41 ในแต่ละมุมอย่างไรแผนงาน ที่มีความละเอียดชัดเจนคือเด็กสามารถวางแผนงานที่มีความซับซ้อนซึ่ง จะกล่าวถึงกิจกรรมกระบวนการ หรือวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นเป้าหมาย หรือผลผลิต เด็กจะได้วางแผนที่ หลากหลายตลอดเวลาได้สร้างแผนงานจริง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นในขณะท างานครูสามารถสนับสนุนการการ แผนของเด็กได้โดยการสังเกตลักษณะแผนงานของเด็กแต่ละคน วางแผนกับเด็กอย่างใกล้ชิดจัดเตรียม วัสดุอุปกรณ์และประสบการณ์สนใจในการวางแผน สนทนากับเด็กเป็นรายบุคคลเกี่ยวกับแผนงาน ของเด็ก ทั้งนี้วิธีที่เด็กใช้วางแผนอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาปฏิบัติ 2. การท างาน (Do/Work time) การท างานเป็นช่วงเวลาที่เด็กได้ลงมือกระท า เล่นและแก้ปัญหาอย่างมีจุดมุ่งหมาย ตั้งอกตั้งใจ และได้เรียนรู้ตามประสบการณ์ส าคัญ ช่วงเวลา การท างานเป็นช่วงที่เด็กได้ปฏิบัติตามสิ่งที่ตั้งใจไว้ค้นพบความคิดใหม่ ๆ เป็นช่วงที่เด็กต้องเลือก และตัดสินใจ เล่น ซึ่งท าให้เด็กเป็นผู้ท างานอย่างจริงจัง เด็กได้เล่นอย่างมีจุดมุ่งหมาย การเล่นเป็นการ พัฒนาและเป็นการเรียนรู้ของเด็ก การเล่นของเด็กคือความต้องการที่จะส ารวจ ทดลอง ประดิษฐ์ สร้างสรรค์และกิจกรรม จึงมีลักษณะทั้งการท างานที่จริงจังและการเล่นที่มีความสนุกสนานและ สร้างสรรค์อย่างเป็นธรรมชาติ ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เด็กได้มีส่วนร่วมในสังคมจากการวางแผนเล่นเป็น คู่หรือกลุ่มหรือท างานคนเดียว แต่ตระหนักถึงผู้อื่นและได้แก้ปัญหาจากการท างานที่เด็กจะพบว่ามีทั้ง สิ่งที่เป็นไปตามที่เขาคาดหวังและปัญหา เขาจะค้นพบความความจริงเกี่ยวกับลักษณะกายภาพและ สังคมการลงมือกระท าจากสิ่งที่เด็กริเริ่มและประสบการณ์ตรงท าให้เด็กได้สรรค์สร้างความรู้ด้วย ตนเอง ครูสังเกตเรียนรู้และสนับสนุน การเล่นของเด็กในช่วงการท างานครูสามารถค้นพบได้ว่าเด็กแต่ ละคนมีวิธีการคิด และใช้เหตุผลอย่างไร มักจะเล่นกับใครเสมอ ๆ เด็กได้ใช้ความรู้อย่างไรในการ แก้ปัญหา ซึ่งเป็นแนวทางให้ครูมีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก ตลอดวันสิ่งที่เด็กปฏิบัติในช่วงเวลาของการ ท างาน คือการท าตามแผนงานปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและท าให้ แผนงานสมบูรณ์เด็กได้เล่นในบริบท ทางสังคมที่มีความหลากหลายในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการเล่นแบบส ารวจ สร้างสรรค์บทบาทสมมติ และเกมเด็กได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนและครูอย่างเป็นธรรมชาติ ครูสามารถสนับสนุน เด็กในช่วงเวลาของการท างานได้โดยการสังเกตลักษณะการท างานของเด็กแต่ละคน จัดเตรียมบริเวณ การท างานค้นหาสิ่งที่เด็กก าลังท า ได้แก่ สถานภาพของการเล่น บริบททางสังคมและประสบการณ์ ส าคัญ ครูสังเกตเด็กเพื่ออ านวยความสะดวกมีส่วนร่วมในการเล่นกับเด็กสนทนาและส่งเสริมการ แก้ปัญหาของเด็กพิจารณาปฏิสัมพันธ์จากสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วบันทึกการสังเกตเด็ก 3. การทบทวน (Recall time) ช่วงของการทบทวนเป็นช่วงที่เด็กได้น าเสนอ เกี่ยวกับสิ่งที่ท าในช่วงการท างาน ในกระบวนการวางแผนเด็กได้ตั้งเป้าหมาย และคาดเดาการกระท า ล่วงหน้า ในกระบวนการทบทวนเด็กได้ท าความเข้าใจโดยการใช้ภาษา การวิเคราะห์เชื่อมโยงสะท้อน ความคิดเกี่ยวกับการกระท า และประสบการณ์ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างความเข้าใจ และตีความสิ่งที่ ได้ปฏิบัติได้ตระหนักถึงความเกี่ยวเนื่องจากการวางแผนการกระท าและผลที่ได้รับ ได้พูดคุยกับผู้อื่น เกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง เป็นโอกาสดีที่เด็กจะได้ฝึกการเล่าเรื่องการบรรยาย เด็กจะได้ฝึก ความสามารถในการแสดงให้ผู้อื่นเห็นและเข้าใจประสบการณ์ของตนได้ตระหนักถึงสิ่งที่เป็นอดีตการ ทบทวนท าให้เด็กสะท้อนกลับไปยังเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้การกระท าซึ่งได้ส ารวจหรือการปรับปรุง แผนงานที่ วางไว้และผลผลิตที่ได้รับในปัจจุบันท าให้เขาได้พิจารณาตั้งแต่อดีตซึ่งเป็นตัวชี้น าปัจจุบัน และอนาคต นับเป็นทักษะที่น าไปใช้ได้ในชีวิต ครูสามารถส่งเสริมเด็กในช่วงของการทบทวนโดย
42 การสังเกตการณ์ ทบทวนของเด็กแต่ละคนทบทวนกับเด็กในบรรยากาศที่สงบอบอุ่น เช่น ทบทวน ในกลุ่มอย่างใกล้ชิด ในการทบทวนครูควรช่วยกระตุ้นการระลึกประสบการณ์ของเด็กจัดหาวัสดุ อุปกรณ์หรือประสบการณ์ ที่ท าให้เด็กสนใจ เช่น การเยี่ยมชมตามมุมที่เด็กสร้างไว้ใช้เกม เช่น เก้าอี้ ดนตรีโดยให้เด็กที่ได้นั่ง ได้ทบทวนก่อน เป็นต้นใช้เพื่อนร่วมงานหรืออุปกรณ์ร่วมด้วย หรืออาจ ใช้สัญลักษณ์ เช่น ละครใบ้แผนภูมิ การวาดรูป เป็นต้น ครูควรสนทนากับเด็กเกี่ยวกับประสบการณ์ การท างานของเด็กโดยไม่เร่งรีบเชิญชวน ให้เด็กพูดคุย เช่น ให้เด็กเสนอความคิดเห็นถามค าถาม ปลายเปิด ฟังเด็กอย่างตั้งใจ ครูสามารถเสนอ ความคิดเห็นเพื่อให้การทบทวนด าเนินต่อไปได้ ใช้ค าถามอย่างรอบคอบ สนับสนุนการบรรยายร่วมกัน และมุมมองที่ขัดแย้งกันครูบันทึกความ เชื่อมโยงระหว่างการทบทวน และการวางแผนของเด็ก ทั้งนี้วิธี ที่เด็กใช้ทบทวนอาจมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเวลาผ่านไป คะนึง สายแก้ว (2556: 231-232) กล่าวว่า การเรียนการสอนแบบไฮสโคปเน้น การเรียนรู้ด้วยการลงมือกระท าของเด็ก นับแต่เลือกเรื่องที่สนใจ แล้ววางแผนลงมือปฏิบัติตามแผน และทบทวน โดยมีขั้นตอนของการสอน ดังนี้ 1. การเตรียมพื้นที่ และสื่ออุปกรณ์มีความหมายกับการเรียนแบบไฮสโคป เนื่องจากเป็นการเรียนเป็นกลุ่มมีกิจกรรม และต้องใช้สื่ออุปกรณ์ในการคิดและด าเนินกิจกรรม การเรียนรู้ และการแก้ปัญหา ครูต้องเตรียมการให้พร้อมโดยเฉพาะสื่อ ต้องมีความหลากหลาย สามารถ ให้ประสบการณ์ส าคัญตามจุดประสงค์ของการเรียนการสอน 2. การด าเนินการ 2.1 ขั้นน า ครูเตรียมเด็กเข้าสู่เวลาการเรียนด้วยกิจกรรมที่เชื่อมโยงสู่ การคิดท ากิจกรรมการเรียนด้วยตัวเอง ครูน าเด็กไปสู่การคิดหาหัวข้อเรื่องที่ต้องการเรียนด้วย การสนทนา อภิปรายเพื่อเสนอเรื่องที่ต้องการเรียนด้วยการให้เด็กช่วยกันคิด เลือกและตัดสินใจ ที่จะท ากิจกรรม การเรียนรู้อย่างใดอย่างหนึ่งตามความสนใจของเด็ก 2.2 ขั้นสอน เป็นขั้นที่ครูน าเด็กเข้าสู่การวางแผน (Plan) การลงมือ ปฏิบัติตามแผน (Do) และการทบทวน (Review) ดังนี้ 2.2.1 ขั้นด าเนินการวางแผนเมื่อเด็กตกลงเรื่องที่จะเรียนแล้วครูให้ เด็กแต่ละกลุ่มร่วมกันคิดว่าท าอย่างไรจึงจะท าสิ่งที่จะพูดได้ หรือท าสิ่งที่เป็นค าตอบได้ตัวอย่าง เช่น เด็กบอกว่าจะใช้กระดาษสีท าพัด เด็กต้องคิดต่อว่าจะท าพัดอย่างไร ในการคิดนี้ครูอาจจะต้องให้เด็ก ไปค้นหาอุปกรณ์ 2.2.2 ขั้นปฏิบัติตามแผน ในกรณีที่เด็กวางแผนโดยยังไม่มีอุปกรณ์ ขั้นปฏิบัติตามแผนของเด็กจะเริ่มจากการค้นหาอุปกรณ์เพื่อใช้ตามแผนส่วนเด็กที่มีอุปกรณ์พร้อมมูล อยู่ แล้วจะเริ่มจากการเริ่มใช้อุปกรณ์นั้นด าเนินการตามแผน ครูสังเกตการณ์ท างานของเด็กแต่ละกลุ่ม บันทึก พฤติกรรมเด็กให้ค าแนะน าช่วยเหลือหรือร่วมแสดงความคิดเห็นกับกลุ่มสนับสนุนให้เด็ก ด าเนินกิจกรรม ตามแผนด้วยตนเอง หรือกลุ่มอย่างอิสระตามเวลาที่ก าหนด สิ่งที่ครูปฏิบัติในระหว่าง การด าเนินกิจกรรม ครูจะเป็นผู้สังเกตและสนับสนุนให้การด าเนินกิจกรรมของเด็กเป็นไป อย่างคล่องตัว ครูต้องเป็นผู้กระตุ้น ในการเลือกสื่อของเด็ก การส ารวจ และการพูดคุยสนทนา แลกเปลี่ยนความคิดภายในกลุ่ม นอกจากนี้ สิ่งที่ครูปฏิบัติ ได้แก่
43 2.2.2.1 ครูจดบันทึกการวางแผนของเด็ก 2.2.2.2 ครูต้องเตือนเด็กเมื่อจะหมดเวลา 2.2.2.3 เมื่อเด็กท างานเสร็จแล้วครูชักชวนให้เด็กท าความสะอาด และเก็บอุปกรณ์เข้าที่ให้เรียบร้อย 2.2.3 ขั้นทบทวน เมื่อเด็กท าผลงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะมี การทบทวนแผนการท างานและผลงาน ครูให้เด็กเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อยก่อนแล้วจึงมาทบทวน แผนงานการปฏิบัติและผลงานที่เกิดว่าการท างานตามแผนมีปัญหาอะไรอย่างไร แก้ไขอย่างไร ใครช่วยอะไรบ้าง แล้วท าไมจึงท าเสร็จ สรุปได้ว่า การวางแผน ปฏิบัติและทบทวนในกิจวัตรประจ าวันของการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้แบบไฮสโคป มี3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ การวางแผน (Plan) คือการก าหนดเป้าหมายของง การกระท าที่คาดหวังให้เกิด การลงมือปฏิบัติตามแผน (Do) คือ การลงมือกระท า เล่น และแก้ปัญหา อย่างมีจุดมุ่งหมาย และการทบทวน (Review) เป็นการน าเสนอเกี่ยวกับสิ่งที่ท าในช่วงการท างาน 8. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป จุฬาลักษณ์ ค ามูล (2559) ได้ศึกษา การเปรียบเทียบความสามารถทางภาษา ความสามารถทางคณิตศาสตร์และความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิด ไฮสโคป กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 จ านวน 23 คน โรงเรียนอนุบาล ปานทิพย์ อ าเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น ผลการวิจัยพบว่า ดัชนีประสิทธิผลการจัดประสบการณ์ การ เรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีความก้าวหน้าทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 40.15 และมี คะแนนความฉลาดทางอารมณ์เพิ่มขึ้น จินดารัตน์ นลินธนาลักษณ์ (2560) ได้ศึกษา ผลของการจัดกิจกรรม ศิลปะ สร้างสรรค์ ด้วยวัสดุธรรมชาติตามแนวคิดไฮสโคป ที่มีต่อความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของ เด็กปฐมวัย โรงเรียนสารสาสน์เอกตรา กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ เด็กปฐมวัยชาย–หญิง อายุระหว่าง 3–4 ปี ก าลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2560 โรงเรียนสารสาสน์เอกตรา เขตยานนาวา จังหวัดกรุงเทพมหานคร ในจ านวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 30 คน ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็ก ปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติตามแนวคิดไฮสโคปสูงกว่าก่อนการได้รับ การจัดกิจกรรมอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 กรรณิการ์ สุริยะมาตร (2560) ได้ศึกษา การพัฒนากิจกรรมเสรีตามแนวคิดของ ไฮสโคปในการพัฒนาพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือเด็กปฐมวัย ที่ ก าลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหาร ส่วน ต าบลดอนกลาง บ้านดอนกลาง ต าบลดอนกลาง อ าเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม จ านวน 1 ห้องเรียนจ านวนนักเรียน 20 คน ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมเสรีดามแนวคิด ของ ไฮสโคปนักเรียนมีคะแนนด้านพฤติกรรมทางสังคมโดยรวมอยู่ในระดับมากและมีพฤติกรรมทาง สังคม เพิ่มขึ้นกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ. 01
