้านั่งเป็นประธานอยู่ในที่ประชุมเขาจะฟังทุกฝ่ายก็จริง แต่เมื่อฝ่ายต่าง ๆ พูด ขัดแย้งกัน เขาจะไม่ตัดสินชี้ขาด แต่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายทุ่มเถียงทะเลาะกันเอง ใครเสนอความคิดเห็นอะไรมาเขาเห็นคล้อยตามด้วย จนไม่ยอมตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่า ฝ่ายไหนถูกหรือผิดในที่สุดลูกน้องต้องวิ่งเต้นเข้าหานักบริหารประเภทนี้อยู่เรื่อยไป


๒๕ ผลลงเอยด้วยลูกน้องตีกันเอง เพราะนักบริหารไม่ยอมวินิจฉัยชี้ขาดว่าจะท าตามข้อเสนอ ของใคร นักบริหารประเภทนี้ได้คน แต่เสียงานนั่นคือทุกคนเป็นคนของเขา เพราะเขาเป็น คนอ่อนไม่เคยต าหนิใครลูกน้องจะท างานหรือทิ้งงานก็ได้ เขาไม่กล้าลงโทษ เขาสุภาพกับ ทุกคน แต่องค์กรยังวุ่นวาย ไร้ระเบียบและไม่มีผลงาน ๓. ธรรมาธิปไตย (Supremacy of the Dharma) หมายถึง การถือธรรมหรือ หลักการเป็นส าคัญ นักบริหารประเภทนี้ถือหลักการ ความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม เหตุผลเป็นใหญ่กระท าการด้วยปรารภสิงที่ได้ศึกษาตรวจสอบตามข้อเท็จจริง และความ คิดเห็นที่รับฟังอย่างกว้างขวางแจ้งชัดและพิจารณาอย่างดีที่สุด เต็มขีดแห่งสติปัญญาจะ มองเห็นได้ด้วยความบริสุทธิ์ใจว่า เป็นไปโดยชอบธรรม และเพื่อความดีงาม เป็นปริมาณ อย่างสามัญ ได้แก่ ท าการด้วยความเคารพหลักการ กฎ ระเบียบ กติกา วิธีการใช้อ านาจของผู้น า ไม่ว่าจะด ารงอยู่ต าแหน่งใดถือเป็นผู้ที่มีฐานะสูงกว่า สมาชิกในแง่ของอ านาจ และการใช้อ านาจคือ คุณธรรมและความชอบธรรมที่มีรากฐาน มาจากความศรัทธาของสมาชิกต่อตัวผู้น า คือคุณธรรมของความเป็นผู้น า หรือภาวะ ที่แสดงถึงความเป็นผู้น าที่ดีที่พึงประสงค์ ขณะเดียวกัน สมาชิกก็จะต้องได้รับประโยชน์ ตามจุดหมายที่ได้ตกลงกันไว้อันเป็นความผาสุกของชีวิต ฉะนั้น ลักษณะวิธีการใช้อ านาจที่ ถูกต้องชอบธรรม จึงขึ้นอยู่กับเกณฑ์แห่งธรรมทั้งผู้น าและมวลสมาชิก ที่ต้องประสานให้ สอดคล้องสมดุลกันในทุก ๆ บริบทของสังคมชุมชนผู้ที่จะเป็นผู้น าสังคมที่ดี ต้องเข้าใจใน กฎเกณฑ์หรือหลักอันเป็นธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้น เริ่มต้นด้วยการศึกษาตัวเองก่อนว่ามี จุดอ่อน จุดแข็ง ข้อดีและข้อเสียอย่างไร เช่น การที่เป็นผู้น าแบบอัตตาธิปไตย (Autocratic Leaders) ในแง่ที่ถือตัวเองเป็นใหญ่ มีความเชื่อมั่นยึดมั่นในตัวเองมากไม่ยอมรับฟังความ คิดเห็นจากใคร ผลลัพธ์ที่ออกมาคือการท างานล้มเหลวหรือ ไม่ได้รับความร่วมมือจาก ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจจะท างานได้บ้างแต่ก็ไม่ดีเท่าที่ควร ก็จะต้องวิเคราะห์หรือพิจารณาที่ ตัวเองเป็นปัจจัยภายในก่อนมิใช่จะคอยมุ่งที่จะจับผิดผู้อื่นโดยมิได้พิจารณาว่าตัวเองตั้งมั่น สิ่งที่ควรแล้วเพียงใด ในกรณีนี้เมื่อเข้าใจตัวเองแล้วว่าเป็นผู้น าแบบอัตตาธิปไตยอุปทาน แล้ว ก็คือความยึดมั่นถือตัวตนเองอย่างสูง (The Ego belief) มากเกินไปใจแคบไม่ ยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น จนขาดลักษณะความเป็นผู้น าที่ดีในแง่ที่จะต้องมีจิตใจ กว้าง ไม่ปฏิเสธที่จะรับฟังความคิดใหม่ๆ (Open minded) เมื่อผู้น าเข้าใจดังนี้แล้ว


๒๖ จะเป็นวิธีการใช้อ านาจของผู้น าที่พึงประสงค์ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือมวลสมาชิกใน สังคม๓ ๖.๒ พระไตรปิฎกกับลักษณะของภาวะผู้น าตามหลักพุทธธรรม วิธีการท างานของผู้น าแบบต่าง ๆ มีความแตกต่างกันไม่ว่าผู้น านั้นจะปฏิบัติงาน หรือแสดงพฤติกรรมออกมา โดยอาศัยหลักของการท างานแบบใดก็ตาม ใช้วิธีการที่ยึด สถาบันเป็นหลัก (The Nomothetic Leaders) ยึดตัวบุคคลเป็นหลัก (The Ideograph Leaders) ผู้น าแบบอาศัยแรงจูงใจ (The Persuasive Leaders) และผู้น าที่อาศัยการ ประสานประโยชน์ วิธีการท างานย่อมยังผลให้เกิดงานและกิจกรรมต่าง ๆ วิธีการท างาน ของผู้น าแบบยึดสถาบัน จ าเป็นต้องมีกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อประสิทธิภาพของการท างาน ของหน่วยงานหรือสังคม ต่างจากผู้น าแบบยึดตัวบุคคลจ าต้องอาศัยความสามารถ ลักษณะพิเศษเฉพาะด้านบุคคล ผู้น าแบบประสานประโยชน์ มุ่งที่ประสิทธิภาพของการ ท างานโดยการปรับองค์กรในหน่วยงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด วิธีการท างานของผู้น าตามหลักธรรมได้แสดงออกมาหลายรูปแบบ ไม่ตายตัว แต่ได้อาศัยหลักส าคัญเสมือนเป็นเป้าหมายโดยรวม คือ ธรรม ได้แก่ คุณธรรมของผู้น า และคุณธรรมของมวลสมาชิก มุ่งไปสู่ความเป็นผู้มีธรรม ดังหลักส าคัญในการท างานของ ผู้น า ๖ ประการ ได้แก่ . ความอดทน (ขันติ) ๒. ความตื่นตัว (ชาคริยะ) ๓. ความขยันหมั่นเพียร (อุฏฐานะ) ๔. อัธยาศัย เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ (สังวิภาค) ๕. จิตใจเอ็นดู (ทยา) ๖. เอาใจใส่ตรวจตรา (อิกขนา) ๔ อาจกล่าวได้ว่า เป็นวิธีการท างานตามเงื่อนไข หรือลักษณะงาน ที่มุ่งประโยชน์ ส่วนรวมเป็นส าคัญมิตายตัวอยู่กับโครงสร้างของสังคม ตามแนวคิดของ Hersey และ Boa Chard อธิบายลักษณะของผู้น าเชิงโครงสร้าง ในลักษณะที่นักสังคมวิทยาอย่าง Murray Garros และ Charles Hendry ท่านได้กรุณาอธิบายถึงคุณลักษณะของความ เป็นผู้มีภาวะผู้น าว่า จะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์(Situations) ๓ พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), พุทธวิธีการบริหาร, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๙), หน้า ๐- .๔ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ธ. ๒๕/ ๕/๓ .


