การเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด เดือน พันพม่า รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2567
การเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด เดือน พันพม่า รายงานการวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2567
ชื่อเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ผู้วิจัย นางสาวเดือน พันพม่า อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.ศศิธร อมรินทร์แสงเพ็ญ อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม คุณครูอุไร จันทร์สม ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและ หลังได้รับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นเด็กนักเรียนชาย – หญิง อายุ 5 – 6 ปี ก าลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีสังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จ านวน 28 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม รูปแบบการวิจัย คือ แบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลัง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด และแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด มีทักษะทางสมอง EF หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม
กิตติกรรมประกาศ รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ส าเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาจาก ดร.ศศิธร อมรินทร์แสงเพ็ญ อาจารย์ที่ปรึกษาวิจัย และนางอุไร จันทร์สม ที่ปรึกษาร่วมที่ได้กรุณาให้ค าปรึกษา ชี้แนะแนวทางต่าง ๆ ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาเป็นอย่างอย่างยิ่ง ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ อย่างสูง ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณท่านผู้เชี่ยวชาญ น างสาวศุภรดา วงษ์แก้ว ครูช าน าญการพิเศษ โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ที่ให้ค าแนะน า ปรึกษาและเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ แก้ไจเครื่องมือวิจัยให้มีคุณภาพ ขอขอบพระคุณผู้อ านวยการสถานศึกษาและคณะครูโรงเรียนบ้านหมากแข้งทุกท่านที่ อ านวยความสะดวก ให้ความร่วมมือช่วยเหลือและเป็นก าลังใจโดยตลอด ขอขอบใจนักเรียน ชั้นอนุบาลปีที่ 3 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ปีการศึกษา 2566 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการทดลอง เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ขอกราบขอบพระคุณบิดา มารดา สมาชิกทุกคนในครอบครัวของผู้วิจัย ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง แห่งความส าเร็จครั้งนี้ คอยช่วยเหลือและให้ก าลังใจผู้วิจัย คุณค่าและประโยชน์อันพึงมีของงานวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบแด่คุณบิดา มารดา ผู้เป็นบุพการี ตลอดจนบูรพาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ผู้วิจัยและผู้มีพระคุณทุกท่านสืบไป เดือน พันพม่า
สารบัญ บทคัดย่อ ................................................................................................................................... กิตติกรรมประกาศ .................................................................................................................... สารบัญ ..................................................................................................................................... สารบัญตาราง ........................................................................................................................... สารบัญตาราง ........................................................................................................................... บทที่ 1 บทน า.................................................................................................................................... ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา........................................................................ วัตถุประสงค์ของการวิจัย.............................................................................................. สมมติฐานของการวิจัย.................................................................................................. ขอบเขตของการวิจัย..................................................................................................... นิยามศัพท์เฉพาะ.......................................................................................................... ประโยชน์ที่จะได้รับ........................................................................................................ กรอบแนวคิดการวิจัย..................................................................................................... 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง............................................................................................ ทักษะสมอง EF…………………………………………………………………………………………………. ความหมายของทักษะสมอง EF............................................................................... องค์ประกอบของทักษะสมอง EF............................................................................ ความส าคัญของทักษะสมอง EF.............................................................................. ประโยชน์ของของทักษะสมอง EF........................................................................... การพัฒนาทักษะสมอง EF....................................................................................... งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะสมอง EF.................................................................... การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป.................................................................. ประวัติความเป็นมาของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป..................... ความหมายของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป.................................. ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป.................................... หลักการของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป....................................... ประสบการณ์ส าคัญของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป..................... การจัดกิจวัตรประจ าวันแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป............. ก ข ค ง จ หน้า 1 1 3 4 4 5 6 7 8 9 9 11 16 18 19 27 29 29 30 30 33 35 38
สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 2 (ต่อ) การวางแผน ปฏิบัติและทบทวนในกิจวัตรประจ าวันของการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้แบบไฮสโคป........................................................................................... งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป........................ ค าถามปลายเปิด............................................................................................................ ความหมายของค าถามปลายเปิด............................................................................. ความส าคัญของค าถามปลายเปิด............................................................................ ประเภทของค าถามปลายเปิด.................................................................................. ระดับการตั้งค าถามปลายเปิด.................................................................................. หลักการใช้ค าถามปลายเปิด.................................................................................... ประโยชน์ของค าถามปลายเปิด............................................................................... งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับค าถามปลายเปิด.................................................................. ขั้นตอนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด.................................... 3 วิธีด าเนินการวิจัย.................................................................................................................. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง............................................................................................ รูปแบบในการทดลอง..................................................................................................... เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...................................................................... การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือ.......................................................................... การด าเนินการจัดกิจกรรม............................................................................................. การวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................................ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล....................................................................................... 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................................... สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................... ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................................................... ค่าสถิติพื้นฐานการพัฒนาทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย.......................... เปรียบเทียบคะแนนทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด.......................................... 40 43 45 45 46 47 48 51 53 54 56 59 59 59 60 60 60 66 66 66 68 68 68 68 69
สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ..................................................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................................... สมมติฐานของการวิจัย................................................................................................... ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง............................................................................................ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................................................. การด าเนินการจัดกิจกรรม............................................................................................. การวิเคราะห์ข้อมูล........................................................................................................ สรุปผลการวิจัย.............................................................................................................. อภิปรายผลการวิจัย....................................................................................................... ข้อเสนอแนะ.................................................................................................................. ข้อเสนอแนะในการน าผลวิจัยไปใช้......................................................................... ข้อเสนอแนะในการท าวิจัยครั้งต่อไป....................................................................... บรรณานุกรม............................................................................................................................... ภาคผนวก.................................................................................................................................... ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ...................................................... ภาคผนวก ข ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย............................................................................................................... ภาคผนวก ค ค่าอ านาจจ าแจก (r) และค่าความเชื่อมั่นแบบประเมินทักษะ ทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย........................................................................................ ภาคผนวก ง ตัวอย่างแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด....... ภาคผนวก จ ตัวอย่างแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย....................... ภาคผนวก ฉ ตัวอย่างภาพการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด....... ประวัติย่อผู้วิจัย........................................................................................................................... 70 70 70 70 70 70 71 71 71 72 72 73 74 80 81 83 85 87 93 97 101
สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 หน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถามปลายเปิด................................................................................................................... 2 แบบแผนการทดลอง............................................................................................................. 3 หน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถามปลายเปิด................................................................................................................... 4 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด....................................................... 5 การเปรียบเทียบคะแนนทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง การจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด...................................................... 6 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย........ 7 ค่าอ านาจจ าแนก (r) และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย............................................................................................................... 4 59 60 69 69 84 86
สารบัญรูปภาพ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจัย............................................................................................................ 2 วงล้อแห่งการเรียนรู้.............................................................................................................. 3 ตัวอย่างการจัดกิจวัตรประจ าวันของไฮสโคป........................................................................ 4 ตัวอย่างการจัดกิจวัตรประจ าวัน........................................................................................... 5 ขั้นตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด................... 6 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด...................... 7 ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย................................. 7 34 38 39 58 62 65