44 ยุภาวดีพรมเสถียร (2562) ได้ศึกษา การพัฒนาการจัดประสบการณ์ตามแนวคิด ไฮสโคปร่วมกับการใช้ค าถามเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ ของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือนักเรียนชั้นอนุบาล 2 จ านวน 14 คน โรงเรียนบ้าน หลุบหวายป่าขามคน ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนที่เรียนโดยการจัดประสบการณ์ตามแนวคิด ไฮสโคปร่วมกับการใช้ค าถามมีความสามารถในการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 และ มีความคิดสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ ระดับ .05 ณัฐญา นันทราช (2563) ได้ศึกษา การพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐานของเด็กปฐมวัย โดย การจัดประสบการณ์ การเรียนรู้แบบไฮสโคปด้วยกิจกรรมเกมการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การศึกษาคือ เด็กปฐมวัยที่ก าลังศึกษา อยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนวาริชภูมิพิทยาคาร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 จานวน 18 คน ผลการวิจัยพบว่า ทักษะการคิดพื้นฐานของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการ จัดประสบการณ์การ เรียนรู้แบบไฮสโคปด้วยกิจกรรมเกมการศึกษา ที่พัฒนาขึ้นหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 เจนเซน (Jensen, 2005) ได้ศึกษาพัฒนาการพฤติกรรมทางสังคมโดยการจัด ประสบการณ์ตามแนวคิดไฮสโคป เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานของกรมวิชาการพบว่าผลการ ประเมิน พัฒนาการด้านร่างกายและพัฒนาการพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการพัฒนา ตามแนวคิด High-scope เหมาะสมน าไปใช้กับการพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กต่อไป แจ็คสัน (Jackson, 2010) ได้ศึกษา การเปรียบเทียบผลการจัดประสบการณ์แบบ ไฮสโคป กับประสบการณ์แบบทางเลือกส าหรับการเตรียมความพร้อมของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล โดย ศึกษาจากนักเรียนชั้นอนุบาลจ านวน 63 คน จ าแนกเป็นกลุ่มที่จัดประสบการณ์แบบไอสโคป 29 คน และ กลุ่มที่จัดประสบการณ์ด้วยทางเลือกอื่น 34 คน ซึ่งผลการวิจัยพบว่านักเรียนกลุ่มที่จัด กิจกรรมการเรียน ด้วยแบบไฮสโคปจ านวนร้อยละ 50 ไม่ได้รับการเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนา ทักษะพื้นฐานระดับอนุบาล ให้สูงขึ้น และยังพบว่าไม่มีนัยส าคัญของความแตกต่างระหว่างคะแนน คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ ของนักเรียนกลุ่มที่จัดประสบการณ์แบบไฮสโคปกับแบบทางเลือกอื่น โทมัส (Thomas, 2010) ได้ศึกษา กรณีการใช้กิจกรรมหลักสูตรตามแนวคิด ไฮสโคป กับเด็กในระดับก่อนประถมศึกษาและการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าเรียนชั้นอนุบาลใน โรงเรียนเขตเมือง พีซโกรฟ ซึ่งเป็นความต้องการในการสนับสนุนให้โรงเรียนที่จัตโปรแกรม ประสบการณ์ระดับก่อนเข้าเรียน เพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าและคุณภาพการจัดโปรแกรมดังกล่าว ผลการวิจัย พบว่าเด็กชั้นอนุบาลที่มีประสบการณ์ก่อนวัยเรียนด้วยกิจกรรมโฮสโคป และกลุ่มที่ไม่มี ประสบการณ์ในกิจกรรมไฮสโคปไม่มี นัยส าคัญของความแตกต่างด้านความพร้อมในกิจกรรมการ เรียนระดับอนุบาล โดยที่ความพร้อมของ ผู้เรียนจะเป็นความรู้และการใช้ทักษะเชิงปริมาณที่ต้องการ ตามกรอบหลักสูตร หรือโปรแกรมการศึกษา ระดับปฐมวัย แรนดอล (Randall, 2010) ได้ศึกษาโปรแกรมส าหรับเด็กในวัยก่อนเข้าเรียน หรือ วัยก่อนระดับ ประถมศึกษา สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใช้โปรแกรมตามแนวคิดของไฮสโคปเพอร์รี อีกส่วนหนึ่งเป็นกลุ่ม ที่จัดประสบการณ์ของศูนย์ผู้ปกครอง และเด็กแห่งชิคาโก และกลุ่มที่เข้าร่วม โครงการอะเบเซตาเรียน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาผลกระทบของการจัดโปรแกรมก่อนวัยเรียนกับกลุ่มเด็ก
45 ในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่ ได้น าวิธีการจัดประสบการณ์ดังกล่าวมาใช้ในระยะแรกโดยศึกษา ผลกระทบด้านผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ ของนักเรียนกลุ่มเสี่ยง (At-risk Students) กาเบรียล (Gabriela, 2016) ได้ศึกษา การใช้หลักสูตรไฮสโคปส าหรับเด็กก่อนวัย เรียน จากการวิจัยพบว่าหลักสูตรไฮสโคป ใช้กระบวนการที่ออกแบบมาอย่างรอบคอบ ซึ่งเป็น กระบวนการที่ ก าหนดให้เด็กมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น และไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็ก ๆ เก่งในการเรียนรู้ทาง ปัญญาเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความเป็นอิสระความอยากรู้อยากเห็นการตัดสินใจ ความร่วมมือความเพียร ความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหา ค าถามปลายเปิด ในการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของค าถามปลายเปิด ไว้แตกต่างกัน ดังนี้ 1. ความหมายของค าถามปลายเปิด สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2542: 102) กล่าวว่า ค าถามปลายเปิดเป็นค าถามที่ให้ ค าตอบได้หลายอย่างใช้เพื่อการสร้างข้อมูลเพื่อให้เกิดการตอบสนองเฉพาะตัวและน าไปสู่การภิปราย หรือการถามในขั้นต่อไปมักให้ค าตอบที่ไม่คาดหวังหรือสามารถน าไปสู่การอภิปรายหรือการส ารวจ พิเศษที่นอกเหนือไปโดยมิได้คาดหวัง ปรีชา เนาว์เย็นผล (2544: 27) กล่าวว่า ค าถามปลายเปิดเป็นค าถามที่สร้างขึ้น ให้มีค าตอบเปิดกว้าง มีค าตอบที่ถูกต้องหลายค าตอบหรือมีวิธีการหรือแนวทางหาค าตอบได้หลายวิธี เจนสมุทร แสงพันธ์ (2545: 23) กล่าวว่า ค าถามปลายเปิดเป็นค าถามที่เปิดโอกาส ให้นักเรียนได้แสดงค าตอบและวิธีการอย่างหลากหลายในการแก้ปัญหา เป็นค าถามที่กระตุ้นการคิด และความสนใจให้นักเรียนที่มีความสามารถต่างกันสามารถท าหรือแก้ปัญหาได้ด้วยความรู้ ความสามารถของตนเองและยังเป็นการฝึกพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาด้วย คงรัฐ นวลแบ่ง (2547: 3) กล่าวว่า ค าถามปลายเปิดเป็นค าถามที่มีความ หลากหลายของค าตอบหรือวิธีการได้มาซึ่งค าตอบ รวมถึงเป็นค าถามที่มีค าตอบเดียวแต่มีความ หลากหลายในการให้เหตุผล ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553: 6) กล่าวว่า ค าพูดที่ต้องการ การตอบสนองจากบุคคล เพื่อมุ่งหวังช่วยในการกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนให้เกิดแง่คิดอย่างกว้างขึ้น ไคล์ และคณะ (Kyle et al., 1996 อ้างถึงใน คงรัฐ นวลแบ่ง, 2547: 2) กล่าวว่า ค าถามปลายเปิดเป็นค าถามที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความสามารถในการคิดการให้เหตุผล การสื่อสารและการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ซึ่งแม้จะมีผู้หาค าตอบได้แล้วนักเรียนคนอื่นก็ยังมี โอกาสหาค าตอบอื่น ๆ ได้อีกท าให้นักเรียนตอบค าถามได้ตามระดับความสามารถของตนเอง ซึ่งค าตอบที่ได้จะสะท้อนถึงระดับความเข้าใจของนักเรียนแต่ละคน สรุปได้ว่า ความหมายของค าถามปลายเปิด หมายถึง ค าถามที่เด็กสามารถแสดง ค าตอบ และวิธีการได้อย่างหลากหลาย สามารถกระตุ้นความคิด การสื่อสาร และการแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ของเด็กให้มีแง่คิดกว้างขวางได้เป็นอย่างดี โดยเด็กสามารถตอบค าถามได้ตามความถนัด และความสามารถของตัวเด็กเอง
46 2. ความส าคัญของค าถามปลายเปิด ค าถามปลายเปิดเป็นค าถามที่สามารถตอบได้หลายค าตอบ ตามระดับความสนใจ และความสามารถของเด็ก โดยเด็กจะถูกกระตุ้นให้คิดหาค าตอบตามความถนัดของตนเอง นอกจาก จะท าให้เกิดกระบวนการคิดแก้ปัญหาแล้ว ค าถามปลายเปิดยังมีความส าคัญต่อการพัฒนาเด็ก ดังที่นักวิชาการ ได้กล่าวไว้ ดังนี้ ทิพย์วัลย์ สีจันทร์ (2531: 64) กล่าว่า ความส าคัญของการใช้ค าถามปลายเปิดไว้ ดังต่อไปนี้ 1. ใช้เป็นสื่อส าหรับส ารวจและทบทวนความรู้เต็มและประสบการณ์เดิมของ เด็ก ค าตอบของเด็กจะเป็นสื่อน าไปสู่การเรียนการสอนบทเรียนใหม่และประสบการณ์ใหม่ 2. ใช้กระตุ้นความสนใจของนักเรียน ครูอาจใช้ค าถามปลายเปิดเพื่อเร้า ความสนใจของนักเรียนได้ทุกขั้นตอนในการเรียนการสอน เช่น การใช้ค าถามเพื่อเริ่มต้นบทเรียนถาม ให้นักเรียนสังเกต ให้ยกตัวอย่าง ใช้เป็นสิ่งเชื่อมโยหรือเริ่มต้นการสนทนาระหว่างครูกับนักเรียน เพราะนักเรียนจะตอบค าถามของครูได้หากสนใจเรียนตลอดเวลา 3. ใช้เสริมสร้างความสามารถทางการคิดให้แก่นักเรียน ช่วยให้นักเรียนฝึกคิด หาค าตอบหาเหตุผล และหาความรู้ได้ด้วยตนเอง 4. ค าถามปลายเปิดที่ดีจะช่วยให้มีการอภิปรายต่อเนื่องเป็นการขยาย ความคิด และแนวทางในการเรียนรู้และข้อสรุปหลักเกณฑ์ใหม่ ๆ 5. การใช้ค าถามปลายเปิดช่วยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน เช่น ท าให้นักเรียนมีโอกาสตอบค าถามเสนอความคิดเห็นและตั้งค าถามรวมทั้งได้ร่วมกิจกรรมอื่น ๆ 6. ช่วยให้นักเรียนพยายามค้นคว้าหาความรู้ใหม่เพิ่มเติม เพื่อที่จะน ามาตอบ ค าถามของครู 7. ใช้ช่วยทบทวน หรือสรุปบทเรียนให้เป็นที่เข้าใจตรงกัน 8. ใช้ช่วยประเมินผลการเรียนของนักเรียนและการสอนของครู ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553: 3) กล่าวว่า ความส าคัญของการใช้ค าถามปลายเปิด ว่าการใช้ค าถามปลายเปิดในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญเพื่อให้ผู้เรียนได้คิดมีความส าคัญ มากผู้เรียนต้องมีความคิดที่จะคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่มีมากมายผู้สอนจึงต้องฝึกผู้เรียนให้คิดเก่ง โดยใช้ค าถามปลายเปิดเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กคิด ผู้สอนควรใช้ค าถามปลายเปิดอย่างหลากหลายตั้งแต่ ค าถามง่ายๆ จนถึงค าถามที่ต้องใช้ความคิดที่สูงขึ้น สรุปได้ว่า ความส าคัญของค าถามปลายเปิด คือ ค าถามปลายเปิดใช้กระตุ้นความ สนใจของเด็กครูอาจใช้ค าถามปลายเปิดเพื่อเร้าความสนใจของเด็กได้ทุกขั้นตอนในการเรียนการสอน โดยเฉพาะ การสอนที่ต้องการเสริมสร้างความสามารถทางการคิดให้แก่เด็ก และในการจัดกิจกรรม ค าถามปลายเปิด จะช่วยให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน ช่วยทบทวนความรู้ของผู้เรียน ให้มีความเข้าใจ ตรงกัน และช่วยในการประเมินผู้เรียนและการสอนของครู
47 3. ประเภทของค าถามปลายเปิด โนดะ (Nota, 1983 อ้างถึงใน ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์, 2546: 6-8) กล่าวว่า ชนิด ของ ค าถามปลายเปิดออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 1. กระบวนการเปิด ปัญหาปลายเปิดชนิดนี้จะมีการระบุค าถามเพื่อให้ นักเรียนได้พยายามหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่หลากหลายแนวทาง การหาค าตอบที่หลากหลายนั้น ท าให้นักเรียนด าเนินกิจกรรมไปตามความสามารถและความสนใจโดยอาศัยการอภิปรายกลุ่ม 2. ผลลัพธ์เปิด ปัญหาปลายเปิดชนิดนี้มีค าตอบที่ถูกต้องหลากหลาย 3. แนวทางในการพัฒนาค าถามปลายเปิดหลังจากแก้ปัญหาได้แล้วนักเรียน ยังสามารถพัฒนาไปสู่ค าถามใหม่ด้วยการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหรือองค์ประกอบค าถามเดิมจากแง่มุม นี้ เรียกว่า “ค าถามสู่ค าตอบ” ถือได้ว่าเป็นแนวทางในการพัฒนาปัญหาปลายเปิด เบคเกอร์ และชิมาดะ (Becker & Shimada, 1997 อ้างถึงใน คงรัฐ นวลแบ่ง, 2547: 13-14) ได้แบ่งค าถามปลายเปิดออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. ค าถามที่เกี่ยวกับการหาความสัมพันธ์ (Finding Relations) ค าถาม ประเภทนี้ จะมีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนค้นหากฎเกณฑ์หรือความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ 2. ค าถามที่เกี่ยวกับการแยกประเภท (Classifying) เป็นค าถามเพื่อให้ นักเรียน แยกประเภทหมวดหมู่ที่มีลักษณะแตกต่างกันโดยใช้เกณฑ์ของนักเรียนเองซึ่งจะน าไปสู่การ สร้าง ความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ 3. ค าถามที่เกี่ยวกับการประเมินหรือการประมาณของสิ่งต่าง ๆ หรือ สถานการณ์ (Measuring) ค าถามในลักษณะนี้มีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนประเมินสถานการณ์ที่เป็น ปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวกับการคิดการตัดสินใจโดยใช้คณิตศาสตร์ นักเรียนจะได้รับการคาดหวังว่าจะ ประยุกต์ใช้ความรู้ ทางคณิตศาสตร์และทักษะพื้นฐานที่จะน ามาแก้ปัญหา โฟง ปุย ยี (Foong Pui Yee, 2002: 15-31) ลักษณะของค าถามปลายเปิด ดังนี้ 1. ค าถามที่มีข้อมูลบางส่วนขาดหายไป 2. การน าเสนอค าถามใหม่หลังจากแก้ปัญหาต้นแบบได้แล้ว 3. ค าถามที่ให้นักเรียนอธิบายความคิดรวบยอดกฎเกณฑ์ความผิดพลาดใน การหา ค าตอบต่าง ๆ 4. ค าถามที่ก าหนดให้นักเรียนค้นพบ จากการแบ่งประเภทของค าถาม ปลายเปิดข้างต้น สรุปได้ว่า ประเภทของค าถามปลายเปิด แบ่งออกเป็นค าถามที่เกี่ยวกับการหา ความสัมพันธ์ ค าถามที่เกี่ยวกับการแยกประเภท และค าถามที่ เกี่ยวกับการประเมิน การประมาณ ของสิ่งต่าง ๆ หรือสถานการณ์ ซึ่งค าถามประเภทนี้จะช่วยกระตุ้น
48 4. ระดับการตั้งค าถามปลายเปิด ส านักงานคณะกรรมการการประประถมศึกษาแห่งชาติ (2534: 74-78) กล่าวว่า แนวคิดเกี่ยวกับการใช้ค าถามปลายเปิดส าหรับเด็กปฐมวัยว่า เป็นเครื่องมือที่ส าคัญในการจัดกิจกรรม เตรียม ความพร้อมที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง เพราะค าถามเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กเกิดการคิดและท าให้เด็ก สนใจต่อสื่อ และสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวซึ่งค าถามสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ ค าถามระดับต่ า และค าถามระดับสูง ดังนี้ 1. ค าถามระดับต่ าเป็นค าถามที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงซึ่งได้จากความจ าและการ สังเกต ค าถามประเภทนี้มักมีค าตอบเดียวแบ่งได้เป็น 6 ด้าน ดังนี้ 1.1 ค าถามให้สังเกตเป็นค าถามที่ต้องใช้ประสาทสัมผัส คือตา หูจมูก ลิ้น และผิวกายรวบรวมข้อมูลในการตอบค าถามที่ไม่เพิ่มความรู้เดิมและความคิดเห็นส่วนตัวลงไป เช่น 1.1.1 เด็ก ๆ เห็นอะไรในภาพนี้บ้าง (ตา) 1.1.2 มะละกอที่เด็ก ๆ ชิมมีรสเป็นอย่างไร (ลิ้น) 1.1.3 เด็ก ๆ ลองเอามือเคาะโต๊ะแล้วฟังเสียงซิว่ามีเสียงอะไร (หู) 1.1.4 ดอกไม้ที่เด็ก ๆ ถืออยู่มีกลิ่นหรือไม่ (จมูก) 1.1.5 ลองจับดูซิผิวของน้อยหน่าเป็นอย่างไร (ผิวกาย) 1.2 ค าถามให้ทบทวนความจ าเป็นค าถามที่ผู้ตอบสามารถน าความรู้หรือ ประสบการณ์เดิมมาตอบค าถาม เช่น 1.2.1 เด็ก ๆ ทราบไหมว่านกกินอะไรเป็นอาหาร 1.2.2 ลองนึกดูซิไก่ที่เด็ก ๆ เคยเห็นมีลักษณะอย่างไร 1.2.3 รุ้งกินน้ ามีกี่สี 1.2.4 สัตว์ปีกออกลูกเป็นอะไรก่อน 1.3 ค าถามให้บอกความหมายหรือค าจ ากัดความเป็นค าถามที่ใช้ ตรวจสอบ ประสบการณ์เติมเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจในเรื่องค าศัพท์และความหมายของค าก่อน การจัดประสบการณ์ใหม่แก่ผู้เรียน เช่น 1.3.1 รังนกหมายถึงอะไร 1.3.2 ข้าวเปลือกหมายถึงข้าวลักษณะอย่างไร 1.4 ค าถามชี้บ่งเป็นค าถามที่ก าหนดข้อมูลไว้หลายอย่างแล้วให้เลือก ข้อมูล อย่างหนึ่งที่เด็กต้องการน ามาเป็นค าตอบ เช่น 1.4.1 ตัวหนอนหญ้าแห้งน้ าหวานจากดอกไม้สิ่งใดคืออาหารของนก 1.4.2 มะม่วงส้มและน้อยหน่าผลไม้ชนิดใดมีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว 1.5 ค าถามถามน าเป็นค าถามที่ใช้ด าเนินเรื่องที่ครูพูดและดึงความสนใจ ของเด็ก ค าถามประเภทนี้มักน าไปสู่ค าตอบใช่ จริง ถูก เช่น 1.5.1 แก้วเป็นเด็กที่เลี้ยงนกไช่ หรือไม่ 1.5.2 ต้นไม้ในภาพมีขนาดใหญ่ใช่ไหม 1.5.3 เด็ก ๆ คิดว่าการยิงนกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่