๒๗ ๖.๒.๑ แนวคิดวิธีการใช้อ านาจของนักรัฐศาสตร์ตามหลักพุทธธรรม ๑. หลักอัตตาธิปไตย หมายถึง ผู้ที่ปรารภความเดือดร้อนที่ตนเองได้รับเมื่อ ครั้งยังอยู่ในฐานะประชาชน เมื่อได้โอกาสมาท างานการเมืองรับใช้ประชาชน ก็จะใช้ อ านาจการเมืองที่ตนเองได้รับการบ าบัดทุกข์บ ารุงสุขให้ราษฎร เนื่องจากก่อนมาเป็น นักการเมือง (Politicians) เป็นผู้ที่ค้นพบสัจธรรมความจริงแท้ มีลักษณะกล่าวคือ . . เห็นทุกขเวทนาที่เกิดจาก ความเกิด (ชาติ) ความแก่ (ชรา) ความ ตาย(มรณะ) ๕ .๒ เห็นทุกขเวทนาที่เกิดจากการดิ้นรนแสวงหาทรัพย์ แม้จะถูกความ ทุกขเวทนาทั้งสองเบียดเบียนอยู่ ก็สามารถด ารงตนท ามาหากินด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ได้แต่กลับประสบทุกข์ .๓. การรีดนาทาเร้นจากผู้บริหารบ้านเมืองโดยมิชอบ ก็เพราะทุกขเวทนา ทั้ง ๓ นี้เอง ที่บีบคั้นให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง ที่มาเล่นการเมืองจึงมิได้ หวังเพื่อมากอบโกย คดโกงใครแต่ตั้งใจมาท างานการเมืองเพื่อท าให้ประชาชนและอกุศล ท าแต่กุศลกรรมต าแหน่งทางการเมืองที่ได้มานี้จะน ามาเป็นอุปกรณ์ในการสร้างบุญสร้าง กุศลคุณงามความดี เพื่อให้บังเกิดความสงบสุขร่มเย็นแก่ประชาราษฎรเมื่อได้แนวคิด และวิธีการใช้อ านาจทางการเมือง จึงควรใช้หลักดังนี้ มีความเพียร ท างานให้ประสบผลส าเร็จโดยไม่ย่อท้อหวั่นเกรงต่ออุปสรรค ขวากหนามมุ่งมั่นแน่วแน่แก้ไขปัญหาราษฎร มีสติแน่วแน่ แก้ไขงานที่ได้รับมอบหมายอย่างครบถ้วน รอบคอบไม่แสวงหา ผลประโยชน์ไม่ลืมเลือนตน ไม่บ้ายศ ไม่บ้าอ านาจ ไม่มีความล าเอียง ไม่ปล่อยปละละเลย งานที่รับผิดชอบทุ่มเทก าลังกาย ก าลังใจ ทุกหยดทุกหยาดเพื่อประชาชน เพราะตระหนัก รู้ว่าประชาชนฝากความหวัง เหมือนครั้งก่อน ๆ ที่ตนเคยฝากความหวังไว้กับนักการเมือง มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมทั้ง ๘ คือ ลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ สุข ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และทุกข์ ๒. หลักโลกาธิปไตย นักรัฐศาสตร์ที่ถือโลกเป็นใหญ่ จึงเป็นผู้ที่ค านึงถึงหลัก ดังต่อไปนี้ ความลับไม่มีในโลก โกหกคนอื่นได้แต่โกหกตนเองไม่ได้ อย่าดูถูกตนเอง บุคคลที่มีศักยภาพในการท าความดี แต่ไม่ท า ซ้ ากลับไปท าความชั่ว ได้ชื่อว่าเป็นผู้ดูหมิ่น ตนเอง การปกปิดความชั่วที่ตนเองท าไว้ ทวยเทพเทวดาพรหมย่อมรู้เห็น มนุษย์ผู้มีปัญญา ๕ พระภาวนาวิริยคุณ (เสริมชัย ชยมงฺคโล), รัฐศาสตร์เชิงพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: ดอกหญ้ากรุ๊ป, ๒๕๕๙), หน้า ๘-๙.


๒๘ ก็รู้เห็น รู้เท่าทัน จึงไม่ควรคิดว่าประชาชนไม่รู้ ร้ายที่สุดคนที่มีส่วนร่วมท าความชั่วก็รู้ ถ้าวันใดเขาเปลี่ยนใจพลิกลิ้นเปิดเผยความจริงขึ้นมาความชั่วก็ย่อมปรากฏต่อสาธารณะชน โดยกฎเกณฑ์ตามหลักสมมติสัจวาจา โลกาธิปไตยนี้ เป็นหลักธรรมเตือนสติให้นักรัฐศาสตร์ ทั้งหลายใช้ปัญญาวิเคราะห์ปัญหา คิดอะไรก็ให้รอบคอบด้วยความสุขุมเยือกเย็นไม่ ประมาทในความคิดของผู้อื่นแต่ห้ามใช้ปัญญาความรอบรู้โดยขาดสติ ๓. หลักธรรมธิปไตย นักรัฐศาสตร์ ที่ยึดธรรมาธิปไตยเป็นผู้ที่เตือนตนเองว่า ท าอะไรจะยึดถือกฎเกณฑ์ มิใช่กฎเราเราโดยการเลี่ยงบาลีเอาสีข้างเข้าถู ที่ส าคัญระลึก เสมอว่า เราอาจหลีกเลี่ยงกฎหมาย กฎเกณฑ์กติกาของสังคมได้ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยง กฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นกฎเหล็กของวัฏฏสงสารได้ กฎหมาย กฎของสังคมอาจปรับเปลี่ยน ได้ แต่กฎแห่งกรรมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เมื่อละเมิดกฎแห่งกรรมก็ ต้องได้รับวิบากผลของกรรม เพราะฉะนั้นจะท าอะไร ถ้านึกถึงกรรมดีกรรมชั่วก็จะเพียร ละกรรมที่มีโทษ จึงควรรักษาตนให้บริสุทธิ์ บ าเพ็ญกุศลกรรม เมื่อมาท างานการเมืองจึง ควรยึดหลักกฎแห่งกรรม มิใช่เอาพวกมากลากไป แต่ให้เอาความดีและศีลธรรมน า ประเทศไปยังรัฐธรรมาภิบาล (Good Governances) จึงจะประสบความเจริญรุ่งเรือง นักรัฐศาสตร์ที่ยึดธรรมเป็นใหญ่ จึงเป็นผู้ประพฤติตามกฎระเบียบประเพณี โดยเฉพาะกฎ แห่งกรรม ต้องยึดถือเป็นหลักในการด าเนินชีวิตเป็นส าคัญ ความหมายในธรรมะข้อนี้หมายถึง ให้ผู้น าปรารภตัวเองว่าในเมื่อได้ตั้งใจที่จะ บ าบัดทุกข์บ ารุงสุข ให้ประชาชนเกิดความร่มเย็นเป็นสุขก็ต้องใช้หลักทศพิธราชธรรม ซึ่งเป็นธรรมะส าหรับผู้ที่จะเป็นผู้น าทุกคน เพราะการเป็นผู้น าก็คือการมีโอกาสได้สร้าง ความดีเหนือกว่าคนอื่น ในการสะสมบารมีให้สูงยิ่งขึ้นไป เมื่อมีโอกาสจะได้ท าบุญถวาย มหากุศลแล้วท าไมจะเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายอันสูงยิ่งกว่าคนธรรมดา ธรรมข้อนี้เป็น ข้อคิดที่บรรดาผู้น าทั้งหลาย จะได้ยึดถือเป็นต้นแบบแห่งการใช้หลักธรรมของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักในการด ารงชีวิต ตั้งเป้าหมายในชีวิตให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปเป็น ยุทธศาสตร์ในการบริหารและปฏิบัติตนเจริญรอยตามพระบรมศาสดา ความหมายของพระสูตรนี้มีความลึกซึ้งที่ทรงสอนให้มนุษย์ใช้สติน าหน้า ใช้ปัญญาเป็นตัวปฏิบัติ และใช้ธรรมะเป็นหลักยึดไม่ให้ซวนเซหรือ ล้มลง ตรงกับค าพูดที่ เรียกว่า “สติปัญญา” ซึ่งเท่ากับเป็นการเตือนมนุษย์ให้มีสติก่อนที่จะใช้ปัญญาเพราะ เหตุร้ายและความผิดพลาดในโลกนี้ที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากการใช้ปัญญาเป็นตัวน าหน้าใช้ ความเก่งความกล้าความสามารถโดยไม่ได้ใช้สติไตร่ตรองก่อน ความไม่สงบในโลกนี้เกิดขึ้นก็เกิดจากเหตุนี้แหละ การใช้ปัญญาความรู้รอบ ในทางไม่ชอบเพื่อน าหน้าในการแข่งขันในการท าการค้า ในการรุกราน ครอบครอง ดินแดน ในการติดยึดความเจริญทางวัตถุ การแข่งขันทางวัตถุ การใช้ดัชนีตัวเลขเป็น