1 บทที่ 1 บทน ำ ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นกลไกที่ส าคัญยิ่งในการน าประเทศเข้าสู่สังคมโลก ในศตวรรษที่ 21 และเป้นประเด็นหลักที่ก าหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 การเตรียมความพร้อมก าลังคนทั้งด้านความรู้ ทักษะ สมรรถนะที่จ าเป็นให้สามารถปรับตัวและ รู้เท่าทันต่อกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกที่มีพลวัตและการแข่งขันอย่างเสรีและไร้พรมแดน จึงเป็นความส าคัญจ าเป็นเร่งด่วนที่ประเทศต้องเร่งด าเนินการเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศ (ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560: 100) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ก าหนดเป้าหมายในการพัฒนาระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุ ขีดความสามารถและเต็มศักยภาพ (Quality) ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ และมีมาตรฐาน เพื่อพัฒนาคุณลักษณะ ทักษะ ความรู้ ความสามารถและสมรรถนะของบุคคลอย่าง เต็มศักยภาพและมีความสามารถของบุคคลพึงมี ภายใต้ระบบเศรษฐกิจสังคมฐานความรู้สังคมแห่ง ปัญญาและการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่ประชาชนสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งหารเรียนรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม รู้จักสามัคคี ร่วมมือ ผนึกก าลังมุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ประชากรทุกคนเข้าถึง การศึกษาที่มีคุณภาพและมาตรฐานอย่างทั่วถึง คือเด็กปฐมวัยมีพัฒนาสมวัยและมีโอกาสได้รับบริการ ทางการศึกษาที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน ศูนย์เด็กเล็ก/สถานศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาสามารถ จัดกิจกรรมและมีกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรอย่างมีคุณภาพและมีมาตรฐาน มีตัวชี้วัดที่ส าคัญ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักสูตรอย่างมีคุรภาพและมีมาตรฐาน มีตัวชี้วัดที่ส าคัญจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับหลักสูตรปฐมวัยและสมรรถนะของเด็กปฐมวัยที่เชื่อมโยงกับ มาตรฐานคุรภาพเด็กปฐมวัยของอาเซียนเพิ่มขึ้น มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะและทักษะ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ซึ่งช่วงปฐมวัยเป็นช่วงที่มีพัฒนาการด้านสมองและการเรียนรู้ เป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยพบว่าโอกาสแห่งการเรียนรู้แลละอัตราการเรียนรู้สูงสุดอยู่ในช่วงวัยเด็ก การเติบโตและพัฒนาการทางสมองเป็นรากฐานของการเรียนรู้ เนื่องจากการเติบโตของสมองสูงสุดอยู่ ในช่วง 0 - 6 ปี เป็นการเติบโตทางปริมาณท าให้สมองของเด็กมีขนาด 90 – 95 % จึงถือได้ว่าช่วง ปฐมวัยเป็นช่วงที่ต้องการการปลูกฝังบ่มเพาะเป็นพิเศษ โดยถือว่าการปลูกฝังหรือการบ่มเพาะใด ๆ จะเป็นการสร้างฐานรากของชีวิตที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ าและสร้างความเป็นธรรมในสังคมและถือว่า เป็นการลงทุนในช่วงวัยนี้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด (ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560: 1) ผู้วิจัย ในฐานะนักศึกษาฝึกปฏิบัติการในสถานศึกษาสังเกตพบว่า การพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นช่วงเวลาส าคัญส าหรับพัฒนาการสมอง หากสมองได้รับการกระตุ้นและพัฒนาอย่างถูกวิธีในช่วง จังหวะเวลาที่เหมาะสมจะท าให้พัฒนาการทุกด้านเป็นรากฐานของชีวิตอันมั่นคงเด็กปฐมวัยจึงควรได้
2 รับการพัฒนาทักษะทางสมอง EF ที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มทักษะพื้นฐาน ได้แก่ 1) ความจ าเพื่อใช้ง าน (Working memory) 2) การยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) 3) การยืดหยุ่นความคิด (Shifting) กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มทักษะก ากับตนเอง ได้แก่ 4) การใส่จดจ่อ (Attention) 5) การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) 6) การติดตามประเมินตนเอง (Self - Monitoring) กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มทักษะปฏิบัติ ได้แก่ 7) การริเริ่มและลงมือท า (Initiating) 8) การวางแผนและการด าเนินงาน (Planning and Organizing) 9) การมุ่งเป้าหมาย (Gold – Directed Persistence) ดังนั้นทักษะทางสมอง EF จึงมีความส าคัญและจ าเป็นอย่างมากในการ พัฒนาเด็กปฐมวัยเนื่องจากช่วยให้เด็กปฐมวัยมีความจ าดี มีสมาธิจดจ่อสามารถท างานต่อเนื่องได้ จนเสร็จรู้จักวิเคราะห์วางแผนงานเป็นระบบ ลงมือท างานได้สามารถน าประสบการณ์เดิมมาใช้ใน การเรียนรู้สิ่งใหม่นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนความคิดเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน จนสามารถพัฒนา ไปสู่การคิดนอกกรอบได้ สามารถประเมินความสามารถและผลงานของตนเอง น าจุดบกพร่อง มาปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้นรู้จักแก้ปัญหาและการควบคุมตนเองตลอดจนการรู้จักยับยั้งควบคุมอารมณ์ และการแสดงทางพฤติกรรมอย่างเหมาะสมเป็นที่ยอมรับของสังคม สามารถคาดการณ์ผลการกระท า และเลือกว่าต้องท าสิ่งใดจึงจะประสบความส าเร็จในการเรียน ทบทวนสิ่งที่ท าผิดไปแล้วน ามาปรับปรุง ให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป (สุภาวดี หาญเมธี, 2559) ทักษะทางสมอง EF นั้นมีความส าคัญต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัยเป็นอย่างมากเป็นเครื่องมือ ที่จะท าให้เด็กปฐมวัยมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ในทางวิทยาศาสตร์นั้นได้เชื่อมโยงให้เห็นระหว่างสมอง เด็กปฐมวัยอายุ 3 – 6 ปี กับการพัฒนาทักษะทางสมอง EF พบว่าสมองของเด็กปฐมวัยอายุ 3 – 6 ปี เป็นสมองที่พร้อมส าหรับการเรียนรู้ด้วยเทคนิคที่หลากหลาย ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบไฮสโคปเป็นรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ไวคาร์ท (Weikart) ประธานมูลนิธิวิจัยการศึกษา ไ ฮสโคป (High/Scope Educational Research Foundation) เป็นผู้ ริเ ริ่มแ ละ ร่ วม กับ คณ ะ นักวิชาการและนักวิจัย (พัชรี ผลโยธิน, 2550: 1 – 2 อ้างถึงใน Weikart and others, 1978 และ Schweinhart, 1988 และ 1997) โดยการพัฒนาโปรแกรมไฮสโคป ได้ใช้ทฤษฎีพัฒนาการ ทาง สติปัญญา (Cognitive Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) เป็นพื้นฐานโดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของ ผู้เรียนซึ่งเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระท า (Active Learning) ระยะต่อมามีการผสมผสานทฤษฎีและ แนวคิดอื่น ๆ เช่น ทฤษฎีของอีริกสัน (Erikson) ในเรื่องการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่น หรือ กิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ และทฤษฎีของไวก๊อตสกี้ (Vygotsky) ในเรื่องปฏิสัมพันธ์และการใช้ภาษา (พัชรี ผลโยธิน, 2550: 2) ลักษณะการเรียนการสอนแบบไฮสโคป (High-Scope) จึงเป็น การสร้าง องค์ความรู้จากการที่เด็กได้ลงมือกระท ากับอุปกรณ์หรือสิ่งแวดล้อมซึ่งถือเป็นประสบการณ์ตรงโดยใช้ หลักปฏิบัติ 3 ประการ คือ 1) การวางแผน (Plan) หมายถึง การที่เด็กบอกหรือ แสดงให้ผู้ใหญ่ รู้ว่าเขาจะท าอะไรเมื่อไรอย่างไรแล้วแสดงการท ากิจกรรมด้วยสัญลักษณ์ประจ าตัวเด็ก ซึ่งเป็น กระบวนการที่เด็กมีโอกาสเลือกและตัดสินใจ 2) การปฏิบัติ (Do) หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กปฏิบัติ ดังนี้การเล่นหรือการปฏิบัติตรงตามที่เด็กตั้งใจ, ฝึกการคิดการแก้ปัญหา และการตัดสินใจ, การมีส่วน ร่วมในการท างานกลุ่ม, การได้เคลื่อนไหว และพัฒนาการพูด และการฝึกคิด จินตนาการ 3) การ ทบทวน (Review) หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กแสดงออก ดังนี้ การสะท้อนสิ่งที่เด็กได้กระท า เป็นการ เชื่อมโยงระหว่างการวางแผนการปฏิบัติและผลงานที่เด็กท าและการเล่าประสบการณ์ ในการ
3 ท างานปฏิสัมพันธ์โดยการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเป็นรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ที่ สอดคล้องกับหลักในการส่งเสริมความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล เนื่องจากการจัดกิจกรรม แบบ ไฮสโคปเป็นนวัตกรรมที่มุ่งเน้นการเรียนรู้แบบลงมือท า คือ การเรียนรู้ที่เด็กได้จัดกระท ากับวัตถุได้มี ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลความคิดและเหตุการณ์จนกระทั่ง สามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (วร นาท รักสกุลไทย และคณะ 2546: 13) การใช้ค าถามปลายเปิดในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญเพื่อให้ผู้เรียนได้คิดนั้น ก็มีความส าคัญมาก ผู้เรียนต้องมีความคิดที่จะคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่มีมากมาย ผู้สอนจึงต้องฝึก ผู้เรียนให้คิดเก่ง โดยใช้ค าถามปลายเปิดเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กคิด ผู้สอนควรใช้ค าถามปลายเปิดอย่าง หลากหลายตั้งแต่ค าถามง่ายๆ จนถึงค าถามที่ต้องใช้ความคิดที่สูงขึ้น (ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์, 2553: 3) โดยค าถามปลายเปิด เป็นค าถามที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงค าตอบและวิธีการอย่างหลากหลาย ในการแก้ปัญหาเป็นค าถามที่กระตุ้นการคิด (เจนสมุทร แสงพันธ์, 2548: 23) เป็นค าถามที่มี ความหลากหลายของค าตอบ หรือวิธีการได้มาซึ่งค าตอบรวมถึงเป็นค าถามที่มีค าตอบเดียวแต่ มีความหลากหลายในการให้เหตุผล (คงรัฐ นวลแบ่ง, 2547: 3) ซึ่งค าถามปลายเปิดจะช่วยเปิดโอกาส ให้นักเรียนได้แสดงความสามารถในการคิดการให้เหตุผลการสื่อสารและการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งแม้จะมีผู้หาค าตอบได้แล้วนักเรียนคนอื่นก็ยังมีโอกาสหาค าตอบอื่น ๆ ได้อีกท าให้นักเรียน ตอบค าถามได้ตามระดับความสามารถของตนเองซึ่งค าตอบที่ได้จะสะท้อนถึง ระดับความเข้าใจ ของนักเรียนแต่ละคน (คงรัฐ นวลแบ่ง, 2547: 2 อ้างถึงใน Kyle et al., 1996) โดยการ ตั้งค าถามปลายเปิดยังมีประโยชน์ ดังนี้ 1) ผู้เรียนกับครูผู้สอนสื่อความหมายกันได้ดีขึ้น 2) ช่วยครูใน การวางแผนการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้ครูสามารถ ก าหนดองค์ประกอบของงานที่มอบหมายให้ผู้เรียนปฏิบัติได้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 3) สร้างแรงจูงใจและกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนและแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจของผู้เรียน เบื้องต้น 4) ช่วยเน้นประเด็นส าคัญของสาระการเรียนรู้ที่เรียนและทบทวนสาระที่ส าคัญในเรื่องที่ เรียน 5) ช่วยครูในการประเมินผลการเรียนการสอนเข้าใจความสนใจที่แท้จริงของผู้เรียนและวินิจฉัย จุดแข็งจุดอ่อนของผู้เรียนได้ 6) ช่วยสร้างลักษณะนิสัยของการชอบคิดให้กับผู้เรียนตลอดจนนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียนตลอดชีวิต การใช้ค าถามปลายเปิดจึงเป็นส่วนส าคัญในการใช้กระตุ้นความคิดเชิงเหตุผล ของเด็กปฐมวัย (ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2534: 74-78) จากเหตุผลข้างต้น ผู้วิจัยในฐานะนักศึกษาฝึกปฏิบัติการในสถานศึกษา จึงมีความสนใจ ในการศึกษาการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดสามารถพัฒนาทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยได้เพียงใด และเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถามปลายเปิดมีทักษะทางสมอง EF สูงกว่าก่อนการได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้หรือไม่โดยผลที่ ได้จากการวิจัยครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยต่อไป วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด
4 สมมติฐำนของกำรวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดมีทักษะทางสมอง EF หลังจัดการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม ขอบเขตของกำรวิจัย ขอบเขตของการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ก าหนดขอบเขตการวิจัย ดังนี้ 1. ประชำกร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลที่อยู่ในจังหวัดอุดรธานี 2. กลุ่มตัวอย่ำง เด็กนักเรียนชาย – หญิง อายุ 5 – 6 ปี ก าลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จ านวน 28 คน ที่ได้มาโดยการสุ่ม แบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 3. ตัวแปรที่ศึกษำ 2.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด 2.2 ตัวแปรตาม คือ ทักษะทางสมอง EF 4. เนื้อหำที่ใช้ในกำรวิจัย เนื้อหาในการทดลองเป็นแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถาม ปลายเปิดที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย ซึ่งประกอบไปด้วยแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถามปลายเปิด จ านวน 18 แผน ที่สอดคล้องกับหน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการ จัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 หน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถามปลายเปิด สัปดำห์ที่ วันที่ท ำกำร ทดลอง หน่วยกำรจัดประกำรณ์ ทักษะทำงสมอง EF 1 จันทร์ พุธ ศุกร์ เศรษฐกิจพอเพียง การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 2 จันทร์ พุธ ศุกร์ วันลอยกระทง การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย
5 ตารางที่ 1 หน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถามปลายเปิด (ต่อ) สัปดำห์ที่ วันที่ท ำกำร ทดลอง หน่วยกำรจัดประบกำรณ์ ทักษะทำงสมอง EF 3 จันทร์ พุธ ศุกร์ วันชาติ การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 4 จันทร์ พุธ ศุกร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 5 จันทร์ พุธ ศุกร์ สนุกกับตัวเลข การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 6 จันทร์ พุธ ศุกร์ ขนาด รูปร่าง รูปทรง การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 5. ระยะเวลำที่ใช้ในกำรวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้ระยะเวลาในการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลาในการทดลอง จ านวน 18 แผน มีระยะเวลาในการจัดกิจกรรม 6 สัปดาห์ นิยำมศัพท์เฉพำะ เพื่อให้การด าเนินการวิจัยในครั้งนี้มีความชัดเจน ผู้วิจัยได้ก าหนดความหมายของค าศัพท์ที่ ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ดังนี้ 1. ทักษะทางสมอง EF หมายถึง กระบวนการทางความคิดของสมองส่วนหน้าที่เกี่ยวกับ การควบคุมความคิด อารมณ์ การกระท า เพื่อบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ รวมไปถึงการควบคุมอารมณ์ พฤติกรรมเพื่อด าเนินการชีวิตในสังคมอย่างปลอดภัยและประสบความส าเร็จตามเป้าหมาย ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยจ าแนกทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยหลังได้รับการจัดกิจกรรมแบบ ไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ออกเป็น 3 ทักษะ ดังนี้ 1. การริเริ่มและลงมือท า หมายถึง พฤติกรรมของเด็กในการริเริ่มและลงมือท างาน ตามที่คิดมีทักษะในการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ และเมื่อคิดแล้วก็ลงมือท าให้ความคิดของตนเป็นจริง ได้แก่ ริเริ่มและปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ลงมือปฏิบัติกิจกรรมทันที ปฏิบัติกิจกรรมตรงเวลาไม่ ผัดวันประกันพรุ่ง
6 2. การวางแผนจัดระบบด าเนินการ หมายถึง พฤติกรรมของเด็กในการท างานโดย เริ่มตั้งเป้าหมาย จัดล าดับความส าคัญจนถึงการด าเนินการ ได้แก่ วางแผนปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ปฏิบัติกิจกรรรมตามขั้นตอนที่วางไว้ บอกล าดับก่อน - หลังของการปฏิบัติกิจกรรม 3. การมุ่งเป้าหมาย หมายถึง พฤติกรรมของเด็กที่แสดงออกถึงความพากเพียรและ ตั้งใจมุ่งปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ด้วยความมุ่งมั่นจนส าเร็จ ได้แก่ บอกเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายง่าย ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรม ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ส าเร็จ ปฏิบัติกิจกรรมเสร็จตามเวลาที่ก าหนด 2. การจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด หมายถึง การจัดประสบการณ์ ให้เด็กได้คิดวางแผนในการสร้างสรรค์ผลงาน ปฏิบัติตามแผนและทบทวนการปฏิบัติและในขั้น วางแผนครูจะใช้ค าถามปลายเปิดในการกระตุ้นและชักน าให้เด็กแสดงความคิดเกี่ยวกับการใช้เหตุผล ในขณะท ากิจกรรม ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมโดยปรับแนวคิดจากขั้นตอนการจัดกิจกรรม ของวรนาท รักสกุลไทย และคณะ (2546: 13) โดยมีขั้นตอนการจัดกิจกรรม ดังนี้ 2.1 การวางแผน (Plan) 2.1.1 ครูน าเด็กเข้าสู่กิจกรรม ด้วยเพลง ค าคล้องจองและการสนทนา 2.1.2 ครูและเด็กร่วมกันสร้างข้อตกลงในการท ากิจกรรม 2.1.3 ครูแนะน ากิจกรรม อุปกรณ์และสาธิตวิธีการท ากิจกรรม จากนั้นครูแบ่งเด็ก ออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 – 6 คน 2.1.4 เด็กวางแผนเลือกท ากิจกรรมโดยครูสังเกตและสัมภาษณ์การวางแผน ในการท ากิจกรรมของเด็ก 2.2 การปฏิบัติ (Do) 2.2.1 เด็กปฏิบัติกิจกรรมตามที่วางแผนไว้โดยครูสังเกตการคิดและให้เหตุผลใน การท ากิจกรรมพร้อมบันทึกวิธีการท ากิจกรรม หากเด็กไม่ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ครูใช้ ค าถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นเด็ก 2.2.2 เมื่อใกล้หมดเวลาครูให้สัญญาณ เด็กท าความสะอาดและเก็บอุปกรณ์ให้ เรียบร้อย 2.3 การทบทวน (Review) 2.3.1 ครูและเด็กร่วมกันทบทวนและสรุปกิจกรรม ประโยชน์ที่จะได้รับ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ประโยชน์จากการวิจัย ดังนี้ 1. ทราบผลการเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดก่อนและหลังจากจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถามปลายเปิด 2. แผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดของเด็กปฐมวัย 3. แนวทางการจัดประสบการณ์ส าหรับครูผู้สอนระดับปฐมวัยในการจัดกิจกรรมแบบ ไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอื่น ๆ อย่างมี ประสิทธิภาพต่อไป
7 กรอบแนวคิดกำรวิจัย ตัวแปรต้น ตัวแปรตำม ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย การจัดกิจกรรมแบบไฮสโคป เสริมด้วยค าถามปลายเปิด ทักษะทางสมอง EF - การริเริ่มและลงมือท า - การวางแผนจัดระบบด าเนินการ - การมุ่งเป้าหมาย