49 1.6 ค าถามเร้าความสนใจเป็นค าถามที่ไม่ต้องการค าตอบอย่างจริงจังแต่ ใช้เพื่อ ด าเนินกิจกรรมในชั้นเรียนให้เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เช่น 1.6.1 เด็ก ๆ คอยดูสิว่าเพื่อนๆจะท าอย่างไรต่อไป 1.6.2 เด็ก ๆ ลองดูซิว่าในกล่องนี้มีอะไรอยู่ 2. ค าถามทั้ง 6 ชนิดมีความจ าเป็นเพราะครูอาจเลือกใช้ค าถามเพื่อทบทวน ความจ า ใช้เชื่อมโยงความรู้และประสบการณ์เดิมไปสู่ประสบการณ์ใหม่และเพื่อควบคุมกิจกรรมใน ห้องเรียนให้ ด าเนินในทิศทางที่ต้องการ 2.1 ค าถามระดับสูงเป็นค าถามที่ส่งเสริมให้ผู้ตอบใช้ความคิดน าความรู้ และ ประสบการณ์เดิมมาเป็นพื้นฐานสรุปค าตอบส่งเสริมให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์และเกิดทักษะ ในการคิด อย่างมีระบบนอกจากนั้นยังเป็นค าถามที่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบได้แสดงความคิดเห็นตลอดจน กระตุ้นให้ได้ ลองแก้ปัญหาด้วยตนเองค าถามระดับสูงแบ่งเป็น 7 ชนิด ดังนี้ 2.1.1 ค าถามให้อธิบายเป็นค าถามที่ผู้ตอบจะต้องน าความรู้และ ประสบการณ์เดิมมาเป็นพื้นฐานสรุปหาค าตอบ เช่น 2.1.2 ถ้าเด็ก ๆ อยากทราบว่ามดที่เลี้ยงไว้ชอบอาหารประเภทใด มากที่สุด เด็ก ๆ จะท าอย่างไร 2.1.3 ท าไมเด็ก ๆ จึงบอกว่ามดชอบกินน้ าหวานลองเล่าให้เพื่อนฟัง 2.1.4 ท าไมเด็ก ๆ เหล่านี้จึงไม่สวมเสื้อในฤดูหนาว 2.1.5 ท าไมมดแต่ละรังต้องมีนางพญามด 2.2 ค าถามให้เปรียบเทียบเป็นค าถามที่มีจุดมุ่งหมายให้เด็กใช้ความคิด เปรียบเทียบของสองสิ่งว่ามีคุณสมบัติหรือลักษณะคล้ายกันหรือต่างกันอย่างไร คุณสมบัติที่น ามา เปรียบเทียบนั้น ได้แก่ รูปร่าง ลักษณะสี ขนาด น้ าหนัก จ านวน ปริมาตร ความสูง ความยาว ความ หนา รสชาติ กลิ่น เช่น 2.2.1 เสือกับแมวมีอะไรต่างกันบ้าง 2.2.2 เสือกับแมวมีอะไรที่คล้ายกัน 2.3 ค าถามให้จ าแนกประเภทเป็นค าถามเพื่อส่งเสริมให้เด็กรู้จักจัดกลุ่ม จัดหมวดหมู่โดยใช้เกณฑ์ของตนเองหรือของผู้อื่นหรือบอกเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดกลุ่มที่ผู้อื่นท าไว้เกณฑ์ ที่ใช้ ในการจัดกลุ่มนี้อาจได้แก่ สี ขนาด รูปร่าง ประโยชน์ หรือวัสดุที่ใช้ หากเป็นภาพของสิ่งมีชีวิต อาจแบ่ง ตามอาหารที่อยู่อาศัยลักษณะ เช่น สัตว์ 2 เท้าสัตว์ 4 เท้าและประโยชน์เช่น สัตว์เลี้ยงไว้ใช้ งาน เช่น 2.3.1 ครูแบ่งมดออกเป็น 2 พวกอย่างที่เห็นเด็ก ๆ บอกได้ไหมว่า ท าไมครูจึงแบ่งเช่นนี้ 2.3.2 ลองคิดดูซิว่าเราจะแบ่งภาพสัตว์เหล่านี้เป็น 2 กลุ่มได้อย่างไร 2.4 ค าถามให้ยกตัวอย่างเป็นค าถามที่ต้องการให้ผู้ตอบบอกชื่อหรือ ยกตัวอย่าง ของสิ่งที่ก าหนดให้โดยอาศัยทักษะการสังเกตและมีความรู้ความจ าเรื่องต่าง ๆ เป็น พื้นฐานในการหาค าตอบ เช่น 2.4.1 ให้นักเรียนยกตัวอย่างผักที่ใช้เป็นอาหารคนละ 1 ชื่อ
50 2.4.2 ให้บอกชื่อสิ่งของที่บรรจุอยู่ในกระป๋องมาคนละ 1 ชื่อ 2.4.3 บอกชื่อผลไม้ที่มีรสหวานคนละ 1 ชนิด 2.4.4 มีสัตว์ชนิดใดบ้างที่เลี้ยงไว้ใช้งาน 2.5 ค าถามให้วิเคราะห์เป็นค าถามที่ให้คิดค้นหาความจริง หรือแยกแยะ เรื่องราวเพื่อหาสาเหตุและผลต่าง ๆ ของปัญหาที่เกิดขึ้นหรือให้นักเรียนได้คิดค้นหาความจริงต่าง ๆ ที่ ประกอบขึ้นมาเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ เช่น 2.5.1 แมวมีประโยชน์อย่างไร 2.5.2 แมวให้โทษอย่างไร 2.5.3 ถ้าจะเลี้ยงแมวเด็ก ๆ จะต้องเตรียมอะไรบ้าง 2.5.4 ท าไมผ้าจึงแห้งได้ 2.5.5 จงช่วยกันบอกชื่อส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ 2.6 ค าถามให้สังเคราะห์หมายถึงการผสมรวมสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่สองสิ่งขึ้น ไปให้เกิด เป็นของใหม่ขึ้นมา เช่น การปรุงอาหาร การพูด การเขียนให้เป็นข้อความ หรือเรื่องราวที่ เป็นแนวคิดใหม่หรือพัฒนาของเก่าให้ดีขึ้นใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ค าถามให้สังเคราะห์เป็นค าถามที่มี จุดมุ่งหมายให้เด็กใช้ กระบวนการคิดเพื่อสรุปความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลย่อยขึ้นเป็นหลักการ เช่น 2.6.1 อะไรเอ่ยนกมีหูหนูมีปีกบินหลบหลีกอยู่กลางคืน 2.6.2 ถ้าไม่อยากให้ฟันผุเด็ก ๆ คิดว่าควรท าอย่างไร 2.6.3 ถ้ามอง่ามตัวโตเท่าช้างจะเป็นอย่างไร 2.6.4 ถ้าคนบินได้อะไรจะเกิดขึ้น 2.6.5 ถ้าสัตว์ต่าง ๆ ในโลกนี้พูดภาษาคนได้อะไรจะเกิดขึ้น (เป็น ค าถามที่มุ่ง ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์คือคิดในแนวทางที่แปลกและแตกต่างไปจากเดิมเกิดเป็น แนวคิดใหม่) 2.7 ค าถามให้ประเมินค่าเป็นค าถามที่มีจุดมุ่งหมายให้ได้พิจารณาคุณค่า ของ สิ่งของก่อนตัดสินใจอย่างมีเหตุผลรู้จักประเมินค่าของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้กฎเกณฑ์ที่เป็นจริงและ เป็นที่ยอมรับ ของสังคมแล้วมาสนับสนุนความคิดเห็นของตนเองก่อนตัดสินใจ เช่น 2.7.1 อาหารจานนี้เด็ก ๆ ควรรับประทานหรือไม่เพราะเหตุใด 2.7.2 เด็ก ๆ ควรเอาอย่างเด็กในภาพหรือไม่เพราะเหตุใด (ครูให้ดู ภาพเด็ก ก าลังยิงนกครูต้องการให้เด็กประเมินการกระท าของเด็กคนนั้นในภาพพร้อมทั้งบอกเหตุผล) สรุปได้ว่า ระดับการตั้งค าถามปลายเปิด สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ ค าถาม ระดับต่ าและ ค าถามระดับสูง โดยค าถามระดับต่ าจะเป็นค าถามที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงซึ่งได้จาก ความจ าและการสังเกต ส่วนค าถามระดับสูงเป็นค าถามที่ส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ความคิด น าความรู้และ ประสบการณ์เดิมมาเป็น พื้นฐานในการสรุปค าตอบ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีความคิดสร้างสรรค์และ เกิดทักษะในการคิดอย่างมี ระบบ นอกจากนั้นเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นตลอดจนกระตุ้น ให้ได้ลองแก้ปัญหาด้วยตนเอง
51 5. หลักการใช้ค าถามปลายเปิด เทคนิคและหลักการใช้ค าถามปลายเปิดการคิด เป็นกิจกรรมด้านสติปัญญาซึ่งช่วย ในการแก้ปัญหาตัดสินใจ และเข้าใจความหมายของสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต การคิดเป็นกิจกรรม ส่วนบุคคล และของแต่ละคน แต่การคิดที่ดีนั้นไม่ได้เกิดขึ้นตามล าพังเราต้องการเพื่อนหรือกลุ่มมา ช่วยคิด เราไม่สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวเด็กเรียนรู้ที่จะคิดจากสิ่งแวดล้อมรอบตนเอง ค าถาม ปลายเปิด เป็นองค์ประกอบที่ส าคัญในการส่งเสริมกระบวนการคิดและพัฒนาความคิดขั้นสูง หลักการ ในการ ใช้ค าถามปลายเปิดเพื่อส่งเสริมกระบวนการคิดมี ดังนี้ (นภเนตร ธรรมบวร, 2544: 7) 1. ในการถามค าถามเด็กครูควรให้เวลาแก่เด็กในการคิด และแสดงออกซึ่ง ความคิด ของตน ครูไม่ควรเร่งเด็กให้ตอบค าถามมากเกินไปหรือเป็นผู้ตอบค าถามเอง ถ้าครูให้เวลา เด็กในการคิดหาค าตอบโดยใช้เวลาในการรอคอยค าตอบให้ยาวนานขึ้นจ านวนของเด็กที่จะตอบ ค าถามก็จะมีมากขึ้น ความล้มเหลวในการตอบค าถามจะลดน้อยลงการพูดคุยอภิปรายและสรุปองค์ ความรู้ของเด็กจะเพิ่มมากขึ้น 2. ค าถามที่ครูใช้ควรเป็นค าถามปลายเปิดซึ่งส่งเสริมการคิดแก้ปัญหา การเปรียบเทียบ และทางเลือกค าถามที่ส่งเสริมให้เด็กคิดแก้ปัญหานั้นจะต้องมีค าตอบที่ถูกอย่าง หลากหลายไม่ใช่มีเพียงค าตอบเดียว ทั้งนี้เพื่อให้เด็กมีความคิดที่เปิดกว้างสามารถคิดได้หลายทาง 3. ค าถามที่ครูถามควรเป็นค าถามปลายเปิดที่ช่วยให้เด็กเชื่อมโยง ประสบการณ์เดิม ของตนกับการเรียนรู้ในปัจจุบันได้ 4. ครูควรกระตุ้นและส่งเสริมให้เด็กเป็นผู้ตั้งค าถามปลายเปิดด้วยตนเอง ซึ่ง ครู อาจช่วยกระตุ้นให้ถามโดยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้ 4.1 เปิดโอกาสให้เด็กถามค าถามและตั้งใจฟังค าถามของเด็ก 4.2 ถ้าค าถามที่เด็กถามไม่ชัดเจน ครูควรให้เด็กถามค าถามซ้ าอีกครั้ง หนึ่ง เพราะจะช่วยให้ครูและเด็กเข้าใจค าถามมากขึ้น 4.3 ส่งเสริมให้เด็กตอบค าถามด้วยตนเอง ซึ่งจะน าไปสู่การถามค าถาม ต่อไป เนื่องจากทุกครั้งที่เด็กหาค าตอบได้ด้วยตนเองเด็กจะพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองรวมถึง ทัศนคติใน ทางบวกต่อตนเองซึ่งจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะถามค าถามต่าง ๆ ด้วยตนเองต่อไป 5. ครูควรใช้ค าถามของเด็กในการกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้และค้นหาค าตอบด้วย ตนเอง กุลยา ตันติผลาชีวะ (2551: 190) กล่าวว่า ลักษณะที่ดีของค าถามปลายเปิด ส าหรับ เด็กปฐมวัย ดังนี้ 1. เหมาะสมกับวัยและให้เวลาตอบเพราะเด็กต้องใช้เวลาคิด 2. กระตุ้นให้เด็กถามและตอบด้วยตนเอง ครูต้องสนใจค าถามของเด็กเพื่อให้ เด็กมั่นใจ ถ้าไม่เข้าใจให้เด็กอธิบายใหม่และสนใจค าตอบของเด็กและสะท้อนให้เด็กทราบค าตอบการ ที่เด็กค้นหา ค าตอบเองเป็นประสบการณ์ที่สูง 3. ใช้ค าถามเป็นตัวช่วยให้เด็กเรียนรู้เพราะเด็กจะช่วยกันคิดหาค าตอบและ ค าตอบ ที่ได้เป็นการใช้ความรู้เพราะค าถามปลายเปิดเป็นตัวกระตุ้นให้เด็กคิดเชิงบวกเกิดการเรียนรู้ โดยใช้ความรู้ ที่มีอยู่ซึ่งความรู้นั้นต้องสัมพันธ์กับเรื่องที่เรียน
52 4. ครูต้องรับฟังการตอบของเด็กซึ่งลักษณะการฟังของครูสาม ารถ แยกเป็น 3 แบบ ดังนี้ 4.1 ฟังแบบส ารวจ เป็นการฟังเพื่อประมวลค าตอบอย่างกลั่นกรอง ซึ่ง เป็นวิธี ที่ส าคัญส าหรับเด็กปฐมวัยเพราะครูต้องทราบว่าเด็กรู้และคิดอย่างไร 4.2 ฟังแบบค้นหา เป็นการฟังเพื่อหาค าตอบที่เจาะจงโดยไม่สนใจ ค าตอบอื่น ซึ่งอาจจะดีกว่าค าตอบที่ให้ 4.3 ฟังแบบศึกษา เป็นการฟังที่ผสมผสานระหว่างการส ารวจ และการ ค้นหา ค าตอบที่เจาะจงท าให้เกิดการมองภาพความเข้าใจของเด็ก ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553: 26-27) กล่าวว่า ในการตั้งค าถามให้เด็กตอบแต่ละครั้ง ครูผู้สอน ต้องอาศัยหลักในการตั้งค าถามปลายเปิดที่มีลักษณะ ดังนี้ 1. ชัดเจน ค าถามที่ดีต้องมีความชัดเจนเพื่อให้ผู้เรียนรู้ว่าต้องการถามอะไร 2. เข้าใจง่าย ค าถามที่ดีต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย 3. สัมพันธ์กับสิ่งที่เรียน ค าถามที่ดีต้องมีความสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์การ เรียนการ สอนเรื่องราวเนื้อหา และกิจกรรมการเรียนการสอน 4. หลากหลาย ค าถามที่ดีต้องมีหลายประเภทกลมกลืนกับเรื่องราวกิจกรรม และเร้าความสนใจ 5. มีคุณค่า ค าถามที่สร้างขึ้นต้องมีคุณค่าและเร้าให้อยากตอบ 6. ค าถามที่ดีควรเป็นปลายเปิด เพราะท าให้ผู้เรียนกระตือรือร้นที่จะตอบ 7. ควรให้ผู้เรียนได้คิดได้บรรยายอธิบายเหตุผลว่าท าไม เพราะเหตุใด หรือ ประเมินค่า สิ่งที่เรียนรู้ผู้ถามต้องพยายามหลีกเหลี่ยงค าถามที่ต้องการค าตอบเดียวว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” 8. พัฒนาสมอง ค าถามที่ดีต้องสามารถให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางสมองได้ดี 9. สันกระชับชัดเจน เบคเกอร์ และชิมาดะ (Baker and Shimada, 1997 อ้างถึงใน คงรัฐ นวลแบ่ง, 2547: 17- 18) ได้ให้ข้อแนะน าว่า ก่อนที่จะน าค าถามปลายเปิดไปใช้ในการเรียนการสอนควร พิจารณาถึงสิ่งต่อไปนี้ 1. ค าถามนั้นมีคุณค่าทางคณิตศาสตร์หรือไม่ โดยค าถามที่ใช้นอกจากจะ กระตุ้น ให้นักเรียนได้คิดจากมุมมองที่แตกต่างกันแล้วควรจะมีคุณค่าในเชิงเนื้อหาคณิตศาสตร์ กล่าวคือนักเรียน ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งสูงและต่ าสามารถแก้ปัญหาได้โดยใช้ความรู้ทาง คณิตศาสตร์ที่ตนเองมีอยู่ ซึ่งแต่ละคนอาจจะใช้วิธีการที่แตกต่างกัน และในแต่ละวิธีการนั้นยังคงมี คุณค่าทางคณิตศาสตร์ 2. ระดับของความรู้คณิตศาสตร์ที่ต้องใช้ในการตอบค าถามเหมาะสมกับ ระดับความรู้ของนักเรียนหรือไม่ เพราะเมื่อนักเรียนต้องตอบค าถามปลายเปิดนั้นเขาอาจต้องใช้ ความรู้ และทักษะทางคณิตศาสตร์ที่ได้เรียนมาแล้ว ดังนั้นครูควรเลือกใช้ค าถามที่เหมาะสมกับพื้น ฐานความรู้ของนักเรียน