๒๙ ตัวชี้วัดความส าเร็จทางการเมือง ความส าเร็จทางเศรษฐกิจ ความส าเร็จทางธุรกิจ สิ่งที่ เป็นความไม่สงบในโลกนี้เกิดขึ้นก็เกิดจากเหตุนี้แหละ สิ่งที่มนุษย์ทั้งโลกโดยเฉพาะผู้ ยิ่งใหญ่ขาดก็คือ สติซึ่งเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งใจ และที่ส าคัญคือการขาดธรรมะของพุทธองค์ เป็นหลักเป็นแก่นในการตัดสินใจ เป็นเกาะยึดของจิตใจไม่ให้ไขว้เขวตกต่ า ผู้น าของประเทศของโลกที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรไปด้วยความสามารถปัญญาเฉียบ แหลมจะมีประโยชน์อะไรถ้าขาดสติหรือเสียสติ และไม่ยึดหลักธรรมในการปกครองบริหาร ประเทศความส าเร็จที่ได้มาไม่ว่ายุคใดสมัยใด ถ้าขาดองค์ประกอบดังกล่าวนี้จะเป็น ความส าเร็จที่ไม่ยั่งยืนย่อมสามารถเสื่อมสลายได้ ยิ่งเจริญสูงส่งทางด้านวัตถุขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสเสื่อมสลายเร็วขึ้นเท่านั้น หากสังคมมนุษย์ไม่ด ารงอยู่ในหลักพุทธธรรม ก็ไม่ สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมมนุษย์ได้ เพราะหลักพุทธธรรมนั้นจะด าเนินการ แก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมมนุษย์ ด้วยเหตุผลและสติปัญญาอย่างยั่งยืน สรุปได้ว่า หลักพุทธธรรม มิได้มีจุดหมายเพื่อการพัฒนาองค์กรหรือเป็นทฤษฎี ขององค์กร หรือในหน่วยงาน แต่หลักพุทธธรรมได้ให้ความหมายส าคัญของสมาชิกทุกคน ในสังคมที่ร่วมอยู่ด้วยกันนั้น คือพุทธธรรมมุ่งหมายให้มนุษย์ไม่ว่าจะด ารงตนอยู่ในฐานะ ใดจะเป็นผู้น าหรือสมาชิกภายใต้การน าของกษัตริย์ ผู้ปกครอง หรือคณะบุคคลต่าง ๆ สามารถพัฒนาตนในทางคุณธรรม ดังนั้นโดยวิธีการท างานของภาวะผู้น าตามค านิยาม พุทธธรรม ได้แสดงออกมาโดยธรรมที่ควรประพฤติควรที่จะมุ่งไปให้ถึงสภาวะอันสูงสุดต่อ ปัญหา อุปสรรคขององค์กรที่ผู้น าขาด ทั้งองค์ความรู้ความสามารถก็เจริญไม่ได้ กล่าว ในทางหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ได้แก่ ความไม่รู้ คือ อวิชชา ผลออกมาคือความ เดือดร้อนต่อองค์กรที่เป็นภัยตนเอง ยิ่งผู้น าไม่มีความรู้ด้านหลักธรรมทางพุทธศาสนา ก็ย่อมเกิดปัญหามาก ด้วยเหตุนี้ จ าเป็นต้องเข้าใจหลักธรรม หรือรอบรู้ในเรื่องของศาสนาบ้าง การที่ผู้น าไม่มี วิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหา ก็ไม่สามารถมองคน มองงาน มององค์กร ให้กระจ่างแจ่ม แจ้งได้ก็จะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ผู้น าจะต้องรู้จักสร้างความสามัคคีในหมู่คณะให้จงได้ สร้างองค์ความรู้ความสามารถในการบริการจัดการองค์กรผู้น าเชิงพุทธ พบว่า ผู้น า จ าเป็นต้องเอาความรู้ ความคิด ความสามารถและคุณธรรมมาสู่ภาคปฏิบัติเริ่มจากการ ท างานได้ ท างานดี ท างานเป็น จนเกิดความช านาญอันสืบเนื่องมาจากความรอบรู้ใน หลาย ๆ ด้าน เช่นการงบประมาณ แผนการรักษาศิลปะขนบธรรมเนียม แผนงานที่มี ความจ าเป็น และรู้จักใช้เมตตาธรรมหลักธรรมาภิบาล หลักการรู้จักยกย่องผู้อื่น และให้มี การลงโทษแก่ผู้ที่ท าผิดล่วงละเมิดกฎหมายโดยไม่มีอคติแอบแฝงอยู่ในใจ สมควรตาม โทษานุโทษ