8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร งานวิจัยและทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมี รายละเอียด ดังนี้ 1. ทักษะทางสมอง EF 1.1 ความหมายของทักษะสมอง EF 1.2 องค์ประกอบของทักษะสมอง EF 1.3 ความส าคัญของทักษะสมอง EF 1.4 ประโยชน์ของทักษะสมอง EF 1.5 การพัฒนาทักษะสมอง EF 1.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะสมอง EF 2. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป 2.1 ประวัติความเป็นมาของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป 2.2 ความหมายของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป 2.3 ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป 2.4 หลักการของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป 2.5 ประสบการณ์ส าคัญของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป 2.6 การจัดกิจวัตรประจ าวันแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป 2.7 การวางแผน ปฎิบัติและทบทวนในกิจวัตรประจ าวันของการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้แบบไฮสโคป 2.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป 3. ค าถามปลายเปิด 3.1 ความหมายของค าถามปลายเปิด 3.2 ความส าคัญของค าถามปลายเปิด 3.3 ประเภทของค าถามปลายเปิด 3.4 ระดับการตั้งค าถามปลายเปิด 3.5 หลักการใช้ค าถามปลายเปิด 3.6 ประโยชน์ของค าถามปลายเปิด 3.7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับค าถามปลายเปิด 4. ขั้นตอนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด
9 ทักษะทางสมอง EF ในการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของทักษะทางสมอง EF ไว้แตกต่างกัน ดังนี้ 1. ความหมายของทักษะสมอง EF Coper – Kahn and FoSter (2013) กล่าวว่า ทักษะสมอง EF เป็นร่มใหญ่ ส าหรับกระบวนการทางสติปัญญาที่มีบทบาทเกี่ยวกับการดูแลตรวจตราการคิดและพฤติกรรม ซึ่ง ท างานร่วมกันโดยตรงและท างานไปพร้อม ๆ กัน เพื่อไปสู่เป้าหมายอย่างประสบความส าเร็จ Gioia, Isquith, Guy & Kenworthy (2000) กล่าวว่า ทักษะสมอง EF คือ ความสามารถทางด้านจิตใจของแต่ละบุคคลในการตั้งเป้าหมายและพฤติกรรมในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ Engle (2002) กล่าวว่า ทักษะสมอง EF คือความสามารถในการควบคุมและจัด ระเบียบความคิดและพฤติกรรมมีบทบาทส าคัญเกือบทุกแง่มุมของกระบวนการทางสมอง Melzer (2007) กล่าวว่า ทักษะทางสมอง EF คือการมีศักยภาพของการวางแผน ด้านพฤติกรรมและหน้าที่ของบุคคล เริ่มพัฒนาตั้งแต่ในวัยทารกจนสมบูรณ์ในวัยผู้ใหญ่ Diamonds (2013) กล่าวว่า ทักษะสมอง EF คือการควบคุมกระบวนการทาง ความคิดหรือการรับรู้ (Cognitive Control) คือ กระบวนการทางด้านจิตใจที่จ าเป็นในการเรียนรู้และ ควบคุม สัญชาติญาณเมื่อบุคคลต้องมีสมาธิและจดจ่อใส่ใจ Preda Ulita (2016) กล่าวว่า ทักษะสมองEF คือ กระบวนการทางจิตใจของ บุคคลที่ส่งเสริมการจัดระบบ การจดจ่อใส่ใจ การจดจ าค าแนะน า การจัดการงานหลายอย่างให้ส าเร็จ สมองจ าเป็นต้องใช้ความสามารถเหล่านี้ในการกลั่นกรอง การวางแผนการท างานก่อนหลัง การจดจ า ข้อมูลที่จ าเป็นส าหรับการท างนให้ส าเร็จตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้การควบคุม การยึดมั่นและ การมีสมาธิที่แน่วแน่ระหว่างการท ากิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้สร้างการส่งเสริมและสนับสนุน ที่จ าเป็นส าหรับเด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กปฐมวัยได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างเหมาะสม ถึงแม้ว่าเด็กปฐมวัย จะไม่ได้มีทักษะเหล่านี้โดยธรรมชาติ แต่เด็กปฐมวัยเกิดมาพร้อมศักยภาพและการเจริญเติบโตและ พัฒนาทักษะเหล่านี้ผ่านทางการมีปฏิสัมพันธ์และการฝึกฝน Sharples (2018) กล่าวว่า ทักษะสมอง EF คือ ความสามารถในการควบคุม ความคิดและการกระท าเพื่อตอบสนองอย่างยืดหยุ่นต่อสิ่งแวดล้อม เป็นความสามารถในทุกด้านที่ท า ให้บุคคลสามารถวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ต้องการ รู้วิธีการที่ท าให้ได้สิ่งนั้นมาและความสามารถในการ ด าเนินการตามแผนที่วางไว้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องและมักใช้เวลานาน ทักษะนี้มีความแตกต่าง จากหน้าที่ของสมองส่วนอื่น ๆ สมองส่วนหน้ามีบทบาทส าคัญต่อทักษะสมอง EF นี้ในการสร้างการ เชื่อมโยงใหม่ๆ การวางแผน การตัดสินใจ การยับยั้งชั่งใจ และกระบวนการทางด้านจิตใจ สิ่งนี้ได้รับ การยอมรับว่ามีบทบาทต่อพฤติกรรมที่ซับซ้อนทางสังคม เช่น ความเข้าใจวิธีการที่บุคคลอื่นมองเรา การมีไหวพริบหรือการไม่จริงใจ สุภาวดี หาญเมธี (2559) กล่าวว่า ทักษะสมอง EF หรือทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ ส าเร็จ อ้างอิงการใช้ชื่อภาษาไทยโดยสถาบัน อาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) คือทักษะการคิดขั้นสูง ของสมองมนุษย์ เป็นทักษะที่มนุษย์ทุกคนพึงมี เด็กปฐมวัยและผู้ใหญ่ในทุกชนชั้นควรได้รับการพัฒนา ให้สามารถควบคุมทักษะนี้และใช้ได้อย่างถูกต้อง คือการมีวิจารณญาณและการแสดงออกอย่าง
10 เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยใช้การประมวลประสบการณ์จากอดีตและประเมิน สถานการณ์ในปัจจุบัน เป็นกระบวนการของสมองส่วนหน้าในระดับสูงที่ท าหน้าที่คิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ วางแผน จัดการ เริ่มลงมือท า ตรวจสอบตนเอง และแก้ไขปัญหาเป็นชุดกระบวนการทาง ความคิด (mental process ที่ใช้ในการจดจ่อใสใจ การจดจ าค าสั่ง สามารถจัดล าดับความส าคัญของ งาน วางแผ่น วางเป้าหมาย และควบคุมการท างาน ตามแผนที่วางไว้จนส าเร็จ การควบคุมความอยาก แรงกระตุ้น ควบคุมอารมณ์ พฤติกรรมและสร้างบุคลิกภาพการบริหารเวลา เพื่อการด าเนินชีวิต ได้ อย่างปลอดภัยและประสบความส าเร็จ สามารถท างานได้ส าเร็จตามแผนการที่วางไว้ และสามารถ จัดการกับงานหลายอย่างให้ส าเร็จได้ โดยสมองส่วนหน้านี้ จะท างานร่วมกับสมองส่วนอื่น ๆ และ เชื่อมโยงกันโดยวงจรเส้นใยประสาท ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2560) กล่าวว่า ทักษะสมอง EF คือ กระบวนการทางความคิดในส่วน "สมองส่วนหน้า" ที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก การ กระท า เป็นความสามารถของสมองที่ใช้บริหารจัดการชีวิตในเรื่องต่าง ๆ เพื่อก ากับบุคคลให้เกิด พฤติกรรมที่มุ่งสู่เป้าหมาย ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ (2561) กล่าวว่า ทักษะสมอง EF โดยอ้างอิงจากค า นิยามที่เขียนโดย ผศ.ดร.ปนัดดา ยนเศรษฐกร จากที่ประชุมจัดการความรู้เรื่อง ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ ส าเร็จ (EF) ของรักลูกกรุ๊ป คือความสามารถของสมองและจิตใจที่ใช้ในการควบคุมความคิดอารมณ์ การกระท า เพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย ปรียานันท์ พร้อมสุขกุล (2561) กล่าวว่า ความสามารถของสมองส่วนหน้าที่ท า หน้าที่ร่วมกับสมองส่วนอื่น ๆ ในการควบคุมความคิด อารมณ์ การกระท า เพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ วางไว้เป็นกระบวนการทางการคิด วิเคราะห์ตัดสินใจ วางแผน จัดการ เริ่มลงมือท า ตรวจสอบตนเอง และแก้ไขปัญหา รวมไปถึงการควบคุมอารมณ์ พฤติกรรม จัดการความอยากและแรงกระตุ้นเพื่อการ ด าเนินชีวิต ได้อย่างปลอดภัยและประสบความส าเร็จ สามารถท างานได้ส าเร็จตามแผนการที่วางไว้ และสามารถจัดการกับงานหลายอย่างให้ส าเร็จได้ สรุปได้ว่า ทักษะสมอง EF หมายถึง กระบวนการทางความคิดในสมองส่วนหน้าที่ เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก การกระท าเป็นความสามารถของสมองที่ใช้ในการบริหารจัดการใน ชีวิตเรื่องต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถตั้งเป้าหมายในชีวิต รู้จักวางแผน มีความมุ่งมั่น จดจ าสิ่งต่าง ๆ เพื่อน าไปใช้ประโยชน์ได้ รวมทั้งรู้จักริเริ่มลงมือน าสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน และท าหน้าที่ก ากับ พฤติกรรมที่มุ่งสู่เป้าหมายของบุคคล ชี้ให้เห็นถึงสิ่งที่บุคคลปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสถาการณ์นั้น ๆ โดยค านึงถึงประสบการณ์การเรียนรู้เดิมและประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ โดยตระหนักถึงเหตุการณ์ที่ ก าลังจะเกิดขึ้นและเหตุการณ์ที่ก าลังจะเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงตระหนักถึงคุณค่าและเป้าหมายใน ชีวิตที่บุคคลนั้น ๆ ตั้งเอาไว้ทักษะสมอง EF ช่วยให้บุคคลนึกถึงการเตรียมพร้อม หน้าที่ที่ได้รับ มอบหมาย การยืดหยุ่นและการร่วมมือ
11 2. องค์ประกอบของทักษะสมอง EF Cooper - Kahn and Foster (2013) กล่าวว่า องค์ประกอบของทักษะสมองเพื่อ ชีวิตที่ส าเร็จ (EF) มีดังนี้ 1. การสลับ (Shift) คือ ความสามารถในการเปลี่ยนความสนใจจากเหตุการณ์ หนึ่งไปยังอีกเหตุการณ์หนึ่ง 2. การยับยั้งชั่งใจ (Inhibit คือ การกระท าจากสิ่งเร้าที่มากระตุ้น และหยุด พฤติกรรมได้ในช่วงเวลาที่เหมาะสม 3. การควบคุมอารมณ์ (Emotional Memory) คือ ความสามารถในการ ตอบสนองทางอารมณ์ระดับกลางที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป เช่น ร้องไห้เสียใจเมื่อถูกเพื่อนแกล้ง ยิ้มดี ใจเมื่อได้รับของขวัญ เป็นต้น 4. ความจ าขณะท างาน (Working Memory) คือ ความสามารถในการคิด วางแผน น าไปใช้ดูผลการด าเนินการ และตรวจสอบผลการด าเนินการตามแผน เช่น ท างานเสร็จย่าง 5. การวางแผน (Plan/Organize) คือ ความสามารถในการคิดวางแผน น าไปใช้ ดูผลการด าเนินการ และตรวจสอบ สุภาวดี หาญเมธี (2559) กล่าวว่า องค์ประกอบของทักษะสมอง EF มีดังนี้ กลุ่มทักษะพื้นฐาน 1. working memory = ความจ าเพื่อใช้งาน คือ กระบวนการของสมองที่ใช้ ในการจ าข้อมูลจัดระบบและหยิบใช้ข้อมูล ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการได้เข้าไปอยู่ในประสบการณ์ ต่าง ๆที่หลากหลาย จะถูกเก็บรักษาอยู่ในสมอง ความจ าเพื่อใช้งาน (working memory) เป็น กระบวนการที่จะปลุกให้ข้อมูลเคลื่อนไหว แล้วเลือกข้อมูลที่เหมาะสมออกมาใช้ ช่วยให้บุคคลนั้นจ า ข้อมูลได้หลายต่อหลายเรื่องในเวลาเดียวกันเป็นความจ าที่เรียกมาใช้งานได้ เพื่อน ามาใช้ในการท า กิจกรรมต่าง ๆ ส าเร็จ ความจ าเพื่อใช้งาน (working memory) มีบทบาทส าคัญมากในชีวิต ตั้งแต่ การคิดเลขในใจ การอ่านให้เข้าใจ การปฏิบัติตามกฎกติกา 2. Inhibitory Control = การยั้งคิดไต่ตรอง คือ ทักษะความสามารถที่บุคคล ใช้ในการควบคุมกลั่นกรองความคิดและแรงอยากต่าง ๆ จนสามารถต้านหรือยับยั้งสิ่งยั่วยุ ความว้าวุ่น หรือนิสัยความเคยชินต่าง ๆ แล้วหยุดคิดก่อนที่จะท า ท าให้บุคคลสามารถคัดเลือก มีความจดจ่อ รักษาระดับความใส่ใจ จัดล าดับความส าคัญ และก ากับการกระท าทักษะความสามารถด้านนี้จะช่วย ป้องกันบุคคลที่จากการเป็นสัตว์โลกที่มีสัญชาตญาณและท าทุกอย่างตามที่อยาก โดยไม่คิดอะไร เป็น ทักษะที่ช่วยให้บุคคลมุ่งจดจ่อไปที่เรื่องที่ส าคัญกว่าไม่ใช่เรื่อยเปื่อยโดยไม่คิดอะไร เป็นทักษะที่ท าให้ มนุษย์พูดในสิ่งที่ควรพูด และเมื่อโกรธเกรี้ยวหงุดหงิด ก็สามารถควบคุมตนเองได้ ไม่ตะโกน ตบตีเตะ ต่อยคนอื่น และเมื่อมีความวุ่นวายใจก็ละวางได้ จนท างานต่าง ๆ ได้ส าเร็จลุล่วง 3. Shift cognitive Flexibility = ก า ร ยื ด ห ยุ่ น ค ว า ม คิ ด คื อ ทั ก ษ ะ ความสามารถที่จะ "เปลี่ยนเกียร์" ให้อยู่ในจังหวะที่เหมาะสม ปรับตัวเข้ากับข้อเรียกร้องของ สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นเวลาเปลี่ยน ล าดับความส าคัญเปลี่ยน หรือเป้าหมายเปลี่ยน ช่วยให้บุคคลนั้นปรับประยุกต์กติกาที่แตกต่างไปใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างได้ เป็นทักษะที่ช่วยให้
12 เรียนรู้การไม่ยึดติดทักษะนี้ช่วยให้มองเห็นจุดผิดแล้วแก้ไข และปรับเปลี่ยนวิธีการท างานด้วยข้อมูล ใหม่ ๆ ช่วยให้พิจารณาสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของตนเอง และสามารถคิดนอกกรอบได้ กลุ่มทักษะก ากับตนเอง 4. Attention = การใส่ใจจดจ่อ คือ ทักษะความสามารถในการรักษาความ ตื่นตัว รักษาความสนใจให้อยู่ในทิศทางที่ควร เพื่อให้ตนเองบรรลุสิ่งที่ต้องการจนส าเร็จด้วยความจด จ่อ มีสติรู้ตัวต่อเนื่องในระยะเวลาที่เหมาะสม ตามสมควรของวัยและความยากง่ายของภารกิจนั้น ๆ การใสใจจดจ่อ (Attention) เป็นอีกคุณสมบัติพื้นฐานที่จ าเป็นในการเรียนรู้หรือท างานใด ๆ เด็กบาง คนแม้จะมีระดับสติปัญญาที่ฉลาดรอบรู้ แต่เมื่อขาดการใส่ใจจดจ่อ (Attention) เมื่อมีสิ่งใดไม่ว่าสิ่ง เร้าภายนอกหรือจากสิ่งเร้าภายในตนเองก็จะท าให้ขาดสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อท างานต่อไปได้ ส่งผล ให้ท างานต่าง ๆ ไม่ส าเร็จ 5. Emotional Control = การควบคุมอารมณ์ คือ ทักษะความสามารถใน การจัดการกับอารมณ์ของตนเอง ตระหนักรู้ว่าตนเองก าลังอยู่ในภาวะอารณ์ความรู้สึกอย่างไร สามารถปรับสภาพอารมณ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และควบคุมการแสดงออกทั้งทางอารมณ์และ พฤติกรรมได้เหมาะสม เด็กที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อาจกลายเป็นคนที่โกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวง่ายขี้ หงุดหงิดขี้ร าคาญเกินเหตุ ระเบิดอารมณ์ง่าย เรื่องเล็กสามารถท าให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ และอาจจะ กลายเป็นคนขี้กังวล อารมณ์แปรปรวน และซึมเศร้าได้ง่าย 6. Self - Monitoring = การติดตามประเมินตนเอง คือ ทักษะในการ ตรวจสอบความรู้สึกความคิด หรือการกระท าของตนเองทั้งในระหว่างการท างาน หรือหลังจากท างาน แล้วเสร็จ เพื่อให้มั่นใจว่า จะน าไปสู่ผลดีต่อเป้าหมายที่วางไว้ หากเกิดความบกพร่องผิดพลาดก็จะ น าไปสู่การแก้ไขได้ทันการณ์ และเป็นการท าให้รู้จักตนเองทั้งในด้านความต้องการ จุดแข็งและจุดอ่อน ได้ชัดเจนขึ้น รวมไปถึงการตรวจสอบความคิด ความรู้สึกหรือตัวตนของตนเอง ก ากับติดตามปฏิกิริยา ของตนเอง และดูผลจากพฤติกรรมของตนเองที่กระทบต่อผู้อื่น กลุ่มทักษะปฏิบัติ 7. Initiating = การริเริ่มและลงมือท า คือ ทักษะความสามารถในการคิดค้น ไตร่ตรองแล้วตัดสินใจว่าจะต้องท าสิ่งนั้น ๆ และน าสิ่งที่คิดมาสู่การลงมือปฏิบัติให้เกิดผล บุคคลที่กล้า ริเริ่มนั้นจ าเป็นต้องมีความกล้าหาญ กล้าตัดสินใจ กล้าสองผิดลองถูก ทักษะนี้เป็นพื้นฐานของ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และน าไปสู่การพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น 8. Planning and Organizing = ก า ร ว าง แ ผ น แ ล ะ ก า ร เ นินง า น คื อ กระบวนการในการปฏิบัติที่เริ่มตั้งแต่การวางแผนที่จะต้องน าส่วนประกอบส าคัญต่าง ๆ มาเชื่อมต่อ กัน เช่น การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวมทั้งหมดของงาน การก าหนดกิจกรรม เป็นการน าความ คาดหวังที่มีต่อเหตุการณ์ในอนาคตมาท าให้เป็นรูปธรรม วางเป้าหมายและจัดวางขั้นตอนไว้ล่วงหน้า มีการจินตนาการหรือคาดการณ์ในสถานการณ์ต่าง ๆ เอาไว้ล่วงหน้าแล้วจัดท าเป็นแนวทางเพื่อ น าไปสู่ความส าเร็จตามเป้าหมายต่อไป จากนั้นจึงเข้าไปสู่กระบวนการด าเนินการ จัดการจนลุล่วง ได้แก่ การแตกเป้าหมายให้เป็นขั้นตอน มีการจัดกระบวนการระบบกลไกและการด าเนินการตามแผน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดหมายปลายทาง รวมถึงการบริหารพื้นที่ วัสดุ และการบริหารจัดการเวลา อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเพื่อให้งานส าเร็จ
13 9. Gold - Directed Persistence = การมุ่งเป้าหมาย คือ ความสามารถใน การวางแผนเพื่อบรรลุเป้าหมาย และจดจ าข้อมูลนี้ไว้ในใจตลอดเวลาที่ท างานตามแผนนั้น จนกว่าจะ บรรลุซึ่งรวมถึงความใส่ใจในเรื่องเวลา กับความสามารถในการสร้างแรงจูงใจให้ตนเอง และติดตาม ความก้าวหน้าของเป้าหมายต่อเนื่อง สุภาวดี หาญเมธี (2559) กล่าวว่า ทักษะสมอง (Executive Functions)และการ มีวินัยในตนเอง (self-regulation) คือความสามารถในการยึดมั่นและท างานเก็บข้อมูลมีความคิดที่ แนวแน่ ไม่วอกแวก เกี่ยวข้องกับกรท างานของสมอง 3 ส่วน ประกอบด้วย ทักษะการจดจ าเพื่อใช้งาน (working memory) ทักษะการยืดหยุ่นทางความคิด (mental flexibility or shift/cognitive flexibility) และทักษะการยั้งคิดไตร่ตรอง (inhibition control) ที่มีความเชื่อมโยงกันและท างาน ประสานกัน เพื่อให้ทักษะสมอง EF นี้ท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะการจดจ าเพื่อใช้งาน (working memory) คือ ความสามารถในการเก็บ รักษาข้อมูลและปรับข้อมูลที่มีความแตกต่างกันให้เหมาะสมในช่วงเวลาอันสั้น (PredaUlita, 20 16 น าเสนอพื้นฐานทางความคิดส าหรับการวางข้อมูลส าคัญและจัดเรียงล าดับ ส าหรับการใช้ใน ชีวิตประจ าวัน เป็นความสามารถในการรวบรวมข้อมูล ประมวล และดึงข้อมูลที่ได้จากประสบการณ์ เดิมในชีวิตที่ถูกเก็บไว้ในคลังสมองออกมาใช้ตามสถานการณ์ที่ต้องการ ทักษะนี้ท าให้เด็กสามารถ จดจ าและเชื่อมโยงข้อมูลได้ สามารถท างานได้อย่างต่อเนื่องเป็นขั้นเป็นตอน และสามารถท าตาม ค าแนะน าหรือการเรียนการสอนที่มีหลายขั้นตอนได้โดยไม่ต้องทวนซ้ าทักษะการจดจ าเพื่อใช้งานนี้มี หน่วยความจ าอยู่จ ากัด หมายความว่าจะมีข้อมูลเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถถูกเก็บรักษาไว้ได้ ดังนั้นข้อมูลส่วนมากมักจะสูญหายไปหากได้รับการกระตุ้นหรือทวนซ้ าให้คิดอย่างสม่ าเสมอ ทักษะการยืดหยุ่นทางจิตใจ ( mental flexibility or shift/cognitive flexibility) คือความสามารถในการปรับเปลี่ยนความต้องการ เปลี่ยนจุดสนใจ ปรับมุมมองหรือทัศนคติให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สามารถล าดับความส าคัญ ประยุกต์กฎระเบียบที่หลากหลายใน รูปแบบที่แตกต่างกัน สามารถระบุข้อผิดพลาดและหนทางแก้ไขและการมีมุมมองหรือแนวทางใหม่ๆ ในการท าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เด็กสามารถใช้ทักษะนี้เพื่อเรียนรู้การยอมรับกฎระเบียบ หรือการท างานด้วย วิธีที่แตกต่างกันจนกระทั่งงานนั้นประสบความส าเร็จ ทักษะการยั้งคิดไตร่ตรอง (inhibitory-control คือ ความสามารถของบุคคลใน การควบคุมสมาธิ พฤติกรรม ความคิด อารณ์ ต่อแรงยั่วยุทั้งภายในและภายนอก หากปราศจากสิ่งนี้ มนุษย์จะใช้การตอบสนองแบบดั้งเดิม คือการตอบสนองแบบวางเงื่อนไข (condition response) ต่อ การกระตุ้นที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อม ดังนั้นทักษะการยั้งคิดไตร่ตรองนี้ท าให้มนุษย์สามารถเปลี่ยนหรือ เลือกวิธีการในการตอบสนอง และวิธีการในการปฏิบัติตัวได้ มนุษย์อยู่ภายใต้การควบคุมสิ่งเร้าจาก สิ่งแวดล้อม การฝึกฝนทักษะยั้งคิดไตร่ตรองท าให้เห็นการเปลี่ยนแปลงและตระหนักถึงตัวเลือกที่ เป็นไปได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์ปลอดภัยจากการท าผิดพลาดได้ ทักษะนี้ท าให้มนุษย์มีความแน่ว แน่ในสิ่งที่เลือก ไม่โน้มเอียงหรือวอกแวกไปกับสิ่งเร้าอื่น (Diamonds, 2013) เป็นทักษะการตัดสินใจ อย่างชาญฉลาด สามารถควบคุมความต้องการหรือความปรารถนาของตนเองได้อย่างเหมาะสม สามารถควบคุมสิ่งล่อใจและสิ่งที่ท าจนเป็นนิสัยได้ การหยุดคิดก่อนลงมือท าเป็นสิ่งที่ส าคัญอย่างยิ่งต่อ กระบวนการพัฒนาการจดจ่อใส่ใจ การมีสมาธิ การแน่วแน่การจัดล าดับความส าคัญ การลงมือท า