53 3. ค าถามนั้นเมื่อใช้แล้วสามารถน าไปสู่การพัฒนาเชิงคณิตศาสตร์ได้หรือไม่ กล่าวคือ ค าตอบที่เป็นไปได้ของค าถามปลายเปิดนั้นควรจะมีบางค าตอบที่สามารถเชื่อมโยงหรือ สัมพันธ์กับมโนมติ ทางคณิตศาสตร์ในระดับที่สูงขึ้นได้เรา 4. นักเรียนสามารถตอบได้อย่างหลากหลายทั้งวิธีการและค าตอบ ทั้งนี้ นักเรียน แต่ละคนย่อมมีความคิดที่ไม่เหมือนกัน และที่ส าคัญควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้สื่อสารความ เข้าใจ ในเรื่องนั้น ๆ ได้อย่างอิสระและเต็มความสามารถ 5. เป็นค าถามที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้สื่อสารความคิดของตนเอง เพราะ เมื่อใด ที่นักเรียนได้สื่อสารความคิดหรือเหตุผลของตนแล้วครูสามารถรับรู้ได้ว่านักเรียนมีความรู้ความ เข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ได้อย่างไรบ้าง 6. ค าถามที่ให้ควรมีความชัดเจนว่าต้องการให้นักเรียนท าหรือแสดงอะไร เมื่อ นักเรียน ได้อ่านค าถามแล้วควรจะคาดเดาได้ว่าค าตอบลักษณะใดที่เป็นค าตอบที่เหมาะสมและตรง กับความ ต้องการของครู สรุปได้ว่า หลักการใช้ค าถามปลายเปิด คือ ครูควรตั้งค าถามที่สามารถตอบได้ หลายค าตอบ หลายวิธีแนวคิด ซึ่งเป็นค าถามที่มีคุณค่ามีความหมายกับตัวเด็ก มีความเกี่ยวข้องกับ เนื้อ เรื่องที่เด็กเรียน ค าถามมีความชัดเจน เข้าใจง่าย และเหมาะสมตามพัฒนาการของเด็ก 6. ประโยชน์ของค าถามปลายเปิด ค าถามปลายเปิดจะช่วยกระตุ้นกระบวนการคิดให้เกิดกับเด็กและมีคุณค่าต่อการ จัดประสบการณ์ในชั้นเรียนของครู โดยมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงคุณค่าและประโยชน์ ของการใช้ค าถามปลายเปิดกับเด็กปฐมวัย ดังนี้ ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2534: 74 - 78) กล่าวว่า ประโยชน์ของการตั้งค าถามปลายเปิดไว้ ดังนี้ 1. ผู้เรียนกับครูผู้สอนสื่อความหมายกันได้ดีขึ้น 2. ช่วยครูในการวางแผนการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ครูสามารถก าหนดองค์ประกอบของงานที่มอบหมายให้ผู้เรียนปฏิบัติ ได้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 3. สร้างแรงจูงใจและกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนและแสดงให้เห็นถึง ความไม่เข้าใจของผู้เรียนเบื้องต้น 4. ช่วยเน้นประเด็นส าคัญของสาระการเรียนรู้ที่เรียนและทบทวนสาระที่ ส าคัญ ในเรื่องที่เรียน 5. ช่วยครูในการประเมินผลการเรียนการสอน เข้าใจความสนใจที่แท้จริง ของผู้เรียนและวินิจฉัยจุดแข็งจุดอ่อนของผู้เรียนได้ 6. ช่วยสร้างลักษณะนิสัยของการชอบคิดให้กับผู้เรียนตลอดจนนิสัยใฝ่รู้ใฝ่ เรียน ตลอดชีวิต นารี ชมเกสร (2541: 30) กล่าวว่า ประโยชน์ค าถามปลายเปิดไว้ ดังนี้ 1. ช่วยให้นักเรียนทบทวนสิ่งที่เรียนไปแล้ว หรือเชื่อมโยงความรู้เก่าไปสู่ ความรู้ใหม่
54 2. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีแนวคิดมีเหตุผลในลักษณะต่าง ๆ 3. เพื่อใช้เป็นเป็นส่วนหนึ่ง และกระตุ้นความสนใจได้ทุกขั้นตอนที่สอน 4. เน้นในสิ่งที่ต้องการพูด 5. ควบคุมกิจกรรมในชั้นเรียนให้ด าเนินการในทิศทางที่ต้องการ 6. ท าให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน 7. ก่อให้เกิดการค้นคว้า และส ารวจความรู้ใหม่เป็นการปลูกฝังนิสัยรักการ ค้นคว้า ให้เกิดขึ้นเพื่อน าไปสู่การคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ 8. ใช้ทบทวนหรือสรุปเรื่องราวที่สอนให้กะทัดรัดยิ่งขึ้น 9. ใช้วัดผลความสามารถของผู้เรียนรวมทั้งวัดผลการสอนว่าเป็นไปตาม จุดมุ่งหมายเพียงไร พูนศรี จันทร์สกุล (2541: 33-35) กล่าวว่า ประโยชน์ของค าถามว่า ค าถามมี บทบาทส าคัญต่อการเรียนการสอน ซึ่งเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะค าถามปลายเปิดเป็น ค าถามที่ส่งเสริมให้นักเรียนคิดและเรียนรู้เมื่อนักเรียนได้ฝึกคิดบ่อย ๆ ความสามารถของสติปัญญาก็ สูงขึ้น ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553: 29) กล่าวว่า ประโยชน์ที่ได้รับเมื่อใช้ค าถามปลายเปิดไว้ ดังนี้ 1. ผู้ตอบค าถามมีความเป็นอิสระที่จะตอบค าถาม 2. เป็นการท าให้ผู้ถามรู้ถึงศัพท์ต่าง ๆ ที่ผู้ตอบใช้ซึ่งมีผลสะท้อนให้เห็นถึง ลักษณะ ความเชื่อการศึกษาของผู้ตอบ 3. ไม่ต้องเตรียมรายละเอียดของค าถามมากนัก 4. มีความต่อเนื่องในการถามค าถาม 5. ท าให้ผู้ตอบรู้สึกเต็มใจและเพิ่มความสนใจในการตอบค าถาม 6. ค าตอบที่ได้จะอยู่ในระดับใดจะขึ้นอยู่กับผู้ตอบ (ลึกซึ้งแค่ไหน) 7. ค าถามที่ผู้ถามถามจะต้องเป็นค าถามที่สั้นและง่ายในการถาม 8. ผู้ถามสามารถดึงค าถามปลายเปิดนี้มาใช้ได้โดยไม่ต้องเตรียมมานาน สรุปได้ว่า ประโยชน์ของค าถามปลายเปิด คือ การใช้ค าถามปลายเปิดที่มีลักษณะ เปิดกว้างทางค าตอบ วิธีการ และแนวคิดจะช่วยส่งเสริมกระบวนการคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ช่วยปลูกฝังนิสัยรักการค้นคว้าซึ่งจะน าไปสู่การคิดแก้ปัญหาต่าง ๆ อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ ภาษา หรือศัพท์ในการสื่อสารตลอดจนเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และยอมรับในความคิดเห็นที่ ต่างจากตน 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับค าถามปลายเปิด ธนภร โสแสนน้อย (2555) ได้ศึกษา ผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบ ไฮสโคป เสริมด้วยค าถามปลายเปิดที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์และพฤติกรรมกลุ่มของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างเป็น เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 จ านวน 15 คน ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์แบบไฮสโคป เสริมด้วยค าถามปลายเปิด มีค่าเฉลี่ยหลังจัดกิจกรรม สูงกว่าก่อนจัดกิจกรรมอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01
55 พัชรมณฑ์ศุภสุข (2556) ได้ศึกษา การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในเด็กปฐมวัยโดย การเล่านิทานประกอบค าถามปลายเปิดแบบมีโครงสร้างควบคู่การเสริมแรงทางสังคม กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ใน การศึกษาเป็นเด็กระดับชั้นอนุบาล 1 ปี การศึกษา 2555 โรงเรียนบ้านปงสนุก จังหวัดล าปาง เพศหญิง 45 คนและเพศชาย 45 คนรวม 90 คน ผลการวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับรูปแบบการจัดกิจกรรม การเล่านิทาน ที่แตกต่างกันมีความคิดสร้างสรรค์แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 โดยเด็กที่ได้รับการ จัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบค าถามปลายเปิดแบบมีโครงสร้างและเด็กที่ ได้รับการจัดกิจกรรมการ เล่านิทานประกอบค าถามปลายเปิดแบบมีโครงสร้างควบคู่การเสริมแรงทาง สังคมมีความคิดสร้างสรรค์สู งกว่าเด็กที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเพียงอย่างเดียวในขณะที่ เด็กที่มีเพศแตกต่างกันมีความคิด สร้างสรรค์ไม่แตกต่างกันและไม่พบปฏิสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการ จัดกิจกรรมการเล่านิทานกับเพศ ประจักษ์ บุตรแก้ว (2557) ได้ศึกษา ผลของการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบ ค าถามปลายเปิดที่มีต่อความสามารถทางคณิตศาสตร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยชาย-หญิงอายุ 5-6 ปีศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนบ้านหนองผือโปร่งกา ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานีเขต 4 ผลการวิจัยพบว่าความสามารถทางคณิตศาสตร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลของเด็กปฐมวัยหลังการจัด กิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบอาถามปลายเปิดอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ ระดับ .05 บุษบา ดวงจันทร์ทิพย์ (2558) ได้ศึกษา ผลการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วย ศิลปะแบบร่วมมือ และค าถามปลายเปิดต่อความสามารถในการคิดเชิงเหตุผล และจิตสาธารณะ ของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กปฐมวัยนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 จานวน 1 ห้องเรียน จ านวน 23 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนบ้านดอนแก้วโนนอินทร์แปลง ผลการวิจัย พบว่า เด็กที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือ และค าถามปลายเปิด พบว่าก่อนการ จัดกิจกรรมมีคะแนนความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลมีค่าเฉลี่ย 20.91 คิดเป็นร้อย ละ 52.28 และหลังการจัดกิจกรรมมีคะแนนความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลมีค่าเฉลี่ย 31.96 คิด เป็น ร้อยละ 79.89 ไม่น้อยกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 และมีความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลหลังการจัด กิจกรรม สูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมและ เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วย ศิลปะแบบ ร่วมมือและคาถามปลายเปิดมีพฤติกรรมจิตสาธารณะในระดับ มาก สยุมพู สัตย์ซื่อ (2560) ได้ศึกษา การพัฒนาการคิดเชิงเหตุผลโดยใช้กิจกรรมการ เล่านิทานประกอบค าถามปลายเปิดส าหรับเด็กปฐมวัยศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการศึกษาคือ เด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุระหว่าง 3-4 ปีที่ก าลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 ศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์บ้านโคกสะอาดจ านวน 30 คน ผลการวิจัย พบว่า เด็กปฐมวัยมีการคิดเชิงเหตุผลหลังการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบค าถามปลายเปิดสูง กว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ. 01 ปิง (Ping, 2013) ได้ศึกษา การตั้งค าถามของครูและการคิดเชิงวิพากษ์ของ นักเรียนในห้องเรียนการอ่าน EFL จุดประสงค์ของการศึกษา คือเพื่อตรวจสอบว่าค าถามของครูมีผล ต่อการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน หรือไม่ ผลการวิจัยพบว่าครูถามค าถามเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจ
56 ที่ต่ ากว่า (79.2%) นอกจากนี้ผลการวิจัยยังระบุว่าครูใช้ค าถามเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจที่สูงขึ้น ในทางที่ผิด โดย ค าถามเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจที่สูงขึ้นสามารถอ านวยความสะดวกในการคิด วิเคราะห์เนื่องจากต้องใช้ความรู้ในการประมวลผล ชาเคอ และเจงกิซ (Çakır and Cengiz, 2016) ได้ศึกษา การใช้ค าถามปลายเปิด กับค าถามปลายปิดในห้องเรียนตุรกีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนในระดับชั้นที่แตกต่างกันในตุรกี ผล การศึกษาพบว่า การใช้ค าถามปลายเปิด เป็นค าถามที่ส่งผลให้นักเรียนมีส่วนร่วมมากขึ้นมีบท สนทนามาก ขึ้นในชั้นเรียน การใช้กิจกรรมปลายเปิดที่นักเรียนเป็นผู้น าเพื่อช่วยในการเรียนรู้และท า ความเข้าใจ เกี่ยวกับศักยภาพในการด าเนินการ อาซิซา (Aziza, 2017) ได้ศึกษา การใช้รูปภาพประกอบค าถามปลายเปิดใน ห้องเรียน คณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็ก อายุ 7 - 8 ปี จ านวน 27 คน ในโรงเรียนประถมใน สหราชอาณาจักร ผลการวิจัยพบว่า การใช้รูปภาพประกอบค าถามปลายเปิดสามารถกระตุ้นการ ตอบสนองของนักเรียน และความคิดสร้างสรรค์ทางคณิตศาสตร์ได้ เซบิลา และมานอย (Sabilah and Manoy, 2018) ได้ศึกษา การใช้ค าถาม ปลายเปิด กับการให้ข้อเสนอแนะ เพื่อการเรียนรู้คณิตศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ นักเรียน ระดับประถมแปด ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนถึงเกณฑ์ความ สมบูรณ์และการตอบสนองของนักเรียนถือได้ว่าเป็นผลบวก ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าการเรียนคณิตศาสตร์ โดยการใช้ค าถามปลายเปิดกับการให้ข้อเสนอแนะมีประสิทธิภาพ ซานโทโซ (Santoso, 2018) ได้ศึกษา การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของ นักเรียน จากการตั้งค าถาม หมายถึงการคิดและการคิดแสดงออกในรูปแบบของค าถาม จุดมุ่งหมาย ของการศึกษานี้ คือเพื่อตรวจสอบว่าทักษะค าถามของนักเรียนมีความสัมพันธ์กับทักษะการคิด วิเคราะห์ของนักเรียนในการ เรียนรู้อย่างไร ผลการวิจัยพบว่าระดับของค าถามมีบทบาทส าคัญในการ พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์คือ ระดับค าถามของการคาดเดา การวิเคราะห์การประเมินผล และการ อนุมาน ขั้นตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปด้วยค าถามปลายเปิด จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้จัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถาม ปลายเปิดต่อความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย โดยสร้างขั้นตอนในการ จัดกิจกรรมแบบ ไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดซึ่งผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้ขั้นการสอนของวรนาท รักสกุลไทย และคณะ (2546: 13) โดยมีขั้นตอนของการจัดกิจกรรม ดังนี้ 1. การวางแผน (Plan) (10 นาที) 1.1 ครูน าเด็กเข้าสู่กิจกรรม ด้วยเพลง ค าคล้องจอง ค าถามและการสนทนา 1.2 ครูและเด็กร่วมกันสร้างข้อตกลงในการท ากิจกรรม 1.3 ครูให้เด็กเข้ากลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน จากนั้นครูแนะน ากิจกรรม อุปกรณ์และ สาธิตวิธีการท ากิจกรรมทีละกิจกรรม โดยการใช้ค าถามปลายเปิดในการกระตุ้นการเลือกท ากิจกรรม 1.4 ครูให้เด็กแต่ละกลุ่มวางแผนเลือกท ากิจกรรมด้วยสัญลักษณ์ประจ าตัวเด็ก โดยครูสังเกต และสัมภาษณ์การวางแผนในการท ากิจกรรมของเด็ก