๓๐ นอกจากนั้น หากเราพิจารณาตามหลักค าสอนในพระพุทธศาสนา สรรพสิ่งจะ ด ารงอยู่ได้โดยอาศัยซึ่งกันและกันเท่านั้นจะอยู่แบบอิสระตามล าพังไม่ได้ นี่คือหัวใจของ กฎธรรมชาติที่เรียกว่าธรรมนิยามอันครอบคลุมถึงความสัมพันธ์กันและความอิงอาศัยกัน ของสิ่งทั้งปวง ซึ่งรู้จักกันดีกว่าเป็นกฎของธรรมชาติตามหลักปฏิจจสมุปบาทในทาง พระพุทธศาสนา ตามทัศนะสังคมของชาวพุทธที่มองเห็นโลก ในฐานะซึ่งเป็นสิ่งที่อิงอาศัยกันและ กันแล้วก็จะพัฒนาความรู้สึกรับผิดชอบ กตัญญูและกรุณาต่อกฎแห่งธรรมชาติเพื่อปลูกฝั่ง ให้สังคมมนุษย์มีการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติทั้งมวล แบบกลมกลืนกัน และแบบสันติซึ่ง จะต้องพัฒนา หลักจริยธรรม ศีลธรรมและคุณธรรมขึ้นไว้ในใจอย่างมั่นคง ด้วยหลัก พุทธธรรม ๓ ประการกล่าวคือ . ปัญญา หมายถึงความรู้ตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างอยู่ในโลกล้วนอาศัย สติปัญญาซึ่งกันและกันเกิดขึ้นทั้งสิ้น ๒. สุทธิ หมายถึงความบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสภาวะที่ใจปราศจากความโลภเป็นตัว ก่อให้เกิดมลภาวะทางด้านสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากเกินไป ๓. กรุณา หมายถึง ความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อบรรดาเหล่าสัตว์และสิ่งแวดล้อม ทางธรรมชาติ เพราะพระพุทธศาสนามุ่งสอนให้กายกรรมเต็มเปี่ยมด้วยความกรุณา มีใจ กตัญญูต่อธรรมชาติทั้งมวลโดยแท้๖ ๖.๓ วิเคราะห์แนวคิดของชาวพุทธตามระบอบประชาธิปไตย แนวความคิดของชาวพุทธเกี่ยวกับการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย สืบเนื่องจากเหตุผลที่ว่าพระพุทธศาสนาเป็นวิถีแห่งชีวิตโดยแท้เพราะเป็นศาสนาที่มิได้ จ ากัดตัวเองอยู่เฉพาะในด้านปรัชญาที่สูงส่งที่จะท าให้บุคคลบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดคือ การหลุดพ้นจากทุกข์เท่านั้น แต่พระพุทธศาสนาได้ให้การพิจารณาในเรื่องสวัสดิภาพทาง สังคม เศรษฐกิจและการเมืองแก่มวลมนุษยชาติด้วย พระศากยมุนีพุทธเจ้า มิได้เป็น นักการเมือง แต่ในเทศนาของพระองค์ที่อยู่ในพระสูตรต่าง ๆ มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับ การเมืองและเป็นค าสอนที่เกื้อกูลต่อสันติภาพและความสุขของโลกเป็นการส่วนรวม พระ ธรรมเทศนาและเรื่องในชาดก (เรื่องที่เกี่ยวกับอดีตชาติของพระองค์) เต็มไปด้วยค าสอน และค าแนะน าของพระพุทธเจ้าที่ให้แก่ผู้ปกครองทั้งหลายในการที่จะสถาปนาสังคม ๖ พระครูสิริจันทนิวิฐ (บุญจันทร์ เขมกาโม), ภาวะผู้น าเชิงพุทธ, (กรุงเทพมหานคร: นิติธรรม การพิมพ์, ๒๕๕๘), หน้า ๒๐.


๓ มนุษย์ที่มีสันติภาพและสร้างความพึงพอใจ ซึ่งมีคุณค่าในทางปฏิบัติอันยิ่งใหญ่อันจะ ก่อให้เกิดผลดีอย่างหาที่สุดมิได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนในเรื่องความมีเมตตาและความมีกรุณาต่อสิ่งที่มีชีวิต ทั้งหลาย ส าหรับพระองค์แล้วความสุขจะมีขึ้นมาไม่ได้หากปราศจากเสียซึ่งการด าเนิน ชีวิตที่บริสุทธิ์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักการทางศีลธรรมและจิตวิญญาณ พระองค์ทรง เชื่ออย่างแน่วแน่ว่าชีวิตในแบบดังกล่าวจะเป็นไปได้ก็จะต้องให้ชีวิตอยู่ภายใต้เงื่อนไขทาง สังคมและทางการเมืองที่มีความเกื้อกูล และเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขที่ดีเช่นนี้แล้วบุคคลก็ จะสามารถบรรลุถึงเป้าหมายที่สูงส่งและประเสริฐยิ่งขึ้นไปอีกได้ มีบางคนมีความเห็นว่าค าสอนของพระพุทธเจ้าเป็นไปแง่มุมทางจริยาศาสตร์และ ทางปรัชญายิ่งกว่าอย่างอื่น มีค าสอนทางจริยศาสตร์จ านวนหนึ่งมีอยู่ในอินเดียก่อนสมัย ของพระพุทธเจ้าก็จริง แต่พระพุทธเจ้านี่เองที่ได้ทรงตั้งกฎเกณฑ์ทางจริยศาสตร์ที่เป็น ระบบแบบแผนขึ้นมา และพระพุทธเจ้าได้ทรงเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้มาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นพระองค์จึงได้ชื่อว่าเป็นศาสดาของศาสนาที่มีลักษณะในทางจริยศาสตร์และทาง ปรัชญาที่ไม่เหมือนศาสดาองค์ใด โดยที่พระองค์ได้สอนให้เอาชนะความชั่วด้วยความดี ให้ชนะความชั่วร้ายด้วยความมีคุณธรรม ให้ได้มาซึ่งคุณธรรมด้วยความมีไมตรีและมิใช่ โดยความเป็นปฏิปักษ์กัน และทรงสอนประชาธิปไตยที่ไร้ของเขตให้แก่มวลมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักประชาธิปไตยเป็นอย่างมาก จนถึงกับได้ทรงประกาศว่า หลังจากที่พระองค์ปรินิพพานแล้ว ธรรมะและวินัยจะเป็นศาสดาแทนพระองค์ และ พระองค์ก็มิได้ทรงแต่งตั้งให้ผู้ใดเป็นผู้สืบทอดอ านาจต่อจากพระองค์ด้วย กิจกรรมของ ทางคณะสงฆ์ได้ถูกด าเนินโดยคณะสงฆ์และมิใช่โดยพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง การด าเนินการ เช่นนี้ก็ได้ประสบความส าเร็จ กล่าวคือ คณะสงฆ์ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยพระองค์ได้สืบต่อ พระพุทธศาสนามาเป็นเวลายาวนาน ๒๕๐๐ ปี โดยที่ยังคงรักษาความบริสุทธิ์เดิมเอาไว้ ได้ แนวค าสอนทางจริยศาสตร์ของพระพุทธเจ้าได้แสดงไว้ใน พระธรรมบท พระคาถา ที่ ๕ ที่ว่า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจน อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโน. ๗ ในโลกนี้ แต่ไหนแต่ไรมา เวรระงับด้วยการจองเวรไม่ได้ มีแต่จะระงับได้ด้วยการ ไม่จองเวรข้อนี้เป็นหลักการแต่ปางบรรพ์. ๗ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/ ๕.