14 และความสามารถในการจัดล าดับความส าคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย (Preda Ulita, 2016) ทักษะนี้รวมไปถึงทักษะการควบคุมตัวเอง (self comtrolคือการควบคุมพฤติกรรมและอารมณ์ของ ตัวเอง การมีวินัยในการท างานอย่างต่อเนื่องให้ส าเร็จทั้ง ๆ ที่มีสิ่งที่ท าให้ไขว่เขวหรือยอมแพ้ สามารถ ท าให้งานนั้นด าเนินต่อไปได้ สร้างความสนใจ แรงบันดาลใจ และสร้างช่วงเวลาที่ดีในการท างานที่ กระท าอยู่ หาดขาดวินัยในการท าสิ่งที่ตนเองเริ่มไว้ให้ส าเร็จ หรือขาดความพึงพอใจในสิ่งที่ท าแล้ว มนุษย์ก็จะไม่สามารถที่ต้องใช้ระยะเวลาในการท าให้ส าเร็จ การรอคอยเป็นสิ่งที่จ าเป็นอย่างมาก การ ให้เด็กได้เรียนรู้การรอคอยจะส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงออกของเด็ก นอกจากทักษะสมอง EF 3 ด้าน คือ ทักษะการจดจ าเพื่อใช้งาน ทักษะการยืดหยุ่น ทางความคิด และทักษะการยั้งคิดไตร่ตรอง (สุภาวดี หาญเมธี, 2559) ได้จัดทักษะเหล่านี้อยู่ในกลุ่ม ทักษะพื้นฐาน ทักษะสมองEF ยังประกอบด้วยกลุ่มทักษะที่ส าคัญอีก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทักษะก ากับ ตนเอง (self-control) ประกอบด้วย ทักษะการจดจ่อใส่ใจ (focus/attention) หรือทักษะควบคุม กระบวนการคิด (cognitive control) ทักษะการควบคุมอย่างสม่ าเสมอของการตอบสนองทางด้าน อารมณ์ (regulatory control of emotional response/emotional control) และทักษะการ ติดตามประเมินตนเอง (self-monitoring) หรือการควบคุมพฤติกรรม (behavior control) และกลุ่ม ทักษะปฏิบัติ ประกอบด้วย ทักษะการริเริ่มและลงมือท า (Initiating) ทักษะการวางแผน การจัดระบบ การด าเนินการ (planning &organizing) และทักษะการมุ่งเป้าหมาย ( goal-directedpersistence) ทักษะการจดจ่อใส่ใจ (focus/attention) หรือทักษะการควบคุมกระบวนการคิด (connitive contro) คือ ความสามารถในการมุ่งมั่น จดจ่อ และใส่ใจในสิ่งที่ท าอย่างต่อเนื่องใน ระยะเวลาหนึ่งโดยไม่วอกแวกไปตามสิ่งเร้าต่าง ๆ ทั้งภายในตนเองหรือจากภายนอก ทักษะการควบคุมอย่างสม่ าเสมอของการตอบสนองทางด้านอารมณ์ (regulatory control of emotional response/emotional control) คือ ความสามารถในการควบคุมอารมณ์ ให้เหมาะสมและคงที่ สามารถจัดการกับความเครียด แรงกดดัน ความหงุดหงิด หรือสิ่งที่ท าให้ไม่ พอใจ และควบคุมการแสดงออกได้โดยได้โดยไม่รบกวนผู้อื่น เด็กที่มีทักษะนี้จะสามารถควบคุม อารมณ์ตนเองได้ ไม่งอแง่ ไม่โวยวาย ฉุนเฉียว ขี้กังวล หรืออารมณ์แปรปรวน ทักษะการติดตามประเมินตนเอง (self - monitoring) หรือการควบคุมพฤติกรรม คือ ทักษะการรู้จักตนเอง ความสามารถในการตรวจสอบตนเอง รู้จักข้อดีข้อเสีย และข้อที่ควร ปรับปรุง สามารถตรวจสอบและประเมินการท างานของตนเอง ประเมินการบรรลุเป้าหมาย ติดตาม ปฏิกิริยาของตนเองและดูผลของการปฏิบัติของตนที่ไปกระทบผู้อื่น ทักษะการริเริ่มและลงมือท า (Initiating) คือ ทักษะในการคิดริเริ่มและลงมือ ท างานตามที่คิดความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ การคิดและลงมือท าในสิ่งที่คิดนั้นเกิดขึ้นจริง ทักษะการวางแผน การจัดระบบ การด าเนินการ (planning & organizing) คือ ทักษะในการวางแผน การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวม ความสามารถในการจัดล าดับความส าคัญ ของสิ่งที่ท า การออกแบบจัดระบบโครงสร้างการท างาน และการด าเนินการ คือความสามารถในการ วางแผนงานให้บรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ก าหนดขั้นตอน กระบวนการและการประเมินผล
15 ทักษะการมุ่งเป้าหมาย (goal - directed persistence) คือ ทักษะในการมุ่งมั่น ตั้งใจในการท างานให้ส าเร็จตามเป้าหมายหรือแผนที่วางไว้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคหรือปัจจัยใด ๆ มาเป็น อุปสรรค ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2560) กล่าวถึง องค์ประกอบ ของทักษะสมอง EF มี 9 ด้าน ดังนี้ 1. ความจ าเพื่อใช้งาน (Working memory) คือ ทักษะความจ าหรือเก็บ ข้อมูลจากประสบการณ์ที่ผ่านมาและดึงมาใช้ประโยชน์ตามสถานการณ์ที่พบเจอ 2. การยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) คือ ความสามารถในการ ควบคุมความต้องการของตนเองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 3. การยืดหยุ่นความคิด (Shift cognitive Flexibility) คือ ความสามารถใน การยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ 4. การใส่ใจจดจ่อ (Attention) คือ ความสามารถในการใส่ใจจดจ่อ มุ่งความ สนใจอยู่กับสิ่งที่ท าอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง 5. การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) คือ ความสามารถในการควบคุม การแสดงออกทางอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 6. การติดตามประเมินตนเอง (Self - Monitoring) คือ การสะท้อนการกระท า ของตนเองรู้จักตนเองรวมถึงการประเมินการท างานเพื่อหาข้อบกพร่อง 7. การริเริ่มและลงมือท า (Initiating) คือ ความสามารถในการริเริ่มและลงมือท า ตามที่คิดไม่กลัวความล้มเหลว และไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง 8. การวางแผนและการเนินงาน (Planning and Organizing) คือ ทักษะการ ท างาน ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การวางแผน การมองเห็นภาพรวม 9. การมุ่งเป้าหมาย (Gold - Directed Persistence) คือ ความพากเพียรมุ่งสู่ เป้าหมายเมื่อตั้งใจและลงมือท าสิ่งใดแล้วก็มีความมุ่งมั่นอดทน ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใด ๆ ก็พร้อมฝ่าฝัน ให้ส าเร็จ สรุปได้ว่า องค์ประกอบของทักษะสมอง EF มี 9 ด้าน ดังนี้ 1. ความจ าเพื่อใช้งาน (Working memory) คือ การจ าหรือเก็บข้อมูลจาก ประสบการณ์ที่ประทับใจและมีความหมาย และด าเนินการจัดการกับข้อมูลนั้นอย่างเป็นระบบ น าไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม ประมวลผลข้อมูลนั้น เพื่อน ามาใช้งาน เช่น เมื่อฟังนิทานเรื่อง "กุ้งกิ้งท้องผูก" ที่คุณครูเล่า เด็กประทับใจและจ าเนื้อหานิทานได้ น าไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิม จดจ าและบันทึกข้อมูลที่คลังความจ าภายในสมองว่า "ถ้าไม่อยากท้องผูกเด็กต้องกินผัก" เมื่อถึงเวลา รับประทานอาหารเที่ยง เมนูอาหาร คือ ผัดผักรวมมิตร เด็กรับประทานผัดผักรวมมิตรเพราะไม่อยาก ท้องผูก 2. การยั้งคิดไตร่ตรอง (Inhibitory Control) คือ การควบคุมความต้องการของ ตนเองในเวลาที่เหมาะสม หยุดยั้งพฤติกรรมได้ในเวลาที่เหมาะสม มีความยับยั้งชั่งใจ คิดไตร่ตรอง พิจารณาสิ่งต่าง ๆ โดยการใช้เหตุผลมาประกอบ เช่น แบ่งปันของเล่นให้เพื่อนเล่นโดยความเต็มใจ
16 3. การยืดหยุ่นความคิด (Shift cognitive Flexibility) คือ การปรับเปลี่ยน ความคิดไปตามเหตุการณ์และบริบทที่เปลี่ยนแปลง ถ้าสิ่งใดไม่เป็นไปตามแผนการด าเนินการที่ตั้ง เป้าหมายไว้ ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ สามารถคิดนอกกรอบได้ เช่น เมื่อเด็กต้องย้ายไปโรงเรียนใหม่ เด็กสามารถปรับตัวเข้ากับครู เพื่อน และสถานที่ได้ง่าย 4. การใส่ใจจดจ่อ (Attention) คือ มีความจดจ่อในสิ่งที่ก าลังปฏิบัติด้วยความ ตั้งใจและมีสมาธิในเวลาที่ต่อเนื่อง เมื่อมีสิ่งเร้าเข้ามารบกวนความสนใจขณะที่ปฏิบัติกิจกรรม ก็สามารถปฏิบัติกิจกรรมอย่างตั้งใจและมีสมาธิกับสิ่งนั้น ๆ เช่น เมื่อครูเล่านิทาน ก็สามารถนั่งฟัง นิทานจนครูเล่าจบอย่างตั้งใจ 5. การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) คือ การควบคุมพฤติกรรมที่ แสดงออกทางอารมณ์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มีการจัดการกับอารมณ์ตนเองได้อย่างเหมาะสม มีความมั่นคงทางอารมณ์ โดยการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้อารมณ์ เช่น เมื่อถูกเพื่อนแย่งของเล่น ก็ไม่แสดงออกทางอารมณ์ฉุนเฉียวเกินความเหมาะสม 6. การติดตามประเมินตนเอง (Self - Monitoring) คือ การตรวจสอบตนเอง การตรวจสอบงานที่บุคคลนั้นได้ปฏิบัติไป เพื่อหาข้อบกพร่องและหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ประเมินการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ รวมถึงความสามารถก ากับติดตามปฏิกิริยาของตนเอง และดูผล จากพฤติกรรมตนเองว่าไปกระทบต่อผู้อื่นหรือไม่ เช่น เด็กปฏิบัติกิจกรรมสร้างสรรค์พับกระดาษ เด็กพับกระดาษผิดขั้นตอน แต่เด็กสามารถหาวิธีพับกระดาษตามขั้นตอนที่ถูกต้อง 7. การริเริ่มและลงมือท า (Initiating) คือ การริเริ่มและลงมือท างานตามที่คิด มีทักษะในการริเริ่มสร้างสรรค์แนวทางในการท าสิ่งต่าง ๆ เมื่อคิดแล้วก็ลงมือท างานให้ความคิดของ บุคคลนั้นเป็นจริง เช่น เด็กปฏิบัติกิจกรรมสร้างสรรค์พับกระดาษจนเสร็จเรียบร้อย 8. การวางแผนและการเนินงาน (Planning and Organizing) คือ การท างาน ตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การวางแผน การจัดล าดับความส าคัญ จัดระบบด าเนินการตามขั้นตอน วางกระบวนการด าเนินงาน บริหารจัดการเวลา มีกระบวนการจัดการทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า และการประเมินผล เช่น ท างานที่มีล าดับขั้นตอนสั้นๆ ตามล าดับกระบวนการท างานที่ก าหนดไว้ได้ 9. การมุ่งเป้าหมาย (Gold - Directed Persistence) คือ ความขยันหมั่นเพียรมุ่ง สู่เป้าหมายเมื่อตั้งใจและลงมือปฏิบัติสิ่งใดแล้ว ก็มีความมุ่งมั่นขยันอดทน เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ วางไว้ จนประสบความส าเร็จ เช่น ลงมือท าอะไรแล้ว ก็สามารถท าจนเสร็จแม้ว่ามีอุปสรรค 3. ความส าคัญของทักษะสมอง EF Center on the Developing Child at Harvard University (2018) กล่าวว่า ทักษะ สมอง EF เริ่มพัฒนาหลังการคลอด โดยเฉพาะอายุ 3 - 5 ปี ถือเป็นช่วงเวลาของหน้าต่างแห่งโอกาส ส าหรับเจริญเติบโตและพัฒนาของทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ส าเร็จ (EF) และพัฒนาต่อเนื่องไปจนถึง วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ส าเร็จ (EF) มีความส าคัญ ดังนี้ 1. ถ้าเด็กมีโอกาสพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ส าเร็จ (EF) และการควบคุมตนเอง ได้ประสบความส าเร็จ จะท าให้เด็กได้รับประโยชน์ในการด าเนินชีวิตระยะยาวในสังคมทั้งด้าน ความส าเร็จทางการเรียน พฤติกรรมที่ดี สุขภาพที่ดี และประสบความส าเร็จในการท างาน
17 2. องค์ประกอบที่ส าคัญของการพัฒนาพื้นฐานของทักษะที่จ าเป็นในการสร้างการ ปฏิสัมพันธ์ของเด็ก กิจกรรมที่เด็กได้มีโอกาสเข้าร่วม และสถานที่ที่เด็กอาศัย เรียนรู้ และเล่น 3. ถ้าเด็กไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการจากการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่และเงื่อนไขใน สภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก หรือถ้ายิ่งเลวร้ายคือเป็นสาเหตุให้เด็กเกิดความเครียด พัฒนาการของเด็ก อาจจะช้าหรือบกพร่อง ซึ่งถือได้ว่าเป็นโอกาสที่จะพัฒนาเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่จะสามารถดูแล สัมพันธภาพสภาพแวดล้อม และกิจกรรมที่จะเสริมสร้างทักษะ เพื่อส่งเสริมความสามารถของทักษะ สมอง EF เนื่องจากเป็นสิ่งที่ง่ายและได้ผลที่สุดเมื่อพัฒนาตั้งแต่แรกเริ่ม ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2560) กล่าวว่า เด็กที่มีทักษะ สมองEF ดีจะมีความพร้อมทางการเรียนมากกว่าเด็กที่มีทักษะสมอง EF ไม่ดี และประสบความส าเร็จ ได้ในการเรียนทุกระดับตั้งแต่ระดับปฐมวัยไปจนถึงระดับอุดมศึกษาตลอดจนวัยท างาน นอกจากนี้ ทักษะสมอง EF ยังบ่งบอกถึงความพร้อมทางการเรียนมากกว่าระดับสติปัญญา (IQ) ความส าคัญของ ทักษะสมอง EF มีดังนี้ 1. มีความคิดยืดหยุ่นเปลี่ยนความคิดได้เมื่อเงื่อนไขและสถานการณ์เปลี่ยนไป 2. สามารถท างานให้เสร็จตามก าหนดและได้ผลส าเร็จที่ดี 3. สามารถท างานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 4. รู้จักประเมินตนเองน าจุดบกพร่องมาปรับปรุงการท างานของตนให้ดีขึ้น 5. รู้จักยับยั้งควบคุมตนเองไม่ให้ท าในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม 6. เข้าใจและเห็นใจผู้อื่น 7. มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลรอบข้าง 8. มีเป้าหมายที่ชัดเจน 9. มีความจ าดี 10. สามารถคาดการณ์ผลของการกระท า 11. มีสมาธิจดจ่อกับงานที่ท าอย่างต่อเนื่องจนงานเสร็จ 12. รู้จักอดทนรอคอยที่จะท าหรือพูดในเวลาที่เหมาะสม 13. รู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อจ าเป็น 14. ไม่รบกวนผู้อื่น สรุปได้ว่า ความส าคัญของทักษะสมอง EF ที่แข็งแกร่งมีความส าคัญอย่างยิ่ง เมื่อเด็กได้ มีโอกาสพัฒนาทักษะสมอง EF ทั้งตัวเด็กและสังคมได้รับประโยชน์ จะช่วยสร้างพฤติกรรมเชิงบวก และเลือกตัดสินใจในทางที่สร้างสรรค์ต่อตนเองและครอบครัว โดยการมีความจ าที่ดี มีสมาธิที่จดจ่อ สามารถท างานต่อเนื่องได้จนเสร็จฝึกการวิเคราะห์ การวางแผนงานอย่างเป็นระบบ ลงมือท างานและ จัดการกับกระบวนการท างานจนเสร็จตามเวลาที่ก าหนด น าสิ่งที่เคยเรียนรู้มาก่อนในประสบการณ์มา ใช้ในการท างานหรือกิจกรรมใหม่ สามารถปรับเปลี่ยนความคิด เมื่อเงื่อนไขหรือเหตุการณ์ที่ เปลี่ยนแปลง ไม่ยึดติดจนถึงขั้นมีความคิดสร้างสรรค์และคิดนอกกรอบ รู้จักประเมินตนเองน า จุดบกพร่องมาปรับปรุงการท างานให้ดีขึ้น โดยการรู้จักยับยั้งควบคุมตนเอง จัดการกับอารมณ์ได้ดี และมุ่งมั่นรับผิดชอบหน้าที่ไปสู่ความส าเร็จ
18 4. ประโยชน์ของทักษะสมอง EF ส านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (2558) กล่าวว่า ตลอดระยะชีวิตของมนุษย์ ทักษะสมอง EF มีบทบาทส าคัญอย่างต่อเนื่อง ถ้าเด็กได้รับโอกาสพัฒนา ทักษะสมอง EF อย่างดีทั้งตัวเด็กครอบครัวและสังคม ล้วนได้ประโยชน์ในอนาคตทั้งสิ้น ได้แก่ 1. ความส าเร็จในการเรียน เด็กที่ได้รับการฝึกฝนทักษะสมอง EF ตั้งแต่เด็กจะมี การจดจ าที่ดี มีสมาธิในการเรียน ไม่วอกแวก ปรับตัวเข้ากับกฎกติกาง่าย มีปัญหาก็สามารถแก้ไขครู มอบหมายงานก็สามารถรับผิดชอบจนประสบความส าเร็จ และเมื่อเติบโตขึ้นเป็นบุคคลที่มีการศึกษาดี ครอบครัวอบอุ่น เป็นประโยชน์ต่อสังคมเนื่องจากประชากรมีการศึกษาดี 2. พฤติกรรมเชิงบวก ทักษะสมอง EF ที่ฝึกฝนมาตั้งแต่ปฐมวัยจะช่วยให้บุคคลนั้น มีทักษะการท างานเป็นทีม มีความเป็นผู้น ากล้าตัดสินใจ ท างานแบบมุ่งเป้าหมาย คิดวิเคราะห์เป็น ปรับตัวดี และรู้จักอารมณ์ตนเองและอารมณ์ผู้อื่น บุคคลลักษณะนี้อาศัยอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ครอบครัวมีสัมพันธภาพที่อบอุ่น มีความสุขสังคมมีเสถียรภาพ ปัญหาอาชญากรรมเกิดขึ้นได้น้อย ประชากรในสังคมมีความรักและความสามัคคีซึ่งกันและกัน 3. สุขภาวะที่ดี ทักษะสมอง EF ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างสม่ าเสมอ ท าให้บุคคลนั้น ดูแลสุขภาพของตนได้ดี เช่น รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการออกก าลังกาย สม่ าเสมอ ระมัดระวังตนเองไปสู่ความเสี่ยงทั้งหลาย รู้จักรักษาความปลอดภัยและจัดการกับ ความเครียดได้ดี หากสังคมมีประชากรที่มีทักษะสมอง EF ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพทางสังคมก็จะไม่สูง 4. เศรษฐกิจมั่นคง ทักษะสมอง EF ที่ปลูกฝังในวัยเด็ก ซึ่งติดตัวไปจนโตจะช่วย เพิ่มศักยภาพเพื่อเศรษฐกิจที่แข็งแรง ไม่ว่าในระดับปัจเจกบุคคล ครอบครัว และสังคมเพราะทักษะ สมองEF จะช่วยในการคาดการณ์วางแผนไว้ล่วงหน้า คลี่คลายปัญหาได้ และปรับตัวกับการ เปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตลอดเวลาได้ดี เกิดเป็นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม และส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ปรีญานันท์ พร้อมสุขกุล (2561) กล่าวว่า การที่เด็กได้มีโอกาสพัฒนาทักษะสมอง EF และการมีวินัยในตนเอง จะส่งผลเชิงบวกต่อประสบการณ์ทั้งของตนเองและกับสังคมไปตลอดชีวิต ซึ่งเป็นผลให้การเรียนประสบความส าเร็จในการท างาน ประโยชน์ของทักษะสมอง มีดังนี้ 1. การช่วยให้เด็กจดจ าและสามารถปฏิบัติตามค าแนะน าที่มีหลายขั้นตอนได้ สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่ยั่วยุการตอบสนองที่หุนหันพลันแล่น สามารถปรับตัวได้เมื่อกฎระเบียบมีการ เปลี่ยนแปลง การยึดมั่นในการแก้ปัญหา และการจัดการกับงานระยะยาวที่ได้รับมอบหมาย ส่งผลให้ การเรียนในชั้นเรียนประสบความส าเร็จส าหรับสังคม ทักษะนี้ช่วยให้ประชากรสามารถปรับตัวใน ศตวรรษที่ 21 ได้ 2. การสร้างพฤติกรรมเชิงบวก พัฒนาความสามารถในการท างานเป็นทีม การมีภาวะผู้น าการตัดสินใจ การท างานให้บรรลุตามเป้าหมาย การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความสามารถในการปรับตัว การตระหนักรู้สภาพอารมณ์ของตนเองและผู้อื่น 3. การส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดี ช่วยให้เราสามารถเลือกโภชนาการและออกก าลัง กายได้อย่างเหมาะสม