57 2. การปฏิบัติ (Do) (30 นาที) 2.1 เด็กปฏิบัติกิจกรรมตามที่วางแผนไว้โดยครูสังเกตการคิดและให้เหตุผล ในการท ากิจกรรมพร้อมบันทึกวิธีการท ากิจกรรม หากเด็กไม่ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ ครูใช้ค าถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นเด็ก 2.2 เมื่อใกล้หมดเวลาครูให้สัญญาณ เด็กท าความสะอาดและเก็บอุปกรณ์ให้ เรียบร้อย 3. การทบทวน (Review) (10 นาที) 3.1 ครูและเด็กร่วมกันทบทวนกิจกรรมโดยการใช้ค าถามปลายเปิดกระตุ้นให้เด็ก แสดงความคิดเชิงเหตุผลผ่านสิ่งที่เด็กได้กระท าเชื่อมโยงระหว่างการวางแผน การปฏิบัติงาน และ ผลงานที่เด็กท า
58 ภาพที่ 5 ขั้นตอนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ขั้นที่ 1 การวางแผน (Plan) 1.1 ครูน าเด็กเข้าสู่กิจกรรม ด้วยเพลง ค าคล้องจองและการสนทนา 1.2 ครูและเด็กร่วมกันสร้างข้อตกลงใน การท ากิจกรรม 1.3 ครูแนะน ากิจกรรม อุปกรณ์และสาธิต วิธีการท ากิจกรรม จากนั้นครูแบ่งเด็กออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 – 6 คน 1.4 เด็กวางแผนเลือกท ากิจกรรมโดย ครูสังเกตและสัมภาษณ์การวางแผนในการท า กิจกรรมของเด็ก 2.1 เด็กปฏิบัติกิจกรรมตามที่วางแผนไว้ โดยครูสังเกตการคิดและให้เหตุผลในการท า กิจกรรมพร้อมบันทึกวิธีการท ากิจกรรม หากเด็กไม่ ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ครูใช้ค าถาม ปลายเปิดเพื่อกระตุ้นเด็ก 2.2 เมื่อใกล้หมดเวลาครูให้สัญญาณ เด็กท า ความสะอาดและเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย 3.1 ครูและเด็กร่วมกันทบทวนและสรุป กิจกรรมโดยการใช้ค าถามปลายเปิดกระตุ้นให้เด็ก แสดงความคิดเห็น การใช้ ค าถามปลายเปิด การใช้ ค าถามปลายเปิด ขั้นที่ 2 การปฏิบัติ (Do) ขั้นที่ 3 การทบทวน (Review)
59 บทที่ 3 วิธีด ำเนินกำรวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อน และหลังได้รับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดย ทั้งนี้ผู้วิจัยได้ด าเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง 1. ประชำกร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลที่อยู่ในจังหวัดอุดรธานี 2. กลุ่มตัวอย่ำง เด็กนักเรียนชาย – หญิง อายุ 5 – 6 ปี ก าลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จ านวน 28 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบ กลุ่ม (Cluster Random Sampling) รูปแบบในกำรทดลอง การศึกษาครั้งนี้ใช้แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด (One Group Pretest – Posttest Design) (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60 - 62) ดังแสดงในตารางที่ 2 สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง T1 X T2 ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง T1 แทน การทดสอบก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบไฮสโคป X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด T2 แทน การทดสอบหลังจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบไฮสโคป
60 เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดกิจกรรมแบบไอสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด จ านวน 18 แผน แผนละ 50 นาที สัปดาห์ละ 3 แผน รวม 6 สัปดาห์ 1.2 แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยประกอบด้วย 3 ด้าน ดังนี้ 1.2.1 ด้านการริเริ่มและลงมือท า จ านวน 3 ข้อ 1.2.2 ด้านการวางแผนจัดระบบด าเนินการ จ านวน 3 ข้อ 1.2.3 ด้านการมุ่งเป้าหมาย จ านวน 3 ข้อ 2. กำรสร้ำงและกำรหำคุณภำพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดผู้วิจัยได้ ด าเนินการสร้างและพัฒนา ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาเอกสารคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2560 2.1.2 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเอกสารและต าราที่เกี่ยวข้องกับแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด 2.1.3 ด าเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถาม ปลายเปิด จ านวน 18 แผน โดยมีแผนการจัดกิจกรรม 1 แผน ใช้ในการจัดกิจกรรม 1 วัน มีระยะเวลา ในการจัดกิจกรรม 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ทุกวันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ ในกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์และเสรีที่สอดคล้องกับหน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมแบบ ไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ดังแสดงในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 หน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถามปลายเปิด สัปดำห์ ที่ วันที่ท ำกำร ทดลอง หน่วยกำรจัดประบกำรณ์ ทักษะทำงสมอง EF 1 จันทร์ พุธ ศุกร์ เศรษฐกิจพอเพียง การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 2 จันทร์ พุธ ศุกร์ วันลอยกระทง การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย
61 ตารางที่ 3 หน่วยการจัดประสบการณ์ที่ใช้ในการทดลองการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถามปลายเปิด (ต่อ) สัปดำห์ ที่ วันที่ท ำกำร ทดลอง หน่วยกำรจัดประบกำรณ์ ทักษะทำงสมอง EF 3 จันทร์ พุธ ศุกร์ วันชาติ การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 4 จันทร์ พุธ ศุกร์ เทคโนโลยีและการสื่อสาร การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 5 จันทร์ พุธ ศุกร์ สนุกกับตัวเลข การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 6 จันทร์ พุธ ศุกร์ ขนาด รูปร่าง รูปทรง การริเริ่มและลงมือท า การวางแผนจัดระบบด าเนินการ การมุ่งเป้าหมาย 2.1.4 น าแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดเสนอต่อ อาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงแก้ไข 2.1.5 น าแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดเสนอ ผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัยจ านวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสม 2.1.6 น าแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดที่ ปรับปรุงแก้ไข แล้วน าเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง 2.1.7 น าแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดที่แก้ไข ปรับปรุง แล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างแล้วน ามาปรับปรุงแก้ไข จากนั้นน าไปใช้กับ กลุ่มตัวอย่าง ตามเนื้อหาที่ก าหนดต่อไป โดยขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ผู้วิจัย ได้ด าเนินการสร้างตามล าดับดังแสดงใน ภาพที่ 6
62 ภาพที่ 6 ขั้นตอนการสร้างแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 ศึกษาแนวคิดทฤษฎีเอกสารและต าราที่เกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคป เสริมด้วยค าถามปลายเปิด ด าเนินการสร้างแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปล ายเปิด จ านวน 24 แผน โดยมีแผนการจัดกิจกรรม 1 แผนใช้ในการจัดกิจกรรม 1 วัน โดยมีระยะเวลาใน การจัดกิจกรรม 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน ทุกวันจันทร์วันพุธ และวันศุกร์ ในกิจกรรมศิลปะ สร้างสรรค์และเสรี น าแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อปรับปรุงแก้ไข น าแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดเสนอผู้เชี่ยวชาญด้านปฐมวัย จ านวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสม แผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วน าเสนอ ต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง น าแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดที่แก้ไขปรับปรุง แล้วไป ทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างแล้วน ามาปรับปรุงแก้ไข จากนั้นน าไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ตามเนื้อหาที่ก าหนดต่อไป
63 2.2 แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้าง และพัฒนาตามขั้นตอน ดังนี้ 2.2.1 ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 2.2.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลการ วิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมด้านทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย 2.2.3 สร้างแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย โดยแบ่ง ออกเป็น 3 ด้าน ดังนี้ ด้านการริเริ่มและลงมือท า จ านวน 3 ข้อ ด้านการวางแผนจัดระบบด าเนินการ จ านวน 3 ข้อ ด้านการมุ่งเป้าหมาย จ านวน 3 ข้อ 2.2.4 สร้างคู่มือในการด าเนินการประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับ เด็กปฐมวัยเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน 1 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกน้อยที่สุด 2 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกน้อย 3 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกปานกลาง 4 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกมาก 5 หมายถึง มีพฤติกรรมที่แสดงออกมากที่สุด 2.2.5 น าคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยและ แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อน ามาปรับปรุง แก้ไข 2.2.6 น าคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยและ แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยเสนอผู้เชี่ยวชาญ ด้านปฐมวัยจ านวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณา ลงความเห็นและให้คะแนนตามความเหมาะสมและให้คะแนน ดังนี้ +1 หมายถึง มีความสอดคล้อง 0 หมายถึง ไม่แน่ใจในความสอดคล้อง -1 หมายถึง ไม่มีความสอดคล้อง น าคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถาม จุดประสงค์กับพฤติกรรมมากกว่าหรือเท่ากับ 0.5 จึงถือว่าเหมาะสม ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้ได้หาค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ 2.2.7 ปรับปรุงแก้ไขคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยและแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย แล้วน าเสนอต่ออาจารย์ที่ ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง 2.2.8 น าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยไปทดลองใช้ (Try out) กับเด็กปฐมวัยที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 50 คน เพื่อศึกษาความเหมาะสมของขั้นตอน การใช้แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย
64 2.2.9 น าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยไปหา ค่าอ านาจจ าแนก (r) ซึ่งมีค่าอยู่ระหว่าง 0.65 – 0.79 และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของ ประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยมีค่าเท่ากับ 0.92 2.2.10 น าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย ที่ปรับปรุง แก้ไขแล้วไปใช้เก็บข้อมูลกับเด็กปฐมวัยที่เป็นกลุ่มตัวอย่างต่อไป โดยขั้นตอนการสร้างแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยผู้วิจัย ได้ด าเนินการสร้างตามล าดับดังแสดงใน ภาพที่ 7