๓๒ นอกจากนี้แล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ด้วยว่า จะไม่สามารถมีสันติและความสุข ส าหรับมนุษย์ได้ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังปรารถนาและกระหายที่จะอาชนะและปราบปราม ผู้อื่น ดังที่พระองค์ได้ตรัสใน พระธรรมบท พระคาถาที่ ๒๐ ว่า ชย เวร ปสวติ ทุกฺข เสติ ปราชิโต อุปสนฺโต สุข เสติ หิตฺวา ชยปราชย . ๘ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ยอมนอนเป็นทุกข์ บุคคลเมื่อละความชนะและความแพ้ เสียแล้วก็จะมีจิตสงบนอนเป็นสุข. ด้วยเหตุนี้ อุดมคติตามหลักค าสอนของพระพุทธเจ้า จึงมีลักษณะอย่างใน พระธรรมบท พระคาถาที่ ๒๒๓ ที่ว่า อกฺโกเธน ชิเน โกธ อสาธ สาธุนา ชิเน ชิเน กทริย ทาเนน สจฺเจนาลิกวาทิน . ๙ พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงชนะความชั่วด้วยความดี พึงชนะความ ตระหนี่ด้วยการให้พึงชนะค าพูดเหลาะแหละด้วยค าพูดจริง. อย่างที่กล่าวไว้แล้วในข้างต้นว่า มีพระธรรมเทศนาเป็นจ านวนมากในพระ สุตตันตปิฎก ที่ได้สอนถึงแนวความคิดทางด้านประชาธิปไตย ดังจะได้ยกมาให้เห็นสัก ๒ ตัวอย่าง คือ ใน กูฏทันทสูตร (ทีฆนิกาย) พระพุทธเจ้าได้ทรงอธิบายว่าในการที่จะขจัด หรือท าให้ลดน้อยลงไปซึ่งอาชญากรรม ก็จะต้องใช้วิธีปรับปรุงเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของ ประชาชน สัมพันธภาพระหว่างนายจ้างและลูกจ้างจะเป็นไปด้วยดีได้นั้นฝ่ายนายจ้างต้อง ให้ค่าจ้าง ของขวัญและโบนัสอย่างเพียงพอแก่ลูกจ้าง บรรดาผู้น าจะต้องน าเรื่องนี้มา พิจารณาและท าให้ประชาชนมีความสุขและมีความพึงพอใจ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะส่งผลให้ ประเทศชาติมีสันติและปลอดจากอาชญากรรม ส่วนใน จักกวัตติสีหนาทสูตร พระพุทธเจ้าได้อธิบายไว้อย่างชัดแจ้งว่า เนื่องจาก ผู้น าปฏิเสธมวลชนที่มีความยากจน อาชญากรรมการ เช่น ลักขโมยและอาชญากรรม ร้ายแรงอื่น ๆ ก็จะระบาดอยู่ในสังคมและประเทศชาติก็จะตกอยู่ในสถานการณที่มีปัญหา หากมวลชนที่ยากจนในทุกภาคส่วนของสังคมได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแล้ว ความล าบาก ทางเศรษฐกิจขั้นพื้นฐานของบรรดาผู้น าก็จะได้รับการเยียวยาแก้ไขและจะท าให้ปัญหา ทางสังคมค่อยๆหมดไปได้นอกจากนี้แล้วใน จักกวัตติสีหนาทสูตร ก็ยังได้ให้ความกระจ่าง ถึงบุคลิกของบรรดาผู้น าที่มีคุณธรรมไว้ด้วยว่า จะต้องไม่เพียงแต่ให้ความมั่นคงปลอดภัย ๘ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ชา.มหา. (บาลี) ๒๘/๔ ๕.๙ ดูรายละเอียดใน, ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๔๕.


๓๓ แก่มนุษย์เท่านั้น แต่จะต้องให้ความมั่นคงและความปลอดภัยแก่บรรดาสิงสาราสัตว์และ วิหคนกกาทั้งหลายด้วย มีความแนบแน่นระหว่างพระพุทธเจ้ากับประชาธิปไตย ในอินเดียในศตวรรษที่ ๖ ก่อนคริสตกาล ในสมัยพุทธกาลนั้น รัฐต่าง ๆ มีความซับซ้อนและมีหลายรูปแบบ ซึ่งมีทั้งรัฐใหญ่และรัฐเล็ก และมีผู้น าหลากหลายประเภทเป็นผู้ปกครอง ในขณะเดียวกัน นั้นก็มีรัฐอัตตาธิปไตย หรือราชาธิปไตยอยู่เป็นจ านวนมาก ซึ่งรัฐอัตตาธิปไตยหรือราชา ธิปไตยเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นรัฐศักดินา พระบิดาของพระพุทธเจ้าคือพระเจ้าสุทโธทนะ ทรงเป็นผู้ปกครองแคว้นศากยะซึ่งเป็นเมืองขึ้นของแคว้นโกศล และกล่าวกันว่าเจ้าชาย สิทธัตถะทรงเป็นกษัตริย์ของแคว้นศากยะอยู่นานถึง ๖ ปีก่อนที่จะทรงออกผนวช นอกจากนั้นแล้ว ในอินเดียในสมัยพุทธกาลก็ยังมีระบบสาธารณรัฐ อย่างเช่น สาธารณรัฐของกษัตริย์ลิจฉวี ซึ่งถูกปกครองโดยคณะของผู้อาวุโสที่มีหัวหน้าเรียกชื่อว่า กษัตริย์(หรือราชา) ในขณะที่ค าสอนของพระพุทธเจ้าเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลแบบ อัตตาธิปไตย หรือราชาธิปไตยนั้น พระพุทธเจ้าก็มักจะทรงชื่นชอบและตรัสถึงในทางที่ดี ของระบอบสาธารณรัฐซึ่งมีลักษณะของความเป็นประชาธิปไตยไม่มากก็น้อยในระบบการ ปกครองแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่จะตั้งข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้ว่า พระพุทธเจ้าในขณะที่ ประทับอยู่ ณ สรันทกเจติยะในกรุงเวสาลีนั้น พระองค์ได้ทรงสอนกษัตริย์ลิจฉวีเกี่ยวกับ หลักปฏิบัติที่ป้องกันความเลื่อม หรือที่เรียกว่า อปริหานิยธรรม โดยพระองค์ได้ตรัสถาม พระอานนท์ว่า เจ้าลิจฉวียังปฏิบัติตามหลักอปริยหานิยธรรมอยู่หรือไม่ เมื่อพระอานนท์ กราบทูลว่าพวกเจ้าลิจฉวียังปฏิบัติตามหลักอปริหานิยธรรมอยู่ พระองค์ได้ตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ตราบใดที่เจ้าลิจฉวียังมีการประชุมกันอยู่ เนือง ๆ พวกเขาก็จะมีแต่ความเจริญและไม่มีความเสื่อม อยู่ตราบนั้น “ดูก่อนอานนท์ ตราบใดที่เจ้าลิจฉวีเมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุมและเมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียง กันกันเลิก และร่วมกันด าเนินกิจการต่าง ๆ ด้วยความพร้อมเพรียงกัน พวกเขาก็จะมีแต่ ความเจริญและไม่มีความเสื่อมอยู่ตราบนั้น “(มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย) ข้อนี้ได้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงมีคุณูปการเป็นอย่างมากต่อหลักการของ ประชาธิปไตยว่าเป็นศิลปะของการปกครองประเทศเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติใน การที่จะเคารพในเจตจ านงของประชาชนนั้น จึงมีความจ าเป็นที่ประชาชนจะต้องประชุม กันอย่างสม่ าเสมอ ในข้อนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงเน้นย้ าไว้ในหลายเหตุการณ์โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งข้อแนะน าที่ทรงคุณค่าที่พระองค์ทรงประทานแก่พวกเจ้าลิจฉวีดังกล่าวข้างต้น ในปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (The United Nations Universal Declaration of Human Rights) มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ทุกคนมีสิทธิใน อิสรภาพของความเห็นและการแสดงออก” อิสรภาพของจิตใจเป็นหลักส าคัญของค าสอน