19 4. การประสบความส าเร็จในการท างาน สามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาโดยการวางแผนและเตรียมพร้อมส าหรับการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ต่าง ๆ ในสังคมจะเกิดผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ เนื่องจากเกิดนวัตกรรม ความสามารถและแรงงานที่มีความ ยืดหยุ่น สรุปได้ว่า ประโยชน์ของทักษะสมอง EF ช่วยให้สามารถตั้งเป้าหมายในชีวิต รู้จักการ วางแผน มีความมุ่งมั่น จดจ าสิ่งต่าง ๆ เพื่อน ามาใช้ประโยชน์ สามารถจัดล าดับความส าคัญในชีวิต รวมทั้งรู้จักริเริ่มและลงมือท าสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งทักษะสมอง EF เป็นทักษะที่บุคคลควร น ามาใช้และมีผลต่อความส าเร็จชีวิต ทั้งการงานการเรียน และการใช้ชีวิต สิ่งที่กล่าวมานั้นคือ ประโยชน์ของทักษะสมอง EF 5. การพัฒนาทักษะสมอง EF Dowson and Guare (2009) เสนอหลักการพัฒนาทักษะสมอง EF ของเด็ก หรืออาจ เรียกได้ว่าเป็นวิธีในการช่วยเหลือเด็กให้สามารถจัดการกับการท างานได้ส าเร็จด้วยตนเอง โดยเปิด โอกาสให้เด็กได้มีส่วนร่วมและฝึกฝนทักษะสมอง EF โดยมีหลักการ ดังนี้ 1. สอนทักษะที่เด็กยังบกพร่องดีกว่าคาดหวังว่าเด็กจะเรียนรู้ได้เองจากการสังเกต หรือซึมซับเด็กแต่ละคนมีทักษะสมอง EF ที่แตกต่างกัน เด็กบางคนสามารถท างานที่ได้รับมอบหมาย ส าเร็จได้ด้วยตนเอง แต่เด็กบางคนอาจ จะท าไม่ได้หรือตัดขัดอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างการท างาน จึง ท าให้ไม่สามารถท างานได้จนส าเร็จหรืออาจกล่าวได้ว่า งานนั้นมีระดับทักษะสมอง EF ที่สูงกว่าทักษะ ที่เด็กมีอยู่ ดังนั้นครูต้องช่วยสอนเด็กอย่างเป็นขั้นตอน โดยระบุพฤติกรรมที่เป็นปัญหา ระบุเป้าหมาย ของพฤติกรรมที่ต้องการให้เด็กท าได้และพัฒนาขั้นตอนที่จะที่จะน าไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ แล้ว ด าเนินการตามขั้นตอนดังกล่าว ในระยะเริ่มต้นครูอาจคอยช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิดก่อน แล้วค่อย ลดความช่วยเหลือลง 2. ค านึงถึงระดับพัฒนาการของเด็ก ผู้ปกครองและครูคาดหวังว่าเด็กจะต้องท า ตามที่ผู้ปกครองและครูตั้งเป้าหมายซึ่งสูงกว่าระดับพัฒนาการของเด็กที่ควรจะเป็น แต่ผู้ปกครองและ ครูต้องคอยสังเกตว่าเด็กมีพัฒนาการตามวัยหรือไม่ อะไรที่เด็กท าไม่ได้หรือท าได้ช้ากว่าเด็กวัย เดียวกันแล้วรีบให้ความช่วยเหลือ กระตุ้นให้เด็กสามารถมีพัฒนาการอย่างสมวัย 3. เปลี่ยนการช่วยเหลือจากสิ่งภายนอกสู่ภายในตัวเด็ก คอร์เทกซ์กลีบหน้าผาก ส่วนหน้าที่ควบคุมการท างานของทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ส าเร็จ (EF) ยังเล็กมาก และยังพัฒนาได้ไม่ เต็มที่เหมือนผู้ใหญ่ ดังนั้นการฝึกฝนทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ส าเร็จ (EF) ทุกทักษะต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่ อยู่ภายนอกตัวเด็ก เช่น การเดินข้ามถนน ครูเดินจูงมือเด็กจนถึงถนนที่จะข้าม ครูพูดว่ามองทั้งสอง ข้างมองซ้าย มองขวา ไม่มีรถแล้วเดินข้ามได้ เมื่อเด็กได้ยินก็จะเปลี่ยนจากสิ่งที่อยู่ภายนอกเข้าสู่ ภายในตัวเด็ก ท าซ้ า ๆ และคอยสังเกตว่าถ้าเมื่อไม่มีสิ่งกระตุ้นจากภายนอกเด็กสามารถข้ามถนนได้ เป็นต้น 4. ระลึกเสมอว่าสิ่งต่าง ๆ ภายนอกตัวเด็กสามารถจัดการเปลี่ยนแปลงได้ทั้ง สภาพแวดล้อมเด็กบางคนอยากดูโทรทัศน์จนละเลยการท าการบ้าน ผู้ใหญ่ ผู้ปกครอง หรือครูอาจจะ ปิดโทรทัศน์หรือเปลี่ยนสถานที่ในการท าการบ้านที่ไม่มีโทรทัศน์ให้ดู ส่วนการท างาน อาจต้องมี หลากหลายแนวทางเพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย ซึ่งเด็กแต่ละคนก็มีแนวทางที่แตกต่างกัน นอกจากนี้การ
20 ปฏิสัมพันธ์กับเด็ก อาจต้องอาศัยหลากหลายวิธี เช่น การขี้แนะ การเตือนความจ า การตรวจสอบว่า เด็กเข้าใจถูกต้อง 5. กระตุ้นให้เด็กใช้แรงขับภายในของตนเองในการพัฒนาทักษะให้เกิดความ ช านาญและควบคุมได้มากกว่าที่จะใช้การบังคับต่อสู้เพื่อให้เด็กท า เด็กมักจะท าในสิ่งที่เด็กอยากท าซึ่ง บางอย่างอาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่ครูหรือผู้ปกครองต้องการ ดังนั้นครูหรือผู้ปกครองควรมีกิจวัตร ประจ าวันให้เด็กรู้ว่าต้องท าอะไรบ้าง เพื่อให้กลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ท าในแต่ละวัน หรือให้ทางเลือกเพื่อให้ เด็กได้มีโอกาสในการเลือกตัดสินใจ ไม่ใช่การบังคับ หรือใช้การเจรจาต่อรองเพื่อที่จะเปลี่ยนจากการ บังคับให้ท าเป็นสิ่งที่เด็กอยากท า 6. สร้างงานที่หมาะสมกับความสามารถของเด็กเพื่อให้เด็กได้ใช้ความพยายาม มากที่สุด งานที่ต้องใช้ความพยายามมีอยู่สองอย่าง คือ งานที่เราไม่ค่อยถนัดกับงานที่เราท าได้แต่ไม่ อยากท า เช่นเดียวกับเด็ก เมื่อให้งานที่เด็กไม่ค่อยถนัด ครูอาจต้องแยกงานนั้น ๆ ออกเป็นส่วน ๆ แล้ว ให้เด็กท าในแต่ละส่วนไม่ว่าจะเป็นส่วนใดก่อนหรือหลังก็ตาม จนท้ายที่สุดเด็กสามารถท างานนั้นได้ อย่างส าเร็จ 7. ใช้สิ่งกระตุ้นเพื่อเพิ่มพูนการเรียนรู้ การกระตุ้น คือการให้รางวัลที่ถือว่าเป็นสิ่ง ที่ท าเป็นปกติและเรียบง่าย เช่น ช่วยแม่ท างานบ้าน ผลที่ตามมาคือบ้านที่สะอาด น่าอยู่ และความ ภาคภูมิใจของเด็กที่สามารถท าได้ เป็นต้น เด็กจะเรียนรู้ขั้นตอนและกระบวนการในการท างานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น 8. ให้การสนับสนุนที่เพียงพอเพื่อให้เด็กประสบความส าเร็จ ให้ความส าคัญกับ การสนับสนุนที่เพียงพอและเด็กประสบความส าเร็จอย่างเท่าเทียมกัน หากผู้ปกครองและครูให้ความ ช่วยเหลือเด็กเกินความเหมาะสม หมายความว่า เด็กล้มเหลวในการท างาน เพราะเด็กไม่ได้พัฒนา ศักยภาพของตนเองในการท างาน หรือผู้ใหญ่ไม่ได้ช่วยเหลือเด็กตามความเหมาะสม ท าให้เด็กไม่ ประสบความส าเร็จในการท างาน 9. สนับสนุนและดูแลอย่างต่อเนื่องจนกว่าเด็กจะเกิดความช านาญและประสบ ความส าเร็จการแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ การสอนทักษะ การท าซ้ า ๆ จนเกิดความส าเร็จ แต่สุดท้าย เด็กก็ล้มเหลวเมื่อต้องท างานด้วยตนเอง ดังนั้นการสนับสนุนและดูแลเด็กจึงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จนกว่าเด็กจะเกิดความช านาญและมีพัฒนาการที่ดีขึ้น 10. หยุดให้การสนับสนุน การดูแล และการกระตุ้น ต้องค่อยๆ ถอนตัวออกมา อย่าออกมาทันที ถ้าสนับสนุนและดูแลอย่างต่อเนื่องสม่ าเสมอทุกครั้ง อาจไม่ทราบได้เลยว่าเด็ก สามารถท าได้ด้วยตนเองหรือไม่ ครูอาจต้องลดบทบาทบางอย่างลง และสังเกตว่าเด็กยังสามารถ ท างานได้ด้วยตนเองหรือไม่ แต่ถ้าลดบทบาทนั้น แล้วค่อยหาช่วงจังหวะเวลาที่จะค่อยๆ ลดบทบาท นั้น ๆ ลงจนเด็กสามารถท างานได้ประสบความส าเร็จด้วยตนเอง Dowson and Guare (2014) กล่าวว่า หลักการพัฒน าทักษะสมอง EF สู่กา ร ประยุกต์ใช้ การพัฒนาเด็กให้มีทักษะสมอง EF ที่ดี ไม่สามารถสร้างได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ต้อง ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการด าเนินชีวิตประจ าวันของเด็กได้น าหลักการทั้ง 10 ข้อ ส าหรับการพัฒนาทักษะสมอง EF สู่การประยุกต์ใช้โดยมี 3 วิธี มีดังนี้
21 1. การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม คือ การเปลี่ยนเงื่อนไขหรือสถานการณ์จาก ภายนอกของเด็กที่จะช่วยพัฒนาทักษะสมอง EF หรือลดผลกระทบทางลบที่ท าให้ทักษะสมอง EF ไม่ ดี ซึ่งอาจรวมถึง 1) เปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางกายภาพหรือสังคมเพื่อลดปัญหา เช่น เด็ก ปฐมวัยที่ขาดการยับยั้งชั่งใจ อาจใช้ผ้าคลุมมุมประสบการณ์ต่าง ๆ ในห้องเรียนขณะท ากิจกรรม วงกลม เป็นต้น 2) เปลี่ยนธรรมชาติของงานที่บุคคลคาดหวังให้เด็กแสดงออก เช่น การ ประดิษฐ์ผลงานศิลปะที่ต้องใช้เวลาและมีหลายขั้นตอน ครูแบ่งงานออกเป็นส่วนๆ และประเมินผล งานเป็นส่วน ๆ เป็นต้น 3) เปลี่ยนวิธีการปฏิสัมพันธ์กับเด็ก เช่น เปลี่ยนการบอกให้ท าเป็นการใช้ สัญลักษณ์หรือเตือนความจ า เป็นต้น 2. สอนทักษะ การเปลี่ยนสถาพแวดล้อมอาจช่วยให้เด็กประสบความส าเร็จบ้าง แม้จะเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลต่อทักษะสมอง EF ของเด็กที่ยังพัฒนาไม่ดีนัก อย่างน้อยการสอนทักษะที่ เด็กต้องการการช่วยเหลือก็ท าให้เด็กลดความเครียดลงและพัฒนาทักษะสมอง EF ซึ่งครูจะต้องการให้ เวลากับเด็กในการท างานต่าง ๆ และเพื่อให้แน่ใจว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กนั้นเหมาะสมกับเด็ก โดยเฉพาะ ทั้งนี้ในบริบทของโรงเรียนครูสามารถสอนทักษะสมอง EF ให้แก่เด็ก ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ระบุพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เช่น เด็กเริ่มท าการบ้านได้ แต่ท าไม่เสร็จเพราะ ลืมเอาอุปกรณ์ดิน - สี ที่ต้องใช้ท าการบ้านกลับบ้าน เป็นต้น 2) ตั้งเป้าหมายที่สอดคล้องกับพฤติกรรมที่ปัญหา เช่น เด็กต้องเอาอุปกรณ์ท า การบ้านกลับบ้านให้ครบ เป็นต้น 3) สร้างกระบวนการหรือขั้นตอนที่น าไปสู่เป้าหมาย เช่น ท ารายการ ตรวจสอบว่าจะต้องเอาอะไรกลับบ้านบ้าง และด าเนินการตรวจสอบก่อนกลับบ้านทุกครั้ง เป็นต้น 4) ดูแลตรวจตราเด็กให้ปฏิบัติตามกระบวนการหรือขั้นตอนที่สร้างขึ้นเพื่อให้ เป้าหมาย คือ กระบวนการที่ 1 เตือนเด็กก่อนเริ่มปฏิบัติ กระบวนการที่ 2 กระตุ้นว่าเด็กปฏิบัติตาม ขั้นตอนครบทุกขั้นหรือไม่ กระบวนการที่ 3 สังเกตว่าเด็กปฏิบัติตามขั้นตอนทุกขั้น กระบวนการที่ 4 ให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็ก และกระบวนการที่ 5 ชื่นชมว่าเด็กปฏิบัติทุกขั้นตอนจน ส าเร็จ 5) ประเมินกระบวนการ โดยกรสังเกตว่าเด็กท าได้หรือไม่ จ าเป็นต้องแบ่ง กระบวนการให้ละเอียดขึ้นหรือไม่ หรือลดกระบวนการลง 6) ลดการดูแลลงเรื่อย ๆ กระตุ้นให้เด็กปฏิบัติตามขั้นตอน แต่บางขั้นตอนก็ ปล่อยให้เด็กทบทวนความจ าและปฏิบัติเอง ให้เด็กตรวจสอบว่าตนเองว่างานส าเร็จ ให้เด็กตรวจสอบ ว่าตนเองปฏิบัติทุกขั้นตอนของกระบวนการ แล้วบอกครูว่าเสร็จ พยายามให้เด็กตรวจสอบความ ถูกต้องด้วยตนเอง โดยไม่มีการช่วยเหลือจากครู
22 3. จูงใจเด็กให้ใช้ทักษะสมอง EF ครูจูงใจให้เด็กเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยการ แนะน าเบื้องต้นด้วยวิธีการเชิงบวกและใช้การกระตุ้นให้เด็กเข้ามามีส่วนร่วม ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้ แรงจูงใจแบบไม่เป็นทางการ คือ 1) ให้เด็กมองสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตถ้าเด็กท างานได้ส าเร็จเช่น ท าการบ้าน เสร็จจะได้ไปปั่นจักรยาน 2) ให้ทางเลือกระหว่างกิจกรรมที่เด็กชอบและไม่ชอบ เช่น ท างานก่อนและ ค่อยดูโทรทัศน์ เป็นต้น 3) ให้เวลาพักผ่อนระหว่างงานที่เด็กได้รับมอบหมาย เช่น ให้เด็กเก็บของเล่น และปัดฝุ่นเฟอร์นิเจอร์ ระหว่างที่เก็บของเล่นเสร็จก็ให้เด็กพักเล่นต่อไม้บล็อก 5 นาที แล้วจึงปัดฝุ่น เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น 4) ให้ค าชมเชยที่เฉพาะเจาะจงในการเสริมแรงเมื่อเด็กใช้ทักษะสมอง EF เช่น วันนี้หนูระบายสีเสร็จเองโดยที่ครูไม่ได้ช่วยเลย เป็นต้น สุภาวดี หาญเมธี (2559) กล่าวว่า การพัฒนาทักษะสมอง EF มีดังนี้ 1. สัมพันธภาพที่ดีกับเด็ก พ่อแม่ ผู้ปกครองและครู ที่ตอบสนองเด็กในเวลาที่ เหมาะสมจะช่วยให้เด็กมีพัฒนาทักษะสมอง EF มากกว่าเด็กที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่หรือถูกละเลย การ เลี้ยงดูเด็กด้วยความรักและเอาใจใส่ จนเด็กเกิดความไว้วางใจและเกิดเป็นความผูกพันซึ่งเป็นพื้นฐาน ส าคัญที่สุดของการพัฒนาและส่งเสริมทักษะสมอง EF ให้กับเด็กทุกคน 2. การเล่น คือ การเรียนรู้ของเด็กและเป็นการเรียนรู้ที่ให้ความสุขและความ สนุกสนาน ควรให้โอกาสเด็กได้เล่นสนุกอย่างหลากหลาย มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าเด็กที่มีเวลาได้เล่น มากกว่า เมื่อวัดผลทางการศึกษา มีผลการศึกษาที่ดีกว่าเด็กที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนวิชาการ อย่างเดียว ฉะนั้นไม่ควรเร่งเรียนเขียนอ่านมากเกินไปในช่วงปฐมวัยจนเด็กไม่มีความสุข และพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู ควรตระหนักถึงความเครียดที่เป็นตัวท าลายทักษะสมอง EF 3. ให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการคิดและสร้างสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ ผู้ใหญ่ไม่ควรบังคับ และตัดสินใจแทนเด็ก ส่งผลให้เด็กขาดโอกาสในการฝึกฝนทักษะสมอง EF ในด้านการคิดริเริ่ม การ ไตร่ตรอง และการวางแผนด้วยตนเอง 4. ให้เด็กได้ลงมือท าด้วยตนเอง การลงมือท าด้วยตนเอง การลงมือท าด้วยตนเอง จะช่วยฝึกทักษะสมอง EF ในด้านการคิดริเริ่ม การตัดสินใจ การวางแผนการจัดระบบการบริหารเวลา และทรัพยากรต่าง การฝึกความอดทนมุ่งมั่นที่จะต้องบรรลุตามเป้าหมายที่ก าหนดไว้ หากไม่เป็นไป ตามแผน เด็กจะยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนความคิดและงานอย่างไรและเมื่อท าเสร็จแล้ว เด็กจะได้ประเมิน ความรู้สึก ความคิด ผลดีและผลเสียด้วยตนเอง เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงในครั้งต่อไป 5. ตั้งค าถามชวนคิดชวนคุยให้มาก เพื่อให้เด็กได้ลองคิดอย่างหลากหลาย เช่น ถ้า กิจกรรมไม่เป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างใดได้บ้าง ท าไมเรื่องจึงเป็นเช่นนั้น เด็กจะได้ฝึกทักษะสมอง EF ใน ด้านของการยืดหยุ่นความคิด การคิดวิเคราะห์ การคาดการณ์ล่วงหน้า และการคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น 6. ให้เด็กได้มีอิสระในการคิดมากขึ้นตามวัย การคิดด้วยตนเองช่วยให้เด็กกล้าคิด ริเริ่มได้ลองผิดลองถูก เมื่อท าผิดก็ไม่ถูกต าหนิ ผู้ใหญ่ควรชี้แนะถึงวิธีการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค ที่ส าคัญควรให้ก าลังใจเด็ก
23 สุภาวดี หาญเมธี (2559) กล่าวว่า การพัฒนาทักษะสมอง EF มีดังนี้ 1. การสร้างความผูกพันและไว้วางใจให้เกิดขึ้นในใจเด็ก เป็นพื้นฐานแรกที่ส าคัญ ที่สุดเพราะถ้าเด็กไว้วางใจได้ว่า เด็กเป็นที่รักและรู้สึกปลอดภัยจากการเอาใจใส่ของผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู โดยใช้วิธีฟังเด็ก ให้โอกาส หรือมีความเสมอต้นเสมอปลายกับเด็ก ส่งผลให้เด็กมีสภาวะ ที่พร้อมต่อการพัฒนาทักษะสมอง EF และฝึกฝนเรียนรู้ เมื่อใดที่เด็กมีความเครียดกังวล ไม่มีความสุข เด็กรู้สึกไม่เป็นที่รักหรือคาดการณ์ไม่ได้ว่าผู้ใหญ่จะคิดเช่นไรกับตนเองทักษะสมอง EF ก็จะไม่พัฒนา 2. การดูแลสุขภาพทางกายภาพของสมองให้แข็งแรง การกินอิ่มนอนหลับเพียงพอ การได้ออกก าลังกายสม่ าเสมอ การได้รับอากาศบริสุทธิ์ ล้วนมีส่วนในการสร้างความแข็งแรงทาง กายภาพให้กับสมอง เช่นเดียวกับร่างกายที่แข็งแรงสามารถเป็นฐานในการด ารงชีวิตได้ดี เช่น สมองที่ แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เป็นโรค ก็จะเป็นฐานที่ดีในการท างานของความคิด ความรู้สึกหรือการกระท าของ เด็กต่อไป มีงานวิจัยชี้ชัดว่า เด็กที่พักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ ทักษะสมอง EF จะไม่พัฒนาเด็กที่ออก ก าลังกายกลางแจ้งสม่ าเสมอ จะมีทักษะสมอง EF จะมีทักษะสมอง EF ด้านการจดจ่อใส่ใจดีขึ้น 3. การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ที่มีความเป็น ระเบียบเรียบร้อยและน่าอยู่ของสถานที่ ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน การมีกิจวัตรประจ าวันที่สม่ าเสมอ สภาพแวดล้อมทางอารมณ์จิตใจและสังคม เช่น บรรยากาศที่ร่มเย็นรื่นรมย์ให้ความสุข สนุกสนาน เด็กรู้สึกเป็นเจ้าของสถานที่นั้น ๆ เช่น การมีกติกาที่เด็กมีส่วนร่วมและทุกคนปฏิบัติกันอย่างเสมอต้น เสมอปลาย 4. การได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเน้นให้เด็กได้ลงมือท าด้วย ตนเองหรือการเข้าไปมีประสบการณ์ตรงกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวส าหรับเด็กปฐมวัย คือ การเรียนรู้ผ่าน การเล่น (Play - Based Learning) เพราะการเล่นคือการเรียนรู้แบบ Active Learning ของเด็กการ เรียนรู้ด้วยประสบการณ์จริงจะท าให้เด็กมีโอกาสได้ฝึกคิดด้วยตนเอง ฝึกการสังเกต ได้คิดค้น วางแผน และทดลองหรือลงมือท า ระหว่างที่เด็กลงมือท าก็ได้เห็นอุปสรรคปัญหา แล้วหาทางแก้ไขและสรุป บทเรียนด้วยตนเอง 5. การเรียนรู้ทักษะทางสังคม - อารมณ์ เป็นองค์ประกอบส าคัญอีกข้อหนึ่ง เน้นที่ การให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น ได้เล่นกับเพื่อน ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้รู้จักอารมณ์ ตนเองและก ากับอารมณ์ตนเองให้เป็นปกติได้ รู้จักเข้าใจคนอื่นและอยู่กับคนอื่นได้ มีสัมพันธภาพที่ดี กับคนอื่น และสามารถจัดการสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม โดยค านึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับทั้ง ตนเองและผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย การมีค่านิยมที่สอดคล้องกับบรรทัดฐานของสังคม เป็นต้น พัฒนาการของทักษะสมอง EF จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงวัยเด็กเป็นการพัฒนา ระยะยาวจนถึงวัยผู้ใหญ่ (Diamond, 2013) ผู้ใหญ่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อการช่วยเหลือให้เด็กได้พัฒนา ทักษะเหล่านี้ โดยเริ่มจากการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบโดยการลดทอนความสามารถของเด็ก การสอนให้เด็กรู้จักทักษะเหล่านี้ และการใช้สิ่งเร้าเพื่อกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ทักษะที่ยากเพื่อให้เกิดการ พัฒนา (Dawson, 2018) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาเด็กในช่วงปฐมวัยมีความส าคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นช่วงที่สมองของมนุษย์พัฒนาได้สูงสุด และเป็นการเตรียมความพร้อมส าหรับพัฒนาการ ทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ - จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา
24 การวางพื้นฐานและการเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนา ทักษะเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม เป็นหน้าที่ของ ครูและผู้ปกครองที่จัดการให้เหมาะสมตามเป้าหมายและสามารถพัฒนาทักษะสมอง EF ได้อย่างเต็ม ศักยภาพ เพื่อประโยชน์ทั้งกับตัวเด็กเอง และรวมไปถึงประเทศชาติต่อไป (ดุษฎี อุปการ และ อรปรียา ญาณะชัย, 2561) ความสัมพันธ์กับบุคคลแวดล้อมของเด็ก กิจกรรมที่เด็กได้มีโอกาสเข้าร่วมสถานที่ที่เด็ก อาศัยที่เด็กได้เรียนรู้และเล่นล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาพื้นฐานที่แข็งแรงและจ าเป็นต่อ ทักษะเหล่านี้ มีดังนี้ 1. ด้านความสัมพันธ์กับบุคคลแวดล้อม เด็กจะพัฒนาตามความสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมซึ่งเริ่มจากบ้านไปสู่ผู้เลี้ยงดู ครู บริการทางการแพทย์และมนุษย์ ผู้ปกครองอุปถัมภ์ และ เพื่อนเด็กจะสามารถสร้างและพัฒนาทักษะสมอง EF ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองสามารถ สนับสนุนความพยายามและแรงขับของเด็ก เป็นแบบอย่างของทักษะ มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เด็กได้ ฝึกฝนทักษะ มีท่าทางที่น่าเชื่อถือและสอดคล้องกันให้เด็กสามารถชื่อใจได้ แนะแนวทางให้เด็ก สามารถพึ่งพาและช่วยเหลือตัวเองได้ ผู้ปกครองมีหน้าที่ต้องปกป้องเด็กจากความรุนแรงเพราะ สิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะขัดขวางส่วนของสมองที่จ าเป็นต่อการพัฒนาทักษะสมอง EF และกระตุ้น พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น หรือการท าการคิด 2. ด้านกิจกรรม ความสามารถเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อสังคมและผู้ที่เลี้ยงดูเด็ก หรือพี่เลี้ยงสามารถจัดหาและสนับสนุนประสบการณ์ที่ส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กปฐมวัย ได้แก่ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ซึ่งรวมไปถึงการลดความเครียด ทั้งการท าให้เด็กเรียนรู้สาเหตุของความเครียดทั้งการท าให้เด็กเรียนรู้สาเหตุของความเครียดและช่วย ให้เด็กสามารถจัดการกับเครียดด้วยตัวของเด็กได้ โดยผู้ใหญ่ต้องมีความสงบและสุขุม ผู้ใหญ่ควรจัดหา กิจกรรมที่เชื่อมโยงกับสังคม และส่งเสริมให้เด็กเล่นอย่างสร้างสรรค์ การจัดหากิจกรรมทางร่างกาย เพิ่มเข้าไปในชีวิตประจ าวัน ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อระดับความเครียด ทักษะทางสังคมและพัฒนาการทาง สมอง การเพิ่มความซับซ้อนของทักษะอย่างเป็นขั้นตอน ฝึกการท้าทายความสามารถของเด็ก แต่ไม่ สร้างแรงกดดัน เพิ่มการฝึกฝนการท าซ้ าของทักษะเหล่านั้น โดยการจัดหาโอกาสให้เด็กเรียนรู้ภายใต้ การสนับสนุนของพี่เลี้ยงและเพื่อน 3. ด้านสถานที่ บ้าน และสิ่งแวดล้อม เด็กมักใช้เวลาอยู่เป็นส่วนใหญ่ต้องท าให้ เด็กรู้สึกปลอดภัย มีการจัดหาพื้นที่ส าหรับการใช้ความคิดสร้างสรรค์ การส ารวจและการออกก าลัง กาย การสร้างฐานะทางการเงินและสังคมให้คงที่ เพื่อลดความกังวลและเครียดที่น ามาซึ่งความไม่ มั่นใจหรือความกลัว หากเด็กไม่ได้รับสิ่งที่จ าเป็นต่อการพัฒนาทักษะสมอง EF จากการปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ และสถานการณ์ต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเด็กหรือการที่เด็กได้รับประสบการณ์ในด้านลบ หากสิ่งเหล่านี้มีผลท าให้เด็กมีความเครียด จะส่งผลต่อการพัฒนาทักษะของเด็ก ส่งผลให้เด็ก พัฒนาการล่าข้าหรือเกิดความบกพร่อง มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่าเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ที่ ได้รับการเลี้ยงดูให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมีประสบการณ์กับกิจกรรมการสร้างทักษะ จะมี ความสามารถทางทักษะสมอง EF เพิ่มมากขึ้นและมีผลสัมฤทธิ์ที่ดีหากเริ่มพัฒนาตั้งแต่ในวัยเด็ก (Center of Developping Child Harvard University, 2018)
25 ตัวแปรที่ส่งผลต่อการพัฒนาทักษะสมอง EF ประกอบด้วยตัวแปร 3 ด้าน ดังนี้ 1. ระบบประสาท (neuropsychology) การพัฒนาทักษะสมอง EF ต้องอาศัย การท างานประสานสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพของสมองส่วนต่าง ๆ ทักษะสมอง EF ไม่ได้เป็น โปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่เป็นกระบวนการตอบสนองของการมีปฏิสัมพันธ์ของสมองและ สิ่งแวดล้อม สมองของมนุษย์มีประสิทธิภาพที่สูงในการปรับเปลี่ยนตามความต้องการของสิ่งแวดล้อม ผ่านประสาทสัมผัสระดับสูงและตอบสนองต่อตัวแปรในบริบทต่าง ๆ ซึ่งเป็น การปฏิสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล สังคม และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพของบุคคลนั้น ๆ ระบบของทักษะสมอง EF สนับสนุนการ จัดการและจัดระบบใหม่ด้านสมาธิ ความจดจ่อใส่ใจ ผ่านทางการควบคุมประสาทสัมผัสด้าน ความรู้สึกที่รับสาร (sensory input) ด้านความตั้งใจ ผ่านทางการควบคุมพฤติกรรมที่แสดงออก (behavior output) และด้านความคิดผ่านทางการควบคุมความจ า กระบวนการควบคุมนี้ท าให้ บุคคลสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ในอดีตกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเป็นแนวทางส าหรับ พฤติกรรมที่บุคคลนั้นแสดงออก สมองมีทั้งอิทธิพลและได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม ระบบประสาท ในสมองพัฒนาผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมองกับบริบทต่าง ๆ หากสมองมีปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อมมากก็มีการพัฒนามากขึ้น เกิดการเรียนรู้และพัฒนาความสามารถในการปรับตัว 2. ด้านอิทธิพลจากสถานภาพ (socio - economic) สถานะทางสังคมของเด็กมี อิทธิพลต่อความสามารถด้านระบบประสาทความคิด (cognitive function) ซึ่งรวมไปถึงทักษะสมอง EF คุณภาพของสิ่งแวดล้อมที่บ้าน สถานดูแลเด็กเล็กก่อนวัยเรียนล้วนมีความสัมพันธ์กับทักษะสมอง EF ทั้งในส่วนของทักษะการจดจ าเพื่อและทักษะการควบคุมความคิด 3. ด้านอิทธิพลจากการเข้าแทรกแซง (intervention) วิธีส าหรับการเข้าแทรกแซง (intervention) เพื่อพัฒนาทักษะสมอง EF แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ วิธีส าหรับการพัฒนาการควบคุม ภายในและวิธีส าหรับการรักษาความคงที่ของการควบคุมภายนอก วิธีแรกประกอบด้วย การเพิ่มการ ตระหนักในการรับรู้ของผู้เรียน การสร้างรูปแบบที่เหมาะสมส าหรับทักษะสมอง EF ตารางการจัดการ เรียนการสอน การไตร่ตรอง การใช้วัจนะ ภาษาและอวัจนภาษา และการสอนโดยใช้การตอบสนอง ภายในและการเสริมแรงตนเอง วิธีที่สองคือ การควบคุมภายนอกประกอบด้วย การรักษาด้วยยา การ วางโครงสร้างด้านสิ่งแวดล้อมด้านเวลา การจัดหาตัวช่วยด้านกระบวนการ การเสริมแรงหรือการให้ รางวัล และการจัดระบบความต้องการภายนอกตามความปรารถนาของผู้เรียน ดังนั้นการรักษา สภาวะสมดุลระหว่างวิธีการภายในและวิธีการภายนอกเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ ผู้ใหญ่สามารถเป็น แบบอย่างที่ดีในการใช้ทักษะสมอง EF และการจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่มีโครงสร้างและมี ความสอดคล้องกัน เพื่อเด็กสามารถพัฒนาทักษะได้อย่างเต็มศักยภาพ Mccloskey, Perkins, & Van Divner (2009) กล่าวว่า แนวทางส าหรับการวาง แผนการเข้าแทรกแซงส าหรับเด็กที่มีข้อจ ากัดทางด้านทักษะสมอง EF มีดังนี้ 1. การจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมทักษะสมอง EF และสนับสนุนให้ความช่วยเหลือและจัดโครงสร้างตามความต้องการของเด็กโดยผู้ใหญ่ที่มีทักษะสมอง EF สามารถเป็นแบบอย่างให้กับเด็กได้อย่างเหมาะสม 2. การกระตุ้นความสามารถของทักษะสมอง EF ของเด็กที่มีอยู่แล้วเป็นขั้นตอน แรก เพื่อตรวจสอบทักษะเดิมและทักษะที่เด็กอาจไม่ได้ถูกน ามาใช้
26 3. การสอนให้เด็กตระหนักถึงความจ าเป็นของทักษะสมอง EF ส่วนนี้ เพื่อการ บรรลุเป้าประสงค์เชิงพฤติกรรม และการสอนเด็กให้เรียนรู้ว่าจะใช้ทักษะสมอง EF นี้เมื่อใดและด้วย วิธีการใด เพื่อเด็กจะได้ปฏิบัติกิจกรรมประจ าวันตามข้อตกลงที่ก าหนดด้วยตัวเด็ก 4. การใช้การแทรกแซง (intervention) เพื่อจัดหาการควบคุมภายนอก (external control) และค่อยๆ ลดการสนับสนุนภายนอก เพื่อให้เด็กสามารถแสดงออกถึงการ ควบคุมภายใน (internal control) 5. การสร้างแบบอย่างที่ดีของความพยายามและความอดทน 6. ผู้ใหญ่ควรมีพฤติกรรมที่เหมาะสมและต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม นิตยสารโมเดิร์นมัม (2558) กล่าวถึง วิธีการพัฒนาทักษะสมอง EF มีดังนี้ 1. สร้างกิจวัตรประจ าวันที่เป็นแบบอย่างพฤติกรรมทางบวก เช่น การสร้าง สภาพแวดล้อมที่สนับสนุนต่อการเจริญเติบโตที่ดี บนความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจกัน 2. เน้นความส าคัญและการฝึกฝน 5 ด้านอย่างต่อเนื่อง โดยครู พ่อแม่ และ โรงเรียน คือ การสร้างพื้นฐานอารมณ์ การเสริมประสาทและการเคลื่อนไหว การเรียนรู้ตนเองการ เรียนรู้ผู้อื่น และกระบวนการส่งเสริมการรู้คิดเพิ่มศักยภาพสติปัญญาและการคิดวิเคราะห์ 3. การสร้างวินัยให้เด็กในชีวิตประจ าวัน ให้รู้จักการเข้าคิว 4. ฝึกเด็กให้รู้จักการควบคุมอารมณ์ตนเอง และสามารถแสดงออกได้อย่าง เหมาะสม 5. สอนเด็กให้เข้าใจความรู้สึกของตนเองและเพื่อนรวมทั้งเข้าใจความรู้สึกของคน 6. ส่งเสริมกิจกรรมที่ฝึกความจ าลึกสมาธิอยู่เสมอๆ เช่น กิจกรรมเล่นดนตรี วาด รูป ระบายสีหรือท างาน ศิลปะอื่น ๆ การฟังเพลง อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ 7. ส่งเสริมกิจกรรมเสริมสร้างจินตนาการ เช่น การเล่นบทบาทสมมติ การเล่า นิทาน เล่าเรื่องประสบการณ์สอกแทรกคุณธรรมจริยธรรมผ่านตัวละครในนิทาน 8. เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งแวดล้อม ได้ท่องเที่ยวส ารวจโลกกว้างได้พบเจอ ประสบการณ์ใหม่ ๆ 9. หลีกเลี่ยงของเล่นส าเร็จรูป ที่เด็กไม่ได้แก้ปัญหา ควรส่งเสริมกิจกรรมที่มีความ หลากหลายที่เด็กได้ลงมือท าได้ด้วยตนเอง (Leaning by Doing ซึ่งมีกระบวนการวางเป้าหมาย จัดล าดับก่อนหลัง อดทน ช่างสังเกต และเรียนรู้ขั้นตอน เมื่อเจอปัญหาให้คิดทางออกใหม่ๆ และเมื่อ เสร็จแล้วควรประเมินผลที่ได้ 10. ให้ก าลังใจเด็ก ๆ เมื่อท าสิ่งต่าง ๆ ประสบความส าเร็จ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ ส านักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2560) กล่าวว่า การพัฒนาทักษะ สมอง EF มีดังนี้ 1. ให้เด็กรู้สึกผูกพันไว้วางใจต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู 2. จัดสภาพแวดล้อมที่สะอาด สงบ ปลอดภัย มีสิ่งที่กระตุ้นการเรียนรู้ของเด็ก เช่นหนังสือ ของเล่น เป็นต้น 3. ฝึกให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยการลงมือท า 4. ให้เด็กรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ
27 5. จัดกิจกรรมออกก าลังกายสม่ าเสมอ 6. ฝึกให้เด็กรู้จักการอดทนและการรอคอย 7. ส่งเสริมให้เด็กท างานจนเสร็จ 8. ฝึกความรับผิดชอบในบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ 9. สอนให้เด็กคิดก่อนตอบและคิดก่อนท า 10. ฝึกให้เด็กรู้จักจัดการกับอารมณ์ตนเอง 11. สอนให้เด็กพึ่งพาตนเองตามวัย 12. สอนให้เด็กรู้จักจัดการความเครียด สรุปได้ว่า การพัฒนาทักษะสมอง EF เป็นกระบวนการพัฒนาความคิดในส่วน "สมอง ส่วนหน้า" ที่เกี่ยวข้องกับความคิด ความรู้สึก การกระท า เป็นหน้าที่และประสิทธิภาพของสมองที่ใช้ บริหารจัดการชีวิตของบุคคลนั้น ๆ ในประสบการณ์การใช้ชีวิตเรื่องต่าง ๆ เพื่อก ากับบุคคลให้เกิด พฤติกรรมเชิงบวก เช่น การท าให้เด็กรู้สึกผูกพันและไว้วางใจผู้ปกครองและครูสร้างสภาพแวดล้อมที่ ช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ที่มีคุณค่าของเด็ก โดยการสร้างโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง, ให้ เด็กรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการที่ถูกต้อง พักผ่อนให้เพียงพอ และออกก าลังกายอย่าง สม่ าเสมอ, ฝึกให้เด็กรู้จักอดทน รอคอย, ฝึกให้เด็กท างานจนเสร็จ, สอนให้เดีกรู้จักควบคุมและจัดการ อารมณ์ตนเองด้วยวิธีที่สร้างสรรค์ เป็นโอกาสที่ดีมากที่จะปลูกฝังและพัฒนาให้เด็กมีทักษะสมอง EF ซึ่งทักษะสมอง EF จะติดตัวไปกับเด็กจนเติบโต ตลอดไปเป็นวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น เพื่อความส าเร็จ ในชีวิต 6. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะสมอง EF Preda Ulita (2016 ได้ส ารวจงานวิจัยและค้นพบว่ามีความสนใจคล้ายคลึงกันของ ผู้ปกครองและนักศึกษาที่ต้องการรู้ว่า ความสามารถทางสติปัญญาที่ไม่ใช่ดนตรีกับผลประโยชน์เชิง วิชาการเป็นผลมาจากการเรียนดนตรีหรือไม่ นักศึกษาบางท่านมุ่งพิสูจน์การเรียนดนตรีในโรงเรียน เนื่องจากเชื่อว่า การเรียนดนตรีมีผลดีต่อความสามารถทางด้านอื่น (nonmusical cognitive function) ในระหว่างนั้นงานวิจัยส่วนมากแสดงให้เห็นว่าการเรียนการปฏิบัติเครื่องดนตรีสามารถท า ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบประสาทอย่างมากมาย ในกระบวนการทางประสาทของสมองด้านการ เคลื่อนไหว โสตประสาท กระบวนการพูด เขาพบว่ามีกลุ่มของกิจกรรมดนตรีที่บังคับให้เกิดการใช้ สมาธิ(attention) การยับยั้งชั่งใจ (inhibition) การปรับเปลี่ยน (updating) การยืดหยุ่นทางความคิด (mental flexibilty) และจัดหาการตอบสนองที่จะเกิดขึ้นซ้ า ๆ ส าหรับผู้เรียนและผู้สอนซึ่งจะมีระดับ ที่ส่งผลต่อการใช้ทักษะสมอง EF นี้ที่แตกต่างไป จากการส ารวจกิจกรรมดนตรีในงานวิจัยพบว่า มี ความสัมพันธ์กันในระดับสูงระหว่างการมีส่วนร่วมของผู้เรียนความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมและ ลดพฤติกรรมที่ไม่ดี นอกจากนี้ยังพบว่าทักษะสมอง EF มีความสัมพันธ์กับระดับการมีส่วนร่วมและ พฤติกรรมเชิงลบ เมื่อเด็กมีควากระตือรือร้นในการเข้าร่วมชั้นเรียนดนตรี ดูเหมือนเขาจะได้ฝึกฝน ทักษะที่ส าคัญในการจดจ่อใส่ใจ การยั้งคิด การไตร่ตรอง การติดตามผล และการยืดหยุ่นทางความคิด การสอนดนตรีที่ดีคือการสามารถสอนให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมกับองค์ประกอบของการสอนทุกส่วน
28 Bialystock & Depape (2009) พบว่า นักดนตรีที่ได้รับการฝึกฝนมีทักษะสมอง EF ดี ว่าคนที่ไม่ได้เรียนดนตรี อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการเรียนดนตรีเป็นสาเหตุให้ทักษะสมอง EF เกิดการพัฒนาหรือความแข็งแรงของทักษะสมอง EF ที่มีอยู่ก่อนแล้วส่งผลให้การเรียนดนตรี ประสบความส าเร็จ แต่มีหลักฐานที่เป็นไปได้ว่าการเรียนเชื่อมโยงกับทักษะสมอง EF ซึ่งประกอบด้วย 1. การจดจ่อใส่ใจ (attention) 2. กลยุทธ์การยืดหยุ่น (shifting strategies) 3. ความยับยั้งชั่งใจ (inhibition) 4. การมีสมาธิอย่างต่อเนื่องในงานที่ท า Sportsman (2011) ท าการศึกษาการพัฒนาทักษะดนตรีและพฤติกรรมที่เชื่อมโยงกับ ทักษะสมอง EF กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 2 โรงเรียนประถมในเขตเมืองตลอด ระยะเวลา 1 ปี ที่เข้าร่วมโปรแกรมดนตรีหลังเลิกเรียนแบบเข้มข้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบ ศักยภาพของโปรแกรมดนตรีที่มีผลต่อการพัฒนาทางจิตวิทยา การพัฒนาทางดนตรีและการประสบ ความส าเร็จในโรงเรียน โดยเน้นไปที่การตรวจสอบการพัฒนาทักษะดนตรีและทักษะสมอง EF ผลการวิจัยพบว่า การเรียนดนตรีอาจมีส่วนช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะสมอง EF ที่จ าเป็นต่อการประสบ ความส าเร็จในการเรียนในโรงเรียนและการใช้ชีวิตประจ าวัน กิจกรรมดนตรีสนับสนุนและผลักดันให้ เกิดสมาธิ (attention) การยับยั้งชั่งใจ (inhibition) การปรับปรุงความคิดให้ทันสมัย (updating) การ ยืดหยุ่นทางความคิด (shifting) และสร้างให้เกิดการตอบสนองระหว่างครูและนักเรียน นอกจากนี้ ผลงานวิจัย พบว่าดนตรีและทักษะสมอง EF พัฒนาไปพร้อมกันจากการอภิปรายผลของงานวิจัย พบ ข้อมูลที่น่าสนใจ ดังนี้ 1. กิจกรรมดนตรีที่มีระดับการมีส่วนร่วมแบบปฏิบัติการอยู่ในระดับสูง เมื่อ นักเรียนได้มีส่วนร่วมปฏิบัติ ดนตรีในชั้นเรียน นักเรียนจะได้ฝึกฝนทักษะ ที่ส าคัญด้านการจดจ่อใส่ใจ การยั้งคิด ไตร่ตรอง การปรับปรุงให้ทันสมัย และการยืดหยุ่นความคิด 2. ดนตรีเป็นแม่แบบของการมีส่วนร่วมในการสอนหรือการให้ค าแนะน าภายใต้ กิจกรรมดนตรีที่หลากหลาย นักเรียนจะมีส่วนร่วมอย่างมากจากการลงมือปฏิบัติทั้งในส่วนของจ านวน ชั่วโมงและความถี่ของการได้รับการตอบสนองอย่างต่อเนื่อง ดนตรีสร้างโครงสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ อย่างมีความหมายระหว่างนักเรียนและครู 3. การสนับสนุนภายนอกอย่างมีโครงสร้างอาจน าไปสู่การพัฒนาทักษะภายใน ความสามารถของทักษะสมอง EF จะถูกพัฒนโดยการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เด็กพัฒนาวินัยใน ตนเองผ่านทางการค่อยๆ ซึมซับและเรียนรู้กฎและโครงสร้างจากภายนอก Aho kas (2015) ท าง า น วิ จั ยใ นหั ว เ รื่ อง "Brain and body percussion; The relationship between motor and cognitive function"เป็นงานวิจัยที่มุ่งหาความสัมพันธ์ระหว่าง การใช้ร่างกายเคาะจังหวะ (body percussion) และทักษะสมอง EF โดยตั้งสมมติฐาน งานวิจัยว่า การใช้ร่างกายเคาะจังหวะ หรือ body percussion มีผลกระทบต่อแกนหลักของกระบวนการทาง สมอง หรือทักษะสมอง EF งานวิจัยเชิงทดลองนี้ใช้ระยะเวลาทดลองสองเดือนครึ่งกับนักเรียน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อายุเฉลี่ย 11 ปี จ านวน 24 คนโดยการใช้ร่างกายเคาะจังหวะที่ถูก ออกแบบมาเพื่อพัฒนาทักษะสมอง EF