65 ภาพที่ 7 ขั้นตอนการสร้างแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 ศึกษาทฤษฎี หลักการและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมด้านทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย สร้างแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย สร้างคู่มือในการด าเนินการประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ น าคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยและแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับ เด็กปฐมวัยเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อน ามาปรับปรุงแก้ไข น าคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยและแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับ เด็กปฐมวัยเสนอผู้เชี่ยวชาญ ด้านปฐมวัยจ านวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาลงความเห็นและให้คะแนนตามความเหมาะสม แล้วน าคะแนนที่ได้จากผู้เชี่ยวชาญค านวณหาค่าดัชนี IOC ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกข้อ ปรับปรุงแก้ไขคู่มือการใช้แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยและแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย แล้วน าเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง น าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยไปทดลองใช้ (Try out) กับเด็กปฐมวัยที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จ านวน 50 คน เพื่อศึกษาความเหมาะสมของขั้นตอนการใช้แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย น าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยไปหาค่าอ านาจจ าแนก (r) ซึ่งมีค่าอยู่ระหว่าง 0.65 – 0.79 และค่าความเชื่อมั่น (Reliability) ของประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยมีค่าเท่ากับ 0.92 น าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย ที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปใช้เก็บข้อมูลกับเด็กปฐมวัย ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างต่อไป
66 กำรด ำเนินกำรจัดกิจกรรม ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการจัดกิจกรรม ดังนี้ 1. น าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ผ่านการวิเคราะห์และ ปรับปรุงแก้ไขแล้วน าไปประเมินเด็กก่อนจัดกิจกรรม 2. ด าเนินการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเริมด้วยค าถาม ปลายเปิด จ านวน 6 หน่วย หน่วยละ 3 แผน รวม 18 แผน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ 3. หลังจากด าเนินการทดลองการจัดกิจกรรมแบบไอสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ครบตามก าหนดในแผนแล้ว ผู้วิจัยน าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยฉบับเดิมไป ประเมินเด็กหลังการจัดกิจกรรม 4. น าคะแนนไปวิเคราะห์ กำรวิเครำะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยโดย น าข้อมูลไปหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 2. น าคะแนนที่ได้จากแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยมาเปรียบเทียบ กันระหว่างก่อนและหลังการทดลองโดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test Dependent Sample) สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยเลือกใช้สถิติ ดังนี้ 1. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ ดังนี้ 1.1 หาค่าความเที่ยงตรง (validity) โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัยและพฤติกรรมที่เด็กปฐมวัยแสดงออกด้านทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย (IOC) ค านวณจากสูตร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543: 248–249)
67 1.2 หาค่าความเชื่อมั่นและค่าอ านาจจ าแนกของแบบประเมินทักษะสมอง EF ของเด็กปฐมวัยซึ่งค านวณหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบัคโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติ 2. สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการบรรยายข้อมูล สถิติพื้นฐานในการบรรยายข้อมูลใช้โปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติ ประกอบด้วย 2.1 ค่าเฉลี่ย (Mean) 2.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Diviation) 3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมส าเร็จรูปทางสถิติในการเปรียบเทียบ ความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วย ค าถาม ปลายเปิดก่อน และหลังการจัดกิจกรรมด้วยการทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample)
68 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ส ำหรับกำรวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยก ำหนดสัญลักษณ์และอักษรย่อที่ใช้ในกำรวิเครำะห์และแปร ข้อมูล ดังนี้ N แทน จ ำนวนเด็กปฐมวัยในกลุ่มตัวอย่ำง x̅ แทน ค่ำเฉลี่ย S.D. แทน ควำมเบี่ยงเบนมำตรฐำน T แทน ค่ำสถิติพื้นฐำนใน t-distribution ผลการวิเคราะห์ข้อมูล กำรวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้เสนอผลกำรวิเครำะห์ข้อมูลตำมล ำดับ ดังนี้ 1. วิเครำะห์ข้อมูลที่ได้จำกแบบประเมินทักษะทำงสมอง EF ของเด็กปฐมวัย โดยน ำข้อมูลไปหำค่ำเฉลี่ย (Mean) และค่ำส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard deviation) 2. น ำคะแนนที่ได้จำกแบบประเมินทักษะทำงสมอง EF ของเด็กปฐมวัยมำเปรียบเทียบ กันระหว่ำงก่อนและหลังกำรทดลองโดยใช้กำรทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test Dependent Sample) 1. ค่าสถิติพื้นฐานการพัฒนาทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย ผู้วิจัยได้น ำคะแนนทักษะทำงสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อน และหลังกำรจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค ำถำมปลำยเปิดมำหำค่ำสถิติพื้นฐำน คือ ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน ของคะแนนปรำกฏดังแสดงใน ตำรำงที่ 4
69 ตำรำงที่ 4 ค่ำเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำนของทักษะทำงสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง กำรจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค ำถำมปลำยเปิด ระยะกำรจัดกิจกรรม N x̅ S.D. ก่อนกำรจัดกิจกรรม 28 22.46 5.10 หลังกำรจัดกิจกรรม 28 40.39 5.65 จำกตำรำงที่ 4 พบว่ำ คะแนนทักษะทำงสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนได้รับกำรจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค ำถำมปลำยเปิดมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 22.46 และหลังได้รับกำรจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค ำถำมปลำยเปิดมีค่ำเฉลี่ยเท่ำกับ 40.39 ตำมล ำดับ 2. เปรียบเทียบคะแนนทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ผู้วิจัยได้น ำคะแนนทักษะทำงสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับกำรจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค ำถำมปลำยเปิดมำหำค่ำสถิติพื้นฐำนและส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน มำเปรียบเทียบกันโดยใช้สถิติt-test for Dependent Sample ดังแสดงใน ตำรำงที่ 5 ตำรำงที่ 5 กำรเปรียบเทียบคะแนนทักษะทำงสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังกำรจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค ำถำมปลำยเปิด ระยะกำรจัดกิจกรรม N x̅ S.D. t ก่อนกำรจัดกิจกรรม 28 22.46 5.10 51.42* หลังกำรจัดกิจกรรม 28 40.39 5.65 จำกตำรำงที่ 5 พบว่ำ เด็กปฐมวัยที่ได้รับกำรจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค ำถำม ปลำยเปิด มีทักษะทำงสมอง EF หลังกำรจัดกิจกรรมสูงกว่ำก่อนกำรจัดกิจกรรมอย่ำงมีนัยส ำคัญทำง สถิติที่ระดับ .05
70 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาผลการเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ การจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด สรุปสาระส าคัญได้ ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรม แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด สมมติฐานของการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดมีทักษะทางสมอง EF หลังจัดการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1. ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลที่อยู่ในจังหวัดอุดรธานี 2. กลุ่มตัวอย่าง เด็กนักเรียนชาย – หญิง อายุ 5 – 6 ปี ก าลังศึกษาอยู่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จ านวน 28 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบ กลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดกิจกรรมแบบไอสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด 2. แบบประเมินทักษะทางสมอง EF ส าหรับเด็กปฐมวัย การด าเนินการจัดกิจกรรม ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการจัดกิจกรรม ดังนี้ 1. น าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ผ่านการวิเคราะห์และ ปรับปรุงแก้ไขแล้วน าไปประเมินเด็กก่อนจัดกิจกรรม
71 2. ด าเนินการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเริมด้วยค าถาม ปลายเปิด จ านวน 6 หน่วย หน่วยละ 3 แผน รวม 18 แผน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ 3. หลังจากด าเนินการทดลองการจัดกิจกรรมแบบไอสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ครบตามก าหนดในแผนแล้ว ผู้วิจัยน าแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยฉบับเดิม ไปประเมินเด็กหลังการจัดกิจกรรม 4. น าคะแนนไปวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยโดย น าข้อมูลไปหาค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) 2. น าคะแนนที่ได้จากแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยมาเปรียบเทียบ กันระหว่างก่อนและหลังการทดลองโดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (t-test Dependent Sample) สรุปผลการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด มีทักษะทาง สมอง EF หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 อภิปรายผลการวิจัย จากการวิจัยครั้งนี้พบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถาม ปลายเปิด มีทักษะทางสมอง EF หลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสามารถอภิปรายได้ว่า การจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ช่วยส่งเสริมทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยได้ เนื่องมาจาก แผนการจัดกิจกรรมทั้ง 18 แผน ได้ ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและได้น าไปทดลองใช้เพื่อหาคุณภาพที่เหมาะสม ดังนั้น กิจกรรม ตามแผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดจึงสามารถน ามาจัดการเรียนรู้เพื่อ ส่งเสริมทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในขั้นการวางแผน (Plan) เด็กได้วางแผนในการเลือกท ากิจกรรมด้วยตนเอง หากเด็กคนใดไม่สามารถวางแผนได้ครูใช้ค าถาม กระตุ้นเพื่อให้เด็กสามารถวางแผนได้เมื่อท าเช่นนี้บ่อย ๆ เด็กจึงพัฒนาทักษะด้านการวางแผน ตลอดจนสามารถจัดระบบด าเนินการด้วยตนเองได้ ต่อมาในขั้นการปฏิบัติ (Do) เด็กต้องลงมือปฏิบัติ กิจกรรมตามแผนที่ตนเองได้วางไว้ ซึ่งเป็นการพัฒนาความสามารถด้านการริเริ่มและลงมือท า หากเด็กคนใดไม่สามารถปฏิบัติตามแผนได้ครูจึงเข้าไปกระตุ้นให้เริ่มปฏิบัติกิจกรรม เด็กจึงจะค่อย ๆ เกิดทักษะด้านการริเริ่มและลงมือ นอกจากนี้ในขณะที่เด็กปฏิบัติกิจกรรมอาจจะมีเด็กบางคนที่ละ ความสนใจจากกิจกรรมไปท ากิจกรรมอย่างอื่น ครูจะคอยกระตุ้นให้เด็กกลับมาสนใจและ