๓๔ ของพระพุทธเจ้า ดังนั้นทั้งอิสรภาพของจิตใจและประชาธิปไตยก็จึงเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว และเป็นที่ปรารถนาของพวกเราและเราก็พึงเข้าใจไว้ด้วยว่า พระพุทธศาสนา มิได้ สนับสนุนเสรีภาพของจิตใจว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา หากแต่เสรีภาพ ของจิตใจนี้เพียงแค่เป็นบันไดที่จะให้บรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดที่แท้จริงคือการหลุดพ้นจาก ความทุกข์อย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ อันติมสัจจะ ได้แก่ พระนิพพาน ๐ ๖.๔ วิเคราะห์ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา แผนการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๕ ได้ระบุบทบาทของผู้บริหารว่า เป็นผู้มีภาวะผู้น า มี คุณธรรมจริยธรรม มีความสามารถทั้งด้านบริหารและวิชาการตาม สมรรถนะ และมาตรฐานต าแหน่งและ บริหารงานอย่างมีธรรมมาภิบาล สอดคล้องกับ คุรุสภาที่ได้ระบุมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้บริหาร ใน มาตรฐานที่ ด้านเป็นผู้น า และสร้างผู้น าว่าต้องเป็นผู้บริหารมืออาชีพสร้างวัฒนธรรมขององค์กรด้วย การพูดน า ปฏิบัติน าและจัดระบบงาน ให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม โดยการให้รางวัลแก่ผู้ที่ท างาน ได้ส าเร็จแล้วจนน าไปสู่การพัฒนาตนเอง คิดได้เอง ตัดสินใจได้เอง พัฒนาได้เองของ ผู้ร่วมงานทุกคน การพัฒนาภาวะผู้น าของผู้บริหารโรงเรียนถือเป็นหัวใจส าคัญในการขับเคลื่อน การเปลี่ยนแปลง เนื่องจากภาวะผู้น าเป็นองค์ประกอบส าคัญที่ท าให้การเปลี่ยนแปลงนั้น เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ซึ่ง ความส าเร็จขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพหรือประสิทธิผล ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญา ความคิด อ่าน และแนวปฏิบัติที่สร้างสรรค์ของผู้น าใน องค์การทั้งสิ้น ทั้งนี้ ผู้บริหารโรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ ปรับเปลี่ยนลักษณะ ภาวะผู้น าให้มีความสอดคล้อง เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างท้าทาย ซึ่งผู้บริหารองค์การควรมีคุณลักษณะส าคัญประการหนึ่ง คือ ภาวะผู้น าเชิงกลยุทธ์ ซึ่ง นับว่าเป็นภาวะผู้น าอีกรูปแบบหนึ่งที่มีความส าคัญในยุคปฏิรูปการศึกษา โดยผู้บริหารที่มี ภาวะผู้น ากลยุทธ์จะสามารถวางแผนกลยุทธ์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ มีกลยุทธ์ในการ สร้างแรงจูงใจ และสร้างมนุษย์สัมพันธ์เพื่อให้บุคลากรปฏิบัติหน้าที่เต็ม ก าลังความสามารถ รวมถึงมีความสามารถในการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ เน้นการมีส่วนร่วมวางแผน ๐Danister I Fernando, The Buddhist concept of democratic governance, (New York: McGraw Hill Book Companying, 1956), p.19. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, แผนการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๗๙. (กรุงเทพมหานคร: บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จ ากัด, ๒๕๖๐), หน้า ๕๖.


๓๕ ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นพื้นฐานส าคัญในการพัฒนาโรงเรียน ปฏิรูปโรงเรียน เปลี่ยนแปลงและ พัฒนาโรงเรียนไปสู่ความทันสมัย ทั้งนี้รัฐบาลได้ประกาศขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การศึกษาภายใต้โครงการสานพลัง ประชารัฐ ซึ่ง เป็นการผสานพลังทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม โดยมี ความเชื่อพื้นฐานว่า “คนไทยทุก คน คือ ประชาชนของชาติ” ซึ่งถือเป็นพลังอ านาจที่ ส าคัญในการเปลี่ยนแปลง ด้วยเจตนารมณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่มาของโครงการสานพลัง ประชารัฐ และมีการบันทึกข้อตกลงสานพลังประชารัฐ ด้านการศึกษา พื้นฐานและการ พัฒนาผู้น าที่จะใช้ขับเคลื่อนและยกระดับการศึกษาของประเทศไทย โดยการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติผ่านโครงการผู้น าเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืนตามพื้นที่ โดยมี วิสัยทัศน์เพื่อลด ความเหลื่อมล้ าพัฒนาคุณภาพคนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ต่อไป ๒ ๖.๕ สรุปบทความเกี่ยวกับภาวะผู้น า บทความที่ ๑ ภาวะผู้น าส าหรับผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคต เป็นสรุป สาระส าคัญของบทความที่ผู้น าเป็นกระบวนการที่ผู้น าหรือผู้ที่มีภาวะผู้น า เป็นผู้ที่ชักน า จูงใจ ชี้น า ใช้อิทธิพลหรืออ านาจที่มีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ท าให้หรือกระตุ้นให้หรือชี้น าให้ เพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาให้ยินดี เต็มใจ พร้อมใจ ยินดีในการกระท าการ ให้มี ความกระตือรือร้นหรือร่วมด าเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้น าต้องการหรือตามที่ ผู้น าต้องการให้มีพฤติกรรมไปในทิศทางที่เขาชักน าในการท างานหรือด าเนินกิจกรรมที่ ผู้น านั้นรับผิดชอบหรือตามที่ผู้น านั้นต้องการ ซึ่งสิ่งที่ผู้น าในโรงเรียนในอนาคต ควรมี เพื่อเป็นฐานในการพัฒนาภาวะผู้น า อย่างน้อยน่าจะประกอบด้วยสิ่งส าคัญเหล่านี้ ) ความสามารถเชิงวิสัยทัศน์การวางแผนและการก าหนดเป้าหมายขององค์การ ๒) ความสามารถในการท างานแบบมีส่วนร่วม ๓) ความสามารถในการสื่อสารแบบมี ประสิทธิผล ๔) ความสามารถในการสร้างทีมงาน ๕) ความสามารถในการด าเนิน กระบวนการตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม ๖) ความสามารถในการจัดการกับปัญหา ๗) ความสามารถในเรื่องการสร้างสรรค์นวัตกรรมความคิดสร้างสรรค์และการริเริ่มใน การเปลี่ยนแปลงองค์การ เป็นบทความที่อธิบายถึงบทบาทและแนวทางในการปฏิบัติของ ๒ธัญญลักษณ์ เหล่าจันทร์, “การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทผู้น าทางการศึกษา กับกระบวนการวางแผนกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา พระนครศรีอยุธยา เขต และเขต ๒”, วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต, (มหาวิทยาลัยราชภัฏ พระนครศรีอยุธยา), ๒๕๕๙.