29 ดุษฎี อุปการ และอรปรียา ญาณะชัย (2561) ศึกษาการเสริมสร้างพัฒนาการการ เรียนรู้ของเด็กปฐมวัยควรเลือกใช้หลักการใด "การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน" หรือ "การคิดเชิง บริหาร" เด็กปฐมวัยถือเป็นวัยทองแห่งการเรียนรู้ เพราะเป็นช่วงเวลาที่สมองพัฒนาสูงสุดและส่งผล ต่อสติปัญญา บุคลิกภาพและความฉลาดทางอารมณ์ การพัฒนาเด็กในช่วงวัยนี้จึงเป็นพื้นฐานส าคัญ ในการพัฒนาทักษะและความสามารถในระดับที่สูงขึ้นต่อไป การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและการ คิดเชิงบริหารเป็นหลักการที่อยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้เกี่ยวกับสมองทั้งองค์ประกอบและกลไก หน้าที่การท างานของสมอง แต่มีจุดเน้นที่ต่างกันจึงท าให้เป้าหมาย หลักการและการปฏิบัติแตกต่าง กันไป ดังนั้นการน าหลักการ "การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน" หรือ "การคิดเชิงบริหาร" สู่การปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจึงขึ้นอยู่กับครู ผู้ปกครองเลือกให้สอดคล้องกับ เป้าหมายที่ต้องการพัฒนาเด็กปฐมวัยเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยอย่างเต็มศักยภาพ และ เป็นการวางรากฐานส าคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่จะเป็นก าลังขับเคลื่อนการพัฒนา ประเทศชาติต่อไปจากงานวิจัยเกี่ยวกับทักษะสมอง EF ที่ได้น าเสนอมานี้ แสดงให้เห็นว่า ทักษะสมอง EF กระบวนการทางจิตใจของบุคคลที่ส่งเสริมการจัดระบบ การจดจ่อใส่ใจ การจดจ าค าแนะน า การ จัดการงานหลายอย่างให้ส าเร็จ สมองจ าเนต้องใช้ความสามารถเหล่านี้ในการกลั่นกรอง การวางแผน การท างานก่อนหลัง การจดจ าข้อมูลที่จ าเป็นส าหรับการท างานให้ส าเร็จตามแผนและเป้าหมายที่วาง ไว้ การควบคุม การยึดมั่นและการมีสมาธิที่แน่วแน่ระหว่างการท ากิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ สร้างการส่งเสริมและสนับสนุนที่จ าเป็นส าหรับเด็ก เพื่อให้เด็กได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างเหมาะสม ถึงแม้ว่าเด็กจะไม่ได้มีทักษะเหล่านี้โดยธรรมชาติแต่เด็กเกิดมาพร้อมศักยภาพและการเจริญเติบโต และพัฒนาทักษะเหล่านี้ผ่านทางการมีปฏิสัมพันธ์และการฝึกฝน การจัดประสบการณ์การการเรียนรู้แบบไฮสโคป ในการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป ไว้ แตกต่างกัน ดังนี้ 1. ประวัติความเป็นมาของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป ไวคาร์ท (Dr.David Weikart) ประธานมูลนิธิวิจัยการศึกษาไฮสโคป เป็นผู้ริเริ่มและ ร่วมกับคณะนักวิชาการและนักวิจัย อาทิ โฮแมน (Mary Hohmann) และ ชไวฮาร์ต (Dr.Larry Schweinhart) พัฒนาขึ้นจากโครงการเพอรี่พรี สคูล (Perry Preschool Project) ตั้งแต่ พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ Head Start เพื่อช่วยเหลือเด็ก ด้อยโอกาสให้มีการศึกษา ที่เหมาะสม และ ประสบความส าเร็จในชีวิต มูลนิธิวิจัยการศึกษาไฮสโคปได้ ศึกษาเปรียบเทียบเด็ก 3 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มที่ได้รับการสอนจากครูโดยตรง (Direct Instruction) กลุ่มเนอร์สเซอรี่แบบดั้งเดิม (Traditional Nursery) และกลุ่มที่ได้รับประสบการณ์โปรแกรมไฮสโคป จากการศึกษา ติดตามเด็ก เหล่านี้ตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงอายุ 29 ปี พบว่ากลุ่มที่เรียนด้วยโปรแกรม ไฮสโคปมีปัญหาพฤติกรรม ทางสังคมอารมณ์ เช่น การถูกจับข้อหาลักขโมย ท าร้ายผู้อื่น บกพร่องทาง อารมณ์ และล้มเหลวใน ชีวิตน้อยกว่าอีก 2 กลุ่ม ดังนั้นโปรแกรมนี้จึงพิสูจน์ได้ว่าช่วยป้องกันอาชญากรรมเพิ่มพูนความส าเร็จ ทางการศึกษา และผลผลิตตลอดชีวิต (พัชรี ผลโยธิน, 2550: 1-2 อ้างถึงใน Weikart and others, 1978 และ Schweinhart, 1988 และ 1997)
30 สรุปได้ว่า ประวัติความเป็นมาของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป คือ ไว คาร์ท (Dr.David Weikart) และคณะ ได้ท าการศึกษาวิจัย โดยพัฒนาขึ้นจากโครงการเพอรี่ พรี สคูล (Perry Preschool Project) เพื่อช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสให้มีการศึกษา ที่เหมาะสม และประสบ ความส าเร็จใน ชีวิตซึ่งผลการวิจัย สรุปได้ว่าช่วยป้องกันอาชญากรรรม เพิ่มพูนความส าเร็จทางการ ศึกษา และผลผลิต ตลอดชีวิต 2. ความหมายของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป รุ่ง แก้วแดง (2543: 3) กล่าวว่า การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยไทยตามแนวคิด ไฮสโคปเป็นการถอดแนวคิดสู่การปฏิบัติในสังคมไทยที่มุ่งเน้นการเรียนรู้แบบลงมือท า คือได้จัดกระท า ต่อวัตถุ มีปฏิสัมพันธ์กับบุคล ความคิด และเหตุการณ์จนสามารถสร้างความรู้เองได้ กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551: 123) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบไฮสโคป (HighScope) เป็นการสร้างองค์ความรู้จากการที่เด็กได้ลงมือกระท ากับอุปกรณ์หรือสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็น ประสบการณ์ตรงโดยใช้หลักปฏิบัติ 3 ประการ คือ การวางแผน (Plan) ปฏิบัติตามแผน (Do) และ ทบทวนการปฏิบัติ (Review) แล้วท าให้เกิดการเรียนรู้จากการได้คิดแก้ปัญหาและการทบทวน คะนึง สายแก้ว (2556: 227) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนแบบไฮสโคป ว่าเน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติตามความสนใจของเด็กตามศูนย์การเรียนรู้จะมีวัสดุอุปกรณ์ที่ เหมาะสมกับการเรียนรู้และพัฒนาการตามวัยจัดไว้อย่างเป็นหมวดหมู่ เด็กจะได้รับการกระตุ้นจากครู ให้คิดน าอุปกรณ์ที่จัดไว้มาจัดกระท าหรือเล่น ด้วยการวางแผนการท างานแล้วด าเนินตามแผนไว้ ตามล าดับพร้อมแก้ปัญหา และทบทวนงานที่ท าด้วยการท างานกับเพื่อนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยมีครูให้ ก าลังใจ ถามค าถาม สนับสนุน ให้ค าแนะน า และเพิ่มเติมสิ่งที่เด็กต้องเรียนรู้ สรุปได้ว่า ความหมายของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป หมายถึง การจัดกิจกรรมที่เน้นให้เด็กได้ เรียนรู้ผ่านการจัดกระท ากับวัตถุ และสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โดยการวางแผน ปฏิบัติตามแผน และทบทวนงาน 3. ทฤษฎีเกี่ยวกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป พัชรี ผลโยธิน (2550: 2) กล่าวว่า ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคป ว่าในระยะเริ่มต้น การพัฒนาโปรแกรมไฮสโคป ใช้ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Cognitive Theory) ของเพียเจต์ (Piaget) เป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะการสร้างองค์ความรู้ของผู้เรียนซึ่งเน้นการ เรียนรู้ แบบลงมือกระท า (Active Learning) ระยะต่อมามีการผสมผสานทฤษฎีและแนวคิดอื่น ๆ เช่น ทฤษฎี ของอีริกสัน (Erikson) ในเรื่องการให้โอกาสเด็กเป็นผู้ริเริ่มการเล่น หรือกิจกรรมต่าง ๆ อย่างอิสระ และทฤษฎีของไวก๊อตสกี้ (Vygotsky) ในเรื่องปฏิสัมพันธ์และ การใช้ภาษา เป็นต้น ซึ่ง สอดคล้องกับ คะนึง สายแก้ว (2556: 227) ที่กล่าวว่า แนวคิดพื้นฐานการจัดประสบการณ์แบบ ไฮสโคป มีพื้นฐาน แนวคิดมาจากทฤษฎีของเพียเจท์ว่าด้วยพัฒนาการทางสติปัญญาที่เน้นการเรียนรู้ ด้วยการลงมือปฏิบัติ ที่เด็กสามารถสร้างความรู้ได้เอง โดยใช้กระบวนสร้างสรรค์การเรียนรู้เด็กจะ เรียนรู้จากการกระท า ของตนเอง การประเมินผลงานอย่างมีแบบแผน ช่วยให้เด็กเกิดความรู้ขึ้น การจัดการเรียนการสอน แบบไฮสโคป เน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติตามความสนใจของเด็ก ตามศูนย์การเรียนรู้จะมีวัสดุ อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการเรียนรู้และพัฒนาการตามวัยจัดไว้อย่างเป็น หมวดหมู่ เด็กจะได้รับการกระตุ้นจากครูให้คิดน าอุปกรณ์ที่จัดไว้มาจัดกระท า หรือเล่นด้วย
31 การวางแผนการท างาน แล้วด าเนินตามแผนไว้ ตามล าดับพร้อมแก้ปัญหา และทบทวนงานที่ท าด้วย การท างานกับเพื่อนเป็นกลุ่มเล็ก ๆ โดยมีครูให้ก าลังใจ ถามค าถาม สนับสนุน ให้ค าแนะน า และ เพิ่มเติมสิ่งที่เด็กต้องเรียนรู้ดังมีรายละเอียดของแต่ละทฤษฎี ดังนี้ 1. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget Cognitive Theory) เพียเจต์ (Piaget, 1952: 236-246) กล่าวว่า การพัฒนาทางสติปัญญาและ ความคิดนี้มีพัฒนาการจากปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม ทฤษฎีพัฒนาการ ทางสติปัญญาของเพียเจต์เป็นทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งถึง วัยพัฒนาการทางสติปัญญาอย่างสมบูรณ์เด็กจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวโดยอาศัยขบวนการงานที่ ส าคัญ ของโครงสร้างทางสติปัญญา คือขบวนการปรับเข้าสู่โครงสร้าง (Assimilation) และขบวนการ ปรับขยาย โครงสร้าง (Accommodation) เพียเจต์ได้แบ่งล าดับขั้นพัฒนาทางสติปัญญาออกเป็น 4 ขั้น โดย 2 ขั้น แรกจะมีความเกี่ยวข้องกับเด็กปฐมวัย ดังนี้ (พรรณี ช. เจนจิต, 2538: 136-145) 1.1 ขั้นประสาทรับรู้การเคลื่อนไหว (Sensor-motor Intelligence) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึง 2 ปีพฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมองการดูในวัยนี้แสดงให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระท า เด็กสามารถแก้ปัญหาได้แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายด้วยค าพูด เด็กจะต้องมีโอกาสปะทะกับ สิ่งแวดล้อม ด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จ าเป็นส าหรับพัฒนาการด้านสติปัญญา และความคิดในขั้นนี้ ความคิดความ เข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะท าอะไรซ้ า ๆ บ่อย เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้ เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมาย และสามารถแก้ปัญหาโดย การเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่กิจกรรมการคิดนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่ สามารถสัมผัสได้เท่านั้น 1.2 ขั้นก่อนปฏิบัติการ (Preoperational thought) ขั้นตอนนี้เริ่มตั้งแต่ อายุ 2-7 ปีซึ่งแบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ 1.2.1 ขั้นเกิดก่อนสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้น พัฒนาการ ของเด็กอายุ2-4 ปีเป็นช่วงที่เด็กมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุการณ์ เหตุการณ์หรือมากกว่ามาเป็นเหตุเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมี ขอบเขตจ ากัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางคือถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่และมองไม่ เห็นเหตุผลของคนอื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้จึงไม่ค่อยถูกต้องกับหลักความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่ง ต่าง ๆ ยังอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่าเด็กหญิง 2 คนชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวมยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนาเต็มที่ แต่พัฒนาการ ทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก 1.2.2 ขั้นการคิดแบบสหัชญาณ (Intuitive Thought) เป็นขั้น พัฒนาการของเด็กอายุ4-7 ปีในขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวดีขึ้น เด็กอายุ 4-7 ปีในขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดรู้จักแยกประเภท และรู้จักแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจ านวนตัวเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถ แก้ปัญหาได้โดยไม่ต้องคิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักใช้ความรู้สิ่งหนึ่งไปใช้อธิบาย หรือแก้ปัญหา
32 อีกสิ่งหนึ่ง และสามารถใช้เหตุผลทั่ว ๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา การคิดของเด็กมีเหตุผลขึ้น แต่เป็นการคิด ออกมาในสิ่งที่เขารับรู้หรือสัมผัสจากภายนอก 2. ทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของอีริคสัน (Erikson) อีริคสัน (Erikson) ได้เน้นความส าคัญของเด็กปฐมวัยว่าเป็นวัยที่ก าลังเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมรอบตัวซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นส าหรับเด็กบุคลิกภาพจะสามารถพัฒนาได้ดี หรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าช่วงของอายุเด็กประสบสิ่งที่พอใจตามขั้นพัฒนาการต่าง ๆ ของแต่ละวัยมาก เพียงใด ซึ่งพัฒนาการของมนุษย์มี 8 ขั้นซึ่งใน 3 ขั้นแรกเป็นช่วงอายุของเด็กปฐมวัยมี (สิริมา ภิญโญ อนันต์พงษ์, 2544: 46-49) ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นความเชื่อใจ หรือขาดความเชื่อใจ (Trust Versus Mistrust) อายุแรกเกิด-1 ปีวิธีการเลี้ยงดูของพ่อแม่ไม่ว่าจะเป็นการอุ้ม การให้อาหาร หรือวิธีการเลี้ยงดูต่าง ๆ จะส่งผลไปสู่บุคลิกภาพของความเป็นมิตร เปิดเผย และเชื่อถือ ไว้เนื้อเชื่อใจ ถ้าเด็กไม่ได้รับความรัก ความอบอุ่นอย่างเพียงพอ เด็กก็จะพัฒนาบุคลิกภาพของความตระหนี่ตัว ปกปิดไม่ไว้วางใจ ขั้นที่ 2 ขั้นการควบคุมด้วยตนเอง หรือสงสัย (Autonomy Versus Doubt or Shame) อายุ 2-3 ปีเด็กวัยนี้เริ่มเรียนรู้ที่จะช่วยตนเอง สามารถควบคุมตนเอง และ สิ่งแวดล้อม รอบตัวได้เด็กสามารถท างานง่าย ๆ เหมาะสมกับวัยเด็ก ซึ่งในวัยนี้หากพ่อแม่บังคับ เข้มงวดเกินไปจะท าให้ เด็กเกิดความสงสัยในความสามารถของตนเอง เกิดความละอายในสิ่งที่ตน กระท า ซึ่งท าให้เด็กรู้สึกว่าตน ท าอะไรไม่ถูก เกิดความย่อท้อ ชอบพึ่งคนอื่น ขั้นที่ 3 การริเริ่มหรือรู้สึกผิด (Initiative Versus Guil) อายุ 3 - 6 ปี ขั้นพัฒนา ความคิดริเริ่ม หรือความรู้สึกผิด (Sense of Vs of Guilt) เด็กจะมีความกระตือรือร้นที่จะ เรียกสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเอง เด็กมีการเลี่ยนแบบผู้อยู่ใกล้ชิด หรือสิ่งแวดล้อมที่ตนรับรู้ถ้าเด็กไม่มีอิสระ ในการค้นหา ก็จะส่งผลไปสู่ความคับข้องใจที่ไม่สามารถเรียนรู้ในสิ่งที่ตนอยากรู้ซึ่งส่งผลต่อจิตใจของ เด็ก และ ความรู้สึกผิดติดตัว 3. ทฤษฎีการเรียนรู้ของไวก๊อตสกี้ (Vygotsky) ไวก๊อตสกี้ (Vygotsky) มีความเห็นว่าพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์คือ การ ท างานของกระบวนการเสริมสร้างคุณลักษณะของตนเอง (Internalization) ซึ่งประกอบด้วย กระบวนการ ต่าง ๆ ที่มนุษย์ใช้ในการเสริมสร้างองค์ประกอบของจิตใจทางวัฒนธรรมขั้นสูง จากการ ปรับสภาพกิจกรรม และกระบวนการภายนอกให้เป็นภายใน โดยมีกระบวนการย่อยที่ส าคัญ คือกระบวนการสร้างสื่อกลาง (Mediation) ซึ่งหมายถึง การที่จิตใจสร้างสื่อกลางขึ้นมาแทนสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองรับรู้ด้วยเครื่องมือของจิตใจ เช่น ภาษาที่ตนเองมีอยู่ในขณะที่รับรู้นั้น สื่อกลางที่สร้างขึ้นใหม่ ดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างองค์ประกอบ ของจิตใจทางวัฒนธรรมขั้นสูง และก ากับความคิดความรู้และ พฤติกรรมของตนเองเหมือนเครื่องมือ ทางวัตถุที่ท าหน้าที่เป็นสื่อกลางในการท างานทางกายของ มนุษย์ทฤษฎีของไวก๊อตสกี้อธิบายพัฒนาการ ทางสติปัญญาโดยมุ่งเน้นที่จิตส านึกของมนุษย์ว่า พัฒนาการทางสติปัญญาเป็นคุณลักษณะที่มนุษย์ สร้างสรรค์ขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อม ภายนอกโดยมีสิ่งแวดล้อมทางสังคม และวัฒนธรรม เป็นส่วนส าคัญกับองค์ประกอบภายใน ทั้งทาง ชีวภาพ และจิตใจโดยมีเครื่องมือของจิตใจเป็นส่วนส าคัญ (ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุ่ม, 2542: 26)