72 ปฏิบัติกิจกรรมเพื่อมุ่งให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้จนส าเร็จเด็กจึงเกิดทักษะความสามารถด้าน การมุ่งเป้าหมาย ดังนั้นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดของไฮสโคปในทุกขั้นตอนเป็นสิ่งที่เด็ก จะต้องเป็นผู้วางแผน ลงมือปฏิบัติกิจกรรมและทบทวนการปฏิบัติกิจกรรมด้วยตัวของเด็กเองซึ่ง สอดคล้องกับเพียเจท์ที่กล่าวว่า สติปัญญาเป็นผลเนื่องมาจากการที่เด็กได้ลงมือเรียนรู้ด้วยตนเองและ ในขณะที่เด็กปฏิบัติกิจกรรมหากเด็กคนใดท ากิจกรรมไม่ได้ ครูใช้ค าถามกระตุ้นเพื่อถามน าให้ เด็กปฏิบัติกิจกรรม ซึ่งสอดคล้องกับไวก๊อตสกี้ ที่กล่าวว่า คนที่มีความรู้หรือความสามารถมากกว่า เข้ามาช่วยเหลือจะท าให้พัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนดีขึ้น และสอดคล้องกับ ณัฐญา นันทราช (2563) ที่ได้ศึกษาทักษะการคิดพื้นฐานของเด็กปฐมวัยโดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ แบบไฮสโคปด้วยกิจกรรมเกมการศึกษา ผลการวิจัยพบว่า ทักษะการคิดพื้นฐานของเด็กปฐมวัย ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปด้วยกิจกรรมเกมการศึกษาที่พัฒนาขึ้นหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 และยังสอดคล้องกับ บัณฑิตา ภักดีนันท์ (2564) ที่ได้ศึกษาการเปรียบเทียบทักษะความคิดสร้างสรรค์ด้านการคิดริเริ่มของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบไฮสโคป โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ก่อนและหลังที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบไฮสโคป ผลการวิจัยพบว่า ทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ด้านความคิดริเริ่มของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏ บุรีรัมย์ที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบไฮสโคปหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง โดยมีค่าเฉลี่ยรวมก่อนการทดลองเท่ากับ 5.84 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.6 และ หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 18.08 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 6.16 ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ และข้อเสนอแนะในการท าวิจัย ครั้งต่อไป ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะในการน าผลวิจัยไปใช้ 1.1 ผู้ที่มีความประสงค์จะน าการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเสริม ด้วยค าถามปลายเปิดไปใช้ควรศึกษาและท าความเข้าใจในทฤษฎี แนวคิดพื้นฐานและหลักการเป็น อย่างดี เพื่อให้สามารถใช้รูปแบบการจัดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ครูควรจะสังเกตการท ากิจกรรมของเด็กว่าเป็นไปตามที่เด็กได้วางแผนไว้หรือไม่ และ บอกการใช้เหตุผล ในการท ากิจกรรมอย่างไร หากเด็กยังไม่สามารถมีทักษะทางสมอง EF ครูควรจะใช้ ค าถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นเด็กอีกครั้ง เพื่อให้เด็กได้ทบทวนและพิจารณาเกี่ยวกับการใช้เหตุผลของ ตนเองในการท ากิจกรรม 1.2 ครูควรระวังการใช้ค าถามหรือการสัมภาษณ์ในระหว่างที่เด็กท ากิจกรรม ไม่ให้ รบกวนสมาธิเด็กในการท ากิจกรรม หากสังเกตพบว่าเด็กต้องการความช่วยเหลือหรือท ากิจกรรมไม่ เป็นไปตามที่วางแผนครูจึงจะเข้าไปสอบถามและช่วยเหลือเด็ก
73 1.3 ครูควรมีบทบาทในการดูแลให้ความช่วยเหลือ ให้ค าแนะน าเมื่อเด็กต้องการ ให้ การเสริมแรง กล่าวค าชมเชย ถ้าเด็กมีปัญหาระหว่างการท ากิจกรรมครูต้องให้ความช่วยเหลือเด็ก 2. ข้อเสนอแนะในการท าวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิดต่อความสามารถด้าน อื่นๆ เช่น ด้านการคิดแก้ปัญหา ด้านทักษะทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น 2.2 ควรมีการศึกษาเพื่อศึกษาการเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยที่ ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปในระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป
74 บรรณานุกรม
75 บรรณานุกรม กรรณิการ์ สุริยะมาตร. (2560). การพัฒนากิจกรรมเสรีตามแนวคิดของไฮสโคปในการพัฒนา พฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตร และการเรียนการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. กระทรงศึกษาธิการ. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579. สืบค้นเมื่อ 30 กันยายน 2566, จาก https://www.moe.go.th/แผนการศึกษาแห่งชาติ-พ-ศ-2560/ กระทรวงศึกษาธิการ. (2561). คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ส าหรับเด็กอายุ ๓-๖ ปี. กรุงเทพฯ: ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย. กัญญารัตน์ ชูเกลี้ยงและคณะ. (2562). การพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ส าเร็จ (EF) ส าหรับเด็ก ปฐมวัยโดยผ่านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบสเต็มศึกษา เรื่อง การประกอบอาหาร ประเภทขนมไทยพื้นเมือง ๔ ภาค. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษา ปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต. กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2540). เทคนิคการสร้างเสริมปัญญาเด็กปฐมวัย. วารสารการศึกษาปฐมวัย. 1(1) : 35 – 42. คงรัฐ นวลแบ่ง. (2547). การใช้ค าถามปลายเปิดเพื่อประเมินทักษะการสื่อสารและการให้เหตุผล ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสา จังหวัดน่าน. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. คะนึง สายแก้ว. (2556). การศึกษาปฐมวัย. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยราชภัฏสารคาม. จินดารัตน์ นลินธนาลักษณ์. (2560). ผลของการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ด้วยวัสดุธรรมชาติ ตามแนวคิดไฮโคปที่มีต่อความามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัยโรงเรีย นารสาน์เอกตรา กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษา ปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. จุฬาลักษณ์ ค ามูล. (2559). การเปรียบเทียบความสามารถทางภาษา ความสามารถทาง คณิตศาสตร์และความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ระหว่างการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตาม แนวคิดไฮสโคป. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. เจนสมุทร แสงพันธ์. (2548). การใช้ค าถามปลายเปิดในการจัดการเรียนการสอนสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่. วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจัยและพัฒนาหลักสูตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2553). เทคนิคการใช้ค าถามเพื่อพัฒนาการคิด. นนทบุรี: สหมิตรพริ้นติ้ง แอนด์ พับลิสซิ่ง.
76 ชินะพัฒน์ ชื่นแดชุม. (2542). ผลของการใช้กระบวนการเรียนการสอนตามแนวคิดในการพัฒนา ความสามารถในการเรียนรู้ของไวกอตสกีที่มีต่อทักษะทางภาษาไทยและการก ากับตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น. วิทยานิพนธ์ ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตร และการสอน จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ณัฐญา นันทราช. (2563). การพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐานของเด็กปฐมวัยโดยการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปด้วยกิจกรรมเกมการศึกษา. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. ดุษฎี อุปการ และอรปรียา ญาณะชัย. (2561). การส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย ควรเลือกใช้หลักการใด “การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน” หรือ “การคิดเชิงบริหาร”. Veridian E-Journal Silpakron University, 11(1), 1635-1651. ทิพย์วัลย์ สีจันทร์. (2531). ความส าคัญของการใช้ค าถาม. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2566, จาก https://www.pkru.ac.th/th/education/eduction/learning5.htm. ธนภร โสแสนน้อย. (2555). ผลการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถาม ปลายเปิดที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์และพฤติกรรมกลุ่มของเด็กปฐมวัย. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. นภเตร ธรรมบวร. (2544). เทคนิคและหลักการในการใช้ค าถามเพื่อพัฒนาการคิด. สืบค้นเมื่อ 17 ตุลาคม 2566, จาก https://www.pkru.ac.th/educationledwbi/suvicha/learning5. นิตยสาร ModernMom. (2559). ทักษะสมอง EF. กรุงเทพมหานคร: รักลูก บุ๊คส์. นารี ชมเกสร. (2541). การเปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยที่เล่นไม้บล็อกแบบ อิสระแบบครูชี้แนะในโรงเรียนอัสสัมชันระยอง. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช. บัณฑิตา ภักดีนันท์. (2564). การเปรียบเทียบทักษะความคิดสร้างสรรค์ด้านการคิดริเริ่มของเด็ก ชั้นอนุบาลปีที่ 3/2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์แบบไฮสโคปโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและ การสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์. บุษบา ดวงจันทร์ทิพย์. (2558). ผลการจัดกิจกรรมการเล่านิทานเสริมด้วยศิลปะแบบร่วมมือและ ค าถามปลายเปิดต่อความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลและจิตสาธารณะของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดรธานี. ประจักษ์ บุตรแก้ว. (2558). ผลของการจัดกิจกรรมการเล่านิทานประกอบค าถามปลายเปิดที่มีต่อ ความสามารถทางคณิตศาสตร์ด้านการวิเคราะห์ข้อมูลของเด็กปฐมวัย. วิทยานิพนธ์- ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์. ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์. (2561). เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF. กรุงเทพมหานคร : แพรวเพื่อนเด็ก.
77 ปรีชา เนาวเย็นผล. (2544). กิจกรรมการเรียนการสอนคณิตศาสตร์โดยใช้การแก้ปัญหาปลายเปิด ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. ปริญญานิพนธการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาคณิตศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปรีญานันท์ พร้อมสุขกุล. (2561). ดนตรีกับทักษะสมองเพื่อชีวิตที่ส าเร็จ. Veridian E-Journal Silpakon University, 11(2), 1175-1792. พรรณี ช. เจนจิต. (2538). จิตวิทยาการสอน. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: คอมแพคท์พริ้น. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (2540). วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์. กรุงเทพฯ: ส านักทดสอบทางการศึกษาและจิตศึกษามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พัชรมณฑ์ ศุภสุข. (2556). การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในเด็กปฐมวัยโดยการเล่านิทานประกอบ ค าถามปลายเปิดแบบมีโครงสร้างควบคู่การเสริมแรงทางสังคม. ปริญญานิพนธ์การศึกษา มหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. พัชรีผลโยธิน. (2550). การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยไทย : ตามแนวคิดไฮสโคป. กรุงเทพฯ: วิ.ที.ซี.ค อมมิวนิเคชั่น. พูนศรี จันทร์สกุล. (2541). การใช้หนังสือการ์ตูนประกอบการสอนกิจกรรมในวงกลมเพื่อส่งเสริม พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กนักเรียนชั้นอนุบาล. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ยุภาวดี พรมเสถียร. (2562). การพัฒนาการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดไฮสโคปร่วมกับการใช้ ค าถามเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม, 13(1), 39-46. รุ้ง แก้วแดง. (2543). ปฏิวัติการศึกษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ: มติชน. ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2543). การวัดด้านจิตพิสัย. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วรนาท รักสกุลไทย และคณะ. (2546). เอกสารประกอบการอบรม Whole Language โครงการ พัฒนาอนุบาลศึกษาโดยผ่านกระบวนการนิเทศรุ่นที่ 2. กรุงเทพฯ: [ม.ป.พ]. ศศิมา สุขสว่าง. (มปป.). ทักษะการถามเชิงบวก (Positive Questioning Skill) ส าหรับผู้น าใน บทบาทโค้ชหรือพี่เลี้ยง. สืบค้นเมื่อ 6 ตุลาคม 2566, จาก https://www.sasimasuk. com/16873158/ทักษะการถามเชิงบวก. สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์. (2542). มุ่งสู่คุณภาพการศึกษา. กรุงเทพฯ: วัฒนพาณิชย์ สยุมพู สัตย์ซื่อ. การพัฒนาการคิดเชิงเหตุผลโดยใช้กิจกรรมการเล่านิทานประกอบค าถาม ปลายเปิดส าหรับเด็กปฐมวัยศูนย์อบรมเด็กก่อนเกณฑ์. ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. สุภาวดี หาญเมธี. (2559). EF ทักษะสมอง เพื่อจัดการชีวิตที่ส าเร็จ Execcutive Funciton. กรุงเทพฯ: สถาบันอาร์แอลจี. สุภาวดี หาญเมธี. (2559). พัฒนาทักษะสมอง EF ด้านการอ่าน. กรุงเทพมหานคร : รักลูก บุ๊คส์. ส านักงานกองทุนสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพ. (2560). ฝึก EF พัฒนาสมองลูกน้อย. กรุงเทพมหานคร : สุข พับลิชชิ่ง.