๓๖ ผู้บริหารสถานศึกษาในอนาคตที่ควรน ามาพิจารณา ในการบริหารงานในสถานศึกษาว่ามี ความสามารถในแต่ละด้านแล้วหรือยัง ซึ่งความสามารถเหล่านั้นเป็นความสามารถที่ ถ้าผู้บริหารคนใดมีมากก็จะท าให้บริหารงานในหน่วยงานของตนได้ดี การน าไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงาน จากบทความภาวะผู้น าส าหรับผู้บริหาร สถานศึกษาในอนาคตนี้ แนวทางในการน าไปประยุกต์ใช้คือ น าเอาองค์ความรู้นี้ไป วิเคราะห์ว่ามีประเด็นใดที่สามารถจะด าเนินการได้ก่อน-หลังตามล าดับและน าไปส่งเสริม ให้บุคลากรในสถานศึกษามีความสามารถในแต่ละด้านที่กล่าวถึง เพราะการเป็นผู้น านั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะผู้ที่เป็นผู้บริการสถานศึกษาเท่านั้น แต่บุคลากรทุกคนในสถานศึกษา จะต้องมีความรู้และความสามารถดังกล่าวด้วย เพราะในบางสถานการณ์ก็ต้องเป็นผู้น าใน บางเรื่องเช่นเดียวกัน ตามทฤษฎีการบริหารตามสถานการณ์ เพื่อการท างานที่คล่องตัว และมีประสิทธิภาพต่อไป ๓ บทความที่ ๒ ชื่อบทความบทความภาวะผู้น า (Leadership) การเป็นผู้น านั้น เป็นได้ไม่ยาก แต่การที่จะเป็นผู้น าที่ดีให้ได้นั้นต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ของการบังคับ บัญชา ภาวะผู้น ามีอยู่หลากหลายแบบ อาทิ ภาวะผู้น าในยามวิกฤต ภาวะผู้น าในภาวะ ปกติ ภาวะผู้น าทางการเมือง ภาวะผู้น าในเศรษฐกิจ ภาวะผู้น าในสถานการณ์ที่มี การเปลี่ยนแปลง ฯลฯ หากจะถามว่าผู้น าคืออะไร ถ้าจะให้ง่ายต่อการจดจ า นาย อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความหมายของผู้น าไว้ว่า "ผู้น าคือ คนที่คิด คนที่พูด คนที่ท าอะไรแล้วคนอื่นเชื่อถือ อยากท าตาม อยากช่วยเหลือ อยากสนับสนุน" หลายคนยังมีความสับสนระหว่างค าว่า "ผู้บริหาร" กับ "ผู้น า" ผู้บริหารคือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นแบบทางการที่องค์การได้ ก าหนดไว้ ส่วนผู้น าเป็นผู้แสดงบทบาทส าคัญในการเชื่อมโยงกับบรรดาสมาชิกในองค์กร เข้าด้วยกัน โดยไม่จ าเป็นต้องเป็นผู้บริหารดังนั้น ภาวะผู้น าที่ส าคัญต้องมีคุณลักษณะของ ผู้น ามี ๒ ประการคือ . To Lead is to Serve การจะเป็นผู้น าที่ยิ่งใหญ่ขึ้นอยู่กับการบริการ การให้ การช่วยคนอื่น เพราะถ้าใครคิดช่วยเหลือคนอื่นก่อน โดยเฉพาะเกิดมาต่ าต้อยด้อย โอกาส ยิ่งต้องช่วยเหลือเขา และใครที่เกิดมามีน้อยในชีวิต ควรจะได้มาก ๆ โดยกฎหมาย ซึ่งศิลปะของการเป็นผู้น าต้องเป็นผู้ให้ ไม่จ าเป็นต้องเป็นเงินหรือสิ่งของเสมอไป ๒. To Lead is to Follow การที่จะน าต้องรู้จักตาม ค าว่า Follow ก็คือในเรื่อง ที่เกี่ยวกับชีวิต จิตใจ ความรู้สึก อารมณ์ และเหตุผลของเขา สุภาษิตจีนได้สอนคนจีนมา ๓ อุทัย บุญประเสริฐ, รศ. ดร., วิชาภาวะผู้น า, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชันด้า, ๒๕๖๓), หน้า ๒๕.


๓๗ หลายร้อยปีแล้ว ได้บอกว่า "ผู้น าที่ดีเยี่ยมนั้น คือคนที่ท างานส าเร็จแล้วจะหายตัวไป หาก เกิดปัญหาขึ้นอีกเมื่อใด เขาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง" Leadership ไม่ใช่อยู่ที่ป้ายต าแหน่งหน้าห้อง แต่ผู้น าคือคนที่พูดอะไร คิดอะไร ท าอะไรแล้วมีคนอยากร่วมท างานและสนับสนุน ซึ่งภาวะผู้น านี้ จะมีการผสมผสานกันอยู่ หลายอย่าง บางอย่างเกิดจากการมีฐานะดี ดูแลคนอื่นได้ เกิดจากการมีความรู้ดีสามารถ ช่วยเหลือคนอื่นได้ หรืออาจเกิดจากการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างสม่ าเสมอ แล้วเกิดการ ยอมรับ อย่างไรก็ตาม ในโลกสมัยใหม่ ผู้น าต้องเป็นผู้สร้างแรงจูงใจให้สมาชิกในองค์กรมี ขวัญและก าลังใจในการท างานแบบทุ่มเท หมดสมัยแล้วที่จะควบคุมสั่งการบังคับบัญชา ให้ท าตามแบบพิมพ์เขียว ซึ่งจะท าให้คุณภาพงานออกมาไม่ดีรวมทั้งจะไม่มีใครท าตามใน สิ่งที่ไม่เชื่อ ไม่ศรัทธา และไม่ได้มีส่วนร่วมอีกต่อไป บทความที่ ๓ ชื่อบทความภาวะผู้น ากับการเป็นผู้บริหารที่ดี การบริหารเป็น เรื่องที่เกี่ยวกับคนและงาน เป็นสิ่งที่มีความส าคัญต่อการบริหารงานดังนั้นจึงต้องใช้ การปกครองอย่างมี ศิลปะ เพื่อให้สามารถครองใจคนและได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพ เกิดคุณภาพ ถือว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ในการท างานให้ส าเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์และ เป้าหมายที่วางไว้ การดูแล การจูงใจจะต้องน าก่อนท าเป็นตัวอย่างตลอดจน สร้าง ภาพลักษณ์ขององค์กรให้เป็นที่ชื่นชมยินดี ประเภทของผู้น าประกอบด้วย ) ผู้น าแบบเผด็จการ เป็นผู้น าที่มีความเด็ดขาดในตัวเองถือเรื่องระเบียบวินัย กฎเกณฑ์ข้อบังคับเป็นหลัก ในการด าเนินงานการตัดสินใจต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับผู้น าแต่เพียง ผู้เดียวเท่านั้น ในแง่การบริหารงานทางด้านวิชาการด้านธุรกิจจะเปรียบเสมือนกิจการที่ เป็นเจ้าของบุคคลเดียวที่มีการด าเนินการและตัดสินใจเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการ เท่านั้น ๒) ผู้น าแบบประชาธิปไตย ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความส าคัญในโลกปัจจุบัน ให้สิทธิ์ในการออกความคิดเห็น สิทธิในการเรียกร้อง รวมไปถึงการเคารพสิทธิของผู้อื่น ด้วยการเป็นประชาธิปไตยจึงเป็นลักษณะหนึ่ง ที่สังคมค่อนข้างจะยอมรับกันมากกว่าผู้น า ประเภทอื่น ๆ ๓) ผู้น าแบบตามสบาย เป็นผู้น าที่ไปเรื่อย ๆ มีความอ่อนไหวไปตามสถานการณ์ที่ เกิดขึ้น เป็นผู้น าที่เป็นที่รักของผู้ร่วมงานอย่างมาก ผู้น าประเภทนี้จึงมีมากมายตามแต่ละ กิจกรรมต่าง ๆ บางครั้งอาจมองว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง หรือมองโลกใน แง่ดีซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขยันอาจจะไม่ชอบลักษณะผู้น า ประเภทนี้ ในทางปฏิบัติบางแห่งในตัวผู้น าอาจจะมีรูป แบบของการเป็นผู้น าทั้ง ๒ ประเภท ในคนเดียว อาจจะมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นออกมาแต่ละประเภท ซึ่งสามารถควบคุม