33 สรุปได้ว่า ทฤษฎีที่เกี่ยวกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป นั้นมีพื้นฐาน มาจากทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piajet) ที่กล่าวว่าเด็กเรียนรู้ผ่านการลงมือกระท า และต่อมาก็ได้มีการพัฒนาร่วมกับแนวคิดทฤษฎีพัฒนาการทางบุคลิกภาพของอีริคสัน (Erikson) ที่เน้นการให้อิสระ เด็กในการลงมือกระท าสิ่งต่าง ๆ และทฤษฎีการเรียนรู้ของไวก๊อตสกี้ (Vygotsky) ที่อธิบายว่า พัฒนาการ ทางสติปัญญาเป็นคุณลักษณะที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งแวดล้อมภายนอกโดยมี สิ่งแวดล้อมทางสังคม และมีกระบวนการสื่อกลาง เช่น การใช้ภาษา ที่จะช่วยพัฒนาความคิด และ พฤติกรรมของมนุษย์ 4. หลักการของจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป การท ากิจกรรมการเรียนรู้ของเด็กโดยใช้ขั้นตอนการวางแผน (Plan) การปฏิบัติตาม แผน (D0) การทบทวนการปฏิบัติ (Review) โดยผ่านการกระท าเด็กจะเชื่อมโยงประสบการณ์ที่เด็ก ได้รับเป็นรูปธรรมด้วยการคิด สังเกตและไตร่ตรองอย่างเป็นระบบ จ าแนกหลักการจัดการเรียนการ สอน แบบไฮสโคปที่ส าคัญ (คะนึง สายแก้ว, 2556: 229) ดังนี้ 1. เด็กเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการวางแผน ลงมือปฏิบัติ และทบทวนผลงานของตนเอง โดยมีครูเป็นผู้สังเกตให้ค าปรึกษาและแนะน า 2. การใช้เวลาด าเนินกิจกรรมอาจมีช่วงยาวกว่ากิจกรรม เช่น นานกว่า 60 นาที หรือต้องมีช่วงต่อระหว่างกิจกรรมประจ าวันก็ได้ เช่น เด็กอาจพักรับประทานอาหารว่างก่อนแล้ว กลับมาต่องานเดิม 3. ศูนย์หรือมุมการเรียนรู้ต้องมีอุปกรณ์พร้อมใช้มีความหลากหลายมีเครื่องหมาย แสดงมีการจัดวางชัดเจนง่ายส าหรับเด็กในการตัดสินใจเลือกใช้และจัดเก็บเมื่อสิ้นสุดกิจกรรม 4. ครูและผู้ปกครองมีหน้าที่สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กด้วยการสนับสนุน อุปกรณ์การให้ค าแนะน าปรึกษาและให้ความสนใจในความสามารถของเด็กและผลงานเด็ก 5. เด็กได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มขนาดเล็ก ครู 1 คนต่อเด็ก 5-6 คน หรือกลุ่มใหญ่ ครู1 คนต่อเด็ก 25 คน สอดคล้องกับ โฮแมน และไวคาร์ท (Hohmann and Weikart, 1995 อ้างถึงใน พัชรี ผลโยธิน, 2550: 4) ที่กล่าวว่า โปรแกรมไฮสโคปเน้นการเรียนรู้แบบลงมือกระท าผ่านมุมเล่น ที่หลากหลายด้วยสื่อและกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กและการแก้ปัญหาอย่าง กระตือรือร้น หลักการของไฮสโคปสามารถสรุปเป็นแผนภูมิภาพ “วงล้อแห่งการเรียนรู้” (High / Scope Wheel of Learning) ดังแสดงในภาพ ที่ 2
34 ภาพที่ 2 วงล้อแห่งการเรียนรู้ (High / Scope Wheel of Learning) (Hohmann and Weikart, 1995 อ้างถึงใน พัชรี ผลโยธิน, 2550: 4) โดยการเรียนรู้แบบลงมือกระท าจะเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโปรแกรม ที่พัฒนาเด็กอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการ การเรียนรู้แบบลงมือกระท า หมายถึงการเรียนรู้ซึ่งเด็ก ได้จัดกระท ากับวัตถุ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคล ความคิด และเหตุการณ์จนกระทั่งสามารถ สร้างองค์ ความรู้ ด้วยตนเอง องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบลงมือกระท า (Hohmann and Weikart, 1995 อ้างถึงใน พัชรี ผลโยธิน, 2550: 4-6) ได้แก่ 1. สื่อ (Materials) ในห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือ กระท าจะมีเครื่องมือ และวัสดุ อุปกรณ์ที่หลากหลายเพียงพอและ เหมาะสมกับระดับอายุของเด็ก เด็กต้องมีโอกาส และมีเวลาเพียงพอ ที่จะเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างอิสระเมื่อเด็กใช้เครื่องมือ หรือวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ เด็กจะมีโอกาสเชื่อมโยง การกระท าต่าง ๆ การเรียน รู้ในเรื่องของความสัมพันธ์ และมีโอกาสในการ แก้ปัญหามากขึ้นด้วย 2. การสัมผัส (Manipulation) การเรียนรู้ด้วยการลงมือ กระท าเป็นเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้งกายและใจ การให้เด็กได้ส ารวจและจัดกระท ากับวัตถุโดยตรงท าให้เด็ก รู้จักวัตถุหลังจากที่เด็กคุ้นเคยกับวัตถุแล้วเด็กจะน าวัตถุต่าง ๆ มาเกี่ยวข้องกันและเรียนรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ผู้ใหญ่มีหน้าที่จัดให้เด็กค้นพบความสัมพันธ์เหล่านี้ด้วยตนเอง 3. การเลือก (Choice) เด็กจะเป็นผู้ริเริ่มกิจกรรมจากความสนใจและความตั้งใจ ของตนเองเด็กเป็นผู้เลือกวัสดุอุปกรณ์และตัดสินใจว่าจะใช้วัสดุอุปกรณ์นั้นอย่างไร การที่เด็กมีโอกาส เลือกและตัดสินใจท าให้เด็กเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่าได้รับการถ่ายทอดความรู้จากผู้ใหญ่ ดังนั้น ผู้ใหญ่ที่ตระหนักถึงความส าคัญเรื่องการเลือกและการตัดสินใจต้องจัดให้เด็กมีอิสระที่จะเลือก ได้ตลอดทั้งวัน ขณะที่ปฏิบัติกิจวัตรประจ าวัน ไม่ใช่เฉพาะในช่วงเวลาเล่นเสรีเท่านั้น 4. ภาษาและการคิด (Child language & thought) เด็กได้อธิบายว่าตนก าลังท า อะไรและเข้าใจอย่างไรมีโอกาสพูด สรุปได้ว่า หลักของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป หมายถึง การเรียนรู้ แบบลงมือกระท าผ่านมุมเล่นที่หลากหลายด้วยสื่อ และกิจกรรมที่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก
35 และการแก้ปัญหาอย่างกระตือรือร้น โดยจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่และเด็กการจัดสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้กิจวัตรประจ าวันและการประเมิน 5. ประสบการณ์ส าคัญของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป ในห้องเรียนที่เด็กเรียนรู้แบบลงมือกระท าเด็กจะเผชิญกับประสบการณ์ส าคัญซ้ าแล้ว ซ้ าอีก ในชีวิตประจ าวันอย่างเป็นธรรมชาติ ประสบการณ์ส าคัญเป็นกุญแจที่จ าเป็นในการสร้าง องค์ความรู้ของเด็กเป็นเสมือนกรอบความคิดที่จะท าความเข้าใจ การเรียนรู้แบบลงมือกระท า เราสามารถให้ค าจ ากัดความได้ว่า ประสบการณ์ส าคัญเป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่เด็กจะต้องหามาให้ได้ โดย การปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ คน แนวคิดและเหตุการณ์ส าคัญต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ประสบการณ์ ส าคัญเป็นกรอบความคิดให้กับผู้ใหญ่ในการเข้าใจการเรียนรู้ของเด็ก สามารถวางแผนการจัด ประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมและประเมินพัฒนาการของเด็กอย่างเหมาะสม โดยประสบการณ์ส าคัญใน โปรแกรมไฮสโคป ซึ่งปรับมาใช้ ค าว่า “ตัวบ่งชี้พัฒนาการ” แบ่งเป็น 5 ประเภท ประกอบด้วย 58 ตัว บ่งชี้ (พัชรี ผลโยธิน, 2550: 6-11) รายละเอียด ดังนี้ 1. การเข้าถึงการเรียนรู้ของเด็ก - การท าและการแสดงออกด้วยการเลือกวางแผนและตัดสินใจ - การแก้ปัญหาที่เผชิญขณะเล่น 2. ภาษาการรู้หนังสือและการสื่อสาร - การพูดกับบุคคลอื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ที่มีความหมายของตน - การอธิบายสิ่งของ เหตุการณ์และความสัมพันธ์ - การสนุกกับภาษา การฟังเรื่องราวและบทกลอนและค าคล้องจอง - การเขียนหลากหลายวิธี : การวาดเขียน การขีดเขี่ย การเขียนเหมือน ตัวอักษร การคิดสะกดค า การเขียน อย่างถูกต้อง - การอ่านหลากหลายวิธี : การอ่านหนังสือเรื่องราวต่าง ๆ การอ่าน เครื่องหมายสัญญาณ สัญลักษณ์ การอ่านสิ่งที่ตนเขียน - การเขียนเรื่องราวต่าง ๆ 3. พัฒนาการด้านสังคม อารมณ์ - การดูแลความต้องการของตน - การแสดงความรู้สึกด้วยค าพูด - การสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับเด็กอื่นกับผู้ใหญ่ - การสร้างสรรค์และประสบการณ์การเล่นร่วมกับผู้อื่น - การแก้ข้อขัดแย้งทางสังคม 4. พัฒนาการด้านร่างกาย สุขภาพและความสมบูรณ์ - การเคลื่อนไหวอยู่กับที่ด้วยวิธีต่าง ๆ (ก้ม บิด โยก แกว่งแขน) - การเคลื่อนไหวแบบเคลื่อนที่ (วิ่ง กระโดด) - การเคลื่อนไหวพร้อมวัสดุอุปกรณ์ (ก้าวกระโดด มาร์ชปีนป่าย) - การเคลื่อนไหวเชิงสร้างสรรค์ - การอธิบายด้วยการเคลื่อนไหว
36 - การแสดงโดยการเคลื่อนไหวในทิศทางต่าง ๆ - ความรู้สึกและการแสดงออกตามจังหวะ – การเคลื่อนไหวตามล าดับจังหวะที่ได้ยิน 5. ศิลปะและวิทยาศาสตร์ 5.1 คณิตศาสตร์ 5.1.1 การเรียงล าดับ - การเปรียบเทียบคุณสมบัติ (ยาวกว่า/สั้นกว่า/ใหญ่กว่า/เล็กกว่า) - การจัดสิ่งต่าง ๆ ตามล าดับ/ตามแบบรูปและอธิบายความสัมพันธ์ (ใหญ่/ใหญ่กว่า/ใหญ่ที่สุด/แดง/น้ าเงิน) - การจัดและเรียงกลุ่มของสิ่งของผ่านการลองผิดลองถูก (เช่น ถ้วย ขนาดเล็ก-ที่วางจานขนาดเล็ก/ถ้วยขนาดกลาง-ที่วางจานขนาดกลาง/ถ้วยขนาดใหญ่-ที่วางจาน ขนาดใหญ่) 5.1.2 จ านวน - การเปรียบเทียบจ านวนของสิ่งต่าง ๆ เช่น "มากกว่า" , "น้อยกว่า" , "เท่ากัน" - การจับคู่หนึ่งต่อหนึ่ง - การนับสิ่งของ 5.1.3 พื้นที่ - การบรรจุและการเทออก - การต่อเข้าด้วยกันและการแยกออก - การเปลี่ยนรูปทรง และการจัดสิ่งต่าง ๆ (พับ บิด ท าให้ตรง ตั้งเป็น แถว ปิดกั้น) - การสังเกตคน สถานที่และสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองที่แตกต่างกัน - การมีประสบการณ์และอธิบายต าแหน่งทิศทาง และระยะในพื้นที่ เล่น อาคารบ้านเรือนและชุมชน - การสื่อความหมายด้านมิติสัมพันธ์ด้วยภาพวาดและภาพถ่าย 5.2 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5.2.1 การจ าแนก - การจ าวัตถุสิ่งต่าง ๆ ด้วยการมอง การฟัง การสัมผัส การชิม - การอธิบายความเหมือน ความต่าง และคุณสมบัติ ของสิ่งต่าง ๆ - การแบ่งแยกและอธิบายรูปทรง - การจัดพวกและจับคู่ - การใช้และอธิบายสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย - การรู้จักคุณสมบัติของสิ่งต่าง ๆ มากกว่า1คุณสมบัติในแต่ละครั้ง - การแบ่งแยกระหว่างบางส่วนกับทั้งหมด
37 – การอธิบายคุณลักษณะสิ่งที่ไม่มีอยู่ให้เห็นหรือจัดได้ว่าสิ่งนั้นไม่ได้ อยู่ในพวกใด 5.2.2 เวลา - การเริ่มต้นและหยุดการกระท าด้วยสัญญาณ - การมีประสบการณ์และอธิบายอัตราการเคลื่อนไหว - การมีประสบการณ์และเปรียบเทียบช่วงเวลา - การคาดการณ์ การจ า และการอธิบายล าดับเหตุการณ์ 5.3 สังคมศึกษา - การมีส่วนร่วมกับกลุ่มในกิจวัตรประจ าวัน - การมีความรู้สึกร่วม / สนใจและความต้องการของผู้อื่น 5.4 ศิลปะ 5.4.1 ทัศนศิลป์ - การเชื่อมโยงโมเดลภาพและภาพถ่ายกับสถานที่จริงและสิ่งต่าง - การสร้างโมเดลจากดิน บล็อก และวัสดุอื่น ๆ - การวาดและการระบายสี 5.4.2 การแสดงบทบาทสมมติ - การเลียนแบบการกระท าและเสียง - การเล่นบทบาทสมมติและเล่นเลียนแบบ 5.4.3 ดนตรี - การเคลื่อนไหวตามดนตรี - การส ารวจและระบุเสียงที่ได้ยิน - การส ารวจเสียงเพลง - การสร้างท านอง - การร้องเพลง สรุปได้ว่า ประสบการณ์ส าคัญของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป แบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1) การเข้าถึงการเรียนรู้ของเด็ก 2) ภาษา การรู้หนังสือ และการสื่อสาร 3) พัฒนาการด้านสังคม อารมณ์ 4) พัฒนาการด้านร่างกาย สุขภาพและความสมบูรณ์ 5) ศิลปะและวิทยาศาสตร์
38 6. การจัดกิจวัตรประจ าวันแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป การวางแผนกิจวัตรประจ าวันของไฮสโคปมีความสม่ าเสมอเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ แบบลงมือกระท าซึ่งท าให้เด็กสามารถคาดได้ว่าช่วงเวลาต่อไปเป็นกิจกรรมใด และท าให้เด็กสามารถ จัดการควบคุมได้ว่าต้องท าอะไรในกิจกรรมแต่ละช่วงด้วยตนเองกิจวัตรประจ าวันส าหรับเด็กของไฮสโคปรวมถึง กระบวนการวางแผน ปฏิบัติทบทวน (Plan-do-review process) กิจกรรมกลุ่มย่อย กิจกรรมกลุ่ม ใหญ่กิจกรรมกลางแจ้ง ตลอดการด าเนินกิจวัตรประจ าวัน ค านึงถึงช่วงต่อระหว่างกิจกรรม และเน้น โอกาสเรียนรู้แบบลงมือกระท า เด็ก และครูได้สร้างความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ดังตัวอย่าง การจัดกิจวัตรประจ าวันของไฮสโคป (พัชรี ผลโยธิน, 2550: 21) ดังภาพ ที่ 3 ภาพที่ 3 ตัวอย่างการจัดกิจวัตรประจ าวันของไฮสโคป (พัชรี ผลโยธิน,2550: 22) จากตารางข้างต้น พบว่าการจัดกิจวัตรประจ าวันแบบไฮสโคปนั้นมีทั้งรูปแบบเต็มวัน และครึ่งวัน ซึ่งจะประกอบไปด้วยกิจกรรมย่อยลงไป โดยการเรียนการสอนแบบไฮสโคปสามารถน าไป ใช้ ในกิจกรรมต่าง ๆ ได้ทุกกิจกรรม เพราะกระบวนการ และวิธีการสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กเปิด กว้าง มีการคิดการปฏิบัติเป็นล าดับตามวงจรของการวางแผน การปฏิบัติและการทบทวน(Plan-DoReview Cycle) เมื่อท ากิจกรรมเสร็จแล้ว เด็กสามารถที่จะคิดกิจกรรมอื่นต่อเนื่องหรือขยายกิจกรรม เดิม ให้กว้างขวางได้ตามความสนใจจุดส าคัญอยู่ที่ประสบการณ์การเรียนรู้(Key Experience) ที่เด็ก ควรได้รับระหว่างกิจกรรม ซึ่งครูต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กและกระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากกิจกรรม ให้มากที่สุด (คะนึง สายแก้ว, 2556: 232-233) จะเห็นได้ว่าการจัดกิจวัตรประจ าวันแบบไฮสโคปมี ความเกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยงกันกับรูปแบบการจัดกิจกรรมประจ าวันของเด็กปฐมวัยที่ระบุไว้ในคู่มือ
39 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 ว่า การจัดตารางกิจกรรมประจ าวันผู้สอนสามารถปรับ ใช้ได้ตามความเหมาะสม ของบริบทแต่ละสถานศึกษาและแนวคิดการจัดการศึกษาปฐมวัยของ นวัตกรรมที่น ามาใช้ในการจัดประสบการณ์กิจกรรมที่จัดให้เด็กในแต่ละวันอาจใช้ชื่อเรียกกิจกรรม แตกต่างกันไปในแต่ละหน่วยงาน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2561: 65) ดังภาพที่ 4 ภาพที่ 4 ตัวอย่างการจัดกิจกรรมประจ าวัน (กระทรวงศึกษาธิการ,2561 : 62) ตามตัวอย่างตารางกิจกรรมประจ าวันข้างต้น จะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมประจ าวัน นั้นแบ่งกิจกรรมประจ าวันออกเป็นหลายช่วง โดยตามคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ได้จ าแนกกิจกรรมหลักในการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยออกเป็น 6 กิจกรรมหลัก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2561: 67-80) ได้แก่ กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ กิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์ กิจกรรมเล่นตามมุม กิจกรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม กิจกรรมการเล่น กลางแจ้งและกิจกรรมเกมการศึกษา โดยแต่ละกิจกรรมนั้นมีจุดมุ่งหมายและลักษณะกิจกรรมแตกต่าง สรุปได้ ว่าการจัดกิจวัตรประจ าวันแบบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป ประกอบด้วย กระบวนการ วางแผน ปฏิบัติทบทวน (Plan-do-review process) กิจกรรมกลุ่มย่อย กิจกรรมกลุ่มใหญ่กิจกรรม กลางแจ้ง ตลอดการด าเนินกิจวัตรประจ าวัน ซึ่งมีลักษณะสอดคล้อง กับการจัดกิจกรรมประจ าวันของ ของเด็กปฐมวัยดังระบุไว้ในคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ที่ได้แบ่งช่วงกิจกรรมเป็นหลายช่วง และแต่ละช่วงมีลักษณะกิจกรรมที่มี ความเชื่อมโยงกันได้ระหว่างการจัดกิจวัตรประจ าวันแบบไฮสโคปและการจัดกิจกรรมประจ าวัน
40 ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยจึงได้บูรณาการการจัด กิจกรรมแบบไฮสโคปในกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ และเล่นตามมุมส าหรับเด็กปฐมวัยเนื่องจากเป็น กิจกรรมที่เด็กสามารถเรียนรู้ผ่านการลงมือกระท าได้อย่างเต็มที่ และมีความสะดวก และเกี่ยวเนื่องกัน ในการจัดกิจกรรมให้เกิดประสบการณ์ส าคัญในโปรแกรมไฮสโคปตามที่ได้กล่าวไป ข้างต้น 7. การวางแผน ปฏิบัติและทบทวนในกิจวัตรประจ าวันของการจัดประสบการณ์การ เรียนรู้แบบไฮสโคป นักการศึกษาปฐมวัยหลายท่านได้อธิบายถึงการวางแผน ปฏิบัติ และทบทวนในการ จัดกิจกรรมแบบไฮสโคปไว้ ดังนี้ วรนาท รักสกุลไทย และคณะ (2546: 13) อธิบายถึง ลักษณะของการวางแผน ปฏิบัติ และทบทวนไว้ ดังนี้ 1. การวางแผน (Plan) หมายถึง การที่เด็กบอกหรือแสดงให้ผู้ใหญ่รู้ว่าเขาจะ ท าอะไรเมื่อไรอย่างไรแล้วแสดงการท ากิจกรรมด้วยสัญลักษณ์ประจ าตัวเด็กซึ่งเป็นกระบวนการที่เด็ก มีโอกาสเลือกและตัดสินใจ 2. การปฏิบัติ (Do) หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กปฏิบัติ ดังนี้ 2.1 การเล่นหรือการปฏิบัติตรงตามที่เด็กตั้งใจ 2.2 ฝึกการคิดการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ 2.3 มีส่วนร่วมในการท างานกลุ่ม 2.4 ได้เคลื่อนไหวและพัฒนาการพูด 2.5 ฝึกคิดจินตนาการ 3. การทบทวน (Review) หมายถึง พฤติกรรมที่เด็กแสดงออก ดังนี้ 3.1 การสะท้อนสิ่งที่เด็กได้กระท า 3.2 เป็นการเชื่อมโยงระหว่างการวางแผนการปฏิบัติและผลงานที่เด็กท า 3.3 การเล่าประสบการณ์ในการท างานปฏิสัมพันธ์ พัชรี ผลโยธิน (2550: 24-28) ที่ได้กล่าวถึง การวางแผน (Plan) การท างาน (Do/Work time) และการทบทวน (Recall time) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนในการ จัดกิจกรรม แบบไฮสโคปไว้ ดังนี้ 1. วางแผน (Plan) การวางแผน คือ กระบวนการคิดของเด็กเกี่ยวกับ เป้าหมาย ที่จะก าหนดการกระท าที่คาดหวัง การวางแผนของเด็กขึ้นอยู่กับอายุความสามารถ ทางการสื่อสาร และการใช้ภาษา เด็กอาจวางแผนโดยการกระท าท่าทางหรือค าพูด การวางแผนมี ความส าคัญเนื่องจากเป็นการสนับสนุนความคิด การเลือกและการตัดสินใจของเด็กที่ชัดเจนส่งเสริม ความรู้สึกเชื่อมั่นในตนเองของเด็กและความรู้สึกในการควบคุมตนเองท าให้เด็กมีความสนใจการเล่นที่ ได้วางแผนไว้ส่งเสริม พัฒนาการการเล่นที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นในช่วงการวางแผนเด็กจะได้ พัฒนาความสามารถในการสื่อถึงความตั้งใจการวางแผนของเด็กอาจมีทั้งแผนงานที่ไม่ชัดเจน คือเด็ก สามารถบอกได้เพียงว่าจะเลือกมุมใด แต่ยังไม่มีภาพในใจว่าต้องการท าอะไรแผนงานที่เป็นกิจวัตร คือ เด็กบอกได้ว่าจะเลือกเล่นมุมใดและมีภาพในใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสบการณ์หรือควรใช้วัสดุอุปกรณ์