78 ส านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด. (2558). EF ภูมิคุ้มกันชีวิตและป้องกันยา เสพติด คู่มือส าหรับครูอนุบาล. กรุงเทพมหานคร : รักลูกบุ๊ค. ส านักงานเลขธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิค. สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์. (2544). รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์เรื่องศักยภาพการจัดการศึกษา ระดับปฐมวัยในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ส านักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2534). ระดับของค าถาม. สืบค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2566, จาก https://www.gotoknow.org/blog/chainec/306302. Ahokas, J R. (2015). Brain and body precussion; The relationship between motor and Cognitive functions. (Master Thesis, University of Jyvaskyla). Becker, J. P. & Shimada, S. (1997). The Open-ended approach: A new proposal for Teaching Mathenatics. Reston, Virginia: National Council of Teachers of Mathematics. Bialystok, E. & DePape, A.E. (2009). Music expertise, bilingualism, and executive Functioning. Journal of Experimental Psychology: Human Perception and Performance,35(2), 565–564. Çakır, H., & Cengiz, Ö. (2016). The Use of Open Ended versus Closed Ended Questions in Turkish Classrooms. Open Journal of Modern Linguistics. 6(2), 60-70. Center of Developing Child Havard University. (2018). Excutive function & self – regulation. Retrieved on October 9, 2023 from https:// www.developingchild.harvrd.edu/science/key-concepts/executive Cooper – Kahn, J., and Foster, M. (2013). Boosting executive skills in the classroom. (A Practical guide for educators, San Francisco: Jossey – Bass). Diamonds, A. (2013). Executive functions. Retrieved on October 9, 2023 from https://www.devcogneuro.com/Publictions/Executive functions2013.pdf. Dowson, P., and Guare, R. (2014). “Interventions to promote executive development in children and adolescents.” In Handbook of executive Functioning, 427 – 443. Edited by Goldstein, S. and Naglieri, J. A. New York: Springer. Engle. R. (2002). Working memory capacity as executive attention. Current Directions in Psychologicl Science, 11(1), 19 – 23. Foong, Pui Yee. (2002). Using Short Open-Enden Question to Promot Thinking and Understanding (Electronic version). The Mathematics Educator, 6(2), 15-31. Hohmann, M. and Weikart, D.P. (1995). Education Young Children. Ypsilanti: HighScope.
79 Jackson, keenya. (2010). Curricula Used to Prepare Pre-kindergarten Students for Kindergarten. Dissertation Abstracts International. 71(3), unpaged. Jensen, Melanie Karnwischer. (June, 2005). Development of the Early Childhood, 32(1), 5-9. Mc Closkey, G., Perkins, L. A., Van Divner, B. (2009). Assessment and intervention for executive functioning difficulties. NewYork: Routledge. Meltzer, L. (Ed). (2007). Executive function in education : From theory to practice. NewYork, NY: The Guildford. Piaget S. (1952). The Origind of Intelligence in Children. New York: International University. Preda Ulita, A. (2016). Improving children’s executive Functioning by learning to play a Musical instrument. Bulletin of the Transilvania University of Brasov Series Vlll, 9(58),No2, 89 -90 Preda Ulita, A. (2016). Lmproving children’s executive functioning by learning to play a musical instrument. Bulletin of the Transilvania University of Brasov Series Vlll, 9(58), No 2, 85 - 90. Randall, Pamela P. (2010). Preschool Education in Verginia and the Resulting Academic Effects for Third and Fifth-grade At Risk Students. Dissertation Abstract. 71(12), unpaged. Sabilah and J T Manoy. (2018). The Use of Open-Ended Questions with Giving Feedback(OEQGF) forEffective Mathematic Learning. Journal of Physics: Conference Series. 94(7), 1 - 8. Sharples, J. (2018). Executive function in education : Controlling the learning brain.Retrieved on October 9, 2023 from https://www.education.sa.gov.au/sites/g/files/net691 Thomas, Loren D. A Case Study. (2010). The High / Scope Preschool Curriculum and Kindergarten Readiness in the Pittserove Township School Districts. Dissertation Ed.D. Seton: Seton Hall University.
80 ภาคผนวก
81 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ
82 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ 1. นางอุไร จันทร์สม ครูช านาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 2. นางสาวศุภรดา วงษ์แก้ว ครูช านาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านหมากแข้ง ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 3. ดร.ศศิธร อมรินทร์แสงเพ็ญ อาจารย์ประจ าสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
83 ภาคผนวก ข ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย
84 ตารางที่ 6 ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย แบบประเมิน ทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ข้อที่ประเมิน ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 ด้านที่ 1 การริเริ่มและ ลงมือท า ริเริ่มและปฏิบัติกิจกรรมด้วย ตนเอง +1 +1 +1 3 1.0 ลงมือปฏิบัติกิจกรรมทันที +1 +1 +1 3 1.0 ปฏิบัติกิจกรรมตรงเวลาไม่ ผัดวันประกันพรุ่ง +1 +1 +1 3 1.0 ด้านที่2 การวางแผน จัดระบบ ด าเนินการ วางแผนปฏิบัติกิจกรรมด้วย ตนเอง +1 +1 +1 3 1.0 ปฏิบัติกิจกรรรมตามขั้นตอนที่ วางไว้ +1 +1 +1 3 1.0 บอกล าดับก่อน – หลังของการ ปฏิบัติกิจกรรม +1 +1 +1 3 1.0 ด้านที่3 การมุ่งเป้าหมาย บอกเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมาย ง่าย ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรม +1 +1 +1 3 1.0 ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ ส าเร็จ +1 +1 +1 3 1.0 ปฏิบัติกิจกรรมเสร็จตามเวลาที่ ก าหนด +1 +1 +1 3 1.0
85 ภาคผนวก ค ค่าอ านาจจ าแนก (r) และค่าความเชื่อมั่น ของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย
86 ตารางที่ 7 ค่าอ านาจจ าแนก (r) และค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ด้านที่ แบบประเมินทักษะ ทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย ข้อที่ประเมิน ค่า อ านาจ จ าแนก แปลผล 1 การริเริ่มและ ลงมือท า ริเริ่มและปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง 0.65 น าไปใช้ได้ ลงมือปฏิบัติกิจกรรมทันที 0.69 น าไปใช้ได้ ปฏิบัติกิจกรรมตรงเวลาไม่ ผัดวันประกันพรุ่ง 0.66 น าไปใช้ได้ 2 การวางแผนจัดระบบ ด าเนินการ วางแผนปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง 0.77 น าไปใช้ได้ ปฏิบัติกิจกรรรมตามขั้นตอนที่วางไว้ 0.72 น าไปใช้ได้ บอกล าดับก่อน – หลังของการปฏิบัติ กิจกรรม 0.70 น าไปใช้ได้ 3 การมุ่งเป้าหมาย บอกเป้าหมายหรือจุดมุ่งหมายง่าย ๆ ในการปฏิบัติกิจกรรม 0.76 น าไปใช้ได้ ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ส าเร็จ 0.79 น าไปใช้ได้ ปฏิ บัติ กิ จก รรมเสร็จต ามเวล าที่ ก าหนด 0.79 น าไปใช้ได้ ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัย มีค่าเท่ากับ 0.92
87 ภาคผนวก ง ตัวอย่าง แผนการจัดกิจกรรมแบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด
88 คู่มือการใช้แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวไฮสโคป เสริมด้วยค าถามปลายเปิด หลักการและเหตุผล การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป มีหลักการส าคัญคือ วงล้อแห่งการเรียนรู้ จะช่วยให้ครูปฐมวัยสามารถออกแบบกิจกรรมประจ าวันร่วมกับเด็กได้อย่างเหมาะสม หลักสูตรไฮสโคป เด็กจะเป็นผู้ริเริ่มและการเรียนรู้ของเด็กจะเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้ผ่านการลงมือปฏิบัติจะ ช่วยฝึกฝนทักษะทางสมอง EF ได้ แนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลาย คือ Plan – Do - Review การวางแผนประจ าวันแล้วลงมือปฏิบัติตามแผนจนส าเร็จและมีการทบทวนสิ่งที่ได้ ท าและครูใช้ค าถามปลายเปิดกระตุ้นให้เด็กแสดงความคิดเชิงเหตุผลผ่านสิ่งที่เด็กได้กระท าเชื่อมโยง ระหว่างการวางแผน การปฏิบัติงาน และผลงานที่เด็กท า จะช่วยให้เด็กปฐมวัยได้เรียนรู้ถึงการบอกความ ตั้งใจและสะท้อนการกระท าของตนเองนอกจากนี้เด็กยังตระหนักว่าตนเองเป็นนักคิดนักตัดสินใจ จุดมุ่งหมาย เพื่อเปรียบเทียบทักษะทางสมอง EF ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมแบบ ไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด เนื้อหา ในการจัดจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด ประกอบด้วยกิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์และกิจกรรมเสรีเล่นตามมุมส าหรับเด็กปฐมวัย จ านวน 6 หน่วย แต่ละหน่วยจะประกอบ ไปด้วยกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์5 กิจกรรม กิจกรรมเสรีเล่นตามมุม 4 มุม ให้เด็กได้เลือกตามความสนใจ ของตัวเด็ก วิธีด าเนินกิจกรรม 1. การวางแผน (Plan) 1.1 ครูน าเด็กเข้าสู่กิจกรรม ด้วยเพลง ค าคล้องจองและการสนทนา 1.2 ครูและเด็กร่วมกันสร้างข้อตกลงในการท ากิจกรรม 1.3 ครูแนะน ากิจกรรม อุปกรณ์และสาธิตวิธีการท ากิจกรรม จากนั้นครูแบ่งเด็กออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 5 – 6 คน 1.4 เด็กวางแผนเลือกท ากิจกรรมโดยครูสังเกตและสัมภาษณ์การวางแผนในการท ากิจกรรม ของเด็ก 2. การปฏิบัติ (Do) 2.1 เด็กปฏิบัติกิจกรรมตามที่วางแผนไว้โดยครูสังเกตการคิดและให้เหตุผลในการท า กิจกรรมพร้อมบันทึกวิธีการท ากิจกรรม หากเด็กไม่ปฏิบัติกิจกรรมตามแผนที่วางไว้ครูใช้ค าถามปลายเปิด เพื่อกระตุ้นเด็ก
89 2.2 เมื่อใกล้หมดเวลาครูให้สัญญาณ เด็กท าความสะอาดและเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย 3. การทบทวน (Review) 3.1 ครูและเด็กร่วมกันทบทวนและสรุปกิจกรรม บทบาทครู 1. ศึกษาแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวคิดไฮสโคป ให้เข้าใจอย่างชัดเจนก่อนลงมือ จัดกิจกรรม 2. จัดเตรียมสิ่งแวดล้อม และบรรยากาศที่เอื้ออ านวยต่อการเรียนรู้ โดยครูจัดหาวัสดุอุปกรณ์ ให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง โดยเน้นให้เด็กได้ใช้ทักษะสมอง EF 3. เข้าสู่กิจกรรมด้วยการสนทนา การร้องเพลง การท่องค าคล้องจอง ปริศนาค าทายเพื่อกระตุ้น ให้เด็กเกิดการสนใจ และมีความพร้อมก่อนเข้าสู่กิจกรรม 4. แนะน าวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ 5. ครูให้การสนับสนุนและให้การช่วยเหลือเด็กในรูปแบบต่าง ๆ เมื่อเด็กร้องขอ บทบาทนักเรียน 1. ให้เด็กวางแผนเลือกท ากิจกรรม 3 กิจกรรม ตามที่เด็กสนใจ โดยการเลือกกิจกรรมแต่ละ กิจกรมเด็กที่อยู่กลุ่มเดียวกันจะไม่เลือกกิจกรรมที่ซ้ ากัน (Plan) 2. เมื่อเด็กเลือกกิจกรรมเสร็จ เด็กจะเดินไปนั่งตามกลุ่มกิจกรรมที่ครูจัดไว้ให้ (Plan) 3. เมื่อเด็กท ากิจกรรมเสร็จแต่ละกิจกรรมให้เก็บสัญลักษณ์การวางแผนที่ติดไว้ในแผ่น PDR และ ไปท ากิจกรรมที่ 2 เสร็จให้เด็กเก็บสัญลักษณ์การวางแผนในแผ่น PDR และด าเนินไปเช่นนี้จนครบทั้ง 3 กิจกรรม (Do) 4. เมื่อเด็กท างานครบหรือท างานเสร็จแล้วช่วยกันเก็บของเข้าที่และท าความสะอาดให้ เรียบร้อย (Do) 5. เด็กกลุ่มเป้าหมายออกมาน าเสนอผลงาน หรือทบทวนการท ากิจกรรมตามแผนไฮสโคป (Review) การประเมิน 1. การสังเกตการมีส่วนร่วมในกิจกรรมและการแสดงความคิดเห็น 2. สังเกตการสนทนา และตอบค าถามแต่ละครั้ง
90 (ตัวอย่าง) แผนการจัดประสบการณ์ตามแนวคิดไฮสโคปเสริมด้วยค าถามปลายเปิด หน่วย เศรษฐกิจพอเพียง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 แผนการจัดประสบการณ์ที่ 22 กิจกรรม ศิลปะสร้างสรรค์,เสรีเล่นตามมุม วัน จันทร์ ชั้นอนุบาลปีที่ 3/1 เวลา 50 นาที 1. จุดประสงค์ เมื่อเด็กร่วมกิจกรรมนี้แล้วเด็กสามารถ 1. อธิบายเรื่องราวบอกความรู้สึกเกี่ยวกับผลงานของตนเองได้ 2. บอกขั้นตอนการปฏิบัติงานได้ 3. ตัดสินใจลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง 4. ปฏิบัติงานส าเร็จตามเป้าหมายและทันเวลาที่ก าหนดได้ 5. ควบคุมตนเองให้ปฏิบัติกิจกรรมจนส าเร็จไม่ละทิ้งกลางคัน 2. สาระการเรียนรู้ ประสบการณ์ส าคัญ 1. การพูดสะท้อนความรู้สึกของตนเองและผู้อื่น (1.2.4(1)) 2. การปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ตามความสามารถของตนเอง (1.2.5(1)) 3. การให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ (1.3.4(3)) 4. การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง (1.3.7(1)) 3. วิธีการด าเนินการ 1. การวางแผน (Plan) (10 นาที) 1.1 เด็กและครูร่วมกันร้องเพลง “พอเพียง” 1.2 เด็กและครูร่วมกันสร้างข้อตกลงในการท ากิจกรรม ดังนี้ - รู้จักแบ่งปันอุปกรณ์ให้เพื่อน - รู้จักการคอยในการท ากิจกรรม - เก็บอุปกรณ์เข้าที่เดิมเมื่อใช้เสร็จแล้ว 1.3 ครูแนะน ากิจกรรม อุปกรณ์และสาธิตวิธีการท ากิจกรรมทีละกิจกรรม ดังนี้ กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ กิจกรรมเสรีเล่นตามมุม - วาดภาพตามจินตนาการ - มุมบล็อก - ต่อเติมพยัญชนะ บ - มุมหนังสือ