๓๘ การปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ลักษณะการใช้อ านาจของผู้น าแตกต่างกัน ออกไป เพราะในตัวผู้น าแต่ละคนมีอ านาจมีอิทธิพล สามารถด าเนินการหรือสั่งการได้ตาม ความเหมาะสม การใช้อ านาจของผู้น าในการบริหารแบ่งได้ดังนี้ ) การใช้อ านาจเด็ดขาด อาจจะเป็นในวงการทหารหรือต ารวจ จะเห็นได้ อย่างเด่นชัดซึ่งจ าเป็นจะต้องมีความเด็ดขาดในการสั่งการ เพราะทหาร ต ารวจ จะต้องมี วินัยในการปกครองซึ่งกันและกัน บรรดาต ารวจที่มีอาวุธอยู่ในมือด้วยแล้ว หากขาดวินัยก็ จะเสมือนกับกองโจรที่สามารถกระท าผิดได้ตลอดเวลา ๒) การใช้อ านาจอย่างมีศิลปะ ผู้น าโดยทั่วไปเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความอดทนรวมไปถึงประสบการณ์ในการบังคับบัญชาคน หากการท างานโดยเอาใจเขา มาใส่ใจเราแล้วผลงานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นที่ยอมรับของคนโดยทั่วไป ๓) การใช้อ านาจด้วยวิธีการปรึกษาหารือ เป็นลักษณะของการใช้อ านาจวิธีการ หนึ่งซึ่งใช้กันอย่างมากมาย เพราะผู้บริหารที่เปิดใจกว้างย่อมได้รับการยอมรับของ ผู้ร่วมงานด้วยกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการสอนงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาในลักษณะการ ใช้อ านาจด้วย วิธีการปรึกษาหารือ ๔) การใช้อ านาจแบบมีส่วนร่วม บางคนอาจจะบอกว่าการใช้อ านาจแบบมีส่วน ร่วมถือเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด เนื่องจากผู้บริหารเปิดใจกว้าง ผลผลิตที่ได้จะมี ประสิทธิภาพสูงสุดแต่จะต้องขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของแต่ ละคน ในทางทฤษฎีแล้ว การใช้อ านาจให้เป็นประโยชน์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อม รวม ถึงลักษณะของการด าเนินงานในแต่ละกิจกรรมนั้น ๆ หน้าที่ของผู้น าแบ่งออกได้ดังนี้ ) ลักษณะของการควบคุม คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ใครมาควบคุม แต่ในทาง ปฏิบัติงานแล้ว การควบคุมอยู่ห่าง ๆ จะได้ผลดีตามมาในลักษณะของการติดตามผลงาน อาจจะใช้การควบคุมด้วยระบบเอกสาร ระบบของงานที่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันหรือเป็น การควบคุมในระบบด้วยตัวของมัน เองอย่างอัตโนมัติ ๒) ลักษณะของการตรวจตรา เป็นหน้าที่โดยตรงของผู้น าหรือผู้บริหารที่จะต้อง ติดตามความเคลื่อนไหวหรือ ผลการด าเนินงานตามขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อที่จะสามารถแก้ไข ในเหตุการณ์นั้น ๆ ได้ทันการ ๓) ลักษณะของการประสานงาน การประสานงานของหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้ง การประสานงานในเรื่องต าแหน่งหน้าที่การงานถือว่าเป็นความจ าเป็นและ ส าคัญอย่าง มากในการปฏิบัติงาน


๓๙ ๔) ลักษณะของการวินิจฉัยสั่งการ การสั่งการของผู้น าถือเป็นเรื่องส าคัญอย่าง หนึ่ง เพราะผู้น าที่ดีจะรู้จักการใช้คนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การวินิจฉัยสั่งการที่ดีนั้น จะต้องมีความชัดเจนสามารถน าไปปฏิบัติได้ทันที ๕) ลักษณะของการโน้มน้าวให้ท างาน ผู้น ามีหน้าที่หลักอย่างหนึ่ง คือ การชักชวน ให้สมาชิกมีความสนใจในการปฏิบัติ งานหน้าที่การงานด้วยความตั้งใจ มีความซื่อสัตย์ สุจริต และเต็มใจที่จะท างานนั้น ๆ ให้เกิดประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากที่สุด ๖) ลักษณะของการประเมินผลงาน การพิจารณาความดีความชอบตลอด ระยะเวลาการท างานของพนักงานถือเป็นหน้าที่ที่ ส าคัญอย่างหนึ่ง เป็นการเพิ่มขวัญและ ก าลังใจในการท างาน การประเมินผลการปฏิบัติงานที่ดีควรกระท าเป็นระยะ ๆ และ สามารถแจ้งผลให้ผู้ที่ถูกประเมินได้ทราบเพื่อจะได้แก้ไขในโอกาสต่อไป หากสามารถ ประเมินผลงานได้อย่างถูกต้องและเป็นธรรมแล้ว ปัญหาด้านการบริหารงานบุคคลย่อม ลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน คุณสมบัติ ที่ดีของผู้น า ) มีความรู้ ความสามารถ การใช้สติปัญญานั้น ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ ส าเร็จลุล่วงไปได้ เมื่อมีสติปัญญาดีก็เกิด ๒) เป็นผู้มีสังคมดี ค าว่าสังคมดีคือจะต้องมีลักษณะของการเป็นผู้น าที่มีอารมณ์ มั่นคงมีวุฒิภาวะ มีความเชื่อมั่นในตนเองมีความสนใจและใช้กิจกรรมต่าง ๆ อย่าง กว้างขวางเพื่อประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน ๓) เป็นผู้ที่มีแรงกระตุ้นภายใน คือมีจิตส านึกเกิดขึ้นในตัวของผู้น า เป็นแรง กระตุ้นที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ต่อแรงจูงใจที่จะโน้มน้าวให้ผู้ ปฏิบัติงานมีความ ปรารถนาที่จะท างานตรงนั้นให้เกิดความส าเร็จ ๔) เป็นผู้ที่มีทัศนคติที่ดีและมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีผู้น าจะต้องตระหนักในคุณค่า และศักดิ์ศรีของตัวเอง ของลูกน้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน มองโลกในแง่ดีในการที่จะ ท าให้กิจการต่าง ๆ ประสบผลส าเร็จตามเป้าหมาย ลักษณะของผู้น าที่จะท าให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพสูงสุด ) ต้องเป็นนักเผด็จการ หมายถึงผู้บริหารสามารถจะสั่ง การได้อย่างเด็ดขาด ผลผลิตที่ได้มาส่วนใหญ่จะมาด้วยปริมาณ ส่วนเรื่องคุณภาพที่จะดีในช่วงแรก ๆ หากผู้น า สามารถสอดส่องดูแลอยู่ตลอดเวลา ผลผลิตก็อาจจะมีทั้งปริมาณและคุณภาพที่ดีตามไป ด้วย ๒) ต้องเป็นนักพัฒนา ผู้น าประเภทนี้จะต้องมีผู้ร่วมงานที่รู้ใจ สามารถสร้างสรรค์ งานใหม่ ๆ ตลอดเวลา


Click to View FlipBook Version